PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๐


เถรี
07-05-2017, 19:03
ถาม : หลวงพ่อสามารถปฏิบัติภารกิจได้มากในวันหนึ่ง ๆ ทั้งการงานและการปฏิบัติ จึงขอเรียนถามวิธีในการบริหารเวลาของหลวงพ่อครับ ว่ามีแนวทางอย่างไรจึงสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้มาก และมีประสิทธิภาพครับ ?
ตอบ : อะไรมาก่อนก็ทำอย่างนั้นก่อน

เถรี
07-05-2017, 19:04
ถาม : โดยปกติแล้วประสิทธิภาพในการเรียน การทำงาน และสมาธิในการทำสิ่งต่าง ๆ จะขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย กล่าวคือ หากสภาพร่างกายไม่พร้อม เช่น เจ็บป่วย ประสิทธิภาพจะลดลง ขอเรียนถามครับว่า มีวิธีการอย่างไรที่ทำให้ประสิทธิภาพในการเรียนและการทำงานดีอยู่ตลอด โดยไม่ถูกรบกวนจากสภาพร่างกายที่ไม่พร้อมครับ ?
ตอบ : ซักซ้อมการปฏิบัติจนสามารถทรงฌานได้ทุกเวลาที่ต้องการ

เถรี
07-05-2017, 19:04
ถาม : กราบเรียนถามถึงวิธีการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และเรียนรู้ได้อย่างแตกฉานครับ ?
ตอบ : เรียนตั้งแต่อดีตหลาย ๆ ชาติมาจนถึงชาติปัจจุบัน เดี๋ยวก็แตกฉานไปเอง

เถรี
07-05-2017, 19:05
ถาม : จากกาลามสูตร ข้อที่ห้า กล่าวไว้ว่า "มา ตกฺกเหตุ" แปลไทยคือ อย่าปลงใจเชื่อเพราะตรรก หรือเพราะคิดว่าเป็นเหตุเป็นผลกัน ผมยังไม่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง จึงขอกราบเรียนพระอาจารย์เมตตาอธิบายความในข้อนี้เพิ่มเติมได้หรือไม่ครับ
ตอบ : อย่างเช่น ๒+๒ = ๔ แต่ถ้าเขาบอกว่า ๓+๑ = ?

ถาม : เท่ากับ ๔ ?
ตอบ : เราจะไปปักใจว่า ๒+๒ = ๔ เป็นตรรกะที่แน่นอนได้ไหม ?

เถรี
07-05-2017, 19:06
ถาม :ในประเทศทางตะวันตก อยู่นอกพระพุทธศาสนา เหตุใดจึงมีมหาเศรษฐีอยู่มาก และร่ำรวยกว่าประเทศในเขตพุทธศาสนาครับ ?
ตอบ : เพราะเขาเคยสร้างทานในอดีตมาก่อน

เถรี
07-05-2017, 19:06
ถาม : ในประเทศทางตะวันตก การดื่มแอลกอฮอล์ หรือเครื่องดื่มมึนเมาต่าง ๆ มีมากกว่าประเทศในเขตพุทธศาสนา แต่เหตุใดจึงมีนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย และผู้ที่มีสติปัญญามาก มากกว่าประเทศไทยและประเทศใกล้เคียง จนทำให้มีความเจริญแตกต่างกันมากครับ ?
ตอบ : อย่าลืมว่าสิ่งที่เป็นผลในปัจจุบันสืบเนื่องมาจากอดีต ไม่ได้แปลว่ากินเหล้าชาตินี้แล้วคุณเก่งในชาตินี้

เถรี
07-05-2017, 19:08
ถาม : การประพฤติผิดศีลข้อสามนั้น รวมไปถึงการล่วงละเมิดในหญิง ๒๐ จำพวก (อคมนียฐาน) มีหญิงที่มารดารักษาและหญิงที่กฎหมายรักษา เป็นต้น แต่ในสังคมตะวันตกที่มีค่านิยมยอมรับการมีปฏิสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน และยอมรับการเปลี่ยนคู่นอนก่อนแต่งงานนั้น จะถือเป็นการประพฤติผิดศีลข้อสาม และเป็นบาปเท่ากันกับสังคมที่ไม่ยอมรับค่านิยมเช่นนั้นหรือไม่ครับ ?
ตอบ : การยอมรับของสังคมไม่ใช่การยอมรับของศีลธรรม ถ้าผิดจากหลักศีลธรรมแปลว่าผิดทั้งนั้น

เถรี
07-05-2017, 19:09
ถาม : กราบเรียนถามพระอาจารย์ครับว่า การบูชาวัตถุมงคลจากวัดต่าง ๆ นั้น นับเป็นสังฆทานหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าแต่ละวัดนั้นเขาออกวัตถุมงคลมาโดยเจตนาอะไร ถ้าตั้งใจจะหาเงินเข้ากระเป๋าก็ไม่ใช่สังฆทาน ถ้าตั้งใจจะสร้างโบสถ์สร้างศาลาก็เป็นวิหารทาน ต้องดูวัตถุประสงค์ของเขาเป็นหลัก

ถาม : และหากเราตั้งใจให้เป็นวิหารทาน จะได้อานิสงส์เป็นวิหารทานหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าเขาไม่ได้ตั้งใจเอาไปทำแบบนั้น แล้วเราจะได้อานิสงส์นั้นได้อย่างไร ?

เถรี
07-05-2017, 19:11
ถาม : ตอนที่บวชอยู่ ในระหว่างบิณฑบาตตอนเช้าได้เห็นขอทาน คนพเนจร คนเก็บของเก่า หรือแม้แต่แม่ค้ารถเข็น ได้ให้อาหารโยมตามทางก่อนถึงวัดเพียงเหลือแค่พอฉัน เรียนถามหลวงพ่อครับ สิ่งที่ผมกระทำเป็นเหตุที่พึงสมควรกระทำหรือไม่ ?
ตอบ : เป็นเหตุที่ทำให้โยมทั้งหมดต้องลงนรก พระพุทธเจ้าอนุญาตให้พระภิกษุเลี้ยงได้เฉพาะพ่อแม่เท่านั้น ส่วนที่เหลือถ้าต้องการจะเลี้ยงต้องเป็นวิทาสาโท คือ เหลือจากพระฉันแล้ว ใช้แล้ว ไม่ใช่พระยังไม่ทันฉัน ไม่ทันใช้ ก็เอาไปให้เขา จะมีโทษในการทำให้คนเสื่อมศรัทธาด้วย เพราะว่าเจตนาของเขาคือถวายพระ ไม่ได้เอาไปให้คนอื่น

ถาม : หากเกิดโทษสามารถระงับโทษนั้นได้อย่างไรบ้าง ?
ตอบ : บอกให้โยมชำระหนี้สงฆ์ แต่ถ้าหากไปบอกโยมคงเจอกำปั้นแน่..! เพราะดันทะลึ่งเอาไปให้เขาเอง

เถรี
07-05-2017, 19:11
ถาม : หากเราใช้ยารักษาเหา อย่างนี้จะเป็นบาปและผิดศีลหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เหามีชีวิตไหม ?

ถาม : มีค่ะ
ตอบ : ถ้ามีก็ผิด

ถาม : ถ้าน้องเป็นเหาจะทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : โกนหัว...!

เถรี
07-05-2017, 19:12
ถาม : ทำงานให้คนอื่นฟรีเพราะอยากช่วยเขา กับทำงานแล้วได้เงินมา แล้วนำเงินไปทำบุญ อย่างไหนดีกว่ากันครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับสภาพตอนนั้น ถ้าอยากช่วยเขาก็ช่วย ถ้าได้เงินแล้วอยากทำบุญก็ทำบุญ ไม่ใช่ไปรอที่ดีกว่าแล้วค่อยทำ ถ้าตายเสียก่อนก็พอดีไม่ต้องทำอะไรเลย

เถรี
07-05-2017, 19:12
ถาม : ทำไมคนเข้าวัดทำบุญถือศีล จึงหาคู่ครองได้ยากกว่าคนทั่วไปที่ไม่ได้เข้าวัดครับ ?
ตอบ : ไม่จริง...ขนาดบวชพระแล้วยังได้คู่ครองง่าย ๆ เลย..!

ถาม : เพื่อนผมสมัยเรียนแต่งงานมีลูกกันไปหมดแล้ว ส่วนผมเองกลับหาคู่ไม่ได้ หรือพอเจอคนถูกใจ สักพักก็มีเหตุให้ไม่สมหวัง ผมโดนตีกรอบให้ต้องอยู่คนเดียวหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่หรอก เป็นที่ตัวของเอ็ง...! การกระทำ รูปร่าง ฐานะ ไม่เป็นที่ถูกใจของผู้หญิงต่างหาก

เถรี
07-05-2017, 19:13
ถาม : ผมสงสัยครับว่า คนที่เกิดมามีวิสัยเพื่อบวชโดยเฉพาะ จะมีลักษณะพิเศษอะไรที่แตกต่างไปจากคนอื่นไหมครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วไม่มี ก็เป็นมนุษย์ปกติทั่ว ๆ ไปนั่นเอง เพียงแต่ว่าเขามีความดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ จะทำอะไรก็ทำจริง

ถาม : เนกขัมมบารมี เกี่ยวไหมครับว่าเป็นบารมีสำหรับคนที่บำเพ็ญมาเยอะพอควรแล้ว คนบารมีต้นไม่สามารถจะบำเพ็ญเนกขัมมบารมีได้ ?
ตอบ : เนกขัมมบารมีก็มีบารมีต้น มีบารมีกลาง มีบารมีปลายเหมือนกัน บารมีต้นก็บำเพ็ญแบบต้นสิ

ถาม : คนที่อยู่ในเพศนักบวช เช่น อยู่ในผ้าเหลืองได้นาน แสดงว่าเขาต้องภาวนาเยอะหรือครับ จึงอยู่ในเพศนั้นได้นาน ?
ตอบ : บางคนอยู่เพราะอยากเป็นเจ้าคุณ...!

ถาม : ผมขอคำแนะนำสำหรับคนที่ต้องการอยู่ในผ้าเหลืองให้นาน ๆ ด้วยครับ
ตอบ : เอาผ้าเหลืองห่มตัวไว้ อย่าให้ใครเอาไปได้...!

เถรี
07-05-2017, 19:16
ถาม : ตอนนี้อยู่กับแม่และพี่ แต่มักมีเรื่องให้ทะเลาะกันกับแม่ ข้าพเจ้าก็พยายามไม่พูดไม่เถียง แต่บางครั้งคำพูดของแม่ก็ทำให้มีอารมณ์โกรธขึ้นมาบ้าง ก็จะพูดกับแม่ด้วยเสียงดังตะคอก อยากทราบว่าทำเช่นไรจึงจะระงับความโกรธนี้เสียได้ แล้วการทำเช่นนี้กับแม่เป็นบาปมากหรือไม่ ?
ตอบ : บาปไม่มากหรอก เพราะว่าคุณบาปแค่คนเดียว...! รู้ตัวขึ้นมาก็พยายามเลี่ยงเสีย ถ้ารู้ว่าระงับอารมณ์ไม่อยู่ก็ยอมเสียมารยาทเดินหนีไปเลย

เถรี
07-05-2017, 19:23
ถาม : ผมสงสัยบัว ๔ เหล่าที่พระพุทธเจ้าท่านแยกไว้ ประเภทที่ ๔ ปทปรมะที่มากไปด้วยบทบาท คือ ไม่ยอมรับฟังความเห็นคนอื่น แปลว่าสังโยชน์ข้อมานะทิฐิท่านมีมากใช่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : โปรดเข้าใจเสียใหม่ พระพุทธเจ้าเทศน์ถึงบุคคลสี่จำพวกและบัวสามเหล่า แต่กลับมีคนรู้ดีและเอาไปยำรวมกัน จนกลายเป็นบัวสี่เหล่า

บุคคลสี่จำพวก คือ อุคฆติตัญญู เป็นผู้ที่ฟังข้อธรรมก็สามารถบรรลุมรรคผลได้เลย
วิปจิตตัญญู ฟังหัวข้อธรรมและได้รับการขยายความเล็กน้อย ก็สามารถเข้าถึงมรรคผลได้
เนยยะ เป็นผู้ที่ต้องปากเปียกปากแฉะ จ้ำจี้จ้ำไชอยู่เสมอ
ปทปรมะ เป็นบุคคลที่ไม่ยอมรับความคิดของคนอื่น ก็เลยไม่ได้ผลอะไร

คราวนี้ในเรื่องของบัว ท่านเปรียบไว้บัวสามเหล่า คือ บัวพ้นน้ำ กระทบแสงแดดก็บานเลย
ประเภทที่สอง บัวปริ่มน้ำ พร้อมที่จะโผล่พ้นขึ้นมาบานในวันรุ่งขึ้น
ประเภทที่สาม บัวใต้น้ำ รอที่จะโผล่ขึ้นมาในวันต่อ ๆ ไป

ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะเอาไปรวมกันเป็นบัวสี่เหล่า แต่ในพระไตรปิฎกมีแค่บัวสามเหล่า และบุคคลสี่เหล่า

ในส่วนของปทปรมะนั้นไม่ใช่แต่มากด้วยทิฏฐิมานะเฉย ๆ สักกายทิฏฐิยังเต็ม ๆ อีกด้วย ก็เลยทำให้ไม่ยอมรับคนอื่น คิดอยู่แต่ว่ากูดี กูแน่แล้ว

ถาม : แล้วบุคคลประเภทปทปรมะ ถ้าเขาต้องการเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า ท่านเหล่านี้ต้องโดนทำให้หมดมานะทิฏฐิก่อนหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นปทปรมะจริง ๆ ต้องรออีกหลายชาติ

เถรี
07-05-2017, 19:24
ถาม : ผมสงสัยว่าพระอนาคามีที่ท่านยังมีสังโยชน์เบื้องสูง ๕ ประการอยู่ ตัวสุดท้ายคืออวิชชา แปลว่ารู้ไม่หมด พระอนาคามีท่านรู้ไม่หมดในเรื่องอะไรครับ ?
ตอบ : ในเรื่องของการที่จะไปพระนิพพาน

ถาม : แล้วท่านทำให้อวิชชาหมดไปจนได้เป็นพระอรหันต์อย่างไรหรือครับ ?
ตอบ : ก็แค่ "ละวาง" เท่านั้น

เถรี
07-05-2017, 19:31
ถาม : ผมอ่านประวัติพระพุทธเจ้าแล้วไปสงสัยเรื่องอสิตดาบส ที่ท่านมีฤทธิ์มาก ทรงฌานสมาบัติ ๘ เป็นปกติ แล้วท่านทำนายว่าพระโพธิสัตว์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า อสิตดาบสก็ร้องไห้เพราะรู้ว่าตัวเองจะตายก่อนที่พระโพธิสัตว์จะตรัสรู้ พอท่านตายก็ไปเกิดเป็นอรูปพรหม ในจุดนี้ผมสงสัยในเมื่อท่านเข้าทรงฌานสมาบัติเป็นปกติและเก่งมาก ทำไมอสิตดาบสท่านไม่เข้าฌาน ๑-๕ จะได้เป็นรูปพรหมแล้วได้ฟังธรรมละครับหลวงพ่อ ?
ตอบ : คุณตีตั๋วเครื่องบินจะไปเชียงใหม่ พอขึ้นเครื่องบินไปแล้วบอกว่าจะลงแค่พิษณุโลก จะมีใครให้คุณลงไหม ? อย่าลืมว่าฌานคือความเคยชิน เมื่อทำจนเคยชินจะเข้าไปสู่จุดที่ตนเองเคยชินโดยอัตโนมัติ เหมือนกับคนที่ประกอบไปด้วย รัก โลภ โกรธ หลง เป็นปกติ ถึงเวลาจิตก็วิ่งไปหากิเลสโดยอัตโนมัติ ลักษณะเดียวกัน

ดังนั้น...จึงไม่สามารถที่จะระงับยับยั้งตัวเองไม่ให้ไปเกิดเป็นรูปพรหมได้

ถาม : ผมตั้งใจว่าชาตินี้อยากจะทรงสมาบัติ ๘ แต่ผมเกรงว่าก่อนตายผมพลาดดันไปเข้าอรูปฌานแล้วเกิดเป็นอรูปพรหม โดยเฉพาะในกัปนี้ถ้าพลาดเข้าอรูปฌาน ผมพลาดพระพุทธเจ้าถึง ๕ พระองค์เลย เลยอยากถามหลวงพ่อว่าพอจะมีวิธีแก้การเข้าฌานพลาดหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ทรงสมาบัติ ๘ เกาะพระนิพพานเป็นปกติ

เถรี
07-05-2017, 19:36
ถาม : การที่จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิได้ต้องมีแก้ว ๗ อย่าง ๑ ในนั้นคือนางแก้ว ผมสงสัยว่าทำไมนางแก้วถึงสำคัญขนาดว่าจำเป็นที่ต้องมีถึงจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ? แล้วพระเจ้าจักรพรรดิสามารถเกิดในยุคที่มีพระพุทธเจ้าได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าบอกว่านางแก้วไม่สำคัญ เอ็งก็ลองดูซิว่า ถ้าไม่มีแม่แล้วเอ็งจะเกิดได้ไหม ? พระเจ้าจักรพรรดิจะเกิดเฉพาะช่วงโลกว่างจากพระพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะท่านเป็นผู้นำในหมู่ชน ถ้าเกิดยุคเดียวกันจะเป็นการแข่งบุญกัน และทำให้คนจำนวนหนึ่งเสียโอกาสที่จะเข้าถึงมรรคผลได้ เพราะไปยึดในตัวท่านแทนที่จะไปฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า

เถรี
07-05-2017, 19:45
ถาม : คุณยายอายุ ๘๐ ปีกว่า ต้องการถวายที่ดิน ๒ แปลงให้วัด แต่ละแปลงเนื้อที่ไม่ถึง ๑ ไร่ มีบ้านเช่า ให้ญาติพักอยู่ดูแลให้ (แต่ไม่ค่อยเก็บเงินส่งให้คุณยาย) ทั้งสองแปลงอยู่คนละจังหวัด มีราคาสูงพอสมควร พอไปเสนอเจ้าอาวาสวัดหนึ่ง ท่านให้จดทะเบียนเป็นของวัดเลยเพื่อที่วัดจะได้ไม่ต้องมีปัญหาฟ้องร้องเป็นคดีในอนาคต โดยทางเจ้าอาวาสจะให้ลูกศิษย์มาพักดูแลให้ คุณยายตกลงใจจะจดทะเบียนโอนให้วัด แต่ขอทำสัญญาให้คุณยายมีสิทธิ์เก็บค่าเช่า ให้คนดูแล (ที่วัดมอบหมาย) โอนเงินค่าเช่าเข้าบัญชีจนกว่าคุณยายจะเสียชีวิต และหากญาติที่อยู่ปัจจุบัน ถ้าหาที่อยู่ไม่ได้ ก็ให้มีสิทธิ์เข้ามาอยู่ในที่ดินได้

ตอนแรกข้าพเจ้าเห็นคุณยายกังวล จึงอยากจะช่วยให้สบายใจ แต่มาคิดรู้สึกสงสัย การจดทะเบียนตามความประสงค์ของคุณยายไม่น่าจะเป็นปัญหา แต่การที่คุณยายยกถวายจดทะเบียนที่ดินให้วัดไปแล้ว ที่ดินต้องเป็นธรณีสงฆ์ เป็นของวัด ไม่ใช่ของคุณยาย คุณยายได้ค่าเช่ามาใช้จะเป็นหนี้สงฆ์หรือไม่ ?

ตอบ : ไม่เป็น...เพราะก่อนจะเป็นของสงฆ์ยังเป็นของยายอยู่ และมีการระบุเจตนารมณ์ในสัญญาชัดเจนอยู่แล้ว แต่ถ้าทำอย่างที่ว่ามาจะมีปัญหาภายหลังตรงญาติ เพราะดันไประบุว่าถ้าญาติเดือดร้อนก็เข้ามาอยู่ได้ ต่อให้ยายตายไป ๕ ปี หรือ ๑๐ ปี สัญญานั้นก็ยังมีผลอยู่

เพราะฉะนั้น...การจดทะเบียนต้องระบุว่าทุกอย่างจะสิ้นสุดลงเมื่อยายเสียชีวิตแล้ว ไม่อย่างนั้นญาติสามารถอ้างสิทธิ์แล้วเข้ามาอาศัยอยู่ได้ตามสัญญา พระท่านก็ไม่รู้จะไปคัดง้างอย่างไร เพราะว่าในสัญญาระบุไว้ชัดอย่างนั้น

เถรี
07-05-2017, 20:09
ถาม : ถ้าอาหารวัดมีมากพอ (จนน่าจะเหลือ) แต่เรายังคิดห่วงกังวลกลัวอาหารที่ชอบ ๆ จะโดนคนอื่นตักไปหมดก่อน หรือการเลือกรับประทานอาหารที่เราชอบและอร่อย โดยไม่ใช่เพื่อรักษาร่างกาย ดูแลสุขภาพหรือป้องกันโรค แบบนี้เป็นกิเลสใช่หรือเปล่า ?
ตอบ : นอกจากจะเป็นกิเลสแล้วยังพาให้ลงนรกด้วย แสดงว่าไม่เคยพิจารณาในอาหาเรปฏิกูลสัญญาเลย

ถาม : ขอพระอาจารย์แนะนำวิธีแก้ไข ตัดใจในเรื่องนี้ด้วยครับ ?
ตอบ : พยายามพิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญาให้มาก ๆ เข้าไว้ กินดีแค่ไหนท้ายสุดก็เป็นขี้เหมือนกัน..!

เถรี
07-05-2017, 20:10
ถาม : ชอบอ่านทศชาติชาดกมาก แต่ไม่ค่อยเข้าใจในชาติ "นารทชาดก" ดูไม่ค่อยออกว่าชาดกชาตินี้ พระโพธิสัตว์บำเพ็ญอุเบกขาบารมีตรงไหน...? รู้สึกในชาตินี้บารมีหลักนำจะไม่เด่นชัดเท่าชาติอื่น
ตอบ : ไม่ชัดตรงไหน ? อุเบกขาบารมีคืออะไร ? ให้ไปทำความเข้าใจกับอุเบกขาบารมีเสียใหม่ แล้วค่อยไปอ่านนารทชาดกใหม่ ถ้าไม่เข้าใจอีกทีก็มาถามใกล้ ๆ นี่...!

เถรี
07-05-2017, 20:15
ถาม : กรณีศรัทธาพระที่ปาราชิก เป็นเพียงผู้นำจีวรมาห่ม นำศาสนามาบังหน้าหารายได้ สร้างความร่ำรวยให้ตน แต่ผู้ศรัทธาถือศีลห้าเคร่งครัด พยายามไม่ทำบาป โดยรวมเป็นคนดีอยู่ จะเข้าวัด ทำบุญ นั่งสมาธิ กับพระที่ปาราชิกนั้นเสมอ โดยพวกเขาเชื่อมั่นว่าเป็นพระปฏิบัติดี ได้ทำบุญในพระพุทธศาสนา แบบนี้ผู้ที่ศรัทธาไม่เป็นไรใช่ไหม
ตอบ : ไม่เป็นไร เพราะสิ่งที่เขาทำเป็นความดีทั้งหมด

ถาม : ถ้านักบวชนั้นสอนผิด มีแอบบิดเบือนพระธรรมคำสอนแทรกลงในพระธรรมของจริง มีมากบ้าง น้อยบ้าง ผู้ศรัทธาเข้าไปเป็นกำลังหลัก สนับสนุนการเผยแผ่คำสอนผิด ๆ ที่ได้ปลอมปนมานั้น ด้วยความไม่รู้ ไม่สามารถแยกแยะว่าตรงไหนมีคำสอนผิด หลงคิดว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าแท้จริง จะเป็นโทษและบาปต่อผู้ที่ไปช่วยเผยแผ่หรือไม่ ?
ตอบ : ทำโดยไม่รู้มีโทษน้อย ถ้าทำโดยรู้เท่ากับเป็นการทำลายพระธรรม มีโทษหนักมาก

ถาม : สามารถจะแก้ไขได้อย่างไรบ้าง ?
ตอบ : เลิกทำ

เถรี
07-05-2017, 20:16
ถาม : ควรจะทำบุญอะไร ถึงจะได้มีปัญญา ไม่ไปหลงบำรุง ให้การสนับสนุน ศรัทธาคนผิด ได้เจอกัลยาณมิตรนำพาไปสู่การเป็นสัมมาทิฏฐิ ?
ตอบ : ตายแล้วไปเกิดใหม่ แต่ก่อนที่จะตายรีบทำบุญแล้วอธิษฐานไว้ด้วยว่า ขออย่าให้เจอเรื่องเหล่านี้

เถรี
07-05-2017, 20:17
ถาม : ในฐานะที่เราเป็นลูก เมื่อเตือน ห้ามไม่ได้ ในกรณีพ่อแม่หลงผิด นอกจากทำใจอุเบกขา ควรจะทำอย่างไรอีกหรือไม่ถึงจะช่วยท่านได้ ?
ตอบ : รู้ได้อย่างไรว่าพ่อแม่หลงผิด อาจจะเป็นเอ็งหลงผิดอยู่คนเดียวก็ได้..! ถ้าห้ามท่านไม่ได้ ก็ห้ามใจตัวเอง จะได้ไม่ไปเศร้าหมอง

เถรี
07-05-2017, 20:19
ถาม : บางครั้งขณะผมนอนหลับจะมีอาการกระตุกคล้ายตกที่สูง เรียนถามพระอาจารย์พอจะมีวิธีแก้ไขหรือรักษาอาการของกระผมอย่างไรได้บ้างครับ ?
ตอบ : อันดับแรก...ภาวนาก่อนนอนให้อารมณ์ใจทรงตัว อันดับที่สอง...ถ้ายังแก้ไขไม่ได้ให้ภาวนาบทกรณียเมตตสูตรก่อนนอน

เถรี
07-05-2017, 20:20
ถาม : กระผมเข้ามาทำงานที่กรุงเทพ ฯ และเก็บวัตถุมงคลมากมาย (ส่วนมากวัตถุมงคลวัดท่าขนุน) ไว้ในห้องนอน ไว้ในบ้านที่ต่างจังหวัด โดยไม่ได้กลับบ้านหลาย ๆ วัน หลาย ๆ สัปดาห์ (มีพ่อและแม่อยู่บ้านบางเวลา) ผมขอกราบเรียนถามพระอาจารย์ว่ามีวิธีฝากบ้านไว้กับพระ เพื่อป้องกันไม่ต้องขโมยขึ้นบ้าน ไม่ให้ไฟไหม้บ้าน ไม่ให้เกิดเหตุให้เสียทรัพย์ได้หรือไม่ ?
ตอบ : ฝากบ้านไว้กับตำรวจจะดีกว่า..!

เถรี
07-05-2017, 20:25
ถาม : ปรจิตวิชาและเจโตปริยญาณ ใช่แบบเดียวกันหรือไม่ ?
ตอบ : การกำหนดใจเพื่อรู้ใจคนอื่น ถ้าภาษาบาลีเรียกว่าเจโตปริยญาณ แต่ก็มีนักวิชาการที่พยายามบัญญัติศัพท์ขึ้นมาใหม่เป็นปรจิตวิทยา ความหมายเดียวกัน เป็นสิ่งที่ทำเหมือน ๆ กัน

ถาม : ผู้รู้วิชา ๒ อย่างนี้ สามารถรู้ความคิดและวาระจิตผู้อื่น แล้วจะสามารถรู้เท่าทัน อ่านกิเลสตัณหาในจิตของตนเองกับผู้อื่นได้หรือไม่ ?
ตอบ : ตัวเองรู้เท่าไรก็รู้คนอื่นได้เท่านั้น ไม่สามารถรู้ได้เกินกว่าของตน

ถาม : หากว่ากิเลสอยู่นิ่ง ๆ ไม่แสดงเป็นมโนกรรมออกมา วิชาพวกนี้สามารถรู้อ่านเท่าทันได้หรือไม่ ?
ตอบ : มีกิเลสชนิดไหนที่อยู่นิ่ง ๆ บ้าง ?

เถรี
07-05-2017, 20:27
ถาม : อภิญญาของปุถุชนที่ยังมีกิเลส ยังไม่เป็นพระอริยเจ้า มีโอกาสจะที่ถูกมารทั้งหลายลวงหลอกจนเสียที จนถึงขั้นจะลงอบายภูมิได้เสมอใช่หรือไม่ ?
ตอบ : โดนหลอกตั้งแต่เริ่มฝึกแล้ว

ถาม : ดังนั้นควรใช้หลักอะไรป้องกันการเสียที พลาดต่อกิเลส ?
ตอบ : พยายามวิ่งเข้าหาหลักการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น คือ อารมณ์พระอริยเจ้าโดยตรง

เถรี
07-05-2017, 20:29
ถาม : "กาม" หากว่าคนแก่ชรา หมดสมรรถภาพทางการสืบพันธุ์ ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย "กาม" นี้ยังไม่ไปใหน ยังคงอยู่ในจิต เพียงแต่มันอยู่นิ่ง ๆ ไม่แสดงอะไร แบบพักผ่อนรอเวลาที่จะทำงานแผลงฤทธิ์อีกครั้งในการเกิดใหม่ต่อไปใช่หรือไม่ ?
ตอบ : เข้าใจคำว่า "กาม" แค่มุมเดียว กามะ แปลว่า ความใคร่ แม้กระทั่งต้องการอยู่ ไม่ต้องการตาย ก็เป็นกาม

ถาม : ทำอย่างไรกามถึงจะทำอะไรเราไม่ได้ คือช่วงเวลากลางวันจะระวังได้ แต่เวลานอน ช่วงตอนจะเคลิ้มใกล้จะหลับ เคยเจอกามออกมาก่อกวน เกือบเผลอบ้าง แต่พอตั้งสติได้ภาพหายวับไปทันที แบบนี้ต้องป้องกันอย่างไรถึงจะไม่เผลอพลาดตอนหลับ ?
ตอบ : เป็นพระอนาคามี...!

เถรี
07-05-2017, 20:33
ถาม : สังฆทาน นอกจากอาหาร ถ้าพระสงฆ์ทำการอปโลกน์แล้ว ฆราวาสทั้งผู้ไปทำบุญและเจ้าหน้าที่วัดต่างสามารถเลือกขนนำมาเป็นของตนได้ตามประสงค์หรือไม่ ?
ตอบ : เขาอปโลกน์แต่อาหาร "บัดนี้ท่านทายกทายิกาผู้มีจิตศรัทธาได้น้อมนำมาซึ่งภัตตาหาร" ไม่ได้น้อมนำมาซึ่งสังฆทาน เพราะฉะนั้น...อะไรที่นอกเหนือจากภัตตาหารที่พระฉันแล้วเป็นโทษทั้งสิ้น

เถรี
08-05-2017, 07:42
ถาม : การใช้คาถาอภิญญารวม (โสตัตตะภิญญา) เวลาฝึกและใช้ต้องกำหนดลมหายใจเป็นสามฐานจนถึงฌานสี่ใช่ไหมครับจึงจะเกิดผล ?
ตอบ : จะกำหนดกี่ฐานก็ได้ เริ่มตั้งแต่อุปจารฌานเป็นต้นไปก็จะเริ่มมีผล

เถรี
08-05-2017, 07:43
ถาม : ทำบุญหรือทำประการใดจึงจะทำให้เราเป็นผู้มีตบะเดชะ เป็นที่น่านับถือ น่าเกรงขาม มีผู้คนเกรงใจครับ ?
ตอบ : อันดับแรก...สร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ๆ ยิ่งใหญ่ยิ่งดี อันดับที่สอง...พยายามสร้างฌานสมาบัติให้เกิดแก่ตน ทำสองอย่างเสร็จแล้วก็ไปเกิดใหม่..!

เถรี
08-05-2017, 07:45
ถาม : ทำบุญหรือทำประการใดจึงจะทำให้วาจาของเราเป็นที่น่านับถือ พูดแล้วมีคนเชื่อครับ ?
ตอบ : เว้นจากการละเมิดคนที่เขารักของที่เขารักในทุกชาติ

เถรี
08-05-2017, 07:47
ถาม : การกินพระพุทธเจ้าห้าพระองค์เนื้อยาจินดามณีไปทั้งองค์นั้น จะมีโทษทำลายรูปพระหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ตอนกินได้ทำลายไหม ? ตั้งใจกินยาหรือตั้งใจกินพระ ? วางกำลังใจผิดก็ซวยเอง

เถรี
08-05-2017, 07:48
ถาม : การทำลายรูปพระอริยสงฆ์ จะเป็นบาปเหมือนการทำลายรูปพระพุทธเจ้าหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ต่อให้เป็นพระสงฆ์ธรรมดาก็บาป แต่ก็ไม่เท่ากับการทำลายรูปพระพุทธเจ้า

เถรี
08-05-2017, 07:56
ถาม : กราบเรียนถามหลวงพ่อเกี่ยวกับการทำแท้งครับว่า เด็กในครรภ์นับว่ามีชีวิตเมื่อใดครับ ?
ตอบ : ไม่สามารถจะนับได้ เพราะดวงจิตบางดวงก็ลงจับทันทีที่เชื้อของพ่อผสมกับแม่ บางดวงก็รออายุผ่านไปหลายอาทิตย์แล้วค่อยจับ ที่ยิ่งกว่านั้น...ดวงจิตบางดวงมาจับหลังจากที่คลอดออกมาแล้ว จึงไม่สามารถที่จะกำหนดได้ว่าเมื่อไรมีชีวิต ถ้าเพื่อความปลอดภัยก็คือ ทันทีที่ปฏิสนธิถือว่าเป็นชีวิตไปเลย

ถาม : การฝังห่วงอนามัยเพื่อคุมกำเนิด และการกินยาคุมฉุกเฉิน ซึ่งจะทำให้ไข่ที่ได้รับการผสมแล้วไม่สามารถเกาะผนังมดลูกของแม่ได้ จนหลุดออกไปนั้น นับเป็นกรรมปาณาติบาตหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ปาณาติบาตแปลว่าฆ่าสิ่งที่มีชีวิต สิ่งที่ว่ามานั้นมีชีวิตหรือยัง ?

เถรี
08-05-2017, 07:57
ถาม : การที่แพทย์ทำแท้งให้กับผู้ป่วยที่มีเหตุจำเป็น เช่น ผู้ป่วยเป็นมะเร็ง จำเป็นต้องได้รับยาเคมีบำบัด แต่กำลังตั้งครรภ์อยู่ เป็นต้น แพทย์จะมีบาปหรือไม่ ?
ตอบ : การทำลายชีวิตผู้อื่นบาปทั้งสิ้น เพราะทุกชีวิตก็อยากที่จะมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะอย่างไรก็พยายามดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองรอด เพราะฉะนั้น...ถ้าลงมือทำเมื่อไรก็มีโทษเมื่อนั้น

ถาม : สามารถแก้ไขได้อย่างไร ?
ตอบ : ก็อย่าทำ

ถาม : ขออโหสิกรรมกับเด็กจะช่วยแก้ไขได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : เด็กรู้เรื่องไหมล่ะ ? การขออโหสิกรรมต้องให้โจทก์และจำเลยอยู่ต่อหน้ากัน ต่างคนต่างกล่าวยกโทษให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง

เถรี
08-05-2017, 07:57
ถาม : การขายยาทำแท้ง โดยรู้หรือไม่รู้ว่าผู้ซื้อจะนำไปใช้เพื่อการใด จะมีบาปเท่ากับการช่วยทำแท้ง และทำแท้งเองหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เราขายยา ส่วนคนซื้อจะเอาไปทำอะไรเรื่องของเขา ไม่ต้องไปคิด

เถรี
08-05-2017, 07:59
ถาม : พระพุทธเจ้าห้าพระองค์เนื้อยาจินดามณี ถ้าไม่ได้กลืนเลย แต่เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืนได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไปลองทำดูแล้วจะรู้ว่าทำได้ไหม ?

เถรี
08-05-2017, 08:02
ถาม : ตามความเชื่อของคนทางเหนือที่เชื่อว่า การเลี้ยงกระดิ่งเงินกระดิ่งทองให้มีมาก แล้วจะทำให้มีลาภมาก เป็นความเชื่อที่มีผลจริงตามนั้นหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องเลี้ยง ไปซื้อหมูมาครึ่งกิโลกรัม ก็จะมีลาบแล้ว...! เลี้ยงอะไรไม่เลี้ยง ดันอยากเลี้ยงแมลง ถ้ามีลาภมากก็รวยกันหมดประเทศแล้วสิ

จำไว้เลยว่า เรื่องตีหัวเข้าบ้านพวกนี้จะมาเป็นระยะ ๆ เลี้ยงไอ้นั่นแล้วจะดี เลี้ยงไอ้นี่แล้วจะรวย แล้วยั่งยืนไหมล่ะ ? ล่าสุดก็ลูกเทพ คนขายรวยไปแล้ว ตอนนี้ยังมีใครเลี้ยงอยู่หรือเปล่า ?

เถรี
08-05-2017, 08:07
ถาม : หนูได้รับเชิญให้เข้าพบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของนอร์เวย์ เพื่อเสวนาในหัวข้อเรื่องศาสนากับสิทธิมนุษยชน ร่วมกับตัวแทนจากศาสนาอื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติที่อยู่ในนอร์เวย์ หนูจะเข้าร่วมในฐานะตัวแทนชาวพุทธ จึงได้รับมอบหมายให้พูดสั้นๆ เรื่อง "พุทธศาสนากับสิทธิสตรี" กราบขอเมตตาเรียนสอบถามว่าหลวงพ่อมีความเห็นอย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : เรื่องของสิทธิมนุษยชนพระพุทธเจ้าท่านให้ไว้ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย เพศที่สาม เพศที่สี่

พื้นฐานเลยก็เรื่องของศีลห้า เราเคารพสิทธิผู้อื่นจึงไม่ไปฆ่าฟัน ไม่ไปทำร้ายเขา เราเคารพสิทธิของผู้อื่น เราจึงไม่ไปลักขโมย ไม่ไปหยิบฉวยของที่เขาไม่ได้ให้ เป็นต้น ฯลฯ เพราะฉะนั้น...สิทธิอะไรก็ตามพระพุทธเจ้าท่านได้ให้ไว้ครบถ้วนแล้วตั้งแต่ต้น กล่าวถึงตรงจุดนี้แล้วโยงไปว่าผู้หญิงของเราต้องทำอะไรเกี่ยวกับศีลห้าบ้าง

ถาม : การได้เกิดเป็นหญิงไทย เราได้รับสิทธิ์และมีข้อจำกัดด้านสิทธิ์อย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : ไปถามรัฐบาล...!

