PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๑


เถรี
11-03-2018, 22:09
ถาม : การสร้างรูปพระโพธิสัตว์สำหรับกราบไหว้บูชา เช่น พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ เห็นมีบางท่านต้องการจะสร้าง ถ้าเราจะสร้างจริง ๆ ควรจะสร้างในรูปแบบไหนถึงจะเหมาะสมครับ ?
ตอบ : สร้างแบบพระโพธิสัตว์

ถาม : อานิสงส์ในการสร้างรูปเคารพพระโพธิสัตว์บารมีเข้มแบบนี้ จะได้อานิสงส์อย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : อานิสงส์เทวตานุสติ

เถรี
11-03-2018, 22:14
ถาม : เตโชวิปัสสนา คืออะไรหรือครับ ?
ตอบ : คือ เตโชวิปัสสนา ถ้าต้องการรู้จริง ๆ ให้ไปถาม "อาจารย์อ้อย"

เถรี
11-03-2018, 22:14
ถาม : ผมโหลดเสียงธรรมชาติมาฟังตอนนอน ในเสียงนั้นมีเสียงนกชนิดต่าง ๆ และเสียงน้ำตก หากผมตายในขณะที่ยังฟังเสียงนั้นอยู่ ผมจะเกิดเป็นสัตว์ตามเสียงนั้นทันทีไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าใจเกาะก็ไปเลย

เถรี
11-03-2018, 22:20
ถาม : ชาตินี้ปาราชิกแล้วสึกมาเป็นฆราวาส ทำมาหากินไม่ขึ้น ไม่ร่ำรวย เกี่ยวกับที่ปาราชิกหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : บางทีอาจจะโง่เกินไป จนทำมาหากินไม่เป็นก็ได้

ถาม : เมื่อปาราชิกแล้ว สามารถทำทาน ภาวนา ตายแล้วเกิดเป็นพรหมหรือเทวดา และบรรลุธรรมได้ทันทีหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เรื่องของปาราชิก เนื่องจากศีลเศร้าหมอง เพราะฉะนั้น...โอกาสที่จะไปเกิดในสุคติภูมิเป็นเรื่องที่ยากสุด ๆ แต่ถ้าสามารถขึ้นไปเกิดได้ ก็ยังคงต้องตะเกียกตะกายต่อไปอีกจนสุดกำลังที่ตนเองทำได้ ไม่ใช่ว่าจะได้บรรลุทันที

เถรี
11-03-2018, 22:42
ถาม : ผมไม่เข้าใจเรื่องวาระของกรรมอกุศลที่ส่งผล อย่างอายุวัฒนกุมารที่จะโดนยักษ์เอาชีวิตตอนอายุ ๗ ขวบเพราะอุปฆาตกรรม แต่พระพุทธเจ้าท่านช่วยแล้วภายหลังบวชเป็นพระแล้วอายุยาวถึง ๑๒๐ ปี เพราะวาระอุปฆาตกรรมพ้นไป ในกรณีอย่างพระโมคคัลลานะ ท่านน่าจะโดนอุปฆาตกรรมเหมือนกันแต่ท่านก็ใช้ฤทธิ์หนี แต่สุดท้ายท่านก็ยอมรับกรรม ผมสงสัยวาระอุปฆาตกรรมของอายุวัฒนกุมารกับพระโมคคัลลานะ แตกต่างกันหรือครับ ?
ตอบ : ต่างกันมาก ต่างกันตรงที่ท่านหนึ่งเป็นพระอรหันต์ อีกท่านเป็นแค่ฆราวาสทั่วไป


ถาม : จากข้อก่อนหน้านี้วิธีที่พระพุทธเจ้าช่วยอายุวัฒนกุมารด้วยการให้พราหมณ์สร้างมณฑปไว้ที่ประตูเรือนของพราหมณ์ แล้วนำเด็กขึ้นไปนอนบนมณฑปนั้น จากนั้นก็ให้นิมนต์พระไปเจริญพระพุทธมนต์สวดพระปริตรเป็นเวลา ๗ วันพอวันสุดท้ายพระพุทธเจ้าเสด็จมาเอง แล้วพรหม เทวดามาทั้งจักรวาลแล้วยักษ์ที่จะเอาชีวิตเลยต้องหลีกไปยืนรอ จนเลยวันที่ ๗ เพราะยักษ์ตนนั้นเป็นเทวดามีศักดิ์น้อย ณ จุด ๆ นี้ผมอยากทราบว่า ถ้าบุคคลที่อยากเป็นพรหม เทวดา ที่มีศักดิ์ใหญ่ ๆ ไม่ต้องเขยิบหรือไปยืนด้านหลังเทวดาหรือพรหมองค์อื่น ๆ ควรจะทำบุญอย่างไรหรือครับ ?
ตอบ : สร้างพระพุทธรูปทองคำ หน้าตักสัก ๑๐ วา...!

เถรี
11-03-2018, 22:46
ถาม : ตามที่ผมศึกษาการบูชาพระพุทธเจ้ามี ๒ วิธี คืออามิสบูชา กับปฏิบัติบูชา ผมอยากทราบว่า ถ้าผมหรือพุทธบริษัทตั้งใจจะปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้าด้วยการท่องคาถาเงินล้านก็ดี หรือพยายามนับลมหายใจให้ได้ ๑๐ คู่อย่างน้อย หรือพยายามเจริญวิปัสสนา อยากทราบว่าจะมีเดชอำนาจเหมือนกับการสร้างพระพุทธรูปหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : มีนิดหนึ่ง เรื่องของสมาธิ ถ้าสามารถทรงฌานได้จะมีศักดานุภาพเหมือนกับพรหม ไม่ใช่เฉพาะเทวดาอย่างเดียว แล้วก็ต้องทำอย่างจริง ๆ จัง ๆ ไม่ใช่แค่นับให้ได้ ๑๐ คู่

เถรี
11-03-2018, 22:48
ถาม : ผมได้อ่านพุทธประวัติ ของพระพุทธเจ้าสมัยอดีตและพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ผมสงสัยตรงที่ พระพุทธเจ้าองค์ในอดีตและองค์ปัจจุบันท่านเทศน์บางครั้งคนฟังบรรลุไปนิพพาน เป็นโกฏิ คือ ๑๐ ล้าน บางองค์เทศน์ที ทั้งคน พรหม และเทวดาฟังบรรลุถึง ๑ พันล้านก็มี ผมสงสัยขนาดพระพุทธเจ้าในอดีตและปัจจุบันเทศน์ขนย้ายดวงจิตไปแดนพระนิพพานมากมายมหาศาล แต่ก็ยังมีดวงจิตของมนุษย์มีตั้งพันล้านในโลกของเรา และไม่นับดวงจิตพวกสัตว์เดรัจฉาน อย่างมดที่มีประชากรเยอะกว่ามนุษย์ ผมสงสัยว่าพอจะเป็นไปได้หรือเปล่าครับ ที่จะมีวันหนึ่งที่ทุกดวงจิตจะอยู่ในแดนพระนิพพานไม่ต้องเกิดมาพบกับความลำบากในวัฏสงสารอีกต่อไป ?
ตอบ : พอจะเป็นไปได้สัก ๐.๐๐๐๑ เปอร์เซ็นต์..!

เถรี
11-03-2018, 22:59
ถาม : อยากทราบว่าพระโพธิสัตว์ที่สามารถทรงฌาน ๘ ท่านพอจะมีปฏิสัมภิทาญาณได้หรือเปล่าครับ หรือว่าต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้นเพราะพระโพธิสัตว์ยังมีกิเลสอยู่ ?
ตอบ : ถ้าทรงสมาบัติ ๘ ได้ ยอมรับกฎของกรรมเป็นปกติ ท่านก็สามารถใช้อำนาจของปฏิสัมภิทาญาณได้ แต่ต้องเป็นพระโพธิสัตว์ระดับอุปบารมีขั้นปลายขึ้นไป

เถรี
11-03-2018, 23:04
ถาม : ผมอยากทราบอานิสงส์ของการผิดศีลข้อโกหก ในกรณีที่สมมติว่ามีบุคคลที่เป็นข้าราชการโกหกต่อหน้าประชาชนเป็นล้าน ๆ คน ว่านาฬิกาข้อมือที่มีหลายเรือนนั้นเป็นของเพื่อนที่ยืมมา ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วบุคคลนั้นได้ทุจริต อานิสงส์หรือผลที่จะได้รับโกหกคนเป็นล้าน ๆ และได้ทุจริตอีกด้วยจะเป็นอย่างไรหรือครับ ?
ตอบ : ไปถามคนที่คุณว่าเอง..!

เถรี
11-03-2018, 23:07
ถาม : ในอนันตจักรวาลนี้มีภพนิพพานอันไม่มีมา ไม่มีไป ไม่มีเกิด ไม่มีตาย ดิน น้ำ ลม ไฟ ไปไม่ถึง ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อรองรับองค์สมเด็จปฐมพุทธเจ้า ขอความเมตตาเรียนสอบถามว่า นอกจากนิพพานแล้ว ยังมีภพอื่น ๆ ที่มีลักษณะเดียวกับนิพพานอีกหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ที่เดียวยังตะกายไม่ถึงเลย ยังจะไปสงสัยว่ามีอีกกี่ที่...!

เถรี
11-03-2018, 23:08
ถาม : ความคิดต้องประกอบด้วยเจตนาระดับไหนถึงเป็นอธิษฐานบารมี ?
ตอบ : ตั้งใจมั่นจริง ๆ

เถรี
12-03-2018, 09:23
ถาม : มหาเศรษฐีฤกษ์มีเกณฑ์ประมาณไหน ? มีผลพิเศษต่างอมฤตโชค มหาสิทธิโชค สิทธิโชคที่ไม่เข้าเกณฑ์อย่างไร ?
ตอบ : เอามาจากใครให้ไปถามคนนั้น

เถรี
12-03-2018, 09:24
ถาม : หากภาวนาตอนนอนจนหลับ แล้วตายระหว่างนั้นจะไปสุคติแน่นอนหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจเกาะความดีได้ก็ไป ถ้าเกาะไม่ได้ก็ยังลูกผีลูกคนอยู่

เถรี
12-03-2018, 09:25
ถาม : การประกอบอาชีพทนายความ หากได้เขียนข้อเท็จจริงในคำฟ้อง แต่มาทราบภายหลังว่าลูกความโกหก แต่ไม่สามารถถอนตัวได้ทันทีจากเหตุสุดวิสัย จึงจำเป็นต้องว่าความต่อไป หากต้องยกประเด็นเหล่านี้ขึ้นต่อสู้จะผิดศีลข้อ ๔ หรือไม่ ?
ตอบ : ผิดแน่นอนทันทีที่รู้แล้วยังทำ

เถรี
12-03-2018, 09:28
ถาม : โยมได้อ่านหนังสือของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำเรื่องปฏิปทาท่านผู้เฒ่า ท่านได้กล่าวไว้ว่าสวรรค์ชั้นดุสิตนั้นเป็นที่อยู่ของพระโพธิสัตว์ บิดามารดาของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ และพระอริยะตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป โยมเกิดความสงสัยว่าถ้าเช่นนั้นพระอรหันต์จะมาอยู่ที่สวรรค์ชั้นนี้ได้ไหม ?
ตอบ : คำว่า ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป แปลว่าไม่เกินพระอนาคามี พระอรหันต์ท่านมีเขตของท่านคือพระนิพพานอยู่แล้ว ยกเว้นว่ามีธุระปะปังกับใครก็อาจจะแวะเวียนไปได้ แต่ว่าไม่ใช่ไปอยู่ประจำ

เถรี
12-03-2018, 09:31
ถาม : กระผมพกวัตถุมงคลเหรียญพญาครุฑและพญานาค (กำไลนวหรคุณ) พลังท่านจะหักล้างกันไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเข้าพิธีเดียวกันก็ไม่หักล้างกัน

เถรี
12-03-2018, 09:33
ถาม : ขณะที่สวดมนต์นั้น อยู่ ๆ ก็ไม่รู้สึกตัว คำสวดหายไปสักพักแล้วกลับมารู้สึกตัว ก็สวดมนต์ต่อ อาการเช่นนี้เป็นเพราะอะไรครับ
ตอบ : จิตเริ่มเป็นสมาธิแต่ขาดสติ

เถรี
12-03-2018, 09:39
ถาม : เหรียญรัชกาลที่ ๕ วัดท่าขนุน อาราธนาอย่างไรครับ ?
ตอบ : คาถาอาราธนารัชกาลที่ ๕ มีอยู่เต็มเว็บ ไปค้นหาดูได้

เถรี
12-03-2018, 09:42
ถาม : ในขณะก่อนที่จะตายหรือในสถานการณ์เฉียดตาย จิตจะรู้สึกว่าเวลาเพียงชั่วขณะเดียวนั้นกลับเป็นเวลาที่นาน และคิดเรื่องราวต่าง ๆ ได้มากมายในเวลาสั้น ๆ นั้น กราบเรียนถามพระอาจารย์ครับว่า จะมีวิธีใดบ้างให้เราสามารถคิดได้รวดเร็วจนทำให้เวลาเพียงชั่วขณะเดียวนั้นกลับเป็นเวลาที่นาน และคิดเรื่องราวต่าง ๆ ได้มากมายเช่นนั้นในภาวะปกติ ? ในชีวิตประจำวันที่ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์คับขันเฉียดตายครับ
ตอบ : ฝึกฝนสภาพจิตของตนเองจนมีความแหลมคมว่องไวในระดับนั้น

ถาม : ในขณะที่เฉียดความตาย บางคนจะเห็นภาพต่าง ๆ ช้าลงมาก ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งนั้น ๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดจากสาเหตุใดครับ ?
ตอบ : เพราะว่าสภาพจิตมีความเร็วกว่า

เถรี
12-03-2018, 09:44
ถาม : เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ท่านถึงแก่อสัญกรรมด้วยสาเหตุใดหรือครับ ที่กล่าวว่าเกิดจากการถูกลงโทษนั้นเป็นความจริงหรือไม่อย่างไรครับ ?
ตอบ : เกิดไม่ทัน แต่มั่นใจว่าเพราะไม่หายใจ...!

เถรี
12-03-2018, 09:45
ถาม : การที่เราได้มีโอกาสเข้าพบพระสุปฏิปันโนเป็นเวลาสั้น ๆ และนาน ๆ ครั้งนั้น เราควรปฏิบัติอย่างไรเพื่อให้ได้บุญและประโยชน์สูงสุดจากการได้เข้าพบและนมัสการท่านครับ ?
ตอบ : ทำให้ได้อย่างท่าน

เถรี
12-03-2018, 23:16
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะทางที่แสงเดินทางไปถือว่าเป็นความเร็วสูงสุดที่มนุษย์คำนวณได้ ก็คือเดินทางด้วยความเร็ว ๑๘๖,๐๐๐ ไมล์ต่อวินาที ยังใช้เวลาเดินทางจากดวงอาทิตย์มาโลกมนุษย์ ๘ นาทีเศษ ๆ แต่สภาพจิตของเราเดินทางได้เร็วกว่านั้น ก็คือแค่คิดก็ถึงแล้ว ดังนั้น...สภาพจิตของเราถ้าทำได้เต็มที่จริง ๆ จะไม่มีอะไรที่สามารถตามทัน

ฉะนั้น...เวลาที่เหตุอะไรเกิดขึ้น ถ้าสภาพจิตของเรากลายเป็นความเร็วโดยสภาพ ก็จะเห็นว่าอย่างอื่นช้าไปหมด โดยเฉพาะบุคคลที่ฝึกฝนสภาพจิตมาดีแล้ว ความเร็วของกิเลสซึ่งเกิดขึ้นเร็วมากยังกลายเป็นของช้า เพราะว่าสติของเรารู้เท่าทัน สภาพจิตจึงสามารถระงับยับยั้งกิเลสเอาไว้ได้

หลายคนเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา สภาพจิตตื่นเต็มสภาพ ก็จะเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างช้าลงไปหมด ไม่ได้ช้าอย่างเดียว เห็นอย่างชัดเจนมากด้วย เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่สามารถฝึกฝนกันได้ เพียงแต่ว่าต้องใช้ความพยายามเหนื่อยยากกันอยู่ระยะหนึ่ง"

เถรี
12-03-2018, 23:26
"สมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุง ตอนนั้นทิดสามารถยังไม่สึก ยังไม่เป็นนายสามารถ สุขสาธุ มีอยู่วันหนึ่งหลังจากปฏิบัติธรรมแล้วก็คุยกัน ท่านบอกว่าเมื่อคืนไปที่ริมน้ำ เห็นเทวดารักษาวัด ตัวสูงใหญ่เป็นภูเขาเลย

มีคนทำไสยศาสตร์มา ความเร็วของวัตถุไสยศาสตร์นั้นมาเร็วมาก ดูแล้วน่าจะเร็วกว่าลูกปืน แต่เทวดาใช้พระขรรค์เคาะทิ้งไปได้แบบสบาย ๆ ท่านสงสัยว่าเทวดามีความเร็วขนาดนั้นเลยหรือ ? ก็เลยมาวิเคราะห์กันว่า ในสภาพของเทวดาน่าจะละเอียดกว่าสภาพของไสยศาสตร์ที่มา ในเมื่อเทวดามีสภาพละเอียดกว่าไสยศาสตร์ที่เป็นของหยาบ ไสยศาสตร์ที่เขาทำมาก็เลยดูเหมือนกับช้าไปหมด ไม่ว่าจะทำอะไรก็สามารถป้องกันได้แบบสบาย ๆ

ดังนั้น...ในส่วนนี้เราจะเห็นว่า สภาพจิตของเรายิ่งละเอียดเท่าไร ความเร็วของจิตก็มีมากเท่านั้น

พี่สามารถเป็นคนปฏิบัติธรรมได้ดีทั้งครอบครัว แม้กระทั่งลูก ๆ ก็เล่นกสิณ เล่นอภิญญากันเป็นเรื่องปกติ แต่ในสภาพโลกียอภิญญาทำให้ประคองสภาพนักบวชอยู่ไม่ได้ ท้ายสุดก็ต้องสึกหาลาเพศไป"

เถรี
12-03-2018, 23:33
"ช่วงนั้นเป็นช่วงที่หลวงพ่อวัดท่าซุงมรณภาพได้ไม่นาน อาตมาออกจากวัดไปสร้างสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี ท่านก็เคยแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนกัน ก็ยังบอกกับท่านว่า ถ้าอยู่ไม่ได้ให้มาอยู่ด้วยกัน ท่านเองก็รับปาก แต่มารู้ข่าวอีกทีก็สึกไปแล้ว

ตอนช่วงอาตมาไปช่วยเจ้าอาวาสวัดทองผาภูมิพัฒนาวัด ตั้งใจจะสร้างมณฑปถวายหลวงพ่อ ภปร.องค์ใหญ่ที่หน้าวัด พี่สามารถก็เป็นคนร่างแบบให้ ตกลงราคากันแล้วว่าอยู่ที่ ๑๙ ล้านบาท แต่ยังไม่ทันที่จะได้ขยายแบบ ไม่ทันที่จะทำสัญญาจ้าง ชาวบ้านซึ่งหวาดระแวงว่าอาตมาจะไปแย่งตำแหน่งเจ้าอาวาสเก่า ก็รวมตัวกัน ๗-๘ คนมาขับไล่ อาตมาเองเห็นว่าไปทำประโยชน์ให้กับเขาแล้วยังมาไล่ ก็เก็บของจากไปแต่โดยดี ทุกวันนี้คนแถววัดทองผาภูมิก็ยังด่ากันเอง บอกว่า "สมน้ำหน้ามึง ไปไล่พระอาจารย์เล็ก ตอนนี้วัดท่าขนุนเจริญเอา ๆ วัดทองผาภูมิก็ยังโทรมอยู่เหมือนเดิม"

