PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนเมษายน ๒๕๖๐


เถรี
09-04-2017, 19:05
ถาม : บุคคลที่ยิ่งใหญ่แบบเจงกีสข่าน ถือว่าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เป็น...กติกาของการเป็นพระเจ้าจักรพรรดิต้องประกอบด้วยแก้ว ๗ ประการ

ถาม : เจงกีสข่าน เมื่อเขาตายไปแล้ว ตอนนี้ไปอยู่ที่ภพภูมิไหนครับ ?
ตอบ : ต้องไปถามเจงกีสข่านเอง อาตมาได้รับคำสั่งจากหลวงพ่อวัดท่าซุง ห้ามบอกว่าคนตายแล้วไปไหน

เถรี
09-04-2017, 19:06
ถาม : ถ้าถือพรหมจรรย์อย่างอ่อนต้องรักษาศีล ๕ หรือ ๘ ครับ ?
ตอบ : ศีล ๕ ก็พอ รักษาศีลอุโบสถเป็นบางเวลา ถ้าศีล ๘ ก็พรหมจรรย์อย่างแรง ไม่ใช่อย่างอ่อนแล้ว

ถาม : แล้วต้องควบกรรมบถ ๑๐ ด้วยไหมครับพระอาจารย์ ?
ตอบ : ถ้าควบก็จะเริ่มกลายเป็นไม่อ่อนแล้ว

เถรี
09-04-2017, 19:07
ถาม : เวลาไปสถานที่ต่าง ๆ หลายครั้งจะรู้สึกว่าตนเองเคยมา เคยอยู่มาก่อน จะเป็นบ่อยจนรู้สึกรำคาญ อยากทราบว่าความรู้สึกแบบนี้คืออะไร ?
ตอบ : คือ ความคุ้นเคย

ถาม : แล้วควรจะทำอย่างไร ?
ตอบ : ปล่อยให้เป็นต่อไป

ถาม : มีวิธีใดในการจะรู้ว่าเรื่องรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้คิดปรุงแต่ง หรือมารมาหลอก ?
ตอบ : ไปฝึกทิพจักขุญาณให้สำเร็จ แล้วพยายามใช้คำว่า "ไม่เชื่อ" ให้มากที่สุด

เถรี
09-04-2017, 19:09
ถาม : พี่ผู้หญิงปฏิบัติธรรมด้วยกันมา เล่าถึงการเทศนาของพระรูปหนึ่งว่าซาบซึ้งจับใจ ทำให้ข้าพเจ้าสนใจมาก จึงสอบถามไปว่าท่านเทศน์ว่าอย่างไรบ้าง ? พี่คนนี้ชะงักหยุดนึก แต่กลายเป็นว่านึกอย่างไรก็ไม่ออก ไม่สามารถพูดเล่าเนื้อหาคำเทศนาได้เลย ตอนที่ฟังเทศน์จะนั่งสมาธิ พี่คนนี้จะนั่งได้นิ่ง นาน ไม่ได้หลับ ทำไมพี่คนนี้จึงจดจำเนื้อหาธรรมะไม่ได้ ทั้งที่ประทับใจในการฟังเทศน์มาก ?
ตอบ : เป็นธรรมส่วนละเอียดที่เกิดขึ้นในใจ ถือเป็นปัจจัตตัง อธิบายเป็นคำพูดและตัวอักษรไม่ได้

เถรี
09-04-2017, 19:10
ถาม : เนื่องจากชีวิตคนทำงานปัจจุบันต้องอาศัยการใช้อินเทอร์เน็ต , สื่อ Social ทางมือถือ เราควรใช้อย่างไรจึงเป็นประโยชน์ทั้งต่อจิตใจ เป็นการสร้างบุญบารมี ?
ตอบ : ใช้ในการค้นหาและศึกษาธรรมะ

ถาม : และควรกำหนดทำจิตอย่างไรไม่ให้ฟุ้งซ่านปรุงแต่ง ในกรณีต้องเจออาหารกิเลส และไม่ให้จิตเก็บกิเลสจากสื่อพวกนี้ ?
ตอบ : อย่ารับเข้ามา

ถาม : เห็นเพื่อนโพสต์รูปส้มตำตอนสี่ทุ่มแล้วรู้สึกหิว ?
ตอบ : แปลว่าปรุงแต่งไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้รับเข้าไปเฉย ๆ แต่กินไปแล้วด้วย

เถรี
09-04-2017, 19:13
ถาม : เนื่องจากว่าทุก ๆ วันผมจะใส่คาถาสังวาลย์ ๓ สายก่อนออกจากบ้าน แต่ทุกครั้งก่อนที่จะใส่คาถา ผมจะมีอาการเรอหลาย ๆ ครั้ง ทั้ง ๆ ที่ถ้าไม่ใส่คาถาจะไม่มีการเรอ อยากทราบว่าเป็นเพราะอะไรครับ ?
ตอบ : แปลว่าสิ่งที่ทำนั้นมีผล

ถาม : มีอย่างไรคะ ?
ตอบ : อยากรู้ก็ไปศึกษาเอาว่าสังวาลย์ ๓ สายเขาเอาไว้ใช้ทำอะไร

เถรี
09-04-2017, 19:14
ถาม : เวลาผมอยู่ใกล้ศาลเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทีไร ผมจะเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างภายใน ออกมาต้านกับสิ่งเหล่านั้นอย่างบอกไม่ถูกเลยครับ เคยปรึกษาแม่ชีท่านหนึ่ง ท่านบอกว่าที่ผมมีอยู่นั้นยิ่งกว่ามีองค์อีก อยากเรียนสอบถามว่าอาการที่ผมเป็นนั้นคืออะไร ? มีข้อดีข้อเสียอย่างไรครับ ?
ตอบ : แล้วทำไมไม่ถามแม่ชีให้จบ ? ไปถามคนหนึ่งไม่จบ แล้วก็มาถามอีกคน เดี๋ยวก็ไปถามอีกคน

เถรี
09-04-2017, 19:16
ถาม : ถ้าผู้หญิงมีสามีเจ้าชู้ และตัวผู้หญิงเองก็ทั้งเหงาทั้งเศร้า จึงตกลงกับสามีว่า ถ้าเขาไม่เลิกเจ้าชู้ ก็จะขอมีอะไรกับชายอื่นบ้าง ซึ่งสามีก็ยินยอมตามนั้น เช่นนี้ผู้หญิงจะเป็นบาปผิดศีลหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้าสามีอนุญาตก็ไม่ผิด แต่โปรดระวัง...คนที่มายุ่งกับเรานั้นมีเมียหรือเปล่า ? ถ้ามีก็แปลว่าผิดอีก

เถรี
09-04-2017, 19:18
ถาม : หลายปีก่อนผมเคยคิดแย่งแฟนคนอื่น ทำเพื่อความสะใจด้วย ใจมืดดำมาก ตอนหลังผ่านมาเป็นปีคิดได้ เลยวางมือและกล่าวขอโทษ อย่างไรก็ตามยังรู้สึกถึงความอึดอัดทึบหัว คิดว่าเป็นสิ่งที่เราสะสมระหว่างที่คิดชั่ว ๆ แน่ จะแก้อย่างไรครับ ผมต้องเจอวิบากอะไรในอนาคตอีกครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องห่วง วิบากกรรมจากการละเมิดศีลข้อที่สาม ต่อไปในภายภาคหน้าไม่มีใครที่จะเชื่อฟังเรา พูดให้ตายลูกน้องก็ไม่เชื่อถือ

ถาม : มีทางแก้ไหมคะ ?
ตอบ : มี...พยายามเกิดใหม่หลาย ๆ ครั้ง แล้วรักษาศีลให้บริสุทธิ์ อย่าไปทำเช่นนั้นอีก..!

เถรี
09-04-2017, 19:20
ถาม : การสนทนาผ่านอินเทอร์เน็ต คุยกันผ่านโปรแกรมสื่อสารทั้งหลาย สิ่งที่คุยกันโดยไม่ได้ใช้วาจานี้เป็นการทำกรรมแบบไหนครับ ?
ตอบ : เป็นมโนกรรมและกายกรรม

เถรี
09-04-2017, 19:21
ถาม : การคิดไม่ดีกับพ่อแม่ ทำให้การปฏิบัติธรรมไม่ก้าวหน้าหรือไม่ ?
ตอบ : คิดไม่ดี แปลว่า จิตใจเศร้าหมอง คนที่จิตใจเศร้าหมองควรจะก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมหรือไม่ก็คิดเอาเอง

เถรี
09-04-2017, 19:34
ถาม : การทำโทษลูกด้วยการตีนั้นบาปหรือไม่ครับ ? ถ้าบาปเราจะสอนเขาอย่างไร
ตอบ : ถ้าตีเพื่อสั่งสอน ตีด้วยกำลังใจที่เป็นอุเบกขา หรือตีด้วยเมตตา ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าตีเพื่อระบายอารมณ์ ก็มีโทษเหมือนกัน

ถาม : เราควรสอนเขาอย่างไร เพราะเขาไม่ยอมเชื่อฟังเราเลย ?
ตอบ : ก็อย่าไปละเมิดศีลข้อที่สามอีกก็แล้วกัน บอกแล้วว่าการละเมิดศีลข้อที่สามทำให้ไม่มีใครฟังเรา

ถาม : การดุว่าเขาแบบเสียงดังเหมือนขู่บ่อย ๆ นั้นจะเป็นการสะสมโทสะของเราหรือไม่ ?
ตอบ : นอกจากสะสมโทสะแล้ว ยังทำให้ลูกตายด้านอีกด้วย เพราะรู้ว่าแม่พูดไปอย่างนั้นเอง

เถรี
09-04-2017, 19:38
ถาม : ลูกชายของดิฉันใกล้ ๓ ขวบแล้ว เขามีนิสัยขี้กลัว เช่น กลัวใบไม้ กลัวหนังสือที่โรงเรียน กลัวแบบที่ไม่น่าจะต้องกลัว ไม่ทราบว่าจะแก้ไขนิสัยนี้อย่างไรดีคะ ?
ตอบ : เอาไปปล่อยไว้ในป่าช้าคนเดียวตอนกลางคืนดึก ๆ...!

เถรี
09-04-2017, 19:48
ถาม : อยากทราบว่าเวลาคนอื่นขอยืมเงินเรา เราให้เขายืม แต่พอเรามีปัญหา แม้เงินเราเองเราขอทวงคืน เขาก็บอกจะผ่อนให้ แต่ผ่อนได้เดือนเดียวก็ยังไม่ให้อีก เลยมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อเขา จะมีวิธีทำใจอย่างไรที่จะไม่คิดร้ายกับเขา และยังอยากได้เงินคืน ถ้าไม่ได้คืนจะทำใจอย่างไร ไม่ให้เป็นทุกข์ ?

ตอบ : ให้เงินใครยืมให้ทำใจว่า เงินตกน้ำไปแล้ว ถ้าได้คืนถือว่าเป็นกำไร ถ้าไม่ได้คืนก็เสมอตัว

จำไว้ว่านิสัยอย่างพวกเรา "หน้าไม่ด้าน ใจไม่ดำ อย่าไปให้เขายืมเงิน" ถึงเวลายืมเงินคนอื่นตัวเองก็อาย พอยืมได้มาก็ตะเกียกตะกายขวนขวายไปคืนเขา หาความสุขไม่ได้ พอคนอื่นยืมเราก็ดันไม่กล้าทวงอีก โดนทั้งขึ้นทั้งล่องเลย เพราะฉะนั้น...ท่องเอาไว้ประจำใจเลยว่า "อย่าเป็นหนี้ใคร และอย่าให้ใครเป็นหนี้"

เถรี
09-04-2017, 19:52
ถาม : ผมสามารถบริจาคเงินแก่ผู้เดือดร้อนได้จำนวนมากโดยไม่เสียดาย แต่จะเสียดายมากถ้าต้องจ่ายเงินแค่สิบบาทซื้อขนมมาเลี้ยงเพื่อนร่วมงาน ช่วยแนะอุบายแก้ไขความตระหนี่ในเรื่องนี้ให้ผมด้วยครับ ?
ตอบ : ในเมื่อบริจาคเพื่อคนหมู่มากไม่เป็นไร ก็เลี้ยงคนทั้งบริษัทไปเลย ไม่ใช่เลี้ยงแค่สิบบาท

เถรี
09-04-2017, 19:58
ถาม : ได้รับพระแจกจากงานบุญต่าง ๆ ทั้งพระผง พระเหรียญ มีเก็บไว้จำนวนเยอะมากตั้งแต่รุ่นพ่อแม่มาเรื่อย ๆ สามารถนำไปบรรจุใต้ฐานพระเวลาที่มีคนสร้างพระพุทธรูปได้หรือไม่ ? จะเป็นการปรามาสหรือไม่คะ (พ่อแม่อนุญาตแล้ว)
ตอบ : ปกติเขาก็บรรจุเอาไว้ในองค์ใหญ่ แต่ถ้าอยากได้ประโยชน์ให้บริจาคให้ตัวเล็กไปออกเว็บ...!

เถรี
09-04-2017, 20:07
ถาม : การอุทิศบุญกุศลให้กับผีหรือเทวดาที่สามารถรับบุญได้ ผีหรือเทวดาตนนั้นโมทนาแล้วจะได้รับบุญทันที ผมเลยสงสัยว่าถ้ามีบุคคลเป็น ๆ อยากได้บุญหนักมาก ๆ เขาไปขอบุญจากคนที่ทำบุญมาก ๆ ให้เขาอุทิศบุญตั้งแต่ชาติแรกจนถึงปัจจุบันให้ อยากทราบว่าคนที่ขอจะได้บุญไหมครับ ทั้ง ๆ ที่เขามีชีวิตอยู่แล้วบุคคลคนนั้นเขาไม่ได้อยู่ตอนที่คน ๆ นั้นทำบุญ ?

ตอบ : ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า การโมทนาบุญนั้นคืออะไร การโมทนาบุญก็คือ ในขณะที่เราไม่มีโอกาสทำบุญนั้นแล้วคนอื่นมีโอกาส เราเองพลอยยินดีที่เห็นเขามีโอกาสได้ทำบุญนั้น การพลอยยินดีที่เห็นคนอื่นทำความดีนั่นแหละ เรียกว่าปัตตานุโมทนามัย

แต่เราเองตะเกียกตะกายอยากได้บุญคนอื่น เป็นโลภะเจตนา สมควรจะได้บุญหรือไม่ ?

ในส่วนของปัตตานุโมทนามัย ต้องเข้าใจให้ชัดเจนว่า เราต้องอาศัยคนอื่นจึงจะได้ในส่วนบุญนั้น แปลว่าผลบุญต้องเกิดกับเจ้าของบุญเดิมก่อน เราจึงจะได้ตามไป

ดังนั้น...ไม่ว่าจะผีหรือเทวดาอะไรก็ตาม ถ้าตั้งใจโมทนาบุญของเรา ถ้าผลบุญยังไม่เกิดกับเราเพียงใด เขาก็ยังไม่ได้เหมือนกัน

เถรี
09-04-2017, 20:10
ถาม : อยากทราบวิธีฝึกมโนมยิทธิในระดับที่สามารถทายว่า ตอนนี้เป็นเวลากี่โมงของพรุ่งนี้ จะมีเหตุการณ์อะไรสำคัญจะเกิดกับเรา ทำอย่างไรหรือครับ ?
ตอบ : ซ้อม ซ้อม ซ้อม ซ้อม เช้ายันค่ำทุกวัน สัก ๓ ปี ๕ ปี เดี๋ยวก็ได้ดีไปเอง

ถาม : ผมลองภาวนา นะมะพะธะ ๓-๔ ครั้ง แล้วทำนายเวลาดู ผมทายผิดทุกที
ตอบ : มารดามึงเถอะ..! ภาวนา ๓-๔ ครั้ง...! เขาทำกัน ๘ ปี ๑๐ ปียังไม่ได้เลย สงสัยเป็นอัจฉริยะมาเกิด ภาวนา ๓-๔ ครั้งแล้วจะทำนายได้ถูก

เถรี
09-04-2017, 20:11
ถาม : ผมอ่านมาเกี่ยวกับเรื่องครอบครัว สามีเป็นกระหังและเมียเป็นกระสือของหลวงพ่อ แล้วผมไปสงสัยว่าคนที่ไปรับจิตวิญญาณจากพวกนี้มา เขาอยากหายจากการเป็นผีกระหังหรือกระสือ จะเป็นไปได้ไหมครับ ?
ตอบ : อยากหายทุกคนแหละ แต่เป็นไปไม่ได้ เพราะกรรมผูกเอาไว้อย่างนั้น

ถาม : ผมไปสงสัยตรงที่ว่าผีบอกว่า "ถ้าท่านเป็นคน ผมก็จับกินแล้ว" ผมสงสัยว่าถ้าสมมติว่าผมไปอยู่ในสถานการณ์เดียวกับหลวงพ่อ แล้วผีจะจับผมกิน ผมในฐานะฆราวาสควรทำอย่างไรถึงจะรอดได้ครับ ?
ตอบ : นอนให้กินแต่โดยดี ไม่ต้องไปหวังรอดหรอก วิ่งหนีไปก็เหนื่อยเปล่า เพราะเขาเร็วกว่า แข็งแรงกว่า

เถรี
09-04-2017, 20:14
ถาม : พวกผีปอบ ผีกระสือ หรืออสุรกายต่าง ๆ เช่น รากษส เขาสามารถโมทนาบุญได้เปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจเขาเปิดรับ ยินดีในบุญนั้น เขาก็โมทนาได้ แต่ถ้ามืดบอดเกินไป บางทีเราให้ เขายังปฏิเสธเลย

ถาม : ผมอ่านมาว่าพวกผีปอบ ผีกระสือ สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านมาก เช่น ไปกินไก่ชาวบ้าน หรือกินคนแก่ที่ใกล้จะตาย ถ้าผมอยากปราบพวกผีพวกนี้ ต้องเก่งขนาดทรงอภิญญาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าได้ก็ดี ถ้าไม่ได้อย่างน้อย ๆ ก็ต้องทรงฌานให้คล่องตัว ไม่อย่างนั้นผีไม่เกรงใจหรอก

ถาม : ถ้าทำให้พวกผีพวกนี้มารักษาศีล ๕ จะเป็นไปได้ไหมครับ ?
ตอบ : น่าจะเป็นไปได้สัก ๐.๐๐๑ เปอร์เซ็นต์ ประมาณว่าไปขอร้องให้เสือกินหญ้า..!

เถรี
09-04-2017, 20:18
ถาม : บุคคลที่มีอารมณ์จิตอยู่ในขั้นโคตรภูญาณของพระโสดาบัน ตั้งแต่ขั้นต้นไปจนถึงขั้นปลาย ที่ยังไม่ได้เป็นพระโสดาปัตติผล เมื่อเข้ามาบวชเป็นพระ สามารถทำอาบัติปาราชิกหรืออาบัติสังฆาทิเสสได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : แม้แต่อาบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างปาจิตตีย์หรือทุกกฎท่านยังไม่ทำเลย จะไปทำอะไรกับอาบัติหนัก บุคคลที่เข้าถึงตรงจุดนั้นแล้ว จะมีความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ยิ่งกว่าชีวิต ยอมตัวตายดีกว่าศีลขาด

เถรี
09-04-2017, 20:25
ถาม : นักบวชที่ละเมิดอาบัติปาราชิกและอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว สามารถปฏิบัติธรรมไปจนถึงขั้นโคตรภูญาณของพระโสดาบันหรือขั้นโสดาปัตติมรรค ที่เป็นหนึ่งในอริยบุคคลแปดจำพวกได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจของเขาไม่ได้เศร้าหมองด้วยอาบัติหนักที่ตัวเองทำไป สามารถปฏิบัติธรรมได้ก็มีสิทธิ์ที่จะเข้าถึง แต่ส่วนใหญ่ร้อยละร้อยไปเศร้าหมองกับความชั่วที่ตัวเองทำ โอกาสที่จะปฏิบัติให้ได้ดีจึงเป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้เลย

ถาม : สามารถมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้...ก็นึกได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว ไม่สามารถทรงได้ตลอด

ถาม : สามารถสร้างสมาบัติแปดได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจของเขาสามารถจะยึดเกาะในส่วนของความดีได้โดยไม่เศร้าหมอง ก็ทำได้

เถรี
09-04-2017, 20:27
ถาม : ภิกษุนำแผ่นเหล็กของสงฆ์ มาตัดเพื่อใช้ในงานของสงฆ์ หรืองานส่วนรวมของวัด โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตก่อน จะเป็นอาบัติปาราชิกไหมครับ ?
ตอบ : ควรที่จะให้อนุญาตก่อน แต่ถึงไม่ได้อนุญาต เราไม่ได้ลักขโมย ไม่ได้เจตนาเอาเป็นของตัวเอง ตั้งใจทำเป็นงานส่วนรวม ไม่ถือว่าต้องอาบัติปาราชิก แต่ถือว่าผิดมารยาทมาก โดยเฉพาะตัวเองเป็นนักบวช ถ้าสภาพจิตหยาบอย่างนั้น โอกาสที่จะละเมิดอาบัติหนักก็มีมาก

เถรี
09-04-2017, 20:38
ถาม : สวรรค์ชั้นนิมมานรดีสามารถเนรมิตอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ดูท่าจะเนรมิตพระนิพพานไม่ได้..!

ถาม : เมื่อท่านเหล่านั้นทำการเนรมิตแล้ว พวกท่านเหล่านั้นจะใช้สิ่งที่เนรมิตนั้นเอง หรือว่าให้คนอื่นใช้ครับ ? เช่น เนรมิตอาหารชั้นเลิศ หรือเนรมิตผู้หญิงสวย ๆ
ตอบ : นั่นสันดานของเอ็งแล้ว...!

ส่วนใหญ่ท่านในสวรรค์ชั้นนิมมานรดีจะได้ฤทธิ์ได้อภิญญา ชอบเนรมิตสิ่งอื่นขึ้นมา บุคคลที่จะเสวยสุขจากสิ่งที่เนรมิตนั้นเป็นสวรรค์ชั้นที่สูงกว่าขึ้นไป ก็คือปรนิมมิตวสวัตตี แต่ตัวคนทำเอง ในเมื่อทำได้ ก็ย่อมมีส่วนในการเสวยสุขในสิ่งที่ตนเองทำด้วย เพียงแต่ต้องการหรือไม่เท่านั้น

เถรี
09-04-2017, 20:41
ถาม : ความสุขของมนุษย์คือการกินและการมีเซ็กซ์ แล้วความสุขของเทวดาคืออะไรครับ ?
ตอบ : ก็คือความสุขที่ได้อยู่กับกามคุณ ๕ อย่างละเอียดกว่ามนุษย์หลายเท่า

กามคุณ ๕ คือ ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ทั้ง ๕ อย่างนี้จะละเอียดยิ่งกว่ามนุษย์หลายเท่า ถ้าดูในมหาชนกจะเห็นว่า แค่นางมณีเมขลาสัมผัสกาย มหาชนกก็หลับไปแล้ว

เถรี
09-04-2017, 21:19
ถาม : ผมเคยฝึกพิจารณาอสุภะมาได้สักระยะ แต่ก็ยังมีความรู้สึกต้องการและรักในความสวยงามของผู้หญิง เมื่อมีโอกาสได้สัมผัสกับกายหญิง ปรากฏว่าผมไม่กล้าที่จะใช้ปากสัมผัสกายเธอเพราะรู้สึกรังเกียจในความสกปรกในร่างกายของเธอคนนั้น ทั้ง ๆ ที่เขาก็สวย ก็เลยได้แค่ใช้มือสัมผัสกายเขาเท่านั้น

สุดท้ายก็ไม่ได้มีอะไรกัน หลังจากนั้นมาไม่กี่วันก็กลับมารู้สึกว่าเสียดายว่าทำไมวันนั้นเราไม่ทำอะไรมากกว่านี้ อยากทราบว่าเพราะอะไรทำไมวันนั้นอยู่ ๆ ผมก็เกิดรังเกียจร่างกายของเธอคนนั้นขึ้นมากระทันหันจนไม่อยากจะมีอะไรด้วยครับ ?

ตอบ : พอดีวันนั้นโง่ไปหน่อย..! เกิดจากผลการปฏิบัติของเราที่ทำมา อาตมาเองมีอยู่วันหนึ่งเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เห็นเด็กนักเรียนกำลังไปโรงเรียนกันอยู่ ก็เกิดความรู้สึกว่า เด็กผู้หญิงวัยรุ่นหน้าตาผ่องใส น่ารักดี ทั้ง ๆ ที่ทิ้งอสุภกรรมฐานมาเกิน ๓๐ ปีแล้ว ทันทีที่คิดอย่างนั้นก็ปรากฏเป็นภาพซากศพขึ้นมาแทน ก็แสดงว่าในสิ่งที่เราฝึกเอาไว้ ถึงเวลาจำเป็น ถ้ามีความคล่องตัวจริง ๆ จะเกิดขึ้นมาต่อต้านกับข้าศึกของเขาเอง

ถาม : ความรู้สึกตอนนั้นทำไมมันเป็นเบื่อ ๆ เซ็ง ๆ ถ้าเป็นอารมณ์วิปัสสนาญาณ ทำไมถึงไม่รู้สึกสนุก สดชื่น แต่กลับเบื่อและเซ็งแทนครับ ?
ตอบ : วิปัสสนาญาณของคุณถ้าไม่มีปีติควบไปด้วย จะไปเอาความสดชื่นมาจากไหน แค่รู้แล้ววาง วางแล้วเบา ก็บอกแล้วว่าเกิดจากอำนาจของอสุภกรรมฐาน ไม่ใช่วิปัสสนาญาณ และยังเป็นสมถะล้วน ๆ อีกด้วย

เถรี
09-04-2017, 21:21
ถาม : คนธรรพ์เป็นเทวดาใช่ไหมครับ และสามารถบรรลุมรรคผลได้ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นเทวดาชั้นต่ำมาก ส่วนใหญ่หลงติดในกามคุณอย่างหนัก ถ้ามีโอกาสฟังธรรมก็น่าจะมีโอกาสบรรลุได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่เข้าใกล้เลย เพราะว่ามักจะไปคลุกคลีอยู่กับเรื่องของกามคุณมากกว่า

เถรี
09-04-2017, 21:22
ถาม : ระหว่างนำเอาองค์พระพุทธรูปหน้าตักประมาณ ๕ นิ้ว มาตั้งไว้ในห้อง กับนำภาพพระพุทธรูปจากปฏิทินมาติดไว้ที่ผนังห้อง เพื่อไว้เป็นการเจริญพุทธานุสติกรรมฐาน อย่างไหนจะมีผลดีกว่ากันครับ ?
ตอบ : ถ้าจิตเกาะแบบไหนมากกว่า อย่างนั้นก็มีผลดีกว่า ไม่ได้สำคัญที่วัสดุ สำคัญว่าได้นึกถึงหรือไม่

เถรี
09-04-2017, 21:24
ถาม : ดิฉันและครอบครัวรวม ๖ คนได้ทำพิธีรับยันต์เกราะเพชรที่บ้านเพราะไม่อาจเดินทางมาที่วัดได้จริง ๆ ช่วงการเป่ายันต์เกราะเพชรของวัดท่าขนุนจึงถือเป็นโอกาสอันประเสริฐของโยมและครอบครัว ที่จะขอบารมีของครูบาอาจารย์ที่มีหลวงพี่เล็กเป็นที่สุดนี้ ทำพิธีรับยันต์ได้ ทุกคนมีศรัทธาและตั้งใจกันด้วยความเคารพสูงสุด จึงผ่านไปได้อย่างสวยงาม แต่หลังจากรับยันต์ผ่านไป ๒ วันโยมมีอาการอาเจียนออกมาเป็นลม คือมีแต่ลมเฉย ๆ เรียกว่าตั้งใจอาเจียนกันเลย จึงขอเรียนถามว่า นี่เป็นอาการปกติหลังรับยันต์เกราะเพชรหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เป็นอาการของคนแก่ ลมกำเริบ..!