ถาม : และพุทธศาสนาส่งผลต่อสิทธิสตรีหรือไม่ อย่างไรเจ้าคะ ?
ตอบ : อย่างที่บอกไปแล้ว

เถรี
08-05-2017, 08:13
ถาม : ถ้ามีพระสงฆ์มาบิณฑบาต เราไม่ได้เตรียมอาหารไว้ แล้วนำเงินใส่บาตรแทน จะผิดหรือถูก และมีคุณมีโทษประการใดหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่ว่าผู้ให้และผู้รับตั้งเจตนาไว้อย่างไร

ถ้าผู้ให้ตั้งเจตนาว่า "เราใส่บาตรด้วยเงิน พระจะต้องอาบัติแน่ ๆ" แปลว่าผู้ให้ผิด
ถ้าผู้รับตั้งใจว่า "ขอให้เขาใส่เงิน ไม่ใช่อาหาร" ผู้รับผิด
แต่ถ้าผู้ให้ตั้งใจว่า "สิ่งนี้แทนปัจจัยสี่ พระคุณเจ้าขาดเหลืออะไรจะได้นำไปใช้" ผู้ให้ก็ให้ถูก
ถ้าผู้รับเห็นปัจจัยแล้วตั้งใจว่า "ญาติโยมให้มาด้วยศรัทธา เราควรจะเอาไปใช้ในส่วนของสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทานและกองบุญการกุศล" ผู้รับก็ตั้งกำลังใจถูก

เพราะฉะนั้น...ขึ้นอยู่กับกำลังใจของผู้ให้และผู้รับว่าตั้งไว้อย่างไร จะถูกจะผิดอยู่ที่ตรงนั้น

เถรี
08-05-2017, 08:16
ถาม : กระผมนั่งสมาธิเฉลี่ย ๓๐ นาทีทุกวัน ตามเทปกรรมฐานของหลวงพ่อครับ แต่ระยะหลังผมนำพระไตรรัตนจักรของหลวงพี่เอกมาถือไว้ในมือแล้วนั่งสมาธิ จะทำให้นั่งนิ่งขึ้น และจับภาพพระได้ชัดเจนแจ่มใสขึ้น แต่นั่งได้เพียง ๒๐ นาทีโดยเฉลี่ยครับ กราบเรียนถามว่ากระผมควรทำอย่างไรให้นั่งสมาธิได้นาน ๆ ครับ ?
ตอบ : ถ้าถือไว้มือเดียวก็ควรที่จะเพิ่มเป็นถือสองมือ...!

เถรี
08-05-2017, 08:18
ถาม : การที่นั่งพับเพียบสวดมนต์ไม่ได้ เนื่องจากเป็นโรคปวดเข่า จึงนั่งขัดสมาธิแทน ถือว่าเป็นการปรามาสหรือไม่ ? และที่ถูกต้องควรปฏิบัติอย่างไร ?
ตอบ : ถ้านั่งพับเพียบไม่ได้ ควรจะนั่งเก้าอี้ห้อยเท้ามากกว่า

เถรี
08-05-2017, 08:18
ถาม : การอุทิศส่วนบุญให้กับสัตว์ที่เราได้ซื้อนำมากินเป็นอาหาร จะอุทิศช่วงเวลาสวดมนต์ก่อนนอนได้หรือไม่ ?
ตอบ : เวลาไหนก็ได้ ขอให้มีกำลังใจอุทิศส่วนกุศลถึงเขาบ้าง

เถรี
08-05-2017, 08:20
ถาม : การที่ตัวเราทำบุญให้กับคนในครอบครัวที่มีชีวิตอยู่ หลังจากนั้นเมื่อเราได้พบกับเขา เราจะบอกเขาว่า "เราได้ให้เงินกับเขาจำนวนเท่านี้บาท และเราก็ได้นำเงินนั้นไปทำบุญในงานบุญนั้น ๆ ให้กับเขาแล้ว ขอให้เขาอธิษฐานและอนุโมทนา" ลักษณะเช่นนี้ถือว่าเขาจะได้รับบุญ ๑๐๐ เปอร์เซนต์เต็มหรือไม่ ?

ตอบ : เขาอาจจะลงนรกไปเลย เพราะเราไปบอกว่าให้เงินเขา แต่เขาไม่ได้คิดจะทำบุญ เขาคิดจะเอาเงินไปใช้อย่างอื่น กำลังใจของแต่ละคนไม่เท่ากัน เราไปบอกว่าให้เงินเขาจำนวนเท่านี้ แต่เราเอาเงินไปทำบุญ อาจจะผลักเขาให้ลงนรกเร็วขึ้น

เถรี
08-05-2017, 08:29
ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม สภาพจิตยิ่งละเอียดจะยิ่งรู้เห็นโทษมากขึ้น จะพยายามปรับปรุง กาย วาจา ใจ ของตนเองให้ดีขึ้น จะพยายามไม่ให้เป็นทุกข์ เป็นโทษแก่คนอื่น

เรื่องเหล่านี้จะมาพร้อมกับกำลังใจที่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ บุคคลที่กำลังใจสูงย่อมเห็นโทษมากกว่าบุคคลที่กำลังใจต่ำ เหมือนกับบุคคลซึ่งอยู่ในที่สูงกว่า ย่อมมองได้ไกลกว่าบุคคลซึ่งอยู่ในที่ต่ำ

บางเรื่องที่ถามไป กำลังใจของคนถามไม่เท่ากัน ถ้าตอบชัด ๆ สำหรับคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งไปคิดว่าเหมือนกันก็บรรลัยเลย หลายคนก็ไม่รู้หนักรู้เบา ถือเอาคำตอบเป็นมาตรฐานร้อยเปอร์เซ็นต์ทั้ง ๆ ที่ตนเองไม่ได้ตั้งคำถามที่เป็นมาตรฐาน ถึงเวลาได้รับคำตอบนั้นไปก็ถือว่ามาตรฐานนั้นถูก ดีไม่ดีก็เอาไปคัดง้างกับคนอื่นอีกด้วย

เถรี
08-05-2017, 08:50
พระอาจารย์กล่าวว่า "การนั่งขัดสมาธิฟังเทศน์ หรือสนทนากับพระ หรือสวดมนต์อย่างที่ว่า เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ ถ้าจำเป็นจริง ๆ นั่งพับเพียบไม่ได้ ก็หาเก้าอี้เตี้ย ๆ มานั่งยอง ๆ หรือไม่ก็นั่งเก้าอี้ห้อยขาไปเลย"

เถรี
08-05-2017, 09:10
ถาม : เห็นเพื่อนบอกว่า คำว่า นาค กับ ช้าง คือ ความหมายเดียวกันหรือครับ ?
ตอบ : นาคะ แปลว่า ผู้ประเสริฐ, แปลว่า ผู้เป็นใหญ่, แปลว่า ผู้ฝึกดีแล้ว, แปลว่า ช้าง, และหมายถึงงูใหญ่อีกความหมายหนึ่ง

เถรี
08-05-2017, 09:13
ถาม : เรื่องภาพพระ ระหว่างแก้วใสธรรมดากับแก้วใสที่ละเอียด เหมือนหรือมีความต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : อันดับแรก จับภาพให้ได้ก่อน ถ้าจับได้แล้วค่อยว่ากันอีกทีหนึ่ง

ถาม : ถ้าภาพพระใสแบบนี้ครับ ?
ตอบ : ไม่ได้ถือเป็นสาระ ให้กำลังใจจับว่าเป็นแก้วก็แล้วกัน วัตถุในการจับยิ่งใสมากเท่าไร ก็ยิ่งจับได้ยากเท่านั้น

เถรี
08-05-2017, 09:35
ถาม : มีวีดีโอในการฝึกอสุภกรรมฐาน ที่เห็นศพหรือเห็นร่างกายไม่ดี ?
ตอบ : ไร้ประโยชน์

ถาม : ถ้าดูจบแล้ว เหมือนเป็นการฉุกใจในร่างกายตัวเอง ดูได้สักพักหนึ่ง แล้วมีความรู้สึกไม่อยากจะดูต่อ ถ้าอย่างนี้แปลว่าใจตัวเองไม่ยอมรับว่าร่างกายห่วยแตกหรือครับ ?
ตอบ : ข้ามขั้นตอนมากจนเกินไป อันดับแรกต้องกำหนดภาพให้ติดตาติดใจก่อน หลังจากนั้นจึงจะมาพินิจพิจารณาอีกทีหนึ่ง ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำอะไรเลยแล้วจะไปดูให้ยอมรับทีเดียว

ในเมื่อข้ามขั้นตอนจนเกินไป กำลังใจไม่ยอมรับก็เป็นเรื่องปกติ แต่วิดีโอเกี่ยวกับบรรดาอสุภกรรมฐานต่าง ๆ แทบจะไร้ประโยชน์ เพราะว่าไม่มีกลิ่น..!

ถาม : แล้วอสุภะสามารถจับควบคู่กับภาพพระได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าจะเอาก็เอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ทำให้ได้แน่นอนไปก่อนแล้วค่อยทำอย่างอื่น ไม่ใช่เด็กเพิ่งหัดเดิน แต่กูจะเขียน ก.ไก่ พร้อมกับเล่นดนตรีไปด้วย

เถรี
08-05-2017, 10:12
ถาม : ถ้าในระหว่างวันเราพยายามจะกำหนดรู้ คิดหนอ เดินหนอ ซ้ายหนอ ขวาหนอ ปวดหนอ แต่ไม่ได้ตลอดเวลา ซึ่งได้แค่ขณิกสมาธิ อย่างนี้ถือว่ามีประโยชน์บ้างไหมครับ ?
ตอบ : ก็ยังดีกว่าคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่วทั้งวัน..!

ถาม : ทำอย่างไรจะก้าวหน้าไปกว่านี้ ?
ตอบ : วันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง เราก็ทำไป ๒๕ ชั่วโมงสิ ไม่ใช่วันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง เราก็มาภาวนาสัก ๓๐ นาที ที่เหลืออีก ๒๓ ชั่วโมงครึ่งไหลตามกิเลสไป ก็คงจะก้าวหน้าไวอยู่หรอก...!

ลองไปนึกถึงการว่ายน้ำดู เราว่ายทวนน้ำมา ๓๐ นาที แล้วปล่อยให้ไหลตามน้ำ ๒๓ ชั่วโมงครึ่ง จะหาความก้าวหน้าได้ไหม ?

เรื่องของการปฏิบัติธรรมไม่มีทางลัด มีแต่ทางตรง จำไว้ว่าทางตรงเป็นทางที่สั้นที่สุด จะลัดไปแบบไหนก็ตาม มีแต่จะกลายเป็นอ้อมไกลกว่าทั้งนั้น

ถาม : ทางตรง คือเราต้องทำตัวเองเป็นหลัก ?
ตอบ : ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นทางที่ตรงที่สุดแล้ว

เถรี
08-05-2017, 13:36
ถาม : พระกริ่งเนปาล พระโพธิสัตว์ที่เป็นผู้แทน เป็นองค์ไหนครับ ?
ตอบ : ถามท่านดูสิ...! เคยบอกหลายครั้งแล้วว่า การถามปัญหาให้ถามในส่วนที่ติดขัดในการปฏิบัติของเรา ไม่ใช่อยากรู้อะไรก็ถามฟุ้งซ่านไปทุกเรื่อง นอกจากไม่มีประโยชน์แล้วยังมีโทษอีกด้วย พอถึงเวลาก็เอาไปคุยกับคนอื่น เขาไม่เชื่อเถียงขึ้นมาก็ทะเลาะเบาะแว้งกัน กิเลสเกิดขึ้นท่วมหัวอีก

ถาม : แต่ถ้าเราถามแล้ววางกำลังใจว่า เพื่อตอบแทนผู้มีพระคุณ ?
ตอบ : แล้วช่วยให้การปฏิบัติของเราก้าวหน้าไหม ?

เถรี
08-05-2017, 14:11
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านหลังนี้เล็กเกินกว่าที่จะจัดงาน ในเมื่อคณะกรรมการอยากจะจัด ก็จะได้รู้เสียบ้างว่าการโดนเหยียบตายนั้นเป็นอย่างไร ? จำไว้ว่า...ถ้ากำลังน้อยอย่าจัดงานใหญ่ บ้านเท่าแมวดิ้นตายดันจัดงานทำบุญ จะดูว่าคนต้องนั่งขี่คอกันกี่ชั้นจึงจะพอนั่ง"

เถรี
08-05-2017, 14:23
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเติมบุญหลังนี้เกิดขึ้นจากแรงศรัทธาและการวิ่งเต้นของคุณณัฐพล สุขวัฒนศิริ และชมรมโมทนาบุญเว็บพลังจิต โดยคุณชยาคมน์ ธรรมปรีชา เจรจาขอเช่าสถานที่จากเจ้าของ ซึ่งเจ้าของดีใจมาก เพราะว่าถ้าคนอื่นมาเช่าอาจจะทำบ้านของเขาโทรมหมด แต่พอเรามาเช่าแล้วก็ซ่อมบ้านของเขาจนสวย

บ้านหลังนี้มีคุณภาพพิเศษ กลางคืนนอนอยู่ก็แกว่งเป็นไกวเปล ตอนรถพ่วงหรือรถสิบล้อวิ่งผ่าน...!

บ้านเริ่มเปิดมาตั้งแต่ปีใหม่ แปลว่านี่เข้าเดือนที่ ๕ จึงมีการทำบุญกัน ตอนแรกก็ตกลงกันว่าทำบุญวันที่ ๕ พฤษภาคม แต่อาตมาขอเลื่อนเป็นวันที่ ๖ พฤษภาคม โยมหลายคนก็บอกว่าวันที่ ๕ เป็นวันหยุด จะไปเลื่อนทำไม ? ตอนนี้ทุกคนก็รู้แล้วว่าวันที่ ๕ ไม่ใช่วันหยุด"

เถรี
08-05-2017, 14:25
มีโยมนำพระหลวงพ่อโต วัดบางกระทิง มาถวายพระอาจารย์ "กรุวัดบางกระทิง ส่วนใหญ่จะไปในทางอยู่ยงคงกระพัน ตามธรรมเนียมของการสร้างพระสมัยก่อนซึ่งยังมีศึกมีสงครามอยู่ จะเอาเหนียวนำหน้า

ยุคนี้เป็นยุคการค้า จึงเอาอานุภาพด้านซื้อง่ายขายคล่อง เมตตามหานิยมนำหน้า ยุคสมัยเปลี่ยน ความนิยมก็เปลี่ยนไปด้วย"

เถรี
08-05-2017, 15:10
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีพระเจ้า ๕ พระองค์ เนื้อยาจินดามณี หลุดมาเมื่อเช้านี้ ๕๐ องค์ ขนาดขึ้นราคาเป็นเท่าตัวก็ยังบูชากันจนหมด

เห็นเขาไปลงเว็บขายกัน ๑,๕๐๐ บาท ไม่ได้ลงทุนอะไรเลย นอกจากบูชาไป แล้วเพิ่มราคาเป็น ๑,๕๐๐ บาท สรุปว่าอาตมาโง่หรือเปล่า ? ทำแทบเป็นแทบตาย ขาย ๕๐๐ บาท เขาแค่จองบูชาเฉย ๆ ไปจำหน่ายต่อ ๑,๕๐๐ บาท..!"

เถรี
08-05-2017, 15:17
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๕ พฤษภาคม วันฉัตรมงคลยกเลิกไปแล้ว ต่อจากนี้ไปก็ไม่ใช่วันหยุดอีกแล้ว เพราะว่าวันฉัตรมงคลคือวันทำพิธีบรมราชาภิเษกอย่างเป็นทางการ ถ้าในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ทำพิธีบรมราชาภิเษกอย่างเป็นทางการวันไหน วันนั้นก็จะเป็นวันฉัตรมงคล ซึ่งจะเป็นคนละวันกับของเดิม

เมื่อทำพิธีบรมราชาภิเษกอย่างเป็นทางการก็จะเป็น "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" ถ้ายังไม่ได้ทำพิธีอย่างเป็นทางการ ก็เป็น "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" ต่างกันแค่นี้เอง หายสงสัยหรือยัง ? ว่าทำไมเขาเรียกไม่เหมือนกัน

แต่มีวันหยุดเพิ่มมา ๒ วัน ก็แปลว่าได้กำไร ๑ วัน คือ ยกเลิกวันหยุดวันที่ ๕ พฤษภาคมของทุกปี เปลี่ยนเป็นหยุดวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ และหยุดวันที่ ๑๓ ตุลาคม วันสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ ๙

สรุปแล้วประเทศไทยยังมีวันหยุดมากอยู่ดี ทำงานกันปีละไม่กี่วัน มิน่าว่าไม่เจริญสักที...! ถึงทางราชการไม่ประกาศวันหยุดยาวให้ เราก็ลาเสียเอง...ใช่ไหม ? ลาแทรกกลางสักวันสองวันก็ได้หยุดยาวไปเลย"

เถรี
08-05-2017, 15:20
มีโยมนั่งขวางทางเดิน "โยมเดินเข้ามาอีกหน่อย ไปนั่งขวางทางอยู่คนอื่นเขาเข้าไม่ได้ ส่วนใหญ่แล้วพวกเราไม่ค่อยจะสังเกตกัน ถึงเวลาก็นั่งแปะตามสบาย แต่ไปอุดทางเข้าพอดี ในเมื่อของหยาบ ๆ แค่นี้เรายังสังเกตไม่ได้ การจะสังเกตกำลังใจตัวเองซึ่งเป็นของละเอียดก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่"

เถรี
08-05-2017, 15:40
ถาม : ที่เราเห็นเป็นรูปเป็นร่างคือธาตุสี่มาประชุมกัน แล้วที่เราเห็นเป็นออร่าคือพลังงานที่อยู่ในนั้นก็อยู่ด้วยกัน ?
ตอบ : ออร่าคือพลังงานหรือพลังชีวิตที่เปล่งออกมา

ถาม : ที่ว่าธาตุสี่กับพลังชีวิตที่มารวม ๆ กัน เกิดขึ้นเพราะว่าเราไปนึกเอง เป็นกรรม หรือเป็นเพราะอะไร ?
ตอบ : ต้องมีอาหาร ลำพังธาตุ ๔ ก็คือธาตุ ๔ เมื่อมีจิตวิญญาณเข้ามาจับ ถ้าไม่มีอาหารหนุนเสริมอยู่ก็ไปไม่ได้ ดังนั้น...ส่วนประกอบจึงประกอบไปด้วย ธาตุ ๔ อาหาร อายุ ไออุ่น และวิญญาณ ไออุ่นที่ว่าก็คือพลังปราณหรือพลังชีวิต อายุคือความสั้นยาวของการที่เราจะคงอยู่ได้ เป็นไปตามกรรมที่สร้างมา

ถาม : เป็นพลังงานที่มีธาตุเบาบางมาก พลังงานอันนี้ไม่ใช่พลังชีวิตใช่ไหมคะ ?
ตอบ : อันนั้นเป็นพลังของจิตวิญญาณ เป็นต้นธาตุต้นธรรมของแต่ละคน

ถาม : ทั้งหมดนี่คือเรายึดไว้ทั้งหมดเลย ?
ตอบ : เราก็ยึดตัวเรา เขาก็ยึดตัวเขา

เถรี
08-05-2017, 15:42
ถาม : นอกจากมีปัญญาเห็นทุกข์เห็นโทษของร่างกายนี้แล้ว ไม่มีวิธีอื่นเลยหรือคะที่จะตัดออกจากร่างกายได้ ?
ตอบ : บางคนเห็นทุกข์แต่กำลังไม่พอก็ยังตัดไม่ได้เหมือนกัน ก็แปลว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องสมบูรณ์บริบูรณ์จริง ๆ จึงจะตัดร่างกายนี้ได้ ถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งบกพร่อง ก็ไม่สามารถที่จะพ้นไปได้

เถรี
09-05-2017, 09:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้มีหลายท่านยังแต่งดำอยู่ ซึ่งก็คือการไว้ทุกข์เนื่องจากการสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ ๙

ปกติแล้วทางราชการขอให้ไว้ทุกข์เนื่องในการนี้แค่ ๑๐๐ วัน ที่เหลือแล้วแต่ความตั้งใจของแต่ละคน แต่มีประชาชนจำนวนมากที่แต่งดำหรือยังคงติดโบดำอยู่ แสดงออกถึงการไว้ทุกข์

จะว่าไปแล้วในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงตรากตรำเพื่อไพร่ฟ้าประชากรมาตลอด ๗๐ ปี การที่เราจะไว้ทุกข์ถวายพระองค์ท่านสักปี ก็เป็นเรื่องที่สมควร สมัยอาตมาเด็ก ๆ บางครอบครัวที่พ่อแม่ตายเขาไว้ทุกข์ถึง ๓ ปี ระหว่างนั้นไม่สามารถจัดงานมงคลได้ กลายเป็นว่า ถ้ารักกันชอบกันถึงขนาดหมั้นหมายกันแล้ว ก็ยังต้องรออีก ๓ ปีถึงจะแต่งงานกันได้ เขาเรียกว่า ให้พ้นทุกข์เสียก่อน

อาตมาได้ยินคำว่าพ้นทุกข์ สมัยนี้ความหมายคนละอย่างกัน พ้นทุกข์ของพวกเราสมัยนี้หมายเอาการหลุดพ้นไปสู่พระนิพพาน พ้นทุกข์สมัยก่อนก็คือหมดเขตการไว้ทุกข์ บางคนก็เรียกว่าออกทุกข์

อะไรที่เป็นทุกข์คือสิ่งที่ต้องทน ในเมื่อเราใช้คำว่าไว้ทุกข์ จะแปลว่าต้องทนทำหรือเปล่า ?"

เถรี
09-05-2017, 09:38
"ที่เขาบอกว่าไม่ควรจัดงานรื่นเริง สงกรานต์จัดเป็นงานรื่นเริงหรือเปล่า ? เห็นเขาเล่นกันเต็มที่เลย อาตมาโดนน้ำแข็งเป็นถัง คนราดไม่รู้เหมือนกันว่าเอาอะไรคิด ถึงเวลาเทโครมลงมา น้ำแข็งหลอดเต็มหน้าตักเลย

ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาเห็นการสรงน้ำของญาติโยมแล้ว อาตมารู้สึกว่าเขาห่างวัดเกินไป ถึงเวลาสรงน้ำพระพุทธรูปก็ราดตั้งแต่เศียรพระลงไปเลย

การสรงน้ำพระเป็นการแสดงออกซึ่งความเคารพในพระรัตนตรัย เป็นการถวายของหอมเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ความหยาบละเอียดของกำลังใจเห็นได้ชัดมาก หลายท่านสรงน้ำถวายด้วยการรดที่พระหัตถ์ของพระพุทธรูป บางท่านก็รดที่พระอังสาคือที่บ่า แต่ว่าส่วนใหญ่ร้อยละ ๘๐-๙๐ รดที่พระเศียรคือรดหัวเลย กลัวพระพุทธรูปจะไม่เย็น...!

แม้แต่คนทั่ว ๆ ไป เราก็ไม่ควรที่จะไปราดหัวเขาอยู่แล้ว นี่ราดหัวพระพุทธรูปเล่นกันสนุกสนานเฮฮา ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่อนาถมาก แสดงออกถึงความหยาบของกำลังใจ ที่ไม่ได้ดูว่าอะไรสมควรหรือไม่สมควร"

เถรี
09-05-2017, 09:49
"ปีนี้ที่อาตมาโดนน้ำแข็งมากเพราะว่าคนแบกไม่ใช่แม็กซีม น้องแม็กซีมเป็นวัยรุ่น กล้ามเนื้อยังไม่แข็งแรงพอ แบกหลวงพ่อแล้วรู้สึกว่าไม่ไหวก็วิ่งเลย จึงไปถึงห้องสรงเร็ว โดนราดน้อยหน่อย ปีนี้คนแบกแข็งแรงกว่า ค่อย ๆ ไป จึงโดนน้ำแข็งเสียบานเลย ซึ่งความจริงถ้าทุกคนไปรอที่รางน้ำซึ่งทางวัดจัดไว้ให้ก็หมดเรื่องไป แต่ส่วนใหญ่แล้วอยากจะสรงกันชนิดตัวต่อตัวมากกว่า ก็เลยดักราดตอนอุ้มผ่าน

ความจริงมีอยู่งานหนึ่งที่อยากจะทำ ก็คือช่วงสงกรานต์ จัดให้มีการสรงน้ำพระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว แต่ยังไม่มีเวลาต่อกรง จะว่าไปก็น่าอนาถ จะสรงน้ำพระต้องต่อกรง..! ไม่อย่างนั้นมีตัวอย่างที่บางวัดพระธาตุหายทั้งผอบมาแล้ว สรงน้ำเสร็จก็คว้าติดมือไปเลย

ที่วัดพระบรมธาตุศรีจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ หลวงปู่ทองจัดสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุทุกปีก็ต้องต่อกรง ทำอย่างไรที่พวกเราจะไว้วางใจกันได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าของสำคัญจะสูญหาย ?

จะว่าไปแล้วเรื่องของกรรมก็เป็นเรื่องที่น่าคิด เพราะถ้าทุกคนเห็นนรกเห็นสวรรค์ สิ่งที่เขาทั้งหลายเหล่านั้นทำก็จะไม่ได้ออกจากน้ำใสใจจริง แต่จะออกมาว่าทำดีเพราะกลัวนรก ทำดีเพราะเห็นแล้วอยากไปสวรรค์ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็กลายเป็นการบังคับให้ทำไปในตัว แต่พอไม่ให้เห็น จะให้ทำจากน้ำใสใจจริง โอกาสที่จะทำดีทำถูกก็น้อย เพราะว่าน้ำใสใจจริงของแต่ละคน ล้วนแล้วแต่พร้อมที่จะละเมิดศีลละเมิดธรรม

มีบางสำนักในสมัยชุนชิวจ้านกว๋อของประเทศจีน ที่บอกว่าคนเราชั่วโดยกำเนิด จึงต้องออกกฎระเบียบที่เข้มงวดมาเพื่อบีบบังคับให้อยู่ในกรอบที่ดีงาม"

เถรี
09-05-2017, 09:58
วันศุกร์พระอาจารย์กล่าวว่า "ทางกองทุนหลวงปู่ปานบอกว่าอยากจะร่วมทำบุญด้วย จึงถวายยาจินดามณีมา ๒๐๐ ขวด บอกว่าร่วมบุญกับพระอาจารย์ด้วย เป็นชุดเดียวกับที่สร้างพระนั่นแหละ ก็เลยให้เอาไปขาย ราคาแพงหน่อย...ขวดละ ๒๐๐ บาท"

ถาม : วัดโพธิ์ผักไห่ขายขวดละ ๓๐๐ บาทค่ะ ?
ตอบ : อ้าว...อาตมาไม่รู้ กลายเป็นไปตัดราคาเขา ไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาทำจำหน่ายขวดละ ๓๐๐ บาท เขาอุตส่าห์เอาไปถวายถึงวัด บอกว่าขอร่วมบุญกับพระอาจารย์ด้วย คราวที่แล้วเอาเข้าพิธีเสาร์ ๕ ไว้ ๘ กิโลกรัม เป็นอันว่าเราขายถูกกว่าเขา ๑๐๐ บาท ต้องขออภัยด้วย เพราะว่าขายเท่าไรก็ได้กำไรเท่านั้น ใครมาก่อนก็ถือว่าโชคดีไป

เถรี
09-05-2017, 19:43
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาเพิ่งจะลงไปภูเก็ตกับหาดใหญ่มา ทำงานหัวทิ่มหัวตำอยู่ทุกวัน พอปลีกตัวได้ก็รีบลงไป ปรากฏว่าญาติโยมนับวันให้ดูว่า ๒ ปีกว่าแล้วที่ไม่ได้ลงไป เล่นนับวันเลยว่าครั้งสุดท้ายไปถึงวันไหน เดือนไหน ปีไหน

คนอยู่ไกลก็เหมือนกับคนหิวข้าว ไปถึงเขาก็กอบโกยของเขาเต็มที่ พวกเราบางทีอยู่ใกล้ก็ประมาทเกินไป ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปเรื่อย ๆ

แต่มีอย่างหนึ่งที่สะดุดตาก็คือสนามบินภูเก็ต เจ้าหน้าที่ซึ่งดูแลตั้งแต่ปากทางเข้าไป ๙๐ เปอร์เซ็นต์เป็นผู้หญิงอิสลาม เหมือนอย่างกับว่าเจ้าหน้าที่โดนเปลี่ยนเป็นผู้หญิงหมด แล้วก็คลุมผ้าฮิญาบเกิน ๙๐ เปอร์เซ็นต์ เท่าที่ดูทั้งหมดเห็นมีอยู่ ๒ คนเท่านั้นที่ไม่ได้คลุม ไม่รู้ว่าเป็นอิสลามหรือเปล่า ? อาจจะเป็นคนไทย แต่ว่าที่เหลือนั้นแสดงตัวชัด

ถ้าสถานที่สำคัญขนาดนั้นยังคัดเลือกแต่คนอิสลามเข้าไปทำงาน ก็แปลว่าผู้บังคับบัญชาระดับสูงที่นั่นเป็นอิสลามแน่นอน"

เถรี
09-05-2017, 19:47
"เราต้องเห็นความดีของอิสลามอย่างหนึ่งคือ เขาสามัคคีแน่นเหนียว รักพวกรักพ้องมาก อะไรมาเขาเอาพวกของเขาไว้ก่อน ส่วนนี้เป็นส่วนที่คนไทยเราขาดมากเป็นพิเศษ ที่ขาดมากเป็นพิเศษไม่ใช่ว่าเราไม่รู้จักใช้เส้นสายเพื่อนพ้อง แต่เรามีการเลือกที่รักมักที่ชัง ส่วนเขาขอให้เป็นอิสลามเท่านั้นแหละ เขาถือว่าเป็นพวกเดียวกันหมดทั้งโลก เป็นเรื่องที่เราต้องเลียนแบบให้ได้ ถ้าเลียนแบบไม่ได้เราก็สู้เขาไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะว่าเรื่องความสามัคคีของเขานี่กินเราขาดเลย

อยากรู้ว่าเขาจะทำอย่างไรกับพระ อาตมาก็เลยไม่อาราธนาวัตถุมงคล เดินผ่านปล่อยให้เครื่องดัง ปรากฏว่าเขายืนเก้ ๆ กัง ๆ ทำอะไรไม่ถูก อาตมาไปยืนรอให้เขาตรวจร่างกาย ท้ายที่สุดเขาก็ปล่อยผ่านไปเฉย ๆ ไม่ต้องตรวจ เพราะว่าทำอะไรไม่ถูก

ตั้งแต่ไปจากสนามบินดอนเมืองก็ไม่มีปัญหา เดินผ่านตลอดเครื่องไม่ดัง ไปถึงที่โน่นอยากรู้ว่าถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับพระเขาจะจัดการอย่างไร ปรากฏว่าเขาก็ไม่กล้าตรวจ เพราะว่าไม่มีผู้ชายเลย"

เถรี
09-05-2017, 20:28
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้ามนุษย์เรายังบริโภคพลังงานอย่างไม่บันยะบันยัง ต่อไปเรื่องที่ลำบากที่สุดก็คือหาพลังงานมาป้อน ถ้าไม่มีไฟฟ้าอาตมามั่นใจว่าตัวเองอยู่ได้ แต่คนรุ่นหลังอาจจะตายกันไปเลย..!

อาตมาเคยอยู่มาในสมัยที่บ้านทั้งหลังมีตะเกียงกระป๋องดวงเดียว เทียนก็ไม่มีเพราะเทียนเป็นของแพง ต้องหัดควั่นผ้ามาทำไส้ตะเกียง หาน้ำมันมะพร้าวมาเติม"

เถรี
09-05-2017, 20:35
พระอาจารย์กล่าวว่า "ไปทิเบตอาตมากลัวหนาว หลวงปู่ครูบาวงศ์ท่านบอกว่า ฝนตกก็หายหนาวแล้ว อ้าว...ถ้าฝนตกหายหนาวแล้วเละเทะ ผมจะเที่ยวอย่างไร ? ก็แล้วแต่ท่านจะสงเคราะห์ เปียกก็เปียก แห้งก็แห้ง แล้วแต่ท่านจะเมตตา"

เถรี
09-05-2017, 20:52
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาไปภูเก็ตกับหาดใหญ่ ที่นั่นก็มีญาติโยมบางคนที่มีศรัทธาแต่ปัญญาน้อยทำบุญมา ที่ว่ามีศรัทธาแต่ปัญญาน้อยก็คือ หาครกกระบากสากกะเบือมาถวายท่วมหัวท่วมหูไปหมด โดยไม่ได้คิดว่าอาตมาจะขนกลับอย่างไร เดินทางไปโดยมีกระเป๋าใบเดียว ไปโดยเครื่องบิน หอบของมาถวายขนาดนั้นอาตมาคงต้องเช่าเหมาลำขนมาต่างหาก ท้ายสุดก็ต้องใช้วิธีเดิมก็คือ ให้ถวายวัดที่ใกล้ที่สุด

หลายคนคิดจะทำบุญอย่างเดียว โดยไม่ได้คิดว่าคนรับจะจัดการอย่างไรกับบุญของเขา เรื่องง่าย ๆ แค่นี้ยังคิดไม่ถึง แล้วเรื่องอื่นจะไปคิดได้อย่างไร แต่ก็แก้ไม่หาย ไม่ว่าที่ไหนก็ต้องมีคนประเภทนี้ ประเภทมาถึงพร้อมกับน้ำส้มคั้น ๑๐ ขวด แล้วอาตมาจะฉันของเขาอย่างไรวะ ? น้ำส้มคั้นก็เก็บไม่ได้ด้วย ไปนึกถึงที่หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ท่านว่า มีศรัทธาก็ต้องมีปัญญาประกอบด้วย"

เถรี
09-05-2017, 21:00
มีโยมเอาว่าน ๑๐๘ มาถวาย "ว่าน ๑๐๘ อาตมาเคยไปดูเขาหั่นตากแดด ปรากฏว่าคนหั่นคันคะเยอทรมานไปหลายคืน ส่วนใหญ่แล้วพวกว่าน ๑๐๘ เน้นทางด้านเสน่ห์เมตตามหานิยมกับคงกระพัน

ว่านบางอย่างที่เป็นประโยชน์สมัยนี้หายากแล้ว อย่างว่านม้าทอง ช่วยให้เดินทางไกลได้อึดอย่าบอกใครเลย น่าจะมีผลคล้าย ๆ กับใบกระท่อม คือทำให้คนไม่รู้สึกเหนื่อย น่าจะทำให้ประสาทชา ๆ แล้วก็ไม่รู้สึกเหนื่อยอะไรทำนองนั้น

สมัยอาตมาเด็ก ๆ อยากได้อะไรก็ไปหลังบ้าน ป่าดี ๆ นี่เอง มุดเข้าไปขุด ไปหา ไปตัด ไปแคะมา เดี๋ยวก็ได้แล้ว ถึงเวลาลุงหมอก็บอก “ไอ้หนู...ไปเอาช้างมา ๒ เชือก” ก็วิ่งเข้าป่าไปตัดบอระเพ็ดพุงช้าง คนโบราณเขาไม่บอกตรง ๆ เขาว่าถ้าบอกตรง ๆ บางทียารู้แล้วไม่เต็มใจจะมาก็จะหนี เขาว่าอย่างนั้น

สมัยนี้ไม่ค่อยมีแล้ว หายากขึ้นไปเรื่อย ๆ วัดท่าขนุนเคยมีบอระเพ็ดมาก อาตมาให้แม่ชีช่วยถลกบอระเพ็ดไปให้ท่านอาจารย์พลตรีเฉลิมชัย เสียงใหญ่ เพราะว่าท่านจะเอาไปทำยารักษาโรคริดสีดวงทวารให้กับคนที่รู้จัก ไม่รู้ว่าแม่ชีเขาถลกอีท่าไหน สงสัยจะไปถอนรากด้วยกระมัง ? ไม่ขึ้นใหม่อีกเลย"

เถรี
09-05-2017, 21:18
มีโยมเอามะม่วงมาถวาย แล้วถามว่ามะม่วงที่ตัวเองถวายเป็นพันธุ์อะไร "เขียวเสวยของแท้ เพียงแต่ว่าต้นหนึ่งออกไม่กี่ลูก (สามสี่ลูกเองค่ะ) ก็เลยใหญ่ขนาดนี้ ถ้าออกเยอะขนาดจะเล็กกว่านี้ อาตมาอยู่กับสวนมะม่วงมา แค่มองก็รู้แล้ว

วันก่อนมีโยมเอามะม่วงไปถวายที่วัด ปอกมาถวายตอนฉันเพล พอเข้าปากอาตมาก็บอกว่า "นี่คุณปล่อยให้เทวดาเลี้ยง ไม่ได้ดูแลเลยใช่ไหม ?" เขาถามว่าพระอาจารย์รู้ได้อย่างไร ? จึงบอกว่า "กูกินมาตลอดชีวิต รสชาติต่างกันมาก" มะม่วงที่คนดูแลก็รสชาติอย่างหนึ่ง มะม่วงประเภทที่ต้องดูแลตัวเองก็รสชาติอีกอย่างหนึ่ง

เด็กรุ่นหลังแยกรสไม่ออก...แปลกมาก บางทีอาตมาก็ว่ารสชาติเป็นอย่างนี้ บอกเขาได้ แต่เขาก็แยกไม่ออก กินตรงนั้นเขาก็ยังแยกไม่ออก พอถึงเวลาแม่ครัวปอกมะม่วงมา ท่านก็หมดปัญญาแล้ว ส่วนอาตมาใส่ปากแล้วบอกว่าอันนี้หนองแซง อันนี้เขียวเสวย อันนี้น้ำดอกไม้ แต่ท่านแยกไม่ออก สรุปแล้วของท่านนั้นมะม่วงก็คือมะม่วง

เวลาโยมเอาข้าวต้มมาถวายก็เหมือนกัน พอฉันข้าวต้ม เออ...อันนี้ใช้ได้ เริ่มเคี่ยวข้าวต้มมาตั้งแต่แรก ส่วนอันนี้ไม่ได้เรื่อง เป็นประเภทต้มน้ำเดือดแล้วก็เอาข้าวสุกใส่ลงไป แล้วค่อยไปเคี่ยวทีหลัง เขาก็ถามว่ารู้ได้อย่างไร ? อาตมาบอกว่ากินมาตลอดชีวิด แล้วตัวเองเคยทำด้วย...ก็รู้สิ ยังแปลกใจว่าไม่ใช่สมรรถภาพร่างกายของอาตมาดีกว่าคนอื่น หรือเป็นเพราะว่าประสบการณ์เยอะ เข้าปากไปก็รู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร"

เถรี
10-05-2017, 13:58
"ก่อนนี้ที่บ้านของอาตมามีมะม่วงอยู่ ๒ ต้น ถ้าให้เด็กสมัยนี้ดูไม่มีทางรู้ว่าเป็นมะม่วงอะไร ลูกขนาดเล็กมาก จริง ๆ แล้วคือมะม่วงเขียวเสวย แต่อายุต้นกว่า ๖๐ ปี ลูกจึงเล็กลง เล็กจนไม่น่าจะใช่มะม่วงเขียวเสวย