เถรี
12-03-2018, 23:56
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเราเข้าฤดูร้อนแล้ว ฤดูร้อนเริ่มตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๔ จำง่าย ๆ ว่าเป็นวันที่ในหลวงเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกต ฤดูฝนเริ่มที่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ฤดูหนาวเริ่มที่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ซึ่งถ้าเราดูตามบ้านเมืองของเรา ช่วงนี้ฝนก็เริ่มมาแล้ว ทั้ง ๆ ที่ยังเป็นฤดูร้อนอยู่ แต่ในส่วนของต่างจังหวัดจะลำบากกว่า ถึงฝนมาโอกาสที่จะเก็บกักน้ำได้ก็มีน้อย

ญาติโยมไม่ว่าจะอยู่ในเมืองหรือต่างจังหวัดก็ตาม ควรที่จะหาภาชนะสำรองน้ำไว้บ้าง ถึงเวลาขาดน้ำก็จะได้มีใช้ไปอีกระยะหนึ่ง โดยเฉพาะบ้านเมืองของเราสภาพอากาศวิปริตผิดเพี้ยนไปมาก ถึงเวลาก็มามากจนท่วม แล้วอยู่ ๆ ก็แล้งจนแทบจะอดน้ำตาย โดยเฉพาะความเดือดร้อนเรื่องน้ำ ถ้าไม่มีระบบการจัดการที่ดีก็จะหนักขึ้นไปเรื่อย ๆ มีอย่างเดียวคือเราจะต้องแก้ไขด้วยความสามารถของตัวเอง

เมื่อวันที่ ๗ มีนาคมที่ผ่านมา อาตมาเป็นประธานคณะกรรมการไปตรวจประเมินวัด ก็ยังดีใจว่าวัดที่ตรวจประเมินไปทุกวัด ล้วนแล้วแต่มีการสำรองน้ำสำหรับพระภิกษุสามเณร ตลอดจนกระทั่งญาติโยมไว้ใช้สอยได้ แต่ถ้าไปพึ่งพาวัดกันมาก ๆ ก็ไม่น่าจะเพียงพอ ต้องบอกว่าพออยู่ได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น

ในเมื่อวัดวาอารามเป็นตัวอย่าง มีการสำรองน้ำไว้สำหรับช่วงภัยแล้ง พวกเราก็ควรที่จะสำรองน้ำเอาไว้ด้วย สมัยที่อาตมายังเป็นทหาร มีการสำรองน้ำด้วยการใช้ถัง ๒๐๐ ลิตร ทายางมะตอยด้านในหนา ๆ เมื่อแห้งแล้วก็ใส่น้ำลงไป ถังก็จะไม่เป็นสนิม ขณะเดียวกันการเก็บกักน้ำก็จะอยู่ในลักษณะสะดวกสบาย เพราะว่าอย่างน้อยถังหนึ่งก็บรรจุได้ ๒๐๐ ลิตร"

เถรี
13-03-2018, 00:09
"สมัยนี้มีถังพลาสติกมาก อาตมาอยากจะแนะนำว่าให้แช่ถังทิ้งไว้สักระยะหนึ่ง ถ้ามีแหล่งน้ำธรรมชาติประเภทบ่อ ประเภทสระ หรือห้วยหนองคลองบึงยิ่งดี แช่ทิ้งไปเลยสัก ๑๐ วันหรือครึ่งเดือน เพราะว่าพลาสติกจะมีสารเคมี เมื่อเราทำการแช่ทิ้งเอาไว้ให้สารเคมีละลายออกมาก่อน หลังจากนั้นค่อยใช้เป็นภาชนะบรรจุน้ำกินน้ำใช้ของเรา

สมัยนี้จะไปหาโอ่งดินเผา โอ่งเคลือบแบบโอ่งมังกร หรือโอ่งดินเผาของเกาะเกร็ดก็เป็นเรื่องที่ลำบาก เพราะว่าขนย้ายยาก จนกระทั่งเขาบอกว่า รถคันไหนบรรทุกโอ่ง รถคันนั้นเป็นรถเศรษฐี ถามว่าทำไมถึงเป็นรถเศรษฐี ? เขาบอกว่า "ของตกไม่เคยเก็บเลย" ลองคิดดูว่าโอ่งน้ำตกเราจะเก็บไหม ?

ในเมื่อขนย้ายยาก ต้องใช้ถังพลาสติก ก็ต้องหาทางแก้ไขกัน หรือถ้าเขารับรองว่าเป็นพลาสติกที่สามารถบรรจุน้ำบรรจุอาหารได้ ค่อยหามาใช้งานกัน"

เถรี
13-03-2018, 08:39
พระอาจารย์กล่าวว่า "การเมืองบ้านเราอุณหภูมิร้อนขึ้นไปเรื่อย ๆ ต้องบอกว่าร้อนตามฤดูกาลก็แล้วกัน เพียงแต่ว่าพวกเราอย่าไปใส่อารมณ์ตามเขา ทำตัวเป็นคนดู อย่าลงไปเล่นด้วย ถ้าเป็นคนดูเราจะมีสติ จะรู้ว่าใครมีความจริงใจ ใครที่ดำเนินวิธีทางการเมือง เมื่อถึงเวลาถ้ามีการเลือกตั้ง เราก็จะได้เลือกได้ถูก ว่าจะเลือกพรรคใด เลือกบุคคลใด

ความจริงบ้านเมืองเรากำลังดำเนินไปสู่จุดที่ดีมาก คำว่าดีมากก็คือ เหลือพรรคใหญ่ประมาณสองพรรคแข่งกัน ถ้ายึดถือกติกา พรรคใดได้เสียงข้างมาก พรรคนั้นบริหารไป ถ้าไม่เป็นที่พอใจ ครั้งต่อไปเราก็เลือกพรรคใหม่ ก็จะทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ

แต่บ้านเราเกิดการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจขึ้นมา แทนที่จะเหลือแค่สองพรรคเสนอนโยบายแข่งกัน ก็กลายเป็นพรรคเล็กพรรคน้อยเต็มไปหมด แค่ช่วงวันเดียวที่ผ่านมาสมัครถึง ๔๐ กว่าพรรค ลักษณะการสมัครแบบนั้นถ้าไม่มีเงินจริง ๆ นี่ตายเลย ก็เพราะว่าการสมัครโดยปกติแล้ว พรรคเล็ก ๆ มีโอกาสที่จะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แทน ส.ส. จากการเลือกตั้ง แต่เนื่องจากว่าเมื่อเอาคะแนนมารวมกันแล้ว ยอดที่เฉลี่ยคะแนนของ ส.ส.บัญชีรายชื่อสูงมาก ถึงหลายหมื่นคะแนน ฉะนั้น...โอกาสที่พรรคเล็ก ๆ จะได้เติบโตก็ไม่มี ตั้งขึ้นมาแล้วก็ตายไปเฉย ๆ"

เถรี
13-03-2018, 09:33
"รัฐบาลที่เกิดจากการผสมหลาย ๆ พรรคจะประสานประโยชน์ได้ยาก ขนาดเยอรมันที่มีความก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองเป็นระดับต้น ๆ ของโลก จนป่านนี้ก็เพิ่งจะคุยกันลงตัว แต่ถ้าปกครองไปแล้วประสานประโยชน์ไม่ได้ก็จะมีปัญหาทันที เพราะว่าเรื่องการเมืองนั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน หากแต่ทำเพื่อพวกพ้องและตัวเอง

จะว่าไปแล้วในเรื่องของการเมืองหาโอกาสดีได้ยาก แต่ก็ไม่ควรที่จะท้อถอย เพราะว่ากฎเกณฑ์กติกาก็เป็นสิ่งที่สามารถแก้ไขได้ ถ้าเห็นว่ากติกาที่ร่างมาในปัจจุบันใช้งานได้ไม่ดี เมื่อมีรัฐบาลใหม่สามารถประสานทั้งฝ่ายรัฐและฝ่ายค้านได้ ก็สามารถที่จะแก้ไขได้แม้ว่าจะยากลำบากขึ้น จากสถานการณ์ปัจจุบัน หากว่าพรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมากประกาศแก้ไขรัฐธรรมนูญ อาตมาเชื่อว่าจะเสียงสนับสนุนมาค่อนประเทศเลย"

เถรี
13-03-2018, 22:02
"ในชีวิตของอาตมาเคยเห็นพรรคประชากรไทยของคุณสมัคร สุนทรเวช ส่งผู้สมัครกี่คนก็แทบจะได้รับเลือกจากคนกรุงเทพฯ ทั้งหมด ต่อมาก็พรรคพลังธรรม สมัยของคุณจำลอง ศรีเมือง ก็เกิดปรากฏการณ์ลักษณะเดียวกัน ชนิดที่ว่า “ส่งเสาไฟฟ้าลงสมัครก็ได้รับเลือก”

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เกิดจากกระแสสังคม ถ้าเห็นความไม่ยุติธรรม เห็นความไม่โปร่งใส เสียงส่วนใหญ่จะเทไปให้พรรคที่ตนเองคิดว่าพึ่งพาได้ มีความสุจริตโปร่งใส แต่ท้ายที่สุดเราก็จะเห็นว่า พรรคการเมืองทุกพรรคเท่าที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ไม่ได้ยึดถือประโยชน์ของประชาชน แต่ยึดถือประโยชน์ของพรรคพวกและตัวเอง ก็เลยทำให้ยืนหยัดรักษาคะแนนเสียงอยู่ไม่ได้ ท้ายที่สุดก็ต้องพังไป

แม้กระทั่งพรรคเพื่อไทย ในสมัยนายกฯ ทักษิณเรืองอำนาจ สามารถตั้งรัฐบาลพรรคเดียว เพราะว่าคะแนนเสียงเหลือเฟือเพียงพอ เกินกึ่งหนึ่งในสภา แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถที่จะอยู่ได้ เพราะว่าเรื่องเหล่านี้เป็นธรรมชาติของการพัฒนา ในเมื่อการเมืองมีธรรมชาติที่ต้องพัฒนาไปเรื่อย ๆ ผ่านบทเรียนต่าง ๆ ก็เข้าทำนองว่า "การเกิดต้องเจ็บปวด" แต่ท้ายที่สุดก็มีการเติบโต"

เถรี
13-03-2018, 22:22
หมอสั่งให้จัดยาสำหรับพระอาจารย์ พระอาจารย์บอกโยมว่าไม่ต้องจัดยาแก้ปวดมา "โยมอาจจะสงสัยว่าทำไมอาตมาไม่เอายาแก้ปวด เพราะว่ายังไม่มีความปวดอะไรที่อาตมาทนไม่ได้ และด้วยเหตุนี้แหละที่ทำให้หมอเขาไม่คิด เขาเห็นว่าอาตมาไม่ร้องก็คงจะไม่เจ็บ เพราะฉะนั้น..ทุกครั้งหมอเขาก็ใส่จนเต็มที่เลย โดยเฉพาะตอนที่ผ่าเห็นอาตมาคุยไปเรื่อยเปื่อย หมอก็ผ่าไปเรื่อย จนกระทั่งบอกหมอว่า เจ็บมากจนชักจะทนไม่ไหวแล้ว หมอก็ "โอ้..ขอโทษครับ สงสัยยาชาจะหมดฤทธิ์" ว่าแล้วก็ฉีดยาชาให้ใหม่

ฉะนั้น...ถ้าอยากจะเลิกกินยาแก้ปวด ก็ต้องเจอกับความปวดมาก ๆ หลังจากนั้นทุกอย่างก็จะเจ็บน้อยไปหมด แล้วก็ไม่ต้องกินยา

ครั้งนี้หมอเขารักษาท่อน้ำตาที่ตัน ด้วยการเอาลวดแหย่เข้าไปในท่อน้ำตา ปลายลวดเป็นช้อนเล็ก ๆ แหย่เข้าไปขูดควานข้างใน ก็ไม่มีอะไรมาก แค่หน้าบวมไปครึ่งหน้าเท่านั้น ญาติโยมก็อย่าเกเรให้มากเหมือนกับอาตมา

เรื่องนี้ต้องบอกว่าเนิ่นนานมาแล้ว ไม่ถึงพันปีก็ใกล้เคียง กรรมเพิ่งจะตามมาทัน สมัยนั้นอยู่ในกองทัพทิเบตรบกับอีกฝ่ายหนึ่ง คือทิเบตเป็นถูโป ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเป็นชนเผ่าเลี้ยงสัตว์เรียกว่าถูเจี๋ย ยิงเกาทัณฑ์ไปโดนเบ้าตาแม่ทัพฝ่ายตรงข้ามเข้าพอดี นี่เป็นเรื่องโกหก..โปรดอย่าเชื่อ...!"

เถรี
13-03-2018, 22:26
"เขาทรมานอยู่นานกว่าจะตาย พอถึงเวลาอาตมาก็โดนทรมานอยู่นานหลายวันหน่อย ก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ

การรบราฆ่าฟันกันในสมัยก่อน ไม่ใช่เรื่องที่น่าตำหนิเหมือนในสมัยนี้ การรบราฆ่าฟันในสมัยก่อนมีวัตถุประสงค์หลายอย่างด้วยกัน ถ้าเป็นกษัตริย์ เป็นธรรมเนียมที่ต้องแสดงออกซึ่งพระราชอำนาจ ถ้าบ้านใดเมืองใดไม่ยอมอ่อนน้อม ก็ต้องไปรบราฆ่าฟันเพื่อที่จะยึดไว้ในขอบขัณฑสีมา ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็คือ เป็น “เทรนด์” เหมือนกับสมัยนี้ที่นาฬิกาต้องยืมเพื่อน...อะไรประมาณนั้น..!

ในเมื่อเป็นเรื่องของยุคสมัยจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าตำหนิ ส่วนพวกบรรดาชนเผ่าเลี้ยงสัตว์อาศัยอยู่ในทุ่งหญ้า ก็ต้องแย่งชิงผืนดินที่อุดมสมบูรณ์เพื่อเลี้ยงสัตว์ของตนเอง ดูแลชนเผ่าของตัวเอง ถ้าตัวเองลำบาก อีกชนเผ่าหนึ่งยึดแหล่งที่อุดมสมบูรณ์อยู่ ก็ต้องเข้าไปรุกรานเพื่อที่จะยึดพื้นที่แทน จึงมีการรบราฆ่าฟันกันเป็นเรื่องปกติ บางทีตัวเองมีทรัพยากรน้อยก็ต้องยกทัพไปรุกรานเขา เพื่อยึดเอาทรัพยากรมาเลี้ยงเผ่าของตนเอง"

เถรี
13-03-2018, 22:41
"เหมือนกับการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ แม่ทัพพม่า ๒ นาย คือ มังมหานรธากับเนเมียวสีหบดีต้องเลี้ยงลูกน้องมาก พวกเบี้ยหวัดผ้าปีอะไรที่ทางกษัตริย์พระราชทานให้ไม่เพียงพอ ก็คิดว่าตีเมืองชายขอบของอโยธยาดีกว่า ถ้าหากว่าได้สักเมืองหนึ่ง ก็จะมีทรัพย์สินตลอดจนเสบียงอาหาร เลี้ยงกองทัพของตัวเองไปหลายเดือน มาตีมะริดก็ได้ ทวายก็ได้ ตะนาวศรีก็ได้ เอ๊ะ...ไม่ยากนี่หว่า ก็เลยต่อด้วยกาญจนบุรี สุพรรณบุรี ไปยันอยุธยาเลย

ในเมื่อเจตนาเพื่อหาทรัพยากรมาเลี้ยงกองทัพของตัวเอง ก็ต้องกวาดไปให้ได้มากที่สุด พอยึดอยุธยาได้จึงขนสมบัติทุกอย่างไป ฉะนั้น...เราจะเห็นว่าเจตนาต่างกัน

สมัยพระเจ้าอลองพญามาตีกรุงศรีอยุธยา ตั้งทัพอยู่ที่วัดหน้าพระเมรุ ไม่แตะอะไรแม้แต่ชิ้นเดียว เพราะว่านั่นเป็นทัพกษัตริย์ มาเพื่อแสดงพระราชอำนาจ ถ้ารบชนะอยุธยาก็จะมีชื่อเสียงเกียรติคุณว่าเป็นกษัตริย์นักรบ มีข้าขอบขัณฑสีมาหลายประเทศ

แต่คราวนี้กองทัพที่มาตีกรุงศรีอยุธยาจนเสียกรุงครั้งที่ ๒ ไม่ใช่ทัพกษัตริย์ แต่เป็นแม่ทัพที่มาหาเสบียงและทรัพย์สมบัติเพื่อเลี้ยงทหารในกองทัพตนเอง ต้องโทษว่าเมืองไทยตอนนั้นอ่อนแอจนเกินไป เขาตีเมืองไหนก็ได้เมืองนั้น เลยลุกลามมาจนถึงเมืองหลวง แล้วก็ได้เมืองหลวงไปด้วย ในเมื่อเขาตีได้ เจตนาของเขาก็คือต้องกอบโกยไปให้มากที่สุด ก็ขนกันเพลินไปเลย"

เถรี
15-03-2018, 09:17
"ตอนนั้นสมบัติที่เขาขนไปไม่ถึงก็เยอะ อาจารย์โมเช่ตอนที่ยังเป็นฤๅษีอยู่ พาอาตมาไปดูหลายแห่ง ที่ถึงเวลาแล้วเกวียนพัง แบกติดตัวไปไม่หมด เขาก็ฝังทิ้งไว้กลางทาง อาจารย์โมเช่ชี้ให้ดูหลายแห่ง บอกว่า “อาจารย์...ถ้ามีลูกศิษย์ที่ไว้ใจได้ อาจารย์บอกเลยนะ ผมจะพามาขุดเอง” อาจารย์โมเช่เป็นคนมีสัจจะมาก จะเอาไปใช้แค่ที่จำเป็นเท่านั้น

มีอยู่ช่วงหนึ่งที่อาจารย์โมเช่ไปทำพลอยที่จันทบุรี ถึงเวลาอดมาก ๆ เข้า เงินทองที่ได้มาลงทุนไปก็ไม่คุ้ม ร่อยหรอลงไป อดมาก ๆ เข้าก็ไปขุดมาขาย ปรากฏว่าส่วนใหญ่ก็เอาแหวน เอากำไลมาชิ้นสองชิ้น ขายพอมีเงินซื้ออาหารแล้ว ก็จ่ายในการทำพลอยต่อเท่านั้น

แต่คราวนี้มีคนที่ช่างสังเกตก็คือ เจ้าของร้านทองที่อาจารย์โมเช่เอาทองโบราณไปขายให้ พอครั้งที่ ๓ เท่านั้น กระซิบบอกลูกสาวเลยว่า จับผู้ชายคนนี้ให้ได้ เขาต้องมีแหล่งแน่นอน ท้ายสุดก็ลงทุน ขนาดยอมมาอยู่กินเป็นภรรยาด้วย เพื่อที่จะให้รู้ว่าขุมทรัพย์ตรงนี้อยู่ที่ไหน แต่อาจารย์โมเช่ถือสัจจะ ไม่บอกแม้แต่ภรรยาตัวเอง ท้ายสุดอยู่ด้วยกัน ๒ ปีไม่ได้ความอะไร ก็เลยเลิกรากันไป"

เถรี
15-03-2018, 09:21
"อาตมาไปดูมา ๒ – ๓ แห่ง ถามอาจารย์โมเช่ว่า รู้ได้อย่างไรว่าใช่ ? เขาบอกว่าประการที่ ๑ นี่เป็นเส้นทางโบราณ ประการที่ ๒ เนินดินพวกนี้ ตั้งแต่เดินมาอาจารย์เคยเจอที่ไหนบ้างไหม ? อาตมาบอกว่าไม่เคยเจอ อาจารย์โมเช่ก็บอกว่า นี่อยู่ ๆ โผล่ขึ้นมา น่าสงสัยไหม ? แล้วทำไมระยะการโผล่ใกล้ไกลไม่เท่ากัน ? ก็เพราะเกวียนแต่ละเล่มแข็งแรงไม่เท่ากัน ถ้าพังตรงไหนเขาก็ฝังทิ้งไว้ตรงนั้น ความจริงจะว่าไปแล้วเป็นตรรกะง่าย ๆ แต่ด้วยความที่อาตมาไม่มีประสบการณ์ และไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ก็เลยไม่รู้ เห็นเป็นเนินดินบางทีก็ฉี่รดอีกต่างหาก..!

ยังไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องไปเอามา เพราะถ้าไปเอามาก็มีอย่างเดียวคือส่งเข้าพิพิธภัณฑ์ แต่นั่นก็ไม่น่าจะใช่งานของอาตมา ฉะนั้น...เจ้าหน้าที่คนไหนอยากได้ก็ไปสืบเอาเองก็แล้วกัน ว่าเส้นทางธุดงค์ของอาตมาผ่านตรงไหนบ้าง เดี๋ยวก็เจอเอง ไม่ใช่ความลับสักหน่อย เพราะว่าอาตมาผ่านไปตรงไหนก็จะบันทึกไว้หมด

เมื่อครู่ที่กล่าวถึงเรื่องของการรบราฆ่าฟันกัน ต้องบอกว่าเป็นความจำเป็นหลายประการด้วยกัน ในเมื่อเป็นความจำเป็นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าตำหนิ"

เถรี
15-03-2018, 22:47
พระอาจารย์สอบถามฝ่ายวัตถุมงคล "ยาจินดามณีมีเหลือไหม ? ...(หมดแล้วค่ะ)... ขายแพงขนาดนั้นยังหมดอีก เม็ดละ ๒๐ บาท แต่ถูกกว่ายาบ้าเยอะนะ...! ยาบ้าเดี๋ยวนี้เม็ดละ ๓๐๐ – ๔๐๐ บาท หาซื้อยากด้วย สมัยก่อนที่อาตมายังวัยรุ่นอยู่ เขาบอกว่าอยากได้ยาม้าให้ไปหาตำรวจ สมัยนี้คงไม่ได้แล้วกระมัง เพราะว่าบ้านเรามีแต่ตำรวจดี ๆ ทั้งนั้น ทำผิดพลาดก็แค่วุฒิภาวะต่ำ ไม่ได้มีเจตนา...!

ตำรายาโบราณของเราผลการรักษาจะมีน้อยลงไปเรื่อย ๆ ดังในเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาที่ว่า ทั้งพืชพรรณว่านยาก็ถอยรส คำว่า ถอยรส ก็คือฤทธิ์ยาน้อยลง เหตุที่น้อยลงเพราะว่าสารอาหาร ธาตุอาหารในดินหมดไป

สมัยอาตมายังเด็ก ๆ ตามหัวไร่ชายนา ไปที่ไหนก็มีสมุนไพรทั้งนั้น โดยเฉพาะอาหารการกินของเราที่ฝรั่งเขาเอาไปทำวิจัย ไม่ว่าจะแกงส้มต้มยำอะไรก็ตาม ส่วนใหญ่แล้วเขาบอกว่าเป็นพืชผักสมุนไพรทั้งสิ้น แม้กระทั่งบาทหลวงลาลูแบร์ที่มาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กรุงศรีอยุธยา ก็ส่งบันทึกกลับไปทางฝรั่งเศส บอกว่าคนไทยรูปร่างเล็กแต่แข็งแรงมาก กินอาหารแต่ผักแต่ปลา ก็แสดงว่าไม่จำเป็นต้องกินนมกินเนย

เพียงแต่สมัยนี้พวกเราไปคล้อยตามวัฒนธรรมการกินของฝรั่ง ส่วนใหญ่ไปกินอาหารพวกนมพวกเนย ซึ่งไม่เหมาะสมกับอากาศบ้านเรา บ้านเขาจำเป็นต้องกินเพราะว่าอากาศหนาวมาก จะได้มีพลังงานเอาไว้ต่อสู้ความหนาว แต่บ้านเราอากาศร้อน กินอะไรเข้าไปก็สะสมหมด กลายเป็นโรคอ้วน เดี๋ยวนี้คนไทยเป็นโรคอ้วนเกิน ๓๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว แปลว่าเดินมา ๑๐ คน อย่างน้อยต้องมีน้ำหนักเกินประมาณ ๔ คน รู้ตัวแล้วก็รีบลดนะ ความอ้วนพามาสารพัดโรคเลย"

เถรี
15-03-2018, 22:58
"ส่วนใหญ่คิดว่าที่หลวงพ่อพูดมาต้องไม่ใช่เราแน่เลย เพราะว่าเราอ้วนกำลังสวย...ใช่ไหม ? พวกอ้วนแล้วสวยนี่ต้องเรียกว่าสิ้นคิด ลดอาหารมื้อเย็นลงครึ่งหนึ่งหรือไม่กินเลยก็ได้ ให้ความสำคัญกับอาหารเช้าให้มากที่สุด ตอนกลางวันกินครึ่งหนึ่งของตอนเช้า ตอนเย็นไม่ต้องกินเลยก็อยู่ได้สบาย

ถามว่าอยู่ได้อย่างไร ? ก็อาตมาก็อยู่มาอย่างนี้ ไม่ว่าจะน้ำปานะอะไร ไม่ได้แตะต้องกับใครเลย นอกจากน้ำร้อนอย่างเดียว ใครซื้อน้ำหวาน ซื้อกาแฟ ซื้อนมมาให้ ก็ส่งต่อให้คนอื่นหมด ด้วยความที่เป็นเด็กบ้านนอก ตั้งแต่เด็กมาของพวกนี้ไม่เคยกิน ก็เลยไม่ได้นึกอยากจะกิน ก็ยังสงสัยอยู่ทุกวันนี้ว่ากาแฟแก้วละ ๘๐ บาท แก้วละ ๑๐๐ บาท รสชาติเป็นอย่างไร ซดเข้าไปทีหนึ่ง ขมจะตาย กินเข้าไปได้อย่างไร ? ก็เลยไม่มีอะไรให้ติดใจ

หลายคนบอกว่าตอนเช้ากินกาแฟกับขนมปังคู่หนึ่ง อ้วนได้อ้วนดี ถามว่ากาแฟคุณใส่ครีมเทียมไปกี่ช้อน ? เขาบอกว่า ๔ ช้อน แบบนั้นอ้วนแน่นอน เพราะว่าครีมเทียมก็คือน้ำมันปาล์ม เขาพ่นน้ำมันปาล์มในอุณหภูมิสูงจนแห้งกลายเป็นผง ก็แปลว่ากินน้ำมันเข้าไป ๔ ช้อนในแต่ละมื้อ แล้วจะผอมอีท่าไหน ?

ถ้ากินกาแฟก็ โน่น...เอสเพรสโซ่ ดำปี๋เลย อย่าไปใส่น้ำตาล อย่าไปใส่ครีม พวกทรีอินวันนี่เลิกไปเลย ของอะไรถ้ากินถูกก็มีประโยชน์ ถ้ากินผิดก็มีโทษ

การค้นพบแต่ละอย่างบางทีเกิดจากสัตว์ อย่างเช่น แพะฝรั่งทะลึ่งไปกินกาแฟ แล้วเจ้าของก็สงสัยว่าทำไมแพะคึกเป็นพิเศษ ก็ลองเอาเม็ดกาแฟไปกินดู เออ...ทำให้นอนไม่หลับจริง ๆ อย่างเรื่องของเหล้า เกิดจากลิงไปรุมกินผลไม้ที่ตกไปในโพรงไม้ น้ำฝนลงไปหมักกลายเป็นเหล้าขึ้นมา พอคนเห็น คนมีปัญญามากกว่า ก็จัดการหมักเองเลย ถึงเวลาสัตว์เริ่มต้นก่อน คนก็ตาม เป็นอะไรที่อนาถมาก แทนที่จะให้สัตว์ตามคน...!"

เถรี
15-03-2018, 23:36
พระอาจารย์กล่าวถามว่า "คำว่า วุฒิภาวะคืออะไร ? วุฒิภาวะต้องบอกว่าเป็นสภาพของจิตใจซึ่งควรจะเจริญขึ้นตามอายุ ปัจจุบันนี้ต่างประเทศเขาทำวิจัยแล้วว่า ถ้าเรามีไอคิวคือความฉลาดอย่างเดียวไปไม่รอด ต้องมีวุฒิภาวะ โดยเฉพาะวุฒิภาวะทางอารมณ์ รู้จักควบคุมกาย วาจา ใจของตนเอง ให้อยู่ในกรอบของศีลของธรรมจึงจะใช้ได้ ต่อไปคำนี้จะเป็น “คำฮิต” อีกคำหนึ่งในสังคมของเรา ก็คือเขาจะว่าใครที่ทำความผิดว่าวุฒิภาวะต่ำ

เนื่องจากว่าผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติบอกว่า ผู้บังคับการจังหวัดกาญจนบุรีไม่ได้ทำความผิดอะไรร้ายแรง นอกจากมีวุฒิภาวะต่ำเท่านั้น แค่แก้ไขสำนวน เปลี่ยนคนผิดให้เป็นคนถูก ไม่ถือว่าเป็นความผิด นอกจากวุฒิภาวะต่ำ แล้วท่านจะรู้ไหมว่าสิ่งที่พูดไปจะทำให้กลายเป็น "ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์" ?

เรื่องทุกอย่างสามารถที่จะปรุงแต่งด้วยการกระทำ ด้วยคำพูด ด้วยใจคิด แต่สิ่งที่แท้จริงก็คือกำลังใจของตน ถ้าใจคิดไม่ดี ไม่ว่าจะพยายามปรุงแต่งการกระทำหรือคำพูดขนาดไหน ท้ายสุดก็จะแสดงความจริงของใจออกมา

ก็แบบเดียวกับที่ญาติโยมไปปฏิบัติธรรมแล้วกราบเรียนหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ว่าตนเองน่าจะบรรลุธรรมแล้ว เพราะว่าสภาพจิตไม่รัก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงเลย หลวงพ่อสดท่านบอกว่า "อีตอแหล" โยมก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง แล้วท่านก็แค่ถามกลับเรียบ ๆ ว่า "ไหนว่าบรรลุธรรมแล้ว ?"

ฉะนั้น...ในเรื่องของกำลังใจเป็นเรื่องที่ปรุงแต่งหลอกลวงไม่ได้ แต่วาจาและกายเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งหลอกลวงกันได้ ซึ่งโบราณมีคำพูดประเภทเจ็บแสบเผ็ดร้อน ที่เขาบอกว่า “หมามันอดกินขี้ไม่ได้หรอก” หืม...ว่าซะเสียหายเลย"

เถรี
15-03-2018, 23:40
"ฉะนั้น...ในส่วนที่เกิดขึ้นในสังคมของเรา ถ้าคนที่มีวุฒิภาวะและปัญญาเพียงพอ ก็จะรู้ว่าสิ่งที่ตนเองกระทำจะกลายเป็นแบบอย่างให้แก่คนอื่นได้ ถ้ามีการลอกเลียนแบบกันในทางที่ผิด ก็จะสร้างความเสียหายให้แก่สังคมร้ายแรงมาก เราจึงมีคำพูดประเภทว่า “บกพร่องโดยสุจริต” มีคำพูดว่า “วุฒิภาวะทางอารมณ์ต่ำ” ซึ่งเรื่องพวกนี้ก็จะกลายเป็นบรรทัดฐานอย่างหนึ่งของสังคม และเป็นข้ออ้างของบุคคลอื่นต่อไป"

เถรี
15-03-2018, 23:52
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเราเองช่วงนี้ก็จะรองานสวดพระคาถาเงินล้านที่ศูนย์ประชุมทีโอที ถนนแจ้งวัฒนะ ในวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๑ รองานทำบุญบ้านเติมบุญ ช่วงวันเสาร์ต้นเดือนพฤษภาคม ถัดไปก็จะเป็นการเป่ายันต์เกราะเพชร วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ในขณะที่โยมรู้สึกว่างานมีน้อย แต่อาตมานี่งานท่วมหัวจนทำไม่ทัน เพราะว่าระยะนี้เขามีการปฏิรูปพระพุทธศาสนา ในการปฏิรูปก็มีปฏิรูปทั้งหกด้าน คือ ด้านการปกครอง ด้านการศาสนศึกษา ด้านการเผยแผ่ ด้านการสาธารณูปการ ด้านการสาธารณสงเคราะห์ และด้านการศึกษาสงเคราะห์

ด้านการปกครองก็จะมีการเก็บข้อมูลของพระภิกษุสามเณรทั่วประเทศ เพื่อที่จะออกสมาร์ทการ์ดควบคุมพระภิกษุสามเณร ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ซ้ำซ้อนกับงานของทางด้านกระทรวงมหาดไทย ต้องเรียกว่าหาเรื่องเปลืองงบฯ โดยใช่เหตุ เพราะว่ากระทรวงมหาดไทยทำบัตรประชาชนให้พระเณรอยู่แล้ว ก็แค่ไปขอเปลี่ยนบัตรประชาชน เปลี่ยนคำนำหน้าชื่อ เมื่อถึงเวลาถ้าสึกหาลาเพศก็ไปเปลี่ยนบัตรใหม่อีกทีหนึ่งก็เท่านั้น ถ้าหากว่าเปลี่ยนบัตรโดยมีเหตุอันสมควรก็ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ถ้าทำบัตรหายก็จ่ายยี่สิบบาท ถ้าเก็บยี่สิบบาทก็ให้เขาไปเถอะ ทางคณะสงฆ์ก็ไม่ต้องแบกข้อมูลให้เหนื่อย นอกจากขอเชื่อมข้อมูลกับทางด้านกระทรวงมหาดไทยก็พอ

แต่ว่าปัจจุบันนี้เขาให้พระสังฆาธิการ คือฝ่ายปกครองทุกระดับส่งประวัติใหม่ล่าสุด พร้อมกับสำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประชาชน สำเนาหนังสือสุทธิ หลังจากนั้นก็จะเก็บประวัติพระและสามเณรลูกวัดต่อไป ซึ่งทางวัดท่าขนุนส่งครบหมดแล้วทั้งวัด เพราะว่าข้อมูลเหล่านี้มีอยู่แล้ว"

เถรี
16-03-2018, 00:00
"ทางด้านการเผยแผ่พุทธศาสนายังไม่ได้ขยับ ก็ไปขยับในเรื่องของงานสาธารณูปการ โดยให้ส่งบัญชีงบเดือน บัญชีงบปี ซึ่งเรื่องนี้ถ้าทำส่งกันจริง ๆ จะถามว่าอ่านไหวไหม ? ตรวจสอบไหวไหม ? เพราะว่าแต่ละวันอย่างพวกกับข้าวกับปลา ข้าวของที่ซื้อ หรือแม้กระทั่งของอาตมาเอง วัสดุก่อสร้างที่ส่งอยู่ทุกวัน จะเป็นหน้าบัญชีจำนวนมหาศาลเลยในแต่ละเดือน ถ้าเราไม่ลงรายละเอียด ลงไปแค่ว่าจ่ายเท่าไรเขาก็จะไม่เชื่อความบริสุทธิ์ใจของเราอีก

แล้วอีกอย่างก็คือ ให้ทุกวัดงดออกอนุโมทนาบัตร ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๑ เพื่อที่จะให้ทางกรมสรรพากรคิดรูปแบบของอนุโมทนาบัตรที่เหมาะสมเสียก่อน โดยหลักการปฏิบัติก็คือต้องมีเงินโอนเข้าบัญชีตามจำนวนเท่านั้น ถึงจะออกอนุโมทนาบัตรให้ได้ เป็นเรื่องที่กำลังสร้างความปวดหัวให้พอ ๆ กับที่ไปต่างประเทศแล้วต้องมีการแสดงว่ามีกล้องถ่ายรูป มีนาฬิกา มีโน้ตบุ๊คอะไรประมาณนั้นแหละ

คนออกระเบียบก็ไม่ได้ดูว่าตัวเองมีปัญญาทำไหม ปัจจุบันนี้จะเดินทางโดยเครื่องบินเขาก็ให้ไปก่อนสองชั่วโมง เพื่อที่จะได้ปฏิบัติตามขั้นตอนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการตรวจสัมภาระ การตรวจสอบที่นั่ง การตรวจสอบหนังสือเดินทาง ปัจจุบันนี้กลายเป็นว่าจะต้องเพิ่มเวลา เพื่อไปยื่นสำแดงว่าพกข้าวของเครื่องใช้ทั้งหลายเหล่านี้ ซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทำได้เฉพาะคนทั่ว ๆ ไปเท่านั้น บรรดาลูกท่านหลานเธอหรือผู้ที่มีเส้นสาย ถึงเวลาก็ให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรหรือเจ้าหน้าที่สนามบินนั่นแหละ พาลัดออกช่องทางพิเศษกันเป็นประจำ ในเมื่อคนเดินทางวันหนึ่งเป็นหมื่น ระยะเวลาในการตรวจสอบต้องมากเท่าไร ? ต้องใช้ผู้คนเพิ่มขึ้นเท่าไร ?"

เถรี
16-03-2018, 00:09
"ฉะนั้น...บางทีบ้านเราก็อยู่ในลักษณะของการคิดอะไรไม่รอบคอบ เพราะว่ามีวุฒิภาวะต่ำ ก็เลยทำให้มีระเบียบบ้า ๆ บอ ๆ แบบนี้ออกมา เดี๋ยวพอคนด่ากันมาก ๆ ก็จะเลิกไปเอง หรือไม่ก็ตัวเองตรวจสอบไม่ไหว พอแถวยาวครบสามกิโลเมตรเมื่อไร ก็คงจะต้องยกเลิกไปโดยอัตโนมัติ

เวลาอาตมาไปต่างประเทศ โน้ตบุ๊คกับกล้องถ่ายรูปนี่ไม่เคยขาดเลย เขาบังคับว่าต้องมีรูปถ่ายสิ่งของชิ้นนั้น ๒ รูป แล้วก็ระบุหมายเลขประจำเครื่อง ต้องบอกว่าหาเรื่องเปล่า ๆ ข้าวของที่เขาจะเอาเข้ามาจำหน่ายจะต้องอยู่ในหีบในห่อที่ไม่ผ่านการแกะ คนเขาถึงจะซื้อ ถ้าหากแกะออกมาตรวจสอบเสียก่อน ใครเขาจะเอาเข้ามาขาย ? ใช่ว่ามือจะใส่นาฬิกาได้ข้างละ ๒๐ เรือน แบบนั้นเจตนาก็ชัดเจนอยู่แล้ว ไม่เป็นไรหรอก...เดี๋ยวฝนฟ้าตกลงมา สภาพสังคมที่เร่าร้อนก็จะเบา ๆ ลงไปหน่อยหนึ่ง

แทนที่จะด่าคนโน้นคนนี้ ก็หันไปด่าเทวดาว่าทำน้ำท่วม ปัจจุบันนี้กรุงเทพฯ ก็แก้ปัญหาน้ำท่วมได้เรียบร้อยแล้ว เพราะว่าไม่มีน้ำท่วมอีก มีแต่น้ำรอระบาย...! เป็นการแก้ปัญหาที่เด็ดขาดมาก"

เถรี
16-03-2018, 00:11
พระอาจารย์กล่าวว่า "สถานการณ์ต่าง ๆ ของบ้านเมืองที่เกิดขึ้นพวกเรายิ่งต้องมีสติสัมปชัญญะให้มาก ๆ ถ้าขืนไปใส่อารมณ์ตามฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก็จะกลายเป็นกำลังใจของเราเสียเอง"

เถรี
16-03-2018, 00:14
พระอาจารย์กล่าวถามว่า "มีใครไปกินกุ้งเผา น้ำปลาหวานหรือยัง ? อยู่ ๆ ความซวยก็มาถึงกุ้งเพราะละครเรื่องเดียว...! เมื่อกลางวันก็มีโยมเอากุ้งเผามาถวาย แต่ขอสารภาพว่าอาตมารับไว้เฉย ๆ ไม่ได้ฉัน เพราะว่าอาหารบางอย่าง ถ้าไม่ได้แบ่งเป็นชิ้นแบ่งเป็นคำที่พอดีมา พวกกุ้งเผาโดยเฉพาะกุ้งทะเล ใช้ทั้งมือทั้งตีนยังกินยากเลย ในเมื่อกินยากก็มีอย่างเดียวก็คือไม่กิน..!"