เถรี
09-04-2017, 21:25
ถาม : เนื่องจากต้องไปทำธุระที่ประเทศออสเตรเลียสักระยะ อยากทราบว่าเพื่อความคล่องตัวและความปลอดภัย ควรจะขอกับใครที่เป็นท่านผู้ดูแลประเทศออสเตรเลีย โดยเฉพาะที่เมืองเมลเบิร์นครับ ?
ตอบ : อาตมายังไม่เคยไป เลยตอบไม่ได้

เถรี
09-04-2017, 21:28
ถาม : เนื่องจากกระผมได้อาศัยอยู่ที่สหรัฐอเมริกามาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว ขอกราบสอบถามพระอาจารย์ด้วยความเคารพว่า เพื่อความคล่องตัวในการดำรงชีพและความปลอดภัยจากภัยต่าง ๆ ที่กำลังจะเกิดในอนาคต กระผมและศิษยานุศิษย์ทั้งหลายที่อาศัยในสหรัฐอเมริกา ควรระลึกถึงและแสดงความเคารพใคร ในฐานะเจ้าพ่อหลักเมืองและเทวดาผู้รักษาประเทศสหรัฐอเมริกาครับ ?
ตอบ : ถ้าให้ส้นตีนจะรู้สึกชื่นใจไหม ? แทนที่จะนึกถึงพระ ดันไปนึกถึงแค่เทวดา สถานที่ไหนที่ไม่เคยไป อาตมาก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ามีใครเป็นใหญ่อยู่ในที่นั้น ถ้าอยากจะให้ไปสหรัฐอเมริกาก็ส่งตั๋วเครื่องบินพร้อมกับรายจ่ายในหนึ่งเดือนมา เดี๋ยวจะไปสอบถามให้ว่าใคร...! มีโคตรเพชรอยู่ในมือดันจะไปเอาพลอยเสียนี่

เถรี
09-04-2017, 21:31
ถาม : หากผมจะเปรียบเทียบเพื่อความเข้าใจเรื่องพระนิพพาน ในลักษณะของคนที่เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ กับตัวละครที่อยู่ในเกมส์คอมพิวเตอร์ จะถูกต้องไหมครับ ?
ตอบ : มนุษย์ขี้เหม็นดันจะไปคุยเรื่องพระนิพพาน ชาตินี้คงจะใกล้เคียงอยู่หรอก

เถรี
09-04-2017, 21:32
ถาม : เพื่อนผู้หญิงในที่ทำงานชอบพูดจาจิกกัดกันค่ะ ไม่พูดกันดี ๆ แต่ชอบจิกกัด ดิฉันเองก็มักจะโดนจิกกัดเป็นประจำ จนอยากจะลาออกจากที่ทำงาน เพราะเบื่อสังคมแบบนี้ ไม่ทราบว่าคนที่ชอบพูดจาจิกกัดผู้อื่น เขาจะได้รับบาปกรรมอย่างไรหรือไม่คะ ?
ตอบ : สิ่งที่ทำจัดเป็นวจีกรรม เกิดใหม่เมื่อไรก็โดนแบบนั้นเองบ้าง

เถรี
09-04-2017, 21:36
ถาม : การเพ่งโทษผู้อื่น กับการที่ชอบตำหนิผู้อื่น คืออย่างเดียวกันหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เป็นกำลังใจที่ประกอบไปด้วยโทสะจริตเหมือนกัน

ถาม : การเพ่งโทษผู้อื่นยังมีความหมายนอกเหนือไปจากนี้อีกหรือไม่ครับ ?
ตอบ : มีอย่างเดียว คือ ให้มองว่าสิ่งที่เขาทำนั้น ถ้าดีเราจะทำตาม ถ้าไม่ดี เราจะไม่ทำเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นแล้วการเพ่งโทษผู้อื่นมีแต่โทษล้วน ๆ ไม่มีประโยชน์เลย พระพุทธเจ้าท่านให้กล่าวโทษโจทย์ตัวเอง ไม่ใช่ไปโจทย์ผู้อื่น

ถาม : ทำไมเวลาที่ผมตำหนิผู้อื่น ใจจึงขุ่นมัว ขณะที่หลวงปู่ หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ที่ผมพบเจอมา ไม่เห็นท่านจะเศร้าหมองขุ่นมัวเวลาตำหนิผู้อื่นเลยครับ ?
ตอบ : ก็มึงไม่ใช่ท่าน...! จะเอาหิ่งห้อยไปเทียบกับพระจันทร์

เถรี
09-04-2017, 21:38
ถาม : หนูเข้าใจว่าทุกข์ของการเกิดเป็นมนุษย์ คือ ทุกข์จากการมีขันธ์ ๕ จึงสงสัยว่าแล้วทุกข์ของเทวดา ของพรหม คืออะไรคะ ?
ตอบ : ทุกข์ของการมีขันธ์ ๕ แบบเป็นทิพย์ ถ้าทุกข์ของเทวดาหรือพรหมที่เป็นพระอริยเจ้าก็คือ ทุกข์ของการที่ต้องตะเกียกตะกายเพื่อความหลุดพ้น

เถรี
09-04-2017, 21:40
ถาม : ลูกสาวกำลังจะเดินทางไปอเมริกาค่ะ กราบขอเมตตาหลวงพ่อแนะนำว่าควรให้ลูกพกวัตถุมงคลอะไรของไปดีคะ ?
ตอบ : จริง ๆ อยากจะให้พกปืนใหญ่ไปสักกระบอกมากกว่า..! ชอบใจอะไรก็พกไปเถอะ เพียงแต่ให้อาราธนา สวดมนต์ไหว้พระ อุทิศส่วนกุศลไว้ทุกวัน ถ้าเป็นไปได้ก็หาพวกสายเหนียวล้วน ๆ ไป

ถาม : ถ้าเป็นของวัดท่าขนุน ควรเป็นองค์ไหนคะ ?
ตอบ : หลวงพ่อ ๒๑ ศอกที่หน้าวัด...! อย่าหัวเราะนะ ถ้าพกองค์นั้นได้ต่อให้ยิงด้วยปืนใหญ่ก็ปลอดภัย

เถรี
09-04-2017, 21:51
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันเป่ายันต์เกราะเพชร วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๐ ตอนพุทธาภิเษกบารมีพระที่ท่านครอบลงมาหนักแน่นรุนแรงมาก อาตมาโดนกดจนรู้สึกว่าตัวจะแบนติดดิน

กราบเรียนถามพระท่านว่าปกติไม่เคยแรงอย่างนี้ ทำไมคราวนี้ถึงเป็นแบบนี้ ? พระองค์ท่านตรัสว่าภาวะสงคราม โดยเฉพาะสงครามก่อการร้ายจะลามไปทั่วโลก จึงจำเป็นที่จะต้องให้ล่วงหน้าไว้ก่อน อาตมาก็ได้แต่ฟัง ๆ แต่ปรากฏว่าวันก่อนสหรัฐถล่มซีเรียไปแล้ว แล้ววันนี้เพิ่งจะวางระเบิดที่อิยิปต์ตายไปบานตะเกียงเลย

ก็แปลว่าภาวะของสงครามก่อการร้ายก็ดี สงครามที่เกิดจาก ต้องเรียกว่าระหว่างศาสนาแล้วกัน แม้ว่าจะไม่ชัดเจนก็ตาม แต่ว่าสิ่งที่ทำนั้นใช่ กำลังจะแผ่ตัวขยายขึ้นไปเรื่อย ๆ

ถ้าพวกเราทุกคนยึดมั่นในพระรัตนตรัย มีการสวดมนต์ภาวนาเป็นปกติ ถ้าพกวัตถุมงคลอยู่ก็ให้อาราธนาไว้เป็นปกติ ท่านบอกว่าอยู่ที่ไหนก็จะปลอดภัย แต่ถ้าเราไม่ได้ทำอย่างนั้น ถ้าหากวาระกรรมมาถึง โอกาสที่จะโดนบ้างก็มี"

เถรี
09-04-2017, 21:54
"เพียงแต่ว่าส่วนที่อาตมากังวล ก็คือ สมัยนี้คนเราจุดเดือดต่ำลงไปเรื่อย ๆ ถึงเวลามีการใช้อาวุธเคมีหรือว่าอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมา หางเลขจะมาถึงบ้านเราด้วย บางอย่างพูดล่วงหน้านานเกินไป ก็อาจจะทำให้พวกเราฟังแล้วลืม กว่าจะรู้ตัวก็ขยับไม่ทัน

เพราะฉะนั้น...โปรดสร้างสุขนิสัยของตนเองเอาไว้ ด้วยการสวดมนต์ไหว้พระ อาราธนาพระคุ้มครองเราทั้งเช้าทั้งเย็นทุกวัน ถึงเวลาแนะนำให้บุตรหลานญาติโยมทำด้วย โดยเฉพาะท่านที่มีญาติมีโยม มีลูกมีหลานอยู่ทางยุโรปหรืออเมริกา เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะประทุหนักขึ้นไปเรื่อย ๆ แม้กระทั่งในบ้านเราก็จะลามกว้างขึ้นมาเรื่อย

ต้องบอกว่าถ้ามั่นในใจวัตถุมงคลประเภทไหน ก็ให้รีบหามาติดตัวเอาไว้ จะได้ใช้จริง ๆ กันแล้ว ที่ผ่านมายังเป็นการใช้เล่น ๆ บังเอิญอาตมาได้ใช้จริง ๆ อยู่ปีกว่า อยู่ในที่ซึ่งมีปืนมีระเบิดอยู่ทุกวัน แต่ก็อยู่รอดปลอดภัยดี จึงมีความมั่นใจในคุณพระรัตนตรัยเป็นอย่างยิ่ง

พวกเราจริง ๆ ควรที่จะโดนบ้าง ถ้าโดนแล้วรอดมาได้จะเกิดความมั่นใจยิ่งขึ้น ไม่อย่างนั้นก็ลังเลอยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้น...ไปขอร้องให้เขามาวางระเบิดบ้านหลังนี้ให้ที...!"

เถรี
09-04-2017, 22:11
"ทางปักษ์ใต้ของเรานั้น วัตถุมงคลที่เขาหากันมีสองอย่าง อย่างหนึ่งคือหลวงปู่ทวด โดยเฉพาะที่หลวงปู่ทิมสร้าง เป็นที่ต้องการสูงสุด รองลงไปก็เป็นหลวงพ่อนอง วัดทรายขาว หลวงพ่อฉิ้น วัดเมืองยะลา

ส่วนอีกสายหนึ่งคือ วัตถุมงคลสายเขาอ้อ ถ้าไม่สามารถหาของหลวงปู่ทองเฒ่าได้ ขอให้เป็นของพ่อท่านเอียด พ่อท่านปาน พ่อท่านคง ก็แล้วกัน ฉะนั้น...ทางด้านปักษ์ใต้วัตถุมงคลทั้งสองประเภทนี้ ราคาหูดับตับไหม้เลยและหายากสุด ๆ เพราะว่าสายนี้มาทางเหนียวโดยเฉพาะ

ส่วนเรื่องของหลวงปู่ทวดนั้น ไปทางนิรันตรายก็คือ แคล้วคลาดปลอดภัยตลอด อาตมาได้ยินจ่านายสิบตำรวจท่านหนึ่งบอกว่า ชันสูตรพลิกศพมาตลอด ๓๐ กว่าปี ยังไม่เคยเห็นใครที่แขวนหลวงปู่ทวดแล้วตายโหงเลย นั่นก็คือสิ่งที่ยืนยันความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ของท่านได้ ส่วนของใครจะมีของเก่าของใหม่ ก็ตามที่เขามีประสบการณ์ มีความน่าเชื่อถือ แต่ให้หามาติดตัวเอาไว้"

เถรี
09-04-2017, 22:14
"ถ้าเป็นสายของหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาก็พกสมเด็จองค์ปฐม สมเด็จคำข้าว สมเด็จหางหมาก นี่เป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่สมัยโน้น ส่วนสมัยที่อยู่ชายแดนนั้น อาตมาพกเหรียญกูผู้ชนะกับธงมหาพิชัยสงคราม เลือกกันเอาเองว่าเราชอบแบบไหน

ที่อาตมาชอบวัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดท่าซุงเพราะว่าแคล้วคลาด ก็คือ ปืน ระเบิด จะมาขนาดไหนก็ตามไม่เคยโดน แล้วที่อาตมาชอบเพราะว่ายิงออก เสียงดัง มันดี...! พอได้ยินเสียงปืนนี่จะวิ่งสวนอย่างเดียว จนเพื่อนต้องคอยดึงเอาไว้ เพราะฉะนั้น...อยู่ที่จริตนิสัยของเรา จะเอาปลอดภัยประเภทยิงไม่ออก ยิงออกไม่เข้า ก็ไปหาเอาอย่างของสายใต้ เป็นต้น แต่ถ้าจะเอาแคล้วคลาดได้ยินเสียงดัง ๆ แล้วเกิดความมันในชีวิต ก็เอาอย่างของอาตมานั่นแหละ

หลวงพ่อท่านบอกว่า ลูกศิษย์สายของท่านส่วนใหญ่กำลังใจเกินคน พระท่านจึงไม่ให้ทำมาในสายเหนียวโดยตรง เพราะว่าถ้าถึงขนาดเหนียวโดยตรงเมื่อไร ท่านบอกว่าถ้าไม่ไปรังแกเขา ก็จะไปปล้นเขากิน..!

ปกติวัตถุมงคลถ้าทำถึงระดับชาตรีได้จะปลอดภัยที่สุด เพราะว่าชาตรีเป็นลูกเบา โดนแล้วไม่เข้าไม่เจ็บ ถ้าคงกระพันนี่บางทีโดนเข้าไปแต่ละทีจุกไปเป็นอาทิตย์ อาตมาก็รอว่าถ้าพระท่านอนุญาตให้ทำเมื่อไรแล้วค่อยว่ากัน ที่ผ่าน ๆ มาได้แค่แอบซุก ๆ เอาไว้เท่านั้น"

เถรี
09-04-2017, 22:26
พระอาจารย์กล่าวเตือนโยมที่เอาแต่ถ่ายรูป "ไปอ่านเก็บตกของเดือนนี้ให้ได้นะ ตอนที่บอกว่ากำลังใจมัวแต่จะคิดถ่ายรูปอยู่ ก็เลยไม่มั่นคงอยู่กับบุญ"

เถรี
09-04-2017, 22:28
"ส่วนที่อาตมาเป็นห่วงมากที่สุดก็คือ ท่านทั้งหลายที่ขาดโทรศัพท์ไม่ได้จนกลายเป็นเสพติดไปแล้ว ถ้าอยากจะเลิกยาเสพติดชนิดนี้ให้ไปบวชที่วัดท่าขนุน เดี๋ยวจะช่วยยึดโทรศัพท์ให้...!

ตอนนี้สามเณรที่วัดรอคอยนับวันนับชั่วโมง เมื่อไรอาจารย์จะกลับไปสึกให้ นัดไว้แล้วว่าพรุ่งนี้ (วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๐) ตอนสองทุ่ม พอบวชมาก็ร้องห่มร้องไห้กัน เกิดมาไม่เคยลำบาก ข้าวปลาอาหารแม่แทบจะป้อนให้ถึงเตียง พอไปบวชกับหลวงพ่อวัดท่าขนุน ต้องเดินตั้งห้ากิโลเมตรกว่าจะได้กิน

มีการประท้วงด้วย พอเห็นเดินไม่รอ ก็แกล้งถ่วงช้าไปเรื่อย...ช้าไปเรื่อย เดินไกลไป ๒๐-๓๐ เมตร แทนที่หลวงพ่อวัดท่าขนุนจะรอ ก็ดันไม่รอ...เดินเร็วขึ้นไปอีก ท้ายสุดเณรก็ต้องวิ่งตาม พอผ่านไปห้าวันก็เห็นเดินทันกันทุกคน

ถึงได้บอกว่ากลับไปคงรักพ่อรักแม่ขึ้นอีกเยอะ แต่ขอโทษเถอะ...แม้แต่ฉี่คงจะไม่หันมาทางวัดท่าขนุนแล้ว ใครจะดัดสันดานลูกหลานเอาไปฝากบวชได้ รับประกันให้ว่าตีทุกคน...!

ตอนที่บวชชุดใหม่ ๆ บวชกันที่หนึ่ง ๗๐-๘๐ รูป ๑๐๐ กว่ารูป พระพี่เลี้ยงติดไม้ไว้คนละสามอัน ถามว่าทำไมถึงต้องติดไม้ไว้คนละสามอัน ? ท่านบอกว่าถ้าตีหักจะได้ไม่ต้องหาใหม่ นี่แสดงว่ารู้จริงว่าอาตมาต้องการอย่างไร ฉะนั้น...ถ้าใครรักลูกรีบส่งไป ถ้าหากไม่รักลูกก็โอ๋กันต่อไป"

เถรี
10-04-2017, 18:46
พระอาจารย์กล่าวว่า "แจ้งให้ญาติโยมทราบว่าพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์เนื้อยาจินดามณีนั้น หมดเกลี้ยงไปในวันงานเป่ายันต์ฯ แล้ว ไม่ต้องมาเสาะหากันอีก ตอนนี้เหลืออยู่อย่างเดียวคือ ถ้าหาอำพันทองได้เมื่อไรแล้วค่อยว่ากันใหม่

ที่ขำก็คือมีคนเขากินกันทั้งองค์เลย ดีเหมือนกัน เล่นหั่นแบบหั่นขนมเค้กเลย หั่นพระเป็น ๕ องค์ จริง ๆ ก็ทำมาให้กิน ให้คิดว่าอัญเชิญพระเข้าไปสถิตอยู่ในตัวเรา เมื่อวานอาตมาเอาที่ปั้นเป็นเม็ด ๒ ขวดไปฝากท่านอาจารย์บ๊ะ ยังไม่ทันจะล้วงเลย ท่านแบมือ “รับด้วยความยินดีครับ” พอจับชีพจรให้อาตมาแล้วท่านบอกว่า “ชีพจรดีขึ้นมากเลย” ได้ยาจินดามณีก็ฉันเข้าไป ๓ เม็ด ร่างกายจึงดีขึ้น

ปกติแล้วช่วงก่อนงานเป่ายันต์ฯ หมาที่วัดติดโรคหัดตายไปเยอะมาก เพราะลูกหมายังเล็กอยู่ ตอนช่วงงานเป่ายันต์ฯ ในเมื่อมีพุทธาภิเษกยาจินดามณีเพื่อรักษาโรคด้วย อาตมาจึงขอพระท่านสงเคราะห์หมา ไม่ได้เอายาไปให้หมากินนะ แต่ขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์ขับไล่โรคให้หมาด้วย"

เถรี
10-04-2017, 19:03
"ไม่รู้ว่าหลวงพ่อบ๊ะท่านชมหรือท่านด่า ท่านบอกว่าแอบไปดูว่างานเป่ายันต์ฯ คนเยอะไหม ? ปรากฏว่าคนเยอะมาก อาจารย์ก็ตรงเวลาจริง ๆ เลยถึงเวลาปุ๊บก็ลงมือปั๊บเลย

จะไม่ให้ลงมือได้อย่างไร ยังจะมีอะไรสำคัญกว่าเวลาของพระท่านอีกหรือ ? คนไหนที่ไม่เห็นความสำคัญในเวลาของพระ ของพรหม ของเทวดาแล้ว ถ้าท่านไม่สงเคราะห์เราก็เฮง อาศัยกำลังของเราเป่ายันต์จะได้สักเฟื้องสักสลึงหรือเปล่า ?"

เถรี
10-04-2017, 19:09
พระอาจารย์กล่าวว่า "โบราณท่านว่า ห่วงลูกผูกคอ ห่วงสามีภรรยาผูกมือ ห่วงทรัพย์สมบัติผูกเท้า มาจากบาลีที่ว่า ปุตตัง คีเว ธนัง ปาเท ภริยัง หัตเถ อาตมาเองจะบอกว่า อาตมามีลูกหมามากกว่าลูกคน เห็นโยมถวายของมา พอเปิดดูเห็นขนมที่หมาชอบกินก็เลยนึกถึงหมา

ถ้าตายตอนนั้นจะเป็นหมาไหมหนอ ? จะว่ากันจริง ๆ แล้ว กำลังใจเกาะอยู่ในส่วนของทานบารมีกับจาคานุสติ ไม่น่าจะต้องไปเป็นหมานะ แต่ก็ไม่ดีตรงที่ว่าความคิดเร็วมากเลย เผลอหน่อยเดียวก็คิดถึง เออ...ขนมอย่างนี้หมาชอบกิน

ปัจจุบันนี้เข้าตลาดไปทีหนึ่งก็ซื้อพวกเครื่องในไก่ปิ้ง ไม่ว่าจะเป็นตับ เป็นกึ๋น เป็นหัวใจ ฯลฯ ซื้อชนิดเหมาหมดร้าน เห็นหมาแย่งกันกินก็มีความสุข รู้สึกสบายใจไปด้วย สัตว์เดรัจฉานมีความทุกข์ที่ต่างจากคนอยู่อย่างหนึ่งก็คือ หากินไม่ได้อย่างใจ คนเราเวลาอยากกินอะไรก็เลือกซื้อได้ หมาอยากกินแต่เลือกไม่ได้ เลยกลายเป็นความทุกข์อย่างหนึ่งของสัตว์เดรัจฉานที่ต่างไปจากคน ถ้าเป็นไปได้ถึงเวลาก็ช่วยสงเคราะห์ให้เขาหน่อย

ไปซื้อข้าวของแต่ละทีก็ไม่กล้าบอก ได้แต่ว่าเอาอย่างนี้ เอาอย่างนั้น จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่งหลุดปากออกไป เพราะว่าไปซื้อที่ตลาดนัดตอน ๔ โมงเย็นแล้ว คนขายก็เอาเครื่องในไก่ให้เรียบร้อย ก็ถามว่า “ข้าวเหนียวด้วยไหมครับ ?” อาตมาบอกว่าไม่เอา เขาก็จัดแจงหยิบน้ำจิ้มมา ๗-๘ ถุง จึงหลุดปากไปว่า “หมาไม่กินน้ำจิ้ม” ไม่ได้ว่าอะไรหรอก เป็นห่วงกำลังใจของโยมว่า บางคนเขาอด ๆ อยาก ๆ ทำงานแทบตายกว่าจะมีเงินมาซื้อข้าวปลาอาหารกิน แต่พระวัดนี้ดันไปซื้อไก่มาเลี้ยงหมา..!"

เถรี
10-04-2017, 19:17
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26362&d=1491182335


พระอาจารย์กล่าวว่า "ควายธนูหลวงปู่จันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ มีส่วนผสมที่หายากสุด ๆ อยู่อย่างหนึ่งก็คือ ตะไคร่ที่ขึ้นอยู่บนจมูกจระเข้ จึงกลายเป็นของทำยาก ส่วนใหญ่วัวธนู ควายธนู เขาจะปั้นเต็มตัว ของหลวงปู่จันทร์ วัดทุ่งเฟื้อท่านทำแค่ครึ่งซีก ถามว่าทำไม ? เพราะท่านเคยทำเต็มตัวแล้วเฮี้ยนเกินไป ที่ขลังเกินจนต้องลดไปซีกหนึ่งก็มีเหมือนกัน ลองคิดดูว่าจระเข้ที่อยู่นานจนกระทั่งตะไคร่ขึ้นจมูกนี่ต้องตัวใหญ่แค่ไหน ?

อะไรก็ไม่ว่า คนที่จะเอาตะไคร่ที่จมูกจระเข้ ถ้าสะกดไม่อยู่ก็โดนกินไปเลย"

เถรี
10-04-2017, 19:37
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานอาตมาไปงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ ๔๕ ไปซื้อหนังสือมา ปรากฏว่าหนังสือเล่มหนึ่งที่ติดตามอยู่ก็คือ ชุดเหยี่ยวมารของหวงอี้ คนเขียนตายไปวันก่อน

ถ้านับแล้วหวงอี้อายุเพิ่งจะ ๖๕ ปี สำหรับคนรุ่นใหม่ก็ไม่ถือว่าแก่มาก ถ้ารุ่นอาตมา ๖๕ นี่บางคนเป็นปู่ทวดแล้ว หวงอี้เขียนหนังสือประเภทตัวเอกย้อนเวลา ต้องบอกว่าเป็นคนแรกของวงการหนังสือนิยายจีน หลังจากนั้นก็มีคนเขียนเรื่องเกี่ยวกับตัวเอกย้อนเวลาตามมาอีกไม่ถึงร้อยเรื่องก็ใกล้เคียง

ที่หวงอี้เขียนก็คือ เจาะเวลาหาจิ๋นซี ซึ่งแปลโดย คุณน.นพรัตน์ หลังจากนั้นมาที่โด่งดังที่สุดก็คือ ชุดมังกรคู่สู้สิบทิศ ตามมาด้วยจอมคนแผ่นดินเดือด สามเรื่องนี้ถือว่าสร้างชื่อให้โด่งดังสูงสุด หลังจากนั้นเรื่องอื่น ๆ ที่เขียนก่อนเขียนหลังก็ทยอย ๆ กันออกมา

มาถึงเรื่องล่าสุด ก็คือ ชุดไตรภาคของเหยี่ยวมาร ก็มีเหยี่ยวมารสะท้านสิบทิศ เหยี่ยวมารสัประยุทธ์สิบทิศ และเหยี่ยวมารสยบสิบทิศ หวงอี้เป็นคนมีวินัยมาก เขียนเดือนละ ๑ เล่มไม่ขาดไม่เกิน อาจจะเป็นเพราะว่ากรำงานมานาน หนังสือออกถึง ๓ ภาค ก็เลยเส้นโลหิตในสมองแตก ตายไปเมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๐ นี้เอง"

เถรี
10-04-2017, 19:40
"เราจะเห็นว่านักเขียนนิยายจีนที่ชื่อเสียงโด่งดังตายตั้งแต่อายุน้อย ๆ อย่างโกวเล้ง อย่างหวงอี้ โกวเล้งนี่เป็นภาษาแต้จิ๋ว สมัยนั้นนิยมแปลนิยายจีนเป็นภาษาแต้จิ๋วอยู่ ใช้โกวเล้ง ถ้าจีนกลางเรียกว่ากู่หลง ส่วนหวงอี้เป็นภาษาจีนกลาง แบบเดียวกับที่บ้านเรารู้จักกิมย้ง ไปประเทศจีนต้องบอกว่าจินหยงถึงจะรู้จักกัน

ก่อนหน้านี้บ้านเรานิยมแปลนิยายจีนเป็นภาษาแต้จิ๋ว เนื่องจากคนอ่านเป็นแต้จิ๋วเยอะมาก ได้อรรถรสมากกว่า แต่พออยากให้เป็นสากลก็มาทดลองแปลเป็นภาษาจีนกลาง ก็คือ คุณน.นพรัตน์ เป็นคนแรกที่แปลเป็นภาษาจีนกลาง แล้วลงในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ชุดที่พระเอกเป็นมือปราบชื่อติงหลาน ถ้าหากว่าเป็นภาษาแต้จิ๋วก็คือเต็งลั้ง หลังจากนั้นก็ทยอย ๆ แปลมาเรื่อย ปรากฏว่ามาอยู่ตัวเอาเรื่องเจาะเวลาหาจิ๋นซี เพราะว่าสนุกมาก ฉะนั้น...คุณจะแปลเป็นจีนกลางหรือแต้จิ๋วก็อ่านอยู่แล้ว จึงได้แปลเป็นจีนกลางมาตลอดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

หวงอี้เป็นนักเขียนที่มีจินตนาการ และอาตมาเชื่อว่าเขามีของเก่าเกี่ยวกับเรื่องของอภิญญาอยู่ เพราะว่าบรรยายการต่อสู้ของตัวเอกอยู่ในลักษณะเหมือนมีทิพจักขุญาณ หรือว่ามีทิพโสตญาณ สามารถกำหนดรู้ได้ว่าคู่ต่อสู้ที่ซ่อนอยู่หลังประตูมีกี่คน ? แต่ละคนใครใช้กระบวนท่าอะไร ? ใครลงมือก่อนลงมือหลัง ? ตัวเองก็เลยวางแผนในการรับมือได้ทัน"

