PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๙


เถรี
30-09-2016, 21:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "แจ้งให้ญาติโยมที่ร่วมสร้างพระพุทธรูปทองคำทราบ ไม่ว่าจะเป็นท่านที่จะถวายเงินสด ทองรูปพรรณ หรือทองคำแท่งมาก็ตาม พระพุทธรูปทองคำของเราช่างออกแบบมาหน้าตัก ๒๑ นิ้ว ใหญ่กว่าเดิม ๕ นิ้ว เพิ่มทองขึ้นอีก ๔๐ กิโลกรัมเท่านั้น...! หน่อยเดียว...ต้องการทองคำอีกสองพันกว่าบาทเอง

ยังโชคดีที่ช่างทำบุษบกได้ทำดาวเพดานรูปบัวบานยื่นลงมาเกือบคืบ ไม่อย่างนั้นแล้วหน้าตักพระจะใหญ่กว่านั้นอีก เพราะว่ามีพื้นที่ให้ไปได้ ...(หัวเราะ)...

ท่านที่ตั้งใจสร้างพระพุทธรูปทองคำ หน้าตัก ๑๖ นิ้ว โปรดทราบว่าได้กำไรเพิ่มขึ้นมาก เพราะองค์พระจากหน้าตัก ๑๖ นิ้ว กลายเป็นหน้าตัก ๒๑ นิ้ว ช่างแนะนำว่าให้สร้างเครื่องทรงติดองค์พระแล้วหล่อทีเดียวไปเลย จากที่อาตมาตั้งใจว่าจะหล่อองค์พระก่อน แล้วสร้างเครื่องทรงถวายทีหลัง แต่ถ้าช่างเป็นคนละคนกัน บางทีการออกแบบไปกันไม่ได้ก็จะดูหลอกตากัน

แต่ถ้าเพิ่มเครื่องทรงขึ้นมาก็อาจจะต้องเพิ่มทองขึ้นมาอีก ยังมีเวลาอยู่ ๒ ปี เดี๋ยวค่อย ๆ หาไป ถ้าทองคำแพงค่อยซื้อเอา แต่ถ้าถูก ๆ อาตมาจะรอโยมถวาย..!"

เถรี
30-09-2016, 21:26
"จากที่อาตมาตั้งใจจะหล่อพระสามกษัตริย์ ก็คือ เงิน นาก และทองคำ โดยตั้งใจจะหล่อหลวงพ่อนากก่อน มีผู้รู้ท่านแนะนำให้หล่อหลวงพ่อเงินก่อน จากเงินไปนาก จากนากไปทองคำ ถือเคล็ดว่ามีแต่เจริญขึ้นไปเรื่อย ๆ เอาอานิสงส์ให้พวกเรารวยขึ้นไปเรื่อย ๆ

องค์เนื้อเงินจะหล่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๖๐ จะเป็นวันศุกร์ขึ้น ๙ ค่ำ จะหล่อที่ "บ้านเติมบุญ" ซึ่งอาตมาไปรับสังฆทานและสอนกรรมฐานแห่งใหม่ ผู้ติดต่อบอกว่าอยู่แถวสถานีรถไฟฟ้าบางรักใหญ่ เป็นบ้านหลังไม่ใหญ่หรอก บ้านทั้งหลังใส่มาในห้องโถงของบ้านวิริยบารมีนี้แล้ว ก็ยังใส่ได้อีกครึ่งหลัง ...(หัวเราะ)... ต่อไปคงต้องแบ่งโซนขายตั๋ว ใครอยากนั่งใกล้ ๆ ต้องซื้อตั๋วแพงหน่อย ลักษณะคล้าย ๆ กับสมัยอยู่บ้านอนุสาวรีย์ฯ ที่แคบพวกเราก็ไม่นั่งแช่กัน พอมีที่กว้าง ๆ ก็นั่งแช่กันได้ทั้งวัน

ถ้าเซ็นสัญญา ตั้งแต่ตุลาคม-พฤศจิกายน-ธันวาคม ๒๕๕๙ ช่วงสามเดือนนี้เป็นช่วงที่เขาปรับปรุงบ้านใหม่ ย้ายข้าวของบางส่วนจากที่นี่ไป ส่วนที่เหลือของบ้านหลังนี้ก็รอหลวงพ่อรูปใหม่ท่านมาดูแลแทน"

เถรี
30-09-2016, 22:18
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมทำใจรับน้ำท่วมเอาไว้หรือยัง ? อาตมาเจอประสบการณ์โหดเรื่องน้ำท่วมปี ๒๕๒๖ ปีนั้นน้ำท่วมที่บ้าน ๘ เดือน ตอนนั้นอาตมาอยู่ที่ซอยอ่อนนุช ๖๖ ชื่อเดิมคือ ซอยโมราวรรณ ๒ ตอนนั้นถนนศรีนครินทร์เพิ่งตัดใหม่ ยังไม่ได้ราดคอนกรีต ยังเป็นถนนลูกรังอยู่ กทม.จัดแจงกั้นกระสอบทรายตรงนั้น ห่างจากบ้านอาตมาแค่ป้ายรถเมล์เดียว แล้วก็สูบน้ำจากข้างในเทออกมา น้ำที่บ้านของอาตมาน่าจะสูงเกือบถึงเอว

ช่วงนั้นทำงานอะไรไม่ได้เลย จึงต่อเรือแล้วรับคนในซอยไปส่งข้างนอก คนละ ๑๐ บาท ใครไม่อยากเปียกก็ขึ้นเรือไป รถที่วิ่งอยู่ก็มีแต่รถ GMC ของทหารและรถเมล์ เพราะคันใหญ่สูงพ้นระดับน้ำ น้ำท่วมอยู่อย่างนั้น ๘ เดือน

ตอนแรกอาตมาก็พยายามกั้นบ้านด้วยอิฐบล็อก อิฐบล็อกขึ้นราคาจากก้อนละ ๖ สลึง เป็น ๑๐ สลึง เป็น ๒ บาท เป็น ๓ บาท เป็น ๔ บาท เป็น ๖ บาท เป็น ๘ บาท พอถึง ๑๐ บาทก็เลิกซื้อ เพราะเห็นว่าซื้อไปก็ไม่มีประโยชน์ กั้นอย่างไรน้ำก็สูงกว่าอยู่ดี แต่ที่ก่อไปแล้วก็แล้วไป พอน้ำลดบ้านเลยกลายเป็นบ่อปลา ปลาที่มากับน้ำ เข้ามาในบ้านแล้วออกไม่ได้ ต้องเสียเวลาช้อนไปปล่อยอีก ไม่รู้ว่ากี่ร้อยพันตัว

ช่วงนั้นอาตมายังคงไปช่วยงานหลวงพ่อวัดท่าซุงที่บ้านสายลมตามปกติ จำได้ว่าวันนั้นส่งท่านที่บ้านบางโพของคุณฉวีวรรณ สรรพกิจ ตอนนั้นน้ำกำลังเริ่มปริ่ม ๆ บันไดขั้นสุดท้ายของบ้านคุณฉวีวรรณแล้ว อาตมาก็ตั้งใจว่าจะกลับบ้าน แต่น้ำท่วมไม่มีรถวิ่ง จึงต้องเดินจากบางโพ ออกมาทางประดิพัทธ์ สะพานควาย มาอนุสาวรีย์ชัยฯ ออกไปประตูน้ำ เลาะยาวไปตามถนนสุขุมวิท พอถึงตลาดพระโขนง น้ำถึงหน้าอกแล้ว เห็นรถกับเรือชนกันก็ตรงนั้นแหละ เพราะว่าพอรถใหญ่วิ่งแล้วเรือบังคับตัวเองไม่ได้ โดนคลื่นจากรถกวาดไปชนกับรถคันอื่น"

เถรี
30-09-2016, 22:25
"อาตมาจึงต้องเดินจากพระโขนงย้อนกลับมาที่บ้านสายลม ซึ่งชั้นล่างท่วมแล้ว ต้องขึ้นไปนอนบนห้องฝึกมโนมยิทธิชั้นสอง หมายถึงบ้านหลังเก่านะ พวกเราถ้าไม่เคยเจอบ้านหลังเก่า ไปเจอตึกใหม่อย่างเดียวจะนึกไม่ออกว่าน้ำท่วมอย่างไร

ช่วงที่เดินจากประดิพัทธ์มาสะพานควาย เป็นช่วงตึกแถวยาว ๆ อาตมากำลังเลาะข้างตึกอยู่ รถ GMC ทหารก็วิ่งพรวดพราดมา คลื่นสูงท่วมหัวเลย ไม่รู้ว่าจะหลบไปทางไหน พิงติดผนังตึกให้คลื่นโถมตูมเดียวมิดหัว..! เปียกโชกไปทั้งตัวเลย เป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมมาก

ตลอดช่วง ๘ เดือนนั้น จะไปไหนมาไหนถ้าไม่อาศัยเรือก็ต้องอาศัยรถ GMC ของทหาร มีอยู่วันหนึ่งจะไปธุระแถวหน้ารามคำแหง เขาก็บอกว่าน้ำลึกมากอย่าไปเลย อาตมาก็คิดว่า ลึกแค่ไหนก็ไปได้ เดินไม่ได้ก็ว่ายน้ำไป พอลงจากรถเมล์น้ำแค่เข่าเอง ใครบอกว่าลึกมากวะ ? ก็เดินตรงไปเรื่อย ๆ ได้ประมาณ ๕๐ เมตร ตูมเดียวมิดหัวเลย...!

ตอนที่ลงจากรถเมล์อาตมาไปยืนอยู่บนคันกระสอบทรายโดยไม่รู้ตัว ก็เลยคิดว่าน้ำลึกแค่เข่า ตอนเดินก็เดินตรงแนวกระสอบทรายไปเรื่อย จึงคิดว่าน้ำตื้นแค่นี้เอง พอพ้นแนวกระสอบทราย ตูมเดียวมิดหัวเลย ฉะนั้น...น้ำท่วมปี ๒๕๕๔ ที่ผ่านมาถือว่าเล็กน้อยเท่านั้น

ความจริงปี ๒๕๕๔ น้ำไม่ควรที่จะท่วมเลย แต่ระบบการจัดการของเราผิด ถ้าปล่อยให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ สักตูมเดียว เฉลี่ยไปทั่วกันก็สูงสักศอกเดียวเท่านั้น แล้วก็จะไหลลงทะเลไปเอง ทีนี้เราไปกั้นทางทำให้น้ำลงทะเลไม่ได้ มีแต่คลองเล็กที่ระบายออก น้ำก็อั้นอยู่นาน จากที่ท่วมน้อยก็กลายเป็นท่วมมาก จากท่วมมากจึงกลายเป็นท่วมนาน"

เถรี
30-09-2016, 22:33
"นอกจากนี้ที่ปี ๒๕๕๔ น้ำท่วมมากเพราะว่าเขื่อนต่าง ๆ กักน้ำไว้มากจนเอาไม่อยู่แล้ว ก็ปล่อยระบายลงมาพร้อม ๆ กัน แต่พอมาปีนี้ จนป่านนี้ทั้ง ๆ ที่ฝนกระหน่ำแล้วกระหน่ำอีก เขื่อนภูมิพลก็ยังมีน้ำไม่ถึง ๓๐ เปอร์เซ็นต์ เหตุเพราะว่าปี ๒๕๕๔ เทน้ำออกเกือบหมด ปีนี้ฝนมามากก็รีบระบายทิ้งอีก ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ศึกษาหรืออย่างไร ?

เขื่อนภูมิพลถึงแม้จะกั้นแม่น้ำปิงอยู่ก็จริง แต่เขื่อนภูมิพลอยู่ใต้เงาฝน เวลามรสุมมาจะปะทะเทือกเขาถนนธงชัยแล้วเหินข้ามหัวไป เลยไปไกลถึงจะตกลงมาเป็นฝน ก็แปลว่าไปตกทางภาคเหนือค่อนไปทางอีสานแทน ส่วนมรสุมที่เข้าทางอีสานก็มาไม่ถึง เขื่อนภูมิพลถึงต้องใช้เวลากักเก็บน้ำนานหลายปีกว่าจะเต็ม แต่เราไปเททิ้งจนเกลี้ยงเลย ถึงฝนตกขนาดไหนแต่น้ำไม่ค่อยเข้าเขื่อน จึงเพิ่งจะได้น้ำเท่าที่เห็น

ฉะนั้น...เรื่องบางอย่างถ้าเราไม่ได้ศึกษาให้รอบคอบ การบริหารจัดการผิด น้ำท่วมชาวบ้านแทบทั่วประเทศ แต่เขื่อนไม่มีน้ำ...! เป็นเรื่องที่น่าอนาถใจมาก"

เถรี
30-09-2016, 22:39
พระอาจารย์กล่าวว่า "วัดท่าขนุนปัจจุบันนี้อากาศตอนกลางคืนประมาณ ๒๓ องศาเซลเซียส เครื่องปรับอากาศที่คุณเปิดตอนนี้ยังเย็นไม่เท่าเลย ทั้งที่เป็นหน้าฝนแต่กลางวันนี่แดดเปรี้ยงเลย ส่วนตอนกลางคืนหนาว เช้ามืดพระออกบิณฑบาตฝนก็ตก ทดสอบกำลังใจกันดีจริง ๆ...!

พระที่ไปบวชอยู่วัดท่าขนุน ถ้าไม่ได้ตั้งใจเพื่อปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจริง ๆ อยู่ไม่ได้หรอก เพราะว่าเจ้าอาวาสบ้า...! ฝนตกแดดออกก็บิณฑบาต ไม่มีการหยุด บางทีฝนกระหน่ำทั้งคืนยาวไปจนกระทั่งพระบิณฑบาตเสร็จ ก็แปลว่าเปียกตั้งแต่เริ่มออกจากวัดยันขากลับ เปียกจนไม่มีอะไรเหลือให้เปียกอีกแล้ว

แต่ก็ดีอยู่อย่างหนึ่งว่า...ไม่ค่อยจะเจ็บไข้ได้ป่วยกัน เพราะว่าเดินบิณฑบาตไกล ระยะทาง ๒ กิโลเมตรกว่า ๆ ไปกลับก็ราว ๆ ๕ กิโลเมตร เท่ากับออกกำลังกายอยู่ทุกวัน จึงแข็งแรง ใครอยากลดความอ้วนให้ไปบวชสัก ๓ พรรษานะ"

เถรี
30-09-2016, 23:00
ถาม : ทำฝักใส่มีดหมอจะดีไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าทำฝักก็ต้องหมั่นเช็ดไว้บ่อย ๆ เพราะว่าสนิมจะขึ้นง่าย จำเอาไว้ว่า ถ้ามีดมีฝักต้องชักเอามาเช็ดบ่อย ๆ เพราะมีฝักแล้วอมความชื้น จะพาเอาสนิมมาง่าย

เถรี
30-09-2016, 23:23
พระอาจารย์กล่าวถึงมีดหมอว่า "อาตมามีมีดหมอหลวงพ่อกวยให้เขารู้ว่าของเราเป็นของแท้ เพราะว่าถ้าปลอม จะปลอมไม่ได้มากขนาดนี้หรอก อาตมาคัดส่วนหนึ่งไปไว้ในพิพิธภัณฑ์แล้ว จะเป็นรุ่นหลัง ๆ ที่คนส่วนใหญ่รู้จัก

อธิบายให้ป้าจี๋ฟังไปเมื่อเช้านี้ว่า ที่เซียนเขาตีว่าเล่มนี้เป็นของหลวงพ่อเดิม ถ้าไม่ได้แกล้งโง่ ก็แสดงว่าเขาไม่รู้จักจริง ๆ ก็คือ หลวงพ่อกวยใช้คาถาและลายนาคเกี้ยวเหมือนหลวงพ่อเดิม แต่ของหลวงพ่อกวยท่านส่วนใหญ่จะไม่ใส่ "อุ" ที่ปากนาค และตัวคาถาพระเจ้า ๑๖ พระองค์ จะมี นะมะนะอะ นอกอนะกะ กอออนออะ นะมะกะอัง กอออของท่านจะตีเป็นออกอ ท่านตีสลับกันตัวเดียว ฉะนั้น...ถ้าเราอ่านไม่ออกก็เสร็จหมด เซียนเห็นมีดหมอหลวงพ่อกวยรุ่นเก่าแบบนี้ก็ตีเป็นของหลวงพ่อเดิมหมด"

ถาม : ตีสลับกันอย่างนั้น พุทธคุณจะมีความแตกต่างไหมคะ ?
ตอบ : ไม่มี...ท่านแค่ต้องการให้ต่างจากของครูบาอาจารย์ จะได้แยกถูก มีดหมอหลวงพ่อเดิม มีดหมอหลวงพ่อรุ่ง มีดหมอหลวงพ่อกวย ใช้แทนกันได้หมด เพราะมาจากครูบาอาจารย์เดียวกัน

ถาม : โฉลกมีดเกี่ยวกันไหมคะ ?
ตอบ : อาวุธมงคลไม่เกี่ยวกับโฉลกมีดแล้ว ยิ่งเป็นอาตมายิ่งไม่เกี่ยวใหญ่เลยว่าจะสั้นจะยาวขนาดไหนก็ลงดีได้หมด เคยวัดให้คุณติ๊กดู คุณติ๊กบอกว่า "ขาดไปหน่อยหนึ่งครับ" อาตมาบอกว่า "ไม่ขาดหรอก ดึงออกหน่อยก็ใช้ได้แล้ว" จากนั้นก็ดึงให้ดู ถ้ายาวไปหน่อยก็ดันให้หดลงมาพอดี ...(หัวเราะ)...

เถรี
02-10-2016, 21:28
พระอาจารย์กล่าวว่า "แจ้งให้ญาติโยมทั้งหลายทราบทั่วกัน โดยเฉพาะกองทุนลูกพระราชพรหมยาน ที่ร่วมสร้างพระพุทธรูปทองคำหน้าตัก ๑๖ นิ้วกับอาตมา ช่างเพิ่งจะไปสำรวจพื้นที่และร่างแบบคร่าว ๆ มา จึงแจ้งข่าวดีให้ทราบว่าหน้าตักพระพระพุทธรูปทองคำ จาก ๑๖ นิ้วกลายเป็น ๒๑ นิ้ว ต้องเพิ่มทองคำอีก ๔๐ กิโลกรัม..!

เพิ่งจะมีผู้ตั้งใจถวายทองคำในงานกฐินวัดท่าขนุนปีนี้ เขาปวารณาไว้ว่าขาดร้อยกิโลกรัมเท่าไร เขาจะถวายให้เต็มพอดีซึ่งยังขาดอยู่ ๒๔๐ กว่าบาท พอดีช่างเพิ่งจะไปร่างแบบเมื่อวานซืนนี้ อาตมาเองก็ปีนขึ้นมณฑปไปดูด้วย ช่างเอาโฟมขึ้นไปเกลาข้างบน ร่างให้ขนาดพอดี ได้หน้าตัก ๒๑ นิ้วมาแทน จากที่ตั้งใจไว้ ๑๖ นิ้ว สรุปก็คือฐานใหญ่ขึ้น ถ้าหากขยายขึ้นมา ๕ นิ้วตลอดทั้งองค์ น้ำหนักก็เพิ่มขึ้นมาอีกประมาณ ๔๐ กิโลกรัม

เครื่องทรงของพระพุทธรูปทองคำ ท่านอาจารย์สุชาติแนะนำว่า ให้ปั้นเป็นเครื่องทรงติดกับองค์พระ แล้วหล่อทีเดียวไปเลย ท่านบอกว่าถ้าใช้ช่างหลายฝีมือแล้วจะหลอกตากัน หลอกตานี่คือ สายตาช่างมองดูออกว่าคนละฝีมือ เข้ากันไม่ได้

เวลาทำส่วนใหญ่ก็ปั้นหุ่นดินก่อน พอเกลาได้ขนาดแล้วก็ปั้นหุ่นขี้ผึ้ง หลังจากปั้นหุ่นขี้ผึ้งดูเป็นที่พอใจแล้วจะพอกหุ่น แล้วสุมไฟสำรอกขี้ผึ้งออก องค์แรกที่จะหล่ออาตมาตั้งใจว่าเป็นเนื้อนาก มีผู้รู้ท่านบอกว่าให้หล่อองค์เงินก่อน เงิน นาก ทอง จะได้ก้าวสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ องค์แรกจะหล่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๖๐ หล่อฉลองที่บ้านใหม่เลย"

เถรี
02-10-2016, 21:48
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยอาตมาออกจากวัดท่าซุงใหม่ ๆ เมื่อ ๒๔ ปีที่แล้ว ตอนนั้นยังไม่มีซีดี มีแต่เทป อาตมาเอาเทปไป ๑๒๐ ม้วน ฟังจนยืดหมดทุกม้วน ยืดแล้วแช่ตู้เย็นให้กลับคืนดี ฟังใหม่จนยืดอีก ๓ รอบ แช่แล้วแช่อีกจนไม่คืนสภาพแล้ว

ตอนแรก ๆ พระท่านก็สงสัย เพราะช่วงเช้าที่วัดท่าขนุน พวกเราจะฟังเสียงตามสายและเจริญกรรมฐานไปด้วย ทำไมพระอาจารย์รู้ว่าจะจบตอนไหน ? เตรียมตัวคุกเข่ารอกราบพระได้ทันที ก็เพราะว่าฟังจนจำได้ทุกม้วนแล้ว"

เถรี
02-10-2016, 22:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "การย้ายไปรับสังฆทานและสอนกรรมฐานที่บ้านใหม่ จะมีทั้งคนที่สะดวกขึ้นและคนที่ลำบากขึ้น ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ แต่ถึงญาติโยมจะลำบากแค่ไหน อาตมาเชื่อว่าทั้งพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลรวมกัน อย่างไรก็ไกลไม่ถึง ๑๔๐ กิโลเมตร ลองนึกถึงอาตมาลงจากทองผาภูมิมาถึงเมืองกาญจน์ฯ ก็ ๑๔๐ กิโลเมตรแล้ว เพราะฉะนั้น...ถึงญาติโยมลำบากอย่างไรก็คงจะไม่เกินไปกว่าอาตมาหรอก ทน ๆ ไปหน่อยเดี๋ยวก็ชินไปเอง ใหม่ ๆ ก็เป็นอย่างนี้กันทุกคน

อีกอย่างหนึ่ง การย้ายบ้านใหม่เป็นการวัดกำลังใจของพวกเราได้อย่างชัดเจนที่สุด ส่วนหนึ่งพอได้ยินว่าย้ายบ้านใหม่ก็โวยวายไว้ก่อน เหมือนอย่างกับว่ารักอาตมาเสียเต็มประดา แต่ความจริงรักตัวเองชัด ๆ...!

เราลองมานึกดูว่า แค่ย้ายบ้านใหม่เท่านั้น เราเกิดปฏิกิริยากันขนาดนี้ ถ้าอาตมาล้มหายตายจากไปจะเกิดปฏิกิริยาขนาดไหน ? ก็แปลว่าเรายังไม่สามารถเป็นที่พึ่งของตัวเองได้ ยังไม่ได้ยึด พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งอย่างแท้จริง หากแต่เรายังยึดตัวบุคคลซึ่งสามารถล้มหายตายจากลงไปได้ทุกเวลา ก็แปลว่ายึดผิด ให้เปลี่ยนกำลังใจเสียใหม่ ไม่อย่างนั้นแล้วความก้าวหน้าในการปฏิบัติจะไม่มี

ให้ยึดคุณพระรัตนตรัย ไม่ใช่ยึดตัวบุคคล ถ้าเราปฏิบัติไปจนกระทั่งมีความมั่นคงในพระรัตนตรัยแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเราจะเหมือน ๆ กันหมด ไม่มีอะไรยาก ไม่มีอะไรลำบาก สิ่งที่เราทำก็เพราะเราเคารพในพระรัตนตรัย เรารักษาศีลเพราะเราเคารพในพระรัตนตรัย เราปฏิบัติสมาธิเพราะเราเคารพในพระรัตนตรัย เรารู้ตัวว่าว่าเราตายเมื่อไร เราจะไปพระนิพพานเพราะว่าเราเคารพในพระรัตนตรัย ไม่ใช่เคารพเลื่อมใสเฉพาะในตัวบุคคล

การย้ายบ้านอาจจะมีส่วนช่วยพวกเราได้บ้าง ถ้ามีปัญญาเพียงพอ แต่ถ้าปัญญาไม่พอ มัวแต่ไปคร่ำครวญอยู่ก็ตัวใครตัวมัน อาตมาไม่ค่อยรอใครหรอก..!"

เถรี
02-10-2016, 22:43
ถาม : ชีวิตผมเวลาจะทำอะไรมักมีอุปสรรคให้ต้องใช้กำลังใจเอาชีวิตเข้าแลกอยู่เสมอ จนก่อนหน้านี้ผมเป็นคนที่มีนิสัยระห่ำเกินคนปกติทั่วไป ไม่สนใจว่าโลกเขาจะมองว่าอย่างไร ทำอะไรในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่กล้าทำกัน จนผมกลายเป็นคนบ้าในสายตาคนอื่น ๆ จนมาถึงจุดหนึ่งผมมาพิจารณาตัวเองว่า สิ่งที่ผมประพฤติเช่นนี้ทวนกระแสโลกมากเกินไป และผมแยกไม่ออกว่าเป็นเพราะกำลังใจผมเข้มแข็ง หรือเป็นเพราะอำนาจโทสะพาไป ดีไม่ดีจะพาตัวเองลงนรกไป และการประพฤติตัวแบบนี้ทำให้อยู่ยาก เพราะไม่มีใครคบด้วย จะทำงานใหญ่ลำบาก ผมจึงถอยกำลังใจลงมา และพยายามทำตัวให้ใกล้เคียงคนทั่วไปให้มากที่สุด

แต่กำลังใจก็คอยตีกลับอยู่เรื่อย ๆ ล่าสุดมีความรู้สึกขึ้นมาอย่างเข้มข้นว่า ผมตัวคนเดียวจะกลับมาเกิดใหม่ เพื่อล้างผลาญพวกฝ่ายตรงข้ามพระศาสนาให้สิ้น ถึงแม้ว่าผมจะต้องลงนรกเพื่อลากพวกเขาลงนรกไปด้วย เพื่อพระพุทธเจ้าที่เสียสละเพื่อคนอื่น เพื่อพระศาสนาจะคงอยู่ เพื่อพุทธศาสนิกชนทั้งหลายที่เป็นสัมมาทิฐิ ก็คุ้มที่จะยอมแลก และความรู้สึกของผมไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าให้ได้ คิดแต่ว่าจะสงเคราะห์สรรพสัตว์ไปเรื่อย ๆ จะไปเข้าพระนิพพานเมื่อไรก็ช่าง ซึ่งค้านกับความเป็นสัมมาทิฐิ

ผมลดกำลังใจลงและพยายามหาจุดที่พอดีอยู่ครับ ล่าสุดมานี้พระคุณหลวงพ่อได้เตือนผมว่ากำลังใจของผมห่วยแตก ผมค้นหามาเป็นปีแล้วแต่ก็หาความพอดีไม่ได้ ไม่อ่อนไปก็ล้นเกินไป เวลานี้ที่ผมคิดไว้คือทำตัวตามปกติแบบมนุษย์คนอื่น ๆ แต่ทุ่มเทกำลังใจเวลาปฏิบัติ เหมือนที่เคยบ้าระห่ำเหมือนก่อน ในแต่ละวันทำตามแต่เวลาจะเอื้ออำนวย ซึ่งค่อนข้างสวนทางกันอยู่ แต่ผมจะทำไปเรื่อย ๆ ถ้าไปตรงจุดที่สมดุล ก็จะไปของมันเอง อย่างนี้จะดีไหมครับ ?

ตอบ : ทำแล้วถามว่าดีไหม ? เหมือนกินแล้วถามคนอื่นว่าอิ่มไหม ? เอาอย่างนี้..บ้าจริงหรือเปล่า ? เห็นบอกว่ากล้าทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าทำ แก้ผ้าเดินตรงนี้ก็พอ...! ถ้าทำได้จริง ๆ ถึงจะเชื่อ แล้วจะทะลึ่งไปเกิดใหม่เพื่อล้างผลาญฝ่ายตรงข้ามพระพุทธศาสนาทำไม ? ทำชาตินี้เลยก็หมดเรื่อง แสดงว่ายังไม่บ้าจริง

การปฏิบัติธรรมของทุกคน ช่วงแรก ๆ เหมือนกับลูกบาศก์สี่เหลี่ยมด้านเท่า หล่นลงไปตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น ไม่สนใจว่าจะทับอะไรแหลกเละไปหรือเปล่า แต่พอนานไป สติ สมาธิ ปัญญา มีมากขึ้น ก็จะค่อย ๆ ขัดเกลาตัวเอง เหลี่ยมมุมจะค่อย ๆ ลดลงไป ท้ายสุดก็กลิ้งเป็นลูกบิลเลียดแช่น้ำมันไปเอง เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องกังวล เกิดอีกหลายชาติหน่อย เดี๋ยวก็ดีไปเอง..!