พวกมะม่วงอื่น ๆ อย่างสมัยนี้ไม่ค่อยได้เห็นกัน อย่างมะม่วงตกตึก มะม่วงหัวช้าง มะม่วงตกตึกก่อนหน้านี้บางทีเขาก็เรียกว่า มะม่วงพราหมณ์ขายเมีย เป็นมะม่วงที่ต้องกินห่าม กินสุกไม่ได้ เพราะถ้าปล่อยจนสุกเนื้อรอบเมล็ดจะเหมือนกับช้ำ เขาเลยเรียกว่ามะม่วงตกตึก ต้องกินห่าม ๆ ถึงจะอร่อย ส่วนมะม่วงหัวช้างลูกใหญ่สมชื่อเลย

ส่วนมะม่วงทองดำสมัยนี้ก็ไม่เคยเห็น เปลือกเป็นสีเขียวจนดำเลย แต่ปอกออกมาข้างในเนื้อจะสีเหลืองทอง เขาจึงเรียกว่ามะม่วงทองดำ ถ้าเข้าปากอาตมาก็รู้เลยว่ารสนี้คือมะม่วงทองดำ

สมัยก่อนมะม่วงยอดฮิตเลยก็คือมะม่วงอกร่อง จะเป็นอกร่องทองหรืออกร่องขาวก็ได้ สมัยก่อนเขานิยมอกร่องเพราะว่ารสหวานแหลม เหมาะที่จะกินกับพวกข้าวเหนียวมูนที่รสเค็มหน่อย ๆ แต่เท่าที่กินมามะม่วงสุกที่อร่อยที่สุดต้องมะม่วงฟ้าลั่น อร่อยมาก แต่ส่วนใหญ่เขาไปกินดิบกัน มะม่วงฟ้าลั่นต้นที่บ้านของอาตมามดแดงเยอะสุด ๆ ขึ้นไปแต่ละทีต้องพกขี้เถ้าไปถังหนึ่ง รีบไปยึดกิ่งไว้ก่อน แล้วก็เอาขี้เถ้าทาบนทาล่างไว้ พอมดมาถึง เจอขี้เถ้าก็หล่น มาถึงเราไม่ได้ คราวนี้ก็เอาตะกร้อค่อย ๆ สอยมะม่วง"

เถรี
10-05-2017, 13:59
"เด็กสมัยหลังไม่เคยเห็นมะม่วงต้นสูง ๒๐-๓๐ เมตร เขาเห็นแต่ต้นเตี้ย ๆ พวกต้นเตี้ยนั้นเป็นพวกมาจากกิ่งตอน สมัยก่อนส่วนใหญ่เป็นพวกต้นที่เกิดจากการเพาะเมล็ด

มะม่วงพื้น ๆ ของสมัยก่อนอย่างมะม่วงแก้มแดงก็หายาก อย่าว่าแต่เห็นลูกเลย เด็กสมัยนี้แม้แต่ชื่อก็ยังไม่เคยได้ยิน มะม่วงแก้มแดง มะม่วงทองดำ ต้องสุกปากตะกร้อถึงจะอร่อย พอก้นเริ่มเหลือง ๆ หัวแดง ๆ ก็ได้เรื่องแล้ว

ด้วยความที่บางทีก็ขี้เกียจรบกับมด อาตมาก็เลยใช้วิธีใหม่ เอาหนังสติ๊กยิงเอา ยิงตัดขั้วแล้วก็วิ่งไปรับ ต้องยิงแม่นและรับแม่นด้วย ไม่อย่างนั้นมะม่วงช้ำหมด

สมัยก่อนเวลาผู้ใหญ่เขาจะปอกมะม่วงสำหรับกินกับข้าวเหนียว ต้องใช้มีดทองเหลือง มีดทองเหลืองแต่บางคนเขาเรียกมีดทองเฉย ๆ ปอกแล้วไม่ทำให้รสเปลี่ยน มีดที่เป็นเหล็ก เป็นโลหะทำให้รสเปลี่ยน เด็กสมัยนี้ไม่รู้จักแล้วว่ามีดทองเป็นอย่างไร"

เถรี
11-05-2017, 14:46
"มะม่วงงาช้างก่อนหน้านั้นเรียกว่ามะม่วงงาช้างบ้าง เรียกว่ามะม่วงแขนอ่อนบ้าง ระยะหลังเขาเรียกว่ามะม่วงหนัง เพราะว่าเปลือกหนา เหมาะที่จะส่งต่างประเทศ สมัยนี้ที่บรรดาผลไม้ต่าง ๆ ไม่หลากหลายก็เพราะการค้านี่แหละ จะต้องการเฉพาะพันธุ์ที่คนชอบ พันธุ์ที่คนไม่ชอบก็ไม่ปลูกกัน จึงสูญไปเรื่อย ๆ

มะม่วงแก้มแดงนี่เอาไว้ทำน้ำปลาหวานได้อย่างเดียว เพราะว่ารสเปรี้ยวมาก มะม่วงแก้มแดงจะกินอร่อยต้องกินสุกหรือไม่ก็ทำน้ำปลาหวาน

อันนี้ต้นเป็นกิ่งตอนเหมือนกัน ต้นไม่สูง คือลักษณะลูกกับลักษณะต้นจะบอกเราได้ เหมือนกับคนโดนจำกัดอาหาร ลูกออกมาก็จะแกร็น

ส่วนใหญ่ถ้าจะเก็บผลไม้สุก ให้ตัดน้ำสักอาทิตย์หนึ่งก่อนแล้วค่อยเก็บ รสจะจัดมาก ที่บ้านจะมีลำไยอยู่ ๒ ต้น ต้นใหญ่มาก ๆ ถึงเวลาก็หยุดประโคมน้ำ ทิ้งไว้ ๗-๑๐ วันแล้วค่อยเก็บ รสหวานชนิดลืมตายเลย คนกินก็ลืมไปเลยว่าตัวเองเป็นเบาหวาน แต่ค้างคาวรู้ดีกว่า พอลูกเริ่มแก่ก็มากินกันกระจาย ตกเกลื่อนพื้นเป็นหมื่น ๆ ลูกเลย ตอนหลังจึงแก้โดยการเอาชะลอมใส่ พอลำไยจวนจะแก่ก็เอาชะลอมไปใส่ไว้ เวลาค้างคาวมาติดชะลอมเข้าไปกินไม่ได้

คนโบราณใช้วิธีชักตะขาบ ตะขาบก็คือกระบอกไม้ไผ่นี่แหละ เวลาดึงก็กระทบเสียงดังอีโล้งโคล้งเคล้ง ค้างคาวตกใจก็บินไปเสียหน่อยหนึ่ง เดี๋ยวก็กลับมาอีก เพราะรู้ว่าไล่ตามไม่ได้ พอบอกว่าไปเฝ้าสวนชักตะขาบ เด็กสมัยนี้ได้ยินก็สงสัยอีกว่าคืออะไร"

เถรี
11-05-2017, 14:53
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนสมัยอาตมาเด็ก ๆ ที่บ้าน เสาไม้แต่ละต้นโตเกือบโอบ แค่คานบนก็ใหญ่ประมาณบาตรแล้ว...แค่คานนะ แล้วเป็นไม้ที่ชาวบ้านเขาเรียกว่า มะเกลือเลือด แกร่งสุด ๆ กว่าจะกล่อมให้เป็นเสาเป็นคานได้นี่เหงื่อหยดติ๋งเลย

ส่วนใหญ่คนสมัยโน้นเขาจะกล่อมเสา ถากเสาด้วยตัวเอง ใช้ผึ่ง ใช้ขวาน แค่นั้นเอง ไม่น่าเชื่อ เขามีคำที่ว่า ถ้าลูกชายบ้านไหนถากไม้เป็นหมาเลียนี่ใคร ๆ ก็อยากได้เป็นเขย ถากไม้เป็นหมาเลียคือเรียบกริบเลย

น่าจะประมาณปี ๒๕๒๑ ช่วงอาตมาเข้ากรุงเทพฯ พอกลับไปอีกทีบ้านก็หายไปแล้ว คนมาเหมาซื้อไปทั้งหลังเลย เขาต้องการพวกเสาพวกคาน เพราะว่าไม้เก่าตรง ๆ จะหายาก โดยเฉพาะพวกไม้ชิงชัน ไม้ตะเคียน ไม้มะเกลือเลือดยิ่งหายากเข้าไปใหญ่ เป็นไม้เนื้อหนักแกร่งมาก ถ้าฟันผิดจังหวะมีไฟแลบด้วยนะ"

เถรี
11-05-2017, 14:59
พระที่เรียนบาลีมากราบพระอาจารย์ "พวกนี้ทุกขาปฏิปทา ชอบของยาก จึงไปเรียนบาลีกัน จริง ๆ แล้วเรียนบาลีต้องอาศัยลูกขยันอย่างเดียว ท่องกันให้หูดับตับไหม้ไปเลย ยกเว้นบางส่วนที่ต้องการความเข้าใจอย่างพวกสัมพันธ์ จะไปใช้สมองอีกทีก็คือวิเคราะห์รูปประโยค จะเป็น กาล วจนะ บท บุรุษ วาจก ปัจจัย ฯลฯ ถ้าวิเคราะห์ออกก็แปลได้ทุกประโยค แต่ถ้าวิเคราะห์ไม่ออกถึงแปลได้ก็ไม่ถูก"

ถาม : สมัยก่อนที่พระต้องเรียนบาลี ?
ตอบ : สมัยก่อนบังคับ ที่บังคับก็คือเรียนตรง ๆ ในสำนักเรียน กับเรียนทางอ้อมในลักษณะคาถาอาคมกับครูบาอาจารย์

เถรี
11-05-2017, 15:04
ถาม : ขอถวายค่ายานพาหนะค่ะ (พระที่เรียนบาลี)
ตอบ : ถ้าค่ายานพาหนะต้องพอให้ท่านซื้อรถ อย่าใช้คำพูดผิด ใช้คำว่าถวายค่ารถค่าเดินทางก็ได้จ้ะ แต่ถ้าถวายค่ายานพาหนะนี่ต้องพอซื้อยานพาหนะได้ พอที่จะเข้าใจไหม ?

เถรี
11-05-2017, 15:13
ถาม : เรียนบาลีนี่เป็นเปรียญหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : นั่นแหละจ้ะ ถ้าสอบผ่านก็ได้เปรียญธรรม ก็มีตั้งแต่ประโยค ๑ - ๒ พอเปรียญธรรม ๓ ประโยคก็มีคำนำหน้าว่า พระมหา

มหาก็คือใหญ่ ใหญ่ด้วยความรู้ จริง ๆ แล้วประโยค ๓ ได้เปรียบกว่าประโยค ๙ ถ้าบอกว่าพระมหาอย่างเดียวไม่ห้อยท้ายว่าประโยคไหน ก็ราคาเท่ากัน

เถรี
11-05-2017, 15:19
ถาม : จะมีโอกาสได้เห็นสงครามหรือไม่คะ ?
ตอบ : มีโอกาสได้เห็นอยู่แล้ว ไม่ต้องไปกังวล สมัยนี้สงครามชอบแสดงแสนยานุภาพ มีใครจำสงครามเกาะฟอล์กแลนด์ได้บ้าง ? ที่อังกฤษรบกับอาร์เจนตินา อาร์เจนตินายิงเรือรบอังกฤษจมไป ๑ ลำ ด้วยจรวดเอ็กโซเซต์ (Exocet) หลังจากนั้นไม่กี่วันจรวดเอ็กโซเซต์ผลิตไม่ทันขายเลย ใคร ๆ ก็อยากได้

แต่ดูแล้วน่าทึ่งมาก เพราะว่าทันทีที่จรวดนำวิถีวิ่งชนเรือรบ ก็มุดเข้าไปข้างในเลย แต่จริง ๆ แล้วก็คือจรวดระเบิดตัวแล้ว แต่ที่ระเบิดตัวคือส่วนหัวที่เขาเรียกว่าดินโพลง จะระเบิดสร้างความร้อนมหาศาลขึ้นมา ละลายโลหะตรงนั้นก่อน ชั่ววินาทีเดียวก็มุดเข้าไปข้างในเลย ต้องบอกว่าเรื่องฆ่ากันนี่คนเราฉลาดจริง ๆ

ทันทีที่อาตมาเห็นอเมริกาทิ้งระเบิดถล่มอัฟกานิสถานแบบไม่ยั้งมือ บอกเลยว่าอเมริกาเอ็งซวยแน่ ๆ แล้ว เพราะว่าอันดับแรก แรงอัดที่ทำให้พื้นดินสะเทือน ก่อผลให้เกิดแผ่นดินไหว อันดับที่ ๒ แรงระเบิดที่ดันขึ้นข้างบน ทำให้กระแสอากาศเคลื่อน แล้วก็จริง ๆ ด้วย พอฤดูกาลถัดมาพายุแคทรีนาก็ถล่มสหรัฐฯ เละเป็นโจ๊กเลย ตัวเองทำเองแท้ ๆ ทิ้งระเบิดทางด้านเอเชีย ไปเกิดเป็นพายุทอร์นาโดทางด้านอเมริกา

เถรี
11-05-2017, 19:43
พูดถึงการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก "ตอนนี้อายุน้อยยังลดง่ายอยู่ ต้องรีบลดเสียก่อนอายุไปถึงระดับคุณแม่ ความจริงคุณแม่ก็ยังลดได้ แต่ไม่มีกำลังใจ ถ้ามีกำลังใจต้องลดได้อยู่แล้ว ประเภทกลับบ้านมา ๒-๓ ทุ่มก็ปั่นจักรยานไปสักครึ่งค่อนชั่วโมง ถึงได้บอกว่ากำลังใจไม่พอ แบบเดียวกับอยากหมดกิเลส อยากไปพระนิพพาน แต่กำลังใจไม่พอ ก็เลยได้แค่อยาก

สมัยก่อนอาตมากลับมาดึกขนาดไหนก็ต้องสวดมนต์ไหว้พระ ทำกรรมฐานก่อนแล้วค่อยนอน ไปนึกถึงท่านเจ้าคุณอาจารย์พระราชปริยัติโมลี วัดพระงาม (เจ้าคุณอาจารย์โสภา) ออกไปกิจนิมนต์หรือออกไปงานใกล้ไกลขนาดไหน กลับมาดึกแค่ไหนก็ต้องทำวัตรก่อนแล้วค่อยนอน กำลังใจต้องยึดมั่นอย่างนั้น ฉันทะถึงจะพอเพียง

ถ้าฉันทะพอเพียงทำอะไรก็สำเร็จ เพราะว่าถ้ามีฉันทะ วิริยะจะตามมาทันที ในเมื่ออยากทำ ความเพียรก็จะมี กำลังใจก็จดจ่อปักมั่น เพราะใจอยากทำอย่างนั้น ที่เขาประสบความสำเร็จกันก็แค่นี้เอง ไม่ได้ยากอะไรหรอก

หรือไม่ก็ชวนแม่เป็นเพื่อนเต้นแอโรบิกด้วยกัน หรือไม่ก็เต้น T๒๕ วันหนึ่ง ๒๕ นาทีเอง ยกแข้งยกขาตามเขาไปก็เหงื่อท่วมตัวแล้ว ความจริงอาตมาไม่รู้หรอก มีคนมาทำให้เห็นพอดี ถามว่าทำอะไร ? เขาบอกว่าเต้น T๒๕ ถามว่าเป็นอย่างไร ? เขาบอกว่าออกกำลังตามตัวอย่าง ๒๕ นาที

ต้องมีวินัย ก็คือทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นจึงจะเกิดผล ไม่อย่างนั้นแล้วทำไปวันสองวันยังไม่ทันจะเกิดผลเลย ด้วยการที่ออกกำลังก็เลยทำให้กินหนักกว่าเดิมอีก คราวนี้ก็อ้วนจนหมดสภาพ"

เถรี
11-05-2017, 21:26
ถาม : ขอคำแนะนำเรื่องที่ดิน ?
ตอบ : อาตมาไม่มีอารมณ์จะแนะนำ เรื่องของที่ดินเราต้องเชื่อกะเหรี่ยง พะตีจอนิ โอโดเชา บอกว่า “อาจารย์มีที่ดินซื้อเก็บไว้นะ ซื้อเพิ่มไปเรื่อย ๆ” ถามว่าทำไม? “ที่ดินปลูกไม่ได้” “ปลูกไม่ได้แล้วซื้อทำไม ?” “ไม่ใช่...ที่ดินปลูกแล้วไม่งอก”

ความคิดของกะเหรี่ยงอย่างอื่นปลูกขึ้นทั้งนั้น แต่ที่ดินปลูกไม่ได้ ในเมื่อไม่มีที่จะเพิ่มขึ้นมาอีก เราก็ควรที่จะหาไว้

ถาม : ที่บ้านจะขายที่ดิน ทำอย่างไรจะขายออกครับ ?
ตอบ : ก็ขายถูก ๆ สิ

ถาม : อยากได้ราคาที่พอใจครับ ?
ตอบ : ถ้าราคาเป็นที่พอใจของเรา แต่ไม่เป็นที่พอใจของคนซื้อ เราจะตกลงกันได้ไหม ? เขาบอกแล้วว่าคำเสนอต้องพ้องกับคำสนอง การทำนิติกรรมสัญญาจึงจะเกิดขึ้น นี่อยู่ในวิชากฎหมายคณะสงฆ์ บังเอิญว่าเรียนมาแล้วไม่ค่อยลืม

อย่างเช่น นายแดงเสนอขายรถในราคานี้ นายดำเห็นว่าเป็นราคาที่พอใจ จึงทำนิติกรรมสัญญาซื้อรถจากนายแดง ผลของนิติกรรมสัญญาทำให้ ข้อ ๑ มีข้อผูกพันตามกฎหมาย ข้อที่ ๒ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสิทธิ ก็ขายให้เขาแล้ว ในเมื่อโอนให้เขาสิทธิในการใช้รถก็เป็นของเขาไป

ถาม : ทำอย่างไรให้หาผู้ซื้อให้ได้คะ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าขายถูก ๆ ถ้าขายถูก ๆ รับรองว่าขายได้ทันที

เถรี
11-05-2017, 21:45
ช่วงนี้อาตมามีคนมายื่นขายที่ดินให้เยอะมาก ข้างวัดจะเอาไร่ละ ๕ แสนบาท บอกว่าเอ็งไปค่อย ๆ คิดให้ดี ถ้าลดได้มากกว่านี้แล้วค่อยมาใหม่ ราคาประเมิน ๒ แสนบาท จะขายอะไรให้นึกถึงพระนึกถึงเจ้าบ้างสิ...! จะขูดรีดอะไรนักหนา แต่รอบวัดทุกวัดก็เป็นอย่างนี้หมด ขายให้พระต้องโก่งราคาสุดชีวิต

ถาม : เขาคิดว่าพระรวย ?
ตอบ : เขาคิดกันอย่างนั้น ที่คิดว่าพระรวยเพราะว่ามีคนมาทำบุญ แต่คนคิดไม่เคยทำบุญเลย ต้องบอกว่าเป็นสัจธรรมอย่างหนึ่ง ส่วนใหญ่แล้วพวกนินทาว่าร้ายพระ มักจะไม่เคยเข้าวัดทำบุญ คนเข้าวัดทำบุญเขารู้บาปบุญคุณโทษ เขาไม่เสียเวลามานินทา

เถรี
11-05-2017, 21:51
ที่ดินข้างวัด ๔๐ ไร่หลุดจำนอง ตอนอาตมาไปขอซื้อ ธนาคารเขาจะเอา ๔๐ ล้านบาท แล้วไม่ยอมแบ่งขายด้วย เพราะอาตมาต้องการแค่ที่วัด ๖ ไร่ครึ่งคืนมา อุตส่าห์ประชุมบอร์ดกันอยู่ ๒ วันแล้วก็ส่งข่าวมาว่า ไม่สามารถที่จะอนุเคราะห์ตามที่พระคุณเจ้าขอมาได้ เขาจะขายทั้งผืน ๔๐ ล้านบาท

ปรากฏว่าพออาตมาไม่ซื้อ หลังจากนั้น ๒ ปี เขาขายให้คนอื่นแค่ ๑๐ ล้านบาทเอง อาตมาบอกว่า ถ้าหากว่า ๑๐ ล้านนี่กูซื้อทันทีเลย แล้วทำไมมึงไม่บอกกู ? อาตมาต้องการ ๖ ไร่ครึ่งให้ ๖ ล้าน ๕ แสนบาท เขาไม่ยอมขายเฉพาะแค่นั้น เขาจะขายทั้งหมด

เถรี
12-05-2017, 16:40
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันก่อนไปหาหลวงพ่อบ๊ะ มีโยมอยู่ ๓ คนกำลังโดนท่านด่าโขมงโฉงเฉง “ไอ้ห่..อยากรู้ไปทุกเรื่อง พอกูพูดไปก็ไม่เข้าใจ แล้วมึงจะถามไปทำไมวะ ?” ท่านบอกว่า “เรื่องแบบนี้เขาเรียกว่าอจิณไตย เข้าใจไหม ?” พวกนั้นก็เอ๋อ อจิณไตยคืออะไรวะ ? ท้ายสุดท่านก็เลยคว้าหนังสือพิมพ์ “ไปขี้ดีกว่าโว้ย” ก็คือเขาชอบถามแต่ไม่มีพื้นฐานความรู้สักอย่าง พอท่านพูดมาก็ไม่เข้าใจสักเรื่อง ทั้ง ๆ ที่พวกเราฟังออกจะสนุกสนาน

อาตมาไปถึงท่านก็นิมนต์ก่อน แอบกระซิบบอกว่า "อยู่ชั้นบนของพระราชวังโปตาลา ลองขอเขาดูว่าจะให้เข้าไปดูไหม ?" อาตมาตั้งใจจะไปดูว่าซากเก่า ๆ ของตัวเองว่ายังอยู่หรือเปล่า ? ไปทิเบตตั้งใจไปดูว่าสังขารที่ทิ้งเอาไว้ตั้งแต่ชาติโน้นยังอยู่ไหม เข้าสมาธิตายแล้วเขาก็หุ้มทองเก็บเอาไว้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาให้ขึ้นไปดูหรือเปล่า

วันก่อนหาข้อมูลดูเขาบอกว่าไม่ให้ขึ้นชั้นบนของพระราชวังโปตาลาแล้ว แต่บางเสียงก็บอกว่าต้องจ่ายค่าตั๋วต่างหาก ราคาแพงด้วย ก็ลองดู...ถ้าหากไม่เกิน ๒๐๐ ดอลลาร์ก็น่าขึ้นไปดูหน่อย แค่อยากจะไปรู้ว่าซากเก่า ๆ ของตัวเองหน้าตาเป็นอย่างไรเท่านั้นแหละ

เป็นเรื่องอะไรที่ง่ายดี คือไม่ต้องเสียเวลาคุย ถึงเวลาท่านบอกเลย อาตมากะว่าถ้าไม่อยู่ที่พระราชวังโปตาลา ก็ต้องอยู่วัดโจคัง มีอยู่ ๒ ที่นี้เท่านั้น"

เถรี
13-05-2017, 08:59
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้ตั้งแต่เช้ายันบ่ายมีแต่พระ มีแต่เด็กวัด มาเบิกค่าเรียน ช่วงนี้เดือนหนึ่งต้องจ่ายเฉพาะค่าเรียนแสนกว่าเกือบ ๒ แสนบาท ถ้าเดือนไหนค่าเทอมออกก็ ๘ แสนบาท เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าทำไมอาตมาถึงต้องมานั่งอยู่อย่างนี้ ถ้าไม่นั่งอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีเงิน

ได้ยินว่าค่าเรียนระดับปริญญาโท ปริญญาเอกจะขยับขึ้นไปอีก สรุปว่าความรู้ของบ้านเราราคาแพงมาก ย้ายไปอยู่เยอรมันกันดีกว่า รัฐบาลเยอรมันสนับสนุนเรียนฟรียันปริญญาเอกเลย"

เถรี
13-05-2017, 09:05
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานนี้อาตมาแวะไปวัดชัยชนะสงคราม ของหลวงปู่มหาอำนวย เนื่องจากเมื่อวานซืนกำลังรับสังฆทานอยู่ที่หาดใหญ่ หลวงปู่ท่านแวะมาตอนประมาณเกือบทุ่มหนึ่ง กราบท่านแล้วถามหลวงปู่มีธุระอะไร ? ท่านบอกว่า "นิมนต์ไปดูที่ให้หน่อย" มีคนสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์มหาราชทั้ง ๕ ของประเทศไทย มีสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นต้น ไปถวายไว้ที่วัดหลวงปู่

หลวงปู่ท่านบอกว่า "ช่วยหาที่ซึ่งประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์แล้วเป็นมหาอำนาจ ทำให้คนเกรงใจ ไม่กล้ามารุกรานหรือข่มเหงรังแกวัด รบกวนช่วยไปดูให้หน่อย" ก็เลยต้องไปกวนท่านตั้งแต่เช้า เพราะว่าเครื่องขึ้น ๗ โมงกว่า ตอน ๖ โมงก็ไปถึงวัดท่าน สรุปว่าให้ตั้งที่บริเวณหน้าโบสถ์นอกกำแพงแก้ว"

เถรี
13-05-2017, 09:15
โยมมาเบิกวัตถุมงคลแต่หาไม่เจอ "ที่อาตมาเบื่อพวกของขลังก็เพราะอย่างนี้ พอถึงเวลาท่านนึกอยากจะไป ท่านก็กลับไปนอนที่วัด อาตมาก็ต้องวิ่งกลับไปนิมนต์มาใหม่

ตอนแรกเวลาท่านหนีไปอยู่ในถุงโน้นบ้างถุงนี้บ้าง อาตมาก็ยังงง ๆ ว่าไปได้อย่างไร ? มานึกถึงตอนที่หลวงปู่ปานท่านเสกสายสิญจน์ให้แม่ที่เด็กตายในท้องกินลงไปพร้อมกับน้ำมนต์ เสร็จแล้วเอาสายสิญจน์ไปคล้องคอเด็กออกมา แบบนั้นเข้าไปได้อย่างไร ? เพราะว่าอวัยวะคนละส่วนกันเลย มดลูกกับกระเพาะไม่ได้เกี่ยวกันสักหน่อย

ก็คงจะลักษณะเดียวกัน คนละถุงคนละไถ้ก็วิ่งข้ามไปข้ามมาได้ อาตมาตรวจใส่ถุงทีละเบอร์ ไม่พลาดอยู่แล้ว แต่ท่านก็เล่นของท่านสนุกอยู่เรื่อยแบบนี้ งวดที่แล้วก็งงว่าหายไปไหน ปรากฏว่าหนีไปอยู่ในถุงของท่านเจ้าคุณปิง นั่งยิ้มแป้นอยู่ในนั้น พอโดนบ่อย ๆ จนชินก็ไม่ตื่นเต้นแล้ว

มีพระปิดตาเนื้อเมฆสิทธิ์ของหลวงปู่ทับ วัดอนงคาราม ท่านก็เล่นสนุกของท่านอย่างนี้ ถึงเวลาก็หนีไปโน่นหนีไปนี่ วันนั้นอาตมารำคาญไม่ไปตามหา ท่านก็เลยโวย "ทำไมไม่ตามวะ ?" "อยากไปเองก็มาเองสิครับ" ตามหลายทีแล้ว ท้ายสุดตอนวางศิลาฤกษ์โบสถ์วัดรัตนานุภาพ อาตมาเลยเอาใส่หลุมวางศิลาฤกษ์ไปเลย วัดนั้นอยู่ในเขตอันตรายก็เลยให้หลวงปู่ท่านไปคุ้มครองที่นั่นดีกว่า"

เถรี
13-05-2017, 18:51
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงปู่มหาอำนวยเป็นพระเถระรัตตัญญู ก็คือมีอายุมาก มีประสบการณ์มาก อายุ ๙๐ กว่าปีแล้ว โดยเฉพาะว่าท่านแข็งแรงมาก ไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างพวกเรา อายุ ๙๐ กว่าปีแล้ว ยังเดินเหินไปไหนมาไหนด้วยตัวเองได้

ท่านไปนิมนต์ว่าให้แวะวัดท่านหน่อย ให้ไปดูที่สำหรับตั้งพระบรมราชานุสาวรีย์ สรุปว่าให้ท่านทำอาคาร ๒ ฝั่งด้านนอกกำแพงแก้วของโบสถ์ แต่ท่านมีพระบรมราชานุสาวรีย์อยู่ ๕ องค์ เวลาตั้งแล้วน้ำหนักไม่เท่ากัน ท่านก็เลยจะสร้างรัชกาลที่ ๙ อีกองค์หนึ่ง

หลวงปู่อำนวยเป็นพี่ใหญ่ หลวงป๋าวิวัฒน์เป็นน้องเล็ก น้องเล็กอายุ ๘๐ กว่าปีแล้ว พี่ใหญ่อายุ ๙๐ กว่าปี แต่พี่น้องบ้านนี้เข้าวัดเข้าวากันหมด ท่านเป็นพี่น้องท้องเดียวกันจริง ๆ แต่หลวงปู่อำนวยท่านบวชตั้งแต่อายุ ๒๐ ปี ส่วนหลวงป๋าวิวัฒน์มาบวชหลังจากเกษียณอายุราชการแล้ว

ต้องไปขอดูหนังสือสุทธิของหลวงปู่อำนวย เป็นรุ่นเก่าปกแข็งสีน้ำตาล ๆ ที่มีระบุไว้ว่าจบนักธรรมชั้นไหน เมื่อไร จบบาลีประโยคไหน เมื่อไร ซึ่งปัจจุบันนี้ไม่มี ปัจจุบันลงรายละเอียดว่าบวชวันเดือนปีอะไร บวชที่ไหน ใครเป็นผู้บวช บวชเวลาเท่าไร ชื่อฉายาอะไร แต่เขาไม่ได้ลงรายละเอียดว่าจบนักธรรมอะไร จบบาลีอะไร เพราะถือว่าเพิ่งบวช ยังไม่ทันได้เรียน"

เถรี
14-05-2017, 19:30
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงพี่อาจินต์ (พระครูภาวนาธรรมนิเทศก์) ท่านทิ้งทุกอย่างมาบวช นายทหารอากาศหนุ่ม ๆ อนาคตไกล ๔-๕ คนทิ้งมาบวชพร้อม ๆ กันหมดเลย มีใครบ้าง ? ชโลทัย อรัญ ทรงฤทธิ์ ชัยศรี อาจินต์ สมัยนี้ไม่เหลือแล้ว เหลือหลวงพี่อาจินต์ท่านเดียว ท่านบวชมามีเรื่องทดสอบอารมณ์เท่าไร หลวงพี่อาจินต์ก็ผ่าน

ปรากฏว่าวันนั้นพวกเราไปทำพระกัน พระวิสุทธิเทพรุ่นที่อาตมาทำ หลวงพี่อาจินต์เดินหอบจีวรหน้าเครียดมาเชียว อาตมาถามว่า "เป็นอะไรไปครับ ?" "พี่โกรธฉิบหายเลยว่ะ..เล็ก" "ไม่เคยเห็นโกรธ พี่โกรธใครครับ ?" "น้องชายตัวเอง" ถามว่าทำไม ? "มันเอากระบี่ของพี่ไปจำนำ" โอ้โฮ...โกรธมากเลย ของพระราชทานจากในหลวง อุตส่าห์ไว้บนหิ้งบูชาเสือกเอาไปจำนำ..!

เห็นหลวงพี่ท่านโกรธก็ครั้งนั้นแหละ แสดงว่าคนเรานี่มีมุมของตัวเอง ใครไปแตะถูกหรือเปล่าเท่านั้นเอง ถ้าแตะไม่ถูกก็ใจเย็นอยู่ตลอด นั่นก็ไม่ได้ด่าใครนะ แต่เดินหน้าเครียดมาเชียว ไม่รู้ว่าจะไประบายกับใคร อุตส่าห์เดินมาถึงศาลา ๓ ไร่ที่พวกเราอยู่ชั้นบน กำลังทำพระกันอยู่ ซึ่งที่นั่นไม่ค่อยมีใครไปหรอก"

เถรี
14-05-2017, 19:37
เสืออากาศรุ่นนั้นแต่ละคนมีวีรกรรมเยอะทั้งนั้น ตั้งใจบวชเข้าไปเพื่อถวายการรับใช้หลวงพ่อวัดท่าซุง พี่ทรงฤทธิ์สึกใหม่ ๆ เพื่อนไปรับกลับ “กูขับเอง” ขับรถกลับกรุงเทพฯ เพื่อน ๆ บอก “เฮ้ย ๆ มึง...๑๖๐ แล้ว” พี่ทรงฤทธิ์บอกว่า “กูยังไม่รู้สึกเร็วเลย” ก็คนขับ F5 มาจะไปรู้สึกเร็วอะไร รถวิ่งแค่ ๑๖๐ เท่านั้น

พวกนี้สายตาเขาเร็ว ความเร็วของเครื่องที่เร็วเหนือเสียง ไวขนาดไหนสายตาเขายังจับภาพทัน เพราะฉะนั้น...แค่ความเร็ว ๑๐๐ กว่า ไม่ถึง ๒๐๐ นี่สบายของเขาเลย

เถรี
14-05-2017, 19:42
ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ของเราตอนที่ยังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ พยายามฟิตพระวรกายทดสอบเพื่อให้ผ่าน ตั้งพระทัยจะขับ F16 แต่ไม่เคยผ่าน ทั้ง ๆ ที่พระองค์ท่านมีชั่วโมงบินตั้ง ๒,๐๐๐ กว่าชั่วโมงแล้ว เพราะว่า F16 แรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางอยู่ที่ระดับ ๙ ร่างกายคนเราทนได้แค่ระดับ ๗ เพราะฉะนั้น...ไม่มีใครเสี่ยงให้พระองค์ท่านขึ้นไปหรอก

พอเหวี่ยงแรง ๆ อวัยวะของเราของอาจจะหลุดออกจากที่ ฉีกขาดหลุดออกจากที่ ก็เลือดตกใน โอกาสที่จะตายมีมากกว่ารอด

ถาม : แล้วคนที่ขับ F16 ได้ล่ะคะ ?
ตอบ : ก็เขาก็เอาจากพวกขับ F5 นี่แหละ พอชั่วโมงบินคุณถึงก็มาทดสอบกัน ทั่วประเทศเรามีผ่านแค่ ๒๒ คน ตอนนี้อยู่ใต้ฐานบินโคราชโน่น นอนห้องปรับอากาศอย่างดี ประจำการ ๒๔ ชั่วโมง ๒๒ คนนี้ถ้าหาเพิ่มไม่ได้นี่ เกษียณเมื่อไรก็แย่ เพราะว่า F16 ฝูงหนึ่งตั้ง ๑๘ ลำเข้าไปแล้ว เครื่องจอดอยู่เฉย ๆ ค่าบำรุงรักษาชั่วโมงละเป็นหมื่น

ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ พระองค์ท่านอยากขับ F16 มาก พระองค์ท่านเองก็เป็นนักบิน F5 ชั่วโมงบินเพียงพอแล้ว แต่ทดสอบพระวรกายเท่าไรก็ไม่ผ่าน แต่พระองค์ท่านดีมากเลย...ไม่ดื้อ ถ้าพระองค์ท่านบอกว่าจะขับให้ได้ ก็คงไม่มีใครกล้าขัด

เถรี
14-05-2017, 19:50
ในหลวงรัชกาลที่ ๙ พระองค์ท่านซ้อมวิ่ง ข้าราชบริพารก็ไล่ตามลิ้นห้อย จนกระทั่งพลตำรวจเอกวสิษฐ เดชกุญชร ตอนนั้นยังเป็นพันตำรวจเอกพิเศษอยู่ ถามว่าทำไมพระองค์ท่านต้องฟิตขนาดนี้ทุกวัน ? พระองค์ท่านตรัสว่า "ถ้าร่างกายไม่แข็งแรง ก็ดูแลประชาชนไม่ได้เต็มที่"

ในชีวิตที่รู้สึกโชคดีที่สุดครั้งหนึ่ง เป็นความบังเอิญก็คือ พาหลวงพ่อวัดท่ามะขามไปรับพัดยศพระเทพเมธากรที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ตอนแรกด้วยความที่ไม่รู้ อาตมาก็เลยพาท่านเข้าไปก่อนนานมาก พอเข้าไปก็ไม่รู้ว่าคนที่ไปหลัง ๆ สามารถจอดรถหน้าพระที่นั่งอมรินทร์วินิจฉัยได้ พวกเราไปก่อนก็ต้องไปหาที่จอดให้เรียบร้อย ก็เลยไปจอดตรงข้างพระที่นั่งศิวโมกขพิมานโน่น แล้วก็พาหลวงพ่อท่านเดินมาเพื่อลงทะเบียน

พอรับเสร็จก็ทุ่มกว่า ต้องเดินกลับเพื่อที่จะไปเอารถของพวกเรา ปรากฏว่าพอเดินปุ๊บทหารเขากันไว้ “นิมนต์หยุดก่อนครับ ขบวนเสด็จ” เลยได้เห็นครบถ้วนทุกพระองค์เลย อยู่ห่างแค่เอื้อมถึง นาน ๆ ในชีวิตจะมีโอกาสเห็นครบอย่างนั้นสักที ปกติก็เห็นทีละพระองค์

บางทีการที่เราทำอะไรผิด ๆ พลาด ๆ กลับได้ผลดีอย่างคิดไม่ถึง จอดรถไกลแต่กลายเป็นว่ามาแล้วได้เห็นขบวนชัด ๆ เลย ไม่อย่างนั้นก็จะได้เห็นในหลวงพระองค์เดียว เพราะว่าตอนนั้นในหลวงท่านมาพระราชทานเอง

เถรี
14-05-2017, 20:02
เรื่องของทหาร ตำแหน่งจอมทัพสำคัญที่สุด ก่อนหน้าที่จะปลดล็อกให้ผู้หญิงสามารถมีตำแหน่งเกินพันเอก เป็นที่น่าเสียดายว่า "สมเด็จย่า" ติดพันเอกตลอดชีวิต มี ตชด. ถวายพลตำรวจเอกให้ก็ไม่ได้ทรงออกงาน เพราะว่าไปถวายเมื่อสวรรคตแล้ว

ตอนช่วงนั้นสังคมยังไม่เปิดกว้างพอ ผู้หญิงจะเป็นผู้บังคับบัญชาผู้ชายย่อมเป็นไปได้ยาก พอเขาถวายพลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก พลตำรวจเอกให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ ๙ ตำแหน่งก็ค่อย ๆ มีให้ผู้หญิง ทางด้านทั่วไปก็ขยับขึ้นเป็นนายพลกันบ้าง อย่างมาดามติ้ง (พลโทหญิงพูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ)

เถรี
14-05-2017, 20:06
ไปนึกถึงขุนทัพหญิงฮัวมู่หลาน และบรรดานางสิงห์ตระกูลหยางอย่างมู่กุ้ยอิง นำทัพออกรบทุกคน สร้างชื่อติดไว้ในประวัติศาสตร์ ก็แสดงว่าผู้หญิงเก่ง ๆ มีอยู่มาก แต่สภาพของคนช่วงนั้นยังไม่ยอมรับ ที่หลุดมาได้จึงหายากมาก

แบบเดียวกับพระนางบูเช็กเทียนเป็นจักรพรรดินี ช่วงนั้นแผ่นดินจีนเจริญรุ่งเรืองมาก แต่สังคมผู้ชายเป็นใหญ่ ถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่ยอมรับ แต่โดนกดอยู่ใต้อำนาจ จึงใช้วิธีบิดเบือนประวัติศาสตร์ ไปตำหนิท่านว่าเป็นผู้หญิงมากราคะ สะสมแต่ผู้ชายเต็มไปหมด ลืมไปว่าฮ่องเต้มีสนมตั้ง ๓,๐๐๐ ท่านเองถือว่าเป็นฮ่องเต้ผู้หญิง จึงหาผู้ชายมาเก็บไว้บ้าง แค่นั้นแหละ ไปกล่าวหาจนลืมดูไปว่าตัวเองทำอะไร

แต่ถ้าไปเจอหวงอี้นี่เขียนเสียจนพระนางบูเช็กเทียนกลายเป็นสุดยอดวรยุทธ ถึงขนาดต้องแกล้งสวรรคตเพื่อที่จะแสวงหาทางหลุดพ้น

เถรี
14-05-2017, 20:40
พระอาจารย์กล่าวว่า "วัตถุมงคลบางอย่างที่ลงในกระทู้คนมีเงินฯ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเรากำลังไม่ถึง ก็เป็นเพราะไม่รู้ว่าในท้องตลาดต้องการขนาดไหน อย่างพระปิดตาพิมพ์ปั้น หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ที่ออกสมัยท่านยังอยู่วัดปากทะเล ราคาในท้องตลาดนี่ ๑๐ ล้านบาทขึ้นไป อาตมาลงให้ร่วมทำบุญไว้ ๓ แสนบาท มีแต่คนกระพริบตาปริบ ๆ แต่ถ้าไปขายเขาก็กดราคานะ ระดับ ๑๐ ล้านนี่เขาให้เราล้านเดียวก็ดีตายชักแล้ว

แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือตะกรุดของหลวงพ่อเชื้อ วัดใหม่บำเพ็ญบุญ ถ้าถามว่าหลวงพ่อเชื้อเป็นใคร ? ต้องบอกว่าถ้าไม่มีหลวงพ่อกวย หลวงพ่อเชื้อจะดังระเบิด บังเอิญว่าท่านอยู่ยุคเดียวกัน หลวงพ่อกวยก็เลยดังกลบไปหมด แต่ว่าหลวงพ่อเชื้อท่านศึกษามามีครูบาอาจารย์ใกล้เคียงกันหมด หลวงพ่อเชื้อจะทำตะกรุดโทนดอกยาว ๘ นิ้วตลอด ถามว่าทำไมต้องยาวขนาดนั้น ? ท่านบอกว่าเรียนอะไรมาก็ควรที่จะใส่ลงไปให้หมด

เครื่องรางชิ้นแรกในชีวิตที่อาตมาตะเกียกตะกายหาก็คือ มีดหมอของหลวงพ่อเชื้อ วัดใหม่บำเพ็ญบุญ ไม่น่าเชื่อว่าในสมัยนั้นอาตมาจะตะกายหาของท่านเป็นคนแรก เพราะว่ามีพี่อยู่คนหนึ่งเอารถมอเตอร์ไซค์ไปล้ม คราวนี้ถนนเป็นลูกรัง พี่ชายของอาตมาเองล้มยังต้องไปให้หมอคีบลูกรังออกทีละเม็ด นอนร้องโอย ๆ แล้วก็ทายาแดงไปซีกหนึ่ง แต่พี่คนโน้นนี่เอามอเตอร์ไซค์คว่ำมุมเดียวกันเลย แม้แต่รอยถลอกก็ไม่มี ทั้งเนื้อทั้งตัวพกมีดหมอหลวงพ่อเชื้อเหน็บเอวอยู่เล่มเดียว ปกติพวกเราก็ว่ามีดหมอเอาไว้ถอนของ เอาไว้ไล่ผี มีดหมอหลวงพ่อเชื้อนี่อยู่ยงคงกระพันอีกด้วย"

เถรี
14-05-2017, 21:48
ถาม : หลวงปู่แก่น วัดเขื่อนท่าทุ่งนาประชาสรรค์ ลูกศิษย์ของใคร ?
ตอบ : ลูกศิษย์ของใคร ? ก็มา ๒ สาย ก็คือเป็นหลานศิษย์หลวงปู่ทา วัดพะเนียงแตก ไม่ใช่ลูกศิษย์ เพราะว่าอาจารย์ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ทา วัดพะเนียงแตก แล้วก็เรียนวิชาจากพระอาจารย์อีกท่านหนึ่ง นึกชื่อไม่ออกตอนนี้ ท่านจึงเป็นรุ่นพี่ของหลวงพ่อพาน วัดโป่งกะสัง

หลวงพ่อพาน วัดโป่งกะสังเป็นพระเกจิฯ รุ่นใหม่ ที่คนต้องการวัตถุมงคลมากเป็นพิเศษ เพราะว่าทุกชิ้นรับประกันความเหนียว เพิ่งจะดังไม่นาน ช่วงที่ท่านมีชีวิตอยู่ของไม่ดัง เพราะว่าคนได้ของไปอมกันเงียบหมด ไม่มีหลุดไปมือคนอื่นได้เลย เห็นตัวเล็กเอาสมเด็จหลังอุหลวงปู่แก่นไปลง มีใครรู้หรือเปล่า ? ราคาร้อยเดียว จองกันทันไหม ?