เถรี
18-03-2018, 00:13
ถาม : (เอางาช้างน้ำให้พระอาจารย์ดู) แท้หรือไม่แท้คะ ดูไม่เป็น ?
ตอบ : กระดูกซี่โครงวัว ไม่รู้จักเลยใช่ไหม ? มักจะโดนเขาแหกตาว่าเป็นงาช้างน้ำบ้าง เป็นขนายบ้าง ซี่โครงซี่สุดท้ายของวัวตรงนี้ เขาจะตัดตรงส่วนที่ติดกับกระดูกสันหลังออกมา เสร็จแล้วก็จะรีบดัดให้ตรงก่อนเท่านั้นเอง

เราจะเห็นว่าโดยปกติงาจะโดนเนื้ออมอยู่ประมาณแค่นี้ เพราะฉะนั้น...ร่องรอยตรงนี้ก็จะต่างกัน จะไม่เหมือนกับโดนตัดตรงซี่โครงแบบนี้ อันนี้โดนหักถึงซี่โครง

ข้ามไปฝั่งลาวเมื่อไรมีทั้งตลาด ตอนหลังฝั่งไทยก็เอามาขายด้วย ข้ามไปแล้วเราลองใช้สามัญสำนึกดูว่า ถ้าเป็นช้างน้ำซึ่งเป็นสัตว์หายากขนาดนั้น ทำไมมีขายทุกร้าน

ถาม : แล้วที่หลวงพ่อบอกว่าดัด เป็นกระดูกดัดได้หรือคะ ?
ตอบ : ตอนฆ่าใหม่ ๆ กระดูกยังอ่อนอยู่ ก็แค่หาของหนัก ๆ ทับไว้ให้ตรงเท่านั้นเอง ถึงเวลาแห้งก็จะแข็งตัวขึ้นมา

ถาม : แล้วชิ้นนี้เป็นเครื่องรางหรือเป็นของครูบาอาจารย์คะ ?
ตอบ : น่าจะเป็นครูบาอาจารย์รุ่นหลังท่านทำขึ้นมา ทำออกมาคล้าย ๆ กับสิงห์หลวงปู่รอด วัดบางน้ำวน แต่ที่เขาหล่อขึ้นมา...ยังใหม่มาก ร่องรอยการหล่อยังใหม่มาก ถ้าหลวงปู่รอด ส่วนใหญ่สิงห์ของท่านเป็นงา เป็นเขา เป็นกระดูก แล้วส่วนมากเลยก็คือแกะจากไม้ขนุน

เถรี
18-03-2018, 00:18
ถาม : ตอนนี้ละครเกี่ยวกับย้อนอดีตกำลังดัง หนูสงสัยว่าจริง ๆ แล้วเราแค่ระลึกชาติได้ หรือว่าเราสามารถไปใช้ชีวิตอยู่ในอดีตได้คะ ?
ตอบ : การไปใช้ชีวิตอยู่ในอดีตเป็นไปไม่ได้ การระลึกชาติเหมือนกับเราดูหนัง อดีตเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว เราเพียงแต่ย้อนอดีตกลับไปดูเท่านั้น ไม่ใช่ว่าจะไปใช้ชีวิตร่วมกับเขาในยุคนั้นได้ เพราะว่าระยะเวลาเลยมาจนกระทั่งไม่รู้ว่านานเท่าไรแล้ว แค่รู้เห็นได้เหมือนดูหนังเท่านั้น

ถาม : เราไปแต่กายเนื้อได้ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ได้...ดูได้เห็นได้เท่านั้น จะยกกายเนื้อจะไปไหนต้องเป็นปัจจุบัน

เถรี
20-03-2018, 08:44
ถาม : หนูขอคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องความฝัน นิมิต เรื่องสมาธิ ช่วงตอนนอน เช่น หนูเปิดวิทยุฟังอยู่ ฟังไปเรื่อย ๆ ก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อฤๅษีท่านสวดมนต์ ขณะนั้นหนูก็สวดตามไปด้วย เช้าเมื่อไรไม่ทราบ มีคนมาปลุก แต่หนูยังได้ยินเสียงหลวงพ่อท่านอยู่ ยังสวดไม่จบบทเลยค่ะ เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจริง แต่ทำไมบางครั้งตอนที่เขาปลุกเรา เสียงจึงไม่มีแล้ว ?
ตอบ : ถ้าสมาธิถึงระดับหนึ่งสามารถรู้เห็นเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ได้ ถ้าเขาปลุกเราออกมา เมื่อสมาธิเคลื่อนก็จะไม่ได้ยิน แต่ถ้าหากสมาธิทรงตัวได้ก็จะได้ยินต่อไป

ถาม : แต่ไม่ใช่ฝันนะคะ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าเป็นอำนาจสมาธิ อำนาจสมาธิเกี่ยวอะไรกับฝันเล่า ?

ถาม : ล่าสุดหนูคาดว่าหนูหลับไปแล้ว หนูฝันว่ากำลังจะตาย ฝันเห็นพระพุทธเจ้ากำลังเสด็จมา เป็นครั้งแรกที่ฝันเห็นท่านในรูปพระสงฆ์ ท่านมาบอกว่าให้ทำสมาธิ ท่านสอนว่าให้หายใจให้ช้าลง ช้าลงจนไม่มีลมหายใจ ปรากฏว่าหนูตื่น และเห็นตัวเองภาวนาอยู่ ?
ตอบ : บางอย่างก็เป็นนิมิต นิมิตเกิดจากสมาธิ แล้วแต่ว่าก่อนนอนของเราสภาพจิตสะอาดแค่ไหน ถ้าสภาพจิตสะอาดพอ นิมิตที่ดี ๆ ต่าง ๆ ก็เกิดขึ้น ถ้าสภาพจิตไม่สะอาด นิมิตก็พาไปทาง รัก โลภ โกรธ หลง

ถาม : วันนั้นก็เล่นเกมก่อนนอน ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นเล่นใหม่ แสดงว่าเล่นจนสมาธิได้ที่แล้วถึงนอน

เถรี
20-03-2018, 08:47
ถาม : ตอนที่เราตั้งใจทำสมาธิ ภาพพระไม่ค่อยชัด แต่พอเราฝันว่ากำลังจะตาย เราจะเห็นภาพพระชัดเจน ?
ตอบ : ตอนทำสมาธิเราตั้งใจทำมากเกินไป ตอนที่ตั้งใจมากเกินไปเหมือนเราจะมองอะไรสักอย่างหนึ่ง มีช่องตรงหน้าแล้วเราก็ยืดคอเลยช่อง ก็มองไม่เห็น ต่ำเกินไปก็ไม่เห็น ต้องพอดี ๆ

ถาม : แต่หลวงพ่อเคยบอกให้จำอารมณ์นั้นมาใช้ ถูกต้องไหมคะ ?
ตอบ : แล้วจำได้ไหม ?

ถาม : ไม่ได้เพราะเป็นความฝันค่ะ ?
ตอบ : เป็นบ่อย ๆ เดี๋ยวก็จำได้เอง

เถรี
20-03-2018, 08:54
ถาม : อาการหลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่ในช่วงของสมาธิหรืออย่างไรคะ ?
ตอบ : เป็นช่วงอุปจารสมาธิ ซึ่งเป็นช่วงที่ความเป็นทิพย์จะเกิดขึ้นพอดี

ถาม : ถ้าสติขาดไปก็จะหลับไปเลยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ใช่...สติขาดก็หลับ สติมากขึ้นก็ไม่หลับ แต่ว่าตัวเองได้นอนพักแล้ว

ถาม : ช่วงนั้นก็จะเกิดเป็นนิมิตใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าพอดีก็อุปจารสมาธิ นิมิตก็เกิดขึ้น เห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ เกินนั้นไปก็ไม่เห็น ต่ำกว่านั้นก็ไม่เห็น

ถาม : แต่สิ่งที่เห็นก็ไม่ใช่ความจริงค่ะ ?
ตอบ : เป็นส่วนของความเป็นทิพย์ ความเป็นทิพย์ย่อมต่างจากความจริง ต่อให้อยู่ที่เดียวกันก็เห็นต่างกัน ความหยาบละเอียดต่างกัน

เถรี
21-03-2018, 22:32
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันก่อนเตือนโยมเรื่องการซื้อรถ ถัดจากนี้ไปสักห้าปี อย่าไปซื้อรถใช้น้ำมันหรือใช้แก๊ส เพราะว่าซื้อมาจะขายไม่ได้ คนจะหันไปเล่นพวกรถไฟฟ้ามากกว่า เพราะฉะนั้น...แนวโน้มบ้านเราไปทางนี้แน่ ๆ ต่างประเทศไม่ว่าจะยุโรปหรือเอเชีย อย่างอินเดียก็ประกาศชัดแล้วว่า จะให้รถใช้น้ำมันหรือใช้แก๊สหมดไปในปีไหน"

เถรี
21-03-2018, 23:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมากำลังรอเขาส่งหลวงพ่อนากไปที่วัด จากที่ดูรูปอาจจะเป็นเพราะว่ายังขัดไม่ทั่ว หลายคนสงสัยว่าทำไมสีท่านออกเป็นทองหมดเลย เหมือนหลวงพ่อทองคำวัดไตรมิตร เป็นสูตรอะไรกันแน่ ? จนทุกวันนี้อาตมาเองก็ยังงง ๆ สูตรนี้ทำช่างประสาทเสียกันเลยนะ ไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิต แต่อาตมาเชื่อพระนี่หว่า..! ท่านบอกแค่ไหนอาตมาก็ใส่แค่นั้น กลายเป็นสูตรที่ไม่มีน้ำหนักให้คำนวณ เพราะท่านบอกว่า “ใส่ลงไปเท่าที่มีอยู่” ตายละวา...ใส่ลงไปเท่าที่มี ...(หัวเราะ)... แล้วเท่าไรวะ ?

แต่ช่างเขาก็ทึ่งว่าแบ่งได้อย่างไรพอดีขนาดนั้น เพราะว่าเขาหลอมสองเบ้า อาตมาก็เหมือนกับเท ๆ ใส่ลงไปเรื่อย แล้วเท่ากันเป๊ะได้อย่างไรก็ไม่รู้ ? เรื่องอย่างนี้ถ้าเป็นคนทั่วไปก็คงจะสงสัย เผอิญอาตมาเจอมาจนกระทั่งเลิกสงสัยไปนานแล้ว ถึงจะเลิกสงสัยแล้วก็ยังรอลุ้นว่า ผลจะออกมาเป็นอย่างไร ? พวกช่างเขาลุ้นมากกว่าอาตมาเยอะ เพราะว่าถ้าเนื้ออ่อน ขัดแต่งไม่ได้นี่ช่างตายเลย..! ...(หัวเราะ)..."

เถรี
21-03-2018, 23:06
ถาม : แบบที่หล่อเป็นเซรามิกหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ตัวหุ้มเป็นเซรามิก เป็นเทคนิคการหล่อที่พัฒนาไปอีกระดับหนึ่ง โดยทั่ว ๆ ไปเขาจะใช้พวกปูนทนไฟพอก นี่ช่างเขาใช้เซรามิกเลย

ถาม : อยากเห็น ?
ตอบ : อาตมาก็อยากเห็นเหมือนกัน ตั้งแต่เห็นรูปนี้สี่ทุ่มแล้วยังไม่ได้นอนเลย มัวแต่นอนยิ้มปลื้มใจ ออกมาสวยอย่างที่ต้องการ นี่ต้องลำบากพระเวรสังฆทาน เพราะว่าปกติเช็ดหลวงพ่อเงินองค์เดียว ตอนนี้เพิ่มหลวงพ่อนากอีกองค์ สององค์นี้อย่างไรก็ต้องเช็ด ไม่อย่างนั้นจะดำ

ถาม : แล้วเนื้อทองคำละคะ ?
ตอบ : หลวงพ่อทองคำไม่ต้อง เนื้อทองคำไม่เปลี่ยนสีอยู่แล้ว เพราะว่านากเป็นเงินสามสิบเปอร์เซ็นต์อย่างไรก็ดำ แต่ของเราองค์นี้เกินสามสิบเปอร์เซ็นต์ก็น่าจะดำง่ายกว่าอีก

เถรี
21-03-2018, 23:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "แจ้งญาติโยมทราบ วันที่ ๕ พฤษภาคมนี้ ครูบาหน่อแก้วฟ้าท่านทำบุญอายุ ๔๓ ปี ใครสะดวกก็ไปโคราช รีบไปก่อนที่จะเป็นจังหวัดใหม่ รู้ล่วงหน้าขนาดนั้นเลยนะ...!

ไปเสิร์ชหาใน Google ว่า "ลานธรรมอรหันตา" จะมีแผนที่ให้ไป พอดีช่วงที่ท่านทำบุญอายุ อาตมาติดสอนกรรมฐานต้นเดือนที่นี่ ก็เลยไม่ได้ไป"

เถรี
21-03-2018, 23:46
พระอาจารย์กล่าวว่า "หน้าอาตมาบวมไปหนึ่งซีก เห็นทุกข์ชัด ๆ ก็ไม่ได้ทุกข์ใจ แต่เรื่องของความทุกข์พระพุทธเจ้าท่านใช้เวลา ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปเป็นอย่างน้อย ถึงจะสามารถรู้เห็นได้อย่างชัดเจนจนสิ้นสงสัย ลองคิดดูว่าแต่ละกัปเกิดจนนับไม่ถ้วน คิดเป็นงบประมาณก็มากจนประมาณไม่ถูก ฉะนั้น ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปนี่นับเป็นราคาไม่ได้ ในเมื่อของดีขนาดนี้มาอยู่ตรงหน้าแล้ว ก็ต้องมีแต่จะดีใจ...ใช่ไหม ?"

เถรี
22-03-2018, 23:23
พระอาจารย์กล่าวว่า "การหล่อหลวงพ่อทองคำที่บอกว่ามีเวลาถวายเงินร่วมหล่ออีกประมาณหนึ่งปี ก็เพราะว่าราว ๆ มาฆบูชาปีหน้าก็หล่อแล้ว เพียงแต่ว่าปีนี้ถ้าปั้นหุ่นเสร็จ ก็จะหล่อเป็นเนื้อเงินก่อน ๑ องค์ เพื่อเอาไปปิดทองให้เขาแห่ทุกปี เนื่องจากเนื้อทองคำอ่อนมาก ถ้าเอาไปแห่เครื่องทรงอาจจะเสียหาย แต่งานเขาใช้คำว่าแห่หลวงพ่อทองคำ ก็เลยต้องหล่อเนื้อเงินองค์หนึ่งแล้วปิดทองให้เขาเอาไปแห่แทน

ฉะนั้น...ใครจะร่วมหล่อถวายเป็นเม็ดเงินก็ได้ แค่ประมาณ ๒๐๐ กิโลกรัมก็พอหล่อแล้ว"

เถรี
22-03-2018, 23:25
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๒๙ เมษายนจะเป็นงานสวดพระคาถาเงินล้าน พวกเราจัดงานใหญ่มาเกือบ ๑๐ ครั้งแล้ว ที่เมื่อครู่ดูกันอยู่ก็คือ จะพิมพ์หนังสือคู่มือสวดพระคาถาเงินล้านอีกรุ่น เพราะว่าของเก่าหมดเกลี้ยงไปแล้ว อะไรที่แจกฟรีหมดเร็วทั้งนั้น

คราวนี้ในเมื่อพิมพ์ใหม่ ก็เอางานทั้งหมดที่ผ่านมาใส่ลงไปด้วย เช่น งานสวดพระคาถาเงินล้านที่เซ็นทรัลเวิลด์ ที่บ้านวิริยบารมี ที่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ความจริงครั้งนี้ทางชมรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา ติดต่อมาให้สวดที่เซ็นทรัลเวสต์เกต แต่ตกลงกันในเรื่องราคาสถานที่ไม่ได้ ในเมื่อตกลงกันไม่ได้ ชมรมโมทนาบุญ เว็บพลังจิต โดยคุณชยาคมน์ ธรรมปรีชา เลยตัดสินใจไปดูที่ TOT

ปรากฏว่าหอประชุมใหญ่ของเขาเพียบพร้อมมาก เครื่องเสียงก็พร้อม สถานที่ก็กว้างขวางพอ แถมยังจัดเลี้ยงได้อีก จึงสรุปว่าไหน ๆ ก็จะต้องจ่ายเงินอยู่แล้ว ก็เอาที่เขาพร้อมดีกว่า ตกลงกันว่าจะสวดพระคาถาเงินล้านกันที่หอประชุม TOT ถนนแจ้งวัฒนะ วันที่ ๒๙ เมษายน ไปให้ทัน ๘ โมงครึ่งนะ ไปช้าเดี๋ยวไม่ได้ของแจก แล้วก็อย่าไปเยอะเกิน ๓,๐๐๐ คน เผื่อที่นั่งจะไม่พอ เอารถไปจอดเท่าไรก็ได้ รถใหญ่ รถมอเตอร์ไซค์ วันนั้นเขายกลานจอดรถให้เราหมดเลย เพราะว่าเป็นวันอาทิตย์"

เถรี
22-03-2018, 23:28
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่เด็ก ๆ มักเข้าใจว่าแม่ต้องไม่ตาย พูดง่าย ๆ ว่าทำอะไรก็ต้องมีแม่เป็นที่พึ่งได้ตลอด ลืมไปว่าแม่ก็เป็นมนุษย์ปกติเหมือนกัน ใครมีลูกต้องสอนลูกให้เข้มแข็ง ทำอะไรได้ด้วยตัวเองแต่เนิ่น ๆ ถ้าอยู่ ๆ ไม่มีแม่ เขาต้องอยู่ได้"

เถรี
23-03-2018, 23:56
ถาม : เขานิมนต์ผมไปเป็นเจ้าอาวาสที่อยุธยาครับ ?
ตอบ : จะเป็นที่ไหนก็ตามอยู่ที่เรา พอไปถึง...อันดับแรกลืมไม่ได้เลยคือบวงสรวงบอกกล่าวก่อน บอกกล่าวอดีตเจ้าอาวาส บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง ไปดูว่าเขามีศาลเจ้าที่อย่างไร ถ้าเขามีแล้วอยู่ถูกทิศก็ไม่ต้องทำใหม่ บอกกล่าวกันตรงนั้นเลย แต่ถ้าไม่ถูกทิศก็ตั้งเพิ่มอีกหลังหนึ่งให้ถูกทิศ อย่าไปรื้อของเก่า เดี๋ยวญาติโยมที่ไม่เข้าใจจะโกรธเอา อยู่ไปจนเขาเชื่อใจแล้วค่อยไปรื้อ

