PDA

View Full Version : อีหรอบเดียวกัน ตอนที่ ๖


สุธรรม
02-03-2017, 09:11
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26142&stc=1&d=1488420615
ภายในห้องน้ำที่พื้นเย็นมาก

วันพฤหัสบดีที่ ๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๖

ตื่นตีหนึ่งครึ่ง กำหนดใจนึกถึงพระ ภาวนาชักยันต์ทำน้ำมนต์เสร็จแล้ว จึงเดินไปเข้าห้องน้ำ แหม..พื้นเย็นจนสะดุ้ง ปัสสาวะแล้วจัดการเปิดน้ำร้อน ดื่มเข้าไปสามแก้วรวด แล้วมานอนภาวนา อิติปิ โสฯ ๗ จบ ดันว่าเพลินไปหน่อย เลยกลายเป็น ๑๐ จบไปเสียนี่ ดีเหมือนกัน..เกินย่อมดีกว่าขาด ต่อด้วยคาถานะมะพะทะ ๑๕ จบ เพื่อปลุกยันต์ทำน้ำมนต์...

ส่งใจไปถึงเทวดาที่รักษาเส้นทางตลอดการเดินทางในวันนี้ อุทิศส่วนกุศลให้กับท่าน แล้วขอความปลอดภัยตลอดการเดินทางในวันนี้ "ท่านผู้นำ" หัวเราะกับอาการ "ปลอดภัยไว้ก่อน" ของอาตมา เออน่า..ถ้ามาตายต่างแดนเขาส่งศพกลับยากเว้ย..!

จากนั้นภาวนาคาถาชินบัญชร เพิ่งได้ ๒ จบ ร่างกายก็เรียกร้องให้รีบเข้าห้องน้ำ จัดการถ่ายหนักแบบ "ลื่นไหล" สุด ๆ ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ไม่มีท้องผูกกับใครเลย มิหนำซ้ำยังทำธุระส่วนตัวเสร็จภายในไม่เกิน ๓ นาที นิสัยนี้ติดมาตั้งแต่ยังอยู่กองโรงเรียน ครูฝึกจะให้ทหารทุกคนเก็บที่นอน แต่งตัว ล้างหน้า แปรงฟัน เข้าห้องน้ำห้องส้วมให้เสร็จภายใน ๓ นาที..!

สุธรรม
02-03-2017, 15:40
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26146&stc=1&d=1488443968
การตกแต่งห้องของโรงแรมแห่งนี้ออกไปทางสีไว้ทุกข์

เมื่อเป็นอย่างนี้จึงกลายเป็นความเคยชินส่วนตัว หลายครั้งที่เข้าห้องน้ำออกมาญาติโยมมักจะสงสัยว่า "อะไร..เข้าห้องน้ำเสร็จแล้ว ?" ต้องยืนยันว่าเสร็จแล้ว ซ้ำยังช้ามากอีกด้วย เล่นเอาคนได้ยินทำท่าจะเป็นลม เพราะบางคนเข้าทีเป็นชั่วโมง และ "ไม่ประสบความสำเร็จ" อีกด้วย...

มาเปิดไฟเปิดเครื่องโน้ตบุ๊กเพื่อพิมพ์บันทึกย่อ ชอบใจโรงแรมนี้ที่มีโต๊ะทำงานแบบโต๊ะสำนักงานให้ ไม่ใช่โต๊ะเครื่องแป้งหน้ากระจกแบบที่อื่น หลวงพ่อพระครูเรืองที่สีหไสยาสน์เงียบฉี่ไม่มีกรนลุกขึ้นถามเวลา อาตมาดูเวลาที่จอบวกลบแล้วบอกว่าเพิ่งจะตีสามครึ่ง ท่านจึงไปเข้าห้องน้ำ แล้วกลับมานอนใหม่ พักหนึ่งก็มีเสียงกรน อ้าว..ทำไมมากรนเอาตอนนี้..? เสียงกรนของท่านแปลก ๆ ฟังไปนาน ๆ รู้สึกเหมือนกับมีงูเห่ามาขู่อยู่ใกล้ ๆ..!

พิมพ์งานจนหกโมงก็หมดสภาพ ทำท่าไข้จับอีกแล้ว พอมาลาเรียกำเริบทีไร อาการเจ็บป่วยอื่น ๆ ที่เป็นมาหลายชาติ ก็จะโดนกระทุ้งออกมาด้วย ซึ่งตอนนี้ที่หนักที่สุดก็คืออาการเจ็บสะโพกที่หลุด แต่จะนอนก็ไม่ได้...เพราะยิ่งนอนก็ยิ่งไข้จับหนักขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องนอนห้องนี้ ที่ตกแต่งแบบไม่ค่อยจะเป็นมงคลเอาเสียเลย ออกไปในโทนสีขาวดำเหมือนกำลังไว้ทุกข์อย่างไรพิกล ขืนนอนแล้ว “ไปยาว” เลย ก็ได้เข้ากับบรรยากาศเท่านั้นเอง..!

สุธรรม
03-03-2017, 03:43
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26148&stc=1&d=1488487344
"...ฯลฯ มะลิวัลย์พันกอพฤกษาดาด เหมือนผ้าลาดขาวละออหนอน้องเอ๋ย...ฯลฯ"

หยิบน้ำดื่มขนาด ๖๐๐ ซี.ซี. ของทางโรงแรมใส่ลงในกระเป๋าโน้ตบุ๊ก ๑ ขวด สะพายกระเป๋าขึ้นไหล่ คว้ากล้องถ่ายรูปติดมือไปด้วย วางบัตรกุญแจไว้บนเตียง กำชับหลวงพ่อพระครูเรืองว่า “ถ้าออกจากห้องเมื่อไร หลวงพ่ออย่าลืมเอา Key Card ติดไปด้วยนะครับ ไม่อย่างนั้นเราจะกลับเข้าห้องไม่ได้” อีกฝ่ายเอื้อมมือมาคว้าเอาไปซุกใส่กระเป๋าอังสะไว้เลย เห็นแบบนั้นก็หมดห่วง อาตมาจึงเปิดประตูเดินไปกดลิฟท์ลงชั้น ๑...

อ้าว...ประตูลิฟท์เปิดออกมาดันไม่ใช่ชั้นล่างสุด ยังเป็นห้องพักอยู่เลย เห็นมีปุ่มชั้น ๐ อยู่ด้วยจึงลองกดดู เออ...คราวนี้ใช่แฮะ เดินออกไปเปิดประตูกระจกที่เมื่อวานเย็นคุณโอ๋เข้ามานั่นแหละ... แหม..อากาศเย็นสดชื่นไหลพรูเข้ามาทันที แสงแดดจัดจ้าส่องกระทบโรงแรมด้านนี้แบบเต็ม ๆ สูดลมหายใจสดชื่นเข้าไปเต็มปอด มีกลิ่นหอมชื่นใจแทรกอยู่ในอากาศด้วย ขอดูหน่อยเถอะว่าเป็นดอกไม้อะไร ?

เดินตามกลิ่นไปตามถนนลาดยางข้างโรงแรม ด้านนี้มีรถเก๋งจอดอยู่สี่ห้าคัน บริเวณกำแพงที่รถเสียบหัวจอดอยู่นั่นเอง มะลิวัลย์ขึ้นคลุมกำแพงเป็นแนวยาวเหยียด มีต้นไม้คล้ายต้นเมเปิลแต่ใบสีม่วงทั้งต้นขึ้นแทรกอยู่เป็นระยะ มะลิวัลย์กำลังออกดอกสีขาวบานสะพรั่ง กลิ่นหอมตลบไปไกล มีผึ้งเล็กคล้าย ๆ กับชันโรงของบ้านเรา บินตอมอยู่ไม่น้อยเลย...

สุธรรม
03-03-2017, 17:42
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26149&stc=1&d=1488537664
ป้ายจราจรบริเวณสี่แยกหน้าโรงแรม

อาตมาถ่ายรูปงามประทับใจเอาไว้หลายรูป ถ้าบ้านเรามีมะลิวัลย์แบบนี้ ว่าจะหาไปปลูกเป็นแนวรั้ววัดดูบ้าง เดินถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ บรรยากาศชักจะไม่เข้าท่า เหมือนกับว่าถนนด้านนี้ไม่มีใครใช้งาน สองข้างทางรกได้ใจทีเดียว พยายามนึกภาพเมื่อคืนดู ถนนสายนี้ขนานไปกับคลองจนถึงทะเลแน่ ๆ เส้นทางรกแบบนี้ ขืนเดินต่อไปถ้าไม่ถูกผีหลอก ก็อาจจะเจอกลุ่มมาเฟียเข้าก็เป็นได้...

เดินย้อนกลับมาทางเดิมผ่านไปจนถึงถนนหน้าโรงแรม เอ๊ะ..น่าจะเป็นถนนด้านข้างโรงแรม เพราะหน้าโรงแรมต้องเป็นด้านที่เมื่อวานพวกเราเข้าไปเช็คอิน บนเกาะกลางถนนปลูกกุหลาบเอาไว้เป็นระยะ มีทั้งสีแดง สีขาว เสียดายที่หญ้ารกไปหน่อย อาตมาเดินถ่ายรูปไปเรื่อย นาน ๆ จะมีรถวิ่งผ่านไปผ่านมาเสียที จนมาถึงสี่แยกที่ขวามือเป็นด้านหน้าของโรงแรม...

ตรงนี้มีป้ายจราจรชี้ว่าตรงไปเป็น MARGHERA ซึ่งอาตมาไม่รู้จัก แต่ทางขวามือซึ่งผ่านหน้าโรงแรมเขียนว่า centro VENEZIA ซึ่งคงจะเข้าไปใจกลางเมืองเวนิส อาตมาถ่ายรูปดอกกุหลาบ และกอหญ้าที่มีดอกคล้าย ๆ หญ้าหางกระรอกของบ้านเรา จนเดินข้ามสี่แยกแล้วเลี้ยวขวาผ่านหน้าโรงแรม ซึ่งตรงนี้มีเถาตำลึงฝรั่ง (Ivy) ที่ขึ้นคลุมเป็นพุ่มใหญ่ ดูแล้วน่าจะกินได้ ฮ่า..! เช้า ๆ ท้องว่าง ๆ แบบนี้ เห็นอะไรก็อยากจะกินไปหมด...

สุธรรม
04-03-2017, 03:52
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26152&stc=1&d=1488574253
รถตำรวจนี่หว่า..!

เลยโรงแรมไปหน่อยหนึ่งมี “ซอย” แยกซ้ายมือ อาตมาเลี้ยวเข้าไปอย่างไม่ลังเล ด้านในมีบ้านเดี่ยวตั้งอยู่เป็นระยะ รั้วบ้านเป็นต้นไม้สูงประมาณ ๒ ฟุต ตัดเป็นระเบียบเรียบร้อย ลึกเข้าไปจนสุดถนนมีสวนหย่อมเล็ก ๆ แบ่งถนนออกเป็นซ้ายขวา ทางขวาไปได้ไม่ไกลก็เป็นชายป่า มีถังขยะขนาดใหญ่ตั้งเรียงรายอยู่หลายใบ ส่วนทางซ้ายเป็นอาคารขนาดใหญ่ ที่น่าจะเป็นส่วนราชการหรือสำนักงานบริษัทอะไรสักอย่าง มีต้นไม้สวย ๆ ขึ้นอยู่รอบตัวอาคาร...

เดินย้อนกลับมาค่อนทาง ด้านซ้าย (ขาเข้าเป็นด้านขวา) มีซอยย่อยเข้าหน้าบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งมีกระถางดอกไม้ประเภทบัตเตอร์คัพอยู่หลายกระถาง อาตมาเดินเข้าไปถ่ายรูปแบบไม่ต้องเกรงใจเจ้าของบ้าน วนขวาไปตามทางซอยข้างบ้าน มาเจอรถยนต์จิ๋วสองที่นั่ง น่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า มีตัวอักษรว่า UNIPOL แฮ่..แฮ่..รถตำรวจนี่หว่า เผ่นก่อนดีกว่า..!

หลุดออกมาถนนใหญ่ ข้ามถนนไปฝั่งเดียวกับโรงแรม เดินมาถึงประตูหน้าโรงแรมเปิดประตูกระจกเข้าไป เจอพระครูปรีชารี่เข้ามาหา “อาจารย์ไปพูดกับพนักงานให้ทีครับ ท่านอาจารย์คณบดีลืม Key Card ไว้ในห้อง” ตูว่าแล้ว...เรื่องดี ๆ มาถึงแต่เช้า จึงเดินไปหาน้องหนูประชาสัมพันธ์ที่หน้าตาเหมือน “แขกขาว” บอกกับเธอว่า “My master lose key card in his room.”

สุธรรม
04-03-2017, 17:51
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26154&stc=1&d=1488624591
ท่านอาจารย์คณบดียืนเหี่ยวเพราะลืมบัตรกุญแจ

น้องหนูถามหมายเลขห้อง อาตมาเสียมารยาทตะโกนถามท่านอาจารย์คณบดีที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่บริเวณล็อบบี้ ท่านบอกว่า “๓๗๒” อาตมาแจ้งหมายเลขให้ทราบ น้องหนูจึงหยิบบัตรกุญแจสำรองส่งมาให้ พลางบอกว่าให้รีบคืนทันทีที่ใช้งานเสร็จ อาตมาเอาบัตรกุญแจไปส่งให้ท่านอาจารย์คณบดี ท่านรับไปพร้อมกับขอบอกขอบใจขนานใหญ่ แล้วขึ้นลิฟท์ไปยังห้องของตนเอง...

อาตมาเดินแยกไปทางห้องอาหาร เห็นเขาเปิดแล้ว มีญาติโยมกำลังตักอาหารอยู่เป็นสิบคน จึงเข้าไปหยิบจานช้อนเข้าแถวไปตักอาหารกับเขาด้วย ได้แฮม ๓ ชิ้น ไข่คน ๑ ม้วน ขนมปัง ๑ คู่ แยมส้ม ๑ ชิ้น บริกรหน้าผากกว้างไปเกือบถึงท้ายทอยเดินเข้ามาถามชื่อ พออาตมาแจ้งไปก็เปิดบัญชีที่ถือมาหาดูเป็นการใหญ่ ท้ายสุดบอกว่าไม่มีชื่อของอาตมา..!

พอบอกว่ามากับรีเจนซี่ทัวร์ อีกฝ่ายจึงถึงบางอ้อ แจ้งว่าของรีเจนซี่ทัวร์ต้องรออีกครึ่งชั่วโมง อาตมาชี้อาหารในจานแล้วถามว่าจะให้ทำอย่างไร ? บริกรผู้น่าสงสารเกากลางหน้าผาก (กบาล) ตัดสินใจว่าในเมื่อตักมาแล้วก็ฉันได้เลย พาอาตมาเข้าไปนั่งโต๊ะมุมในสุด ที่มี “ป้าแหม่ม” ๓ คน นั่งกินอาหารกันอยู่แล้ว “ป้าแหม่ม ๑” ถามทันทีว่า “Are you Chinese Monk ?” นี่หน้าตูออกเจ๊กชัดขนาดนี้เลยหรือ ? อาตมารีบบอกว่าไม่ใช่ เป็นพระจากเมืองไทย “ป้าแหม่ม ๒” อุตส่าห์ถามต่อว่า “แล้วเป็นกังฟูไหม ?”

สุธรรม
05-03-2017, 03:08
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26155&stc=1&d=1488658049
"คุณเหม่ง" บริกรนิสัยดีประจำห้องอาหารของโรงแรม

“No, I learn about Muay Thai” พอได้ยินแบบนั้น “ป้าแหม่ม ๓” ทำหน้าสยดสยอง “Oh my god, you're very terrible..!” อ้าว..ซวยแล้วตู จากศากยบุตรพุทธชิโนรส กลายเป็น "ไอ้โหด" ในสายตาของป้าไปซะแล้ว ถามว่ารู้จักมวยไทยด้วยหรือ ? “ป้าแหม่ม ๓” บอกว่าเคยไปดูที่ฝรั่งเศสเมื่อไม่นานมานี้ ชกกันหน้าแตกเลือดท่วมน่ากลัวมาก แต่ก็ดี...เพราะ "ป้าแหม่ม" ทั้งสามเลิกถามไปเลย อาตมาจึงรีบกวาดอาหารลงท้องจนเกลี้ยง บริกรยกน้ำส้มมาเสิร์ฟให้ทุกคน อาตมารับมากรอกลงคอไปเรียบร้อยก็เดินออกจากห้องอาหาร ไปยังบริเวณที่นั่งเล่นข้างอู่จอดเรือ...

พรรคพวกนั่งรอกันอยู่ทางนี้เป็นตับ บ้างก็คุยกันบ้างก็ถ่ายรูป ท่านประธานรุ่นเรียกพวกเราให้ไปถ่ายรูปด้วย เสร็จแล้วชวนกันเข้าไปในห้องอาหาร อาตมาเดินไปหยิบแอปเปิลแดง ๑ ลูก ส้ม ๑ ลูก ไปนั่ง “ฉันเจ” กับเพื่อน ๆ “หญิงใหญ่” ไปตักอาหารอีกชุดหนึ่ง ที่น่าจะมีไว้สำหรับแขกชุดต่อไป เลยโดนไล่เดินหน้าเหี่ยวกลับมา ต้องหันไปยกกาแฟมาบริการพระแทน บริกรคนเดิมเดินเสิร์ฟน้ำส้มสำหรับทุกคน อาตมาลุกไปหยิบกล้วยหอม ๑ ลูก แอปเปิลเขียวอีก ๑ ลูก กลับมาถึงที่นั่งพระครูญาณฯ ยัดเยียดแอปเปิลแดงมาให้อีกครึ่งลูก บอกว่า “ช่วยผมหน่อย ฉันพวกนี้มากไปเดี๋ยวจะกลายเป็นลิง” อ้าว..แล้วตูล่ะ ?

ปฏิบัติการเพื่อกลายร่างเป็นลิงเสร็จแล้ว ยกน้ำส้มให้กับพระครูปรีชา อาตมาชวนหลวงพ่อพระครูเรืองกลับห้อง เข้าห้องน้ำปลดทุกข์เบา แล้วยกกระเป๋าไปไว้หน้าห้อง รอให้เขามายกไปขึ้นรถ จากนั้นชวนหลวงพ่อพระครูเรืองลงมาที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ คืนบัตรกุญแจให้กับน้องหนู “แขกขาว” เสร็จเรียบร้อยพรรคพวกเพิ่งจะเดินลงมากันเป็นพรวน ตามมาด้วย “พี่บึ้ก” ที่เป็นพนักงานโรงแรม ๒ คน เข็นรถเข็นใส่กระเป๋าของพวกเราลงมาด้วย หนุ่มอิตาเลียนนี่หุ่นมะขามข้อเดียวเหมือนกันหมดเลยแฮะ...

