PDA

View Full Version : ธรรมะจากพระสมุห์ปรินทร์ ธมฺมสรโณ (หลวงพี่เอก วัดเขาแร่)


มิ่งเมือง
28-05-2009, 20:52
จะพยายามนำธรรมะที่ท่านได้แสดง และได้ถ่ายทอด
นำมาเผยแพร่ให้ได้มากที่สุดครับ

และท่านใดมีข้อธรรม ข้อปฏิบัติที่หลวงพี่ท่านได้แนะนำไว้
โปรดเมตตาสงเคราะห์เผยแพร่กันด้วยนะครับ

มิ่งเมือง
28-05-2009, 20:54
ธรรมะเรื่องริษยาและการมอบกายถวายชีวิต

(เครดิตคุณเล่งอ๋องครับ)
เนื้อความในจดหมาย มีดังต่อไปนี้ครับ

อิจฉา อัตตะ มานะ ล้วนแต่เป็นความเห็นผิดใน "อวิชชา" นอกจากเป็นการสร้างความทะเยอะทะยานในความเป็นโมฆะบุรุษ-โมฆะสตรี ซึ่งเป็นการสร้างหนทางสู่ความวิบัติฉิบหายให้เกิดกับตนเองแล้ว ยังได้ชื่อว่าเป็นการทำลายแลสร้างความหายนะมลทินโทษ ให้กับบุคคลผู้มีสารัตถะประโยชน์แก่โลกอีกด้วย ผู้ที่ถูกครอบงำด้วยอธรรมเหล่านี้ จึงเป็นผู้มีชีวิตอยู่เพียงราตรีเดียวก็น่าประณาม เพราะเป็นบุคคลรกโลก หนักแผ่นดิน เมื่อกายแตกดับก็มีแต่ทุคติ คืออบายภูมิเป็นที่ไปแต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น

------------------------------------------------------

"ความริษยา" เป็นอุปกิเลสที่มีความเร่าร้อนรุนแรงกว่า "ความอิจฉา" เพราะมีอารมณ์โทสะเป็นตัวนำ ภายใต้การควบคุมของความหลง คือโมหะ ทุกวันนี้เราทั้งหลายได้แต่เพ่งหาโทษผู้อื่น โดยที่ไม่รู้สึกสำนึกในอารมณ์เร่าร้อน เต็มไปด้วยแรงริษยาที่หมักหมมอยู่ภายในใจตน บุคคลจำพวกนี้ถึงมีชีวิตอยู่ก็เสมือนหนึ่งว่าตายแล้ว เพราะได้ชื่อว่าเพียรจุดไฟเพื่อเผาใจตนเองอยู่ตลอดเวลา

---------------------------------------------------

จงอย่าลืมว่าเราได้มอบกายถวายชีวิตนี้แด่คุณพระรัตนตรัยแล้ว กาย วาจา ใจ ของเราก็มิได้เป็นของเราแล้ว เป็นของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ มีพระคุณหลวงปู่ปาน พระคุณท่านพ่อฤๅษีฯ เป็นที่สุด จึงต้องหมั่นขัดล้าง กาย วาจา ใจนี้ ให้บริสุทธิ์ผ่องใส เพื่อรองรับคุณพระรัตนตรัยที่มีมหาเมตตากรุณา สงเคราะห์เสด็จมาประทับในอัตภาพสมมติของเราให้ตลอดเวลา

คุณพระรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการนี้ หากได้บังเกิดขึ้นภายในใจของผู้ใดแล้ว บุคคลนั้นจะไม่มีความประมาทมัวเมา หลงตนเองอยู่เลย เพราะท่านทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่มีมรณานุสติ อยู่ในห้วงอารมณ์ที่เต็มไปด้วยกำลังของศีล เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ใจที่มุ่งต่อพระนิพพานเพียงจุดเดียว

มิ่งเมือง
28-05-2009, 21:24
เป็นต้นฉบับที่ท่านเมตตาเขียนเพื่อสั่งสอนลูกเผ่าครับ

จะพยายามหามาเพิ่มเติมให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ครับ
หลวงพี่เอกท่านจะมีลีลาการสอนอย่างหนึ่งคือ จดหมาย และข้อความ
บางช่วงเวลาที่ลูกเผ่า คนไหนมีปัญหาอะไรท่านมักจะเขียนข้อธรรม ข้อคิด ใส่กระดาษ หรือเศษกระดาษ ให้ลูกเผ่าเพื่อใช้นำไปปฏิบัติครับ