หรือไม่ก็ทำอย่างผมก็ได้ สร้างศาลเจ้าที่หลังใหญ่เป็นกุฏิไปเลย ถึงเวลาก็ขอให้พระอยู่ด้วย ตั้งโต๊ะหมู่บูชาไว้ในนั้น เป็นที่รู้กันว่าถ้าเรากราบพระก็คือแสดงความเคารพเจ้าที่ท่านด้วย ผมไปไหนผมก็ใช้วิธีนี้ สร้างหลังใหญ่ ๆ ให้พระอยู่ได้ หลวงพ่อท่านบอกผมก็เลยทำ ท่านเคยทำมาแล้ว ท่านว่าได้ประโยชน์ดี ไม่เสียพื้นที่ด้วย

เรื่องของศาลอยู่ที่เราชอบ แต่ให้อยู่ในทิศที่ถูกต้องของวัด ของพื้นที่วัด คราวนี้ผมสร้างเพื่อที่จะตั้งโต๊ะหมู่ด้วย ก็ต้องให้พระหันทิศตะวันออก แค่บอกกล่าวว่าศาลหลังนี้ตั้งให้เพื่อแสดงความเคารพท่าน แต่ขออนุญาตให้พระอยู่ด้วย จะพระพุทธหรือพระสงฆ์ก็ขออยู่ด้วย ทำเป็นประเภทที่เราไปนั่งกรรมฐานหรืออะไรก็ได้ ผมให้ทำป้ายติดไว้ว่าศาลเจ้าที่ ไปอยู่มาหลายวัดส่วนใหญ่ผมจะทำอย่างนั้น ถึงเวลาก็บอกกล่าว ทำเสร็จก็บวงสรวงใหญ่

เถรี
24-03-2018, 00:33
ถาม : วัดที่ผมจะไปอยู่มีพระ ๒ รูป
ตอบ : วัดท่าขนุนตอนนี้มีพระอยู่ ๓๐ กว่ารูป เราค่อย ๆ ทำให้จำนวนมากขึ้นได้ ตอนที่ผมอยู่ไปใหม่ ๆ แล้วเข้มงวดมาก เจ้าคณะจังหวัดท่านเตือนว่า "ท่านเล็ก...คุณเข้มงวดอย่างนี้ เดี๋ยวก็ได้อยู่คนเดียว" ปรากฏว่าไม่จริง พอเราเข้มงวดเข้าจริง ๆ พ่อแม่เขาเห็นว่าเราเอาลูกเขาอยู่ ก็ส่งมาบวชกันเยอะแยะเลย

มีอยู่ปีหนึ่ง เฉพาะพระบวชใหม่ในพรรษามี ๓๖ รูปเฉพาะพระใหม่ในพรรษานั้นอย่างเดียว ถ้าหากว่าผิดระเบียบวัดนี่ผมไล่ออกเลย มีตักเตือน ภาคทัณฑ์ ลงโทษ ว่ากันตามลำดับเลย เจ้าคณะจังหวัดตอนแรกท่านกลัวว่าผมเข้มงวดมาก เดี๋ยวจะไม่มีใครอยู่ด้วย

โดยเฉพาะพระเก่า ๆ ที่อยู่มาก่อนเรา แล้วทำไม่ดีไม่งามเอาไว้ ผมขอให้ออกหมด ไปถึงก็ถามเลยว่าอยากจะสึกหรืออยากจะอยู่ ? ถ้าอยากจะอยู่ให้ย้ายไปอยู่ที่อื่น ถ้าอยากจะสึกเดี๋ยวผมสึกให้ ไม่มีการออมชอมมากกว่านี้ เจอไป ๒-๓ ราย ที่เหลือเรียบเป็นผ้าพับไว้เลย

มีอย่างหนึ่งที่ทำอย่างหลวงพ่อไม่ได้ คือพระบวชใหม่ขอให้อยู่ ๓ พรรษา สมัยที่หลวงพ่อท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดบางนมโคอยู่ ๖ ปี ที่บวชกับท่านต้องอยู่ ๓ พรรษา ไม่อย่างนั้นท่านไม่รับบวช สมัยนี้คนมีเวลาน้อย เลยทำแบบนั้นไม่ได้

ถาม : ตอนท่านมาเป็นเจ้าอาวาสที่ท่าซุงละครับ ?
ตอบ : ที่วัดท่าซุงนี่แล้วแต่โยม ไปก็บวชให้ จะสึกเมื่อไรก็มาบอก ตั้งแต่ผมอยู่วัดท่าซุงมาทั้งสมัยฆราวาสและเป็นพระ รวม ๑๘ ปี เห็นพระไปขอสึก หลวงพ่อไม่เคยห้ามเลย แม้กระทั่งหลวงพี่ชัยศรีที่คิดว่าจะเป็นองค์แทนหลวงพ่อ ไปขอสึกท่านก็ให้สึกหน้าตาเฉย

เถรี
25-03-2018, 08:32
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดี๋ยวนี้ใบอนุโมทนาบัตรราคาท้องตลาดเฉลี่ยใบละ ๑๐ บาท ถ้าใครทำบุญ ๑๐ บาทแล้วขอใบอนุโมทนาบัตรนี่เท่าทุนเลย ไม่ได้สักบาท บางเล่มแพงกว่านี้อีก เพราะว่าพิมพ์เป็นกระดาษแข็ง เห็นราคาที่เขาวางขายแต่ละเล่มแล้วสะดุ้ง"

ถาม : เมื่อก่อนผมทำบุญกับหลวงพ่อวัดท่าซุง ผมเก็บใบอนุโมทนาบัตรไว้หมด
ตอบ : ผมก็เก็บเอาไว้ คำสั่งอะไรที่ท่านมีถึงผม ผมเก็บไว้หมด เพราะถือว่าเป็นลายมือครูบาอาจารย์ มีคำสั่งอยู่ฉบับหนึ่งที่หลวงตาวัชรชัยเหงื่อแตกพลั่กเลย มีคำสั่งว่า "เรียกพระใบฎีกาประทีป พระวัชรชัย มาพบผมที่หน้าตึกด่วน" ผมก็ไปตามตัวมา พี่วัชรชัยนี่ประเภทตูดร้อน เดินให้พล่านเลย

"รู้ไหมวะว่าหลวงพ่อเรียกเรื่องอะไร ?"
“ไม่รู้ครับ ท่านเขียนมาแค่นี้”


ปรากฏว่าไปนั่งรอ พอหลวงพ่อออกมาก็ “เฮ้ย..เอ็งมาทำอะไร ?” หลวงพี่วัชรชัยถอนหายใจโล่งเลย ก็หันมาทางผม ผมบอกก็ว่า

"หลวงพ่อเขียนว่าพระวัชรชัยครับ"
“ไม่ใช่...ไอ้ที่ดูแลเรื่องประปาน่ะ”
“อ๋อ นั่นพระธวัชชัยครับ”
“เออ ๆ นั่นแหละ”


เล่นเอาหลวงตาเดินพล่านอยู่เป็นชั่วโมง สงสัยว่ากูทำผิดอะไรวะ ? ธวัชชัยกับวัชรชัย หลวงพ่อเขียนวัชรชัยมาตรง ๆ ท่านเขียนให้ตามใคร ผมก็ตามคนนั้นแหละ

เถรี
25-03-2018, 08:37
ถาม : ตอนนี้จะดึงกำลังใจแม่ได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : บอกแม่ว่าถ้าแม่ไม่พิจารณาร่างกายจริง ๆ ก็จะทรมานไปเรื่อยอย่างนั้นแหละ ต้องพิจารณาให้เห็นจริง ๆ ว่าไม่ใช่ของเรา คนตั้งใจจะไปพระนิพพานแต่ไม่ยอมตัดร่างกาย ก็ต้องทนทรมานไปจนกว่าที่จะตัดได้

เถรี
25-03-2018, 08:42
มีเด็กนอนงีบอยู่ข้างหลังห้อง "นอนหลับสบายแล้วใช่ไหม ? หลายคนเขาไม่รู้ว่า ทำไมเวลาไปวัดหรือไปที่ปฏิบัติธรรมแล้วอยากนอน ? ก็เพราะว่าเย็น เย็นสบายแล้วอยากนอน

ตัวผมเองก็ไม่รู้ แต่ว่าจริง ๆ นั่นคือการที่เขาสัมผัสได้ถึงกระแสเย็นที่มีอยู่แถวนั้น อยู่ที่อื่นแล้วร้อน พอเข้าไปอยู่ในเขตกระแสเย็นก็หลับดีกว่า สมัยเด็ก ๆ ผมก็ไม่รู้หรอก ไปวัดก็นอนประจำ โดยเฉพาะกระดานไม้ที่เพิ่งถูใหม่ ๆ ลงไปกลิ้งเลย เย็นสบายอย่าบอกใคร"

เถรี
25-03-2018, 08:56
ถาม : ตอนนี้พระอาจารย์ส่งเรียนกี่รูปครับ ?
ตอบ : ปริญญาเอก ๓ ปริญญาโท ๙ ปริญญาตรี ๑๑ ระดับประกาศนียบัตร ๖ บาลีอีก ๘

ถ้าท่านกลับไปวัดพร้อม ๆ กัน จะหากุฏิพักได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ...(หัวเราะ)...

เถรี
25-03-2018, 09:00
ถาม : ท่านสิริมา น้องสาวของท่านปู่ชีวกโกมารภัจจ์ ท่านเป็นพระโสดาบัน แล้วท่านก็อยู่ในอาชีพนั้นต่อไป ผมมองเห็นอยู่สองมุม มุมหนึ่งท่านเป็นพระอริยเจ้า แล้วเราเป็นใคร จะไปยอมรับกฎของกรรมได้อย่างนั้น อีกมุมหนึ่งคือ พระอริยเจ้ายังโดนขนาดนั้น แล้วเราเป็นใคร จะไปหลีกเลี่่ยงได้ ?
ตอบ : แล้วอย่างไร ? ก็ไม่มีอะไรแปลก พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราเชื่อกรรมอยู่แล้ว ในเมื่อสอนให้เราเชื่อกรรม ถึงเวลาเป็นอย่างนั้นก็แค่เป็นไปตามกรรมก็เท่านั้นเอง ไม่เห็นว่ามีอะไรแปลก

เถรี
25-03-2018, 09:04
ถาม : ผมปฏิบัติมาเป็นสิบปีแล้ว แต่ไม่ก้าวหน้าเลย กาย วาจา ใจ ก็เหมือนเดิมอยู่ ข้อสอบมีแต่จะหนักขึ้น ๆ ?
ตอบ : ขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของตัวเองให้เป็นลูกบิลเลียด ไม่ใช่ลงไปก็ตึ้ง..! กองอยู่ตรงนั้น ประเภทสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ไปทางไหนก็กระแทกเขาหรือโดนเขากระแทก เกลาให้กลมให้ได้สิ เคยเห็นคนเมาดิบไหม ? อยู่กับคนเมาได้สบาย ไม่เห็นจะต้องเมาไปด้วยเลย

ถาม : ชาตินี้ผมคงเอาดีไม่ได้ ต้องสร้างสมบุญอย่างไรชาติหน้าเราจะมีปัญญา ?
ตอบ : ตั้งตาตั้งตาปฏิบัติเท่านั้น ทำสมาธิให้มากไว้ เกิดใหม่จะฉลาดเอง

เถรี
25-03-2018, 09:10
ถาม : ทำบุญโลงศพได้อานิสงส์อย่างไรครับ ?
ตอบ : ทำบุญโลงศพได้อานิสงส์มรณานุสติ ถ้าทำเป็นไปยันพระนิพพานเลย

เถรี
25-03-2018, 09:20
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนไปตรวจวัด ตรวจประเมินว่าเขาบริหารได้ผ่านเกณฑ์หรือเปล่า ? ไปถึงสำนักสงฆ์พรหมรังสี ไอ้พิทบูลก็วิ่งรี่เข้ามาเลย มาถึงก็เลีย ๆ ๆ เจ้าของก็ตกใจบอกว่า "ตัวนี้มันดุมากเลยนะครับ" แล้วเขาเห่าก็แสดงความดุด้วยการหันไปกรรโชกใส่เจ้าของ ...(หัวเราะ)..."

เถรี
25-03-2018, 09:30
พระอาจารย์กล่าวว่า "แบบหลวงพ่อทองคำเมื่อปั้นเสร็จแล้ว จะหล่อเนื้อเงินก่อน ๑ องค์ เพราะคุยกับทางเทศบาลไว้ว่า เมื่อสร้างเสร็จจะมีการสมโภชด้วยการแห่ทุกปี ถ้าเอาหลวงพ่อทองคำไปแห่เลย เดี๋ยวเครื่องทรงพังบรรลัยหมด ก็เลยว่าจะหล่อเป็นเนื้อเงินหนึ่งองค์ แล้วปิดทองให้เขาไปแห่แทน

ที่แน่ ๆ ก็คือ หล่อเนื้อเงินแล้วน้ำหนักเท่าไรคูณสองไปจะเป็นน้ำหนักทองคำ จะเป็นอะไรที่แน่นอนมาก เพราะว่าเป็นการคำนวณที่ง่ายที่สุด

ฉะนั้น...ถ้าใครจะถวายเม็ดเงินร่วมหล่อก็ร่วมบุญมาได้เลย เพราะว่ามีเวลาไม่กี่เดือน ดีไม่ดีก็จะหล่อองค์เงินในช่วง ๔-๕ เดือนข้างหน้านี้แหละ"

เถรี
26-03-2018, 09:28
พระอาจารย์กล่าวว่า “ใครที่จองบาตรน้ำมนต์ไม่ทัน ก็เอาบาตรเงินล้านไปแทนก็แล้วกันนะ ราคาต่างกันเยอะดี”

เถรี
26-03-2018, 09:29
พระอาจารย์กล่าวว่า “โบราณท่านว่า พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง แปลว่า เงียบไว้ราคาเท่ากับทองทั้งตำลึง พูดมากแล้วมีราคาแค่นิดเดียว”

เถรี
26-03-2018, 23:54
ถาม : เพื่อนผมจะสร้างโบสถ์ปีนี้ เคยได้ยินพระอาจารย์บอกว่าให้เอาวันศุกร์ ๙ ค่ำ หรือวันเสาร์ ๘ ค่ำ อยากจะทราบว่าจะใช้วันเสาร์ ๕ เดือนพฤษภาคมนี้จะได้ไหมครับ ?
ตอบ : แล้วทำไมไม่รอฤกษ์พรหมประสิทธิ์ ?

ถาม : เร็วนิดช้าไปหน่อยครับผม ?
ตอบ : จริง ๆ จะใช้ฤกษ์อันไหนก็ได้ แต่ถ้าใช้ฤกษ์ตรงก็ต้อง ศุกร์ ๙ ค่ำ เสาร์ ๘ ค่ำ

ถาม : เวลาละครับ ?
ตอบ : เวลาไม่จำกัด

ถาม : วันนั้นต้องทำอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : บวงสรวงบอกกล่าวขออนุญาตสร้าง ขออย่าให้มีอุปสรรค ขอให้งานสำเร็จโดยสะดวกก็ว่าไปเถอะ

เถรี
27-03-2018, 00:08
ถาม : หนูเพิ่งมาฝึกมโนมยิทธิ ปกติเจริญสติเคลื่อนไหวแบบสายหลวงพ่อเทียน พอปฏิบัติแบบมโนมยิทธิ มีคนบอกให้นึกถึงหน้าพระ หลวงพ่อฤๅษี แล้วก็ นะมะพะธะ พุทโธ พอหนูทำไป หนูทำสมาธิไม่ได้เลย เดี๋ยวก็จิตแวบออกไป ?
ตอบ : (เคลื่อนมือ ๑๔ ท่า) ให้พระอยู่ตรงนี้ ให้อยู่ตรงนี้ ตรงนี้ ฯลฯ แค่ย้ายที่พระเท่านั้นเอง แค่เปลี่ยนพระไปเป็นพระเคลื่อนไหว

ถาม : ไม่จำเป็นต้องหลับตา ?
ตอบ : ไม่จำเป็น ถึงเวลาเราก็นึกว่าหลวงพ่อท่านอยู่ตรงนี้ ขึ้นมานี่ ๆ ตรงนี้ ไล่ไปเรื่อย ๑๔ จังหวะก็ ๑๔ องค์แล้ว

ถาม : ปกติเขาให้แค่รู้ อันนี้ก็เป็นการเพ่ง ?
ตอบ : เราก็แค่นึกว่ามีพระอยู่ การเคลื่อนไหวก็รู้ด้วย ขณะเดียวกันก็กำหนดภาพพระไปด้วย ไม่จำเป็นต้องหลับตา อย่าไปหลับตาและอย่าไปเอาความชัด แค่ให้รู้สึกว่ามีพระอยู่กับการเคลื่อนไหวก็พอ

การปฏิบัติทุกสายในประเทศไทยสามารถยำใหญ่รวมกันได้ อยู่ที่ว่าเราเก่งจริงหรือเปล่าเท่านั้นเอง

เถรี
27-03-2018, 23:04
พระอาจารย์ให้โอวาทกับพระลูกศิษย์ "บางอย่างต้องใช้เวลา ท่านตั๊กม้อต้องไปเข้าสมาธิอยู่ ๙ ปี เพื่อรอเวลาที่เหมาะสม"

เถรี
27-03-2018, 23:10
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเสียบ้างชีวิตจะง่ายขึ้น รู้เห็นแล้วไปขัดคอเขาทุกเรื่อง ชีวิตจะอยู่ยาก"

เถรี
27-03-2018, 23:18
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลักการปฏิบัติต่าง ๆ แม้แต่กฎหมาย ส่วนหนึ่งมาจากมโนธรรม คือ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเราเอง ในเมื่อตั้งเป็นกฎเกณฑ์ขึ้นมา ก็แปลว่าในความเห็นของคนส่วนใหญ่เห็นว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดี ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวม ก็เป็นกฎระเบียบ ท้ายที่สุดก็กลายเป็นกฎหมายมหาชน (มีกฎหมายเอกชนด้วย)

อันนี้กฎหมายมหาชน ก็คือรัฐปฏิบัติต่อประชาชนในประเทศ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามในชีวิต จะเป็นพระเป็นฆราวาส ถ้าเรายึดถือความถูกต้องยึดถือกฎหมายเป็นหลัก ก็ไม่ต้องกลัวใคร

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า แม้พระองค์ท่านอยู่ในหมู่ท้าวมหาพรหมก็ดี ในหมู่เทวดาก็ดี ในหมู่พระเจ้าจักรพรรดิ ในหมู่พราหมณ์มหาศาล พระองค์ท่านไม่รู้สึกว่ามีอะไรต้องหวั่นเกรง นั่นคือความมั่นใจในความดีของพระองค์ท่านเอง คราวนี้หลักที่เรายึดอยู่คือศีลธรรม ถ้าเป็นของพระก็คือธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า หลังจากนั้นคือกฎหมายบ้านเมือง แล้วก็จารีตประเพณี

จารีตประเพณีบางอย่างดูถูกไม่ได้ เพราะว่าเท่ากับเป็นกฎหมายท้องถิ่น ที่นั้นเขายึดถืออย่างนั้น เราเข้าไปทำผิดก็กลายเป็นผิดจารีต ผิดประเพณี ซึ่งก็เหมือนกับผิดกฎหมายท้องถิ่นนั้น ๆ