สุธรรม
05-03-2017, 16:31
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26156&stc=1&d=1488706206
มีนักท่องเที่ยวหลายคณะ ถ้าพลาดก็ "ยาว"

มัคคุเทศก์รูปหล่อไปตรวจสอบกระเป๋าของพวกเรา อาตมาไปยืนดูอยู่ด้วย ที่ต้องดูกันละเอียดเพราะว่ามีคณะทัวร์มาพักหลายคณะ ห้องพักก็เป็นชั้นเดียวกัน ถ้ากระเป๋าของเราหลุดไปกับคณะอื่นจะยุ่งยากมาก พอ “พี่บึ้ก” ยกกระเป๋าเก็บในห้องใต้ท้องรถเสร็จ อาตมาก็เดินกลับมาที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ เห็นมีแผนที่เมืองเวนิสวางอยู่ปึกหนึ่ง จึงหยิบมา ๑ แผ่น ไปนั่งที่เก้าอี้กางแผนที่ดูว่าตอนนี้เราอยู่ที่บริเวณไหน ท่านประธานรุ่นเดินไปหยิบมาบ้าง...

พระครูญาณฯ บอกว่า “Give me one.” น่าน...มาหลายวันเริ่มเก่งภาษา แต่ไปใช้ท่านประธานรุ่นระวังเวรกรรมจะตามทันเอานะ แล้วหยิบคนเดียวหลายแผ่นเดี๋ยวเขาจะด่าเอาได้ “อย่างนั้นคุณไปเอามาให้ผมสักแผ่นสิ” ทำลิงทำค่างอะไรก็กล้าไปหมด เรื่องแค่นี้ทำไมไม่กล้าก็ไม่รู้..? อาตมาเดินไปตีเนียนด้วยการขอถ่ายรูป “สาวแขก” กว่าที่แม่เจ้าประคุณซึ่งกำลังยิ้มแป้นที่ได้เป็นดาราหน้ากล้องจะรู้ตัว ก็คว้าเอาแผนที่มาอีกสองแผ่นส่งให้พระครูญาณฯ ไปแบ่งกัน...

คุณโอเล่ทำหน้าที่ “ต้อน” พระขึ้นรถ แผนที่แผ่นใหญ่ไปหน่อย แล้วส่วนใหญ่ก็ฝากกระเป๋าไว้ใต้ท้องรถหมดแล้ว มีแต่อาตมาที่มีกระเป๋าโน้ตบุ๊กติดตัว พรรคพวกก็เลยส่งแผนที่มาฝากเก็บให้ด้วย ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐบอกว่า “ระวังนะครับ...ถ้าทำหายก็ไปทีเดียวหมดเหมือนกับเน็คไทของผมเมื่อวานนี้” ถามดูแล้วได้ความว่า ท่านหัวหน้าภาควิชาซื้อเน็คไทเพื่อไปฝากบรรดาเพื่อนอาจารย์ที่คณะสังคมศาสตร์ ตอนถ่ายรูปบนเรือเผลอวางทิ้งไว้ ขึ้นจากเรือแล้วลืมหยิบมาด้วย ป่านนี้ “พี่บึ้ก” คนดูแลเรือทั้งสองคงกลุ้มใจจนหัวล้านไปแล้ว เพราะตัวเองก็ใส่แต่เสื้อยืด แล้วจะเอาเน็คไทครึ่งโหลไปทำอะไรดี...

สุธรรม
06-03-2017, 02:50
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26157&stc=1&d=1488743352
นึกถึงสวิส นึกถึงนาฬิกา

พระครูโจไปซื้อเชอรี่มาตอนไหนก็ไม่รู้ ? เอามาแจกให้เพื่อน ๆ คนละกำมือ นายสันโดษนำรถออกขณะที่มัคคุเทศก์รูปหล่อจับไมค์บรรยายตามหน้าที่ “พระอาจารย์ทุกท่านครับ วันนี้เราออกจากเมืองเวนิส (Venice) แคว้นเวเนโต (Veneto) ของประเทศอิตาลีแล้วนะครับ โดยจะวิ่งขึ้นเหนือไปยังเมืองลูกาโน่ (Lugano) ในแคว้นทิซิโน่ (Ticino) ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมืองนี้เป็นเมืองใต้สุดของสวิส มี “ชื่อเสีย” ในฐานะเป็นแหล่งฟอกเงินของบรรดามาเฟีย นักค้ายาเสพติด และนักการเมืองทั่วโลก...

...เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้เมืองเดียว มีธนาคารถึงสองร้อยกว่าแห่ง ถือว่าเป็นสวรรค์ของนักฟอกเงินเลยครับ คุณจะเป็นใคร มาจากไหนเขาไม่สนใจ ขอเพียงเอาเงินไปฝากไว้ก็จะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายของเขา ไม่มีใครสามารถที่จะไปตรวจสอบได้ พระอาจารย์ทุกท่านได้ยินชื่อสวิตเซอร์แลนด์แล้วนึกถึงอะไรบ้างครับ ?”

“นาฬิกา” พระครูโจให้คำตอบ “โอวัลติน ช็อกโกแล็ต” พระครูญาณฯ หวังจะกินอย่างเดียว “มีดพับสารพัดประโยชน์ Victorinox” อาตมาตอบบ้าง “ยอดเขา Jungfrau” พระครูกุ้ยไฮ้ไปไกลกว่าเพื่อน “ถูกต้องทุกท่านนะครับ ประเทศนี้เล็กกว่าเมืองไทยประมาณ ๑๓ เท่า ไม่มีทางออกทะเล พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา แต่สภาพเศรษฐกิจแข็งแกร่งมาก เพราะวางตัวเป็นกลางทางการเมืองระหว่างประเทศมาตลอดตั้งแต่ยุคสงครามโลก เอาแต่ทำมาหากิน จึงเป็นคนหลังเขาที่รวยที่สุดในโลก ดัชนีความสุขของประชากรสูงมาก มีคนสวิสแค่ ๐.๐๕ % เท่านั้น ที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุข”

สุธรรม
06-03-2017, 18:15
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26158&stc=1&d=1488798850
นั่งคู่กับท่านอาจารย์คณบดีทำวัตรเช้าตามที่ถูก "ผี" ทวง

“ท่านผู้นำ” ที่โผล่มาตอนไหนก็ไม่รู้ ? ถามว่า “เมื่อไรจะทำวัตรเช้าขอรับ ?” ฮ่วย...ท่านอาจารย์ยังไม่ทันจะทวง “ผี” ดันมาทวงเสียก่อน อาตมาจึงขอไมโครโฟนจากคุณโอ๋ ส่งไปให้กับท่านประธานรุ่นเพื่อให้นำทำวัตร อีกฝ่ายส่งต่อให้กับพระครูด็อกเตอร์แทน เมื่อผู้บังคับบัญชามอบหมาย ท่านเจ้าคณะตำบลถ้ำรงค์จึงต้องนำทำวัตรเช้าแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้...

เมื่ออุทิศส่วนกุศลเรียบร้อย “ท่านผู้นำ” ก็แจ้งกับอาตมาว่า “เมื่อพ้นเขตประเทศอิตาลี กระผมก็หมดหน้าที่ในการดูแลท่านและคณะแล้วนะขอรับ” อ้าว...แล้วใครมารับช่วงต่อวะ ? อีกฝ่ายยิ้มกว้างจนดูหล่อขึ้นถนัดใจ “คนคุ้นเคยของท่านขอรับ “ท่านนายพล” แห่งฝรั่งเศส” เฮ้ย...อยู่ฝรั่งเศสแล้วมายุ่งอะไรกับสวิตเซอร์แลนด์ ? “เขตประเทศเป็นเขตของทางโลกมนุษย์ขอรับ ทาง “เบื้องบน” มอบหมายให้ “ท่านนายพล” ดูแลประเทศฝรั่งเศสมาถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์ด้วย”

อาตมารับทราบด้วยความยินดี เมื่อมีผู้คุ้นเคยที่ “ติดหนี้” เพราะอาตมาเคยเป็นเจ้าภาพบวชพระอุทิศส่วนกุศลให้แบบนี้ เชื่อใจได้ว่า “ท่านนายพล” กับคณะต้องบริการสุดใจขาดดิ้นไม่แพ้ “ท่านผู้นำ” เหมือนกัน แต่คณะ “ห้าเสือ” ที่รับบุญไปเต็ม ๆ คราวนั้น คงจะมา “ใช้หนี้” กันไม่ครบหรอก เพราะว่าคณะของเราไปไม่ถึงเขตของอีกสามเสือ มัวแต่ดีใจและคุยเพลิน ร่างกายที่ทนรับการตรากตรำไม่ไหว ฟิวส์ขาดไปตอนไหนก็ไม่รู้ ? มารู้เอาตอนที่ตัวเองหลับคอพับไปแล้ว..!

สุธรรม
07-03-2017, 04:01
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26159&stc=1&d=1488833983
ในยุโรปถนนทุกสายลาดยาง บ้านเราเจริญกว่าเพราะใช้คอนกรีต..!

รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา สายตาเหลือบดูนาฬิกาหน้ารถบนหัวนายสันโดษโดยอัตโนมัติ เป็นเวลา ๐๙.๔๐ น. ได้พักไปเกือบชั่วโมงเหมือนกัน แล้วนี่มาถึงที่ไหนก็ไม่รู้ ? เห็นหลวงพ่อพระครูญาย้ายที่มานั่งฝั่งตรงข้ามกับอาตมา กำลังพยายามใช้กล้องตัวจิ๋วถ่ายรูปรถตู้คันจิ๋ว แต่รถยุโรปวิ่งเร็วชิดซ้าย ก็เลยมั่นใจว่าท่านเจ้าคณะอำเภอท่ายางถ่ายไม่ทันแน่ เพราะนายสันโดษแกรักเดียวใจเดียว ยึดเลนขวาด้วยความเร็ว ๖๕ กิโลเมตรต่อชั่วโมงตลอดกาล...

วิ่งผ่านรถที่ขนลูกหมูเป็นร้อยตัว ซึ่งน่าจะเอาไปส่งฟาร์มที่ไหนสักแห่งหนึ่ง ก็เห็นป้ายบอกว่าเรากำลังวิ่งอยู่บนถนนสาย A4 (217) ที่มีรถเยอะมากทั้งขาเข้าขาออก ผ่านตึกสีฟ้าขนาดใหญ่ที่เรียบ ๆ เหมือนกับเอาแท่งคอนกรีตมาตั้งไว้ มีป้ายบอกทางไปเมืองมิลาน (Milano) นึกเทียบกับแผนที่ประเทศอิตาลีในหัว เมืองเวนิสอยู่ตะวันออกเฉียงเหนือ แสดงว่านายสันโดษนำรถวิ่งมาทางตะวันตก ผ่านแคว้นลอมบาร์ดี (Lombardy) เพื่อขึ้นเหนือไปสวิตเซอร์แลนด์ เนื่องจากอาตมาจำได้ว่า มิลานเป็นเมืองหลวงของแคว้นลอมบาร์ดี...

สองข้างทางเป็นนาข้าว บางช่วงมีอาคารที่เหมือนกับไซโลเก็บข้าวเปลือกขนาดใหญ่ วิ่งไปอีกหน่อยหนึ่งมีป้ายบอกว่าข้างหน้ามีปั๊มน้ำมัน ซึ่งแจ้งระยะทางพร้อมกับราคาน้ำมันเอาไว้ด้วย ถนนบ้านเขาลาดยางตลอดสาย อาตมาเห็นว่าช่วยให้รถเกาะถนนและวิ่งนิ่มกว่าถนนคอนกรีตตั้งเยอะ ส่วนบ้านเราเอามักง่ายเข้าว่า ไปสร้างถนนด้วยคอนกรีตที่รถไม่ค่อยเกาะถนน วิ่งแต่ละทีกระเด็นกระดอนพร้อมที่จะหลุดลงข้างทาง มิหนำซ้ำยังมีการผสมคอนกรีตให้หมดอายุอีกด้วย เพราะว่าถนนหลายสายพังพร้อมกันแทบจะตลอดเส้นทาง โดยเฉพาะถนนพหลโยธินที่ขึ้นเหนือ และถนนสุขุมวิทที่ไปภาคตะวันออก ใครจะแก้ตัวอย่างไรผลงานที่ทำอยู่ก็ฟ้องให้เห็นอย่างชัดเจน...

สุธรรม
07-03-2017, 16:29
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26175&stc=1&d=1488878905
มันเทศ...เอ๊ย...น่าจะเป็นจำพวกหมูแฮม

ร้านสะดวกซื้อ Auto Grill ขนาดมหึมาสร้างคร่อมถนนสองฝั่ง มีสะพานเชื่อมกลางให้เดินข้ามไปมาได้ด้วย นายสันโดษนำรถเข้าไปทางด้านขวาตามสภาพบังคับของถนน มัคคุเทศก์รูปหล่อส่งเสียงผ่านไมโครโฟน ปลุกทั้งพระและฆราวาสที่ยังหลับอยู่ เพื่อที่จะได้เข้าห้องน้ำกัน ลานจอดรถกว้างขวางใหญ่โตมาก มีรถทัวร์จอดอยู่แล้วสองคัน บรรดา “แหม่ม” ทั้งระดับคุณป้า คุณพี่และน้องหนูเป็นสิบ ๆ คน กำลังอัดบุหรี่กันควันโขมงอยู่ข้างรถ น่าแปลกใจว่าผู้หญิงยุโรปสูบบุหรี่มากกว่าผู้ชายหลายเท่า หรือว่าบรรดาผู้ชายเอาแต่กินเหล้าก็ไม่รู้ ?

อาตมาลงรถก่อนตามความเร็วเฉพาะตัว มุดเข้าในร้านตรงไปยังห้องน้ำทันที แต่ร้านนี้ใหญ่มาก เหมือนกับเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดมหึมา ห้องน้ำไปอยู่ด้านในสุด ถ้าไม่ใช่เหลือบเห็นป้ายบอกทางเล็ก ๆ หลังป้ายบอกประเภทสินค้า งานนี้คงมีเดินงมโข่งกันสักพักเป็นแน่ โอ้โฮเว้ย... ห้องน้ำหรูมาก ระดับสนามบินนานาชาติเลยนะนี่ เข้าประตูไม้สังเคราะห์หนาปึกเข้าไปปัสสาวะอย่างมีความสุข ถ้าเจอห้องน้ำหรู ๆ สะอาด ๆ แบบนี้ทุกที่ก็ดีหรอก...

ออกจากห้องน้ำมาเจอ “หญิงใหญ่” กำลังยืนเลือกของอยู่ตรงแผงจำหน่ายตุ๊กตา ที่ทำเป็นรูปหมูสีชมพูน่ารักน่าชัง โดยมีพระครูชินฯ เป็นกองเชียร์อยู่ใกล้ ๆ อาตมาเดินดูสินค้าที่เป็นอาหารแทบทั้งสิ้น มีสิ่งที่น่าจะเป็นหมูแฮม ทำเป็นก้อนหน้าตาเหมือนกับหัวมันเทศขนาดใหญ่ ดูแล้วเป็นอาหารแห้งแบบที่เก็บได้เป็นปีโดยไม่ต้องใช้ตู้เย็น ผลไม้สดมีแอปเปิล ส้ม กล้วยหอม บรรจุในถาดโฟมทั้งชนิดเดียวกัน ๔ ผล และที่ปนกันในถาดเดียวมีแอปเปิล ๒ ผล ส้ม ๒ ผล กล้วยหอม ๑ ผล ให้เลือกซื้อกันตามความชอบของแต่ละคน...

สุธรรม
08-03-2017, 03:37
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26176&stc=1&d=1488918963
นางสาวช่างที่คุมงานอยู่

เพื่อน ๆ หลายคนไปกระจุกอยู่ตรงมุมขายของที่ระลึก ประเภทโปสการ์ด พวงกุญแจ และหนังสือ อาตมาไม่รู้ว่าจะซื้ออะไร จึงเดินออกมาถ่ายรูปด้านนอก ซึ่งมีส่วนบริการน้ำมัน เป็นหัวจ่ายน้ำมันชนิดที่ต้องหยอดเหรียญก่อน ทั้งหมด ๙ ตู้ ๑๘ หัว มีตู้ที่ด้านหนึ่งให้เติมลมอีกด้านหนึ่งเป็นก๊อกน้ำ ซึ่งทั้งหมดนี้สีแดงสดใสตามสไตล์ของ Auto Grill แม้แต่ที่ทิ้งก้นบุหรี่และถังขยะก็ยังเป็นสีแดง เมื่อตั้งอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวจึงดูสะดุดตามาก...

ด้านหลังปั๊มน้ำมันเป็นถนนเลนเดียว มีพนักงานในชุดสะท้อนแสงสีส้มสดใส กำลังลงกรวดคลุกแอสฟัลด์ เพื่อซ่อมถนนบริเวณที่ได้ขุดของเก่าออกไปแล้ว มีนายช่างผู้ควบคุมงานที่น่าจะเป็น “นางสาวช่าง” มากกว่า ใส่หมวกนิรภัย เสื้อกั๊กสีเขียวสะท้อนแสง และแว่นกันแดดอันโต ยืนคอยดูแลการทำงานอยู่อย่างใกล้ชิด มีการกั้นเขตที่ทำงานด้วยริบบิ้นสีขาวแดง และวางกรวยเพื่อชะลอความเร็วรถที่ผ่านมาอีกด้วย อาตมาจึงถ่ายรูปพวกเขาไปสองรูป...

หลังจากถ่ายรูปต้นสนพันธุ์ที่เลื้อยแบกับดิน เถาไม้บางชนิดที่ออกดอกสีม่วง เห็ดและดอกไม้ที่หน้าตาคล้ายกับดาวดินบ้านเราแล้ว อาตมาก็กลับขึ้นไปบนรถ เจอคุณโอเล่ซึ่งกำลังเตรียมของว่างพวกกาแฟและข้าวโอ๊ตเพื่อถวายพระ เมื่อเห็นอาตมาก็ถามว่า “พระอาจารย์คะ รบกวนหน่อยค่ะ อะไรที่สมควรจะถวายพระบ้าง เรื่องนี้ 'เล่ไม่รู้เรื่องเลยค่ะ” อาตมาต้องชี้แจงว่า ถ้าก่อนเพลจะถวายอาหารอะไรก็ได้ ยกเว้นพวกที่เป็นเนื้อสัตว์ที่ยังสดยังดิบอยู่ ส่วนหลังเพลไปแล้วให้ถวายจำพวกปานะที่ไม่ใช่อาหาร ถ้าพวกที่จัดเป็นอาหารอย่างพวกน้ำเต้าหู้ ไมโล โอวัลติน ข้าวโอ๊ต นี่ไม่สมควรถวาย...