เถรี
10-04-2017, 19:44
"มีอยู่เรื่องหนึ่งก็คือจอมคนแผ่นดินเดือด พระเอกสามารถสื่อจิตกับนางเอกได้ พูดง่าย ๆ ว่า สามารถส่งกระแสจิตไปแจ้งให้นางเอกรู้ได้ว่าตัวเองยังไม่ตาย ตอนนี้ตามมาช่วยแล้ว

ถ้าคนไม่มีของเก่าจะจินตนาการเรื่องอย่างนี้ไม่ออก เป็นที่น่าเสียดายว่าเหยี่ยวมารภาค ๓ อย่างเก่งก็น่าออกจะไม่เกินเล่มที่ ๑๙ เพราะว่าเขาแปลกันเดือนต่อเดือน

คนเราพอเขียนหนังสือไปแล้วก็ต้องฉีกหนีแนวตัวเอง ถ้าไม่ฉีกหนีแนวตัวเองนาน ๆ ไปคนจะเบื่อ คนที่ทำได้ดีที่สุดก็คือกิมย้งหรือจินหยง ที่เขียนเรื่องมังกรหยกหรือจอมยุทธ์ยิงอินทรี เพราะจากมังกรหยกภาค ๑ มาเป็นภาค ๒ มาเป็นภาค ๓ ก็คือภาคลูกมังกรหยก ภาคแรกมีคัมภีร์เก้าอิม ภาค ๒ เป็นเก้าเอี๊ยง ภาค ๓ สองอย่างรวมกันไม่พอ ยังมีวิชาต่างหากออกมา ก็คิดว่าหมดมุกแล้ว ปรากฏว่ายังมาเขียนแปดเทพอสูรมังกรฟ้า จากแปดเทพอสูรมังกรฟ้าคิดว่าหมดมุกแล้ว ก็ยังมาเป็นผู้กล้าหาญคะนอง ที่ตอนหลังเปลี่ยนชื่อเป็นเดชคัมภีร์เทวดา

เขาก็คิดว่าหมดมุกแล้ว ปรากฏว่ามาเขียนอุ้ยเสี่ยวป้อ ที่พระเอกไม่ค่อยจะมีฝีมือ เอาแต่วิ่งหนีอย่างเดียว กลายเป็นดังระเบิดเถิดเทิงเหมือนกับสูงสุดคืนสู่สามัญ"

เถรี
10-04-2017, 19:46
"พอหวงอี้มาฉีกแนวตัวเอง อย่างเขียนเรื่องศึกรักแดนสนธยา การที่พระเอกนางเอกข้ามชาติข้ามภพกันได้ แต่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะว่าคนอ่านไม่เข้าใจ พอมาเขียนชุดของเหยี่ยวมารไตรภาค ก็ปรากฏว่าพยายามฉีกแนวด้วยการเขียนนิยายซ้อนนิยาย ก็คือให้ตัวเอกตัวหนึ่งแยกไปทำงานอีกที่หนึ่ง แล้วเขียนบันทึกเอาไว้ ส่งให้ตัวเอกอีกตัวหนึ่งอ่าน ก็เลยมีการตัดสลับไปสลับมาเหมือนกับนิยาย ๒ เรื่องซ้อนกัน แต่เนื่องจากว่าคนอ่านไม่ได้อ่านรวดเดียว ต้องตามเดือนละเล่ม อารมณ์ไม่ต่อเนื่อง ก็เลยรู้สึกว่าหวงอี้ฝีมือตก

ตอนนี้ไม่ต้องตำหนิอีกแล้ว เพราะว่าท่านเทพทลายนภาไปเรียบร้อยแล้ว อาตมาอ่านเล่มนี้ส่งท้าย ถ้าเล่มหน้ายังมีออกก็ซื้ออีกหนึ่งเล่ม"

เถรี
10-04-2017, 19:51
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระสมเด็จวัดระฆังทุกองค์จะมีรอยตัด คือโบราณเวลาพิมพ์แล้วพิมพ์ล้น เขาเอาตอกไม้ไผ่กดลงไปตัดให้พอดี คราวนี้ตอนที่กดลงไปจะมีรอยขีดยาวลงไปด้วย เพราะฉะนั้น...เวลาพวกเซียนเขาดูพระ เขาจะดูจุดที่เด่นที่สุดง่ายที่สุดก่อน ในเมื่อเด่นที่สุด ง่ายที่สุด ถ้าไม่ใช่ก็วางคืนเลย ไม่แลแล้ว

แต่ว่าหลวงปู่สมเด็จวัดระฆังท่านให้พรไว้ว่า พระของท่านจะแท้จะเทียม ถ้านึกถึงท่านก็มีอานุภาพเท่ากันหมด คุณจะไปกังวลอะไรในเมื่อท่านให้พรเสียขนาดนี้ ไอ้พวกที่พกพระของท่านไว้ แต่ไม่เคยนึกถึงท่านเลยก็เจ๊งเท่านั้น"

เถรี
11-04-2017, 15:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเราเมืองเราแม้ได้รัฐธรรมนูญมาแล้วก็ยังต้องรอกฎหมายลูก ยังต้องรอระยะเวลาในการเลือกตั้ง ฝ่ายที่อยู่ในอำนาจก็ไม่อยากจะปล่อยมือ เพราะรู้ว่าเลือกตั้งเมื่อไรฝ่ายตัวเองก็แพ้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่านึกฉลาดอะไร มาห้ามนั่งรถกระบะ รถกระบะเป็นรถคนจน บางหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านมีรถคันเดียว ไปไหนทั้งหมู่บ้านก็รวมตัวกันไป แบบนั้นไม่นั่งกระบะแล้วจะให้นั่งอะไร ?

ถ้าโยมไม่เคยเห็น อาตมาอธิบายให้ฟังว่า ซื้อของเต็มรถกระบะแล้วยังนั่งไปอีก ๑๙ คน อาตมาเป็นพระไม่มีที่นั่ง ต้องนั่งบนหลังคา..! แต่ดีกว่าเดินเป็นวัน ๆ ไม่มีใครอยากเอาชีวิตไปทิ้งหรอก เพราะฉะนั้น...ในเรื่องของอุบัติเหตุแล้ว ทุกคนก็พยายามระมัดระวังเต็มที่

อาตมายืนยันว่าคนจนรักชีวิตมากกว่าคนรวย คนรวยไม่พอใจก็ฆ่าตัวตายประชดชีวิต คนจนนะหรือ...ยาก คนจนถ้าจะฆ่าก็ฆ่าคนอื่น..! เพราะฉะนั้น...อะไรก็ตามที่ไปแหย่จุดชีวิตของคนจนนี่ รัฐบาลจะเดือดร้อนเองทีหลัง"

เถรี
11-04-2017, 15:30
"ในเมื่อบ้านเรายังเอาดีไม่ได้ การค้าขายการลงทุนต่าง ๆ สลบซบเซา เพราะว่าสภาพเศรษฐกิจหมุนเวียนไม่ออก เหลืออย่างเดียวที่พอจะอยู่ได้ ก็คือในเรื่องของการท่องเที่ยว แต่ปรากฏว่าภาคใต้ก็วางระเบิดบ้าง เผาเสาไฟบ้างให้ยุ่งไปหมด แล้วนักท่องเที่ยวที่ไหนจะมา ?

ไม่รีบคืนประชาธิปไตยให้ โอกาสที่บ้านเมืองจะไปได้นี่ยาก รีบคืนประชาธิปไตยให้คนทำก็กลัวเสียของ ซึ่งความจริงเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำตั้งแต่แรกแล้ว ในเมื่อทำมาก็อยากจะรู้ว่ามีฝีมือแค่ไหน ปรากฏว่าอยู่ในลักษณะของคนดูมวย อยู่ข้างเวทีนี่เก่งทุกอย่าง พอขึ้นเวทีเองก็โดนถลุงน่วมเหมือนกัน

ในเรื่องนี้ก็รักษาตัวกันเอาเอง ใครมีวัตถุมงคลอะไรที่ตัวเองมั่นใจให้อาราธนาติดตัวไว้ สวดมนต์ภาวนาเช้าเย็นไว้ทุกวัน อยู่ที่ไหนจะได้ปลอดภัย ถึงแม้ว่าคนจนเราราคาชีวิตในสายตาคนรวยจะมีน้อย เราก็รักชีวิตของเรา เพราะว่าทุกชีวิตเกิดมามีโอกาสบรรลุมรรคผล ถ้าหากว่าตายเสียก่อนที่จะได้มรรคได้ผล ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก เนื่องจากว่าการเกิดใหม่ไม่แน่ว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์อีกหรือไม่ ?

ขอบารมีพระท่านช่วยสงเคราะห์ให้ตัวเราและคนที่เรารัก อยู่รอดปลอดภัยในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ ส่วนที่เหลือถ้าไม่ใช่ผู้มีอันจะกิน ก็มีอันกินอันไปก่อนแล้วกัน"

เถรี
11-04-2017, 15:32
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานเป่ายันต์ฯ อาตมานั่งรับสังฆทานได้ ๑.๕ ล้านบาท เจองานฝ้าดาวเพดาน สาหร่ายรวงผึ้งและกำแพงแก้วเข้าไป ๒ ล้านกว่าบาท เจองานงวดหุ้มทองพระเจดีย์ไป ๑.๔ ล้านกว่าบาท เจองานมณฑปของช่างประเกิดไปอีก ๙.๖ แสนบาท เจริญมากเลย สรุปว่ารับสังฆทานรับมาล้านกว่า จ่ายไปเกือบ ๕ ล้านบาท แล้วอาตมาก็จ่ายอย่างนี้ทุกเดือน ไม่รู้ว่าเอาที่ไหนมาจ่ายเหมือนกัน"

เถรี
11-04-2017, 15:33
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้ฝนฟ้าก็ไม่ปกติ การเดินทางก็ไม่ปกติ พระครูหน่อยท่านบอกว่ามาช้าเพราะว่าต้องรอรถตู้ เนื่องจากว่าบังคับคาดเข็มขัดทุกที่นั่งไม่พอ ยังบังคับด้วยว่าแต่ละคันห้ามเกินกี่คน รถยิ่งมีน้อย ๆ อยู่ด้วย

ปกติรถตู้นี่นั่งเต็มที่ได้ ๑๓ ที่นั่ง...ใช่ไหม ? ตอนอาตมาเป็นฆราวาสเคยนั่ง ๒๐ ที่นั่ง แม้กระทั่งฝาท้ายยังยัดเข้าไป ๔ คน นั่งแล้วก็เอาเท้าสลับกันเป็นฟันปลา เพราะว่าช่วงตรุษจีนหารถไม่ได้ ก็ยัดกันไปอย่างนั้นแหละ พูดง่าย ๆ ว่าถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ไม่มีใครรังเกียจหรอก เพราะต่างคนต่างก็อยากไป สมัยนี้รัฐบาลบังคับเพราะเห็นแก่ความปลอดภัยของคน โดยไม่ได้ดูความเดือดร้อนของคนบ้าง

ต้องบอกว่าในหลวง ร.๙ ของเราเป็นเซียนที่สำเร็จหลักธรรมแบบเต๋าอย่างแท้จริง ทั้ง ๆ ที่พระองค์ท่านนับถือศาสนาพุทธนี่แหละ เพราะว่าเรื่องของการบรรลุธรรม ถ้าเข้าถึงแล้วก็เหมือนกันหมด หลักธรรมแบบเต๋าท่านบอกว่า “ปกครองแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล เหมือนกับทอดปลาในกระทะเล็ก” ต้องระมัดระวังทำอย่างไรจะออกมาให้สุกพอดิบพอดีโดยที่ปลาไม่ไหม้เสียก่อน

สังเกตไหมว่าในหลวง ร.๙ ของเราทำอะไรพอเหมาะพอดีพอควรไปหมด แม้กระทั่งบ้านเมืองที่เดือดร้อนวุ่นวาย พระองค์ท่านจะปรากฏพระองค์มาในเวลาที่พอดีที่สุด แล้วก็ห้ามทัพทุกอย่างให้หยุดลงได้ แต่ถ้าไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม พระองค์ท่านจะไม่ขยับเลย ตลอดระยะเวลาครองราชย์ ๗๐ ปี เรื่องใหญ่เรื่องเล็กแค่ไหน พระองค์ท่านจัดการได้พอเหมาะพอดีหมด นั่นก็คือการทอดปลาด้วยความระมัดระวัง ไม่ดิบแล้วก็ไม่ไหม้ ออกมาพอเหมาะพอดีที่สุด ปัจจุบันนี้ ม. ๔๔ ทำเอาปลาไหม้เป็นถ่านเลย...!"

เถรี
11-04-2017, 20:42
พระอาจารย์กล่าวว่า "บรรพบุรุษของเราตั้งกรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวง เพราะว่าฟ้าฝนบริบูรณ์ แม้กระทั่งสนามหลวงสมัยก่อนก็คือนาของพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินก็ต้องทำนาเหมือนกัน สมัยนี้เปลี่ยนจากการทำนาทำสวนมาเป็นปลูกตึก แต่ฝนฟ้ายังบริบูรณ์เหมือนเดิม น้ำก็เลยท่วม คนสมัยใหม่ไม่ค่อยได้ดูทิศดูทาง ต่อไปถ้าใครจะอยู่ในกรุงเทพฯ ให้เตรียมแพเตรียมเรือไว้เลย

สมัยอาตมายังเป็นวัยรุ่น อายุ ๑๐ กว่าขวบ บ้านยายที่สามแยกไฟฉาย ยาวตลอดไปถึงบ้านน้าที่ตลาดพลู มีแต่ท้องร่องเรือกสวนไร่นา ส่วนใหญ่เป็นสวนหมาก สวนพลู สวนทุเรียน สวนมังคุด บางแห่งก็มีสวนลิ้นจี่ พอมาพัฒนาบ้านเมืองเจริญขึ้น สวนก็หายหมด เด็กบ้านนอกอย่างอาตมาที่หากินกับท้องร่องสวนก็เลยหากินไม่ได้

ปกติเวลาไปบ้านยาย อาตมามีอาชีพถือปืนไล่ยิงลูกฟักข้าว เพราะฟักข้าวขึ้นอยู่ตามต้นไม้ในสวน เวลาสุกก็สีเหลืองส้มบ้าง สีแดงบ้าง เป็นเป้าสะดุดตา เอาไว้ซ้อมมือ ถ้าวันไหนขี้เกียจก็เปิดหน้าต่างออกไป แล้วก็ยิงเอา ปรากฏว่าเป็นทหาร ๑ ปี กลับไปเยี่ยมยาย ถือปืนเปิดหน้าต่างออกไปกลายเป็นตึกแถว ...(หัวเราะ)...."

เถรี
11-04-2017, 20:49
"สมัยนั้นถนนตลิ่งชัน-พุทธมณฑลเพิ่งจะเริ่มตัด ผ่าไปกลางสวนไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยขนัด กว่าจะไปถึงนครชัยศรี

ตอนนั้นจะเดินทางไปนครปฐมต้องปัสสาวะเสียแต่เนิ่น ๆ เพราะออกจากบางขุนนนท์ไปแล้วไม่มีปั๊มน้ำมันเลย เนื่องจากถนนเพิ่งจะตัดใหม่ บ้านก็เป็นเรือกสวนไร่นา ไม่มีตึกแถว กว่าจะมีปั๊มน้ำมันให้แวะเข้าห้องน้ำได้ก็ต้องไปถึงนครชัยศรี สมัยนี้กรุงเทพฯ ธนบุรี นครปฐม ติดกันเป็นจังหวัดเดียวหมด แยกกันไม่ออกว่าตรงไหนเป็นตรงไหน

ช่วงนั้นถ้าวิ่งสายเก่าเพชรเกษมจะตรงเข้ามาทางบางไผ่ บางแค แล้วก็มาเลี้ยวที่สามแยกท่าพระ ถึงจะตรงมาทางด้านสามแยกไฟฉาย ถ้ายังไม่ถึงบางแคนี่ อย่าหวังเลยว่าจะได้เจอบ้านเรือนผู้คน เพราะส่วนใหญ่ที่วิ่งผ่านก็คือท้องนา มีบ้านไกล ๆ หลังหนึ่ง วัดท่าตำหนักก็ดี วัดบางแก้วก็ดี วัดเทียนดัดก็ดี อยู่กลางนาทั้งนั้น"

เถรี
11-04-2017, 22:28
"อาตมาได้เห็นบ้านเมืองโตเร็วจนเกินไป โตเร็วจนแม้กระทั่งกาญจนบุรีที่อาตมาอยู่ ปี ๒๕๒๑ ถ้าไปกาญจนบุรีจะขึ้นไปศรีสวัสดิ์หรือไทรโยค จะต้องผ่านค่าย ตชด.พระพุทธยอดฟ้า ก็เป็นทางลูกรัง มีไม้ไผ่ทาสีขาวแดงขวางถนนเป็นด่านตรวจอยู่ ปัจจุบันค่ายพระพุทธยอดฟ้าอยู่กลางเมือง..! ขยายออกไปไม่ได้ ก็เลยต้องไปสร้างค่าย ตชด.ใหม่ที่บ้านหนองขาว

ก่อนหน้านั้นทางนนทบุรีของเรามีชื่อเสียงทางทุเรียน แม้กระทั่งปัจจุบันทุเรียนที่ได้รับความเชื่อถือและราคาแพงมากก็ยังเป็นทุเรียนนนทบุรีอยู่ แต่เหลือสวนทุเรียนอยู่แค่ไม่กี่ขนัด คนปลูกตายหมดแล้ว มีแต่ลูกหลานเสวยสุข สมัยคุณย่าคุณยายปลูกทุเรียนนี่ขอกันกิน สมัยนี้ได้ยินว่าลูกละห้าพันบาท..!

เรื่องผลไม้มีชื่อสำคัญตรงพื้นดิน ถ้าพื้นดินมีแร่ธาตุเหมาะกับผลไม้ชนิดนั้น ๆ รสจะดีเป็นพิเศษ อย่างสมัยก่อนกรุงเทพฯ ก็มีลิ้นจี่ที่ตรอกจันทร์ สมัยนี้ใครจะไปเชื่อว่าตรอกจันทร์เคยเป็นสวนลิ้นจี่ เดี๋ยวนี้จะกินลิ้นจี่ต้องขึ้นไปเชียงรายเชียงใหม่ จะกินส้มก็ต้องไปเชียงใหม่เหมือนกัน หรือถ้าจะเอาอย่างใกล้ ๆ ก็แถวนครนายก ถ้าไม่รีบเก็บก็แล้วไป ถ้ารีบเก็บรสชาติก็ไม่เอาไหนเหมือนเดิม

ก่อนหน้านี้สับปะรดศรีราชามีชื่อเสียงมาก เดี๋ยวนี้สับปะรดต้องไปทางหนองหอย เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ แตงโมรังสิต ตอนนี้แตงโมมีทั่วประเทศไทย บริษัทเจียไต๋นำไปเอง ตอนนี้รังสิตไม่มีแตงโมแล้ว วิ่งผ่านไปเหลือแต่หนูย่าง บางที่ก็มีวงเล็บ (มีงูเห่าด้วย) ตั้งเพิงขายกันข้างทาง"

เถรี
11-04-2017, 22:32
"ทุเรียนเมืองนนท์ไปดังที่จันทบุรี เปลี่ยนจากหมอนทอง ก้านยาว ชะนี ไปเน้นที่หมอนทองเพราะฝรั่งชอบ เนื้อเยอะ พัฒนาไปจนเป็นพวงมณี ปัจจุบันไปดังทางอุตรดิตถ์ พันธุ์หลงลับแล อร่อยขนาดไหนถ้าแพงอย่างนั้นก็อย่าไปกินเลย"

เถรี
11-04-2017, 22:47
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานมีโยมมาทางบ้านหมี่ ลพบุรี ถามว่ารู้จักคุณวีรวิทย์ไหม เขาบอกว่าไม่รู้จัก

ลพบุรีเป็นเมืองสำคัญแต่โบราณ อาณาจักรละโว้คือลพบุรี อาณาจักรละโว้มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ขนาดทางล้านนาซึ่งสมัยนั้นถือว่ายิ่งใหญ่ทางภาคเหนือ ต้องขอตัวพระราชธิดาจากละโว้ คือ เจ้าหญิงจามเทวี ขึ้นไปครองเมืองหริภุญไชย

เราลองนึกว่าในบันทึกโบราณ โดยเฉพาะของจีนเขาเข้าถึงอาณาจักรละโว้ได้โดยทางทะเล เราจะนึกออกไหมว่าลพบุรีเคยอยู่ใกล้ทะเลมาก่อน ? ในสมัยพระโสณเถระกับพระอุตรเถระ ประมาณ พ.ศ. ๓๒๕ เอาพระไตรปิฎกจากกรุงปาฏลีบุตร หรือประเทศอินเดียในสมัยนั้นมาสุวรรณภูมิ มาขึ้นจากเรือที่นครปฐม พอขึ้นจากเรือที่นครปฐมก็เลยสร้างพระปฐมเจดีย์ไว้เป็นหลักฐาน ปัจจุบันนี้ทะเลอยู่ตรงไหน ? ยืดยาวไปถึงชะอำเพชรบุรีแล้ว แผ่นดินคงงอกขึ้นมาหรือไม่ก็ทะเลตื้น"

เถรี
12-04-2017, 09:05
"อาณาจักรอู่ทองมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วในสมัยนั้น คนทางอินเดียต้องมาค้าขายที่อู่ทอง อู่ทองอยู่ริมทะเล หรือถ้าจะเอาให้ไกลกว่านั้นไปอีก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่าว่า ตอนท่านตั้งความปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า ภูกระดึงยังเป็นเกาะเล็ก ๆ อยู่กลางทะเล นานจนลืมไปเลย..!

ฉะนั้น...ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมภูเขาบางแห่งอยู่ในพื้นที่ซึ่งไม่มีทะเลเลย อย่างเทือกเขาหิมาลัย ทำไมเขาเจอเปลือกหอยทะเลอยู่บนภูเขา เพราะว่าเคยเป็นทะเลมาก่อน

ถ้าใครอ่าน The Third Eye ของท่านลามะ Lobsang Rampa ท่านระลึกชาติได้ว่าเคยเกิดที่ทิเบต แต่ทิเบตอยู่ริมทะเล ตอนนี้จากทิเบตลงมาเจอเนปาล ปากีสถาน อินเดีย กว่าจะลงไปถึงทะเลก็ไกล ท่านบอกว่าในสมัยที่ท่านเกิดนั้น ผู้หญิงตัวสูงสามเมตร ส่วนผู้ชายสูงกว่านั้น..!

โบราณท่านบอกว่า คนต้นกัปร่างกายจะสูงใหญ่มาก อย่างพระศรีอริยเมตไตรยสูง ๘๘ ศอก ลองมานึกถึงเส้นกราฟวิวัฒนาการที่โค้งขึ้นโค้งลงดู ช่วงที่ขึ้นสุดลงสุดช่วงนั้น ถ้าใครอยู่จุดสูงสุดก็สูง ๘๘ ศอก ถ้าใครอยู่จุดต่ำก็ต้องไปสอยมะเขือกิน แต่ถ้าไปสอยมะเขือกินนี่น่าจะตัวเล็กกว่าตุ๊กตาอีกนะ ต้นมะเขือไม่ได้ต้นใหญ่เลยนี่"

เถรี
12-04-2017, 15:27
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยที่อาตมายังอยู่ที่เกาะพระฤๅษี พอปิดเทอมทางวัดกลายเป็นโรงเลี้ยงเด็กเลย มีแต่พ่อแม่เอาเด็กไปทิ้งไว้ที่นั่น เด็ก ๆ ก็สนุกสนานเฮฮา ทำนั่นทำนี่จนเบื่อก็โดดเล่นน้ำกัน พออาตมาออกมาอยู่ท่าขนุนนี่เด็ก ๆ เล่นน้ำไม่ได้ เพราะว่าแม่น้ำแควน้อยตรงหลังวัดท่าขนุนต้องมีคนตายทุกปี แล้วคนตายมักจะเป็นคนต่างถิ่น เพราะว่าคนต่างถิ่นจะไม่รู้ว่ามีอาถรรพ์

เมื่อวันที่ ๒ เมษายน หลังงานเป่ายันต์ฯ มีนักท่องเที่ยวลงไปเล่นน้ำและจมหายไป กว่าจะหาศพพบก็วันที่ ๔ ฉะนั้น...ใครเอาลูกหลานไปฝากไว้ที่วัดท่าขนุนให้ทำประกันชีวิตไว้ด้วย เผื่อดื้อลงไปเล่นน้ำ แต่แปลกนะที่เขาเอาแต่คน หมาวัดลงไปเล่นน้ำ ๒๐-๓๐ ตัว ไม่เห็นจะเป็นอะไร

หมาที่อาตมาเลี้ยงไว้คือคุณนายลีลาจัง หน้าหนาวคุณนายเธอจะมีขนหนาวขึ้นมาชั้นหนึ่งไว้ป้องกันความหนาว หน้าหนาวนี่ต้องไปเล่นน้ำทุกวัน ห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง ขึ้นมาก็เปียกมะล่อกมะแล่ก ถ้าวันไหนเจ้านายไม่ว่างหวีผมหวีขนให้ก็จะมอมแมม แต่ถ้าถือหวีขึ้นมานี่จะวิ่งรี่เข้ามาหา มาให้หวีก่อน"

เถรี
12-04-2017, 16:01
ถาม : ในพระไตรปิฎกบอกว่าสมัยนี้ไม่มีพระอรหันต์แล้ว ?
ตอบ : พระไตรปิฎกบอกไว้ชัดเลยหรือ ? อยากรู้ว่าเล่มไหน ? อาตมาอ่านมาหมดแล้วยังไม่เคยเจอเลย

ในพระไตรปิฎกไม่ได้กล่าวไว้ ในมหาปรินิพพานสูตรพระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า ถ้าตราบใดที่พระธรรมวินัยยังสมบูรณ์อยู่ ตราบนั้นสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ยังคงมี ก็แปลว่าพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ยังมีอยู่เป็นปกติ

ถ้าเรื่องในพระไตรปิฎกถามได้ อาตมาจะบอกได้ว่าอยู่ในพระสูตรไหน ตอนไหน แต่เรื่องที่ว่าในปัจจุบันไม่มีพระอรหันต์แล้วนี่ยังไม่เคยอ่านเจอ ส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้ที่เราได้อ่านคือข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ซึ่งคนจะโพสต์ไปเรื่อยเปื่อย บางทีก็ไม่มีที่มาที่ไป จินตนาการเองล้วน ๆ ก็มี บางทีก็อ้างอิงต่อกันมาเรื่อย ๆ จากบางคนที่คิดว่าคาดว่าจะเป็นอย่างนั้น

ฉะนั้น...อยากเจอของจริง หยิบพระไตรปิฎกมาอ่าน จะได้หมดเรื่องหมดราวไปเลย ที่วัดท่าขนุนมีพระไตรปิฎกหลายสิบชุด แต่ใช้งานกันเปื่อยแล้ว เพราะว่าพระท่านเรียนกันมาก ยิ่งเรียนกันมากเท่าไรก็ยิ่งต้องอิงอ้างพระไตรปิฎกมากขึ้นเท่านั้น

เถรี
12-04-2017, 16:02
โดยเฉพาะถ้าอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนอะไรต้องไปถามพระอาจารย์ทรงพล ไม่รู้จักพระอาจารย์ทรงพลให้ไปถามว่าพระอาจารย์แบงค์คือใคร ท่านอยู่วัดท่าขนุน เพราะว่าท่านเรียนปริญญาโทแล้วท่านทำวิทยานิพนธ์เรื่อง วิเคราะห์คำสอนของพระพุทธเจ้า

พอพระอาจารย์แบงค์มาบอกว่าได้วิทยานิพนธ์หัวข้อนี้ อาตมาสะดุ้งเฮือก ถามว่าใครใช้ให้คุณทำหัวข้อนี้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์เชียวนะ ท้ายสุดก็เลยบอกท่านให้พยายามสรุปลงเป็นศีล สมาธิ ปัญญา หรือไม่ก็เป็นพระสูตร พระวินัย พระอภิธรรม จะได้รวบเป็นหัวข้อหลัก ๆ ได้ ขนาดนั้นพระอาจารย์แบงค์ยังใช้เวลา ๖ ปีกว่าจะจบ ถ้าอาตมาไม่ขอร้องทางมหาวิทยาลัยไว้ ก็สิ้นสภาพนักศึกษาไปนานแล้ว

ตอนนี้พระอาจารย์แบงค์จบแล้ว ได้ลายเซ็นอาจารย์ที่ปรึกษาครบถ้วนเมื่อไม่กี่วันนี้เอง พระอาจารย์แบงค์เรียนปริญญาโทหลังอาตมาประมาณหนึ่งปี อาตมาจบปริญญาเอกมาสองปีขึ้นปีที่สามแล้ว พระอาจารย์แบงค์เพิ่งจะจบปริญญาโท สรุปว่าท่านเรียนได้ลึกซึ้งกว่าแน่นอน เพราะว่าเรียนอยู่ตั้ง ๖ ปี..!