ฉะนั้น...ถ้าหากว่าเรายึดตรงหลักของศีลธรรม หลักของกฎหมายบ้านเมือง หลักของจารีตประเพณีเอาไว้ ก็ไม่ต้องไปกลัวใคร เพราะว่าเรายืนอยู่ในฝ่ายถูก ต่อให้เหลือตัวคนเดียวในบริเวณนั้น แล้วคนอื่นเห็นผิดเป็นชอบทั้งหมด เราก็ยังมีคำตอบแก่ตัวเราเองว่าเราได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว"

เถรี
27-03-2018, 23:21
"เราจะเห็นว่าน้องแบม (นางสาวปณิดา ยศปัญญา) เป็นนักศึกษา แต่การรู้ผิดชอบชั่วดีดูเหมือนจะมีมากกว่าครูบาอาจารย์ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ ครูบาอาจารย์รู้ผิดชอบชั่วดีมากกว่า แต่ก็รู้จักรักษาตัวรอดมากกว่าด้วย ส่วนน้องแบมนั่นประเภทวิ่งชนตอเลย ซึ่งก็มีผลอยู่ ๒ อย่างคือ ถ้าหัวไม่แตก ตอก็หัก ครูบาอาจารย์ท่านรู้ว่า โอกาสที่วิ่งชนตอแล้วตอจะหักมีน้อย ครูจึงต้องเอาตัวรอดก่อน แต่ปรากฏว่าสังคมที่เอาความถูกต้องเป็นใหญ่ได้ด่าครูจมดินไปแล้ว

ฝรั่งหลายคนมาบ้านเรา แล้วไม่เข้าใจจารีตประเพณีของเรา ถึงเวลาไปนั่งตักพระพุทธรูปบ้าง ไปขี่คอแล้วถ่ายรูปบ้าง คนไทยรับไม่ได้จะโดน "ตื้บ" เอา"

เถรี
27-03-2018, 23:28
พระอาจารย์กล่าวถึงสื่อในปัจจุบันว่า "ข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีต้องเสียเงิน สันดานคนเราไม่ค่อยชอบเรื่องดี ๆ เรื่องที่ดีไม่ค่อยจะฟังกัน"

เถรี
28-03-2018, 00:07
ถาม : ที่จะหล่อหลวงพ่อเงิน ถ้าจะถวายเป็นสร้อยเงินได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้..แต่ต้องดูดี ๆ ด้วยนะ เพราะว่าสมัยนี้มีสเตนเลสชุบเงิน เอามาหลอมแล้วไม่ละลาย

เถรี
28-03-2018, 00:13
พระอาจารย์ให้โอวาท "ในเรื่องของความเจ็บป่วย จะหนักหนาเพียงใดก็ตาม สำคัญที่สุดก็คือเรื่องของกำลังใจ ถ้ากำลังใจทรงตัวก็ไม่มีอะไรให้หวั่นไหว"

เถรี
28-03-2018, 21:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมส่วนใหญ่เข้าวัดสร้างกุศลปฏิบัติธรรมมาหลายปีแล้ว สิ่งหนึ่งที่ต้องคอยระมัดระวังก็คือ ต้องสังเกตว่าการปฏิบัติที่ผ่านมา กาย วาจา ใจ ของเราดีขึ้นหรือไม่ ? ถ้าไม่รู้จักสังเกตตรงนี้จะหาความก้าวหน้าไม่ได้เลย

คราวนี้การสังเกตก็ต้องเป็นไปโดยไม่มีอคติ ก็คือไม่เข้าข้างตัวเอง พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า อัตตนา โจทยัตตานัง เราต้องกล่าวโทษโจทย์ตนเองไว้เสมอ โดยเฉพาะสิ่งต่าง ๆ สถานการณ์ต่าง ๆ รอบข้างที่เกิดขึ้น ถ้าเปรียบไปแล้วก็คือหินลับมีด กระทบกระทั่งกันมากครั้งเท่าไร ก็มีแต่มีดจะแหลมคมขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่กระทบเมื่อไรมีดก็บิ่นก็งอ เพราะเท่ากับว่าไม่สามารถที่จะใช้การอะไรได้เลย

ฉะนั้น...ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา ถ้าคนอื่นยังมีข้อตำหนิเราอยู่ แปลว่าสิ่งที่เราทำนั้นยังไม่ดีจริง ถ้าดีจริงก็ย่อมหาข้อตำหนิไม่ได้ แต่ถ้าเขายังหาข้อตำหนิได้แล้วเราดีจริง ก็ต้องดูว่าตัวเราหวั่นไหวหรือไม่ ? เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้คือโลกธรรม เป็นสิ่งธรรมดาในโลก มีลาภก็มีเสื่อมลาภ มียศก็มีเสื่อมยศ มีสรรเสริญก็มีนินทา มีสุขก็มีทุกข์

ถ้าดีจริงแต่ยังหวั่นไหวอยู่ ก็คือเราดีแค่กาย ดีแค่วาจาท่านั้น ใจยังไม่ดีพอ แต่ถ้าไม่ดีจริง ก็แปลว่าต้องขัดเกลาทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจของเรา พูดง่าย ๆ ว่าแต่ละชั่วโมงแต่ละนาทีที่ผ่านไป เราต้องก้าวเข้าไปสู่ความดียิ่ง ๆ ขึ้นไป

ดังนั้น...การพิจารณาของพระภิกษุสามเณรถึงมีกล่าวไว้ว่า กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่อีก เราต้องทำกาย วาจา ใจ ทั้งหลายเหล่านั้นให้ได้ แม้ว่าจะเป็นการพิจารณาของพระของเณร แต่ถ้าเราเอามาใช้งานด้วย ก็ไม่น่าจะผิดแผกแตกต่างไปสักเท่าไร

เรื่องพวกนี้ไม่มีใครเตือนเราได้ นอกจากตัวเราเอง เพราะว่าตัวเรามักจะมีตัวกูของกูเป็นใหญ่ คนอื่นมาเตือนถ้าผิดจังหวะ ก็อาจจะโดนเราตอกหน้าหงายกลับไป การเห็นโทษของตัวเองเป็นเรื่องที่ยากมาก โบราณท่านถึงบอกว่า โทษคนอื่นมองเห็นเป็นภูเขา โทษของเรามองเห็นเท่าเส้นขน"

เถรี
28-03-2018, 22:28
ถาม : การจะไปพระนิพพานต้องได้วิปัสสนาญาณ ๙ ครบ ถูกไหมคะ ?
ตอบ : ขอให้ได้นิพพิทาญาณกับสังขารุเปกขาญาณก็เพียงพอแล้ว เพียงแต่ว่าก่อนที่จะถึงตรงจุดนั้น ส่วนใหญ่ก็ต้องผ่านอย่างอื่นมาแล้ว

เถรี
28-03-2018, 22:29
ถาม : การที่คนเรามีบุคลิกคล้ายกันบอกอะไรได้บ้าง ?
ตอบ : บุญกรรมที่สร้างมาใกล้เคียงกัน

เถรี
28-03-2018, 22:57
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระมหาจุมพลท่านจบเปรียญธรรม ๙ ประโยค แล้วไปเรียนต่อ ท่านบอกว่า “เพิ่งจะรู้ว่าตัวเป็นกบในกะลา” ปกติทางพระเราจบประโยค ๙ ถือว่าสูงสุดแล้ว แต่ปรากฏว่ารู้เรื่องทางโลกนิดเดียว ไปเรียนกับเขาไม่รู้เรื่องเลย

ส่วนใหญ่แล้วพระเราที่เรียนบาลีต้องการจะเพิ่มวุฒิ จากเดิมที่เขาให้เทียบปริญญาตรี ก็จะปรับเป็นปริญญาโทหรือปริญญาเอก แล้วทางสกอ. และกระทรวงศึกษาธิการ ก็กำหนดว่าจะต้องเรียนอะไรเพิ่มบ้าง ซึ่งวิชาทั้งหลายเหล่านั้น ส่วนใหญ่แล้วพระเณรไม่เคยเจอมาเลย โดยเฉพาะท่านที่จบเปรียญธรรม ๙ ประโยค ก็มักจะเรียนตั้งแต่ตอนเป็นสามเณร ทำให้รู้วิชาสามัญน้อยมาก ไปเจอระบบการเรียน การคิด การเก็บคะแนนแบบใหม่ ๆ ก็มักจะไปกันไม่ค่อยเป็น

อาตมาเองมีเพื่อนร่วมรุ่นที่เป็นเปรียญธรรม ๙ ประโยค มาเรียนปริญญาโทปริญญาเอกด้วย ก็ต้องช่วยอนุเคราะห์สงเคราะห์กันไปตามกำลัง แต่เพื่อนบางท่านก็ต้องบอกว่าหัวดีมาก อย่างพระมหากังวาล ธีรธฺมโม เปรียญธรรม ๙ ประโยค วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ตอนท่านเรียนโทเรียนเอก มีแนวคิดที่ชัดเจนมาก ทำวิทยานิพนธ์ออกมาชนิดเป็นหลักเป็นฐาน อวดคนอื่นได้ไม่อายใคร

แต่ว่าบางท่านกรอบแนวคิดไปโดนจำกัดอยู่ตั้งแต่สมัยท่องบาลี ก็เลยทำให้แนวคิดไม่ชัดเจน เพื่อนฝูงก็ต้องช่วยกัน มาติวเพิ่มเติมให้ ต้องใช้ความพยายาม ใช้เวลาในการเรียน มากกว่าคนอื่นเขา"

เถรี
30-03-2018, 00:41
ถาม : มีคนจะขายที่ดินให้กับเจ้าของยาสีฟันดอกบัวคู่ ร้อยกว่าไร่ค่ะ อีก ๑ อาทิตย์ ดิฉันจะได้ค่านายหน้าไหมคะ ?
ตอบ : ไปนั่งภาวนาคาถาเงินล้าน มีเวลาตั้งอาทิตย์หนึ่ง

ถาม : อาทิตย์หน้าจะได้ไหมคะ ?
ตอบ : ทำ...ถ้าไม่ทำ มาถามอยู่ก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ ถ้าทำโอกาสก็ยังมี

เถรี
30-03-2018, 22:20
ถาม : ท่านที่เป็นเทวดาท่านไม่มีลมหายใจ เวลาท่านจะปฏิบัติภาวนา ท่านจะทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : เทวดาไม่จำเป็นต้องภาวนา เพราะอารมณ์ใจแต่ละชั้นท่านทรงตัวอยู่แล้ว เพียงแต่พยายามหากุศลมาเสริมหรือว่าใช้ปัญญาเพิ่มขึ้นเพื่อจะก้าวไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่า

ถาม : กุศลที่จะหามาเสริมได้ เช่นอะไรบ้างครับ ?
ตอบ : มีโอกาสก็สวดมนต์ มีโอกาสก็ไหว้พระ มีโอกาสก็ทำบุญ มีโอกาสก็ฟังเทศน์ เป็นต้น

เถรี
30-03-2018, 22:25
ถาม : ถ้าดวงจิตดวงเดียวกัน มีความตั้งใจเท่ากัน สร้างกุศลในฐานะที่เป็นเทวดา สร้างกุศลในฐานะที่เป็นมนุษย์ ที่เหนือจากการภาวนา อย่างนี้มนุษย์จะได้บุญบารมีหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่แน่...สำคัญแต่ว่าถูกกาละถูกเทศะหรือไม่ ถ้าสมมติว่ามนุษย์สร้างกุศลอยู่ในช่วงที่โลกว่างจากพระพุทธศาสนา ทำให้ตายก็ไม่ได้อะไรเท่าไรหรอก

เถรี
30-03-2018, 22:26
ถาม : ท่านที่เป็นเทวดา ท่านจะปฏิบัติกรรมฐานในกองอานาปานสติ สามารถเจริญได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ท่านสามารถยึดในอนุสติ ๑๐ ได้ ยกเว้นอานาปานสติ ส่วนกรรมฐานกองอื่น ๆ ส่วนใหญ่แล้วถ้าไม่มีอานาปานสติประกอบ แม้แต่คนเราก็ทรงฌานไม่ได้

เถรี
30-03-2018, 22:29
ถาม : เคยได้ยินมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า ไม่สนับสนุนให้ใฝ่ในการทำอุปจารสมาธิเกี่ยวกับเรื่องคิด ถ้าเราตั้งใจในการทำจิตให้ผ่องใสได้มากที่สุด แต่เราก็ไม่รู้ว่าเป็นสมาธิขั้นไหน เราต้องคิดอย่างไรครับ ?
ตอบ : แล้วทำไมต้องคิด ? ทำได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น

เถรี
30-03-2018, 22:33
ถาม : เวลาที่เราอุทิศบุญกุศลแบบที่เราเจาะจง ๑ ท่าน เจาะจง ๒ ท่าน ถ้าหากว่าเจาะจง ๒ ท่าน ๒ ท่านนั้นจะได้น้อยกว่าที่เราเจาะจง ๑ ท่านหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ได้เท่ากัน

เถรี
30-03-2018, 22:34
ถาม : ถ้าหากพูดถึงพม่า ผมจะมีความรู้สึกลึก ๆ ไม่ได้ถึงกับเกลียดชัง แต่มีอะไรคาใจ เราควรจะคิดถึงประเทศพม่าในแง่ไหนดี ?
ตอบ : คิดว่าน่าไปเที่ยวมาก..!

เถรี
30-03-2018, 22:41
ถาม : การที่จะได้ใจสะอาดมากน้อย มีส่วนช่วยในการได้อภิญญามากขึ้นไหมครับ ?
ตอบ : สำคัญตรงสมาธิ ใจสะอาดแต่ขาดสมาธิ โอกาสได้อภิญญาก็ไม่มี

เถรี
30-03-2018, 22:56
ถาม : การที่เรายอมรับความจริงต่าง ๆ ถือว่าเป็นปัญญาไหมครับ ?
ตอบ : ถามว่ายอมรับแค่ไหน ? ยอมรับแบบหาทางออกไม่ได้ก็ไร้ปัญญาโดยสิ้นเชิง..!

ถาม : ถ้าเรายอมรับว่าเป็นตามกฎแห่งกรรม เราก็ไม่ไปทุกข์กับสิ่งนั้น เป็นปัญญาไหมครับ ?
ตอบ : เป็น

ถาม : ปัญญานี่มี ๓ อย่าง หรือแค่ไหนครับ ?
ตอบ : ไปดูในวิสุทธิมรรค อธิบายเฉพาะเรื่องปัญญาไว้เป็นร้อย ๆ แบบ

เถรี
30-03-2018, 23:00
ถาม : การที่เราพูดในมุมมองต่าง ๆ บางทีเราเลือกที่จะพูดมุมมองหนึ่ง ไม่ได้พูดโดยรวม ไม่ได้ตั้งใจจะโกหกเขา เราตั้งใจทำแบบนี้ เราผิดศีลไหมครับ ?
ตอบ : ดูที่เจตนา ถ้ามีเจตนาหลอกลวงเขาก็ผิดศีล

เถรี
30-03-2018, 23:02
ถาม : ผมเคยได้ยินเขาพูดว่า แค่ไม่ทุกข์ก็สุขแล้ว จริงหรือไหมครับ ?
ตอบ : แล้วสุขคืออะไร ? สุขคือความทุกข์ลดน้อยลงชั่วขณะเท่านั้น เพราะฉะนั้นความสุขจริง ๆ นั้นไม่มีในโลกนี้หรอก

เถรี
30-03-2018, 23:02
ถาม : ผมตกนรกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องสงสัย เดี๋ยวก็กำลังจะไปอีก...!

เถรี
30-03-2018, 23:16
ถาม : การที่เราเกิดมาชาตินี้ เราทำมาหากินลำบาก บุพกรรมที่เราเคยทำเป็นแบบไหนครับ ?
ตอบ : ขาดความอนุเคราะห์สงเคราะห์ต่อคนอื่น

ถาม : แค่ไม่ได้อนุเคราะห์สงเคราะห์คนอื่นนี่เป็นบาปกรรมหรือครับ ?
ตอบ : คนอื่นเขาจะไป เราก็ขวางทางเขา ถึงเวลาสมควรช่วยก็ไม่ช่วย แล้วเราจะเอาความสะดวกสบายมาจากไหน ?

ถาม : แต่ถ้าเราช่วยหรือไม่ช่วยก็เป็นสิทธิ์ของเรา ทำไมเราต้องได้รับความลำบากด้วย ?
ตอบ : ถ้าคุณไม่เห็นก็แล้วไป ถ้าคุณเห็นแล้วไม่ช่วย ต่อไปคนเขาเห็นคุณก็ไม่ช่วยเหมือนกัน ก็จงทนลำบากต่อไป

เถรี
30-03-2018, 23:22
ถาม : ถ้าเราสวดมนต์หรือคาถา จริง ๆ แล้วเราควรจะต้องรู้ความหมาย หรือเราควรจะแค่ศรัทธาอย่างเดียว ไม่ต้องรู้อะไรมาก ?
ตอบ : เริ่มต้นก็ต้องการแค่ศรัทธา ถ้ารู้มากก็เข้าไม่ถึง รังแต่จะสงสัยมากขึ้น ทำให้ผลลดน้อยลง

เถรี
30-03-2018, 23:28
ถาม : วิธีการเทคนิค คิดว่าเขาเป็นญาติเรา เราจะได้ไม่คิดในทางชู้สาว หรือคิดว่าเขาเป็นเด็ก ?
ตอบ : ไม่ใช่เทคนิค ต้องเกิดจากน้ำใสใจจริง

ถาม : น้ำใสใจจริงเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ต้องเห็นอย่างนั้นจริง ๆ

ถาม : ถ้าเห็นอย่างนั้นจริง ๆ เกิดจากอะไร ?
ตอบ : เกิดจากกำลังใจของเราที่ความดีมีมากกว่าชั่ว สรุปว่าชั่ว ๆ อย่างคุณทำไม่ได้หรอก...!