สุธรรม
08-03-2017, 17:04
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26177&stc=1&d=1488967366
สมาพันธรัฐสวิสเซอร์แลนด์ประกอบด้วยประชากรหลายเชื้อชาติ

“แต่ 'เล่ก็เห็นหลายท่านฉันของพวกนี้หลังเพลนะคะ” นั่นก็แล้วแต่ท่านเถอะ อาตมาว่าไปตามศีลของพระ ส่วนท่านจะมีข้อยกเว้นอะไรในใจก็ต้องแล้วแต่ท่านเอง “แล้วต้องทำอย่างไรถึงจะสมควรคะ ?” เอาอย่างนี้...จัดทุกอย่างไปถวายตามปกติ ให้ท่านเลือกเอาเอง แบบนี้เราก็ไม่ได้สนับสนุนให้ท่านทำผิด ส่วนท่านก็ได้เลือกของที่ตัวเองชอบใจอีกด้วย...

มัคคุเทศก์สาวแต่มาทำหน้าที่บริการทั่วไปรับทราบ พอท่านอื่น ๆ ขึ้นรถมาครบก็ยก “หาบเร่” เดินไปเสนอสินค้า “จะตัดกำลังกันก่อนเพลใช่ไหม ?” พระครูวิสุทธฯ ถาม เจตนาดี บริการดี แต่โดนแปรเป็นเจตนาร้ายไปเสียแล้ว แต่คุณโอเล่ก็ “ภูมิคุ้มกัน” สูงในระดับใช้ได้ จะโดนแซวแรงแค่ไหนก็ยังคงทำหน้าที่ของตนต่อไปอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส คุณโอ๋ซึ่งทำหน้าที่มัคคุเทศก์ตัวจริง จับไมโครโฟนบรรยายตามระเบียบ...

“ประเทศสวิสเซอร์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่มีเชื้อสายหลากหลาย ด้านเหนือส่วนมากเป็นพวกเยอรมัน มีประชากรประมาณ ๖๐ % ด้านตะวันตกเป็นพวกฝรั่งเศส มีประชากรประมาณ ๒๐ % ด้านใต้ที่เรากำลังจะเดินทางไปถึงเป็นพวกอิตาลี มีประชากรประมาณ ๑๐ % ส่วนที่เหลือเป็นเชื้อชาติอื่น ๆ รวมกันประมาณ ๑๐ % ครับ”

สุธรรม
09-03-2017, 03:33
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26178&stc=1&d=1489005136
ต้องผ่านมาตรฐานคุณภาพที่เข้มงวดมากถึงจะได้รับอนุญาตให้ใช้คำนี้ (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)

นายสันโดษเป็นคนที่มีสมาธิดีมาก ทำหน้าที่ของตนเองอย่างซื่อสัตย์และแข็งขัน เท่าที่อาตมาเห็นตั้งแต่วันแรกมาจนถึงวันนี้ แกขับแซงเฉพาะรถที่จอดอยู่เท่านั้น ถ้าเป็นรถบนถนนด้วยกันแกมีน้ำใจให้เขาแซงตลอด ไม่ว่าจะเป็นอุโมงค์หรือถนนปกติ ก็ไปด้วยความเร็วในดวงใจ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งสิ้น ใครจะเฮ ใครจะฮา ใครจะสวดมนต์ ใครจะร้องเพลง พี่ท่านตีหน้าตายขับรถไปเรื่อยเปื่อย ไม่พูดไม่จาเหมือนกับว่าอยู่คนเดียวในโลก..!

“สวิสใช้ภาษาเยอรมันและฝรั่งเศสเป็นภาษาหลัก แต่ก็ใช้ภาษาอังกฤษได้ทั่วไปครับ เมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์ชื่อไม่ค่อยคุ้นหูพระอาจารย์ทุกท่านนัก ไม่ใช่เจนีวา ไม่ใช่ซูริค แต่เป็นเมืองเบิร์น (Bern) ซึ่งมาจากคำว่า Bear ในภาษาอังกฤษ เป็นเมืองที่สร้างขึ้นมาใหม่เพื่อให้เป็นเมืองหลวงโดยเฉพาะ ใช้เวลา ๔๐ ปีจึงสำเร็จ เหตุที่ช้าส่วนหนึ่งก็เพราะมัวแต่ถกเถียงเพื่อลงมติกันว่าควรจะสร้างเมืองหลวงที่ไหน พวกเชื้อสายเยอรมันก็อยากจะให้อยู่ใกล้ประเทศเยอรมัน พวกเชื้อสายฝรั่งเศสก็อยากจะให้อยู่ใกล้ฝรั่งเศส ท้ายสุดก็มาพบกันครึ่งทางที่เมืองเบิร์นนี่แหละครับ...

บ้านเราส่วนใหญ่แล้วคนจะทำงานสายบริการ แต่คนสวิสใช้วิธีสร้างแบรนด์สินค้าให้ติดตลาด เพราะเขาถือว่าทรัพยากรอื่น ๆ มีน้อย ใช้สอยมากเกินไปก็อาจจะหมดได้ แต่ถ้าสร้างสินค้าแบรนด์เนมขึ้นมา ก็จะสามารถผลิตเพิ่มขึ้นได้เรื่อย ๆ โดยใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้น้อยที่สุด รัฐบาลสวิสจึงสนับสนุนการผลิตสินค้าให้ติดตลาด โดยการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด ต้องผ่านมาตรฐานถึงจะออกใบอนุญาตให้ใช้คำว่า Swiss Made ได้” มัคคุเทศก์รูปหล่อเทข้อมูลให้แบบไม่ยั้ง...

สุธรรม
09-03-2017, 15:17
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26181&stc=1&d=1489047338
ด่านพรมแดนอิตาลี - สวิตเซอร์แลนด์

“เมื่อได้คำว่า Swiss Made มา ก็เท่ากับว่ามีสินทรัพย์มูลค่ามหาศาลอยู่ในมือ อย่างเช่นนาฬิกาสวิส ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อไหนก็ตาม จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นไปเรื่อยตามระยะเวลาที่ผ่านไป ขนาดตลาดหุ้นที่นิวยอร์กถึงกับรับรองให้เป็นอสังหาริมทรัพย์ สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนกันอยู่ในระดับเดียวกับบ้านและที่ดินเลยครับ” ฟังข้อมูลมาถึงตรงนี้รู้สึกว่าหิวข้าว มองดูนาฬิกาในรถเป็นเวลา ๑๑.๑๕ น.แล้ว พอดีพลขับหน้าตายนำพาหนะมาถึงด่านขนาดใหญ่ จอดให้มัคคุเทศก์รูปหล่อกับคุณโอเล่ลงไปจัดการเรื่องใบอนุญาตผ่านทาง...

ดูสถานการณ์แล้วไม่เหมาะที่จะลงไปเพ่นพ่าน หรือไม่ทุกคนก็คงจะหิวข้าวกันจนหมดแรง จึงนั่งกันสงบเสงี่ยมเรียบร้อยอยู่บนรถ “ท่านผู้นำ” ปรากฏตัวใกล้ ๆ อาตมากล่าวว่า “หมดหน้าที่ของกระผมเท่านี้นะขอรับ “ฝั่งโน้น” เป็นหน้าที่ของ “ท่านนายพล” ตามที่ “เจ้านาย” ท่านมอบหมายให้” อาตมาขอบคุณและอวยชัยให้พร “ท่านผู้นำ” พนมมือไหว้แข็ง ๆ แบบฝรั่งไหว้พระ ก่อนที่จะอันตรธานไป ขนาดเป็นเทวดาแล้วจะพัฒนาการไหว้ให้ดูดีกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้...

คุณโอ๋กับคุณโอเล่หอบเอกสารที่ผ่านการประทับตราเรียบร้อยแล้วกลับขึ้นรถ นายสันโดษนำรถผ่านด่านไปแบบสะดวกโยธิน วิ่งไปได้ไม่กี่นาทีก็มีด่านใหญ่อีกด่านหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นฝั่งสวิตเซอร์แลนด์ ทั้งสองคนต้องหอบเอกสารวิ่งลงไปให้เขาตรวจประทับตราอีกตามเคย “บงชูร์ครับท่าน” เฮ้ย..มาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง ตกใจหมดเลย คิดว่า “นายจันทร์หนวดเขี้ยว” แห่งบ้านบางระจันโผล่มาเที่ยวสวิสกับเขาซะอีก แล้วนี่มา “คน” เดียวหรือลุง ?

สุธรรม
10-03-2017, 05:03
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26188&stc=1&d=1489096955
วงเวียนปากขวด

ตาลุงหัวล้านหนวดเขี้ยวยิ้มหนวดกระดิก บุคลิกแบบนี้ทำให้อาตมานึกถึง “จรกา” ในพระราชนิพนธ์เรื่อง “อิเหนา” ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๒ ซึ่งบรรยายว่า “ยิ้มเหมือนหลอก หยอกเหมือนขู่” ถ้าเด็ก ๆ เห็นหน้ามีหวังร้องไห้จ้าแน่ ๆ “ขืนให้บริวารทั้งหมดมาด้วย เกรงว่าท่านจะตกใจมากกว่านี้อีกครับ” เออ...แล้วนี่จะให้เรียกว่าอะไรดี ? ท่านนายพล ? ท่านนายกฯ ? “เอาที่ท่านสบายใจแล้วกันครับ จะเรียก “ลุง” อย่างเมื่อกี้นี้ผมก็ไม่ว่า” “ราชสีห์แห่งเวอร์ดัน” บอกอย่างเป็นกันเอง ขัดกับบุคลิกขึงขังเอาจริงเอาจังเป็นอย่างมาก...

ถ้าอย่างนั้นอาตมาเรียกตาม “ท่านผู้นำ” ที่เรียกว่า “ท่านนายพล” ก็แล้วกันนะลุง “แล้วแต่ท่านจะสะดวกครับ” สองมัคคุเทศก์ปฏิบัติภารกิจเรียบร้อยกลับมาขึ้นรถ นายสันโดษนำรถคู่ใจผ่านด่านเข้าไปไม่ไกล ก็เป็นวงเวียนที่มีโครงโลหะ หน้าตาเหมือนกับเอาขวดขนาดยักษ์ฝังดินไว้ค่อนใบ โผล่แค่เลยปากขวดขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ปลูกต้นไม้ใบหญ้าไว้หลายชนิด มีสป็อตไลท์หลายอันติดตั้งไว้ช่วยเพิ่มแสงสว่าง ปลูกต้นไม้เป็นตัวอักษรว่า BENVENUTI A COMO...

รถของเราวนขวาครึ่งรอบแล้วตรงไป เป็นอาคารที่พักอาศัยที่ปลูกสร้างเป็นช่วงสั้น ๆ จากนั้นเป็นวงเวียนที่มีต้นไม้หน้าตาคล้ายหลิว (Weeping Willow) อยู่หลายต้น แต่ดูแล้วไม่น่าจะใช่ต้นหลิว เลยไปอีกนิดเดียวก็มีอีกวงเวียนหนึ่ง แต่เหมือนกับเป็นวงเวียนร้าง เพราะว่าต้นไม้ในวงคอนกรีตขึ้นไม่เป็นระเบียบ ซ้ำด้านล่างยังมีหญ้ารก ๆ อีกด้วย วนเกือบรอบวงเวียนแล้วนายสันโดษนำรถมาจอดลงที่ริมทางเดิน ซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ดูร่มรื่นขึ้นเรียงรายอยู่ข้างทะเลสาบขนาดมหึมา...

สุธรรม
10-03-2017, 16:17
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26190&stc=1&d=1489137354
ที่หน้าตาเหมือนป้อมตำรวจนั่นแหละครับ...ร้านปิ้งย่าง

ลงจากรถกันครบแล้ว มัคคุเทศก์รูปหล่อก็นำทางพวกเราข้ามทางม้าลาย ตรงไปยังอาคารทรงประหลาด ที่หน้าตาเหมือนแท่งคอนกรีต ดูจากหน้าต่างแล้วมีสามคูหาสูงประมาณหกชั้น ด้านหน้าตึกหลังนี้เป็นห้องกระจกหน้าตาคล้ายกับป้อมตำรวจของบ้านเรา แต่ต้องขยายขนาดออกไปเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาดกว้างด้านละ ๘ เมตร หลังคา “ป้อม” มุงสังกะสีลอนเล็กสีเขียวขี้ม้า มีตัวหนังสือสีขาวขนาดใหญ่อยู่ที่ใต้ชายคาว่า RISTORANTE – PIZZAERIA – GRIGLIERIA...

ดูจากชื่อแล้วอาตมารู้แค่ว่าเป็นภัตตาคารกับร้านพิซซ่า ไอ้คำสุดท้ายนี่เดาไม่ออกว่าคืออะไร ? “เป็นอาหารจำพวกเนื้อทอดหรือปิ้งย่างครับ” ยังโชคดีที่ “ลุงหนวด” แกมาด้วย ไม่อย่างนั้นก็คงจะหูหนวกตาบอดเป็นแน่ พวกเราชักแถวเข้าประตูกระจกที่มีบริกรชายในชุดกันเปื้อนสีขาวเปิดประตูให้ คุณโอ๋ซึ่งตรงเข้าไปเจรจาที่เคาน์เตอร์ หันกลับมาบอกพวกเราว่า “โต๊ะที่จองเอาไว้อยู่ด้านในของตึกนี้ นิมนต์พระอาจารย์ทุกท่านที่ด้านในเลยครับ” อาตมาเดินเข้าประตูอีกชั้น เหลือบเห็นป้ายห้องน้ำ จึงเดินอ้อมเคาน์เตอร์เครื่องดื่มตรงเข้าไปทันที...

ยืนงงอยู่อึดใจหนึ่ง จน “ลุงหนวด” ต้องชี้ไปที่ประตูไม้ปิดมิดชิดเหมือนกับห้องส่วนตัว อาตมาจึงเห็นป้ายทองเหลืองเล็ก ๆ มีภาษาอังกฤษแบบเล่นหางว่า GENTLEMEN กับ LADIES นี่ถ้ามาคนเดียวคงไม่กล้าเปิดเข้าไปหรอก กลัวเจอแหม่มสาวสุดเซ็กซี่นุ่งลมห่มฟ้าอยู่ในห้องส่วนตัว รีบมุดเข้าไป “ถ่ายน้ำ” ทิ้ง ก่อนที่จะรีบออกมาเพื่อให้ท่านอื่นได้เข้าบ้าง เดินกลับมาที่มุมตึกด้านติดถนน มีโต๊ะกลมต่อกับโต๊ะยาวอยู่ทางด้านนี้ บนโต๊ะวางแก้วน้ำแบบก้านสูง มีดและส้อม พร้อมกับผ้ากันเปื้อนซึ่งอาตมาใช้เช็ดปากทุกทีเอาไว้ด้วย...

สุธรรม
11-03-2017, 03:28
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26191&stc=1&d=1489177640
อาหารจานแรกหน้าตาแบบนี้

ท่านอาจารย์คณบดี ท่านประธานรุ่น พระครูด็อกเตอร์ มหานพพล กับองปลัด จองที่นั่งรอบโต๊ะกลม ที่เหลือนั่งสองฝั่งของโต๊ะยาว ครบ ๒๒ รูปพอดี นาฬิกาที่ผนังบอกเวลาเที่ยงหกนาทีแล้ว แต่อาหารยังไม่มาสักอย่างเดียว กระทั่งน้ำสักขวดก็ยังไม่มาเสิร์ฟ อาตมาจึงเดินกลับออกไปด้านนอก ข้ามทางม้าลายไปยังบริเวณที่จอดรถ ซึ่งนายสันโดษพารถไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ? ตั้งใจจะไปถ่ายรูปทะเลสาบ แต่ติดรั้วตาข่ายที่กั้นไว้กันคนตกน้ำ จึงใช้วิธียื่นเลนส์กล้องผ่านรูตาข่ายออกไปถ่ายรูปจนได้...

บริเวณนี้เป็นต้นไม้หน้าตาคล้ายกับประดู่กิ่งอ่อนของบ้านเรา ปลูกเป็นสามแถวร่มรื่นมาก มีโต๊ะอาหารตั้งอยู่สิบกว่าตัวด้วยกัน แต่ไม่มีใครนั่งสักคนเดียว น่าจะเปิดเฉพาะกลางคืนเท่านั้น ถ้าเปิดกลางวันนั่งฉันอาหารกินลมชมวิวข้างทะเลสาบน่าจะ “เวิร์ก” กว่าในร้านโน้นตั้งเยอะ มีนกปรอดฝรั่ง (Mockingbird) เดินหาหนอนอยู่ตามเถาตำลึงฝรั่ง (Ivy) อาตมาจึงถ่ายรูปไปด้วย จากนั้นเดินข้ามถนนฝั่งตรงข้ามกับทะเลสาบ ซึ่งเป็นสถานีรถรางไฟฟ้า ถ่ายรูปทั้งรอบบริเวณสถานี ที่จอดรถจักรยาน ตลอดจนถังขยะคู่แฝดที่ติดไว้กับเสา แล้วจึงกลับมาที่ภัตตาคารอีกครั้ง...

นั่งลงยังที่ว่างข้างท่านไพฑูรย์ ตรงกันข้ามกับหลวงพ่อพระครูสันติฯ จนป่านนี้ยังไม่มีอะไรมาเสิร์ฟ นอกจากขนมปังกระจาดเล็ก กับชุดเครื่องปรุงพวกพริกไทยกับเกลือที่วางไว้ตั้งแต่ต้น พรรคพวกแต่ละคนหน้าตาบอกบุญไม่รับทั้งนั้น จนกระทั่ง ๑๒.๒๘ นาฬิกา บริกรจึงนำอาหารจานแรกออกมาเสิร์ฟให้ เป็นพาสต้า (Pasta) ที่หน้าตาดูแหยะ ๆ พิกล 'ผีถึงป่าช้าแล้วไม่เผาก็ต้องฝัง' แม้ว่ารสชาติจะเค็ม ๆ เลี่ยน ๆ แถมยังไม่ร้อนอีกต่างหาก อาตมาก็กวาดลงท้องหมดภายในสองนาที..!

สุธรรม
11-03-2017, 09:12
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26192&stc=1&d=1489198251
แต่ละท่านกำลังจะบรรลุมรรคผล..!