เพิ่มข้อธรรม (เป็นข้อธรรมที่หลวงพี่เอกท่านเน้นสอนอย่างประจำ)

พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านสอนไว้ว่าสิ่งที่สำคัญ
(๑) จรณะ ๑๕
(๒) บารมี ๑๐
(๓) อิทธิบาท ๔
(๔) พรหมวิหาร ๔ ต้องครบถ้วน
(๕) กำจัดนิวรณ์ให้ได้
(๖) ทรงฌานให้เป็นปกติ
(๗) เห็นธรรมดาของขันธ์ ๕

"ผู้แจ้ง ถึงไม่รักในฐานะที่ควรรัก ไม่โกรธในฐานะที่ควรโกรธ"

"สิ่งที่ปุถุชนเห็นว่าเป็นสุข พระอริยเจ้าเห็นว่าเป็นทุกข์
สิ่งที่ปุถุชนเห็นว่าเป็นทุกข์ พระอริยเจ้าเห็นว่าเป็นสุข"

“เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดาของร่างกายไม่ใช่เรื่องของจิต จิตไม่ได้ขี้ ไม่ได้เยี่ยว ไม่ได้กิน ไม่ได้เงิน ไม่ได้ตาย เจ็บปวด สุข ทุกข์ เป็นเรื่องของร่างกาย จิตไม่ได้เจ็บ ไม่ได้ทุกข์ด้วย หนังไม่มี เจ้าของ ตา หู จมูก ว่างเปล่า ไม่มีเชื้อกิเลสมาอาศัย นี่เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด ไม่รู้จักเข็ด”

“บุคคลใดเจริญพุทธานุสสติกรรมฐานเป็นประจำบุคคลนั้นไปนิพพานง่ายที่สุด”

"ครูบาอาจารย์ท่านชม ก็นับว่าเป็นสิริมงคลดี อย่าว่าแต่ชมเลยแม้ท่านติ ก็นับว่าเป็นสิริมงคลดี เพราะทั้งการชม การตำหนิล้วนเป็นด้วยเหตุผล อันประกอบด้วยธรรมทั้งนั้น"

"รัตนะอย่างใดอย่างหนึ่งในโลก เสมอด้วยพระรัตนตรัยไม่มี"

"การเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิภาวนาก็คือ การกลั่นกรองหาสิ่งเป็นสาระคุณในตัวเราเพื่อเอาชนะกิเลสตัณหาอวิชชาตามที่พระพุทธเจ้าและครูอาจารย์ท่านสอนไว้"

เถรี
28-05-2009, 23:27
หลวงพี่เอกบอกว่า "ศาสนาอื่นเขาไม่มีพระอริยเจ้า เพราะศาสนาอื่นเขาไม่ได้ขึ้นอยู่ด้วยความเคารพในคุณของพระรัตนตรัย ยังมีวิจิกิจฉาอยู่ พระอริยเจ้ามีเฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น"

ทีนี้พี่คนหนึ่งก็บอกหลวงพี่เอกว่า "ผมไปเถียงกับคนอื่นเขา เพราะเขาบอกว่าศาสนาอื่นมีพระอริยเจ้า มีนิพพาน"

หลวงพี่เอกก็บอกว่า "อย่าไปเถียงกับเขา เถียงกับเขาเราขาดทุน ไป ๆ มา ๆ เราเหนื่อยเปล่า ดีไม่ดีอารมณ์เราจะขุ่นมัว ทะเลาะกับเขา

ถ้าเกิดกุศลเขาถึงพร้อม ใจเขาจะน้อมไปเอง มันจะโดนดูดไปเอง แต่ถ้ายัง...แม้จะอยู่ในเขตพระศาสนา บ้านอยู่ใกล้วัดก็ยังไม่เข้าวัดเลย ถึงบ้านอยู่ใกล้วัดก็ไปเจอวัดที่ไม่มีพระปฏิบัติ เพราะกรรมปรามาส ปรามาสจากไหนก็ปรามาสคุณพระ"