ท่านอายุ ๙๐ กว่าปีแล้ว เป็นรุ่นน้องหลวงปู่อำนวยแค่ปีเดียว เรียนบาลีรุ่นที่แปลธรรมบท ๘ ภาคเหมือนกัน สมัยนี้เรียนเบาลง เรียนแค่ ๔ ภาค เพราะฉะนั้น...ไม่ว่าจะพระหรือทหารก็เหมือนกัน คือ วิชาการอ่อนลงไปเรื่อย ๆ

ถาม : รู้จักหลวงปู่แก่น ตั้งแต่วัดท่าซุงหรือคะ ?
ตอบ : รู้จักกันตั้งแต่ตอนบวชใหม่ ๆ ท่านจะไปวัดท่าซุงกับหลวงพ่อวัดท่ามะขาม ท่านเป็นคู่หูกัน คราวนี้พอพระอาคันตุกะไปวัดท่าซุง อาตมามีหน้าที่ต้อนรับก็เลยรู้จักมักคุ้นกันตั้งแต่ตอนนั้น

เถรี
14-05-2017, 21:54
ถาม : รู้จักแม่ชีณัฐทิพย์ไหมครับ ?
ตอบ : รู้จักตั้งแต่ตอนบวชใหม่ ๆ เหมือนกัน ตอนนี้ท่านเปลี่ยนเป็นสำนักภิกษุณีไปแล้ว ธัมมทีปาภิกษุณี ตอนบวชเป็นภิกษุณีอาตมาก็เพิ่งไปเยี่ยมมา แต่จะว่าเพิ่งไปเยี่ยมก็ ๒ ปีแล้วนะ

ไม่ว่าจะลูกศิษย์สายไหน ถ้าหากสร้างความเจริญให้กับพระพุทธศาสนาได้ก็ดีทั้งนั้น

เถรี
14-05-2017, 22:04
พระอาจารย์เล่าว่า "ไปหาดใหญ่เที่ยวนี้เจอโยมผู้หญิงคนหนึ่งชื่ออารีรัตน์ อารีรัตน์มองใครเห็นเป็นโครงกระดูกหมด อย่างชนิดที่เดินไปก็เห็นเป็นโครงกระดูกทั้งเมือง เขาบอกว่าถามพระมาหลายรูปแล้ว แต่บอกไม่ได้ว่าจะให้ทำต่ออย่างไร อาตมาก็เลยสอนวิธีพิจารณาอัฏฐิกอสุภให้ แล้วต่อด้วยวิปัสสนาญาณ บอกตรงนั้นแกก็นั่งทำตรงนั้นเลย

คนลักษณะอย่างนั้นถ้าไม่ใช่กำลังใจมั่นคงจริง ๆ ก็จะกลัวเพี้ยน มองไปทางไหนก็มีแต่โครงกระดูกทั้งเมือง แสดงว่าของเก่าต้องมีติดตัวมาเยอะมาก

พูดถึงของเก่าติดตัวมา มีใครได้รับแชร์คลิปน้องโฟมที่ต่อว่าพ่อหรือยัง ? น้องโฟมบอกพ่อว่า ถ้าพ่อมีเมียน้อยเมื่อไรเราขาดกัน ตัดพ่อตัดลูกเลย พ่อบอกว่าตัดได้จริงหรือ ? “ได้” เด็ดขาดสุดยอด แล้วเด็กอะไรตัวเปี๊ยกเดียวพูดเป็นเหตุเป็นผลไปหมด ลักษณะอย่างนั้นของเก่าตามมาแน่ โดยเฉพาะในด้านของสมาธิ เกิดมาชาตินี้กำลังใจก็เลยมั่นคงเข้มแข็งมาก

ขนาดเด็กตัวแค่นั้นยังบอกว่าตัดพ่อได้ คาดว่าอีกไม่นานก็คงได้รับแชร์กันทั่ว ยังขำ ๆ อยู่ตรงที่พ่อเขาก็แกล้งถามไปเรื่อย ๆ ลูกก็พูดไปเรื่อย พูดเป็นเหตุเป็นผลทุกอย่างเลยนะ ลักษณะของคนมาสูงจะเป็นแบบนั้น ท้ายสุดก็บอก “แม่อย่าถ่ายสิ” เพราะว่าแม่ถ่ายคลิปพ่อลูกคุยกัน"

เถรี
15-05-2017, 22:28
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงปู่มหาอำนวยเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงรุ่นแรก ๆ เลยที่เปิดวัดสอนมโนมยิทธิ หลวงป๋าวิวัฒน์น้องชายท่านก็สุดยอดเซียนมโนมยิทธิ สมัยฆราวาสพระครูแสงไปขอเรียนด้วยก็เลยสนิทสนมกันมา อาตมาเองรู้จักท่านครั้งแรกก็พระครูแสงแนะนำ ท้ายสุดอาตมาก็มาบวช กลายเป็นรุ่นหลังท่านไกลมาก เพราะว่าหลวงปู่อำนวยท่านพรรษาก็ ๗๐ กว่าแล้ว ไม่ใช่อายุนะ พรรษาพระ ๗๐ กว่า ส่วนของอาตมาพรรษาเพิ่งจะ ๓๐ กว่า ยังไม่ได้ครึ่งของท่านเลย

พอถึงเวลาท่านมาขอให้ช่วยก็ต้องไป ความจริงท่านดูเองก็ได้ แต่ของหลายอย่างหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้แล้วว่า อย่าดูเพื่อตัวเอง ถ้าดูเพื่อตัวเองโอกาสเฝือจะมี เพราะคนเรามักจะคิดเข้าข้างตัวเอง ท่านก็เลยมานิมนต์ อาตมาบอกว่า “หลวงปู่แค่โทรมาก็พอแล้ว” ท่านทำตามมารยาทคนรุ่นเก่า อุตส่าห์มานิมนต์เอง ตั้งทุ่มกว่าแล้ว อาตมาก็ว่าอีกสักครึ่งชั่วโมงก็จะขึ้นพักแล้ว เพราะว่านั่งรับโยมมาทั้งวัน ที่ไหนได้...หลวงปู่เปิดประตูเดินเข้ามาเฉยเลย"

เถรี
15-05-2017, 22:35
ถาม : เคยไปเขาอ้อไหมครับ ?
ตอบ : ก่อนหน้าที่หลวงปู่กลั่นท่านยังอยู่ อาตมาแวะทุกครั้ง จนสนิทสนมคุ้นเคยกับท่าน ท่านอยากจะให้ไปเป็นเจ้าอาวาส สายเขาอ้อตอนหลวงปู่กลั่นยังอยู่ พ่อปู่ขุนพันธ์ฯ ก็ไปที่นั่นประจำ อาตมาก็รู้จักมักคุ้นกับพ่อปู่ท่านตั้งแต่ตอนนั้น แล้วก็ตามไปบ้านพ่อปู่ขุนพันธ์ฯ ที่นครศรีธรรมราชด้วย

อาตมามีความเห็นว่า ถ้าทุกสำนักคิดแบบเขาอ้อจะเจริญไปเรื่อย เพราะว่าสายเขาอ้อไม่หวงวิชา ไม่คิดว่าจะต้องเป็นคนของวัดตัวเอง ถ้าคุณมีความสามารถ เขาให้มาศึกษาวิชาเลย แล้วก็พร้อมจะยกตำแหน่งเจ้าอาวาสให้ด้วย หลวงปู่กลั่นขอแล้วขออีก “ท่านมาอยู่เถอะ มาเป็นเจ้าอาวาส ผมก็อายุเยอะแล้ว” ท้ายสุดท่านมรณภาพตอน ๙๐ กว่าปี

ท่านไม่หวงจริง ๆ คิดดู...อาตมาเป็นใคร ? มาจากไหนก็ไม่รู้ ? แต่พอท่านเห็นว่ามีความสามารถ มีสมาธิดี ท่านก็ขอให้อยู่ด้วยเลย พร้อมที่จะสอนวิชาให้ แถมยังจะยกตำแหน่งเจ้าอาวาสให้ด้วย การทำแบบนี้ทำให้ไม่เสื่อม เพราะว่าคนเราร้อยพ่อพันแม่ ใครจะไปรู้ว่าคนที่มีของเก่าติดมาจะไปเกิดอยู่ที่ไหน พอเจอตัวก็ต้องรีบคว้าเอาไว้ก่อน ไม่ใช่ว่าต้องบวชจากเขาอ้อ ต้องหลุดมาจากโบสถ์นี้ถึงจะใช่ แต่สายนี้เห็นใครมีความสามารถก็เอาเลย

เถรี
15-05-2017, 22:41
แบบเดียวกับท่านอาจารย์พระมหาอุทัย วัดดอนศาลา ก่อนหน้านี้ท่านอยู่วัดหาดใหญ่ใน (วัดมหัตตมังคลาราม) อาตมาไปช่วยงานที่นั่น ไปช่วยท่านบวชเณร ฯลฯ มาเจออีกที เฮ้ย...ทำไมมาอยู่ที่นี่ ? ท่านบอกว่า "ผมโดนย้ายมาครับ" ก็บอกกับท่านว่า ทางด้านผมย้ายข้ามอำเภอก็ยากแล้ว นี่ของท่านย้ายข้ามจังหวัดเลย ย้ายจากสงขลาไปเป็นเจ้าอาวาสที่พัทลุง นั่นแหละ...เขาต้องการคนมีความสามารถ เขาไม่ได้หวงตำแหน่ง

วัดดอนศาลา วัดเขาอ้อ วัดบ้านสวน ฯลฯ เป็นเครือเดียวกัน ในเมื่อเครือเดียวกันแนวปฏิบัติก็แบบเดียวกัน คุณเก่งคุณมาได้เลย เขารับได้เดี๋ยวนั้นเลย

ตอนนี้ทางสายเขาอ้อทางด้านพระนี่ยังไม่เห็นตัว แต่ทางด้านฆราวาสนี่ท่านอาจารย์ประจวบ คงเหลือ ถ้ายังอยู่ก็ยังสืบสายอยู่ได้

เถรี
15-05-2017, 22:49
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนกรุงเทพฯ ต้องตื่นเช้าขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อหนีรถติด เพราะบ้านเราไม่มีมาตรการในการจำกัดจำนวนรถ ซื้อได้ไม่อั้น บางบ้านมี ๔-๕ คัน พ่อคันหนึ่ง แม่คันหนึ่ง ลูกคนละคัน บ้านเราไม่จำกัดจำนวนรถทั้ง ๆ ที่รถยนต์ทั้งประเทศ ถ้าออกมาสู่ท้องถนนพร้อมกันก็จะไม่มีถนนให้วิ่ง ก็เพราะว่าบรรดาบริษัทจำหน่ายรถ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นนายทุนให้กับพรรคการเมือง

เราจะเห็นว่าบ้านของเรานั้น ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนถ่างกว้างขึ้นเรื่อย ๆ สังเกตได้จากเรื่องของรถยนต์ รถออกมาราคาแพงแค่ไหนมีคนซื้อ ออกสู่ถนนให้ได้เห็นภายในไม่กี่วัน ตีโฆษณาวันนี้ พรุ่งนี้มีวิ่งบนถนนแล้ว รถราคา ๔๐-๕๐ ล้านบาท ขับไปทำไม ? ยกเว้นว่าไว้ไล่ทับชาวบ้านเขา คุณภาพถนนของบ้านเรานั้นยังรองรับไม่ได้ รถมีความเร็ว ๓๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะเอาถนนที่ไหนมาวิ่ง ? วิ่งในกรุงเทพฯ ก็ไปได้ ๔๐-๕๐ กิโลเมตรเท่า ๆ กับรถตุ๊กตุ๊ก

ถ้าบ้านเราจะจำกัดจำนวนรถ อันดับแรกเลยก็คือห้ามออกทะเบียนใหม่ ทันทีที่ห้ามออกทะเบียนใหม่ คนต้องการรถคันใหม่ ต้องเอาคันเก่ามายุบเป็นเศษเหล็กก่อน ถ้าลักษณะอย่างนั้นเต็นท์รถมือ ๒ มือ ๓ มือ ๔ มือ ๕ จะหมดไปจากประเทศไทยเลย เพราะว่าคนจะแย่งกันซื้อ เพื่อจะเอาทะเบียนมาออกรถใหม่ พรรคการเมืองไหนจะเอาแนวคิดไปใช้ก็ได้ อาตมาอนุญาต...ไม่สงวนลิขสิทธิ์"

เถรี
16-05-2017, 01:00
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่ครูบาบุญยังโทรมาให้ไปงานวัดของท่าน ท่านส่งฎีกานิมนต์แล้วยังโทรศัพท์ตามอีก เวลาหลวงปู่หลวงพ่อระดับนั้นท่านให้ความเมตตาต้องการให้ไป อาตมารู้สึกปลื้มใจก็ใช่ จะว่าหวาดเสียวก็เชิง เพราะว่าครูบาอาจารย์ระดับนั้น ความดีของท่านสูงมาก อายุกาลพรรษาสูงมาก แต่ท่านก็ให้ความเมตตา ให้เกียรติ ส่งหนังสือนิมนต์แล้วก็ยังอุตส่าห์โทรมาด้วยองค์ท่านเองอีก

ไปนึกถึงสมัยหลวงปู่ครูบาอ่อน หลวงปู่ครูบาผัดท่านยังอยู่ พวกเราก็เห็นเป็นครูบาผู้เฒ่า ไปทำบุญกัน บางคนก็ไม่รู้จักท่านด้วยซ้ำไป มรณภาพแล้วเผาวันนั้นอัฐิก็เป็นพระธาตุวันนั้นเลย ใจหายกันวาบเลย..!

หลวงปู่ครูบาอ่อนกับหลวงปู่ครูบาผัดช่วงนั้นท่านเป็นสหายสนิทกัน อีกรูปหนึ่งก็คือหลวงปู่ครูบาครอง วัดท่ามะเกว๋น ยังนึกถึงตอนที่หลวงปู่ครูบาอ่อนพาอาตมาไปไปกราบ และปิดทองที่หน้าแข้งหลวงปู่ครูบาครอง ท่านเองท่านก็ขำ ๆ ที่ปิดทองถวาย ท่านบอกว่า "ครูบาผู้เฒ่า ความดีสูงมาก ควรแก่การปิดทองแล้ว" ผู้ที่มรณภาพเผาแล้วกระดูกเป็นพระธาตุทันทีพูดอย่างนั้น

แต่ที่ขำที่สุดก็คืองานศพของหลวงปู่ครูบาครอง อาตมาไปถึงพระที่นั่นก็มาต้อนรับ นึกว่าเป็นเจ้าคุณมาจากกรุงเทพฯ ท่านบอกว่าคุ้นหน้ามาก แต่จำไม่ได้ว่าใคร พอเดิน ๆ ไปเจอรูปอาตมาที่บอร์ดใหญ่เบ้อเริ่มเลย อ๋อ...รูปอยู่ตรงนี้เองแต่ก็ไม่จำ"

เถรี
16-05-2017, 19:13
"ทางด้านสายเหนือของเรา ต้องบอกว่าซ่อนเสือซ่อนมังกร ครูบาอาจารย์ดี ๆ มีมาก แต่ส่วนหนึ่งก็มักน้อย สันโดษ เก็บตัว หรือไม่ก็ครูบาอาจารย์ท่านสั่งให้ไปอยู่ในป่าลึก ๆ คนก็ตามตัวได้ยาก แต่สายเหนือกับสายของหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤๅษีฯ เกื้อกูลกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จนมาถึงรุ่นของอาตมาก็ยังคงเหมือนเดิม ครูบาอาจารย์สายนั้นท่านยังให้ความรักความเมตตาเป็นปกติ

ไปนึกถึงสมัยที่ยังไม่ได้บวช หลวงปู่ครูบาชุ่ม หลวงปู่ครูบาคำแสนใหญ่ หลวงปู่ครูบาคำแสนเล็ก หลวงปู่ครูบาพรหมจักร พอมาถึงรุ่นที่ท่านบอกว่าเป็นลูกศิษย์ ก็คือ หลวงปู่ครูบาธรรมชัย หลวงปู่ครูบาวงศ์ ท่านให้ความเมตตาถ่ายทอดสารพัดความรู้ให้ ตอนที่ศึกษาอยู่ก็ไม่ได้นึกว่าตัวเองจะต้องบวช ศึกษาไปเพราะว่ารักท่าน เห็นความเมตตาของท่านที่มีต่อคนหมู่มาก เห็นปฏิปทาของท่านแล้วก็เกิดความรัก ว่าท่านเองทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก

หลวงปู่ครูบาคำแสนใหญ่ วัดสวนดอก นั่งสมาธิมรณภาพ เสียดายว่าสายโน้นมีค่านิยมในการเผา ไม่อย่างนั้นแล้วก็จะมีสังขารพระสุปฏิปันโนสายเหนือเหลืออยู่เยอะมาก อย่างหลวงปู่ครูบาพรหมจักร วัดพุทธบาทตากผ้า อาตมาก็มีโอกาสที่ได้ไปกราบสังขารเปลี่ยนผ้าครองให้ท่าน ก่อนเผาก็ไม่มีทีท่าว่าจะเน่า แต่เขาก็เผากันตามธรรมเนียมนิยม"

เถรี
16-05-2017, 19:21
"หลวงปู่ครูบาธรรมชัยกับหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์เป็นรุ่นหลัง ๆ ที่ลูกศิษย์ทางกรุงเทพฯ หรือทางใต้ มีสิทธิ์มีเสียงมากกว่า (ท่านเรียกคนที่อยู่ภาคอื่นว่าคนใต้) เขาถึงได้เก็บสังขารของท่านเอาไว้ได้ ไม่อย่างนั้นก็หมด ไม่เหลือหรอก หลังจากนั้นก็ยังได้ยินว่า ทางลูกศิษย์หลวงปู่ครูบาธรรมชัยเขาอยากจะเผาอยู่นั่นแหละ

หลวงปู่ครูบาบุญยังเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์รุ่นแรก ๆ ถ้าเปรียบกับอาตมาท่านก็คล้าย ๆ กับพระครูบ่าว ก็คือเป็นลูกศิษย์รุ่นแรก ๆ ของอาตมา ที่ท่านก้าวขึ้นไปถึงเจ้าอาวาส ไปถึงพระครูสัญญาบัตร ดูไปอายุก็ไม่ได้ไกลกับอาจารย์เท่าไร เพียงแต่ว่าประสบความสำเร็จเร็วหน่อย

หลวงปู่ครูบาบุญยังก็แบบเดียวกัน หลวงปู่ครูบาไชยวงศ์มอบหมายให้ไปดูแลวัดห้วยน้ำอุ่น ท่านก็เริ่มขึ้นมาจากไม่มีอะไรเลย ทำจนกลายเป็นวัดเป็นหลักเป็นฐาน ทั้ง ๆ ที่อยู่กลางป่าคนก็ยังไปมาหาสู่กันมาก เมื่อครู่ท่านโทรมาบอกว่า "วันงานไปให้ทัน ๙ โมงครึ่งนะ มีบวงสรวง" สงสัยว่าจะโดนครูบาผู้เฒ่าโยนภาระให้อีกแล้ว

ครูบาทางเหนืออีกรูปหนึ่งที่ตอนนี้ยังเป็นห่วง เพราะว่าอายุกาลผ่านวัยมากเหลือเกินก็คือ ครูบาอินสม สุวีโร ตอนนี้ท่านก็เป็นหลักให้ญาติโยมได้พึ่งพิงอยู่ ถ้าหากว่าสิ้นท่านนี่ ทางด้านภาคเหนือฝั่งตะวันตกก็ว่างโล่งเลย รู้จักภาคเหนือฝั่งตะวันตกไหม ? ออกไปทางด้านแม่ฮ่องสอน อะไรประมาณนั้น"

เถรี
16-05-2017, 22:08
พระอาจารย์กล่าวว่า “มีโยมท่านหนึ่งถวายวัตถุมงคลสำคัญ ๆ มีตรีศูลด้ามงาของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ เหรียญธรรมจักรของหลวงปู่ครูบาศรีวิชัย มีมหาสังข์ ตลอดจนพระสำคัญ ๆ ประเภทเบญจภาคี ขออนุโมทนา อาตมาไม่ได้ประจานนะ แต่อยากจะบอกให้ทราบว่า ใครเป็นคนหามาให้ก็เลิกคบได้แล้ว เพราะว่าเป็นของปลอมล้วน ๆ...!

อันดับแรกเลย ตรีศูลของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ หลวงพ่อเดิมท่านไม่เคยทำตรีศูล ด้ามงาช้างก็ไม่ใช่งา แต่เป็นกระดูกซี่โครง อายุโลหะก็ไม่ได้

อันดับที่ ๒ หลวงปู่ครูบาศรีวิชัยไม่เคยทำเหรียญอื่น ไม่ทราบเหมือนกันว่าไปเอาเหรียญธรรมจักรมาจากไหน ? ส่วนมหาสังข์ไปดูได้ตามร้านขายของเก่า ของปลอมมีเป็นร้อย ๆ เลย

พระรอดลำพูน พระทุ่งเศรษฐี พระผงสุพรรณ สมเด็จจิตรลดา เก๊ดูง่ายชนิดห่าง ๑๐๐ เมตรก็รู้ ที่บอกนี้ไม่ใช่ทำลายศรัทธาของโยม แต่บอกให้รู้ว่า ถ้าโดนใครเขาเอาของเหล่านี้มาให้ แล้วคิดราคาแพงด้วย ก็เลิกคบคนนั้นได้แล้ว

ของบางอย่างญาติโยมอาจจะเสียเงินมาก แล้วเอามาถวายพระด้วยความปลื้มใจว่า ได้ของดี ของแพง ของมีคุณค่า มีราคา ปรากฏว่าไปโดนคนอื่นเขาหลอกมาก็จะเสียอารมณ์ โทษใครไม่ได้หรอก เพราะว่าโยมเป็นผู้หญิง ผู้หญิงมีนิสัยค่อนข้างจะเชื่อข่าวลือได้ง่าย

เพราะฉะนั้น...นักเล่นวัตถุมงคลเขาถึงได้มีคำพูดว่า “ให้เล่นด้วยตา อย่าเล่นด้วยหู” คำว่าเล่นด้วยตาก็คือดูของให้เป็น อย่าไปเล่นด้วยหูคือฟังเขาเป่าหูมา ประวัติดีอย่างนั้น ประสบการณ์ดีอย่างนี้ แล้วก็ไปซื้อของที่ไม่ใช่สักอย่างหนึ่งมา อาตมาเสียดายแทน ต่อให้โยมจ่ายเงินไม่มากแล้วได้มาก็เถอะ เงินของเราแท้ แต่ของที่ได้มาไม่แท้ ต้องเรียกว่าคุณค่าแทนกันไม่ได้เลย"

เถรี
16-05-2017, 22:11
"ส่วนบรรดาพระธาตุต่าง ๆ ที่ให้มานั้น จะแท้หรือเทียมไม่ได้เป็นสาระ สาระอยู่ที่ว่าเราระลึกถึงหรือเปล่า ? ถ้าเราระลึกถึงได้ต่อให้เป็นของเทียมก็เหมือนกับของแท้

สมัยนี้เป็นสมัยของเทคโนโลยีในการปลอมของ ขนาดพระบรมสารีริกธาตุสมเด็จองค์ปฐม ที่ท่าพระจันทร์มีให้เป็นเข่ง ๆ แทบทุกร้าน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสร้างบารมีมาขนาดไหน ทั้งชีวิตได้มาแค่ ๒ องค์ พอถ่ายรูปให้เห็นเท่านั้นแหละ มีคนผลิตออกมาเป็นคันรถเลย

ญาติโยมเอามาถวายอาตมาทีหนึ่งเป็น ๕ ลิตร ๑๐ ลิตร อาตมาก็ชอบใจเพราะช่วงนั้นกำลังสร้างพระอยู่ ใช้ผสมคอนกรีตเทพระไปเลย เราต้องนึกถึงบ้างว่าตัวเราเป็นใคร ? เรามีบารมีขนาดไหน ? อยู่ ๆ พระธาตุสมเด็จองค์ปฐมมาทีเป็นถัง เป็นไปได้ไหม ?"

เถรี
16-05-2017, 22:22
"การเล่นวัตถุมงคลบางอย่างต้องใช้การอนุมานเอา อย่างวัวปิดตาของหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว มีจำนวนน้อยมาก จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นของหลวงพ่อดิ่ง ?

อันดับแรก คือ วัดของท่านชื่อวัดบางวัว อันดับที่ ๒ ฝีมือช่างเป็นคนเดียวกัน อันดับที่ ๓ อายุของวัตถุมงคลได้ในระดับนั้น จึงพอที่จะอนุมานได้ว่าเป็นของท่าน ถ้าหากว่าไม่มีของที่เป็นหลักฐานได้ในลักษณะอย่างนี้แล้ว เราขืนไปเล่นของนอกมาตรฐานก็เดี้ยง"

เถรี
17-05-2017, 18:43
ลูกศิษย์เอามีดหมอมาให้ดู "คุณจำไว้เลยนะ ด้ามงาแท้สีจะไม่สม่ำเสมออย่างนี้ จะต้องมีอ่อนบ้าง แก่บ้าง ถ้าสม่ำเสมอลักษณะนี้ ถ้าไม่โดนรมควันก็ทอดน้ำมันมา

พวกงา เขา กระดูก สีจะไม่สม่ำเสมอ ถ้าเราพกด้านไหนติดตัวก็จะสีเข้ม ด้านที่ไม่ได้ติดตัวก็จะสีอ่อน เป็นธรรมชาติของเขาเลย ถ้าอยู่ ๆ ประเภทสีเสมอกันทั้งหมดนี่ไม่ใช่แน่ อีกอย่าง...บางทีคนปลอมก็ลงอักขระเลขยันต์ไม่ดูสำนัก ถ้าอักขระเลขยันต์คนละสายครูบาอาจารย์กัน นี่ก็ไม่ใช่แล้ว

ถ้ายันต์ค่ายกลหลวงพ่อกวย กับยันต์องค์พระของหลวงพ่อเดิมนั้นไปกันได้ เพราะว่าท่านเป็นศิษย์เป็นอาจารย์กัน แต่นี่ไปลงยันต์เฑาะว์ของทางหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว หรือไม่ก็หลวงปู่ปาน วัดบางนมโคไปเลย แล้วจะแท้ได้อย่างไร ?

ดูที่ด้ามสิ...ให้เห็นว่าของปลอมเขาจะทำดีจนเกินไป แบบนี้ถ้าเขาไม่รมควันก็จะทอดน้ำมันมา สีจึงสม่ำเสมอ ถ้าทอดน้ำมันสีจะเข้มกว่านี้ อันนี้คาดว่าน่าจะรมควัน แต่เอาไปเข้าพิธีเสาร์ห้าก็ใช้ได้เหมือนกัน

วันก่อนไปประชุมอยู่ที่วัดไร่ขิง อาจารย์ ดร.ภูริวัจน์มาช้า พอเข้ามาถึงท่านก็บอกว่า "ขออภัยครับ มัวแต่ส่องพระอยู่" อาจารย์ ดร.โยตะท่านบอกว่า “ส่งให้ท่านอาจารย์เล็กจับพลังก็จบแล้ว” จึงบอกท่านไปว่า “ผมไม่ได้เล่นจับพลัง จับพลังผมรู้อยู่คนเดียว ต้องเล่นของที่เป็นสากล คือใคร ๆ เขาดูก็ต้องใช่” แหม...เล่นจับพลัง หาเรื่องชัด ๆ แล้วอาตมาจะไปพลังอะไรได้ ? จับอะไรก็มีพลังไปหมด

ตอนแรก ๆ ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอน ก็พอที่จะจับพลังได้ ตอนหลังพอมั่นใจในคุณพระรัตนตรัย จับอะไรไม่ได้เลย แม้กระทั่งรูปพระในเศษกระดาษ หยิบขึ้นมาก็ใช้ได้ ตายละวา...แล้วตูจะตรวจสอบอย่างไร ? ท้ายสุดก็เลยต้องหัดดูของเอง"

เถรี
17-05-2017, 18:52
"เดี๋ยวรอกลับจากทิเบตก่อนนะ จะเทวัตถุมงคลลงในกระทู้คนมีเงินฯ สัก ๗๐-๘๐ รายการ ให้ไปแย่งกันเอาเอง

อาตมามีแมลงภู่คำงาช้างอยู่ตัวหนึ่ง ยังไม่อยากปล่อย ปกติแมลงภู่คำนี่ส่วนมากเขาจะทำด้วยไม้ดุมเกวียน เพราะว่าล้อเกวียนหมุนไปเรื่อย เหมือนกับนำความเจริญก้าวหน้ามาให้ แต่ดุมเกวียนเป็นตัวควบคุมล้ออีกทีหนึ่ง โห...หลักการเคล็ดลับของเขาสุดยอดมาก"

เถรี
17-05-2017, 19:31
มีโยมถวายนิตยสารมวย "นิตยสารมวยเล่มนี้บอกว่า การไหว้ครูเป็นสิ่งที่แสดงถึงศิลปะมวยไทยและความเคารพต่อครูบาอาจารย์ เป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านาน

เวรกรรมเลย...อธิบายไว้แค่นี้ การไหว้ครูนอกจากวัตถุประสงค์ที่เขาว่ามาแล้ว หลัก ๆ เลยก็คือเป็นการอบอุ่นร่างกายตัวเองให้พร้อมชก เท่ากับว่าได้ยืดเส้นยืดสายก่อน สมัยอาตมายังเด็ก ๆ ถ้าผล พระประแดง หรือว่ารักเร่ ศรีหนุมาน ไหว้ครูนี่ นอนรอได้เลยตื่นหนึ่งกว่าจะไหว้ครูจบ

อีกประการหนึ่ง สมัยก่อนเขาชกกันบนสังเวียนธรรมชาติ อย่างเช่นลานวัดหรือสนามที่กว้างพอ ก็เลยต้องมีการสำรวจพื้นที่ เพื่อที่จะชิงความมีเปรียบหรือป้องกันความเสียเปรียบ การไหว้ครูเท่ากับเป็นการสำรวจพื้นที่อย่างหนึ่ง ดูแดด ดูลม อาศัยความได้เปรียบของธรรมชาติช่วยในการชนะการต่อสู้ครั้งนั้น เพราะว่าบางกระบวนท่า อย่างการกระโดดตัวลอยตีศอก คือสับศอกใส่กระหม่อมคู่ต่อสู้ คู่ต่อสู้แหงนหน้าขึ้นมาเพื่อป้องกัน เจอแสงตะวันเต็ม ๆ ตาก็ซวยเลย ต่อให้รอดจากท่านั้นไปได้ ก็มองไม่เห็นคู่ต่อสู้ไปชั่วคราว

คราวนี้นิตยสารมวยอธิบายคำไหว้ครูไว้แค่นั้นก็จบเลย ส่วนสำคัญอื่น ๆ ไม่ได้พูดถึงสักนิด"

เถรี
17-05-2017, 19:41
"การฝึกศิลปะการต่อสู้ทุกอย่าง เราจะกลัวไม่ได้ กลัวเมื่อไรโอกาสที่จะเจ็บหรือตายมีสูงมาก สายตาต้องจ้องคู่ต่อสู้อยู่ตลอดเวลา ต่อให้อาวุธมาถึงข้างหน้าก็กระพริบตาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะมองไม่เห็นท่าตาม ไม่เห็นกระบวนอื่น ๆ ของเขา จะทำให้ได้ขนาดนั้นก็ต้องอาศัยสมาธิเข้าช่วย

ฉะนั้น...การฝึกฝนวิชาการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นมวย เป็นดาบ เป็นกระบี่กระบอง ส่วนหนึ่งที่ครูบาอาจารย์สมัยก่อนย้ำนักย้ำหนาเลยก็คือ ต้องทำสมาธิทุกวัน"

ถาม : ทำไมเวลาอยู่กับสมาธิจึงไม่มีความกลัว ?
ตอบ : ถ้าจิตใจอยู่กับสมาธิ ความกลัวจะลดน้อยถอยลง เกิดความฮึกเหิมและมั่นใจมากกว่า

ถาม : เวลากังวล จะปลอบตัวเองว่าอย่ากลัว ?
ตอบ : ปลอบได้ถูกแล้ว เพราะว่ากังวลก็คือกลัว เพียงแต่ว่ายังกลัวไม่มากเท่านั้น

เถรี
17-05-2017, 19:57
พระอาจารย์กล่าวว่า "ร้อยวันพันปีอาตมาจะเป็นโรคอื่นนอกจากมาลาเรียสักที เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน - ๔ พฤษภาคม ไปอยู่ที่ภูเก็ตกับหาดใหญ่ เริ่มเจ็บร้าวไปทั้งแขนซ้าย เจ็บปลายประสาท ชนิดที่โดนไม่ได้เลย ปรากฏว่าเมื่อวันศุกร์มีตุ่มขึ้นมาที่ท่อนแขนตุ่มหนึ่ง อาตมานึกว่าเป็นเรื่องปกติก็บี้แตก ที่ไหนได้...ขึ้นไล่ไปตามแขนจนเป็นแผลใหญ่เลย น่าจะเป็นเริมที่โบราณเรียกว่า "ขยุ้มตีนหมา"

พวกเริม งูสวัด ขยุ้มตีนหมาก็คือพวกเดียวกัน ทำให้ปลายประสาทอักเสบ ส่วนใหญ่จะไข้จับ เป็นรสชาติของชีวิตมาก แต่ว่าตอนนี้การอักเสบปลายประสาทเกือบหมดแล้ว เพราะว่าปะทุออกมาข้างนอก ถ้าหากว่าไม่ปะทุออกมาข้างนอกนี่ อาตมามีสิทธิ์เดี้ยงเลย"

ถาม : ปะทุแล้วไปไหนคะ ?
ตอบ : หาย...พวกนี้พอร่างกายเราแข็งแรงขึ้นก็จะค่อย ๆ หายไปเอง แต่เชื้อไวรัสพวกนี้ฆ่าไม่ตาย อาตมาเคยเป็นแถวมุมปาก ในปาก เหมือนแผลร้อนใน พวกนั้นก็เชื้อนี้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าคนละประเภทกัน ที่โบราณบอกว่า งูสวัดถ้าขึ้นรอบตัวแล้วจะตาย อันนั้นจริง ๆ แล้วก็คือ ทนการอักเสบไม่ได้ ฉะนั้น...ช่วงนี้ชีวิตของอาตมาจะมีสติมากเป็นพิเศษ

ถาม : เป็นไปได้ไหมครับ ว่าเป็นเพราะกินยาจินดามณีแล้วโดนยาขับออกมา ?
ตอบ : ก็น่าจะมีส่วนว่าโดนยาขับออกมา ถ้า ขับออกมาก็พักเดียว เดี๋ยวก็หายแล้ว แต่ก็ดีกว่าให้อยู่ในตัวเรา แบบเดียวกับหลวงปู่เจ้าคุณนรฯ ท่านนั่งกรรมฐานอยู่ก็ทราบว่ามะเร็งจะขึ้นที่ตับ ท่านบอกว่า “ให้ออกมาข้างนอก อย่าไปเป็นข้างใน" ก็เลยมาเป็นอยู่ที่ใต้กรามของท่าน

เถรี
17-05-2017, 20:14
ถาม : ลูกสาวจะไปเรียนที่อเมริกาค่ะ ?
ตอบ : หาอะไรเหนียว ๆ ให้ลูกพกไปบ้างนะ สมเด็จองค์ปฐมก็ได้ เหรียญพุทธบารมีจะใหญ่ไปหน่อย แต่ต้องสวดมนต์เอาไว้ทุกวัน ไม่อย่างนั้นถ้าโดนระเบิดเละคารถไฟใต้ดินอาตมาไม่รู้ด้วยนะ ?