เมื่อมีแต่มีดกับส้อม ซ้ำอาหารยังหน้าตาและรสชาติไม่ถูกปากอีกด้วย ท่านอื่นจึงฉันกันแบบซังกะตาย หลวงพ่อพระครูสันติฯ ลองไปสองสามคำก็วางส้อม เลื่อนจานมาให้อาตมาแทน มีหรือจะปฏิเสธ อาตมายกจานไปข้างหน้าหลวงพ่อเทศบาล เอ๊ย...หลวงพ่อพระครูเลิศ เอาส้อมกวาดแบ่งพาสต้าไปให้ท่านครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งที่เหลือจัดการเสกหายลงท้องไปในพริบตา หยิบขนมปังมาเช็ดจานจนสะอาดเอี่ยมก่อนที่จะส่งขนมปังเข้าปาก บริกรที่เอาขวดน้ำแร่สีฟ้าใสมาวางให้ หยิบเอาจานเปล่ากลับไปด้วย ท่านอื่น ๆ เห็นเช่นนั้นถ้าไม่ส่งพาสต้าไปให้ “หลวงพ่ออ้วน” ก็ยกส่งคืนให้กับบริกรไปเลย ตกลงว่าหลวงพ่อพระครูเลิศคนเดียวเจอพาสต้าไปสามจานครึ่ง..!

“ผมเพิ่งรู้ว่าพระครูวิลาศฯ ท่านฉันมากขนาดนี้ แล้วทำไมไม่อ้วนวะ ?” พระครูกล้าสงสัย ก็ลองมาเป็นมาลาเรียแบบผมดูสิ ลงไปเท่าไรเชื้อโรคก็เอาไปกินหมด พระครูชินฯ ชี้ความว่างเปล่าตรงหน้าตัวเองแล้ว บอกให้อาตมาช่วยขอน้ำให้สักขวด “Hey you, a bottle of aqua.” บริกรรีบเอาน้ำแร่มาวางให้ แต่ดันเก็บแก้วไปด้วย “Never mind, I can drinks by bottle.” อาตมากวนเล่น อีกฝ่ายรีบ "Sorry" แล้ววางคืนให้ สรุปแล้วพระ ๒๒ รูป ได้น้ำแร่มา ๑๐ ขวด ดูจากราคาที่ติดไว้ขวดละตั้ง ๖ ยูโร แพงอิ๊บอ๋าย..!

จานถัดมาเป็นสะเต๊กปลาแซลมอน มีมันฝรั่งและมะนาวอีกซีกหนึ่งมาให้ด้วย แต่ละท่านที่ทำหน้าเหมือนจะบรรลุมรรคผลจากพาสต้า ค่อยสดชื่น “มีแฮง” ขึ้นมาทันใด อาตมาหยิบมะนาวมาบีบใส่ปลาที่ทอดมาเกรียมกำลังดี เพิ่งจะตักใส่ปากหลวงพ่อพระครูสันติฯ ก็ร้องขึ้นว่า “พระครูวิลาศฯ ของผมทำไมไม่มีมันฝรั่งล่ะ ?” เออหนอ..ตูกลายเป็นพ่อครัวไปแล้วมั้ง ? ถึงต้องมาตอบคำถามแบบนี้ ร้องเรียกบริกรมาพลางชี้ให้ดูว่า “He have no potato.” อีกฝ่ายทำหน้าตกใจ รีบคว้าจานคืนไปโดยด่วน ปากก็ร้อง "Sorry... Sorry." ไปตลอดทาง...

สุธรรม
12-03-2017, 02:20
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26194&stc=1&d=1489259944
จานที่สองมีให้แค่นี้ ถ้าไม่กินจานแรกก็ช่วยไม่ได้

“มีใครเป็นเหมือนผมบ้างไหม ?” หลวงพ่อพระครูสันติฯ ปรารภขึ้นกลางวง “ไม่ว่าจะไปกินอะไรที่ไหนก็ตาม ถ้าเขาไม่ลืมที่ผมสั่ง ก็จะได้อาหารมาไม่ครบ...เป็นแบบนี้บ่อยมากเลย” เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับเวรกรรมของแต่ละคน ถ้าสร้างวีรกรรมมาในแนวนี้ ถึงเวลาก็ต้องเจอแบบนี้ อาตมาเองก็ใช้ของใหม่ไม่ได้ ถึงตั้งใจซื้อใหม่มาแค่ไม่กี่วันก็ต้องชำรุดมีตำหนิ แม้แต่ผ้าจีวรใหม่ที่เพิ่งจะซักครั้งแรก ยังต้องขาดทุกชุด เพราะว่าในอดีตเคยทำ “ทาสทาน” ไว้ แล้วมาส่งผลให้ในปัจจุบันนี้...

กว่าสะเต๊กปลาแซลมอนจะมาถึงหลวงพ่อพระครูสันติฯ อาตมาก็กวาดของตนเองหมดเรียบ เช็ดจานด้วยขนมปังซึ่งสมัยเป็นนักเรียนทหารฝึกการกินอาหารฝรั่ง ครูฝึกบอกว่าเป็นการกระทำที่ไร้มารยาทสุด ๆ เมื่อขนมปังหายลงท้องไปแล้ว Cup cake ที่โรยผงช็อกโกแล็ตมาด้วยก็ถูกวางลงตรงหน้า แม้ว่าอาตมาจะไม่ชอบของขมพวกนี้แต่ก็กินตามสิทธิ์ แค่สามคำก็หมดเกลี้ยง อิ่มจนรู้สึกแน่นมาก แต่ท่านอื่นที่ไม่แตะพาสต้า คงจะไส้กิ่วอย่างแน่นอน เพราะว่าปลาแซลมอนชิ้นเล็กนิดเดียว...

เห็นขวดน้ำแร่เปล่าดูสวยงามและแข็งแรงดีมาก อาตมาที่จบภารกิจแล้วจึงหยิบเอาขวดเปล่าไปเติมน้ำในห้องน้ำ กะว่าจะเอาติดตัวไปด้วย ที่ไหนได้...เดินมาถึงหน้าประตูตึก นายบริกรขอคืนไปซะนี่ บอกว่าถ้าต้องการขวดคิดเพิ่มอีก ๒ ยูโร..! ถ้าแพงขนาดนี้ก็เอาของเอ็งคืนไปเถอะ เดินตามคณะของเราออกมา ข้ามทางม้าลายไปยังทางเท้าริมทะเลสาบ...

สุธรรม
12-03-2017, 12:17
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26195&stc=1&d=1489295750
ถ่ายรูปกับเรือด่วนของ "เขยไทย"

“นี่คือทะเลสาบโคโม (Lake Como) นะครับ เป็นทะเลสาบที่ใหญ่มาก กินพื้นที่ถึงสองประเทศ คือสวิตเซอร์แลนด์และอิตาลี ถึงแม้ว่าสวิสจะไม่มีทางออกทะเล แต่มีทะเลสาบใหญ่ ๆ แบบนี้แทบจะทั่วประเทศ ที่คู่ขนานกับทะเลสาบโคโมก็คือ ทะเลสาบแม็กจิออเร่ (Lake Maggiore) แล้วยังมีทะเลสาบเจนีวา (Lake Geneva) ที่กั้นระหว่างฝรั่งเศสกับสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งทางฝรั่งเศสเรียกว่าทะเลสาบเลอมัง (Lac Le’man)” มัคคุเทศก์รูปหล่อทำหน้าที่อย่างไม่บกพร่อง ขณะที่คุณโอเล่ซึ่งปกติจะรั้งท้าย วันนี้กลับวิ่งไปถ่ายรูปอยู่ด้านหน้าสุด...

บรรดาชาวเมืองโคโมตลอดจนนักท่องเที่ยวที่เดินสวนมา ต่างก็มองคณะของเราเป็นตาเดียว บ้างก็เดินหลบลงไปบนถนน เพราะทางเท้าโดนพวกเราทั้งคณะยึดไปแล้ว บ้างก็ถ่ายคลิปวิดีโอด้วยโทรศัพท์มือถือ เมื่อเดินพ้นแนวรั้วตาข่ายไป ก็เป็นรั้วเหล็กเตี้ย ๆ สูงเลยเข่ามาหน่อยเดียว แถวนี้มีเรือจอดอยู่หลายสิบลำ ทั้งเรือด่วน (Speed boat) และเรือสำราญ (Yacht) ขนาดเล็ก ดูสภาพน้ำที่มีฟองแล้ว น่าจะไม่ค่อยจะสะอาดนัก....

“สวัสดีครับ” ฝรั่งหนวดเครารุงรัง ถอดเสื้อตากแดดตัวแดง โผล่จากเรือด่วนลำหนึ่งมายกมือไหว้ มัคคุเทศก์รูปหล่อปฏิสันถารด้วย แล้วหันมาบอกกับพวกเราว่า “นายคนนี้มีเมียคนไทยครับ บอกว่าถ้าพวกเราเช่าเรือท่องทะเลสาบ เขาจะคิดราคาพิเศษในฐานะที่เป็นเขยไทย” ฮ่า..ถ้าเป็นเขยไทยจริงต้องฟรีซีเว้ย..! พวกเราไม่มีใครอยากจะนั่งเรือด่วนกินลมชมวิว จึงขอถ่ายรูปกับเรือของเขาแทน นายฝรั่งน้ำพริกก็อนุญาตให้ขึ้นไปถ่ายรูปบนเรือของเขาได้แบบใจกว้าง...

สุธรรม
13-03-2017, 03:59
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26196&stc=1&d=1489352275
วิธีจัดการกับความวุ่นวายของคณะที่ได้ผลดีมาก

นึกไม่ถึงว่าการถ่ายรูปของพวกเรา “Go so big” เกินกว่าที่นายฝรั่งน้ำพริกจะคาดไว้ เพราะว่านอกจากบรรดาเพื่อนฝูงจะปีนขึ้นไปถ่ายรูปบนเรือของแกแล้ว ยังลามไปถึงเรือลำอื่น ๆ รอบข้างอีกด้วย ใครเห็นว่าลำไหนสวยก็ตะกายขึ้นไปถ่ายรูปบนลำนั้น ท่านอาจารย์ ดร.วันชัย “เซลฟี” ตัวเองด้วยกล้องอันใหญ่เบ้อเริ่มอย่างที่ไม่น่าจะทำได้ บางท่านก็เดินไปโพสท์ท่าบนสะพานเทียบเรือ จนคุณโอ๋ต้องตะโกนเตือนว่า “ระวังตกน้ำนะครับ”...

ทุกอย่างวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง จนท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ซึ่งถ่ายวิดีโออยู่ ตะโกนนิมนต์ให้มาถ่ายรูปหมู่ด้วยกัน นับว่าใช้วิชาการจัดการความเสี่ยง (Risk Management) อย่างได้ผล จีวรสีเหลืองอร่ามที่ผลุบโผล่เป็นนินจาอยู่บนเรือต่าง ๆ ตลอดจนท่าเรือและริมน้ำ มารวมตัวกันครบ ๒๒ รูปเป็นครั้งที่ ๒ ในการเดินทางครั้งนี้ จึงกลายเป็นภาระหน้าที่ของ ๒ ท่านอาจารย์ ๒ มัคคุเทศก์ และ ๑ รถเข็นประจำคณะ ที่หอบกล้องกันคนละหลาย ๆ ตัว เพื่อถ่ายรูปตามที่ทุกคนร้องขอ แต่งานนี้ท่านประธานรุ่น มหาประโยค ๙ ของรุ่น และใบฎีกาวรัญญู โดนบังจนแทบมิดไปพร้อมกับเรือของนายฝรั่งน้ำพริก...

เสร็จจากการถ่ายรูปหมู่แล้ว มัคคุเทศก์รูปหล่อแจ้งกับพวกเราว่า “ตอนนี้บ่ายโมงครึ่งกว่านิดหน่อย ผมจะให้เวลาพระอาจารย์ทุกท่านเดินเที่ยวกันเองประมาณ ๑ ชั่วโมง เวลาบ่ายสองครึ่งเราไปพบกันที่บริเวณที่จอดรถครั้งแรก ตรงข้างวงเวียนใกล้กับสถานีรถรางไฟฟ้านะครับ” ยังไม่ทันจะชี้แจงจบ บรรดาลูกทัวร์ที่แสนดีก็เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งแล้ว อาตมาเดินข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามกับทะเลสาบ ซึ่งมี “รถเมล์ยูโร” จอดอยู่ในซอยข้างสวนสาธารณะคันหนึ่ง ที่ป้ายรถเขียนว่า "CHIASSO"...

สุธรรม
13-03-2017, 16:08
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26197&stc=1&d=1489395985
โบสถ์ใหญ่แห่งเมืองโคโม (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)

จากจุดนี้มองกลับไปทางทะเลสาบ จะเห็นน้ำสีฟ้าใสและบ้านพักตากอากาศที่อยู่บนเนินเขารอบบริเวณเต็มไปหมด บ้านสีเหลือง สีส้ม ตัดกับต้นไม้สีเขียวดูโดดเด่น “ทะเลสาบนี้มีพื้นที่ถึง ๑๔๖ ตารางกิโลเมตร อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางถึง ๒๐๐ เมตร เป็นที่พักตากอากาศเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป ผู้มีอำนาจและพ่อค้าที่ร่ำรวยนิยมมาพักผ่อนที่นี่กันตั้งแต่ยุคโรมันเรืองอำนาจโน่นเลยครับ” “ลุง” เอ๊ย.. “ท่านนายพล” กลายเป็นมัคคุเทศก์ไร้ใบอนุญาตไปอีกคนหนึ่งแล้ว...

เลาะไปทางขวาที่เป็นสวนสาธารณะไม่ใหญ่นัก ลักษณะเป็นแค่สวนหย่อมหน้าลานตึก แต่ก็ปลูกไม้ดอกสีแดงขาว ชมพู ดูละลานตา มีต้นไม้ยืนต้นที่อาตมาไม่รู้จักแทรกอยู่เป็นระยะ มีทั้งชาวบ้านที่นั่งคุยกันบนม้านั่งในสวนและบรรดานักท่องเที่ยวที่กำลังถ่ายรูปอยู่ด้วย อาตมาเก็บภาพแล้วเลี้ยวซ้ายมือตามคนที่ค่อนข้างมาก เข้าไปในซอยที่ขนาบด้วยตึกสภาพเก่า ๆ ดูสวยขรึมขลังทีเดียว...

ผ่านร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกหลายร้าน มาถึงลานกว้างแห่งหนึ่ง มีโบสถ์ฝรั่งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งของลานเป็นร้านกาแฟกลางแจ้ง มีลูกค้านั่งอาบแดดจิบกาแฟกันอยู่หลายโต๊ะ ตัวโบสถ์นั้นแบ่งออกเป็นสามช่วง ทางซ้ายมือสุดเหมือนกับเป็นหอคอยสี่เหลี่ยม มีนาฬิกาขนาดใหญ่ติดอยู่ด้วย ตัวหอคอยดูเก่าแก่ผิดไปจากส่วนอื่น ช่วงกลางเป็นอาคารสองชั้น ชั้นล่างเป็นซุ้มโค้งสี่ซุ้มต่อกันเหมือนกับเป็นระเบียงคด ด้านบนระเบียงเป็นอาคารที่พักสามห้องมีหลังคาคลุมอยู่ด้านบน ซึ่งอาคารช่วงนี้เชื่อมระหว่างหอคอยกับตัวโบสถ์...

สุธรรม
14-03-2017, 03:13
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26198&stc=1&d=1489435884
แท่นบูชางดงามอลังการ (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)

ตัวโบสถ์แบ่งออกเป็นสามช่วง เป็นประตูโค้งซ้ายขวาและประตูโค้งขนาดใหญ่ตรงกลาง บนซุ้มเหนือประตูใหญ่และด้านริมโบสถ์ที่เป็นซุ้มแถวยาวในแนวดิ่ง มีรูปแกะสลักเต็มองค์บรรดานักบุญของศาสนาคริสต์อยู่มากมาย ตรงกลางเหนือซุ้มนักบุญขึ้นไปเป็นหน้าต่างหรือช่องรับแสงทรงกลมขนาดมหึมา ซึ่งเท่าที่เคยเห็นมาจะเป็นหน้าต่างประดับกระจกสีตามยุคสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา ด้านบนสุดเป็นซุ้มหอคอยเหมือนยอดปราสาทซินเดอเรลล่าอยู่ ๕ ยอดด้วยกัน ส่วนอื่นมองไม่เห็นเพราะโบสถ์หลังใหญ่จนเกินไป ไม่นึกว่าสวิตเซอร์แลนด์จะมีโบสถ์ที่สวยงามและใหญ่โตขนาดนี้...

“ขออภัยครับท่าน เมืองโคโม่นี้ยังเป็นของแคว้นลอมบาร์ดี ประเทศอิตาลีอยู่นะครับ” เจอ “ท่านนายพล” ทักท้วงเข้าเล่นเอาอาตมามึนตึ๊บ แล้วไอ้ด่านตรวจร่วมกันของสองประเทศนั่นแปลว่าอะไรวะ ? “แปลว่าทั้งสองประเทศทำงานร่วมกันเพื่อแบ่งปันข้อมูลกันครับ” แล้ว “ลุง” ทะลึ่งมาทำไมในเมื่อยังเป็นประเทศอิตาลีของ “ท่านผู้นำ” อยู่เลย ? “เพราะว่าผมขยันครับ เอ๊ย..ผิดหยุด..พูดใหม่ เพราะว่าผมได้รับคำสั่งให้มาต้อนรับท่านตั้งแต่ตรงนี้ครับ ความจริง “ท่านผู้นำ” ยังต้องมาด้วยกัน แต่ “ไอ้นั่น” อู้ครับท่าน” อ้าว..แล้วตูจะไปตามเตะ “ไอ้ตัวอู้” ได้ที่ไหนละนี่ ? อาตมาพยายามหามุมถ่ายรูปเท่าไรก็ไม่ได้อย่างใจ เพราะว่าตัวโบสถ์ใหญ่เหลือเกิน ในที่สุดก็ถ่ายเอาแค่ที่พอจะหามุมได้ ส่วนภาพที่สวยกว่านี้คงต้องรอกลับวัดก่อน แล้วค่อยไปค้นหาเอาจากในอินเตอร์เน็ต...

เดินเข้าไปทาง “ประตูเล็ก” ขวามือที่สูงท่วมหัว แม่เจ้าโว้ย...อะไรจะมหึมามโหฬารขนาดนี้ ภายในใหญ่โตเกือบเท่าสนามฟุตบอลมาตรฐานโลก ประกอบด้วยเสาหินอ่อน “แฝดสี่” ขนาดมหึมาสูงลิบลิ่ว เสาแต่ละต้นมีรูปสลักหินอ่อนของบรรดานักบุญประดับอยู่ ซุ้มโค้งบนหลังคาเป็นลวดลายสีฟ้าสดสลับทอง บริเวณโดมใหญ่เป็นช่องกระจกรับแสงนับสิบช่องรอบทิศทาง ทำให้ภายในสว่างไสวทั้งที่ไม่ได้เปิดไฟ ผนังตรงกลางด้านในสุดเป็นแท่นบูชาหินอ่อนประดับลวดลายงดงามสุดอลังการ บนแท่นมีเชิงเทียนทำด้วยเงินขนาดมหึมาเรียงรายอยู่ ๖ ต้น ตรงกลางเป็นรูปสลักพระคริสต์บนไม้กางเขนที่น่าจะเป็นทองคำ เมื่อเปรียบกับเชิงเทียนแล้วดูแล้วเล็กไปถนัดใจ...