เถรี
29-05-2009, 13:56
หลวงพี่เอกท่านบอกว่า "เรามีคติว่า ถ้าไม่ไปนิพพานก็ไปนรกเลย เราไม่ไปพรหม ไปสวรรค์ให้เสียชาติเกิดหรอก ถ้าไม่ดีก็ให้มันชั่วไปเลย"

เหมือนกับที่หลวงพ่อเล็กบอกเลยค่ะ ว่า "ถ้าชั่วให้ถึงที่สุดไม่ได้ ก็ดีให้มันถึงที่สุดไปเลย"

เถรี
29-05-2009, 14:01
หลวงพี่เอกบอกว่า "คนที่มีความเคารพพระพุทธเจ้า ดูไม่ยากเลย ดูจากการกราบพระ เขาจะกราบได้งาม"

เถรี
29-05-2009, 14:51
มีคนถามว่า "เห็นคนว่าสวยงาม นี่ถือว่าเป็นอารมณ์เศร้าหมองหรือครับ"

หลวงพี่เอกบอกว่า "ถ้าในตัวปรมัตถ์ถือว่าเศร้าหมอง เราอย่าไปติดในธรรมพื้น ๆ ว่าอารมณ์เศร้าหมองคืออารมณ์เศร้าสร้อย ไม่ใช่...ใจเศร้าหมอง มันหมองไปด้วยกิเลส ตัณหา ราคะ อุปาทาน ต่างหาก"

เถรี
29-05-2009, 15:10
ถาม : เห็นคนเดินผ่านมา แล้วถูกสเป็ก คือเห็นว่าเขาหน้าตาดี รู้สึกแค่นั้นแล้วก็จบไป ตรงนี้ถือว่าเป็นราคะหรือเปล่า?
ตอบ : เป็นทั้งนั้นแหละ แต่ขึ้นอยู่กับว่าอารมณ์ราคะนั้นจะจบช้าหรือจบเร็ว แล้วแต่ว่าอารมณ์มันค้างไว้แค่ไหน สมมติว่าถ้าเขาเดินผ่านไปแล้ว แต่เราก็ยังจำว่าเขาหน้าตาดีนะ ชอบนะ เสป็คนะ กลับไปบ้านก็ยังชอบอีก มันก็เพิ่มเติมไปเรื่อย ๆ เพิ่มไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นฝัง(ใจ)ไปเลย

ทีนี้เมื่ออารมณ์นี้เกิดขึ้น มันตั้งอยู่ ก็ให้มันดับไปในวินาทีนั้นเลย ไม่เช่นนั้นมันสวยหมด งามหมด
จริง ๆ มันก็สวยอยู่ งามก็งามอยู่....ไม่เถียง มันงามตามวิสัยของทางโลก แต่ถ้าเราจะเอามรรคเอาผลแล้ว ต้องรีบตัดออก ไม่เช่นนั้นมันจะทำให้ช้า

ถาม : ถ้าตัดว่าสวยแค่ตรงนั้น ก็คือจบเลยใช่ไหมคะ?
ตอบ : มันก็ยังไม่จบ ถ้าไปเจอคนใหม่ต่อ เดี๋ยวก็เอาอีก ชอบอีก" ฮ่า ๆ ตรงนี้หลายคนชอบใจ

ถาม : แล้วคิดอย่างไรให้มันจบ?
ตอบ : เกิดแล้วตายหมด เกิดแล้วเน่าหมด คนสวยก็ตาย คนหล่อก็ตาย ตอนตายก็เน่า ก่อนตายก็เน่าด้วย ก่อนมันจะเน่า มันก็เจ็บไข้ได้ป่วยด้วย ขี้เต็มตัวเต็มตูดด้วย

มีคนนิมนต์หลวงปู่บุดดาไปที่บ้าน บ้านนั้นเขามีลูกชาย ลูกชายเขาก็เปิดทีวีให้หลวงปู่ดู วันนั้นดันไปเปิดดูนางงามจักรวาล เด็กมันบอกหลวงปู่ว่า หลวงปู่ครับ นี่เขาประกวดนางงามจักรวาล ใส่ชุดว่ายน้ำด้วยนะ หลวงปู่ก็นั่งดู หลวงปู่บอกว่าไม่เห็นมันจะมีเลยนางงาม มีแต่นางขี้ ขี้เต็มตูดเลย เด็กก็เลยอึ้ง นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่เด็กสนใจธรรมะ

