PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๙


เถรี
04-04-2016, 11:22
ถาม : ในขันธ์ ๕ ตัวสัญญา อยากทราบวิธีพิจารณาว่าตัวสัญญา หรือภาษาไทยแปลว่าความคิด จะพิจารณาอย่างไรหรือครับว่ามันไม่ใช่เราไม่มีในเรา ?
ตอบ : ใครแปลสัญญาว่าความคิด ? สัญญาคือความจำ ก็ดูจากพวกอัลไซเมอร์สิ มีเยอะแยะไป หรือมีเมียแล้วเสือกทำเป็นสัญญาเสื่อม จำไม่ได้ว่ามีเมียแล้วดันไปมีกิ๊กอีก ก็เตรียมตัวตายได้...! สารพัดวิธีที่จะพิจารณา

สิ่งที่อยากจะจำกลับลืม สิ่งที่อยากจะลืมดันไปจำ สรุปแล้วขันธ์ ๕ ก็มีแต่ความทุกข์ ท้ายสุดตัวเราตายไปก็ไม่มีอะไรเหลือ

เถรี
04-04-2016, 11:24
ถาม : ผมรู้สึกกลุ้มใจกังวลใจมากเลยครับ เวลาภาวนาทั้ง ๆ ที่ผมเคยได้ฌาน ๑ รู้สึกสุขมาก หรือเวลาสวดมนต์จู่ ๆ ความคิดด่าพระเข้ามาในจิต ?
ตอบ : ไม่ต้องถามต่อ แปลว่าฌานเสื่อมไปเรียบร้อยแล้ว ถ้ายังทรงฌานอยู่ ความคิดอื่นจะแทรกเข้ามาไม่ได้นอกจากอารมณ์ภาวนา ยกเว้นอยู่อย่างเดียวว่า ทำจนชำนาญแล้วสามารถคิดพิจารณาได้ แต่ก็เป็นการพิจารณาในธรรม สรุปว่าเคยได้ฌาน แต่ปัจจุบันเจ๊งไปแล้ว ส่วนความคิดด่าพระเป็นกิเลสมารดลใจ ยิ่งขาดสมาธิสมาบัติ ก็ยิ่งโดนเขาพาให้เสียได้ง่าย

เถรี
04-04-2016, 11:31
ถาม : บุคคลที่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง พระพุทธเจ้าหรือพระอริยสงฆ์ท่านมีวิธีทำให้เป็นสัมมาทิฐิ เห็นตามความเป็นจริงอย่างไรหรือครับ ?
ตอบ : ก็ไม่เห็นต้องมีอะไรนี่ เขาเชื่อว่าพระเจ้ามีจริงก็เป็นเรื่องดี ก็แค่ปรับให้พระเจ้าของเขามาเป็นพระพุทธเจ้าก็จบแล้ว แบบเดียวกับหลวงปู่ตื้อและหลวงปู่แหวน ท่านไปโปรดพวกชาวป่าข่าระแด ที่เป็นชาวป่าล้าหลังมาก ไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร นับถือแต่ผี หลวงปู่ท่านก็เอารูปพระพุทธรูปไป บอกว่าองค์นี้เป็นหัวหน้าผีที่ใหญ่ที่สุด ถ้านับถือแล้วผีอื่น ๆ ไม่กล้าเบียดเบียน ไม่กล้ารังแก เขาก็เลยหันมานับถือพระพุทธเจ้ากันหมด แล้วค่อยสอนให้เขาสมาทานศีล รักษาศีล

ส่วนที่น่าสังเกต คือ วิธีการของพระพุทธศาสนาไม่เคยคัดค้านหลักการของใคร เพียงแต่นำเสนอหลักการที่ดีกว่า ในเมื่อไม่ไปคัดค้าน ความคิดเป็นศัตรูของเขาไม่มี เขาก็ยอมเปิดใจรับฟัง พอได้สิ่งที่ดีกว่าไป เขาก็ยินดีรับเอาไปปฏิบัติ

เถรี
04-04-2016, 11:36
ถาม : การกำหนดจิตควบคำภาวนาขึ้นลงเป็นเส้นตรงภายในร่างกายจากจมูกไปท้อง จากท้องไปจมูก โดยไม่ได้กำหนดรู้ลม จิตไม่ได้สนใจลมภายใน แต่เพราะในร่างกายเป็นช่องว่างที่มีลมเป็นฐาน การกำหนดจิตแบบนี้แม้ไม่ได้สนใจในลม ถือว่าเป็นการทำอานาปานสติหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่เกาะลม ไม่ถือว่าเป็นอานาปานสติ อานะกับอาปานะ แปลตรง ๆ ว่าลมหายใจเข้ากับลมหายใจออก ในเมื่อลมหายใจเข้าออกเราไม่จับ จะเรียกว่าอานาปานสติไม่ได้

ถาม : จากคำถามก่อนหน้า หากกำหนดรู้ลมภายในร่างกายไปด้วย จากจมูกไปท้อง จากท้องไปจมูกเป็นอานาปานสติใช่ไหมครับ ? และถ้าคิดว่าเป็นการทำวาโยกสิณ จะถือเป็นการทำวาโยกสิณที่ถูกวิธีได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจกำหนดลมก็เป็นอานาปานสติ ถ้าตั้งใจจะทำวาโยกสิณ กำหนดลมหายใจได้ แต่ต้องใช้คำภาวนาว่า "วาโยกสิณัง" แทน

ถาม :การกำหนดรู้กองลมกองเล็ก ๆ เท่าปลายนิ้วก้อย แค่จุดเดียว จุดใดจุดหนึ่งภายในร่างกาย เช่น ที่ท้องน้อย ถือว่าเป็นการทำอานาปานสติไหมครับ ? และถ้าหากคิดว่าเป็นการทำวาโยกสิณ แค่กำหนดรู้กองลมกองเล็ก ๆ แค่จุดเดียวในท้องน้อยเช่นนี้ จะถือว่าเป็นการทำวาโยกสิณได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้ากำหนดลมหายใจก็เป็นอานาปานสติ ถ้าจะกำหนดวาโยกสิณ ก็ต้องใช้คำภาวนาว่า "วาโยกสิณัง" สรุปแล้วก็คือคำตอบเดิม

เถรี
04-04-2016, 11:49
ถาม : พระภิกษุจะฉันน้ำมันชาตรีที่ผสมกับน้ำมันงาหลังเที่ยงวันเพื่อเป็นยารักษาอาการเจ็บป่วยเช่น ปวดหัว ปวดท้อง ตัวร้อน เป็นไข้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้...แต่ต้องให้คนประเคนก่อน