เถรี
12-04-2017, 16:08
พระวัดอื่นไม่ค่อยอ่านพระไตรปิฎก ส่วนใหญ่เห็นพระไตรปิฎกเป็นของศักดิ์สิทธิ์ใส่ตู้ไว้บูชา แต่พระวัดท่าขนุนเท่ากับโดนบังคับ เพราะว่าการเรียนทุกวิชาต้องพึ่งพาพระไตรปิฎก ทำรายงานทุกอย่างต้องอ้างอิงพระไตรปิฎก ก็เลยต้องอ่านกันแหลกราญไปหมด

ไม่ต้องหาเพิ่มให้นะ อาตมายังมีเล่มใหม่ ๆ ชนิดยังไม่ได้แกะกล่องอีกสองชุด มีทุกรุ่น ทั้งของมหามกุฏฯ ของมหาจุฬาฯ ฉบับประชาชน ฉบับแก่นธรรม ฯลฯ มีหมด

เถรี
12-04-2017, 19:43
ถาม : ช่วงหลังจะมีความรู้สึกไม่แน่ใจว่า....(ไม่ชัด).... ไปกราบพระวิปัสสนา ....(ไม่ชัด).... ขอความเมตตาพระอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยครับ
ตอบ : ท่านแนะนำก็ต้องถามท่าน ไม่ใช่ท่านแนะนำแล้วมาถามอาตมา ถ้าเป็นอาตมาก็จะแนะนำให้รีบวิ่งเข้าหาวิปัสสนาให้เร็วที่สุด ดูทุกอย่างให้เห็นว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา จนสภาพจิตเบื่อหน่าย ไม่ต้องการร่างกายนี้อีก แล้วก็เกาะพระนิพพานไว้

ทวนบ่อย ๆ ย้ำบ่อย ๆ ย้ำทุกวันทุกเวลา มองอะไรก็ให้เห็นแบบนั้น นั่นเด็กเล็ก นี่วัยรุ่น นี่แก่แล้ว เดี๋ยวก็ตาย เห็นว่าไม่เที่ยงเป็นปกติ เรานั่งอยู่สักพักก็ต้องขยับ เมื่อยอีกแล้ว เดี๋ยวหิวก็ต้องไปกิน เดี๋ยวกระหายต้องไปดื่ม ปวดอุจจาระปัสสาวะต้องเข้าห้องน้ำห้องส้วม มีแต่ความทุกข์ตลอดเวลา ท้ายสุดก็ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาได้ เสื่อมสลายตายพังไปทั้ง ๆ ที่เราไม่อยากจะตาย สภาพเช่นนี้เราเกิดใหม่เมื่อไรก็พบกับร่างกายเช่นนี้

ฉะนั้น...ขึ้นชื่อว่าการเกิดจะไม่มีสำหรับเราอีก ตอกย้ำแบบนี้ทุกวัน เดี๋ยวพอชินก็จะเป็นของเราเอง

เถรี
12-04-2017, 20:05
ถาม : นี่ค่ะ...พระสูตรที่ระบุว่าไม่มีพระอรหันต์แล้ว ?
ตอบ : คำว่าพันปีแรกอยู่ด้วยอำนาจพระขีณาสพ ที่ถึงความแตกฉานในปฏิสัมภิทาเท่านั้น แปลว่าหนึ่งพันปีแรกจะเต็มไปด้วยพระอรหันต์ที่เป็นปฏิสัมภิทาญาณ มีคุณวิเศษครบถ้วนทุกประการ แต่เมื่อจักตั้งยิ่งกว่าพันปีนั้นบ้าง จักตั้งอยู่ด้วยอำนาจของพระขีณาสพสุกขวิปัสสกะ ก็คือ ถ้าระยะเวลานานกว่านั้นก็จะเป็นของพระอรหันต์ที่เป็นสุกขวิปัสสโก ก็คือ เป็นผู้ที่หมดกิเลสอย่างเดียว ไม่มีคุณวิเศษอื่น

จักตั้งสิ้นอยู่ด้วยพันปีแห่งอำนาจพระอนาคามี คือ พันปีต่อไปก็จะมากด้วยพระอนาคามี จักตั้งอยู่สิ้นพันปีด้วยอำนาจแห่งพระสกทาคามี ก็คือ จะมากด้วยพระสกทาคามี จักตั้งอยู่ด้วยอำนาจของพระโสดาบัน ก็แปลว่า ในพันปีสุดท้ายจะมากด้วยพระโสดาบัน

คำว่ามากไม่ได้แปลว่าทั้งหมด แปลว่าอย่างอื่นก็มี แต่มีอย่างนี้มากที่สุด ก็เหมือนอย่างกับว่า ถ้าพันปีแรกจะอยู่ด้วยอำนาจของพรรคชาติไทย ก็ไม่ได้หมายความว่าพรรคเพื่อไทย หรือพรรคภูมิใจไทยจะไม่มี แต่ว่าพรรคชาติไทยเป็นเสียงข้างมาก พันปีต่อมาตั้งด้วยอำนาจของพรรคเพื่อไทย ก็ไม่ได้แปลว่าชาติไทยไม่มี หรือพรรคภูมิใจไทยไม่มี หรือคสช.ไม่มี มีอยู่...แต่เป็นส่วนน้อย เฮ้อ...เขาเรียกว่าอ่านพระไตรปิฎกไม่เข้าใจ ต้องแปลเป็นไทยอีก

เถรี
12-04-2017, 20:25
ถาม : .....(ไม่ชัด)....หมายความว่าอย่างไร ?
ตอบ : พูดง่าย ๆ ว่าเสียงส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้น เสียงส่วนน้อยก็ทำหน้าที่นั้นไป แต่ท่านน้อยกว่า

ถาม : .....(ไม่ชัด)....
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าเขาถือว่าอยู่ด้วยเสียงส่วนใหญ่ คำว่า "ตั้งอยู่ด้วย" เป็นภาษาโบราณ หมายถึงฝ่ายนั้นมากที่สุด

ถาม : .....(ไม่ชัด)....
ตอบ : เป็น...ถ้าสมมติท่านมี ๑ องค์ แล้วอีก ๑๐๐ เป็นพระอนาคามี เสียงส่วนใหญ่อยู่กับใคร ? ก็ต้องอยู่กับพรรคเพื่อไทย

ถาม : .....(ไม่ชัด)....
ตอบ : แปลว่าของพระปฏิสัมภิทาญาณมีมากที่สุด ท่านถึงบอกว่าตั้งอยู่ด้วยพระปฏิสัมภิทาญาณ ก็คือ พระอรหันต์ที่ประกอบไปด้วยฤทธิ์

เถรี
12-04-2017, 20:28
ถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นประเภทไหน ?
ตอบ : ทำถึงจะรู้เอง ท่านบอกว่า ญาณัง เครื่องรู้เกิดขึ้น

ถาม : .....(ไม่ชัด)....
ตอบ : เป็นเมื่อไรแล้วจะรู้ ถ้าเราจบปริญญาเราจะรู้ว่าคนจบปริญญาเป็นอย่างไร แต่เราเรียนอยู่ เราจะไม่มีวันรู้ว่าคนจบปริญญาเป็นอย่างไร

ถาม : .....(ไม่ชัด)....
ตอบ : ขอให้ได้เป็นพระโสดาบันเถอะ ชีวิตนี้เกิดมาก็สุดที่จะคุ้มแล้ว ทนทุกข์ยากสัก ๑๐๐ ปี สัก ๑๒๐ ปี ถ้าได้เป็นพระโสดาบันก็เหลือที่จะคุ้มแล้ว เพราะว่าสามารถปิดอบายภูมิทั้งหมด โอกาสที่จะลงต่ำไม่มี มีแต่เจริญขึ้น เพราะว่าพระโสดาบันขึ้นไป เขาเรียกว่าพระอริยะ แปลว่า ผู้เจริญโดยส่วนเดียว

ถาม : .....(ไม่ชัด)....
ตอบ : อ้างได้ ต้องเข้าใจความหมายด้วย ถ้าเราเชื่อมั่นในพระไตรปิฎก ให้ไปดูในมหาปรินิพพานสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าหลักธรรมของพระองค์ยังสมบูรณ์พร้อม สมณะทั้ง ๔ จะมี ก็แปลว่าทุกประเภทมีหมด เพียงแต่ว่าประเภทไหนจะมากที่สุด ก็คือตั้งอยู่ด้วยอำนาจของประเภทนั้น

ถาม : .....(ไม่ชัด)....
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าเป็นเองถึงจะรู้ ของพวกนี้เป็นปัจจัตตัง กินข้าวเองแล้วถามคนอื่นได้ไหมว่าเราอิ่มหรือเปล่า ? เราต้องรู้เอง รีบไปทำ...อาตมาขอยืนยันว่ามรรคผลเป็นอกาลิโก ไม่จำกัดด้วยกาลสมัย ใครตั้งใจทำจริงมีโอกาสได้ทุกคน

ถาม : .....(ไม่ชัด)....
ตอบ : เรื่องธรรมะของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกับข้าว อยู่ตรงหน้าก็ตักใส่ปากเลย อย่ามัวแต่ไปนั่งเขี่ยดูว่า ผัดกะเพราจานนี้มีข้าวกี่เม็ด มีหมูกี่ชิ้น มีพริกเท่าไร มีกะเพราเท่าไร ถ้ามัวแต่ไปหาอย่างนั้นจะไม่ได้กินเสียที ตั้งหน้าตั้งตาทำอย่างเดียวก็จบเลย
ศีล สมาธิ ปัญญา รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ทำสมาธิทุกวัน ถ้าสภาพจิตสงบถึงระดับ ปัญญาจะเกิดเอง เริ่มจากศีล ถ้าเรารักษาศีลได้ครบถ้วนบริบูรณ์ สภาพจิตของเราระมัดระวังไม่ให้ศีลขาด สมาธิของเราจะเกิดเองโดยอัตโนมัติ ถ้ารักษาศีลได้ทรงตัว เท่ากับเราได้สมาธิไปเกินครึ่งแล้ว

เถรี
12-04-2017, 20:40
ถาม : ...(ไม่ชัด)...
ตอบ : สรรพสัตว์รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกัน การรักษาศีลก็คือการที่ไม่ให้เราเบียดเบียนคนอื่นด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ถ้าสำนึกได้ว่าคนอื่นก็รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกับเรา ถือว่าเราเข้าถึงสภาพธรรมบ้างไหม ? ก็เข้าถึง แต่ก็เป็นสภาวะเบื้องต้นของศีล

หลังจากนั้นพอสมาธิเพิ่มขึ้น ความสงบของจิตมีมาก ปัญญาเกิดก็จะมีจิตพิจารณาเห็นว่า สรรพสิ่งมีความไม่เที่ยงเป็นปกติ มีความทุกข์เป็นปกติ ไม่มีอะไรให้เรายึดถือมั่นหมายเป็นปกติ ถ้าสภาพจิตยอมรับ กำลังของสมาธิกับศีลเพียงพอ ก็จะเกิดปัญญาที่ตัดขาด ทำให้เข้าถึงได้ตามวาสนาบารมีของตนเอง

ไปรีบทำ อย่ามัวแต่ถามอยู่ มัวแต่ถามอยู่จะไม่ได้กินอะไรเสียที

ถาม : ศึกษาค่ะ ?
ตอบ : ศึกษาก็คือศึกษาด้วยการปฏิบัติ ไม่ใช่ศึกษาแบบมัวแต่อ่านตำราแล้วสงสัย แบบนั้นจะไม่ได้อะไร สิกขา ที่แปลว่า ศึกษา ไตรสิกขา ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ต้อง ศึกษาด้วยการทำ

เถรี
12-04-2017, 21:22
ถาม : คนที่เป็นพุทธภูมิแล้วลาไปพระนิพพาน จะมีโอกาสเข้าถึงพระนิพพานชาตินี้ได้เร็วไหมคะ ?
ตอบ : อยู่ที่คนทำ บุคคลที่ลาพุทธภูมิปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอริยเจ้า จะลำบากกว่าสาวกภูมิหลายเท่า เป็นเพราะสันดานเดิมของตัวเอง ถ้ารู้อะไรไม่ละเอียดจะไม่ปล่อยผ่านง่าย ๆ เพราะฉะนั้น...ถ้าเป็นสาวกภูมิเดินขึ้นมาบนนี้ยังไม่ได้นับเสียด้วยซ้ำว่าบันไดมีกี่ขั้น แต่พุทธภูมิต้องไปพินิจพิจารณาว่ากว้างเท่าไร ยาวเท่าไร สร้างด้วยวัสดุชนิดไหน มีวิธีการก่อสร้างอย่างไร ออกแบบอย่างไร เป็นอย่างนี้แล้วช้ากว่ากันเท่าไร ?

ถาม : แล้วจะมีวิธีไหนที่จะเร่งรัดให้ไปได้เร็วขึ้นคะ ?
ตอบ : ทำแบบหัวไม่วางหางไม่เว้น คนอื่นเขาอาจจะทำเช้า ๑ ชั่วโมงเย็น ๑ ชั่วโมง เราอาจจะต้องทำวันละ ๒๕ ชั่วโมง...!

เถรี
12-04-2017, 21:43
ถาม : มีวิธีในการตัด "ตัวกูของกู" แบบง่าย ๆ ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่มี...ถ้าง่ายก็ไปพระนิพพานกันหมดแล้วสิ เพียงแต่ว่าไม่ยากเกินความสามารถ สำคัญที่สุดคือต้องมีสติรู้เท่าทัน เมื่อมีสติรู้เท่าทัน ต้องมีสมาธิหักห้ามตนเองเอาไว้ให้ได้ ก็คือไม่ให้ตัวกูของกูโผล่ขึ้นมา ท้ายสุดก็พินิจพิจารณาว่า ตัวเราก็ตาย ตัวเขาก็ตาย มีใครดีกว่ากันเสียที่ไหน เมื่อปัญญาเกิด ปล่อยวางได้ ตัวกูของกูก็หมดไป ไม่ต้องไปหาทางลัด มีแต่ทางตรงเท่านั้น ทางไหนลัด ทางนั้นไกลกว่า

ถาม : ถ้าเราพินิจพิจารณาว่า เขาก็ตาย เราก็ตาย เขาก็ลำบาก เราก็ลำบาก เราเลยเลือกที่จะเพิกใส่เขาตลอด เดินผ่าน ๆ กันไป ?
ตอบ : นั่นวางใส่กบาลเขา..! ไม่ได้วางด้วยปัญญา ประเภทกูวางได้แล้ว กูไม่สนแล้ว ที่ไหนได้...ไปวางใส่หัวเขา ไม่ได้วางด้วยปัญญา แต่วางด้วยทิฏฐิมานะ...!

สมัยนี้วางประเภทนั้นเยอะ คิดว่ากูวางได้แล้ว แต่ทำไมกูเจอหน้ามัน กูไม่สบายใจทุกที ลืมไปว่า...ถ้ากูวางได้ เมื่อเจอหน้าต้องยิ้มแย้มแจ่มใส ทำดีกับเขาได้สิ ไม่ใช่กูวางได้ เจอหน้าทีไรแล้วกูหงุดหงิด ไปเถอะ...ถ้าวางมากไม่ได้ ก็วางใส่หัวมันไปก่อน อย่างน้อย ๆ ก็วางได้หน่อยหนึ่ง

คนเรานี่แปลกมาก ฟังอาตมาดี ๆ นะ ความสามารถในการบรรลุมรรคผลสูงมากเลย แต่ไม่เคยใช้ได้ถูก ถามว่าทำไม ? สมมติเราโกรธคนนี้ พอเขามาคุยด้วย ฮึ...กูโกรธมัน กูต้องไม่พูดกับมัน สติโคตรดีเลย รู้ว่ากูโกรธมัน ในเมื่อสติมึงดีขนาดนั้น ทำไมไม่ใช้ในทางที่ถูก ? เฮ้อ...ฟังแล้วเซ็ง ไปคลำหาเอาเองก็แล้วกัน

เป็นอย่างไร รู้ตัวไหม ? กูโกรธมัน ในเมื่อกูโกรธมัน กูจะไม่พูดกับมัน ไม่ว่ามันจะขยับมามุมไหน เมื่อไร เวลาใด กูมีสติรู้อยู่ว่ากูโกรธมัน แล้วเมื่อไรจะมีสติว่ากูควรที่จะปล่อยวาง...! อาตมาดู ๆ บางทีก็เบื่อฉิบหา...! ลูกศิษย์กูเป็นแบบนี้ร้อยละ ๙๙.๙๙...!

เถรี
12-04-2017, 21:48
ถาม : ...(ไม่ชัด)...
ตอบ : เรื่องปกติ ยิ่งปฏิบัติไป สภาพจิตละเอียดก็ยิ่งเห็นชัด ความจริงกิเลสอยู่กับเราตลอดเวลา แต่ก่อนหน้านี้ปัญญาน้อยไปหน่อยเลยมองไม่เห็น ตอนนี้แสดงว่ามีความก้าวหน้าขึ้น แค่ระมัดระวังอย่าให้ออกมาทางวาจา อย่าให้ออกมาทางกาย

คิดชั่วได้ ถ้าเราไม่พูดชั่ว ไม่ทำชั่ว เราก็ชนะไป ๒ ใน ๓
ถ้าเราคิดชั่ว พูดชั่ว แต่เราไม่ทำชั่ว เราก็ชนะ ๑ ใน ๓
ถ้าคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่วด้วย เราแพ้ทุกประตู
ถ้าไม่คิดชั่ว ไม่พูดชั่ว ไม่ทำชั่ว เราชนะทุกประตู ไปเลือกเองว่าจะเอาอะไร

มาทุกเวลาแหละ กิเลสไม่เคยปล่อยเรา กินเราทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที ทั้งหลับทั้งตื่น ทั้งยืนทั้งนั่ง กินเราหมด ส่วนเราเองก็เกรงใจเหลือเกิน ขอเอาคืนวันหนึ่ง เช้าชั่วโมง เย็นชั่วโมง หรือไม่ก็เช้า ๒๐ นาที เย็นครึ่งชั่วโมง รู้สึกว่าเราดีเหลือเกิน เราเป็นคนมีเมตตา กลัวกิเลสจะเศร้าหมอง คอยให้อภัย มีโอกาสชนะได้ก็บี้กิเลสให้ตายไปเลยสิ

ถาม : ..(ไม่ชัด)...
ตอบ : ไม่ใช่ไปเถียงกับเขา ทำอย่างไรจะไม่ให้คิด ก็คือกลับมาอยู่กับลมหายใจเฉพาะหน้า ถ้าความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจ ก็จะไม่คิดชั่ว ไม่พูดชั่ว ไม่ทำชั่ว ในเมื่อไม่คิดชั่ว ไม่พูดชั่ว ไม่ทำชั่ว กรรมใหม่ไม่มี กรรมเก่ามีอยู่แค่นั้นแหละ เดี๋ยวขัด ๆ ปัด ๆ เป่า ๆ ถู ๆ ขนไปทิ้งถังขยะ เดี๋ยวก็หมดไปเอง

เถรี
12-04-2017, 21:52
ถาม : ..(ไม่ชัด)...
ตอบ : มีหรือไม่มีไม่เป็นไร ให้ความรู้สึกอยู่ตรงนี้ อย่าไปอดีต อย่าไปอนาคต อย่าไป รัก โลภ โกรธ หลง ไปเถอะ...กลับไปทำ การบ้านที่ให้พอทำได้ตลอดชีวิตเลย

ต่อไปให้รู้ตัวนะ ว่าเราจะวาง รู้ตัวว่าเราจะไม่โกรธ ไม่ใช่รู้ตัวว่ากูจะโกรธ กูจะไม่พูดกับมัน ไอ้นี่เจอหน้ากูต้องด่ามัน ไอ้นี่เจอหน้ากูไม่ชอบใจ กูต้องตำหนิมันให้ได้ กลายเป็นไปเพ่งโทษคนอื่น ไม่เห็นเขาทำอะไรดีสักอย่าง ท้ายสุดคนที่แย่คือเรา เพราะว่าสภาพจิตของเราเศร้าหมองเอง ถ้าตายตอนนั้นก็ขาดทุนยับเยิน

ไปเถอะ...พอแล้ว ธรรมะก็เหมือนกับกินข้าว กินมากไปก็ท้องอืด ย่อยไม่ทันหรอก ได้แค่ไหนพอเหมาะพอควรแก่ตัวเองแล้วก็ไปเร่งทำเอา

ในเมื่อสติสุดยอดขนาดนั้นต้องชนะกิเลสได้สิ นี่ดันเอาสติไปช่วยกิเลส

เถรี
12-04-2017, 22:04
ถาม : ..(ไม่ชัด)...
ตอบ : แปลว่าไม่มีอะไรให้เรายึดมั่นถือมั่นได้สักอย่าง สองคำนั่นแหละคำเดียวกัน สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ แปลว่า ธรรมทั้งหลายไม่มีอะไรที่ควรยึดมั่นถือมั่น สัพเพ ธัมมา อนัตตา แปลว่า ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน

คำว่า ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน ก็คือ ยึดถือมั่นหมายไม่ได้ เป็นคำที่ใช้แทนกัน ก็แบบเดียวกับนิโรธ ก็คือ ดับสิ้นกิเลสทั้งปวง นิพพาน แปลว่า ธรรมชาติหาความเสียดแทงไม่ได้ คือไม่มี รัก โลภ โกรธ หลง มาคอยกวนใจอยู่ เป็นคำที่ใช้แทนกันได้

ถาม : ในเรื่องธรรมะเราต้องปล่อยวาง ?
ตอบ : แบกความดีเอาไว้ให้มากที่สุด เมื่อถึงเวลาเราจะได้มีให้วาง ไม่ใช่เราวางทุกอย่างโดยที่ไม่มีอะไรจะวาง แล้วจะวางอย่างไรเล่า ?

แบกความดี เกาะความดีไปก่อน ถ้าวางไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ผลดีก็จะเกิดขึ้นกับเราในอนาคต แต่ถ้าทำความดีถึงที่สุด ปัญญาเกิดแล้ววางได้ แม้แต่ความดีก็จบกันแค่นั้น อนาคตไม่มีอีก

เถรี
18-04-2017, 15:39
ถาม : ......(ไม่ชัด).....
ตอบ : อยู่กับลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว ไม่ต้องฝึกอย่างอื่น ถ้าอยู่กับลมหายใจเข้าออกได้จริง ๆ ความฟุ้งซ่านจะหมดไป ทุกวันนี้ที่เป็นเพราะยังอยู่ไม่ได้จริง ไปเริ่มต้นทำใหม่ ได้เมื่อไรแล้วมาถาม จะสอนต่อไปให้

เถรี
18-04-2017, 15:45
ถาม : ....(ไม่ชัด)..... จิตเป็นอย่างนั้นจริง ๆ นะคะ ?
ตอบ : เขาเรียกว่ากิเลสมารหลอก แสดงว่าถ้าเราตั้งใจทำจะเกิดผลเร็ว เพราะฉะนั้น...เขาก็เลยหาทางเตะสกัดด้วยการยัดความคิดโง่ ๆ มาใส่หัวเรา ก็แค่เรารู้เท่าทันว่าไม่เป็นอย่างนั้นก็จบแล้ว ไป...ไปเริ่มทำใหม่ รักษาอารมณ์ได้เมื่อไรแล้วค่อยมาถามต่อ

ถาม : ...(ไม่ชัด).....
ตอบ : ว่าไปเรื่อย ๆ กำหนดความรู้สึกไว้ที่เท้ามากกว่า อย่ากำหนดความรู้สึกไว้ที่คาถามากกว่า ถ้าความรู้สึกอยู่ที่คาถามากกว่าเราจะเดินไม่ได้

เอาลมหายใจก่อน คือเราต้องระงับความฟุ้งซ่านของเราให้ได้ก่อน ถ้าหากว่าอยู่กับลมหายใจได้ ความฟุ้งซ่านหมดไปแล้วค่อยฝึกอย่างอื่นต่อ ถ้าอยากได้ปลาหลายตัวเราจะจับไม่ไหว จับปลาหลายมือก็หลุดหมด

เถรี
18-04-2017, 15:49
ถาม : ทำสังฆทานอุทิศให้หมาค่ะ เขาไม่ยอมตายสักทีค่ะ ?
ตอบ : บอกไปว่าไม่ต้องห่วงหรอก จะไปไหนก็ไปเถอะ ไม่ต้องมาเกิดใหม่กับกูหรอก..!

ถาม : เขาบอกว่า เขาเลือกได้ เลือกที่จะอยู่กับใครก็ได้ เขาทำแบบนั้นได้จริง ๆ หรือคะ ?
ตอบ : ถ้ากำลังของเขาถึงก็ทำได้ แต่กำลังใจของเขายังเกาะเราอยู่

ถาม : ยิ่งกว่าคนหรือคะ ?
ตอบ : ยิ่งกว่าคนอีก กำลังใจเขายังยึดอยู่ เขาไม่ไปเสียอย่างเราจะทำไปอะไรได้ จิตหมาก็คือคน เพียงแต่ว่าอยู่ในร่างหมาเท่านั้นเอง

เถรี
18-04-2017, 16:01
ถาม : ถ้าเราจะช่วยชาวบ้านด้วยการทำให้ฝนตก เราต้องแลกกับอะไรบ้าง ?
ตอบ : ก็ทำบุญอุทิศให้ท่านบ่อย ๆ สิ

ถาม : เราต้องเผชิญโชคชะตาอะไรบางอย่างที่โหดร้ายหรือเปล่า ?
ตอบ : ปกติก็โหดร้ายอยู่แล้ว ถือว่าเพิ่มความสะดวกในท่ามกลางความโหดร้าย จะไปเดือดร้อนอะไร มีชีวิตใครไม่โหดร้ายบ้างวะ ?

ถาม : จะโหดร้ายกว่าเดิมไหม ถ้าเราจะอดน้ำสักสามสี่วัน ?
ตอบ : แล้วทำไมเราต้องไปอด ?