มันต้องพิจารณาไปบ่อย ๆ ไม่ใช่ไปพิจารณาหนเดียว อย่างที่บอกว่า ยามใดไม่มีราคะก็ต้องพิจารณาอสุภะใส่ไปเลย ไม่ใช่ไปรอให้เกิดก่อน ไปพิจารณาตอนราคะมันมาก ปราบไม่อยู่หรอก จะตัดโกรธ ไปตัดตอนที่เราโมโหมันตัดไม่ได้ ยามที่ไม่โกรธต้องใช้พรหมวิหารเข้าไปเยอะ ๆ พอถึงเวลาแล้วมันเป็นกำแพงไว้ก่อน มันจะกั้้นได้ ไม่เช่นนั้นไม่ทัน

ถาม : แปลว่า นั่งคิดภาพอสุภะบ่อย ๆ เป็นการซ้อมใจใช่ไหมคะ?
ตอบ : ใช่ ๆ เมื่อยามใดที่มีราคะ มันจะไม่หวั่นไหวเลย

เถรี
29-05-2009, 17:56
หลวงพี่เอกพูดถึงเรื่องการจับภาพพระว่า "จับภาพพระพุทธเจ้าต้องให้เป๊ะ นึกปั๊บเห็นปั๊บทันทีเดี๋ยวนั้น และเป๊ะนี่ต้องให้รู้ว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่พระนิพพาน เห็นภาพพระพุทธเจ้าเฉย ๆ ยังใช้ไม่ได้ ต้องรู้ว่าเราอยู่กับพระพุทธเจ้าที่พระนิพพานด้วย ตายเมื่อไรขอไปอยู่กับพระพุทธเจ้าที่พระนิพพานที่เดียว วิธีวัดความชัดเจนในการจับภาพพระ คือภาพพระเต็มอารมณ์ใจ เป็นแก้วใสปิ๊งเลย และมั่นใจในอารมณ์พระนิพพาน อารมณ์ใจมันเต็มอิ่มแน่นอนว่าเป็นพระพุทธเจ้าจริง ๆ อยู่พระนิพพานจริง ๆ มันจะรวมเป็นหนึ่งในอารมณ์เดียวกัน

เหมือนกับตักแกงเขียวหวานมา ๑ ถ้วย บางครั้งไม่สามารถแยกว่าในแกงเขียวหวานมีอะไร ต้องใช้ใจพิจารณาเอาว่า อ๋อ...มีผิวมะกรูด มีพริก มีใบโหระพา การจับภาพพระต้องเป็นอารมณ์เดียวแบบตักปุ๊บกินได้ มันต้องเร็วแบบนั้น เห็นแล้วรู้เลยแกงเขียวหวานไม่ใช่แกงเทโพ"

เถรี
29-05-2009, 18:05
หลวงพี่เอกท่านบอกว่า บางทีเราจะเห็นพระท่านพกวัตถุมงคล ตรงนั้นท่านทำให้เราเห็นว่าท่านศรัทธาในพลังของพุทธานุภาพอย่างเต็มเปี่ยม บางท่่านที่จบกิจเป็นพระอริยเจ้าแล้วท่านก็ยังพก ก็เพราะท่านไม่รู้ว่าตัวเองจะเผลอพลาดเมื่อไร นั่นท่านไม่ประมาท แต่อย่างของพวกเรานี่ มีพระแขวนที่คอยังไปโกรธเขา ไปฆ่าเขาอยู่เลย

มิ่งเมือง
29-05-2009, 20:55
ประโยคนี้หลวงพี่เอกจะนำมาสอนอยู่เสมอ ๆ ครับ

"ถ้าหวังจะพ้นทุกข์ อย่าห่วงสุขในโลกีย์"

เถรี
24-07-2009, 12:34
ในเรื่องของมโนมยิทธิ หลวงพี่เอกท่านบอกเอาไว้ว่า "จำเอาไว้นะ...ถ้าถามตรงถึงพระพุทธเจ้าจริง..พระองค์ท่านทรงไม่ตอบปัญหาปัญญาอ่อนว่าใครเป็นคู่ใคร เป็นผัวเป็นเมียใครหรอก มีแต่ไอ้พวกจิตหลอนหลอกตัวเอง มานะ อุปาทาน ทิฏฐิ อวิชชา เท่านั้นที่มันนึกคิดเอาเอง แล้วอ้างว่าติดต่อกับพระองค์ท่านได้ ทำความเสียหายให้เกิดยังพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯท่าน เป็นการทำลายสำนักใหญ่วัดท่าซุง...."