ถาม : ถ้าพระภิกษุจะฉันน้ำมันชาตรีที่ผสมน้ำมันงาก่อนเพล ต้องให้โยมประเคนน้ำมันชาตรีทุกครั้งที่ฉัน หรือประเคนหนึ่งครั้งอยู่ได้เจ็ดวันค่อยประเคนใหม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าจะเอาให้แน่ก็อย่าให้เกิน ๗ วัน เพราะน้ำมันเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้ใช้เป็นเภสัช ก็คือ อาหารที่ฉันหลังเที่ยงได้ แต่เป็นสัตตาหะกาลิก ก็คือ ประเคนครั้งหนึ่งอยู่ได้ไม่เกิน ๗ วัน

เถรี
04-04-2016, 11:51
ถาม : วัตถุมงคลที่อยู่ที่บ้านวิริยบารมีในวันที่พุทธาภิเษกพิธีฝ่าวิกฤติ แต่ไม่ได้อยู่ในกองวัตถุมงคลที่จัดไว้เป็นการเฉพาะ เช่น วัตถุมงคลในตู้วัตถุมงคล วัตถุมงคลด้านหลังห้อง รวมถึงวัตถุมงคลที่ท่านต่าง ๆ นำติดตัวไปร่วมพิธีในวันดังกล่าว

วัตถุมงคลต่าง ๆ เหล่านี้จะได้รับอานุภาพของพิธีฝ่าวิกฤติ เช่นเดียวกับวัตถุมงคลที่จัดไว้ในกองวัตถุมงคลสำหรับพุทธาภิเษกเป็นการเฉพาะด้วยหรือไม่ครับ ?

ตอบ : ถ้าท่านให้ก็ได้ ถ้าท่านไม่ให้ก็ไม่ได้ ประเภทขี้สงสัยไปเรื่อยแบบนี้ ต่อให้ของจริงก็กลายเป็นของปลอม

เถรี
04-04-2016, 12:01
ถาม : ผมสงสัยว่าพระโพธิสัตว์ ท่านสามารถมีโคตรภูญาณได้ไหมครับ ?
ตอบ : มีโคตรภูญาณไม่ได้ แต่เข้าถึงได้ เหมือนอย่างกับคนที่ยังเป็นเจ้าของที่ดินไม่ได้ แต่ไปเดินเหยียบแถวนั้นเล่นได้

เถรี
04-04-2016, 12:18
ถาม : ๒-๓ ปี ก่อนผมภาวนา "นะ มะ พะ ธะ" ก่อนนอน และพอผมภาวนาไปเรื่อย ๆ ตอนนั้นผมรู้สึกชัดเลยว่าหัวใจเต้นเร็วมากเหมือนแผ่นดินจะไหว เลยอยากทราบว่า อาการแบบนี้คืออะไรแล้วแก้ไขอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องแก้ ให้ตัดสินใจตอนนั้นว่าตายเป็นตาย ถ้าตายเราจะไปกราบพระบนพระนิพพานก็จบแล้ว นั่นเป็นอาการของกำลังสมาธิที่รวมตัว เพื่อที่จะส่งกายในออกไป ถ้าแรงกว่านั้นอีกนิดเดียวก็ไปได้แล้ว ตอนนี้เชื้อเพลิงในการขับเคลื่อนยังไม่พอ เพราะดันไปกลัวตายเสียก่อน

เถรี
04-04-2016, 12:21
ถาม : คำทำนายของพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระที่ว่า "เมื่อพระพุทธศาสนาอายุถึงกึ่ง ๕,๐๐๐ ปี นับแต่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน จะมีพระมหาโพธิสัตว์จะมาบำรุงพระศาสนา" ผมเลยสงสัยว่า พระมหาโพธิสัตว์พระองค์นั้นจะมาบำรุงพระศาสนาอีกนานไหมครับ ?
ตอบ : รอดูต่อไป

เถรี
04-04-2016, 12:31
ถาม : ผมเคยอ่านมาว่า บุคคลที่ทรงสมาบัติ ๘ สามารถคุยกับคนต่างชาติและเข้าใจภาษาต่างชาติได้ โดยไม่ต้องเรียนภาษาต่างชาติเลย อันนี้จริงแท้ประการใดหรือครับ ?
ตอบ : ฟังมาจากใคร ? แบบนี้เขาเรียกว่าจับแพะชนแกะ ต่อให้ทรงสมาบัติ ๑๖ ก็ต้องหาล่ามมาแปล บุคคลที่ทรงสมาบัติ ๘ ต้องเข้าถึงความเป็นพระอนาคามีขึ้นไป จึงจะเกิดนิรุตติปฏิสัมภิทา คือรู้ทุกภาษา ไม่ใช่แค่ทรงสมาบัติ ๘ แล้วก็รู้ได้ทุกภาษา

เถรี
04-04-2016, 12:33
ถาม : ตอนผมอายุ ๑๕ ผมนั่งสมาธิแล้วภาวนา "พุทโธ" ผมมารู้ที่หลังว่าเข้าฌาน ๑ ตอนนั้นผมรู้สึกสุขแบบหาอะไรในโลกนี้มาเปรียบเทียบไม่ได้อีกแล้ว แล้วผมรู้สึกถึงลมหายใจเข้าออก รู้ชัดเลยว่าเข้าออกสั้นและยาวเท่าไร และตอนนั้นเองจิตผมดิ่งลงเหนือตรงกลาง ๆ สะดือดิ่งแล้วดิ่งอีกดิ่งไม่มีที่สิ้นสุด เลยอยากถามพระอาจารย์ ว่าอาการจิตดิ่งลงไม่มีที่สิ้นคืออะไรหรือครับ ?
ตอบ : ให้ไปสนใจว่าตอนนี้ทำได้ไหมจะดีกว่า เพราะบอกว่าทำได้ตอนอายุ ๑๕ แสดงว่าตอนนี้เจ๊งหมดแล้ว..!