ถาม : เพราะเราขอน้ำให้คนอื่นเขา ?
ตอบ : ส่วนใหญ่จะไม่เป็นอย่างนั้น จะไปเป็นเรื่องอื่นแทน เพราะว่าเราไปผ่อนคลายกฎของกรรมของคนหมู่มาก เขาเดือดร้อนเรื่องอะไร เราก็จะเดือดร้อนเรื่องนั้นแทน แต่ไม่เห็นครูบาอาจารย์ท่านจะถือสาหาความอะไร ท่านก็ทำของท่านไปเรื่อย ท่านถือว่าสงเคราะห์ญาติโยม ถึงตัวเองจะลำบากบ้างก็สมควร

เถรี
18-04-2017, 16:07
ถาม : (มโนมยิทธิ)
ตอบ : พิสูจน์...! หาทางพิสูจน์กับสิ่งที่ใช้ระยะเวลาสั้น ๆ อย่างเช่นว่านั่งอยู่ข้างถนน หลับตาทำใจสบาย ๆ เสียงรถวิ่งมาให้ถามตัวเองว่ารถคันนี้สีอะไร ? พอได้คำตอบก็ลืมตาดู ถ้าถูกให้จำว่าอารมณ์ตอนนั้นเป็นอย่างไร ถ้าผิดไม่ต้องจำ ซักซ้อมอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ความชำนาญคล่องตัวจะมีมากขึ้น แล้วเราจะแยกแยะออกเอง ถ้าหากว่าไม่พิสูจน์ก็มั่วไปเรื่อย โอกาสผิดมีมากกว่าถูก

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ไม่ต้องใส่ใจ รับรู้ไว้ด้วยความเคารพ เรื่องของภาพและเสียงโอกาสพาเราเสียมีมากกว่าดี เนื่องจากว่าสันดานคนมีอยู่อย่างหนึ่งที่แก้ไม่ได้เลยก็คือ กูเห็น กูได้ยิน กูเลยเชื่อ ในเมื่อกูเห็น กูได้ยิน กูเลยเชื่อ ก็เลยไม่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นหรือได้ยินนั้น...ไม่ใช่ของจริง

อาตมาเคยเปรียบเทียบว่าเห็นคนเขาไล่ยิงไล่ฟันกันมา เราก็ลากมีดลากปืนไปช่วยเขา แล้วจะโดนเขากระทืบตาย เพราะว่าเขาถ่ายหนังอยู่ ที่เราเห็นนั้นเราเห็นจริง ๆ แต่เรื่องที่เราเห็นจริงนั้นไม่จริง

เถรี
18-04-2017, 16:12
พระอาจารย์สนทนากับพ่อของสามเณร "เลี้ยงลูกต้องฝึกให้ลูกเอาตัวรอดให้ได้ เราอายุมากอย่างไรก็ไปก่อนเขาแน่ คิดกันง่าย ๆ ว่า ถ้าเราเป็นอะไรไป ลูกอยู่ไม่ได้ก็อนาถสุดชีวิต เพราะฉะนั้น...ต้องให้เขาทำอะไรได้ด้วยตัวเองให้เร็วที่สุด

คนไหนที่มีจิตสำนึก รู้จักเก็บไปนี่จะได้อะไรจากการบวชเยอะมาก ถ้าพวกประเภทไปถึงก็บ่น “ทำไมพ่อแม่ทิ้งมาให้เราลำบากลำบนขนาดนี้” พวกนั้นไม่ค่อยได้อะไรหรอก มัวแต่ตัดพ้อต่อว่าโชคชะตาอยู่

ไปนึกถึงนายอาร์ตพี่ของลูกจ๊ะเอ๋ สมัยก่อนร้องห่มร้องไห้ในบึงลับแล เพราะว่าโดนท่านกอล์ฟหลอก

“หลวงน้า ในบึงมีเสือไหม?”
"มีสิ”
“แล้วถ้าเสือมาจะทำอย่างไร ?”
“ก็วิ่งหนีสิ”
“แล้วหลวงน้าไม่กลัวเสือหรือ ?”
“จะไปกลัวอะไร หลวงน้าขายาวกว่า วิ่งหนีทัน เอ็งวิ่งช้ากว่ามีหวังโดนกินแน่”


เณรอาร์ตนั่งร้องไห้เลย ถ้าเด็กฉลาดหน่อยก็น่าจะรู้จักคิด ว่าถ้าไปแล้วตายหลวงพ่อคงไม่พาไปหรอก คราวนี้เขาไม่รู้จักคิด คิดแต่ในด้านว่าป่านั้นน่ากลัว"

เถรี
18-04-2017, 19:56
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : เดี๋ยวพอไปบอกคนอื่นต่อ ก็ไม่เชื่อต่อไป คนยืนอยู่ในห้อง แต่ดันคิดว่าตัวเองยังเดินอยู่บนบันได พอคนอื่นบอกว่าอยู่ในห้องแล้วก็ไม่เชื่อสักที เออ...ก็เรื่องของมึงเถอะ..! อ๋อขึ้นมาวันไหนก็คงจะสงสัยว่า นี่กูรู้มานานขนาดนี้แล้วทำไมไม่ก้าวหน้าสักที

ไปเถอะ....จริง ๆ ยังอาศัยอะไรไม่ได้หรอก นอกจากความมั่นใจว่านรกมีจริงสวรรค์มีจริง จนกว่าเราจะใช้ตัดกิเลสได้นั่นถึงจะของจริง ไม่อย่างนั้นอย่างเก่งก็รู้มากกว่าชาวบ้านเขาหน่อยเดียว

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ท้ายสุดเมื่อพอแล้วก็ไม่เอาอะไร เลิกอยากรู้อยากเห็น เหลืออย่างเดียวคือทำอย่างไรตัดกิเลสให้ได้ ทำอย่างไรที่จิตของเราไม่ให้เอียงไปในเรื่องของ รัก โลภ โกรธ หลง

เถรี
18-04-2017, 20:04
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ไม่จำเป็น ไม่ได้อยู่ที่ใจ อยู่ที่มือ ตำราหลวงพ่อวัดท่าซุงไม่ค่อยมีอะไรห้ามปรามหรอก ท่านถือว่าบารมีพระไม่มีอะไรลบล้างได้ ขอให้ไม่ปรามาสเท่านั้น ปรามาสเมื่อไรก็ไม่มีใครลบล้างบารมีพระได้ เพียงแต่พระท่านไม่คุ้มครองเท่านั้น

เถรี
18-04-2017, 20:23
ถาม : น้ำมันยางผสมน้ำผึ้งอย่างละเท่า ๆ กัน แก้ข้อเข่าเสื่อม ?
ตอบ : นั่นแหละ จะเอาแน่ ๆ ไปหาที่เขาเจาะเอาน้ำมัน ซื้อจากชาวบ้านเขามาสักขวดหนึ่ง ตอนที่ไปอยู่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ ชาวบ้านรอบ ๆ เขายังเจาะน้ำมันยางกันอยู่แทบทุกบ้าน

ถาม : ขวดขนาดเท่าไรครับ ?
ตอบ : ขวดมาตรฐานขวดกลม ประมาณลิตรหนึ่ง ก็ผสมกับน้ำผึ้งหนึ่งลิตร รวมเป็นสองลิตร เขย่าให้เข้ากันดี กินยากมาก ลองดู...ตัวจะเหม็นไปเป็นปี ๆ เลย กลิ่นน้ำมันยางแรงมาก

ถาม : กินแค่ไหน ?
ตอบ : กินแค่หมด

ถาม : ตัวจะเหม็นมาก ?
ตอบ : ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะว่ายาถูกขับออกทางรูขุมขน จนกว่าฤทธิ์จะหมด

ถาม : สรรพคุณ ?
ตอบ : คนแก่สามารถเดินได้เหมือนคนหนุ่ม

ถาม : ไขข้อล่ะครับ ?
ตอบ : ต้องคนไขข้อเสื่อมปกติถึงจะช่วยได้ ไม่ใช่เกิดด้วยอุบัติเหตุ

เถรี
19-04-2017, 19:42
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่ถวายวัตถุมงคลที่สะสมมาว่า “ถ้าหากว่าเริ่มสละของหวงได้ ต่อไปก็ไม่มีอะไรให้อาลัยแล้ว”

เถรี
19-04-2017, 19:43
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาบอกกับพระที่วัดว่า ยาจินดามณีกินวันพระจะดีกว่า ปรากฏว่าพอขึ้นแปดค่ำก็กินกันกระจาย แต่ที่กินก่อนเพื่อนเลยคือใครรู้ไหม ? แม็กซีมเล่นกินเสาร์ห้าวันนั้นเลย พระที่ทำยังไม่แข็งตัวดี เล่นหั่นเป็นขนมเค้กเลย ๕ ชิ้น แล้วไม่รู้ว่าจะหั่นไปทำไม ? หั่นแล้วก็กินหมดทั้ง ๕ ชิ้น แบบนั้นกลืนไปทั้งองค์ก็หมดเรื่อง...!"

เถรี
19-04-2017, 19:44
พระอาจารย์กล่าวว่า “วันทำบุญบ้านเติมบุญ อาตมาจะนิมนต์พระอาจารย์พิจารย์ วัดโพธิ์ผักไห่มาด้วย นิมนต์พระเกจิอาจารย์มาให้ทำบุญกัน วัดโพธิ์ผักไห่แสดงว่ามีต้นโพธิ์ขึ้นแล้วมีผักไห่เลื้อยอยู่ด้วย รู้จักผักไห่ไหม ? ผักไห่เป็นภาษาโบราณ คือมะระขี้นก”

เถรี
19-04-2017, 19:45
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่ถวายสังฆทานว่า “ให้วางพระพุทธรูปไว้บนกล่อง อย่าวางไว้บนพื้น วางพระต่ำเดี๋ยวเราจะตกต่ำเสียเอง เห็นแล้วก็ต้องคอยเตือน เพราะกว่าจะรอให้เขาตระหนักรู้เองบางทีก็นานมาก ความเคารพในพระรัตนตรัยต้องขึ้นไปถึงในระดับหนึ่ง ถึงจะรู้ว่าควรไม่ควรอย่างไร”

เถรี
21-04-2017, 13:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันงานเป่ายันต์ฯ แม่ชีชื่นสั่งน้ำมาเข้าพิธีเป็นน้ำมนต์เสาร์ ๕ หนึ่งตู้คอนเทนเนอร์ ๘,๔๐๐ ขวด หมดเกลี้ยงไม่เหลือเลย อาจเป็นเพราะหน้าร้อน คนจึงอยากได้น้ำ พระท่านก็เมตตาสงเคราะห์มาก กราบเรียนถามว่าเป็นเพราะอะไร ท่านบอกว่าภาวะสงครามหรือการก่อการร้าย จะแผ่กระจายกว้างออกไป ไม่กี่วันเท่านั้นเองสหรัฐอเมริกาก็ล่อซีเรียเข้าให้

กลัวอยู่อย่างเดียวว่าประธานาธิบดีทรัมป์เป็นคนจุดเดือดต่ำ ดีไม่ดีจะล่อด้วยนิวเคลียร์ แต่ถ้ามุสลิมลุกฮือเมื่อไร สหรัฐอเมริกาตาย...เพราะในสหรัฐอเมริกามีมุสลิมเกินครึ่งไปแล้ว"

เถรี
21-04-2017, 15:05
พระอาจารย์เมตตาให้คำสอนญาติโยมที่เดินทางไกลมาจากภูเก็ต "ถ้าหากว่าเราตั้งใจทำความดีต้องฝืนกระแสโลก คราวนี้พอเราฝืนกระแสโลก เราจะทนคำคนอื่นได้ไหม ? ถึงเวลาคนโน้นก็ว่าบ้า คนนี้ก็ว่าบ้า จนหมดอารมณ์ที่จะทำ เราต้องสู้กระแสได้ เพราะของบางอย่างต้องพิสูจน์กันนาน ๆ ถึงจะรู้ว่าของพวกนี้จริงหรือไม่จริง

คราวนี้ระยะเวลา ถ้าเรายืนระยะไม่ได้ บางทีก็เสียประโยชน์เอง คนที่เขายืนระยะได้ สร้างบุญเก่ามาดี เขาเข้าก่อนเราไม่รู้นานเท่าไร เรารอจนอายุมากแล้วยังไม่ได้เข้า

โดยเฉพาะเรื่องของศีล ทิ้งไม่ได้เด็ดขาด ศีลคือพื้นฐานสมาธิ เราตั้งใจระวังไม่ให้ศีลขาดนั่นก็เป็นการสร้างสมาธิให้เกิด เพราะสติต้องระวังอยู่ตลอดเวลา คราวนี้ถ้าศีลทรงตัว สมาธิก็ง่ายแล้ว หลังจากที่สมาธิทรงตัว จิตจะนิ่งเหมือนกับน้ำ ถ้าน้ำกระเพื่อมอยู่ก็มองอะไรไม่เห็น แต่ถ้าน้ำนิ่งจะสะท้อนเงาลงไปทุกอย่าง ประเภทเห็นผี เห็นเทวดาอะไรทำนองนี้

ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนแรก ๆ แล้วหลายคนก็เสียหมาไปเลย พอสภาพจิตเริ่มนิ่ง ก็เสียหมาทุกที บางคนเขาสงสัยว่า ให้หวยถูก ๓ งวด ๔ งวด งวดถัดไปคนไปกันเต็มวัดดันไม่ถูก ก็เพราะว่าพังไปแล้ว สภาพจิตไม่นิ่งแล้ว รัก โลภ โกรธ หลง เริ่มเข้ามาแล้ว"

เถรี
21-04-2017, 15:09
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมรุวัดท่าขนุนหลังนี้กิจการดีมาก ทันทีที่ตั้งโครงกับเตาเผาเสร็จ ศพก็เข้าแล้ว เผาแล้วเผาอีก ปรากฏว่าญาติโยมที่ไปงานศพวัดอื่น พอเห็นเมรุก็สั่งลูกหลานไว้เลยว่า ถ้าตายให้เอามาเผาที่วัดท่าขนุน บอกเขาไปแล้วว่าเผาฟรีไม่คิดอะไร ถ้าเกรงใจวัดก็ซื้อน้ำมันดีเซลมา ๖๐ ลิตร ๒ ชั่วโมงครึ่งเก็บกระดูกได้ เพราะว่าเผาเสร็จแล้วมีการเป่าให้เย็นด้วย ไม่ต้องรอกันข้ามวันข้ามคืน ไปเก็บกระดูกวันรุ่งขึ้นเหมือนกับที่อื่น

ที่สร้างเมรุขึ้นมาเกิดจากแนวคิดที่ว่า ทองผาภูมิของเราแขกผู้ใหญ่ขึ้นไปเยอะมากเลย พวกรัฐมนตรี ผู้ช่วยรัฐมนตรี ส.ส. ส.จ. นายพล นายพัน เต็มไปหมดเวลาไปงาน ประกาศเชิญขึ้นไปทอดผ้า แต่ว่าเมรุแต่ละหลังโทรมจนดูไม่ได้เลย ไม่สมเกียรติของคนตาย

ในเมื่อไม่มีใครทำ อาตมาก็ทำเสียเอง แต่ทุกวันนี้เขาหาเมรุกันไม่เจอ คิดว่าเป็นพระเจดีย์ ขนาดมีประตูเมรุอยู่ เขายังคิดว่าเป็นประตูเข้าพระเจดีย์ บอกด้วยความภูมิใจว่า เมรุหลังนี้อาตมาออกแบบเอง เสียดายว่าไม่ใช่วิศวกร แล้วก็ไม่ได้จบสถาปนิกแบบไทยมา เลยออกแบบเป็นทรงแข็ง ๆ ไปหน่อย"

เถรี
21-04-2017, 15:11
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนหน้าอาตมาจะไปทิเบต ๑ อาทิตย์ ถามว่าทำไมไป ๑ อาทิตย์ ? เพราะว่ารัฐบาลจีนให้ไปได้แค่นั้น รัฐบาลจีนประกาศห้ามพระไทยเข้าประเทศเลย ต้องซิกแซ็กจนสุดชีวิตกว่าที่จะได้วีซ่ามา

จำได้ว่าโดยปกติวีซ่าประเทศจีนเขาให้เดือนหนึ่ง เมื่อหลายปีก่อนไปเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง เขาตัดเหลือ ๑๕ วัน งวดนี้ซิกแซ็กสุดชีวิตได้มาแค่ ๗ วัน ได้ตามตารางเวลาที่ไปเลย ถ้าหากว่าผิดพลาดแม้แต่ชั่วโมงเดียว ก็ติดคุกอยู่ที่ประเทศจีนนั่นแหละ

ส่วนที่ต้องการเลยก็คือพระราชวังโปตาลา วัดโจคัง ทะเลสาบยัมดร๊อกโซ ที่เหลือแล้วแต่เขาจัดให้ ตั้งใจจะไปดูว่าตัวเองยังอยู่ไหม ? ...(หัวเราะ)... เขาทำพระเจดีย์บรรจุสังขารเอาไว้ แหม...ประเภทขอยากขอเย็น เรียกเอกสารรับรองตัวเอง เรียกแล้วเรียกอีก ๘ ครั้ง ๑๐ ครั้ง เรียกจนหมดอารมณ์ กูไม่ไปแล้วโว้ย..! วีซ่าพระจ่ายตั้ง ๕,๙๐๐ บาทเขายังไม่รับรองเลยว่าจะผ่านหรือเปล่า ?

ท่านเจ้าคุณปิงไปได้เพราะเป็นผู้ช่วยเลขานุการประธานผู้ดูแลพระธรรมทูตในต่างประเทศอยู่แล้ว ท่านจะไปเมื่อไรก็ได้ แต่ของอาตมาไม่มีสิทธิ์ มีญาติโยมที่เขาอยากไป บอกไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ถ้าไปได้ก็บอกเขาด้วย มีเวลาเตรียมตัวกันคนละวันสองวันเท่านั้นเอง เพราะต้องจองตั๋วเครื่องบิน งวดนี้ไปแพงด้วยเพราะต้องนั่งเครื่องบินภายใน คุนหมิง-ลาซา แล้วนั่งรถไฟจากลาซามาซีหนิง จากนั้นนั่งเครื่องบินซีหนิง-คุนหมิงอีกที"

เถรี
21-04-2017, 17:53
พระอาจารย์กล่าวว่า "แจ้งเตือนญาติโยมว่า เวลาทำบุญอย่าห่วงถ่ายรูป ไม่ว่าจะฝากคนอื่นถ่าย หรือว่าเซลฟี่เองก็ตาม เพราะว่ากำลังใจของเราไม่ได้มุ่งมั่นกับทานตรงหน้า ทำให้อานิสงส์น้อยลงยังไม่พอ อาจจะเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยอีกด้วย

อาตมาเคยแกล้งพูดไว้ว่า สมัยก่อนทำบุญเขาบรรลุมรรคผลกันเร็วเพราะว่าไม่ห่วงถ่ายรูป สมัยนี้ห่วงถ่ายรูป จิตใจเป็นกังวล แทนที่จะทำแล้วได้มรรคได้ผล ก็เลยไม่ได้อะไรสักที ได้แต่รูปลงเฟซบุ๊ก ต้องบอกว่าเป็นไปตามยุคสมัย แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงแล้วแย่ลง"

เถรี
21-04-2017, 17:54
"โดยปกติแล้วหลักธรรมของพระพุทธเจ้าช่วยให้บรรลุมรรคผลได้ทุกลำดับ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เคยถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า การให้ทานบรรลุมรรคผลได้อย่างไร ? หลวงพ่อวัดท่าซุงกราบทูลว่า การให้ทานต้องมีกำลังใจในการเสียสละ พอเสียสละบ่อย ๆ ไม่รู้สึกว่า "เสีย" ก็ "สละ" อย่างเดียว พอสละไปบ่อย ๆ ส.เสือหายไปเหลือแต่ "ละ" คำเดียว

เรื่องของการให้ทานมีหลายระดับ ญาติโยมส่วนหนึ่ง ให้ทานแล้ววางอุเบกขาไม่เป็น ก็เลยมีอานิสงส์น้อย คำว่า วางอุเบกขาไม่เป็น คือให้ไปแล้วยังไปตามเช็คว่า ได้กิน ได้ใช้ของเราหรือเปล่า ? ให้แล้วก็เป็นสิทธิ์ของท่านไปแล้ว จะไปยุ่งอะไรกับท่านมากมาย"

เถรี
21-04-2017, 17:57
"ตอนที่หลวงพ่อสิงห์ทองท่านยังอยู่ มีคุณนายท่านหนึ่งเอาลิ้นจี่ไปถวาย คราวนี้ถ้าเอาไปถวายทั้งพวงพระธรรมยุตท่านฉันไม่ได้ ท่านถือว่ายังงอกเป็นต้นได้ ก็ต้องมีการปอกเสียก่อน คราวนี้มีคนใจเดียวกันเอาลิ้นจี่ไปถวายหลายคน คุณนายท่านก็ปอกของคนอื่นกองขึ้นมาเรื่อย แล้วเอาของตัวเองโปะหน้าไว้ อย่างไรหลวงพ่อก็ต้องฉันของเราแน่ ๆ

ปรากฏหลวงพ่อสิงห์ทองรับมา ท่านใช้นิ้วล้วงเข้าไปข้างใน หยิบจากข้างใน สั่งสอนให้เห็นซึ่ง ๆ หน้าเลย คือพระธรรมยุตเวลาท่านฉัน หัวแถวรับแล้ว หยิบหรือตักในส่วนที่ตัวเองพอใจ จากนั้นส่งให้ท่านที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ไปจนท้ายแถว สมัยหลังใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย ใช้ถาดไม้ลักษณะเหมือนกับตั่งเล็ก ๆ แล้วมีล้อเข็น ถึงเวลาโยมเขาวาง ท่านตักเสร็จก็เลื่อนต่อไปเรื่อย ๆ แต่สมัยอาตมาวิ่งรับใช้ครูบาอาจารย์รุ่นนั้นอยู่ อย่างดีก็ส่งถาดส่งจานต่อ ๆ กันไป

คุณนายทำอยู่ในครัว หลวงพ่อไม่ได้ไปเห็นด้วยหรอก แต่ท่านรู้ว่าเขาคิดอย่างไร ก็เลยสอนให้รู้ว่าให้ทานแล้วต้องรู้จักอุเบกขา พอถึงเวลาส่งจานมาประเคน ท่านก็ล้วงเอาตรงกลาง รับประกันคุณนายคิดไม่ได้หรอก นอนไม่หลับไปเป็นอาทิตย์อย่างแน่นอน"

เถรี
21-04-2017, 18:02
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถามว่าการที่พระอาจารย์ท่านสามารถรู้แม้กระทั่งความคิดของเรา เป็นเรื่องที่ฝึกยากไหม ? ส่วนใหญ่ไม่ต้องฝึก เหตุที่ไม่ต้องฝึกเพราะถ้าเราสามารถตามความคิดตัวเองทัน ตามจิตตัวเองทัน เห็น รัก โลภ โกรธ หลง ที่เกิดขึ้นแล้วระงับได้ทัน ก็สามารถรู้ใจคนอื่นได้เหมือนกัน ก็แปลว่าเริ่มที่ตัวเองก่อน เมื่อตัวเองทำได้ ของคนอื่นที่เท่ากันหรือต่ำกว่านี้ก็เป็นเรื่องเล็ก สามารถรู้ได้

แต่ส่วนใหญ่แล้วก็น่ารำคาญ เพราะเขาก็ช่างคิด ช่างปรุง ช่างแต่ง ไปตามสภาพของเขา แม้กระทั่งอาตมาก็รำคาญ คนอยู่รอบข้างคิดอย่างนั้นคิดอย่างนี้ "เดี๋ยวคนโน้นมา คนนี้มา เดี๋ยวจะมาแย่งความรักจากหลวงพ่อไปจากเรา" อยากจะฝากรักให้สักพลั่ก...! อาตมาถนัดในการทำเป็นคนหูหนวกตาบอดมานานแล้ว"

เถรี
22-04-2017, 15:08
มีโยมเอาหมอนมาถวาย "หมอนที่โยมถวายมา ความจริงผิดพระวินัย พูดง่าย ๆ ก็คือพระใช้ไม่ได้ พระวินัยท่านห้ามพระหนุนหมอนกึ่งกาย หมอนที่จะหนุนได้ส่วนใหญ่จะเป็นพวกประเภทหมอนขิด หมอนไม้ อะไรประมาณนั้น พูดง่าย ๆ คือเอาหัวแตะได้ แต่ตัวห้ามโดน อาตมาแก้ปัญหาโดยการเอาผ้าม้วน ๆ แล้วหนุนไปเลย...หมดเรื่อง ไม่ต้องไปหนุนหมอน"

เถรี
22-04-2017, 15:18
ถาม : ที่บอกว่าใช้กำลังใจในการตัดเท่ากัน ผมยกตัวอย่าง คือ เราชอบของสองอย่างเหมือนกัน ในของที่เราชอบมากกว่า เราใช้กำลังตัดได้ยากกว่าหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ใช้กำลังใจในการตัดเท่ากัน หมายถึงว่า กำลังใจในการตัดของที่คุณชอบ เท่ากับกำลังใจที่คุณตัดคนเกลียดออกจากใจ ไม่ได้แปลว่าตัดของอย่างเดียวกันที่เป็นตัวโลภเหมือนกัน พูดง่าย ๆ ว่าจะตัดรัก ตัดโลภ ตัดโกรธ ตัดหลง ใช้กำลังใจเท่ากัน ไม่ใช่โลภในของ แต่ว่าของที่เราไม่ชอบ เราสามารถให้คนอื่นได้ง่ายกว่า นั่นเป็นการตัดโลภเหมือนกัน

เถรี
22-04-2017, 15:35
พระอาจารย์พูดถึงทิเบต "ไปครั้งนี้คณะของอาตมาต้องนั่งรถไฟสายทิเบต-ชิงไห่ นานถึง ๒๕ ชม. ผ่านอุทยานเขอเข่อซีหลี่ และผ่านทุ่งหญ้า อากาศปกติช่วงนี้ของเขาอยู่ที่ ๖ – ๑๕ องศาเซลเซียส ถ้าหน้าหนาวก็ติดลบ

ลาซานี่บ้านของอาตมาเอง ไปแล้วคงไม่กล้าเรียกร้องอะไร เดี๋ยวจะมีคนสนองความต้องการบานเบิก อาตมาเคยเกิดอยู่ที่นั่นบ่อยมากเลย สมัยนั้นมักจะเกิดร่วมกับหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ จะไปดูว่าศพของตัวเองยังอยู่ไหม ? (เกิดเป็นพระหรือคะ ?) เป็นพระลามะ คือธรรมเนียมของทิเบต ถ้าครอบครัวไหนมีลูกชาย อย่างน้อยต้องส่งไปบวช ๑ คน ถ้าครอบครัวนั้นมีแต่ลูกสาว พอลูกสาวแต่งงานแล้วพ่อต้องไปบวช ก็ดีเหมือนกันนะ เพราะเท่ากับว่าแทบจะต้องเป็นพระกันทั้งประเทศ"

เถรี
22-04-2017, 22:32
พระอาจารย์กล่าวกับโยม "ลำบากตัวช่างมัน ให้ใจสบาย ลำบากกาย ให้ใจเป็นสุข ลำบากกายด้วย ลำบากใจด้วยเครียดตายชัก"

เถรี
22-04-2017, 22:39
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อครู่นี้กล่าวถึงศาสนาพุทธกับลัทธิบอนในทิเบต บางคนสงสัยว่าศาสนากับลัทธิต่างกันตรงไหน ? ศาสนาต้องประกอบไปด้วย ๑) ศาสดา คือผู้ก่อตั้งศาสนานั้น ๒) ศาสนธรรม คือคำสอนแนวทางการปฏิบัติของศาสนานั้น ๓) ศาสนบุคคล ไม่ว่าจะเป็นตัวของนักบวชก็ดี หรือสาวกผู้ปฏิบัติตาม ๔) ศาสนพิธี พิธีกรรมต่าง ๆ ในศาสนานั้น

คราวนี้เรามาดูว่าบางอย่างที่เรียกว่าลัทธิ เช่น ลัทธิคอมมิวนิสต์ มีศาสดาไหม ? มี...คาร์ล มาร์กซ์ แล้วมีคำสอนไหม ? มี...ก็ลัทธิมาร์กซิสต์ แล้วมีผู้ปฏิบัติตามไหม ? มี...ปัจจุบันนี้มีเยอะเลย แต่ไม่มีศาสนพิธี จึงเป็นได้แค่ลัทธิ ในเมื่อมีไม่ครบก็เป็นศาสนาไม่ได้ เป็นได้แค่ลัทธิเท่านั้น อย่างเช่น ลัทธิฝ่าหลุนกง ลัทธิโอมชินริเกียว ลัทธิคอมมิวนิสต์