นพรัตน์ ม.
12-10-2009, 14:25
ท่านสอนไว้ว่า ก่อนจะนอนให้ขึ้นไปกราบพระบนนิพพาน ขอถวายร่างกายนี้ป็นพุทธบูชา และถวายจิตของเราบรรจุไว้ที่อกด้านซ้ายของพระพุทธองค์ท่าน แล้วนอนภาวนาให้หลับไป ตายเมื่อไหร่ขอไปพระนิพพานเมื่อนั้น

ไปให้ถึงฝั่ง
20-03-2010, 06:43
โมทนาสาธุค่ะ ขอความกรุณาท่านที่มีข้อมูลคำสอนของหลวงพี่เอก ช่วยนำมาลงกระทู้อีกนะคะ ตั้งชื่อเรื่องหรือชื่อหัวข้อด้วยจักเป็นพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

สายท่าขนุน
07-02-2012, 21:03
เมื่อวานนี้ไปกราบหลวงพี่ท่าน ซึ่งท่านก็เมตตาญาติโยมตามปกติ
คนค่อนข้างแน่น... มีท่านที่ถามเรื่องการตั้งเสาสร้างบ้านใหม่ จะใช้ฤกษ์หรือทำอย่างไรจึงดี
ยายก็นึกถึงฤกษ์พรหมประสิทธิ์ที่เพิ่งมีคนไปกราบเรียนถามพระอาจารย์ที่บ้านวิริยบารมี
...หลวงพี่ท่านว่า ที่จริงใช้ฤกษ์พรหมประสิทธิ์ก็ได้ แต่หากมีคนมาถาม ท่านก็จะใช้ ๔ ตำรา
เพราะจะได้ไม่ตก "อ่างเลือด" หรือ "ลมหวน"
แล้วหลวงพี่ก็เมตตาท่านนั้น ด้วยประการต่าง ๆ ต่อมา

พักใหญ่ ยายก็กราบเรียนถามว่า ทำอย่างไรจึงกันไม่ให้เผลอยอมให้สิ่งไม่ดีเข้าบ้าน
...ท่านยิ้มแล้วบอกว่า ก็ต้องรู้วิธีปิดสิ... ให้มี "สติ" ให้รู้เท่าทันมัน ใช้ "สติ" ปิด :875328cc:

ตัวเล็ก
08-02-2012, 09:25
ได้มีโอกาสไปกราบหลวงพี่ท่านมาเมื่อวันที่ ๓ ก.พ. ๒๕๕๕ หลวงพี่ท่านเมตตาสอนในเรื่องการพิจารณาว่า

ให้เริ่มจาก ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เหมือนที่ครูบาอาจารย์ท่านได้สั่งสอนมา เนื่องจากท่านยกสิ่งที่หยาบที่สุดมาให้เราพิจารณาแล้ว เนื่องจากตาเนื้อเปล่า ๆ ก็สามารถเห็นถึงความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เสื่อมสลายได้ตลอด หากก้าวหน้าจึงพัฒนาไปพิจารณาตับ ไต ไส้ พุง ภายในต่อไป

ท่านได้เมตตาสอนให้วางกำลังใจให้ดี และให้เน้นหนักด้านพิจารณากันให้มาก ๆ เพราะปัจจุบัน พวกเราเป็นหินทับหญ้ากันเสียมาก (หมายถึงใช้สติ สมาธิ กดกิเลสต่าง ๆ ไว้) หากเราขาดสติเมื่อใด ก็เหมือนยกหินออกจากหญ้า (หญ้า หมายถึง กิเลส) ก็จะงอกงามดังเดิม ยิ่งไปกว่านั้น "นางมารร้าย" ทั้งหลายอาจออกมาวิ่งเล่น กระทบคนอื่นอีกนับไม่ถ้วน (ภาษาวัยรุ่นปัจจุบัน คงคล้ายกับอาการ "เหวี่ยง")

ส่วนอีกเรื่อง ท่านสอนให้วางกำลังใจ ให้ลองคิดว่า...
หากวันหนึ่ง... คนที่เรารักเขามากที่สุด และ เขารักเรามากที่สุด กลับตาลปัตรกลายเป็นเขาเลิกรักเรา ทั้งยังด่าเราอีก เราจะทำใจได้ไหมและอย่างไร...???