สุธรรม
14-03-2017, 16:44
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26202&stc=1&d=1489484581
เห็นแล้วสะท้อนใจว่าของเราทำได้ไม่ประทับใจอย่างของเขา

ที่พื้นมีม้านั่งไม้เงาวับอยู่หลายแถว น่าจะรับคนได้หลายร้อย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับตัวโบสถ์แล้ว กลายเป็น “ธุลี” เล็ก ๆ ในจักรวาล ข่มคนที่นั่งอยู่จนตัวลีบเหลือนิดเดียว สองข้างตามช่องระหว่างเสาหินอ่อนมหึมานั้น มี “พรม” แบบแขวนผนังที่ทอเป็นลวดลาย “ประวัติคริสตศาสนา” แต่ละแผ่นดูเก่าแก่งดงามมาก เมื่อหันหลังกลับมาด้านทางเข้า ก็เห็นช่องรับแสงทรงกลมขนาดมหึมา ประดับกระจกสีงดงามจริงดังคาด ด้านบนและสองข้างช่องรับแสงเป็นซุ้มหินอ่อนตื้น ๆ สลักรูปนักบุญหรือกษัตริย์ก็ไม่รู้ ด้านใต้ลงมายังมีซุ้มลึกแกะสลักรูปนักบุญและกษัตริย์งดงามดังมีชีวิต เรียงรายลงมาจนเป็นซุ้มโค้งบนประตูใหญ่ที่อยู่ตรงกลาง...

ถ่ายรูปไปสะท้อนใจไปด้วย ศาสนสถานของเขาแต่ละแห่ง งดงามอลังการจนแทบไม่น่าเชื่อ ของบ้านเราสร้างตามศรัทธาชาวบ้าน วัดไหนที่มีเจ้าอาวาสเก่ง มีวิสัยทัศน์ ก็ทำได้ใหญ่โตแต่ก็ไม่มีความงดงามประทับใจแบบของเขา อาตมาเดินกลับออกมาข้างนอก ตรงไปยังซอยหน้าโบสถ์ “ท่านจะไม่ไปดูด้านหลังโบสถ์สักหน่อยหรือครับ” มัคคุเทศก์ไร้สังกัดถาม อาตมาไม่รู้ว่าจะไปทำอะไร “ด้านหลังเป็นยอดโดมสวยงามทีเดียวครับ” แล้วมีที่ให้พอถ่ายรูปได้หรือเปล่า ? “น่าจะไม่พอครับ” เออ...ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ไปหรอก โบสถ์มหึมาขนาดนี้ เดินจนขาลากแล้วถ่ายรูปไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าจะไปทำไมให้เมื่อย...

เดินไปจนสุดซอยแล้วเลี้ยวขวา ทางด้านนี้มีร้านขายหนังสือ ถัดไปเป็นร้านขายผลไม้ ที่มีพริกหวานลูกเท่ากำปั้น มะละกอ และมะเขือเทศที่ผิวเป็นลอนอย่างกับลูกโพธิ์ลังกา สุดตึกแถวเป็นร้านขายดอกไม้ที่มีดอกไม้หน้าตาแปลก ๆ ซึ่งอาตมาไม่รู้จัก เมื่อเห็นอาตมาไปยืนดูดอกไม้ หนุ่มเจ้าของร้านก็ถามว่ามาจากอังกฤษหรือเปล่า ? "No" ถ้าอย่างนั้นก็ฝรั่งเศส ? ไม่ใช่โว้ย...หน้าตาตูเป็นฝรั่งมากเลยหรือ ? “วัดไทยแห่งแรกในยุโรปอยู่ที่อังกฤษครับ คนแถวนี้จึงคิดว่าท่านมาจากที่นั่น” เมื่อ “ท่านนายพล” เฉลยอาตมาจึงถึงบางอ้อ ลืมวัดป่าจิตวิเวกของหลวงพ่อเจ้าคุณสุเมโธที่อังกฤษไปเลย มิน่าล่ะ...มีแต่คนถามแบบนี้อยู่เรื่อย...

สุธรรม
15-03-2017, 05:45
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26203&stc=1&d=1489531447
รูปปั้นที่บอกไม่ถูกว่าตั้งใจสื่อถึงเรื่องอะไร

เดินออกมาอีกหน่อยก็เจอท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ และท่านอาจารย์ ดร.วันชัยที่กำลังเข็นรถให้พระครูด็อกเตอร์ มีใบฎีกาวรัญญูตามอยู่ห่าง ๆ เมื่อเดินไปทันกัน ใบฎีกาวรัญญูถามว่า “เห็นอาจารย์เข้าไปในโบสถ์ ข้างในเป็นอย่างไรบ้างครับ ?” อาตมาตอบว่าโคตรอลังการเลย ควรอย่างยิ่งที่จะเข้าไปดู เผื่อมีแรงบันดาลใจกลับไปทำอะไรที่วัดของตนเองบ้าง แล้วขอตัวเดินวนกลับไปทางสวนหย่อมหน้าลานตึกแถว เลาะขวาฝั่งตรงข้ามกับทะเลสาบกลับไปด้านจุดนัดพบ...

ทางด้านนี้มีตึกที่ปลูกต้นไม้ประเภทตีนตุ๊กแก เลื้อยจนเต็มผนังตึกทั้งสามชั้น ตัดช่องเอาไว้เฉพาะประตูหน้าต่างเท่านั้น ถัดไปเป็นรั้วที่เหมือนคอนกรีตแต่ก็เหมือนสกัดมาจากหินแกรนิต เป็นลวดลายงดงามน่าทึ่ง แถมยังมีพวกมอส ตะไคร่ ขึ้นเขียวบอกถึงความเก่าแก่คร่ำคร่าด้วย ถัดไปเป็นเหมือนกับสนามหญ้าในบ้าน แต่ก็เหมือนกับสวนสาธารณะเล็ก ๆ อยู่ข้างลานจอดรถของอาคารหลังใหญ่ มีรูปปั้นม้ากับชายหญิงคู่หนึ่ง ซึ่งอาตมาดูไม่ออกว่าตั้งใจสื่อถึงอะไร แต่มือฝ่ายชายดูอยู่ผิดที่ผิดทางพิกล ถ้าเป็นคนจริง ๆ น่าจะโดนตบไปแล้ว..!

เสียงฝีเท้าวิ่งกรูเกรียวตามหลังมาไม่น้อยกว่า ๔ คู่ พร้อมกับเสียงใส ๆ ตะโกนเรียก “Hey you, wait a minute.” หันกลับมาเจอสามหนุ่มสามสาววัยรุ่น ท่าทางน่าจะเป็นนักเรียน อีหนูหน้าตกกระลายพร้อยรี่เข้ามาถามอย่างกระตือรือร้นว่า “Where’re you from ?” คงไม่ใช่มาขอสัมภาษณ์เพื่อเอาไปทำการบ้านส่งครูนะ “I come from Thailand in Southeast Asia.” ที่ต้องบอกละเอียดเพราะฝรั่งหลายคนมักจะคิดว่า Thailand คือ Taiwan...

สุธรรม
15-03-2017, 15:10
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26204&stc=1&d=1489565367
พระครูชินฯ กับท่านไพฑูรย์ที่ป้ายรถเมล์เมืองโคโม

“Yehh..!” ทั้งกลุ่มเฮลั่นขณะที่ไอ้หนูเสื้อเชิร์ตลายทางทำท่าเข่าอ่อนจะเป็นลม เมื่อถามว่าเรื่องอะไรกัน อีหนูหน้าลายบอกว่าทายกันว่าอาตมาต้องเป็นพระไทย แต่เพื่อนชายบอกว่าเป็นพระจีน เลยพนันกันว่าใครผิดต้องเป็นเจ้ามือเลี้ยงไอศกรีมเพื่อนทั้งกลุ่ม เออ...สมน้ำหน้าเอ็งที่ประสบการณ์น้อยกว่าผู้หญิง ไปควักกระเป๋าเลี้ยงเขาซะดี ๆ..! เห็นพรรคพวกทั้งหิ้วปีกทั้งดันหลังไปแล้ว จะสงสารดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ค่าขนมทั้งอาทิตย์ของเอ็งคงติดลบแน่ ๆ...

“พระครูวิลาศฯ สนุกอะไรกับเด็ก ๆ เสียงเฮดังมาถึงนี่” พระครูชินฯ ซึ่งนั่งเต๊ะจุ๊ยอยู่ที่ป้ายรถเมล์ ให้พระครูโจช่วยถ่ายรูปให้ถามขึ้น อาตมาเล่าเรื่องให้ฟังพร้อมกับขอถ่ายรูปท่านไปด้วย ท่านไพฑูรย์รีบเดินมาเข้าเฟรมบ้าง เสร็จแล้วก็อาศัยป้ายรถเมล์นั่นแหละ เป็นที่นั่งรอรถของพวกเรา คุยสัพเพเหระได้พักหนึ่ง พรรคพวกก็ทยอยกันเดินกลับมา อาตมาเริ่มรู้สึกร้อนจึงถอดอังสะกันหนาวออก พอดีนายสันโดษนำรถมาถึง เพิ่งจอดลงคุณตำรวจจราจรรูปหล่อก็เดินมาเตือน ว่าตรงนี้เป็นมุมเลี้ยว ให้เลื่อนขึ้นหน้าไปจอดไกลอีกหน่อย...

อาตมาขึ้นรถไปหยิบขวดน้ำที่เสียบไว้หลังเบาะมาเปิดดื่มจนเกลี้ยง เห็นมีก๊อกน้ำสาธารณะที่ไหลโจ๊กอยู่ข้างแปลงดอกกุหลาบ จึงถือขวดเปล่าจะลงไปเติมน้ำ ใบฎีกาวรัญญูฝากให้ช่วยเติมด้วย กำลังรองน้ำอยู่ก็มีนกกระจอก (Sparrow) ตัวเมียรักสะอาด บินลงมาจุ่มตัวลงบนพื้นที่เปียกน้ำ สะบัดไปมาพลางไซ้ขนทำความสะอาด ถ้าถามว่าทำไมถึงรู้ว่าเป็นตัวเมีย ? ก็ต้องบอกว่าอาตมากินมาเยอะแล้ว นกกระจอกที่นี่หน้าตาเหมือนกับบ้านเราทุกประการ ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย...

สุธรรม
16-03-2017, 02:46
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26209&stc=1&d=1489607103
อาบน้ำแบบไม่ดูฟ้าดูดินเลย

ต่างประเทศโดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา มีกฎหมายห้ามทารุณสัตว์ จึงทำให้เจ้านกกระจอกไม่ได้เกรงใจอาตมาเลย ตั้งหน้าตั้งตาอาบน้ำจนอาตมากรอกน้ำเสร็จ ขนาดหยิบกล้องมาจ่อหน้าถ่ายรูป อีกฝ่ายก็ยังคงอาบน้ำต่อไปแบบสบายใจมาก “พระครูวิลาศฯ รถจะออกแล้วค่ะ” เสียงของ “หญิงใหญ่” ตะโกนเรียก จนอาตมาต้องเลิกยุ่งกับชีวิต “กระจอก” เผ่นขึ้นรถก่อนที่จะโดนทิ้งเอาไว้แถวนี้...

นายสันโดษนำรถวิ่งออกจากเมืองไปอีกด้านหนึ่ง ซึ่งตรงกันข้ามกับที่เราเข้าเมืองมา ต้องวิ่งลอดใต้สะพานที่ค่อนข้างเตี้ย แถมมุมเลี้ยวยังแคบมาก รถเล็กที่สวนมาต้องหยุดก่อนเพื่อให้รถของเรามีวงเลี้ยว ขนาดนั้นยังเกือบจะไปจิ้มกับรถเมล์โดยสารที่อยู่ในเลนสวนมา ทางด้านนี้ผ่านภูเขาที่มีบ้านพักอยู่เยอะแยะ ดูสภาพแล้วราคาน่าจะแพงหูดับเลย...

“บ้านบนภูเขาของที่นี่ ราคาถูกกว่าข้างล่างครับ เหตุเพราะว่าขึ้นลงลำบาก” เสียงของ “ท่านนายพล” บรรยายแทรกเข้ามา “เรากำลังจะพ้นเขตประเทศอิตาลีแล้วนะครับ ด้านหน้านั่นเป็นประเทศสวิตเซอร์แลนด์แล้ว” เห็นว่าบ้านเมืองก็ยังคงเหมือน ๆ กัน แล้วเขาแบ่งเขตกันตรงไหนวะ ? “ท่านนายพล” ชี้ให้ดูป้ายคร่อมกลางถนนเหนือหัวที่เขียนว่า “Como” แล้วมีเส้นขวางขีดฆ่าไปเลย แปลว่าเลยจากนี่ไปไม่ใช่เมืองโคโมแล้ว บอกกันง่ายดีนะ แต่ถ้าไม่ใช่คนแถวนี้จะดูออกไหมนี่ ?

สุธรรม
16-03-2017, 16:19
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26225&stc=1&d=1489655910
ด่านตรวจคนเข้าเมืองเล็กแค่นี้เอง

บ้านเรือนแถวนี้ส่วนมากเป็นตึกสูงแค่ ๒ – ๓ ชั้น ที่สูงถึง ๔ – ๕ ชั้นหายากมาก วิ่งเลยป้ายบอกเขตไปแล้ว ก็มีด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ไม่น่าจะเป็นด่าน เพราะว่าเล็กพอ ๆ กับตู้เก็บเงินทางด่วนบ้านเรา แล้วเขาตรวจสอบกันอีท่าไหนวะ ? “สวิตเซอร์แลนด์ใช้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ครับ แทบทุกอย่างควบคุมด้วยสมองกล จึงไม่จำเป็นต้องใช้สถานที่กว้างขวางหรือผู้คนมากมายในการทำงาน” ได้ยิน “ท่านนายพล” อธิบายแล้วรู้สึกอิจฉาบ้านเขามาก บ้านเราเหมือนกับกลัวว่าจะทุจริตไม่ได้ จึงประดังเอาลูกท่านหลานเธอบรรจุเข้าไป ทั้งที่ทำงานกันเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?

มัคคุเทศก์รูปหล่อหอบเอกสารลงไปที่ด่านตรวจ ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีก็กลับขึ้นมาบนรถ ให้สัญญาณนายสันโดษออกรถได้ เทคโนโลยีก็ดีแบบนี้เอง ทำอะไรก็ “ไวปานกามนิตหนุ่ม” แต่ก็ต้องอาศัยคนที่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ด้วย “คนสวิสได้ชื่อว่าซื่อสัตย์ที่สุดในโลกครับท่าน กองทหารพิทักษ์นครวาติกันใช้แต่ทหารจากสวิสเท่านั้นครับ และที่น่าภูมิใจสำหรับท่านก็คือ คนสวิสชอบคนไทยมากที่สุดครับ หนุ่ม ๆ สวิสเกินครึ่งใฝ่ฝันว่าจะได้เมียคนไทย” ถ้าอย่างนั้นก็เอาสาวสวิสหุ่นอึ๋ม ๆ ไปขอแลกได้เลย เชื่อว่าหนุ่มไทยเกินครึ่งน่าจะยอมแลกเหมือนกัน ถ้า..ยังมีชีวิตรอดมาจนได้ไปอยู่กับสาวสวิสนะ..!

พาหนะคันเก่งของเราวิ่งมาจนถึงวงเวียน นายสันโดษนำวนขวาออกไปตามป้ายที่เขียนว่า Lugano ลอดใต้สะพานแล้วเลียบลำห้วยที่ใสสะอาดจนน่าโดดน้ำเล่น ตรงไปอีกหน่อยน่าจะเป็นเขตชุมชน เพราะว่ามีแผงกันเสียงสูงท่วมหัว จัดเป็นแผงที่เอื้อเฟื้อมาก เพราะว่าเป็นแผ่นอะครีริกใสให้มองเห็นป่าเขาอีกฝั่งหนึ่งได้ด้วย บางช่วงมีไร่องุ่นอยู่บนเนินเขา ที่บ้านของอาตมาเคยปลูกองุ่นมาก่อน ใช้วิธีทำร้านให้ต้นองุ่นเลื้อย แต่ที่นี่ปลูกบนค้างที่เหมือนกับค้างถั่วฝักยาวของบ้านเรา คือตั้งขึ้นไปตรง ๆ ไม่รู้ว่าให้ผลผลิตดีเหมือนกันหรือเปล่า ?

สุธรรม
17-03-2017, 03:15
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26233&stc=1&d=1489695208
บนเนินเขามีบ้าน "ราคาถูก" อยู่ไม่น้อยเลย

ถนนบางช่วงคร่อมผ่านทางรถไฟรางคู่ ที่ตั้งแต่สมัยล้นเกล้าฯ ร.๕ มาจนป่านนี้ของบ้านเราก็ยังไม่ได้พัฒนาไปไหน “ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง” ล้าหลังเป็นไดโนเสาร์ยุคจูราสสิกปาร์ก ขณะที่ทั่วโลกเขาไปกันไกลจนเกือบจะถึงต่างดาวกันแล้ว วิ่งเลยไปอีกครู่ใหญ่ก็ต้องมุดใต้ถนนที่วิ่งอยู่บนหัวของเราบ้าง ดูแล้วสงสัยเหมือนกันว่าเขามีถนนกี่ระดับกันแน่ ?

ทะเลสาบสีฟ้าเข้มปรากฏขึ้นตรงหน้า พอรถของเราวิ่งขึ้นสะพานที่เป็นมุมสูง ทุกคนก็ยื่นกล้องถ่ายรูปทะเลสาบแสนสวยกันอุตลุด จนทิวเขาบังมุมไปค่อยกลับเข้าที่นั่งของใครของมัน ครู่ต่อมาทะเลสาบก็โผล่มาอีก เดี๋ยวอยู่ข้างซ้าย เดี๋ยวย้ายไปข้างขวา แสดงว่าใหญ่มหึมาสมดังที่ “ท่านนายพล” ให้ข้อมูลเอาไว้จริง ๆ “สวิสเข้มงวดกับการรักษาคุณภาพของสิ่งแวดล้อมมาก จนได้ชื่อว่ามีแหล่งน้ำที่สะอาดที่สุดในโลกทีเดียวครับ” ดูจากความใสของน้ำ อาตมาก็เชื่อ “ท่านนายพล” จนหมดใจไปแล้ว...