เถรี
03-10-2016, 09:03
ถาม : เมื่อเช้าตรู่ของวันหนึ่งผมตื่นขึ้นมาปฏิบัตินั่งสมาธิเป็นเวลา ๓๐ นาที จึงลุกขึ้นออกจากสมาธิเพราะมีอาการเหน็บชา และมีอาการปวดท้องเข้าห้องน้ำ ขณะที่เข้าห้องน้ำก็ทำจิตภาวนา น้อมนำคำสอนของท่านธมฺมวิตกฺโก แห่งวัดเทพศิรินทราวาส ที่ว่า "ร่างกายเป็นรังของโรค" ก้มมองดูสิ่งปฏิกูลที่ขับถ่ายออกมา จิตยังมีความตั้งมั่นอยู่ในสมาธิพอสมควร แต่ไม่ได้รู้สึกรังเกียจกองปฏิกูลแต่อย่างใด เห็นร่างกายไม่ใช่เรา เห็นแขนแต่ไม่ใช่เรา เห็นขาแต่ไม่ใช่เรา เห็นสิ่งปฏิกูล (อุจจาระ, ปัสสวะ) ไม่ใช่ของเรา มีความรู้สึกตัวอยู่

เมื่อเสร็จกิจในห้องน้ำ จึงออกมาเดินจงกรมต่อ เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง เห็นความเจ็บเกิดขึ้นที่นิ้วโป้งเท้า ความเจ็บนี้เป็นเพียงกอง เป็นส่วนของมัน จิตใจไม่เป็นทุกข์ กระสับกระส่ายกับความเจ็บนี้เลย เห็นมันตั้งอยู่ รู้อยู่ที่ความเจ็บอยู่สักระยะ แล้วผมก็กล่าวเป็นภาษาบาลีโดยทันที อย่างมิได้เจตนาว่า "สัพเพ สังขารา อนิจจา สัพเพ สังขารา ทุกขา สัพเพ สังขารา อนัตตา"

เมื่อพูดจบก็เกิดความปีติขึ้นมา เมื่อความปีติปรากฏขึ้นมาประมาณ ๓ ถึง ๕ วินาที ก็เห็นว่าปีตินั้นเอ่อล้นขึ้นมา จิตรู้เท่าทันอาการ จึงวางความปีติ จิตกลับมีสภาวะสงบตั้งมั่น ไม่ยินดีในความปีติอีกเลย มีความสงบตั้งมั่น มีความเข้าใจในขณะนั้นว่า สิ่งนี้คืออุเบกขารมณ์ จึงก้มกราบพระพุทธเจ้าในเช้าวันนั้นไปหลายครั้ง ซ้ำไปซ้ำมา พร้อมกับมีน้ำตาซึมออกมา จิตใจผมก็นึกสรรเสริญพระพุทธเจ้า อย่างสุดหัวใจ "พระองค์มีพระปรีชาอย่างมาก" จากนั้นก็อาบน้ำ แต่งตัวไปทำงานตามปกติ ด้วยจิตใจที่นิ่มนวลตั้งมั่นทั้งวันเลยครับ จากการปฏิบัติครั้งนี้

การเปล่งวาจาออกเป็นภาษาบาลีออกมานั้นโดยมิได้ตั้งใจ เรียกอาการประเภทนี้ว่าอะไรครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าอุทานธรรม

ถาม : การปฏิบัติในครั้งนี้ เข้าถึงฌาณหรือไม่ ? และไปถึงฌาณ ๒ ไหมครับ ?
ตอบ : ได้แค่ปีติเท่านั้น

ถาม : การปฏิบัติผ่านการวิปัสสนาบ้างไหมครับ ?
ตอบ : เกือบจะผ่าน...อารมณ์ใจที่เกิดปีติจะเข้าถึงฌานไม่ได้ จำให้แม่น ๆ อย่ามั่ว...! การที่เราเห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ทุกอย่างไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นส่วนของวิปัสสนาอยู่แล้ว แต่ต้องพิจารณาทบทวนอย่างจริงจัง ไม่ใช่สักแต่ว่าอุทานออกมา

เถรี
03-10-2016, 09:10
ถาม : ช่วงวันพระเข้าพรรษา ถ้าผมจะสมาทานรักษาอุโบสถศีล ๘ สามารถสมาทานเองหน้าหิ้งพระที่บ้านได้หรือเปล่าครับ หรือต้องไปขอสมาทานกับพระที่วัดครับ ?
ตอบ : แยกให้ดีนะ ระหว่างอุโบสถศีลกับศีล ๘ เพราะศีลอุโบสถเขารักษา ๑ วัน กับ ๑ คืน ส่วนศีล ๘ เราจะรักษากี่วันก็ได้แล้วแต่ศรัทธา เพียงแต่ว่าการรักษาศีลไม่จำเป็นที่จะต้องไปหาพระ

การที่เราไปหาพระ ไปขอศีล เพราะเราไม่รู้ว่าศีลมีอะไรบ้าง พระท่านให้ศีลแก่เรา เราก็สมาทานคือศึกษาว่า ศีลทั้งหลายเหล่านั้นมีข้อวัตรปฏิบัติอย่างไร แล้วนำกลับไปปฏิบัติ ในเมื่อเรารู้อยู่ก็ตั้งใจปฏิบัติไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปศึกษาก็ได้

ถาม : การรักษาศีล ๘ ยังสามารถทำงานที่บ้านได้ตามปกติหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ทำได้ตามปกติ แต่ส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดศีลให้งดเว้นไว้

เถรี
03-10-2016, 14:44
ถาม : ผมได้ให้พระท่านยืมปัจจัยชำระค่าวัตถุมงคล และได้ตกลงกับพระท่าน โดยท่านขอยืมให้ออกปัจจัยชำระค่าวัตถุมงคลหรือค่าสิ่งของให้ก่อน ต่อมาพระท่านได้รับวัตถุมงคลไปแล้ว เราได้ไปไต่ถามถึงปัจจัยที่จะชำระคืน (ขอยืนยันว่าไต่ถามด้วยความสุภาพปกติ นาน ๆ ถามครั้ง) หรือฝากคนดูแลพระท่านไต่ถามถึงปัจจัยที่ยังไม่ได้คืน พอถามท่าน พระท่านบอกว่าเราสร้างกรรมปรามาสรุนแรง คนที่เราฝากไปถามถึงปัจจัยที่ยืมไปก็พลอยติดกรรมปรามาสจากเราด้วย ต่อมาท่านบอกใครมาคุยกับเราก็จะติดกรรมปรามาสจากเราไปด้วย จนสุดท้ายไม่มีใครกล้ามาคุย เรากลัวสร้างกรรมมาก ๆ เลยยอมยกหนี้ให้ด้วยความจำใจ ขอกราบเรียนถามว่ากรณีแบบนี้เรามีกรรมปรามาสรุนแรง รวมถึงคนที่มาคุยกับเราติดกรรมปรามาสจากเราจริงอย่างที่พระท่านบอกไหมครับ ?
ตอบ : ขอตอบว่าโง่มาก...! ลูกหนี้ดันมาข่มขู่เจ้าหนี้ และเจ้าหนี้เสือ...เชื่ออีกด้วย ต่อไปให้ทวงเช้า ทวงกลางวัน ทวงเย็น ทวงกลางคืน ทวงวันละ ๖-๗ รอบ บอกว่าเราตั้งใจจะปรามาสท่าน แต่ถ้าท่านไม่คืนผมจะทอดธุระ

คำว่า "ทอดธุระ" ก็คือ ไม่ทวง ไม่ถาม ถ้าพระยังไม่คืนอีกจะต้องอาบัติปาราชิก ขาดความเป็นพระไปเลย

เถรี
03-10-2016, 14:50
ถาม : หลวงพ่อเคยกล่าวไว้ว่า ถ้าเรายอมรับกฎแห่งกรรม อภิญญาจะเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ผมเลยสงสัยว่าถ้าผมได้อนาคตังสญาณ ผมจะดูอนาคตว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้นราคา จะได้ซื้อไว้ หรือไม่ก็ดูว่าหวยงวดหน้าจะออกเลขตัวไหน หรือสมมติว่าผมฝึกกสิณสีเหลืองคล่องตัว แล้วเสกสิ่งของเป็นทอง แล้วไปขายเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวกับเอาไปสร้างพระ แบบนี้จะเป็นการฝืนกฎแห่งกรรมหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไปลองทำดู ลองดูว่าเมื่อใช้กิเลสนำหน้า ตัณหานำทาง จะทำได้สำเร็จไหม ?

ถาม : บุคคลที่มีอภิญญา ท่านเสกสิ่งของเป็นทองแล้วเอาไปสร้างพระ กับการเอาทองจริง ๆ ไปสร้างพระ ทำอย่างไหนได้บุญมากกว่าครับ ?
ตอบ : ขอให้สร้างเป็นพระขึ้นมา ท่านว่า พุทธะปูชา มหาเตชะวันโต การเคารพหรือเสริมสร้างในสิ่งที่เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือการบูชาท่านนั้น ทำให้มีเดชมีอำนาจมาก ขณะเดียวกันบาลีก็ยืนยันว่า พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้ ดังนั้น...ไม่ว่าคุณจะเสกขึ้นมาหรือจะหาไปสร้างเองก็ตาม ประมาณอานิสงส์ไม่ได้ทั้งนั้น

เถรี
03-10-2016, 14:54
ถาม : ตัวผมยังเรียนมัธยมปลายอยู่ ผมเคยมีความคิดว่า ถ้าอยากรวยแบบทางโลก ต้องเรียนสูง ๆ หลังจากนั้นทำงานที่ได้เงินเดือนสูง ๆ ซึ่งใช้เวลานานมาก กว่าจะเรียนจบแล้วทำงานจนรวย แต่ถ้าเราฝึกอภิญญาสำเร็จ เราสามารถเสกทอง แล้วเอาไปขาย หรือดูอนาคต แล้วไปซื้อหวย เวลาที่ฝึกอภิญญาจนสำเร็จ อาจจะไม่ถึง ๓ ปี ถ้าตั้งใจจริง ๆ หรือถ้าอยากมีความรู้ทางโลก ก็เข้าฌานแล้วท่องคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า แล้วจับหนังสือวิชาการ นอกเหนือจากนั้น ถ้าผมตายไป อย่างต่ำไปเป็นพรหม ถ้าฝึกวิปัสสนาอีกได้ไปพระนิพพาน และถ้ายังทรงฌานอยู่ จะได้สุขจากฌานสมาบัติอีก

ผมเลยคิดว่า อยากจะเลิกเรียนแล้วไปบวชเพื่อฝึกอภิญญา สัก ๓ ปี แต่มาคิดดูอีกที ถ้าผมฝึกไม่ได้หรือกำลังใจไม่ถึง เรียนผมก็เรียนยังไม่จบ บวชก็ไม่ได้ตามที่หวังไว้ ผมอาจจะเสียเวลาเปล่า ๆ แต่ก็นึกถึงคำสอนของพระ ที่ท่านกล่าวว่า พระท่านก็มีสิบนิ้ว เราก็มีสิบนิ้วเหมือนกัน ทำไมเราจะทำไม่ได้ ถ้าท่านทำได้ เราก็ต้องทำได้ ขอความเห็นและคำแนะนำจากหลวงพ่อได้ไหมครับ ?

ตอบ : ความเห็นคือ ฟุ้งซ่านได้เป็นหลักเป็นฐานเป็นการเป็นงานดีมาก ยังโชคดีที่ตอนท้ายตาสว่างขึ้นมานิดหนึ่ง

เถรี
03-10-2016, 14:55
ถาม : บางครั้งจิตรู้ก่อนว่า ความฟุ้งจะเกิดขึ้นถ้าเอาความคิดนี้ไปคิด คืออยากทราบว่า คนที่ฝึกจิตมาดี จิตของเขาจะเร็วและไวกว่าความคิด คือรู้ก่อนว่าจะมีความคิดอะไรเข้ามาในจิตใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่ครับ

เถรี
03-10-2016, 14:55
ถาม : ตัวผมอยู่ต่างประเทศแล้วผมไม่ห้อยพระ ช่วงนี้มีเหตุระเบิดที่ต่างประเทศ ผมกลัวว่าผมจะโดนระเบิด หลวงพ่อพอมีคาถาหรือวิธีป้องกันไหมครับ ?
ตอบ : กลับประเทศไทย...!

เถรี
03-10-2016, 14:58
ถาม : ผมเคยอ่านประวัติหลวงพ่อกับหลวงพ่อขนมจีน ที่ท่านสงเคราะห์หลวงพ่อด้วยการให้อารมณ์พระอรหันต์กับหลวงพ่อประมาณ ๓ เดือน ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ ผมเลยสงสัยว่า ถ้าสมมติมีพระที่มีความสามารถแบบหลวงพ่อขนมจีน แล้วผมไปขออารมณ์พระอรหันต์จากท่าน แล้วท่านเมตตาให้ผม แต่ระยะเวลาของอารมณ์ ผมขอให้อยู่นานจนถึงผมเสียชีวิต อยากทราบว่าถ้าผมตายตอนนั้น ผมได้ไปพระนิพพานหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไปลองขอดู เดี๋ยวก็รู้เอง

เถรี
03-10-2016, 15:01
ถาม : ผมเคยอ่านมาว่า ความฝันสามารถวัดอารมณ์ของจิตได้ ผมเลยอยากทราบว่า พอมีวิธีที่จะควบคุมความฝัน หรือมีสติขณะที่ฝันไหมครับ ?
ตอบ : ถ้ามีสติจะไม่ฝัน

เถรี
03-10-2016, 15:02
ถาม : สังโยชน์ ข้อตัวมานะที่เป็นสังโยชน์เบื้องสูง ขนาดพระอนาคามีท่านยังตัดไม่ได้ ผมเลยสงสัยว่า พระอนาคามีท่านยังยึดอะไรอีกหรือครับ ?
ตอบ : ท่านก็ยังยึดสังโยชน์อยู่ คืออยากสร้างความดีให้มากกว่านี้เพื่อที่จะได้หลุดพ้น

เถรี
03-10-2016, 15:04
ถาม : ผมเคยได้ฌาณ แล้วเสื่อมไป หล้งจากนั้นพยายามฝึกสมาธิเพื่อจะเข้าฌาน แต่ทำไม่ได้ อย่างเก่งก็เจอ โอภาสแสงสีขาว เพราะว่าผมอยาก แต่พอผมทำกำลังใจใหม่ จะจดจ่อกับลมหายใจ ไม่สนใจอย่างอื่น ก็มีบางช่วงที่มีความรู้สึกใจร้อนคิดในใจว่า จะเข้าฌานได้อีกเมื่อไรไว ๆ หน่อย ซึ่งเป็นอารมณ์ฟุ้งซ่าน หลวงพ่อพอมีวิธีแก้ไขไหมครับ ?
ตอบ : วิธีแก้ไขคือเลิกฟุ้ง...! คำถามแบบนี้สรุปง่าย ๆ ว่า ดีชั่วรู้หมด แต่อดไม่ได้ ก็รู้อยู่ว่าฟุ้ง เข้าฌานไม่ได้ แต่ก็จะฟุ้ง

เถรี
03-10-2016, 15:08
ถาม : เวลาผมฝึกมรณานุสติ ผมคิดในใจว่า เรากำลังจะตายได้ทุกเมื่อทุกวินาที ผมเลยสงสัยว่าผมแช่งตัวเองให้ตายเร็วขึ้นหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : แล้วตั้งใจแช่งไหม ? ถ้าเป็นแบบนั้นแสดงว่าอาตมาแช่งตัวเองมาหลายปีแล้ว

เถรี
03-10-2016, 15:10
ถาม : คนที่เป็นโรคซึมเศร้าต้องแก้อย่างไรครับ ไปหาหมอ หรือต้องหยุดฟุ้งซ่านแล้วหัดฝึกสมาธิ แล้วคนที่เครียดบ่อย ๆ นี่ต้องฝึกอานาปานสติให้มาก ๆ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าแก้ไขแบบทางโลกก็เลิกสงสารตัวเอง แล้วไปปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นบ้าง ถ้าซึมเศร้าอยู่จะไปหวังแก้ไขทางธรรมด้วยการปฏิบัติธรรมคงจะทำได้อยู่หรอก

เถรี
03-10-2016, 15:11
ถาม : เท่าที่ผมอ่านมา บุคคลที่เก่งด้านอภิญญา อย่างพระพุทธเจ้าหรือพระโมคคัลลาน์ ท่านสามารถยกกายเนื้อไปพรหมโลก ไปสวรรค์ได้ แต่ผมสงสัยว่า พระอรหันต์ที่ท่านมีฤทธิ์ ท่านสามารถยกกายเนื้อไปแดนพระนิพพานได้ไหมครับ ?
ตอบ : ท่านไปกันเป็นปกติ

เถรี
03-10-2016, 15:14
ถาม : ปกติฝึกนึกภาพพระ บางครั้งก็เป็นพระพุทธรูปหรือหลวงพ่อต่าง ๆ แล้วแต่จะเห็น ช่วงนี้ทำสมาธิ ก็เห็นตัวเองใส่ชุดขาว กราบพระเป็นพระพุทธรูปบ้าง กราบหลวงพ่อบ้าง บางวันก็เห็นชัด บางวันก็ไม่ค่อยชัด อาการแบบนี้คือจิตฟุ้งซ่านหรือเปล่าเจ้าคะ ต้องปฏิบัติอย่างไรต่อคะ ?
ตอบ : สังเกตว่าตอนนั้นอารมณ์ใจของเราอยู่กับการปฏิบัติหรือว่าฟุ้งด้วยอารมณ์อื่น ถ้าอยู่กับการปฏิบัติก็ไม่ใช่ความฟุ้งซ่าน แต่ขณะเดียวกันอย่ามั่นใจในสิ่งที่เรารู้เห็น เพราะการรู้เห็นอาจจะหลอกลวงกันได้

เถรี
03-10-2016, 15:15
ถาม : อารมณ์เพลิน กับอารมณ์สมาธิ ใช่อารมณ์เดียวกันหรือเปล่าเจ้าคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ อารมณ์เพลินขาดสติ อารมณ์สมาธิมีสติ

เถรี
03-10-2016, 17:52
ถาม : จงตัดออกห้า และละทิ้งห้าแล้วทำให้เจริญเติบโตอีกห้า พ้นเครื่องผูกพันห้าชนิดนี้แล้ว ภิกษุจึงชื่อว่าเป็นผู้ข้ามห้วงน้ำได้อย่างปลอดภัย พุทธศาสนสุภาษิตนี้มีความหมายอย่างไร ?
ตอบ : จัดเป็นพุทธศาสนสุภาษิตตั้งแต่เมื่อไร ? เรียกว่าพุทธพจน์ดีกว่ากระมัง ให้ไปอ่านเกี่ยวกับพระสูตรนี้เอง พระพุทธเจ้าอธิบายไว้ละเอียดแล้ว ไม่ใช่ไปตัดท้ายมาถามเฉย ๆ

เถรี
03-10-2016, 18:01
ถาม : ผู้ที่กระทำอัตวินิบาตกรรมจะต้องใช้กรรมด้วยการทำอัตวินิบาตกรรมจนครบห้าร้อยชาตินั้น เท็จจริงอย่างไร ?
ตอบ : มีทั้งเท็จมีทั้งจริง ถ้ากำลังใจไม่สามารถยกตนให้พ้นจากวาระกรรมได้ ก็ต้องทำไปเรื่อยจนกว่าจะครบ ๕๐๐ ครั้ง แต่ถ้าชาติใดชาติหนึ่งสามารถยกตนเองให้ก้าวขึ้นสู่ความเป็นพระอริยเจ้าได้ กรรมตรงนั้นอาจจะขาดช่วงลง โดยเฉพาะถ้าเป็นพระอรหันต์ก็เป็นอโหสิกรรมไปเลย

ถาม : และในห้าร้อยชาตินั้นเกิดสืบเนื่องเป็นมนุษย์กันเลยหรือเปล่า ?
ตอบ : ส่วนใหญ่จะลงนรกเสียก่อน ถ้าลงนรกไปแล้วมีเศษกรรมอื่น ก็ต้องไปชดใช้ตามเศษกรรมนั้น ๆ เกิดเป็นคนใหม่เมื่อไรค่อยฆ่าตัวตายนับช่วงต่อไป

เถรี
03-10-2016, 18:11
ถาม : เคยได้ยินมาว่าบุญจากการบวชพระของผู้เป็นลูกนั้น แม้บิดามารดาบังเกิดเกล้ามิได้ไปเกิดในภพภูมิแห่งสัตว์เดรัจฉานแล้วไซร้ จะได้รับบุญนั้นโดยไม่ต้องอนุโมทนาใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ใครเป็นคนบอก ? ต้องอยู่ในภูมิที่เขาโมทนาได้ และถึงเขาโมทนาได้แต่ไม่ได้โมทนา ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ได้ ฟังแล้วงงไหม ?

ภูมิที่เขาโมทนาได้ต้องพ้นจากอบายภูมิหนักอย่างนรก ถ้าเผลอไปลงขุมหนักแล้วก็แก้ไขยาก ต้องรอให้พ้นขึ้นมาก่อนจึงจะได้รับอานิสงส์นั้น ๆ แต่ถ้าอยู่ในภพภูมิที่โมทนาได้ หรือภพภูมิที่มีกรรมเบาก็จะพ้นจากจุดนั้นไปเลย

เถรี
03-10-2016, 21:53
ถาม : บางครั้งในขณะที่ตาเราเห็นภาพ หูเราได้ยินเสียง ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นอย่างนี้ และก็เกิดขึ้นจริง ๆ ซึ่งในขณะนั้นข้าพเจ้าไม่ได้นั่งสมาธิ ไม่ได้จับลมหายใจเข้าออก ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ? ใช่สมาธิหรือเปล่าเจ้าคะ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าทิพจักขุญาณ ไม่จำเป็นที่จะต้องนั่งสมาธิ ขอให้อารมณ์ใจทรงตัวได้ระดับนั้น ก็สามารถรู้เห็นได้แล้ว

เถรี
03-10-2016, 21:56
ถาม : ขณะที่ตั้งครรภ์ลูกชายคนแรกอยู่ ดิฉันได้อธิษฐานจิตขอรับยันต์เกราะเพชรอยู่ที่บ้าน ปรากฏว่าคลอดลูกชายวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๕๙ มีจุดสีแดงอยู่บนริมฝีปากด้านบนของลูก เป็นที่สังเกตได้อย่างชัดเจน และหายไปในวันที่ ๓ หลังคลอด ตัวดิฉันเองเชื่อว่าเป็นผลจากการรับยันต์เกราะเพชร แต่ทางญาติ ๆ ไม่เชื่อ พากันคิดว่าลูกอาจเป็นแผลจากการผ่าคลอด อยากเรียนถามพระอาจารย์ว่าเป็นผลจากยันต์เกราะเพชรใช่หรือไม่เจ้าคะ ?
ตอบ : ถ้าสามีไม่ใช่เอเลี่ยน ก็เป็นผลของยันต์เกราะเพชร...! เพราะไม่มีเด็กคนไหนที่แผลจะหายเร็วขนาดนั้น

ถาม : ส่วนดิฉันเองทำงานบริษัทเอกชนต้องติดต่อลูกค้าภายนอกบริษัท จึงออกไปทำงานไม่ตรงตามเวลา และหากทำงานเสร็จก่อน ก็กลับบ้านก่อนเวลาเลิกงาน หรือกลับช้ากว่าเวลาเลิกงาน ขึ้นอยู่กับลูกค้าที่ติดต่อว่าจะเสร็จเมื่อไร และปกติบริษัทไม่ได้จ่ายโอทีให้พนักงานแต่อย่างใด อยากทราบว่าลักษณะนี้จะถือว่าผิดศีลข้อ ๒ อันเป็นเหตุให้ยันต์เกราะเพชรไม่อยู่กับตัวดิฉันหรือไม่เจ้าคะ ?
ตอบ : ศีลข้อ ๒ ต้องลักขโมยเขา ที่ว่ามาตั้งแต่ต้นจนจบ เราขโมยอะไรล่ะ ?

เถรี
03-10-2016, 21:59
ถาม : พระสงฆ์ที่เผลอคิดปรามาสพระรัตนตรัยโดยไม่ได้ตั้งใจ เช่น คิดด่าพระพุทธเจ้า หรือครูบาอาจารย์ จะขาดจากความเป็นพระไหมครับ ? และมีวิธีการแก้ไขอย่างไรครับ ?
ตอบ : ไม่ขาดจากความเป็นพระ เพราะว่าไม่ได้ล่วงอาบัติหนักระดับปาราชิก แต่ปิดมรรคผลของตนเอง ซึ่งน่าจะหนักกว่าขาดจากความเป็นพระอีก
มีวิธีเดียวคือกราบขอขมาพระรัตนตรัย และตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญ ศีล สมาธิ ปัญญา ของตนไป ถ้ากำลังใจเข้มแข็งขึ้น ก็จะก้าวพ้นจากจุดนั้นไปเอง

เถรี
03-10-2016, 22:00
ถาม : ผมเป็นนักศึกษาครับ ถ้าผมโหลดไฟล์หนังสือ text ต่างประเทศ ที่มีคนเอาปล่อยให้โหลดในอินเตอร์เน็ตฟรี โดยที่หนังสือนั้นจริง ๆ ไม่มีไฟล์ pdf จะมีแต่รูปเล่มที่ขายและมีลิขสิทธิ์ ถ้าผมโหลดมาจะผิดศีลไหมครับ ?
ตอบ : ถ้ารู้ว่ามีลิขสิทธิ์แล้วเราเจตนาไปโหลดเอามาก็ผิด

ถาม : ปัจจุบันนี้มีเว็บที่ให้ดูหนังได้ฟรี ๆ โดยไม่เสียเงินทั้งหนังที่เพิ่งเข้าโรงหรือหนังเก่าต่าง ๆ โดยที่หนังเหล่านั้นก็มีลิขสิทธิ์ แต่ไม่ทราบว่าเจ้าของเว็บที่เอามาให้ดูไปโหลดมาได้อย่างไร ถ้าเราเข้าไปดูจะเป็นการผิดศีลข้อที่สองไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจก็ผิด

เถรี
03-10-2016, 22:02
ถาม : เรื่องเลื่อนตำแหน่งค่ะ หนูรับราชการ และกำลังอยู่ในช่วงแข่งขันเพื่อจะได้รับเลือก ให้ได้เลื่อนตำแหน่ง หนูควรทำอะไรและทำบุญแบบไหนดีคะ ?
ตอบ : ถามตอนนี้ไม่ทันกินแล้ว ควรจะถามก่อนฤดูกาลเลื่อนตำแหน่งสักครึ่งปี จะได้แนะนำวิธีให้ไปทำ ไม่ใช่มาถามวันนี้แล้วพรุ่งนี้จะเลื่อน

เถรี
03-10-2016, 22:09
ถาม : ลูกทราบมาว่า การทำกลิ่นวานิลลา จะนำฝักวานิลลามาแช่ในเหล้าวอดก้าเพื่อให้เกิดกลิ่นหอม และนำวานิลลาที่ได้นี้มาแต่งกลิ่นในขนมต่าง ๆ มากมาย พอลูกทราบเรื่องนี้จึงไม่กินขนม หรือเค้กที่คาดว่าน่าจะใส่วานิลลาแช่วอดก้านี้ เพราะกลัวยันต์เกราะเพชรที่รับมาจะหลุด แต่บางครั้งก็เสียดายขนมเหล่านี้ จึงได้ให้คนอื่นเพื่อเอาไปกินบ้าง อย่างนี้ลูกจะผิดศีลหรือไม่อย่างไรคะ ? และการที่กินขนมที่ปรุงแต่งกลิ่นวานิลลาแบบนี้ จะทำให้ยันต์เกราะเพชรหลุดหรือไม่คะ ?
ตอบ : คราวหน้าเอามาถวายพระ...! เขาเรียกว่ารู้มากยากนาน เรื่องของสุราถ้าไม่ปรากฏรส ไม่ปรากฏกลิ่น แม้แต่พระยังฉันได้เลย

เถรี
03-10-2016, 22:12
ถาม : การกราบนมัสการ การสวดมนต์ และขอพรพระพุทธรูปองค์จริงที่วัด กับการกราบองค์จำลอง (บูชาจากวัด) ที่บ้าน ให้ผลแตกต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : ต่างกันมาก ถ้าไปถึงวัดก็เสียเงินค่ารถเยอะหน่อย...! สำคัญตรงที่ว่าใจของเรายึดหรือไม่ ? ถ้าหากใจของเรายึดเป็นพุทธานุสติ จะกราบที่วัดหรือที่บ้านก็เหมือนกัน

เถรี
03-10-2016, 22:19
ถาม : พระนิยตโพธิสัตว์ "เมื่อคราวกาลอยู่บำเพ็ญนอกเขต นอกกาลสมัยพระศาสนา" การปรารถนาพระโพธิญาณ ท่านถือเอานิมิตเครื่องหมายเป็นเครื่องรู้ ทราบเรื่องราวได้ด้วยประการใด ?
ตอบ : ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรู้ โดยวิสัยท่านรู้สึกอยากจะทำงานเพื่อสาธารณะ ท่านก็ทำไป

ถาม : ในเรื่องราวพระเวสสันดร, ท่านโตไทยพราหมณ์ จัดเป็นกรณีพิเศษหรือไม่อย่างไรครับ ?
ตอบ : ไม่ได้พิเศษตรงไหน ถึงเวลาก็ขึ้นสวรรค์ลงนรกได้ตามวิสัยปกติของพระโพธิสัตว์

ถาม : พระโสภิตะสัมมาสัมพุทธเจ้า ฝ่ายปัญญาธิกะ ออกมหาภิเนษกรมณ์โดยปราสาท บำเพ็ญเพียร ๗ วัน พระชนมายุ ๙๐,๐๐๐ ปี การบังเกิดปรากฏพระบารมีดูเสมอคล้ายฝ่ายวิริยาธิกะ มีความคลาดเคลื่อนในเรื่องราวบันทึกหรือไม่ อย่างไรครับ ?
ตอบ : บันทึกมีความคลาดเคลื่อนเสมอ แต่ข้อมูลส่วนใหญ่ถูกต้อง

เถรี
03-10-2016, 22:49
ถาม : การเข้าถึงของจิตหลังพิจารณาเมื่อพอได้ สูงบ้าง ต่ำบ้าง ก็พยายามทรงไว้เพื่อคอยรับและสอบสวนต่อการกระทบทางทวาร ทั้งภายนอก ภายใน โทษภัย การเป็นภาระ ความเบื่อหน่าย ความเศร้าหมองน้อยใหญ่ ตลอดทั้งอาการไม่แน่ไม่นอนของสภาพจิต เพื่อซ้ำให้จิตมีสภาพยับยั้ง ลดทอน และเพื่อยอมรับ "แต่ก็ยังไม่เกิดการวนของสายการเกิดทุกข์ วนรอบพิจารณาอัตโนมัติ" ดังครั้งที่เคยผ่านมา

จำต้องหันมาปรับจิตให้เรียบโดยส่วนสมาธิอีก แต่สมาธิในหลายกองที่นำมาปรับใช้ กลับยังแสดงท่าทีไม่ยอมจะลงให้และทรงตัวดังแต่เก่าก่อน (เมื่อสมัยยังไม่เริ่มปฏิบัติ) มีแต่จะแสดงความโลดโผนทั้งนิวรณ์ละเอียด และผลสมาธิ ที่เหนือคาดเหนือหมาย ซึ่งสร้างความกระทบกระเทือนไปอีกชั้นหนึ่งอย่างหนักทั้งจิตใจและร่างกาย อันเนื่องจากการควบคุมค่อนข้างจะไม่ค่อยได้ทั้ง ๒ ทาง

จึงกลับใช้พิจารณาทรงตัวปรับ พอจะมีผลยับยั้งได้บ้าง แต่ไม่ทรงสภาพนานเช่นกัน เข้าใจอยู่เสมอว่า ทำให้มากปฏิบัติให้มาก ดังครูบาอาจารย์พร่ำสอน "แต่มีกังวลเรื่องความเนิ่นช้า" อันเนื่องจากสภาพจิตตอนนี้มีอาการสภาพพลิกแพลงสูง ทั้งในแง่มุมแปลกใหม่ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนที่จะต้องสู้รบปรบมือออกรับด้วยหลากหลายอุบายวิธี รูปแบบเก่าแก้ไปได้ รูปแบบใหม่เข้ามา ไม่หยุดยั้ง ตั้งรับเป็นระวิง

ปกติดิฉันปฏิบัติอยู่เพียงแค่ที่บ้าน ทราบจากน้องชายเป็นส่วนใหญ่ในเรื่องพระศาสนารวมถึงการแนะนำเพื่อปฏิบัติที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ ดิฉันมีปกติยอมรับนับถือในปฏิปทาและคำสอนสายพระป่าและหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นหลักสองสายนี้ จึงเรียนมาเพื่อปรึกษาและขอคำแนะนำค่ะ ในปัญหาเรื่อง สมาธิ, การพิจารณา และการเข้าตัด

ตอบ : ขอแนะนำว่าไม่ว่าใครปฏิบัติก็เจอแบบนี้ เพราะฉะนั้นให้ตั้งหน้าตั้งตาทำต่อไป แต่ขณะเดียวกันรูปแบบของการปฏิบัติที่เรารับฟังมาก็ดี ศึกษามาก็ดี ไม่จำเป็นที่จะต้องเหมือนคนอื่นเขา ไม่ใช่ของเขารู้ถึงการหมุนรอบของปฏิจจสมุปบาท หรือเห็นวงจรของทุกข์แล้วเราจะเห็นตามนั้น บางคนอาจจะรู้สึกเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ปลดจิตของตนเองออกไปโดยง่ายดายเลยก็มี

สิ่งที่ว่ามาทั้งหมดนั้น อย่าไปพยายามตะเกียกตะกายตามคนอื่น ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำสมาธิ เมื่อเต็มที่ไม่สามารถจะไปต่อได้แล้วก็มาพิจารณาวิปัสสนาญาณอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้

ในส่วนของกาย เวทนา จิต ธรรมนั้น ถ้าเราทำละเอียดจนเกินไป สภาพจิตยังไม่ยอมรับ ก็จะดิ้นรนแล้วเราก็จะฟุ้งซ่านรำคาญหนักอย่างที่ว่ามา เพราะฉะนั้น...ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำต่อไป เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับทุกคน ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ

เถรี
03-10-2016, 22:56
ถาม : สามีของหนูมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป คล้ายต้องการตัดทางโลก ไม่ทำหน้าที่พ่อของลูก หน้าที่สามี หรือลูกของพ่อแม่ ไม่ทำกิจการงานที่รับผิดชอบ แต่ให้เหตุผลว่าต้องการภาวนา ต้องการตัดทางโลกเพื่อพ้นทุกข์ แต่สิ่งที่เขาทำ ทำให้พ่อแม่ของเขา รวมทั้งตัวหนูเองและลูกเป็นทุกข์ เขายืนยันที่จะทำในสิ่งที่เขาต้องการ คือ สวดมนต์ภาวนา กินน้อย ๆ นอนน้อย ๆ และอยากบวชพระ

ล่าสุดเขาบอกว่าจะบวชไม่สึก ทำให้พ่อแม่ของเขาเป็นทุกข์และเครียดมากค่ะ กราบขอคำชี้แนะด้วยค่ะ หนูควรพูดคุยปรับความเข้าใจอย่างไรกับเขาดีคะ ?

ตอบ : ปรับความเข้าใจเมื่อไรก็บ้านแตกอีก สรุปว่าที่เครียดไม่ใช่พ่อแม่หรอก คนถามต่างหากที่เครียด แล้วรู้ไหมว่าตัวเองเป็นสาเหตุให้สามีเป็นอย่างนั้น ? เพราะฉะนั้น...กลับไปปรับปรุงความประพฤติของตัวเองเสียใหม่..!

เถรี
04-10-2016, 08:27
ถาม : จิตทรงฌานได้แค่ฌาน ๑ ถึงฌาน ๒ เราจะมีโอกาสตัดกามราคะได้ไหมครับ ?
ตอบ : แค่ปฐมฌานก็ตัดได้แล้ว แต่อย่าให้หลุดออกมาแล้วกัน ถ้าหลุดเมื่อไรโดนกิเลสตีหงายท้องเมื่อนั้น..!

เถรี
04-10-2016, 08:31
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมที่จะถวายสังฆทานเป็นของหนัก ให้พยายามมาก่อนบ่ายสามโมงวันอาทิตย์ เพราะรถที่ขนสังฆทานกลับวัดจะมาช่วงประมาณนั้น หลังจากเวลานั้นแล้วอาตมาก็ต้องขนกลับไปเอง ซึ่งรถที่ใช้เป็นรถ ๗ ที่นั่ง หาที่วางของยากมาก"

เถรี
04-10-2016, 08:45
พระอาจารย์กล่าวว่า "จากคำถามที่ว่ามาเมื่อครู่ในเรื่องของการปฏิบัติ มีอยู่รายหนึ่งที่น่าสงสารมากที่สุด ก็คือ การปฏิบัติตามหลักกาย เวทนา จิต ธรรม

มีหลักธรรมอยู่สองหมวดที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนคนทั่วไป ก็คือ มหาสติปัฏฐานสูตร ตามหลักกาย เวทนา จิต ธรรม พระพุทธเจ้าท่านสอนมนุษย์ต่างดาว..! ส่วนพระอภิธรรม ๗ บท ท่านสอนพรหมเทวดา แต่ก็ยังมีคนพยายามที่จะไปศึกษาเรียนรู้ ถ้าปัญญาของเราไม่ใช่อุคฆฏิตัญญูบุคคล มีหวังได้เครียดตายห่..! วิธีการง่าย ๆ เยอะแยะดันไม่ทำ

มหาสติปัฏฐานสูตรตั้งแต่ต้นยันปลาย เราหยิบจุดใดจุดหนึ่งขึ้นมาทำจุดเดียวก็บรรลุมรรคผลได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปศึกษาครบทุกหมวด ไม่จำเป็นต้องไปศึกษาครบทุกหัวข้อ อย่างเช่นหมวดแรก กายในกาย แค่อานาปานสติ ถ้าทำถูกก็เป็นพระอรหันต์ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องตามไปดูอิริยาบถสัมปชัญญะ ไม่จำเป็นต้องไล่ยาวจนกระทั่งถึงนวสี

เวทนา จิต หรือธรรม จึงไม่จำเป็นต้องไปดูเช่นกัน แต่เรามักจะเข้าใจผิดว่าจะต้องทำทั้งหมด ก็เลยเก่งกันไปใหญ่ ให้สังเกตดูตอนท้ายของทุกบรรพ หรือทุกตอน พระพุทธเจ้าจะสรุปเอาไว้ว่า นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ เราจะไม่ยึดติดอะไร ๆ ในโลกนี้ นั่นคืออารมณ์พระอรหันต์"

เถรี
04-10-2016, 18:35
ถาม : มีดหมอหลวงพ่อบุญมี เล่มนี้ไม้อะไรคะ ?

ตอบ : ไม้โมกมัน ส่วนเล่มนี้ยังใหม่เอี่ยมแทบจะไม่ได้แตะเลย ปกติแล้วมีดหมอของหลวงพ่อบุญมี วัดเขาสมอคอน ส่วนใหญ่ทองจะลอกหมดเพราะโดนเช็ด แต่เล่มนี้ทองยังอยู่ครบเลย

ถาม : แล้วมีดหมอหลวงปู่รุ่ง วัดหนองสีนวล ?
ตอบ : หลวงปู่รุ่งเล่มนี้ทรงมีดปาดตาล ฝังโลหะสามกษัตริย์ เล่มนี้หน้าตาหล่อที่สุด

ถาม : ตอนแรกจะจองเล่มฝังทอง ๖ จุด แต่ไม่ทัน เลยเลือกเล่มนี้ที่หน้าตาหล่อ ?
ตอบ : เล่มนี้เขาทำฝักสวยมาก ถักหวายรัดละเอียดยิบเลย

ถาม : สวยมากค่ะ แล้วมีดสาลิกาของหลวงปู่ทองเฒ่า ทำไมเล็กมาก ?
ตอบ : มีดสาลิกานะ เล่มเล็ก ๆ ให้เอาไปใช้งาน ไม่ได้ให้เราเอาไปฆ่าคน...! ยังอยู่หรือเปล่าวะ ? เล่มนี้หนีไปทีหนึ่งแล้ว อาตมาไล่จับกลับมาทัน มาไม่ถึงครึ่งทางเลย หนีไปแล้ว ต้องไล่ตะครุบกลับมา หากลูกหลานประพฤติไม่ดี หลวงปู่ก็ตีกบาลกันตรง ๆ เลยดีกว่า อย่าทำเป็นหนี

ถาม : หนูแอบไปทำอะไรแสบ ๆ มานิดหนึ่ง ท่านคงรู้ก็เลยหนี ?
ตอบ : นิดหนึ่งของเรา คนอื่นตายหรือเปล่า ? พกมีดเยอะขนาดนี้ ถ้าเกิดตำรวจเรียกตรวจจะว่าอย่างไร ?

ถาม : โชคดีตรงที่ว่าเวลาขึ้นบีทีเอสเขาไม่ตรวจกระเป๋าของนักบวช เพราะเขาไว้ใจว่านักบวชคงจะไม่พกของอันตราย ?
ตอบ : พอ ๆ กับหลวงพี่ประทีปนั่นแหละ สมัยก่อนบวช ท่านเรียนอุเทนถวาย ถึงเวลาตำรวจก็จับผู้ชายไปค้นหมด หลวงพี่ประทีปก็นั่งยิ้ม ถามว่าพี่ไม่กลัวหรือ ? พี่เขาบอกว่าจะกลัวอะไร กูฝากเพื่อนผู้หญิงเอาไว้

วันนั้นอาตมาเอามีดหมอมาล้าง เช็ดถู ตากแดด หมอฉลองดันมาถ่ายรูปไป คนเห็นเข้าก็ช็อก ก็เลยบอกว่าที่เอ็งเห็นประมาณ ๑ ใน ๔ เท่านั้นนะ...! ของสะสมมานาน ก็ต้องเยอะหน่อย

มีดหมอของหลวงพ่อบุญมี วัดเขาสมอคอน อาตมาชอบใจช่างเขา ช่างเขาตีลายประณีตมากทุกเล่ม ตีลายแบบไว้ฝีมือเลย ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยเข้าใจอักขระขอม แต่ช่างเขาก็พยายามสุดชีวิต จะตีผิดบ้าง แต่ลายเขาละเอียดยิบเลย ฝีมือเสมอกันทุกเล่ม ทำปลอมยากมาก

เถรี
04-10-2016, 18:40
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25247&stc=1&d=1475584825


ถาม : ลายจารนี้ คือ ยันต์กระบองไขว้หรือคะ ?
ตอบ : ยันต์กระบองไขว้ ต้นตำรับคือหลวงปู่ศรี วัดอ่างศิลา

ถาม : อ่านลายอักขระไม่ออกค่ะ คงต้องกลับไปฝึกอ่าน ?
ตอบ : อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ หัวใจอิติปิ โสฯ บางคนเรียก นวหรคุณ ด้านนี้มะอะอุ ยันต์นี้ก็นะโมพุทธายะ นี่ก็ลายเดียวกัน อะ สัง วิ สะ โล ปุ สะ ภุ พะ นะโมพุทธายะ นะมะพะธะ ฤ ฤๅ ฤ ฤๅ มีดหมอหลวงพ่อกวยลายบรมครูพระฤๅษี ท่านจะลง ฤ ฤๅ ให้ด้วย

ถาม : มีพี่เขาบอกว่าทำไมไม่จองลายแม่พระธรณี ของหลวงพ่อกวย ?
ตอบ : จองไม่ทัน

ถาม : พี่เขาบอกช้าด้วย ?
ตอบ : ลายบรมครูฤๅษีก็หายากพอ ๆ กันนั่นแหละ ลายแม่ธรณีกับลายลิงลมอาตมาเจออย่างละเล่มเดียว ลายพระฤๅษียังเจอตั้งสามเล่ม

ถาม : อยากได้ลายเพชรพญาธร ทำไมไม่มีลงคะ ?
ตอบ : ลูกศิษย์อีกคนอมไปแล้ว ...(หัวเราะ)...

ถาม : เห็นลายลิงลมอยู่ตั้งนาน ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว บูชาเสียเลย อุตส่าห์ส่องอยู่ตั้งนาน ?
ตอบ : มัวแต่นั่งเล็งก็ไม่ทัน คนอื่นจองไปก่อน ถ้าเห็นแล้วชอบต้องจองเลย ไม่ต้องไปรอเล่มอื่น บางคนรอให้ลงหมดแล้วค่อยดู เพื่อเปรียบเทียบราคา ดูว่ามีอะไรดีกว่า สวยกว่า ถ้าทำอย่างนั้นก็ไม่ได้กินหรอก โดนคนอื่นโฉบไปหมด

ตอนนี้อาตมาแหย่เรื่องลูกอมคาไว้ ที่หายากจริง ๆ คือ ลูกอมหลวงพ่อไล้ วัดเขายี่สาร หลวงปู่ปาน วัดตุ๊กตา และหลวงพ่อทับ วัดอนงคาราม ถ้าลงนี่รีบคว้าเอาไว้เลย เพราะถ้าเป็นของที่อื่นจะราคาแพงมาก

ถาม : ตอนนี้ก็รีเฟรชรัว ๆ ตอนตีสองและตีห้าค่ะ ?
ตอบ : รีเฟรชตีห้ายังพอทัน ส่วนใหญ่ถ้าว่างงานอาตมาก็จะลง บางทีตอนเช้ามืดภาวนายาวแล้วหยุดไม่ได้ รอเสียจนกระทั่งสาย ๆ แล้วค่อยมาลง

เถรี
04-10-2016, 19:02
คนใจอ่อนไปเล่นมีดเล่นปืนไม่ได้หรอก ต้องคนใจแข็ง ๆ ตอนนี้มีดหมอที่เอาไปหลอมน้อยที่สุด คือ มีดหมอหลวงปู่ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ ๑ เล่ม เป็นกริชอาคมยาวสักศอกได้ และมีดหมอหลวงปู่อิ่ม วัดหัวเขา ส่วนใหญ่หลวงปู่อิ่มท่านทำนางกวัก แหวนพิรอดนิ้ว แหวนพิรอดแขน มีกระทั่งพิรอดคอ ว่าจะเอาพิรอดคอไปหลอม อันนั้นน่าจะหนักเกิน ๒ กิโลกรัม

และมีดหมอของหลวงหลวงปู่ทบ วัดชนแดน จ.เพชรบูรณ์ เพราะมีอยู่แค่ ๒ เล่ม สละไปหลอม ๑ เล่ม หลวงพ่อแจ่ม วัดวังแดงเหนือ ๑ เล่ม ส่วนของท่านอื่นใส่ได้หลายเล่ม ของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ใส่ไป ๔ เล่ม

บางทีคนเขาหวง อย่างของหลวงพ่อแจ่ม ตื๊อเท่าไรเจ้าของก็ไม่ค่อยยอมปล่อยหรอก เพราะเขาเห็นอานุภาพชัด พูดง่าย ๆ ก็คือ คนไหนที่ไปงานศพ พกมีดหมอของหลวงพ่อแจ่มไปด้วย ไม่มีทาง "ชง" หรอก ผีไม่กล้าเข้าใกล้ พลังงานพวกนี้จึงรบกวนไม่ได้ ไปนึกถึงเซียนสิงคโปร์ ได้มีดหมอหลวงพ่อแจ่มไป พอรู้ว่าไล่ผีได้ เขาตั้งตัวเป็นอาจารย์ใหญ่เลย แล้วเขาก็ดันไล่ได้จริง ๆ ด้วย

เถรี
04-10-2016, 19:22
ถาม : มีดของหลวงพ่อเดิมราคาสูง ?
ตอบ : ของหลวงพ่อเดิมต้องจองให้ทัน เพราะว่าจะแบ่งออกมาสักสองเล่มเท่านั้น เหลืออยู่ ๔-๕ เล่มที่จะเอาเข้าพิพิธภัณฑ์ แต่ถ้าเป็นพวกเซียน เล่มของป้าจี๋เขาตีเป็นของหลวงพ่อเดิม ถ้าไม่ใช่เขาแกล้งโง่ ก็ตั้งใจจะเอาเงิน เพราะว่าของหลวงพ่อเดิมปล่อยได้เป็นแสน

ถ้ายิ่งอยู่กับเราแล้วเราหมั่นเช็ด หมั่นถู รู้สึกท่านจะสวยขึ้นเรื่อย ๆ แปลกมาก บางคนบอกมีดอยู่กับหลวงพ่อสวยมาก พอไปอยู่กับเขาทำไมจึงดูไม่ได้ ก็บอกว่าเอ็งเคยลูบ ๆ คลำ ๆ บ้างไหม ? ปล่อยให้ท่านหลับเฉยเลย ปลุกท่านบ้างสิ...!

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25245&stc=1&d=1475584431


ถาม : แต่เล่มนั้นมีน้ำหนักเบานะคะ ?
ตอบ : ถ้าเบาแสดงว่าผสมเหล็กน้ำพี้เยอะ เพราะเหล็กน้ำพี้มีน้ำหนักเบา ถ้าใครเอาดาบน้ำพี้มา จับแล้วหนักนี่ ฟันธงได้เลยว่าปลอม ส่วนใหญ่เป็นเหล็กทั่วไปที่เขาเอาไปชุบแบบรมดำปืน แล้วก็มาหลอกขายว่าเป็นเหล็กน้ำพี้

แต่เมื่อวานเล่มที่คุณฝุ่นเอาไป เล่มนั้นน่าจะหนักถึง ๓ กิโลกรัม มีดลักษณะอย่างนั้นแหละที่โบราณเขาใช้กัน ก็คือเอาไว้รบกัน ที่บอกว่าขุนแผนใช้ดาบยาวแค่หนึ่งศอกกำ

แค่เราตะไบมาทำผงชนวนก็เหลือเกินแล้ว เพราะตะไบให้ตายเถอะ หนาขนาดนั้น คุณจะขัดจะแบ่งอย่างไรก็ได้อยู่แล้ว มีดสมัยก่อนที่เขาทำหนัก ๆ ก็เพื่อเอาไว้เล่นงานพวกหนังเหนียว ฟันไม่เข้าก็ต้องทุบให้ตาย

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25244&stc=1&d=1475584431

เถรี
04-10-2016, 19:26
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25243&stc=1&d=1475584619


เมื่อวานคุณแอ๊บเอาเล่มฝังนาก ๗ จุดของหลวงพ่อรุ่งไป เล่มนั้นทำประณีตสุด ๆ เลย ช่างเขาทำประณีตมาก นากกับใบมีดกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน ถ้าไม่สังเกตเลยจะไม่รู้ว่ามีฝังนากเอาไว้ตั้ง ๗ แห่ง

เถรี
04-10-2016, 19:49
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25251&stc=1&d=1475585351


ชอบใจช่างของหลวงพ่อบุญมี ตีลายสุดยอดเลย เขาทำแบบไว้ฝีมือ เป็นอย่างนี้ทุกเล่ม ไม่มีมักง่ายเลย เล่มนี้ที่ได้มา รู้ไหมว่าเจ้าของเขามีอยู่ถึงสองร้อยเล่ม..! เขาเคารพหลวงพ่อบุญมีมาก และเคยเห็นประสบการณ์มาเยอะ เขาเลยบูชามา ยุคนั้นเล่มละ ๑,๕๐๐ บาท จำนวน ๒๐๐ เล่ม และเขาเก็บอย่างเดียวเลย ในเมื่อไม่ได้ใช้ก็สภาพ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์

ต้องดูแลด้วย ถ้าไม่หมั่นชักออกมาเช็ดเดี๋ยวสนิมก็กิน เพราะฝักมีดส่วนใหญ่มักจะอมความชื้น

เถรี
04-10-2016, 20:11
วัตถุมงคลบางบางชิ้นนี่ท่านเลือกเจ้าของนะ ถ้าไม่ถูกใจนี่ แหม...หนีจัง ต้องไล่จับไล่ต้อนกัน ลองคิดดู มีดหมอสาลิกาหลวงปู่ทองเฒ่า อาตมาเอาใส่กระเป๋าไปแล้ว ดันหลบไปอยู่ในมุมที่คิดไม่ถึง

พอดีอาตมาจะไปสำรวจดูว่าพระทองคำมีเหลืออยู่เท่าไร เพราะมีคนปวารณาไว้ว่า ทองคำหล่อพระขาด ๑๐๐ กิโลกรัมเท่าไรจะถวาย อาตมาก็ไปดู ปรากฏว่ามีดหมอหลบไปนอนอยู่ที่นั่น

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25252&stc=1&d=1475586607




ต้องบอกว่าช่างเขามีอารมณ์ทำ แกะหัวหนังตะลุงมาให้ด้วย

เถรี
05-10-2016, 13:02
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25172&d=1474970338


ถาม : มีคนจองเนื้อชินตะกั่วไป ไม่ทราบว่าหนุมานหักศรของหลวงพ่อกวย จะองค์ใหญ่ขนาดนั้น ?
ตอบ : เนื้อชินหนักมาก ลองน้ำหนักดูแล้วใช่ไหม ? แต่เนื้อชินมีลายมือจาร

ถาม : ลายมือของหลวงพ่อกวยหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ ลายมือของหลวงพ่อกวยอาตมาจำได้ นี่หลวงพ่อตี๋ลูกศิษย์ท่านจารแล้วให้ท่านเสก

เถรี
05-10-2016, 13:06
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25291&stc=1&d=1475764751

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีดหมอหลวงพ่อกวย มีอยู่เล่มหนึ่งที่อาตมาใช้บูชาประจำเลย ยาวขนาด ๑๖ นิ้ว ลายหนุมานเหินหาว ที่ใช้เล่มนั้นเพราะว่าท่านเลือกเรา ไม่ใช่เราเลือกท่าน เวลาไปบูชาวัตถุมงคลต้องทำใจสบาย ๆ จะมีบางองค์หรือบางชิ้นเปล่งแสงเข้าตาเลย ลองสังเกตดูก็ได้ ว่าเห็นแล้วจะรู้สึกใช่เลย นั่นแหละ..ท่านเลือกเรา"

เถรี
05-10-2016, 13:17
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของวัตถุมงคล บุคคลจะใช้แล้วเกิดผลได้ ต้องมีพื้นฐานของสมาธิพอสมควร บางทีโบราณเขาให้ปลุกด้วยการกลั้นลมหายใจ คือต้องกลั้นลมหายใจแล้วว่าคาถา

การกลั้นลมหายใจนี่ช่วยให้จิตเป็นสมาธิระดับหนึ่ง เพราะว่าพอกลั้นลมหายใจ เรารู้ตัวว่าไม่หายใจก็คือจะตาย พอจะตายจิตแกว่งขนาดนั้นก็ต้องนิ่ง"

ถาม : เวลาตกใจจะกลั้นหายใจทันทีเลย ตอนแรกนึกว่าเป็นสัญชาตญาณ ?
ตอบ : ไม่ใช่...บางทีจิตก็วิ่งไประดับสมาธิที่เราทำได้เอง

เถรี
05-10-2016, 13:35
ถาม : มีดหมอหลวงพ่อกวยลายลิงลมกับลายหนุมาน เหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เหมือน ลิงลมท่านเน้นเอาตัวรอด แคล้วคลาดปลอดภัย หนุมานจะเน้นสู้คืออยู่ยงคงกระพัน

ถาม : แล้วลิงลมนี่เน้นเคล็ดตรงชื่อ หรือลิงลมจริง ๆ ที่ช้า ?
ตอบ : วิชาลิงลมไม่ใช่หมายถึงลิงลมตัวจริงที่ช้ามาก แต่แปลว่าเคลื่อนไหวไวเหมือนลม หลบหลีกเล็ดรอดได้สุดยอด

เถรี
05-10-2016, 13:56
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครจะซื้อหนังสือเพื่อสนับสนุนการปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา เล่มละ ๒๐๐ บาท ตอนนี้งานแรกที่อาละวาดไปแล้วคือที่บึงกาฬ จ.หนองคาย ห้ามอิสลามสร้างมัสยิด บึงกาฬเป็นจังหวัดแรกในประเทศไทยที่ประกาศให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำจังหวัด ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าฝีมือใคร ถ้าพวกเราไม่กล้าออกหน้า ก็ช่วยกันซื้อหนังสือสนับสนุนให้เขามีทุนทำงานกันหน่อย"

เถรี
05-10-2016, 17:03
ถาม : เผลอทีไร อกุศลกรรมแทรกได้ทุกที ต้องทำอย่างไรจึงจะกันไม่ให้อกุศลกรรมแทรกได้ง่าย ?
ตอบ : ต้องปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ให้ทรงตัว

เถรี
05-10-2016, 17:08
ถาม : มีดหมอเป็นอนุสติได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : ก็นึกถึงครูบาอาจารย์ เป็นสังฆานุสติ แล้วถ้าเป็นตัวพระคาถาก็เป็นธัมมานุสติได้

ส่วนใหญ่สายหลวงพ่อกวยจะตีคาถาเป็นหัวใจพระไตรปิฎก หัวใจพระสูตร หัวใจพระอภิธรรม อย่างหัวใจพระสูตร ทีมะสังอังขุ (ทีฆนิกาย มหานิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตรนิกาย ขุททกนิกาย) หัวใจพระวินัย อาปามะจุปะ (อาทิกัมมิกะ ปาจิตตีย์ มหาวรรค จุลวรรค ปริวารวรรค ) และหัวใจพระอภิธรรม สังวิธาปุกะยะปะ (พระธรรมสังคินี พระวิภังค์ ธาตุกถา ปุคคลบัญญัติ กถาวัตถุ ยมก มหาปัฏฐาน)

ก็นึกเอาว่าเราจะนึกถึงพระพุทธ พระธรรม หรือพระสงฆ์ ส่วนนะโมพุทธายะนี่พระพุทธเจ้าแน่ ๆ มีดหมอทุกเล่มเว้นนะโมพุทธายะได้ยาก อาตมาเคยถามหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่า "แล้วเอ็งจะเอาอะไรมาต้านคุณพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ได้ ? แค่พระองค์เดียวก็เหลือล้นแล้ว นี่ใส่ไปตั้ง ๕ พระองค์..!"

เถรี
05-10-2016, 17:19
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25292&stc=1&d=1475764841

ถาม : มีดหมอของหลวงปู่ยิ้มละคะ ?
ตอบ : มีดหมอของหลวงปู่ยิ้มเล่มที่สวยที่สุดอยู่ที่อาตมา แต่เอาหลอมทำชนวนไปเล่มหนึ่งก็คือพระขรรค์เล่มที่เข้าพิธีฝ่าวิกฤติ หลวงปู่ยิ้มท่านทำมีดหมอน้อยมาก ท่านรอรวบรวมโลหะ แล้วท่านไม่ผสมเลย ได้โลหะมาแค่ไหน ท่านก็ทำแค่นั้น เพราะฉะนั้น...ครั้งหนึ่งก็จะทำได้แค่ ๒ - ๓ เล่มเท่านั้น

สัญลักษณ์ของหลวงปู่ยิ้มที่ชัดที่สุดก็คือ ไม่ว่าจะด้ามหรือฝักท่านจะชุบรัก แล้วรักจะเก่ามาก และส่วนใหญ่จะแกะด้ามเป็นรูปพระฤๅษี เล่มที่อาตมาเก็บอยู่ด้ามไม่ได้ชุบรัก แต่ไปชุบที่ฝัก เล่มนี้อยู่ใต้หมอนที่กุฏิแดง เล่มนั้นชอบใจตรงที่เขาแกะรูปพระฤๅษีได้ประณีตสุด ๆ

ส่วนพระขรรค์เล่มที่สละไป เพราะตอนได้มาจากเจ้าของเก่าเขาขาดการดูแล สนิมขุมขึ้นทั้งเล่มเลย อย่างกับเกล็ดปลา แต่เอามาเข้าพิธีฝ่าวิกฤต กริชของหลวงปู่ทองเฒ่าที่โยมบูชาไปก็ขึ้นสนิมในลักษณะนั้น แสดงออกถึงอายุเป็นร้อยปี

หนังสือวัตถุมงคลของหลวงปู่ยิ้ม ที่ทางด้านคุณ....ทำออกมา อ่านแล้วอย่าไปเชื่อนะ เพราะวัตถุมงคลหลายชิ้นไม่ใช่ ประวัติบางส่วนก็มั่วเอา ระยะหลังพวกเซียนเขาใช้วิธีทำหนังสือของตัวเองออกมา แล้วลงรูปวัตถุมงคลของตัวเอง หลังจากนั้นก็ปล่อยให้บูชา อ้างว่าเป็นองค์ดารา ได้ลงหนังสือมาแล้ว ก็เอาลงทั้งปลอม ๆ นั่นแหละคนเห็นว่าองค์เดียวกับในหนังสือก็บูชากันไป

เถรี
05-10-2016, 20:32
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25145&d=1474635568


ถาม : มีดหมอหลวงพ่อรุ่ง ลายพญานาค เวลาลงน้ำต้องคาบมีดด้วยไหมคะ ?
ตอบ : เหน็บเอวไปก็ได้

ถาม : อยากคาบค่ะ ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็คาบไปสิ คนเห็นก็คงคิดว่าจะไปล่าตัวอะไร...!

เถรี
05-10-2016, 20:34
ถาม : ตอนที่เราไม่ใช้วัตถุมงคล วัตถุมงคลก็หนีไปเอง ?
ตอบ : แสดงว่าต้องมีปัญหาแน่ ๆ แต่สำหรับอาตมาแล้วไม่หวงของ ถ้าท่านหนีไป แสดงว่าท่านเห็นว่าคนอื่นเหมาะสมกว่า..!

เถรี
05-10-2016, 20:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาแบ่งมีดหมอส่วนหนึ่งออกไปแล้ว เพื่อที่จะหลอมทำชนวนในการสร้างไม้เท้ากับบาตรน้ำมนต์ ส่วนหนึ่งก็แบ่งมาให้พวกเราบูชากัน ส่วนหนึ่งก็นำเข้าพิพิธภัณฑ์

มีดหมอหลวงพ่อกวยส่วนที่นำเข้าพิพิธภัณฑ์ จะเป็นรุ่นหลัง ๆ ที่คนส่วนมากจะรู้จักกัน ถ้าเป็นรุ่นแรก ๆ คนไม่ค่อยรู้จักหรอก แต่รุ่นแรก ๆ จะดีกว่า เพราะว่าเป็นโลหะอาถรรพ์ทั้งนั้น ถ้าเราดูเนื้อมีดจะเห็นชัดเลยว่าเนื้อมีดไม่เสมอกัน จะมีหลายสีปน ๆ กันอยู่ มีบางเล่มจะชัดมากคือเห็นเป็นหลายสี แต่พอถ่ายรูปออกมาแล้วดูเหมือนกับบุบ ๆ บี้ ๆ

ที่อาตมาสะสมมีดหมอ มีเจตนาที่ชัดที่สุดก็คือตั้งใจว่า ถ้าทำวัตถุมงคลจะได้ใส่ลงไปด้วย เพราะตอนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านทำมีดหมอดาบฟ้าฟื้นรุ่นแรก ท่านบอกว่า “เสียดาย...ถ้าอยู่ใกล้ ๆ จะไปตะไบดาบฟ้าฟื้นของจริงมาผสมด้วย” อุทัยธานีกับเขาชนไก่ตอนนั้นไกลกันมาก"

เถรี
05-10-2016, 20:48
ถาม : มีดต้องเหน็บเอวขนาดไหนคะ ?
ตอบ : ปกติเขาเหน็บหลังกัน เหน็บตามแนวกระดูกสันหลัง จะเรียบสนิท ถ้าเล่มเล็กแทบดูไม่รู้เลยว่าพกมีด เราแค่ปล่อยให้ตรงด้ามโผล่พ้นขึ้นมาเท่านั้นเอง

ถ้าพวกเรามารับแล้วถือมีดออกไปพร้อม ๆ กัน คนเขาคงคิดว่าไอ้พวกนี้มาวัดจริง ๆ หรือเปล่าวะ ? เล่นแต่มีดแต่ไม้...!

เถรี
05-10-2016, 20:53
พระอาจารย์กล่าวว่า "หาอะไรมาห่อมีดหมอไปหน่อยสิ ถือไปแบบนั้นเดี๋ยวตำรวจเรียก จริง ๆ แล้วก็ไม่มีอะไรน่ากลัว เพราะตามกฎหมายแล้ว มีดไม่ใช่อาวุธโดยธรรมชาติ เขาถือเป็นของใช้ ตำรวจจะมาอ้างจับมีดนี่โดนอัดก่อนแน่ ๆ ถ้าหากว่าเป็นดาบหลวงพ่อรุ่ง อย่างนี้คืออาวุธ "

ถาม : คนเขาถือพร้าไปฟันที่สวน ยังทำได้เลย ?
ตอบ : ได้..จุดหมายและงานเขาแน่นอน ที่ปักษ์ใต้สมัยก่อนเวลาเขาถือพร้าให้ใบบังหู กันคนฟัน ถ้าฟันคอจะติดพร้าก่อน

ถาม : เขาถืออย่างนี้หรือคะ ?
ตอบ : เขาก็ถืออย่างนี้จริง ๆ เพราะส่วนใหญ่แล้วคนจะย่องมาฟันข้างหลัง เท่ากับว่ากันไปได้ข้างหนึ่ง แล้วส่วนใหญ่คนมักจะถนัดขวา ก็จะฟันข้างขวานี้ ถ้าฟันมาก็ติดใบพร้า อย่างเก่งก็แค่เซ เรียกว่าถือพร้าปิดหู

เถรี
05-10-2016, 21:01
ถาม : ดาบฟ้าฟื้นปัจจุบันอยู่ในถ้ำเขาชนไก่หรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ถ้ำ ตอนนี้อยู่กลางแจ้งเลย คือขุนแผนท่านใส่ไว้ในโพรงไม้ฝากเทวดารักษาไว้ แต่ต้นไม้ตายผุไปนานแล้ว

เถรี
05-10-2016, 21:49
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครช่วยสัมภาษณ์คุณเถรีให้หน่อย ว่าไปทำอะไรไว้ มีดหมอ (สาลิกา) หลวงปู่ทองเฒ่าเล่มนี้ หนีไปทีหนึ่งแล้ว เกือบจะมาไม่ถึง"

ถาม : วันนั้นเขาก็บ่นว่าเสือหนี ?
ตอบ : มีดหมอก็หนี เขาหนีไปที่ซึ่งนึกไม่ถึง แต่บังเอิญอาตมาเปะปะไปทำงานตรงนั้นพอดี อ้าว...มาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ?

ถาม : มีดหมอเล่มเล็กจัง ?
ตอบ : มีดหมอสาลิกา เขาทำเป็นเล่มเล็ก ๆ ไว้ให้ติดตัว จะได้พกพาง่าย และไม่ดูเป็นอาวุธ แต่อานุภาพไม่ได้เล็กตามตัวนะ คำว่าสาลิกามาจากสมัยก่อนเขาแกะไม้เป็นรูปนก แล้วไม้ที่เขานิยมมาเอามาแกะมักจะเป็นกาฝากรัก กาฝากรักยม กาฝากมะรุม ก็ถือเอาเคล็ดลับของคำว่า "รัก" เป็นที่ "นิยม" คน "มะรุม" มะตุ้ม อะไรประมาณนั้น คราวนี้ถ้าแกะชิ้นใหญ่ก็ได้น้อย เขาจึงแกะตัวเล็กนิดเดียว เพื่อที่จะได้ประหยัดวัสดุ ก็เลยกลายเป็นว่า คำว่าสาลิกา ใช้แทนของเล็ก ๆ พอมารุ่นหลังนี้เขาใช้คำว่าสาลิกาแทนของเล็ก ๆ อย่างมีดหมอสาลิกา หรือไม่ก็เสือสาลิกา หลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย

เถรี
05-10-2016, 21:54
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมากำลังจะทยอยลงลูกอม ที่ราคาสูงหน่อยก็เป็นลูกอมของหลวงปู่ปาน วัดตุ๊กตา และหลวงปู่ทับ วัดอนงคาราม เพราะว่านอกจากหายากแล้ว ในตลาดยังเล่นแพงมาก ที่เหลือก็พยายามเอาให้อยู่ในราคาที่พอรับกันได้

ลูกอมของหลวงปู่ปาน วัดตุ๊กตา ๓๐ กว่าปีได้มาแค่ ๖ ลูก ทั้ง ๆ ที่อาตมาเป็นคนนครปฐมเองแท้ ๆ ลูกอมของท่าน อาตมาขอยืนยันว่าไม่ใช่ลูกอมหรอก เป็นพระธาตุไปหมดแล้ว เนื้อเหมือนกับหินอ่อนเลย คนรุ่นหลังก็รู้อยู่ว่าท่านทำด้วยผง แล้วไม่สงสัยหรือว่าทำไมเป็นหินอ่อนไปหมด ?

หลวงปู่ปานเป็นใครเราไม่ต้องรู้จักหรอก ลูกศิษย์ท่านก็คือหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว เจ้าตำรับเบี้ยแก้สายภาคกลางที่ดังระเบิดเถิดเทิง และหลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ เจ้าตำรับพระปิดตาเนื้อโลหะอันดับหนึ่งของเบญจภาคีพระปิดตา นั่นเป็นลูกศิษย์ของท่านทั้งคู่"

เถรี
05-10-2016, 21:57
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านใหม่ที่เขาไปดูไว้ ถ้าลงตัวตอนนี้ก็น่าจะเกิน ๙๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว จะอยู่ที่สถานีรถไฟฟ้าบางรักใหญ่ (สายสีม่วง) เป็นส่วนของนนทบุรี แต่ถ้าเดินลงจากรถไฟฟ้าแล้วจะใกล้กว่าที่นี่ ที่นั่นลงจากรถแล้วบ้านอยู่ติดถนนใหญ่เลย

ถ้าใครเอารถไป ตลอดแนวถนนใหญ่ประมาณกิโลเมตรหนึ่งจอดได้หมด เลือกว่าจะเอารถส่วนตัวไป หรือว่าจะไปรถไฟฟ้า รถตู้ก็มีเพราะว่ารถตู้วิ่งจากบางหว้าไป Central Westgate ที่นั่นอยู่ก่อนถึง Westgate ๒ สถานี

เพียงแต่ว่าจะหาบ้านหลังใหญ่อย่างบ้านวิริยบารมีนี้ไม่ได้หรอก เดี๋ยวหลังนี้จะดูว่าหลวงพ่อที่มาแทนท่านจะหาคนนั่งเต็มได้ไหม ? ต้องขอบคุณท่านเจ้าของบ้านวิริยบารมีที่อำนวยความสะดวกให้พวกเรามาเกือบจะ ๖ ปีเต็ม ๆ"

เถรี
05-10-2016, 22:05
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อคืนวันพุธก่อนลงมาที่นี่ เถ้าแก่สมใจ มาโนช ประธานชมรมผู้สูงอายุทองผาภูมิ พาครอบครัวมาถวายทองคำ ๕ บาท เงินอีก ๓๐,๐๐๐ บาท และเข็มขัดเงิน ๒ เส้น บอกว่าขอร่วมสร้างพระกับอาจารย์ด้วย

เรื่องนี้ต้องบอกว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์อย่างหนึ่ง เพราะปกติแล้วทางเถ้าแก่สมใจเป็นคนประหยัดกิน ประหยัดใช้มาก ค่อนข้างจะมัธยัสถ์ แม้กระทั่งทุกวันนี้เถ้าแก่สมใจก็ใช้รถกระบะเก่า ๆ ของเมื่อ ๔๐ ปีที่แล้ว

ท่านเป็นลูกศิษย์รุ่นแรก ๆ ของหลวงปู่สาย พอสิ้นหลวงปู่สายก็ไปทางหลวงพ่ออุตตะมะ ในเมื่อเจอสุดยอดครูบาอาจารย์ลักษณะอย่างนั้น โอกาสที่ท่านจะทำบุญกับพระอื่นก็ยาก อาตมาไปอยู่ทองผาภูมิมา ๒๓-๒๔ ปี ทราบกิตติศัพท์ของท่านเป็นอย่างดี แล้วอยู่ ๆ ก็มาทำบุญ อาตมายังทึ่งอยู่เหมือนกัน แสดงว่าจริง ๆ แล้วท่านก็อยากทำบุญ เพียงแต่เล็งอยู่ว่าจะหาพระที่ไว้ใจได้ที่ไหน"

เถรี
05-10-2016, 22:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "หนังสือเกี่ยวกับการหาทุนเข้าสมาพันธ์ชาวพุทธ ดำเนินการปกป้องพระพุทธศาสนา อันแรกที่เห็นผลอย่างชัดเจนที่สุด ก็คือ จังหวัดบึงกาฬ ประกาศเป็นจังหวัดที่มีพระพุทธศาสนาประจำจังหวัด ประกาศเลยเพราะว่าเขาตั้งหน้าตั้งตาจะสร้างมัสยิด แล้วพวกเจ้าหน้าที่ก็ข่มขู่ชาวบ้านว่า ถ้าขัดขวางจะมีโทษอย่างนั้นมีโทษอย่างนี้ คราวนี้ชาวบ้านเขาไม่ยอม ก็ประกาศเลยว่าบึงกาฬเป็นเขตพระพุทธศาสนา เป็นดินแดนของพระอริยสงฆ์ ไม่ต้องการมัสยิด แล้วก็ประกาศว่าบึงกาฬเป็นจังหวัดที่มีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำจังหวัด

เป็นจังหวัดที่ตั้งท้ายสุด แต่บังอาจประกาศแรกสุด เออ...เจ๋งว่ะ..! เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องไปประกาศศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติหรอก ประกาศเป็นศาสนาประจำจังหวัดทุกจังหวัด เดี๋ยวก็เป็นศาสนาประจำชาติไปเอง จังหวัดอื่น ๆ ถ้ามีผู้ว่าหรือปลัดจังหวัดเป็นอิสลาม เขาจะขวางสุดชีวิตเลย ที่บึงกาฬปลัดจังหวัดเขาดันสุดลิ่มทิ่มประตู แต่ชาวบ้านรวมตัวกันประกาศเฉยเลย ต้องบอกว่าเป็นความกล้าหาญสมกับที่เป็นชาวพุทธ

การพิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนาไว้ แม้จะต้องเสียชีวิตลงก็ต้องทำ แล้วจะมีอะไรให้เราต้องกลัว ? อิสลามมีหยิบมือเดียว อาตมาไม่เห็นจะกลัวเลย สมัยยังเป็นฆราวาสตีกับเขาประจำ ทั้งซอยมีบ้านไทย ๒ หลัง นอกนั้นเป็นอิสลามหมด เขายกกันมาทั้งหมู่บ้าน อาตมาก็ไม่เคยเกี่ยง มาเท่าไรเจอมือเจอตีนเข้าก็ร่วงเหมือนกัน โดนมาก ๆ เข้าเขาสู้ไม่ได้ก็ไปแจ้งความ แจ้งความแล้วมีประโยชน์อะไร ตำรวจเขาฟังดูก็รู้อยู่แล้วว่าผิดปกติ มีเยี่ยงอย่างหรือ ? อาตมา ๒ คนไปรุมเขา ๓๐ กว่าคน คน ๒ คนรุมคน ๓๐ กว่าได้ด้วยหรือ ? ท้ายสุดตำรวจก็เลยต้องแจ้งข้อหาทะเลาะวิวาท ปรับฝ่ายละ ๔๐๐ บาท อาตมาก็เลยบอกกับน้องชายว่า ต่อไปมีเท่าไรเอาให้คุ้มกับค่าปรับ ไหน ๆ ก็ต้องจ่ายแล้ว...ใช่ไหม ?

อิสลามมีนิสัยเรียกร้องสิทธิทุกอย่าง ด้วยความที่คนเขามีจำนวนน้อย เขาจำเป็นต้องสามัคคีกันเหนียวแน่น ส่วนคนไทยของเรามีลักษณะม้าอารี อะไร ๆ ก็แล้วแต่...ช่างเถอะ...ไม่เป็นไรหรอก จนกระทั่งเขาขี่คอเราอยู่แล้ว"

เถรี
06-10-2016, 17:08
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในหนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์เดือนตุลาคม ๒๕๕๙ นี้ หน้าที่ ๒๙ พูดถึงพระที่ยังไม่ถึง ๕ พรรษา ว่าห้ามพ้นไปจากครูบาอาจารย์ เพราะว่าจะไปปฏิบัติผิดพลาดแล้วเกิดโทษแก่ตนเองได้ แต่ว่าเมื่อ ๒ วันก่อนมีพระรูปหนึ่งพรรษาท่านเกิน ๑๐ แล้ว เป็นเจ้าอาวาสด้วย ไปที่วัดท่าขนุน ค้างคืนรอพบอาตมา ถามว่ามีธุระอะไรถึงได้ขอสัตตาหะฯ มา ท่านบอกว่า “จะมาขอให้อาจารย์จารตะกรุดให้ครับ” ก็เลยถามท่านว่า “แล้วคุณไปเอากติกาการสัตตาหะฯ มาจากไหน ว่าไปจารตะกรุดได้ พระพุทธเจ้าอนุญาตไว้หรือ ?”

ท่านบอกว่า “ผมจะมาหาหมอด้วยครับ” อาตมาบอกไปว่า “ไอ้ประเภทกะล่อนไปเรื่อยนี่ไม่ต้องมาหาผมหรอก” กฎเกณฑ์กติกาของการสัตตาหะฯ ได้ในช่วงเข้าพรรษา พระพุทธเจ้าท่านก็บอกชัดเอาไว้ว่า พ่อป่วย แม่ป่วย พระอุปัชฌาย์อาจารย์ป่วย ไปเพื่อรักษาพยาบาลได้ เพื่อนสหธรรมิกที่อยู่ต่างวัดจะสึก ไปเพื่อห้ามปรามได้ วัดพังไปหาทัพสัมภาระวัสดุต่าง ๆ มาซ่อมมาสร้างวัดให้ไปได้ ได้รับกิจนิมนต์ไปเพื่อเจริญศรัทธาไปได้

ถ้านอกเหนือจากนี้จำเป็นต้องพิจารณากับมหาปเทส ๔ ก็คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านให้ไว้สำหรับพิจารณาว่า สิ่งนี้ถูกต้องตามพระวินัยหรือไม่ ท่านว่าสิ่งใดไม่สมควร พิจารณาแล้วไม่สมควร สิ่งนั้นย่อมไม่สมควร สิ่งใดไม่สมควร พิจารณาแล้วว่าสมควร สิ่งนั้นย่อมสมควร อย่างเช่นสมัยนี้พระต้องไปศึกษา ต้องไปเรียนหนังสือ เรียนมาเพื่อให้มีความรู้จะได้นำมาสอนตนเอง และไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้ดียิ่งขึ้น แม้ว่าไม่ได้รับอนุญาตเอาไว้ นับเป็นสิ่งที่ไม่สมควร แต่พิจารณาแล้วว่าสมควร ก็อนุญาตให้ไปได้ เป็นต้น แล้วของท่านจะมาให้จารตะกรุด พิจารณาแล้วสมควรไหม ?"

เถรี
06-10-2016, 17:10
"อย่าลืมว่าท่านเป็นเจ้าอาวาสแล้วนะ ถ้าลักษณะอย่างนั้นท่านก็จะไปสอนลูกศิษย์ผิด ๆ ไปเรื่อย ยิ่งสมัยนี้บรรดาพระต่าง ๆ ถึงเวลาบวชเข้าไปแล้วก็รื่นเริงบันเทิงใจมาก กูจะไปไหนก็สัตตาหะฯ อย่างเดียว ไม่ได้ดูเลยว่าพระพุทธเจ้าอนุญาตไว้หรือเปล่า ก็กลายเป็นว่าตัวเองต้องอาบัติอยู่ทุกวัน

ในส่วนนี้ที่กล่าวไว้ พอดีไปตรงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวัดจึงได้นำมาพูด เป็นที่น่าเสียดายว่าท่านบวชมานานขนาดนั้น ไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร พอโดนดุเข้า รุ่งเช้าก็เลยไม่ฉันเช้า รีบกลับไปเลย อาตมาอาจจะโหดสักหน่อย แต่ถ้านำไปพิจารณาก็คงจะได้ประโยชน์ของตัวเอง ถ้าไม่พิจารณาก็คงไม่ได้อะไรเลย แล้วก็ทำผิดไปอีก ก็เลยฉวยโอกาสอบรมพระในวัดท่าขนุนไปด้วย

ในเมื่อมีตัวอย่างชัด ๆ แล้วก็บอกกับทุกท่านว่า อย่าให้มีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น ถ้าหากว่าเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ขอสัตตาหะฯ ไปอยู่โรงพยาบาล ไม่ใช่ตะกายมาวัดให้อาจารย์จารตะกรุดให้...! การเจ็บไข้ได้ป่วยพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้อนุญาตไว้ เพราะท่านอนุญาตแค่ว่าพ่อป่วย แม่ป่วย พระอุปัชฌาย์อาจารย์ป่วย แต่การที่ตัวเองป่วย ถ้าหากว่าไม่รักษา เกิดโรคหนักขึ้นมาถึงแก่ชีวิตได้ พิจารณาแล้วว่าถึงไม่ได้รับอนุญาต เป็นเรื่องไม่สมควร แต่พิจารณาแล้วว่าสมควร ก็ให้ไปโรงพยาบาลโดยการขอสัตตาหะฯ ได้"

เถรี
06-10-2016, 17:12
"ก็มีผู้ตั้งปัญหาว่า ถ้าเกิดว่าป่วยหนักอยู่โรงพยาบาลเกิน ๗ วันจะทำอย่างไร ? จะให้หามมาขอสัตตาหะฯ ใหม่ไหม ? อาตมาบอกว่า ให้ทางวัดส่งตัวแทนพระไป ๔ รูป หรือเป็นตัวแทนของคณะสงฆ์ทั้งวัด ไปให้ท่านขอสัตตาหะฯ ที่โรงพยาบาลต่อ ป่วยหนัก ๆ หามกันมาอาจจะได้หามเข้าเมรุไปเลย...!

อยู่กับโรงพยาบาลนั่นแหละ ให้ทางวัดส่งตัวแทนสงฆ์ไป ๔ รูป ไปรับการขอสัตตาหะฯ ของท่านแล้วมาแจ้งกับทางสงฆ์ว่า ท่านขอลาต่ออีก ๗ วันเพื่อรักษาตัว สัตตาหกรณียะ แปลว่า กรณีอันจำเป็นไปได้ไม่เกิน ๗ วัน แต่มีหลายท่านสอนกันผิด ๆ อย่างเช่นสอนว่า ถ้ากลับเข้าวัดไม่ทันอรุณของวันที่ ๘ ก็คือเช้ามืดของคืนวันที่ ๗ ซึ่งถ้าสว่างก็จะเป็นวันที่ ๘ ท่านสอนว่าให้โยนผ้าครองเข้ามาในวัด ถือว่าไม่ขาดพรรษา...! อาตมาฟังแล้วก็ขำ ๆ สอนมาได้อย่างไรวะ ? ถ้าอย่างนั้นตัวขาดพรรษา เพราะว่าเกิน ๗ วัน แล้วผ้าก็ขาดครองเพราะห่างจากตัวเอง โดน ๒ เด้งเลย เพราะฉะนั้นอย่าทะลึ่งไปทำแบบนั้น...!"

เถรี
06-10-2016, 17:17
พระอาจารย์กล่าวว่า "คุณไปเอาเหรียญราชมิตราภรณ์มาจากไหน ? ที่แขวนอยู่นั่น อาตมาอยู่กับหลวงพ่อฤๅษี ทั้งชีวิตฆราวาสและชีวิตพระรวมแล้ว ๑๘ ปี ท่านให้มาแค่เหรียญเดียว

เชื่อเถอะ...คนรุ่นหลังก็ไม่รู้หรอกว่าเหรียญนี้ชื่ออะไร ท่านบอกไว้ส่วนใหญ่นอกจากจะไม่จดแล้ว ยังไม่จำอีกต่างหาก พอถึงเวลาก็มั่วกันไปเรื่อย ๆ

รุ่นนั้นหลวงพ่อท่านสร้างแล้วมอบให้กับคนที่ทำบุญเข้ากองทุนสงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร อาตมาเองไม่มีสตางค์เข้ากองทุนกับเขาหรอก สมัยนั้นเป็นเด็กกะโปโล แต่วิ่งรับใช้ท่าน ท้ายสุดท่านก็ให้มา ๑ เหรียญ เพราะไปนั่งทำท่าน้ำลายหกให้ท่านเห็น"

เถรี
06-10-2016, 17:25
ถาม : การปฏิบัติธรรม ถ้าเราจับหลักได้จะเป็นการข้ามขั้นหรือไม่ ?
ตอบ : ต้องถามว่าหลักอะไร ? ถ้าหากว่าหลักของศีล ก็ข้ามการให้ทาน ถ้าหลักของการภาวนาก็ข้ามทั้งทานทั้งศีล ท่านให้ทำใน ศีล สมาธิ ปัญญา ไปพร้อม ๆ กัน ไม่ใช่เน้นอย่างใดอย่างหนึ่ง

โดยเฉพาะเรื่องของ ทาน ศีล ภาวนา อานิสงส์นั้นต่างกัน เรื่องของทาน ถ้าเกิดใหม่จะมีโภคสมบัติมาก พูดง่าย ๆ ว่ารวยมาก เรื่องของศีลก็จะมีรูปสวย น้ำใจดี เรื่องของการภาวนา ก็จะมีปัญญามาก ดังนั้น...ในเรื่องของการที่เราจะปฏิบัติก็ควรที่จะทำให้ครบถ้วนทุกอย่าง

เถรี
06-10-2016, 17:42
ถาม : ทำไมแบ่งเป็นพระป่า พระบ้าน ?
ตอบ : ส่วนใหญ่พระสายหลวงปู่มั่นท่านจะอยู่ป่า ออกธุดงค์ เขาก็เลยเรียกกันง่าย ๆ ว่าพระป่า แต่ทั่ว ๆ ไปก็จัดเป็นพระบ้าน

เถรี
06-10-2016, 18:24
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนอาตมาไปงานออกนิโรธกรรมของครูบาวิฑูรย์มา หลายส่วนที่ด่าไปเมื่อปีที่แล้ว มาปีนี้ก็ปรับปรุงดีขึ้น แต่หลายส่วนที่ไม่ได้ด่าก็เละเหมือนเดิม จึงต้องด่ากันต่อ ทำไมเขาไม่ค่อยมีสายตาในการทำงานกันเลย ของที่ทำให้เร็วได้ ทำให้ง่ายได้ ก็มักจะทำให้ช้า ทำให้ยากกันหมด

อาตมาเสร็จจากด้านนั้นก็ไปเยี่ยมหลวงพ่อสมปอง ไปถึงลูกศิษย์ท่านก็ให้นั่งรอ อาตมาก็คิดว่าท่านป่วยเราควรจะขึ้นไปหาถึงที่ ปรากฏว่าท่านเดินลงมาเอง ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกัน ท่านบอกว่าตอนนี้ยังยืดตัวตรง ๆ ไม่ได้ เพราะว่าแผลผ่าตัดยังตึง แล้วก็ยังต้องแขวนถุงไว้ข้างตัว ไปไหนก็ได้พิจารณาไปด้วย"

ถาม : ท่านยังไม่ได้เย็บปากแผล ?
ตอบ : ท่านบอกว่าไม่เย็บหรอก ปล่อยไว้อย่างนั้นเลย แบบเดียวกับหลวงพ่อสมพงษ์ วัดใหม่ปิ่นเกลียว อาตมาไปเสกชูชกให้ท่าน ท่านเองนั่งรถเข็นมา แขวนถุงไว้อย่างนั้นแหละ ก็หัวเราะกันสนุกสนานเฮฮา ไม่เห็นท่านจะเครียดอะไร พระปฏิบัตินี่ได้เปรียบนะ ไม่ค่อยกังวลกับเรื่องของร่างกาย

เถรี
06-10-2016, 18:27
อาตมานั่งกำแขนกับหลวงพ่อสมปอง ดูว่าตอนนี้แขนใครใหญ่กว่า ผอมทั้งคู่เลย สมัยโน้นถึงจะผอมแต่กล้ามเป็นมัด ๆ ทั้งคู่ สมัยนี้แก่ตัวลงบ้าง ป่วยบ้าง ต่างคนก็ต่างเหี่ยว

จริง ๆ ถ้าลูกศิษย์บอกว่าท่านอยู่ที่ไหนก็จะขึ้นไปหาท่านเอง จะสะดวกกว่า แต่คราวนี้เขาไม่บอก เขาพาไปนั่งรอเฉย ๆ แล้วตัวเองก็ไปนั่งสวดมนต์ แต่อาตมาไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะตั้งแต่ก่อนจะไป คนก็ถามว่าแล้วท่านจะเปิดบ้านรับหรือ ? อาตมาบอกว่าไปเถอะ เดี๋ยวท่านก็เปิดเอง ไปถึงไม่มีที่จอดรถ อาตมาก็ให้จอดขวางประตูบ้านไปเลย..!

เถรี
06-10-2016, 18:30
พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมนามสกุลว่า กงตาล คำว่า กง คำนี้เป็นภาษาโบราณมากเลย กงตาลคือไร่ที่มีต้นตาลขึ้นอยู่ กงตัวนี้ไม่ได้หมายถึงวง ไม่ได้หมายถึงความกลม แต่กงตัวนี้ก็คือไร่ เป็นภาษาเก่า โบราณบางทีก็พูดติดกันว่าเป็นไร่เป็นกง ใช้ ๒ คำติดกัน"

เถรี
06-10-2016, 19:14
ถาม : มีเพื่อนผมทำบุญวันเกิด เขาเจอแต่เรื่องให้เจ็บช้ำน้ำใจ แล้วเขาโทษว่า ทำไมคนเราไม่ยอมชดใช้กรรมให้หมดไปทีเดียวเลย แล้วมาเจอกรรมที่นี่อีก เขาตัดพ้อ มีวิธีการรับมืออย่างไร ?
ตอบ : ก็ไปตัดพ้อกับพระยายมราชสิ...! แสดงว่าเขาทำแต่กรรมใหญ่ ๆ ไม่เคยทำกรรมเล็กเลยใช่ไหม ? ใจคอจะไม่ให้คิดดอกเบี้ยเลย

ถาม : เห็นว่าเป็นวันเกิดเขา ก็เลยชวนซื้อที่ดินสร้างสำนักสงฆ์ พอทำเสร็จก็โดนคนด่า ?
ตอบ : คนเราถ้าอยู่ในลักษณะนั้น แสดงว่าถ้าตั้งใจทำดีก็จะได้ผลเร็วมาก มารจึงต้องขวางแรง

ถาม : ใช่ครับ เขาโดนอย่างนี้ ผมไม่รู้จะอธิบายเขาอย่างไรดี ?
ตอบ : ไม่ต้องอธิบาย ปล่อยเขาไปเถอะ

เถรี
06-10-2016, 20:22
ถาม : ทำไมเห็ดถึงขึ้นเป็นวงกลมคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่หรอก เห็ดจะขึ้นเป็นรูปอะไรก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ต้องมีเชื้ออยู่ตรงนั้น แล้วเชื้อเห็ดมักจะมาจากปลวก ถ้าปลวกทำรังอยู่ตรงไหน เห็ดก็จะขึ้นอยู่รอบบริเวณนั้น ถ้าทำรังยาว ๆ ก็จะขึ้นเป็นแนวยาว ๆ

เห็ดโคนต้องบอกว่าเป็นเห็ดศักดิ์สิทธิ์ เหตุที่เป็นเห็ดศักดิ์สิทธิ์เพราะว่าปั่นเนื้อเยื่อไม่ได้ เพาะอย่างไรก็ไม่ได้ มีอยู่ช่วงหนึ่งเขาเอาไปปั่นเนื้อเยื่อลักษณะตัดต่อพันธุกรรมเข้ากับเห็ดฟางแล้วก็เอามาปลูก อาตมาก็คิดดีใจว่าทำได้ ปรากฏว่าผลออกมาไม่ตามใจเราหรอก นึกจะเป็นเห็ดฟางก็เป็นเห็ดฟาง นึกจะเป็นเห็ดโคนก็เป็นเห็ดโคน ไม่เอากับใครเลย ปกติถ้าปั่นเนื้อเยื่อจะได้เหมือนต้นแบบเลย แต่เห็ดโคนปั่นเนื้อเยื่ออย่างไรก็ทำไม่ได้ ท้ายสุดก็ต้องปล่อยให้ปลวกเพาะตามเดิม

เถรี
07-10-2016, 18:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเป็นคนไม่ติดโทรศัพท์ แล้วโทรศัพท์ก็ไม่ติดอาตมาด้วย เมื่อเดือนก่อนลืมโทรศัพท์ไว้ในรถ ๓ วัน พระผู้ใหญ่โทรมา ๗ – ๘ สาย ไม่ได้รับสักสาย ท่านคงคิดว่าอาจารย์เล็กฆ่าตัวตายไปแล้วกระมัง...? ด้วยความที่ไม่ติดโทรศัพท์ ขาดไปก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองขาดอะไร ก็ทำงานไปเรื่อย รู้ตัวอีกทีตอนจะออกไปข้างนอก ขึ้นรถแล้ว อ้าว...โทรศัพท์วางอยู่บนเบาะ หยิบขึ้นมาดูมีสายเข้ามา ๗ – ๘ สาย เมื่อไม่ติดอะไรก็รู้สึกสบายดี

ญาติโยมทดลองทิ้งโทรศัพท์สักวัน ดูว่าจะลงแดงตายไหม ? ต้องตะเกียกตะกายไขว่คว้าอย่างชนิดคนติดบุหรี่ติดเหล้าแล้วอยากหรือเปล่า ? ต่างประเทศเขามีหมอจิตวิทยารับรักษา เรื่องของการเสพติดเทคโนโลยีโดยเฉพาะ บ้านเราคงรักษาไม่ได้หรอก

เหตุที่รักษาไม่ได้เนื่องจากพวกเราไม่ยอมให้รักษากัน รู้สึกตัวเองมีความสุขที่จะได้ก้มหน้าก้มตากับโทรศัพท์ หารู้ไม่ว่าผลาญเวลาไปเท่าไรก็ไม่รู้ ที่แน่ ๆ ก็คือ การปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างหมดไป กลายเป็นคนมีโลกส่วนตัวมากขึ้น แต่ก็ดี...เพราะว่าบางคนมีรถยนต์ส่วนตัว มีเรือยอร์ชส่วนตัว คุยโขมงไปหมด เรามีโลกส่วนตัวยังไม่คุยทับใครเลย...!"

เถรี
07-10-2016, 18:23
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครที่อยู่ทางอเมริกาก็หาช่องทางขยับขยายบ้างนะ ไม่รู้ว่าจะโดนระเบิดเมื่อไร"

เถรี
07-10-2016, 18:28
พระอาจารย์กล่าวว่า "แจ้งให้โยมทราบอย่างเป็นทางการว่า ใครจะไปหาอาตมาที่วัดมีโอกาสเจอน้อยมาก ต่อให้อยู่วัดก็ไม่ได้เจอ เพราะอาตมาเองก็จำไม่ได้ว่าตัวเองมีตำแหน่งอะไรบ้าง แล้วงานท่วมหัว ทำกันตั้งแต่เช้ายันดึกก็ไม่หมด ล่าสุดนี้เขาจะโหวตให้เป็นประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรี ต้องขอถอนตัวทั้ง ๆ ที่เขาเสนอชื่อไปแล้ว

การเป็นประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอคนเดียวใน ๑๓ อำเภอที่เป็นพระ ก็แย่พอแล้ว ยังจะเป็นประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดคนเดียวใน ๗๗ จังหวัดก็เกินไป ก็เลยต้องขอถอนตัว เพราะงานทั้งจังหวัดหนักเกินไป ไม่สามารถที่จะทำให้เขาได้ พอถอนตัวก็มีแต่คนบ่นเสียดาย เพราะว่าอดีตประธานสภาวัฒนธรรมท่านตั้งใจเทคะแนนให้ ซึ่งต้องการแค่ ๒๖ คะแนนเท่านั้น

เฉพาะสมาชิกที่มาจากทองผาภูมิก็ ๒๒ คนแล้ว แล้วไหนจะของประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดที่เขาคุมเกือบทั้งจังหวัดอีก ฉะนั้น...แค่ ๒๖ คะแนนเป็นเรื่องที่ซวยแน่ ๆ ถ้าคุณไม่ถอนตัว เพราะว่าเขาต้องการคะแนนเสียง ถ้า ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เต็มคือ ๕๑ คะแนน ต้องการ ๒๖ คะแนนก็ชนะแน่ ๆ แล้ว มองไปแล้วเห็นว่าความซวยมาถึงแน่นอนเลยขอถอนตัวดีกว่า

ฉะนั้น...โยมไม่ต้องเสียเวลาไปหาที่วัด เพราะว่าไกล มากรุงเทพฯ เดือนละครั้งได้พบแน่ ๆ ไปที่วัดแล้วไม่ได้เจอ แล้วถ้าอาตมากำลังทำงานอยู่ ใครมาขัดคอจะโดนด่ากระจายมากกว่า ดังนั้น ถ้าไม่ได้นัดเอาไว้ ได้โปรดอย่ามาเสนอหน้าไปเป็นอันขาด...! เดี๋ยวไว้มีโอกาสคงต้องทำบอร์ดใหญ่ ๆ แปะข้างฝาว่าตัวเองมีตำแหน่งอะไรบ้าง จำไม่ไหวจริง ๆ แล้วส่วนใหญ่ที่เขาแต่งตั้งให้เป็นก็เพื่อให้ช่วยจ่ายให้เขา เรื่องอื่นเขาไม่ค่อยต้องการหรอก"

เถรี
07-10-2016, 18:32
"พออาตมาถอนตัว เล่นเอาลูกศิษย์ลูกหาหน้าเหี่ยวไปตาม ๆ กัน เขารู้สึกเป็นเกียรติเป็นศรีมาก ถ้าดันอาจารย์ให้เป็นใหญ่เป็นโตได้ แต่ทุกคนโปรดทราบไว้ว่า ตำแหน่งมักมากับภาระหน้าที่และความรับผิดชอบ ไม่ใช่ขึ้นไปเป็นแบบโก้ ๆ เท่ ๆ เฉย ๆ แต่ขึ้นไปก็ต้องทำงานให้ดี ถ้าทำงานให้ดีไม่ได้ก็อย่าไปเป็นเลย ชื่อเสียงเกียรติยศที่มีอยู่จะพังบรรลัยหมดเปล่า ๆ

ท้ายสุดอาตมาถอนตัว แล้วเทคะแนนให้อดีตรองประธานสภา ชนะลอยลำ เพราะว่าคู่แข่งได้ ๘ คะแนน ถ้าตีว่าตัดคะแนนของตัวเขาออกไปก็ ๙ คะแนน ก็แปลว่าถ้าอาตมาลงสมัคร อย่างไม่มี ๆ ก็ ๔๓ คะแนน เห็นท่านประธานสภาคนใหม่บอกว่าจะขึ้นไปขอบคุณที่วัด ป่านนี้ได้เจอตัวหรือยังก็ไม่รู้ ? แล้วทำไมไม่ขอบคุณตรงนั้นเลย ?

ประธานสภาคนใหม่ท่านเป็นข้าราชการบำนาญ มีโอกาสทำงานเยอะกว่า แล้วเป็นคนแก่มีไฟกระตือรือร้นที่จะทำงาน ชื่ออาจารย์สมโภช ดอกยอ ได้เป็นประธานสภาวัฒนธรรมที่จังหวัดกาญจนบุรีคนใหม่ อีกไม่นานท่านคงมีหนังสือเรียกประชุมอย่างเป็นทางการ"

เถรี
07-10-2016, 18:40
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเราต้องการในสิ่งที่ตัวเองไม่มี หรือมีแล้วไม่ยินดีก็ยังต้องการใหม่ อาตมาเองเห็นคนอ้วน ๆ เมื่อไร ก็คิดว่าเมื่อไรเราจะได้เป็นอย่างนั้นบ้าง ส่วนคนอ้วนเองก็คงจะเบื่อเต็มที กำลังนึกภาพว่าถ้าตัวอาตมาเองถ้าน้ำหนักสัก ๘๐ กิโลกรัม แล้วนั่งอยู่ตรงนี้ คงจะดูดีกว่านี้อีกเยอะ

ไปเยี่ยมหลวงพ่อสมปอง นั่งจับแขนกันดูว่าตอนนี้ใครผอมกว่ากัน คนป่วยทั้งคู่ หลวงพ่อสมปองหนักกว่าเพราะท่านไปผ่าตัดมา อาตมาตอนนี้เลิกคบหมอ เลิกคบยาทั่ว ๆ ไป ไม่เอาแล้ว คือมั่นใจว่าป่วยทรมานขนาดนี้เพราะกรรมเก่า ถ้ายังไม่สิ้นกรรมอย่างไรก็ไม่ตาย ฉะนั้นอยากป่วยอย่างนี้ก็ป่วยไป

อาตมาเลิกกินยามา ๒ ปีกว่า ๓ ปีแล้ว แต่กลับรู้สึกว่าแข็งแรงกว่าเดิม เพราะตอนที่ฉันยาอยู่เรื่อย ๆ รู้สึกว่าตับชำรุดมาก แหล่งเก็บพลังงานไม่พอ พอถึงเวลา ๔ – ๕ โมงเย็น เริ่มป้อแป้หมดเรี่ยวหมดแรงแล้ว บางทีทำวัตรเย็นก็คอพับหลับไปเลย มาถึงตอนนี้ถ้าไม่ใช่โหมงานหนักจริง ๆ ยังพอมีเรี่ยวมีแรงถึง ๓ ทุ่ม ๔ ทุ่ม บ้าง ก็แปลว่าการกินยามีแต่จะทำให้ร่างกายทรุดโทรม ยารักษาโรคได้ก็จริง แต่ก็ทำลายร่างกายเราด้วย"

เถรี
07-10-2016, 18:42
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครไปตรวจเบาหวานเจอน้ำตาลไม่เกิน ๕๐๐ ก็ไม่ต้องไปใส่ใจนะ จงกินต่อไป หมอสมัยใหม่กำหนดอัตราไว้ที่ ๑๐๐ กว่า ๆ เพราะเขาต้องการขายยา น้ำตาลในเลือดระดับ ๒๐๐-๓๐๐ ร่างกายจัดการได้ ไม่ต้องไปกังวล กินไปเถอะ อาตมากินมาไม่รู้เท่าไรแล้ว มีแต่คนถามว่าอายุปูนนี้แล้วไม่เป็นเบาหวานหรือ ? ก็บอกว่า "กูไม่ไปหาหมอ กูก็ไม่เป็น...!" ถ้าสัก ๕๐๐ ขึ้นไปแล้วค่อยวิ่งไปหาหมอ"

เถรี
07-10-2016, 19:50
พระอาจารย์กล่าวว่า "พอดีช่วงนี้กล่าวไว้ว่าอาสาศึกจนตัวตาย อาจารย์สมปองท่านก็ถามมาว่า “หลวงพี่สุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง ?” ก็บอกว่า "ก็เหมือนเดิมทรง ๆ ทรุด ๆ ยิ่งแก่ตัวลงก็ยิ่งแย่ แต่อย่างพวกเราจะให้ได้พักคงไม่มีหรอก ก็คงตายคาสนามกันเหมือนเดิม" นาน ๆ มีโอกาสคุยกันก็รู้สึกดีเหมือนกัน

เพียงแต่ว่าเจอที่ครูบาวิฑูรย์อย่างหนึ่ง แล้วมาเจอที่อาจารย์สมปองอย่างหนึ่ง ทำให้เข้าใจว่าทำไมลูกศิษย์บ้านสบายใจถึงได้เข้มงวดอย่างชนิดที่ห้ามคนรบกวนอาจารย์ ครูบาวิฑูรย์ออกนิโรธกรรมมา อดข้าวมา ๗ วัน มาถึงแรงจะนั่งยังไม่มี ต้องมาให้ครูบารับประเคนด้วยมือตัวเอง อาตมาถึงได้ดุออกไมค์ไป บอกจะถวายก็วางลงไปเลยนั่นแหละ ท่านเองแรงจะหายใจก็ไม่มี แล้วยังต้องให้ขยับมารับอีก

บางท่านต้องบอกว่ากำลังใจต่ำมาก ๆ โดยเฉพาะทำบุญทำทานแล้วไม่มีอุเบกขาในบุญในทานของตัวเอง ถ้าอาจารย์ไม่รับกลัวว่าจะไม่ได้บุญ ถ้าอาจารย์ไม่รับรู้สึกว่าเหมือนกับยังไม่ได้ทำอะไร ก็พยายามจะเคี่ยวเข็ญให้ท่านรับให้ได้ แทนที่จะถนอมธาตุขันธ์ท่านไว้ให้อยู่ด้วยกันนาน ๆ กลายเป็นไปเร่งให้ท่านตายเร็วขึ้น

ดังนั้น...บ้านสบายใจคงเห็นว่าหลวงพ่อสมปองท่านเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ ก็เข้มงวดไม่ให้คนไปรบกวน ซึ่งก็เป็นเรื่องดี แต่ว่าบางอย่างก็ไม่ได้พินิจพิจารณาดูความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม อย่างเช่นว่าหลวงตาวัชรชัยไปก็ทิ้งให้รออยู่โดยไม่ไปรายงานบอกกล่าว หลวงตาท่านไม่ใช่อาตมานี่ บอกให้หลวงตารอก็รอ ถ้าอาตมาไม่รอเฉย ๆ หรอก ตูตะโกนเรียกเลย เพียงแต่เรียกแบบคนอื่นไม่ได้ยินเท่านั้น

ถ้าใช้หลักนิติศาสตร์ก็ตรงไปตรงมาจนเกินไป ต้องมีหลักรัฐศาสตร์คือยืดหยุ่นกันบ้าง ขนาดฝรั่งเขายังบอกเลยว่ากฎทุกกฎต้องมีข้อยกเว้น กฎของเมนเดลยังมีลักษณะเด่น ๓ ลักษณะด้อย ๑"

เถรี
07-10-2016, 19:52
"ตอนนี้หมาที่วัดได้ลักษณะของเจ้าเจค็อบมา ๒ ตัว เจค็อบเก่งมากเลย หมาตัวเมียทุกตัวในวัดไปแย่งเขาได้หมด เพราะเป็นหมาไซบีเรียนฮัสกี้ ตัวใหญ่มาก แต่ไม่เคยมีลูกออกมาหน้าตาเหมือนตัวเองเลย...! อย่างเก่งก็มีสีตาเป็นสีฟ้าข้างหนึ่ง แต่มาปีนี้ได้หุ่นเจ้าเจค็อบมา ๒ ตัว โดนเขาอุ้มไปตัวหนึ่งแล้ว อีกตัวหนึ่งเป็นตัวเมียไม่มีใครเอา เพราะผอมกะหร่องเลย น่าจะยังไม่ได้ถ่ายพยาธิ

วันก่อนอาตมาเพิ่งเอาตับไปให้กินกล่องหนึ่ง จะได้อ้วนหน่อย แต่ว่าอย่างว่าแหละ อดมานานก็เลยล่อนิ้วอาตมาไปด้วย โอ้โฮ...ลูกหมาฟันคมมาก ถ้าหนังไม่เหนียวนี่ได้แหว่งแน่ ๆ"

เถรี
07-10-2016, 20:43
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาได้มีดจักตอกของหลวงพ่อเดิมมา จึงทำบายศรีขอขมาพระ แล้วจัดการหลอมเป็นชนวน เล่มนี้ตีลายจักรนารายณ์ด้วย ถ้าเป็นมีดหมอลายนี้จะไม่ยอมปล่อยหลุดมือเด็ดขาด

มีดหมอของหลวงพ่อเดิมลายกงจักรนารายณ์หายากที่สุด ปรากฏว่ามีดเหลาตอกของท่านเป็นลายจักรนารายณ์ ...(หัวเราะ)... เป็นมีดโค้ง ๆ จะมีด้ามโค้งมาทาบกับข้อศอกเพื่อให้กระชับ ก็เลยบอกช่างว่า ด้ามก็ให้เก็บไว้ จะเอามาทำผง ส่งไปให้เขาบดเป็นผง ฉะนั้น...ไม้ถือที่จะทำนี้ แค่ผงที่บรรจุก็เหลือเกินแล้ว"

ถาม : ไม้ถือราคาเท่าไรคะ ?
ตอบ : ยังไม่รู้เหมือนกัน ถ้าคิดจากวัตถุมงคลที่หลอมลงไป ราคาแสนนี่น่าจะเกินไปอีกมาก เพราะมีบรรจุตะกรุดมหาสะท้อนทองคำด้วย

เถรี
08-10-2016, 19:48
ถาม : มีดหมอเหล่านี้ใช้คาถาเดียวกับมีดหมอเพชราวุธไหมคะ ?
ตอบ : ตำราเดียวกัน ต้องใช้คาถาเทพอาวุธ ๕ ชนิดไว้ก่อน ปัญจะอาวุธานัง เอเตสัง อานุภาเวนะ ฯลฯ

เถรี
08-10-2016, 19:56
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมามีพระขรรค์หลวงพ่อโสก วัดปากคลอง ที่เลี่ยมพลาสติกไว้เยอะมาก

เสือขาว ลูกศิษย์หลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว ที่เหนียวนักหนา ตำรวจยิงไม่เคยเข้า ประเภทยืนให้ยิงเลย มีคนไปถามหลวงพ่อดิ่งว่าทำอย่างไรถึงจะแก้ได้ หลวงพ่อดิ่งบอกว่ามีวิธี แต่ข้าบอกไม่ได้ เพราะจะทำให้ต้องอาบัติ ก็คือทำให้คนตาย

วันหนึ่งท่านคุยกับลูกศิษย์เรื่องนี้ ลูกศิษย์ไปแอบบอกตำรวจ บอกว่าให้ใช้หัวพระขรรค์ของหลวงพ่อโสก วัดปากคลอง จารกระสุนที่จะใช้ เพราะในพระขรรค์ของหลวงพ่อโสก วัดปากคลอง ซึ่งเป็นเพื่อนกันนั้น ท่านจารแก้วิชาของหลวงพ่อดิ่งเอาไว้หมดแล้ว เสือขาวไม่รู้ตัวว่าถึงฆาต ก็ยืนเย้ยฟ้าท้าดินสู้ตำรวจเหมือนเดิม โดนเข้าไปตูมเดียวหงายท้องเลย"

เถรี
09-10-2016, 18:22
ถาม : ขออนุญาตแวะไปวัดท่าขนุน ไปพักปฏิบัติธรรมได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไปเถอะ อย่างน้อยจะได้เห็นวัด โยมอาจจะเห็นว่าร่มรื่น น่าปฏิบัติธรรม แต่คนที่อยู่อาจรู้สึกว่าร้อน เพราะโดนเจ้าอาวาสด่าบ่อย...! มีเรื่องให้บ่นให้ด่ากันได้ไม่เว้นแต่ละวัน

ด้วยความเป็นคนไม่ช่างสังเกต ทำให้ได้อะไรจากครูบาอาจารย์น้อยมาก เพราะว่าต้องรอให้จ้ำจี้จ้ำไชสั่งสอนเท่านั้นถึงจะได้ แต่ถ้ารู้จักสังเกตว่าครูบาอาจารย์ทำอย่างไร พูดอย่างไร คิดอย่างไร ถึงเวลาก็จะได้มากกว่านั้น

ขนาดย้ายโต๊ะหมู่บูชา บอกว่าให้ดูดี ๆ นะ ถึงเวลาตั้งให้เหมือนเดิม ไปถึงก็ตั้งผิดเลย ต้องยืนด่ากันตรงนั้น แล้วไม่รู้ด้วยนะว่าผิดตรงไหน จับขยับให้ดูก็ยังไม่รู้อีก ต้องพลิกข้างหลังให้ดูว่า "คุณ...ด้านนี้มีอะไรไหม ?" "ไม่มี" "แล้วด้านนี้ล่ะ ?" "มีลายไทย" "เออ...เขาต้องการจะอวดลาย คุณเสือกเอาเข้าข้างในแล้วใครจะเห็น...!" ไม่สังเกตกันเลย ถึงเวลาสักแต่ว่าทำ ๆ ไป ทำให้อาตมาต้องมาแก้งาน เสียเวลามากขึ้นอีก อาตมาจึงมีนิสัยไม่ค่อยใช้งานใคร ทำเองดีกว่า เหนื่อยน้อยหน่อย

เถรี
09-10-2016, 18:51
พระอาจารย์ให้คำแนะนำกับพระที่เป็นเจ้าอาวาสว่า "อย่าเร่งรีบสร้างผลงาน ให้ค่อยเป็นค่อยไป ถ้าเราเร่งสร้างผลงานต้องรบกวนชาวบ้านเขามาก และตัวเองจะเหนื่อยมากด้วย ยกเว้นว่าจะไม่ง้อชาวบ้านอย่างผม ที่ตั้งกฎว่าจะไม่บอกบุญไม่เรี่ยไรได้ก็เอา ทำไปเลย"

เถรี
09-10-2016, 19:06
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : พอสมาธิเริ่มทรงตัวจิตจะไม่ยุ่งกับร่างกาย ในเมื่อไม่ยุ่งด้วย ใครมาทำอะไรถึงจะรู้หมด แต่ไม่สนใจหรอก จะนิ่งอยู่ข้างในเฉย ๆ ให้รักษากำลังใจตรงนั้นเอาไว้ พอสมาธิเริ่มคลายออกมา ต้องรีบหาวิปัสสนาญาณให้คิด เพราะไม่อย่างนั้นจิตจะเอากำลังที่เราปฏิบัติได้ไปฟุ้งซ่าน อย่าประมาทนะ...เริ่มดีแล้ว

เถรี
09-10-2016, 20:52
พระอาจารย์กล่าวกับพระที่ถวายหนังสือว่า "มีอยู่ระยะหนึ่ง มีคนเมตตาเอาหนังสือของหลวงพ่อเกษม วัดสามแยก ไปให้ผมทีหนึ่งเป็นพันเล่ม เอาไปให้ผมแจก ผมสั่งชั่งกิโลขายหมดเลย คนถวายก็โวยวายว่าทำไมทำแบบนั้น ผมบอกว่าท่านสอนผิด เขาก็ไม่เชื่อกัน มาตอนหลังไม่นานนี้เขาเพิ่งจะรู้ แต่ก็ช้าไปหลายปี"

เถรี
09-10-2016, 21:37
ถาม : พวกมีดหมอหรือดาบนี่เก็บมาตลอดชีวิตเลยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อาตมาชอบอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก พอรู้ประสาก็เห็นพี่ชายนั่งส่องพระแล้ว ถึงเวลาก็ไปนั่งฟังเขา เพราะจะมีสภากาแฟที่ผู้ใหญ่เขาคุยเรื่องนี้กัน พระเครื่องแบบนั้นดีอย่างนั้น หลวงพ่อรูปนี้เก่งอย่างนี้ ก็เลยซึมเข้าหัวไปด้วย

สุดท้ายก็คัดเอาส่วนหนึ่งมาเข้าพิพิธภัณฑ์ ที่เหลือก็แบ่ง ๆ ให้เขาบูชา ไปหาที่อื่นอาจจะเจอของปลอม แล้วมีหลายเล่มที่เซียนตีเป็นของแพงกว่า เช่น มีดหมอหลวงพ่อกวยลายนาคเกี้ยวยุคแรก เขามักจะตีเป็นของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์

ถาม : ช่างคนเดียวกันหรือครับ ?
ตอบ : ช่างคนเดียวกัน แต่หลวงพ่อกวยท่านแปลงอักขระตัวหนึ่ง ถ้าไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ก็แปลว่าเจตนา เพราะว่ามีดหมอของหลวงพ่อเดิม ขายได้แพงกว่าหลายเท่า

เถรี
09-10-2016, 21:41
พระอาจารย์เล่าให้พระฟังว่า "ครั้งแรกที่ผมสร้างวัตถุมงคลเลยคือล็อกเก็ต ด้านหนึ่งเป็นหลวงปู่ปาน ด้านหนึ่งเป็นหลวงพ่อฤๅษี หลวงปู่ปานท่านนัดพุทธาภิเษกตอน ๖ โมงเย็น บ่าย ๓ โมงผมยังช่วยสอนมโนมยิทธิอยู่ที่วัดท่าซุงเลย กว่าจะวิ่งกลับมาถึง เหลืออีกประมาณ ๒๐ นาทีจะ ๖ โมงเย็นแล้ว ผมก็สบายใจ...อย่างไรก็ทันแน่นอน

ปรากฏว่ามาถึงเครื่องบวงสรวงยังไม่ได้ตั้งเลย คนทำเขากลัวผิดทิศ เขาเลยไม่กล้าตั้ง ผมก็ต้องมาตั้งเครื่องบวงสรวง กว่าจะเสร็จก็เลย ๖ โมงไปตั้งนานแล้ว พอขึ้นไปกราบพระ หลวงปู่ปานท่านบอกว่า "เสร็จนานแล้ว" จึงกราบเรียนถามท่านว่า "แล้วผมจะทำอย่างไรครับ ?" ท่านตอบว่า "ให้นั่งสักหน่อยหนึ่ง เดี๋ยวคนเขาไม่เชื่อ"

เถรี
10-10-2016, 18:49
ถาม : คำว่า อวตาร ใน อมรพิมานอวตารสถิตย์ ฯลฯ .....?
ตอบ : แปลว่าพระผู้อวตารจากพระนารายณ์มาอาศัยอยู่ เพราะเขาเชื่อว่าพระมหากษัตริย์ทุกองค์อวตารมาจากพระนารายณ์ เลยใช้ชื่อว่า รามาธิบดี แปลว่าพระรามผู้เป็นใหญ่

เถรี
10-10-2016, 18:51
ถาม : ในสวรรค์ และนรก มีการทำผิดศีล ๕ ไหมครับ ?
ตอบ : สวรรค์ไม่มีผิดศีล ๕ ส่วนนรกไม่มีโอกาสผิด

ถาม : แล้วเทวดารบกันละครับ ?
ตอบ : ไม่ได้ฆ่ากันนี่หว่า...! ส่วนใหญ่แค่คิดโกรธก็ตายเองอยู่แล้ว

เถรี
10-10-2016, 18:56
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไปสนใจทำไม ? ควรจะสนใจว่าเราจะอยู่อย่างไร ไม่ใช่ไปสนใจว่าเขาจะอยู่อย่างไร บอกแล้วว่าคนเรามีบุญรักษาและมีกรรมรักษา ถ้าไม่ถึงวาระอย่างไรเขาก็ต้องอยู่ได้ ขนาดกินข้าวได้วันละ ๗ เม็ด ยังอยู่ได้ ๒๐ กว่าปี เรื่องอย่างนี้อาตมาไม่เสียเวลาไปคิดกังวลหรอก

เถรี
10-10-2016, 19:01
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เอาง่าย ๆ ก็ดูใจตัวเอง ถ้าใจเราเองมีความชั่วก็ไล่ออกไป ระมัดระวังไว้อย่าให้ความชั่วนั้นเข้ามา ถ้าใจเราไม่มีความดีก็สร้างความดีขึ้นมา แล้วก็รักษาไว้ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ความชั่วคือ รัก โลภ โกรธ หลง ความดี คือ ศีล สมาธิ ปัญญา มัวแต่ไปคิดเรื่องอื่นก็เสียเวลา

ถาม : ที่ทำอยู่โอเคหรือไม่ครับ ?
ตอบ : จะโอเคหรือไม่โอเคก็อยู่ที่เรา ถ้าต้องการตัดกิเลสมากกว่านี้ ต้องการความก้าวหน้ามากกว่านี้ ก็ยังไม่โอเค แต่ถ้าต้องการไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็หยุด อย่างนี้ก็พอไหว

เถรี
10-10-2016, 19:03
ถาม : การปฏิบัติมีแบบปฏิบัติง่าย บรรลุง่าย ปฏิบัติยาก บรรลุยาก เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นแบบไหน ?
ตอบ : ทำไปแล้วจะรู้เอง ถ้าทำสัก ๒๐ ปี แล้วยังไม่ได้สักที แสดงว่าปฏิบัติยาก บรรลุยาก

ถาม : ถ้าแบ่งเป็นแบบปี อย่างไหนจึงจะเรียกว่าบรรลุง่ายครับ ?
ตอบ : ไม่เกิน ๗ ปี แล้ว ๗ ปีนี่เขาหวังเป็นพระอรหันต์กันเลย

เถรี
10-10-2016, 19:15
โยมมารับวัตถุมงคล "คุณยายแม่ชีบุญเรือน โตงบุญเต็ม ต้องบอกว่าเป็นผู้หญิงมหัศจรรย์ พอ ๆ กับแม่ชีประทุม โชติอนันต์ ปกติเขามีแต่พระมรณภาพแล้วไม่เน่า แต่นี่แม่ชีประทุมเสียชีวิตแล้วไม่เน่า

เสียดายอยู่อย่างหนึ่งว่า ท่านนิมนต์มาหลายทีแล้ว แต่อาตมาไม่มีโอกาสได้ไปสำนักท่าน จนกระทั่งท่านเสียชีวิต ทันทีที่ท่านรู้ว่าอาตมาออกไปอยู่กาญจนบุรี ท่านก็นิมนต์ให้ไปที่สำนักของท่านทุกครั้ง แต่ช่วงนั้นยุ่งอยู่กับการก่อสร้าง ไม่มีเวลาปลีกตัวไป อีกอย่างหนึ่งทองผาภูมิกับโคราชสมัยนั้น รู้สึกว่าไกลลิบโลกเลย"

เถรี
10-10-2016, 20:05
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีดหมอถ้าดูใหม่เกินไป เซียนเขาตีปลอมหมด เขาไม่ได้ดูว่าเรารักษาอย่างดี อย่างมีดหมอปราบไตรภพของหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว ที่อาตมามีอยู่ เซียนเห็นก็ตีปลอมทันทีเลย แต่เขาไม่ได้ดูว่าถ้าปลอมก็ได้เฉพาะใบ เพราะว่าอาตมาเช็ดบ่อย แต่ด้ามอย่างไรก็ปลอมไม่ได้หรอก เก่าแก่ขนาดนั้น

มีมีดหมอของหลวงพ่อเดิมอีกเล่มหนึ่ง ที่อาตมาไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นของหลวงพ่อเดิม คิดว่าเป็นของหลวงพ่อขำที่เป็นอาจารย์ของหลวงพ่อเดิมมากกว่า เพราะว่าด้ามและฝักเก่าจนไม้กร่อนจะเป็นผงอยู่แล้ว"

เถรี
11-10-2016, 20:31
พระอาจารย์กล่าวกับโยม "คุณรู้ไหมว่าที่หน้าอกเสื้อคุณเป็นพระราชลัญจกรรัชกาลที่ ๑ รู้ที่มาไหม ? เวลารัชกาลที่ ๑ ยกทัพออกศึก ทหารของท่านมีหลายครูหลายอาจารย์ บางทีก็ปะทะกันเอง ต่างคนต่างว่าครูกูแน่กว่า ของกูดีกว่า ท้ายสุดพระองค์ท่านสั่งยึดของขลังเรียบเลย "ใครมีของขลังอะไรเอามานี่" แล้วพระองค์ท่านก็ทำผ้าประเจียดแจกให้ ผ้าทั้งผืนเขียนยันต์ตัวเดียวเท่านั้น ตัวที่อกเสื้อของคุณนั่นแหละ

เขียนยันต์ลงผ้าเคียนหัว เสกน้ำมันทาตัวให้ "มึงไปลองกันได้เลย" จ้วงกันด้วยหอกด้วยดาบไม่มีเข้าสักราย ท้ายสุดก็กลายเป็นครูเดียวกัน จึงรักใคร่สามัคคีกัน

ความจริงวิชาที่รัชกาลที่ ๑ ใช้ ท่านเรียกว่าวิชาแต่งคน มีแต่งคน แต่งทัพ วิชาแต่งคนนั้นหัวหน้าคนเดียวสามารถคุ้มครองลูกน้องได้ทั้งกองทัพ ท่านถึงได้เสกของเสกน้ำมันให้ จนเหนียวทั้งกองทัพ"

เถรี
11-10-2016, 20:43
"สมัยหลัง ๆ ครูบาอาจารย์ท่านทำออกมาเป็นตะกรุดแม่ทัพ ถ้าพกอยู่จะคุ้มได้ทั้งกองทัพ อย่างตำราของสายเขาอ้อ ตะกรุดชนิดนี้จะคุ้มได้ ๕ คน ตะกรุดชนิดนี้จะคุ้มได้ ๑๐ คน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวยกขบวนไปปล้นเขา แล้วจะเอาไม่อยู่ เพราะ ๕ คนหรือ ๑๐ คน ตำรวจยังพอที่จะจัดการไหว

ทางเขาอ้อเขาทำเป็นตะกรุดพิชัยสงคราม ดอกเดียวบ้าง ๔ ดอกบ้าง ถ้าอย่างของหลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส ท่านเรียกว่าตะกรุดมหาโจร ก็คือ พวกนี้ต้องเป็นหน่วยกล้าตาย ออกไปปล้นค่ายข้าศึก ลักษณะเป็นกองโจรรบพิเศษ ก็ใช้ตะกรุดมหาโจรหรือตะกรุดแม่ทัพนั่นแหละ ช่วยคุ้มครองลูกน้องได้ทั้งกลุ่ม

ที่ทำรุ่นหลัง ๆ มีหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม หลวงพ่อเชื้อ วัดใหม่บำเพ็ญบุญ หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส หลวงพ่อโม วัดจันทนาราม"

ถาม : ของหลวงพ่อเตียง ?
ตอบ : ของหลวงพ่อเตียง ส่วนใหญ่เป็นตะกรุดคู่ชีวิต อาตมามีอยู่ดอกหนึ่ง ตีเป็นของหลวงพ่อพิธได้เลย คนเชื่อทันที แต่อาตมาไม่เอาหรอก ตีเป็นของหลวงพ่อเตียงยุคแรกนั่นแหละ เพราะพระเราเกิน ๑ บาทก็ปาราชิกแล้ว

ตะกรุดของหลวงพ่อพิธหายาก ดอกหนึ่งราคาเป็นแสน ของหลวงพ่อเตียงราคาหมื่นกลาง ๆ ยังหาได้อยู่ หมื่นต้น ๆ คือไม่เกินสี่หมื่น หมื่นกลาง ๆ คือ สี่หมื่นถึงหกเจ็ดหมื่น ถ้าหมื่นปลาย ๆ ก็แปดเก้าหมื่น ศัพท์ในวงการพระเครื่องจะแปลก ๆ

เถรี
11-10-2016, 21:00
ถาม : ตะกรุดไมยราบสะกดทัพ ?
ตอบ : อันนั้นส่วนใหญ่ต้องเป็นของคนที่เป็นพ่อบ้าน ถ้าอยู่แล้วจะทำให้สถานที่นั้นสงบเรียบร้อย เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

เถรี
11-10-2016, 21:01
หลวงปู่กลั่นถึงขนาดจะเอาอาตมาไปเป็นเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อ สายเขาอ้อดีตรงที่ว่า เขาไม่สนใจว่าคุณเป็นใคร ? มาจากไหน ? แต่ถ้าคุณมีฝีมือ มาเรียนวิชาสายนั้นก็เป็นเจ้าอาวาสได้


ช่วงนั้นอาตมาเทียวไปเทียวมา ไปขอศึกษาวิชาจากท่าน ท่านจะเอาไปเป็นเจ้าอาวาสเสียแล้ว ถ้าเป็นตำราสายเขาอ้อ เขาเชื่อว่าพวกที่ทำของขึ้น เป็นประเภท Born To Be หาได้ยาก ถ้าอย่างหลวงพ่อฤๅษีท่านว่าก็คือ พวกนี้มีของเก่าติดตัวมา

มีวิชาหนึ่งที่อาตมาไม่ได้มา ก็คือ วิชาหลอมสัตตโลหะเป็นทองคำ เพราะท่านบอกว่าสงวนไว้สำหรับเจ้าอาวาส ...(หัวเราะ)... ไม่รู้ว่าจะหลอกให้อาตมาไปเป็นเจ้าอาวาสหรือเปล่า ?

เถรี
11-10-2016, 21:23
พระอาจารย์เล่าว่า "ถ้าใครไปถึงบ้านพ่อปู่ขุนพันธ์ ท่านมักจะเลี้ยงข้าวด้วย ท่านเป็นคนโบราณจริง ๆ ใครมาถึงเรือนชานก็ต้อนรับ แล้วเวลาท่านคุยกับใคร ท่านจริงจังมากเลยนะ ท่านจะจ้องหน้าคนที่คุยด้วย พวกตบะไม่ดีจะไม่กล้าสบตา ก้มหน้ามองพื้นไปเลย ...(หัวเราะ)...

อาตมาเสียดายไม้ถือที่ท่านให้มา จริง ๆ แล้วโบราณเรียกว่าไม้รกฟ้า แต่ท่านเรียกไม้ค้ำฟ้า ถ้าจำไม่ผิด "ทิดจิตร" ขอบูชาต่อไปแล้ว

คุณสันติ เศวตวิมล (แม่ช้อยนางรำ) ก่อนหน้านี้เป็นคนที่ไม่สู้ใคร แล้วไปคบหากับลูกชายของปู่ขุนพันธ์ ไป ๆ มา ๆ ลูกชายก็เลยบอกปู่ขุนพันธ์ "พ่อ...หาอะไรให้เพื่อนคุ้มตัวหน่อยสิ" พ่อปู่ขุนพันธ์จึงสักให้ คุณสันติบอกว่าพอท่านเพ่งพลังจิตและตบปิดท้ายให้ ตัวลอยขึ้นมาทั้งตัวเลย พ่อปู่ขุนพันธ์ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ชักดาบฟันเลย...! ทำให้รู้ ๆ เลยว่าเอ็งเหนียวได้ขนาดนี้"

เถรี
11-10-2016, 21:27
"เสียดายเด็กรุ่นหลัง ๆ ไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้ เพราะวิชาการโบราณนั้นศึกษาได้ยาก ต้องมีความเพียรเอาจริงเอาจังจึงจะสำเร็จได้ ถ้าขาดความเพียรก็จะสำเร็จยาก จะไปรอพวก Born To Be ก็หายากเสียด้วย เพราะว่าพวกนี้เขามีของเก่าอยู่ พอมีของเก่าอยู่ ถึงเวลามาศึกษาก็เข้าใจง่าย สำเร็จง่าย"

ถาม : เด็กเดี๋ยวนี้ ไม่มีความเชื่อเลยค่ะ... น้องที่ทำงาน ที่บ้านเขาสนิทกับท่านปู่ขุนพันธ์ เคารพเป็นครูหมอ.. แม่เขาจะได้พวกทัพพี พวกมีด เครื่องครัว ที่ขุนพันธ์เสกให้... เขาก็มาเล่าประสบการณ์ เล่าเรื่องท่านปู่ให้ฟังกัน แต่คนฟังก็ฟังขำ ๆ ?
ตอบ : คนอื่นก็ฟังเป็นนิทานสนุก ๆ แต่ไม่มีความเลื่อมใส ไม่ได้มีความอยากรู้อยากเรียนอะไรเลย

เถรี
11-10-2016, 21:35
ถาม : วันก่อนเขาบอกว่าผีไปที่ห้องพักเขา เขาบอกว่าเข้าห้องเขาไม่ได้ เพราะกุมารของเขาไม่ให้เข้า แต่กุมารไล่ไม่ได้ แล้วเขากลัว ก็เลยเอาผ้ายันต์เกราะเพชรสีเขียวให้เขาไป เขาขอไป ๒ ผืน ติดที่ประตูห้องผืนหนึ่ง แขวนคอผืนหนึ่ง ?
ตอบ : ต้องรอให้ผีมาก่อนใช่ไหม ? ผีไม่มาก็ไม่นึกถึงพระ เสียดายที่สมัยนี้ผีหลอกได้ยาก เพราะเขาเปิดไฟกันทั่วไปหมด ด้วยความที่ไฟกระพริบ ๆ ด้วยความเร็ว ๕๐ ครั้งต่อวินาที ถึงเวลาผีต้องรวมธาตุมาเป็นกายหยาบให้คนเห็น แต่มาโดนไฟกระแทกจนไม่สามารถจะรวมเป็นร่างขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้น...ที่ว่านอนเปิดไฟแล้วกันผีได้ ก็กันได้จริง ๆ แต่กันได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น ถ้าไปเจอผีระดับสูงกว่านั้นก็กันท่านไม่ได้หรอก

เถรี
11-10-2016, 22:03
ถาม : ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเคาะผนังห้องอยู่ทุกคืนค่ะ ทั้งที่ห้องติดกับเราก็ไม่มีใครอยู่ ?
ตอบ : อย่าเผลอไปขานรับ ตั้งใจสวดมนต์ไหว้พระของเราไป หรือไม่ก็คิดว่าใครเป็นเจ้าของเสียง เราเคยสร้างความดีอะไรใน ศีล สมาธิ ปัญญา ขออุทิศให้ให้เขาโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าไร ขอให้เขาได้รับด้วย

เถรี
12-10-2016, 16:14
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาไปงานออกนิโรธกรรมของครูบาวิฑูรย์ ก็มีบรรดาพระสายเหนือหลายรูปมา มีอยู่ท่านหนึ่งนั่งฉันอยู่โต๊ะเดียวกัน ท่านบอกว่า “อาจารย์เล็กสบายแล้ว ดังแล้ว” อาตมามาฟังแล้วก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า ตกลงนี่คุณบวชมาเพื่อดังหรืออย่างไร ? แล้วแสดงว่าไม่รู้ใช่ไหมว่าที่หลวงปู่จันทร์ (พระพุทธพจน์วราภรณ์) วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ ท่านบอกเอาไว้ว่า “ถ้าอยากดังก็อย่าไปหวังความสงบ”

คุณรู้หรือเปล่าว่าผมทำอะไรมาบ้าง ? ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ชีวิตฆราวาสอายุ ๑๖ ปี มาจนถึง ๒๗ ปี ก็ปฏิบัติธรรมมาในลักษณะอย่างนี้ ทุ่มเทอย่างนี้ สร้างบุญสร้างกุศลมาตลอดในลักษณะนี้ คนเขาเห็นอยู่ตลอด พอบวชเข้ามาคนที่เขาติดตามมาโดยตลอด เขาก็พร้อมที่จะสนับสนุน แล้วในชีวิตพระอีก ๓๐ กว่าพรรษาก็ทำแบบนี้มา โดยรวมระยะเวลาแล้ว ๔๐ กว่าปี คุณคิดว่าเป็นระยะเวลาสั้น ๆ หรือ ?

เรื่องของการปฏิบัติธรรมเป็นการค่อย ๆ สะสมคุณความดีไป เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ ถ้าหากว่าถึงวาระ ถึงเวลา ดอกผลก็ย่อมเกิดขึ้นเอง แต่ถ้าไม่ถึงวาระ ไม่ถึงเวลา คุณพยายามให้ตาย ตีโฆษณาขนาดไหน ดอกผลนั้นก็ไม่เกิดขึ้นหรอก เพราะฉะนั้น...ในเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จำเป็นอยู่ตรงที่ว่า ถ้าคุณต้องการจะดัง ก็ต้องสร้างความดีให้พอ ถึงเวลาแล้วคนเขาเห็นความดีคุณก็ดังเอง แต่ถ้าคุณไม่ได้สร้างความดีไว้ ถึงเวลาตะเกียกตะกายไปตีโฆษณาขนาดไหน ก็หลอกได้แค่คนโง่ ๆ ไม่กี่คน...!

เรื่องพวกนี้บางทีไปพบไปเห็นเข้าอาตมาก็รู้สึกสะดุดใจ ตรงที่สะดุดใจก็คือท่านมาดูตรงผลที่รับแล้ว ไม่ได้ดูว่าตอนที่สร้างเหตุนั้นเหนื่อยยากขนาดไหน แล้วก็ไม่ได้สร้างมาแค่ชาติเดียวอีกด้วย"

เถรี
12-10-2016, 16:16
"อาตมาไปนึกถึงเพื่อนร่วมรุ่นที่เรียนด้วยกันมา ตั้งแต่ระดับประกาศนียบัตร ปริญญาตรี ปริญญาโท ท่านหนึ่ง ก็คือพระครูใบฎีกาถาวร ถาวโร ตอนนี้ท่านไปสร้างสำนักสงฆ์ธรรมถาวรอยู่ที่จังหวัดลพบุรี ถึงเวลาท่านก็จะเอาซองมาแจกให้เพื่อนช่วยทำบุญให้ แต่คราวนี้ท่านแจกซองปีละหลายครั้ง พอสนิทสนมกันมาก ๆ เพื่อนบางคนก็ด่าเลย

พอยื่นซองมาให้ก็ “ไอ้ห่...ไม่รู้จักเอาไปให้ที่อื่นหรืออย่างไรวะ ? มีแต่มาเอาแต่กับพรรคพวกของตัวเองนี่แหละ” ปรากฏว่าพระครูใบฎีกาถาวรท่านไม่ใช่ประเภทด่าแล้วยุบ ท่านบอกว่า “ผมไม่ใช่พระครูเล็กนี่..!” อ้าว...ดันลากตูเข้าไปเกี่ยวข้องอีก ท่านบอกว่า “พระครูเล็กท่านหักร้างถางพง ทั้งหว่านทั้งไถมาตั้งแต่ชาติไหนก็ไม่รู้ มาถึงชาตินี้ท่านก็เก็บเกี่ยวได้แล้ว ไอ้ของผมเองนาก็ยังไม่มีเลย แล้วจะไปเอาจากใคร ? ก็ต้องมาเอาจากพวกเรานี่แหละ” นั่นแสดงว่าท่านรู้จริง แหม...พอเถียงเข้านี่เพื่อนอ้าปากไม่ขึ้นเลย

ส่วนใหญ่แล้วคนเราจะไปดูตรงผลรับ ไม่ได้ดูว่าก่อนหน้านั้นลำบากมาขนาดไหน อาตมาเตือนพระอยู่เสมอว่า คุณเห็นผมทำตัวสบาย ๆ กับญาติโยม รู้หรือเปล่าว่าก่อนที่ผมจะปล่อยตัวแบบนี้ได้ ผมต้องเข้มงวดกับตัวเองมากี่ปี ? กว่าที่จะมั่นใจตัวเองได้ว่า ขยับไปทางไหนศีลจะขาดหรือเปล่าก็รู้ตัวอยู่ นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าคุณเริ่มต้นมาถึงก็ทำตัวสบายแบบผม นั่นคุณกำลังหาที่ตายกันตรงนั้นเลย...!"

เถรี
12-10-2016, 18:18
ถาม : มีข่าวการต่อต้านสร้างพุทธมณฑลที่ปัตตานี ?
ตอบ : เราจะเห็นว่าจริง ๆ แล้วศาสนาพุทธของเราโดนกีดกันทุกอย่าง เขาอ้างว่าสร้างที่โน่นแล้วจะทำกระทบกระเทือนศาสนาของเขา แต่เขาสร้างมัสยิดที่อื่น เขาไม่สนใจว่าจะกระทบกระเทือนศาสนาพุทธหรือเปล่า

ถาม : เราแก้กฎหมายได้ไหมคะ ?
ตอบ : ต้องถามผู้คุมนโยบาย มี ๒ อย่าง อย่างหนึ่ง คือ เอื้อประโยชน์ให้เขาเพราะเป็นพวกเดียวกัน อย่างที่สอง ก็คือ แกล้งโง่เพราะรับสตางค์เขาไปแล้ว

ถาม : กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม เช่น การสนับสนุนการสร้างมัสยิดทุก ๗ ครัวเรือน เทียบกับวัดต้องห่างกันอย่างน้อย ๒ กิโลเมตรนี่ ทำเรื่องปรับแก้ก็มีเหตุผลชัดเจนอยู่นี่คะ ?
ตอบ : อิสลามเขาออกเป็นกฎหมายแล้วเกี่ยวกับศาสนสถาน ถ้าที่ไหนมี ๗ เจ็ดครอบครัว หรือ ๑๕ คนขึ้นไปสามารถสร้างสุเหร่าได้หลังหนึ่ง กฎหมายของเขาเอาง่าย ๆ อย่างนี้

แต่กฎหมายของเรา ก็คือ วัดใหม่จะต้องห่างจากวัดเก่าอย่างน้อย ๒ กิโลเมตร ต้องมีชุมชนที่มีผู้สนับสนุนอย่างน้อย ๕๐๐ คนขึ้นไป ต้องมีเสนาสนะ เช่น ศาลากุฏิพระ เพียงพอต่อการใช้งาน จะต้องมีทุนสำรองที่จะซ่อมสร้างบูรณปฏิสังขรณ์วัดได้ ฯลฯ เขามีกำหนดเอาไว้จนกระทั่งเรียกว่ายากต่อการปฏิบัติ โดยเฉพาะต้องมีเนื้อที่อย่างน้อย ๖ ไร่ขึ้นไป อิสลามเขาไม่เห็นต้องมีแบบนี้ เขาเอาแค่ว่าถ้ามีครอบครัวอยู่ถึง ๗ ครอบครัวหรือมีคน ๑๕ คนขึ้นไปก็สร้างมัสยิดได้หลังหนึ่ง และทางราชการต้องจ่ายเงินให้ด้วย...!

ถาม : แทนที่เราจะมาประท้วงกันไปมา ผลในภาพรวมก็ไม่เกิด เราใช้วิธีเริ่มจากทำกฎหมายท้องถิ่นให้แน่น ให้เป็นฐานไปสนับสนุนการยื่นวาระเข้าแก้ไขข้อที่ไม่เป็นธรรม ?
ตอบ : ก็ได้อยู่ แต่คราวนี้ของเขาเป็นพระราชบัญญัติไปแล้ว ไม่ใช่กฎหมายท้องถิ่น ก็แปลว่าคุณจะต้องประชุมคณะรัฐมนตรีแล้วก็แก้ไข ซึ่งโอกาสแบบนั้นมียากเพราะว่าพวกเขาต้องขวางกั้นสุดชีวิตอยู่แล้ว

เถรี
12-10-2016, 18:21
การผ่านกฎหมายของอิสลาม เขามักจะใช้ช่วงดึก ๆ ตี ๒ ตี ๓ ซึ่งคนของเราถ้าไม่ใช่นั่งหลับก็นั่งเขี่ยไลน์กัน หรือไม่ก็ไปเข้าห้องน้ำ ไปสูบบุหรี่กัน บางคนก็ไปเข้าสภากาแฟ แต่ตัวแทนของอิสลามเขาจะเกาะสถานที่ตลอด ไม่ไปไหนเลย แล้วก็ฉวยโอกาสที่ไม่มีใครค้านเพราะว่าทุกคนล้าเต็มที่ ปล่อยให้ผ่านได้ง่าย ๆ แล้วก็ดันเป็นกฎหมายออกมา

จะมีก็กฎหมายอันสุดท้ายที่เขาไม่สามารถทำได้สำเร็จ เพราะเป็นเรื่องที่เห็นอย่างชัดเจนว่ามีปัญหา ก็คือให้จุฬาราชมนตรีเป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี และคำปรึกษานั้นเป็นสิ่งที่ต้องกระทำ เท่ากับควบคุมนายกรัฐมนตรี พอฟังแล้วก็สะดุดความรู้สึก แต่ส่วนใหญ่แล้วกฎหมายอื่น ส.ส.อื่น ๆ ถ้าเขาเห็นว่าไม่กระทบตัวเองและไม่กระทบฐานเสียงของตัวเอง เขาก็ไม่ค้าน

แล้วก็มีนักวิชาการอยู่พวกหนึ่ง ประเภทที่โง่แต่อวดฉลาด บอกว่าเรื่องของการนับถือศาสนาต้องเปิดกว้าง ก็ใช่...ต้องเปิดกว้าง เราไม่ห้ามการนับถือศาสนา แต่คุณก็ต้องดูว่ากระทบส่วนรวมหรือเปล่า ? โดยเฉพาะว่าเมื่อเราเปิดกว้าง แล้วทำไมอิสลามเขาไม่เปิดกว้างให้เราบ้าง ? กลายเป็นว่าถึงเวลาจะเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว พอคุณจะเสียบ้างคุณก็ไม่ยอม แล้วเราจะไปเปิดกว้างเพื่อเขาทำไม ?

เถรี
12-10-2016, 18:25
ถาม : แล้วเวลาเขาเสนอวาระเขาพิจารณาแล้วผ่าน ทำไมเราไม่ทำแบบนั้นบ้าง ก็เหตุผลเดียวกัน เห็นชัด ๆ ?
ตอบ : เขาก็ส่งไปตามระเบียบของทางด้านรัฐสภาเขา ถึงเวลาก็ยื่นพิจารณาผ่านทีละขั้น ๆ ของเราเข้าไปทีไร เขาจะทุ่มเทงบประมาณและกำลังคนทั้งหมดที่มีสกัดสุดชีวิตทุกครั้ง แต่ของเขายื่นเข้ามาเราไม่มีใครค้าน

ถาม : ถ้าพระค้านจะได้ไหมคะ ?
ตอบ : ก็พระไปทีไรเขาก็อ้างว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ อาตมาถึงได้บอกว่า ถ้าใครนามสกุล...........ตายมา อาตมาจะไม่รับเผาให้ที่วัดท่าขนุน...! เพราะนาย..................... เป็นตัวสนับสนุนเขาเต็มที่ โดยพยายามคัดค้านศาสนาพุทธทุกอย่าง

เถรี
12-10-2016, 18:58
ถาม : ภาวนาคาถาอภิญญา ไม่รู้จะแบ่งลมหายใจอย่างไร ?
ตอบ : เอาที่ตัวเองสบายตามการหายใจเข้าออกของเรา อย่าให้รู้สึกลำบากหรือสะดุด เพราะฉะนั้น...จะแบ่งอย่างไรก็ได้ ให้พอดีของเรา

ถาม : ภาวนาไปแล้ว รู้สึกว่ายังไม่เกิดผลค่ะ ?
ตอบ : จะเป็นอย่างไรก็ช่าง เรามีหน้าที่ทำ

ถาม : กายในจะหมุน ๆ ?
ตอบ : ลักษณะแบบนั้นแสดงว่ากายในจะหลุดออกไป

ถาม : ต้องตัดใจว่าตาย ?
ตอบ : ตัดใจว่าตายเป็นตาย ตัดใจได้ก็ไปเลย

ถาม : ตัดไปแล้ว แต่ไม่ไป ?
ตอบ : เรายังตัดไม่ได้จริง ถ้าตัดได้ก็ไปแล้ว

ถาม : หนูกลัวค่ะ ?
ตอบ : นั่งมองไปเรื่อย อย่างไรก็ไม่ถึงตายหรอก ถ้าตายเราก็ไปพระนิพพาน

เถรี
12-10-2016, 19:31
ถาม : เวลาภาวนาจะเอาโสตัตตะภิญญาหรือพุทโธดีคะ ?
ตอบ : แล้วแต่เราสิ เจตนาจะเอาอภิญญาก็ว่าโสตัตตะภิญญา ถ้าเราต้องการละกิเลส พุทโธก็เหลือเฟือแล้ว อยู่ที่เจตนาของเราเอง

ถาม : จะใช้อีกคาถาก็เหมือนใจยังไม่ชิน ?
ตอบ : อาตมาถึงได้บอกทุกครั้งว่า เราถนัดแบบไหนให้ใช้แบบนั้น

เถรี
12-10-2016, 19:36
ถาม : ถ้าเราเอาพระเครื่องไว้ที่บ้าน อาราธนาและนึกถึงตอนออกจากบ้านมา ?
ตอบ : นึกถึงได้ แต่เรานึกถึงได้ตลอดเวลาไหม ? ถ้าไม่ได้ตลอดเวลา ก็ต้องพกติดตัว

เถรี
12-10-2016, 19:42
ถาม : เวลาที่ตัวสั่น รู้สึกเหนื่อยค่ะ ?
ตอบ : นอกจากตัดใจได้ อย่างอื่นก็ไม่มี ต้องตัดใจได้ว่าตายเป็นตาย ไม่ต้องไปสนใจ ถ้าเรารู้จักสังเกตจะเห็นว่าตัวสั่น แต่ใจเรานิ่งมาก สนใจแต่ใจ ไม่ต้องไปสนใจร่างกาย ตายลงไปยิ่งดี เพราะเราไม่อยากอยู่บนโลกนี้อยู่แล้ว

ถาม : ปกติไม่เคยกลัวค่ะ แต่พอมาภาวนาโสตัตตะรู้สึกสั่นจนกลัวค่ะ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่ากำลังคนละระดับกัน

เถรี
12-10-2016, 20:52
ถาม : หนูอยากทราบเกี่ยวกับ ๑๒ นักษัตร ว่าทำไมสัตว์ทั้ง ๑๒ ตัวจึงได้มาประจำแต่ละปี ?
ตอบ : เหมือนกับเป็นนิทานอย่างหนึ่ง เล่าว่าพระเจ้าเรียกสัตว์ทั้งหลายมาประชุมกัน เพื่อจะพิจารณาว่าใครที่เหมาะสมกับการที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นสัตว์ประจำในแต่ละปี ถ้าสัตว์ชนิดไหนมาถึงก่อนก็จะตั้งให้ประจำแต่ละปีไป และ ๑๒ ตัวนี้เขามาถึงก่อน แต่ของทางเหนือไม่เหมือนกับของเรา ของเราปีกุน ของภาคเหนือปีช้าง

ถาม : คนที่เกิดตามนักษัตรแต่ละปี มีผลไหมคะ ?
ตอบ : มีผลน้อย ถ้าเราไปคิดว่ามีก็จะมี เป็นมโนมยา คือสำเร็จด้วยใจ

ถาม : อย่างคนที่เกิดปีไก่จะมีนิสัยแบบไก่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่แน่ ยังมีรายละเอียดอีกเยอะมาก เอาอย่างนี้...ถ้าสนใจไปอ่านตำราพรหมชาติฉบับราษฎร์ เขาจะบอกไว้เลย เช่น ปีไก่ เดือนอ้าย เดือนยี่ เดือนสาม เป็นอย่างไร เดือนสี่ เดือนห้า เดือนหก เป็นอย่างไร ยังมีรายละเอียดสอดแทรกอีกเยอะ เราจะเป็นไก่ป่า หรือเป็นไก่พระยาเลี้ยง แต่ส่วนใหญ่เป็นคำทำนายแบบรวม ๆ

เถรี
13-10-2016, 17:02
พระอาจารย์กล่าวว่า "โบราณเขาบอกว่าโลกนี้คือละคร ผู้คนก็โลดแล่นไปตามบทบาทของตัวเอง แต่ส่วนใหญ่แล้วน้อยคนที่จะมีสติทำตัวเป็นผู้ดู มักจะสิ้นสติโดดลงไปเป็นผู้เล่น แล้วก็โดน รัก โลภ โกรธ หลง ครอบงำให้ติดอยู่อยู่กับบทบาทนั้น ๆ

ถ้าเราทำตัวเป็นผู้ดูได้ ก็เหมือนกับเราอยู่นอกเวที ในเมื่อเราอยู่นอกเวที เราจะสะบัดก้นจากไปเมื่อไรก็ได้ แต่คนที่อยู่บนเวทีถ้าเล่นไม่จบบทบาทก็เลิกไม่ได้ แล้วขณะเดียวกันเลิกไม่ได้ไม่ว่า บางทีก็ยึดติดบทบาทต่อไปอีก ไม่ยอมเลิก ถ้าอย่างนั้นก็ตัวใครตัวมันเถอะนะ..!"

เถรี
13-10-2016, 17:07
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้วัดท่าขนุนเป็นเจ้าภาพจัดอบรมพระใหม่ก่อนสอบ ก็แค่ ๑๕๙ รูป ไม่มากไม่มายอะไร รวมบรรดาอาจารย์ด้วยก็เฉลี่ยราว ๆ ๒๐๐ รูป ก็แปลว่าเราจะเลี้ยงพระประมาณ ๒๐๐ รูปอยู่ ๕ วันติดต่อกัน แล้วเขาก็จะทิ้งขยะไว้ให้เราเก็บกัน

จากการคาดการณ์ของอาตมาโดยไม่ต้องใช้ความเป็นทิพย์เลยนะ ต่อไปการอบรมพระใหม่ก็จะลงหลักปักฐานที่วัดท่าขนุน ถึงเวลาก็จะมาอบรมที่นี่ เพราะว่าสถานที่พร้อม บุคลากรพร้อม ที่พักอาหารพร้อม แล้วโดยเฉพาะเจ้าอาวาสเต็มใจที่จะจ่าย เพราะถือว่าทำบุญ การเลี้ยงพระก็เป็นสังฆทาน อบรมพระก็เป็นธรรมทาน มีแต่ได้กับได้

ความจริงแล้วสงสารเจ้าคณะอำเภอ ท่านหาพระที่จะทุ่มเทให้กับคณะสงฆ์ไม่ค่อยได้ เลยวนเวียนอยู่แค่ ๒-๓ วัดนี้ ผลัดกันเป็นเจ้าภาพคนละทีสองที รองเจ้าคณะอำเภอถึงกับบ่นเลย “โอ้โฮ...อาจารย์เล็ก ตั้งแต่ผมรับตำแหน่งมานี่เลือดไหลไม่หยุดเลย” คำว่าเลือดไหลไม่หยุดของท่านก็คือ รายจ่ายมากกว่ารายรับ ก็อยากตะเกียกตะกายขึ้นไปเองแล้วจะไปโทษใครเล่า ?"

เถรี
13-10-2016, 17:13
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนไปหาพระอาจารย์ศิริชัย มีใครรู้จักบ้างไหม ? บอกชื่อว่าพระอาจารย์ศิริชัยไม่มีใครรู้จัก ต้องบอกอาจารย์บ๊ะ วัดโพธิ์ลังการ์ ค่อยรู้จัก

เนื่องจากว่าไปแล้วคนเยอะ อาตมาก็นั่งอยู่ข้างหลังรอเวลา เพราะว่าถ้าไม่ถึงเวลาท่านก็รักษาไม่ได้ พอได้เวลาปุ๊บ ท่านก็ “เอ้า...นิมนต์พระก่อนครับ” ในเมื่อนิมนต์พระก่อนอาตมาก็แซงคิว ด้วยความที่เพิ่งจะเจอตัวเป็น ๆ กันเป็นครั้งแรก อาตมาก็ทำให้ท่านลำบากใจ เพราะว่านั่งรออยู่ครึ่งค่อนชั่วโมง ท่านก็ไม่สูบบุหรี่ ไม่มึงมาพาโวย นั่งเรียบร้อย

พอถึงเวลาไปรักษา อาตมาเป็นคนไม่โลภมาก รู้ว่าท่านรักษาลำบาก ก็เลยเอาทีละโรค ก็เป็นอันว่าอาตมาก็เข้าใจท่าน ท่านก็เข้าใจอาตมา ประเภทไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ อะไรประมาณนั้น ก็เลยไม่ต้องเสียเวลาคุยอะไรกัน รักษาเสร็จก็ต่างคนต่างไป พอครั้งที่สองไปก็เหมือนเดิม แต่พอเผลอหน่อยเดียวโยมไปกราบท่าน ท่านบอก “โน่น ๆ ไปกราบหลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุนโน่น” อ้าว...แล้วกัน ตอนแรกไม่พูด ตูก็นึกว่ารอดแล้ว อุตส่าห์ไม่บอกไม่กล่าวแล้ว ยังรู้จักอีกนะ

ไปนึกถึงสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านมีหลวงปู่ธรรมชัยคอยรักษาโรค ตอนนี้คาดว่าใครป่วยมาอาตมาก็ส่งให้ท่านอาจารย์บ๊ะหมด ถึงเวลาก็ไปกวนกันเองแล้วกัน"

เถรี
13-10-2016, 19:11
ถาม : ผมมาขอขมาด้วยกาย วาจา ใจ ที่ไม่สมกับเป็นนักปฏิบัติวัดท่าขนุน ?
ตอบ : เดี๋ยวก็ได้ขออีกเยอะ ไม่ต้องห่วง ตอนนี้เอาเป็นว่าจบแค่นี้ก่อน

เขาเรียกว่าของขึ้นง่าย ในเมื่อของขึ้นง่าย ใครแหย่ไม่ได้ ก็กลายเป็นว่าคนฉลาดกว่าก็แหย่เราเล่นเป็นของสนุก

ถาม : ผมพยายามจะลดโทสะลง แต่กลายเป็นมากขึ้น ?
ตอบ : เลยกลายเป็นเก็บกด แล้วไประเบิดทีหลัง

ถาม : ผมต้องภาวนาให้มากขึ้น หรือทำอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ภาวนาแล้วแผ่เมตตา พิจารณาให้เท่าทันว่า สิ่งที่เขาทำสมควรแก่การโกรธหรือไม่ ? เราจะโกรธเขาหรือไม่โกรธเขา เขาตายไหม ? เราจะโกรธเขาหรือไม่โกรธเขา เราตายไหม ? ถ้าเราตายตอนเราโกรธเราจะไปไหน ? สมควรที่จะโกรธอย่างนั้นอีกไหม ? คิดให้เป็นแล้วเราจะทิ้งไปได้เยอะเลย

ขอขมาถูกแล้ว ไม่สมควรแก่การเป็นลูกศิษย์สถาบันวัดท่าขนุน สถาบันวัดท่าขนุนต้องฉลาดกว่านี้ เจ้าอาวาสท่านฉลาดจะตายไป..! ...(หัวเราะ)...

ถาม : เรื่องความผิดพลาดต่าง ๆ จะพิจารณาอย่างไร ?
ตอบ : ก็บทเรียนอย่างไรเล่า ถึงเวลาผิดเป็นบทเรียน ต่อไปเราก็จะผิดน้อยลง รู้ว่าไอ้ที่ผิดไปแล้วเราจะผิดอีกไม่ได้

ถาม : แต่ในระหว่างบทเรียน เราต้องจำตลอดชีวิตใช่ไหมครับ ?
ตอบ : จะได้รู้ว่าต่อไปอย่าได้โง่อย่างนั้นอีก

ถาม : ที่เขาแหย่มาผม บางทีผมรู้ว่าเป็นกรรมเก่าของเรา แต่ผมก็รับเข้ามา ทำใจอย่างไรให้ทุกข์น้อยที่สุดครับ ?
ตอบ : ก็แค่ไม่รับ ถ้าไปรับทุกข์มาก็ช่วยไม่ได้

เถรี
13-10-2016, 19:20
ถาม : คุณแม่ป่วยหนักอยู่โรงพยาบาล จะหายไหมครับ ?
ตอบ : อันนี้ต้องถามหมอ ไม่ใช่ถามพระ ไปเถอะ...ทำหน้าที่ของลูกให้ดี ถ้าท่านอยู่ก็ดูแลรักษาท่านไป ถ้าหากว่าท่านไม่อยู่แล้วเราก็ไม่มีโอกาสอย่างนี้อีก

สอนแม่ให้รู้จักภาวนา บอกแม่ว่าถ้าจับลมหายใจอยู่ จะไม่เจ็บไม่ปวด

ถาม : ภาวนา "นัมเมียว" ได้ไหมครับ ?
ตอบ : อย่างไรก็ได้ แต่ว่าให้อยู่กับลมหายใจให้ได้แล้วกัน จะภาวนานัมเมียวหรือพุทโธก็ได้

เถรี
14-10-2016, 15:32
ถาม : หลานสาวเกิดมาขาโก่ง ต้องทำบุญอะไรจึงจะดีครับ ?
ตอบ : ต้องไปหาหมอ ไม่ใช่เข้าวัดทำบุญ หลานอายุเท่าไร ?

ถาม : อายุถึงปีแล้วครับ หาหมอแล้วหมอจะผ่าอย่างเดียว ?
ตอบ : พาไปวัดโพธิ์ลังกาที่อินทร์บุรี ก่อนจะเข้าชัยนาท ไปหาหลวงพ่อบ๊ะ ถามท่านว่ารักษาได้ไหม ? เข้าไปถึงวัดโพธิ์ลังกาแล้ว ถามว่ากุฏิพระอาจารย์บ๊ะอยู่ตรงไหน ? ปกติแล้วกุฏิท่านมีแต่คนนั่งเต็มไปหมด หมอสมัยใหม่จะผ่าอย่างเดียว ก็แบบเดียวกับพวกประเภทกระดูกสันหลังเสื่อม กระดูกสันหลังทรุด หมอจะผ่าอย่างเดียว ไปหาพระอาจารย์บ๊ะ ท่านเคาะ ๆ ทุบ ๆ ไม่กี่ทีก็หายแล้ว

เถรี
14-10-2016, 15:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อกวยความจริงเป็นพระเกจิอาจารย์รุ่นไล่ ๆ กับหลวงพ่อวัดท่าซุง แล้วท่านอยู่ที่สรรคบุรี แต่หลวงพ่อของเราดังในด้านปฏิบัติ หลวงพ่อกวยท่านดังในเรื่องของเวทมนตร์คาถา รักษาโรคไสยศาสตร์ ฯลฯ ก็เลยกลายเป็นว่าใครอยู่ฝั่งไหนก็จะหูดับไปเลย เพราะได้ยินแค่ฝั่งเดียว บังเอิญว่าอาตมาไปสรรคบุรีบ่อย เพราะว่าไปกราบหลวงปู่บุดดา ก็เลยรู้จักท่านด้วย ถือว่าโชคดีไป

จริง ๆ แล้วหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเป็นคนแนะนำให้ไปหาเอง แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจกัน แบบเดียวกับที่ท่านแนะนำหลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม จนกระทั่งหลวงพ่อจวนมรณภาพ หลวงพ่อค่อยบอกชัด ๆ ว่านั่นคือพระอรหันต์ แต่ตอนที่บอกพวกเราก็ไม่อยากไปไหน อยากจะอยู่แต่กับหลวงพ่อเท่านั้น

มีพระของหลวงพ่อกวยอยู่รุ่นหนึ่งที่อาตมาพกแล้วรู้สึกแปลกมาก ๆ เลย เป็นพระสมเด็จที่ข้างหลังมียันต์ ๔ แถว ปกติแล้ววัตถุมงคลของหลวงพ่อกวยจะต้องพร้อมลุยกับชาวบ้าน ต่อให้ไม่ลุยชาวบ้านเขา ก็ต้องอยู่ในลักษณะที่ไม่ยอมให้ใครรังแก แต่พระสมเด็จรุ่นนั้นอาตมาแขวนติดตัวแล้วทำชั่วไม่ได้ เป็นอะไรที่ประหลาดที่สุดเลย

มาตอนหลังพออ่านหนังสือขอมออก ก็ไปอ่านอักขระข้างหลัง โอ้...พระเจ้า อักขระเขียนว่า สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง อาตมาก็ว่าทำไมตั้งใจจะทำชั่วแต่ทำไม่ได้ เพราะแปลชัด ๆ เลยว่า เว้นจากการทำความชั่วทั้งปวง ลองดูนะ...เผื่อว่าจะมีใครหาได้

หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ท่านเก่งครบเครื่อง ปกติพระเราจะชำนาญด้านในด้านหนึ่ง มหาลาภ เมตตา ค้าขาย หรือว่าอยู่คงกระพัน ฯลฯ หลวงพ่อกวยท่านได้ทุกเรื่องเลย"

เถรี
14-10-2016, 16:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าจิตใจสงบ จะเห็น รัก โลภ โกรธ หลง เป็นของตลกฉากหนึ่งที่คนอื่นเขาเล่นให้ดู แล้วก็ผ่านไปแค่นั้น ดู ๆ แล้วก็ขำดี"

เถรี
14-10-2016, 17:15
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ เรามีหน้าที่ก็ภาวนาไป ถ้ามัวแต่ไปหาความหมายของนิมิตอยู่ ชีวิตนี้ก็ไม่ต้องไปหวังความก้าวหน้า อะไรจะเกิดขึ้นก็แค่รับรู้ไว้ ไม่ต้องไปใส่ใจ สิ่งที่เราต้องสนใจก็คือ ทำอย่างไรที่จะให้ใจของเราใสสะอาด ปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง ถ้าใจเรามี รัก โลภ โกรธ หลง อยู่ ก็ขับไล่ออกไป ระมัดระวังไว้อย่าให้เข้ามาอีก ถ้าใจไม่มีความดี ก็สร้างความดีขึ้นมา แล้วทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ก็คือความดีใน ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นแหละ

เถรี
14-10-2016, 19:00
ถาม : มีข่าวว่าพระท่านทำขนมปัง เพื่อหาเงินสร้างศาลา แล้วเปรียบเทียบว่าพระที่สร้างวัตถุมงคล ก็สร้างศาลาเหมือนกัน แตกต่างกันอย่างไรคะ ?
ตอบ : แตกต่างตรงที่ว่า ฝ่ายหนึ่งได้วัตถุมงคล ฝ่ายหนึ่งได้ขนม ที่พูดนี่คือ "ขนมปังรสพระทำ" ใช่ไหม ?