เถรี
02-04-2018, 09:25
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยนี้รองเท้าส่วนใหญ่ใช้การหล่อขึ้นรูป โดยเฉพาะบรรดารองเท้าแตะ สมัยที่อาตมาธุดงค์อยู่ รองเท้าที่ค่อนข้างจะกระชับ มีที่ล็อกนิ้วเท้า มีที่ล็อกส้นเท้า ส่วนใหญ่พื้นรองเท้าจะเป็นคนละชิ้นกับตัวรองเท้า พอเจองานหนัก ๆ เจอเดินป่าเข้าไปก็หลุดไปคนละส่วน

ฉะนั้น...สมัยก่อนการธุดงค์ สิ่งที่พระแนะนำต่อกันมา ก็คือ ถ้าใส่รองเท้าเข้าป่าให้ใช้รองเท้าแตะ ถ้าไม่ใช่ตราช้างดาวก็ให้เป็นตราดาวเทียม เพราะว่าค่อนข้างจะทนกว่ายี่ห้ออื่น ขณะเดียวกันถ้าหากว่าฝนตก ฟืนเปียก ก่อติดยาก ก็ปาดเอาพื้นรองเท้าออกมาชิ้นเล็ก ๆ เป็นเชื้อไฟที่ดีที่สุด เพราะว่าติดแล้วดับยาก ช่วยให้สามารถก่อไฟได้ง่าย

ถ้ามีรองเท้าที่หล่อขึ้นรูปทั้งชิ้นแบบปัจจุบันนี้ น่าจะทำให้การเดินธุดงค์สะดวกสบายกว่านี้มาก เสียดายว่ายุคสมัยไม่ทันกัน เทคโนโลยีไม่ทันกัน เพราะฉะนั้น...รองเท้าที่เขาทำไว้ใส่ในเมือง พอไปเดินในป่าก็หมดสภาพเลย ยิ่งรองเท้าประเภทรองเท้าหนัง ไม่ว่าจะเป็นหนังแท้หรือหนังเทียมก็ตาม พอโดนน้ำแล้วหลุดเป็นชิ้น ๆ หมด ถ้าแบบไหนทนได้ เมื่อตากแห้งก็เกิดอาการกัดแหลกขึ้นมาอีก เพราะว่าเวลาหนังโดนน้ำแล้วจะยืดขยาย พอตากแห้งก็หดตัวใหม่ กัดเท้าเป็นแผลหมด"

เถรี
02-04-2018, 09:43
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้เป็นเดือนมีนาคม เพิ่งจะอยู่ข้างแรมเดือนสี่ ก็แปลว่าเพิ่งเข้าฤดูร้อน ถ้าเป็นสมัยก่อนฝนฟ้าที่ตก ก็จะประมาณฝนชะลาน ฝนชะช่อมะม่วง สมัยนี้บทฝนจะมาก็มาจริง ๆ จัง ๆ เลย ไม่ใช่ชะลานแล้ว แต่กวาดลานไปเลย แล้วก็ไม่ได้ชะช่อมะม่วงด้วย แต่โค่นต้นมะม่วงกันเลย อากาศเปลี่ยนไปได้จนขนาดนี้

ท่านกอล์ฟไปถามทางบ้านสิว่า พวกทุเรียน ลองกองออกหรือยัง ?เพราะว่าอากาศแบบนี้ผลไม้จะแก่เร็วมาก สุกเร็ว แล้วจะสุกจากใต้ขึ้นเหนือ แต่ถ้าข้าวนี่จะสุกจากเหนือลงใต้ เพราะว่าข้าวจะสุกตอนลมหนาวมา

ข้าวจะสุกจากเหนือลงใต้ แต่ผลไม้จะสุกจากใต้ขึ้นเหนือ แสดงว่าไม่เคยสังเกตเลยใช่ไหม ? โบราณเขารู้มาก่อน เขาสามารถบอกลูกบอกหลานให้สังเกตเอาได้"

เถรี
02-04-2018, 09:57
ถาม : โยมเคยไปภาวนาอยู่ที่หนึ่ง เมื่อเกือบสิบปีที่แล้วค่ะ มีพระรูปหนึ่ง เขาก็จะมากวนเมื่อมีโอกาส และเข้าแทรกแซงบุคคลที่เกี่ยวข้อง ล่าสุดก็คือ อาเจียนเกือบทั้งวันและเริ่มจะไม่มีแรงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีวันหมด เพราะเขาก็จะส่งเข้ามา โดยที่เราทำอะไรไม่ได้ ?
ตอบ : ไปหาหมอสมัยใหม่บ้างหรือยัง ?

ถาม : ยังค่ะ ?
ตอบ : ลองไปหาดูนะ

ถาม : เกี่ยวกับอะไรคะ ?
ตอบ : ฮอร์โมนพร่อง บอกหมอว่าแก่แล้ว ช่วยจัดฮอร์โมนเพิ่มให้หน่อย

ถาม : ควรไปเข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรไหมคะ ?
ตอบ : ถึงเวลามีพิธีก็ไป

ถาม : ส่วนที่มีเข้ามารบกวน ไม่ต้องแก้ไขอะไรหรือคะ ?
ตอบ : เมื่อเราภาวนาอารมณ์ใจทรงตัวได้ อย่างอื่นก็กวนไม่ได้ ให้สังเกตว่าถ้าเราอยู่กับลมหายใจเข้าออกแล้วจะไม่เป็น ถ้าหลุดจากลมหายใจเมื่อไรถึงจะเป็น

ถาม : ใช่ค่ะ จะกระตุก ?
ตอบ : ถ้าอยู่กับลมหายใจของเราก็หมดเรื่อง

เถรี
03-04-2018, 09:23
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีเรื่องใหญ่ในวงการสงฆ์อยู่เรื่องหนึ่ง ก็คือเขาให้พระทุกวัดหยุดการออกโมทนาบัตรไว้ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป เพื่อที่จะให้ทางกรมสรรพากรคิดหาวิธีในการหักภาษีและออกอนุโมทนาบัตรจากพระ ต้องเรียกว่ารอบคอบรัดกุมที่สุดก่อน เท่าที่ฟังมาก็คือ ต้องมีเงินโอนเข้าบัญชีวัด แล้วถึงจะออกอนุโมทนาบัตรตามยอดเงินนั้นได้ ซึ่งเป็นการทำเรื่องง่ายให้ยากขึ้น แล้วก็เป็นการรีดภาษีจากวัดอีกด้วย

โดยเฉพาะว่าทำให้คนทำบุญยากขึ้น คนจะได้เบื่อไม่ไปทำบุญ วัดจะได้อยู่ไม่ได้ แต่ทางวัดท่าขนุนของเราใครขอก็จะออกใบอนุโมทนาบัตร เราให้ไปเรื่อย ๆ เพราะว่าเรื่องอย่างนี้เป็นหน้าที่ซึ่งระบุเอาไว้ชัดเจนว่า ถ้าทางญาติโยมขอ ทางวัดต้องออกอนุโมทนาบัตรให้

โดยเฉพาะถ้าเป็นกฎหมายออกมาบังคับ ส่วนใหญ่ก็คือไม่ได้บังคับย้อนหลัง แต่ถ้าบังคับย้อนหลังเพราะว่ามีคำสั่งว่าให้หยุดตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๑ เมื่อถึงเวลาให้เอาโมทนาบัตรใบเก่ามา อาตมาจะออกแบบใหม่ตามแบบของกรมสรรพากรให้ พูดง่าย ๆ ก็คือ เขาว่าอะไรมาไม่ใช่เราบ้าจี้ตามเขาอย่างเดียว ต้องดูความเหมาะสมด้วย"

เถรี
03-04-2018, 09:31
"ยังคิดว่าถ้าทางสรรพากรจะเป็นคนออกโมทนาบัตรลักษณะใบเสร็จเอง อาตมาก็จะส่งไปให้รายละร้อย รายละยี่สิบ รายละห้าสิบ เจอไปวัดละสองพันใบก็บ้าแล้ว แบบเดียวกับที่เขาออกกฎว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ถ้าเอากล้องถ่ายรูป เอาโน้ตบุ๊ก เอานาฬิกา เดินทางไปใช้งานที่ต่างประเทศต้องแจ้งศุลกากรก่อน ต้องถ่ายรูปอย่างละสองชุด บอกหมายเลขเครื่องให้ชัดเจนด้วย เวลากลับมาก็ต้องแจ้งด้วยว่าเอากลับมาแล้ว ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นผิดกฎหมาย

เรื่องนี้คนก็คิดได้ แต่ลืมใช้หัวแม่เท้าคิดว่าในเรื่องของทางปฏิบัติ ว่า สามารถทำได้ไหม ? คนเดินทางวันหนึ่งกี่พันกี่หมื่นคน แค่งานปัจจุบันผ่านเครื่องเอ็กซเรย์ก็แย่แล้ว ถ้าแต่ละคนต้องไปรายงานก่อน คนหนึ่งยี่สิบนาทีจะเสร็จไหม ? จะตกเครื่องบินกันอีกเท่าไรก็ไม่รู้

อีกอย่างของที่ใช้ก็เห็น ๆ กันอยู่ ส่วนใหญ่ก็ถลอกปอกเปิกกันทั้งนั้นเลย กระทั่งของอาตมาเอง ถ้าของที่เขาเอาเข้ามาเพื่อจำหน่ายจะต้องมีซีล มีกันกระแทก มีกล่องอย่างดี ซึ่งลักษณะอย่างนั้นมองดูก็รู้ ว่าไม่ใช่ของที่เราติดมาเพื่อใช้งาน ส่วนใหญ่ข้าราชการของเรามักจะใช้หัวแม่เท้าคิดแทนในการทำงาน อยากจะมีผลงานแต่ลืมดูเรื่องของปฏิบัติการว่าจะมีคนทำไหวหรือไม่ ?

เดี๋ยวพอโดนคนด่ามาก ๆ เข้าก็คงจะดีขึ้นเอง ไม่โดนด่าก็ไม่ได้สติ กฎระเบียบแบบสิ้นสติก็ยังอุตสาห์ออกมาได้"

เถรี
03-04-2018, 09:39
ถาม : ในการสร้างพระ อย่างพระถวายสังฆทาน เห็นเขาเขียนว่าเป็นพระสมเด็จองค์ปฐม ?
ตอบ : เป็นเพราะเขาเขียน

ถาม : เห็นแล้วไม่กล้าเลย ?
ตอบ : เป็นหรือไม่เป็นอยู่ที่เรานึก เห็นภาพพระแล้วไม่ได้นึกถึงพระ ก็ไม่สามารถที่จะเป็นพระได้ เห็นพระพุทธรูปแล้วถ้าไม่ได้นึกถึงสมเด็จองค์ปฐม ต่อให้เขาบอกว่าเป็นสมเด็จองค์ปฐมก็ไม่เป็น

เถรี
03-04-2018, 09:44
พระอาจารย์บอกว่า "วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๑ ธนบัตรชุดใหม่จะออกแล้วนะ ของเก่าใครจะเก็บก็ต้องรีบเก็บแล้ว ถ้าจะเก็บก็เก็บประมาณเลขตอง เลขเรียง เลขเก้าหน้าเก้าหลัง"

เถรี
03-04-2018, 10:02
พระอาจารย์กล่าวว่า "หนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์ฉบับนี้ขึ้นปีที่ ๑๕ แล้ว ไม่นึกว่าจะยืนหยัดมาได้นานขนาดนี้ เห็นมีแต่ที่อื่นเขาปิดตัวไปหมด ที่อื่นส่วนใหญ่เขาจะหาเรื่องใหม่ ๆ มาลงไม่ได้"

เถรี
03-04-2018, 20:35
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงที่ที่ดินวัดอันตรายที่สุด คือ ช่วงของนายกรัฐมนตรีทักษิณ เพราะที่ดินวัดจะเปลี่ยนแปลงการถือครองได้ต้องออกเป็นพระราชบัญญัติเท่านั้น คราวนั้นคุณทักษิณสั่งทีเดียวก็ออกได้เลย แล้วนายกฯ ทักษิณท่านมีโครงการแปลงที่วัดเป็นทุน ...(หัวเราะ)... ประเภทหากำไรจากที่ดินของวัด

กฎหมายคุ้มครองป้องกันวัดเอาไว้แน่นหนามาก เรื่องที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ที่ไม่จบสักทีเพราะว่าเป็นที่วัด ในเมื่อเป็นที่วัดจะเป็นอื่นไปไม่ได้ แม้ว่าคุณจะครอบครองไปกี่ร้อยปีก็ตาม ยกเว้นว่าออกเป็นพระราชบัญญัติเท่านั้น เขากลัวว่าพวกเจ้าอาวาสประเภทอยากได้เงินไปขายที่วัดจนหมด ถ้าออกเป็นพระราชบัญญัติแปลว่าต้องเข้า ครม. ต้องผ่านสองสภา ยากขนาดนั้น เรื่องของที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ก็เลยยุ่งมาจนทุกวันนี้

แล้วกฎหมายครอบครองถึงขนาดระบุเอาไว้ว่า ห้ามคู่ความยกเรื่องที่ดินวัดขึ้นฟ้องร้อง เพราะว่าฟ้องเมื่อไรคุณก็แพ้ เสียเวลาเขา ...(หัวเราะ)...

ตอนนี้ สนช. ๘๔ คน มีอิสลามไป ๖๓ คนชัด ๆ ที่เหลือเป็นแนวร่วมเท่าไรไม่รู้ ฉะนั้น...ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมการแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์เพื่อเปลี่ยนแปลงการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชถึงเสร็จสามวาระภายในวันเดียว ก็รู้ ๆ อยู่ว่าทำไปแล้วจะสร้างความแตกแยกจึงต้องรีบทำ"

เถรี
03-04-2018, 21:43
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระหลวงพ่อกวย ถ้าไม่ใช่ยุคแรกจริง ๆ คำว่ายุคแรกจริง ๆ ประมาณช่วง พ.ศ. ๒๕๐๐ ไม่เกิน พ.ศ. ๒๕๐๕ ท่านจะทำเป็นเนื้อผง โดยเฉพาะใช้ผงวัดระฆังของหลวงปู่นาค แล้วเสกร่วมกับหลวงปู่นาคเป็นส่วนใหญ่ หลังจากปี ๒๕๐๕ เป็นต้นมาท่านจะทำเป็นผงน้ำมัน ผงน้ำมันของหลวงพ่อกวยเนื้อจะหนึกนุ่มมาก ประเภทดูปุ๊บจะรู้เลยว่าใช่ พูดง่าย ๆ ก็คือ มีลักษณะเหมือนกับแช่น้ำแล้วไม่ละลาย

ของพวกนี้ถ้าไม่มีของจริงอยู่ในมือ ก็ไม่มีตัวอย่างให้ศึกษา เราก็ต้องเสียค่าครูไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะรู้จริง ครูถึงจะเลิกคิดค่าหน่วยกิต เพราะว่าพระหลวงพ่อกวยเป็นพระที่ปลอมเกือบจะมากที่สุดในประเทศไทย โดยเฉพาะส่วนที่ไม่แนะนำเลยก็คือ สมเด็จแหวกม่านกับสมเด็จปรกโพธิ์ เพราะว่าลูกศิษย์เอาแบบไป เอาผงไป แล้วไปทำกันเอง ดูไม่ออกเลย ผงก็ใช่ แบบก็ใช่ สิ้นหลวงพ่อแล้วใครอยากได้อะไรก็ขนเอา เพราะฉะนั้น...หลายคนที่บอกว่าอยากได้สมเด็จปรกโพธิ์ อยากได้สมเด็จแหวกม่าน ขอแนะนำว่าอาตมายังดูไม่ออกเลยว่าของปลอมกับของจริงต่างกันตรงไหน"

เถรี
03-04-2018, 22:27
"ช่วงหลังปี พ.ศ. ๒๕๐๐ หลวงพ่อกวยเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดัง ก็ได้รับนิมนต์ไปพุทธาภิเษกที่นั่นที่นี่ เมื่อไปพุทธาภิเษกที่วัดระฆังของหลวงปู่นาค แล้วไปเจอหลวงปู่นาคท่านสร้างสมเด็จปรกโพธิ์

เมื่อหลวงปู่นาคท่านสร้างสมเด็จปรกโพธิ์ หลวงพ่อกวยท่านเห็นแบบสวย มีความหมายลึกซึ้ง ท่านก็เลยเอามาทำบ้าง กลายเป็นว่าสมเด็จปรกโพธิ์รุ่นแรก ๆ บางทีจะเป็นของวัดระฆังโดยตรงเลย สังเกตดูว่าถ้าเป็นของวัดระฆังเนื้อผงจะร่วน ๆ ก็คือเป็นเนื้อผงวิเศษผสมปูนเปลือกหอย ตอนหลังหลวงพ่อกวยท่านมาพัฒนาเป็นเนื้อน้ำมัน เพราะว่าไม่ได้มีผงตุนเอาไว้มากมายเหมือนอย่างของวัดระฆัง ...(หัวเราะ)...

วัดระฆังเปิดกรุ วัดบางขุนพรหมเปิดกรุ ผงเหลือก้นกรุทางวัดระฆังตุนไว้เป็นหาบ ๆ หลวงพ่อกวยท่านไม่มีมากขนาดนั้น ท่านก็เลยต้องใช้ผงน้ำมันแทน"

เถรี
03-04-2018, 23:22
ถาม : (นิกายประหลาด)
ตอบ : ประเทศไทย ไม่เห็นหรือว่าตอนนี้สันติอโศกก็เท่ากับว่าเป็นนักบวชนอกกฎหมาย ธรรมกายก็โดนเล่นงานหัวซุกหัวซุนอยู่ ถ้าหากว่าศึกษาตำราจีน ประวัติศาสตร์จีนไป ก็จะรู้ว่าถึงเวลากระต่ายตายก็ต้มหมาล่าเนื้อ เพราะฉะนั้น...ตอนนี้วัดอ้อน้อยกำลังเป็นหมาล่าเนื้ออยู่ แต่ถ้ากระต่ายตายหมดเมื่อไรวัดอ้อน้อยก็ตายด้วย ...(หัวเราะ)... ต้องบอกว่าทางวัดอ้อน้อยก็หลงผิดไปหน่อย ประเภทเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ถึงเวลาพอกลายเป็นหมาล่าเนื้อโดนต้ม จึงไม่มีใครยื่นมือมาช่วย กว่าจะสำนึกได้ก็ไม่ทันแล้ว

เถรี
03-04-2018, 23:25
ถาม : มีคนเปิดเทศน์เขาให้ฟัง รู้สึกว่าไม่อยากฟังเลย เวลาท่านเทศน์มีหลักพระไตรปิฏกอยู่ไม่ใช่หรือคะ ?
ตอบ : สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา สจิตฺตปริโยทปนํ ไม่เกินสามอย่างนี้ นั่นแหละคือหลักที่พระพุทธเจ้าท่านให้พระไปสอนชาวบ้านโดยตรงเลย ถ้าสอนก็ให้สอนอยู่ในหลักนี้ คือ สอนให้เว้นจากความชั่ว สอนให้ทำความดี สอนให้ชำระใจของตนให้ปราศจากกิเลส

เถรี
03-04-2018, 23:42
พระอาจารย์กล่าวว่า "จะมีการตั้งจังหวัดใหม่เพิ่มอีก ๖ จังหวัด คือ จังหวัดบัวใหญ่แยกจากนครราชสีมา จังหวัดเดชอุดมแยกจากอุบลราชธานี ปรากฏว่าอุบลราชธานีรอบนี้ก็โดนแยกแล้วแยกอีก จังหวัดกันทรลักษณ์แยกจากศรีสะเกษ จังหวัดชุมแพแยกจากขอนแก่น จังหวัดนางรองแยกจากบุรีรัมย์ จังหวัดนาทวีแยกจากสงขลา จังหวัดท่าศาลาแยกจากนครศรีธรรมราช

แต่ของจังหวัดนครศรีธรรมราชที่แยกนี่ได้สุราษฎร์ธานีมาด้วย เขาเอาอำเภอขนอมของทางด้านล่างของนครศรีฯ มา แล้วก็เอาอำเภอดอนสักของสุราษฎร์ธานีมาสมทบ ต่อไปเวลาเราไปหาดใหญ่ต้องบอกว่าไปจังหวัดนาทวีนะ ไม่ใช่จังหวัดสงขลาแล้ว"

เถรี
04-04-2018, 21:56
ถาม : อริยมรรคมีองค์ ๘ แบ่งเป็นอะไรบ้างครับ ?
ตอบ : แบ่งออกเป็นศีล สมาธิ ปัญญา เพราะว่าในมรรค ๘ นั้น สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ เป็นปัญญา ต้องมีสัมมาทิฐิ รู้ดีรู้ชั่ว ถึงจะยึดแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องได้ ต้องมีสัมมาสังกัปปะ คือดำริชอบ อย่างเช่นว่า ดำริที่จะออกจากกาม ดำริต้องการพ้นทุกข์ อย่างนี้นับเป็นปัญญา

สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ เป็นศีล สัมมาวาจา พูดดี ไม่โกหก ไม่ส่อเสียด ไม่เพ้อเจ้อ ไม่พูดวาจายุให้เขาแตกร้าวกัน สัมมากัมมันตะ กระทำถูกต้อง คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ดื่มสุราเมรัย สัมมาอาชีวะ ทำอาชีพที่ถูกต้องทั้งศีลธรรมและกฎหมายบ้านเมือง เหล่านี้เป็นเรื่องของศีล