รถวิ่งเข้าอุโมงค์ยาวเหยียด น่าจะไม่ต่ำกว่า ๓ – ๔ กิโลเมตร โผล่ออกมาอีกฝั่งหนึ่งก็เห็นอาคารบ้านเรือน “ราคาถูก” ที่เกาะอยู่ตามลาดเขา ถ้าเป็นบ้านเราคงจะราคาแพงหูดับ แต่ที่นี่คนเขาเกี่ยงเรื่องการขึ้นลงลำบาก สาธารณูปโภคก็ไม่สะดวกเท่าพื้นราบ จึงทำให้ราคาที่พักข้างล่างแพงกว่าบนเขา ดูกลับหัวกลับหางกับความนิยมของบ้านเราอยู่พิกล วิ่งผ่านป้ายบอกทางที่มีชื่อสถานที่ว่า Lugano Sud, Melide, Bissone, Morcote, Campione ซึ่งอาตมาไม่คุ้นเคยแม้แต่ชื่อเดียว ผ่านกำแพงกันเสียงสูงท่วมหัวเข้าไปในเมืองที่การจราจรไม่ค่อยจะพลุกพล่านนัก...

สุธรรม
17-03-2017, 13:09
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26239&stc=1&d=1489730882
ไม่ทันสนใจอนุสาวรีย์เพราะรีบไปเข้าห้องน้ำ

พลขับหน้าตายนำพาหนะมาจอดข้างทะเลสาบ เห็นที่ป้ายจอดเขียนว่า Tourist Max 5 Min. แปลว่าถ้าลงช้ามีหวังโดนปรับหูตูบ จึงต้องลงรถกันอย่างไวเลย “พระอาจารย์ทุกท่านสามารถไปเข้าห้องน้ำที่ร้านขายนาฬิกาได้นะครับ เรามีเวลาชมทะเลสาบและหาซื้อนาฬิกาสวิสแท้ ๆ ประมาณ ๔๐ นาที แล้วต้องวิ่งออกนอกเส้นทางเพื่อไปยังวัดไทยอีกครับ” มัคคุเทศก์รูปหล่อบอกให้รู้ว่าเรามาจอดทำไม พลางชี้ไปที่ตัวตึกหกชั้นซึ่งมีตัวหนังสือมหึมาอยู่บนขอบตึกว่า BUCHERER...

อาตมาเดินตามพรรคพวกตรงไปที่ตัวตึกทันที มีรูปหล่อสัมฤทธิ์ครึ่งตัวลักษณะเป็นอนุสาวรีย์อยู่บริเวณหน้าตึก เพิ่งถ่ายรูปไว้แต่ยังไม่ทันที่จะดูให้ถนัดว่าเป็นรูปของใคร อาตมาก็เหลือบเห็นป้าย WC พร้อมลูกศรเล็ก ๆ ชี้ไปทางซ้ายมือ จึงหันขวับเดินไปแบบเร็วจี๋ องปลัดตะโกนถามว่า “จะไปไหน ?” อาตมาบอกว่ามีห้องน้ำอยู่ทางนี้ เดินไปประมาณหนึ่งช่วงตึก มีโบสถ์ฝรั่งอยู่ตรงหน้า ลูกศรชี้ไปทางขวามือ เมื่อเลี้ยวตามไปก็เห็นประตูที่มีอักษร WC อยู่ที่มุมตึก...

มุดเข้าประตูไปแล้วต้องประทับใจอย่างยิ่ง เพราะห้องน้ำเป็นสเตนเลสทั้งห้อง ประตูหนักอึ้งทีเดียว กำลังปัสสาวะอยู่เสียงองปลัดก็นินทาอยู่หน้าห้องแบบไม่เกรงใจว่า “พระครูวิลาศฯ แกตามกลิ่นห้องน้ำได้จริง ๆ ว่ะ มาถึงแบบไวโคตรเลย” โง่จนไม่รู้ว่าเครื่องหมาย WC มีไว้ทำอะไรแล้วยังจะมานินทาอีก อุตส่าห์เสี่ยงชีวิตเพื่อเพื่อนฝูงแล้วนะ ถ้าเขาวางระเบิดไว้ตูต้องตายเป็นคนแรกเลยนะเว้ย..!

สุธรรม
18-03-2017, 03:13
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26241&stc=1&d=1489781501
ราคาต่ำสุดเรือนละเกือบห้าแสนบาท..!

ออกจากห้องน้ำโดยทิ้งเพื่อนฝูงปากไม่สร้างสรรค์เอาไว้ ถ้ากลับไม่ถูกก็ปล่อยหลงซะให้เข็ด เมื่อเดินมาถึงอาคาร BUCHERER ถึงได้รู้ว่าร้านนี้มหึมากว่าที่คิด เพราะว่าตึกแถวที่อยู่ติดกันก็เป็นของร้านนี้ด้วย ร้านขายเนื้อ (Bucher) แค่นี้ทำไมต้องใช้พื้นที่มากนัก ? “ร้าน BUCHERER เป็นร้านนาฬิกาที่มีสาขามากที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ครับ เน้นขายเฉพาะยี่ห้อดัง ๆ ที่มีราคาสูงตั้งแต่หลายหมื่น หลายแสน ไปจนถึงหลายล้านบาทเลยครับ” มัคคุเทศก์เถื่อนทำหน้าที่โดยไม่ได้ดูสักนิด ว่าอาตมามีปัญญาซื้อหรือเปล่า ?

ไม่ได้ใช้นาฬิกามาเป็นสิบปีแล้ว อาตมาจึงไม่อยากเข้าไปข้างในให้เสียเวลา เดินส่องเอาจากห้องกระจกที่เขาวางโชว์ไว้ก็ได้ เห็นนาฬิกายี่ห้อมงกุฎทองที่บ้านเรานิยมกันนักหนาวางอยู่เป็นตับ ราคาต่ำสุดเรือนละ ๑๒,๔๐๐ ยูโร ก็แค่เกือบห้าแสนบาทเท่านั้น คุณค่าของนาฬิกาอยู่ที่การบอกเวลา ในสายตาของอาตมาแล้ว นาฬิกามิกกี้เมาส์ราคา ๒๕๐ บาท ก็ใช้งานได้ดีไม่แพ้ของมียี่ห้อเรือนละหลายแสน นี่ย่อมไม่ใช่ทัศนคติ “องุ่นเปรี้ยว” แต่เป็นความจริงที่ปฏิเสธมิได้...

มีห้องกระจกโชว์เครื่องประดับจำพวกเพชรพลอยด้วย ไม่ต้องสงสัยว่าราคาจะแพงหูดับขนาดไหน แต่การออกแบบดูดีมีรสนิยมทีเดียว ห้องถัดไปเป็นกระเป๋ายี่ห้อดังที่ลงท้ายด้วยคำว่า “ติ๊งต๊อง” อะไรประมาณนั้น ในสายตาคนไร้รสนิยมอย่างอาตมา เห็นว่าถุงผ้าราคาหลักสิบ หรือว่ากล่องพลาสติกน่าจะใช้งานได้หลากหลายกว่า ในเมื่อไม่ได้มีเงินไว้ผลาญเล่น ซ้ำยังไม่ได้มีรสนิยมบ้ายี่ห้อแบบคนอื่นเขา อาตมาจึงข้ามถนนไปชมความงามของทะเลสาบดีกว่า...

สุธรรม
18-03-2017, 12:50
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26243&stc=1&d=1489816129
เห็นรูปนี้ "ออกสื่อ" เจ้าตัวคงกรี๊ดแน่..!

คนขับรถแถวนี้มารยาทดีมาก แค่ทำท่าจะข้ามถนนเขาก็เบรกหยุดให้แล้ว “ไม่หยุดก็โดนตัดแต้มซีครับ สามครั้งขึ้นไปโดนยึดใบขับขี่ชั่วคราว อยากได้คืนต้องไปสอบใหม่ครับ” โห...โหดมากนะนี่ ที่บ้านเราขนาดข้ามทางม้าลายยังโดนชนกระเด็นเลย แสดงว่าของเราเจ๋งกว่า ฝึกให้คนข้ามถนนอย่างมีสติ รู้จักระมัดระวัง มีความรอบคอบ รวดเร็ว ถ้าฝึกสำเร็จจะข้ามถนนที่ประเทศไหนก็ปลอดภัยทุกที่ ฮ่า..ฮ่า..!

ข้ามฝั่งได้ก็เดินเลาะข้างทะเลสาบ ซึ่งมีเป็ด Mallard Duck อยู่หลายตัว ทั้งที่นอนอยู่ริมฝั่งและว่ายน้ำหากินอยู่ แต่น่าสงสารที่เป็นตัวผู้ล้วน ๆ เพราะมีแต่หัวเขียว ๆ ทั้งนั้น สงสัยว่าที่นี่จะเป็นเมืองเป็ดพ่อหม้าย หน้าตาก็เหมือนเป็ดตัวผู้บ้านเราทุกประการ ไม่รู้ว่ารสชาติจะเหมือนกันหรือเปล่า ? เจอพระครูโจเดินถ่ายรูปอยู่ริมน้ำ จึงขอให้ท่านช่วยถ่ายรูปอาตมากับทะเลสาบให้ด้วย เพราะว่า “ท่านนายพล” ถ่ายรูปไม่เป็น เอ๊ย..ช่วยถ่ายรูปให้ไม่ได้...

ขอบคุณท่านเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีแล้ว จะเดินต่อก็กลัวว่าไปไกลจนกลับไม่ทัน จึงนั่งลงบนม้ายาวริมน้ำ เขียนบันทึกประจำวันรอเพื่อน ๆ ส่วนหนึ่งที่ยังไม่ออกจากร้าน BUCHERER กำลังบันทึกเพลิน ๆ เหลือบไปเห็นคุณโอเล่กำลังนั่งคุกเข่าข้างเดียว ตั้งอกตั้งใจถ่ายรูปของอาตมาอยู่ จึงส่งกล้องให้ช่วยถ่ายเผื่อด้วย พอโดนกวนเข้าเลยหมดอารมณ์บันทึก ลุกขึ้นจะหามุมสวย ๆ ถ่ายรูป เจออาจารย์ตู๋นั่งอยู่ที่ม้ายาวอีกตัวหนึ่ง จึงบอกให้หันมาจะถ่ายรูปให้ อีกฝ่ายทำปากยื่นเป็นแม่ไก่ คงไม่คิดว่ารูปนี้จะได้ออกสื่อละมั้ง ?

สุธรรม
19-03-2017, 03:29
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26250&stc=1&d=1489868789
ยี่สิบยูโรเพิ่มความหล่อได้เยอะทีเดียว

มัคคุเทศก์รูปหล่อตะโกนนิมนต์ทุกรูปมารวมกันเพื่อเช็คยอด เมื่อเห็นว่าครบแล้วก็โทรศัพท์เรียกนายสันโดษนำรถมารับ ทุกคนขึ้นรถแบบมือเปล่ากันทั้งนั้น ยกเว้นท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐที่มีหมวกทรงขอทานครอบหัวขึ้นมาด้วย บอกว่าราคาแค่ ๒๐ ยูโร เลยซื้อเอาไว้ใช้งาน แล้วขอไมค์จากคุณโอ๋ประกาศว่า "คณะของเรามายุโรปได้ ก็ด้วยความกรุณาของท่านเจ้าคุณอาจารย์พระเทพกิตติโมลี (ทองสูรย์ สุริยโชโต, ดร.) เจ้าอาวาสวัดศรีนครินทรวราราม ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ออกหนังสือนิมนต์ให้ เพราะฉะนั้น...จงควักกระเป๋าร่วมกันทำบุญเพื่อถวายผ้าป่าซะดี ๆ ครับ"...

“คนละเท่าไร ?” อาตมายิงหมัดตรง “ไม่เกินร้อย แต่ไม่ควรน้อยกว่าห้าสิบครับ” พระครูกล้ารีบมาทำหน้าที่เลขานุการรุ่นทันที “บาทใช่ไหม ?” พระครูวิสุทธฯ ขอความชัดเจน “ฮื้อ..อยู่ยุโรปก็ต้องยูโรสิครับ เอาบาทไปทำอะไร ?” ก็ไม่บอกให้ชัด ๆ เองนี่หว่า แต่ละคนควักกระเป๋ายื่นไปให้สลอน อาตมาควักให้ ๑๐๐ ยูโร บอกว่า “สองคนรวมพระครูปลัดปรีชา” พระครูกล้ารับเงินมือเป็นระวิง นับแล้วได้ ๑,๔๙๐ ยูโร “ขาดไป ๑๐ ยูโรก็จะได้ ๑,๕๐๐ แล้ว พระครูวิลาศฯ แล้วกัน ปิดท้ายกองบุญจะได้แฟนสวย” ...

อาตมาควักให้แต่โดยดี ปากก็ยังโต้กลับไปว่า “บวชอยู่ได้แฟนสวยแล้วมีประโยชน์อะไรวะ ?” ท่านอาจารย์หัวหน้าภาควิชาบอกว่า “ถ้าได้จริง ๆ แล้วไม่ได้ใช้งานก็ส่งมาทางนี้ 'เชฐยินดีรับใช้แทนครับ” เสียงฮาลั่นไปทั้งคันรถ “นิมนต์ทำวัตรเย็นครับ ทำบุญผ้าป่าเสียเงิน ทำบุญด้วยการทำวัตรไม่เสียอะไรครับ” พูดจบก็ส่งไมค์มาให้ “ใครนำ ?” อาตมาถามก่อน “ท่านอาจารย์ ดร.ทองขาวครับ” ทุกคนมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ ท่านอาจารย์คณบดีจึงรับไมค์ไปเพื่อนำทำวัตรเย็นครั้งแรกในแผ่นดินสวิตเซอร์แลนด์แต่โดยดี...

สุธรรม
19-03-2017, 15:22
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26256&stc=1&d=1489911684
มีซ่อมถนนเหมือนกัน แต่รถไม่ติด

เมื่อสำรวมจิตตั้งใจนมัสการพระรัตนตรัยเพื่อทำวัตรเย็น สิ่งที่เป็นผลพลอยได้ก็คือ เห็น “ท่านนายพล” และคณะยืนพนมมือสำรวมเป็นแถวยาวเหยียดตลอดสองฝั่งถนน ดูแล้ว “พวก” เยอะจริง ๆ อย่างที่ท่านคุยเอาไว้เสียด้วย แล้วนึกอย่างไรใส่ชุดขาวเป็นอุบาสกอุบาสิกากันเสียหมดแบบนั้น ? “เวลาไปหาพระหาเจ้า หรือไปยังสถานที่ควรเคารพ พวกผมก็ต้องไปกันแบบ “ศิษย์วัด” อย่างนี้ ถ้าหากว่าอยู่ที่เทวสภาค่อยใส่กันเต็มยศครับ” อ้อ..ที่แท้ก็เกี่ยวกับกาลเทศะนี่เอง...

ออกนอกเมืองไปแล้ว หนทางบางช่วงเลียบลำห้วยน้ำใส บางช่วงก็ขึ้นเนินเขาซึ่งบ้างก็เป็นนา บ้างก็เป็นไร่องุ่น บางที่ก็เป็นป่าธรรมชาติไปเลย หลายช่วงต้องมุดเข้าอุโมงค์สั้นบ้าง ยาวบ้าง ตามแต่ว่าภูเขาลูกนั้นใหญ่เล็กขนาดไหน บางช่วงมีเจ้าหน้าที่กำลังซ่อมแซมทางอยู่เหมือนกัน แต่เนื่องจากออกจากเมืองมาไกลแล้ว ไม่ค่อยมีรถราวิ่งมากนัก รถจึงไม่ติดให้รำคาญใจ...

อุทิศส่วนกุศลในการทำวัตรเย็นท่ามกลางเสียงสาธุการของ “ท่านนายพล” และคณะ ยอดเขาหิมะขาวกระจ่างตาปรากฏขึ้นตรงหน้า ทำเอาทุกคนเลิกสำรวม หันมาคว้ากล้องถ่ายรูปเป็นการใหญ่ “เป้าหมายหลักของเราคือเมืองลูเซิร์น (Luzern) ของแคว้นลูเซิร์น (Luzern) นะครับ แต่ตอนนี้เราต้องวิ่งออกนอกเส้นทางไปทิศตะวันตก เพื่อไปยังเมืองโซโลทูร์น (Solothurn) ของแคว้นโซโลทูร์น (Solothurn) ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดไทยศรีนครินทรวราราม ทั้งสองแคว้นนี้ชื่อเมืองหลวงกับชื่อแคว้นเป็นชื่อเดียวกันครับ” รับไมค์คืนจากท่านอาจารย์คณบดีมาแล้ว มัคคุเทศก์รูปหล่อก็บรรยายต่อตามหน้าที่...

สุธรรม
20-03-2017, 02:55
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26264&stc=1&d=1489953228
"ใกล้ตาแต่ไกลตีน"

ชมขุนเขา ป่าไม้ สายน้ำ ไปตามเส้นทาง ครึ่งชั่วโมงต่อมาทะเลสาบอีกแห่งก็ปรากฏอยู่ในสายตา ริมถนนด้านที่รถของเราวิ่งอยู่เป็นแอ่งต่ำลงไปมาก มีบ้านอยู่แค่ไม่กี่หลัง แต่อีกฝั่งหนึ่งของทะเลสาบที่มองเห็นลิบ ๆ อยู่นั้น มีอาคารบ้านเรือนหนาแน่น ถ้าเป็นบ้านเราก็ต้องเป็นชุมชนระดับอำเภอทีเดียว บนยอดเขาถัดจากชุมชนไปมีหิมะปกคลุมอยู่ไม่น้อย อากาศน่าจะเย็นเอาเรื่องทีเดียว เพราะได้ทั้งลมจากทะเลสาบ ได้ทั้งความเย็นจากยอดเขาหิมะเป็นสองแรงบวก...

ถนนลัดเลาะไปตามขอบทะเลสาบ ผ่านอาคารชุดแห่งหนึ่ง มีป้ายว่า HOTEL พร้อมกับธงชาติสวิสที่เป็นกากบาดขาวบนพื้นแดง พื้นที่ริมทะเลสาบเริ่มแผ่กว้างออกเหมือนเป็นที่ราบลุ่ม และมีบ้านเรือนมากขึ้น แต่ส่วนมากก็สร้างชิดติดริมน้ำ ดูท่าแล้วไม่กลัวน้ำท่วมกันเลย ถัดมาเริ่มมีบ้านเรือนปลูกชิดติดถนน เป็นบ้านเดี่ยวทั้งนั้น บางหลังมีเถาตำลึงฝรั่ง (Ivy) ขึ้นคลุมไปครึ่งบ้าน...