เวลาเขาถามจะได้ตอบเขาถูกว่าต่างกันตรงไหน ก็ต่างกันอย่างนี้แหละ มีครบก็เป็นศาสนา มีไม่ครบก็เป็นได้แค่ลัทธิ"

เถรี
22-04-2017, 22:44
"พุทธศาสนาในทิเบตที่เข้าไป ไปจากสองฝั่ง คือจากจีนและเนปาล สมัยก่อนพระเจ้าซองซานกัมโป ต้องนับว่าเป็นมหาราชของทิเบต รบเก่งมาก แผ่ขยายพื้นที่ได้กว้างใหญ่ไพศาลมาก ก็เลยทำให้พวกที่เกรงอำนาจ ต้องใช้วิธีแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรี อย่าลืมว่าตรงกับสมัยพระเจ้าถังไท่จงฮ่องเต้นะ นั่นก็สุดยอดนักรบเหมือนกัน ยังต้องเชื่อมสัมพันธ์ด้วยการแต่งงาน เพราะว่าประเภทช้างสารชนกันก็เยินด้วยกันทั้งคู่

ทางด้านเนปาลก็ต้องส่งเจ้าหญิงไปให้เหมือนกัน แต่เจ้าหญิงทั้งสองปรากฏว่าถือพุทธทั้งคู่ เลยเกลี้ยกล่อมพระสวามีให้ทิ้งลัทธิถือผีมาถือพุทธ เขาบอกว่าสินสอดทองหมั้นที่ขนไป แค่พระพุทธรูปโจโวที่เจ้าหญิงเหวินเฉิงเอาไปจากประเทศจีน ก็หล่อด้วยทองคำทั้งองค์ เอาไปเพื่อให้รู้ว่าเป็นผู้หญิงที่มีคุณค่า มีราคา เป็นที่เคารพนับถือและรักใคร่ของทั้งพระบิดาและไพร่ฟ้าประชากร คุณจะรังแกลูกสะใภ้ ก็คิดให้ดี ๆ ก่อน แต่ว่าสมบัติที่ท่านเอาไปก็เอาไปสร้างวัดเสียเยอะแยะ"

เถรี
22-04-2017, 22:48
"ทริปนี้นั่งรถไฟ ๑ วันกับอีกคืนกว่า ๆ ตั้งใจว่าจะพกบะหมี่สำเร็จรูปไปด้วย ๒๕ ชั่วโมงบนรถไฟ ต้มบะหมี่กินดีกว่า ไปนึกถึงตอนที่นั่งรถไฟความเร็วสูงจากเซี่ยงไฮ้ไปปักกิ่ง ๑,๕๐๐ กว่ากิโลเมตร ใช้เวลา ๔ ชั่วโมง ๑๐ นาที แต่ปรากฏว่างวดนี้ ๒๕ ชั่วโมง โอ้โห...ประเทศอะไรจะใหญ่ปานนั้น ซินเจียงมณฑลเดียวใหญ่เท่าประเทศไทย ๘ ประเทศ นั่นแค่มณฑลเดียว ลองคิดดูว่าทั้งประเทศจะใหญ่แค่ไหน

สถานที่ที่อยากไปของประเทศจีน ก็คือ ทิเบตกับเฮยหลงเจียง แต่เฮยหลงเจียงต้องรอสุขภาพดีกว่านี้หน่อย เพราะว่าติดลบ ๔๐ องศาเซลเซียส ที่ไหนที่ชาวบ้านเขาไม่ไปเราจะไป ไม่รู้ว่างวดหน้าจะซิกแซ็กอีท่าไหนเขาถึงจะให้เข้า เพราะว่าเป็นคำสั่งของรัฐบาลจีนเลย ห้ามพระไทยเข้าประเทศ

เนื่องจากว่าก่อนหน้านี้ ท่านไปกันทีหนึ่ง มีกระเป๋าใบเท่าโต๊ะ คนละ ๗ ใบ ๘ ใบ ขนวัตถุมงคลสายเสน่ห์ล้วน ๆ ปลัดขิกบ้าง อีเป๋อบ้าง พรึ่บเดียวคนจีนบูชากันเกลี้ยง รัฐบาลจีนเขาเห็นว่าไปมอมเมาคนของเขา เลยสั่งห้ามพระไทยเข้า ทัวร์จีนที่มาประเทศไทยมีอยู่แทบจะเกินครึ่ง ที่มาเพื่อเสริมดวง สร้างเสน่ห์ เพื่อการค้าขาย อะไรทำนองนี้"

เถรี
24-04-2017, 14:11
ถาม : หิ้งพระจำเป็นต้องหันหน้าไปทางทิศตะวันออกไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าทำได้ก็ทำ จะได้สบายใจ ถ้าไม่มีที่จริง ๆ ค่อยว่ากันใหม่

เถรี
24-04-2017, 14:14
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระราหูในความคิดของคนจีนก็คือ ไปค้าขายมีแต่รับไม่ต้องจ่าย เพราะว่าพระราหูกินอย่างเดียว แต่พระราหูในความรู้สึกของเราก็คือ กลับร้ายกลายเป็นดี เหมือนอย่างกับรู้จักเจ้าพ่อมาเฟีย พวกนักเลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่กล้ายุ่งกับเรา...ใช่ไหม ?"

เถรี
24-04-2017, 14:24
"ถ้าพูดถึงกะลาตาเดียวแกะเป็นรูปราหู ที่มีชื่อเสียงจริง ๆ คือหลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง ถัดมาจากหลวงพ่อน้อยมาก็คือหลวงพ่อปิ่น ที่เป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิ ช่วยหลวงพ่อน้อยทำพระราหูมาตั้งแต่แรก

พระราหูกะลาตาเดียวของหลวงพ่อน้อยกับหลวงพ่อปิ่น บางทีลายมือก็มั่วกัน หลวงพ่อน้อยทำ หลวงพ่อปิ่นช่วยจารอะไรอย่างนี้ ของหลวงพ่อปิ่นเลยพยายามแกะให้มีศิลปะแตกต่างกันออกไปหน่อยหนึ่ง ถ้าแน่ ๆ ต้องจำลายมือได้ด้วย แต่ของหลวงพ่อน้อยจะใช้วิธีจำลายมืออย่างเดียวไม่ได้ เพราะว่าบางทีลูกศิษย์ก็ช่วยกันจาร เนื่องจากเวลาตามฤกษ์มีพักเดียว ต้องเตรียมแกะกะลาล่วงหน้าเอาไว้ แล้วช่วยกันจารตอนพระราหูเริ่มคายพระอาทิตย์

พอพระราหูเริ่มคายพระอาทิตย์ก็เริ่มจารกัน พอพระราหูคายเสร็จก็เลิก คือจากไม่ดีมากลับเป็นดี พอกลับคืนดีเป็นปกติก็เลิกจาร มีฤกษ์อยู่แค่พักเดียวเท่านั้น

ส่วนอีกสำนักหนึ่งทางเหนือคือครูบานันตา วัดทุ่งม่านใต้ ท่านดังสารพัดเหมือนกัน แบบเดียวกับหลวงพ่อน้อย หลวงพ่อน้อยทำพระราหูกะลาตาเดียวก็ดัง ทำวัวธนูก็ดัง ครูบานันตาเหมือนกับหลวงพ่อน้อย เพราะว่าท่านก็ทำพระราหูกะลาตาเดียว ทำวัวธนู แต่ของครูบานันตาแยกได้ ท่านเล่นครั่งจีนสีแดงโร่เลย ไม่ใช่ครั่งดำ ๆ แบบของหลวงพ่อน้อย ทางด้านครูบาอาจารย์ของท่านคือครูบาเจ้าอโนชัย วัดปงสนุก ก็ทำพระราหูกะลาตาเดียวเหมือนกัน แต่ว่าลูกศิษย์ดังกว่าพระอาจารย์"

เถรี
24-04-2017, 14:29
ถาม : กะลามหาอุตม์ ?
ตอบ : เขาบอกว่าประมาณ ๑,๐๐๐ ลูกมีลูกหนึ่ง เป็นกะลาที่ไม่มีตาเลย

ถาม : เพื่อนเขาเอาไปกะเทาะ ?
ตอบ : จะกะเทาะอย่างไรก็ใช้ได้เหมือนกัน

กะลามหาอุตม์จะไม่มีตา กะลาปกติ ๒ ตาไม่ถือว่าดี ถ้า ๓ ตาจึงจะดี ตาเดียวดี ไม่มีตาเลยยิ่งดี อะไรที่ผิดปกติธรรมชาติ ถ้าหากว่าทางวิทยาศาสตร์เขาถือว่าชำรุด พันธุกรรมชำรุด แต่คนโบราณถือว่าขลัง เพราะแตกต่างไม่เหมือนใครเขา

เถรี
24-04-2017, 14:35
ครูบาอโนชัยเป็นอาจารย์ แต่ครูบานันตาซึ่งเป็นลูกศิษย์ดังกว่า แบบเดียวกับหลวงปู่ปาน วัดตุ๊กตาที่เป็นพระอาจารย์ แต่หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้วดังกว่า เหตุที่หลวงปู่บุญดังกว่าเพราะว่าหลวงปู่ปาน วัดตุ๊กตา ท่านอยู่สมัยรัชกาลที่ ๓ ตอนนั้นข่าวสารบ้านเมืองไม่ใช่ไปได้ง่ายเหมือนกับสมัยนี้ ท่านก็เลยดังเฉพาะในพื้นที่

หลวงปู่ปาน วัดตุ๊กตา ท่านสำเร็จมนต์มหาจินดามณี เวลามีงานกฐิน ท่านจะเรียกปลาขึ้นมาเต็มคลองหน้าวัดให้ทุกคนดู คนแห่กันมาดูปลาก็มาทำบุญกฐินด้วย พอเหยี่ยวมากินปลา ท่านก็เรียกเหยี่ยวลงมาให้ชาวบ้านดูอีก แสดงว่าต้องพูดภาษากันรู้เรื่อง

รุ่นของเรา ๆ ส่วนใหญ่มักกลัวลำบาก ในเมื่อกลัวลำบากก็เลยสำเร็จวิชาการต่าง ๆ ยาก สมัยหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค บางท่านใช้เวลา ๓๐–๔๐ ปี กว่าจะสำเร็จสักวิชาหนึ่ง

เถรี
24-04-2017, 15:05
ถาม : ประเทศจีนเขาก็มีศาสนาพุทธเหมือนเรา แต่ทำไมเขาถึงมาเมืองไทยกันเยอะคะ ?
ตอบ : ตั้งแต่คอมมิวนิสต์เขาทำลายศาสนาไปแล้ว พอมีนโยบาย ๔ ทันสมัย ทำให้เขาฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ แต่ไม่ได้ฟื้นฟูศาสนาขึ้นมาเพื่อให้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว แต่ฟื้นฟูขึ้นมาเป็นแหล่งเที่ยว เพื่อหาเงินเข้าประเทศ ของที่ระลึกที่เขาทำส่วนใหญ่ก็เป็นลูกประคำ เป็นแผ่นหยก แต่วัตถุมงคลสารพัดประโยชน์แบบบ้านเราไม่ค่อยจะมี

ต้องบอกว่าบ้านเราสั่งสมภูมิปัญญามา ทั้งไสยศาสตร์ทั้งพุทธศาสตร์ผสมปนเปกันมาเป็นร้อย ๆ ปี ไสยศาสตร์ส่วนใหญ่ได้ผลในปัจจุบัน ซึ่งจะมีผลเสียตามมาในภายหลัง แต่เขาไม่สนใจ สนใจอย่างเดียวว่าช่วยให้ร่ำรวยเฉพาะหน้าก็เอาแล้ว

ประเทศจีนกว้างใหญ่ไพศาล ประชากรพันกว่าล้าน แย่งกันทำมาหากิน ทำอย่างไรถึงจะกอบโกยให้ได้มากที่สุด ถึงได้ปลอมสารพัด ปลอมกระทั่งนม ปลอมกระทั่งข้าวสาร ขนาดข้าวสารยังปลอมได้

เถรี
24-04-2017, 15:11
พูดถึงไปทิเบต "คนจะไปกันเยอะ แต่อาตมาเองต้องประกันความปลอดภัยซึ่งเป็นภาระใหญ่ แต่ละคนสร้างเวรสร้างกรรมมาไม่เท่ากัน ต้องไปประกันความปลอดภัยของคนประเภทสูงต่ำไม่เท่ากัน ไปทำให้เท่ากันก็ลำบาก บางคนโจทก์เขาไม่ยอม จะเอาให้ได้"

ถาม : โจทก์เยอะไหมคะ ?
ตอบ : อาตมาเองมีแต่รังแกเขา

คนเกิดบ่อย สถานที่แปลกไม่ค่อยมี ไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่งก็ต้องโตอยู่แถวนั้น ยังขำ ๆ เลยว่า มีอยู่บางชาติเคยเป็นอิสลาม คงอยากจะรู้กระมังว่าเขาเป็นอย่างไร ตอนไปฝรั่งเศส ยังคุยกับคนอิสลามรู้เรื่องเลย

เถรี
24-04-2017, 15:17
พระอาจารย์กล่าวว่า "สงกรานต์ปีนี้แม้ว่ารัฐบาลจะยกเลิกคำสั่งห้ามนั่งท้ายรถกระบะชั่วคราว แต่มีหลายเขตเทศบาลประกาศห้ามไม่ให้ใครนั่งกระบะท้ายไปสาดน้ำในเขตนั้น ๆ เพราะฉะนั้น...โปรดตรวจสอบให้ดี ไม่ใช่ไปโวยวายว่ารัฐบาลไม่ห้าม แล้วทำไมถึงมาจับและปรับอีกต่างหาก เทศบาลมีอำนาจในเขตของเขา ถ้าหากว่าออกเทศบัญญัติมา นั่นก็คือกฎหมาย

คนไทยเราบางทีไม่เข้าใจว่าบ้านเราจริง ๆ แล้วมีกฎหมายเยอะมาก กฎหมายแม่บทเลยคือรัฐธรรมนูญ รองลงไปเป็นพระราชบัญญัติ ถัดไปเป็นพระราชกำหนด ถัดไปเป็นพระราชกฤษฎีกา ถัดไปเป็นกฎกระทรวง หลังจากนั้นเป็นระเบียบการปกครองท้องถิ่น เป็นต้น ถ้านายกเทศมนตรีมีคำสั่งห้าม แต่เราดันนั่งกระบะท้ายไปสาดน้ำด้วยความรื่นเริงบันเทิงใจ บอกว่ารัฐบาลไม่ห้ามก็โดนปรับแน่ ๆ

ถ้าไม่อยากโดนสาดน้ำก็ทำอย่างอาตมา ให้เขาขับรถพรวดทิ่มหัวเข้าไปตรงที่ตั้งท่าสาดน้ำ เขาหยุดกันหมดเลย ลดกระจกลงไปบอก "ช่วยสาดหน่อย อยากเปียก" เขาก็ไม่สาด แต่ทีคนเขาขับรถหนีดันไล่สาดกันจัง

ช่วงสงกรานต์นี่ถ้าอาตมาออกไปข้างนอกจะได้หลายบาท เพราะว่าส่วนใหญ่มีการตั้งด่านเรี่ยไรโดยบอกว่าเอาไปทำบุญ แต่เชื่อเถอะ...เอาไปกินเหล้าเกินครึ่ง พอขับรถไปถึงเขาก็จะปิดถนนไม่ให้ไป อาตมาก็ลดกระจกกวักมือเรียกคนที่ถือบาตรเรี่ยไร พวกนั้นคิดว่าจะทำบุญก็รีบวิ่งมาหาเลย อาตมาถามว่าจะให้เท่าไร ? เขาก็ยืนงง ๆ อาตมาก็ควานในบาตรมาขยุ้มหนึ่ง บอกว่า "เอาแค่นี้แหละ" แล้วก็เอาไปทำบุญแทนเขา"

เถรี
25-04-2017, 18:48
โยมช่วยแบกหนังสือ "เขาเรียกว่า เวยยาวัจจมัย เป็นบุญที่ได้จากการขวนขวายช่วยเหลืองานบุญคนอื่นให้สำเร็จ อรรถกถาท่านเปรียบไว้ว่า ถ้าบุคคลบวชเณรตลอด ๑๐๐ ปี รักษาศีลได้บริสุทธิ์ ไปเกิดเป็นเทวดาจะได้นางฟ้า ๑๐,๐๐๐ เป็นบริวาร แต่บุคคลที่ช่วยงานในลักษณะเวยยาวัจจมัย ถ้าเกิดเป็นเทวดา จะมีนางฟ้า ๘,๐๐๐ เป็นบริวาร สรุปว่าแบกหนังสือเหนื่อยน้อยกว่าบวชเณรมากนะ"

เถรี
25-04-2017, 19:04
ถาม : พอภาวนาแล้วลมหายใจหายไป พอจับเยอะ ๆ คำภาวนาก็หาย ?
ตอบ : ถ้าเหลือคำภาวนาก็เกาะคำภาวนา เหลืออะไรจับอย่างนั้น ถ้าไม่เหลืออะไรเลยสักอย่างหนึ่งก็เกาะความรู้สึกนั้นเฉย ๆ

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ตอนนั้นใจของเราเกาะเองอยู่แล้ว เราแค่เอาสติคอยประคองเอาไว้เท่านั้น

เถรี
25-04-2017, 19:57
ถาม : ต้องทำอย่างไรสมาธิจึงจะต่อเนื่อง ?
ตอบ : สติ...อย่างอื่นไม่ต้องอะไรเลย แต่สมาธิก็สำคัญ เพราะหากไม่มีสมาธิ สติก็ไม่ทรงตัว หากไม่มีสติ สมาธิก็ขาดช่วง สองอย่างนี้เกื้อกูลกัน

ต้องบอกว่ารู้ตัว จะทำอะไรก็รู้ตัว ในเมื่อรู้ตัวก็ไม่เผลอไป รัก โลภ โกรธ หลง เมื่อไม่เผลอไป รัก โลภ โกรธ หลง ก็รักษาความผ่องใสของใจเอาไว้ได้ รักษาความผ่องใสของใจเอาไว้ได้ปัญญาก็เกิด จะเห็นช่องทาง รักจะเข้ามา โลภจะเข้ามา โกรธจะเข้ามา หลงจะเข้ามา ก็กันไว้ไม่ให้เข้ามา ที่มีอยู่ก็กำจัดออกไป

เถรี
25-04-2017, 20:01
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : เรื่องปกติ ในเมื่อคนเราสร้างเหตุ ผลก็เกิด ชาตินี้ไม่เคยทำไม่ได้แปลว่าชาติก่อนไม่เคยทำ สภาพจิตของเราเหมือนกับคลื่นโทรศัพท์ ในเมื่อเปิดอยู่เขาก็ติดต่อเข้ามาได้ คนอื่นก็ต้องไปหาวิธีว่าจะเปิดอย่างไร

เถรี
28-04-2017, 15:15
พระอาจารย์กล่าวว่า "เคยเห็นคลิปเด็กปีนเสาเหลี่ยม ๆ ไหม ? พ่อเขาฝึกได้สุดยอดเลย เด็กเพิ่งจะเดินได้นะ ประมาณขวบกว่า ๆ เอง พ่อเขาเอาของไปเสียบไว้ข้างบนแล้วบอกให้ปีนขึ้นไปเด็กปีนขึ้นไปเลย ความรู้สึกของเด็กคือถ้าพ่อสั่งแปลว่าทำได้ เขาก็ไปเลย"

ถาม : ครูบาอาจารย์สั่งเราก็ทำได้ ?
ตอบ : ประมาณนั้นแหละ ต้องใช้กำลังใจเดียวกัน ปกติเด็ก ๆ กล้ามเนื้อไม่น่าจะรับน้ำหนักตัวได้ แต่ด้วยความที่ใจคิดว่าพ่อสั่งต้องทำ ก็ไปเลย พูดง่ายๆ ว่าถ้าใจคิดว่าไปได้ตัวก็ไปได้ จัดเป็นมโนมยา การสำเร็จด้วยใจอย่างหนึ่ง

เถรี
28-04-2017, 15:17
ถาม : เป็นโรคกลัวผี ?
ตอบ : ฝึกกรรมฐาน ถ้าสมาธิทรงตัวเมื่อไรจะเลิกกลัวไปเอง ตอนอาตมาเด็ก ๆ กลัวผีชนิดที่ไม่กล้าออกไปฉี่นอกบ้าน เพราะว่าสมัยก่อนส้วมอยู่นอกบ้าน พอฝึกไปฝึกมาสมาธิทรงตัว เลิกกลัวไปตอนไหนก็ยังไม่รู้เลย ตอนนี้ถ้าเจอผีหลอกนะหรือ ? ก็ยืนยิ้มอยู่ตรงนั้นแหละ...สนุกดี

เถรี
28-04-2017, 15:48
พระอาจารย์กล่าวว่า “ ญาติโยมท่านใดมีลูกหลาน มีพวกพ้องไปอเมริกาก็บอกให้หาวัตถุมงคลที่มั่นใจติดตัวไปด้วย สหรัฐชอบไปแหย่เสือ โบราณท่านว่า “ไม่รู้จักเสือเอาเรือมาจอด”

ถ้าทุกท่านจำได้ วันเป่ายันต์เกราะเพชร อาตมาบอกกับพวกเราว่า พระท่านบอกว่าสงครามจะลามไปทั่วโลก โดยเฉพาะสงครามก่อการร้าย อเมริกาก็เป็นประเทศหนึ่งที่อยู่ในข่ายที่จะต้องโดนหนัก วัตถุมงคลที่พกไปอเมริกา ให้เอาประเภทกันปืนกันระเบิดได้ เพราะว่าอย่างไรต้องโดนแน่ ๆ อาตมามีลูกที่จะไปอเมริกา ๒ คน คนหนึ่งจะไปตั้ง ๕ เดือน

วัตถุมงคลประเภทที่เชื่อได้เลยว่ากันปืนกันระเบิด ต้องของสายใต้ (วัดเขาอ้อ) ตั้งแต่ช่วงปี ๒๕๔๗ ที่มีเหตุการณ์ไม่สงบขึ้นมา วัตถุมงคลสายเขาอ้อโดนทหารตำรวจกวาดเรียบ ราคาขึ้นไปหูดับตับไหม้ ไม่ต้องไปถึงระดับหลวงปู่ทองเฒ่าหรอก แค่สมัยของหลวงพ่อปาล หลวงพ่อเอียดลงมาก็พอ ไม่ว่าจะเป็นเขาอ้อหรือดอนศาลาก็สายเดียวกัน

ฉะนั้น...วัตถุมงคลสายใต้รับประกันเรื่องความเหนียว ถ้าไม่ใช่วัดเขาอ้อ วัดดอนศาลา ก็มาวัดหรงบนเลย ถ้ามีก็หาลูกให้หลานติดตัวไปหน่อยจะได้ปลอดภัย อาตมาเองไม่ได้รับอนุญาตให้ทำวัตถุมงคลประเภทเหนียว แต่แอบทำไปหน่อยหนึ่งตอนลงปักษ์ใต้ แต่ไม่พอแบ่งกัน"

เถรี
28-04-2017, 15:50
"ช่วงนี้ปักษ์ใต้ของเราการก่อการร้ายก็ปะทุขึ้นอีกรอบหนึ่ง เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการในพื้นที่ก็คงพกคนหนึ่งเป็น ๑๐ องค์เลย

สมัยอาตมาเด็ก ๆ หลวงปู่หลวงพ่อแต่ละรูปส่วนใหญ่จะเก่งทางด้านอยู่ยงคงกระพัน ถ้าถึงระดับชาตรีได้ยิ่งดี เพราะว่าคงกระพันนี่ยิงฟันไม่เข้าแต่อาจจะเจ็บ แต่ถ้าชาตรีนี่เขาเรียกว่าลูกเบา โดนแล้วไม่รู้สึก เพราะว่าสมัยนั้นบรรดาศึกสงครามหรือว่าโจรผู้ร้ายก็ดี มีเยอะมาก ถึงเวลาข้าวยากหมากแพงโจรผู้ร้ายก็ชุกชุม แล้วก็เพิ่งจะหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ไม่นาน บรรดาอาวุธที่หลงเหลือจากสงครามมีมาก หลุดไปอยู่ในมือของบรรดาโจรผู้ร้าย ก็เลยทำให้หลวงปู่หลวงพ่อแต่ละท่านที่โด่งดังขึ้นมา ส่วนใหญ่แล้วต้องมาสายเหนียวโดยตรง

สมัยนั้นที่เขาแสวงหากัน ก็มักจะเป็นวัตถุมงคลจากหลวงพ่อต่าง ๆ ที่ทำแล้วมีผลทางอยู่ยงคงกระพันมากกว่า สมัยปัจจุบันนี้แย่งกันทำมาหากินก็มาหาสายลาภผล สายเมตตามหานิยม ทำมาหากินคล่องตัว มีความร่ำรวย ต้องบอกว่าแต่ละยุคสมัยความนิยมก็ต่าง ๆ กันไป

ถ้าถามพวกเหนียวมีไหม ? มี...แต่ว่าน้อย เพราะว่าไม่ค่อยได้รับความนิยมกัน สมัยนี้อะไรก็ตามที่ช่วยในทางทำมาหากินโยมก็วิ่งใส่ไว้ก่อน สมัยอาตมาเด็ก ๆ นี่อย่างตะกรุดต้องการของหลวงพ่อเตียง วัดเขารูปช้าง หลวงพ่อทบ วัดชนแดน เหนียวแน่นอน บ้านของอาตมาเองไม่ว่าจะเป็นหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม ยุคนั้นท่านยังอยู่กันทั้ง ๓ รูป ถึงแม้ว่าจะโด่งดังทางด้านเมตตามหานิยมขนาดไหนก็ต้องมีเหนียวแทรกอยู่ดี

เหรียญหลวงพ่อเงินที่เรียกว่า เหรียญจิ๊กโก๋ นี่ดังที่สุด ไปโดนเขารุมแทงรุมฟันด้วยมีดปาดตาลไม่มีระคายผิว ขนาดเสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่งไปทั้งตัว"

เถรี
28-04-2017, 15:56
"ถ้าถามว่าปัจจุบันนี้วัตถุมงคลเข้มขลังเหมือนสมัยก่อนหรือเปล่า ? ก็ต้องว่าลดน้อยถอยลงไปด้วยเหตุหลายประการด้วยกัน ประการแรกก็คือ วิชาการที่สืบสายได้มาไม่ครบถ้วน ประการที่ ๒ การทำวัตถุมงคลพึ่งพาอาศัยโรงงานส่วนมาก ไม่ได้ทำทีละชิ้นตามฤกษ์ตามยาม ตามกรรมวิธีโบราณซึ่งยากกว่า

ประการสุดท้าย ศรัทธาคนมีน้อย ในเมื่อศรัทธาเลื่อมใสน้อย ความสงสัยมีมาก โอกาสที่จะเกิดผลเต็มที่ก็ยาก เพราะว่าวัตถุมงคลเหมือนกับเครื่องส่ง เครื่องส่งได้ส่งเต็มที่แล้ว แต่ถ้าเครื่องรับเปิดรับได้น้อย หรือว่าไม่เปิดรับเลยก็เกิดผลน้อย หรือไม่เกิดผลกับคนผู้นั้น

หลายคนอาจจะสงสัยว่า บางคนทำไมใช้วัตถุมงคลแล้วดีเหลือเกิน ขณะที่บางคนใช้แล้วได้ไม่เหมือนเขา พวกเราส่วนใหญ่สมัยนี้ก็จะมีสมาธิที่อยู่กับจอตรงหน้า...! ก็เป็นเรื่องที่ดี เพียงแต่ว่าใช้สมาธิไปในทางที่ผิด"