เถรี
17-05-2017, 20:29
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อมณฑลสมัยที่ท่านไปรบเวียดนาม อธิษฐานกับพระแก้วมรกตว่า ถ้าลูกรอดกลับมา ไม่ตาบอด ไม่แขนขาด ไม่ขาขาด ก็จะบวชถวาย ท่านก็บวชมาจนป่านนี้แล้ว ตั้งแต่ปี ๒๕๑๓ พอบวชแล้วไปฝึกกรรมฐานกับหลวงปู่ฝั้น ก็เลยติดใจบวชยาวมาเลย ช่วงที่มาอยู่วัดท่าขนุนกับหลวงปู่สายก็สอบนักธรรมชั้นโทได้

ความจริงวัดของท่านนั้น พระธรรมยุตเตรียมยึดแล้ว เพราะถือว่าหลวงพ่อมณฑลเป็นธรรมยุตครึ่งหนึ่ง ปรากฏว่าท่านยกให้พระอาจารย์เล็กเฉยเลย ตูจะโดนธรรมยุตหมายหัวอีกแล้ว เพราะว่าพื้นที่เป็นพื้นที่ป่าธรรมชาติ ๖,๐๐๐ กว่าไร่ หลวงพ่อมณฑลท่านไปดูแลไว้ จนไม่มีใครกล้าเข้าไปตัดไม้ทำลายป่าหรือล่าสัตว์ ท่านอัดเอาจริง ๆ ตบร่วงแล้วก็หักปืนทิ้งเลย

มีอยู่ช่วงหนึ่งที่รู้จักกัน ก็เพราะว่าเขาแอบยิงท่านก็ยิงไม่ออก ท่านพกวัตถุมงคลเยอะ ก็เลยใช้วิธีทำไสยศาสตร์ ท่านบอกว่าอยู่ ๆ ท้องก็โตขึ้น ๆ หายใจไม่ออก อึดอัดเหมือนกับจะขาดใจ บอกชีดาวว่า “หลวงพ่อเป็นอะไรไม่รู้เว้ย ดูซิ...ท้องมันโตขึ้นเรื่อย ๆ อย่างนี้ หายใจจะไม่ออกอยู่แล้ว” ชีดาวก็เลยเอาน้ำมันที่เข้าพิธีเสาร์ห้าวัดท่าขนุนไปทาให้ พุงก็ยุบทันตา ท่านถามว่าเอามาจากไหน ? ชีดาวบอกว่า "ของหลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน" ท่านก็เลยอยากรู้จัก ขอมาดูตัว...เลยสนิทกันตั้งแต่ตอนนั้น"

เถรี
17-05-2017, 20:30
"พระครูบ่าวไปอยู่ที่โน่นบอกว่า "ใจคอตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ เขาเล่นหลวงพ่อมณฑลไม่ได้ ผมจะโดนแทนไหม ?" ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวอาตมาจะหาของดีไปให้

อาตมาเองขนาดบวชเป็นพระแล้ว ยังไม่ได้รู้สึกว่ามีธรรมยุตหรือมหานิกายเลย เพราะว่าหลวงปู่หลวงพ่อแต่ละท่านที่รู้จัก ท่านเองไม่ได้มีการแบ่งแยก เพราะว่าส่วนใหญ่ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติถึง ๆ ทั้งนั้น ตอนแรกอาตมาก็ไม่รู้ รู้อยู่อย่างเดียวว่าชอบใจแนวทางของท่าน ก็ไปศึกษาหาความรู้ มารู้เอาทีหลังว่า โห...ระดับสุดยอดทั้งนั้นเลย

ท่านที่ปฏิบัติถึงแล้ว ไม่มีธรรมยุตไม่มีมหานิกายหรอก มีแต่เพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน"

เถรี
17-05-2017, 22:27
มีโยมมากราบรายงานความคืบหน้า เรื่องการขอพระราชทานวิสุงคามสีมาวัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ ปรากฏว่ามีส่วนที่ยังติดขัดอยู่

"ทุกวันนี้งานการศาสนาของเราไปได้ยาก ก็เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วพระไปเกรงใจญาติโยม โดยเฉพาะนักการเมือง พอนักการเมืองวิ่งไปหาขอให้ช่วย แทนที่จะเข้าข้างพระด้วยกัน กลับไปเข้าข้างฆราวาส ทั้ง ๆ ที่พระไม่ผิด

ทางทองผาภูมิ ถ้าโยมฟ้องพระเมื่อไร อาตมาจะคิดว่าพระเป็นฝ่ายถูก เพราะว่าพระมีศีลเยอะกว่า แต่ถ้าสอบสวนแล้วหลักฐานบ่งชี้ไปทางด้านไหน ก็ค่อยว่ากันไปตามนั้น ถ้าทำในลักษณะอย่างนี้จึงจะตรงไปตรงมา แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่ ไปเกรงใจกัน คนโน้นเป็นนายกเทศมนตรี คนนี้เป็นนายก อบต. คนนั้นเป็นกำนัน คนนี้เป็นผู้ใหญ่บ้าน ถ้าไม่เอาใจไว้ เดี๋ยวเขาจะไม่ให้ญาติโยมเข้าวัด

เท่าที่อาตมาสังเกตมา แต่ละคนที่มีเรื่อง มีปัญหากับวัด ส่วนใหญ่ไม่เคยเข้าวัดหรอก คนเข้าวัดไม่เคยมีปัญหากับพระ

นักการเมืองท้องถิ่นที่ฉลาดต้องพยายามเกาะวัดเอาไว้ เพื่อให้ญาติโยมที่สนับสนุนวัดเป็นฐานเสียงของตัวเอง แต่เท่าที่พบเห็นในปัจจุบัน พวกนักการเมืองหรือผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น มักจะครอบงำวัด เอาวัดเป็นแหล่งผลประโยชน์ของตนเอง

หลายที่กำนันผู้ใหญ่บ้านจะตั้งตัวเป็นกรรมการวัด โดยที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าอาวาส พอถึงเวลามีกฐินมีผ้าป่าก็เก็บเงินไว้เอง อ้างเสียสวยหรูว่าเก็บรักษาเอาไว้ให้วัด ถ้าหลวงพ่อต้องการเมื่อไรก็มาเบิกได้ แต่ไม่เคยเบิกได้ ไม่รู้ว่าจะเอาไปเก็บไว้ทำอะไร ? กว่าจะรู้อีกทีก็ใช้หมดเกลี้ยงไปแล้ว"

เถรี
17-05-2017, 22:34
"ที่วัดท่าขนุนไม่มีแบบนี้ เพราะว่าทันทีที่อาตมาเป็นเจ้าอาวาส ก็เรียกประชุมไวยาวัจกรและกรรมการวัดเก่าทั้งหมด ประกาศอย่างชัดเจนว่า "โดยกฎหมายแล้ว พอเจ้าอาวาสเก่าพ้นตำแหน่ง พวกคุณก็พ้นไปด้วยทั้งหมด แต่อาตมาจะแต่งตั้งให้ใหม่" แล้วอาตมาก็ออกตราตั้งทับตำแหน่งเดิมให้ทั้งหมด เรียกประชุมปีละ ๒ ครั้งตามปกติ

กรรมการเก่าวัดท่าขนุนมีอยู่ ๗๒ ราย เรียกประชุมเมื่อไรก็มีมาประมาณ ๓๐ ราย อีก ๔๐ กว่ารายไม่เคยมา พอผ่านไป ๓ ปี อาตมาประกาศว่า ต่อไปถ้าใครไม่มาประชุม จะถอดออกจากการเป็นกรรมการวัด เขาคงคิดว่าไม่เคยมีการปฏิบัติในลักษณะนี้ ก็ยังคงทำตัวเหมือนเดิม

พอหลังการประชุมครั้งล่าสุด อาตมาออกคำสั่งเจ้าอาวาส ปลดคณะกรรมการเก่าที่ตั้งไว้หมดเกลี้ยงทั้ง ๗๒ คน แล้วแต่งตั้งใหม่เฉพาะคนที่มาประชุมเท่านั้น ฝากเขาไปบอกว่า "พวกที่โดนปลด ถ้าหากว่าสงสัยว่าทำไมโดนปลด ให้บอกไปว่า "ถ้าไม่มีเวลาให้วัด มึงก็ไม่ต้องมาเป็นกรรมการ"

พอโดนไปอย่างนั้นก็เข็ดไปตาม ๆ กัน เรียกประชุมครั้งต่อไป ทั้ง ๆ ที่เขาโดนปลดไปแล้ว ยังทะลึ่งมาประชุม ถามว่าแล้วจะมาทำอะไร ?

ปัจจุบันนี้เวลาเรียกประชุม มีจำนวนเกินคณะกรรมการไปเยอะ แต่อาตมาไม่แต่งตั้งใหม่ ปล่อยไปอย่างนั้น อยากมาก็เรื่องของเอ็ง ไม่มาก็เรื่องของเอ็ง เพราะว่าก่อนหน้านี้ให้เวลามาเยอะมากแล้ว

ถ้าหากว่าเจ้าอาวาสไม่เด็ดขาด ส่วนใหญ่แล้วพวกกรรมการหรือไวยาวัจกรก็มักจะขี่คอพระ คิดว่าจะทำอย่างไรก็ได้ แต่พอโดนปลดออก ระดับการเมืองท้องถิ่นจะรู้สึกเสียหน้า จะพยายามดิ้นรนหาทางกลับเข้ามาเป็นใหม่ "ขอโทษ..ไม่แต่งตั้งว่ะ..!"

เถรี
17-05-2017, 22:53
"เรื่องของศาสนากับชาวบ้าน ใช้คำพูดง่าย ๆ ว่า 'เป็นเรื่องของสามัญสำนึก' ในเมื่อเป็นเรื่องของสามัญสำนึก ก็เลยทำให้เห็นว่าในปัจจุบันนี้ ความเคารพในศาสนา ความเคารพในพระรัตนตรัย กระทั่งลงมาถึงความเคารพในพระสงฆ์ มีน้อยลงไปเรื่อย ๆ คนห่างจากศาสนาไปเรื่อย

อย่างวันก่อนที่พระมีเรื่องกับรถตู้ใช่ไหม ? ถ้าไม่มีคนออกมาบอกความจริง พระก็เสียหาย พอมีคนออกมาบอกความจริง ในสายตาสังคมพระก็ผิดไปแล้ว กลายเป็นว่าท่านมีจุดเดือดต่ำ

สิ่งที่เขาเห็นก็คือ นอกจากญาติโยมที่เป็นผู้หญิงด่าพระเสีย ๆ หาย ๆ ใช้คำว่ามึงว่ากูแล้ว ผู้ชายก็ยังชกต่อยทำร้ายพระด้วย เป็นเรื่องที่น่าห่วงว่า เรื่องเหล่านี้จะขยายเป็นวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ ถ้าไปดูสุบินนิมิต ๑๖ ประการของพระเจ้าปเสนทิโกศล ก็จะเห็นว่าส่วนใหญ่เกิดในปัจจุบันนี้แทบทั้งนั้น

อาตมาก็ยังหวาดเสียวว่า ตัวเองจะกลายเป็นหมาจิ้งจอกเยี่ยวรดถาดทองคำ อย่างในสุบินนิมิตของพระเจ้าปเสนทิโกศลหรือเปล่า ?"

เถรี
18-05-2017, 19:20
ถาม : ถ้าเราไปซื้อของแล้วพนักงานทอนเงินเกินมา ?
ตอบ : คืนเขาไป

ถาม : ถ้าเรารับมาแล้ว ?
ตอบ : รับมาโดยไม่รู้ จนกระทั่งหมดหนทางคืนก็แล้วไป แต่ถ้าหากว่ารู้ ต้องรีบคืนให้เขา

ถาม : ถ้าเราถือว่าเป็นลาภของเรา ถือว่าผิดศีลไหมครับ ?
ตอบ : ใช่ของเราไหม ? ถ้าไม่ใช่ของเรา เราไปถือว่าลาภได้อย่างไร ? เขาไม่ได้เต็มใจให้สักหน่อย

ถาม : ถ้าเราถามแล้ว เขายืนยันว่าเต็มใจให้ ก็แล้วกันไปใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ก็แล้วไป แต่..มีใครเต็มใจให้คุณบ้าง ?

เถรี
18-05-2017, 19:24
วันก่อนอาตมาอยู่ที่หาดใหญ่ มีญาติโยมมาถวายทองคำแท่งร่วมหล่อพระพุทธรูปทองคำกับวัดท่าขนุน โยมแจ้งว่าไปซื้อทองคำ ๕๐ สตางค์ ก็คือ ๒ สลึง ตกลงจ่ายเงินกันเสร็จสรรพเรียบร้อย ออกจากร้านขายทองมาประมาณ ๒ กิโลเมตร คนที่นั่งรถ..ไม่ใช่คนขับ ก็แกะออกมาดู ปรากฏว่าเป็นทองคำแท่งหนัก ๒ บาท

สั่งซื้อ ๒ สลึงแต่ได้ ๒ บาท ก็เลยรีบเลี้ยวรถกลับไปบอกกับทางร้าน ทางร้านก็ยังงง ๆ อยู่ว่าหยิบ ๒ สลึงให้กลายเป็น ๒ บาทได้อย่างไร ? แต่ด้วยความเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมตรงไปตรงมา ในเมื่อสั่ง ๒ สลึงได้ ๒ บาท ก็ขอให้เขาเปลี่ยนเป็น ๒ สลึงตามเดิม ส่วน ๒ บาทนั้นจะเป็นของทางร้านหรือของใครก็ช่าง คืนเขาไปสบายใจที่สุด

เถรี
19-05-2017, 09:21
พระอาจารย์กล่าวถึงการดูวัตถุมงคล "วัตถุมงคลบางชิ้นของหลวงปู่หลวงพ่อบางองค์ อย่างวัวปิดตา หลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว ไม่ได้เกิดจากการปรารภสร้างของหลวงพ่อ แต่เกิดจากช่างที่แกะเอง ปกติหลวงพ่อท่านให้แกะแต่ลิงจับหลักเท่านั้น ตัวเองอยากได้ลิงปิดตา แทนที่จะแกะลิงจับหลัก ถือเคล็ดว่า "มีหลัก" ก็ดันไปปิดตาแทน บางท่านเห็นว่าหนุมานถือตรีเพชร ไม่ได้ถือกระบองหรือหลัก เขาก็แกะเป็นลิงถือตรีเพชร คราวนี้คนเห็นว่าวัดนี้คือวัดบางวัว ก็เลยแกะเป็นรูปวัวบ้างตามที่ตัวเองชอบ แต่ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ก็ไม่ได้มีปัญหา เพราะว่าถ้าหลวงพ่อท่านเสกก็ใช้ได้เหมือนกัน

อีกองค์หนึ่งก็คือหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ในงานเป่ายันต์เกราะเพชรท่านบอกกับญาติโยมว่า ชอบใจวัตถุมงคลแบบไหนก็ให้ทำมา ถึงเวลางานเป่ายันต์เกราะเพชร ก็ให้เอาใส่ผ้าขาววางไว้บนหน้าตักหรือถือไว้ในมือ ช่วงรับยันต์เกราะเพชรเป็นการปลุกเสกวัตถุมงคลไปด้วย

ในเมื่อไม่ใช่วัตถุมงคลที่หลวงปู่ท่านสร้าง เอกลักษณ์ที่ชัดเจนจะไม่มี ก็ดูได้แค่อย่างเดียวว่า วัสดุนั้นอายุขัยถึงยุคไหม ? ถ้าอายุถึงยุคก็น่าจะใช่ ก็เหลืออีกอย่างเดียวก็คือว่า แหล่งที่มาต้องเชื่อถือได้"

เถรี
19-05-2017, 09:28
"แบบเดียวกับลูกอมของหลวงปู่ปาน การลบผงเพื่อเอามาบรรจุในพระของท่านทำยากอยู่แล้ว ถ้าถึงขนาดเอามาปั้นเป็นลูกอม ก็แปลว่าสิ้นเปลืองมากเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้น...ก็ต้องดูด้วยว่า ส่วนใหญ่แล้วลูกอมนั้นเกิดจากการที่เอาผงมาอุดพระ ผงที่เหลือถึงได้ปั้นเป็นลูกอม

แบบเดียวกับลูกอมผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จังหวัดระยอง นั่นก็เกิดจากการเตรียมเนื้อพระเพื่อที่จะพิมพ์เป็นขุนแผนพรายกุมาร แต่ปรากฏว่าพิมพ์ไม่ทัน แข็งตัวเสียก่อน ก็เลยกลายเป็นลูกอมผงพรายกุมาร

ลูกอมหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ส่วนใหญ่มาตรฐานก็ประมาณหัวแม่มือ ดูจากงานโดยประมาณ แต่อาตมาเจอลูกเกือบเท่าเหรียญ ๑๐ บาทก็มี ถามว่าแล้วจะเชื่อได้อย่างไร ? ต้องดูเนื้อหามวลสาร ดูอายุ ในเมื่อเนื้อหามวลสารใช่ อายุถึง ก็ต้องฟันธงว่าเป็นของหลวงปู่ปาน อาจจะเกิดจากว่าถึงเวลาปั้นหลาย ๆ ลูกแล้วช้า...รำคาญ เลยทำขนาดใหญ่ลูกเดียวไปเลย

เพราะฉะนั้น...วัตถุมงคลบางอย่างจึงสำคัญตรงแหล่งที่มา ถ้าแหล่งที่มาน่าเชื่อถือ ก็ต้องดูอีกว่า อายุของวัตถุมงคลว่าถึงยุค ก็พอจะเชื่อได้ว่าเป็นของหลวงปู่ หลวงพ่อท่านนั้นจริง ๆ แต่เรื่องพวกนี้บางทีก็ลำบาก เพราะว่าสมัยนี้มีเซียนบางท่าน หากินด้วยการทำหนังสือ แล้วเอาของปลอมมาลง บอกว่าเป็นองค์ดารา...ได้ลงหนังสือ คนเห็นว่าวัตถุมงคลตรงกับรูปในหนังสือก็เชื่อ เช่าบูชาไปแพง ๆ"

เถรี
19-05-2017, 09:35
"เมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา หลวงพ่อมณฑล วัดพุทธมณฑลอรัญญิกาวาส ที่ท่านยกวัดให้อาตมา บอกว่าให้พาเจ้าอาวาสใหม่เข้าไปคุยกันหน่อย อาตมาก็พาพระครูบ่าวเข้าไป คุยกันเรื่องบริหารวัดว่าจะให้ไปทางไหน จะกิน จะอยู่กันอย่างไร ?

หลังจากนั้นท่านก็พูดถึงเครื่องรางของขลัง เอาเสือของหลวงพ่อนก วัดสังกะสี มาให้ดู บอกว่าเพิ่งจะได้มาใหม่ ท่านใช้คำว่าเหมือนกับองค์ในหนังสือ อาตมาดูเสร็จเรียบร้อยแล้วบอกว่า องค์ของหลวงพ่อใช่ แต่องค์ในหนังสือปลอม ท่านตกใจ บอกว่า "อะไร...ลงหนังสือยังมีปลอมอีก ?" จึงกราบเรียนว่า "เขาตั้งใจเลยครับ จะเอาไว้ขายคนอย่างหลวงพ่อ ประเภทที่ลงหนังสือแล้วถือว่าแท้" แล้วก็ชี้ให้ท่านดูว่าตำหนิแต่ละอย่างต่างจากของจริงอย่างไร

ท่านถึงกับบ่นว่า "ผมก็หลงเชื่อมานานว่า ถ้าลงหนังสือก็ต้องเป็นของแท้" ก็เลยชี้ให้ท่านดูมีดหมอหลวงพ่อเดิมที่อยู่ใกล้ ๆ กัน บอกว่าอันนี้ก็ปลอม แล้วก็ชี้จุดต่างให้ท่านดู ท่านบอกว่าเสียท่ามันมานาน ยังดีที่บรรดาเซียนที่ท่านคบหาสมาคมอยู่ เป็นพวกที่มีศีลมีธรรม ก็เลยไม่ได้เอาของปลอมมาขายให้ท่าน ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปท่านก็คงเลิกเปิดหนังสือไปอีกนาน

อาตมาเคยพูดว่า เรื่องของวัตถุมงคลเครื่องรางของขลัง ก็เหมือนกับเราดูต้นไม้ ถ้ารู้จักว่าเป็นต้นไม้ชนิดนั้น ไม่ว่าจะมาเป็นต้นใหญ่ ต้นเล็ก ไม้บอนไซ แคระแกร็น พิการ หักโค่นท่าไหนก็ตาม คนที่ดูออกจะบอกได้เลยว่าเป็นต้นไม้ชนิดนั้น

การดูวัตถุมงคลก็มีหลักการคล้าย ๆ กัน เพียงแต่ว่าต้องโชคดีตรงที่เคยเห็นของจริงของแท้มาก่อน ถ้าเคยเห็นของจริงของแท้มาก่อน เราสามารถที่จะแยกแยะได้ว่าอะไรแท้ หรือไม่แท้ เรื่องพวกนี้บางทีพูดไปแล้ว ญาติโยมบางส่วนก็รู้สึกหนักใจ ก็คือหนักใจตรงที่ว่า แล้วจะมีโอกาสได้เห็นของแท้ไหม ?"

เถรี
19-05-2017, 09:56
ถาม : พระพุทธรูปหน้าตักสี่ศอก ถ้าทาสีทองจะได้อานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์เหมือนปิดทองไหมครับ ?
ตอบ : ปิดทองแท้คืออานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์ทั้งคณะ ทาสีทองไม่มีอานิสงส์แบบนั้น พระปิดทองก็คือปิดทอง ตรงไปตรงมา ถ้าเป็นพระแล้วไปบอกโยมว่า จะสร้างพระปิดทองให้ แล้วเราไปทาสีทอง ก็เท่ากับโกงโยม โปรดระวังอาบัติปาราชิก..!

เถรี
19-05-2017, 10:09
มีเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายใส่ชุดขาวมาบ้านเติมบุญ "เห็นหนู ๒ คนแล้วนึกถึงโรงเรียนอนุบาลทองผาภูมิ โรงเรียนอนุบาลทองผาภูมิจัดโครงการที่ดีมากร่วมกับวัดท่าขนุน ก็คือโครงการแต่งชุดขาวไปโรงเรียนในวันพระ

ถ้าวันที่เรียนวันไหนตรงกับวันพระ จะขึ้นหรือแรม จะเป็นวันพระ ๘ ค่ำหรือ ๑๕ ค่ำ เด็กนักเรียนจะแต่งชุดขาวทั้งโรงเรียน ปรากฏว่าโครงการนี้อาจารย์ท่านไปขยายเพิ่มขึ้น กลายเป็นว่า "แต่งชุดขาวไปโรงเรียน รับศีล ๕ และกินมังสวิรัติ" ดังนั้น...เจ้าหน้าที่ประกอบอาหารกลางวันให้กับเด็กนักเรียนในวันพระ ก็เลยต้องเตรียมอาหารเป็นมังสวิรัติ ยังโชคดีที่ว่าการกินมังสวิรัติของทางนี้ยินยอมให้มีไข่ได้ ในเมื่อมีไข่มีนมได้ ก็ถือว่าเด็กได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน อาตมาก็เลยไม่คัดค้าน

ตอนนี้ท่านผู้อำนวยการสนิท ทรัพย์วารี เกษียณอายุ ผู้อำนวยการใหม่มายังไม่รู้ว่าจะสานต่อโครงการหรือเปล่า ? แต่เด็กทำจนชินแล้ว พอถึงวันพระก็เอาชุดขาวมาใส่

บอกให้ญาติโยมอิจฉาเล่นว่า หนังสือสวดมนต์เล่มละ ๒๐๐ บาท อาตมาแจกเด็กโครงการนี้ครบถ้วนทุกคนเลย ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าทำไมหนังสือสวดมนต์เล่มเก่าหมดเร็ว เด็กทั้งโรงเรียนพร้อมกับอาจารย์มีทุกคน ถึงเวลาวันพระก็มีการสวดมนต์ไหว้พระ มีการสมาทานศีล ๕ แล้วก็มีโครงการกินมังสวิรัติวันพระ

บางอย่างโครงการของเราก็คิดได้ในลักษณะว่าไม่ให้มากเกิน ครูบาอาจารย์ท่านก็เลยต่อยอดเป็นมังสวิรัติขึ้น เห็นหนู ๒ คนใส่ชุดขาว ตอนแรกมองดูว่ามาจากโรงเรียนอนุบาลทองผาภูมิหรือเปล่า ?

ชุดขาวเป็นเครื่องแบบที่บังคับให้เรารู้ตัวว่า เราเป็นผู้ตั้งใจรักษาศีลปฏิบัติธรรม แบบเดียวกับจีวรของพระภิกษุสามเณร แบบเดียวกับชุดขาวของแม่ชี ก็คือเตือนสติให้เราระลึกได้ว่า เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล้ว อาการกริยาใด ๆ ที่เป็นของสมณะ เราต้องทำอาการกริยานั้น ๆ"

เถรี
19-05-2017, 13:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้งานก่อสร้างของวัดท่าขนุน ส่วนที่เป็นของใหม่ก็เกือบจะไม่มีแล้ว เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือพิพิธภัณฑ์ ๑๐๐ ปี หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ซึ่งในส่วนนี้ก็ต้องรอหลังงานถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ ๙ จึงจะเริ่มมีความก้าวหน้าขึ้น เพราะว่าเจ้าหน้าที่ทั้งหมด โดนระดมไปช่วยทำพระเมรุมาศ

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ส่วนของค่าใช้จ่ายอย่างมากที่สุดก็คือ ๔๓ ล้าน ๒ แสนบาทต่อพิพิธภัณฑ์ เกินกว่านั้นก็เหลือหล่อหลวงพ่อนากกับหลวงพ่อทองคำ หลังจากนั้นแล้ว ส่วนที่เหลืออาตมาตั้งใจว่าจะตั้งเป็นกองทุน

ปัจจุบันนี้ทางวัดท่าขนุนมีกองทุนการศึกษาพระภิกษุสามเณร กองทุนการศึกษาระดับประถมศึกษา กองทุนการศึกษาระดับมัธยมศึกษา กองทุนการศึกษาระดับอุดมศึกษา ทั้ง ๔ อย่างนี้ ทั้งเพื่อพระภิกษุสามเณรในวัดและเด็กนักเรียนทั่ว ๆ ไป

มีกองทุนรักษาพยาบาลพระภิกษุสามเณร สำหรับท่านที่เจ็บไข้ได้ป่วย ผ่าตัด ที่ต้องใช้บริการด้านนอกซึ่งมักจะเป็นเอกชน เจ็บป่วยขึ้นมาก็จะได้รักษาพยาบาลโดยไม่ต้องหนักใจ เพราะว่าวัดมีกองทุนอยู่

อย่างเมื่อปีที่แล้ว หรืออาจจะสองปี จำไม่ถนัด พระที่วัดตัดแว่น ๔ รูป ถ้าให้ไปตัดเองคงจะไม่ไหว เพราะว่าบางท่านสายตาย่ำแย่มาก ต้องใช้เลนส์พิเศษ ตัดแว่นเสร็จราคา ๒๗,๐๐๐ บาท ถ้าหากให้เขาตัดเองก็ไม่ไหว ครั้งนั้นตัดแว่นไป ๔ อัน อาตมาจ่ายไปหลายหมื่น ฉะนั้น ถ้าหากว่ามีกองทุนอยู่ ก็จะอำนวยความสะดวกให้กับพระภิกษุสามเณรได้"

เถรี
19-05-2017, 13:45
"กองทุนต่อไปที่จะตั้งก็คือ กองทุนภัตตาหารพระภิกษุสามเณร ต้องรอระยะเวลาที่เหมาะสมก่อน เหตุที่ต้องตั้งกองทุนภัตตาหารพระภิกษุสามเณรนั้น อาตมาไม่ได้ห่วงพระที่วัดท่าขนุน เพราะว่าพระวัดท่าขนุนออกบิณฑบาตพอฉันอยู่แล้ว แต่ว่าห่วงพระนักเรียน

พระของวัดท่าขนุนออกมาเรียนเยอะมาก อย่างเมื่อวานโยมก็เห็น มากัน ๑๐ กว่ารูป นี่เฉพาะที่เรียนบาลีและปริญญาโท ยังไม่ได้พูดถึงปริญญาตรีหรือระดับประกาศนียบัตร ก็แปลว่าพระวัดท่าขนุน ๔๐ กว่ารูป เรียนกันเกินครึ่ง ข้าวปลาอาหารแต่ละมื้อไม่ใช่น้อย ๆ ถ้าหากว่ามีกองทุนตรงส่วนนี้เอาไว้ ก็จะสามารถแบ่งเบาภาระของท่านได้มาก

ทุกวันนี้อาตมาให้ค่าใช้จ่ายเดือนละ ๕,๐๐๐ บาทต่อรูป ท่านต้องกระเบียดกระเสียรมาก ร่วมกันเช่ารถแล้วเดินทางไปเรียน แล้วก็รวมกันซื้ออาหารเพื่อที่จะได้เพียงพอฉัน เพราะถ้าต่างคนต่างซื้อก็สิ้นเปลืองมาก ให้เขาบริหารจัดการกันเองว่า เงินจำนวนนี้ทำอย่างไรจะให้พอใช้ตลอดเดือน ?

เห็นความลำบากแล้วก็คิดว่า การตั้งกองทุนต่าง ๆ เพิ่มขึ้นมา ก็จะอำนวยความสะดวกให้กับท่านได้ ท่านจะได้มีแก่ใจในการศึกษาเล่าเรียนมากขึ้น แต่ว่ากองทุนอันนี้ไม่ถือว่าเป็นสาระสำคัญ เพียงแต่ว่าถ้ามีไว้ก็ดี หน้าที่ของอาตมาก็คือ หาเงินเข้ากองทุนให้มากที่สุด เผื่อว่าตนเองสละตำแหน่งหรือพ้นตำแหน่งไปเมื่อไร คนที่มาใหม่จะได้บริหารวัดแบบสะดวกใจ ไม่ต้องมาหนักใจว่าวัดใหญ่ ค่าใช้จ่ายสูง จะแบกรับภาระไหวหรือไม่ ?"

เถรี
19-05-2017, 13:51
"อีกส่วนหนึ่งก็อาจจะต้องทำแบบหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็คือกองทุนค่าอาหารและรักษาพยาบาลหมาในวัด เดี๋ยวนี้ค่าใช้จ่ายสำหรับหมาในวัด แค่ค่ายาแต่ละเดือน อาตมาต้องจ่ายประจำ ๑๐,๐๐๐ บาท ถ้าหากมีพิเศษก็ถึง ๒๐,๐๐๐-๓๐,๐๐๐ บาท

อย่างเดือนที่ผ่านมาทิดเทิดสงสารหมา ลูกหมาโดนกัดตาบอด อุตส่าห์พาไปศัลยกรรม อาตมาจ่ายไป ๖,๗๐๐ บาท นับว่าทิดเทิดเข้าถึงหัวใจหมามากเป็นพิเศษ...! เห็นหมาตาบอดกลัวว่าจะไม่หล่อ พาไปให้หมอศัลยกรรม แต่ไม่ได้เข้าถึงหัวใจเจ้าอาวาสเลยว่า การพาหมาตาบอดไปรักษา จ่ายที ๖,๗๐๐ บาท เจ้าอาวาสจะรู้สึกอย่างไร ?"

เถรี
19-05-2017, 14:03
โยมจะถวายรองเท้า "ตอนนี้ที่วัดมีรองเท้าของอาตมาอยู่ประมาณ ๒๐ คู่ ต้องบอกว่ารองเท้าคู่นี้ก็คงชาติหน้าโน่นกว่าที่จะได้ใช้ มีจนกระทั่งไม่สามารถที่จะใส่ได้ครบ ไล่แจกพระท่านไป ท่านก็ดันทะลึ่งเอามาใส่พร้อม ๆ กัน ถึงเวลาถอดก็ไม่รู้ของใครเป็นของใคร เพราะว่าหน้าตาเหมือนกันหมด สีเดียวกัน รุ่นเดียวกัน เบอร์เดียวกัน...!

เวลาโยมถวายของมักจะตั้งหน้าตั้งตาถวาย ก็เลยไม่ได้ดู ประเภทที่ว่าเลี้ยงไม่ดูกำลังคนกินประมาณนั้น รองเท้าคู่หนึ่งอาตมาใส่เป็นปี ๆ ถ้าไม่ได้เดินป่าก็หลายปี ถวายมาที ๑๐ คู่ แล้วอีกกี่ปีจึงจะใช้หมด ? แต่ก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง พระใหม่ ๆ เวลาเห็นรองเท้าคิดว่าหลวงพ่ออยู่ ไม่รู้ว่าเป็นหลวงพี่อยู่ เวลาเห็นรองเท้านึกว่าหลวงพ่ออยู่ จึงไม่ค่อยกล้าคะนองมาก"

เถรี
19-05-2017, 14:19
ถาม : (การจับภาพพระให้มีความคล่องตัวมากขึ้น)
ตอบ : ก็เพิ่มเป็น ๓ องค์ ๔ องค์ ๕ องค์

ถาม : แล้วต้องให้ท่านอยู่ตรงไหน ?
ตอบ : อยู่ที่เราต้องการว่าจะให้อยู่ส่วนไหน ให้กำหนดเอาเอง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ความชัดเจนแจ่มใสของทุกองค์ต้องเสมอกัน

ถาม : อย่างเรื่องลักษณะของพระแต่ละองค์ แต่ละสีหรือความใส ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับสมาธิของเรา สีสันขององค์พระ ความชัดเจนขององค์พระอยู่ที่สมาธิว่าทรงตัวมากน้อยเท่าไร ส่วนในเรื่องของสีอยู่ที่เราชอบ อยากได้พระสีอะไรเราก็กำหนดของเราเอง

ถาม : ใสแบบเป็นคริสตัล หรือขาวแบบประกายเพชร ไม่ได้มีความแตกต่างกันในแง่ของสมาธิหรือครับ ?
ตอบ : สมาธิต่ำก็ใสน้อย สมาธิสูงก็ใสมาก เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้ายิ่งใสมากเป็นพิเศษ เกี่ยวไหมเล่า ?

ถาม : เกี่ยวกับเรื่องสังโยชน์ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้เกี่ยวกัน เพราะว่าการปฏิบัติของเราเน้นในด้านของสมถกรรมฐาน การละสังโยชน์ต้องวิ่งเข้าหาการใช้ปัญญาพิจารณา ตลอดจนทำวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งเป็นคนละส่วนกัน แต่เราสามารถใช้สมถะเป็นพื้นฐานในการพิจารณา อย่างเช่น การกำหนดภาพพระ เดี๋ยวก็ชัด เดี๋ยวก็ไม่ชัด จัดว่าเป็นอนิจจังอย่างหนึ่ง

การที่เราต้องพากเพียรพยายามที่จะกำหนดภาพพระให้ได้ จัดเป็นความทุกข์อย่างหนึ่ง ในที่สุดไม่ว่าจะภาพพระหรือว่าตัวเราก็เสื่อมสลายไป ไม่มีอะไรเหลือ ไม่มีอะไรเป็นตัวตนอีกอย่างหนึ่ง ก็คือเราสามารถที่จะยกเอาสมถะขึ้นเป็นวิปัสสนาเมื่อไรก็ได้

เถรี
19-05-2017, 14:22
ถาม : ถ้าเราจะยกกรรมฐานมาใช้ให้การงานทางโลกประสบความสำเร็จ ควรทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าสมาธิของคุณดี ปักมั่นอยู่กับงานตรงหน้าก็ประสบความสำเร็จอยู่แล้ว ส่วนใหญ่สมัยนี้ใช้สมาธิในทางที่ผิด แทนที่จะทุ่มเทกับการทำงานตรงหน้า ก็ไปทุ่มเทกับการแช็ตไลน์ ทุ่มเทกับการไปเขี่ยดูว่า วันนี้ใครโพสต์อะไรลงเฟซบุ๊กบ้าง...!