พ้นจากทะเลสาบไปแล้ว เริ่มมีนาข้าวปรากฏอยู่ตามที่ราบเนินเขา ข้าวบาร์เลย์ที่รับลมเป็นระลอกโอนไปเอนมา บางแห่งเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงวัว มีวัวยืนเคี้ยวเอื้องอยู่แบบทองไม่รู้ร้อน มีถนนอีกเส้นที่ขนานไปกับเส้นที่เราวิ่งอยู่ น่าจะเป็นถนนสำหรับสัญจรของชาวไร่ชาวนาโดยเฉพาะ ยอดเขาหิมะเข้ามาใกล้จนอยากจะไปกลิ้งเล่น แต่คงจะเป็นไปตามคำโบราณที่ว่า “ใกล้ตาแต่ไกลตีน” ถ้าจะไปจริง ๆ คงต้องเดินกันเหงื่อตกกีบเป็นแน่...

สุธรรม
20-03-2017, 14:37
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26270&stc=1&d=1489995313
"ดอน มาร์โค" ณ สถานีบริการน้ำมัน

ผ่าน “น้ำฟ้าป่าเขา” โดยไม่ได้ “มีเพียงเราสองคน” ไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมง นายสันโดษก็นำรถเลี้ยวเข้าไปยังสถานีบริการน้ำมันขนาดใหญ่ ที่มีป้ายสีเขียวเหลืองขาวเขียนว่า Ultimate ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นชื่อของสถานีบริการน้ำมันแห่งนี้ มีตราสัญลักษณ์เป็นทรงกลมมีแฉก ดูเหมือนกับดอกทานตะวันขนาดใหญ่ ไล่สีสีเขียวเหลืองขาวจากนอกเข้าไปหาใน ติดอยู่ขอบบนของหลังคาสถานี รอบข้างมีรถจอดอยู่หลายสิบคัน ทั้งรถเก๋ง รถกระบะ และรถโดยสารไม่ประจำทางแบบของเรา...

ด้านหนึ่งมีตัวอาคารที่ดูเหมือนร้านอาหารขนาดใหญ่ บริเวณหน้าตัวอาคารมีรถจอดอยู่แน่นทีเดียว อีกส่วนหนึ่งเหมือนกับเป็นร้านสะดวกซื้อ แต่เป็นร้านเล็กประมาณ ๑ ใน ๕ ของร้านอาหารเท่านั้น พลขับหน้าตายลงไปจัดการเติมน้ำมันเอง ตามแบบฉบับของทางยุโรปที่แทบทุกแห่งเป็นสถานีบริการตนเอง ราคาน้ำมันดีเซลวันนี้อยู่ที่ลิตรละ ๑.๗๐๐ ยูโร ประมาณ ๖๘ บาท ส่วนเบนซินอยู่ที่ ๑.๖๘๓ ยูโร เท่ากับ ๖๗.๓๒ บาท นับว่าแพงมาก...

พวกเราส่วนหนึ่งลงไปเดินยืดเส้นยืดสายที่นั่งรถมานาน อาตมาถ่ายรูปนายสันโดษที่กำลังเติมน้ำมัน แล้วเดินไปถ่ายรูปป้ายบอกทาง “พระครูวิลาศฯ ช่วยถ่ายผมกับป้ายสักรูปสิ จะได้รู้ว่ามาถึงที่นี่แล้ว” หลวงพ่อพระครูสันติฯ ร้องขอ เมื่อบริการท่านเสร็จแล้ว อาตมาก็เดินออกไปยังถนนหน้าสถานีบริการน้ำมัน จัดการถ่ายรูปบริเวณด้านหน้าที่มีรั้วโปร่งเตี้ย ๆ เป็นแนวยาวไปตามถนน เหมือนกับบังคับไปในตัวว่า ถ้าจะข้ามถนนต้องไปใช้ทางแยกเท่านั้น ไม่ใช่นึกจะข้ามตรงไหนก็ได้แบบบ้านเรา ซึ่งดูแล้วน่าจะให้ความปลอดภัยแก่ทั้งคนและสัตว์ได้ดีกว่ามาก...

สุธรรม
21-03-2017, 02:48
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26273&stc=1&d=1490039207
ถึงแล้ว...วัดศรีนครินทรวราราม

พระครูปรีชาเดินมาถ่ายรูปด้านหน้านี่เหมือนกัน จึงให้ท่านช่วยถ่ายให้อาตมา ๑ รูป เสร็จแล้วเดินกลับไปขึ้นรถ คุณโอ๋นับจำนวนครบแล้วก็ให้สัญญาณออกรถ พลขับของเราทำหน้าที่ต่อไปแบบไม่มีปากมีเสียงตามเคย สงสัยว่าเวลาอยู่บ้านเคยบ่นเคยว่าลูกเมียบ้างหรือเปล่า ? หรือว่าพูดออกมาแต่ละทีลูกเมียแตกตื่นจนต้องวิ่งไปแก้บนก็ไม่รู้ ? คนแบบนี้สมควรที่จะมีให้มาก ๆ ไว้ รับรองว่าบ้านเมืองจะสุขสงบกว่านี้ เพราะว่าไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกับใคร...

“แคว้นโซโลทูร์นที่เรากำลังเหยียบย่างเข้าไปนี้ เป็นดินแดนเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยโรมันยังเรืองอำนาจ ความจริงแล้วมีสถานที่สวย ๆ มากมายไม่แพ้แคว้นใด ๆ ของสวิตเซอร์แลนด์ จนได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งสถาปัตยกรรมแบบบาร็อกที่สวยที่สุดของสวิสทีเดียวครับ น่าเสียดายว่าพวกเราต้องวิ่งออกนอกเมืองเพื่อไปยังวัดไทย จึงไม่ได้มีโอกาสเที่ยวชมสถาปัตยกรรมงาม ๆ อย่าง มหาวิหาร St. Ursus Cathedral และโบสถ์ Church of the Jesuits ตลอดจนหอนาฬิกาประจำเมืองที่ชื่อว่า Zeitglockzentrum ซึ่งสร้างมาหกร้อยกว่าปีแล้ว” มัคคุเทศก์รูปหล่อไม่ปล่อยให้พวกเราเงียบเหงา ยังคงทำหน้าที่ของตนอย่างคุ้มค่าคุ้มราคา...

ประมาณ ๓๐ นาทีต่อมา รถของเราวิ่งเข้าไปในเขตชุมชนที่ค่อนข้างจะ “บ้านนอก” ดูได้จากอาคารบ้านเรือนที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน อย่างเก่งที่สุดก็สูง ๒ – ๓ ชั้น ผ่านวงเวียนที่มีศิลปวัตถุอยู่ข้างบน หน้าตาเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ “ตัวยู” เกาะเกี่ยวกับ “ตัวโอ” และอะไรอีกตัวหนึ่งที่ดูไม่ทัน เข้าไปในตัวเมืองที่ไม่ใหญ่นัก ลัดเลาะไปตามถนนที่กว้างประมาณ “สองเลน” แล้วหลุดออกไปอีกฟากหนึ่งของชุมชนที่มีแต่ทุ่งนา วิ่งไปอีกราวสิบห้านาที ก็เข้าไปในเขตชุมชนที่หน้าตาประมาณหมู่บ้านของเรา ดูเงียบสงบน่าอยู่ทีเดียว พอเลี้ยวซ้ายอีกทีก็เห็นอาคารทรงไทยหน้าตาคล้ายพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย แต่หลังเล็กกว่ามาก น่าจะเป็นตัวโบสถ์ มีธงสวิส ธงธรรมจักร และธงไทย ปักอยู่พลิ้วไสว...

สุธรรม
21-03-2017, 20:43
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26283&stc=1&d=1490103676
พระประธานในห้องโถงปฏิบัติธรรมชั้นบน

วิ่งจนสุดกำแพงวัดก็มีโยมผู้ชายในชุดเสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนส์ มาโบกให้รถอ้อมไปเข้าทางประตูใหญ่อีกด้านหนึ่ง ซึ่งประตูใหญ่น้อยไปหน่อยสำหรับรถทัวร์ จึงต้องขยับอยู่สองขยัก ก่อนจะมาจอดที่หน้าอาคารยาวสองชั้นลักษณะเหมือนศาลาการเปรียญ แต่แบ่งออกเป็นหลายห้อง ดูแล้วน่าจะเป็นที่พักสำหรับญาติโยมที่มาวัดนี้มากกว่า พวกเราลงจากรถตามมัคคุเทศก์รูปหล่อไปโดยไม่ต้องบอกกล่าวให้เสียเวลา มีโยมผู้หญิงค่อนข้างมีอายุ ในชุดเสื้อยืดคอวีสีขาวแขนยาว กับกางเกงยีนส์เหมือนกัน พนมมือไหว้แล้วเชิญเข้าประตูที่มีตราสัญลักษณ์ สว. ของสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี ติดอยู่ด้านบน...

พวกเราส่วนหนึ่งได้แก่ หลวงพ่อพระครูเรือง พระครูญาณฯ ฯลฯ แต่งองค์ทรงเครื่องให้รัดกุมใหม่ อีกส่วนตามอาตมาที่ถามโยมผู้ชายว่า “ห้องน้ำอยู่ด้านไหน ?” พอทราบจุดหมายก็ตรงดิ่งเข้าไปทันที อีกส่วนหนึ่งตามโยมผู้หญิงที่นิมนต์ขึ้นไปพักผ่อนด้านบน เมื่อออกจากห้องน้ำแล้ว อาตมาก็เดินขึ้นบันไดไปชั้นบนบ้าง พอถึงชั้นสองก็เป็นที่ว่าง ทางขวามือมีชุดรับแขกที่พวกเราหลายคนลงไปเอกเขนกแก้เมื่อยกันแล้ว ถัดไปเป็นประตูที่ด้านในเป็นห้องโถงใหญ่ที่น่าจะเป็นห้องโถงสำหรับปฏิบัติธรรม มีพระพุทธชินราชจำลองเป็นประธาน พร้อมกับพระแก้วมรกต พระพุทธรูปสมัยสุโขทัย และอื่น ๆ แต่ที่ใหญ่เป้งจนแทบจะเป็นพระประธานคือ รูปหล่อสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สุวรรณ สุวณฺณโชโต) อดีตเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ และอดีตเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตร ที่อาตมาคุ้นเคยดีตั้งแต่สมัยยังอยู่ที่วัดท่าซุง...

อีกด้านหนึ่ง มีหุ่นขี้ผึ้งขนาดเท่าองค์จริงของ “สมเด็จย่า” ในชุดทรงศีลสีขาวอยู่ภายในตู้กระจก ที่เหลือเป็นรูปหลวงปู่ทวด พระพุทธรูปองค์ย่อมลงมาและตาลปัตร พวกเรากราบพระแล้ว โยมผู้หญิงเอาแก้วน้ำเย็นใส่ถาดมาถวายทุกรูป พักหนึ่งก็มีพระภิกษุ ๔ รูปออกมากราบปฏิสันถารด้วย จึงทราบว่า ท่านเจ้าคุณอาจารย์ ดร.ทองสูรย์ ติดกิจนิมนต์ ไม่ได้อยู่ต้อนรับคณะของพวกเรา แต่ก็มอบหมายให้พวกท่านอยู่ต้อนรับแทน อีกครู่หนึ่งโยมผู้ชายก็เอาแก้วน้ำส้มใส่ถาดมาประเคนทุกรูปอีก ซึ่งพวกเราก็รับมาฉลองศรัทธาด้วยความเต็มอกเต็มใจ...

สุธรรม
22-03-2017, 05:43
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26284&stc=1&d=1490136079
ตรงกลางระหว่างท่านอาจารย์คณบดีกับหลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ นั่นแหละครับ ท่านเจ้าคุณอาจารย์ ดร.บุญชิต

“นิมนต์ไหว้พระกันก่อนครับ แล้วจะได้ถวายปัจจัยร่วมบุญกับทางวัด” หลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ ซึ่งปกติจะทำตัวติดดิน ไม่ค่อย “ออกสื่อ” กับใคร วันนี้ออกหน้ามารวมพลเอง พวกเราที่บ้างก็นอนเอกเขนก บ้างก็ฉันน้ำคุยอยู่กับ “เจ้าถิ่น” ต้องละวางการกระทำทั้งหมด มาเข้าแถวไหว้พระตามที่หลวงพ่อเจ้าคุณฯ ท่านนำ “โย โส ภควา ฯลฯ” เมื่อจบแล้วกราบพระพร้อมกัน “สาธุ...ชื่นใจมากครับ” “ท่านนายพล” บอกด้วยความปลื้มใจ เสียดายที่น้อยคนจะรู้ว่าการกระทำของตนเองครั้งนี้ ทำให้ “ผี” ปลื้มขนาดไหน..!

หลวงพ่อเจ้าคุณฯ ทำสิ่งที่ “ผี” ปลื้มหนักเข้าไปอีก เมื่อล้วงเอาหลวงพ่อวัดบ้านแหลม องค์สูงประมาณ ๑ ศอกออกมาจากย่าม ในขณะที่ “เจ้าถิ่น” ส่งพานมาให้สองใบ พระครูกล้ากับพระครูโจจึงช่วยกันเอาใส่หลวงพ่อวัดบ้านแหลมใบหนึ่ง จัดเรียงธนบัตรยูโรสารพัดราคาใส่ลงในพานอีกใบอย่างสวยงาม แล้วมอบให้ท่านประธานรุ่น หลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ ท่านอาจารย์คณบดี กับหลวงพ่อพระครูสันติฯ เป็นตัวแทนคณะถวายให้กับ “เจ้าถิ่น” ทำเอา “ท่านนายพล” กับ “ทีมงาน” สาธุการด้วยความปลื้มใจอีกรอบหนึ่ง...

ฝ่าย “เจ้าถิ่น” ถวายหนังสือให้พวกเรารูปละ ๓ เล่ม เท่านั้นยังไม่พอ โยมผู้หญิงยังยกถาดสเตนเลสขนาดใหญ่ ใส่ช็อกโกแล็ตมามอบให้พวกเราอีกคนละกล่องใหญ่ โอ้..มายบุ๊ดด้า ๑,๕๐๐ ยูโรที่ถวายไป จะพอค่าของเขาไหมนี่ ? ลำดับต่อไปเป็นการถ่ายรูปหมู่ร่วมกันเป็นที่ระลึก กำลังจัดแถวกันอยู่อาตมาก็ต้องออกอาการ “เหวอ” เพราะว่าพระที่เดินเข้ามาร่วมถ่ายรูปนั้น มีท่านเจ้าคุณอาจารย์ ดร.บุญชิต (พระราชสิทธิมุนี วิ.) ด้วย ไม่ทราบว่าท่านย่องมาสวิสตั้งแต่เมื่อไร ท่านเคยสอนอาตมาตั้งแต่ตอนอบรมพระธรรมทูตสายวิปัสสนา รุ่น ๑ เมื่อสิบปีที่แล้วตอนที่ยังเป็นพระมหาบุญชิตอยู่เลย จึงรีบวันทาอย่างงาม และแนะนำให้เพื่อน ๆ รู้จักท่านเจ้าคุณอาจารย์อย่างเร่งด่วน ทำเอาหลายท่านที่ยังไม่รู้จักท่าน ได้ตื่นเต้นกันอีกรอบ...

สุธรรม
22-03-2017, 14:19
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26285&stc=1&d=1490167076
มหานพพลกับหลวงพ่อพระครูเรืองกำลังเซ็นสมุดเยี่ยม

แต่ตอนถ่ายรูปมีปัญหา เพราะว่าคณะของเรามีคนมาก ขนาดนั่งสามแถวและคนถ่ายรูปถอยจนติดกำแพงแล้ว ก็ยังเก็บภาพได้ไม่หมด กล้องของอาตมาเป็นเลนส์ไวด์ก็เก็บได้ไม่หมดเช่นกัน ท้ายสุดคุณโยมผู้ชายของทางวัด ต้องเปิดประตูเล็กแล้วหงายหลังเกือบจะนอนกับพื้น ถึงจะถ่ายรูปออกมาพอใช้ได้ ที่เหลือคงต้องอาศัยกล้องวิดีโอของท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ซึ่งท่านบอกว่ากลับไปแล้วจะตัดต่อและอัดมาถวายให้ทุกรูป พอสลายตัวจากแถว "เจ้าถิ่น" ท่านก็เอาเหรียญ "สมเด็จย่า" ที่สองข้างเป็นในหลวงรัชกาลที่ ๘ และในหลวงรัชกาลที่ ๙ มาถวายอีกคนละ ๑ เหรียญ ชนิดที่การลดแลกแจกแถมตามห้างใหญ่ ๆ บ้านเรายังสู้ไม่ได้...

จากนั้นพวกเราส่วนหนึ่งก็มาลงชื่อในสมุดเยี่ยมของทางวัด อาตมากราบลาท่านเจ้าคุณอาจารย์ ดร.บุญชิต ลาพระภิกษุเจ้าถิ่นทุกรูป มาลงชื่อในสมุดเยี่ยมต่อจากหลวงพ่อพระครูเรือง แล้วเดินตามพรรคพวกลงจากอาคารปฏิบัติธรรม เลาะข้างกำแพงแก้วของโบสถ์จตุรมุข ที่รูปร่างคล้ายพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ซึ่งมีทางเดินปูตัว “ตัวหนอน” กว้างประมาณ ๑ เมตร ยาวตลอดตัวโบสถ์ สองข้าง “ตัวหนอน” เป็นแนวหญ้าแคบ ๆ ผ่านเถาตำลึงฝรั่งและต้นอะไรก็ไม่รู้ที่มีใบสีแดงทั้งต้น แต่ใบเป็นแฉก ๆ คล้ายกับต้นกัญชา..! ถ้าจะให้เดาน่าจะเป็นต้นเมเปิลแดง แต่ยังต้นเล็กอยู่ สูงประมาณอกเท่านั้น...

เลี้ยวเลาะกำแพงแก้วมาเข้าที่ด้านหน้าโบสถ์ ด้านนี้มีต้นไม้ใหญ่หน้าโบสถ์ฝั่งละต้น แต่โดนตัดกิ่งก้านเหมือนกับ “ไม้ล้อม” ของบ้านเรา ขึ้นบันไดไปแล้วเป็นประตูโบสถ์บานเดียวแบบ “โบสถ์มหาอุตม์” แปลว่าสามารถปลุกเสกวัตถุมงคลประเภท “มหาอุด” ได้ขลังแน่นอน เนื่องจากทางด้านหลังโบสถ์ที่ผ่านมา สังเกตว่าเป็น “ประตูหลอก” ที่ทำเป็นลายไทยรูปประตูเท่านั้น ไม่ใช่ประตูโบสถ์ที่ใช้งานได้จริง ๆ พวกเราส่วนหนึ่งเดินชมบริเวณหน้าโบสถ์ แต่อาตมามุดเข้าไปกราบพระประธานด้านในก่อน...