ตัวเล็ก
05-04-2012, 16:33
ได้มีโอกาสไปกราบพระคุณหลวงพี่ท่านอีกครั้ง เมื่อวันที่ ๓ เม.ย. ๒๕๕๕ ท่านยิ้มแล้วสอนว่า...

การมีเมตตาและความนอบน้อมติดตัวไว้นั้นดี แต่หากอยู่ทางโลกคงโดนเอารัดเอาเปรียบและโดนรังแก

แต่หากเลือกรักษาสองสิ่งนี้ไว้ ทางธรรมถือว่า ได้เปรียบ เนื่องจากสองสิ่งนี้จะช่วยละสักกายทิฐิของเราได้เร็วขึ้น ทำให้การบรรลุธรรมเป็นไปเร็วยิ่งขึ้นด้วย

ปล. ตัวเล็กได้แปลงข้อความเป็นภาษาเขียนนะคะ

เถรี
09-05-2012, 10:25
พระคุณหลวงพี่เอกท่านกล่าวว่า "ถึงแม้ใจเราตอนนี้จะเศร้าหมองด้วยราคะก็ดี โทสะก็ดี ความอาฆาตพยาบาทก็ดี ถึงจะเศร้าหมองอย่างไร อย่าไปทิ้งคุณพระ

เมื่อเราจับภาพพระพุทธเจ้าก็ให้รู้ว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็อยู่ในนั้น เพราะถ้าหลวงพ่อเราไม่สอนเรา เราจะรู้หรือว่า การนึกถึงภาพพระพุทธเจ้าเป็นพระธรรมคำสั่งสอนจากองค์หลวงพ่อ ก็พระรัตนตรัยทั้งนั้น ได้อุปมานุสติด้วย สีลา(ศีล)ก็อยู่ตรงนั้น ถึงแม้ภาพพระไม่ชัดเจนแจ่มใส อย่างน้อยก็ได้เกี่ยวก้อยอยู่บ้างแหละ"

เถรี
09-05-2012, 10:30
หลวงพี่เอกกล่าวว่า "ทรงพรหมวิหารไม่ใช่ไปนั่งท่อง ถ้าเอาตามตำรา ตื่นมาตอนเช้า ก่อนสวดมนต์ให้ทรงกำลังใจเต็มกำลังว่า วันนี้เราจะเป็นมิตรกับทุกคนและสัตว์ทั้งหลายให้เสมอเหมือนกับตัวเรา ต้องเข้าใจในคำ ๆ นี้

หมาก็หิวเป็น เราก็หิวเป็นเหมือนหมา หมาอยากกินน้ำ เราก็อยากกินน้ำเหมือนหมา เขาก็คือเรา เราก็คือเขา จิตใจเดียวกัน เป็นอารมณ์คนทั้งหมด สัตว์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นนิโกร ฝรั่ง เกาหลี

ตัวนี้คือ ตัวเมตตาความรัก กรุณาคือมีความสงสาร มุทิตาคือเราจะยินดี จะไม่อิจฉาริษยาใคร ใครทำดีเราขออนุโมทนาด้วยทั้งหมด อุเบกขา วางเฉยเมื่อกฎแห่งกรรมเข้าถึง แต่ว่าเฉยต้องเฉยในเมตตา ไม่อย่างนั้นพาตกเหวได้"

เถรี
09-05-2012, 10:35
พระอาจารย์กล่าวว่า "ซ้อมอารมณ์เวลากระทบ อย่าเพิ่งไปเรียกอารมณ์มันมา ซ้อมกำลังใจให้แน่นเสียก่อน แล้วจึงเรียกมันมา ถ้าไม่แน่นเราเจ็บ วันนี้ฉันจะต่อสู้กับอารมณ์โกรธ จะบ้าทั้งวันเลย ซ้อมรบให้มันเต็มที่