เถรี
28-04-2017, 16:08
พระอาจารย์กล่าวว่า “ยุคสมัยรัชกาลที่ ๔ หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆังโฆสิตาราม กลางวันแสก ๆ หลวงพ่อท่านจุดไต้เข้าวัง พอรัชกาลที่ ๔ เห็นก็ตรัสว่า “ขรัวโต...โยมเข้าใจแล้ว” หลวงพ่อโตท่านก็เอาไต้ทิ่มกับกำแพงวังเพื่อดับ

ยุคต่อมาบ้านเรามี ส.ส. ก็มีส.ส.ขี่ควายถือตะเกียงเจ้าพายุกลางวันแสก ๆ เข้าสภา ไปถามเหตุผล ท่านบอกว่า “ยุคมืด” กลางวันก็เลยต้องถือตะเกียงเจ้าพายุไปด้วย อาตมาก็เลยสงสัยว่ายุคนี้จะมีใครกล้าที่จะจุดตะเกียงหรือถือไฟฉายตอนกลางวันไปบ้าง ม.๔๔ ใช้ส่งเดชไม่ได้เพราะว่ามีรัฐธรรมนูญแล้ว ถ้าขัดรัฐธรรมนูญแม้แต่มาตราเดียวนี่ซวยเองเลย

คราวนี้ในเรื่องของยุคมืด สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เราต้องมีที่พึ่ง ซึ่งไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าการพึ่งตัวเอง ความจริงเราใช้คำว่าพึ่งตัวเอง คือ ทำให้ตัวเองมีเกาะ มีฝั่ง ก็คือ ที่ยึดที่พัก โดยเฉพาะการพักกำลังใจตัวเอง การทำตัวให้เป็นเกาะ เป็นฝั่ง คือ พึ่งตัวเองได้ในท่ามกลางกระแสทุกข์

ท่านบอกว่าต้องมีศรัทธา มีศีล มีพาหุสัจจะ มีวิริยะ มีสติ มีปัญญา โห...มีเยอะมาก ความจริงมีข้อเดียวก็พอแล้ว พระพุทธเจ้าให้มาตั้ง ๕-๖ ข้อ

ข้อแรก ศรัทธา คือความเชื่อมั่น อรรถกถาจารย์ท่านขยายความเชื่อมั่น ว่ามีเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย คือ เห็นว่าคุณของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สามารถกำจัดทุกข์ กำจัดภัยได้จริง ก่อประโยชน์ให้กับผู้ที่ยึดถือจริง ๆ

ข้อที่ ๒ ท่านบอกว่า เชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็คือสิ่งที่เรายึดถือด้วยความเชื่อว่า สามารถคุ้มครองป้องกันรักษาชีวิตของเราให้ปลอดภัยได้จริง ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คงเป็นวัตถุมงคลเครื่องรางของขลัง ประมาณนั้น

ข้อที่ ๓ ท่านบอกว่า เชื่อมั่นในผู้นำ ช่วงก่อนนี้ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เสด็จสวรรคต คนทั้งประเทศรู้สึกว้าเหว่มาก พอมีในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ขึ้นมาเราก็รู้สึกมั่นใจขึ้น รู้สึกชีวิตมีทิศทางที่มั่นคงขึ้น อันนี้คือเชื่อมั่นในผู้นำ"

เถรี
28-04-2017, 16:10
"ข้อสุดท้ายท่านบอกว่า เชื่อมั่นในตนเอง บุคคลที่จะเชื่อมั่นในตนเองได้ ต้องประกอบไปด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ระดับหนึ่ง ในระดับที่เห็นว่าเรามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง กำลังของ ศีล สมาธิ ปัญญา จะคุ้มครองรักษาผู้ประพฤติธรรมจริง ๆ ไปไหนก็ไม่ต้องเก้อเขินกับใคร ไม่ต้องหวั่นเกรงใคร เพราะมั่นใจในความดีที่ตัวเองทรงตัว ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ตถาคตนั่งอยู่ในหมู่ท้าวมหาพรหมก็ดี อยู่ในหมู่ท้าวมหาราชก็ดี อยู่ในหมู่พระมหากษัตริย์ก็ดี อยู่ในหมู่พราหมณ์มหาศาลก็ดี ตถาคตไม่มีความเก้อเขินใด ๆ เพราะว่ามั่นใจด้วยฐานะทั้ง ๔”

ฐานะทั้ง ๔ คือ ตถาคตปฏิญาณว่าหมดกิเลสแล้วก็หมดกิเลสจริง ๆ ตถาคตปฏิญาณว่าตรัสรู้เองโดยชอบก็ตรัสรู้เองโดยชอบจริง ๆ ตถาคตกล่าวสอนธรรมเพื่อประโยชน์ของชนหมู่มากก็เพื่อประโยชน์ของชนหมู่มากจริง ๆ ไม่ได้เพื่อตัวเอง แบบนี้เป็นต้น

ฉะนั้น...เรื่องพวกนี้หากว่าเรายึดมั่นในคุณความดี มีความมั่นใจจริง ๆ ต่อให้สถานการณ์บ้านเมืองเป็นยุคมืดขนาดไหนก็ตาม เราสามารถที่จะยืนหยัดและฝ่าฟันผ่านไปได้โดยง่าย ไม่ต้องไปอาศัยหลักธรรม ๕-๖ หมวด เอาศรัทธาข้อเดียวก็พอแล้ว เพียงแต่ว่าต้องทำจริง ๆ พอเกิดผลแล้วจะเกิดความมั่นใจขึ้นกับตนเอง พอมั่นใจก็ “เอหิปัสสิโก” ก็คือสามารถท้าพิสูจน์ เรียกให้คนอื่นมาดู มาดูเพราะว่าเราทำได้จริง ไม่ต้องอายใคร"

เถรี
28-04-2017, 16:12
"เห็นรัฐบาลว่าเศรษฐกิจดี ดีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? เพราะว่าพระอยู่แต่ในวัด อาตมาต้องคอยเตือนพระอยู่เรื่อย ๆ บิณฑบาตมาอย่าเลือกอาหาร เพราะอาหารที่ใส่บาตรมาญาติโยมได้มาโดยยาก เดี๋ยวนี้อาหารใส่บาตรมีข้าวถุงหนึ่ง กับถุงหนึ่ง น้ำอีกถ้วยหนึ่งราคา ๖๐ บาทเป็นอย่างต่ำ ค่าแรงขั้นต่ำ ๓๐๐ บาทซื้อ ๕ ถุงก็หมดแล้ว ก็แปลว่านอกจากเขาต้องเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัวแล้ว ยังแบ่งปันมาทำบุญถวายพระอีก ตัวเองไม่รู้ว่าจะมีกินหรือเปล่า ? แต่ขอถวายพระไว้ก่อน กำลังใจที่ถวายมาขนาดนั้น ของทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นของสำคัญทั้งสิ้น

ส่วนใหญ่พออยู่วัดนาน ๆ แล้วลืมไปว่า ญาติโยมลำบากแค่ไหน แทนที่จะทำเพื่อส่วนรวม บางคนก็เผลอทำเพื่อความสุขส่วนตัว สร้างกุฏิสวย ๆ ติดเครื่องปรับอากาศ หารถยี่ห้อดี ๆ มาขี่ บางท่านมีเครื่องเสียงโฮมเธียร์เตอร์ชุดใหญ่อยู่ในกุฏิ

อาตมาเองดุเพื่อนมาหลายคนตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรีปริญญาโทอยู่ ดุไปดุมาบางคนเริ่มเห็นดีเห็นงามก็ทำตาม กลายเป็นแปลกแยกจากหมู่พวกเขาอีก ที่ดุเขาก็คือว่าเพิ่งทอดกฐินเสร็จแล้วทะลึ่งไปซื้อรถ..! ต่อให้คุณซื้อด้วยเงินส่วนตัวคนเขาก็คิดว่าเอาเงินกฐินไปซื้อ สมมุติว่าเขาทอดกฐิน ตั้งใจว่ากฐินครั้งนี้จะสร้างโบสถ์ ตั้งใจว่ากฐินครั้งนี้จะสร้างศาลา ตั้งใจว่ากฐินครั้งนี้จะสร้างเมรุ แต่อยู่ ๆ คุณเอาไปซื้อรถ แล้วชาวบ้านเขาจะคิดอย่างไร ?

อดใจเอาไว้หน่อยสัก ๖ เดือน ๘ เดือนแล้วค่อยไปซื้อ ต่อให้คุณเอาเงินกฐินไปซื้อชาวบ้านเขาก็ไม่ว่าแล้ว ไม่ใช่ว่าทอดกฐินวันนี้พรุ่งนี้ออกรถป้ายแดง นั่นสมควรตาย...!"

เถรี
28-04-2017, 16:14
"อาตมาเป็นคนปากเสียมาแต่ไหนแต่ไร ว่าเพื่อนเสีย ๆ หาย ๆ รับกฐินปุ๊บไปเที่ยวอินเดียปั๊บ น่าตายไหมล่ะ ? ชาวบ้านเขาก็คิดว่าเอาเงินกฐินไปซื้อตั๋วเครื่องบิน เอาเงินกฐินไปซื้อทัวร์ น่าทุบสักพลั่ก...! พระเราอยู่ในสายตาชาวบ้านเขาตลอดเวลา ถ้าไม่รู้จักระมัดระวังรักษาศรัทธาของเขา นอกจากตัวเราจะทำให้เขาเสื่อมศรัทธาแล้ว อาจจะทำให้เกิดในสภาพที่ว่าเขาพลอยเสื่อมศรัทธาในพระอื่น ๆ ไปหมด คราวนี้ศาสนาก็จะอยู่ไม่ได้ เนื่องจากการกระทำของเราเอง"

เถรี
28-04-2017, 16:16
"พระวัดท่าขนุนไปเรียนบาลีที่สำนักใหญ่ ไปก็ยังคงยึดระเบียบวัดท่าขนุน คือสวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็น เจริญกรรมฐานเช้าเย็น ออกบิณฑบาตตามปกติ ปรากฏว่าไปสุมรวมกันอยู่คณะหนึ่งก็คือคณะ ๒ ของท่านอาจารย์มหาสมคิด เปรียญธรรม ๙ ประโยค เขาก็เลยไปลือกันว่าคณะ ๒ นั้นเคร่ง

ถามว่าทำไมคณะนั้นเคร่ง ? เพราะว่าคณะอื่นไม่สวดมนต์ ไม่ทำวัตร ไม่เจริญกรรมฐาน ไม่บิณฑบาต ไม่ทุกอย่างที่พระควรทำ เอาแต่ท่องหนังสืออย่างเดียว แต่คราวนี้เขาว่าเคร่งก็โจมตีอย่างอื่นไม่ได้ เพราะว่าพระของเราไปถึงก็ได้ที่ ๑ ที่ ๒ ของสำนักหรือของสนามใหญ่อยู่เสมอ ๆ

อาตมาเองในฐานะผู้บังคับบัญชาอบรมสั่งสอนเขาไป แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะเป็นความใฝ่ดีของพระท่านเอง แต่ก็ภูมิใจว่าท่านสามารถรักษาความดีเอาไว้ได้ ไม่ไหลตามกระแสเขาไป ในสำนักเรียนใหญ่ ๆ เดินแค่ ๒ เสาไฟฟ้าอาหารก็ล้นบาตรแล้ว ยังต้องไปรบกวนญาติด้วยการให้เขาเอามาถวายถึงกุฏิทำไม ? อาตมาเคยลองไปเดินเอง ๒ เสาไฟฟ้าจริง ๆ ทั้งหอบทั้งหิ้วล้นบาตรมาเลย

ปีนี้วัดท่าขนุนได้มหาเปรียญเพิ่มมา ๒ รูป แล้วก็มีพระอีก ๒ รูปขออนุญาตไปเรียนเพิ่ม ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะว่าช่วงหลังนี้เขาไม่ค่อยเรียนบาลีกัน เพราะว่ายาก"

เถรี
30-04-2017, 18:10
"ความจริงบาลีมาจากคำว่า “ปาละ” ที่คนไทยว่าบาล แปลว่ารักษา คือรักษาพระธรรมวินัยเอาไว้ ถ้าเรียนแล้วสามารถแปลได้ถูก แปลได้ตรง จะได้รู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนอะไร เพราะระยะหลังมีการแปลผิดกันในหลายส่วน แต่ว่าเขาก็ปล่อยกันเลยตามเลย เพราะว่าผิดแล้วดีกับตัวเอง

ในเมื่อเป็นลักษณะนั้น ถ้าเรียนบาลีได้ก็จะดี แต่ส่วนใหญ่แล้วทนความยากลำบากของบาลีไม่ไหว อาตมายืนยันได้เพราะว่าจบปริญญาเอกมา ถ้าใครจบประโยค ๙ นี่จบปริญญาเอกได้ ๓ ใบเลย บาลียากกว่ามาก แต่จบบาลีประโยค ๙ เขาเทียบวุฒิให้เท่าปริญญาตรีเท่านั้น

บาลีประโยคที่ ๑ ถึง ๘ พอเรียนจบมาจะได้ประกาศนียบัตร แต่บาลีประโยค ๙ จบมาจะได้ปริญญาบัตร เพราะว่า ก.พ.ยอมรับว่าเป็นปริญญาตรี เสียเวลาเรียนนานมาก เพราะสอบไม่ตกเลยแบบสุดยอดอัจฉริยะก็ ๘ ปีจบ เนื่องจากประโยค ๑ กับ ๒ เรียนควบกัน

ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระเทพปริยัติมุนี หรือท่านเจ้าคุณมีชัย วัดหงส์รัตนาราม สมัยที่ยังเป็นพระมหามีชัย วีรปญฺโญ เปรียญธรรม ๙ ประโยค เป็นอาจารย์สอนบาลีอาตมาด้วย สอนกฎหมายคณะสงฆ์ด้วย ท่านบอกว่าผมสอบ ๘ ปีได้ ๙ ประโยคก็จริง แต่ไม่ใช่อัจฉริยะนะครับ ผมท่องหนังสือวันละ ๑๐ ชั่วโมง สูบบุหรี่วันหนึ่ง ๒ ซอง ๓ ซอง เพราะว่าเครียดมาก ทั้งผอมทั้งดำจนเพื่อนคิดว่ามะเร็งรับประทานแล้ว มาเลิกบุหรี่ตอนที่จบประโยค ๙ แล้ว ไม่เครียดแล้ว

แต่ก็ต้องบอกว่าท่านเก่งนะ ระดับสูบบุหรี่ ๒-๓ ซองต่อวัน ท่านเลิกได้นี่สุดยอดกำลังใจจริง ๆ พอท่านสอนอาตมาผ่านปริญญาโทไปเรียนปริญญาเอก ปรากฏว่าท่านก็ย่องตามไปเรียนปริญญาเอกบ้าง ...(หัวเราะ)... อาจารย์ไล่ตามลูกศิษย์ แต่ตอนนี้ท่านจบแล้ว เจอหน้าก็นั่งหัวเราะกันว่า เออ...ดร.หน้าตาเป็นอย่างนี้เองนะ"

เถรี
30-04-2017, 18:13
"เรียนมาแล้วอาตมารู้สึกว่าตัวเองรู้นิดเดียว เพราะว่าปริญญาเอกเขาให้เลือกเอาเรื่องเดียว เพียงแต่ว่าจะรู้ลึกในเรื่องนั้นมากกว่าคนอื่น แล้วคนอื่นไม่สามารถเรียนซ้ำในจุดของเราได้ อาศัยได้แค่อ้างอิงเท่านั้น ใครคิดว่าจบปริญญาเอกแล้วรู้ทุกเรื่องนี่ไม่ใช่นะ รู้ทุกเรื่องมีองค์เดียวคือพระพุทธเจ้า จบปริญญาเอกแล้วรู้เรื่องเดียว...น่าสงสารมากเลย สู้เรียนปริญญาตรีไม่ได้ เรียนทีเป็นสิบ ๆ วิชา

ปีนี้พระวัดท่าขนุนเรียนระดับประกาศนียบัตรเพิ่ม ปริญญาตรีก็น่าจะเพิ่ม ปริญญาโท ๖ รูปกับ ๑ คน คือ เรียนอยู่ ๗ ส่วนปริญญาเอกเรียนอยู่ ๓ แต่ละเดือนอาตมาจ่ายค่าเรียนแสนกว่าบาท อย่างที่วันนี้มาแล้วโยมเห็นนั่นแหละ เบิกกันคนหนึ่ง ๕,๐๐๐ - ๘,๐๐๐ บาท วัดท่าขนุนปัจจุบันก็เลยแบ่งเป็น ๒ สาย คือ สายเรียนกับสายปฏิบัติ แต่ว่าทั้ง ๒ สายพอถึงเวลาวัดมีงานต้องมาทำงานร่วมกัน จึงไม่มีอะไรขัดแย้งกัน เพราะว่าเจ้าอาวาสเผด็จการ ไม่ยอมให้ขัดแย้ง ใครทะเลาะกันไล่ออกจากวัดทั้งคู่ โดนไปหน่อยเดียวก็เลยเข็ดไปตาม ๆ กัน"

เถรี
30-04-2017, 18:19
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ก็ไม่กี่วันที่ผ่านมา งานวันเกิดอายุ ๗๒ ปี ของหลวงพ่อพระครูสุชาตกาญจนโกศลหรือหลวงพ่อมณฑล วัดทุ่งสมอ จริง ๆ วัดท่านชื่อ วัดพุทธมณฑลอรัญญิกาวาส หลวงพ่อมณฑลประกาศสละตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดทุ่งสมอ ยกพื้นที่ ๖,๐๐๐ ไร่ให้เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนไปบริหารแทน

ท่านประกาศท่ามกลางสงฆ์และพระเณรทั้งหมดที่ไปร่วมงานเป็นพัน ๆ คนบอกว่า “ดูหมดทั้งจังหวัดกาญจนบุรีแล้ว เห็นจะมีแต่ท่านอาจารย์เล็กเท่านั้นแหละที่จะบริหารวัดนี้ได้” เพราะว่าคนส่วนใหญ่แล้วไปอาศัยวัด ส่วนอาตมามีนิสัยว่าถ้าไปที่ไหนต้องให้ที่นั่นอาศัยเรา ก็คืออย่าไปอยู่เฉย ๆ ให้สร้างประโยชน์กับสถานที่ให้มากที่สุด

ตอนนี้กำลังเฟ้นหาเจ้าอาวาส ท้ายสุดก็ขอตัวลูกศิษย์ท่านหนึ่งคือ พระครูกาญจนปริยัติคุณ (พระครูบ่าว) เจ้าอาวาสวัดพุทธบริษัท บอกว่า "คุณย้ายวัดทีเถอะ ไปช่วยเป็นเจ้าอาวาสดูแล ๖,๐๐๐ ไร่นี้ให้ผมก่อน เดี๋ยวผมจะหาเจ้าอาวาสวัดพุทธบริษัทใหม่เอง"

แล้วก็เอาบรรดาพระครูฐานานุกรมของเรามาจับสลากกัน ปรากฏว่าสมุห์ชาย (พระสมุห์ธนกฤต ขนฺติพโล) จับสลากได้เป็นเจ้าอาวาสวัดพุทธบริษัท เดี๋ยวหลังสงกรานต์อาตมาจะไปเดินเรื่องให้ เพราะฉะนั้น...ถ้าใครบอกว่าเป็นเจ้าอาวาสเพราะจับสลากได้ก็อย่าไปเถียงเขานะ เพราะว่าต้องจับสลากจริง ๆ ที่อื่นเขาแย่งกันเป็นเจ้าอาวาส ของเรานี่เกี่ยงกันดีนัก จึงต้องให้จับสลาก

สรุปแล้วถ้าหากว่าพระวัดท่าขนุนมารวมกันจริง ๆ นี่มีเป็นร้อยเลย เพียงว่าไปเป็นเจ้าอาวาสที่โน่นที่นี่บ้าง พอบอกว่าจะเอาเจ้าอาวาสวัดพุทธบริษัทไปอยู่ที่โน่น เจ้าคณะอำเภอโวยเลย "แล้วใครจะช่วยงานผม ?" บอกท่านว่า "ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมสนับสนุนยานพาหนะ" เพราะว่าที่โน่นต้องใช้รถขับเคลื่อน ๔ ล้อ ให้ท่านเข้าออกมาช่วยงานเจ้าคณะอำเภอได้ เดินทางเข้าป่าค่อนข้างจะลึก หน้าฝนถ้าไม่มีขับเคลื่อน ๔ ล้อนี่ออกไม่ได้ บางช่วงนี่ ๔ ล้อยังจมเลย แต่คนอื่นไปท่านก็ไม่ค่อยจะอดทนพอ"

เถรี
30-04-2017, 18:26
"ถ้าถามว่าต้องอดทนแค่ไหน ? ท่านอยู่วัดพุทธบริษัทมาจนบัดนี้ ๑๖-๑๗ ปี มีกิจนิมนต์ไม่ถึง ๑๐ ครั้ง ระยะแรกอาตมาต้องตั้งเงินเดือนให้ ตอนหลังหากฐินให้ทุกปีท่านถึงได้อยู่ได้ ถ้าเป็นคนอื่นก็เตลิดเปิดเปิงไปนานแล้ว อย่างพระวินัยธรกอล์ฟของเราไปอยู่ ๓ ปี มีกิจนิมนต์ ๑ ครั้งได้มา ๑๐๐ บาท ๓ ปีใช้เงิน ๑๐๐ บาทจะอยู่ไหวไหม ? อาตมาต้องตั้งเงินเดือนให้ บอกว่า ไปอยู่เถอะ...เดี๋ยวให้คนละ ๓,๐๐๐ บาท

บางครั้งการเป็นผู้บังคับบัญชาเขาก็จำเป็นต้องสนับสนุนอย่างเต็มที่ ถ้าท่านยืนได้ด้วยตัวเองเมื่อไรแล้วจะแข็งแกร่งมาก แต่ถ้าหากว่าประคับประคอง ถึงเวลาลำบากก็ไม่เอา ถ้าอย่างนั้นอยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้ โบราณท่านบอกว่าลำบากก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ เพราะว่าไปที่ไหนก็ไม่ลำบากไปกว่านั้นอีก

ตอนนี้วัดท่าขนุนจึงจะมีพระอยู่ ๔๐ รูป แต่แทบจะไม่มีประโยชน์เลย เพราะว่าเหลือนิดเดียว ตรงโน้นขออาทิตย์ละ ๓ รูป ตรงนี้ขออาทิตย์ละ ๒ รูป ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปบิณฑบาตให้ชาวบ้านเขา เพราะว่าคนในพื้นที่บวชไม่กี่วันก็สึก ก็ต้องเอาพระวัดท่าขนุนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป เดินบิณฑบาตจนจะจำได้ทั้งจังหวัดอยู่แล้ว

เดี๋ยวพอชุดที่เรียนปริญญาโททั้ง ๗ กลับมาแล้ว กำลังพลค่อยอยู่ตัวหน่อย ตอนนี้กำลังพลหลัก ๆ ส่วนใหญ่ไปเรียนทั้งนั้น จะให้ต่อปริญญาเอกก็คงไม่เอาแล้วละ รับสมัครว่าที่เจ้าอาวาสนะ ใครคิดว่าภาระในชีวิตน้อยไปก็ไปบวชได้ รับรองว่าได้เป็นทุกคน ถ้าประเภทพระในวัดว่านอนสอนง่ายก็ดี แต่เดี๋ยวนี้จะไปหาเด็กที่ไหนว่านอนสอนง่าย ?"

เถรี
30-04-2017, 18:29
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าตามคำทำนายของพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ท่านบอกว่าหลังกึ่งพุทธกาลแล้วยักษ์นอกพุทธศาสนา จะลุกขึ้นมารบราฆ่าฟันกัน ตายไปอย่างละครึ่งถึงจะยุติ บวกกับที่วันเป่ายันต์เกราะเพชรเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ที่พระท่านบอกว่าภาวะสงครามจะแผ่กว้างออกไป โดยเฉพาะสงครามก่อการร้าย"

เถรี
30-04-2017, 18:36
(สอนลูกศิษย์ดูวัตถุมงคล) "ต้องดูว่ารักเก่าจะเป็นอย่างนี้ แล้วก็รักจีนจะเป็นสีแดง ส่วนรักไทยเป็นสีดำ รุ่นเก่า ๆ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นรักจีน ของหลวงปู่เพิ่มเบี้ยแก้รุ่นหลัง ๆ ถึงจะเป็นรักไทย

ในวงการเครื่องรางของขลัง เขาจัดเบี้ยแก้ ๕ อันดับแรกเอาไว้ เบี้ยแก้อันดับ ๑ ไม่มีใครเทียมแน่นอน คือ หลวงปู่รอด วัดนายโรง ถามว่าทำไมเป็นเบี้ยแก้อันดับหนึ่ง ? ตอบว่าหายากที่สุด อาตมาเล่นเครื่องรางมาทั้งชีวิต ได้เห็นของจริงแค่ ๒-๓ ตัว

อันดับ ๒ คือ เบี้ยแก้หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ความจริงต้องบอกว่าเป็นสหธรรมิกกัน แต่ของหลวงปู่บุญนี่ท่านทำอย่างอื่นดังมากด้วย หลวงปู่รอดแล้วส่วนใหญ่จะดังเบี้ยแก้กับตะกรุด แต่หลวงปู่บุญทำอะไรดังไปหมดทุกอย่าง เบี้ยแก้ของท่านก็เลยมีชื่อเสียงเป็นรองหลวงปู่รอด วัดนายโรง

อันดับสามเป็นของเบี้ยแก้หลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ หลวงพ่อภักตร์จริง ๆ แล้วดังเรื่องตะโพนมากกว่า บรรดาศิลปินนักร้องนักแสดงนี่แสวงหากันสุดชีวิต เพราะว่าเป็นเมตตามหานิยม ใครจะสมัคร ส.ส. จังหวัดอ่างทอง ถ้าไม่มีตะโพนหลวงพ่อภักตร์ไม่ต้องไปสมัครหรอก ไม่ได้รับประทานแน่ เพราะผู้สมัครท่านอื่นพกตะโพนกันนั้น เมตตามหานิยมขนาดไหน ? ขนาดให้คนเลือกเป็น ส.ส. ได้ แต่ปรากฏว่าท่านมาดังเรื่องเบี้ยแก้ด้วย

อันดับสี่ก็ลูกศิษย์หลวงปู่บุญ คือ เบี้ยแก้หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่เพิ่มช่วยหลวงปู่บุญทำเบี้ยแก้มาตั้งแต่ยังเป็นสามเณร พอมาทำเองก็ขลังไม่แพ้อาจารย์ เพราะว่าใช้วิธีเรียกปรอทเข้าเบี้ย ไม่ได้เทเข้าไป

อันดับห้า คือ เบี้ยแก้หลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ หลวงพ่อคำก็เรียกปรอทเข้าเบี้ยเหมือนกัน ถ้าใครจะไปเสาะเบี้ยแก้ในตำนานทั้ง ๕ อย่างนี้ มีทั้งราคาราคาเรือนแสนแถึงหลายแสน ถ้าหากว่ามีราคาต่ำ ๆ หน่อยให้รีบตะครุบเอาไว้เลย"

เถรี
30-04-2017, 18:39
"ส่วนเบี้ยแก้อื่น ๆ ที่อาตมาเห็นว่าท่านเก่งจริง แต่เนื่องจากว่าทำน้อย แล้วอีกอย่างคือของอย่างอื่นท่านดังกว่า อย่างเช่น ของหลวงพ่อม่วง วัดคฤหบดี อันนี้เบี้ยแก้สายเหนียว ลูกศิษย์ไปขอเบี้ยแก้เมื่อไร สมัยก่อนต้องเดินเข้าสวนไป เดินกลับออกมาปากซอย เจอทั้งตี ทั้งฟัน ทั้งแทงเลย เขาอยากรู้ว่าหลวงพ่อเขายังเก่งอย่างเดิมหรือเปล่า ? แต่เขาไม่ได้คิดว่าคนโดนจะตายหรือเปล่า ? สรุปว่าใครไปขอเบี้ยแก้หลวงปู่ม่วง วัดคฤหบดี ต้องเตรียมตัว เตรียมหัว เตรียมทุกอย่างที่จะโดนไปด้วย