สุธรรม
23-03-2017, 02:45
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26291&stc=1&d=1490211808
ภายในโบสถ์วัดไทยในสวิตเซอร์แลนด์

น้อมจิตรำลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย อันมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงพระคุณอันยิ่งใหญ่ต่อสรรพสัตว์เป็นประธาน กราบงามสามครั้งทั้งที่ใจจริงแล้วกราบสัก ๑๐๘ ครั้งก็ยังไม่สมกับคุณความดีของพระองค์ท่าน “ผมเพิ่งเห็น “คน” ที่กราบพระด้วยใจจริง ๆ เป็นครั้งแรกก็ที่ท่านแสดงให้ดูนี่แหละครับ ส่วนมากก็สักแต่ว่ากราบไปตามธรรมเนียมเท่านั้น” “ท่านนายพล” วิพากษ์วิจารณ์ตามประสา “คน” ที่ประสบการณ์น้อย ถ้าไปประเทศไทยเมื่อไร จะพาไปดูท่านที่กราบพระด้วยใจว่ามีเป็นพัน ๆ “คน” เลยทีเดียว...

องค์พระประธานเป็นพระพุทธชินราชจำลองเช่นกัน แต่งามโดดเด่นด้วยลายเขียนต้นโพธิ์ทองบนผนังด้านหลัง สองข้างโคนต้นโพธิ์เป็นทะเลสีฟ้า มีดอกบัวบานสะพรั่ง สื่อถึงความเป็นพระอริยเจ้า ที่เป็นบัวกระทบแสงแดดก็บานทันที ด้านบนเป็นสีน้ำเงินเข้มของท้องฟ้า ฝั่งขวาของพระประธานเป็นเทพพระอาทิตย์ ฝั่งซ้ายเป็นเทพพระจันทร์ อยู่ในวิมานทรงกลมเปล่งรัศมี สูงขึ้นเป็นเป็นหมู่เทพรวม ๙ องค์กับดวงดาวระยิบระยับจับตา...

สองฟากข้างที่เป็นประตูหลอก เขียนรูปเทวดาเอาไว้ ผนังทั้งสองข้างและเพดานเป็นภาพประเภท “ไตรภูมิ” คือมีวิมานและเทวดา นางฟ้า พรหม ต่าง ๆ และภาพเขียนที่เกี่ยวเนื่องกับชาดกในพระพุทธศาสนา แต่ที่รกที่สุดก็คือแท่นพระประธาน ซึ่งมีพระอัครสาวก ๒ ชุด ๔ องค์ พระพุทธรูปองค์เล็กองค์ใหญ่อีกหลายองค์ มณฑปพระบรมสารีริกธาตุ พานพุ่ม แจกันดอกไม้ ฯลฯ ซึ่งหลายอย่างต้องการเอาใจเจ้าภาพ จึงตั้งไว้ให้เห็นจนรกเป็นป่าไปเลย ถ้าเป็นที่วัดท่าขนุนของอาตมาซึ่งไม่เคยเอาใจเจ้าภาพ ก็คงจะเก็บออกเกลี้ยงไปนานแล้ว...

สุธรรม
23-03-2017, 19:39
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26298&stc=1&d=1490272660
รูปหมู่ในโบสถ์วัดศรีนครินทราวราราม

“นิมนต์ถ่ายรูปหมู่หน่อยครับ” งานนี้อาตมารวมพลเอง เพราะเห็นว่าสถานที่อำนวย เพื่อน ๆ ที่ยืนชมนั่งชมภายในและภายนอกของโบสถ์อยู่ต่างก็เห็นด้วย จึงรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว หลวงพ่อพระครูสันติฯ ที่เพิ่งเดินเข้ามา นิมนต์ท่านเจ้าคุณอาจารย์ ดร.บุญชิตมาด้วย จึงกลายเป็นรูปหมู่ที่มีจำนวนเกิน ๒๒ รูปของคณะอีกครั้ง สองมัคคุเทศก์ สองท่านอาจารย์ กับหนึ่งตากล้องวัด ช่วยกันถ่ายรูปไปน่าจะเกินโหล เพราะแค่กล้องที่ฝากถ่ายก็เป็นสิบตัวแล้ว...

เสร็จจากภาพหมู่ก็เป็นภาพเดี่ยว อาตมาขอของตัวเอง ๑ ภาพ ตามมาด้วยพระครูด็อกเตอร์ หลังจากนั้นจะเป็นใครบ้างก็ไม่รู้ อาตมากราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ ดร.บุญชิตแล้ว ก็เดินหามุมถ่ายรูปตามอัธยาศัย ออกไปนอกรั้วแล้ววนถ่ายรูปวัดไปทุกด้าน เห็นป้ายที่ติดไว้แล้วเหนื่อยแทนท่านเจ้าคุณอาจารย์ ดร. ทองสูรย์ เพราะว่ามีทั้งป้ายรับบริจาคซื้อที่ดินเพื่อสร้างอาคารหอประชุม ๑๑๑ ปีสมเด็จย่าชาตกาลานุสรณ์ และป้ายอีกหลายอัน ดังนี้

๑. สำนักพุทธศาสนศึกษาและศูนย์สอบธรรมสนามหลวง (Center of Buddhist Studies and Dhamma Examination under the Royal Patronage)
๒. โรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์วัดศรีนครินทรวราราม (The Buddhist Sunday School of Wat Srinagarindravararam)
๓. ศูนย์การเรียนการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศ.น.) (Thailand Non – Formal and Informal Education Learning Center)

สุธรรม
24-03-2017, 02:51
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26307&stc=1&d=1490298567
รูปหมู่ย้อนแสง (ภาพจากกล้องท่านอาจารย์ ดร.วันชัย)

“สองทุ่มแล้วครับ นิมนต์พระอาจารย์ทุกท่านไปรอขึ้นรถนอกกำแพงด้านหน้าโบสถ์ด้วยครับ” กำลังถ่ายรูปหอระฆังของวัด เสียงมัคคุเทศก์รูปหล่อก็ตะโกนเรียกขึ้นมา จึงต้องละมือรีบเดินไปตามเสียง แต่พอรีบเดินก็รู้สึกเจ็บทั้งสะโพกและเจ็บบริเวณส้นเท้าที่โดนสายรัดรองเท้ากัด ไปถึงพรรคพวกทยอยกันมาครบแล้วแต่รถยังมาไม่ถึง ท่านอาจารย์ ดร.วันชัยจึงขอถ่ายรูปหมู่ตรงนี้อีก ๑ รูป แต่แสงอาทิตย์ที่ส่องเกือบจะตรงย้อนเข้าเต็มหน้ากล้อง ภาพที่ออกมาน่าจะไม่ค่อยได้เรื่อง จึงเป็นที่น่าเสียดายมาก เพราะว่าพระและญาติโยมของที่นี่มาเข้ากล้องกันครบถ้วนเสียด้วย...

ตรงหน้าโบสถ์นี้เป็นทุ่งนาที่ว่างเปล่าผืนใหญ่ น่าจะถึงสองไร่ครึ่ง เป็นที่ซึ่งทางวัดติดป้ายรับบริจาคเพื่อซื้อมาสร้างหอประชุม ๑๑๑ ปี “สมเด็จย่า” นั่นเอง เลยที่ดินออกไปเป็นถนนหมู่บ้าน อีกฝั่งมีอาคารหลายหลังและเครนก่อสร้างอยู่ด้วย กำลังชี้ชมกันอยู่นายสันโดษก็นำรถมาบังสายตาพอดี พวกเราจึงอำลาโดยไม่ต้องอาลัย ขึ้นรถกันไปไวปานวอก แต่อาตมาเริ่มจะเป็นวอกขาเป๋ เพราะว่ากรำศึกมาทั้งวัน เจ็บทั้งสะโพก เจ็บทั้งแผลรองเท้ากัด อาการแบบนี้เป็นสัญญาณเตือนว่า ในเมื่อพักผ่อนไม่พอ มาลาเรียเพื่อนรักก็จะมาเยี่ยมเยือนอีกแล้ว...

“เราจะตรงไปเข้าที่พักเลยนะครับ ต้องวิ่งรถเข้าเมืองโซโลทูร์นไปประมาณ ๔๐ นาที คาดว่าน่าจะไปถึงโรงแรมก่อนมืด จะได้สะดวกในการเช็คอินด้วย เมื่อได้กุญแจห้องแล้ว นิมนต์พระอาจารย์ทุกท่านเข้าที่พักเลยนะครับ เรื่องกระเป๋าจะมีคนเอาไปส่งให้ที่หน้าห้องเอง” อาตมาหลับตาภาวนา ใช้กำลังใจสะกดอาการป่วยเอาไว้ หูฟังเสียงของมัคคุเทศก์รูปหล่อไปด้วย คุณโอเล่เอาน้ำดื่มมาถวายรูปละขวด อาตมารับแล้วเสียบเอาไว้ที่กระเป๋าหลังเบาะ ส่งกำลังใจเกาะพระนิพพานเผื่อเอาไว้ก่อน โดยมี “ท่านนายพล” ยืนมองอยู่ด้วยความห่วงใย...

สุธรรม
24-03-2017, 16:21
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26309&stc=1&d=1490347153
มัคคุเทศก์รูปหล่อติดต่อขอรับกุญแจห้อง

เมื่อใช้กำลังใจมากทำให้เวลาผ่านไปเท่าไรก็ไม่รู้ ลืมตาขึ้นมาอีกทีเห็นว่ารถของเรามาติดไฟแดงอยู่ในตัวเมืองแล้ว มีรถรางสีดำคาดส้มแดงวิ่งผ่านไปในระยะประชิด อีกด้านหนึ่งเป็นเลนจักรยานที่มีคนใช้กันไม่น้อยเลย เมื่อได้ไฟเขียวนายสันโดษก็นำพาหนะวิ่งตรงไป มาถึงบริเวณที่มีต้นไม้ประเภทมะฮอกกานีปลูกอยู่เป็นแถว พลขับของเรานำรถชิดขวา จอดเทียบหน้าอาคารพิลึกที่เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส รอบตัวอาคารเป็นช่องกระจกสลับกับช่องสีส้มเหมือนลายตารางหมากรุก ป้ายไวนิลขนาดเล็กที่ติดเป็นแนวตั้งอยู่หน้าอาคาร และทางด้านบนประตูทางเข้า มีทั้งภาษาเยอรมันและภาษาอังกฤษติดอยู่ ส่วนที่เป็นภาษาอังกฤษเขียนว่า RAMADA SOLOTHURN อยู่ข้างใต้วงกลมสีแดงเหมือนธงชาติญี่ปุ่น เพียงแต่ในวงกลมมีตัว R อยู่ครึ่งตัวเท่านั้น...

พวกเราลงจากรถกันในลักษณะอีบัดอีโรยแทบทุกคน เดินเข้าประตูกระจกไปเจอห้องล็อบบี้ยาวเหยียด มีเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์อยู่ด้านขวามือพร้อมพนักงานสาวสวย ๒ คนกับหนุ่มหล่อ ๑ คน ตัวเคาน์เตอร์เป็นกระจกโชว์ด้านในที่เหมือนกับกระดาษสีทองย่น ๆ หุ้มส่วนที่เป็นแกนไม้เอาไว้ ผนังด้านหลังเป็นรูป Panorama ซึ่งน่าจะเป็นสถานที่มีชื่อของเมืองนี้ แต่ที่พวกเรารี่เข้าใส่ก็คือชุดรับแขกที่เอื้อเฟื้อต่อลูกค้าคณะใหญ่เป็นอย่างยิ่ง เพราะว่ามีถึง ๔ ชุดด้วยกัน ทุกคน “ทิ้งตัว” แทบจะแผ่หลาทันที โธ่เอ๊ย..เห็นไม่บอกไม่กล่าวก็นึกว่า “นายแน่มาก” ที่แท้ก็แย่พอ ๆ กัน...

คุณโอ๋กับคุณโอเล่เดินไปติดต่อกับประชาสัมพันธ์ เพื่อขอรับกุญแจห้องที่คณะของเราจองเอาไว้ เมื่อได้มาแล้วก็ลงหมายเลขห้องลงในเอกสารรายชื่อ แล้วส่งให้กับทางเจ้าหน้าที่ ๑ แผ่น เพื่อที่พนักงานขนกระเป๋าจะได้รู้ว่า ต้องเอากระเป๋าแต่ละใบไปส่งที่ห้องไหนบ้าง อาตมากวาดสายตาดูทั่วห้องแบบคร่าว ๆ มีการนำเอาภาพเขียนและรูปแกะสลัก มาวางประดับแบบมีรสนิยมเสียด้วย แต่ที่นึกไม่ถึงก็คือ ตู้กระจกขนาดไม่ใหญ่นักที่ติดอยู่ข้างประตู มีนาฬิกายี่ห้อ OMEGA วางอยู่หลายเรือน มีราคาติดอยู่พร้อมสรรพ แต่อาตมาไม่มีอารมณ์ที่จะกระดิกไปดู...

สุธรรม
25-03-2017, 05:46
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26315&stc=1&d=1490395499
บัตรกุญแจแบบเสียบที่คุ้นเคย

มัคคุเทศก์รูปหล่อเรียกให้ไปรับกุญแจห้อง แต่ละท่านเยื้องย่างไปแบบไม่อยากจะขยับตัว อาตมารับ Key Card หมายเลข ๑๑๓ มาแล้ว ก็ชวนหลวงพ่อพระครูเรืองไปห้องพัก เดินผ่านพระครูญาณฯ ที่ทำท่ายานโทงเทง หลับตาพิงโซฟาที่อยู่ติดกับรูปม้าแกะสลักจากไม้ ทำท่าเหมือนกับว่า ถ้าไม่เอารถขุดมาควักออกจากที่ ก็อย่าหวังเลยว่าจะยอมขยับไปไหน ในเมื่อห้องพักอยู่แค่ชั้น ๑ อาตมาจึงเดินขึ้นบันไดแทนที่จะขึ้นลิฟท์...

ถึงชั้นบนเป็นทางแคบ ๆ ขนาบด้วยห้องพักและผนังยาวไปทางซ้ายมือ บนพื้นปูพรมสีเทาอ่อนคาดสีส้ม ประตูห้องเป็นสีส้มแดงทุกบาน เมื่อเดินไปจนถึง “สามแยก” ก็เป็นห้องพักยาวออกไปทั้งทางด้านซ้ายและด้านขวา อาตมาพาหลวงพ่อพระครูเรืองไปหยุดที่หน้าห้อง ๑๑๓ เอาบัตรกุญแจเสียบเข้าช่อง เสียงประตูลั่นเปิดให้ จัดการผลักเข้าไปเอาบัตรกุญแจเสียบใส่ช่องทางขวามือ ระบบไฟในห้องทำงานขึ้นแบบอัตโนมัติ...

ด้านในเป็นห้องพักแบบเตียงคู่ อาตมาเลือกเตียงในตามความเคยชิน เอากระเป๋าโน้ตบุ๊กโยนลงบนเตียง มุดเข้าห้องน้ำไปแบบฉับไว จัดการเปิดน้ำอุ่นแล้ว “ลอกคราบ” ตัวเองออกไปหนึ่งชั้น แต่งตัวออกมาแล้วหลวงพ่อพระครูเรืองยังยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่เลย “นิมนต์หลวงพ่อสรงน้ำก่อนครับ” อีกฝ่ายส่ายหน้าเป็นแขกอินตะระเดีย “ผมรอผ้าที่จะเปลี่ยนอยู่ เขายังไม่เอากระเป๋ามาส่งเลยครับ” แบบนี้นี่เอง ส่วนอาตมาที่สร้างสถิติ “หมก” ด้วยชุดเดียวมาตลอด ๕ วัน ยังรู้สึกว่าน่าจะต่อได้อีกหลายวัน เพราะทางยุโรปนี่เดินเท่าไรก็ไม่มีเหงื่อสักที..!

สุธรรม
25-03-2017, 20:03
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26321&stc=1&d=1490446924
ภายในห้องพัก (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)

เสียงเคาะประตูดังขึ้นขณะที่อาตมากำลังรื้อเอาโน้ตบุ๊กมาวางบนเตียง หลวงพ่อพระครูเรืองกุลีกุจอไปเปิด รับกระเป๋าทั้งของท่านเองและของอาตมาเข้ามา แล้วปิดประตูไปเลย เฮ้ย...ท่าน ผอ.โรงเรียนยังไม่เคยชินกับธรรมเนียมตะวันตก พนักงานโคตรเฮงที่เจอเจ้าของห้องแต่ไม่ได้รางวัลซักยูโร คงจะเซ็งชีวิตไปอีกนาน ท่านรื้อเอาสบงกับอังสะสำรองออกมาพาดแขน แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป ปล่อยให้อาตมาโหลดรูปออกจากแผ่นความจำไปคนเดียว...

เอาเครื่องชาร์ตแบตเตอรี่ของกล้องถ่ายรูปมาเสียบเข้ากับปลั๊กอีกช่อง แล้วถอดแบตเตอรี่ในกล้องออกมาใส่ให้ชาร์ตไว้ กลับมารออีกพักใหญ่กว่าที่เครื่องจะดึงรูปในแผ่นความจำออกมาได้ครบ จัดการลบแผ่นความจำแล้วใส่กลับเข้าไปในกล้อง จากนั้นมาลดขนาดรูปในเครื่องให้เหลือแค่ ๖๐๐ X ๘๐๐ ซึ่งเป็นขนาดที่ไม่เล็กจนเกินไป แต่ก็ไม่ใหญ่จนกินพื้นที่ในการเก็บมากนัก ยังดีที่มีระบบ batch resize ของ ACDSee Actions ไม่อย่างนั้นถ้าต้องไปลดขนาดทีละรูปก็คงจะสว่างพอดี..!

หลวงพ่อพระครูเรืองยังไม่ทันออกจากห้องน้ำ อาตมาก็เสร็จงาน เก็บโน้ตบุ๊กลงกระเป๋า ขยับเก้าอี้นั่งซึ่งเกะกะให้มีช่องว่าง แล้วลากผ้าห่มลงมาที่ช่องว่างข้างเตียง กราบพระสามครั้ง นอนตีโปงส่งใจขึ้นไป “ข้างบน” ภาวนา “กรณียเมตตาสูตร” ยังไม่ทันจะจบดีก็ฟิวส์ขาดไปแล้ว..!