เถรี
04-04-2016, 12:40
ถาม : กสิณลม เวลาจะอธิษฐานจะให้ร่างกายเราไปพรหมโลก สวรรค์ หรือที่ไหนก็ได้ในโลกนี้ ต้องเปิดหน้าต่างและประตูก่อนเปล่าครับ ? เพราะถ้าปิดประตูและหน้าต่าง เดี๋ยวร่างกายจะติด แล้วจะบินไปสถานที่ซึ่งเราต้องการไม่ได้ ?
ตอบ : ถ้าลำพังกสิณลมก็ไปได้แค่ในโลกนี้เท่านั้น ถ้าอยากจะไปโลกอื่นด้วยต้องชำนาญกสิณทั้ง ๑๐ กอง ไม่ใช่มั่วไปเรื่อย ว่าจะขี่จักรยานแล้วจะไปในอวกาศได้..!

ถ้าเป็นเรื่องของกสิณลมอย่างเดียว ก็ควรที่จะเปิดประตูหน้าต่างด้วย แต่ถ้าเป็นกสิณ ๑๐ ไม่จำเป็น เพราะจะออกไปทางไหนก็ได้ ในส่วนของวัตถุธาตุทั้งหมดที่เราเห็นว่าเป็นแท่งทึบ แต่ความจริงประกอบไปด้วยโมเลกุลเล็ก ๆ ทั้งนั้น แปลว่ามีช่องว่างระหว่างโมเลกุลเยอะมาก ในความรู้สึกของเราเห็นว่าทึบ ไปไม่ได้ แต่บุคคลที่ทรงกสิณ ๑๐ เห็นว่าใหญ่กว่าประตูโบสถ์เสียอีก ฉะนั้น...ไม่ต้องเปิดประตูก็ไปได้

เถรี
04-04-2016, 12:46
ถาม : ผมสงสัยครับ ว่าทำไมพวกหมอผีที่ทำคุณไสยใส่พระดี ๆ อย่างหลวงพ่อเล็กก็ดี หรือหลวงพ่อวัดท่าซุงก็ดี ทำไมสมาธิของหมอผีไม่เสื่อม ในเมื่อเขาปรามาสพระรัตนตรัย ?
ตอบ : รู้ได้อย่างไรว่าตูโดน ? อาตมายังไม่เคยเห็นหมอผีที่ไหนกล้าหือ แค่ตวาดแว้ดเดียวขนาดเดินเอียงมายังเดินตรงเลย..!

พวกเหล่านั้นเขาเรียกว่าโลกียอภิญญา พอทำแล้วก็เสื่อมทันที เมื่อรวบรวมกำลังใจได้ใหม่ก็ทำได้อีก เหมือนกับตัวคนถามนั่นแหละ ที่บอกว่าสมาธิอยู่ดี ๆ ก็เสื่อมไป แล้วทำไมทำได้ใหม่อีก ?

เถรี
04-04-2016, 12:48
ถาม : ตัวกระผมสงสัยครับ ว่าทำไมพระโพธิสัตว์บารมีมาก อย่างโตไทยพราหมณ์ ยังปรามาสพระรัตนตรัยอยู่ ในเมื่อตนเองบารมีใกล้จะเต็มเป็นพระพุทธเจ้า ? แล้วทำไมสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ในสมัยท่านเสวยพระชาติเป็นโชติปาลมาณพ ท่านก็ยังปรามาสพระพุทธเจ้าสมัยนั้น ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติของคนที่ยังมีกิเลส พระโพธิสัตว์ไม่ใช่ผู้ที่สิ้นกิเลส ยังมีกิเลสเต็มเปี่ยมอยู่ รอไปตรัสรู้ในชาติสุดท้ายเท่านั้น เพราะฉะนั้น...มีโอกาสคิดผิด พูดผิด ทำผิดได้เสมอ

เถรี
04-04-2016, 12:56
ถาม : พระสงฆ์เมื่อทำชั่วหรือทำดี จะมีอานิสงส์ประมาณหนึ่งแสนเท่าเมื่อเทียบกับฆราวาส แล้วสามเณรเมื่อทำชั่วหรือทำดี จะมีอานิสงส์ประมาณกี่เท่าเมื่อเทียบกับฆราวาสครับ ?
ตอบ : ง่ายจะตายไป ก็เอา ๒๒๗ หารแสน แล้วคูณด้วย ๑๐ ก็ได้แล้ว บัญญัติไตรยางศ์ง่าย ๆ เลย อันนี้พูดเล่นนะ อย่าไปหารจริง ๆ

ในเรื่องของสามเณรท่านไม่ได้เปรียบไว้ชัดเจน แต่ถ้าไปดูในทักขิณาวิภังคสูตร ที่บอกว่าทำบุญกับผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ จะมีอานิสงส์กว่าผู้ที่มีศีลไม่บริสุทธิ์เป็นร้อยเท่า เพราะฉะนั้น...ถ้าต้องการจะเปรียบเทียบกับคนธรรมดา ก็ดูว่าบุคคลนั้นมีศีลหรือไม่ ? ถ้าเป็นคนไม่มีศีลเลยก็เป็นหมื่นเท่า ถ้าเป็นคนมีศีลแล้วศีลพร่องก็เหลือร้อยเท่า คราวนี้ก็ไล่ขึ้นไปสิ เดี๋ยวก็รู้เองว่ากี่เท่า

ถาม : ตกเลขนี่คำนวณไม่ได้นะคะ ?
ตอบ :ได้แต่ประมาณเท่านั้น ขนาดพระพุทธเจ้ายังใช้คำว่า "ประมาณร้อยส่วน"

เถรี
04-04-2016, 13:51
ถาม : สืบเนื่องจากผมได้อ่านเรื่องเกี่ยวกับการตายเเล้วฟื้น รวมความประมาณว่า "ใส่บาตรเเล้วไม่ได้ถวายน้ำไปด้วย ตายไปเลยไม่มีน้ำกิน" ซึ่งตัวผมเองมักจะใส่บาตรด้วยข้าวสวย ไข่ต้ม เเละกล้วยเป็นประจำ เเต่ทุกครั้งก็ทำด้วยความตั้งใจเเละเจตนาดี ประกอบกับปัจจัยที่มีอยู่อย่างพอดี ผมจึงมักใส่บาตรด้วยสิ่งของดังกล่าว อาจจะมีเพิ่มเติมพิเศษบ้างตามโอกาสสำคัญ ดังนั้น...ผมจึงเกิดข้อข้องใจคือ ถ้าล่วงชาตินี้ไปผมก็จะได้รับอานิสงส์ตามที่ผมถวายพระ ใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๙ ที่อาตมาให้เอาน้ำมาถวาย ก็ตั้งใจให้คนประเภทนี้แหละ คนที่คิดแบบนี้มีจริง ๆ

คนตายไปแล้วถ้าไปดีก็ไม่ต้องกิน ถ้าไปไม่ดีก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะกิน สำหรับพวกที่ยังไปกินอยู่ ก็คือพวกที่ติดอุปาทานจากโลกมนุษย์ไปว่า ยังต้องกินต้องดื่มเป็นปกติ เพราะฉะนั้น...จึงมีเขตแดนอยู่เขตแดนหนึ่ง อยู่ริมของชั้นจาตุมหาราช ลักษณะคล้าย ๆ กับตลาดจตุจักร อาตมาไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี น่าจะเป็นตลาด "JJ" สาขาพิเศษ มีของทุกอย่างให้ไปช้อปปิ้งได้ สำหรับพวกที่ติดอุปาทานตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์ว่า ยังจำเป็นต้องมีสิ่งของเหล่านั้น ก็จะไปเลือกหาที่นั่น จะเอาแบรนด์เนมขนาดไหนก็มีหมด

แต่ถ้านึกขึ้นมาได้ว่า เอ๊ะ...เราเป็นเทวดานางฟ้า เรามาทำอะไรอยู่ตรงนี้ ? ก็เป็นอันว่าจบกัน กำลังบุญเสริมให้เต็มที่ ก็ไม่ต้องไปกินไปใช้อีก ส่วนท่านที่ลงข้างล่างไปเลย ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น...โปรดทราบว่าบุญที่ท่านทำส่งผลโดยตรงเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปกิน ถ้าทำแล้วยังต้องเสียเวลาไปกิน อาตมาก็ไม่ทำให้เหนื่อยหรอก

ถาม : ตอนไปช้อปปิ้งข้างบนจ่ายเป็นอะไรคะ ?
ตอบ : ก็เงินอุปาทานทั้งนั้น

ถาม : แล้วที่เขาฝึกมโนมยิทธิบอกว่าขึ้นไปไม่เห็นรองเท้า ให้ลงมาถวายรองเท้า ไม่เห็นสระน้ำ ให้ลงมาทำบุญสร้างสระน้ำ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าโง่ไปหน่อย อยากได้ก็นึกเอาสิวะ..! ประเภทมีบุญไม่รู้จักใช้ ถ้าทำเองไม่เป็นก็ไปชั้นที่ ๕ เทวดาชั้นนี้มีหน้าที่ทำของให้คนอื่น อยากได้อะไรท่านก็ช่วยเนรมิตให้ ท่านทั้งหลายเหล่านี้เหมือนกับนายช่างฝีมือดีแล้วไม่มีงานทำ ถึงเวลาก็นั่งเซ็ง พอคนขอให้ช่วยทำ จึงรีบกระตือรือร้นไปทำให้ นิมมานรดี คือ ผู้ยินดีกับสิ่งที่เนรมิตเอา

เถรี
04-04-2016, 13:54
ถาม : ถ้าเป็นไปได้ อยากขอให้หลวงพ่อช่วยยกตัวอย่างฆราวาสที่ยังมีชีวิตอยู่ในขณะนี้ ที่ท่านสำเร็จเป็นอริยบุคคลในสามประเภท อันได้แก่ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี ส่วนพระอรหันต์ที่เป็นฆราวาสคงไม่มี เพราะคงต้องบวชเป็นพระสงฆ์ไปแล้ว เพื่อให้เป็นแบบอย่าง ให้ผมและผู้ที่ศรัทธาได้ดูตัวอย่างท่านผู้ปฎิบัติดี ปฏิบัติชอบ ว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นมีรูปแบบปฏิปทาในการดำเนินชีวิตอย่างฆราวาสที่เป็นแบบอย่างที่ดีอย่างไร ?
ตอบ : ไปอ่านเอาจากพระไตรปิฎก มีตัวอย่างมากมายมหาศาล ส่วนเรื่องการไปพยากรณ์มรรคผลของบุคคลอื่นไม่ใช่หน้าที่ของอาตมา เป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะฉะนั้น...มิบังอาจไปทำหน้าที่ซึ่งไม่ใช่ของตน เดี๋ยวความดีจะมาเยือน...!

เถรี
04-04-2016, 13:57
ถาม : สมมติว่ามีคุณป้าท่านหนึ่ง ท่านฝึกมโนมยิทธิมาสักช่วงเวลาหนึ่งแล้ว จิตของท่านยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์ สามารถขึ้นบนพระนิพพานได้สม่ำเสมอ ท่านเห็นพระพุทธเจ้า เห็นหลวงพ่อได้ เห็นวิมานบนพระนิพพาน แต่ท่านไม่สามารถสื่อสารด้วยเสียง หรือได้ยินเสียงได้ คุณป้าท่านนั้นต้องวางกำลังจิต หรืออธิษฐานจิตอย่างไรจึงจะสามารถสื่อสารได้ครับ ?
ตอบ : เลิกอยาก...มีหน้าที่ไปก็ไป ซักซ้อมกำลังใจให้คุ้นชิน แสดงว่าสภาพจิตของเรายังไม่ชินกับอารมณ์พระนิพพานจริง ๆ ความละเอียดยังไม่ถึง จึงไม่สามารถที่จะสื่อสารกับอายตนะที่ละเอียดขนาดนั้นได้ ฉะนั้น...ให้ทิ้งความอยากเสีย ได้แค่ไหนพอใจเอาแค่นั้น แล้วก็หมั่นซักซ้อมไว้บ่อย ๆ เดี๋ยวก็ดีไปเอง

เถรี
04-04-2016, 14:07
ถาม : ผมจะต้องมีเหตุที่จะต้องเดินเหยียบ หรือขับรถทับหอยทากตามที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะบนถนนเข้าบ้านของตัวเองเกือบจะทุกอาทิตย์ ทั้ง ๆ ที่มีพื้นที่เยอะแยะมากครับ แต่เขาจะต้องมาอยู่พอดีในตำแหน่งที่เท้าผมเหยียบลงไปพอดี หรือในแนวที่รถผมขับผ่านพอดีเกือบทุกครั้ง จนผมต้องค่อย ๆ เคลื่อนรถเข้าบ้านตัวเองตอนดึก ๆ อย่างช้ามาก ๆ ต้องคอยมองถนนดี ๆ ซึ่งก็มักจะเจอพวกเขา และผมก็จะต้องหยุดรถลงไปเก็บเขาด้วยมือตัวเอง เพื่อไปวางไว้ข้างทาง เป็นอย่างนี้ตลอดเวลาเลยครับ ไม่ว่าจะหน้าฝน หน้าร้อน หน้าหนาว

แต่บางครั้งผมก็มองพลาด ไม่ทันเห็น แต่รู้สึกได้ว่าล้อรถทับเขาไปแล้ว ต้องลงมาไหว้ขออโหสิกรรม อุทิศบุญให้กันอยู่บ่อยครั้ง มีครั้งหนึ่ง ผมเดินทางไปที่ประเทศลาว พักโรงแรมที่ดีมาก ๆ ที่นั่น พอเดินออกมาจากห้องที่พักไม่กี่ก้าวก็ไปเหยียบหอยทากที่นั่นเข้าให้อีก อาจจะมากกว่าหนึ่งตัวด้วยครับ เนื่องด้วยทางเดินมันมืด มองไม่เห็นพื้นครับ

วันนี้ดึก ๆ ผมขับเข้าบ้าน ตั้งแต่หน้าบ้านที่ลงมาเปิดประตูรั้ว ผมรู้สึกว่าได้เตะอะไรเข้าอย่างจัง เห็นเป็นหอยทากลอยกระเด็นไป ใจยังนึกดีใจที่ไม่ได้เหยียบหรือทับเขา เขายังไม่ตาย ผมเลยเปิดไฟจากโทรศัพท์มือถือส่องดู ต้องตกใจมากครับ เนื่องด้วยถึงแม้ตัวนั้นจะไม่ตาย แต่ล้อรถผมก็ได้ทับหอยทากอีกสองตัว ตายแบนราบอยู่ในแนวเดียวกันเลยครับ ผมก็ต้องยกมือไหว้ขออโหสิกรรม อุทิศส่วนกุศลให้ด้วยความหดหู่ใจอย่างมาก

ผมรู้สึกว่าทนสงสัยต่อไปไม่ไหวแล้วครับ ต้องขอรบกวนหลวงพ่อช่วยกรุณาให้คำแนะนำผมด้วยว่าเกิดจากเหตุปัจจัยอะไร ที่ผมต้องสร้างกรรมนี้กับหอยทากโดยไม่ได้มีความตั้งใจเลยบ่อยครั้งมาก และควรจะแก้ไขอย่างไรดีครับ ?

ตอบ : แนะนำว่าถ้าครั้งหน้าอาตมาไปฝรั่งเศส ให้ไปด้วยกัน อยากกินมานานแล้วพวกเอสคาร์โก ที่นั่นหอยทากอบเนยอร่อยมาก...!

ที่ทำมาผิดวิธี ต่อไปให้ใช้วิธีแผ่เมตตาทุกวัน แล้วตั้งใจว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เคยล่วงเกินมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขอให้เป็นอโหสิกรรมกันทั้งสองฝ่าย และภาวนาบทกรณียเมตตสูตร ตัดเอาแค่ เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิงฯ ตั้งใจขอให้เจ้าที่เจ้าทางทั้งหลายช่วยกันกวาด ๆ ไปให้พ้นทางเราด้วย ไม่ใช่ว่าถึงเวลาทับตายแล้วลงไปขออโหสิทีละตัว ถ้าอย่างนั้นก็คงจะได้ทับอยู่เรื่อย ๆ

เถรี
04-04-2016, 14:10
ถาม : กระผมอยากทราบว่า การไม่กินเนื้อสัตว์ การกินผัก และผลไม้เป็นอาหารหลัก แบบหลวงปู่ครูบาศรีวิชัย หลวงปู่ครูบาวงศ์ จะมีผลต่อการเจริญสมณธรรมอย่างไรครับ ? เพราะเคยได้อ่านหนังสือที่หลวงพ่อวัดท่าซุงได้เทศน์เอาไว้ว่า ในอดีตท่านก็เคยกินแต่ผัก ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่อารมณ์ทางด้านกามราคะก็ยังเจริญงอกงามตามปกติ ?
ตอบ : ต้องดูเจตนาด้วย หลวงพ่อวัดท่าซุงต้องการศึกษาว่า การกินมังสวิรัติช่วยลดกามราคะได้หรือไม่ ? ส่วนทางด้านหลวงปู่ครูบาศรีวิชัย หลวงปู่ครูบาวงศ์ ท่านมาสายพุทธภูมิ ตั้งจิตเมตตาต่อสรรพชีวิต ก็เลยไม่คิดจะเบียดเบียนใคร คนละเรื่องเดียวกัน อย่าจับไปชนกันมากนัก พวกเราส่วนใหญ่ศึกษามามาก อ่านมามาก แต่ก็มั่วมากทุกครั้ง ถ้ากินได้ตามกำลังใจของตน มีความสบายใจ การปฏิบัติสมณธรรมก็เจริญ

เถรี
04-04-2016, 14:15
ถาม : ผมมีห้องพระเพียงห้องเดียว จึงจัดโต๊ะหมู่บูชาพระพุทธรูป ให้ติดกำแพงหันหน้าไปทางทิศตะวันออก และจัดโต๊ะเดี่ยวบูชาองค์เทพแยกต่างหากอีกตัวหนึ่ง ติดกำแพงอีกด้านให้หันหน้าไปทางทิศเหนือ แต่เนื่องจากโต๊ะหมู่บูชาพระพุทธรูปมีหลายระดับ จนทำให้พระพุทธรูปองค์ที่อยู่ตำแหน่งที่ต่ำที่สุด อยู่ต่ำกว่าระดับขององค์เทพบนโต๊ะเดี่ยวที่แยกไปต่างหากอีกด้านหนึ่งนั้น จะเป็นโทษอย่างไรหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ความจริงถ้าแยกจากกันก็ไม่เป็นโทษ แต่ถ้าไม่สบายใจก็หนุนโต๊ะขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง ให้ซื้อโต๊ะหมู่ตัวล่างตัวใหญ่มาอีกหนึ่งตัว ให้เป็นชั้นล่างซ้อนไป แค่นี้ก็ไม่มีทางที่จะต่ำกว่าอยู่แล้ว

ถาม : การจัดโต๊ะบูชาองค์เทพต่าง ๆ เช่น องค์พระพิฆเณศวร์ องค์พญานาคราช องค์ครุฑ องค์จตุคามรามเทพ ท้าวมหาราชทั้งสี่ จะตั้งไว้บนโต๊ะระดับเดียวกัน จะมีโทษอย่างไรหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เอาครุฑกับนาคไว้ข้างล่าง นอกนั้นก็แล้วแต่เราสบายใจ เพราะครุฑกับนาคไม่ใช่เทวดา แต่เป็นสัตว์เดรัจฉาน..! ที่แน่ ๆ คืออย่าไปจับหันหน้าเข้าหากัน เดี๋ยวครุฑจะทำท่าน้ำลายไหล...!

เถรี
04-04-2016, 14:19
ถาม : ลูกทำกรรมอะไรไว้ถึงมักจะติดขัดเสมอ ? เช่น ตกลงหาวันที่จะเดินทางไปทำบุญแล้ว หารถเรียบร้อยแล้ว พอถึงวัน ก็มาป่วยหนักบ้าง หรือไม่ก็โดนบอกว่ารถเต็ม ทั้ง ๆ ที่เราหารถล่วงหน้าไว้เป็นเดือน ลูกคิดเสมอเลยทำไมถึงต้องเป็นเราเหมือนโดนอะไรขวางตลอดเลยครับ พอจะมีวิธีแก้บ้างไหมครับผม ?
ตอบ : ถ้าเอาอย่างอาตมา ไม่มีรถก็เดินไป...จบเลย สมัยที่ไปพม่า บางทีเราต้องการเดินทางแล้วทหารปิดด่าน ไม่ให้ผ่าน หรือไปตรงกับวันไม่ดี รถเขาไม่วิ่ง อาตมาใช้วิธีเดินเอา อยากรู้ว่าเดินแค่ไหน ? ไปถามทิดตู่ดู เดินจนขาลาก ก็คือจะไปเสียอย่าง

ที่คุณพูดมานี่ต้องบอกว่า อุปสรรคนิดหน่อยก็ท้อเสียแล้ว ในเมื่อไม่มีรถไป เราก็ไปเรือ ไม่มีเรือไป เราก็ไปเครื่องบิน ไปจนได้แหละ ส่วนถ้าจะแก้ไขก็ใช้วิธีจองรถเผื่อไว้ รายนี้พังก็ไปอีกราย

เถรี
04-04-2016, 14:23
ถาม : ธรรมกับอธรรม เป็นสิ่งที่เป็นคู่กันอย่างสมมาตร แพ้ชนะสลับกันไป ตามแต่กาลเวลา หรือว่าธรรมจะอยู่เหนืออธรรมอยู่เสมอตลอดกาล ดังคำพูดที่ว่า "ธรรมย่อมชนะอธรรม" ครับ คือถ้าเป็นสิ่งที่คู่กันอย่างสมมาตรแล้ว ทางฝ่ายอธรรมก็น่าจะมีองค์สูงสุดในฝ่ายอธรรม ที่มีอำนาจวาสนาบารมี และบริวาร เทียบเท่ากับพระพุทธเจ้าในฝ่ายธรรม ได้กำเนิดขึ้นมาในบางยุคสมัย และอธรรมก็จะอยู่เหนือธรรมะในยุคนั้น ใช่หรือเปล่าครับ ? ที่ผมถามคำถามนี้เพื่อที่จะได้ไม่ชะล่าใจว่า ธรรมย่อมชนะอธรรมเสมอทุกภพทุกชาติไปครับ

ตอบ : ชะล่าใจตั้งแต่ถามแล้ว สงสัยเล่นวิดีโอเกมส์มากเกินไป เรื่องของธรรมะหรืออธรรมอยู่ที่กำลังใจของเรา ถ้ามีกำลังใจต่อสู้ฟันฝ่าจริง ๆ ท้ายสุดเราก็ชนะ แต่ถ้าไม่มีกำลังใจที่จะต่อสู้ฟันฝ่า มีอุปสรรคนิดหน่อยก็ท้อถอยเสียแล้ว อธรรมก็ชนะตลอดไป

จำไว้ว่า คำว่า "ธรรมะย่อมชนะอธรรม" เป็นเพียงภาษิตที่คนพูดขึ้นมาเท่านั้น ไม่ใช่สัจธรรมของพระพุทธเจ้า แค่ให้กำลังใจคนขี้แพ้ว่าพยายามสู้หน่อยเดี๋ยวก็ชนะ เป็นภาษิตคือคำพูดสวย ๆ ไว้ให้กำลังใจ แต่ไม่ใช่สัจธรรม

เถรี
04-04-2016, 14:26
ถาม : ถ้าเป็นขยะในวัดแล้วเราไปเก็บมา เราจะเป็นหนี้สงฆ์หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจเก็บแต่ขวดอย่างเดียวเพื่อเอาไปขายก็เป็นหนี้สงฆ์ แต่ถ้าตั้งใจทำความสะอาดวัดก็ขนไปเถอะ

ถาม : รถเก็บขยะที่มาเก็บขยะในวัดก็ไม่เป็นหนี้สงฆ์ ?
ตอบ : ถ้าเขาไม่มาเก็บขยะ สงฆ์นั่นแหละจะเดือดร้อน..!

เถรี
05-04-2016, 12:05
ถาม : เป็นนิ่วในไตค่ะ แก้อย่างไร ?
ตอบ : ถ้าเป็นนิ่วในไตให้หาสัปปะรดมากินสักอาทิตย์ละครั้งสองครั้ง เดี๋ยวก็หายเอง มีอยู่รายหนึ่งจะผ่าตัดพรุ่งนี้ โทรมาถาม ก็เลยบอกว่าถ้าผู้การไม่อยากเจ็บตัวก็ไปหาสัปปะรดมาสองลูก กินเข้าไปให้หมด กินแทนข้าวไปเลย ยอมลิ้นแตกหน่อย แล้วรุ่งขึ้นไปให้เขาเอ็กซเรย์ใหม่ก่อนผ่าตัด เขาก็ยอมทำตาม ปรากฏว่ารุ่งขึ้นนิ่วไม่มีแล้ว โดนสัปปะรดละลายเกลี้ยงไปแล้ว

สัปปะรดเป็นกรด ส่วนนิ่วเป็นด่าง ก็คือเป็นส่วนของหินปูน ไม่สามารถที่จะสู้กรดได้ ใครกลัวเป็นนิ่วก็หาสัปปะรดมากินสักอาทิตย์ละครั้ง จะได้สนับสนุนเกษตรกรเราด้วย ส่วนใหญ่ที่เป็นนิ่วเพราะดื่มน้ำน้อย ถ้าดื่มให้ได้วันละ ๖-๘ ลิตร รับประกันได้ว่าไม่เป็นนิ่วหรอก

เถรี
05-04-2016, 12:10
"คด" เป็นของศักดิ์สิทธิ์โดยธรรมชาติอย่างหนึ่ง เกิดจากพลังงานพิเศษบางอย่างลงไปเกาะวัตถุปกติจนแปรสภาพไป โบราณเขาเรียกว่า "แก้ว" ทั้ง ๆ ที่มีสภาพเหมือนกับหิน แต่เขาเรียกว่าแก้วทั้งหมด ส่วนนิ่วที่เกิดขึ้นกับเราไม่ใช่หินในลักษณะนั้น เป็นหินปูนที่สะสมจากอาหารการกินของเราเอง ต่อให้นิ่วก้อนใหญ่แค่ไหนก็ไม่ใช่คด

สิ่งที่เกิดกับคนแล้วขลังก็มีตับคนเป็นเหล็ก ไม่ใช่เหล็กตับแข็ง มีตับเหล็ก เคราทองแดง เกล้านางนี เขี้ยวแก้ว สำหรับเกล้านางนีทรงผมจะม้วนเป็นทรงเจดีย์เอง ต่อให้ไปดัดไปยืดอย่างไรก็ตาม นอนสักตื่นหนึ่งก็กลับไปเป็นทรงเดิม เขาเชื่อว่าบุคคลที่เป็นพระโพธิสัตว์บารมีเข้มจึงจะมีทรงผมแบบนั้น ส่วนเขี้ยวแก้ว เป็นเขี้ยวที่ขึ้นจากเพดานปาก ถ้าภาษาหมอฟันก็คือฟันเก แต่เขาเชื่อว่าให้คุณแก่เจ้าของ

เถรี
05-04-2016, 12:19
ถาม : ถ้าเราตั้งเวลาปฏิบัติไว้ชั่วโมงครึ่ง แล้วมีคนโทรเข้ามาบ้าง มาเรียกบ้าง ประเภทต้องออกไปคุยกับเขา ทำให้รู้สึกขุ่นมัวที่ไม่ได้ทำตามเวลาที่กำหนดไว้ ตรงนี้จะได้กุศลหรือไม่ครับ ?
ตอบ : กุศลยังเท่าเดิม แต่อกุศลกำลังงอกงาม..!

ถาม : อ๋อ...แยกกัน ?
ตอบ : แยกกัน เพราะฉะนั้น...พยายามระมัดระวังไว้ ต่อให้มีเรื่องเข้ามารบกวนอย่างไร ก็ต้องรักษาอารมณ์ของเราไว้ ให้สติอยู่กับเฉพาะหน้า อยู่กับปัจจุบัน รับมือกับสิ่งนั้น ๆ เสร็จแล้ว ก็กลับสู่อารมณ์ภาวนาเราตามเดิม ไปซ้อมให้คล่อง ๆ ไว้ จะได้ไม่อารมณ์ขุ่นมัว

เถรี
05-04-2016, 13:35
ถาม : มีคนเขาทำอาชีพขายซากสัตว์ แต่เป็นสัตว์หายากผิดกฎหมาย เขาสงสัยว่าจะบาปไหมคะ ?
ตอบ : ต่อให้ไม่ผิดกฎหมายก็บาป บาปกับกฎหมายเป็นคนละเรื่องกัน อย่าลืมว่าฆ่าสัตว์ผิดศีลตรง ๆ อยู่แล้ว

ถาม : เขาไม่ได้ฆ่าค่ะ แค่รับมาขายต่อเฉย ๆ ค่ะ ?
ตอบ : ไม่รับได้แหละดี ไม่อย่างนั้นก็ติดคุกด้วย

สัตว์ป่าสงวน ห้ามแม้แต่มีซากไว้ในความครอบครอง สัตว์ป่าคุ้มครองเลี้ยงไว้เพื่อการศึกษาได้แต่ห้ามล่า แต่ว่าการเลี้ยงไว้เพื่อการศึกษา ส่วนใหญ่ระบุว่าให้เลี้ยงแค่ตัวเดียว อาตมายังสงสัยอยู่ เลี้ยงตัวเดียวจะไปศึกษาอะไร ? เพราะมีลูกมีหลานไม่ได้

สมัยก่อนอาตมาเลี้ยงสัตว์พวกนี้อยู่ เคยทำเรื่องขออนุญาตป่าไม้ ก็เลยค่อนข้างที่จะเข้าใจขั้นตอนของเขา แต่แปลกใจอยู่ว่าอนุญาตให้เลี้ยงตัวเดียว เลี้ยงตัวเดียวอ้างว่าเพื่อการศึกษา จะศึกษาตรงไหน ? มีคู่ไม่ได้ มีลูกไม่ได้ มีหลานไม่ได้ แล้วจะไปศึกษาวงจรชีวิตของเขาอย่างไร ?

เถรี
05-04-2016, 13:37
สมัยก่อนนั้นที่เลี้ยงก็มีอีเห็น หมีควาย ชะนี ลิง ล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์ที่ชาวบ้านเขาเลี้ยงไม่ไหวแล้วเอามาโละให้พระ...น่าตายมาก..!

ลูกหมีควายอาตมาเลี้ยงได้คืนเดียว ก็แหกหน้าต่างกระจายไปเลย ออกทางหน้าต่างหนีไป คือที่เกาะพระฤๅษีไม่ได้ทำเหล็กดัด มีแต่มุ้งลวดใส่ไว้เฉย ๆ หมีพังมุ้งลวดออกทางหน้าต่าง ก่อนหน้านี้ชาวบ้านเขาขังไว้ในถัง ๒๐๐ ลิตร ซึ่งก้นถังก็แคบหน่อยเดียว ถ้าหมีนั่งเต็ม ๆ ก็หมดไปครึ่งถังแล้ว ด้วยความสงสาร พอเขาเอามาให้ก็เลยเลี้ยงเอาไว้ในหอฉัน เพราะว่ากว้างดี ปรากฏว่าหมีเปิดประตูไม่เป็น แต่แหกหน้าต่างออกไป