เถรี
19-05-2017, 14:25
ถาม : การฝึกกรรมฐานจับภาพพระแบบนี้ ตอนแรกเข้าใจว่าคล้ายมโนมยิทธิ แต่ความจริงคนละอย่างใช่ไหมครับ ?
ตอบ : จัดเป็นกสิณ มโนมยิทธิเป็นผลของกสิณ การกำหนดภาพพระเป็นการสร้างเหตุ เมื่อกำหนดจนคล่องตัวสามารถใช้งานได้จัดเป็นผล จึงเป็นการใช้ผลของกสิณ เป็นคนละส่วนกัน

ถาม : อย่างนี้ถ้าเราจะบอกว่า วิธีฝึกมโนมยิทธิ ก็คือ วิธีการฝึกจับภาพพระ ?
ตอบ : มโนมยิทธิจริง ๆ เป็นการฟื้นของเก่า การจับภาพพระเท่ากับเราเริ่มสร้างองค์กสิณขึ้นมา เป็นการเริ่มตั้งแต่พื้นฐาน

ถาม : ขอถามแบบคนโง่ ๆ นะครับ เราควรจะรื้อฟื้นของเก่า หรือฝึกใหม่ครับ ?
ตอบ : มีโอกาสก็ไปรื้อฟื้นของเก่า ง่ายกว่าตั้งเยอะ การเริ่มต้นฝึกใหม่ด้วยความตั้งใจของเรา เดี๋ยวแรง เดี๋ยวเบา ประเภทเหมือนไฟไหม้ฟาง กว่าจะสำเร็จก็น้อย ต่อให้เราไปฟื้นของเก่าได้ก็ไม่ใช่ว่าจะทรงตัว เพราะว่าความสนใจของเราเดี๋ยวก็อยู่กับการปฏิบัติธรรม เดี๋ยวก็ไหลตามกระแสโลก สรุปว่าเรื่องที่ว่ามาทั้งหมด ปัจจัยสำคัญที่สุดก็คือตัวของคุณเอง

เถรี
19-05-2017, 17:59
ถาม : คำว่า นิพพิทาญาณ คือ การที่เบื่อมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ?
ตอบ : เบื่อเพราะเห็นอย่างแท้จริงว่า อัตภาพร่างกายนี้ไร้แก่นสาร การที่เราดำรงชีวิตอยู่ในปัจจุบันนี้ไร้แก่นสาร มีแต่ความไม่เที่ยง มีแต่ความทุกข์ ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้ เป็นความเบื่อที่เกิดจากการรู้แจ้งเห็นจริง

ถาม : ถ้าเป็นความรู้สึกว่าไร้สาระ แต่ไม่ได้เบื่อว่าอยากหนีไปแล้ว แบบนี้เป็นนิพพิทาญาณหรือเปล่าครับ?
ตอบ : เป็นนิพพิทาญาณอย่างอ่อน เรียกว่านิพพิทาญาณขั้นอนุบาลก็ได้

ถาม : สังขารุเปกขาญาณคืออะไรครับ ?
ตอบ : สังขารุเปกขาญาณเป็นการรู้แจ้งเห็นจริง จนสภาพจิตยอมรับและปล่อยวางลง

ถาม : ต่างกับนิพพิทาญาณอย่างไรครับ ?
ตอบ : นิพพิทาญาณคือเบื่อ ถ้าหากว่าเบื่อมาก ๆ วางอารมณ์ผิด จิตจะเศร้าหมอง ส่วนสังขารุเปกขาญาณนั้นไม่ใช่เบื่อ แต่เห็นว่าชีวิตน่าเบื่อเช่นนี้ ถ้าสามารถหลุดพ้นไปได้ เปรียบกับการเวียนว่ายตายเกิดนับชาติไม่ถ้วน ชีวิตนี้ของเราก็แค่ชั่ววูบเดียวเท่านั้นเอง ในเมื่อมีชีวิตอยู่แค่พักเดียว ทำไมเราจะอยู่ให้ดีไม่ได้ เพราะว่าธรรมดาเป็นเช่นนี้ ในเมื่อเห็นว่าธรรมดาเป็นเช่นนี้ ยอมรับสภาพ จิตปล่อยวาง ไม่ไปแบกเอาไว้ ก็มีแต่ความเบาสบาย ไม่ไปปรุงแต่งอะไรเพิ่มเติมอีก

เถรี
19-05-2017, 18:01
ถาม : เอกัคคตารมณ์ แปลว่าอะไรครับ ?
ตอบ : อารมณ์ที่ตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียว ก็คือกำลังใจที่เข้าถึงอัปปนาสมาธิขั้นใดขั้นหนึ่ง ตั้งแต่ปฐมฌานไปจนถึงฌานสี่

ถาม : ก็คือสมถะ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นกำลังสมาธิล้วน ๆ ก็ต้องเป็นสมถะอยู่แล้ว แต่ว่ากำลังนี้แหละที่จะช่วยในการตัดกิเลส เหมือนกับบุคคลเพาะสร้างตนเองให้มีกำลัง จะได้ใช้วิปัสสนาญาณที่เป็นอาวุธในการฟาดฟันตัดกิเลสได้ ไม่อย่างนั้นเรามีอาวุธคมกล้าแต่ก็ยกไม่ขึ้น แล้วจะไปตัดไปฟันอะไรได้ ?

เถรี
19-05-2017, 18:04
ถาม : ถ้าเกิดว่าตอนตายอยากไปพรหมโลก การจับภาพพระจะช่วยให้สามารถไปได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจของคุณปักมั่นจริง ๆ ก็ไปได้ หรือก็ไม่ต้องจับภาพพระให้เสียเวลา คุณก็เข้าฌานของคุณ อาศัยกำลังฌานนั้นตายแล้วก็ไปพรหมโลก

ถาม : แต่พระอาจารย์บอกว่า ให้เลือกวิธีที่เข้าเร็วที่สุด ง่ายที่สุด สบายที่สุด ถ้าเป็นการจับภาพพระก็ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ก็อาศัยภาพพระเป็นสมาธิของเรา

ถาม : ไม่แน่ใจว่า การจับภาพพระจะเป็นฌานได้ ผมไม่แน่ใจครับ ?
ตอบ : ทำไป...แน่ใจวันไหนก็วันนั้นแหละ

ถาม : ฝึกไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็ดีขึ้นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ฝึกไปเรื่อย ๆ ส่วนจะดีขึ้นหรือไม่อยู่ที่คุณทำ

เถรี
19-05-2017, 18:10
ถาม : การจับภาพพระหลายองค์พร้อม ๆ กัน หรือทำสมาธิหลายอย่าง ๆ ในเวลาเดียวกัน ประโยชน์จริง ๆ คืออะไรครับ ?
ตอบ : เป็นกีฬาสมาธิไม่ให้เบื่อ คุณต้องยอมรับว่า หลังจาก ๓๐ นาทีไปแล้ว คุณก็เริ่มเบื่อ...อยากจะไปทำอย่างอื่นแล้ว

เถรี
19-05-2017, 18:12
ถาม : เคยคุยกับเพื่อน เขาบอกว่า ถ้าเราโกงภาษี ถือว่าติดหนี้สงฆ์ ?
ตอบ : ส้นตีนแน่ะ...! ภาษีไม่ใช่หนี้สงฆ์

ถาม : เขาบอกว่า พระเจ้าตากสินกู้แผ่นดินให้ลูกหลาน ก็ถือว่าเป็นหนี้สงฆ์ ?
ตอบ : คิดหานรกได้ดีมาก...!

ถาม : การโกงภาษีไม่ติดหนี้สงฆ์ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ติดหนี้สงฆ์ แต่โทษของการโกงเงินที่ควรจะเป็นของส่วนรวม มีนรกให้ต่างหากขุมหนึ่งเลย ข้างล่างเขาจัดสรรไว้นานแล้ว เพราะฉะนั้น...ใครที่คอร์รัปชั่น จะกินนอกกินใน กินตามน้ำกินทวนน้ำอย่างไร เตรียมตัวเอาไว้...ถึงเวลาเจอแน่..!

ถาม : อย่างเราเลี่ยงภาษี โดนแน่ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : นั่นแหละเราโกง..!

ถาม : จัดเป็นของส่วนรวมไหมครับ ?
ตอบ : ก็ในเมื่อคุณตั้งใจโกง ส่วนรวมเสียหาย ก็แบบเดียวกัน

เถรี
19-05-2017, 18:18
ถาม : อยากให้คุณพ่อขายที่ได้ ผมต้องอธิษฐานหรือทำอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : บอกพ่อให้ขายถูก ๆ

ถาม : เป็นที่ของคุณย่า ?
ตอบ : คุณย่าไม่ได้อยู่ให้เถียงแล้ว

ถาม : กี่เปอร์เซ็นต์ดีครับ ?
ตอบ : สัก ๕๐ %

ถาม : โหย...โดนเอาเปรียบมาก ?
ตอบ : เอาเปรียบอย่างไร ? ของได้มาฟรี ขายบาทหนึ่งก็ได้บาทหนึ่ง ไม่ได้หักร้างถางพงเองเหมือนสมัยบรรพบุรุษสักหน่อย..!

เถรี
20-05-2017, 15:45
ถาม : พระอาจารย์ครับ...?
ตอบ : เรียบเรียงไม่ถูก...ใช่ไหม ?

ถาม : ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ? ตอนนี้ผมชั่งใจที่จะเปิดบริษัท หวังจะได้ลูกค้ามาเซ็นสัญญาด้วย โดยตั้งเป้าให้ได้ปีนี้ก่อนกันยายน ผมจะทำอย่างไรที่จะได้สองบริษัทขึ้นไปครับ ?
ตอบ : ตั้งข้อเสนอที่ดีที่สุด เรียกร้องผลประโยชน์ของเราให้น้อยที่สุด พอคนเห็นว่าบริษัทของเราทำด้วยแล้ว มีโอกาสได้รับผลประโยชน์มากกว่า เขาก็จะมาเอง

ถาม : ถ้าเปรียบเทียบกับราคาที่เขาลด ๕๐ เปอร์เซ็นต์ อย่างนี้ผมต้องลดลง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ตามเขาไหมครับ ?
ตอบ : ไปตัดสินใจเอาเอง หลังจากออกนอกทุ่งนอกท่าไปมากแล้ว ตูเป็นพระ...มีหน้าที่สอนธรรม ไม่ได้มีหน้าที่สอนให้ทำมาหากิน...!

เถรี
20-05-2017, 15:53
ถาม : เรื่องประวัติศาสตร์บ้างครับ ตอนที่พระเจ้าแปรรบกับพระศรีสุริโยทัย พระเจ้าแปรชนะ ทำไมจะต้องถอนทัพกลับ ?
ตอบ : ถ้าบอกว่าจิตตก คุณจะเข้าใจไหม ? เป็นผู้ชาย เป็นกษัตริย์ด้วย แต่ไปฆ่าผู้หญิง หมดอารมณ์ที่จะรบต่อ พูดง่าย ๆ ว่า สมัยก่อนถือว่าซวยไม่รู้จบ..!

ถาม : เป็นมานะ หรือเป็นความเชื่อครับ ?
ตอบ : เป็นความเชื่อด้วย ขณะเดียวกัน ตนเองเป็นพระมหากษัตริย์ ลูกผู้ชายดวลเดี่ยวกันก็พอแล้ว ดันไปฆ่าผู้หญิง สมัยนี้ความเป็นสุภาพบุรุษมีน้อยลง น้อยจนคุณไม่เข้าใจว่าทำไมท่านต้องถอนทัพกลับเมื่อไปฆ่าผู้หญิง

เถรี
20-05-2017, 15:59
ถาม : ตำแหน่งกลางช้าง เวลารบด้วยช้าง กลางช้างต้องฟาดฟันเองหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ต้องดูขบวนพยุหะตลอดจนกระทั่งความได้เปรียบเสียเปรียบของกองทัพทั้ง ๒ ฝ่ายออก เพราะว่าเป็นผู้คอยให้สัญญาณกองทัพของตัวเองว่าควรจะรุกหรือถอย ขณะเดียวกันถ้าอาวุธของเจ้านายหลุดมือก็ต้องส่งให้ทัน

กลางช้างจะนั่งสูงกว่าเพื่อน เพื่อให้เห็นภาพรวมของการศึก เพราะฉะนั้น...คนที่จะเป็นกลางช้างจะต้องมีไหวพริบปฏิภาณในการแก้ไขสถานการณ์ที่ยอดเยี่ยมสุด ๆ

เถรี
20-05-2017, 16:00
ถาม : คนไทยจริง ๆ คือ คนขอมหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : คนไทยคือคนไทย แต่คนไทยที่มีความรู้สมัยก่อนเขาเรียกว่าขอม เหมือนกับที่สมัยนี้ที่เรียกว่าครู เพียงแต่ภาษาเปลี่ยนไปเท่านั้น

ถาม : ขอมคือละโว้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ขอมมีมาแต่โบราณแล้ว เพียงแต่ว่าเป็นขอมประเภทไหน ? มีตั้งแต่ที่เขาเรียกพวกมอญหริภุญไชยว่าขอมดำ มีเรียกพวกเขมรว่าขอม และก็มีการเรียกคนที่มีความรู้ว่าขอม

เถรี
20-05-2017, 18:16
ถาม : สมัยก่อนที่สถาปนากรุงศรีอยุธยา มีเมืองอโยธยาอยู่ก่อนหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : คุณรู้ไหมว่าในโลกนี้มีอยุธยากี่เมือง ? สมัยก่อนนี่เขาถือว่าเมืองใดเมืองหนึ่งที่ตั้งขึ้นมา ควรจะมีนามอันเป็นมงคล คำว่าอยุธยาคือไม่มีการรบ

ถาม : ไม่ใช่ว่าอยากออกศึกสงครามหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่...ไม่มีใครอยากจะได้ศึกได้สงคราม เลยตั้งชื่อเมืองว่าอยุธยา มีตั้งแต่โบร่ำโบราณแล้ว แต่ก็เห็นว่ารบกันแหลกราญทุกทีเหมือนกัน..!

เถรี
20-05-2017, 18:22
ถาม : พระพุทธรูปสร้างในสมัยพระเจ้าปเสนทิโกศล หรือสร้างในสมัยพระยามิลินท์ครับ ?
ตอบ : ถ้าว่ากันตามที่ทฤษฏีที่เขาเชื่อ นักประวัติศาสตร์เขาเชื่อ ก็เริ่มตั้งแต่สมัยพระยามิลินท์ แต่ถ้าหากว่าเป็นฉบับมุขปาฐะ เล่ากันปากต่อปาก ก็เชื่อว่าสร้างตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นดาวดึงส์

ถาม : การที่พระยามิลินท์แค่ทิ้งขยะ แล้วอธิษฐานยิ่งใหญ่อลังการขนาดนั้น เป็นเพราะว่า....?
ตอบ : พุทโธ อัปปมาโณ คุณพระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้ ท่านตั้งใจทำเป็นพุทธบูชา ก็เลยอาศัยบารมีพระพุทธเจ้าอธิษฐานขอจนยิ่งใหญ่ปานนั้น

เถรี
20-05-2017, 18:46
ถาม : สมัยก่อนเราทำการค้าได้โดยการผูกกับสำเภา เรามีตัวกลางที่ช่วย แต่สมัยนี้ไม่มีตัวกลาง ถ้าเราเป็นคนไทยจะทำการค้ากับต่างประเทศอย่างไร ?
ตอบ : ทำไมคุณไม่ไปถามรัฐบาลบิ๊กตู่ ? วิธีการต่าง ๆ มีเยอะแยะไป เพียงแต่ว่าคนไทยโง่แล้วอวดฉลาด ตั้งแต่อาตมายังแก้ผ้าวิ่งอยู่ สินค้าไทยหลัก ๆ ก็คือข้าว ไม้สัก ยางพารา ข้าวโพด ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ เรามีงานวิจัยอะไรที่เพิ่มมูลค่าของยางพาราขึ้นมาบ้างไหม ? ก็ยังคงขายเป็นแผ่นยางอยู่เหมือนเดิม

ในเมื่อคุณไม่มีการวิจัย ไม่มีการเพิ่มมูลค่า ไม่มีสิ่งที่ดึงดูดใจ ลูกค้าที่ไหนจะค้าขายกับคุณจนกระทั่งเจริญเหมือนเดิม เพราะฉะนั้น...อย่าถาม ถ้าถามนี่อาตมาจะเผลอด่ารัฐบาลอีก เขารู้กันทุกคนแหละ แต่ถ้าทำอย่างนั้นแล้วผลประโยชน์จะไม่ถึงมือบางคน

เถรี
20-05-2017, 18:53
ถาม : ถ้าที่ไหนมีพระอรหันต์ ที่นั่นจะมีเทพพรหมปกปักรักษา ไม่ให้เกิดภยันตราย ทำนองเดียวกัน ถ้าเทพพรหมประเทศเราแข็งแรง ?
ตอบ : แล้วคุณไม่มีคิดว่าเทพพรหมที่อื่นเขาแข็งแรงด้วยหรือ ?

ถาม : ทีนี้เทพพรหมที่แข็งแรง คนในประเทศต้องอุทิศส่วนกุศลหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่จำเป็น...ขึ้นอยู่กับบารมีเก่าที่ท่านสั่งสมมาด้วย เมื่อได้รับมอบหน้าที่ให้ดูแลตรงนั้น ถ้าหากว่าบารมีท่านมาก ท่านก็สามารถที่จะใช้กำลังของท่านช่วยให้ที่นั้นเจริญรุ่งเรืองได้มาก แต่ถ้าคุณทำบุญแล้วรู้จักอุทิศให้ท่านก็เป็นการดี

เอาแค่ที่นี่ คุณเห็นไหมว่าเมื่อเช้าตอนจัดงานแดดเปรี้ยงเชียว ตอนนี้ฝนมาแล้ว เมื่อวานนี้ฝนกระหน่ำตั้งแต่ตี ๒ ครึ่ง ยัน ๖ โมงเช้า นี่แหละคือเทพพรหมที่แข็งแรงขึ้น ขออะไรแล้วได้อย่างนั้น

เถรี
20-05-2017, 20:42
ถาม : เรื่องคู่ครับ ผมจะอธิษฐานให้เจอคู่....?
ตอบ : ก็เอาแบบน้องปอย ทูอินวัน...! มีความเข้มแข็งของผู้ชาย และมีความอ่อนหวานของผู้หญิง

ถาม : ผมควรจะอธิษฐานว่าอะไรดีครับ ?
ตอบ : นั่นคู่ของมึง ไม่ใช่คู่ของกู...! มาให้กูอธิษฐานก็เป็นคู่ของกูสิวะ..!

ถาม : ไม่ใช่ครับ ผมควรจะอธิษฐานแบบไหนดีครับ ?
ตอบ : อยากได้แบบไหนก็อธิษฐานไปสิ ก็บอกว่าตัวเองจะเอาแบบน้องปอย อธิษฐานแบบนี้เลย...! เดี๋ยวนี้จีบสาวก็อันตรายมาก จะขอดูบัตรประชาชนก็เสียมารยาท จะไม่ขอดูบัตรประชาชนก็กลัวเธอจะมีคำนำหน้าว่า "นาย"

คุยกับคนจีนอยู่คนหนึ่ง เชื่อไหมว่าคนจีนคนนั้นมีความคิดว่า ผู้ชายไทยเป็นกระเทยทุกคน อาตมาฟังแล้วอึ้งเลย แล้วอาตมาหน้าตาเหมือนไหม ? เขาก็งง ๆ สรุปว่าเห็นว่าพระไม่ใช่ผู้ชายกระมัง ? เวลาทัวร์จีนมาเมืองไทย ส่วนหนึ่งที่ได้รับการเสนอ ซึ่งไม่มีทัวร์ไหนยอมพลาดเลยก็คือ ไปดูทิฟฟานี่โชว์ แล้วจะไม่ให้คนจีนเขาเข้าใจผิดได้อย่างไร ?

เพราะฉะนั้น...ไปอธิษฐานเอาเอง ถามคนอื่นก็เป็นคำอธิษฐานของคนอื่น เป็นความรักความชอบของเขา ไม่ใช่ของเรา

ถาม : สามารถอธิษฐานขอได้ตอนไหนครับ ตอนทำบุญ หรือหลังจากทำสมาธิ ?
ตอบ : ควรที่จะอยู่ในช่วงที่เราสร้างบุญใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนา แล้วก็อธิษฐานไป เอาอย่างนางปติปูชิกาก็ได้ ทำบุญเมื่อไรก็อธิษฐานว่า "ขอให้ข้าพเจ้าได้ไปเกิดในสำนักของสามี" มหาเศรษฐีผู้เป็นสามีก็ปลื้มใจว่า เมียรักเราจริง ๆ ที่ไหนได้...นางปติปูชิกาตั้งใจจะกลับไปบนสวรรค์ตามเดิม เพราะว่าสำนักสามีของแกอยู่บนสวรรค์ ตัวเองเผลอหลุดลงมาเกิดคนเดียว

เถรี
20-05-2017, 20:51
ถาม : มีคำถามของเพื่อนผมอยู่คนหนึ่ง ผมไม่อยากถามเลยครับ ?
ตอบ : แล้วคิดว่าตูอยากตอบไหม ?

ถาม : คำถามมันง่ายครับ ?
ตอบ : ง่ายแล้วทำไมไม่ตอบเอง ?

ถาม : นาย ก. เป็นเจ้าของสิ่งของ ฝากนาย ข. ให้ไปถวายพระบางรูป นาย ก. ก็ลืมไปว่าเคยฝากไปถวายพระ อยู่ดี ๆ ก็บอก ข. เอาของสิ่งนี้ไปให้ นาง ค. ทีนี้ นาย ข. ที่โดนไหว้วาน...?
ตอบ : ถ้าจำได้รีบเตือนสติเขา ถ้าจำไม่ได้ก็สร้างกรรมร่วมกัน เพราะตั้งใจถวายพระไปแล้ว

ถาม : เป็นหนี้สงฆ์ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่...ยังเป็นของกึ่งกลางสงฆ์ คือตั้งใจถวายพระ แต่ไปไม่ถึงมือพระ ดีไม่ดีจะพา นาง ค. กลายเป็นกากเปรตไป

ถาม : นาง ค. ไม่รู้เรื่อง กินเข้าไป จะโดนด้วยหรือครับ ?
ตอบ : กินยาพิษโดยไม่รู้เรื่องตายไหม ?

ถาม : โลกนี้อยู่ยากจริง ๆ ?
ตอบ : รู้ว่าอยู่ยากแล้วยังจะอธิษฐานขอเมียอีก...! ตกลงจะเอาอย่างไรกันแน่ ?

ถาม : เมียก็คือเพื่อนที่ดีครับ ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็ควรที่จะมีหลาย ๆ คน..!

ถาม : หลายคนก็มากเกินความสามารถที่จะจัดการครับ ?
ตอบ : ก็มาเป็นเพื่อนที่ดีไม่ใช่หรือ ? ในเมื่อเป็นเพื่อนที่ดี มีมาก ๆ ก็ยิ่งดี

เถรี
21-05-2017, 09:22
ถาม : พระอาจารย์ครับ พระอาจารย์เคยเล่าเรื่องพระถังซัมจั๋ง ผมสงสัยครับว่าเล่าไปทำไม ?
ตอบ : อยากเล่า...!

ถาม : ไม่ว่าจะพุทธมหายาน หรือวัชรยาน พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ คือแบบเดียวกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : บางส่วนก็ใช่ บางส่วนก็ไม่ใช่

ส่วนที่ใช่อย่างเช่น องค์พระศากยมุนีของมหายาน ก็คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา แต่คุณต้องไปศึกษาก่อนว่ามหายานเขามีแนวความคิดอย่างไร มหายานเขาเชื่อว่ามีพระพุทธเจ้าที่เป็นต้นธาตุต้นธรรมอยู่ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ใช้กำลังฌานแบ่งพระพุทธเจ้าออกมา ๕ พระองค์ เรียกว่า พระธยานิพุทธะ ก็คือพระพุทธเจ้าที่เกิดจากอำนาจของฌาน

ถ้าต้องการจะโปรดญาติโยมที่เป็นมนุษย์ทั่วไป ก็แบ่งกำลังลงมาเกิดเป็น มานุสีพุทธะ ก็คือพระพุทธเจ้าที่เป็นมนุษย์ทั่วไป เพราะฉะนั้น...ในส่วนของพระศากยมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าของเขาที่เป็นมนุษย์ มานุสีพุทธะก็คือเจ้าชายสิทธัตถะของเรานั่นแหละ อย่างท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ของเขาก็มีเหมือนกัน แต่ว่าในส่วนอื่น ๆ นั้นไม่ใช่ ถ้าอยากจะศึกษาก็ได้ แต่ระวังว่าจะสับสนเสียเอง

ถาม : แต่จริง ๆ การอวตารแบ่งร่างเป็นไปไม่ได้ แล้วที่เขาเชื่อว่าเป็นไปได้นั้นใช่หรือครับ ?
ตอบ : ก็เขาเชื่อว่าอย่างนั้น ในเมื่อเป็นความเชื่อแล้วคุณไปค้านเขา เขาจะฟังไหม ?

เถรี
21-05-2017, 09:27
ช่วงชีวิตที่อาตมามีรสชาติที่สุดคือ การศึกษาวิชาศาสนาเปรียบเทียบ จะว่าไปแล้วเป็นเพราะคนเราขาดที่พึ่ง จึงแสวงหาที่พึ่งภายนอก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เราแสวงหาที่พึ่งภายใน "ทำตนเองเป็นเกาะ ทำตัวเองเป็นฝั่ง" เพื่อจะได้มีที่พึ่งพาอาศัยโดยไม่ต้องไปอาศัยผู้อื่น แต่เสียดายว่าพุทธบริษัทของพระองค์ มักจะแสวงหาที่พึ่งภายนอกเสียส่วนใหญ่

ศาสนาพุทธสอนเทวตานุสติ ให้คุณสมบัติของการเป็นเทวดานางฟ้าว่าต้องประพฤติปฏิบัติอย่างไร
คุณสมบัติของการเป็นพรหมจะต้องประพฤติปฏิบัติอย่างไร
คุณสมบัติของการเป็นพระวิสุทธิเทพ ผู้เข้าถึงพระนิพพานต้องปฏิบัติอย่างไร
จัดเป็นเทวดานุสติ ด้วยความมั่นใจว่าศักยภาพของมนุษย์ที่เป็นเวไนยยะขึ้นไป สามารถที่จะปฏิบัติเพื่อเข้าถึงและเป็นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้เอง

แล้วเรามาดูว่ามีสักกี่คนที่ทำเพื่อให้เป็นอย่างนั้น ? มีแต่แสวงหาสิ่งที่พึ่งภายนอกกันทั้งนั้น

อาตมาสร้างหลวงพ่อสมเด็จองค์ปฐมหน้าวัดท่าขนุน เพื่อให้เขาผ่านไปผ่านมาเห็น จะได้รำลึกถึงคุณความดีของพระพุทธเจ้า เป็นพุทธานุสติ สร้างไปสร้างมากลายเป็นเจ้าพ่อ ขับรถผ่านบีบแตร "แปร๊น ๆ" ถวายเจ้าพ่อ ตูจะบ้า...!

ถาม : อันนั้นบาปไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้บาปหรอก แต่อาตมาตั้งใจให้เขาล้านหนึ่ง ดันเอาแค่สลึงเดียว...! เห็นหรือยังว่าเขาเอาที่พึ่งที่ไหน ? เอาแต่ที่พึ่งภายนอกทั้งนั้น

เถรี
21-05-2017, 19:10
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : อะไรก็ตาม ถ้าไม่มีธรรมกำกับ บรรลัยหมด รัชกาลที่ ๖ จึงได้พระราชนิพนธ์ว่า

เมืองใดไม่มีทหารหาญ...........เมืองนั้นไม่นานเป็นข้า
เมืองใดไร้จอมพารา...............เมืองนั้นไม่ช้าอับจน
เมืองใดไม่มีพาณิชย์เลิศ...........เมืองนั้นย่อมเกิดขัดสน
เมืองใดไร้ศิลป์โสภณ..............เมืองนั้นไม่พ้นเสื่อมทราม
เมืองใดไม่มีกวีแก้ว.................เมืองนั้นไม่แคล้วคนหยาม
เมืองใดไร้นารีงาม..................เมืองนั้นหมดความภูมิใจ
เมืองใดไม่มีดนตรีเลิศ.............เมืองนั้นไม่เพริศพิสมัย
เมืองใดไร้ธรรมอำไพ..............เมืองนั้นบรรลัยแน่เอย

เถรี
21-05-2017, 19:15
ถาม : สมมติเวลาเราเกลียดใครสักคน เพราะเขาทำไม่ดีกับเรา แทนที่เราจะไปเกลียดเขา เราก็นึกถึงเขา เวลาสวดมนต์เราก็นึกถึงหน้าเขา ?
ตอบ : เหนื่อย....มึงก็สมมติว่าเรารักเขาก็จบ ทำไมต้องสมมติว่าเกลียดเขาด้วย สมมติว่ารักไม่ต้องเสียเวลาไปทำอะไรเลย ถ้าจะสมมติก็สมมติที่ดี ๆ หน่อยสิวะ จะได้ไม่เหนื่อยมาก

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : กายกรรม มโนกรรม วจีกรรม มีผลกับตัวเรา ของคนอื่นบางทีก็มีผลกระทบ เพราะเขาไปแบกเอาไว้

เถรี
21-05-2017, 19:24
ถาม : เวลาเรารักษาศีล นอกจากปิดอบายแล้ว ทำไมการรักษาศีลจึงมีอานิสงส์มาก เป็นไปได้อย่างไร ?
ตอบ : สมมติว่าบุคคลคนหนึ่งไปเจอยักษ์ ยักษ์บอกว่า ถ้าแกทำอย่างนี้ ฉันจะให้อาหารแกชิ้นหนึ่ง เราทำตามนั้น ยักษ์หย่อนอาหารลงมาทับเราตายเลย นั่นแค่อาหารชิ้นเดียวนะ

การรักษาศีลคล้ายคลึงกันตรงที่ว่า เป็นการกระทำความดี ซึ่งเป็นการควบคุมกาย วาจาของเราให้เรียบร้อย ซึ่งโดยปกติแล้วคนทั่วไปไม่มี ในเมื่อคนอื่นเขาไม่มี เราสร้างขึ้นมา เราจะรู้สึกว่ามากกว่าเขาทันทีทันใดเพราะว่าเขาไม่มี ในเมื่อเรายิ่งสร้างมากเท่าไร ระยะห่างของความไม่มีก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

เพราะฉะนั้น...ในเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา จึงเป็นเรื่องของผลานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับคนที่ไม่มี แต่ถ้าคนที่มี เขายังเห็นว่าเราห่างไกลเหลือเกิน เหมือนยักษ์ขนาดต่างกับคน เราก็เป็นแค่สะเก็ดฝุ่นในจักรวาลเท่านั้นเอง

เถรี
21-05-2017, 19:32
ถาม : พระอาจารย์ช่วยขยายความเรื่องกิเลสให้หน่อยสิครับ เวลาฟังชื่นใจมากเลย ผมขี้เกียจอ่าน ?
ตอบ : ขี้เกียจอ่านหนังสือ แล้วไม่คิดว่าพระอาจารย์จะขี้เกียจตอบบ้างหรือ ?

กิเลสอย่างหยาบ คือ กิเลสที่หลุดออกจากทางกาย ทางวาจาของเรา ซึ่งต้องแก้ไขด้วยศีล

กิเลสอย่างกลาง ส่วนใหญ่เป็นอารมณ์ความคิดของเรา ก็คือ อยากได้โน่น อยากได้นี่ โกรธนั่น เกลียดนี่ ต้องแก้ด้วยสมาธิ ถ้าสมาธิทรงตัวก็จะไม่ปรากฏ

กิเลสอย่างละเอียด เขาเรียกอนุสัยกิเลส เป็นส่วนลึกที่นอนนิ่งอยู่ในใจของเรา ถ้าไม่ใช่สภาพจิตละเอียดจริง ๆ บางทีก็คิดว่าไม่มี อย่างเช่นว่ากามสัญญา ก็คือคิดว่าตัวเองไม่มีความต้องการระหว่างเพศแล้ว แต่ยังมีโอกาสนึกถึงอยู่ เขาเรียกกามราคานุสัย พวกนี้ต้องแก้ด้วยปัญญา พอพิจารณาเห็นโทษว่า เปลวไฟที่ลุกไหม้ทั้งเมืองหรือเผาไหม้ทั้งป่า ก็เกิดจากสะเก็ดเล็ก ๆ นิดเดียวเช่นนี้ ถ้าเรายังปล่อยให้เผาไฟไหม้ใจเราอยู่ โอกาสที่เราต้องเกิดมาทุกข์ทนยังมีอีกมาก ก็จะมาพิจารณา มาตัด มาละกันเอง

ถาม : กิเลสอย่างกลาง ก็คือ ใช้วิปัสสนา หรือใช้สมถะครับ ?
ตอบ : ใช้สมาธิก็ระงับได้แล้ว แต่คำว่าระงับคือดับลงชั่วคราว เป็นวิกขัมภนวิมุตติหรือตทังควิมุติ ยังไม่ใช่สมุจเฉทวิมุตติ

เถรี
21-05-2017, 19:37
ถาม : เราใช้สมถะบ่อย ๆ บางทีกามราคะจะดีขึ้นได้อย่างไรครับ โดยที่เราไม่ได้ใช้วิปัสสนา ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่ากำลังของสมาธิสามารถกดกิเลสดับลงได้ชั่วคราว แล้วที่ว่าดีขึ้นราคะหมดไปไหม ?

ถาม : ไม่ครับ ?
ตอบ : ก็ในเมื่อไม่หมด ต้องใช้วิปัสสนาจึงจะหมด สรุปว่าที่ดีขึ้นของคุณไม่ได้ดีขึ้นหรอก เพียงแต่ห่างออกมาเท่านั้น

ถาม : ถ้าผมคิดว่า ผมเป็นมนุษย์ ผมก็มีราคะบ้าง อย่างนี้ถือว่าผมโง่ไหมครับ ?
ตอบ : ก็ถ้าเป็นมนุษย์ทั่ว ๆ ไปไม่ถือว่าโง่ แต่ถ้าในสายตาผู้ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นก็โง่ฉิ...หายเลย...! ขึ้นอยู่กับว่าเป็นมุมมองของใคร

เถรี
21-05-2017, 19:48
ถาม : การปรับธาตุคืออะไรครับ ?
ตอบ : ต้องถามว่าปรับเพื่ออะไร ?

ถาม : ปรับเพื่อสภาพร่างกายให้เข้าที่เข้าทาง ให้แลดูอ่อนเยาว์ ?
ตอบ : ลักษณะอย่างนั้นจะปรับด้วยอะไร ? ปรับด้วยตัวยา ปรับด้วยการออกกำลังกาย ปรับด้วยการใช้สมาธิ สภาพจิตที่อยู่ในสมาธิ เวลาผ่านไปเหมือนอย่างกับเชื่องช้า สภาพจิตไม่ได้นึกว่าผ่านไปมาก สภาพร่างกายก็เลยดูอ่อนเยาว์ และท้ายที่สุดบรรดาผู้ที่ได้อภิญญาสมาบัติคล่องตัว อาศัยอำนาจของสมาบัติ ปรับธาตุ ๔ ที่พร่องในร่างกายให้เสมอกัน ก็เลือกเอาว่าจะปรับแบบไหน

ถาม : ลดเรื่องอาหารไม่ได้ ?
ตอบ : อะไรวะ...! แค่อาหารการกินแค่นี้ทำไม่ได้หรืออย่างไร ? กินน้ำตาลให้น้อยลง กินผักผลไม้ให้มากขึ้น ง่ายจะตายไป ถึงเวลากินเสร็จเรียบร้อยก็เป็นมะเร็งตาย เพราะว่ามีแต่ยา ก็เลยอ่อนเยาว์ เพราะว่ายังไม่ทันจะแก่ก็ตายแล้ว...!

เถรี
21-05-2017, 19:51
ถาม : เมื่อนานมาแล้ว ผมฝึกกสิณไฟ ผมจะเห็นเหมือนไฟล้างโลก เป็นนิมิตหรือสัญญาเก่าครับ ?
ตอบ : เป็นปฏิภาคนิมิตที่เกิดขึ้น แสดงว่าของเก่าเคยมีอยู่ หรือไม่ก็ตกนรกบ่อย เห็นไฟจนชิน...!

เถรี
21-05-2017, 19:55
ถาม : ถ้าเราภาวนา พ่อแม่เราจะได้บุญนั้นโดยอัตโนมัติด้วยไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าโมทนาก็ได้ ถ้าไม่โมทนาก็อด..!

ถาม : ผมเคยอ่านเจอของท่านหนึ่ง เหมือนกับการที่เราทำบุญ พ่อแม่จะมีส่วนด้วย ?
ตอบ : ถ้าเราทำจนกำลังสูงพอ ท่านจะคล้อยตามมา คำว่า "คล้อยตามมา" แปลว่าท่านมาประพฤติปฏิบัติอย่างเรา ถ้าทำอย่างนั้นถึงจะยกระดับของท่านได้ แต่ถ้าต้องการในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำ ก็มีอย่างเดียวคือต้องเปิดใจรับ วิธีการเปิดใจรับก็คือพลอยยินดีด้วย ก็ได้แก่การอนุโมทนานั่นแหละ

เถรี
21-05-2017, 20:45
พระอาจารย์กล่าวกับพระที่ยกพระพุทธรูปมาถวายสังฆทานว่า “คุณอย่าเอาพระพุทธรูปวางกับพื้นสิ พ่อของเราเอง เราต้องเคารพมากกว่าคนอื่นเขา”

เถรี
22-05-2017, 08:57
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา อาตมาไข้จับไป ๒ วัน เหตุเพราะญาติโยมมีเมตตา เห็นว่าอากาศร้อนมากจึงราดด้วยน้ำแข็งเป็นถังเลย

การอุ้มพระสรงน้ำของทางด้านวัดท่าขนุน เป็น Unseen Thailand ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ปีนี้ Unseen มากกว่าปกติ เพราะว่าโยมอุ้มอาตมาผ่านไป เขาก็ราดด้วยน้ำแข็งทั้งถัง น้ำแข็งหลอดเต็มหน้าตักเลย

ต้องบอกว่าบางคนอยากจะได้บุญได้กุศลก็ทำจนสิ้นสติ ไม่ได้คิดว่าพระจะเป็นอย่างไรบ้าง อากาศร้อน ๆ พอโดนความเย็นขนาดนั้นเข้าก็เลยไข้จับ อย่าว่าแต่พระแก่อย่างอาตมาเลย ต่อให้เป็นพระหนุ่มเณรน้อยก็ไข้จับพอกัน"

เถรี
22-05-2017, 09:23
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ยังอยู่ พวกเราส่วนหนึ่งยังเห็นว่า เมื่อพระองค์ท่านเสด็จ จะมีพสกนิกรจำนวนมากถวายเงิน ขอให้รู้ว่าการถวายเงินกับในหลวงนั้น มีที่มาจากวัดท่าซุงเป็นจุดแรกเริ่ม

ปี ๒๕๒๐ วันที่ ๒๐ เมษายน ในหลวงรัชกาลที่ ๙ พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จงานปิดทองฝังลูกนิมิตวัดท่าซุง

ลูกศิษย์สายวัดท่าซุงมีความเคยชินอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือการถวายปัจจัยเพื่อร่วมบุญกับหลวงพ่อวัดท่าซุง เมื่อในหลวงเสด็จผ่าน ด้วยความเคยชินก็ควักเงินส่งให้ อาตมาเห็นแล้วก็ขำ ในหลวงท่านชะงักแล้วก็รับ ที่ชะงักเพราะว่าไม่เคยเจอมาก่อน ปรากฏว่ารับไปรับมา สองพระหัตถ์มีแต่ธนบัตรใบใหญ่บ้าง ใบเล็กบ้าง เต็มไปหมด ก็มีลูกศิษย์หลวงพ่อประเภทที่ไม่สนใจฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ส่งถุงก๊อบแก๊บถวาย ๑ ใบ พระองค์ท่านก็เอาปัจจัยทั้งหมดใส่ในถุง แล้วก็กางถุงรับเลย

นั่นคือจุดเริ่มต้นในการถวายเงินกับในหลวงหรือว่าสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์"

เถรี
22-05-2017, 09:28
"เมื่อในหลวงเสด็จถึงในพิธี ทรงถวายเงินถุงนั้นกับหลวงพ่อวัดท่าซุง ดูพระพักตร์แล้วพระองค์ท่านมีความสุขมาก ตรัสว่า "หลวงพ่อครับ...เต็มถุงเลย"

จากวันนั้นมาจนกระทั่งพระองค์ท่านเสด็จสู่สวรรคาลัย ถ้าสามารถออกงานได้ เสด็จไปท่ามกลางพสกนิกรได้ เราจะเห็นว่ามีคนถวายเงินเป็นปกติ เพราะว่าข่าวในพระราชสำนักช่วงนั้น ได้ถ่ายทำขณะที่พระองค์เดินรับเงินทอง ที่ชาวอุทัยธานีและจังหวัดใกล้เคียงร่วมกันถวายในลักษณะเป็นกันเองที่สุด

ไม่อย่างนั้นสมัยก่อนจะถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศล ต้องแจ้งทางสำนักพระราชวังว่าเป็นใคร ? มาจำนวนกี่คน ? ถวายเงินเป็นจำนวนเท่าไร ? แล้วสำนักพระราชวังก็จะหาเวลาที่พระองค์ท่านว่าง นัดแนะให้เข้าไปถวายที่พระราชวังจิตรลดารโหฐาน

โปรดภูมิใจว่า การถวายเงินแด่ในหลวง หรือสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถนั้น มีจุดแรกเริ่มจากวัดท่าซุงเลย ใครไม่ทราบก็โปรดทราบเอาไว้ด้วย เดี๋ยวอาตมาแก่แล้วไม่ได้เล่าเรื่องนี้ ก็จะลืมไปเสียก่อน"

เถรี
22-05-2017, 09:34
"ครั้งนั้นในหลวงท่านต้องเสด็จไปพระราชทานธงลูกเสือชาวบ้านในตัวจังหวัดอุทัยธานี น่าจะเวลาบ่าย ๒ โมง ปรากฏว่าพระองค์ท่านเสด็จอยู่ท่ามกลางพสกนิกรที่วัดท่าซุง มีความสุขมากที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับประชาชนของพระองค์ท่าน

เมื่อเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังฝ่ายพิธีการทูลเตือนว่า ถึงกำหนดการในตัวจังหวัดแล้ว สิ่งนี้อาตมาไม่ได้ยินด้วยตัวเอง แต่ได้ยินรุ่นพี่ที่อยู่ใกล้ท่านบอกว่า ในหลวงตอบว่า "ฉันจะมีความสุขอยู่กับประชาชนของฉันบ้างไม่ได้หรือ ?" สรุปว่างานนั้นในหลวงเสด็จไปพระราชทานธงลูกเสือชาวบ้านตอน ๔ โมงกว่า

ตั้งแต่นั้นมาในจังหวัดอุทัยธานีก็แอนตี้หลวงพ่อวัดท่าซุงไปหลายปี หาว่าหลวงพ่อล็อกตัวในหลวงเอาไว้ ไม่ยอมปล่อยให้มา ทำอย่างกับว่าหลวงพ่อท่านเก่งกล้าสามารถขนาดนั้น เพราะว่าเป็นพระราชประสงค์เอง เนื่องจากว่าเสด็จไปที่ไหนก็ไม่ได้ใกล้ชิดประชาชนในลักษณะอย่างนี้มาก่อน

ปีนั้นแหละที่ตุ๊พ่อสิงห์บวช อาตมาเองก็ยังลอยละล่องมาอีก ๘ ปีถึงจะได้บวช ตอนช่วงนั้นชีวิตฆราวาสยังมีงานรับผิดชอบอยู่มาก ต้องดูแลแม่ที่ป่วย ต้องส่งน้องเรียน ต้องส่งหลานเรียน จึงทำหน้าที่ของตัวเองไปก่อน มาบวชทีหลังตุ๊พ่อท่านถึง ๘ ปี"

เถรี
22-05-2017, 09:41
"มีอยู่สิ่งหนึ่งถ้าไม่ใช่คนอยู่ใกล้หลวงพ่อวัดท่าซุงจริง ๆ จะไม่ทราบเลยก็คือ เวลาในหลวงติดข้องในหัวข้อธรรมอะไร จะส่งเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมารับหลวงพ่อวัดท่าซุงไปเพื่อถวายวิสัชนา

โดยเฉพาะถ้าพระองค์ท่านเสด็จประทับที่พระราชวังสวนจิตรลดาหรือว่าพระราชวังภูพาน ไม่ทราบว่ารูปชุดนั้นอาตมายังเหลือไว้บ้างหรือเปล่า ? ด้วยความที่อยากลองดูว่านักบินพระที่นั่งฝีมือแน่สักแค่ไหน ? เมื่อทำลานเพื่อให้เฮลิคอปเตอร์ลงจอด อาตมาก็ทำวงกลมแล้วก็ตัว H ซึ่งเล็กมาก น่าจะไม่ถึง ๒ เมตร แต่ต้องยอมรับว่านักบินพระที่นั่งนั้นสุดยอดฝีมือจริง ๆ พอได้รับคำยืนยันว่าที่จอดคือตรงนี้ ก็หย่อนลงมาตรงเป๊ะเลย แกล้งเขาไม่สำเร็จ

รูปชุดนั้นปกติแล้วจะไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ถ่าย แต่ช่วงนั้นอาตมาถือกล้องเล็ก ๆ ปกติไปไหนก็ถือติดมือไปด้วย หลวงพ่อท่านก็เลย "เฮ้ย...ไอ้หนู ถ่ายไว้ดูหน่อยสิวะ" อาตมาก็เลยถ่ายรูปชุดนั้นเอาไว้ ซึ่งปกติเรื่องพวกนี้เหมือนอย่างกับว่าเป็นความลับกลาย ๆ เนื่องจากบางอย่างพระองค์ท่านก็ขอให้หลวงพ่อไปถวายวิสัชนาในหัวข้อธรรมที่ขัดข้องอยู่ แต่บางครั้งก็เป็นการปรึกษาราชการแผ่นดิน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะนำไปอวดอ้างกับใครได้ เพราะว่าเป็นการส่วนพระองค์จริง ๆ"

เถรี
22-05-2017, 09:46
"อาตมาเองก็ไม่ทราบว่าฟิล์มชุดนั้นยังอยู่ไหม ? เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เอาไปให้เขาสแกน เพื่อที่จะได้เก็บในลักษณะของไฟล์รูปชุดใหม่ ปรากฏว่าฟิล์มเหลืองกรอบหมดแล้ว ถ้าสูญไปก็น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง

พวกเราจะเคยชินว่า ถึงเวลาก็นิมนต์หลวงพ่อให้ไปรอที่สนาม เครื่องจะมาถึงภายในเวลากี่นาที แล้วก็มาตรงเวลาเป๊ะ ๆ ต้องบอกว่าเขาเก่งมาก เสียดายว่าสมัยก่อนมีแต่เครื่องเบลล์ คือเฮลิคอปเตอร์แบบฐานสกี ไม่ใช่เครื่องพูม่าอย่างสมัยนี้ ถ้าเป็นเครื่องพูม่าอย่างสมัยนี้อาตมาไปด้วยนานแล้ว เพราะว่าพูม่านั่งได้ ๒๐ กว่าที่นั่ง

สมัยนั้นเป็นเครื่องเบลล์เล็ก ๆ ๔ ที่นั่ง ๖ ที่นั่ง เบียด ๆ กันไป อาตมาเองก็เลยไม่ได้เกาะเครื่องไป ถึงเกาะไปก็คงไปทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่ชอบระเบียบวินัย แต่ไม่ฝืน คำว่า ไม่ชอบระเบียบวินัยก็คือ สถานที่ไหนที่เขามีระเบียบวินัยเป๊ะ ๆ จะรู้สึกอึดอัด สามารถทำตามเขาได้ แต่ดัดจริตได้ไม่นาน"

เถรี
22-05-2017, 09:50
"เรื่องพวกนี้หลวงพ่อท่านก็ล่วงลับดับขันธ์ไปแล้ว ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ก็เสด็จสวรรคต จะมีการถวายพระเพลิงพระบรมศพ วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๐ นี้ ขอให้ใช้คำให้ถูก เป็นงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ ไม่ใช่งานพระราชทานเพลิง

งานพระราชทานเพลิงใช้สำหรับบุคคลที่มีอิสริยยศต่ำกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว งานถวายพระเพลิงพระบรมศพใช้กับบุคคลที่มีอิสริยยศสูงกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งก็หาได้ยากมาก

ถ้าหากว่าพระเมรุมาศเสร็จแล้ว คาดว่าหารูปจากอินเตอร์เน็ตน่าจะดีกว่า ก็คืออยากให้ทุกคนถ่ายภาพแห่งความทรงจำเอาไว้บ้าง ช่างทุกคนทุ่มเทฝีมือแบบสุดชีวิต แม้กระทั่งช่างประจำวัดท่าขนุน ไม่สามารถที่จะดำเนินงานในการออกแบบพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุนได้ เพราะว่าทุกคนมีทั้งที่โดนเกณฑ์ มีทั้งที่ไปช่วยงานด้วยความเต็มใจ ในการสร้างพระเมรุมาศถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙"

เถรี
24-05-2017, 15:47
"วันก่อนช่างที่ทำบุษบกให้กับทางวัดท่าขนุนบอกว่า "พระอาจารย์ครับ งานอาจจะช้าหน่อย เพราะว่าลูกน้องโดนเกณฑ์ไปหมดเลย" ก็เลยถามว่าแล้วตัวช่างเองล่ะ ? เขาบอกว่าสั่งงานลูกน้องเสร็จก็วิ่งมาดูงานทางด้านนี้ ดูงานเสร็จก็ต้องวิ่งกลับไปดูงานทางด้านโน้นเหมือนกัน

เพราะฉะนั้น...ทุกอย่างที่ประกอบเป็นพระเมรุมาศ เกิดจากแรงกาย แรงใจของสุดยอดฝีมือทางด้านนี้ทั้งประเทศไทย โดยเฉพาะในส่วนของช่างสิบหมู่ และบรรดาท่านที่เรียนวิจิตรศิลป์ มัณฑนศิลป์ ต่างคนต่างก็แสดงฝีมือออกมาอย่างชนิดมอบกายถวายชีวิต ก็คือสุดฝีมือเท่าที่จะทำได้

ในชีวิตนี้คาดว่าถ้าญาติโยมหลายคนที่เกิดทันและรู้ความทัน ก็จะได้เห็นพระเมรุมาศสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ในรัชกาลที่ ๗ เห็นพระเมรุมาศของสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี ในรัชกาลที่ ๙ แล้วเราจะมีโอกาสได้เห็นพระเมรุมาศที่อลังการสุด ๆ ก็ในงานนี้ สองครั้งที่แล้วคาดว่าไม่สามารถที่จะเทียบเคียงได้"

เถรี
24-05-2017, 15:49
"อาตมาเห็นแบบร่างพระเมรุมาศแล้วเสียดายมาก ถามว่าเสียดายตรงไหน ? เสียดายว่าต้องรื้อ ยังคิด ๆ อยู่ว่า ถ้ามีเงินสัก ๓๐๐ ล้านบาท จะสร้างไว้ที่ทองผาภูมิ เพราะว่ามีที่ดินอยู่ตรงสามแยกไฟแดงใกล้ ๆ กับวัดท่าขนุน เขาจะขายที่ดิน ๖๐ ล้านบาท ถ้าได้ที่ดินตรงนั้นมาแล้ว ทำงานฝีมือลักษณะเดียวกับพระเมรุมาศรัชกาลที่ ๙ ก็คือ เป็นมณฑป ๙ ยอด แต่ก็คงเอาไว้ประดิษฐานพระพุทธรูปและพระบรมสารีริกธาตุ จะกลายเป็นงานศิลป์ของแผ่นดิน ให้คนเห็นสุดยอดฝีมือที่คนไทยเรารังสรรค์ขึ้นมา เหมือนอย่างกับที่เขาบอกว่า เหมือนชะลอสวรรค์ลงมาสู่ดิน

คงได้แต่คิด เพราะว่ามัวแต่ทำงานอื่นอยู่ เงินหมดเสียก่อน ยกเว้นว่ามีใครคิดแบบเดียวกัน แล้วมีกำลังพอก็ลองทำกันดู อาตมามีช่างที่มีฝีมือในระดับนี้อยู่แล้ว"

เถรี
24-05-2017, 15:57
พระอาจารย์เล่าว่า "ท่านอาจารย์พลตรีเฉลิมชัย เสียงใหญ่ ผู้อำนวยการกองอนุศาสนาจารย์กองทัพบก ท่านเคยสอนตั้งแต่ตอนอาตมาเรียน ป.บส. ปี ๒๕๔๘ ท่านเคารพพระเณรสุดชีวิต ในสายตาของท่านอาจารย์ พระเณรทุกรูปเป็นพระอริยเจ้าหมด..! ถ้าหากว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระภิกษุสามเณร เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา มีอะไรมาแผ้วพาน ท่านอาจารย์จะปกป้องด้วยชีวิต

ตอนท่านเป็นแค่ร้อยโท ยังกล้าเถียงผู้บัญชาการกองพล เพราะผู้บัญชาการกองพลใช้คำเรียกทหารเกณฑ์ว่า "ไอ้เณร" ท่านยกมือในท่ามกลางที่ประชุมเลยว่า "ขออภัยครับ...ขอให้ท่าน ผบ. ได้โปรดถอนคำพูดด้วย สามเณรเป็นเชื้อสายของสมณะ เป็นปูชนียบุคคลที่สมควรแก่การเคารพบูชา ไม่ควรใช้คำว่า "ไอ้" ครับ"

เถรี
24-05-2017, 16:00
"ในการที่เรียนมาไม่ว่าจะระดับปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก อาตมาปลื้มใจว่ามีโอกาสได้พบครูบาอาจารย์ดี ๆ หลายท่าน แล้วก็ได้พบเพื่อนสหธรรมิกที่เป็นนักปฏิบัติแบบเสือซ่อนเล็บอยู่หลายท่าน ซึ่งในวันที่ ๑๒ สิงหาคม โยมก็จะเห็นว่ามีหลายท่านที่อาตมานิมนต์ไป ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน แล้วได้รู้ว่าท่านปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ

อย่างพระครูไพโรจน์ภัทรคุณ วัดสระพัง พระครูวิธานธรรมนาถ วัดทุ่งกระพังโหม พระครูปฐมจินดากร วัดไร่แตงทอง เป็นต้น คลุกคลีตีโมงอยู่ด้วยกัน เรียนกันตั้งแต่ประกาศนียบัตร ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอกมา ความใกล้ชิดทำให้ได้เห็นในสิ่งที่ท่านทำ

บางคนก็ว่าไอ้กลุ่มนี้บ้า ถามว่าทำไมว่าไอ้กลุ่มนี้บ้า ? ปฏิบัติธรรม ๑๕ วัน อาตมากับท่านอาจารย์สายชล วัดไร่แตงทอง เดินจงกรมแข่งกัน เดินจงกรมแข่งกันอย่างไร ? เริ่มต้น ๘ โมงครึ่งไปเลิกเอา ๑๐ โมงครึ่ง เริ่มต้นบ่ายโมงไปเลิก ๔ โมงเย็น เริ่มต้น ๖ โมงครึ่งไปเลิก ๒ ทุ่มครึ่ง เหมือนอย่างกับคนเดินทางไปด้วยกัน แต่ว่าต่างคนต่างปฏิบัติของตนเอง จนกระทั่งรู้กำลังกันดีว่า ถ้าสมาธิไม่ดีจะทำอย่างนั้นไม่ได้"

เถรี
24-05-2017, 16:03
"มีใครบ้างเดินจงกรมกันเป็นวัน ๆ ไม่ยอมเลิก ? ขณะที่คนอื่นก็ไปเข้าห้องน้ำบ้าง ไปสูบบุหรี่บ้าง ไปกินกาแฟบ้าง อย่างนี้เป็นต้น ก็มีแค่ไม่กี่คนหรอกที่สู้กันตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย ซึ่งท่านทั้งหลายเหล่านี้ต่อให้เป็นพระโพธิสัตว์ เข้าถึงความเป็นอริยเจ้าไม่ได้ กำลังของสมาธิสมาบัติของท่านก็เหลือเฟือ ลองมาด้วยตัวเองแล้ว ลากกันต่อเนื่องที ๓ วัน ๗ วัน ๑๕ วัน รู้สึกว่าเป็นเรื่องสบาย ๆ ของท่าน ขณะที่อาตมายังรู้สึกเหนื่อยเลย

ก็อยากให้พวกเราได้ทำบุญกับพระที่เป็นนักปฏิบัติจริง ๆ บ้าง แม้ว่าจะมาสายพระโพธิสัตว์ แต่สิ่งที่ท่านทำทุกอย่างก็เพื่อความเจริญในพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น...ในส่วนที่ไปศึกษาเล่าเรียนมาก เรื่องของปริญญากลายเป็นของแถม การได้เพื่อนฝูงที่เป็นนักปฏิบัติจริง ๆ ทำงานเพื่อประชาชน เพื่อพระพุทธศาสนาจริง ๆ กลับเป็นสิ่งที่ถือว่าเป็นกำไรหลัก ๆ ของอาตมาเลย"

เถรี
25-05-2017, 14:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "ภาษาไทยเป็นภาษาที่ยาก เหตุที่ยากเพราะว่ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อย เพราะบรรดาราชบัณฑิตไม่มีอะไรทำ..! ต้องหาผลงานด้วยวิธีแก้ไขภาษาไทยให้ยุ่ง ๆ เข้าไว้

สมัยเด็ก ๆ อาตมาเรียน อินทรีย์ มี ย์ ที่แปลว่าเป็นใหญ่ นกอินทรีย์ก็คือนกใหญ่ ปลาอินทรีย์คือปลาใหญ่ สมัยนี้ ย์ หายไป

สิงห์โต สิงห์คือราชสีห์ สมัยนี้ ห์ หายไป

อาตมาเคยนั่งเถียงกับท่านอาจารย์ปู่ ศาสตราจารย์พิเศษจำนงค์ ทองประเสริฐ ราชบัณฑิต เถียงจนท่านอาจารย์ขอจับป้ายชื่อดูหน่อยว่าเป็นใคร ? ถามว่าทำไมท่านอาจารย์ต้องแก้ไขให้ยุ่งไปหมด ของเก่าก็ดีอยู่แล้ว

อย่างสมัยเด็ก ๆ ข้าวโพดใช้ ข้าวโภชน์ โภชนะ ที่แปลว่าอาหาร

นกพิลาป ที่แปลว่าคร่ำครวญ แปลว่าร้องไห้ เพราะว่านกชนิดนี้ครางฮือ ๆ เหมือนคนร้องไห้อยู่ตลอดเวลา

ท่านอาจารย์จำนงค์มีไม้ตายประเภทกูถูกเสมอ ก็คือทำไมเราต้องลากไปบวชด้วย ? ในความรู้สึกของท่านอาจารย์ก็คือ อะไรที่เลี่ยงจากภาษาบาลีได้ควรที่จะเลี่ยง ก็เลยมาแก้ไข ตัดโน่น ตัดนี่ออกไปให้ยุ่งไปหมด คนรุ่นหลังมาเรียนก็ไม่มีอะไร เพราะเรียนที่แก้ไขแล้ว แต่รุ่นของอาตมาค่อนข้างจะเครียด เพราะว่าเรียนมาอย่างหนึ่ง แล้วต้องมาเจอกับอีกอย่างหนึ่ง"

เถรี
25-05-2017, 14:32
"ที่เว็บวัดท่าขนุนเน้นในเรื่องการใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง เพราะว่าอัจฉริยะสมัยใหม่มีเยอะมาก สามารถใช้ภาษาอุบาทว์ ๆ ที่อาตมาอ่านไม่รู้เรื่อง แล้วเขาดันรู้เรื่องกันได้ ต้องบอกว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้เก่งมาก สามารถบัญญัติศัพท์ใหม่ ๆ ขึ้นมาได้ ทำให้ภาษาของเราวิปริตไปหมด

แม้กระทั่งทุกวันนี้เด็กก็พูด "จ. จาน" กันไม่เป็นแล้ว เด็กรุ่นใหม่ออกเสียง "จ. จาน" เหมือนอาตมาไม่ได้แล้ว "จ. จาน" ของเขาต้องออกเสียงกลางลิ้น ออกเสียงเป็น ch ของภาษาอังกฤษ

การเรียนในวิทยาลัยสงฆ์มีวิชาหนึ่งเรียกว่าธรรมนิเทศ ก็คือการแสดงธรรม บรรยายธรรม ปาฐกถาธรรม วิชานี้ท่านอาจารย์จะเน้นในเรื่องการใช้ภาษาให้ถูกต้อง อักขระฐานกรณ์ทุกอย่างให้ถูกต้อง เมื่อเป็นอย่างนั้น ก็เลยกลายเป็นเหมือนอย่างกับบังคับให้ต้องเรียนภาษาไทยใหม่"

เถรี
25-05-2017, 14:41
โยมเพิ่งไปผ่าตัดมา "สมัยนี้ส่วนแปลกปลอมในร่างกายมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนใหญ่เกิดจากอาหารการกินของเรา สารพิษต่าง ๆ มีมากขึ้น บางอย่างก็ขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตประจำวันของเรา อย่างพวกที่เป็นโรคพังผืดยึด หรือว่าหินปูนเกาะกระดูก เกิดจากการทำอะไรท่าใดท่าหนึ่ง ซ้ำ ๆ กัน หรือว่านั่งโดยไม่ได้เคลื่อนไหวออกกำลังกายที่เหมาะสม ก็จะเป็นโรคนี้

วันก่อนมีคุณยายชื่อ อำมาน เป็นแม่ชี แต่งตัวคล้าย ๆ กับแม่ชีพม่า น่าจะเป็นแม่ชีพม่า เพราะว่าห่มจีวรสีชมพู แต่คุณยายเป็นคนอินเดีย อายุ ๙๐ กว่าปีแล้วยังเล่นโยคะสอนเด็ก ๆ ได้สบาย คุณยายบอกว่าไม่เคยเจ็บป่วยถึงขนาดเข้าโรงพยาบาลเลย เพราะอาศัยการออกกำลังด้วยการเล่นโยคะ

ถ้าถามว่าคุณยายเล่นโยคะแล้วมีผลเห็นขนาดไหน ก็ขนาดที่ว่าคุณยายนั่งเหยียดขาแล้วสามารถจับส้นเท้าต้วเองได้ ของพวกเรานี่ก้มยังไม่ถึงเลย"

เถรี
25-05-2017, 14:48
พระอาจารย์เล่าว่า "ในอดีตอาตมาเคยเกิดที่ทิเบตเยอะมาก ทิเบตเป็นดินแดนของพุทธศาสนา โดยเฉพาะของมหายาน แล้วก็แปลงเป็นวัชรยาน ศาสนานี้พระภิกษุส่วนใหญ่มีแนวคิดในการเกิดใหม่เพื่อสร้างบารมี ซึ่งเรียกง่าย ๆ ก็คือมาสายพุทธภูมิ เพราะฉะนั้น...การเวียนว่ายตายเกิดจึงเป็นเรื่องปกติ

ถ้าครอบครัวไหนมีลูกชาย ต้องส่งลูกชายไปบวชอย่างน้อย ๑ คน ถ้าครอบครัวนั้นไม่มีลูกชาย เมื่อลูกสาวแต่งงานแล้ว พ่อจะไปบวชเอง เพราะฉะนั้น...คนทิเบตก็เลยบวชพระเกือบทั้งประเทศ พอบวชเข้าไปครูบาอาจารย์ที่ท่านมีทิพจักขุญาณ ก็จะมาดูอดีตชาติให้ว่าเคยศึกษาเล่าเรียนมาถึงระดับไหน แล้วก็ส่งไปหาครูบาอาจารย์ระดับนั้น ทบทวนความรู้สักหน่อยหนึ่ง แล้วก็เรียนระดับสูงกว่าขึ้นไปได้เลย ก็แปลว่าของเขาไม่ต้องเรียนย้อนของเดิม มีแต่ขึ้นหน้าอย่างเดียว"

เถรี
25-05-2017, 14:51
"ปัจจุบันนี้ทิเบตมีอยู่ ๔ นิกายด้วยกัน ถ้าหากไม่นับลัทธิบอนที่เป็นการถือผี ถือเวทมนตร์คาถา และบรรดาเทพของเขา ก็มีนิกายใหญ่ ๆ อยู่ก็คือ เกลุกปะกับเนียงมาปะ ซึ่ง ๒ นิกายนี้ก็คือหมวกเหลืองกับหมวกแดง แล้วก็ยังมีนิกายกาจูปะ กับนิกายศากยะปะ

ดาไลลามะองค์ปัจจุบันมีกุศโลบายในการประสานสามัคคีระหว่างนิกายที่ยอดเยี่ยมมาก คือพระองค์ท่านบวชในนิกายเกลุกปะคือหมวกเหลือง แต่ทำสังฆกรรมแบบเนียงมาปะคือหมวกแดง"

เถรี
25-05-2017, 14:54
"แผ่นดินทิเบต ฝรั่งเรียกว่าหลังคาโลก อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง ๕ กิโลเมตรขึ้นไป การอยู่ในพื้นที่แบบนั้นมีสิ่งที่ดีหลายอย่าง อย่างแรกก็คืออากาศที่หนาวเย็นมาก ถามว่าเย็นขนาดไหน ? โดยมาตรฐานโลกเลย ความสูงเพิ่มขึ้น ๓๐๐ เมตร อากาศลดลง ๑ องศา ก็แปลว่า ๓ กิโลเมตร อากาศจะลดลง ๑๐ องศา ในเมื่อสูง ๕ กิโลเมตรเศษ อากาศก็ลดลงเกือบ ๒๐ องศา

สมมติว่าข้างล่างนี้อากาศ ๓๖ องศา ขึ้นไปข้างบน ถ้าไม่ใช่ฤดูหนาวก็จะเหลือประมาณ ๑๕ - ๑๖ องศาเท่านั้น แล้วถ้าเป็นฤดูหนาว เป็นเวลาลม เป็นเวลาฝน อากาศหนาวจนติดลบก็เป็นเรื่องปกติ จึงทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ยาก ในเมื่อเชื้อโรคเจริญเติบโตได้ยาก การเจ็บไข้ได้ป่วยหลายโรคที่คนข้างล่างเป็นกัน คนข้างบนเขาไม่เป็นกันหรอก"

เถรี
25-05-2017, 15:03
"เมื่อดาไลลามะ เทนซิน กยัตโซ อพยพหนีการยึดครองของจีนไปที่อินเดีย ข้าราชบริพาร ตลอดจนประชาชนที่อพยพตามไปป่วยตายไปเกือบ ๓๐,๐๐๐ คน เพราะว่าพอลงไปสู่พื้นล่าง เจออากาศร้อนชื้น เชื้อโรคที่รอเวลาอยู่ได้โอกาส ก็เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ร่างกายรับไม่ทัน กว่าจะหาวิธีแก้ไขได้ก็ล้มตายไปเสียมากต่อมากด้วยกัน

ปัจจุบันนี้ที่ธรรมศาลาหรือที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษเขาอ่านว่า ธรัมซาล่าเป็นเมืองทิเบตกลาย ๆ เขาเรียก Little Tibet เพราะว่าชาวทิเบตส่วนใหญ่อพยพลงไปอยู่ที่นั่น ศึกษาหาความรู้ แล้วก็ย้ายแยกกันไปทำงาน โดยมีความหวังว่าสักวันหนึ่ง จะสามารถได้เอกราชของชาติบ้านเมืองตนเองคืนมา"

เถรี
25-05-2017, 15:08
"พระภิกษุสามเณรของทิเบตต้องศึกษาวิชาการต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องของสมาธิ สมาบัติ ศึกษาเรื่องหลังความตาย เพื่อที่จะได้บอกกล่าวกับบุคคลที่ยังอยู่ว่าความตายมีลักษณะอย่างไร ต้องเตรียมการรับอย่างไร

การฝึกบางทีในความรู้สึกของเราก็ค่อนข้างจะโหด อย่างเช่นว่าเอาเชือกล่ามคอกับเท้าตัวเองติดกัน แล้วก็ค่อย ๆ ยืดตัวเพื่อให้เชือกรัดแน่นขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสติสุดท้ายจะหลุดออกไปแล้วก็ค่อยผ่อนคลาย จะได้ศึกษาว่าก่อนหมดลมนั้นแต่ละคนรู้สึกอย่างไร บางคนขยับคืนไม่ทันก็ตายไปเลย นี่เป็นวิธีการฝึกอย่างหนึ่ง"

เถรี
25-05-2017, 15:14
"มีบางสิ่งบางอย่างที่เป็นความลับของพระลามะ ซึ่งโลกภายนอกไม่รู้ อย่างเช่นว่าบรรดาลามะต่าง ๆ จะมีความสัมพันธ์อันดีกับมนุษย์หิมะที่เรียกว่าเยติ เพราะว่าส่วนที่ต้องศึกษาเกี่ยวกับสมุนไพรใบยา ลามะต้องอาศัยมนุษย์หิมะในการหาสมุนไพรให้

ถามว่ามนุษย์หิมะอยู่ไหน ? อยู่บนเทือกเขาหิมาลัยนั่นแหละ แหล่งที่เขาอยู่นอกจากเป็นจุดอับลมแล้ว ยังอยู่ใกล้แหล่งความร้อนใต้โลก ก็เลยทำให้อากาศอุ่น สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่ถ้าพวกเราไปมีโอกาสตายมากกว่ารอด เพราะว่าอากาศบางมาก ถ้าไปออกแรงปีนเขา ต้องใช้ออกซิเจนมาก ๆ ก็มีสิทธิ์หน้ามืดร่วงลงมาเสียก่อน แต่ว่าบรรดาพระลามะที่ท่านฝึกเพื่อเดินทางไปยังสถานที่แบบนั้น ก็จะสามารถที่จะไปได้

ถึงเวลาต้องการสมุนไพรใบยาอะไรก็ไปบอกกล่าว เขาสามารถสื่อสารกันรู้เรื่อง เพราะว่าส่วนใหญ่ก็คือใช้ภาษาใจ ภาษากาย ไม่ใช่ภาษาพูด ในเมื่อเป็นความลับเฉพาะของพวกเขา คนภายนอกก็เลยไม่มีโอกาสได้รู้ นาน ๆ จะหลุดออกมาให้คนถ่ายรูปได้สักครั้งหนึ่ง ถึงเวลาก็ต้องรีบกลับเข้าไปยังที่อยู่เดิมของตนเอง"

เถรี
25-05-2017, 15:14
ถาม : มนุษย์หิมะอยู่ในภูมิไหนครับ ?
ตอบ : น่าจะอยู่ในระดับสัตว์เดรัจฉาน แต่ภูมิปัญญาใกล้เคียงกับมนุษย์

เถรี
26-05-2017, 13:44
พระอาจารย์กล่าวว่า "การทำบุญบ้าน โบราณของเรามีความเชื่อว่าสถานที่แต่ละแห่งจะมีผีบ้านผีเรือนอาศัยอยู่ ซึ่งบางคนเรียกว่า "ตายาย" นั่นเป็นความเชื่อที่ถูกต้องเลย

ถามว่าเรานับถือพุทธศาสนาแล้วยังต้องมีความเชื่อเหล่านี้อยู่หรือไม่ ? ขอบอกว่าความเชื่ออะไรที่เป็นความจริง ถ้าเราเชื่อแล้วปฏิบัติได้ถูกต้อง ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขก็เป็นสิ่งที่ควรจะทำ โบราณเขาถึงได้ทำบุญบ้าน เพื่ออุทิศให้แก่เทวดาที่ปกปักรักษาตัวเอง อุทิศให้แก่เจ้าที่เจ้าทางที่ดูแลสถานที่นั้น และอุทิศให้กับบรรดาผีบ้านผีเรือนหรือว่าตายายที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น ท่านทั้งหลายเหล่านี้ถ้าได้รับมิตรจิตก็มีมิตรใจตอบ เมื่อถึงเวลาอะไรที่ไม่เกินวิสัย ท่านสามารถช่วยได้ก็จะช่วย

ถามว่าในเรื่องการนับถือผีแบบนี้มีในประเทศอื่น ๆ หรือไม่ ? อาตมาขอยืนยันว่าศาสนาผีเป็นศาสนาแรกของโลก ไม่ว่าจะชาติใดภาษาใดก็ตามจะต้องนับถือผี นับถือธรรมชาติเป็นใหญ่มาก่อน หลังจากนั้นเมื่อเกิดศาสดาประกาศหลักธรรมคำสอนที่เหมาะสมขึ้นมา ก็มีคนยึดและปฏิบัติตาม แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ยังไม่ละทิ้งของเก่า"

เถรี
26-05-2017, 13:50
"ประเทศไทยของเราก็ถือผีมาก่อน นอกจากความเชื่อในเรื่องผี เจ้าที่เจ้าทางแล้ว ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับการนับถืองูใหญ่หรือพญานาค ซึ่งในอุษาคเนย์หรือ Southeast Asia แทบทุกประเทศ จะมีความเชื่อหรือความผูกพันในเรื่องของพญานาค แต่ตามที่อาตมาไปพบมา ทุกประเทศที่ไปก็มีพญานาค เพียงแต่ว่าเจ้าของถิ่นเขาจะรู้หรือไม่รู้เท่านั้น

ล่าสุดที่ปากีสถาน ไปโดนเจ้าประคุณเขี่ยหัวทิ่มเข่าแตก ๒ ข้างเลย ไม่มีอะไรหรอก....ลงไปเที่ยวธารน้ำแข็งโฮปเปอร์ ปวดฉี่ก็เลยแอบไปฉี่รดมา

ตอนนี้พญานาคที่น่าสงสารที่สุดในประเทศไทย คือ พญาศรีสุทโธนาคราช แต่ละคนไปนี่ขอสารพัด จะมีสักกี่คนที่ไปแล้วให้ท่านบ้าง คนที่ไปมีแต่ขออย่างเดียว ท่านเป็นพญานาคที่น่าสงสารจริง ๆ"

เถรี
26-05-2017, 13:56
"มีคนสงสัยว่าพญานาคตัวใหญ่แค่ไหน ? เท่าที่พบมามีตั้งแต่ตัวเท่านิ้วก้อย จนใหญ่เกือบเท่าภูเขา ตัวเท่านิ้วก้อยนั่นท่านแสดงให้ดู

หลวงปู่หลวงพ่อสายอีสานที่ท่านได้พบ ท่านบอกว่าตอนที่อยู่ด้วยเขาก็เป็นงูตัวประมาณแขนนี่แหละ พอใกล้ถึงกำหนดที่ท่านต้องธุดงค์ที่อื่น ท่านก็มาลา บอกว่าตัวเองเป็นพญานาคอยู่ในบริเวณนั้น พระก็ถามว่าแล้วจะเชื่อได้อย่างไร ท่านบอกว่าจะแสดงร่างจริงให้ดู แต่ไม่ได้ให้ดูในลักษณะเห็นคาตา ให้ดูแค่รอยเลื้อยจากไป ถามว่ารอยเลื้อยกว้างเท่าไร ? หลวงปู่ชอบท่านบอกว่าทับต้นกล้าราบไป ๕ แถว

มีใครเคยดำนาบ้าง ? หว่างแถวต่อแถวของการดำนากว้างเกือบศอก ก็ตีว่าสัก ๒๐ เซนติเมตร ถ้า ๕ แถวก็แปลว่า ๑๐๐ เซนติเมตรพอดี ความกว้างประมาณ ๓ ฟุตกว่า ๆ

สิ่งที่พวกเราไม่รู้ไม่เห็น มีมากกว่าที่พวกเรารู้เห็น แต่ว่าเทคโนโลยีในสมัยใหม่ มีกล้องวงจรปิดบ้าง มีการถ่ายภาพความเร็วสูงบ้าง ทำให้ติดสัตว์ในภพภูมิอื่น ๆ บ่อย แล้วก็มางง ๆ ว่านี่คือตัวอะไร ?"

เถรี
26-05-2017, 14:01
"เขาทั้งหลายเหล่านั้นก็อยู่ในภูมิของเปรตบ้าง อสุรกายบ้าง สัตว์เดรัจฉานมีฤทธิ์บ้าง ฉะนั้น...บางทีก็เห็นรูปร่างพิลึกพิลั่นจนบอกไม่ถูกว่าเป็นตัวอะไร

สมัยนี้ความหวาดระแวงก็มีมาก ถึงเวลาเห็นก็ถามว่า CG หรือเปล่า ? CG คือ Computer Graphic เป็นการสร้างขึ้นมาด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งระยะหลังนี้เทคนิคต่าง ๆ มีมาก ช่วงที่ผ่านมาได้ยินว่าหนังเรื่องนาคีของเราทำ CG ได้เป็นที่ถูกใจคนดูมาก

โอกาสที่พวกเราจะรู้เห็นเรื่องอย่างนี้มีน้อย ต้องใช้วิธีอนุมานเอา คำว่าอนุมานก็คือ รวบรวมข้อมูลหลักฐานหลายอย่างมาพิจารณาว่า เป็นสิ่งที่ควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อ ในเมื่อใช้วิธีการอนุมานเอา โอกาสถูกกับผิดก็ครึ่งต่อครึ่ง ภาษานักเล่นการพนันเขาว่า ห้าสิบห้าสิบ"

เถรี
26-05-2017, 14:20
"การที่จะรู้เห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ วิทยาศาสตร์ยังตามไม่ค่อยทัน อาตมากำลังรอเทคโนโลยีอยู่ตัวหนึ่ง ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่ามีการพัฒนาต่อยอดไปเท่าไร ก็คือการถ่ายภาพแบบเกอร์เลียน ซึ่งสามารถเห็นพลังงานในวัตถุต่าง ๆ ได้ ที่บางคนบอกว่าถ่ายภาพแล้วดูออร่า

ถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้รับการพัฒนาขึ้นอีกสักระดับหนึ่ง จะสามารถถ่ายภาพบรรดาท่านที่อยู่อีกมิติหนึ่งได้ คิดจะปรากฏตัวเมื่อไรก็เสร็จเราแน่ เพราะว่าเวลาจะปรากฏตัวให้เราเห็น ก็จะใช้กำลังของตนเอง ดึงเอา ดิน น้ำ ไฟ ลม รอบข้างไปรวมตัวกัน เพื่อให้ปรากฏเป็นกายหยาบขึ้นมา เริ่มปรากฏเมื่อไร ถ้ามีเทคนิคแบบนี้อยู่ก็จะถ่ายภาพติด

บางคนก็สงสัยว่าทำไมคนนี้ถ่ายติด คนนั้นถ่ายติด เราถ่ายไม่ติด ก็ช่วงที่เราถ่ายบางทีไม่ใช่ช่วงที่เขารวบรวมเป็นกายหยาบ การรวบรวมเป็นกายหยาบก็ชัดบ้าง ไม่ชัดบ้าง แล้วแต่กำลังของแต่ละตน"

เถรี
26-05-2017, 14:24
"ขอให้รู้ว่าเวลาผีมา เราเห็นน่าเกลียดน่ากลัว วิ่งหนีกันตับแลบ นั่นเขาพยายามสุดชีวิตแล้วได้สวยแค่นั้น เต็มที่แล้วได้สวยแค่นั้น ผีที่น่าสงสารกว่านั้นก็คือ ผีที่ไม่สามารถปรากฏให้เห็นได้ บางคนก็ปรากฏได้แค่เงาแวบ ๆ บางทีก็ได้ยินแต่เสียง บางทีก็ได้กลิ่นเท่านั้น เพราะว่ากำลังของเขาน้อย ไม่สามารถที่จะรวบรวมเอาธาตุ ๔ รอบข้างเพื่อสร้างกายหยาบขึ้นมา

โดยเฉพาะบรรดาไฟฟ้าต่าง ๆ ในปัจจุบันของเรา การที่กระพริบด้วยความเร็วประมาณ ๕๐ รอบต่อวินาที ทำให้เรารู้สึกว่าแสงไฟนิ่ง ๆ แต่ความจริงไฟกระพริบอยู่ตลอดเวลา การกระพริบของไฟที่ส่งเป็นคลื่นถี่ ๆ ไปกระแทกทำลายธาตุ ๔ ที่เขาดึงมารวมตัวหลุดกระจัดกระจายหมด เพราะฉะนั้น...ใครที่กลัวผีแล้วเปิดไฟนอน มีโอกาสป้องกันได้ประมาณ ๘๐ เปอร์เซนต์

แต่เท่าที่อาตมาเจอมา ไปเจอผีระดับที่เก่งกว่านั้น เปิดไฟสว่าง ๆ ก็มา กลางวันแดดเปรี้ยง ๆ ก็มา ท่านทั้งหลายเหล่านั้นกำลังท่านมากกว่าเราเยอะ ถ้าเจอหน้าก็ยกมือยอมแพ้ตั้งแต่แรก ไม่ต้องเสียเวลาไปตีกับเขา"

เถรี
26-05-2017, 14:56
"ท่านที่ฝึกมโนมยิทธิ ส่วนหนึ่งจะมีประสบการณ์ผีหลอก หรือว่าเทวดากลั่นแกล้ง ให้สังเกตว่าถ้าเขาเป็นฝ่ายปรับมาหาเรา ทุกอย่างจะชัดเจนมาก แต่ถ้าเราพยายามรู้เห็นเอง จะรู้สึกว่าหาความชัดเจนไม่ได้ เป็นเพราะว่ากำลังของเรามีน้อย ถ้าเขาปรับมาเราก็จะรู้เห็นได้ชัดเจน แต่ถ้าเราเป็นฝ่ายปรับไป ประเภทรู้ว่ามีเขาอยู่ได้ก็ถือว่าเก่งแล้ว

จากประสบการณ์ของอาตมาที่มีอยู่ เวลาที่พวกนี้มาหรือที่พวกเราเรียกว่าผีหลอก ทุกอย่างจะชัดเจนสว่างไสว ถ้ายกตัวอย่างให้ ก็คือ มีอยู่ครั้งหนึ่งนอนภาวนาอยู่กลางป่า น่าจะห่างจากลำห้วยประมาณสัก ๔๐-๕๐ เมตร เพราะกลัวว่าถ้าอยู่ใกล้ห้วยเกินไปพวกบรรดาสัตว์ต่าง ๆ จะไม่กล้าลงไปกินน้ำ

ประมาณสัก ๕ ทุ่มกว่าในป่าก็มืดสนิท มืดชนิดที่เขาบอกว่ายกมือมองไม่เห็นนิ้วทั้ง ๕ นอนภาวนาอยู่ได้ยินเสียงตูม...! เหมือนอย่างกับใครกระโดดน้ำ แล้วก็มีภาพเด็กจมน้ำคว่ำหน้าลอยตุ๊บป่อง ๆ ตอนนั้นลืมคิดไป ด้วยความตกใจว่าเด็กตกน้ำก็เลยพรวดพราดไปช่วย ลืมคิดไปว่ากลางดึกลูกบ้านใครจะมาเล่นน้ำกลางป่า ?"

เถรี
26-05-2017, 17:54
"อีกประการก็คือ อาตมานอนภาวนา ก็แหงนหน้ามองหลังคากลดนั่นแหละ ห่างจากลำห้วยตั้งหลายสิบเมตร ทำไมเห็นชัด ๆ เหมือนกับไปยืนดูอยู่ข้างลำห้วย ต้องบอกว่าตอนผีหลอกเรามักจะโง่เสมอ ก็คือรู้ไม่เท่าทันถึงโดนหลอก ถ้ารู้เท่าทันก็ไม่โดนหลอก

ด้วยความตกใจว่าเด็กตกน้ำก็เลยวิ่งไปช่วย คว้าคอเสื้อได้ก็กระชากขึ้นมา พอเด็กหันหน้ามาอาตมาก็รู้แล้วว่าผีหลอกแน่นอน เพราะว่ามีแต่ตาโต ๆ จมูก ปาก อะไรก็ไม่มี ตอนนั้นก็คิดแต่ว่า หนอยแน่ะ...บังอาจมาหลอก จะหาภาชนะหรือกะโหลกกะลาสักใบหนึ่ง จับยัดเข้าไปแล้วสะกดเอาไว้สัก ๑๐๐ - ๒๐๐ ปีให้เข็ดเสียบ้าง...!

ปรากฏว่าหาไม่ได้ ด้วยความโมโหก็เลยทุ่มลงน้ำไป พอตกตูมลงไปที่น้ำ ทุกสิ่งทุกอย่างก็หายวับไปกับตา ปล่อยให้อาตมายืนอยู่ตรงที่มืดตื๋อมองอะไรไม่เห็น ตอนรีบวิ่งไปดูไฟฉายก็ไม่ได้เอาไป เวรกรรมล่ะสิ....กลดของเราอยู่ด้านไหนหว่า ? ต้องมะงุมะงาหรา ค่อย ๆ คลาน ค่อย ๆ คลำ กว่าจะไปถึงกลดร่วมครึ่งชั่วโมง

จากประสบการณ์นี้ ขอบอกกับญาติโยมว่า ถ้าผีหลอกเรา ให้หิ้วคอไปถึงที่พักก่อนแล้วค่อยโยนทิ้ง ไม่อย่างนั้นถึงเวลามืดแล้วเราจะมองอะไรไม่เห็น ตอนเขาหลอกเรานี่จะชัดมาก ชัดเหมือนกับเวลากลางวันเลย"

เถรี
26-05-2017, 17:56
"ในเมื่อโดนบ่อย ๆ ก็เริ่มเคยชิน หัดสังเกตตัวเอง หลังจากนั้นก็จะรู้ว่าอันนี้ผีหลอก เพราะว่าเย็นสันหลังตัวเอง เย็นวาบ ๆ เหมือนกับขนลุกเกรียว ๆ อยู่ตลอดเวลา ถ้าอาการอย่างนั้น ต่อให้เป็นสาวสวยเช้งวับอยู่ตรงหน้า ก็ให้รู้เลยว่าไม่ใช่คนปกติ

เคยมีผู้รู้บอกว่า ผู้รู้ท่านนี้ก็ไม่ค่อยมีตัวมีตนหรอก เขาก็ช่วยหลอกซ้ำ เขาบอกว่าตอนที่ปรากฏตัวต้องดึงเอา ดิน น้ำ ไฟ ลม รอบข้าง ๆ ไปหมด ในเมื่อความอุ่นไม่เหลือ ก็เหลือแต่ความเย็น ธาตุไฟโดนดึงไปแล้ว เราก็เลยรู้สึกขนลุกเกรียว ๆ เหมือนกับหน้าหนาว หนาวจริง ๆ แต่เป็นการหนาวแบบผิดฤดูกาลเท่านั้น"

เถรี
26-05-2017, 18:48
พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นโยมใส่แหวนเงินเยอะ ๆ แล้วนึกถึงคุณมะ คุณมะไปซื้อแหวนจากร้านเครื่องรางของขลัง แล้วเอามาให้ดู บอกว่า “ผมมั่นใจครับว่าไม่ใช่เขาสัตว์” อาตมาดูไปดูมาเสร็จสรรพก็บอกว่า “คุณมะโชคดีมากเลย อันนี้ไม่ใช่เขาสัตว์หรอก เป็นนอแรด” เป็นแหวนเก่า ๆ แล้วเขากลึงนอแรดเป็นหลังเบี้ย ทางร้านเขาก็ไม่รู้ว่าอะไร ส่วนใหญ่คิดว่าเป็นเขาควายเผือก"

เถรี
26-05-2017, 18:49
พระอาจารย์กล่าวว่า “การออกกำลังเพื่อลดน้ำหนัก แรก ๆ เป็นเรื่องที่น่าเบื่อ จนกว่าเราจะพ้นความเมื่อยความปวดไปแล้ว บางคนสงสัยว่าหลวงพ่อไม่ได้ออกกำลังทำไมเดินป่าแข็งกว่าเขาอีก ต้องบอกว่าอยู่ตัวแล้ว สัก ๒๐ นาทีแรกจะปวดเมื่อยเหมือนคนปกตินั่นแหละ หลังจากนั้นพอเครื่องติดแล้วก็ไปได้เป็นวัน ๆ เลย”

เถรี
26-05-2017, 18:52
พระอาจารย์กล่าวว่า “วันก่อนประหลาดมาก มีโยมถามว่าท่านฉันเพลเวลาเท่าไร มีเวลาเพลที่แตกต่างไปจากเดิมด้วยหรือ ?

ตั้งแต่โบร่ำโบราณว่า เวลาเพลก็คือตอนพระตีกลอง ๑๑ โมง มีเวลาไม่เกินเที่ยง แต่ความจริงในบาลีท่านบอกว่า “เอาไม้ปักลงแล้วเงาเลยไป ๒ นิ้วมือ” นั่นเกือบจะบ่าย ๒ โมง แต่คราวนี้ของเรานิยมเลิกเที่ยง ก็ต้องเที่ยงตามกัน

แล้วก็มีบางพวกถามว่าเวลาไปต่างประเทศ ฉันอาหารตามเวลาของเขาหรือของเรา ? ก็ต้องเวลาเขาสิ จะใช้เวลาของเราได้อย่างไร ? แต่ว่าตอนกลับจากอังกฤษ ขึ้นเครื่องตอนบ่าย ๔ โมงของเขา มาถึงบ้านเราเกือบ ๆ จะ ๑๒ โมง แล้วเขาค่อยมาเสิร์ฟอาหาร โอ้พระเจ้า...สรุปว่าอดไปเป็นวัน เพราะเวลาต่างกัน ๕ ชั่วโมง

ตอนนั้นไม่รู้จริง ๆ ว่าขอเขาก่อนเวลาได้ ไปเข้าใจว่าต้องรอเขาเสิร์ฟ อาตมาก็อ่านหนังสือไปเรื่อย หิวก็ช่างมัน คุยกับผีไปเรื่อยเปื่อยเพลิน ๆ ก็ลืมหิวได้เหมือนกัน”

เถรี
27-05-2017, 19:40
พระอาจารย์กล่าวว่า “คนรับราชการ ถ้าหากว่าใช้เครื่องรางรูปลิงหรือหนุมานก็ถือว่าถูกโฉลก เพราะว่าหนุมานรับใช้พระราม ทำงานทุกอย่างไม่เคยพลาด ประสบความสำเร็จทุกเรื่อง เป็นเคล็ดลับอย่างหนึ่งที่โบราณท่านทำเครื่องรางรูปลิงหรือหนุมาน ก็คือให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่เรื่องอื่น ๆ ก็มี ที่พูดเรื่องนี้ก็คือเหมาะกับผู้ที่รับราชการ

แบบเดียวกับพระหลวงปู่ปานที่บอกไว้ว่า “นกทำนา เม่นเดินป่า ปลาค้าขาย ไก่หากิน ครุฑอำนาจ ลิงรับราชการ” แต่ปรากฏว่าท่านทำผงวิเศษเสร็จแล้วท่านก็คลุกรวมกัน เพราะฉะนั้น..พระของหลวงปู่ปานจึงมีอานุภาพเหมือนกันหมดทุกองค์ เพียงแต่ว่าทางด้านบางนกแขวก สมุทรสงคราม เขาเอาพระหลวงปู่ปานไปแขวนแก้ไข้มาลาเรีย เหมาะสำหรับคนบางนกแขวกอย่างเดียว เพราะว่าคนบางนกแขวกแขวนแล้วหาย อาตมาเองติดตัวมาตลอดก็ยังเป็นอยู่เรื่อย เพราะว่ากรรมหนัก

พระหลวงปู่ปานขี่ไก่องค์สวยที่สุดในโลกของอาตมา มีคนประมูลไปแล้ว ได้ทองคำมา ๒๒ บาท คิดดูว่าทอง ๒๒ บาทราคาเท่าไร ? ตีว่าบาทละสองหมื่นก็สี่แสนกว่า แต่องค์ที่เป็นแชมป์ในตลาดเขาขายสองล้าน ของอาตมาสวยกว่าแชมป์จึงถือว่าคุ้ม”

เถรี
27-05-2017, 19:48
พระอาจารย์กล่าวว่า “ก่อนบวชอาตมาเลี้ยงหลานมา ๓๒ คน เลี้ยงจนเข็ดต้องหนีมาบวช พอบวชแล้วก็เลิกเลี้ยงหลาน มาเลี้ยงลูกแทน โดยเฉพาะลูกศิษย์

หลวงพ่อพระธรรมโพธิมงคล เจ้าคณะภาค ๑๔ วัดนิมมานนรดี ท่านบอกว่า “พระเราก็ห่วงอยู่แค่ ๒ ลูกเท่านั้น คือ ลูกศิษย์กับลูกสัตว์ ลูกศิษย์ที่เป็นญาติโยมทั่วไปก็ไม่กระไรนัก ไอ้ลูกศิษย์ที่เขามาฝากให้อยู่ด้วย ต้องเลี้ยงดูอบรมสั่งสอน ก็ต้องห่วงเหมือนกับลูกตัวเอง พวกแมวพวกหมาเลี้ยงเอาไว้เขารักเรา หวังพึ่งพาเรา ถึงเวลาออกไปทำงานข้างนอก ๒-๓ วัน กลับมาไม่มีพระเณรมารับสักคน มีแต่หมาวิ่งมารับ ก็เลยต้องห่วงหมา”

ช่วงนี้หมาที่วัดอาตมาก็อยู่ในช่วงลดน้ำหนัก ที่ลดน้ำหนักเพราะว่าเจ้าอาวาสออกไปหลายวัน ถ้าเจ้าอาวาสอยู่ก็กินดีอยู่ดีหน่อย เจ้าอาวาสไม่อยู่ก็ตามมีตามเกิดที่เขาเลี้ยง อาตมามีนิสัยเสียตรงที่ว่าตัวเองกินอะไรก็ได้ แต่ให้หมากินดีไว้ก่อน

พวกเราคงจะรู้จักขนมปังไส้สังขยาแม่ป๋วยลั้ง รู้ไหมว่าดังระดับประเทศ ? อาตมาซื้อเลี้ยงหมาตั้งแต่สมัยยังอยู่วัดท่าซุง หมากินกันชนิดตายกันไปข้างหนึ่ง ฉะนั้น...หมาที่อาตมาเลี้ยงสมัยวัดท่าซุงแต่ละตัวอ้วนเป็นหมูเลย เจอขนมปังไส้ครีม มีไข่ มีนมเนย ยิ่งถ้าหากวันไหนทำมาใหม่ ๆ นี่แหม...กินเสร็จวิ่งตามกันเป็นฝูง”

เถรี
27-05-2017, 20:00
ถาม : อยากทราบความแตกต่างของอุปสมานุสติ ผลสมาบัติ และอากาสานัญจายตนะ ?
ตอบ : ต่างกันคนละโลกเลย อุปสมานุสติจริง ๆ แล้วเป็นสมถกรรมฐาน แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสามารถทำเป็นวิปัสสนากรรมฐานได้ ก็คือให้เราพิจารณาร่างกายจนเกิดความเบื่อหน่าย ไม่ต้องการ แล้วเอาสภาพจิตของเราเกาะพระนิพพาน

ส่วนในเรื่องของผลสมาบัติ เป็นฌานสมาบัติทั่ว ๆ ไป อย่างเช่นฌาน ๑-๒-๓-๔ เพียงแต่ว่าผู้ที่เข้าถึงฌานนี้ต้องได้มรรคผลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ในเมื่อได้มรรคผลนั้นแล้วจึงได้เรียกเป็นผลสมาบัติ ไม่อย่างนั้นก็เป็นสมาบัติธรรมดา

ส่วนอากาสานัญจายตนฌานนั้นเป็นการที่เราปล่อยวางรูป ไปยึดความว่างของอากาศแทน เพราะเห็นว่าโทษทั้งหลายเกิดจากรูป อากาสานัญจายตนญาณทำได้เต็มที่กำลังเท่ากับฌาน ๔ แต่การที่เห็นทุกข์เห็นโทษจากรูปนี่คล้าย ๆ กับวิปัสสนาญาณ เพียงแต่ว่ายังยึดในส่วนของฌานสมาบัติมากไป เลยไม่ใช่วิปัสสนาญาณ ต่างกันแค่นี้เอง

ถาม : ขั้นตอนของการไปสู่อารมณ์นั้น ?
ตอบ : ขั้นตอนของการไปสู่อารมณ์นั้น ผลสมาบัตินี่ถือว่า “ได้แล้ว” ถ้าอุปสมานุสตินี่เราต้องค่อย ๆ ทำไป บวกกับลมหายใจเข้าออก ถึงจะเป็นฌานสมาบัติได้

ส่วนของอากาสานัญจายตนฌานนั้น ถึงคุณจะไม่ได้อรูปฌานตัวนี้ แต่ต้องได้ฌาน ๔ แล้วจึงจะทำได้ ก็แปลว่า ผลสมาบัติกับอากาสานัญจายตนฌาน มีต้นทุนของตัวเองแล้ว แต่อุปสมานุสตินี่ต้องสร้างต้นทุนให้เกิดก่อน

เถรี
27-05-2017, 20:04
ถาม : ที่ผมปฏิบัติมา ส่วนใหญ่จะได้ไม่เกินฌาน ๒ แต่ว่านาน ๆ ทีบังเอิญได้ถึงฌาน ๔ แล้วเกิดความรู้สึกว่าไม่มีอะไรเลย คล้ายกันไหมครับ ?
ตอบ : คล้ายกันเพราะว่าฌาน ๔ พอถึงตัวเอกัคตารมณ์ เป็นอารมณ์ที่ปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง เป็นการว่างจากกิเลส เพราะอำนาจฌานกดกิเลสดับลงไป

ส่วนอากาสานัญจายตนฌานนั้นยังมีความเข้าใจว่า “แม้แต่รูปฌานนี้ก็ยังเป็นโทษ เพราะมีรูปอยู่” ก็เลยเว้นจากรูปไปจับความว่างของอากาศแทน จะบอกว่าเป็นการเข้าใจผิดของคนโบราณก็ไม่ใช่ เพราะสามารถพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ก็คือเพิ่มความคิด ตัวคิดนี้ก็คือคิดว่า “รูปทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่เป็นโทษ ในเมื่อโทษอาศัยรูปเป็นที่เกิด เราก็ทิ้งรูปเสีย เมื่ออากาศว่าง ไม่มีรูป ก็ไปเกาะอากาศแทน” ด้วยความคิดว่าน่าจะทำให้พ้นได้ แต่ความจริงก็คือพัฒนาขึ้นไปขั้นเดียว ยังไม่พ้นอย่างที่ต้องการ

ถาม : สมมติตอนนั้นถึงฌาน ๔ แล้ว ตอนนั้นมีสติ แล้วก็เอกัคคตาฯ ?
ตอบ : อยู่ที่เรา ถ้าเราสามารถทำจนเกิดความคล่องตัวได้ ที่เรียกว่ามีวสีในการเข้า วสีในการออก ถ้าสามารถทำถึงระดับนั้นได้ แม้แต่อยู่ในสมาธิก็สามารถที่จะคิดพินิจพิจารณาได้

ถาม : เราคิดว่าคล้าย ๆ กัน ?
ตอบ : คล้าย ๆ กัน จะว่าไปแล้วก็คือราคาเท่ากัน เพียงแต่ว่าอากาสานัญจายตนะฯ มีความคิดเพิ่มขึ้นมาหน่อยหนึ่ง

เถรี
27-05-2017, 20:12
ถาม : หลังจากนั้น ช่วงแรกจะเป็นความมืดสนิท ไม่มีอะไรเลย ต่อไปเป็นความสว่างในทุกมิติ สองอย่างนี้ต่างกัน ?
ตอบ : จะว่าไปแล้วช่วงแรกคือเรากำลังเข้าถึง ถ้าเราเข้าถึงจนมีความชำนาญแล้ว พอเข้าไปปุ๊บจะมีความสว่างโพลงอยู่จุดใดจุดหนึ่ง อาจจะอยู่ตรงหน้า อาจจะอยู่บริเวณจมูก ปาก ในอก ส่วนใดส่วนหนึ่งก็ได้ เพียงแต่ว่าความสว่างนี้ไม่ใช่ความสว่างของแสงทั่วไป แต่เป็นความสว่างจากจิต ก็เลยทำให้เรารู้สึกว่าสว่างมาก บางคนก็ไปเพลิดเพลินติดอยู่กับแสงสว่างนั้น กลายเป็นเกิดโทษเพราะว่าปฏิบัติเมื่อไรก็อยากเห็น เมื่อมีความอยากเห็น สภาพจิตฟุ้งซ่านก็ไม่ได้เห็นอีก

ถาม : มีอยู่ครั้งหนึ่งผมนอนหลับอยู่ จิตก็เข้าฌานเอง แล้วก็ทะลุไปอีกจักรวาลหนึ่งซึ่งมีความสว่าง แนว ๆ อวกาศ แต่เป็นอวกาศที่สว่างไปหมดทุกมิติ ทีนี้รู้สึกไม่มีตัวตน เป็นอากาสานัญจายตนะหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ยังไม่ใช่ ต้องบอกว่าหากเหตุปัจจัยลงตัวก็สามารถที่จะทรงฌานเองได้ อย่างเช่นว่าก่อนนอนของเราอาจจะไม่ได้ยึดถืออะไร ปล่อยสบาย ๆ พอดีลงล็อกเลย ก็สามารถทรงฌานของมันเองได้ แต่ขอให้เข้าใจว่าความสว่างของสภาพจิตเรา ขึ้นอยู่กับกำลังของสมาธิ สมาธิยิ่งสูงเท่าไรก็สว่างเท่านั้น แต่ว่าเป็นลักษณะของความสว่างจ้าเฉย ๆ ไม่ได้มีประกายพิเศษในลักษณะของพระอริยะเจ้า เป็นความสว่างคนละประเภทกัน

ถาม : แต่ว่าไม่มีอะไร มีแต่สติ ?
ตอบ : จะไม่มีอะไร เหตุที่ไม่มีอะไรเพราะว่าสภาพจิตไม่มีการปรุงแต่ง ถ้าปรุงเมื่อไรจะรู้สึกทันทีว่า “มี” อันดับแรก คือ มีตัวเราที่เป็นผู้รู้อยู่ ในเมื่อมีตัวเราที่เป็นผู้รู้อยู่ ก็ปรุงต่ออีกหน่อย เดี๋ยวตัวกูของกูจะมา พยายามต่อท้ายด้วยวิปัสสนาญาณ พิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา พอสภาพจิตปล่อยวางได้ ไม่เอาร่างกายจริง ๆ ก็สบายแล้ว

เถรี
27-05-2017, 20:18
ถาม : ควรพิจารณาวิปัสสนาญาณเมื่อใด ?
ตอบ : ถอนสภาพจิตออกมาให้อยู่ในระดับที่พิจารณาได้ เพราะถ้าไม่ใช่คล่องตัวจริง ๆ จะพิจารณาไม่ได้ ก็ต้องคลายลงในระดับที่เราพิจารณาได้ คือไม่เกินปฐมฌาน

ถาม : พอเข้าถึงฌานสี่แล้วกลับมาพิจารณาได้ดีกว่าหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : พอทรงฌาน ๔ สภาพจิตจะว่างจาก รัก โลภ โกรธ หลง สภาพจิตของเราจะแหลมคมว่องไว สามารถที่จะรู้เห็นได้ชัดเจน ดังนั้น...จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทรงเป็นฌาน แล้วค่อยคลายออกมาพิจารณาเพื่อให้จิตที่ฟุ้งซ่านได้สงบลงชั่วคราว ในเมื่อตะกอนกิเลสสงบลงชั่วคราว ก็เหมือนกับฝุ่น ถ้าฝุ่นตลบอยู่ก็มองอะไรไม่เห็น ต้องให้ฝุ่นจางลงนิดหนึ่งก่อนแล้วเราค่อยพิจารณา

เถรี
27-05-2017, 20:22
ถาม : ความสว่างที่อธิบายข้างต้นยึดไม่ได้ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรให้ยึดได้ แม้แต่พระนิพพานก็ยึดไม่ได้ ตราบใดที่ยึดก็แปลว่าไปไหนไม่ได้

ตอนแรกยึดไว้ก่อน หลังจากยึดจนเต็มที่แล้วก็จะปล่อยของเขาเอง ที่บอกเพื่อให้รู้ว่าไม่ใช่เจออะไรก็ยึดไปหมด ก็แปลว่าหากเรายึดในเรื่องของความดีก็ยึดไปเถอะ แต่พอดีถึงที่สุดแล้ว แม้แต่ดีก็ต้องปล่อย

ถาม : บางทีก็คิดว่าเราปล่อยความดี แปลว่า เราเลวใช่ไหม ?
ตอบ : ปล่อยความดีไม่ได้แปลว่าไม่ทำความดี ทำความดีเป็นปกติแต่ไม่ได้ติดในดี เคยใช้คำพูดประมาณว่า “รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว”

เถรี
27-05-2017, 20:49
ถาม : ธรรมาภิสมัยกับธรรมจักษุ มีเอกลักษณ์ต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : มีทั้งคู่ แต่คนแปลตีความอย่างนั้น ธรรมาภิสมัยถ้าว่าตามศัพท์ก็คือการเห็นธรรมในระยะเวลาที่พิเศษ ที่แตกต่าง ส่วนธรรมจักษุคือมีดวงตาเห็นธรรม ดวงตาเห็นธรรมนี่น่าจะครอบคลุมได้ทุกระดับ

เถรี
27-05-2017, 20:52
มีกลุ่มเด็กแว้นบิดรถเสียงดังผ่านหน้าบ้านไป "แม่เจ้าประคุณเอ๊ย....ไม่ได้นึกถึงพ่อถึงแม่เลย...บิดรถกันขนาดนี้ พวกนี้เป็นผู้มีพระคุณของแต่ละวัด ลงโค้งไหนวัดนั้นก็ได้สวด...!

พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสว่า สติยิ่งมีมากยิ่งดี แต่อาตมาเห็นว่าถ้าสติมากเกินปัญญาไม่ค่อยดี ขออภัย...ไม่ใช่พระพุทธเจ้าตรัสนะ คนรุ่นหลังเขาตีความเอาเองว่าสติยิ่งมีมากยิ่งดี อาตมาเห็นว่าถ้าสติมากเกินไปก็มัวแต่จด ๆ จ้อง ๆ มัวแต่ระมัดระวังไม่กล้าทำอะไร ถ้าปัญญามากเกินไปก็บุ่มบ่ามโฉ่งฉ่าง รีบร้อนทำการซึ่งอาจจะพลาดได้

ฉะนั้น...สติกับปัญญาควรที่จะไปเท่า ๆ กัน แต่ว่าบรรดาท่านทั้งหลายที่ออกมาซิ่ง ออกมาแว้นกัน สติน้อยกว่าปัญญา ในเมื่อสติน้อยกว่าปัญญา ก็ทำในสิ่งที่ตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อนภายหลังแบบนี้

เถรี
28-05-2017, 20:27
ถาม : คนที่อยู่ในศีลในธรรม ที่พอจะรู้ดีชั่ว เวลาทำชั่วนี่เพราะไม่มีสติหรือคะ?
ตอบ : ต้องมี...เพียงสติน้อยกว่าปัญญา ทำให้ขาดการนึกคิดไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะทำลงไป ฉะนั้น..ถ้าคนไม่มีสติทำอะไรไม่ได้หรอก ไม่มีสติก็ยืนเอ๋อเท่านั้น

ถาม : อย่างนั้นก็เท่ากับว่าทำไปโดยเจตนา ?
ตอบ : กรรมก็หนักว่าปกติเพราะว่าทำโดยเจตนา แบบเดียวกับนายหมูหยองที่บอกว่า การฆ่าคนก็เหมือนกับฆ่ามดฆ่าปลา..!

ถาม : แล้วอย่างทหารที่ทำไปโดยหน้าที่ กรรมจะเบาลงไหมคะ ?
ตอบ : เราต้องดูว่าสิ่งที่ทำนั้นเพื่อประโยชน์ของใคร ปล้นทรัพย์นั่นเพื่อตัวเอง แต่ทหารนั้นเพื่อป้องกันประเทศชาติ ถ้าวางกำลังใจถูกว่า นอกจากป้องกันประเทศชาติแล้ว ยังรักษาพระศาสนาด้วย ตัวที่เป็นกุศลก็ยิ่งมีมากขึ้นมาหักล้าง แต่ว่าจริง ๆ แล้วทหารทำตามหน้าที่ ไม่มีความโกรธแค้น สภาพจิตที่มืดบอดมีน้อยกว่า โทษจึงเบากว่า

เถรี
28-05-2017, 21:04
ถาม : นั่งสมาธิแล้วก็มองภาพพระ ทำประจำ จนรู้สึกว่าตัวแข็ง ?
ตอบ : ทำต่อไป ถ้าแข็งเป็นหินได้ยิ่งดี ภาพพระจะชัดขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าตอนนั้นแสดงว่าสมาธิทรงตัวมากขึ้น

ถาม : สัมปะจิตฉามิกับสัมปฏิจฉามิ บทไหน....(ไม่ชัด).... ?
ตอบ : เขาเรียกว่ากลัวดี...เลือกเอาเอง อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ จับภาพพระให้คล่องตัว ถึงเวลาก็ใช้ได้เหมือนกัน จะเอาสัมปะจิตฉามิ สัมปฏิจฉามิ โสตัตตะภิญา อะไรก็ได้ แต่ให้ทำอย่างเดียว พอเราทำอย่างเดียวจนได้แล้ว ต่อไปอย่างอื่นก็ง่ายหมด ถ้าเราทำหลายอย่าง อย่างแรกก็ยังไม่ได้ อย่างหลังก็ยังไม่ดี ครึ่ง ๆ กลาง ๆ เอาดีไม่ได้สักอย่าง

เถรี
28-05-2017, 21:11
มีโยมมาจากนครพนม "นครพนมเป็นเมืองพุทธสองฝั่งโขง พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชบูรณะพระธาตุพนม สร้างพระธาตุศรีสองรัก

สมัยก่อนไม่มีเขตแดน คน ๒ ฝั่งโขงเป็นพี่น้องกันหมด สมัยนี้พอฝั่งโน้นข้ามมาก็เรียกเขาว่าลาว พอฝั่งนี้ข้ามไปเขาก็เรียกว่าไทย พอฝั่งนี้เข้ากรุงเทพฯ มาดันไปเรียกเขาว่าเป็นลาว ตกลงว่าเป็นอะไรกันแน่ ? สมัยก่อนเขาเป็นพี่น้องกันหมด พอมาสมัยนี้มีประเทศมีเขตแดนให้ยุ่งยากไปหมด

พระพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศลาวผ่านทางเขมร เจ้าฟ้างุ้มขึ้นครองราชย์ ได้พระนางคำแก้วราชธิดาเขมรเป็นมเหสี พระนางเห็นว่าประเทศลาวนับถือผี ก็เลยอยากจะให้นับถือพระ ส่งข่าวไปทางพ่อให้ส่งพระมหาปาสามาณเถระมาพร้อมกับพระบาง เวลาแห่มาปรากฏว่าพระบางท่านอยากอยู่แค่หลวงพระบาง ไม่ยอมไปต่อ

ประเทศลาวเดิมนับถือผีเชื้อ ผีมดผีเม็ง แล้วก็นับถือพญานาค งูหลวง เงือกหลวง คราวนี้พอได้พุทธศาสนาเข้าไปก็เจริญก้าวหน้า กษัตริย์ยุคหลัง ๆ หลายองค์ก็เป็นธรรมิกราช ทำให้ประเทศลาวมีความเจริญมั่นคง จนมาถึงยุคเจ้าชายหน่อแก้วโกเมน บุเรงนองนอกจากตีเชียงใหม่แล้วยังตีล้านช้างด้วย ยึดไปจนแทบจะหมด เอาตัวเจ้าหน่อแก้วโกเมนไปเป็นตัวประกันที่พม่า กว่าจะกู้ชาติกลับมาได้ก็ลำบาก แล้วยังมาเสียหายหนักในยุคที่รบกับเวียดกง รบกับอเมริกัน เขาบอกว่าแค่จำนวนระเบิดที่ทิ้งลงไปที่ทุ่งไหหินก็มีถึงห้าแสนตัน..!"

เถรี
28-05-2017, 21:49
ถาม : (ไปลพบุรี)
ตอบ : ไปลพบุรีต้องไปกลัวใคร ? ถ้าไปลพบุรีก็ไปกราบเจ้าพ่อพระกาฬ เอาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบท่านขอเป็นลูกเป็นหลาน ขอให้ท่านดูแลด้วย มีระดับท้าวมหาพรหมช่วยดูแล ใครเขาจะกล้ามายุ่งกับเรา ศาลหลักเมืองกาญจนบุรีกับศาลเจ้าพ่อพระกาฬลพบุรีนี่เป็นพรหมนะ ศาลพระกาฬลพบุรีนั่นใหญ่บึ้มเลย

ถาม : ทำไมลพบุรีจึงมีลิงเยอะ ?
ตอบ : เขาเชื่อว่าเป็นลูกหลานของพญากากวานร ที่ช่วยท่านแม่จามเทวีรบจนหริภุญชัยไม่มีศัตรูนั่นแหละ เขาบอกว่าลิงพวกที่อยู่นั้นก็คือลูกหลานของท่าน

เถรี
28-05-2017, 22:18
พระอาจารย์กล่าวว่า “คราวหน้าการสร้างวัตถุมงคล สั่งเท่าไรให้ทำเท่านั้น ถ้าวัสดุเหลือให้นำกลับมา ถ้าโรงงานทะลึ่งปั๊มเกินก็ให้ยุบรวมแล้วเอากลับมา ไม่ต้องจ่ายค่าปั๊มให้ ไม่อย่างนั้นแล้วโรงงานมักจะมักง่าย เห็นวัสดุเหลือก็ทำไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้สนใจว่าเราสั่งเท่าไร”

เถรี
28-05-2017, 22:21
ถาม : เวลามีคนแช่ง ถ้าเราบอกว่าไม่รับ ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่รับแล้วคิดไหม ? ถ้าคิดก็แปลว่ารับไปแล้ว

เถรี
28-05-2017, 22:24
ถาม : เวลาจับภาพพระ จับในอกบ้าง จับที่อื่นบ้าง ไม่รู้จะไปต่ออย่างไรครับ อยากไปต่อ ?
ตอบ : อยากไปต่อ ก็เพิ่มขึ้นอีกองค์หนึ่ง ไว้ในอก ๑ องค์ ไว้บนหัว ๑ องค์ หายใจเข้าองค์บนหัวเลื่อนไปในอก องค์ในอกเลื่อนไปบนหัว หายใจออกองค์บนหัวเลื่อนไปในอก องค์ในอกเลื่อนไปบนหัว สลับกันไปเรื่อย ถ้ารู้สึกว่าชัดเจนดีแล้วก็เพิ่มไปเรื่อย ๆ ดูว่าจะได้กี่องค์..!

ถาม : ควรจะสักกี่องค์ ?
ตอบ : ควรจะได้สัก ๑๐๘ องค์พร้อม ๆ กัน...! แต่ต้องชัดเจนเท่ากัน เพราะฉะนั้น...เพิ่มไปเป็น ๒ องค์ก่อน ส่วนอีก ๑๐๖ องค์เก็บไว้รอเวลา

ถาม : พระอาจารย์เคยบอกว่า อาจจะเห็นไม่ชัดเจน ?
ตอบ : ขอให้มีไว้ก่อน หลังจากนั้นที่ชำนาญแล้วจะกำหนดได้มั่นคงขึ้น ชัดเจนขึ้น คราวนี้จึงจะเป็นแบบที่เราต้องการ

เถรี
28-05-2017, 22:31
พระอาจารย์กล่าวว่า “อาจารย์บ๊ะท่านบอกว่า อาตมาตรงเวลาอย่าบอกใครเลย ท่านบอกว่า “เดี๋ยวจะหาว่าโกหก ก็เลยต้องย่องไปดูจริง ๆ” ตอนงานเป่ายันต์ฯ ท่านบอกถึงเวลาปุ๊บอาตมาไม่รอใคร เลย

ก็ไม่รู้ว่าจะรอใคร เพราะว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตอาตมาก็คือพระพุทธเจ้า ในเมื่อเวลาเป็นของพระก็ต้องให้เวลานั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ใครจะมาไม่มานี่ไม่ต้องรอแล้ว ไม่มีใครสำคัญกว่านั้นอีกแล้ว”

เถรี
28-05-2017, 22:32
:4672615: เก็บตกเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๐ หมดแล้วค่ะ :4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และเผือกน้อย