สันตติของอกุศลมันสืบเนื่องกันเร็วไวมาก ต้องซ้อมอารมณ์ตอนเช้า วันนี้เราอาจจะกระทบโกรธกับใครบ้าง ถ้าวันนี้เราจะเจอกับอารมณ์ราคะ ขอบารมีสมเด็จพ่อเสด็จมาช่วยประทับยับยั้ง เมตตาประทับบนหัวลูกตลอดทั้งวัน เป็นมิ่งขวัญให้แก่ลูกหน่อยเถิด ขอบารมีคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การจะพูดจะทำ ขอให้เป็นไปด้วยพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ ลูกต้องการจะไปพระนิพพานชาตินี้ ตายไปเมื่อไร ขอไปพระนิพพานที่เดียวกับพ่อที่เดียว

จิตก็จับภาพไว้ เพราะเรามีความมั่นใจว่าพระอยู่กับเรา หลวงปู่หลวงพ่ออยู่กับเรา จับรวมเป็นภาพเดียวคือภาพพระพุทธเจ้า แล้วก็เลื่อนมาอยู่ในอก"

เถรี
09-05-2012, 10:37
ท่านใดที่มีข้อธรรมจากพระคุณหลวงพี่เอก สามารถนำมาลงได้ที่กระทู้นี้เพื่อเป็นธรรมทานแก่สมาชิกในเว็บ อีกประการทางผู้ดูแลเฟซบุ๊ควัดเขาแร่ จะได้นำไปเผยแพร่ต่อด้วยค่ะ :4672615:

มิ่งเมือง
16-05-2012, 10:12
หลวงพี่เอกกล่าวว่า "เหตุที่เกิดทุกข์ก็คือความอยาก อยากมีร่างกายสวยกว่านี้ อยากมีร่างกายงามกว่านี้ อยากรวยกว่านี้ อยากในกามคุณทั้งหลายทั้งปวง อยากไปหมด อยากอีกอย่างหนึ่งที่ตามมาคือ อยากให้ไม่เป็นอย่างนั้น อยากให้ไม่เป็นอย่างนี้ อยากให้ความสวยไม่แปรเปลี่ยนไปจากเดิม อยากให้ความแก่ไม่เข้ามาหาเรา อยากให้เราไม่เจ็บไม่ไข้ อยากให้เราไม่จน บางครั้ง บางคราววิบากมันเข้ามาชน มันก็หนีไม่ได้ ก็ต้องยอมรับ การยอมรับได้ก็เป็นการวางลงไป อย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่ง เป็นการรับรู้แล้วก็วาง"

มิ่งเมือง
16-05-2012, 10:13
หลวงพี่เอกกล่าวว่า "การติเตียนเพ่งโทษบุคคลอื่น เป็นปัจจัยให้เกิดความเร่าร้อนในใจของตน เสมือนการจุดไฟลนเนื้อหนังของตนเองให้เกิดความปวดแสบปวดร้อน แลนำมาซึ่งความพุพองไหม้เกรียม จักหาประโยชน์อันใดได้จากการกระทำเยี่ยงนี้ จงรู้จักสำรวมระวัง เพราะยามใดที่เราส่งใจออกนอกแล้วมิได้ใช้สติกำกับอารมณ์แห่งจิตของตนนั้น ก็ย่อมที่จักเกิดทุกข์ โทษ เวร ภัย ตามมาในภายหลัง จงหมั่นพิจารณาปล่อยวางในสรรพสิ่ง ให้รู้เท่าทันอารมณ์ใจของตน ใช้อารมณ์สักแต่ว่ามันเป็นของมันอย่างนั้น สิ่งนั้น ๆ มิได้เกี่ยวอันใดกับเรา เรามิได้เกี่ยวข้องกับผู้ใด สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น ทำเยี่ยงนี้แหละ ค่อย ๆ ปฏิบัติไป อาจจะยากสักหน่อยสำหรับผู้ที่มีอารมณ์ชินกับอกุศลเก่า ๆ แต่หากเราทั้งหลายตั้งใจปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ในชาตินี้ ก็ต้องตั้งสัจจะปฏิบัติกันได้แล้ว อย่าช้า..ด้วยความตายมิได้บอกเพลากาลแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย"