PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๙


เถรี
02-09-2016, 19:47
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้มีโครงการที่ทำอยู่ คือ โครงการห้องสมุดรักษ์ธรรมรักษ์ไทย ของโรงเรียนบ้านจันเดย์ ต้องการงบประมาณเจ็ดแสนบาท ตอนนี้ได้มาประมาณหนึ่งแสนกว่าบาทแล้ว ส่วนอีกโครงการก็กฐินปลดหนี้วัดตะเคียนงาม เป้าหมายอยู่ที่หนึ่งล้านบาท ตอนนี้ขาดประมาณสองแสนเศษ ๆ เท่านั้น

โครงการที่สาม สร้างพิพิธภัณฑ์ ๑๐๐ ปี หลวงพ่อวัดท่าซุง ที่วัดท่าขนุน ตอนนี้อาตมาซื้อของเข้าพิพิธภัณฑ์ไปร่วมสิบล้านบาทแล้ว แต่ค่าออกแบบและสร้าง ๔๓,๒๐๐,๐๐๐ บาท ห้องแรกที่จะทำ คือ ห้องพุทธประวัติ วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาและบุคคลตัวอย่าง ห้องนี้ราคา ๒๕ ล้านบาท ทำไมถึงแพงขนาดนั้น ? ก็เพราะพื้นที่ประมาณสี่พันตารางเมตร จะจัดเป็นนิทรรศการลักษณะให้เดินดู น่าจะมีแสงสีเสียงอะไรสักนิดหน่อย

ผู้ออกแบบแนะนำว่า ถ้าจะให้ดีควรเป็นระบบปิดทั้งหมด ก็แปลว่าต้องเพิ่มเครื่องปรับอากาศอีกเยอะเลย ใครมีเงินเหลือกินเหลือใช้ก็ช่วยเข้าไปบูชาวัตถุมงคลในกระทู้คนมีเงินฯ ด้วยนะ แต่ได้มาเท่าไรก็ไม่พอหรอก"

เถรี
02-09-2016, 19:49
"เสียดายที่พวกเราไม่ค่อยรู้จักของกัน โดยเฉพาะพระเก่า ๆ พวกเราดูไม่เป็น เมื่อเช้านี้มีนักเลงดีกวาดพระปิดตาไปสามองค์ ราคาหนึ่งแสนบาท เพราะเขาไปดูแล้วว่าองค์สุดท้ายที่อาตมาลงไว้ห้าหมื่น ราคาในตลาดแค่ห้าล้านเท่านั้น...! คราวนี้รู้หรือยังว่า กระทู้คนมีเงินฯ ของอาตมา ลดแลกแจกแถมขนาดไหน

พระปิดตาพิมพ์ยันต์น่อง วัดทอง เนื้อสัมฤทธิ์เงิน ...(หัวเราะ)... ที่เขียนไว้ไม่บอกชื่อเพราะกลัวว่าเซียนจะเข้ามากวาดหมด ลงไว้แค่พระปิดตาเนื้อโลหะ คนตาดีก็ได้ไป"

เถรี
02-09-2016, 19:52
"เล็งไว้แต่ไม่ทันจองใช่ไหม ? ไม่ทันกินแล้ว เมื่อเช้าเขามาถึงก็จ่ายเงินสดเลย ปกติพระปิดตายันต์ยุ่งจะเป็นเนื้อทองผสม ส่วนเนื้อสัมฤทธิ์เงินหายากที่สุด

บางคนคิดว่าอาตมาตั้งราคาแพงเกิน เช่น ราคา ๒๐๐,๐๐๐ บาท หารู้ไม่ว่าในตลาดราคาหลายล้านบาท แต่ไม่ต้องเอาไปเข้าตลาดหรอกนะ เพราะจะโดนเซียนเล่นหงายท้องเลย

เซียนใหญ่ท่านหนึ่ง เคยเป็นประธานชมรมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย ปล่อยพระหลวงปู่ทวดเนื้อว่าน ปี ๒๔๙๗ พิมพ์ใหญ่ ราคา ๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท อาตมาดูแล้วว่าสวยสู้ของอาตมาไม่ได้แน่ ก็เลยให้ลูกศิษย์ลองไปแหย่ให้เขาดู เขาให้ตั้ง ๑๐๐,๐๐๐ บาท...! คนอย่างนี้ก็มีด้วยนะ เล่นจะเอารวยคนเดียว

ตอนนี้เขากำลังตามล่า เสือหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย ของอาตมาอยู่ ตัวเล็กนิดเดียว เขาบอกให้สองล้าน อาตมาไม่ขาย เพราะว่าเสือตัวเล็กจิ๋ว แกะจากเขี้ยวเสือไฟ หายากสุด ๆ ส่วนใหญ่เขี้ยวเสือโคร่งจะแกะได้ตัวใหญ่ "

เถรี
02-09-2016, 20:24
"พวกนี้เขาจะหาของชิ้นทีเด็ดเอาไว้อวดพรรคพวก เพื่อให้เห็นว่ามีของหายาก เขาบอกว่าถวายเงินช่วยสร้างวัดสองล้าน อาตมาบอกว่า "ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวกูไปหาจากคนอื่นได้" พวกนี้เอาไปเดี๋ยวก็ไปปล่อยเอากำไรอีก

เหมือนอย่างกรณีที่คนบอกขายวัตถุมงคล ๕๐๐ บาท เซียนต่อเหลือ ๓๐๐ บาท แล้วไปปล่อยราคา ๗ ล้านบาท..! แสบมากเลย ให้เขาสักห้าพันบาทก็ยังดี ไร้จรรยาบรรณจริง ๆ วงการนี้อาตมาไม่คบหรอก

ลูกศิษย์เอาพระสมเด็จไปประกวด เขาตีปลอมทันทีเลย คนที่หนึ่งก็บอกว่าปลอม คนที่สองก็บอกว่าปลอม ถือของเดินมาจะขึ้นรถกลับ เขาตามมาบอกว่า "ขอซื้อหน่อยพี่ ผมให้สามหมื่น จะเอาไว้ดูเป็นตัวอย่าง ปลอมได้สะเด็ดมากเลย" ถ้าปลอมแล้วมึงจะเอาทำไม ?

พอเข้าไปแล้วถ้าไม่ใช่พวกเขา หรือไม่ใช่ของเขา เขาจะตีปลอมเพื่อให้หมดกำลังใจไว้ก่อน เขาเรียกว่า ช่วยกันแห่ ปากที่หนึ่งว่าปลอม ปากที่สองว่าปลอม เราก็เหี่ยวเป็นผักบุ้งโดนน้ำร้อนลวก ไปถึงคนท้าย ๆ เขาให้สามร้อยบาทห้าร้อยบาทก็ยังดี ยังได้ค่ารถกลับบ้าน แต่ที่ไหนได้เขาเอาไปปล่อยได้เจ็ดล้านบาท..! วงการนี้หาคนที่มีคุณธรรมยากมาก พูดง่าย ๆ ว่าเขาตั้งใจขายพระกินอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น...คงไม่ต้องไปหวังเรื่องคุณธรรมหรอก คนดีจริง ๆ มีอยู่แค่ไม่กี่คน"

เถรี
04-09-2016, 18:27
ถาม : พี่สาวถูกล่อลวงด้วยไสยศาสตร์จากนักบวชผู้หนึ่ง แล้วได้พานักบวชกับหญิงสาวที่นักบวชใช้ไสยศาสตร์ล่อลวงมา ไปอยู่ในห้องนอนของตนเอง ซึ่งพี่สาวอยู่นอกห้อง ถ้านักบวชได้ทำกิจปาราชิกกับหญิงสาวผู้นั้น พี่สาวผู้เป็นเจ้าของห้อง จะมีโทษลงบัญชีนรกระดับขุมไหนครับ ?
ตอบ : เกี่ยวอะไรกัน ? รู้อยู่ว่าพี่สาวโดนล่อลวง ก็เท่ากับทำความผิดโดยไม่เจตนา พระพุทธเจ้าตรัสว่า เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ ต้องมีเจตนาจึงจะเป็นกรรม ฉะนั้น...พยายามคิดมาก ๆ เข้าไว้ จะได้ลงลึก ๆ หน่อย...!

เถรี
04-09-2016, 18:35
ถาม : เมื่อก่อนเคยชักชวนให้น้องต่างมารดาเข้ามาทำในทาน ศีล ภาวนา แต่ตอนนี้หมดโอกาสแล้ว เพราะน้องต่างมารดาและมารดาของเขาหลงเชื่อในคนทรงเจ้า แล้วมาแอบขโมย นำพระเจ้าพรหมหาราชทรงช้างพลายประกายแก้วที่ได้บูชาจากวัดท่าซุง สมเด็จพระนารายณ์ทรงฤทธิ์ที่ได้บูชามาจากวัดเขาวง ช้างเอราวัณที่บูชามาจากวัดถ้ำป่าไผ่ และวัตถุมงคลอื่น ๆ อีกหลายอย่าง ที่ไม่ใช่เป็นรูปพระพุทธเจ้า แต่ก็ได้นำเข้าพิธีพุทธาภิเษกที่วัดท่าขนุนมาหลายวาระ เอาไปทิ้ง ซึ่งผมสงสัยว่าอาจจะนำไปทิ้งในบ่อร้าง แล้วเอาดินกลบทับ ดังที่กล่าวมา น้องต่างมารดา และมารดาของเขา จะมีโทษระดับภูมิเปรต หรือภูมินรกครับ ?

ตอบ : ตราบใดที่ยังไม่ขาดใจตาย ไม่สามารถบอกคติที่แน่นอนของใครได้ เพราะมีกรรมบางตัว คือ อาสันนกรรม กรรมก่อนตาย ที่สามารถมาเปลี่ยนแปลงได้เสมอ

ถ้าเขาไปดีแล้วจะดีใจตามเขาไหม ? ดูสุปติฏฐิตเทพบุตรทำชั่วมาตลอดชีวิตได้ขึ้นสวรรค์ พระนางมัลลิกาเทวีทำดีมาตลอดชีวิตแต่ลงนรก ฉะนั้น...ตราบใดที่ยังไม่ขาดใจตายลงไป คติก็ยังไม่แน่นอน ต่อให้ตายลงไปถ้ากรรมไม่หนักพอ เมื่อผ่านการตัดสินของพระยายม ถ้านึกถึงความดีได้ก็รอดไปอีก

เถรี
04-09-2016, 18:36
ถาม : ถ้าในอดีตผมเคยโดนคนควักตาและโดนทรมาน พอมาในชาติปัจจุบันผมจำได้ และผมอโหสิกรรมให้คนทำ แปลว่าคนทำก็รอดจากผลกรรมนั้นไป ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : อโหสิกรรมที่มีผลจะต้องทำต่อหน้า ทั้งโจทก์และจำเลยเอ่ยปากเลิกแล้วต่อกัน ไม่ใช่เราไปอโหสิกรรมให้อยู่ฝ่ายเดียว

เถรี
04-09-2016, 18:42
ถาม : ผมได้นำแก้วจุยเจีย ช้างแก้ว ม้าแก้ว ไปเข้าพิธีพุทธาภิเษกงานเป่ายันต์วันที่ ๙ ที่ผ่านมา แต่ไม่ได้อธิษฐานอะไร แล้วผมจะใช้งานของพวกนี้อย่างไรครับ ?
ตอบ : จะไปใช้ได้อย่างไร ? ก็เป็นแก้ว ถ้าจะใช้งานก็ต้องเป็นม้าจริง ๆ ช้างจริง ๆ...! งานเป่ายันต์เกราะเพชรเป็นการขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ ถ้ามั่นใจคำว่า "พุทโธ อัปปมาโณ" ก็อธิษฐานเอาตามอัธยาศัย

เถรี
04-09-2016, 18:44
ถาม : ในขณะที่ข้าพเจ้าภาวนาพระคาถาเงินล้านด้วยการจับลมหายใจเข้าออกอยู่ ปรากฏว่ามีพระ หลวงปู่ หลวงพ่อ พระภูมิ ผี มาคุยด้วย แต่ข้าพเจ้าไม่ต้องการจะคุย เพราะอยากภาวนาพระคาถาเงินล้านให้ครบ ๓๐๐ จบ ควรจะทำอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : เดิน...! นั่งอยู่สมาธิทรงตัวลงล็อกก็เห็น สามารถพูดคุยเห็นได้ ก็เปลี่ยนเป็นเดิน พอสมาธิเคลื่อน ไม่ได้อยู่ตรงจังหวะนั้น ก็ไม่สามารถที่จะเห็นได้แล้ว

เถรี
04-09-2016, 18:49
ถาม : ผมได้ไปฝึกมโนมยิทธิที่ท่าลาน ขณะที่ตอบคำถามครูฝึกตามความรู้สึกทางใจ ช่วงหนึ่งมีอาการหัวหมุนจากเบา ๆ ไปจนเเรงมากเเทบจะทรงตัวไม่อยู่ หัวใจเต้นเเรง เหงื่อออกเยอะมาก ตอนนั้นอารมณ์เกิดกลัวขึ้นมาเลยลืมตาขึ้น ลืมตาเเล้วอาการหมุนยังอยู่ ภาพที่เห็นสั่นไปหมด ลักษณะอาการเช่นนี้คืออะไร ? เเละต้องวางกำลังใจอย่างไรเพื่อที่จะผ่านไปครับ ?
ตอบ : ถ้าถามหมอ หมอจะบอกว่าน้ำในหูไม่เท่ากัน แต่ถ้าถามอาตมาก็คือจะหลุดออกไปแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง แต่มีความกลัวก็เลยไปไม่ได้ ฉะนั้น...วิธีเดียว ก็คือ นึกถึงคำที่เราสมาทานกรรมฐานว่า เราขอมอบกายถวายชีวิต ตั้งใจว่าถึงตายลงไปเราก็จะทำ ถ้าสามารถตัดใจได้เด็ดขาดจริง ๆ ก็จะหลุดออกไปได้เลย

เถรี
04-09-2016, 18:50
ถาม : เวลาข้าพเจ้าไม่สบายใจ มีความทุกข์ มีความฟุ้งซ่าน ก็ดูลมหายใจเข้า หายใจออก ก็รู้สึกว่าใจมีความสุข ไม่ฟุ้งซ่าน ข้าพเจ้าจึงอยากทราบว่า มีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้ข้าพเจ้ามีความสุขได้มากกว่าการดูลมหายใจเข้า หายใจออก ?
ตอบ : เป็นพระอรหันต์..!

เถรี
04-09-2016, 19:00
ถาม : ปกติเวลาผมอยู่บ้านจะไม่ได้สวมเสื้อ ใส่แต่กางเกงขาสั้นถึงหัวเข่า เวลากระผมไหว้พระ สวดมนต์ ก็ไม่ได้สวมเสื้อใส่แต่กางเกงขาสั้น เช่นนี้แล้วถือเป็นการปรามาสพระพุทธเจ้าด้วยหรือไม่ครับ ? ถ้าเป็นการปรามาสพระพุทธเจ้า ผลของวิบากกรรมนี้ กระผมจะได้กรรมเช่นไรครับ ?
ตอบ : เรารู้หรือเปล่าว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่เหมาะสม ? ถ้ารู้แล้วยังตั้งใจทำก็เป็นการปรามาสพระรัตนตรัย เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องถาม การปรามาสพระรัตนตรัยปิดมรรคผลแน่นอนอยู่แล้ว เหลืออยู่อย่างเดียวคือกราบขอขมาพระและทำใหม่เสียให้ถูก

เถรี
04-09-2016, 19:03
ถาม : ผมกราบขอคำแนะนำจากพระอาจารย์ ว่าพอจะมียาที่ช่วยลดคลอเรสเตอรอลในเส้นเลือดบ้างไหมครับ ? ผมเป็นโรคนี้อยู่
ตอบ : มี...วิ่งให้ได้วันละ ๕ กิโลเมตร อย่าได้ไปกินเชียวพวกยาลดไขมัน กินเมื่อไรไขมันจะโดนดึงไปอยู่ในตับ แล้วจะกลายเป็นไขมันพอกตับ และท้ายสุดก็กลายเป็นมะเร็งตับ ฉะนั้น...วิธีมักง่ายโปรดอย่าใช้ ให้ไปออกกำลังกายแทน

เถรี
04-09-2016, 19:06
ถาม : การออกกำลังกายโดยวิธีเต้นประกอบเพลง เช่น เต้นซุมบ้า ผิดศีล ๘ หรือไม่คะ ?
ตอบ : ออกกำลังกายหรือเต้นเอาสนุก ? ต้องดูเจตนาด้วย ถ้าเราออกกำลังกาย เพียงแต่ว่าเอาเพลงเป็นจังหวะเท่านั้น แต่ถ้าเราตั้งใจจะเต้นเอาสนุกก็ผิดศีล ๘

เถรี
04-09-2016, 19:16
ถาม : ในเวลานี้ศาสนาพุทธโดนศาสนาอื่นสร้างความวุ่นวายให้ ตามอย่างที่หลวงพ่อกล่าวมา ผมเลยสงสัยว่าสมัยพุทธกาล ตั้งแต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ ในยุคนั้นมีหลายศาสนามากมาย ศาสดาบางท่านมีปัญญามาก ๆ และมีอภิญญาด้วย คำถามคือ ศาสนาพุทธเคยโดนศาสนาอื่นเบียดเบียนหนัก ๆ เหมือนสมัยนี้ไหมครับ ?
ตอบ : เคยอ่านพระไตรปิฎกไหม ? เอาแค่ตอนที่พระพุทธเจ้าต้องแสดงฤทธิ์แข่งกับเดียรถีย์ก็พอ ไปหาอ่านเอาเอง

ถาม : ในฐานะที่ผมเป็นชาวพุทธแต่ไม่ได้มีอำนาจ พอจะมีอะไรที่เราสามารถช่วยเหลือพระศาสนาให้อยู่ถึงอีกห้าพันปีไหมครับ ?
ตอบ : ทำตัวเป็นพระอรหันต์ แล้วไปเผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้า

เถรี
04-09-2016, 19:19
ถาม : พระอรหันต์ หรือพระพุทธเจ้าก็ดี ท่านหมดกิเลสแล้ว ท่านจะเข้าฌานสมาบัติทำไมหรือครับ ในเมื่อท่านไม่มีกิเลสให้กดอีกต่อไปแล้ว ?
ตอบ : เพราะท่านไม่ฉลาดเหมือนคุณ...! พระที่ทำได้ไม่มีใครประมาท ท่านก็ต้องเข้าเพื่อความอยู่สุขในปัจจุบันของท่าน เป็นการระมัดระวังป้องกันไม่ให้กิเลสเกิด คนที่ทำได้ไม่มีใครมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก ท่านต้องระมัดระวังตัวอยู่เสมอ ยกเว้นไอ้โง่บางคนที่ไปคิดว่าหมดกิเลสแล้วทำไมถึงต้องเข้าฌานอีก..!

เถรี
04-09-2016, 19:21
ถาม : หลวงพ่อเคยบอกว่าคนที่จะหลับได้ สมาธิอย่างต่ำต้องเป็นฌาน ๑ หยาบ ๆ ผมเลยสงสัยว่าบุคคลที่ทรงฌานสมาบัติ ๘ ท่านไม่ต้องนอน แค่เข้าฌานสูง ๆ ก็เท่ากับว่านอนเต็มอิ่มใช่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ใช่ครับ...!

เถรี
04-09-2016, 19:25
ถาม : เรื่องนี้เหตุเกิดจากผมอธิษฐานขอรู้ว่าผมบำเพ็ญบารมีมาได้นานเท่าไร ต่อหน้าหิ้งพระ และขอให้คำตอบปรากฏในหนังสือสมบัติพ่อให้ เมื่ออธิษฐานจบเปิดหนังสือ ไปยังหน้าเรื่องเกี่ยวกับการทำน้ำมนต์ มีข้อความเป็นตัวหนังสือแทรกขึ้นมาให้เห็นว่า "แค่ ๑,๐๐๐ กัปเอง ยังอ่อนอยู่มาก" พอไปเล่าให้คุณพ่อฟัง คุณพ่อขอร้องให้ลาพุทธภูมิเพราะกลัวผมจะลำบาก ท่านอยากให้ผมไปพระนิพพานได้ในชาตินี้ครับ (ตอนนั้นผมอายุได้ ๑๗ - ๑๘ ปี)

พอโตขึ้นได้อ่านคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ซึ่งท่านได้กล่าวไว้ว่าหากจะลาพุทธภูมิ เขาลากันตอนบารมีเต็ม ถ้าไม่เต็มเขาไม่ลาพุทธภูมิกัน ผมได้รู้ดังนั้นจึงไปอธิษฐานต่อหน้าหิ้งพระที่บ้านว่า "ขอให้การลาพุทธภูมิทุกครั้งของผมที่ลามาในชาติก่อนที่แล้วมาก็ดี ชาตินี้ก็ดี หรือในอนาคตหากจะลาพุทธภูมิอีกก็ดี ขอให้การลาพุทธภูมิของผมทุกครั้งเป็นโมฆะ ขอให้สำเร็จพระโพธิญาณในอนาคตด้วยเถิด"

ผมอธิษฐานอย่างนี้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ก็อธิษฐานไปแล้ว...ได้ไหมเล่า ?

ถาม : จะต้องนับเวลาการบำเพ็ญเพื่อพระโพธิญาณใหม่เลย หรือนับต่อจาก ๑,๐๐๐ กัป ที่ได้รู้มาครับ ?
ตอบ : แสดงว่าขาดความมั่นใจตนเองอย่างรุนแรง ต่อให้คุณนับหนึ่งใหม่หรือนับต่อจาก ๑,๐๐๐ กัป ก็แย่พอกันนั่นแหละ แรกเริ่มแค่น้ำจิ้มก็ ๑ อสงไขยกัปแล้ว ฉะนั้น...ไม่ต้องเสียเวลาไปคิดหรอก...ทำไปเถอะ

เถรี
04-09-2016, 20:09
ถาม : ถ้าการปล่อยปลา ไถ่โคกระบือ ช่วยในเรื่องอุปฆาตกรรม หรือโรคภัยไข้เจ็บได้ แล้วถ้าผมชอบให้อาหารสัตว์ มักบริจาคค่าอาหารให้มูลนิธิหรือหน่วยอาสาที่รับดูแลแมวหมา บุญนี้จะส่งผลอย่างไรครับ ?
ตอบ : เกิดชาติไหนก็ตาม ร่อนเร่พเนจรขนาดไหนก็ตาม ก็จะมีคนเลี้ยง

ถาม : ถ้าเราช่วยเหลือผู้อื่น โดยที่เขาไม่ได้รับรู้ว่าเราได้ช่วยเขา ชาติต่อไปเขาจะมาช่วยเหลือเราตามกฎแห่งกรรมไหมครับ ?
ตอบ : ช่วย...แต่ช่วยแบบไม่รู้ตัวเหมือนกัน ไม่ได้หมายความว่าละเมอช่วยนะ เช่น เขาอาจจะเตะหมาทีหนึ่ง ปรากฏหมาตัวนั้นตั้งใจจะกัดเรา พอโดนเขาเตะเข้าพอดีก็เลยเลิกกัดเรา เขาก็ไม่ได้เจตนาช่วยเรา แต่เราก็พ้นภัยไปแล้ว

ถาม : ระหว่างคนที่ทำบุญ ทำความดี แต่ไม่ได้ประกาศบอกกล่าวให้ผู้อื่นรู้ กับคนที่ทำความดี และประกาศบอกกล่าวให้ผู้อื่นรู้ อย่างไหนส่งผลดีกว่ากันครับ ?
ตอบ : ถ้าวางกำลังใจให้ถูก การประกาศบอกคนอื่นทำให้เขาได้อนุโมทนาด้วย ถือว่ามีผลดีกว่า แต่ถ้าทำกำลังใจไม่ถูก ไปประกาศเพื่อจะอวดว่าเราสร้างความดี ก็มีโทษมากกว่า

เถรี
04-09-2016, 20:38
ถาม : จิตวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว จะรับรู้ความจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมด ที่ตัวเขาเองไม่เคยรู้มาก่อนตอนยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ครับ ? ยกตัวอย่างเช่น กรณีเพื่อนคนหนึ่งที่เข้าใจเราผิดมาตลอด ว่าเราทำสิ่งนี้กับเขา ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้ทำ และอาจจะจองเวรเรา เมื่อเขาเสียชีวิตไปแล้ว เขาจะเข้าใจทันทีว่าเขาเข้าใจผิดมาตลอด และเลิกจองเวรเราต่อไปไหมครับ ?
ตอบ : สำคัญที่ว่าจิตของเขาตอนนั้นสนใจใคร่รู้ในเรื่องนี้หรือไม่ ถ้าไม่ได้สนใจก็ไม่รู้ โดยเฉพาะหลายท่านที่โดนลงโทษอยู่ ไม่มีเวลาคิดแบบเรื่องนี้หรอก นอกจากเดือดร้อนไปกับการลงโทษเฉพาะหน้าของตัวเอง

เถรี
04-09-2016, 20:41
ถาม : ปีติที่อุปจารสมาธิ กับฌาน ๑ และ ฌาน ๒ อารมณ์เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นฌานก็ไม่มีปีติแล้ว

เถรี
04-09-2016, 21:56
ถาม : ผมมีเพื่อนที่นับถือศาสนาอื่น เขาพยายามชักชวนผมให้พิจารณาถึงการนับถือพระเจ้าในศาสนาของเขา โดยเล่าเรื่องให้ฟังว่าเขาได้พบปาฏิหาริย์จากการมอบกายถวายชีวิต ตั้งจิตอธิษฐานและมีศรัทธาจดจ่อต่อพระเจ้าสูงสุดในศาสนาของเขา ทำให้ได้พบทางออกของชีวิตไปในทางที่ดี ฐานะการเงินดีขึ้นอย่างมาก กิจการงานรุ่งเรือง ชีวิตครอบครัวอบอุ่น ด้วยการตั้งมั่นศรัทธาและตั้งจิตระลึกถึงพระผู้เป็นเจ้าอย่างมั่นคง อีกทั้งมักจะได้รับการสื่อสัมผัสจากพระเจ้าผ่านความรู้สึกเป็นความรู้ต่าง ๆ เข้ามาเพื่อให้คำตอบกับปัญหาต่าง ๆ ให้สำเร็จลุล่วงด้วยดีเสมอ และมักมีหมอดู หรือผู้มีญาณ ทักตรงกันอยู่เสมอว่า เขามีองค์เทพสององค์ ซึ่งเชื่อว่าเป็นตัวแทนของพระเจ้า คอยปกปักษ์รักษาเขาอยู่รอบกาย

คำถามของผมคือ สิ่งที่เพื่อนของผมได้ทำไปนี้ สามารถเปรียบเทียบได้เทียบเท่ากับการที่ชาวพุทธเราฝึกการตั้งจิตไปที่พระพุทธเจ้าบนนิพพานอย่างต่อเนื่อง อันเป็นวิธีตัดกิเลสโดยอัตโนมัติที่สุด และสามารถกราบขอพรขอบารมีพระบนนิพพานโดยตรงเพื่อให้เกิดความสำเร็จตามที่ปรารถนา อย่างเหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไรครับ ? พระเจ้าสูงสุดของศาสนาต่าง ๆ บางท่าน อยู่บนนิพพานเช่นเดียวกันด้วยหรือไม่ ?
ตอบ : เลือกเอาเองแล้วกันว่าจะเอาแบบไหน

ถาม : ผมควรจะแสดงความคิดเห็นกลับไปต่อเพื่อนคนนี้อย่างไรถึงจะสอดคล้องกับความเป็นจริง และได้ให้ปัญญาต่อกันอย่างดีที่สุดครับ ?
ตอบ : เอาอย่างสมเด็จพระนารายณ์มหาราชสิ พระองค์ท่านตอบพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ไปว่า "ถ้าหากว่าพระเจ้าต้องการให้ข้าพเจ้านับถือศาสนาคริสต์จริง ก็จะดลบันดาลให้ศรัทธาเกิดขึ้นในพระหทัยของข้าพเจ้าเอง"

เถรี
04-09-2016, 22:06
ถาม : ถ้าผมจะนำเอาธรรมะของพระพุทธเจ้าและคำสอนของครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ทั้งเรื่องบาปบุญ, ผลของการทำบุญทำบาป, เรื่องการรักษาศีล, ปฏิบัติสมาธิ, วิธีไปพระนิพพาน โดยผมจะนำเอาคำสอนนั้น ๆ มาอ่านออกเสียง แล้วทำเป็นไฟล์ VDO นำไปอัพลง Youtube เพื่อเป็นธรรมทาน อยากทราบว่าผมจะได้บุญแบบเต็ม ๆ ไหมครับ ?
ตอบ : ได้

ถาม : ถ้าผมเปิดการสร้างรายได้จากคลิปธรรมะนั้น ๆ ด้วย โดยจะได้รับเงินจากการที่มีคนเข้ามาฟังคลิปธรรมะที่ผมอัพลง Youtube นั้น ผมจะยังได้บุญแบบเต็มจำนวนตามเดิมหรือไม่ ?
ตอบ : ลดไปตามจำนวนเงิน..!

ถาม : ผมจะบาปหรือไม่จากการที่หารายได้จากคลิปธรรมะนั้น ๆ ครับ ?
ตอบ : จะเรียกว่าบาปก็ไม่ใช่บาปโดยตรง แต่ว่ามีเจตนาไม่บริสุทธิ์ แทนที่จะได้บุญธรรมทานที่เป็นบุญใหญ่มาก ก็กลายเป็นอำนวยความสะดวกให้คนอื่นได้เข้าถึงธรรม ซึ่งเป็นส่วนของเวยยาวัจจมัยเท่านั้น และส่วนเวยยาวัจจมัยก็ได้ไม่เต็มที่ด้วย เพราะดันไปเก็บเงินเขา

เถรี
04-09-2016, 22:12
ถาม : ขอกราบเรียนถามเรื่องการสวดมนต์กับหมู่คณะครับ เวลาไปวัด มีการทำวัตรสวดมนต์เช้า-เย็น เวลาสวดผมพยายามสวดให้พร้อมเพรียงกับเพื่อน ๆ ด้วยน้ำเสียงในระดับเดียวกัน แต่ผู้ปฏิบัติธรรมบางท่าน มักจะตั้งใจสวดอย่างจริงจัง (ซึ่งผมเคารพในความตั้งใจของเขาจริง ๆ ครับ) แต่ความตั้งใจอย่างแน่วแน่มากของเขา ทำให้เสียงของเขาดังกว่าเพื่อน และไม่กลมกลืนไปด้วยกัน ช่วงที่เขาเสียงดังโดดออกมามากกว่าท่านอื่น ผมได้ยินแล้วรู้สึกสะกิดใจครับ คล้ายกับว่าเขากำลังตะโกนสวด ซึ่งผมรู้สึกไม่ชอบใจครับ

กราบเรียนถามว่า หากท่านที่สวดมนต์ดังเกินไป ทำให้สะเทือนความรู้สึกผู้ร่วมสวดมนต์ท่านอื่น ทำให้ท่านอื่นเสียสมาธิ จิตตก จะมีโทษไหมครับ ?
ตอบ : ท่านเองไปดีแน่ ๆ เพราะท่านตั้งใจสวดด้วยความเคารพ ส่วนเราเองไปสนใจจริยาคนอื่น จนเกิดกิเลสขึ้นในใจของเรา ทำให้ใจเศร้าหมอง เราจะลงนรกเสียเอง..!

เถรี
04-09-2016, 22:15
ถาม : มีคนเข้ามาพักในห้องพักรายวันตอนกลางคืนประมาณ ๒.๐๐ น ถึง ๓.๐๐ น แล้วพอตอนเช้าเข้าไปเก็บห้อง แล้วเจอแก้วน้ำใส่เกลือวางอยู่ ๔ มุมเตียงครับ แล้วก็เหรียญประมาณ ๑๒ เหรียญ ไม่ทราบว่าเป็นพิธีกรรมอะไรหรือครับผม ? และวิธีแก้ไขทำอย่างไรครับผม ?
ตอบ : เอาวิธีแก้ก่อนก็แล้วกัน เก็บกวาดเรียบร้อยเสียก็จบ ถ้าเป็นพวกแก้วใส่เกลือน่าจะเป็นพวกถือลัทธิทางศาสนาคริสต์ เพราะเขาถือว่าเกลือสามารถไล่สิ่งชั่วร้ายและปัดเป่าเสนียดจัญไรได้

เถรี
04-09-2016, 22:21
ถาม : ถ้าเราจะสมัครงานในสถานที่หนึ่ง ที่เรารู้ว่าเขารับเฉพาะคนในเหมือนมีระบบอุปถัมภ์ เรียนถามว่าเราต้องทำอย่างไรถึงจะได้งานนี้ ? หรือมีคาถาใช้สมัครงานหรือวิธีอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ยัดเยียดตัวเองเข้าไปเป็นคนในก็หมดเรื่อง ก็รู้อยู่ว่าเขารับเฉพาะคนใน

เถรี
04-09-2016, 22:22
ถาม : ผมนั่งภาวนาไปแล้วคำภาวนาเปลี่ยนเป็นคำว่า ว. เวรา สัตโต นะ สักกะ จึงเรียนถามหลวงพ่อว่าบทนี้หมายถึงอย่างไรครับผม และสามารถใช้ภาวนาต่อได้หรือเปล่าครับผม ?
ตอบ : คาถาเขาไม่ให้แปล แปลเมื่อไรก็หมดขลัง ลองไปภาวนาดูสักพักหนึ่งว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะฟังคำแปลไหม ? เวราก็คือเวร นะก็คือไม่ สัตโตก็คือหมู่สัตว์ สักกะคือสวรรค์ สรุปง่าย ๆ ว่า ตราบใดที่ยังจองเวรอยู่ หมู่สัตว์ก็ไม่มีทางที่จะเข้าถึงสวรรค์

เถรี
04-09-2016, 22:26
ถาม : ตอนนี้น้าผมเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะที่สองครับ ผมเลยแนะนำให้น้ารักษาด้วยสูตรยารักษามะเร็งของหลวงพ่อฤๅษีลิงดํา แต่กินอย่างไรก็ไม่หายครับ ครั้งแรกกินตามสูตรเมื่อหมอตรวจพบจึงรีบกินเลย เว้นระยะไปเกือบเดือนแล้วไปตรวจอีกรอบ หมอก็แจ้งว่ายังไม่หาย เป็นถึงระยะที่สองครับ กลับมาน้าจึงทำกินตามสูตรอีกรอบ แต่ก็ยังไม่หายครับ หลวงพ่อมีสูตรยาอื่น ๆ หรือวิธีรักษาอื่น ๆ อีกไหมครับ ? เพราะตอนนี้น้าสาวลำบากมาก ไปรักษาแบบเคมีบำบัด ทรมานมาก ทำให้ไม่มีแรงทำงาน จึงขาดรายได้เลี้ยงลูกครับ
ตอบ : เรื่องของมะเร็ง สำหรับผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม หรือมะเร็งท่อรังไข่ หรือของผู้ชายก็มะเร็งต่อมลูกหมาก พวกนี้เกิดจากความเครียด ทำให้ฮอร์โมนแปรเปลี่ยนแล้วเกิดโรค วิธีที่ดีที่สุดคือควรจะฝึกภาวนา ถ้าหายเครียดก็จะหายจากโรคไปเอง

เถรี
05-09-2016, 08:59
ถาม : ชาวต่างชาติมีพลังจิตตั้งแต่เกิด สามารถทำให้สิ่งของเคลื่อนไหวได้ ทำไมเขาเหล่านี้ไม่ต้องฝึกสมาธิ เวลาใช้ก็ไม่ต้องใช้สมาธิ ก็สามารถใช้พลังจิตเลื่อนสิ่งของได้ครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่เขาแล้วทำเป็นเสือกรู้อีก..! รู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่เคยฝึก ? ไม่เคยฝึกแล้วจะทำสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร ? ชาติก่อน ๆ เขาฝึกมาเสียเต็มที่แล้ว สภาพจิตของเขาก็คล่องตัวอยู่ในระดับเป็นวสีแล้ว ระดับนี้แค่คิดก็เป็นแล้ว

เถรี
05-09-2016, 09:14
ถาม : โยคีอินเดียจะเพ่งจักระเจ็ดจุดตามตัว เพื่อให้เกิดอิทธิฤทธิ์ ทำไมการเปิดจักระแบบโยคีอินเดียจึงทำให้มีฤทธิ์ได้ครับ ?
ตอบ : จักระเป็นแหล่งพลังงานซึ่งมีกันอยู่ทุกคน ถ้าใครสามารถเปิดแหล่งพลังงานได้ ก็จะมีพลังงานมากกว่าคนอื่น คนที่มีพลังงานมากกว่าคนอื่น เขาก็เห็นว่ามีฤทธิ์มากกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง

เถรี
05-09-2016, 09:26
ถาม : ดูละครเรื่องพิษสวาท มีวิญญาณที่ถูกตัดคอแล้วเฝ้าสมบัติของแผ่นดิน ก็เลยทำบุญแล้วอุทิศน้อมให้ท่านที่เฝ้าสมบัติของแผ่นดิน ปรากฏว่ารู้สึกวูบวาบตอนอุทิศ ตอนนอนก็เห็นชุดไทยลายดอกไม้สีส้ม ครูบาอาจารย์บางท่านก็เล่าว่ามีจริง ๆ กราบเรียนถามว่าท่านที่เฝ้าสมบัติมีภูมิระดับเทวดาใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถามคุณอุบลสิ...! อาตมาไม่ได้ดูโทรทัศน์มา ๓๓ ปีแล้ว ไม่รู้เรื่องหรอก

ถาม : ท่านจะหลุดพ้นจากหน้าที่ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ที่เคยเจอมา เพราะความยึดมั่นว่าเป็นหน้าที่ก็เลยไปไหนไม่ได้ เคยไปเจอผีทหารญี่ปุ่นเฝ้าขุมทรัพย์ บอกอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อ บอกเขาว่าญี่ปุ่นแพ้สงคราม จนกระทั่งตอนนี้เจริญกลายเป็นมหาอำนาจของโลกแล้ว เขาบอกว่าไม่เชื่อหรอก เพิ่งจะแค่วันสองวันเอง ญี่ปุ่นจะแพ้สงครามได้อย่างไร

เพราะก่อนหน้านั้นญี่ปุ่นยึดไปค่อนโลก ส่วนในภูมิของเขา ๑ วันของเขาเท่ากับ ๕๐ ปีของเรา เพราะฉะนั้น...บอกให้ตายเขาก็ไม่ฟัง เราไม่มีสิทธิ์บอกให้เขาไปไหนหรอก เพราะเขายึดมั่นอยู่ตรงนั้นเอง

เถรี
05-09-2016, 09:45
ถาม : มีวิธีอะไรที่จะแก้ กรณีที่มีคนเขาคิดว่า โดนคนอื่นทำร้ายและให้โทษอยู่ตลอดเวลา จะสวดมนต์หรือแผ่เมตตา ?
ตอบ : ไปหาหมอ ไปสารภาพกับหมอว่าฮอร์โมนพร่อง และให้หมอจัดยาให้ก็หายแล้ว แก่จนวัยทองเกิดอาการแปลก ๆ กับตนเอง ดันไปโทษว่าคนอื่นเขาทำ

เป็นหมอผีสมัยนี้หากินง่าย เพราะคนวัยทองเยอะขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากสุขอนามัยของเราดีขึ้น ทำให้คนอายุยืนขึ้น พออายุยืนขึ้น ถึงวัยทองเกิดอาการประหลาด ๆ ไม่รู้ตัวขึ้นมา ก็คิดว่าโดนคนทำไสยศาสตร์บ้าง โดนคนทำร้ายบ้าง บางรายมีสภาวะทางจิตไปเลยเพราะฮอร์โมนพร่องมาก พอได้รับยาจากหมอไปกลับกลายเป็นปกติ ก็ยังสงสัยอยู่ว่าทำไมหมอสมัยใหม่รักษาโรคไสยศาสตร์ได้ด้วย ?

เถรี
05-09-2016, 09:46
พระอาจารย์กล่าวว่า "น่าเสียดายว่าคำถามส่วนใหญ่ไปสนใจสิ่งรอบตัวมากเกินไป นักปฏิบัติที่ดีควรมุ่งหน้าเอามรรคเอาผลของตนเอง เพราะชีวิตของเราเป็นของน้อย จะตายลงไปเมื่อไรก็ไม่แน่ มัวแต่ไปสนใจภายนอกอยู่ ถ้าหากตายลงไปก่อนที่ตนเองจะหมดกิเลส ก็กลายเป็นเสียชาติเกิดไปอีกชาติหนึ่ง..!"

เถรี
05-09-2016, 09:49
พระอาจารย์ประกาศว่า "แจ้งให้ญาติโยมได้ทราบทั่วกันว่า อาตมาจะรับสังฆทานที่บ้านวิริยบารมีเดือนธันวาคม ๒๕๕๙ เป็นเดือนสุดท้าย และมอบคืนบ้านให้แก่เจ้าของไป

หลังจากนั้นถ้ามีคนให้สถานที่ใหม่ ก็จะไปรับสังฆทานและสอนกรรมฐานที่นั่น ถ้าไม่มีก็ไปพบกันที่วัดท่าขนุน..!"

เถรี
05-09-2016, 14:27
https://scontent.fbkk5-1.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/14202769_1096806470397577_5694848181896591079_n.jpg?oh=1e1365337399746f09741cc2a3fd41c6&oe=584FD485

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครจะสนับสนุนชมรมปกป้องพระพุทธศาสนาที่อาตมาเป็นที่ปรึกษาเขาบ้าง ? สามารถซื้อหนังสือเพื่อช่วยชมรมเขา อยู่ข้าง ๆ อาตมานี่เอง ราคาเล่มละ ๒๐๐ บาท อ่านดูจะได้รู้ว่าพระพุทธศาสนาเราโดนเบียดเบียนอย่างไร และควรจะมีแนวทางในการแก้ไขอย่างไร

คนไทยเรานิ่งดูดาย ไม่ได้มีการกระทำอะไรที่แสดงออกถึงการปกป้องพระพุทธศาสนา ก็เลยต้องมีตัวบุคคลที่จัดตั้งขึ้นมาเป็นคณะ เป็นชมรม เป็นสมาพันธ์ และอาจจะถึงขนาดตั้งพรรคการเมือง เพื่อที่จะทำหน้าที่ตรงนี้ อาตมาเป็นที่ปรึกษาก็ช่วยเขาหาทุน โดยการรับหนังสือมาจำหน่ายให้ เขาคิดเล่มละ ๑๙๙ บาท แต่อาตมาขี้เกียจทอนเลยคิด ๒๐๐ บาทเต็ม ๆ ไม่ต้องถึงขนาดซื้อไปต้มกินนะ เอาแค่พอสมควรก็พอ"

เถรี
05-09-2016, 14:33
ถาม : กรณีที่เขาเบียดเบียนและส่งผลแล้ว แต่เราเพิ่งจะมารวมตัวกันทำบ้าง ต้องเร่งมือออกแรงช่วยกันให้ส่งผลโดยเร็ว ทำอย่างไรจึงจะไม่กลายเป็นข้อขัดแย้งระหว่างกันคะ ?
ตอบ : เขาทำอะไรเกิดผลดีกับเขา เราก็ทำอย่างนั้น...! ไม่เห็นต้องขัดกับใคร วิชานี้ตระกูลมู่หยงถนัด..!

เถรี
05-09-2016, 14:34
ถาม : ฝันคืออะไร ?
ตอบ : Dream...! อาการที่สภาพจิตหลับแล้วออกไปรับรู้สิ่งต่าง ๆ ที่จำเอาไว้บ้าง ทั้งที่ไปสัมผัสใหม่บ้าง เขาเรียกว่าความฝัน

เถรี
05-09-2016, 14:55
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมที่ร่วมบุญสร้างพระทองคำมา ตอนนี้ใกล้เป้าหมายแล้ว จากการสำรวจครั้งสุดท้ายมีทองคำอยู่ ๙๓ กิโลกรัมเศษ เราต้องการแค่ ๑๐๐ กิโลกรัมเท่านั้น

และอาตมาก็เปลี่ยนใจแล้ว สร้างทั้งทีทำเอาดังไปเลย ก็เลยคิดจะหล่อพระพุทธรูป ๓ องค์ เป็นสามกษัตริย์ มีองค์หนึ่งสีนาก องค์หนึ่งสีทอง องค์หนึ่งสีเงิน กำลังคิดอยู่ว่าเงินกับนากจะทำอย่างไรไม่ให้ดำ

ถ้าใครจะบริจาคร่วมบุญไม่ต้องระบุมา เพราะอาตมาอาจจะเปลี่ยนใจได้ทุกเมื่อ เน้นทำบุญสร้างพระพุทธรูปทองคำอย่างเดียวก็เท่ากับสร้างทั้งสามองค์"

เถรี
05-09-2016, 15:02
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนนี้มีงานใหญ่ที่วัด ๒ งาน ก็คือ วันที่ ๙ กันยายนนี้ มีงานเจริญพระพุทธมนต์ถวายในหลวงและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ส่วนวันที่ ๑๔ กันยายน เป็นงานทำบุญครบรอบมรณภาพ ๒๔ ปี หลวงปู่สาย วัดท่าขนุน ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายว่า ถ้าอาตมากำหนดวันเองก็จะกำหนดในวันหยุด แต่เนื่องจากทางคณะกรรมการชาวทองผาภูมิ เขาจะทำบุญตรงวัน ในเมื่อไม่ตรงกับวันหยุด ท่านที่ทำงานก็ต้องลางานกันตามระเบียบ แต่ปีนี้สงสัยกันว่าจะลางานกันมาก เพราะเปิดให้บูชาเหรียญพุทธบารมีรุ่น ๒ ด้วย..!"

เถรี
06-09-2016, 09:20
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่องานวันแม่ ๑๒ สิงหาคม มีเพื่อนสหธรรมิก ๓-๔ ท่าน ติดงานไปไม่ได้ หลังจากนั้น ๑๖ วัน คือ วันที่ ๒๘ สิงหาคม ไปพบกันที่งานหล่อพระวัดสระพัง ของพระครูไพโรจน์ภัทรคุณ หลายท่านมาขอโทษขอโพย มีพระครูพิพัฒน์กิติสาร (หลวงพ่อสรวง) วัดเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ พระครูปฐมจินดาภรณ์ (หลวงพ่อสายชล) วัดไร่แตงทอง พระครูสุวรรณกิติธาดา (หลวงพ่อปิยะพงศ์) วัดเขาตะเภาทอง

เหตุที่ไม่ได้มาเพราะทางราชการขอตัวไปเจริญชัยมงคลคาถา ในงานทำบุญถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ อาตมาเองก็เป็นขาประจำของเดือนธันวาคม ทางทองผาภูมินั้น พระครูวรกาญจนโชติ เจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิท่านจัดการได้ดี ท่านแบ่งอำเภอเป็นสองฟาก วันที่ ๑๒ สิงหาคม ฟากเหนือตั้งแต่ลิ่นถิ่นลงมา จนกระทั่งถึงสหกรณ์นิคมรับผิดชอบไป

พอมาวันที่ ๕ ธันวาคม ฟากใต้ตั้งแต่ตำบลท่าขนุนลงไปจนถึงตำบลปิล็อกรับผิดชอบ หาพระที่มีสัญญาบัตรพัดยศไปเจริญชัยมงคลคาถาให้ได้ จังหวัดอื่นระบบการจัดการยังไม่ดีแบบนี้ หรือไม่ก็อาจจะหาพระครูสัญญาบัตรได้ยาก พอถึงเวลาจึงต้องมาล็อกคอพรรคพวกไปหมด ก็น่าเห็นใจ เพราะพระครูสัญญาบัตรขึ้นไป นั้น ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถึงเวลางานหลวงก็ต้องไปออกงานโดยใช้พัดยศด้วย

อาตมาก็บอกว่าไม่เป็นไร งานของท่าน ถ้าอาตมาติดงานก็ไม่ได้ไปเหมือนกัน หลวงพ่อสายชลบอกว่า ไม่ได้ไปท่าขนุนมา ๖ ปีแล้ว ส่วนงานของท่าน อาตมาไม่ได้ไปมา ๒ ปีแล้ว ปีนี้กำลังเป็นปีที่ ๓ อยู่ ท่านทำบุญพรุ่งนี้ แต่ปีหน้าไปได้ ปีนี้ติดรับสังฆทานที่นี่จึงไปไม่ได้"

เถรี
06-09-2016, 14:55
พระอาจารย์กล่าวว่า "จำไว้ว่ากิเลสไม่เคยหย่อนมือให้กับเรา รักจะรบกับกิเลสต้องเอาจริง ไปทำเป็นเล่น ๆ เดี๋ยวโดนตีตาย พวกเราพออยู่ไประยะหนึ่งแล้วทำตัวเหมือนคนมีเวลามาก ทำตัวเหมือนคนมีเวลามากก็ประมาทเกินไป มีโอกาสต้องรีบบี้กิเลสให้ตายคามือไปเลย ไม่ใช่ปล่อยแล้วปล่อยอีก เขาเรียกว่าเมตตาผิดประเภท

เมตตาคน เมตตาสัตว์ เมตตาอะไรก็ได้ แต่อย่าไปเมตตากิเลส ทำตัวเหมือนกับวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิต ทุ่มเทให้เต็มที่ ถึงไม่สำเร็จเราก็ตอบตัวเองได้ ว่าได้ลงมือทำเต็มที่แล้ว"

เถรี
06-09-2016, 14:58
พระอาจารย์กล่าวว่า "ศาสนาพุทธของเรา นอกจากคำสอนที่อยู่ในลักษณะของการรักสงบ ปลีกตัวออกจากหมู่ ไม่ยุ่งกับเรื่องของคนอื่นแล้ว ยังอยู่ในลักษณะที่พอนาน ๆ ไปเหมือนกับน้ำเน่า ก็คือนิ่ง ไม่มีอะไรที่อยู่ในลักษณะของการรุกคืบเพื่อชิงมวลชนเหมือนกับศาสนาอื่น ก็เลยทำให้ศาสนาของเราอยู่ลักษณะของการตั้งรับมาโดยตลอด

แม้กระทั่งการสงเคราะห์มวลชนก็คืออยู่ในวัด รอคนมาหา ก็เลยสู้ศาสนาอื่นเขาไม่ได้ อย่างศาสนาคริสต์เขาส่งบาทหลวงไปทั่วโลก ส่งพวกสามเณรฝึกหัดออกไปเพื่อเผยแผ่ศาสนากันอย่างชนิดทุ่มเท ผมเคยเจอเขามาเมืองไทย เด็กหนุ่ม ๆ อายุไม่ถึง ๒๐ ปี พูดไทยได้ ร้องเพลงไทยได้ จะชัดไม่ชัดก็ช่างเถอะ

ถามเขาว่าฝึกภาษาไทยนานไหม ? เขาบอกว่า ๓ เดือน แค่ ๓ เดือนเขาเผยแผ่ศาสนาได้แล้ว ของเขาส่งไปทั่วโลกเลย บ้านเรานี่ส่วนมากรออยู่แต่ในวัด ถ้าโยมไม่เข้าวัดโอกาสที่จะได้มวลชนก็ไม่มี ส่วนศาสนาอิสลามหนักกว่านั้นอีก ศาสนาอิสลามเป็นนักเผยแผ่ทุกครอบครัว คนเป็นพ่อเป็นแม่อบรมลูกอยู่ในครอบครัว แล้วทุกคนก็กลายเป็นผู้ควบคุมในสังคมนั้น ๆ ว่ามีผู้ใดทำผิดหลักศาสนาบ้าง ถ้าทำผิดหลักก็อยู่ร่วมกันไม่ได้

นอกจากอบรมในครอบครัวแล้ว สังคมภายนอกยังมีการตรวจสอบที่เข้มข้นมาก คนที่ทำผิดหลักศาสนาไม่สามารถที่จะอยู่ร่วมในสังคมได้เลย แต่ศาสนาพุทธของเราไม่มีตรงนี้"

เถรี
06-09-2016, 15:03
"อย่างของอาตมามาที่นี่ ก็ถือว่าเป็นการเผยแผ่เชิงรุกอย่างหนึ่ง ก็คือเราออกจากวัดมา ลักษณะเดียวกันกับไปบรรยายตามสถานที่ราชการ หรือพวกหน่วยงานเอกชนต่าง ๆ ก็คือลักษณะของการรุกคืบเข้าไปหามวลชน การทำงานศึกษาสงเคราะห์ ให้ทุนนักเรียน การทำงานสาธารณสงเคราะห์ เอาของไปแจก ก็คือการรุกคืบเข้าไปหามวลชน ให้เขารู้ว่าศาสนาของเรายังพึ่งได้

แต่ก็ทำกันในหมู่น้อยมาก พระสงฆ์ทั่วประเทศ ๒๐๐,๐๐๐ - ๓๐๐,๐๐๐ รูป มีทำงานอย่างนี้ถึง ๑๐,๐๐๐ รูปไหม ? ไม่น่าจะถึงกระมัง ? หรือถ้าท่านทำก็ลักษณะเดียวกัน คือไม่มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ จึงรู้กันในวงแคบ กลายเป็นว่า คนทำดีไม่มีคนเห็น แต่พอทำผิดหน่อยสารพัดสื่อช่วยกันใส่ การทำผิดน้อยกลายเป็นผิดมาก แต่ทำดีมากกลับไม่มีใครเห็น แบบนี้ศาสนาเราถึงได้ไปยาก

หนังสือ (พระพุทธศาสนาอยู่ได้ ทุกสถาบันอยู่รอด) ที่เขาทำมา ลักษณะของบุคคลที่มีแนวคิดแบบเดียวกัน ก็คือว่าเราต้องยึดฐานมวลชน แล้วก็ปลุกระดมความคิดของคน ให้หันกลับมายึดหลักธรรมในพระพุทธศาสนา โดยเอาพวกที่เรียนจบสูง ๆ มา

อาตมาก็ยืนยันได้เต็มปากเต็มคำว่า ตูเรียนจบปริญญาเอก ทฤษฎีฝรั่งไม่ได้หนีไปจากพระพุทธเจ้าเลย ถ้าไม่ใช่นักปราชญ์ที่มีแนวคิดที่ใกล้เคียงกัน ก็กลายเป็นว่าเขาลอกแบบศาสนาพุทธไปดื้อ ๆ แต่ไปตั้งเป็นทฤษฎีของตัวเอง แล้วเราก็ไปเลื่อมใสนักหนาว่าเป็นของฝรั่ง เป็นของผู้ที่เจริญแล้ว แต่สิ่งที่ดีที่สุดของพระพุทธเจ้า คนกลับทอดทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย"

เถรี
06-09-2016, 15:05
"ตอนที่สอบ QE ของปริญญาเอก มีหมวดหนึ่งคือหมวดการประยุกต์ใช้ ชอบใจข้อสอบนั้นมาก ข้อเดียวให้เวลาเขียน ๓ ชั่วโมง เขาบอกว่าจงอธิบายอิทธิบาท ๔ ประยุกต์ให้เข้ากับหลักการบริหาร ๑๗ ข้อของ McCarthy แล้วโยงให้เข้ากับสัมมัปปธาน ๔ เจ้าประคุณเอ๋ย...! ๑๗ คูณ ๔ ล่อเข้าไปเท่าไรแล้ว เป็น ๖๘ แล้วคูณอีก ๔ ยังไม่ทันจะเขียนเลย ๒๐๐ กว่าบรรทัดแล้ว...!

เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมข้อสอบข้อเดียวให้เวลา ๓ ชั่วโมงแล้วเขียนกันไม่เสร็จ ที่ทำเสร็จภายในเวลามีคนเดียวคืออาตมาเอง นอกนั้นขอรอลอก เขียนไปหน้าหนึ่งก็เอากล้องถ่าย แล้วก็ไปนั่งลอก อาตมาต้องกำชับว่า “เฮ้ย...ให้รู้จักสลับข้อบ้างนะ ไม่อย่างนั้นจะพากูเดี้ยงไปด้วย...!” บางคนก็เร่งกันจัง “เร็ว ๆ หน่อยเดี๋ยวลอกไม่ทัน” อีกคนก็นั่งกระดิกตีนซดกาแฟ “เฮ้ย...ให้รู้จักมารยาทในการลอกบ้าง ต้องให้คนทำเขาเขียนเสร็จก่อนถึงจะลอกได้” แหม...หลักการดีมากเลยนะ แต่ทั้งหมดมึงก็ลอกกูนั่นแหละ...!"

เถรี
06-09-2016, 15:08
"สรุปก็คือเอาบุคคลที่ประสบความสำเร็จทางด้านการศึกษา มายืนยันว่าทฤษฎีฝรั่งไม่มีอะไรดีจริง ทุกอย่างมีในหลักธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว และของพระพุทธเจ้านั้น รอบคอบ รอบด้าน ไม่มีอะไรผิดพลาด ขณะที่ทฤษฎีของฝรั่งยังเป็นแค่ทฤษฎี

อย่าลืมว่าทฤษฎีก็คือ กฎเกณฑ์กติกาที่คนตั้งขึ้นมาอย่างมีหลักการและเป็นที่ยอมรับในขณะนั้น แต่ถ้ามีคนค้านได้เมื่อไร ทฤษฎีของคุณก็จะสลายตัว ถึงเวลาก็ไปใช้ทฤษฎีใหม่ของคนที่ค้าน เพราะฉะนั้น...ของฝรั่งจึงเป็นได้แค่ทฤษฎี ก็คือหาความสมบูรณ์แท้จริงไม่ได้ อยู่ในลักษณะการทดลองใช้ แต่ของพระพุทธเจ้าท่านอยู่ลักษณะสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง คัดค้านไม่ได้ พระพุทธเจ้าถึงได้กล่าวว่า พระองค์ท่านประกอบไปด้วยเวสารัชชกรณธรรม ๔ ประการ เช่น พระองค์ท่านปฏิญาณตนว่าบรรลุอรหันตสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ไม่มีใครคัดค้านได้"

เถรี
06-09-2016, 15:09
"พวกเราไม่สามารถที่จะออกมาได้ ก็ช่วยกันเป็นกองหนุน ซื้อหนังสือทีละเล่ม ๒ เล่ม ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรก็รวม ๆ ไว้เยอะ ๆ เอามาทำหมอนหนุนก็ยังดี แต่ถ้าอ่านแล้วจะเห็นว่าน่ากลัวมาก ศาสนาอื่นเขารุกคืบทุกวิถีทาง ต้องบอกว่าอาตมาเคยได้รับเชิญเข้าไปประชุมผู้นำ ๕ ศาสนา มีพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ซิกข์ ตัวแทนของแต่ละศาสนาที่ส่งขึ้นเวที ไปในระดับนานาชาติได้เลย ออกเวทีสากลได้ไม่อายใคร แต่ตัวแทนศาสนาพุทธดูจ๋อย ๆ จ๋อง ๆ อย่างไรก็ไม่รู้ แต่เนื่องจากว่าท่านมีสมณศักดิ์สูงที่สุดในกลุ่ม ก็เลยต้องให้ท่านขึ้นไป ขึ้นไปแล้วอยู่ในลักษณะไปให้เขาต้อน อาตมาก็นั่งเซ็งอยู่ข้างล่าง ไปให้เขาต้อนแล้วเราก็ได้แต่นั่งดู ทำอะไรไม่ได้

แม้กระทั่งศาสนาซิกข์ที่มีศาสนิกชนน้อยที่สุดในประเทศไทย ตัวแทนของเขาก็เฉียบคมมาก มุมมองทุกอย่างต้องบอกว่ามองเกมขาดในทุกมุม ไม่ต้องไปพูดถึงอิสลามหรือว่าคริสต์ เพราะว่าพวกนั้นเขาไม่ใช่ระดับยอดฝีมือก็ไม่มีโอกาสได้เป็นตัวแทนอยู่แล้ว แต่ของศาสนาพุทธเรามักจะอยู่ในลักษณะเห็นแก่หน้ากัน ในเมื่อเห็นแก่หน้ากัน ท่านอาวุโสมากกว่าท่านก็ขึ้นไป โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าท่านผู้อาวุโสกว่านั้น บางทีท่านก็ไม่รู้อะไร ขึ้นไปก็ไปให้เขาเชือดดี ๆ นี่เอง"

เถรี
06-09-2016, 15:13
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเราปฏิบัติธรรมได้ก็ปล่อยที่รั่วไหลกันหมด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไหลตามกิเลสไปหมด ทำอย่างไรที่จะเห็นรูปแค่เป็นรูป โดยไม่ไปปรุงแต่งว่าเป็นหญิงเป็นชาย ชอบหรือไม่ชอบ เพราะว่าการปรุงแต่งเกิดโทษทั้งนั้น ชอบก็เป็นราคะ ไม่ชอบก็เป็นโทสะ เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่น ได้รสสักแต่ว่าได้รส สัมผัสสักแต่ว่าสัมผัส หยุดไว้อย่าให้เข้ามาในใจ แค่ขั้นต้นทำได้ไหม ? ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่มีทางที่จะสู้กิเลสได้

ส่วนใหญ่พวกเรามักจะคิด คิดเก่งมาก ไม่ใช่คิดมาก คิดคนเดียว คิดคนเดียวจะเรียกว่าคิดมากไม่ได้หรอก ไม่เป็นพหูพจน์...ใช่ไหม ? คนเดียวเป็นได้แค่เอกพจน์ ในเมื่อคิด ดันคิดดีกว่าที่เขาทำอีก บางทีเขาทำไม่ได้มีความหมายอะไรเลย หยิบของส่งให้บังเอิญหลุดมือวางแรงไปหน่อย ก็ไปหาว่าเขากระแทกของใส่หน้า ไปยันโน่นเลย นั่นแหละคือการคิดปรุงแต่ง เราคิดไปเมื่อไรก็ก่อทุกข์ก่อโทษให้กับเราทั้งนั้น

อย่าปล่อยให้กำลังที่สะสมได้รั่วหมด พอเรารั่วหมดก็ไปยินดียินร้ายกับ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ ที่เกิดขึ้น กำลังก็ไม่พอที่จะต่อต้านกิเลสสักที"

เถรี
06-09-2016, 15:19
"กิเลสก็เก่งโคตรเลย หลอกให้เรารั่วได้ตลอด ถึงต้องสร้างสติและปัญญา การที่จะสร้างสติและปัญญา สิ่งที่ทิ้งไม่ได้เลยก็คือลมหายใจเข้าออก อานาปานสติ สติที่ใฝ่ในลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ถ้าสติมั่นคงแน่วนิ่งอยู่ตรงหน้า สภาพจิตราบเรียบสงบลง ปัญญาจะเกิด จะรู้ว่าจะประคองตัวอย่างไรถึงจะรอดพ้นจากตรงนี้ไปได้ หลังจากนั้นถ้าสะสมกำลังมากพอ ก็รู้ว่าจะจัดการกับกิเลสอย่างไร

แต่ถ้ากำลังยังไม่พอก็หลบ ๆ เสียก่อน สู้ไม่ได้...ตายคาที่ทุกสนามแหละ ตายแล้วตายอีกก็ไม่เคยเข็ด...ใช่ไหม ? พอถึงเวลาเห็นก็เริ่มมองแล้ว สวยไหมวะ ? หล่อไหมวะ ? ถูกใจไหม ? ปรุงไปเรื่อยเปื่อย ทั้งพระทั้งโยมพอกัน ตูก็นึกว่าจะมีดีกว่ากันบ้าง...!

เอาแค่นี้แหละ พูดมากไปก็ลำบาก ทุกวันนี้พระเจ้าที่วัดไม่ค่อยจะมีใครอยากเข้าใกล้อาตมาแล้ว ท่านหาว่าพระอาจารย์ละเมิดลิขสิทธิ์ทางความคิดของท่าน คิดแล้วทำไมต้องพูดออกมาด้วย ? บางท่านก็อุตส่าห์แอบ ๆ ทำโน่นทำนี่ให้พระอาจารย์ มาถึงก็บอก “กูทำเองเป็น ไม่ต้องช่วยหรอก...!”

เถรี
06-09-2016, 15:22
"ส่วนใหญ่แล้วพวกเราไปกลัวพระ พระจริง ๆ ท่านไม่ดูว่าใครทำอะไรผิดมาหรอก แต่ดูว่าจะช่วยพวกเราอย่างไร พวกเราส่วนใหญ่แล้วพอทำผิดทำพลาด เสียท่ากิเลสเมื่อไรก็หายหัวไปนาน ไปทำอะไร ? ไปรวบรวมกำลังใจ พอรู้สึกว่าดีหน่อยค่อยมาหาพระ แบบนั้นเรียกว่าสมควรตาย...!

ตอนที่ไม่ดีต้องรีบมาเพื่อที่จะให้พระท่านช่วยเรา ตอนดีแล้วมาทำซากอะไร ?! มาก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอะไร เพราะต้องไปช่วยคนที่แข็งแรงน้อยกว่า คนเดินได้ก็ปล่อยให้เดินไปสิ ตอนหกล้มหกลุกไม่ยักจะตะกายมาให้ช่วย อย่างนี้เขาเรียกว่ากลัวไม่เข้าท่า

ทำความดีก็ต้องหน้าด้าน มัวแต่กลัวครูบาอาจารย์อยู่ โบราณเขาว่าอายครูบ่รู้วิชา โดยเฉพาะอายครูทางธรรมนี่บรรลัยเลย ไม่ต้องเข้าถึงธรรมกันสักที ผิดก็ให้รู้ว่าผิด ผิดแล้วแก้ไขไม่มีใครเขาว่าหรอก แต่ถ้าผิดแล้วดักดานอยู่ตลอดเวลาก็ต้องด่ากันบ้าง

อาตมาอบรมพระตอนเย็น ๆ จับไมค์ขึ้นมาก็เริ่มมองหน้ากันแล้ว วันนี้ใครจะโดนวะ ? ไม่ได้คิดเลยหรือว่าวันนี้ตัวเองจะโดน ? ด่านี่ไม่ได้ด่าคนอื่นนะ เราต้องดูด้วยตรงนั้น ถ้าหากว่าเป็นจุดผิดพลาดบกพร่องของเรา เราก็แก้ไขไปด้วย ไม่ใช่เที่ยวไปตามหาว่าวันนี้ใครผิด วันนี้ใครโดน ลักษณะนั้นต้องบอกว่าโง่หลายชั้น...!"

เถรี
06-09-2016, 15:28
"เสียดายอยู่อย่างหนึ่งว่า อาตมาผลักดันจนกระทั่งมโนมยิทธิเข้าไปเป็นตำราเรียนของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ในวิชาธรรมะภาคปฏิบัติ ๗ แต่เขาไม่ยอมให้อาตมาเขียน เขาเอานักวิชาการของเขามาเขียนเอง แล้วก็ออกมาเป็นอะไรก็ไม่รู้ ออกมาไม่ใช่มโนมยิทธิของเรา กลายเป็นวิชาตั้งธาตุ นะมะพะทะ ตามความเข้าใจที่เขาหาข้อมูลได้

อีกอย่างหนึ่งตัวมโนมยิทธิของพวกเรา จุดบอดใหญ่ที่สุด ก็คือ เห็นแล้วเชื่อ แบบนี้ตายทุกคน...! เพราะว่าในสิ่งที่เราเห็นไม่แน่ว่าจะเป็นความจริง แต่เราเห็นจริง ๆ ในเมื่อเราเห็นเราก็เชื่อเพราะเราเห็น ในเมื่อเราเห็นเราเชื่อ คนอื่นบอกก็ไม่ฟัง อาตมาเคยย้ำนักย้ำหนาว่า เห็นเขาไล่ฆ่าไล่ฟันกันมา เราก็แบกมีดแบกปืนไปช่วยเขา จะโดนเขากระทืบตาย เพราะเขาถ่ายหนังกันอยู่..! เราเห็นเขาไล่ฆ่าไล่ฟันกันมาจริงไหม ? ก็จริง แล้วใช่เรื่องจริงไหม ? เขาแค่ปรุงแต่งมาลองใจเราเท่านั้นเอง แล้วเราก็ไปเชื่อหัวทิ่มหัวตำ แล้วก็โดนดึงออกไปนอกลู่นอกทางไปหมด

รู้แล้วแทนที่จะละ เพื่อที่จะสิ้นกิเลสไว ๆ กลับรู้แล้วไปยึด ไอ้คนโน้นเป็นผัวกู ไอ้คนนี้เป็นเมียกู ไอ้คนนี้เป็นอย่างนั้น ไอ้คนนั้นเป็นอย่างนี้ ให้สังเกตดูบ้างสิว่า สิ่งที่เรารู้ไม่ได้รู้เพื่อละกิเลสเลย กลายเป็นรู้เพื่อเพิ่มกิเลสทั้งนั้น แต่ก็ดันไปเชื่อเสียอีก"

เถรี
06-09-2016, 17:27
"สมัยที่อาตมาอยู่วัดท่าซุง ต้องบอกว่าโชคดีที่อยู่ในยุคทองของมโนมยิทธิ ก็คือนอกจากหลวงพ่อท่านจะอยู่เป็นหลักแล้ว บรรดาพี่ ๆ หลายท่านก็ยังมาร่วมวิเคราะห์วิจัยกันอยู่ทุกเย็น พอทำวัตรค่ำเจริญกรรมฐานเสร็จเรียบร้อย ประมาณทุ่มกว่าถึงสองทุ่มก็มารวมตัวกันที่ใต้หอระฆัง หน้าร้านป้ากิมกี่ ฉันปานะกันบ้าง แล้วก็มาวิเคราะห์กันว่า อารมณ์ใจตอนนี้เป็นอย่างไร ? สิ่งที่เรารู้เห็นมาเป็นอย่างไร ?

ท่านไหนที่มีประสบการณ์มากกว่า หรือมีความชัดเจนกว่าก็เอาความรู้มาแบ่งปันกัน ทำให้เราวิเคราะห์ได้ถูกต้องว่าสิ่งที่เรารู้มานั้นจริงหรือไม่จริง ? ทำให้เราป้องกันความผิดพลาดได้มาก ขณะเดียวกันกำลังใจก็ไปในทางเดียวกัน กลายเป็นช่วยกันผลัก ช่วยกันดันไปในทางที่ดี แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า พอไม่มีหลวงตาวัชรชัย ไม่มีอาตมา ไม่มีท่านสมปอง ก็จบเลย ไม่มีใครนำแล้ว

เมื่อก่อนเราทดสอบกันทุกวัน ไม่มีหรอกเรื่องที่จะทิ้ง ถึงเวลากรรมฐานเสร็จ โน่น...โดดขึ้นรถอีแต๋น ท่านดุ่ยก็ถาม “หลวงพี่..มีรถไหม ?” “ไม่มี” โอ้โฮ...ท่านแทบจะยกล้อขึ้นถนนเลย ถามว่า “มึงเชื่อกูขนาดนี้เลยหรือ ?” ถ้าพลาดวันไหนก็ตายห่...กันยกคัน..!

วันนั้นก็ออกมา “มีรถไหม ?” “มี..!” เบรกตัวโก่งเลย มองซ้ายมองขวาไม่มีไฟสักดวง มาได้อย่างไรวะ ? ไหนบอกว่ามีรถ ยังไม่ทันไรได้ยินเสียงแก๊ก ๆ ๆ ส่องไฟฉายดูเห็นปั่นจักรยานมา เออ...แม่นจริงเหมือนกันนะ เราทดสอบกันอย่างนี้ แล้วถึงเวลาก็มานั่งวิเคราะห์วิจัยกันว่าอะไรผิด อะไรพลาด คุณวางกำลังใจอย่างไร ? ตอนแรกนั้นใช่ พอคุณไป เอ๊ะ...อาจจะเป็นอย่างนั้น ก็พังทันทีเลย...ใช่ไหม ? ทำให้พวกเรารู้วิธีในการปรับกำลังใจตนเอง"

เถรี
06-09-2016, 17:32
"อย่างวันนั้นออกบิณฑบาต เดินกลับมาถึงหน้าวัด ญาติโยมใส่บาตรกันมาก แต่ปรากฏว่ามีสาวไฮโซคนหนึ่ง ใส่น้ำหอมมาฟุ้งเลย อาตมาได้กลิ่นก็กลั้นใจทันที กำหนดใจดูพี่น้องหัวยันท้าย ๑๑ รูป กลั้นใจกันหมดทุกรูป อาตมาก็ขำ พอเข้าไปถึงหอฉัน เทข้าว ล้างบาตร เสร็จสรรพเรียบร้อย ก็มานั่งสุมหัวรวมกัน “เฮ้ย...กลั้นใจจริงหรือเปล่าวะ ?” “จริงว่ะ” หลวงตาวัชรชัยก็ “ไอ้ห่..Chanel No.5 ของโปรดกูเลย สู้ไม่ได้แน่ ๆ อยู่แล้ว” ก็มานั่งวิเคราะห์กันว่า ที่เรากลั้นใจนั้นเป็นปัญญาหรือว่าเราหนีกิเลส สรุปว่าเป็นปัญญา รู้ว่าสู้ไม่ได้ให้หลบไว้ก่อน พวกเราลองกันอย่างนี้ทุกวัน

ทุกวันนี้ประเภทเหลือแต่ทีท่าเฉย ๆ ถ้าตั้งใจจะสอบเอาจริงว่าอะไรเป็นอะไรนี่เจ๊งหมด เพราะไม่มีการฝึกไม่มีการหัด พอผ่านเข้าไปแล้วก็ตัวใครตัวมัน ก็เลยหยุดนิ่ง กลายเป็นน้ำเน่าไปหมด จนกระทั่งทุกวันนี้ ที่น่าเตะที่สุด ก็คือ คำว่า "อย่ามโนฯ" กลายเป็นการดูถูกวิชามโนมยิทธิของหลวงพ่อวัดท่าซุงชนิดไร้ค่าเลย ก็เพราะความไม่เอาจริงของบรรดาลูกศิษย์อย่างพวกท่านนี่แหละ ทำให้เขาทดสอบไม่ได้ แล้วก็ไปมั่ว ผิด ๆ พลาด ๆ จนกระทั่งบอกว่า "มโนฯ ไปเอง" บ้างอะไรบ้าง ท้ายสุดคำว่า "อย่ามโนฯ" ก็ระบาดไปทั่วเลย น่าตายมาก...!

เอาเถอะ...เดี๋ยวพวกท่านกับอาจารย์เต่าไปซ้อมกันเอง ถ้านำรุ่นน้องไม่ได้ก็โดนรุ่นน้องแซง ผมเองเป็นรุ่นน้องที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าชื่อรุ่นพี่เลย อะไรแซงได้ผมแซงหมด ถ้าเรามัวแต่รอกันอยู่ก็หาความก้าวหน้าไม่ได้ ไปได้ให้ไปก่อน ถือคติว่าวางก่อนสบายก่อน"

เถรี
06-09-2016, 17:37
"ที่น่าเสียดาย คือ ทุกวันนี้พวกเราปฏิบัติธรรมกันแบบคนมีเวลามาก วันนี้ทำสักนิดหนึ่งพอเป็นกระสายยา พรุ่งนี้เอาอีกสักหน่อยหนึ่ง น่าตายจริง ๆ...! กิเลสกินเราทั้งหลับทั้งตื่น ทั้งยืนทั้งนั่ง ตลอด ๒๔ ชั่วโมง แล้วพวกเราก็ไปทำหน่อยหนึ่ง จะพอให้รับประทานไหม ? มองไม่เห็นทางชนะเสียด้วยซ้ำไป รู้ตัวก็ปรับปรุงเสียใหม่...!

คำสอนครูบาอาจารย์มีแล้วทั้งเสียง ทั้งหนังสือ ปฏิบัติตามนั้นแหละ อาตมาขอยืนยันในชีวิตนี้อยู่กับหลวงพ่อท่านมา ทั้งเป็นฆราวาสและพระ ๑๘ ปีเต็ม ๆ ปฏิบัติแบบทุ่มเทมา เคยถามปัญหาท่าน ๔ ครั้งเท่านั้น เรื่องของการปฏิบัติถ้าเราตั้งหน้าทำจริง ไม่นานก็จะได้คำตอบเอง ไม่ต้องเสียเวลาไปถามใคร การถามทำให้ฟุ้งซ่านเสียด้วย เพราะถามเสร็จแล้วก็ไปรอว่าเมื่อไรจะเป็นอย่างนั้น ? เมื่อไรจะเป็นอย่างนี้ ? อุ๊ย...จะเป็นแล้ว บรรลัยเลย...!

ที่อาตมาถามเพราะอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านอารมณ์ ไม่แน่ใจ เป็นของที่ไม่เคยเจอมาก่อน ก็เลยต้องถาม ๑๘ ปี ๔ คำถาม เฉลี่ยแล้ว ๔-๕ ปีถามครั้งหนึ่ง แล้วครั้งแรกก็ไม่ได้ถามด้วย ไปชวนทะเลาะกับหลวงพ่อ ไปกล่าวหาว่าท่านเขียนตำราผิด หลวงพ่อท่านบอกว่าปฐมฌานต้องประกอบไปด้วย วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคตารมณ์ ไล่ไปทีละขั้น...ใช่ไหม ? อาตมาเจอเข้าทิ้งงานหมด ขึ้นรถไปวัดท่าซุงเดี๋ยวนั้นเลย ไปถึงบ่ายสองกว่าจะบ่ายสามโมง

ขึ้นไปถึง หลวงพ่อถาม “ไอ้หนู...มีอะไรคุยไหม ?” “หลวงพ่อเขียนตำราผิดนี่ครับ” ท่านบอก “เฮ้ย...เดี๋ยว...ใจเย็น ๆ มีอะไรว่ามา” กราบเรียนว่า “หลวงพ่อบอกว่า ปฐมฌานมี วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคตารมณ์ เป็นขั้น ๆ ของผมทำไม่เห็นเป็นขั้น ๆ เลย ขึ้นพร้อมกันหมดทีเดียวเลย หลวงพ่อเขียนตำราผิดนี่ครับ”

ท่านบอกว่า “ไอ้หนู...รู้จักโบราณบอกว่าลัดนิ้วมือเดียวไหม ?” ท่านงอนิ้วแล้วดีดให้ดู ลัดนิ้วมือก็คือดีดนิ้ว ท่านบอกว่า “สำหรับเอ็งน่ะ เห็นแค่ตอนนิ้วงอกับนิ้วตรง แต่คนใจละเอียดเขาเห็นว่าขึ้นทีละนิดโว้ย !” เจ๊งราบ...กราบ ๓ ทีกลับบ้านได้ เดี๋ยวอีก ๔ ปีกว่าค่อยไปให้ด่าใหม่..!"

เถรี
06-09-2016, 17:38
"ในเมื่อหนังสือมี เสียงก็มี พวกท่านทำไปเลย ถ้าหากว่าทุ่มเทจริง ๆ อย่างไรเสียต้องได้ผลแน่นอน หลวงพ่อท่านก็บอกแล้วถ้าทำจริง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน เลือกเอาว่าจะเอากติกาไหน ต่อให้ไม่ได้ ๗ วัน ๓ เดือนก็ต้องเห็นหน้าเห็นหลัง นี่ของเราพรรษาแล้วพรรษาเล่า ปีแล้วปีเล่า กี่ครั้ง ๆ มองลงมาก็ยังหมาเหมือนเดิม...!

หลายคนเข้าไปในโลกโซเชียล ตั้ง User Name เสียหรูเลย ลูกพระพุทธเจ้า ลูกวัดท่าซุง โอ้โฮ...มึงไม่อายบ้างเลยหรือวะ ? ความประพฤติสลึงหนึ่งไปตั้งราคาเสียร้อยล้าน ล่าสุดนี้เจอใครนะ ลูกแม่ศรี...ใช่ไหม ? ไม่รู้ว่าแม่ยอมรับหรือยัง แต่ก็ตั้งไปเรียบร้อยแล้ว"

เถรี
06-09-2016, 17:46
"อาตมาสร้างพิพิธภัณฑ์ ๑๐๐ ปีหลวงพ่อวัดท่าซุง แต่ทั้งพิพิธภัณฑ์จะมีรูปหลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่รูปเดียว เพราะว่าเราอยู่ในที่ไหน เขาเคารพใครต้องเอาท่านนั้นเป็นใหญ่ จะเห็นว่าอาตมาอยู่ทองผาภูมิมา ๒๓ ปีแล้ว เพิ่งจะมีปีนี้ที่กล้ายกรูปหลวงพ่อวัดท่าซุงขึ้นมาไว้ข้างบน เพราะไม่อยากให้เกิดโทษกับคนอื่นเขา

สถานที่โน้นเขาเคารพหลวงปู่พุก หลวงปู่สาย ถ้าเราเอาหลวงพ่อวัดท่าซุงไป เจอคนปากเสียหน่อยเดี๋ยวเขาจะซวย ก็เลยจำเป็น จนกระทั่งแนวการปฏิบัติของอาตมาเป็นที่ยอมรับกัน เขารู้ว่าที่อาตมาทำนี่เป็นปฏิปทาหลวงพ่อวัดท่าซุง พอครบ ๑๐๐ ปีหลวงพ่อถึงได้กล้าหล่อรูปท่าน แต่ก็ต้องเอาไว้บนหมู่เรือนไทยด้านบน ก็คืออย่าให้สะดุดหูสะดุดตาข้างล่าง เราขึ้นไปกราบไปไหว้ให้ชื่นใจข้างบน

จำไว้ว่าปฏิบัติไปแล้วอย่าให้ กาย วาจา ใจ ของเราเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่น ถึงแม้จะเจตนาหรือไม่เจตนาก็เป็นกรรม แล้วถ้าตราบใดที่ยังสร้างกรรมอยู่ ตัวผูกมัดให้เราอยู่กับโลกก็จะมีแต่มากขึ้นเรื่อย ๆ ทำอย่างไรที่เราจะหยุดสร้างกรรมใหม่ แล้วก็พยายามที่จะชำระกรรมเก่า กรรมไม่สามารถที่จะล้างทิ้งกันได้หรอก แต่ถ้าเราสร้างบุญสร้างกุศล สร้างกรรมดีมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกับเติมน้ำจืดลงในน้ำเค็ม พอเติมนานไป ๆ ความเค็มไม่ได้หายไปไหน แต่น้ำจืดมากจนไม่รู้ถึงรสเค็มนั้น"

เถรี
06-09-2016, 17:50
"เข้าใจหรือยังว่าต่อไปควรจะทำอย่างไร ? อะไรนิดก็ท้ออะไรหน่อยก็ถอย น่าทุบหัวสักที...! เสียเวลาเลี้ยงมาโตจนป่านนี้ รู้ว่าผิดแล้วแก้ไข พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลที่รู้ตัวว่าเป็นพาล บุคคลนั้นเป็นบัณฑิต ไม่ใช่รู้ตัวเฉย ๆ รู้แล้วต้องแก้ไขด้วย

สมัยที่อยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่ค่อยมีเวลา เพราะต้องสงเคราะห์ญาติโยมทั้งที่เห็นตัวและไม่เห็นตัว ผมก็ต้องใช้วิธีฟังเทปบ้าง อ่านหนังสือบ้าง ติดขัดตรงไหนแล้วก็ไปถามท่าน เพราะฉะนั้น...ก็อยู่ที่ว่าเราจะเอาดีหรือเปล่า ? ถ้าจะเอาดีก็ทุ่มเททำไป ครูบาอาจารย์ท่านไม่ใช่มาจ้ำจี้จ้ำไชสอนเราทุกอย่าง สิ่งที่ท่านทำให้ดูบางทีมากกว่าที่สอนอีก แต่เราดูไม่เป็น ลอกแบบปฏิปทาไม่เป็น

บางคนก็ไปนินทาครูบาอาจารย์อีกว่าไม่เห็นสอนอะไรเลย ทำให้ดูอยู่ทุกวันยังบอกอีกไม่เห็นสอนอะไร ไปนึกถึงที่หลวงปู่ดูลย์สอนเณร สอนให้ถักขาบาตร “เณร...ดูนะ จับไว้อย่างนี้ สอดอย่างนี้ พันอย่างนี้ รอบที่สองทำแบบนี้” เณรก็มัวแต่คิกคัก ๆ คุยกัน ถึงเวลาทำไม่ได้ “หลวงปู่...ทำอย่างไรครับ ?” เงียบ... “หลวงปู่...ตรงนี้ทำอย่างไรครับ ?” เงียบ...

พอทำวัตรเย็นเสร็จ “เณร...พรุ่งนี้บิณฑบาตกับหลวงปู่นะ” สามเณรก็...กูจะโดนฟ้าผ่าไหมวะ ? บิณฑบาตกับหลวงปู่ อุตส่าห์ถือบาตรตามไป เดินเข้าไปในหมู่บ้าน บ้านแรก ๆ ข้าวยังไม่เสร็จ ต้องเดินไปจนสุดท้ายหมู่บ้านแล้วค่อยเดินกลับมา ลูกสาวกำลังทำกับข้าวอยู่ตะโกนถาม “แม่ ๆ แกงส้มใส่กะปิหรือเปล่า ?” แม่ไม่ใช่หลวงปู่นี่ ตะโกนสวนทันที “อีห่..! ถ้ากูตายแล้วมึงจะถามใคร ?” หลวงปู่หันไปมองเณร เณรก้มหน้าดูดินเลย

รู้เดี๋ยวนั้นเลยว่าถ้าหลวงปู่ตายแล้วจะถามใคร ? ทำให้ดูแล้วไม่ดู นั่นยิ่งกว่าคำสอนอีก ท่านทำให้ดูแต่ไม่ดูกัน มัวแต่รอท่านสอน คนไหนโง่ก็ปล่อยไป แล้วเห็นหรือยังว่าพระระดับหลวงปู่ รู้กระทั่งว่าแม่จะด่าลูกสาวว่าอย่างไร อุตส่าห์พาเณรไปฟัง จะได้ไม่ต้องด่าเอง..!"

เถรี
07-09-2016, 19:09
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีดหมอแต่ละเล่มของอาตมาไม่ยอมให้สกปรกหรอก ต้องขยันเช็ดถู ถ้าไม่ขยันก็สนิมขึ้นหมด"

ถาม : ใช้น้ำมันหรือคะ ?
ตอบ : ปกติถ้าไม่มีอะไรก็ใช้พวกน้ำมันชาตรีหรือสีผึ้งนั่นแหละ แต่ต้องเช็ดให้สะอาดที่สุด ที่ฝรั่งเขาบอกว่า clean and dry คือพอทำความสะอาดแล้วต้องเช็ดให้แห้ง ไม่อย่างนั้นจะขึ้นสนิม

เถรี
07-09-2016, 19:13
พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่วัดท่าขนุนจะมีการจัดเวรรับสังฆทาน ต้องไปตามเวร อาตมาเองเป็นคนยุติธรรมมาก ก็คือ ถ้าไม่ถึงเวรของตัวเองก็ไม่ลง แบบเดียวกับการออกกิจนิมนต์ก็เหมือนกัน บางบ้านอาตมาไปถึงเขาดีใจสุดชีวิต เพราะว่าพระอาจารย์มาด้วยตัวเอง อาตมาบอกว่า “อ๋อ...ถึงคิวพอดี” พอไปบ้านโน้นก็บ่น “ผมเตรียมโน่นไว้ให้ เตรียมนี่ไว้ให้ พระอาจารย์ก็ไม่มา” อ้าว...ก็ไม่ใช่คิวเรานี่"

เถรี
07-09-2016, 19:24
มีผู้บูชาพระปิดตาในกระทู้คนมีเงินไป "พระปิดตาวัดทอง พิมพ์ยันต์น่อง เนื้อสัมฤทธิ์เงิน หายากสุด ๆ ส่วนองค์นี้เขาลงรักจีน คุณต้องดูให้เป็น เนื้อโลหะเก่ากับเนื้อรักเก่าจะต่างกันมาก ไปหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตดู ถ้าเขาส่งราคามาให้ต่ำกว่าล้าน ผมจะนอนให้คุณเหยียบเลย ส่วนใหญ่พวกเราดูของกันไม่เป็น เสียดายของมาก

พระปิดตาวัดทอง ไม่เหมือนกันสักองค์ แม้ว่าแบบใกล้เคียงกันก็ไม่เหมือนกัน เพราะว่าหลวงปู่ทับท่านปั้นด้วยมือทีละองค์ ถ้าเจอสององค์เหมือนกันนี่รับประกันได้เลย ถ้าไม่ปลอมองค์หนึ่ง ก็ปลอมทั้งคู่ เพราะเขาเอาคอมพิวเตอร์ไปถอดแบบมา"

เถรี
07-09-2016, 21:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันก่อนเพิ่งเพิ่มงานให้ตัวเองมาก ต้องเป็นประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอมาอีกหนึ่งตำแหน่ง ไม่มีทางให้เลี่ยง มีแต่งานเต็มไปหมด เป็นงานภายในของอำเภอ ทำอย่างไรที่จะผลักดันเรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นนาฏศิลป์ ศิลปะพื้นบ้าน ปราชญ์ชาวบ้าน หรือว่าพวกอาหารการกิน ฯลฯ ให้เด่นขึ้นมา เพราะว่าตอนช่วงนี้ทำได้อยู่ที่เดียวคือวัดของตัวเอง

การเป็นประธานสภาถึงแม้ว่าจะผลักดันคนอื่นได้ แต่ก็ต้องหางบประมาณให้เขา ถ้าไม่มีงบประมาณสมัยนี้งานไม่ค่อยจะเดินกัน"

เถรี
07-09-2016, 21:17
พระอาจารย์พูดถึงวิชาลูกดอกบัว "วิชานี้เขียนไม่ยากหรอก ยากตรงเสก เสกทีไรต้องเปิดตำราทุกที บางบทยาวจำไม่ค่อยได้ อย่างมหาสมัยสูตร ๔๕ นาทีก็ยังสวดไม่จบ"

เถรี
07-09-2016, 21:36
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อริมท่านเป็นสุดยอดพระอภิญญาเลย แต่มีคนรู้จักชื่อท่านน้อยมาก พระท่านสร้างเป็นพระกริ่งก็จริง แต่ไม่ใช่พระกริ่งนะ ฟังเข้าใจไหม ? สร้างเป็นรูปแบบพระกริ่งทั้งหมด แต่ไม่มีกริ่ง

เว็บวัดท่าขนุนเคยเอาเรื่องท่านมาลง ชื่อหนังสือเรื่อง "อัศจรรย์โลกใบนี้" ลองไปหาอ่านดู ในนั้นเขาไม่ได้บอกชื่อท่านตรง ๆ เขากลัวว่าคนไปกวนท่าน แต่ถ้าคนที่รู้จัก อ่านแล้วจะรู้เลยว่าเป็นใคร

อาตมาบอกให้ลักยิ้มไปติดต่อเจ้าของหนังสือเอามาลง ทำหนังสือขออนุญาตไป แต่ส่วนใหญ่เขาก็ดี ตอนแรกบอกไปว่าจะคิดค่าใช้จ่ายค่าลิขสิทธิ์อย่างไร เราก็พร้อมที่จะจ่าย แต่ส่วนใหญ่เขาก็ให้ฟรี แบบเดียวกับของท่านอาจารย์แสง จันทร์งาม พอสิ้นท่านแล้วลิขสิทธิ์อยู่กับภรรยา ขอไปท่านบอกว่าถวายฟรี เพื่อเอาอานิสงส์อุทิศให้คนตาย"

เถรี
07-09-2016, 21:37
พระอาจารย์กล่าวว่า "วัตถุมงคลบางอย่างหายาก อย่างมีดหมอหลวงพ่อเดิมมีลายมือจารที่คุณหญิงจองไป หายากสุด ๆ ของบางอย่างเหมือนกับว่าท่านตั้งใจทำให้ลูกศิษย์บางคน จะมีจารพิเศษให้ แต่บางคนได้ไปก็ไม่รู้คุณค่า บางคนไม่ได้เป็นเจ้าของ ขอดูให้เป็นมงคลแก่สายตาก็ยังดี"

เถรี
07-09-2016, 21:47
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีอยู่ช่วงหนึ่งเขาเรียกลูกกีวีว่า ละมุดขนแหม่ม ลูกกีวีจะมีขน ๆ อยู่หน่อยหนึ่ง คราวนี้หน้าตาดูเหมือนละมุดอยู่เหมือนกัน เขาก็เลยเรียกละมุดขนแหม่ม เรียกไปเรียกมาคงจะไม่เข้าท่า ก็เลยเรียกทับศัพท์เป็นลูกกีวี ก็พอ ๆ กับแพ็ทชั่นฟรุตนั่นแหละ มาเปลี่ยนเป็นเสาวรส เออ...ฟังจนติดหูพูดจนติดปากเหมือนกัน"

ถาม : ปลาโอ คนไทยก็เรียกปลาทูน่า แล้วปลาทูมาจากไหนคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วคนไทยเรียกปลาอินทรีนะ ปลาทูก็คือปลาอินทรีขนาดจิ๋วนั่นแหละ ทูน่าครีบเงินนี้ถ้าโตเต็มที่หนักตั้ง ๓๐๐-๔๐๐ กิโลกรัม แต่เดี๋ยวนี้กินปลาก็อันตราย เพราะว่ามีแต่สารโลหะหนัก สรุปแล้วเกิดมาไม่มีอะไรปลอดภัยกับชีวิตเลย ไปพระนิพพานปลอดภัยที่สุด รีบไปกันเถอะ

เถรี
08-09-2016, 19:02
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้เรื่องการเรียนการสอนของบ้านเรารู้สึกว่าจะเข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ วันก่อนเด็ก ๆ เอางานวิจัยของมหาวิทยาลัยเอกชนเล่มหนึ่งมาให้ เพราะว่าเขาเริ่มเรียนระเบียบวิธีวิจัยเบื้องต้น อาจารย์แนะนำให้ไปหาวิทยานิพนธ์ของมหาวิทยาลัยเอกชน เอามาย่อลงเหลือแค่ ๖ หน้า แต่ให้ได้ใจความสำคัญครบถ้วน แต่เด็กของเรายังทำไม่เป็น เพราะเพิ่งจะเข้าเรียนปริญญาตรี แล้วเริ่มเรียนระเบียบวิธีวิจัยเท่านั้น

อาตมาเองกว่าจะรู้ว่าวิทยานิพนธ์ว่าทำอย่างไรจริง ๆ ก็จนกระทั่งเรียนจบปริญญาโท ถ้าไม่ได้เรียนต่อก็ไม่ได้ใช้งานอีกเลย ปรากฏว่าดูไปแล้วไม่รู้เหมือนกันว่ามหาวิทยาลัยแห่งนั้นปล่อยให้จบมาได้อย่างไร เนื่องจากทฤษฎีและงานวิจัยทั้งหมดที่เขาอ้างมา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเนื้อหาที่ทำเลย ก็เลยสงสัยว่าอาจารย์ที่ปรึกษาของเขาได้ดูงานบ้างหรือเปล่า ? ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมผลการศึกษาของบ้านเรา ถึงได้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดรั้งท้ายอาเซียน

คราวนี้เขาก็มาเร่งหวดพวกอาตมากันปางตาย เมื่ออาทิตย์ก่อนมีคณะกรรมการไปตรวจสอบ ก็มีตรวจสอบทั้งสถานที่ หลักสูตร อาจารย์ ผู้เรียน ศิษย์เก่า ศิษย์ใหม่ เรียกมาสัมภาษณ์หมดเลย"

เถรี
08-09-2016, 19:12
"จะว่าไปแล้วเรื่องพวกนี้เร่งรัดไปก็เท่านั้น เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของผู้เรียน น่าเสียดายแทนเด็กสมัยนี้มาก เนื่องจากว่าพ่อแม่ทุ่มเทให้เรียนอย่างเต็มที่ แต่ไม่ค่อยอยากจะเรียนกัน อาตมาโชคดีที่สอนมหาวิทยาลัยสงฆ์ เพราะพระเณรที่เรียนส่วนใหญ่บวชเข้ามาเพื่อให้ได้เรียน ในเมื่อตัวเองอยากเรียน ถึงเวลาก็ทุ่มเทให้กับการเรียน แต่ถ้าเป็นเด็กสมัยนี้น่าเสียดายที่ว่าพ่อแม่ทุ่มให้เกินร้อย แต่ลูกเรียนไม่ถึง ๒๐ เปอร์เซ็นต์ เป็นอะไรที่น่าเสียดายมากจริง ๆ

ถ้าไปเปรียบกับเด็กวัดท่าขนุนนี่ก็ฟ้ากับเหวเลย เพราะที่โน่นเขามาอยู่วัด ยอมให้ใช้งานหนักเช้ายันค่ำเพื่อให้ได้เรียน ส่วนข้างนอกพ่อแม่ทุ่มเทให้ลูกชนิดมอบกายถวายชีวิตเลย ลูกกลับไม่สนใจที่จะเรียน แต่ถึงเวลาโปเกม่อนนี่ต้องจับให้ได้ก่อนเขา เป็นอะไรที่น่าตายมาก...! บ้านเราเด็ก ๆ นิยมทำเรื่องไร้สาระมากกว่า โดยไม่ได้เห็นความสำคัญของการศึกษา

งานวิจัยของระดับปริญญาโทออกมาห่วยแตกขนาดนั้น ปล่อยให้จบมาได้อย่างไรไม่รู้ ? ถ้าเป็นอาตมาจะตั้งคณะกรรมการออกมาสักชุดหนึ่ง แล้วแต่ละชุดให้จัดหาอนุกรรมการให้ครบทุกมหาวิทยาลัย บ้านเรามีประมาณ ๑๕๐ มหาวิทยาลัยเท่านั้น มีอนุกรรมการสักคณะละ ๓ ท่านก็เพิ่งจะ ๔๐๐ กว่าท่านเท่านั้นเอง ตรวจสอบทีละมหาวิทยาลัยเลย แต่ละคณะส่งไปตรวจ งานวิจัยชิ้นไหนใช้งานไม่ได้ก็เล่นอาจารย์ที่ปรึกษาไปเลย จะได้เข็ดกันบ้าง ไม่อย่างนั้นแล้วก็ประเภทหลับหูหลับตาเซ็นให้จบมา เด็กจึงไม่มีความรู้ความสามารถที่แท้จริง

งานวิจัยที่ทำไปนี่จะทำซ้ำเขาไม่ได้ ถ้าทำซ้ำก็ต้องเปลี่ยนสถานที่ เท่ากับว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะในหัวข้อนั้น ๆ แล้วผู้เชี่ยวชาญภาษาอะไรที่ทำวิจัยออกมาไม่รู้เรื่องห่วยแตกแบบนั้น..!"

เถรี
08-09-2016, 19:18
"เขาอุตส่าห์อ้างทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมาร้อยกว่าเกือบ ๒๐๐ หน้า สารพัดเรื่องอาตมาดูแล้วตั้งแต่ต้นยันปลายไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหัวข้อที่ทำวิจัยเลย อย่างพฤติกรรมในการเรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษาอย่างนี้ รู้ไหมว่าหัวเรื่องคืออะไร ? หัวเรื่องคือค่านิยมในการซื้อสินค้าผ่านสื่ออินเตอร์เน็ต แล้วเกี่ยวอะไรกับพฤติกรรมการเรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษา อาจารย์ก็บ้าปล่อยให้เนื้อหาอย่างนี้หลุดออกมา

บ้านเราพฤติกรรมของเด็กถนัดแต่เรื่องไร้สาระ เรื่องเป็นสาระไม่ค่อยจะมี จึงสู้ใครไม่ได้ ถ้าเราบอกว่ามีเด็กเก่ง ไม่ว่าจะฟิสิกส์โอลิมปิก คณิตศาสตร์โอลิมปิก ล้วนแล้วแต่ได้เหรียญมาแล้วทั้งนั้น หรือการประกวดมหกรรมหุ่นยนต์โลกของเราก็ได้แชมป์โลกมาตั้งหลายครั้ง อาตมาอยากจะบอกว่าเด็กเก่งนั้นมี แต่เป็นเด็กรับแขกแค่ไม่กี่คน ประเภทนี้เอาไว้รับแขกได้ ส่วนที่เหลืออีก ๙๙.๙๙ เปอร์เซ็นต์รับแขกไม่ได้

บ้านเราพอเด็กเก่งกลับมามีการสนับสนุนไหม ? ไม่มีหรอก ปล่อยไปตามเวรตามกรรม พอถึงเวลาเด็กได้เหรียญได้โล่มาก็วิ่งไปโหนเด็ก ด้วยการไปถ่ายรูปด้วย ให้สัมภาษณ์ว่าจะสนับสนุนอย่างนั้นอย่างนี้ พอถึงเวลาก็กลายเป็นแค่ลมปากลอยหายไปเฉย ๆ

อาตมาเองก็ช่วยแค่ที่ตัวเองมีอำนาจ ปีหนึ่ง ๆ พยายามสนับสนุนทุนการศึกษา ทั้งพระ ทั้งเณร ทั้งเด็กนักเรียน ทั้งฆราวาสที่อยู่ในวัด หวังว่าการศึกษาจะช่วยยกระดับความรู้ ประสบการณ์และมุมมองของเขา ต่อให้ทำอะไรไม่ได้มากก็เอาตัวให้รอดได้ เอาครอบครัวให้รอดได้ก่อน หลังจากนั้นแล้วถ้ามีเวลาก็ค่อยมาสร้างสรรค์สิ่งที่ดี ๆ ให้กับสังคม เห็นสิ่งที่ในหลวงทรงทุ่มเททำมาตลอดชีวิตแล้ว บรรดาพสกนิกรนี่น่าจะประหารให้หมด...!"

เถรี
08-09-2016, 19:21
พระอาจารย์กล่าวว่า “การหล่อพระเพื่อประจำบุษบกทรงวิมานที่วัดท่าขนุน อาตมาจะหล่อปีละองค์ ปีหน้าหล่อองค์นากก่อน ปีถัดไปก็องค์เงิน พออาตมา ๖๐ ปีก็องค์ทองคำพอดี

ตอนแรกว่าจะหล่อทองคำองค์เดียว อีก ๒ องค์จะเอาพระพุทธรูปรัชกาลที่ในหลวงรัชกาลที่ ๗ พระราชทานให้กับทางวัดท่าขนุนมาตั้ง ปรากฏว่าพยายามดูอย่างไรก็ไปกันไม่ได้ เพราะว่าพระพุทธรูปรัชกาลนั้นลงรักปิดทองมา แล้วก็มีหลุดลอก ในสายตาของคนชอบวัตถุโบราณก็คือสวย แต่ถ้าขึ้นไปเข้าคู่กับพระทองคำ ๒ ข้างก็จะดูกระดำกระด่าง จึงสั่งช่างให้ทำแท่นเอาไว้ด้านหน้า ให้อยู่ใกล้ ๆ ใครไปกราบไปไหว้จะได้เห็นชัด ๆ ไปเลย

ส่วนบนบุษบกก็เลยเอาพระพุทธรูป ๓ กษัตริย์ ทอง นาก เงิน ไปเลย ปรึกษาช่างแล้ว บอกช่างว่าอยากได้ศิลปะขนมต้มแบบศรีวิชัยองค์หนึ่ง ให้ดูตัวอย่างจากพระพุทธทักษิณมิ่งมงคลที่พุทธอุทยานเขากง จังหวัดนราธิวาส ช่างบอกว่าอย่างนั้นอีกองค์หนึ่งควรจะเป็นภาคเหนือ ก็เลยตั้งใจว่าถ้าไม่ใช่พระที่เป็นศิลปะเชียงแสนก็จะถอดแบบพุทธสิหิงค์มาเลย ส่วนตรงกลางคือพระแก้วมรกตของภาคกลางอยู่แล้ว เป็นเหนือ กลาง ใต้พอดี ถือว่าลงตัวโดยไม่เจตนา ของทุกอย่างเหมือนกับท่านเตรียมเอาไว้ เพียงแต่ว่าเมื่อไรเราจะตามทันเท่านั้นเอง”

เถรี
08-09-2016, 19:24
พระอาจารย์กล่าวว่า “รู้ไหมว่าเวลาอาตมาทำอะไรมักจะได้มากเกินต้องการ เพราะมีนิสัยทำบุญทีเดียวหมด เห็นบางท่านทำบุญแบบทำแล้วทำอีก ทำนิดทำหน่อย แสดงว่าอยู่ที่วิสัยคนจริง ๆ

ตอนนี้อาตมาชักเบื่อ เพราะเวลาได้อะไรก็ได้มากเกิน บอกกับตัวเองว่าถ้าเผลอเกิดใหม่จะเลิกทำบุญแล้ว ที่ตัวเองทำไว้เยอะเกินไปแล้ว บอกว่าจะเลิกทำ ๆ ก็เห็นยังทำไปเรื่อย ช่วงเดือนที่ผ่านมาก็ถวายร่วมสร้างจุฬามณีที่วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ไปหนึ่งล้านบาท ถวายหลวงพ่อพระราชรัตนวิมล เจ้าคณะจังหวัดที่ท่านเกษียณอายุไปห้าแสนบาท ช่วงงานฉลอง ๑๐๐ หลวงพ่อฤๅษีก็ถวายหลวงพ่อพระธรรมพุทธิมงคล ช่วยสร้างหลวงพ่ออู่ทองที่พุทธมณฑลสุพรรณบุรีไปหนึ่งล้านบาท

นั่นแหละ...ต้องบอกว่าบุญของท่าน ท่านตั้งใจทำงานใหญ่ ปรากฏว่าเกษียณอายุไปตั้งหลายปีแล้ว ได้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าคุณชั้นธรรมเฉยเลย ปกติพระเกษียณอายุตำแหน่งจะไปยากแล้ว ไม่ค่อยได้หรอก ท่านเกษียณอายุแค่ชั้นเทพ ที่พระเทพสุวรรณโมลี ปรากฏว่า ๑๒ สิงหา ๘๔ พรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนเป็นพระธรรมพุทธิมงคล ยังไม่ได้ไปแซวท่านเลยว่า "แบ่งให้ผมบ้างนะ อย่างน้อยผมก็ถวายไปเป็นล้าน"

เถรี
08-09-2016, 19:39
"ท่านบอกว่ามโนสัญเจตนา คือ ความมุ่งมั่นของใจ ทำให้คนอยู่ได้ ส่วนใหญ่คนที่เกษียณอายุแล้วก็เฉา บ้างก็ตายในเวลาอันรวดเร็ว เพราะขาดมโนสัญเจตนา ท่านก็เลยสร้างพระใหญ่ บอกว่าจะอยู่ ๑๐๘ ปี งานไม่เสร็จไม่ยอมตายหรอก

ท่านสร้างพระใหญ่เป็นปางโปรดพุทธมารดา ถ้าเสร็จแล้วยังจะสร้างปางประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน แล้วตอนนี้ก็เจาะถ้ำ เรียกว่าถ้ำอินทสาลคูหา ลักษณะว่าทำเอาไว้เพื่อใช้เป็นที่จัดประชุมคณะสงฆ์ หรือจัดงานนิทรรศการต่าง ๆ เลียนแบบถ้ำสัตบรรณคูหา ที่เขาเวภาระ ซึ่งใช้จัดสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๑ ท่านบอกว่าต้องหาเงินเดือนละสามล้านบาทไปจ่ายค่าช่าง ไม่ต้องห่วง อายุ ๘๐ กว่า ยังกระตือรือร้นมาก ให้ไปบรรยายที่ไหนไปทันที ไม่ไปไม่ได้ เดี๋ยวสตางค์ไม่เข้าวัด”

เถรี
08-09-2016, 19:51
พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของคนตาย คนจีนกับคนไทยมีประเพณีคล้ายกัน คือทำบุญให้คนตาย คราวนี้การทำบุญมีการทำบุญ ๗ วัน ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนสมัยโบราณท่านเก่งกว่าเรามากหรืออย่างไร ถึงได้รู้ว่าคนตายที่ลงไปรอการตัดสินที่ตำหนักพญายม ส่วนใหญ่ ๒ เดือนแล้วยังไม่รับการตัดสินเลย เพราะว่าเวลาต่างกันมาก เวลาของเขา ๑ วันเท่ากับของเรา ๕๐ ปี..!

ฉะนั้น...การทำบุญ ๗ วัน ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน เท่ากับทำบุญในช่วงที่เขายังไม่ได้รับการตัดสิน ถ้าโมทนาบุญได้ก็พ้นไปเลย เรื่องพวกนี้แสดงว่าโบราณทั้งจีนทั้งไทยมีความรู้เป็นอย่างดี ดีกว่าพวกเราสมัยนี้เยอะมาก เวลาไม่เกิน ๑๐๐ วันของเขานี่ ส่วนใหญ่แล้วยังไม่ทันได้ตัดสินเลย เวลาต่างกันมากจริง ๆ”

เถรี
08-09-2016, 19:54
พระอาจารย์กล่าวว่า “มีอย่างหนึ่งที่อาตมาแปลกใจก็คือ ผู้ปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ก็หวังพ้นทุกข์ แต่กลับปฏิบัติธรรมแบบคนไม่อยากพ้นทุกข์ ก็คือไม่ได้คิดจะทุ่มเทอะไรจริงจังเลย อย่าลืมว่าวันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง กิเลสกินเราทั้งหลับทั้งตื่น ทั้งยืนทั้งนั่ง เราเองอาจจะปฏิบัติธรรมเช้าสักชั่วโมงหนึ่ง เย็นสักชั่วโมงหนึ่ง แล้วพอที่จะสู้กับกิเลสไหม ?

ลองทบทวนกันดี ๆ ว่าทุกวันนี้ที่เราทำอยู่เพียงพอที่จะปฏิบัติแล้วหลุดพ้นหรือไม่ ? ไม่ใช่ทำตัวเหมือนมีเวลาว่าง ทำตัวเหมือนคนมีเวลามาก ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป ไม่ได้คิดจะทุ่มเทอะไรจริงจัง ลักษณะอย่างนั้นถ้าเราเกิดเป็นอะไรตายเสียก่อน จะกลายเป็นว่าเสียชาติเกิด

ครูบาอาจารย์ก็ล่วงลับดับขันธ์ไปทีละองค์สององค์ เรายังจะรออีกนานเท่าไร ? เพื่อจุดมุ่งหมายนี้ เราตะเกียกตะกายทุกข์ยากมากี่ชาติแล้ว แล้วถ้าหากเรายังทำตัวอย่างนี้อยู่ รู้ไหมว่าเราต้องตะเกียกตะกายทุกข์ยากไปอีกกี่ชาติ...!”

เถรี
08-09-2016, 20:02
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงเดือนที่ผ่านมาทางคณะสงฆ์มีงานเยอะมากเป็นพิเศษ เพราะช่วงเข้าพรรษาใหม่ ๆ ก็มีการปฏิบัติธรรมของพระนวกะ หลังจากนั้นก็ต้องมีการเรียนการสอนทั้งนักธรรมและบาลี คราวนี้ที่หนักกว่านั้นก็คือโครงการหมู่บ้านศีล ๕ ระยะที่ ๓ ซึ่งโครงการหมู่บ้านศีล ๕ ระยะที่ ๓ นี้เน้นคุณภาพ ก่อนหน้านี้ระยะที่ ๑ อยู่ในลักษณะของการประชาสัมพันธ์ แล้วระยะที่ ๒ ก็ให้คนสมัครเข้าโครงการ แต่พอระยะที่ ๓ นี้มีการจัดกิจกรรม

คราวนี้แต่ละตำบลปกครองคณะสงฆ์ก็ต้องรับภาระหนัก เพราะนอกจากงานของตนเองที่ต้องทำแล้ว ยังต้องควบคุมลูกคณะทำงานให้เข้าถึงประชาชนด้วย กิจกรรมที่เขากำหนดมาทั้งหมดมีอยู่ ๒๐ กว่าหัวข้อด้วยกัน มีกระทั่งปล่อยนกปล่อยปลา เพราะเขาถือว่าสนับสนุนการรักษาศีลข้อที่ ๑ ก็คือนอกจากงดเว้นจากการฆ่าสัตว์แล้ว ยังมีเมตตาไปปล่อยชีวิตเขาด้วย ฉะนั้น...ศีลทุกข้อจะมีสิ่งรองรับทั้งหมด"

เถรี
08-09-2016, 20:05
"แต่ปรากฏว่าศีลข้อที่ ๔ ก็คือ เรื่องของการเว้นจากการโกหก ไม่มีอะไรให้รองรับเป็นรูปธรรม ปรากฏว่าเด็กทองผาภูมิทำได้ ได้รางวัลที่หนึ่งระดับประเทศเลย เด็กทองผาภูมิวาดการ์ตูนในลักษณะเล่านิทาน โดยเฉพาะพวกเรื่องนกมีหูหนูมีปีก เมื่อโกหกแล้วเป็นโทษอย่างไรประมาณนั้น

ปรากฏว่าหลวงพ่อสมเด็จพระมหาราชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ท่านชอบใจมาก ให้รางวัลไป ๒ คันรถ สำหรับเด็กต่างจังหวัดไกล ๆ โครงการอาหารกลางวันบกพร่องอยู่ตลอด เพราะว่าส่วนใหญ่ก็เป็นต่างด้าว ไม่มีหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน จึงไม่มีค่าหัวให้ เท่ากับว่าต้องมานั่งดูเด็กไทยกินข้าวกลางวัน ท่านก็เลยให้เสบียงไป ๒ คันรถ

เมื่อวันที่ ๒๖ ที่ผ่านมา ก็เข้ามารับรางวัลกับท่านในงานวันเกิดที่วัดปากน้ำ สรุปว่าเด็กทองผาภูมิเก่งที่สุด ทำสิ่งที่มองไม่เห็นให้เป็นรูปธรรมได้ แล้วการจัดนิทรรศการของทองผาภูมิก็ได้อันดับหนึ่งของภาค เพราะว่าเขาทำเป็นเรือนกะเหรี่ยง นึกออกไหม ? ที่เอาไม้ไผ่มาผ่าคว่ำอันหงายอัน มุงเป็นกระเบื้อง วัสดุอุปกรณ์ก็ไม่ได้มากเลย แต่ทำออกมาแล้วดี ก็มีการผูกข้อมือรับขวัญกินข้าวใหม่อะไรกัน แสดงให้เห็นว่าถ้าหากว่าอยู่ในศีลกินในธรรมจะอยู่ง่ายกินง่าย มีความสุขแบบพอสมควรกับอัตภาพ จึงเป็นที่ชอบใจ จนกระทั่งได้รับการตั้งเป็นกรรมการบริหารโครงการหมู่บ้านศีล ๕ ด้วย ทั้งที่ระดับตำบลไม่มีทางได้เป็น ส่วนใหญ่เขาเป็นกันระดับจังหวัดขึ้นไป"

เถรี
08-09-2016, 20:07
"คราวนี้พอขอให้ทางทองผาภูมิส่งตัวแทนไปเป็นคณะกรรมการ พวกเราก็ส่งเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะอำเภอท่านบอกว่าไม่ใช่ผลงานของท่าน เป็นผลงานของหลวงพ่ออำนวย (พระครูเกษมกาญจนกิจ เจ้าคณะตำบลลิ่นถิ่น เขต ๒) เพราะท่านเป็นกะเหรี่ยง มีญาติโยมกะเหรี่ยงนับถือมาก ต้องการอะไรขอให้บอก ก็เลยส่งหลวงพ่อพระครูเกษมกาญจนกิจไป

ท่านก็บ่นใหญ่ “เอาอาจารย์เล็กไปก็หมดเรื่องแล้ว ทำไมต้องให้ผมไปด้วย ผมพูดไม่เป็น” อาตมาบอกว่า “ไม่ต้องพูดครับหลวงพ่อ ถึงเวลาทำอย่างเดียว ถ้าจะให้พูดเมื่อไรแล้วบอก เดี๋ยวผมจะไปช่วยพูดให้” ผลงานเป็นของท่าน ก็ให้ท่านเป็น จะได้มีชื่อเสียงอยู่ในโครงการ อย่างน้อย ๆ ก็เป็นเกียรติเป็นศรีแก่ตนเอง"

เถรี
08-09-2016, 20:09
"ที่แน่ ๆ ก็คือทำให้เห็นว่า คนกะเหรี่ยงจริง ๆ อยู่กับศีลกินกับธรรมมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว โดยเฉพาะโครงการหมู่บ้านศีล ๕ พื้นฐานมาจากหมู่บ้านกะเหรี่ยงของหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ ที่เขาถือศีล ๕ แล้วกินเจกันทั้งหมู่บ้าน

โครงการหมู่บ้านศีล ๕ จริง ๆ ต้นแบบ คือ หลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม สมัยโน้นเขาอพยพบรรดากะเหรี่ยงออกจากอุทยาน เรื่องนี้เป็นเรื่องกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาอยู่กันมาเป็นหลายร้อยปี ทางราชการไปประกาศเป็นอุทยานแล้วก็ไปไล่คนออก พอไปไล่คนออกหลวงปู่ท่านเป็นที่เขาเคารพนับถือ ก็ต้องเข้าไปช่วยบริหารจัดการ ไปดูแลใกล้ชิด ปลอบใจ ให้คำแนะนำในการประพฤติปฏิบัติทุกอย่าง

จากหมู่บ้านที่แห้งแล้งหากินไม่ได้เลย เพราะว่าข้างใต้เป็นศิลาแลง หลวงปู่ท่านก็สอนให้เขาขุดศิลาแลงขึ้นมาขาย ค่าแรงวันละ ๒๐ บาทสมัยโน้น พอตกค่ำก็สวดมนต์ภาวนากัน กะเหรี่ยงภาวนาเร็วมาก เราตามไม่ทันหรอก เขาพุทโธ ๆ ๆ คราวนี้เขาขยันภาวนา ขยันนับลูกประคำ แต่ละคนนี่ประคำใสกิ๊งเลย เราคนกรุงเทพฯ ไปเห็นแล้วชอบใจ ขอซื้อ ๒๐ บาทขายไหม ? ไม่ขาย ค่าแรงวันหนึ่งเลยนะ ๓๐ บาท...ไม่ขาย ๔๐ บาท...ไม่ขาย ๕๐ บาท...ไม่ขาย ๖๐ บาท...ไม่ขาย ๗๐ บาท...ไม่ขาย พอ ๘๐ บาท เอ้า...ขายก็ได้ ค่าแรงตั้ง ๔ วันแน่ะ..!"

เถรี
10-09-2016, 16:03
"ก่อนหน้านี้ตอนที่หลวงปู่ครูบาไชยวงศ์เอาประคำมาถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงครั้งแรก ประมาณปี ๒๕๑๘ หลวงพ่อท่านเสกเสร็จแล้วก็วางจำหน่าย พวกเรากราบเรียนถามว่า “หลวงพ่อครับ ตั้งราคาประคำเท่าไรดีครับ ? ” “ตอนพวกเอ็งซื้อเขา ซื้อมาเท่าไร ?” “แปดสิบบาทครับ” ท่านบอก “เออ...นั่นแหละ เอาราคานั้น” จัดเป็นวัตถุมงคลที่ราคาแพงที่สุดในยุคนั้น เพราะวัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดท่าซุงราคา ๑๐ บาท ๒๐ บาทยืนพื้น ท่านบอกว่าก็ในเมื่อกะเหรี่ยงเขายอมขายราคานี้ ก็เอาราคานี้ ก็เลยเรียกว่าประคำราคากะเหรี่ยงตั้ง

ด้วยความที่บรรดากะเหรี่ยงเขาเคารพเชื่อฟังครูบาไชยวงศ์ ถึงลำบากก็อดทนสู้ แห้งแล้งขนาดไหนก็สู้ หางานทำไปเรื่อย ในที่สุดก็ค่อย ๆ เจริญขึ้นมา กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว มีผ้าทอมือ มีย่ามทอมือ เหมือนกับสินค้า OTOP สมัยนี้ ก็ทำให้หมู่บ้านเจริญขึ้นมา

ในบริเวณวัดนั้นเจ้าที่วัดเขาขอกับหลวงปู่ไว้ว่า ขอให้ทุกคนอย่านำเนื้อสัตว์เข้ามา ในระยะรัศมี ๒ กิโลเมตรห้ามนำเนื้อสัตว์เข้าไป คราวนี้พระวัดท่าซุงรุ่นยุคเก่า ๆ เวลาไปฝึกกรรมฐานกับหลวงปู่ ก็ไปเจอ "อาหารเจกะเหรี่ยง" แบบหลวงปู่ ก็คือไม่ใช่อาหารมังสวิรัติแบบกรุงเทพฯ อย่างที่พวกเรารู้จัก แต่เป็นผักเป็นหญ้าจริง ๆ ประเภทกินกันเป็นวัวเป็นควายเลย ท่านทนไม่ไหว โน่น... เดินออกไปจนพ้นเขต ๒ กิโลเมตร เอาสตางค์ไปฝากชาวบ้านไว้ บอกว่าช่วยหาหมูแดดเดียวทอดให้หน่อย พรุ่งนี้จะมาบิณฑบาต นี่คือพระวัดท่าซุงสมัยนั้น สรุปก็คือต้องฉันให้เสร็จแล้วค่อยกลับเข้าวัดไป"

เถรี
10-09-2016, 16:07
"จนกระทั่งปัจจุบันพอเขาตั้งหลักปักฐานกันได้ หลวงปู่ไปอยู่ลูกศิษย์ลูกหาก็ไปกันมาก โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ บรรดาสินค้าต่าง ๆ ก็ขายได้ อาหารขายได้ ที่พักขายได้ สารพัดความเจริญเข้ามา หน่วยงานต่าง ๆ ก็ขยับตัวเข้าไปเอาความดีความชอบ ไม่ได้ขยับเข้าไปช่วยนะ ถ้าช่วยต้องช่วยตั้งแต่แรก นี่หลวงปู่ช่วยจนเขายืนหยัดกันได้แล้ว พวกนี้ถึงมา

แบบเดียวกับสมัยที่อยู่วัดท่าซุง อาตมาขอให้พวกประมงจังหวัดมาช่วยปักป้ายเขตอภัยทานหน้าวัดให้หน่อย เพราะว่ามีคนมาจับปลาเป็นประจำ ขอเท่าไรป้ายก็ไม่มา อาตมาต้องลงไปฟัดกับชาวบ้านอยู่ ๓ ปีเต็ม ๆ จนกระทั่งได้วังมัจฉาหน้าวัดท่าซุงขึ้นมา พวกนั้นดันซวยโผล่มากลางงานศพหลวงพ่อวัดท่าซุง มาถึงมาถามหา “หลวงพี่เล็กท่านไหนครับ ? ผมมาจากประมงจังหวัด” อาตมาชี้มือไปที่ทางออก “ประตูอยู่ด้านโน้น..กลับหลังหันแล้วมึงเดินออกไปเลย..! กูขอมาตั้ง ๓ ปี รบกับชาวบ้านแทบเป็นแทบตาย มึงไม่เคยคิดจะมาช่วย ตอนนี้พอมีวังมัจฉาขึ้นมาเป็นแหล่งเที่ยว มึงก็จะมาชุบมือเปิบเอาผลงาน” เจ้านั่นเดินเหี่ยวไปเลย"

เถรี
10-09-2016, 16:11
"ส่วนใหญ่แล้วรัฐบาลเป็นอย่างนี้ ก็คือคอยจังหวะเหมือนอีแร้ง รอให้มีเหยื่อแล้วก็ลงมากิน ตอนให้ไปล่าเองไม่ล่าหรอก เพราะฉะนั้น...ใครเป็นข้าราชการโปรดอย่าทำตัวเป็นอีแร้งแบบนี้ อาตมาไม่ชอบเป็นที่สุดเลย ประเภทเช้าชามเย็นกะละมังนั่นเลิกได้แล้ว สงสารในหลวงบ้าง ในหลวงทำงานมา ๗๐ ปี ทำงานจนกระทั่งนอนโรงพยาบาลยาวมาแล้ว เราได้ชื่อว่าข้าราชการ คือผู้ที่สนองงานพระราชา กระทำการงานเพื่อท่าน แต่กลับทำเพื่อตนเองเสียหมด

อีกส่วนหนึ่งที่เห็นชัด ๆ เลย ก็คือ วัดหลวงพ่ออุตตะมะ หลวงพ่ออุตตะมะท่านตั้งวัดอยู่ พวกมอญ พวกกะเหรี่ยงอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ปรากฏว่าทางราชการไปสร้างเขื่อน น้ำท่วมทั้งหมู่บ้าน ๔-๕ หมู่บ้าน ท้ายสุดก็ต้องโยกย้ายกันออกไป มอบที่ดินให้ก็ไม่เหมาะที่จะทำกิน เพราะเป็นที่ภูเขาสูง ๆ ต่ำ ๆ จะไปทำอะไรได้ หุงข้าวตั้งไว้หม้อก็กลิ้งไปอยู่ตีนเขาโน่น..!

หลวงพ่ออุตตะมะก็ลักษณะเดียวกัน ก็คือไปปลอบโยนพวกมอญพวกกะเหรี่ยงว่า พวกเรามาตั้งตัวกันใหม่ได้ ท่านก็แบ่งปันที่ที่เขาปันเอาไว้ให้ ถ้าใครคิดว่าอยู่แล้วลำบากก็ไปหาที่ของตัวเองใหม่ แต่ถ้าคิดจะสู้อยู่ร่วมกันก็รับเอาพื้นที่นี้ไป แล้วก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ จนกระทั่งในที่สุดสังขละบุรีก็เจริญขึ้นมา วัดวาอารามจมอยู่ในน้ำ ท่านก็มาสร้างใหม่ข้างบน แล้วทุกวันนี้เขาก็อยู่ร่วมกันได้ทั้งหมด ทั้งกะเหรี่ยง ทั้งพม่า หลังจากนั้นท่านอาจารย์พระมหาสุชาติก็สืบทอดปฏิปทาหลวงพ่ออุตตะมะต่อมา

สรุปแล้วในเรื่องของหมู่บ้านศีล ๕ ถ้าไม่ดูมอญก็ต้องดูกะเหรี่ยง คนไทยเราหาตัวอย่างไม่ได้...น่าอายมาก..! คราวนี้โครงการพวกนี้ประดังมา ช่วงที่ผ่านมาอาตมาก็เลยแทบจะไม่มีเวลาหายใจ กระทั่งมากรุงเทพฯ ยังลืมบอก ต้องให้ลูกเจนนี่มาทวงถาม"

เถรี
10-09-2016, 16:13
ถาม : ทำไมเด็กถึงมีแรงเยอะคะ ?
ตอบ : คนจีนเขาแบ่งกำลังออกเป็นแรกธรรมชาติกับหลังกำเนิด ไอ้นี่ ...(ชี้ที่เด็ก)... คือพลังงานหลังกำเนิด แต่ส่วนใหญ่พอโตขึ้นมาแล้ว ตัวปรุงแต่งไปจำกัดส่วนนั้นเสีย ความปรุงแต่งจะทำให้เรารู้สึกว่าไม่ไหว ไม่ได้ น่ากลัว สูงเกินไป ต่ำเกินไป แต่เด็กเขาไม่มี เขาไม่รู้ตรงนี้

ถาม : ที่จริง เราก็เลียนแบบเด็กได้ ?
ตอบ : ได้...ก็คือเขาไม่รู้ พอไม่รู้ก็ไม่ปรุงแต่ง

แรกธรรมชาติอยู่ในท้อง หายใจทางท้อง คราวนี้พอคลอดออกมาแล้วก็มาหายใจทางจมูก แต่ก็ยังสามารถหายใจทางท้องได้ แต่ต้องฝึกกันใหม่ อย่างเด็ก ๆ จับปลาไหลห้อยต่องแต่งอยู่หมัดเลย ผู้ใหญ่จับไม่อยู่ เคยมีตอนอยู่วัดท่าซุง อาตมาก็ซื้อปลาไปปล่อย ซื้อปลาไหลมาถังหนึ่ง ปลาไหลเลื้อยขึ้นมา เด็กตัวเล็ก ๆ คว้าหัวหิ้วขึ้นมา แม่ร้องกรี๊ดลั่นรถสองแถว เด็กเขาก็ไม่รู้เรื่องว่าปลาไหลนั้นลื่น เขาก็แค่กำมือไว้

เถรี
10-09-2016, 16:24
พระอาจารย์กล่าวว่า "ป้าจี๋จองควายธนูไป ได้ลองหาข้อมูลบ้างไหม ? ถ้าควายธนูต้องหลวงปู่จันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ ถ้าวัวธนูดังที่สุดต้องหลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง แล้วก็หลวงปู่คำแสน วัดสวนดอก ส่วนใหญ่แล้วต้องใช้วัตถุอาถรรพ์ พวกที่ปั้นขึ้นมาจากดิน ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นดิน ๗ ป่าช้า แต่ถ้าสานขึ้นมา ถ้าใช้ไม้ไผ่ต้องเป็นไม้ไผ่ที่ล้มขวางทางเดิน แล้วถ้ายิ่งเป็นทางช้างเดินยิ่งดี ไม้ไผ่ล้มขวางทาง ตัดมาสานหยาบ ๆ ก็พอ ตอนปลุกขึ้นมาก็กลายเป็นวัวเป็นควายทั้งตัว หรือไม่ก็บางคนใช้สายสิญจน์จูงผี หรือสีผึ้งปิดหน้าผี แต่ต้องตายวันเสาร์ เผาวันอังคารเท่านั้น

มีของหลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง ที่มีวัวธนูแกะจากเขากระทิงด้วย เพราะวัวธนูที่ใช้ครั่งพุทรานั้นหายาก ก็ต้องเอาครั่งจากกิ่งพุทราที่ยื่นไปทางทิศตะวันออกเท่านั้น แกะด้วยเขากระทิงยังหาง่ายกว่า ส่วนควายธนูของหลวงปู่จันทร์ส่วนใหญ่เป็นดินอาถรรพ์

ครูบาอาจารย์เก่ง ๆ มีเยอะ แล้วที่อัศจรรย์ก็คือฆราวาสเก่ง ๆ ก็มีเยอะมาก แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วก็ถ่ายทอดกันในตระกูล ถ้าคนไหนรู้ไปก็อ้อนวอนกันแล้วอ้อนวอนกันอีก ต้องให้ดูพฤติกรรมกันเป็นปี ๆ พอเห็นว่าไม่เอาวิชาไปใช้ในทางที่ผิด มั่นใจแล้วท่านถึงจะยอมถ่ายทอดให้"

เถรี
10-09-2016, 16:26
ถาม : คนที่รู้จักกัน บ้านเขาก็มีวิชารักษาโรค แล้วก็ถ่ายทอดกันเฉพาะลูกหลาน เหมือนคนในบ้านจะมีความเชื่อว่า ถ้าไม่ใช่ลูกหลานแล้วจะสอนไม่ได้ ไม่เชื่อฟังกัน หรือฟังกันไม่เข้าใจ ?
ตอบ : ตรงนั้นก็เป็นส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็คือความหวงวิชา อยากให้เก็บไว้ในตระกูลตัวเอง หลายรายก็ปิดบังวิชาทีเด็ดเอาไว้ กลัวว่าจะไปเจอลูกศิษย์คิดล้างครูเข้า คราวนี้ปิดไปปิดมาก็ตายไปกับตัว

เถรี
11-09-2016, 12:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีผู้ส่งจดหมายน้อยมาถามว่า ผมเป็นลูกศิษย์พระศรีวิสุทธิโมลี (ชุบ มหาวีโร) ท่านป่วยด้วยโรคมะเร็งปอด มรณภาพเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม วันนี้จะมีงานพระราชทานเพลิงศพที่วัดสระเกศ ผมติดตามกระทู้เก็บตกที่บ้านวิริยบารมี ท่านเคยพูดถึงสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม มรณภาพแล้วไปได้สวย สมกับเป็นศิษย์หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ผมอยากเรียนถามว่าท่านเจ้าคุณชุบคติไปได้สวยเหมือนสมเด็จฯ วัดชนะสงครามหรือไม่ครับ ?

คำถามนี้ต้องแบ่งเป็นหลายประเด็นด้วยกัน ประการที่หนึ่ง...หลวงพ่อวัดท่าซุงสั่งห้ามอาตมาว่า ใครถามว่าคนตายไปไหนห้ามบอก ประการที่สอง...อาตมาไม่ได้ไปงานศพของหลวงพ่อเจ้าคุณชุบ ก็เลยไม่สามารถที่จะสัมผัสได้ว่าท่านตายแล้วไปไหน สวยหรือไม่สวย จาก ๒ ประการที่ว่ามา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้..!

หลวงพ่อเจ้าคุณชุบ อาตมาเรียกท่านว่าหลวงพี่ชุบมาตั้งแต่ต้น เรียกจนเปลี่ยนไม่ได้ สมัยโน้นหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมีมือวิ่งทำงานในกรุงเทพฯ ให้ท่านอยู่ ๓ ท่านด้วยกัน คือพระมหาชุบ วัดเลียบ พระมหาวิจิตร วัดภาวนา กับพระมหาดำ วัดขี้เหล็ก ประมาณปี ๒๕๒๖ หลวงพี่ชุบของอาตมาได้รับพระราชทานตั้งเป็นพระราชาชั้นสามัญที่พระศรีวิสุทธิโมลี อาตมาก็ไปแหย่ท่านเล่นกันว่า

“หลวงพี่ครับ ทำไมติดนายพลก่อนรุ่น ?” คือในรุ่นท่านยังไม่มีใครขึ้นเลยสักคน หลวงพี่ชุบของอาตมาท่านก็ตอบเสียงดังฟังชัดตามสไตล์ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงว่า “กูก็ไม่ได้อยากเป็นหรอก แต่มันเสือกวิ่งเต้นกันกู กูเลยทำให้มันรู้ว่า คนอย่างกูถ้าจะเอาแล้วต้องได้..!” จบ...เพราะฉะนั้นอย่าวิ่งเต้นกันอาตมานะ เดี๋ยวจะของขึ้นเหมือนหลวงพี่ชุบ..!"

เถรี
11-09-2016, 12:38
"ตอนหลังหลวงพี่ชุบควรจะได้เป็นเจ้าอาวาสวัดเลียบ แต่ปรากฏว่าไม่ได้เป็น ก็เลยไปอยู่ป่าดีกว่า แม้ตอนหลังหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงคราม จะขอให้ท่านมาเป็นเจ้าอาวาสวัดราชคฤห์วรวิหาร ท่านบอกว่าคนอย่างท่านคิดทีเดียว ทำทีเดียว เรื่องอะไรที่หันหลังแล้วไม่ย้อนคืนมาอีก ท่านก็เลยไปอยู่คลองสะท้อนที่นครราชสีมา อยู่น่าจะถึง ๓๐ ปี พวกอาตมาก็แวะไปเยี่ยมไปยามท่านบ้างเหมือนกัน

แต่อาจจะเป็นเพราะว่าท่านอยู่ป่าจนเบื่อความวุ่นวายทางในเมืองแล้ว เมื่อพวกเรานิมนต์มางาน ท่านก็มักจะไม่ได้มา เมื่อไม่นานนี้ท่านก็เข้าโรงพยาบาล พวกอาตมาเห็นแล้วใจคอไม่ดี เพราะว่าท่านผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ท้ายสุดก็เป็นเหมือนกับผู้เป็นมะเร็งทั่วไป ก็คือ หมดสภาพแล้วก็มรณภาพไป

บุคคลที่ไปเยี่ยมมากที่สุดก็คือหลวงพ่อพระเทพมหาเจติยาจารย์ หรือหลวงพ่อเจ้าคุณชัยวัฒน์ เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม หลวงพ่อเจ้าคุณชัยวัฒน์ติดอยู่ที่ตำแหน่งพระศรีรัตนมุนี ๒๓ ปี หลวงพ่อเจ้าคุณท่านก็ไม่ดิ้นไม่รน ไม่ขอ ให้ก็รับ ไม่ให้ก็ไม่เอา จนกระทั่งเพื่อนร่วมรุ่นอีกท่านหนึ่งก็คือ สมเด็จพระวันรัต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศน์วิหารปัจจุบันนี้ ขึ้นเป็นพระพรหมมุนีแล้ว ก็นึกถึงเพื่อนว่าติดอยู่นานเหลือเกิน จึงช่วยขอเลื่อนเป็นพระราชรัตนมุนี ปัจจุบันท่านเป็นพระเทพมหาเจติยาจารย์

เราจะได้เห็นว่าจริง ๆ แล้วพระที่มาทางสายปฏิบัติ เรื่องของยศของตำแหน่งจะอยู่ในลักษณะที่ว่า "ให้ก็รับไว้ ไม่ให้ก็ไม่ไขว่คว้า" บรรดาท่านประเภทนี้ก็มักจะไม่ได้รับความนิยมจากผู้บังคับบัญชาเท่าไร เพราะว่าประจบใครไม่เป็น อย่าลืมว่าหลวงพ่อสมเด็จพระวันรัตท่านเป็นสมเด็จพระราชคณะแล้ว หลวงพี่ชุบของอาตมาที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่น ยังเป็นเจ้าคุณชั้นสามัญอยู่ตามปกติของท่านนั่นแหละ เพราะว่าท่านไม่เอายศเอาตำแหน่งอะไร"

เถรี
11-09-2016, 12:46
"สมัยก่อนที่วิ่งเต้นให้กับหลวงพ่อวัดท่าซุง โดยเฉพาะในส่วนที่หลวงพ่อท่านโดนใส่ความจากทางฝ่ายปกครองจังหวัดอุทัยธานี ซึ่งไม่ชอบใจที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านดังเกินหน้าเกินตา แล้วผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ ให้ความเมตตา โดยเฉพาะหลวงพ่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์วัดสามพระยา

พวกนั้นก็หาเรื่องใส่ความบ้าง ให้คนฟ้องร้องบ้าง ก็ได้หลวงพี่ชุบ หลวงพี่วิจิตร แล้วก็หลวงพี่ดำช่วยกันวิ่งเต้นให้อยู่ หลวงพี่วิจิตรชิงมรณภาพไปก่อน ตามด้วยหลวงพี่ชุบ ตอนนี้เหลือแต่หลวงพี่ดำ เป็นเจ้าคุณโสภณธรรมเมธี พวกเรารุ่นหลัง ๆ มักจะไม่ค่อยรู้จักกัน แต่ว่าท่านก็รับนิมนต์ไปที่วัดเขาวงอยู่หลายครั้ง เวลาพุทธาภิเษกก็ไปกราบท่าน ท่านก็มองหน้า "เฮ้ย...คุ้น ๆ ว่ะ" ก็คุยความหลังกันสนุกสนาน

แต่ต้องบอกว่าเสียดายหลวงพี่มหาดำ ท่านก็อยู่ในลักษณะเป็นลูกน้องใหญ่เกินหน้าเกินตาเจ้านาย เลยไปต่อไม่ได้ เนื่องจากสมัยก่อนมีค่านิยมว่า เรื่องยศของตำแหน่งจะใหญ่เกินผู้บังคับบัญชาไม่ได้ สมัยก่อนหลวงปู่เจ้าคุณพุฒิ (พระราชอุทัยกวี วัดทุ่งแก้ว) ท่านติดอยู่ที่เจ้าคุณชั้นราช ๔๐ กว่าปี เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าเจ้าคณะภาคเป็นแค่ชั้นเทพ หลวงปู่ก็เลยขึ้นไม่ได้ ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ค่านิยมเริ่มเปลี่ยน ถ้าลูกน้องเก่งสามารถแซงหน้าเจ้านายได้

ใครที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง อยากจะทราบปฏิปทาลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงที่เป็นพระภิกษุรุ่นเก่า ๆ ซึ่งแม้จะไม่ได้อยู่ในวัดท่าซุง ว่ามีปฏิปทาการทำงานปฏิบัติงานอย่างไร ก็ไปกราบหลวงพ่อเจ้าคุณดำได้ที่วัดสุวรรณคีรีหรือวัดขี้เหล็ก ไม่ใกล้ไม่ไกล อยู่แค่บางกอกน้อยนี่เอง"

เถรี
11-09-2016, 12:49
"ญาติโยมบางคนที่สงสัยว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงสั่งอาตมาห้ามบอกญาติโยมที่ถามว่าคนตายแล้วไปไหน เพราะท่านบอกว่าบอกไปแล้วมีแต่เสมอตัวกับขาดทุน ไม่มีกำไร เนื่องจากว่าสมัยก่อนอาตมามักจะบอกเขาบ่อย อาตมากราบเรียนถามเหตุผลหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้ว ท่านบอกว่า

“ถ้าคนทำดีมาทั้งชีวิต แต่ถึงเวลาก่อนตายใจเศร้าหมองแล้วลงนรก แกคิดว่าลูกหลานเขาจะมีอารมณ์ทำความดีไหม ? แล้วถ้าคนทำชั่วมาทั้งชีวิต ก่อนตายคิดถึงความดีได้ไปสวรรค์ คนก็ทำชั่วกันบรรลัยหมด..!”

ในเมื่อเป็นคำสั่งของหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาก็ไม่เคยละเมิดคำสั่งนั้น แล้วท่านอาจจะสงสัยต่อไปว่าแล้วทำไมเรื่องของหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงคราม อาตมาถึงบอก ที่บอกเพราะโยมไม่ได้ถาม..! ก็ท่านสั่งว่าใครถามห้ามบอก อาตมาก็ไม่ได้ตั้งใจจะบอกกล่าวอะไรหรอก แค่เจออะไรก็เอามาเล่าให้ฟัง...! คราวนี้โยมถามมาเลยบอกไม่ได้ ถ้าไม่ถามอาจจะบอกไปแล้ว

เรื่องของครูบาอาจารย์ท่านสั่งอย่างไรต้องทำอย่างนั้น ฉะนั้น... ๒ เรื่องที่ท่านสั่งไว้เพราะอาตมาเฮี้ยนไปหน่อย ก็คือ ห้ามให้หวย กับห้ามบอกว่าคนตายแล้วไปไหน จึงต้องทำตามที่ท่านสั่ง ทำให้หนทางทำกินหายไปเยอะเลย ไม่อย่างนั้นให้หวยสัก ๒-๓ งวดก็ไม่ต้องเสียเวลามานั่งรับสังฆทานหรอก จะเอาสตางค์สร้างวัดเท่าไรก็ได้"

เถรี
11-09-2016, 12:52
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีท่านใดจะส่งเสริมงานของสมาพันธ์ปกป้องคุ้มครองพุทธศาสนา ก็ซื้อหนังสือที่ตั้งไว้ข้าง ๆ อาตมานี่ อาตมาเป็นที่ปรึกษาสมาพันธ์เขาอยู่ หาทุนให้เขา เดี๋ยวนี้จะรอให้พระคุ้มครองอย่างเดียวไม่ได้แล้ว เราต้องคุ้มครองพระบ้าง

ลองอ่านดูจะได้รู้ว่าสถานการณ์พุทธศาสนาเราในปัจจุบันย่ำแย่ขนาดไหน ศาสนาอื่นส่วนใหญ่แล้วเขาชิงออกเป็นกฎหมายแล้วได้รับการสนับสนุน ของเราจะออกกฎหมายทีไรโดนเตะสกัดสุดชีวิต ก็เลยไม่สามารถที่จะแก้ไขอะไร

ตอนนี้สิ่งที่พวกเรารออยู่ก็คือคนที่สนับสนุน ถ้ามีโอกาสเลือกตั้งก็ได้แต่หวังว่าเขาจะได้รับเลือกเข้าไปทำหน้าที่ให้ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ต้องบอกว่า คนทำงานด้านพุทธศาสนาชื่อเสียงไม่เพียงพอ เพราะมักจะเป็นคนดีเกินไป ในเมื่อเป็นคนดีเกินไป ไม่ซื้อเสียง ไม่โจมตีคนอื่น ก็กลายเป็นว่าชาวบ้านส่วนใหญ่เขาก็ไม่เลือก"

เถรี
11-09-2016, 12:58
พระอาจารย์กล่าวว่า “เดี๋ยวออกพรรษาแล้วอาตมาจะทำงานใหญ่ งานใหญ่นี่ไม่ใช่งานอะไรหรอก งานเอาวัตถุมงคลของครูบาอาจารย์มาหลอม ก็ตั้งใจว่าจะทำ "ไม้ถือ" กับ "บาตรน้ำมนต์"

คราวนี้มีวัตถุมงคลของครูบาอาจารย์ที่สามารถหลอมได้ ก็คือ พวกมีดหมอ มีดตั้งแต่สมัยหลวงปู่รุ่ง หลวงพ่อเดิมลงมา หลวงพ่อกวย หลวงพ่อแจ่ม หลวงพ่อบุญมี และอีกมากมายเยอะแยะ หรือไม่ก็ยุคเก่ากว่านั้นก็ หลวงปู่บุญ หลวงปู่ยิ้ม หลวงปู่ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ ต้องบอกว่าสำนักไหนมีชื่อเสียงก็ใส่ไป อย่างน้อยก็ชิ้นหนึ่ง ถ้าสำนักไหนมีมาก ๆ อย่างหลวงพ่อกวยก็อาจจะลงไปถึง ๘ เล่ม ๑๐ เล่ม

แต่ก่อนที่จะทำอย่างนั้นก็ต้องทำพิธีขอขมาก่อน จึงกลายเป็นงานใหญ่ ไปนึกถึงว่าวัตถุมงคลแต่ละชิ้นราคาสูงมาก ถึงเวลาทำออกมาเสร็จเรียบร้อย ญาติโยมจะมีปัญญาบูชากันไหม ?”

เถรี
11-09-2016, 13:11
พระอาจารย์กล่าวว่า “วันก่อนมีญาติโยมท่านหนึ่งบอกว่า มีอาการเหมือนกับถูกของมานานแล้ว ช่วยแก้ไขให้หน่อย อาตมาก็บอกว่าให้ไปหาหมอ บอกหมอว่าแก่แล้วฮอร์โมนพร่อง ช่วยจัดยาให้หน่อย เขาไม่รู้ตัวว่าเป็นวัยทอง อยู่ในวัยร่ำวัยรวยแท้ ๆ

บางคนอาการวัยทองจะมีอาการแปลก ๆ ก็เลยคิดว่าไปโดนไสยศาสตร์มา อาตมาเป็นตอนอายุ ๕๕ ปี นอน ๆ อยู่เหงื่อแตกท่วมตัวเลย ไปหาหมอ เขาบอกว่าไม่มีอะไรครับ เป็นวัยทอง เลยสงสัยว่าผู้ชายเป็นวัยทองด้วยหรือ ? เขาบอกว่าเป็นครับ พอหลัง ๓๕ ก็เริ่มเป็น เพียงแต่ว่าของพระอาจารย์ทำไมมาช้านัก มาตอนอายุ ๕๕ ปี แสดงว่าอาตมาทำบุญไว้น้อยเลยรวยช้า คนอื่นเขาวัยทองกัน ๓๕-๔๐ ปี อาตมาเป็นตอน ๕๕ ปี

ช่วงวัยทองนับเป็นวัยวิกฤตชีวิต ถ้ามีลูกมีหลานก็กำลังวัยรุ่นเลย กำลังฮอร์โมนเกิน ส่วนคนพ่อแม่หรือพี่ป้าน้าอาก็กำลังฮอร์โมนพร่อง ทะเลาะกันบ้านแตกทุกรายแหละ คนหนึ่งเกินคนหนึ่งขาด ไม่มีพอดีสักราย ฉะนั้น...ต้องปฏิบัติธรรมเพื่อให้มีสติ จะได้รู้ยับยั้งชั่งใจตนเอง ไม่อย่างนั้นอยู่ ๆ ได้ทะเลาะกันบ้านแตกสาแหรกขาดไม่รู้ตัว"

เถรี
16-09-2016, 21:36
ถาม : การที่ผมยกชุดสังฆทานมาถวายหลาย ๆ ชุดโดยให้คนนั้นคนนี้ทีละชุด กับถวายทีเดียว มีผลต่างกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ต่างกันที่ง่ายกว่าหรือยากกว่าเท่านั้นเอง เมื่อเราทำบุญ บุญนั้นเป็นของเรา จะให้ใครก็อยู่ที่เราตั้งใจอุทิศให้ บุญไม่ได้มีการแยกเป็นส่วน ๆ ว่า ทำแล้วส่วนนี้ให้คนนี้แล้ว จะให้คนอื่นไม่ได้

ถาม : ถ้าต้องการจะให้แบบเจาะจง ?
ตอบ : ถ้าจะเจาะจงเมื่อทำเสร็จแล้วอุทิศส่วนกุศล ก็ออกชื่อออกนามสกุลไปทีละคน หลังจากนั้นแล้วจะให้ทั่วไปก็ได้ ต่อให้เราไม่ได้ทำใหม่ บุญเก่าที่เราทำก็มีอยู่ สามารถอุทิศให้ได้ทุกเวลา

เถรี
16-09-2016, 22:56
ถาม : เราจะทราบได้อย่างไรว่าแนวทางที่ครูบาอาจารย์สอน เราจะทำได้ไหม ?
ตอบ : ทำไม่ได้ก็ต้องทำ ไม่ใช่มาพิจารณาว่าทำได้ไหม

ถาม : ทำไว้ก่อน จะทำได้หรือไม่ได้เป็นอีกเรื่องหนึ่งใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่...มัวแต่มาพิจารณาก่อนว่าทำได้ไหมก็เสียเวลาเปล่า ๆ ไม่ทำก็ไม่ทำ ทำก็ทำสิวะ..!

ถาม : ถ้าทำไปแล้ว ไม่ได้ตามผลก็ไม่เสียเปล่าใช่ไหมครับ ?
ตอบ : อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าแบบนี้เราทำไม่ได้

เถรี
16-09-2016, 22:59
ถาม : ในแต่ละวันผมเห็นอะไรก็มาพิจารณาถึงความทุกข์อะไรไปเรื่อย ๆ ถูกต้องไหมครับ ?
ตอบ : ต้องทำอย่างนั้นให้เป็นปกติ

ถาม : เคยนั่งรถแล้วพิจารณาไปเรื่อย ๆ แล้วมีเสียงก้องเข้ามาในหัวว่า “ไอ้เหี้...ดัดจริต..!” ?
ตอบ : ตอบไปว่า “ดัดจริตก็เรื่องของกู ไม่ใช่เรื่องของมึง” การปฏิบัติธรรมต้องประกอบไปด้วยศรัทธา และต้องเป็นอจลศรัทธา คือมั่นคงไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด ๆ ต่อให้ครูบาอาจารย์สั่งให้เราไปตายเราก็ต้องไป คนอื่นเขาจะคัดค้านอย่างไรเราก็ไม่ใส่ใจ เพราะว่าศรัทธามั่นคงเสียแล้ว ถ้าหากว่ายังหวั่นไหวอยู่ ประเภทยังเป๋ตามเขาอยู่ ก็แปลว่าศรัทธาเรายังน้อยเกินไป

เถรี
16-09-2016, 23:00
ถาม : ภาวนามยปัญญา เราต้องใช้สมาธิระดับใดถึงจะภาวนาแล้วเกิดปัญญาได้ครับ ?
ตอบ : ปฐมฌานขึ้นไป

เถรี
16-09-2016, 23:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของการสั่งสมบารมี เพราะเราไม่ใช่บุคคลประเภทอุคฆฏิตัญญู ฟังธรรมแล้วบรรลุเลย ก็ต้องค่อย ๆ สร้าง ค่อย ๆ สมไปทีละเล็กละน้อย

ถ้าไปดูในอรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร หลวงพ่อรูปหนึ่งท่านบวชตั้งอายุ ๒๐ ปี ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติในอานาปานสติ ก็คือ พิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม โดยไม่ว่างเว้น แม้กระทั่งถ้ำที่ตัวเองอยู่มีรูปเขียนสีสวยงามอย่างไรก็ไม่เคยเห็น เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดินจงกรมพิจารณาอยู่ จน ๖๐ ปีให้หลัง คือท่านอายุได้ ๘๐ ปี สิ่งที่ท่านปฏิบัติมาไม่ว่าจะเป็นสมถะและวิปัสสนาก็รวมตัวกันเพียงพอ จึงได้บรรลุมรรคผลตอนนั้น

ฉะนั้น...ที่บอกว่าทำแล้วทำไม่ได้ นั่นทำมาครบ ๖๐ ปีแล้วหรือยัง ? พวกเราสมัยนี้ส่วนใหญ่ใจร้อนเกินไป พอใจร้อนเกินไปถึงเวลาทำได้ ๓ วัน ๕ วันไม่เห็นผลก็เบื่อ อยากจะเลิกแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็อีกหลายชาติกว่าจะได้อะไรกับเขาบ้าง"

เถรี
18-09-2016, 15:32
ถาม : โยมภาวนาคาถาเงินล้านวันละ ๑๐๘ จบ ปรากฏว่าขายที่ได้ ๒ แปลง เป็นเรื่องเหลือเชื่อมากเลยค่ะ ?
ตอบ : ไม่ต้องเหลือเชื่อหรอก อาตมาสร้างวัดมา ๙ วัด ๑๐ วัดก็ด้วยพระคาถาบทเดียวนี่แหละ เพราะว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านมาบอกว่า ถ้าสามารถภาวนาได้วันละ ๑ ชั่วโมงจะสร้างโบสถ์กี่หลังก็ได้ ก็เลยอยากจะทดสอบดูว่าจริงไหม ปรากฏว่าได้จริง ๆ จะทำอะไรก็ได้ ขนาดสร้างศาลาหลวงปู่สายเขาประเมินราคาไว้ ๔๐ ล้านบาท ทำไปจริง ๘๐ กว่าล้าน ให้ไปทำต่อ...จะได้ขายได้อีก

เถรี
18-09-2016, 15:53
ถาม : เมื่ออาทิตย์ที่แล้วป่วยเป็นไข้หวัด ไซนัส ปวดหัวมาก เลยจับลมหายใจ แล้วตื่นมาก็เหมือนฝัน หรือเป็นจิตหลุดไป คำถามคือกลับมานี่จิตหลุดไปหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าหลุดก็คือไปสถานที่อื่น ถ้าอยู่กับที่ก็คือทรงสมาธิอยู่ตรงนั้น เพราะฉะนั้น...เราต้องรู้เองว่าเราไปที่อื่นหรือเปล่า ถ้าไปที่อื่นก็แปลว่าออกไปแล้ว ถ้าไม่ได้ไปก็แปลว่าจิตเข้าสมาธิลึกกว่าเดิมเท่านั้นเอง

เถรี
18-09-2016, 17:11
ถาม : ผมพกวัตถุมงคลติดตัว ผมอยากจะให้อานุภาพวัตถุมงคลทุกชิ้นส่งผลเวลาภาวนา ?
ตอบ : ควรจะเป็นเช่นนั้น

ถาม : ก็คือพกชิ้นใดชิ้นหนึ่งแล้วภาวนา ดีกว่าใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ดี...เพราะกำลังใจคุณห่วยแตก ต้องหลาย ๆ ชิ้นถึงจะดี

เถรี
18-09-2016, 18:29
ถาม : มรณานุสติจะทำให้เป็นฌาน เราต้องพิจารณาอย่างไรครับ ?
ตอบ : พิจารณาจนถึงที่สุดแล้วภาวนาต่อ

ถาม : คำภาวนาที่เราใช้คือ ?
ตอบ : ก็แค่ต่อยอดการพิจารณาด้วยอานาปานสติแค่นั้นเอง จะใช้ "มรณัง...มรณัง" ก็ได้

เถรี
18-09-2016, 20:30
ถาม : ฝึกภาวนาแล้วหลุดออกไป ผมไปที่ไหนครับ ?
ตอบ : แล้วตูจะรู้ไหม ? ตั้งใจไปไหนก็ที่นั่นแหละ ดันมาถามคนอื่น

ถาม : ถ้าเรายกจิตขึ้นพระนิพพาน แต่ผมไม่รู้ว่าได้ไปถึงพระนิพพานจริงหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ อันดับแรกให้นึกได้ก่อน ถ้าเรานึกถึงอยู่ตลอดเวลาก็เป็นอนุสติ ต่อไปถ้ากำลังของ ศีล สมาธิ ปัญญา ดีขึ้นก็จะไปได้เอง

ถาม : ถ้ายกจิตขึ้นไปได้จริง เห็นได้จริง เราจะได้ประโยชน์อะไรบ้างครับ ?
ตอบ : อันดับแรกระหว่างที่เห็น รัก โลภ โกรธ หลง ไม่มี ประโยชน์มหาศาลเพียงพอหรือยัง ? อันดับที่ ๒ ถ้าหากว่าสงสัยก็หาท่านใดที่เจอแถวนั้น ถามอะไรที่พิสูจน์ได้ในระยะสั้น ๆ แล้วกลับมาพิสูจน์ว่าจริงไหม

การปฏิบัติธรรมที่สำคัญที่สุดคือให้ รัก โลภ โกรธ หลง หมดไปจากใจของเรา การที่เราได้ไปเห็นอะไรแสดงว่าสมาธิต้องทรงตัว รัก โลภ โกรธ หลง ไม่มี ถึงจะมองเห็น แล้วกำลังใจขนาดนั้นจะไม่มีประโยชน์หรืออย่างไร ?

ถาม : ถ้าตัวเรา รัก โลภ โกรธ หลง น้อย พฤติกรรมเราเปลี่ยน ถือว่าเป็นส่วนที่เห็นได้ชัดเจนหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ขนาดนั้นถ้าคิดว่ายังไม่ชัดเจน ก็จงโง่ต่อไป..!

เถรี
18-09-2016, 20:33
ถาม : เวลาที่ภาวนา ลมหายใจเบาก็รู้ ลมหายใจหนักก็รู้ แล้วถ้าลมหายใจหายไป เราต้องดึงกลับมาที่ลมหายใจ หรือ..?
ตอบ : ก็ให้กำหนดรู้ว่าลมหายใจไม่มี เหมือนกับเราขึ้นบันไดไป ๗-๘ ขั้น จะถึงขั้นท้าย ๆ แล้วเรากลับมาหาลมหายใจก็เท่ากับมาเริ่มต้นขึ้นขั้นหนึ่งใหม่ แต่ส่วนใหญ่ก็กลับมาเริ่มที่ขั้นหนึ่งใหม่ทุกทีเพราะกลัว อยู่ ๆ ไม่หายใจเลยตะเกียกตะกายไปหายใจกันใหม่ ก็ไม่ต้องไปไหนกันสักที

แสดงว่าลืมไม้ตายที่ครูให้ไว้ ครูทุกท่านจะให้ไม้ตายไว้ว่า "ถึงตายลงไปเราก็ยอม" แม้กระทั่งตอนสมาทานพระกรรมฐาน ก็บอกว่า "ขอมอบกายถวายชีวิต" แต่พอรู้สึกว่าจะตายทีไร ก็เลิกมอบกายถวายชีวิตทุกที สรุปแล้วปฏิบัติไปก็เสียเวลาเปล่า

เถรี
18-09-2016, 20:36
ถาม : เราแผ่เมตตากับอุทิศส่วนกุศล ต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : เมตตาเหมือนกับเรายื่นร่มให้ในเวลาที่เขาร้อน อุทิศส่วนกุศลเหมือนเรายื่นอาหารให้ในเวลาที่เขาหิว ต่างกันไหมเล่า ?

ถาม : อย่างนี้เวลาเราภาวนาเสร็จ แล้วเราอุทิศส่วนกุศลให้กับครูบาอาจารย์ ท่านจะได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ตั้งใจระลึกถึงท่านแล้วอุทิศไปเถอะ ท่านจะรับหรือไม่รับ ใช้ได้หรือใช้ไม่ได้ก็ขอให้เราได้ทำ

ถาม : แต่ผมคิดว่าเป็นการแผ่เมตตา ?
ตอบ : ถ้าเราตั้งใจนึกถึงขอให้ท่านโมทนาบุญก็เป็นการอุทิศส่วนกุศล ถ้าตั้งใจนึกถึงท่านด้วยความหวังดีปรารถนาดีก็เป็นการแผ่เมตตา

เถรี
19-09-2016, 14:38
ถาม : อากาสานัญจายตนะ อารมณ์ที่ว่าพอเปลี่ยนเป็นอรูปฌาน ระหว่างเกิดเป็นจักรวาลกับเห็นเป็นอากาศขาว ๆ อย่างไหนเรียกว่าอากาสานัญจายตนะ ?
ตอบ : ความว่าง ไม่มีอะไรเลย

ถาม : มืดอย่างเดียว ?
ตอบ : ไม่จำเป็นต้องมืด ถ้าสมาธิคุณดีจะสว่างกว่าที่คิด

ถาม : แต่ไม่มีสี ?
ตอบ : จะมีหรือไม่มีขึ้นอยู่กับสมาธิของเรา

ถาม : แล้ววิญญาณนัญจายตนะ ?
ตอบ : เอาอย่างแรกให้ได้ก่อน ถ้าอย่างแรกไม่ผ่านอันที่สองก็ทำไม่ได้

ถาม : อย่างแรกจะรู้ได้อย่างไรว่าผ่านครับ ?
ตอบ : สามารถทรงฌาน ๔ เต็มกำลังขณะที่กำหนดความว่าง

เถรี
19-09-2016, 14:39
ถาม : เคยได้ยินคำว่า ฌานใช้งาน คืออะไรครับ ?
ตอบ : ฌานใช้งานคือสามารถทรงฌานได้ทุกที่ทุกเวลา จะทำอะไรอยู่ก็สามารถทรงฌานได้

เถรี
19-09-2016, 14:40
ถาม : เป้าหมายของผมทางโลกคือจะสร้างธุรกิจ ระหว่างเวลาที่ผมภาวนาตอนกลางคืนระหว่างอาบน้ำ ไม่ได้นั่งเป็นชั่วโมง กับเวลาที่ผมนั่งภาวนาพระคาถาเงินล้าน ผมควรจะฝึกภาวนาคาถาเงินล้าน หรือคาถาอภิญญา ?
ตอบ : ตัดสินใจเอาเอง

ถาม : ถ้าผมจะฝึกภาวนาคาถาอภิญญา จำเป็นต้องฝึกภาวนาในห้องเงียบ ๆ หนึ่งชั่วโมง หรือฝึกในระหว่างวันได้ ?
ตอบ : ถ้าหากคุณอยากทำให้เกิดผลก็ต้องให้เวลา อยากจะสะสมเงินซื้อรถเบนซ์ แล้วให้เวลาแค่ช่วงอาบน้ำก็คงจะพออยู่หรอก..!

ถาม : ถ้าผมจะเปลี่ยนจากคาถาเงินล้านเป็นคาถาโสตัตตะภิญญา ?
ตอบ : อยากทำก็ทำ อาตมาไม่ได้เดือดร้อนอะไรด้วย

เถรี
19-09-2016, 14:43
ถาม : เวลาที่กระดูกเป็นพระธาตุ อะไรเป็นเหตุครับ ?
ตอบ : อำนาจจิตของเรา

ถาม : มีคนสันนิษฐานว่า ท่านทรงสมาบัติอยู่ตลอดจนกิเลสไม่มี ทำให้ฟอกกระดูกจนเป็นพระธาตุ ?
ตอบ : สภาพจิตของท่านที่สะอาดบริสุทธิ์ เมื่อกำลังแผ่ออกไปทำให้ส่วนอื่นก็พลอยบริสุทธิ์ไปด้วย ถ้าอยากรู้ชัด ๆ ก็ทำเองให้ได้

เถรี
19-09-2016, 14:47
ถาม : ความแตกต่างระหว่างอิทธิฤทธิ์ บุญฤทธิ์ พุทธานุภาพ และกฎแห่งกรรม ?
ตอบ : อิทธิฤทธิ์เกิดจากการสร้างสมมาในเรื่องของฌานสมาบัติ ด้วยอำนาจของกสิณ บุญฤทธิ์เกิดจากการสั่งสมความดีใน ศีล สมาธิ ปัญญา เอาไว้ ต่อให้ไม่ได้ฌานได้สมาบัติก็เกิดบุญฤทธิ์ได้ พุทธานุภาพเป็นทั้งอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์รวมกัน

ถาม : อะไรแรงที่สุดครับ ?
ตอบ : กรรมวิบากแรงที่สุด

เถรี
19-09-2016, 14:53
ถาม : ... (ไม่ชัด) ...
ตอบ : ขึ้นอยู่กับความสามารถของเรา ถ้าหากว่าสามารถทำได้อย่างท่านจูฬปันถก ก็สามารถแยกกายมาทำหลายอย่างพร้อม ๆ กันได้ ก็แปลว่า ถ้าทำความสะอาดวัดก็เสร็จเร็ว มีคนช่วยกันทำเป็นพัน ส่วนของเราก็แค่คิดหลาย ๆ เรื่องพร้อมกันได้ แล้วอาจจะชวนให้ฟุ้งซ่านทีหลังด้วย พอถึงเวลาก็ภาวนาอาจจะเผลอแยกจิตไปคิดเรื่องอื่น เลยกลายเป็นไม่สงบอย่างแท้จริง

เถรี
19-09-2016, 15:06
ถาม : ผมลดความอ้วนอยู่ได้ระดับหนึ่งแล้ว แต่อยากจะไปต่อ อยากจะขอกุศโลบายครับ ?
ตอบ : ไปภาวนาแต่ใช้วิธีวิ่งภาวนา เอาให้ได้อย่างน้อยวันละ ๓ กิโลเมตร จะใช้เวลาประมาณ ๔๕ นาทีเท่านั้น ประมาณ ๕ นาทีแรกจะเหนื่อยหน่อย แต่หลังจากนั้นจะอยู่ตัว ซึ่งจะเป็นช่วงการสลายไขมัน ไม่ต้องถึงขนาดวันละ ๑๒ กิโลเมตรเหมือนกับทหารเขาหรอก เอาวันละ ๓ กิโลเมตรก็พอแล้ว

การลดความอ้วนที่ยั่งยืนที่สุดคือการออกกำลังผลาญไขมัน ยกเว้นการว่ายน้ำเท่านั้น การว่ายน้ำนอกจากจะไม่ช่วยลดความอ้วนแล้ว ยังทำให้อ้วนหนักขึ้น การว่ายน้ำได้แค่ทำให้มวลกล้ามเนื้อกระชับตัวขึ้น แต่การที่ตัวเองแช่อยู่ในความเย็นอยู่ตลอด เลยสร้างชั้นไขมันพิเศษขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง คุณจะสังเกตได้ว่าพวกนักว่ายน้ำแต่ละคนหุ่นหนาเป็นควายทั้งนั้น พอถึงเวลาออกกำลังร่างกายจะเผาผลาญให้สลายไขมัน แล้วถ้ามีน้ำหล่อเย็นอยู่ จะไปผลาญอะไรได้ ?

เถรี
19-09-2016, 17:19
ถาม : การที่เราบูชาพระด้วยเสียง จะมีอานิสงส์อะไรครับ ?
ตอบ : เชื่อกันว่าการบูชาด้วยเสียง เกิดไปกี่ชาติก็จะโด่งดัง ถ้าไม่อยากดังก็อย่าไปบูชา..!

เถรี
19-09-2016, 17:19
ถาม : เราอยากได้วัตถุมงคลเกี่ยวกับด้านการงาน ?
ตอบ : หาวัตถุมงคลที่เป็นประเภทลิงหรือหนุมาน หนุมานเขารับใช้เจ้านายทุกงานสำเร็จไม่มีพลาด

ถาม : แบบนี้ก็เหนื่อยฉิบหา..เลยครับ
ตอบ : ก็ให้คนอื่นเขา เขาจะได้ทำให้เรา..!

เถรี
19-09-2016, 17:24
ถาม : บทสวดขันธปริตร เกี่ยวกับอะไรครับ ?
ตอบ : สวดแสดงความเป็นมิตรต่อบรรดาสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย โดยเฉพาะพญานาคทั้ง ๔ ตระกูล

ถาม : สัตว์เลื้อยคลานประเภทไหนครับ ?
ตอบ : ทุกประเภท จะมีพิษหรือไม่มีพิษใช้ได้ทั้งหมด

เถรี
21-09-2016, 14:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อกวย ถ้าใครเห็นท่านลบผงแล้วจะหนาว ลบผงทะลุกระดานเลย นั่นแหละ...วิชานะปัดตลอด"

ถาม : หลวงพ่อวัดท่าซุงได้เรียนวิชานี้ไหมครับ ?
ตอบ : ท่านจะไปขอเรียน แต่ปรากฏว่าครูที่สอนคือลิเกหอมหวล พอนอกพรรษาหลวงพ่อว่าง แกก็ไปตะลอน ๆ เล่นลิเก พอถึงเวลาหลวงพ่อไม่ว่างในพรรษา แกก็หยุดพัก เลยไม่ต้องเจอกันทั้งชาติ

ถาม : ท่านลบผงได้อย่างไร ?
ตอบ : พลังจิตล้วน ๆ

เถรี
21-09-2016, 14:15
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตกลงว่าวัดเราจะมีพระพุทธรูปสามกษัตริย์ ทองคำ นาก เงิน หล่อปีละองค์ เริ่มจากปีหน้า ๒๕๖๐ หล่อนาก ๒๕๖๑ หล่อเงิน ๒๕๖๒ หล่อทองคำ ไหน ๆ ก็จะทำแล้ว ทุนก็มีเยอะแล้ว ทำให้สะใจไปเลย"

เถรี
21-09-2016, 14:18
พระอาจารย์กล่าวว่า "ศาสนาอื่นเขาตั้งพรรคการเมือง มีนักการเมือง มีนักกฎหมาย มีนักการปกครอง ศาสนาพุทธของเราไม่มี เราควรหาวิธีเลียนแบบเขาบ้าง"

เถรี
21-09-2016, 14:19
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "ถวายสังฆทานอย่าลืมพระพุทธรูป ถ้าลืมพระ...เดี๋ยวพระลืมเราแล้วจะยุ่ง..!"

เถรี
21-09-2016, 19:11
ถาม : เบี้ยแก้ใช้ในด้านไหนครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการแก้คุณไสย กลับร้ายกลายเป็นดี ดูภายนอกอย่างนี้ไม่ได้หรอก เพราะเขาเลี่ยมปิดทึบจากร้านเดียวกัน แล้วเอาไปให้หลวงพ่อท่านจารอักขระ ต้องเขย่า...ถ้าหากว่าเขย่าแล้วดังขลุก ๆ ๆ ก็เป็นของหลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน ถ้าเสียงดังแซ่ก ๆ ก็ของหลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ

อาตมาพกเบี้ยแก้ของหลวงพ่อคำและหลวงพ่อนุ่มอย่างละตัว ดันไปวางแปะติดกับแหวนจักรพรรดิ ปรอทเลยกินแหวนเสียกระดำกระด่างกลายเป็นแหวนยาจกไปเลย เหลือแต่หัวแหวนใสแจ๋ว ปรอทนี่ใกล้ทองไม่ได้จริง ๆ นะ

ถาม : ไม่ได้เลี่ยมหรือครับ ?
ตอบ : อันนี้ก็เลี่ยม แต่ก็โดนกิน

เถรี
22-09-2016, 08:22
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยอาตมายังเด็ก รอบบ้านมีแต่พระเกจิอาจารย์ที่มีความสามารถอย่างแท้จริง หลวงปู่แตง วัดดอนยอ อยู่เขตบางเลน หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม อยู่เขตดอนตูม หลวงพ่ออินทร์ วัดสระสี่มุม อยู่เขตกำแพงแสน ตอนพุทธาภิเษก พอท่านนั่งลงขันน้ำมนต์ก็ดิ้นเลย ผู้ใหญ่ก็ผลักอาตมามุดเข้าไปดูใต้อาสนะ ว่ามีใครผูกเชือกดึงหรือเปล่า ? อาตมามุดเข้าไปข้างใต้ก็ไม่เห็นจะมีเชือกอะไร"

ถาม : ท่านไม่ได้แตะขันน้ำมนต์ ?
ตอบ : ไม่ได้แตะเลย นั่งหลับตาเฉย ๆ ขันน้ำมนต์ก็ดิ้นตึง ๆ หกไปตั้งครึ่งตั้งค่อน อาตมามุดเข้าไปข้างใต้จึงเอาหัวไปรับเลย บางทีเป็นเด็กก็ได้เปรียบ ทำอะไรผู้ใหญ่ก็ไม่ว่า

ถาม : ใช้สมาธิอย่างเดียวหรือครับ ?
ตอบ : สมาธิอย่างเดียว เขาเรียกว่าฌานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากฌานสมาบัติ

ถาม : นครปฐม พระเกจิฯ เยอะ ?
ตอบ : เยอะมาก ช่วงนั้นที่อาวุโสสูงสุดคือ หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว, หลวงปู่เงิน วัดดอนยายหอม, หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา, หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม, หลวงปู่แตง วัดดอนยอ, หลวงพ่ออินทร์ วัดสระสี่มุม บ้านใกล้เรือนเคียง ก็มีหลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก, หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว

เถรี
22-09-2016, 08:24
พระอาจารย์กล่าวกับผู้มารับวัตถุมงคลว่า "มีดหมอของหลวงปู่ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ รายการนี้ของหนักเลย พวกไม่รู้คุณค่าก็ช่างเขา เราดูรัก ดูความเก่าก็พอ ไม่ต้องดูอย่างอื่นหรอก สมัยก่อนท่านทำไม่เน้นความสวยงามเหมือนสมัยนี้ เน้นความขลังมากกว่า"

เถรี
25-09-2016, 19:24
ถาม : ชอบมีคำพูดเข้ามาในหู แต่ไม่มีความหมายค่ะ ?
ตอบ : ให้สังเกตว่าตอนนั้นเรากำลังเพลิน ๆ หรือว่าสติเริ่มจะตั้งตัว พวกนี้ก็จะแทรกเข้ามา เขาเรียกว่าอาการของความเป็นทิพย์ขั้นต้น สมาธิเริ่มเข้าที่ก็จะรับพวกนี้ได้ ถ้าเลยจุดนี้ไปก็รับไม่ได้ ต้องไปให้ถึงที่สุดถึงจะรับได้อีก ฉะนั้น...เราทำสมาธิให้สูงกว่านี้นิดเดียวก็ไม่ได้ยินแล้ว

ถาม : แต่ก็ไม่มีความหมายค่ะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ไม่มีความหมาย แต่ว่าเราได้ยินแล้วไม่เข้าใจเอง ก็บอกแล้วว่าถ้าสมาธิเราถึงช่องพอดีก็จะได้ยินเอง จะได้เห็นเอง ถ้าทำสมาธิให้สูงกว่านั้นนิดหนึ่งจะไม่ได้ยิน แต่ถ้าสูงถึงที่สุดก็จะได้ยินอีกได้เห็นอีก แล้วชัดกว่าเดิมด้วย

เถรี
25-09-2016, 19:26
ถาม : หนูอ่านธรรมะจากหลายฝ่ายเกินไป จนตอนนี้หนูรวน ตีกัน หนูไม่รู้ว่าจะเริ่มจากจุดไหน ?
ตอบ : รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ตั้งใจทำสมาธิให้ทรงตัว เดี๋ยวปัญญาก็เกิดเอง อย่าลืมว่าหลักที่พระพุทธเจ้าสอน คือ ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เอาที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเป็นหลัก อันไหนง่ายและสะดวกกับเราก็ทำไป

เถรี
25-09-2016, 19:28
ถาม : ทำอย่างไรถึงไม่โกรธง่าย ?
ตอบ : ภาวนาเยอะ ๆ เข้าไว้

ถาม : จับลมหายใจหรือคะ ?
ตอบ : ใช่...ถ้าอยู่กับลมหายใจเข้าออก จะไม่คิดฟุ้งซ่านมาก ไม่ปรุงแต่งมาก ก็จะไม่โกรธใครง่าย หมั่นแผ่เมตตาบ่อย ๆ สร้างความชุ่มชื่นเยือกเย็นให้แก่ใจของเรา จะได้ไม่ไปผูกโกรธคนอื่นอีก ไม่ใช่ว่ามีเรื่องกันมาตั้ง ๓ ปีแล้ว ก็ยังโกรธเขาไม่เลิก

เถรี
25-09-2016, 20:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าตัดใจได้เรื่องหนึ่งก็ตัดได้ทุกเรื่องนั่นแหละ เพราะว่าใช้กำลังใจเท่ากัน"

เถรี
25-09-2016, 20:45
พระอาจารย์เล่าให้พระว่า "เมื่อวานนี้ครูบาอาจารย์เล่นผมอีกแล้ว หาวัตถุมงคลเท่าไรก็หาไม่เจอ มีสองราย คือขี้ผึ้งหลวงพ่อกวย กับสมเด็จหลวงพ่อหม่น พอโยมไปแล้วก็โผล่มาอยู่ตรงนั้นแหละ ชอบแกล้งอย่างนี้อยู่เรื่อย ของหลวงพ่อกวย คราวที่แล้วก็มีดหมอ เอาจากวัดท่าขนุนใส่พานมาเลย มาถึงกลางทางเหลือแต่พาน เออ...เข้าท่า ผมบอกว่าไม่เป็นไร มาถึงนี่ตั้งพานไว้เดี๋ยวก็กลับมา ปรากฏว่ามาจริง ๆ"

เถรี
25-09-2016, 20:47
ถาม : ปรอทกรอมีไว้ทำอะไรครับ ?
ตอบ : ปรอทกรอจริง ๆ เป็นของกันอาถรรพ์ทุกอย่าง สมัยโบราณเขาทำฝังไว้ใต้โบสถ์เพื่อความร่มเย็น พูดง่าย ๆ คือโบสถ์หลังหนึ่งมีปรอทกรอลูกเดียวเท่านั้น สมัยก่อนหายาก สมัยนี้เล่นเอาเครื่องตรวจระเบิดไปก็หาง่ายสิ สมัยก่อนขุดกันปางตายกว่าจะหาเจอ

สมัยก่อนพวกนักรบ ขุนศึกจะพกติดตัวเอาไว้คอยเตือน เวลามีอันตรายปรอทกรอจะสั่นเตือนให้รู้ตัวล่วงหน้า

เถรี
25-09-2016, 20:56
สนทนาเรื่องสร้างโบสถ์ "สมัยก่อนเขาใช้เวลาชั่วชีวิตสร้างโบสถ์หลังหนึ่ง ถึงได้เชื่อกันว่า เวลาฝังลูกนิมิตให้เจ้าอาวาสออกไปให้พ้นวัด เพราะจะโดนอาถรรพ์แล้วมักจะตาย ความจริงไม่ใช่หรอก...ท่านแก่จนเกินแกงแล้ว ทำงานเสร็จกำลังใจคลายตัวลงก็ไปเลย เพราะหมดหน้าที่แล้ว

สมัยนี้สร้างโบสถ์ง่าย ไม่เหมือนกับสมัยก่อน กว่าจะตัดไม้ กว่าจะชักลาก กว่าจะแปรรูป ยังต้องเสียเวลานวดดิน เผาอิฐอีก สมัยนี้ของเราแทบจะบันดาลด้วยฤทธิ์เลย จัดเป็นวิชชามัยฤทธิ์ก็ว่าได้"

เถรี
25-09-2016, 22:11
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงพ่อไพบูลย์ (พระธรรมคุณาภรณ์, ไพบูลย์ กตปุญฺโญ, ป.ธ.๘, อดีตเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี) ท่านสร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล เพราะท่านอยากทำ คุณเคยเห็นเจ้าคุณชั้นเทพที่ไหน ประเภทเอาผ้าอาบเคียนหัวแล้วไปผสมปูนกับเณร ก็มีแต่หลวงพ่อไพบูลย์นี่แหละ ฉะนั้น...ท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัดที่หน้าตาดูไม่ได้เลย เพราะท่านทำงานตัวดำปี๋ทุกวัน หายากจริง ๆ จนท่านได้เลื่อนจากพระเทพสุธีเป็นพระธรรมคุณาภรณ์

ท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัดที่ไปทุกวัดจริง ๆ ไม่ว่าจะอยู่ลึกขนาดไหนท่านไปถึงหมด จนกระทั่งไปทะเลาะกับผีเจ้าที่วัดเขาเหล็ก ที่ป่าอำเภอศรีสวัสดิ์ ท่านเดินทางมาเหนื่อยจะตายชัก ไปนอนพักที่ศาลาหน่อยเดียว ผีเจ้าที่ดันมาไล่

"มึงใหญ่ขนาดไหนวะถึงมาไล่กู ?"
"กู...เจ้าพ่อเขาเหล็ก"
"แสดงว่ามึงเป็นใหญ่อยู่แถวนี้ใช่ไหม ?"
"ใช่"
"แล้วมึงรู้ไหมว่ากูเป็นใคร ? มึงเป็นแค่เจ้าที่ตำบลนี้ แต่กูเป็นเจ้าคณะจังหวัดโว้ย...มึงเป็นเจ้าที่ภาษาอะไรวะ ? กูเป็นเจ้านายของมึงแท้ ๆ มึงเสือกไม่รู้จัก..!" ท้ายสุดผีต้องหนีให้ท่าน

นั่งรถไปเห็นพระเดินข้างถนน ท่านหยุดรับเลยนะ ไม่สนใจว่าจะเป็นพระเด็กเป็นเณรเล็ก "จะไปไหน ? มาสิ...ขึ้นรถมา เดี๋ยวไปส่ง" คุณจะหาพระที่กำลังใจแบบนี้ได้ที่ไหน ?"

เถรี
26-09-2016, 18:58
ถาม : ผมภาวนาคาถาโสตัตตะภิญญา แต่ทำไมหายใจแรงขึ้นครับ หายใจถี่ ๆ ?
ตอบ : เป็นอาการของกายในจะหลุดออกไป จะรู้สึกว่าควบแน่นเข้า ๆ หายใจแรงขึ้น หัวใจเต้นแรงขึ้น แล้วเหวี่ยงหลุดออกไปเลย ถ้าคุณคิดว่าตายเป็นตาย ก็จะไปได้เลย

เถรี
26-09-2016, 18:59
ถาม : พ่อเขาต้องให้อาหารทางสายยาง ถ้าลูกไปบอกให้เอาออก ?
ตอบ : ให้หมอตัดสินใจเอง ห้ามลูกทำนะ เสี่ยงมากเลย ถ้าไม่ทำก็ต้องไม่ทำตั้งแต่แรก

ถาม : ถ้าให้แม่ทำ ?
ตอบ : แล้วแต่หมอตัดสินใจ

เถรี
26-09-2016, 19:05
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยที่อยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านมีความรู้แปลก ๆ ให้อยู่เรื่อย มีอยู่วันหนึ่งเสียงตุ๊กแกร้อง อาตมาถวายการรับใช้อยู่ใกล้ ๆ ท่านว่า "ลองฟังดูสิ ถ้าได้ ๗ ครั้งขึ้นไปก็ดี" ปรากฏว่าได้ ๗ ครั้งจริง ๆ แสดงว่าเรื่องพวกนี้เป็นลางบอกเหตุบางอย่างได้ แบบที่โบราณเขาว่า แมงมุมตีอก จิ้งจกทัก หนูกุกในเรือน อะไรประมาณนั้น

คราวนี้ในส่วนของตุ๊กแก พระเกจิอาจารย์ที่สร้างตุ๊กแกแล้วมีชื่อเสียงที่สุด คือ หลวงพ่อครื้น วัดสังโฆ ที่สุพรรณบุรี ตุ๊กแกของท่านทำด้วยดินเผาธรรมดาบ้าง ดินลงสีบ้าง เวลาบูชาไปถ้าเอาเข้าบ้านแล้ว วันไหนมีตุ๊กแกร้อง วันนั้นได้ลาภ แปลกมาก...ตุ๊กแกดินเผาร้องได้ ตอนหลังมีหลวงปู่หล่ำ วัดสามัคคีธรรม สืบสายวิชามา แต่ตุ๊กแกของหลวงปู่หล่ำ ลงสีลายพร้อยทั้งตัวเลย

อาตมาพกตุ๊กแกตัวจ้อยหลวงปู่ครื้น เปิดกระทู้คนมีเงินเหลือกินเหลือใช้ปีที่แล้ว เอาออกกระทู้ไปแล้ว ของบางอย่างได้มาสมบูรณ์มากก็รู้สึกเสียดายเหมือนกันว่า ต่อไปคงจะหาไม่ได้อีก แต่คราวนี้ในความรู้สึกที่ว่า เราทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม ถ้าของแค่นี้สละไม่ได้แล้วจะไปสละอะไรได้ ก็ต้องตัดใจสละไป"

เถรี
26-09-2016, 19:05
:4672615:เก็บตกเดือนกันยายน ปี ๕๙ หมดแล้วค่ะ :4672615:

ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า คะน้าอ่อน เถรี รัตนาวุธ