แล้วก็ไปสัมมาวายามะ ความเพียรที่ถูกต้อง เพียรละชั่ว เพียรทำดี เพียรสร้างความดีให้เกิด เพียรรักษาความดีเอาไว้ แล้วก็ไปสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ก็รู้อยู่แล้วว่าต้องอาศัยสมาธิเป็นหลัก เพราะฉะนั้น..ตรงนี้ก็จะเป็นตัวสมาธิ

ทีนี้เราแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน การใช้งานถ้าหากว่ามีปัญญา ก็จะรู้ว่าศีลดีอย่างไรถึงรักษาศีล เมื่อรักษาศีล การที่สติเราตั้งมั่นระมัดระวังในศีลอยู่ ก็ทำให้สมาธิเกิดขึ้น เมื่อมีสมาธิเกิดขึ้น ก็ไปช่วยให้ตัวปัญญาผ่องใส ใช้ในการตัดละกิเลสได้มากขึ้น

ถาม : ในด้านปริยัติ ปฏิบัติ ก็คือ...?
ตอบ : ปริยัติก็ยกทฤษฎีมาทั้งดุ้น ปฏิบัติเป็นเรื่องของการลงมือทำ

อาตมาเองเรียนจนจบปริญญาเอก ก็ยังคิดว่าเราหลงทางหรือเปล่า ? แต่พอมาถึงจุดนี้จะเห็นว่า บางทีใบปริญญาเอกก็ไปช่วยค้ำว่าทฤษฎีของเราถูก ส่วนเรื่องของการปฏิบัติคุณมีอยู่แล้วก็ทำไปก็แล้วกัน กลายเป็นปลาสองน้ำ น้ำจืดก็ได้ น้ำเค็มก็ได้ อยู่ที่ว่าจะหันหัวลงทะเล หรือจะหันหัวขึ้นแม่น้ำ

เถรี
04-04-2018, 22:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยเด็ก ๆ เวลาไปบ้านยายที่หลังไปรษณีย์บางกอกน้อย แถวนั้นเรียกว่าบ้านช่างหล่อ ก็คือช่างแถวนั้นมีความสามารถในการหล่อโลหะ โดยเฉพาะหล่อพระพุทธรูป อาตมาชอบไปดูเขาปั้นพระ ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองชอบ ชอบมาตั้งแต่เด็ก ๆ ไปดูเขาใช้ปีบบรรจุรังผึ้งจนกระทั่งแน่น เติมน้ำลงไป ยกขึ้นตั้งไฟ จนกระทั่งขี้ผึ้งลอยหน้าก็ช้อนมาปั้นเป็นก้อน ๆ หลังจากนั้นก็เอามาใช้ในการปั้นพระ เขามีการขึ้นโครงแล้วก็เอาขี้ผึ้งพอกลงไป หลังจากนั้นก็ใช้เครื่องมือเกลาให้ได้รูปขนาดแบบที่ตัวเองต้องการ

แต่ทีนี้มีข้อสังเกตอยู่อย่าง ก็คือว่า ช่างคนไหนหน้าตัวเองเป็นแบบไหน ก็จะปั้นพระพุทธรูปออกมาหน้าตาแบบนั้น ตรงนี้จะว่าไปแล้วก็เป็นจิตใต้สำนึกอย่างหนึ่งที่เห็นว่าตัวเองดีที่สุด เพราะฉะนั้น...รูปลักษณ์ที่ออกมาคล้ายตัวเองก็จะเป็นที่พอใจที่สุด ต้องบอกว่าเป็นสักกายทิฏฐิอย่างหนึ่ง แต่ว่าคนมักจะไม่รู้ตัว"

เถรี
04-04-2018, 22:29
"สมัยแรก ๆ ที่ไปวัดท่าซุงช่วงประมาณปี ๒๕๑๘ ช่วงนั้นช่างประเสริฐเริ่มเข้ามาทำงานที่วัดท่าซุง ปั้นพระพุทธรูปสองสามองค์หน้าตาเหมือนกับตัวเองหมด หลังจากนั้นหลวงพ่อวัดท่าซุงก็สอนให้จุดธูปขอบารมีพระ ขอให้ท่านวิษณุกรรมเทพบุตรสงเคราะห์ ขอให้ทำออกมาได้มีเค้าหน้าใกล้เคียงกับพระบรมรูปขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ช่างประเสริฐก็เริ่มทำออกมาต่างจากความเคยชินของตัวเองได้

ส่วนท่านอาจารย์สุชาติ ที่เมื่อวานเราไปโรงหล่อของท่าน ท่านอาจารย์สุชาติรู้ตัว รู้ว่าถ้าไม่ฝืนมือจะออกมาเป็นหน้าตัวเอง ท่านบอกว่าทุกครั้งท่านจะต้องนึกถึงพระเป็นหลักแล้วฝืนมือเอาไว้ พยายามให้ไปตามรูปลักษณ์ของพระที่ตัวเองนึกไว้ในใจ แต่ไม่ให้เป็นหน้าตัวเอง ...(หัวเราะ)... ถ้าหากว่าช่างที่ไม่รู้ตัวจะฝืนมือตัวเองไม่ได้ หน้าตาจะเหมือนตัวเองหมด

ท่านอาจารย์สุชาตินี่ต้องบอกว่ากำลังใจของท่านนี่ใช้ได้เลย ก็คือถ้าเป็นคนทั่วไปก็ต้องบอกว่าสังหรณ์แม่น แต่ความจริงนั่นคือผลของการที่ทุ่มเทสมาธิกับการงาน จนเกิดความรู้พิเศษขึ้นมาในลักษณะของทิพจักขุญาณ

ท่านไปที่ศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สายที่วัดท่าขนุนครั้งแรก ตอนที่ยังสร้างยังไม่เสร็จ ไปถึงพระที่รับสังฆทานอยู่ก็พาท่านไปทางด้านที่ตั้งมณฑป เพื่อให้ท่านดูสถานที่ เพื่อให้ท่านปั้นพระให้ได้ขนาดที่พอเหมาะ แต่ท่านอาจารย์สุชาติบอกว่าไม่ใช่ตรงนี้ แล้วก็เลี้ยวไปด้านที่ตั้งพระประธานนั่นแหละ

แสดงว่าจริง ๆ แล้วในส่วนของความเป็นทิพย์ของท่านก็มี ท่านเองก็คงจะมีประสบการณ์จนกระทั่งชินจึงยอมคล้อยตาม ถ้าหากว่าคนทั่ว ๆ ไปไม่คล้อยตามหรอก ต้องคิดว่าตรงนี้ใช่ แล้วก็ดื้อจะเอาตรงนั้นให้ได้"

เถรี
04-04-2018, 22:35
"แบบเดียวกับสูตรหล่อหลวงพ่อนาก ที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในโลกนี้ ถ้าเป็นคนอื่นก็ต้องดื้อ เพราะว่าไม่เข้าสูตรกับใครเลย จะเป็นไปได้อย่างไร ? แต่ด้วยความที่อาตมามีประสบการณ์เรื่องนี้มามาก อะไรที่พระท่านสั่งต้องใช่ อาตมาก็แค่ทำตามเท่านั้น ถ้าไปดื้อก็เหนื่อยเอง

มหาเอท่านถึงได้บอกว่า "อาจารย์ขอสูตรพระท่านมาตั้งแต่แรกก็หมดเรื่องแล้ว ไม่ต้องเสียเวลามาหากันแทบตาย" ก็เลยบอกท่านไปว่า "แล้วคุณเคยเห็นไหมที่พระท่านให้ง่าย ๆ ? ส่วนใหญ่ท่านก็ปล่อยเราใช้ความพยายามจนหมดความสามารถแล้วนั่นแหละ ท่านถึงจะบอก"

เถรี
04-04-2018, 22:38
ต่อไปก็เช็ดพระอย่างมีความสุข ตอนนี้พอพระเวรสังฆทานเริ่มเข้าเวรต้องเช็ดพระก่อนหนึ่งรอบ ใช้ผ้าสะอาดเช็ดถูกันให้ทุกซอกทุกมุมไปก่อนรอบหนึ่ง เพราะว่าแค่ไม่กี่วันพอโลหะทำออกซิเดชั่นกับอากาศก็จะเกิดสนิมสีดำ ๆ ขึ้นมาคลุมองค์พระ ถ้าปล่อยให้หนาก็จะเช็ดไม่ออก ดังนั้น...พระที่รับสังฆทานต้องมีหน้าที่เช็ดพระทุกวัน

มีอยู่ช่วงหนึ่งปลัดนกเป็นเวรมีหน้าที่รับสังฆทาน ด้วยความที่เคารพพระมาก ใช้ผ้าเย็นใหม่เอี่ยมไปเช็ด บอกท่านว่า “เดี๋ยวพ่อหักคอเลย...! ผ้าเย็นมันเปียก” ...(หัวเราะ)... ต้องใช้ผ้าแห้ง อุตส่าห์สั่งว่าให้ใช้ผ้าแห้งซักสะอาดไปเช็ด ดันเอาผ้าเย็นใหม่เอี่ยมไปเช็ด เดี๋ยวก็ได้ดำปี๋ทั้งองค์ สรุปแล้วท่านเลยต้องไปเช็ดคืนด้วยผ้าแห้งเสียอีกหลายรอบ แทนที่ต้องทำรอบเดียว

องค์นั้นนี่เงินร้อยเปอร์เซ็นต์นะ หลวงพ่อนากมีเนื้อเงินประมาณสามสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ว่าเนื้อเงินสามสิบเปอร์เซ็นต์ลำบากตรงที่ว่า ถึงเวลาจะดำเป็นหย่อม ๆ กว่าจะลามทั่วองค์นี่ก็จะกลายเป็นพระด่างอยู่ระยะหนึ่ง เพราะฉะนั้น...จึงต้องเช็ดบ่อย ๆ ถ้าเช็ดบ่อย ๆ ก็จะมีสีสันสดใสอยู่ตลอด ไม่เป็นไรหรอก...เพราะว่าเรามีเวรผลัดเปลี่ยนกันทุกวันอยู่แล้ว

เถรี
04-04-2018, 22:44
ถาม : แล้วเราจะแยกอย่างไรว่า นี่คือศรัทธา หรือว่ามารหลอก ?
ตอบ : หัดคิดบ่อย ๆ เดี๋ยวจะรู้เองว่าอะไรถูก ต้องมี "ค่าครู" ก่อน พอจ่ายค่าครูบ่อย ๆ แล้วยังไม่เข็ดก็ยังต้องผิดต่อไป แต่ถ้าจ่ายค่าครูบ่อย ๆ แล้วเข็ด เดี๋ยวก็ได้ดีไปเอง

เถรี
04-04-2018, 22:51
ถาม : ไปเช็งเม้ง อาหารที่ลูกนำไปถวายพ่อแม่ ได้อธิษฐานถวายพระพุทธเจ้าก่อนถวายพ่อแม่ จะได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าจะทำอย่างนั้นของพระต้องแยกออกไปเลย ถ้าหากว่าไม่แยกไปเลย ถามว่าพ่อแม่จะกล้าขยับไหม ?

อาตมาเองไม่ได้คัดค้าน เขาไหว้เจ้าเราก็ไหว้ด้วย ไหว้บรรพบุรุษเราก็ไหว้ด้วย แต่ถึงเวลาก็มาถวายสังฆทานให้ท่านด้วย ...(หัวเราะ)... ก็ได้ทั้งสองฝ่าย ไม่ต้องไปค้านกันให้คนอื่นเขาเห็นว่าเราขวางโลก

เถรี
05-04-2018, 22:00
พระอาจารย์กล่าวว่า "สรุปว่าระยะนี้กุมารทองหลวงพ่อกวยขาดตลาด คนที่มีอยู่ก็เริ่มรู้ตัวว่าตลาดต้องการ เริ่มขึ้นราคา ...(หัวเราะ)... ต้องบอกว่ากุมารรุ่นนั้นเป็นรุ่นมาตรฐาน มีรุ่นใหญ่กว่านี้นะ...เป็นสีดำ ลักษณะเหมือนกับนวโลหะหรือว่ารมดำมา แล้วก็อีกรุ่นหนึ่งตัวเล็กกว่ารุ่นนี้ ส่วนใหญ่หลวงพ่อท่านแจกเปลือย ๆ ไม่ได้ทำการเลี่ยมเอาไว้

วัตถุมงคลของหลวงพ่อกวยเล่นยากอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ตอนช่วงที่ท่านมีชื่อเสียงมากแล้ว มีเวลาทำวัตถุมงคลน้อย เขาไปเหมาของตลาดมาให้ท่านเสก เพราะฉะนั้น...ถ้าไม่ได้รับกับมือท่านเอง หรือแหล่งที่มาไม่ชัดเจน มีโอกาสเจอของตลาดแน่นอน เพราะว่าหลวงพ่อกวยท่านเมตตามาก ใครเอาอะไรมาให้เสก ก็เสกหมดเลย ต่อให้ไม่เคยเอาของไปเข้าพิธี ถ้าอ้างว่าหลวงพ่อกวยเสกแล้วก็ขายได้"

เถรี
05-04-2018, 22:14
"สมัยหลวงพ่อเกษม วัดสุสานไตรลักษณ์ ท่านยืนอยู่ที่หน้าต่าง มีพวกเถ้าแก่โรงงานให้คนงานแบกของผ่านหน้าต่างไป ท่านก็ "เอ้า..ไป" ... "ไป" ... "ไป" เขาแค่แบกเดินผ่านหน้าไปเท่านั้น ก็เอาไปขายได้แล้ว แต่ว่าหลวงพ่อเกษมท่านยังเมตตาเสกให้ เวลาไปแต่ละที คนเข้าคิวหาท่านยาวเป็นกิโลเมตร เข้าไปกราบหลวงพ่อ ไปถวายของหลวงพ่อ ถ้าเป็นอาตมาให้เข้าไปทีละสิบคนยี่สิบคน ให้เวลาสักสองนาที กราบเสร็จ ถวายเสร็จให้รีบออก แถวจะหายไปเร็วมาก แต่นี่กรรมการวัดเล่นให้เข้าไปทีละคน ออกมาแล้วคนต่อไปค่อยเข้า

พออาตมาไปถึง กรรมการวัดเห็นพระ "นิมนต์ครับ" แต่อาตมาไม่ไป กราบท่านข้างนอกตรงนั้น เอาเงินหยอดตู้เรียบร้อยก็กลับเลย บางทีถ้าไปที่ครูบาอาจารย์บางท่าน อย่างหลวงปู่ทองดำ วัดท่าทอง พระท่านก็ถามว่า “อาจารย์จะไม่รอหลวงปู่จริง ๆ หรือครับ ?” บอกไปว่า “ไม่เอา...ผมกลัวว่าถ้าผมอยู่ได้จนแก่ ๆ ขนาดนี้ แล้วมีคนมากวนไม่เลิก ผมจะซวยเอา” พยายามสร้างกรรมแบบนี้ไว้น้อย ๆ ดีกว่า"

เถรี
05-04-2018, 22:33
ถาม : ถ้าเราไม่มั่นใจในวัตถุมงคล ?
ตอบ : ถ้าขาดความมั่นใจผลก็น้อย วัตถุมงคลสำคัญตรงความเชื่อมั่นและศรัทธา

ถาม : การพกกุมารทองหลวงพ่อกวย ?
ตอบ : อย่าให้ต่ำกว่าเอวก็แล้วกัน

เถรี
05-04-2018, 22:34
ถาม : ผมควรไปเกณฑ์ทหารหรือบวชก่อนครับ ?
ตอบ : หากเป็นไปได้ก็ไปเกณฑ์ก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าบวชไปแล้วเกณฑ์ จับใบแดงได้ก็ต้องสึกกลางคัน

เถรี
07-04-2018, 09:58
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "ทำใจไว้เลยว่า ถ้ารักก็ต้องทุกข์ แค่นั้นแหละ ที่เหลือก็ทน ๆ เอา"

เถรี
07-04-2018, 10:05
ถาม : เวลาที่เราตั้งใจจะทำงานให้เสร็จ มีสมาธิจดจ่อกับงาน ทำไปเรื่อย ๆ แล้วไม่ง่วง ไม่นอนต่อกันหลาย ๆ วัน แบบนี้ร่างกายเราจะอยู่ได้ด้วยสมาธิเลี้ยงไว้ไหมคะ และบางทีก็เหมือนไม่สนใจอะไรอย่างอื่น ไม่หิว ไม่เมื่อยล้าเลย แล้วพอขับรถกลับบ้าน ก็ขับไปเหมือนอัตโนมัติ มีหลงออกนอกทางไปที่ไม่รู้จักบ้าง แต่ก็กลับบ้านได้ ?
ตอบ : ลักษณะอย่างนั้นไปได้เพราะใจยังมุ่งมั่นกับงานอยู่ เมื่อใจยังมุ่งมั่นกับงาน งานยังไม่หมดก็ไปได้ แต่ถ้ารู้ตัวว่าจะได้พักก็จะไปเลย

ในส่วนสภาพที่เราเห็นนั้น อยู่ในสภาพเหมือนกับว่าร่างกายไม่ไหวแล้ว สภาพจิตควบคุมกายให้ไป เหมือนกับแยกเป็นสองส่วน เหมือนร่างกายเป็นหุ่น ส่วนใจของเราคือผู้บังคับหุ่น ขึ้นอยู่กับกำลังสมาธิของเราว่ามีมากน้อยเพียงเท่าไร ถ้ามีมากก็บังคับได้นาน ถ้ามีน้อยก็บังคับได้ไม่นาน

ถาม : แล้วเราควรตั้งกำลังใจอย่างนี้ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ควร... เป็นอัตตกิลมถานุโยค เกินไป

ถาม : ถ้าเราใช้วิธีฟังเสียงสวดมนต์ขณะขับรถ แทนการสวดมนต์ปกติ เคยอ่านเจอว่าแบบนี้ไม่ได้อานิสงส์สวดมนต์เท่าไร แต่ถ้าเรานึกสวดในใจตามไปได้ จะได้ประโยชน์เหมือนสวดมนต์ไหมคะ ?
ตอบ : ให้ใจนึกได้ก็พอ สำคัญที่ความรู้สึกต้องอยู่กับลมหายใจเข้าออก ไม่ใช่นึกอยู่แต่คำภาวนาอย่างเดียว ตามลมหายใจเข้าออกไป ตามลมหายใจออกมา ขณะเดียวกันใจก็คิดถึงคำภาวนาไปด้วย

เถรี
07-04-2018, 22:41
พระอาจารย์กล่าวว่า "นครปฐมเป็นจังหวัดแรกที่มีคำขวัญประจำจังหวัด จังหวัดอื่นนี่ลอกแบบไปจากนครปฐมทั้งนั้น นครปฐมมีความพิเศษหลายอย่าง แม้กระทั่งเครื่องแบบลูกเสือ ผ้าพันคอก็ยังต้องขลิบสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีประจำพระองค์ของพระมหากษัตริย์ เพราะว่าในการฝึกเสือป่าหรือลูกเสือในยุคนั้น นครปฐมทำได้ดีมากจนเป็นที่ถูกพระราชหฤทัยในหลวงรัชกาลที่ ๖ โดยเฉพาะตอนที่พระองค์ท่านปลอมพระองค์ จะไปสืบความในค่ายข้าศึก โดนหลวงปู่เจ้าคุณนรฯ ที่ท่านเป็นมหาดเล็ก ขุดหลุมดักจับได้ ...(หัวเราะ)..."

เถรี
07-04-2018, 22:42
:cebollita_onion-17: เก็บตกเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ หมดแล้วนะออเจ้า :cebollita_onion-17:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย คะน้า เถรี รัตนาวุธ เผือกน้อย และพลภัทร