ถ้าว่ากันตามพระวินัยจริง ๆ แล้ว พระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ให้ทำ แต่สิ่งที่ท่านห้ามไม่ให้ทำนั้น เพราะว่าคนสมัยก่อนเขานินทาเอา อย่างเช่น ถ้าเราตัดต้นไม้ ดึงต้นหญ้า ศาสนาอื่นเขาถือว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีชีวิต เขาจะว่าเราไปเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น จะทำให้เขาขาดความศรัทธาเลื่อมใส พระพุทธเจ้าจึงต้องห้าม แต่ถ้าเราไปปล่อยให้วัดรกไปหมด โดยอ้างว่าพระพุทธเจ้าห้ามตัดหญ้า ห้ามตัดแต่งต้นไม้ แล้วถ้าวัดรก ใครจะเกิดศรัทธาเลื่อมใส ? ก็ต้องมีคนที่ทำหน้าที่ ถ้าไม่มีลูกศิษย์ทำ พระก็ต้องลงมือเอง

การที่เราทำความสะอาดวัดวาอาราม แม้จะต้องพรากของเขียว เป็นการผิดพระวินัยที่พระพุทธเจ้าบัญญัติเอาไว้ แต่พอเราทำไปแล้ว คนเห็นวัดวาอารามสะอาดสะอ้าน เกิดความศรัทธาเลื่อมใส เข้าวัดมาทำบุญ ส่วนที่เป็นกุศลจึงมีมากกว่า พระหลายรูปที่ท่านหาลูกศิษย์ยาก ท่านก็ลงมือทำเสียเอง ถือว่าความผิดและสิ่งที่ได้รับนั้นพอที่จะทดแทนกันได้

เรื่องที่พระท่านทำขนมปังก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าสั่งไม่ให้พระทำอาหารเอง เพราะกลัวท่านที่มีฝีมือในการทำจะไปติดในรส ก็แปลว่าทำแล้วผิด แต่คราวนี้พระท่านทำเพื่อที่จะเอาเงินมาสร้างศาลา อานิสงส์ที่ได้มากกว่า เพราะท่านปรับพระที่ทำอาหารเองด้วยอาบัติทุกกฎ ซึ่งปรับเท่ากับการจับเงิน ในเมื่อบุญได้มากกว่า ท่านลงมือทำไป เราก็ต้องเข้าใจเจตนาท่านด้วย

คนที่ไม่เข้าใจพระวินัยของพระ หรือเข้าใจงู ๆ ปลา ๆ โดยเฉพาะไม่รู้เจตนาที่พระท่านทำ แล้วไปวิพากษ์วิจารณ์ โอกาสที่จะขาดทุนมีเยอะมาก

เถรี
14-10-2016, 19:12
ถาม : มีข่าวดาราไปบวชแล้วอุ้มลูกสาว อาบัติไหมคะ ?
ตอบ : ท่านปรับเท่ากับจับเงินเหมือนกัน พระพุทธเจ้าห้ามจับต้องกายหญิงด้วยจิตกำหนัด จิตกำหนัดคือมีอารมณ์ทางเพศ ถ้าจับต้องกายหญิงด้วยจิตกำหนัด ท่านปรับต้องสังฆาทิเสส แต่ถึงไม่มีจิตกำหนัด ท่านปรับอาบัติทุกกฎ ก็คือ ปรับเท่ากับจับเงิน

แต่ก็อย่างว่าแหละ สิ่งที่ท่านทำก็คือความผูกพันระหว่างพ่อกับลูก แต่เป็นการฝืนพระวินัย โดยเฉพาะว่าออกสื่อ ถ้าออกสื่อเถียงกันเมื่อไรก็เละเมื่อนั้นแหละ เพราะคนรู้นั้นมีมาก แต่ที่รู้จริงนั้นหายาก ท่านอุ้มลูกไม่กี่เดือน โอกาสที่จะเกิดจิตกำหนัดอารมณ์ระหว่างเพศคงหาไม่ได้หรอก แต่ก็โดนอาบัติอยู่ดี ไปแสดงอาบัติคืนได้ เพราะปรับเท่ากับจับเงิน

อย่าลืมนะ จับเงินกับรับเงิน อาบัติคนละอย่างนะ อาตมารับเงินนี่โดนหนักกว่าอีก ...(หัวเราะ).... พระพุทธเจ้าห้ามพระจับเงิน จับทอง จับแก้วมณี หรือสิ่งที่ใช้แทนเงินทอง เพราะเกรงว่าจะเกิดความโลภ ถ้าไม่จับแล้วให้ลูกศิษย์เก็บไว้ แล้วเราไปคิดว่าเรามีเงินเท่านั้นเท่านี้ กูรวยแล้วเท่านั้นเท่านี้ บรรลัยยิ่งกว่าจับเองอีก

เถรี
14-10-2016, 19:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาจารย์บ๊ะท่านห้ามอาตมาฉันใบชะพลู ท่านว่าทำให้สายตาเสียหมด ไปหาท่านครั้งหนึ่ง ก็ได้ข้อห้ามมาอย่างหนึ่ง"

เถรี
15-10-2016, 18:48
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อเช้าลงรับสังฆทานก่อนเวลาหนึ่งชั่วโมงไม่มีใครว่า ช่วงบ่ายลงช้าไปสองนาทีมีคนนินทา ต้องบอกว่าไม่รู้จักพอกันจริง ๆ"

เถรี
15-10-2016, 18:49
พระอาจารย์กล่าวว่า “สมัยที่อาตมาภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัวใหม่ ๆ รู้สึกเย็นอกเย็นใจจนบอกไม่ถูก ตากแดดก็ไม่ร้อน ตากฝนก็ไม่หนาว บางทีฝนตกก็เดินภาวนาตากฝนไปเรื่อย อยากรู้ว่าฝนกับเราใครจะเก่งกว่ากัน มารู้ทีหลังที่หลวงพ่อฤๅษีท่านบอกว่า พอสมาธิทรงตัว จิตกับประสาทจะแยกออกจากกัน ไม่ค่อยรับรู้อาการทางร่างกาย ขอเตือนว่าใครจะเลียนแบบก็ได้นะ แต่อย่านาน ถ้านานเกินไปพอเราถอนสมาธิออกมาบางทีก็ไข้จับไปเลย”

เถรี
15-10-2016, 18:52
ถาม : ถ้าผมจะใช้วิธีเอาพระหกกษัตริย์ของหลวงปู่ปานมาทำน้ำมนต์แล้วพรมเงิน เงินจะงอกไหมครับ ?
ตอบ : เขาให้ภาวนาพระคาถาเงินล้านหรือว่าพระคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ถ้าเอาไปพรมแล้วเงินงอก ตูพรมไปก่อนหน้านั้นแล้ว แหม...คิดแบบมักง่ายมาก ไม่คิดจะลงทุนลงแรงทำเองเลย...!

เถรี
15-10-2016, 18:53
ถาม : ผมจะปิดทองพระพุทธรูป แต่ต้องมีการขัดผิวก่อน ?
ตอบ : ขัดเนื้อเก่าให้เรียบก่อนแล้วค่อยลงสีรองพื้น ถ้าจะปิดทองก็ลงด้วยสีแห้งช้าสีเหลือง ทิ้งไว้ ๖ ชั่วโมงแล้วปิดทอง ถ้าทำแล้วสวยขึ้นจะขัดแต่งอย่างไรก็ทำไปเถอะ ไม่ใช่ว่าไปขัดแล้วกระดำกระด่างสวยสู้ของเก่าไม่ได้

เถรี
15-10-2016, 22:12
ถาม : ผมใช้บุญจากการบวช อธิษฐานขอ ปรากฏว่าขอแล้วไม่ได้ ?
ตอบ : ยังทำมาไม่พอ

ถาม : ขอบเขตในการขอ มีระยะ ปริมาณ อย่างไรครับ ?
ตอบ : แล้วแต่บุญเก่าของตัว ถ้าทำของเก่าไว้มาก ของใหม่เสริมเข้าไปเพียงพอแล้วขอไม่เกินวิสัยก็ได้ อย่าลืมคำว่า "ไม่เกินวิสัย" ของหลวงพ่อวัดท่าซุง ถ้าของเก่าทำไม่พอ ของใหม่ถมลงไปแล้วก็ยังขาด ขอไปก็ไม่ได้ เราจะสังเกตง่าย ๆ จากการบน คนอื่นบนได้กันเยอะแยะ ทำไมเราบนแล้วไม่ได้

การบนนั้นส่วนใหญ่เราต้องทำความดีตอบแทน อย่างเช่น การบนหลวงพ่อ ๕ พระองค์ที่วัดท่าซุง เขามีทั้งบวชเณร มีทั้งถวายสังฆทาน มีทั้งถวายผ้าห่มพระ ก็คือการสร้างบุญ คราวนี้การที่เราไปบนท่าน ก็คือ ถ้าเรื่องนี้สำเร็จเราจะทำบุญอย่างนี้ ท่านเองเห็นว่าไม่เกินวิสัย ถ้าบุญที่เราทำเสริมลงไปเพียงพอที่จะได้ในสิ่งนั้น ท่านก็ให้เราได้ คราวนี้ถ้าหากว่าไม่พอ ถมเท่าไรไม่รู้จักเต็มเพราะของเก่าทำไว้น้อย ของใหม่ถึงทำมาก รวมกันแล้วก็ไม่ถึงระดับที่ควรจะได้ก็ไม่ได้อยู่ดี

เอาเถอะ...ถ้าบวชครั้งนี้อธิษฐานขอจากบุญบวชไม่ได้ก็ครั้งหน้าบวชใหม่ ที่วัดมีบวชปีละ ๔ ครั้ง จะไปกลัวอะไรวะ ? บวชไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็เต็มไปเอง

ถาม : ตอนที่ไปกฐินนราธิวาส พรรคพวกเขาไปอธิษฐานตักไข่ในน้ำ ยังได้จักรยานมา ?
ตอบ : ไอ้นั่นโง่ชัด ๆ...! บุญบวชราคาเป็นล้านเอาไปขอจักรยานคันเดียว จะไม่ได้อย่างไรวะ ? ทิดที่วัดบวชแล้วสึกไปงานกฐินด้วยกัน ไปตักไข่อธิษฐานขอรางวัลใหญ่ แต่รางวัลใหญ่ที่สุดแค่จักรยาน เอ็งบวชปฏิบัติมาทั้งพรรษา ถ้าไม่ได้จักรยานคันหนึ่งก็ไปตายเสียเถอะ...!

เถรี
15-10-2016, 22:31
ถาม : อันนี้ใช่เหล็กไหลไหมครับ ?
ตอบ : เสียดาย...ถ้าออกเขียวหน่อย ตูจะตีเป็นลูกอมเมฆสิทธิ์ของหลวงปู่ทับ วัดอนงคาราม แต่บังเอิญว่าไม่เขียว อันนี้เป็นโลหะที่เขาเรียกออกมา บางคนเรียกเหล็กไหล แต่ให้รู้ว่าจริง ๆ คือเหล็กเหลวไหล..!

ถาม : ปรอทสำเร็จใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ ปรอทจะลื่นกว่านี้

ถาม : อันนี้ใช่สีผึ้งเขียวของหลวงปู่ทาบไหมครับ ?
ตอบ : อะไรนักหนาวะ...! ตกลงมึงไม่เอาพระเลยใช่ไหม ? ต้องบอกว่าอย่างไรละ คนใช้ไม่เป็นใช้อย่างไรก็ไม่ได้เรื่องหรอก

ถาม : สีผึ้งอันดับ ๑ ของประเทศ คือ หลวงปู่ทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้งใช่ไหมครับ ?
ตอบ : อย่างของหลวงปู่ทาบได้ชื่อว่าเป็นสีผึ้งอันดับ ๑ ของเมืองไทย แต่คนใช้สีผึ้งหลวงพ่อกวยจะบอกว่าของหลวงพ่อกวยเจ๋งกว่า ก็อยู่ที่ว่าใครใช้แล้วมีประสบการณ์ แต่ที่ขำที่สุดก็คือมีลูกศิษย์หลวงพ่อกวยคนหนึ่งอยากได้เมีย ไปหาหลวงพ่อกวยขอการสงเคราะห์พิเศษ วันนั้นหลวงพ่อท่านก็ว่างพอดี แล้วก็ดันใจดีขึ้นมาอีก ท่านบอก “มึงไปเอาน้ำมันใส่ผมมา” เขาก็ไปเอาน้ำมันใส่ผมยี่ห้อตันโจ เคยได้ยินไหม ? เด็กรุ่นนี้รู้จักหรือเปล่า ? เอาไปให้หลวงพ่อกวยท่านเสกให้

หลวงพ่อกวยท่านก็บอกว่า “มึงอย่าให้คนอื่นใช้เชียวนะ ต้องใช้คนเดียว” เพราะท่านถามชื่อ ถามนามสกุลแล้ว เสกเฉพาะคนนี้คนเดียว โยมคนนั้นปัจจุบันต้องเรียก "ปู่บาง" แต่ตอนนั้นหลวงพ่อกวยเรียก "ไอ้บาง" ปรากฏว่าตาบางได้น้ำมันใส่ผมของหลวงพ่อกวยไปก็สบายใจ เอาไปวางไว้หัวนอน...ลืมใช้

พอดีเพื่อนมาที่บ้าน ประเภทซี้กัน ไปกินไปนอน อาบน้ำอาบท่าเสร็จสรรพเรียบร้อยก็เอาน้ำมันมาใส่ผม หวีเสียอย่างดี พอตาบางกลับมาบ้าน เพื่อนก็กระโดดกอดเลย “พี่บางจ๋า หนูรักพี่บาง” ซวยฉิบหา...! ต้องช่วยกันจับ ช่วยกันปล้ำ เอาไปให้หลวงพ่อกวยท่านรดน้ำมนต์แก้ให้ หลวงพ่อกวยท่านด่าตาบางเสียจมดินเลย “กูบอกแล้วว่าอย่าเผลอไปให้คนอื่นใช้” “ผมไม่ได้ให้ใช้ครับ มันไปเอามาใช้เอง”

เถรี
15-10-2016, 22:36
ถาม : ผมไปของานเทวดามา ขอแบบนี้ครับ ถ้าได้งานครั้งที่หนึ่งให้ยกมือขึ้น แล้วก็ไล่ไปเรื่อย กล้ามากครับ ยกไม่ขึ้นเลยครับ ๒๐ กว่าครั้ง ?
ตอบ : ไปลองทำบ่อย ๆ ดูสิ ไม่โดนเทวดาเหยียบเอาก็บุญแล้ว ถึงได้บอกว่าคิดแต่เรื่องวิตถาร คิดแต่เรื่องมักง่าย...! ไม่เคยคิดในเรื่องทำมาหากินเลย

เถรี
16-10-2016, 20:24
ถาม : เราภาวนาคาถาเงินล้าน แต่เราทำบุญเก่าไว้น้อย จะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้...ให้ทำจริง ๆ และสม่ำเสมอเท่านั้น บุญเก่าเราทำไว้มากก็ได้มาก บุญเก่าเราทำไว้น้อยก็ได้น้อย แต่ถ้าทำสม่ำเสมอต่อเนื่องได้ ๒ เดือนก็จะได้ จะมากน้อยก็ต้องได้

แต่จริง ๆ คนที่ต้องใช้คาถา ต้องใช้สีผึ้ง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่สรรเสริญนะ บางทีท่านด่าเลย ท่านบอกว่า “กับผู้หญิงถ้าทำดี พูดดีกับเขา เขาก็รักเราเอง จะต้องไปใช้อะไรมากมายวะ ?” เพราะฉะนั้น...อาตมาตั้งแต่ต้นจนจบ ขอเรื่องนี้ไม่ได้เลยสักเรื่อง ขอเมื่อไรท่านไม่เคยให้ แต่ถ้าจะไปตีกับชาวบ้านนี่ขออะไรท่านให้หมด

ท่านเล่าเรื่องของหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม) วัดอนงคารามให้ฟัง ท่านว่าฟังมาจากหลวงพ่อสมเด็จฯ อีกทีหนึ่ง ตอนนั้นหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านบวชใหม่ ๆ ก็ยังเป็นพระหนุ่มน้อยอยู่ คราวนี้อาหมวยที่ใส่บาตรหน้าตาสวยมาก เขาเปิดร้านขายของ หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านสมัยพระหนุ่มก็แสดงความจริงใจ ท่านบอกว่าตกค่ำก็เอาบาตรไปนอนที่หน้าร้าน พอเขาเปิดร้านก็ยืนถือบาตรรอรับบาตรก่อนใครเลย ...(หัวเราะ)... นิทานเรื่องนี้หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านสอนให้รู้ว่า กูบ้ามากกว่ามึงอีก กูยังต้องบวชจนเป็นสมเด็จฯ เลย ...(หัวเราะ)... หมดอารมณ์เลยใช่ไหม ? อาตมายังไม่เคยทำถึงขนาดนั้น

เถรี
17-10-2016, 18:55
ถาม : ผมไปซื้อปรอทจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์มาต้มในหม้อดิน ต้องใช้ดักหรือใช้ฆ่าครับ ?
ตอบ : ใช้ฆ่า

ถาม : ต้องเตรียมน้ำมันชาตรีกันระเบิดใช่ไหมครับ จะระเบิดไหมครับ ?
ตอบ : กูละเบื่อ ไอ้พวกรู้งู ๆ ปลา ๆ สมควรตาย...!

ถาม : ทีหลวงพ่อยังใส่น้ำมันชาตรี ?
ตอบ : นั่นปรอทแข็งตัวแล้วเอามาหลอมใหม่ เดี๋ยวเตะก้านคอเลย...! ตายห่..ไปนี่ไม่ต้องคิดเลย ได้ปรอทมาใหม่ ๆ เขาต้องฆ่าพิษเสียก่อน ปรอทยังเป็น ๆ ไปต้มส่งเดชพิษฟุ้งขึ้นมาก็ตายห่..สิวะ รักจะศึกษาก็ไปศึกษาให้จริง ๆ จัง ๆ ไม่ใช่รู้งู ๆ ปลา ๆ แล้วกูก็ไปทำ ตายยกครัวขึ้นมาก็ไม่ต้องไปโทษใครเลย

เถรี
17-10-2016, 19:07
ถาม : ปรอทสำเร็จเพราะฆ่าออกมาจะแข็งตัวหรืออย่างไรครับ ?
ตอบ : ต้องทำให้แข็งตัวได้ก่อน หลังจากนั้นเราจะเสกอะไรก็ต้องหลอมต้องไปเรื่อย ถ้าสำเร็จจริง ๆ หลอมกี่ครั้งก็จะแข็งตัวเหมือนเดิม

ถาม : ปรอทสำเร็จ ท่านที่สำเร็จอภิญญาอธิษฐานเข้าไปเหมือนชาร์จแบตฯ ไหมครับ เวลาเสก ?
ตอบ : อธิบายไปเอ็งจะรู้เรื่องไหมนี่ ? คือบุคคลที่สำเร็จปรอทเขาจะต้องหลอมไป ภาวนาไป จนกระทั่งทรงฌานโดยอัตโนมัติ สรุปว่าที่สำเร็จไม่ใช่ที่ปรอทหรอก อยู่ที่ตัวคนนั่นแหละ ปรอทเป็นเพียงแต่เครื่องโยงให้เกิดศรัทธาในการทำเท่านั้น

ถาม : ไม่ว่าจะได้กสิณอะไรมา ก็เหาะได้ทุกคน ?
ตอบ : แต่ถ้าหากว่าถึงขนาดสำเร็จปรอทแล้วนี่ก็เหาะได้ทั้งนั้นแหละ

ถาม : ต้องอมใช่ไหมครับ ?
ตอบ : กลืนลงท้องไปก็ได้...!

เถรี
17-10-2016, 19:10
ถาม : แล้วที่บอกว่าสำเร็จปรอทขั้น ๑ เป็นมหาเสน่ห์ ขั้น ๒ เป็นป้องกันภัย พอถึงขั้น ๒ แล้วจะซ้อนทับของเดิมไหมครับ ?
ตอบ : เหมือนกัน แต่ของใหม่จะแรงกว่า หมายความ ถ้าเป็นมหาเสน่ห์พอไปถึงขึ้นป้องกันภัยตัวมหาเสน่ห์ยังอยู่ แต่ป้องกันภัยจะออกหน้า ถ้าขั้นรักษาโรค ตัวรักษาโรคจะออกหน้า ตัวป้องกันภัยยังอยู่ แต่อยู่ข้างหลัง

ถาม : แล้วขั้นไหนที่ปรอทจะกินทองครับ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วถ้ายังไม่ได้เริ่มต้นนี่กินกระจายเลย หลังจากนั้นแล้วก็กินน้อยลง

ถาม : แล้วปรอทที่บรรจุในเบี้ยแก้ ?
ตอบ : ใช้ปรอทวิทยาศาสตร์ก็ได้ แต่เขาต้องเรียกลงเบี้ย ไม่ใช่แค่กรอกเข้าไปเฉย ๆ อย่างหลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ ท่านเอาใบหญ้าคาพาดจากตัวเบี้ยไปหาภาชนะใส่ปรอท แล้วเรียกปรอทให้ไต่ใบหญ้าคาลงไปเอง

เถรี
17-10-2016, 19:27
ถาม : แล้วการทำปรอทกรอ ?
ตอบ : ปรอทกรอทำยากมาก ปรอทกรอเป็นวัสดุชนิดหนึ่ง คนที่เขาผ่าออกมาบอกว่าข้างในจะเป็นแผ่นสัมฤทธิ์บางเหมือนปีกจักจั่น ซ้อน ๆ สับกันไปสับกันมาเหมือนหวี แล้วมีเม็ดปรอทอยู่เม็ดหนึ่ง พอถึงเวลากระทบแล้วจะเกิดเสียง

ถาม : แล้วการแบ่งตัวผู้ตัวเมีย เป็นเพราะเราแบ่งว่าเป็นลูกใหญ่ลูกเล็กหรือครับ ?
ตอบ : จริง ๆ อยากจะบอกว่าคนทำขี้เกียจใช้วัสดุเยอะก็เลยทำลูกเล็ก แต่คราวนี้เขาก็เรียกลูกเล็กว่าตัวผู้ ลูกใหญ่ว่าตัวเมีย แต่จริง ๆ แล้วลูกเล็กน่าจะทำยากกว่า เราลองไปนึกว่าโลหะชิ้นหนึ่งถ้ากว้างสักนิ้วหนึ่งก็ใส่ง่ายใช่ไหม ? แต่ถ้ากว้างครึ่งเซ็นติเมตรจะไปใส่อย่างไร ? ก็ต้องเล็งกันตาเหล่ไปข้างหนึ่ง

ถาม : พอทำไปถึงเป็นแก้วจักรพรรดิ เหาะได้ เลี้ยงคนได้ คุ้มครองคนได้ทั้งโลก เอาไปติดหินรูปปั้นแล้วล้มลุกได้ ยังทำอะไรได้อีกครับ ?
ตอบ : แค่นั้นยังไม่พออีกหรือวะ เออ...แต่ว่ามาถามตรงนี้แล้วก็นึกได้ พวกที่ไปติดรูปแล้วเคลื่อนไหวได้ก็ยังย่องไปกินทองอยู่ดี แสดงว่ากินทุกขั้นตอนเลย ที่เขาติดเต่า ติดสิงโต ติดช้าง พวกนั้นก็ไปกินทอง กินเสร็จแล้วค่อยกลับ แสดงว่ากินทุกขั้นตอน

อยากศึกษาก็ข้ามไปฝั่งพม่า ไม่ต้องไกลหรอก...ที่เมียวดีก็มีคนหนึ่ง ความจริงที่ทองผาภูมิก็มีคนสอนได้นะ เพียงแต่ว่าท่านไม่ค่อยอยากจะสอนใครเท่านั้นเอง

ถาม : ใช่ฤๅษีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่...ที่อยู่ผาอ้น เพียงแต่ว่าท่านไม่ค่อยจะสอนใคร โดยเฉพาะว่าพูดคนละภาษาแล้วจะไปเรียนกันอย่างไร ? พอท่านบอกชื่อตัวยาที่เอามาฆ่าพิษปรอทนี่ปวดกบาลเลย เพราะเราไม่รู้ว่าชื่อกะเหรี่ยงพอเป็นไทยแล้วคืออะไร ต้องให้ท่านหาตัวอย่างมาให้ดูสักชิ้นหนึ่งถึงจะรู้ เรื่องอุปสรรคระหว่างภาษาก็ยุ่งเหมือนกัน

เถรี
17-10-2016, 19:33
ถาม : ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นให้ประสบความสำเร็จ จะต้องทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : อ๋อ...ต้องใช้คาถามหาเสน่ห์ของพระพุทธเจ้า ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตา

เถรี
17-10-2016, 19:40
ถาม : หลวงปู่เทพโลกอุดร ถ้าผมตั้งใจเดินตรงเข้าไป ท่านจะมารับไหมครับ หรือท่านจะลองใจผมครับ ?
ตอบ : คนตั้งใจไปหาท่านต้องอยากจะเอาดี ไม่ใช่ตั้งใจไปหาท่านอยากจะไปดูฤทธิ์ดูเดช

ถาม : ผมอยากไปเรียนวิชาครับ ?
ตอบ : ทำดูสิ ได้ไม่ได้เดี๋ยวก็รู้เอง

ถาม : หลวงปู่ฤๅษีลิงขาวกับหลวงปู่ฤๅษีลิงเล็กยังอยู่ไหมครับ ?
ตอบ : มรณภาพไปตั้งนานแล้ว

ถาม : แล้วพระอรหันต์ ๗๐ กว่ารูปที่หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยกล่าวถึง ?
ตอบ : มรณภาพไปเยอะแล้ว

เถรี
17-10-2016, 19:46
ถาม : มีคนเขาฝากปลาเค็มมาให้ทอดถวายพระอาจารย์ แต่ไม่สะดวกหนูเลยแบ่งมาถวายบางส่วน ?
ตอบ : หาทางถวายวัดไหนไปก็ได้ เพราะเขาตั้งใจถวายวัด

ถาม : หนูก็แบ่งมาถวาย ๒ ชิ้นแล้ว ?
ตอบ : เขาตั้งใจถวายทั้งตัว หรือถวายแค่ ๒ ชิ้น ? ทำอะไรอย่ามักง่าย เดี๋ยวจะซวยไม่รู้ตัว..!

เถรี
18-10-2016, 18:58
ถาม : .....ต้องธาตุลมใช่ไหมครับ เปิดลมเข้าไป ?
ตอบ : ไปถามท่านเอง...พอได้แล้ว สารพัดปัญหาที่ถามมา กูไม่เห็นมีการปฏิบัติของมึงอยู่เลย สงสัยเหี้...อะไรไม่รู้เยอะแยะไปหมด

ถาม : มีอีกตัวหนึ่งครับ ?
ตอบ : คำว่าพอแล้วนี่ฟังไม่รู้เรื่องใช่ไหม ? หรือต้องฟาดกบาลด้วยไมค์...! การถามปัญหาต้องหวังความก้าวหน้าในการปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ ไม่ใช่ถามเพื่อหวังรวย..!

ถาม : พระคาถาเงินล้าน ถ้าเราท่องได้ตามจบ ก็จะได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เขาให้ทำ ไม่ใช่ให้ถาม อยากรู้ก็ไปทำ

ถาม : การภาวนาคาถาเงินล้าน ภายในสองเดือน จะได้ของเก่าหรือไม่ได้ ถ้าทำถึงฌานสี่ก็ได้ผลหรือครับ ?
ตอบ : แค่สมาธิเล็กน้อยก็ได้ เพียงแต่ให้ทำจริง ๆ และสม่ำเสมอเท่านั้น

ถาม : สัมปะจิตฉามิ ภาวนาแบ่งแบบไหนดีครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เราสะดวกในการภาวนา จะเอากี่คำก็ได้

เถรี
18-10-2016, 20:33
พระอาจารย์เล่าว่า "ประมาณกลางเดือนที่แล้วกรรมการวัดท่านหนึ่ง ก็คือ มิสเตอร์เดวิด คันนิ่งแฮม (ลุงเดฟ) เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ตายแล้วไปดี ลุงเดฟของพวกเราไม่ใช่โชคดี แต่เป็นเพราะความพยายามในการปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนาจริง ๆ

ลุงเดฟแต่งงานกับป้าอุ๋ย ป้าอุ๋ยบังคับลุงเดฟใส่บาตรทุกวัน ด้วยความรักเมียลุงเดฟก็ต้องลุกขึ้นมาใส่บาตร ใส่ไปใส่มา จนบางวันป้าอุ๋ยขี้เกียจ นอนเขลง ลุงเดฟก็ยืนใส่บาตรคนเดียว พอนานไปลุงเดฟก็ชักสงสัย "นี่ตกลงว่าศาสนาของเธอหรือศาสนาของฉันกันแน่ ?"

พออาตมาสอนให้ภาวนา ลุงเดฟกลับทำได้ดี โดยเฉพาะภาวนาแล้วเห็นภาพพระพุทธรูปชัดมาก ขนาดอาตมาสร้างพระใหญ่หน้าวัด ทาสีขาว ลุงเดฟบอกว่าไม่ใช่ พระที่ท่านเห็นเป็นสีทอง ที่อาตมาทาสีขาวเพราะต้องการให้คนเห็นแต่ไกล ไม่ใช่ว่ากันตามที่ลุงเดฟเห็น

คราวนี้ลุงเดฟป่วยเป็นมะเร็ง เวลาเข้าโรงพยาบาลไม่ต้องฉีดมอร์ฟีน ลุงเดฟก็ภาวนา พอเห็นภาพพระก็หายปวด...สบาย ลูกหลานเห็นลุงเดฟนิ่ง ๆ ก็ไปเขย่าเรียก พอหลุดจากสมาธิก็มาโอดโอยกับความปวด ก็ต้องเข้าสมาธิภาวนาใหม่ บางทีลูกหลานไม่รู้ว่าพ่อแม่ทำอะไร แหม...น่าฆ่าให้ตายจริง ๆ คนภาวนาจนกำลังใจทรงตัวดันไปเขย่าให้หลุด

ท้ายสุดลุงเดฟก็ไปสบาย เพราะเห็นพระอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว สมัยก่อนที่ลุงจะเป็นมะเร็ง เวลาวัดท่าขนุนมีงาน เราจะเห็นฝรั่งแก่ ๆ มาช่วยทำกับข้าวเลี้ยงโยมเลี้ยงพระ นั่นแหละ...ลุงเดฟของพวกเรา"

เถรี
18-10-2016, 20:42
"ลุงเดฟแต่งงานกับป้าอุ๋ยเพราะมีเพื่อนแต่งเมียคนไทย แล้วเมียเพื่อนทำกับข้าวเก่งมาก ลุงเดฟชอบกินอาหารไทยก็เลยแต่งกับป้าอุ๋ย โดยที่ไม่รู้ว่าป้าอุ๋ยทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ท้ายสุดลุงเดฟจึงต้องไปหัดทำกับข้าวเสียเอง ตกลงว่าแต่งเมียจะเอาไปอวดชาวบ้าน ว่ามีเมียคนไทยทำกับข้าวเก่ง ก็เลยอวดไม่ได้ ต้องทำเอง

ไป ๆ มา ๆ ก็หัดใส่บาตร ทำกับข้าวใส่บาตรทุกวันจนชิน พอถึงเวลาให้ภาวนาก็ง่าย เพราะจิตใจเคยชินกับการจดจ่อทำกับข้าวถวายอาหารพระทุกเช้า ฉะนั้น...พวกเราเป็นคนไทยแท้ ๆ อย่างน้อย ๆ อย่าให้แพ้ลุงเดฟเขานะ ...(หัวเราะ)...

อาตมาเชื่อว่ามีน้อยมาก วัดในประเทศไทยที่มีกรรมการวัดเป็นฝรั่ง แต่วัดท่าขนุนมี"

เถรี
18-10-2016, 20:57
"วีรกรรมของป้าอุ๋ยกับลุงเดฟมีเยอะมาก อาตมาบอกให้ป้าอุ๋ยไปเขียนหนังสือ ป้าอุ๋ยบอกว่าเขียนไม่เป็นหรอก แต่เล่าเป็น ป้าอุ๋ยเล่าให้ฟังแต่ละเรื่อง หัวเราะกันจนท้องคัดท้องแข็ง

เมื่อตอนที่ป้าอุ๋ยเพิ่งแต่งงานไป ลุงเดฟก็นัดเพื่อนมาปาร์ตี้ที่บ้าน เพราะมั่นใจว่าป้าอุ๋ยทำกับข้าวเก่งเหมือนกับเมียเพื่อน ...(หัวเราะ)... แต่ความจริงป้าอุ๋ยทำอะไรไม่เป็น

ป้าอุ๋ยโทรกลับมาบ้าน ให้แม่ซื้อหม้อหุงข้าวส่งไปทางเรือ สมัยก่อนยังไม่นิยมเครื่องบิน กว่าของจะไปถึงก็เป็นเดือน พอหม้อหุงข้าวไปถึง ป้าอุ๋ยก็คิดว่าสบายแล้ว ผัวว่าอยู่ทุกวันว่าทำกับข้าวไม่เป็นเสียชาติเกิด หุงข้าวไม่เป็นเสียชาติเกิด ป้าอุ๋ยก็ดูคู่มือการใช้หม้อไฟฟ้า ใส่ข้าวแค่นี้ ใส่น้ำแค่นี้ เสียบปลั๊ก จัดการเรียบร้อย ครบ ๑๕ นาที ปรากฏว่าพอเปิดหม้อดูยังเป็นน้ำใส ๆ เหมือนเดิม

ป้าอุ๋ยจึงโทรมาหาแม่ บอกว่าทำตามที่เขาบอกแล้ว ทำไมข้าวไม่สุก แม่ถามว่า "แกได้กดปุ่มหรือเปล่า ?" ปรากฏว่าป้าอุ๋ยเสียบปลั๊กเฉย ๆ แต่ไม่ได้กดสวิตซ์...! หลังจากนั้นแม่ก็ดุป้าอุ๋ย "คราวหน้าแกจะโทรศัพท์ แกแหกตาดูเวลาด้วย ที่เมืองไทยนี่ยังไม่ตีสองเลยนะ" ...(หัวเราะ)... แต่ทางโน้นบ่ายโมงกว่าแล้ว"

เถรี
19-10-2016, 20:51
ถาม : อย่างฝรั่งที่เขาศรัทธาพุทธศาสนาในภายหลัง แต่เขาไปเกิดผิดที่ เกิดไกลไปหน่อย ?
ตอบ : บุคคลที่เคยสร้างบุญไว้ในขอบเขตของพระพุทธศาสนา ไปอยู่ไกลขนาดไหนเดี๋ยวบุญก็ส่งให้ก็เข้ามาได้เอง

ถาม : อย่างตอนไปปากีสถาน แล้วคนปากีสถานถวายอาหารมา เขาจะได้อานิสงส์เกิดในพระพุทธศาสนาไหมคะ ?
ตอบ : ต้องดูว่าก่อนตายใจเขาเกาะอะไร แต่ท้ายสุดอานิสงส์ก็จะส่งผลให้เขาจนได้ เขาจะรู้หรือไม่รู้ก็ต้องได้ ถ้าไม่เคยเนื่องกันมา เขาก็ไม่เคยนึกอยากจะถวายอยู่แล้ว

เถรี
19-10-2016, 21:50
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้พวกเราส่วนหนึ่งไปบ้านสายลมกันมา แม้ว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านจะจากเราไป ๒๔ ปีแล้ว พวกเราก็ยังคงจัดงานวันเกิดให้ท่านตามปกติ เหมือนกับว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ ลักษณะอย่างนี้แหละที่โบราณกล่าวว่า "ตัวตายแต่ชื่อยัง" ก็คือ แม้ว่าหลวงพ่อท่านจะมรณภาพไปนานแล้ว ด้วยความที่ท่านสร้างสมคุณงามความดีเอาไว้มาก ถึงเวลาชื่อเสียงเกียรติคุณของท่านก็ยังเป็นที่เคารพนับถืออยู่ในหมู่คณะศิษย์ มีการจัดงานเพื่อการระลึกถึงอยู่เสมอ

ญาติโยมลองนึกดูว่า ในสมัยที่หลวงพ่อท่านยังอยู่ เวลาจัดงานแต่ละครั้ง มีบรรดาพระที่ให้ความเคารพเลื่อมใสท่าน ไปในฐานะลูกศิษย์ประมาณสามร้อยรูปเศษ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านกล่าวว่า "พระเหล่านี้ที่มา ต่อไปข้างหน้าถ้าท่านไปบอกกับคนอื่นว่าเป็นลูกศิษย์ของข้า ข้าก็ปฏิเสธไม่ได้ แต่ให้พวกแกดูด้วยว่า มีใครที่ดำเนินรอยตามปฏิปทาของข้าหรือไม่ ? ถ้าท่านดำเนินตามปฏิปทาเดิมที่ข้าได้ทำเอาไว้ ท่านเหล่านั้นจึงจะถือว่าเป็นลูกศิษย์ของข้าที่แท้จริง"

ถ้าเรานึกย้อนไปสมัยหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงปู่ปานจัดงานแต่ละที เรือจอดแน่นแม่น้ำชนิดเดินข้ามฝั่งได้เลย คนเป็นหมื่น อาตมาถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า "ระหว่างหลวงพ่อกับหลวงปู่ปาน ถ้านับแล้วใครดังกว่ากัน ?" หลวงพ่อตอบว่า "หลวงปู่ปานดังกว่า ข้าจัดงานสมัยนี้คนเป็นแสน แต่มีวิทยุ มีหนังสือพิมพ์ มีทั้งโทรศัพท์ สมัยโน้นหลวงปู่ไม่มีอะไรเลย นอกจากบอกกันปากต่อปาก"

หลวงปู่ท่านเลี้ยงทั้งพระทั้งเณรเอาไว้จำนวนมหาศาล เพราะท่านเปิดสอนบาลีด้วย หลวงปู่ปานเรียนบาลี ถ้าสมัยนี้ท่านต้องจบประโยค ๘ เพราะท่านแปลวิสุทธิมรรคได้ ชนิดตั้งวิเคราะห์ได้ทุกตัว แต่หลวงปู่ปานไม่ได้ไปสอบ เรียนเอาความรู้เฉย ๆ เพื่อไปแปลพระไตรปิฎกแล้วปฏิบัติให้ตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอน

ลูกศิษย์พระเณรที่ศึกษากับหลวงปู่ปาน ไม่ว่าจะศึกษาบาลีก็ดี ศึกษากรรมฐาน หรือศึกษาวิชารักษาโรคก็ตามเกินสามร้อยรูป แล้วทำไมถึงได้มีบุคคลที่กล่าวได้ว่าเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ปานอยู่แค่นับนิ้วได้ ? แค่มือเดียวยังนับไม่หมดอีกด้วย"

เถรี
19-10-2016, 22:04
"มาถึงยุคสมัยของหลวงพ่อวัดท่าซุงก็เหมือนกัน พระเณรที่ไปงานแต่ละครั้งเกินสามร้อยรูป พระเณรที่บวชอยู่ในวัด ทั้งที่หลวงพ่อท่านบวชให้ตั้งแต่แรกเริ่มก็ดี และอยู่ในวัดจนกระทั่งท่านมรณภาพก็ตาม ทั้งใหม่ทั้งเก่าเกินสี่สิบรูป ทำไมปัจจุบันนี้บุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่ปรากฏมีอยู่แค่ไม่กี่รูป ? พวกเราต้องนึกถึงตรงจุดนี้เอาไว้

อย่างที่หลวงพ่อท่านกล่าวไว้ คือ ต้องดูว่าได้ปฏิบัติตามที่ท่านสอนไว้หรือเปล่า ? บุคคลที่ยึดถือปฏิปทาหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค สืบสายลงมา สามารถเสริมสร้างเกียรติคุณครูบาอาจารย์ได้อย่างชัดเจน ก็คือ หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง ลำดับต่อจากนี้ ก็คือ บุคคลที่สืบสายปฏิปทาของหลวงพ่อวัดท่าซุงไป จะมีใครที่สามารถหนุนเสริมให้ชื่อเสียงเกียรติคุณของครูบาอาจารย์ขจรขจายไปมากกว่าปัจจุบันที่เป็นอยู่ ?

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะพิสูจน์ได้ในระยะเวลาอีกไม่นาน สำคัญตรงที่ญาติโยมทั้งหลายต้องจับจุดให้ได้ ปฏิบัติตามสิ่งที่ท่านสอนมา หรือสิ่งที่ท่านทำให้เราดู หลังจากนี้ไปในรุ่นของหลานศิษย์ เหลนศิษย์ จะมีใครสืบทอดปฏิปทาต่อไปได้ ก็จะเป็นเครื่องวัดได้เช่นกันว่า เราเป็นลูกศิษย์สายหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ลูกศิษย์สายหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง จริงหรือเปล่า ?

นี่เป็นเรื่องที่ฝากไว้ให้เป็นข้อคิดว่า ทำไมหลวงพ่อท่านมรณภาพไปนานแล้ว หลวงปู่ปานท่านมรณภาพไปนานยิ่งกว่านั้น หลวงปู่เนียมมรณภาพไปนานยิ่งกว่านั้นอีก หลวงปู่หลวงพ่อทั้งหลายจึงยังมีชื่อเสียงเกียรติคุณ เป็นที่นับถือของคนทั้งในและต่างประเทศ ลองนำเอาไปตรองดูแล้วปฏิบัติตาม จะได้เกิดผลดีแก่ตัวของเราเอง"

เถรี
20-10-2016, 15:47
มีโยมเอาหนุมานเชิญธงมาถวาย "หนุมานเชิญธงตนนี้เป็นของหลวงพ่อเพี้ยน วัดเกริ่นกฐิน หนุมานเชิญธงนี่ต้องพร้อมลุยนะ เพราะเป็นธงนำทัพ ส่วนหนุมานหักศรนี่กำลังลุยอยู่ ถ้าจะเอาสบายต้องหนุมานครองเมือง แต่ก็สบายเกิน ท้ายสุดหนุมานก็หนีออกบวช เพราะขี้เกียจครองเมืองต่อ"

เถรี
20-10-2016, 15:53
พระอาจารย์กล่าวว่า "กฐินปีนี้อาตมาจะเข้ากรรมฐานก่อนสามวัน จะอดข้าวลดน้ำหนักเสียหน่อย เพราะเริ่มอ้วนแล้ว สามวันน่าจะลดได้หลายกิโลกรัม

วันตักบาตรเทโวให้พวกเราไปแข่งกันเดินขึ้นเขา ว่าใครจะเดินถึงก่อนกัน ปีที่แล้วอาตมาอดข้าวสามวัน เดินขึ้นยอดเขารวดเดียวจบ ส่วนสมุห์กอล์ฟไม่ได้อดสักวัน พักสักสามพักกว่าจะถึงยอดเขา...!"

เถรี
20-10-2016, 16:05
ถาม : กำลังติดอยู่ในหล่ม ?
ตอบ : รู้ว่าติดหล่มก็รีบถอนตัว ไม่อย่างนั้นก็จมลึกไปเรื่อย ๆ

หัดล้มเหลวเสียบ้าง ถ้าสำเร็จทุกอย่างชีวิตก็ไร้รสชาติ เรื่องของงานจำไว้ว่าขอให้ได้ทำ ไม่ได้แปลว่าทำแล้วต้องสำเร็จ ทำแล้วอย่าไปเสียใจ แต่ถ้าไม่ได้ทำก็น่าเสียดาย เราจะไม่รู้ว่าบทเรียนดี ๆ อย่างนี้ยังมีอยู่อีกเยอะเลย แต่อย่ามาให้ตูขุดออกจากหลุมบ่อยนักก็แล้วกัน

เถรี
23-10-2016, 18:41
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่ช่างถามว่า "เอ็งรู้ไหมว่าที่ปฏิบัติมาไม่ได้เรื่องสักทีเพราะว่าขี้สงสัยจนเกินไป เลิกสงสัยแล้วไปตั้งหน้าตั้งตาทำ ก็จะได้เร็วกว่านี้ มัวแต่สงสัยอยู่กำลังใจก็ไม่รวมตัวสักที แล้วก็ยังจะสงสัยไม่เลิก"

เถรี
23-10-2016, 18:43
ถาม : คำว่า ปีติ ได้แค่ปีติอย่างเดียว หรือต้องได้ฌานด้วย ?
ตอบ : ปีติเป็นส่วนหนึ่งของฌาน เลยไปนิดเดียวก็เป็นฌานแล้ว

เถรี
23-10-2016, 19:20
พระอาจารย์กล่าวว่า “ข้างนอกฝนตก อากาศกำลังสบาย พวกเราภาวนาแล้วหลับไปเลยก็ได้นะ อย่างน้อย ๆ ตอนหลับสมาธิก็เป็นปฐมฌานหยาบ

ความจริงคนและสัตว์ทั้งหมดสามารถเข้าถึงปฐมฌานหยาบได้ทั้งหมด เพียงแต่ว่าเป็นฤทธิ์โดยวิบากกรรม เพราะถ้าเข้าไม่ถึงก็หลับไม่ได้ พักผ่อนไม่ได้แต่เป็นการทรงฌานที่ไม่มีอานิสงส์ จะเกิดอานิสงส์ก็ต่อเมื่อเราตั้งใจภาวนาแล้วเข้าถึงฌาน เราก็ตั้งใจภาวนาก่อนนอนทุกวัน”

เถรี
24-10-2016, 13:45
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีญาติโยมอยู่จำนวนหนึ่ง ท่านทั้งหลายเหล่านี้ในสายตาของอาตมาถือว่าน่าสงสารมาก เพราะมาที่นี่ตั้งใจจะมาดูว่าพระอาจารย์เล็กเก่งจริงหรือเปล่า ? หลายรายถึงขนาดอธิษฐานมาจากบ้านเลย "ถ้าพระอาจารย์เล็กเก่งจริง ต้องบอกได้ว่าเราคิดอะไรอยู่ในใจ"

นั่นเป็นการตั้งกำลังใจที่ผิด เราไปดูเศรษฐีว่ามีสมบัติเท่าไรจะมีประโยชน์อะไร ? มีอยู่อย่างเดียวคือต้องทำตัวเราให้เป็นเศรษฐี จึงจะเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง ไม่ใช่เอาแต่มานั่งนินทาอาตมาว่า ไม่เห็นเก่งจริงอย่างที่เขาลือกัน แม้แต่คนที่อาตมารับรองว่าสามารถรู้ใจคนอื่นได้ ก็ยังไปนั่งนินทาอยู่ข้าง ๆ เขา ว่าอาตมาไม่เห็นจะเก่งจริงอย่างที่คนว่ากัน แล้วก็ปล่อยให้คนที่รู้ความคิดของเรานั่งสมเพชเวทนากันต่อไป

โดยปกติการรู้ใจคนอื่นแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย การระมัดระวังใจตนเองไม่ให้กิเลสกินต่างหากที่สำคัญที่สุด"

เถรี
24-10-2016, 13:47
"ถ้าท่านทั้งหลายมุ่งลัดตัดตรงเข้าหาการรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล ตั้งใจทำความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้แน่นแฟ้น ไม่ล่วงเกินด้วย กาย วาจา ใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ตั้งใจว่าตายแล้วเราจะไปพระนิพพาน

ทำกำลังใจได้แค่นี้ท่านก็เป็นพระโสดาบัน พ้นจากอบายภูมิทั้งปวงแล้ว ไม่มีกติกาว่าจะต้องรู้ใจคนอื่น ไม่มีกติกาว่าจะต้องระลึกชาติได้ ไม่มีกติกาว่าจะต้องรู้อดีต รู้ปัจจุบัน รู้อนาคต ไม่มีกติกาว่าจะต้องได้ทิพจักขุญาณ ไม่มีกติกาว่าต้องรู้ว่าก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วไปไหน

ดังนั้น...การที่ท่านทั้งหลายตั้งกำลังใจลักษณะอย่างนั้น เป็นการตั้งกำลังใจที่ผิดมาก การที่เราไปหาพระ หาครูบาอาจารย์ ควรจะตั้งกำลังใจว่า ท่านมีคำสอนอะไรที่จะช่วยเหลือกำลังใจของเราให้ดียิ่งขึ้นไปกว่านี้ เราขอน้อมรับมาและจะรีบปฏิบัติตาม ไม่ใช่ไปดูว่าท่านเก่งจริงอย่างที่เขาลือกันหรือเปล่า"

เถรี
24-10-2016, 13:53
"เรื่องพวกนี้อาตมาเองไม่ได้ใส่ใจ แต่บางทีก็รำคาญเพราะว่าบางทีมากระทุ้งอยู่ทุกวัน วันดีคืนดีก็ด่าไปซึ่ง ๆ หน้าสักที...! เพราะว่าในสิ่งที่เราเห็นว่าไม่เป็นเรื่อง แต่เขาเองเห็นว่าเป็นแก่นสารของชีวิต เป็นการยึดถือในทางที่ผิด เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนเราต้องการแก่นไม้ แต่พอถากได้เปลือกไม้ก็ยึดว่าเป็นแก่นไม้ไปแล้ว บางรายก็ได้แค่กิ่ง แค่ใบก็ยึดว่าเป็นแก่นไม้ บางรายได้กระพี้ไปก็ยึดว่าเป็นแก่นไม้ ไม่ได้สนใจที่จะตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อให้ตนเองเข้าถึงซึ่งแก่นสารของธรรมอย่างแท้จริง

บุคคลประเภทนี้ ถ้าเขาลือว่าที่ไหนดีก็จะแห่กันไปที่นั่น ซึ่งเป็นลักษณะของการถือมงคลตื่นข่าว เพราะว่ากำลังใจของตนเองยังไม่หนักแน่นมั่นคงพอ ก็จะไหลตามกระแสของคนอื่นไปเรื่อย เท่ากับว่าเราหาหลักยึดหลักเกาะไม่ได้ กลายเป็นจอกแหนลอยไปตามกระแสน้ำขึ้นน้ำลง แล้วเมื่อไรเราจะอาศัยตนเองได้เสียที ? เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่า อัตตนา โจทยัตตานัง จงกล่าวโทษโจทย์ตนเองอยู่เสมอ อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ท่านไม่ได้บอกว่าให้พึ่งคนอื่น

หลายคนในที่นี้อยู่ทันมาตั้งแต่สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง แต่ยึดท่านเป็นที่พึ่งในลักษณะที่ผิด คือไม่ได้ยึดคุณธรรมความดีในความเป็นพระของท่าน ไม่ได้ยึดในหลักธรรมคำสอนของท่านแล้วนำมาปฏิบัติ แต่ไปยึดในกายสังขารของท่าน ซึ่งท้ายสุดท่านก็มรณภาพไป ๒๐ กว่าปีแล้ว หลังจากนั้นก็มายึดอาตมาต่อ ซึ่งก็ไม่รู้จะตายวันตายพรุ่งเมื่อไร

ถ้าเรายังยึดผิด ยังเกาะผิด หาแก่นสารที่แท้จริงของหลักธรรมไม่ได้ หาแก่นสารที่แท้จริงของชีวิตไม่ได้ ถ้าเราตายเสียก่อน จะเสียชาติเกิดไปเปล่า ๆ อีกชาติหนึ่ง ดังนั้น...อาตมาเบื่อเต็มทีแล้วถึงได้เตือนให้ทราบ โปรดอย่าเสียเวลาอธิษฐานมาจากบ้าน โปรดอย่าเสียเวลามาอธิษฐานตรงหน้า เสียดายว่าตรงนี้ใส่รองเท้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเวลาอธิษฐาน อาตมาจะขว้างด้วยรองเท้า...!"

เถรี
24-10-2016, 13:53
"จำไว้แม่น ๆ ว่า การไปดูสมบัติเศรษฐีจะก่อให้เกิดประโยชน์ ก็ต่อเมื่อเราพยายามทำตนให้เป็นเศรษฐีบ้าง แต่ถ้าไปดูให้รู้ว่าเขามีเท่าไร แต่เราไม่คิดที่จะขวนขวายอะไรเลย ก็ไร้ประโยชน์สำหรับเรา"

เถรี
24-10-2016, 13:56
"ส่วนใหญ่แล้วพวกเราไปไขว่คว้าเกินหลักธรรม สมัยก่อนอาตมาใช้คำว่า "เอื้อมมือไปเกินหัว" เนื่องจากว่าการก้าวเข้าไปหาความเป็นพระอริยเจ้าตรง ๆ นั้น ไม่จำเป็นต้องมีฤทธิ์มีเดชอะไรแม้แต่อย่างเดียว และอาตมาก็ยืนยันว่า คำว่าอภิญญานั้น มาจากคำว่า อภิ ที่แปลว่า ยิ่งกว่า และ อัญญา ที่แปลว่าความรู้ ดังนั้น...ความรู้ในความคิดของอาตมานั้น ความรู้ในการตัดกิเลสนั่นแหละเป็นสุดยอดของอภิญญาแล้ว

ญาติโยมจะเห็นว่าครูบาอาจารย์ส่วนหนึ่ง หลังจากฝึกฤทธิ์ฝึกอภิญญาได้ ก็อยู่ในลักษณะที่หายคัน หมดสนุก เลยวัยที่จะไปเล่นแล้ว ก็ทิ้งกันจนหมด ถ้าไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินจำเป็นจริง ๆ ก็จะไม่ได้แตะต้องเลย เพราะรู้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการฝืนกฎของกรรมมากกว่า อาตมาถึงอยากให้ทุกคนรวบรัดเข้าหาอารมณ์พระโสดาบันโดยเร็ว

อย่าทำตัวเป็นคนมีเวลามาก เราจะตายวันตายพรุ่งเมื่อไรก็ไม่รู้ แต่ว่ามาปฏิบัติธรรมเหมือนกับแก้บน คือทำเล่น ๆ ถ้าตายแล้วได้ขึ้นข้างบนก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าตายแล้วลงข้างล่างไม่ใช่แค่เสียชาติเกิดเฉย ๆ ยังเสียเวลาเกิดไปอีกนานแสนนาน แล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะหลุดขึ้นมา ได้เมื่อไรด้วย

ดังนั้น...อะไรที่ไขว่คว้าแล้วเลยธรรมะมากเกินไป ก็พยายาม ลด ละ เลิก หันมาจับหลักธรรมที่แท้จริงได้แล้ว อย่าให้ต้องเตือนกันบ่อย ๆ อาตมาเองก็ไม่ได้มีอารมณ์ที่จะไปยุ่งกับอะไรของใครมากนักหรอก ญาติโยมก็จะเห็นว่าบางทีรำคาญมาก อาตมาก็จะนั่งอ่านหนังสือเฉยไปเลยนั่นแหละ"

เถรี
25-10-2016, 14:15
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครเอาเหรียญมาจะให้อาตมาหล่อพระ รีบรับคืนไปเลยนะ ทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง เดี๋ยวได้ติดคุกหัวโต แสดงว่าไม่รู้จักมาตรา ๑๑๒ ใช่ไหม ? ไปคิดว่าเป็นเหรียญเก่า หาเรื่องติดคุกชัด ๆ..! คราวหน้าเจ้าหน้าที่รับเงินถ้าใครให้มาไม่ต้องไปรับนะ ที่รับมาแล้วก็คืนเขาไปด้วย"

เถรี
25-10-2016, 21:02
มีโยมเอาขอสับช้างมาถวาย "โห...ขอสับช้าง อาตมามีกระทั่งของหลวงพ่อรุ่ง หลวงพ่อเดิม จะไปสนใจอะไรกับรุ่นหลัง ๆ ขนาดนั้นยังเอาไปหลอมทำมวลสารเสียอันหนึ่งเลย

สมัยก่อนหลวงพ่อเดิมท่านสำเร็จวิชาคชศาสตร์ สามารถคุมช้างได้ วิธีที่ท่านทำง่ายที่สุดก็คือแผ่เมตตาให้กับผีหรือเทวดาที่รักษาช้าง ซึ่งไปตรงกับที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่าให้ฟัง ที่ท่านบอกว่าช้างรู้ภาษาทุกตัวเพราะว่ามีผีคุมอยู่ ฉะนั้น...ไม่ว่าอะไรใกล้ไกลเขาก็รู้

หลวงพ่อเดิมเลี้ยงช้างเอาไว้มากเพื่อช่วยในการชักลากไม้มาสร้างวัดวาอาราม ท่านไปช่วยสร้างวัดสร้างโบสถ์ที่ไหนก็ไม่ต้องลำบาก เพราะมีช้างของตัวเอง ท่านทำมีดหมอขึ้นมา มีมีดหมอส่วนหนึ่งที่เป็นมีดขนาดใหญ่เรียกว่า มีดหมอควาญช้าง ก็คือส่วนใหญ่เอาไว้ให้ควาญช้างไว้บังคับช้างได้ แต่ก็มีหลายคนที่อยากได้เป็นขอสับช้าง ท่านก็ทำให้ แต่จริง ๆ แล้วโหดมากเลย เราลองนึกดูว่าหัวกะโหลกมีหนังหุ้มอยู่หน่อยเดียว แล้วมีเหล็กแหลม ๆ สับโป๊กลงไป ถ้าเราเป็นช้างก็คงเจ็บน่าดูเลย"

ถาม : แต่มีคนบอกว่าจริง ๆ แล้วช้างไม่เจ็บ ?
ตอบ : เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะไม่เจ็บ เพียงแต่ว่าจะเจ็บมากหรือเจ็บน้อยเท่านั้นแหละ ลองสับหัวตัวเองดูก็ได้..!

เถรี
26-10-2016, 17:31
มีโยมเอาผักผลไม้มาถวาย "ถ้าตามตำราหมอจีน ปัจจุบันนี้พวกเราทำผิดกัน ตำราจีนให้เรากินผักผลไม้ไม่เกินรัศมี ๓๐ ลี้จากบ้านตนเอง เพราะพวกธาตุดินน้ำลมไฟจะเหมาะสมกับสภาพร่างกายของเราซึ่งเกิดที่นั่น แต่สมัยนี้พวกเรากินผักผลไม้รอบโลก จึงมีที่เหมาะสมบ้างไม่เหมาะสมบ้าง"

เถรี
26-10-2016, 17:41
ถาม : ที่มาของกษัตริย์ ที่เขาบอกว่าเป็นองค์อวตารของพระนารายณ์ ?
ตอบ : เขาเชื่อกันมาอย่างนั้น

ถาม : อวตารมีจริงไหมครับ ?
ตอบ : อวตารไม่มี ถ้าเกิดก็คือดวงจิตนั้นมาเกิดเลย อวตารเป็นการแบ่งส่วนหนึ่งลงมา ซึ่งเป็นไปไม่ได้

เถรี
26-10-2016, 17:43
ถาม : การยืมอาวุธทิพย์ของเทวดามาใช้มีจริงไหม ?
ตอบ : มี

ถาม : แล้วถ้าผมยืมจะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ก็อยู่ที่ว่าท่านจะยอมไหม ?

ถาม : ถ้าเราเจอเหตุ ระหว่างใช้คาถากับใช้อาวุธ ข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ความสามารถของคุณนั่นแหละ ถ้าความสามารถไม่ถึง ใช้อะไรก็ไม่ต่างกันหรอก ท้ายสุดก็โดนเขาเหยียบแบนอยู่ดี..!

เถรี
26-10-2016, 17:46
ถาม : ถ้าเกิดมีเหตุร้ายที่กรุงเทพฯ มีที่ปลอดภัยหลบซ่อนไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าสร้างกรรมไว้ก็ไม่มีที่ไหนปลอดภัยหรอก คุณจะหนีไปซ่อนที่ไหนกรรมก็ส่งผลถึง

เถรี
26-10-2016, 17:50
ถาม : เพื่อนผมแม่เขาเพิ่งเสีย เขาฝากถามว่าคุณแม่เขาไปสบายไหม เขาควรทำอะไรให้แม่บ้าง เขาอยากเจอคุณแม่ควรทำอย่างไร ?
ตอบ : ไปถามคุณแม่..!

ถาม : ถ้าเราคิดถึงคุณแม่ที่ตายไป แล้วเราทำสมาธิ จะมีโอกาสเจอคุณแม่มากขึ้นหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : มี

ถาม : ดีกว่าการที่คิดถึงโดยไม่ได้ทำสมาธิใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ต้องดูด้วยว่า...ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ในที่ซึ่งไม่สามารถจะติดต่อกับเราได้ คิดให้ตาย ทำสมาธิให้ตายก็ไม่ได้เจอหรอก

เถรี
26-10-2016, 17:52
มีโยมเอาซีดีคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุงมาถวายจำนวนหนึ่ง "ซีดีนี้คุณเอามาจากไหน ? ของทางวัดหรือว่าคุณทำขึ้นเอง ถ้าทำขึ้นเองระวังไว้เถอะ เขากำลังฟ้องร้องกันอยู่ ๓-๔ คดี มีบางคดีเขาคำนวณค่าเสียหายมาเป็นหมื่นล้านเลย แต่เรียกค่าเสียหาย ๕๐๐ ล้านบาท

เรามาคำนวณดูว่าการที่เขาพิมพ์ภาพวัตถุมงคลของวัดท่าซุง ทำให้วัดเสียหายเป็นหมื่นล้านได้อย่างไร ? อาตมาก็คิดไม่ออก อาจจะเป็นเพราะปัญญาไม่ถึงก็ได้...! รู้สึกว่าศาลจะนัดพิจารณาคดีเดือนนี้ ๓ คดี อีก ๒ คดียังรอเวลานัดอยู่ เพราะฉะนั้น...อะไรที่เป็นของวัดท่าซุงอย่าไปแตะ เดี๋ยวจะซวยไม่รู้ตัว..!"

เถรี
26-10-2016, 17:52
:4672615:เก็บตกเดือนตุลาคม ปี ๕๙ หมดแล้วค่ะ :4672615:

ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า คะน้าอ่อน เถรี รัตนาวุธ