เบี้ยแก้หลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน หลวงพ่อซำ วัดตลาดใหม่ หลวงพ่อโปร่ง วัดท่าช้าง ๓ ท่านนี้อยู่สายอ่างทอง สายอ่างทองกับสายวัดนายโรงเป็นคนละสายกัน ถ้าหากว่าสายวัดนายโรงนี่เป็นสายเดียวกับวัดกลางบางแก้ว หลวงปู่ม่วง วัดคฤหบดีก็เป็นลูกศิษย์วัดนายโรง

เบี้ยแก้อื่นที่มีชื่อเสียงอีกก็เช่น หลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง เป็นเบี้ยแก้พอกครั่ง หายากมาก ๆ ที่หายากเกิดจาก ๒ สาเหตุ สาเหตุแรกคือทำน้อย สาเหตุที่ ๒ คือลูกศิษย์หวงมาก เพราะว่ามีประสบการณ์เพียบ เป็นเบี้ยแก้สายเหนียวเหมือนกัน นอกจากล้างอาถรรพ์แล้ว ยังอยู่ยงคงกระพันอีกด้วย

แล้วก็มีเบี้ยแก้หลวงตากา วัดแค นครชัยศรี หลวงตากานี่ก็มาสายเหนียว เรียนเบี้ยแก้ไปจากวัดกลางบางแก้ว แต่เน้นเหนียวอย่างเดียว อย่างของหลวงปู่บุญ หลวงปู่เพิ่มท่านจะมีคาถากำกับอยู่ว่าทำอย่างไรจะเป็นเมตตา ทำอย่างไรจะล้างอาถรรพ์ ทำอย่างไรจะอยู่ยงคงกระพัน หลวงตากานิสัยชอบคงกระพันก็เอาตัวท้ายตัวเดียว แล้วยังมีเบี้ยแก้สายแม่กลอง สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ซึ่งส่วนใหญ่ก็สืบทอดไปจากวัดกลางบางแก้วทั้งนั้น"

เถรี
30-04-2017, 19:01
"ในเรื่องของเบี้ยแก้แล้วเน้นในเรื่องของการล้างอาถรรพ์ โดยเฉพาะพวกผีจะกลัวมากเป็นพิเศษ ที่ไหนผีดุ ๆ พกเบี้ยแก้ไปนอนได้สบายเลย เบี้ยแก้รุ่นหลังที่มีประสบการณ์ก็มีหลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว ซึ่งตอนนี้ท่านก็สิ้นไปแล้ว หลวงพ่อทรง วัดศาลาดิน

แต่ของหลวงปู่เจือเล่นยากเพราะว่าของปลอมมีมาก คนทำปลอมก็คือคนที่ทำให้หลวงปู่เจือนั้นแหละ หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบ ลูกศิษย์ทำขายหน้ากุฏิ หลวงพ่อท่านก็มอบให้โยมในกุฏิ ของหลวงพ่อทรง วัดศาลาดิน ท่านก็เพิ่งจะมรณภาพไม่นาน ราคายังไม่สูง ยังพอหาได้ แต่ว่าท่านที่มีประสบการณ์ก็จะหวง

เบี้ยแก้จริง ๆ เป็นที่นิยมกันมาแต่โบราณ เพราะว่าเราใช้เบี้ยเป็นเงิน ใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน แล้วทางด้านฮินดูถือว่าเป็นภควจั่น เป็นหอยที่ได้รับพรจากพระนารายณ์ เขาก็ให้ความเคารพนับถือ คราวนี้วิชาการทำเบี้ยแก้นั้นสืบทอดมาจากสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว

ถ้าถามว่าสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้วเป็นใคร ? มาจากไหน ? บอกว่าเป็นมหาเถระชาวมอญที่สมเด็จพระนเรศวรให้ความเคารพนับถือมาก แล้วถามว่าไปอย่างไร มาอย่างไร ถึงมาเป็นพระสังฆราชในกรุงศรีอยุธยา ? เพราะว่าท่านนำชาวมอญอพยพตามสมเด็จพระนเรศวรเข้ามา ชื่อเดิมของท่านที่เรารู้จัก คือ พระมหาเถรคันถ่อง พอมาอยู่เมืองไทยกลายเป็นพระสังฆราชเลยไม่รู้จัก วิชาการที่มากับท่านมีเยอะแยะไปหมด เบี้ยแก้ก็ใช่ ตะกรุดหนังหน้าผากเสือก็ใช่ ปรอทสำเร็จก็มาจากสายท่านเหมือนกัน"

เถรี
02-05-2017, 19:19
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในพระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าตรัสชาดกหลายเรื่อง ที่พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์ เกิดเป็นพระราชา ตรัสบอกช่างตัดผม สมัยนั้นเรียกว่ากัลบก ว่าถ้าเห็นว่ามีผมหงอกเมื่อไรให้รีบบอก ถึงเวลาช่างตัดผมเห็น ก็ทูลเตือนว่ามีผมหงอกเกิดขึ้นแล้ว พระองค์ท่านจึงสละราชสมบัติออกบวช ปฏิบัติธรรมได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ตายแล้วไปอยู่พรหมโลก ที่พูดเรื่องนี้เพื่อเตือนให้รู้ว่า พวกเราก็แก่พอควรแล้ว"

เถรี
02-05-2017, 19:32
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนหลวงพ่อวัดซุงท่านถามว่า "เล็ก...ไปอเมริกาด้วยกันไหม ?" อาตมาตอบว่า "ไม่ไปครับหลวงพ่อ" ท่านถามว่า "ทำไมวะ ?" กราบเรียนว่า "ค่าเครื่องบินตั้ง ๔ หมื่นกว่าบาท ผมกลัวไปแล้วทำงานไม่คุ้มครับ"

หลวงพ่อกลับจากอเมริกา อาตมาก็มารับท่าน คณะที่ไปกับหลวงพ่อ ๓๒ คน ก็แปลว่าหลวงพ่อต้องจ่ายค่าเครื่องบินทั้งคณะล้านกว่าบาท กราบเรียนหลวงพ่อด้วยความคับข้องใจมากว่า "หลวงพ่อครับ จ่ายเงินทีเป็นล้านคุ้มแบบนี้หรือครับ ?" ท่านบอกว่า "ถ้าแนะนำให้คนรู้จักพระนิพพานได้แม้แต่คนเดียวถือว่าคุ้ม เพราะว่าเงินล้านซื้อพระนิพพานไม่ได้..!" จริงของท่าน แต่ตอนนั้นอาตมามองไม่ถึง มองไม่เห็น กลัวว่าไปแล้วทำประโยชน์ไม่สมกับค่าของเงิน

เหมือนอย่างทุกวันนี้ไปเหนือไปใต้ บางทีพระในวัดก็ อูย...เป็นพระอาจารย์นี่ดีจังเลย ได้ไปเที่ยวอีกแล้ว เขารู้ไหมว่าตูไปเชียงใหม่ ๓ วัน นั่งจนตูดด้านทั้ง ๓ วัน มีแต่โยมที่ออกไปตะลอน ๆ เที่ยวอยู่ข้างนอก เพราะว่าพอโยมเขารู้ว่ามา เขาก็แห่กันมาทั้งวัน ไม่เป็นเวลา แล้วจะไปไหนได้ ?

ไปหาดใหญ่ ๕ วัน โอ๊ย...พระอาจารย์เล็กไปเที่ยวอีกแล้ว ตูนั่งตูดด้านทั้ง ๕ วัน พูดง่าย ๆ คือ ถ้าไม่เห็นท่ารถก็เห็นสนามบิน นอกจากนั้นไม่ต้องไปไหนหรอก เขาจับไปตั้งไว้ที่ไหนก็อยู่ตรงนั้นแหละ ได้เวลาเขานิมนต์ไปฉัน หลังจากนั้นก็มากวนต่อ จะโทษโยมก็ไม่ได้ เขาอยู่ไกลเรามายาก นาน ๆ ไปที เขาก็นั่งเฝ้ากันไม่เลิก

ตอนนี้คนที่ภูเก็ตทนไม่ได้ อาตมาไม่ได้ไปตั้ง ๒ ปีแล้ว เขานั่งเครื่องบินมาหากันเอง"

เถรี
02-05-2017, 19:45
"ตั้งแต่อาตมาเป็นเจ้าคณะตำบลมา งานในมือมีมากขึ้น โดยเฉพาะบังคับรายงานการตรวจการณ์คณะสงฆ์ ไปแล้วเจอใคร ให้คำแนะนำว่าอะไร ครั้งต่อไปต้องตามงานนั้นด้วย

เจ้าคณะภาค ๑๔ ท่านดุเดือดมาก เร่งรัดทุกอย่างแทบไม่มีเวลาหายใจ ตอนนี้คำสั่งวิ่งตรงจากภาคถึงวัดเลย ไม่ผ่านจังหวัด ไม่ผ่านอำเภอ อาตมาเจอหลวงพ่อพรหมดิลก ท่านถาม "เป็นอย่างไรบ้างวะเล็ก ?" กราบเรียนว่า "ขออภัยครับหลวงพ่อ เหนื่อยฉิบหา...เลย สมัยหลวงพ่อเป็นเจ้าคณะภาค ผมไม่เห็นจะเหนื่อยเท่านี้ ตอนนี้ท่านเรียกใช้หัวไม่วางหางไม่เว้น" ท่านบอกว่า "ดี...ผู้บังคับบัญชาเรียกใช้ แสดงว่าท่านเห็นความสามารถ" เลยกราบเรียนท่านแบบขำ ๆ ว่า "ผมยอมเป็นคนไม่มีความสามารถจะดีกว่า"

แต่ว่าชอบใจท่านเจ้าคณะภาคอยู่อย่างหนึ่ง คือ ถวายอะไรท่านไม่รับหรอก ท่านบอกว่าท่านมีแล้ว มีเยอะกว่าด้วย ถ้าคุณขาดบอกผมแล้วกัน จัดโครงการบวชสามเณรภาคฤดูร้อน ท่านถามว่าขาดอะไรบ้าง ? ผ้าไตรขาดไหม ? วิทยากรขาดไหม ? เงินขาดไหม ? ขาดอะไรให้บอก ไปขอสนับสนุนจากท่านได้

เพิ่งเจอเจ้านายแบบนี้ ประเภทสนับสนุนแม้กระทั่งเงิน ที่ผ่านมาเจอสนับสนุนแค่สิ่งของ หรือไม่ก็ออกนโยบายให้พวกเราไปดิ้นรนทำกันเอง ไปวัดนิมนต์ไปถวายปัจจัยไทยธรรมก็ไม่รับ ท่านบอกว่าผมมีมากแล้ว แล้วนิมนต์ก็ไม่เคยไป นิมนต์มา ๕ ครั้ง ท่านไม่เคยไปวัดท่าขนุน เพราะว่าส่วนใหญ่เป็นงานทำบุญครบรอบปีบ้าง งานฉลองบ้าง ท่านบอกว่างานแบบนั้นได้ประโยชน์น้อย ท่านไปที่อื่นดีกว่า

แต่ที่ไปท่านไปเองนะ ไม่ได้นิมนต์ ผ่านไปเมื่อไรก็แวะตรวจ ไปไม่เป็นเวล่ำเวลา นึกอยากจะไปเมื่อไรก็ไป ไปวัดไหนท่านก็เดินเข้าไปดูว่า ทำงานตามที่ท่านสั่งหรือเปล่า ?"

เถรี
02-05-2017, 19:50
"ท่านบอกว่า ท่านตั้งปณิธานไว้ว่า ก่อนที่จะหมดอายุราชการของการเป็นเจ้าคณะภาค ท่านจะต้องไปให้ได้ครบทุกวัด โอ้...พระเจ้า บางวัดอยู่สุดหล้าฟ้าเขียวเลย อาตมายังยุเจ้าคณะอำเภอว่า ปีหน้าเราจัดอบรมพระนวกะที่วัดคลิตี้ล่างกันเถอะ

ถามว่าวัดคลิตี้ล่างไกลแค่ไหน ? ไกลจากวัดท่าขนุนเข้าป่าไป ๘๗ กิโลเมตร อยู่ในเขตตำบลชะแล เขต ๒ ตอนอาตมาเป็นเจ้าคณะตำบลชะแล เขต ๒ ไม่มีโอกาสใช้เครื่องทุ่นแรง เพราะโทรศัพท์ติดต่อไม่ได้ พื้นที่ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่อุทยานก็เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขาไม่ยอมให้ตั้งเสาโทรศัพท์อยู่แล้ว มีงานอะไรมีวิธีเดียวคือวิ่งส่งหนังสือถึงวัด ปรากฏว่าในนั้นมีอยู่ ๕ วัดและ ๗ สำนักสงฆ์ ไม่ใช่เยอะนะ พื้นที่ใหญ่มหึมาเลย

อำเภอทองผาภูมิใหญ่เท่าสมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ๓ จังหวัดรวมกัน แล้วตำบลชะแล เขต ๒ ใหญ่ครึ่งอำเภอ..! อาตมาวิ่งส่งหนังสือวัดแรก ถึงวัดสุดท้าย ๑๔๒ กิโลเมตร..! เข้าไปทุกเดือน บางเดือนก็ ๔ ครั้ง ๕ ครั้ง บรรดาเจ้าอาวาสเขาบอกว่า ตั้งแต่มีเจ้าคณะตำบลมา เห็นหน้าพระอาจารย์คนเดียว คนอื่นเขาไม่เข้าไปหรอก เขาเป็นเจ้าคณะตำบลแค่โก้ ๆ เฉย ๆ"

เถรี
02-05-2017, 19:51
"ทางราชการสนับสนุนนิตยภัต ตอนนั้นอาตมาเป็นเจ้าคณะตำบล ไม่ได้เป็นพระครูสัญญาบัตร ได้เดือนละ ๑,๘๐๐ บาท วิ่งรถเที่ยวเดียวก็หมดแล้ว แล้วพวกปัญญามากหรือปัญญานิ่มก็ไม่รู้ ? ยังจะออกกฎหมายมายึดเงินพระอีก ตูละเซ็ง...! ที่มีอยู่ก็ไม่พอใช้ยังจะมายึดอีก จะออกกฎหมายยึดธรรมกายวัดเดียวก็ออกให้ชัด ๆ ไปเลย ไม่ต้องมาเหวี่ยงแห...!"

เถรี
02-05-2017, 20:08
ถาม : พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ก่อนกินต้องเอาไปฝนก่อนหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ก็ว่าจะให้ฝนนะ แต่เห็นเขากินไปทั้งองค์เลยก็มี

ถาม : ต้องกินนานเท่าไร หรือกี่เม็ดคะ ?
ตอบ : จนกว่าจะหายแล้วกัน ตากแห้งก่อนนะ ที่ได้ไปยังไม่แห้ง ไปฝนตอนนั้นก็แหลกหมดทั้งองค์ ตากลมนะ ยาจินดามณีตากแดดไม่ได้ เพราะว่าส่วนผสมหลักอย่างหนึ่งคือน้ำผึ้ง โดดแดดแล้วเยิ้มละลายจนเนื้อนิ่มใหม่ แต่ถ้าหากความชื้นหมด แห้งจริง ๆ จะแกร่งเป็นหินเลย อย่างที่โบราณเรียกว่าเป็นพระธาตุ

อาตมายังสงสัยว่าถ้าแข็งขนาดนั้นแล้วไปฝน ที่ออกมาจะเป็นตัวยาหรือเป็นฝาละมี ฝนไปฝนมา แทนที่ยาจะสึก กลายเป็นฝาละมีสึกมากกว่า..!

เถรี
02-05-2017, 20:15
พระอาจารย์กล่าวกับญาติโยมอายุมาก ที่มีลูกหลานประคองมาว่า "ภารา หเว ปัญจักขันธา ขันธ์ ๕ คือร่างกายนี้เป็นภาระยิ่งหนอ

นึกถึงตอนสมัยหนุ่ม ๆ อายุ ๓๐ กว่า นั่งที่บ้านอนุสาวรีย์ตั้งแต่ ๗ โมงครึ่งยัน ๓ ทุ่มทุกวัน มีเวลาลุกไปฉันอาหารกับเข้าห้องน้ำเท่านั้น ก็นั่งอยู่ได้ สมัยนี้เปลี่ยนจาก ๓๔ ปี เป็น ๕๘ ปี ไม่ไหวแล้ว ถ้าไม่ได้พักจะนั่งคอพับไปเลย

วันก่อนเจอโยมที่รู้จักกันตั้งแต่ฆราวาส ไปหาหลวงพ่อบ๊ะด้วยกัน โยมเจอก็ดีใจ มายกมือไหว้ ถามว่าจำได้ไหม ? อาตมาเลยบอกชื่อบอกนามสกุลไป ถามว่าสุขภาพโยมเป็นอย่างไรบ้าง ? โยมบอกว่า "เต็มทีครับ ๘๐ แล้ว" ยังถามกลับว่า "หลวงพี่เป็นอย่างไรบ้างครับ ?" "ก็มาหาหมอ...โยมเห็นว่าเป็นอย่างไรล่ะ ?"

ญาติโยมบางคนพออายุมากหน่อยก็เริ่มถอดใจ อาตมายืนยันว่า ถ้าอยู่ได้มีแก่กว่านั้นอีก ตอนอาตมาบวชใหม่ ๆ อายุ ๒๐ กว่า เฝ้าหน้าห้องให้หลวงพ่อวัดท่าซุง หน้าหนาวใส่อังสะตัวเดียว จีวรยังไม่ห่มเลย หลวงพ่อท่านเดินเข้าตึกมาถามว่า "แกไม่มีเครื่องกันหนาวหรือ ?" กราบเรียนท่านว่า "ยังไม่หนาวครับ" เพราะว่าหลวงพ่อท่านใส่ทั้งอังสะไหมพรม ทั้งถุงเท้า ทั้งหมวกไหมพรม"

เถรี
02-05-2017, 20:18
"พอหลังอายุ ๓๐ ปี ไม่ต้องให้ท่านถามแล้ว ไปวิ่งหามาใส่เอง พอหลัง ๔๐ ปี ทำอะไรก็เริ่มรู้สึกเหนื่อย หลัง ๕๐ ปีนี่แย่แล้ว ก่อนหน้านี้บอกเหนื่อยแล้ว ไม่ไหวแล้ว ยังตื๊อต่อได้เป็นวัน ๆ สมัยนี้ถ้าบอกไม่ไหวแล้วคือต้องหยุดเลย หมดก๊อกจริง ๆ พลังงานสำรองไม่มีแล้ว โบราณถึงได้บอกว่า "อายุ ๕๐ ปี ไปบ่ถึงมาทอดหุ่ย" เดินทางได้ไม่ไกลเท่าเดิม กลับมาก็ต้องพักกันนาน พออายุ ๖๐ ปี บอกว่า "เป่าขลุ่ยบ่ดัง" ไม่มีลมหายใจเป่าขลุ่ย แค่หายใจเองก็ลำบากแล้ว

ไปนึกถึงหลวงปู่องค์หนึ่ง คือ หลวงปู่พากุละ เป็นพระที่อายุยืนที่สุดในพระไตรปิฎก อายุ ๑๕๐ ปี ท่านเบื่อเพราะว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันก็ไม่มี รุ่นน้องก็ไม่มี รุ่นลูกก็ไม่มี ที่เหลือก็เหลือแต่หลานกับเหลน ท้ายสุดท่านก็เทศน์สั่งสอนเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเข้าห้องนั่งสมาธิไปพระนิพพานเลย

ไม่ได้ตายเพราะหมดอายุ แต่ว่าเบื่อร่างกายเต็มที จึงทิ้งร่างกายไปเลย ในอดีตชาติท่านสร้างส้วมถวายวัด เกิดมาชาตินี้เป็นผู้ที่เลิศในทางมีโรคน้อย นอกจากความหิวแล้วไม่เคยเป็นอะไรเลย เจ็บไข้ได้ป่วยปวดหัวตัวร้อนก็ไม่เป็น อายุยืนที่สุดที่ปรากฏในพระไตรปิฎก คือ ๑๕๐ ปี"

เถรี
02-05-2017, 20:20
"ขออย่าให้ต้องอยู่อย่างท่านเลย อาตมาอยู่ถึง ๖๐ ปี ถือว่าเก็บตกได้แล้ว เพราะในอดีตเป็นทหารมาทุกชาติ อาตมาไม่ต้องดูเอง หลวงพ่อฤๅษีท่านบอกว่าเป็นทหารมาทุกชาติ ปาณาติบาตที่ทำไว้มาก จะทำให้เจ็บไข้ได้ป่วยบ่อย ให้ปล่อยชีวิตสัตว์ที่เขาจะฆ่าอย่างน้อยเดือนละตัวสองตัว จะช่วยบรรเทากรรมตรงนี้ได้ อาตมาเริ่มปล่อยตามที่ท่านสั่ง คือวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๙ มาจนทุกวันนี้ แต่ไม่เคยปล่อยเดือนละตัวสองตัว ไปเจอก็เหมาหมดตลาด

ญาติโยมไปวัดท่าซุงแล้วตื่นเต้นกับวังมัจฉาว่าปลาเยอะเหลือเกิน ขอบอกว่าอาตมาปล่อยไว้เอง ซื้อทุกเดือนปล่อยทุกเดือน ตอนแรกปล่อยที่บ่อข้างร้านอาหารป้ากิมกี ปล่อยไปปล่อยมา หลวงพ่อท่านบอกว่า "เฮ้ย..แกแหกตาดูบ้างหรือเปล่า ? ปลาจะหายใจไม่ได้อยู่แล้ว" ท้ายสุดลองเอาอาหารเม็ดโยนไป โอ้พระเจ้า...ขึ้นมาแน่นยิ่งกว่าหนอนอีก ครั้งต่อไปจึงต้องปล่อยลงแม่น้ำ

ขอบอกว่าไม่มากไม่มาย ๓๒ ปี ที่ปล่อยต่อเนื่องกัน แต่ละเดือนไม่ต้องนับจำนวน อาการป่วยไข้ถึงได้เบาลง ไม่อย่างนั้นนี่หัวอาทิตย์ท้ายอาทิตย์จะต้องเป็น ก็แปลว่าถ้าเราทำสม่ำเสมอ ก็จะเห็นผลในชาตินี้เหมือนกัน แต่เนื่องจากว่าสร้างกรรมไว้หนัก ๒๕ ปีผ่านไปเริ่มมาได้หมอดียาดี ตอน พ.ศ. ๒๕๕๕ น้ำหนักขึ้นมา ๔ กิโลกรัม"

เถรี
02-05-2017, 22:23
พระอาจารย์กล่าวว่า “เป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนนี่อนาถมาก อนาถตรงไหน ? ตรงที่สร้างวัตถุมงคลแล้วต้องรอโยมถวายถึงจะมีกับเขา ส่วนใหญ่ออกมาโยมก็แย่งบูชากันหมด พอโยมเอามาถวายถึงได้มีกับเขาบ้าง”

เถรี
02-05-2017, 23:05
ถาม : อยู่คนเดียวเหมือนอยู่หลายคน อยู่หลายคนเหมือนอยู่คนเดียว ไม่เข้าใจความหมายครับ ?
ตอบ : ต้องมีสติระมัดระวังตัวอยู่เสมอเหมือนกับอยู่ต่อหน้าคนอื่น ไม่ใช่ว่าลับหลังเขาแล้วทำตัวตามสบาย ขาดสติ กิเลสก็กินตายห่...สิครับ..!

ถาม : อ๋อ..ทำเหมือนกัน ?
ตอบ : เออ...ต่อหน้าหรือลับหลังทำเหมือนกัน ไม่ใช่ว่า ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก

เถรี
02-05-2017, 23:05
ถาม : เรื่องศีลข้อสามล่ะครับ ถ้าผู้หญิงมีผู้ปกครอง ?
ตอบ : ไม่มีคำว่าถ้า...ไม่มีการยกเว้นทุกรูปแบบ สรุปแล้วตูยังไม่เห็นช่องทางจะฝ่าฝืนได้เลย

ถาม : ไม่มีผู้ปกครอง หมายถึงว่ามีพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่ไม่อยู่แล้ว ?
ตอบ : ไม่ใช่...ไอ้นี่ของเอ็ง ต้องเอาของพระพุทธเจ้าสิวะ..!

ถาม : แม้ว่าจะอายุ ๕๐ ปี ?
ตอบ : ต่อให้อายุ ๕๐ ก็มี เพราะท่านบอกแล้ว มีพ่อ มีแม่ มีพี่ชาย มีน้องชาย มีพี่สาว มีน้องสาว มีเพื่อน มีกฎหมาย มีผู้จองแล้ว มีพระราชาปกครองก็คือกฎหมายคุ้มครอง คนอายุ ๕๐ ก็ยังอยู่ใต้กฎหมายอยู่ดี

อาตมาพยายามจะฝ่าฝืนแล้วไม่สำเร็จ ก็เลยต้องมาบวช..! ไม่มีช่องให้ฝืนเลย ท้ายสุดท่านบอกว่า “มีธรรมปกครอง” บรรลัยเลย ไม่มีใครเหลือเลยสักคน อยู่คนเดียวยังมีธรรมปกครอง

เถรี
02-05-2017, 23:08
ถาม : อุเบกขากับอภัย ต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ต่างกันเยอะ อภัยก็คือยอมปล่อยวาง อุเบกขาแค่กดเอาไว้เหมือนกับหินทับหญ้า ถ้าหินเคลื่อนเมื่อไรหญ้าก็งอกงามใหม่ แต่อภัยนั้นคือปล่อยวางไปเลย ไม่เก็บมาใส่ใจอีก จึงไม่เดือดร้อนด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย

เถรี
02-05-2017, 23:12
ถาม : พุทธานุสติสามารถที่จะทรงฌานได้หรือไม่ครับ หรือเป็นแค่อุปจารสมาธิครับ ?
ตอบ : เป็นได้ ตามที่เขาบอกว่าพุทธานุสติเต็มที่ได้ไม่เกินอุปจารสมาธิ...ใช่ไหม ? พอถึงเวลาเราคิดจนอารมณ์ใจทรงตัวในคุณพระรัตนตรัยแล้ว ก็ใช้อานาปานสติควบไป จะเป็นฌานในพุทธานุสติเอง คนทำไม่เป็นก็บอกว่าทำได้แค่นั้น ท่านพูดความจริงว่าทำได้แค่นั้น แต่ท่านพูดไม่หมดว่าสามารถพลิกแพลงเพื่อทำได้มากกว่านั้น

ถาม : จะให้ทรงฌานตลอดเวลา ?
ตอบ : เอ็งไม่คิดจะทำอย่างอื่นบ้างเลยหรือ ? ทรงฌานตลอดเวลา ถ้าตัดกิเลสไม่ได้ ถึงเวลาฌานหลุดกิเลสก็ตีตาย หัดขยับออกมาพิจารณาบ้างสิ

เถรี
02-05-2017, 23:17
ถาม : (การพูดกับผู้อื่น)
ตอบ : พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า วาจาที่ไม่มีประโยชน์ พูดไปแล้วคนอื่นไม่ชอบใจ ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น
วาจาที่ไม่มีประโยชน์ พูดไปแล้วคนชอบใจ ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น
วาจาใดที่มีประโยชน์ พูดไปแล้วคนอื่นไม่ชอบใจ ตถาคตเลือกเวลาที่จะกล่าววาจานั้น
วาจาใดที่เป็นประโยชน์ กล่าวไปแล้วคนอื่นชอบใจ ตถาคตมักกล่าววาจานั้น

ไปเลือกเอาก็แล้วกันว่าจะทำอย่างไร แปลว่าต้องดูกาลเทศะที่เหมาะสมด้วย

เถรี
02-05-2017, 23:17
:4672615: เก็บตกเดือนเมษายน ๒๕๖๐ หมดแล้วค่ะ :4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี และรัตนาวุธ