แล้วก็มีนกเงือกใหญ่ ตัวนี้ไม่ได้เจตนาเลี้ยง หน้าแล้งแบบตอนช่วงนี้คงหาอะไรกินไม่ได้ หมดแรงตกลงมาที่เกาะพระฤๅษี ก็เลยเอามะปรางประมาณสักครึ่งกิโลกรัมกรอกปากเข้าไป มะปรางลูกใหญ่ของเราเขากลืนคำเดียวหมด แล้วก็ตามด้วยนมกล่องอีกหนึ่งกล่อง พอมีแรงก็บินต่อได้ นกเงือกใหญ่ถ้าเป็นตัวผู้วงตาด้านในจะเป็นสีแดง ถ้าเป็นตัวเมียจะไม่มีสีแดง จำไว้แม่น ๆ เดี๋ยวแยกไม่ออกว่าตัวไหนตัวผู้ ตัวไหนตัวเมีย นกเงือกใหญ่บางคนเรียกว่านกกก ภาษาชาวบ้านเรียกกะวะบ้าง กาฮังบ้าง เวลาบินมาแต่ละทีเสียงดังอย่างกับเฮลิคอปเตอร์มา

เถรี
05-04-2016, 13:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้อาตมารอคนเก่าแก่อยู่คณะหนึ่ง ไม่รู้จะมาวันนี้หรือพรุ่งนี้ ก็คือบรรดาอดีตและปัจจุบันของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทหารเรือ เพราะว่าสมัยก่อนไปเฝ้าไข้หลวงปู่มหาอำพัน เลยสนิทสนมคุ้นเคยกัน ปรากฏว่า ๓๐ ปีให้หลังเขาค่อยติดต่อมาใหม่ เขาบอกว่าเห็นรูปใน Facebook แล้ว ต้องใช่แน่ ๆ เลย หน้าตาอย่างนี้ไม่เปลี่ยนเลย เขาว่าอย่างนั้น ความจริงก็เปลี่ยนนะ แต่เปลี่ยนน้อยหน่อย"

เถรี
05-04-2016, 13:40
พระอาจารย์กล่าวกับพระวัดท่าขนุนที่ไปเรียนบาลีว่า "ท่านเจ้าคุณพระราชโมลี รองเจ้าคณะภาค ๑ วัดหงส์รัตนาราม ก่อนหน้านี้ท่านเป็นพระมหามีชัย วีรปญฺโญ เปรียญธรรม ๙ ประโยค ท่านสอนอาตมาตั้งแต่สมัยปริญญาตรี ท่านเรียนบาลีประโยค ๑ ยันประโยค ๙ ใช้เวลา ๘ ปี เรียนถวายว่า "ท่านเจ้าคุณอาจารย์เก่งมากเลยนะครับ ๘ ปีจบ" ท่านบอกว่า "พวกคุณมองว่าผมเก่ง แต่ผมดูหนังสือวันละ ๑๐ ชั่วโมงนะ"

ท่านบอกว่าสูบบุหรี่วันหนึ่ง ๓-๔ ซอง ผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก จนกระทั่งเพื่อน ๆ บอกว่ามะเร็งกินแน่นอน แต่ความจริงคือท่านเครียดกับเรื่องการเรียน แต่ตะลุยทีเดียวจบเลย ๘ ปีตั้งแต่ประโยค ๑ ถึงประโยค ๙ ไม่ตกเลยสักทีเดียว ลองดูว่าคนเก่งเขาทำกันอย่างไร คนเก่งดูหนังสือวันละ ๑๐ ชั่วโมง แล้วคนไม่เก่งดูวันละกี่ชั่วโมง ?"

เถรี
05-04-2016, 20:11
พระอาจารย์กล่าวว่า "มัคคนายกระยะนี้แขวนคอสมาชิกเป็นว่าเล่น พูดกันภาษานักรบก็คือศพตายเกลื่อนเว็บ แต่ละงวดของการตัดยอดโอนมีคนตายคาเว็บเยอะมาก แต่กติกาจำเป็นต้องเข้มงวดแบบนี้ เพราะว่าบางคนจองไว้แล้วก็ไม่โอนเงินให้ เป็นการทำให้คนอื่นที่ต้องการเสียสิทธิ์ไป บางคนจองไว้เยอะมากเลย ๒๐-๓๐ องค์ พอไม่โอนเงิน คนที่ควรจะได้เขาก็ไม่ได้"

เถรี
05-04-2016, 20:15
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนสมัยก่อนมักจะตั้งชื่อลูกหลานง่าย ๆ และสั้น ๆ เพราะถ้าตั้งชื่อยาว เขาว่า "ทำอะไรเทียมเจ้าเทียมนาย จัญไรจะกินหัว" สมัยก่อนชื่อยาว ๆ มีแต่ลูกท่านหลานเธอที่อยู่ในรั้วในวัง ที่น่าเกลียดที่สุดก็คือ สมัยนี้ตั้งชื่ออย่างไรไม่รู้ ? ทั้งอ่านยาก ทั้งแปลไม่ออก"

เถรี
05-04-2016, 20:17
พระอาจารย์เล่าว่า "น่าจะช่วงต้นปี ๒๕๒๗ ไปกราบเรียนถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า "หลวงพ่อครับ เล่นหวยผิดศีลไหมครับ ?" ท่านบอกว่า "ถ้าเป็นหวยรัฐบาลไม่ผิดหรอก แต่มันร้อน" อาตมาได้ยินนี่สะดุ้งเฮือกเลย เพราะว่าพอเวลาซื้อหวยแล้วก็นั่งลุ้น มักจะคิดฟุ้งซ่านไปก่อนว่า ถ้าถูกรางวัลนั้นรางวัลนี้จะทำอย่างนั้นจะทำอย่างนี้ จิตใจเร่าร้อนวุ่นวาย หาความสงบไม่ได้ พอได้ยินท่านพูดอย่างนั้นจึงตั้งใจถวายท่านไปเลย ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปไม่เล่นอีก แต่ก็ยังมีนะ ยังมีโยมเขาหวังรวย ซื้อหวยแล้วแบ่งมาถวายเป็นระยะ ๆ"

เถรี
05-04-2016, 20:22
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ ๗๐ ปีแล้ว ถ้าสุขภาพพลานามัยของพระองค์ท่านพอทนได้ อีกสัก ๕ ปีจะมีงานฉลองที่ยังไม่มีใครในโลกได้ฉลอง โดยปกติ ๖๐ ปีน่าจะเป็นวัชราภิเษก แต่ของเราไม่ใช่ เขาบอกว่าต้อง ๗๕ ปี คนเราจะอายุ ๗๕ ปีก็ยากแล้ว จะไปครองราชย์อะไรตั้ง ๗๕ ปี อย่างปัจจุบันของพระองค์ท่านก็ปีที่ ๗๐ เข้าไปแล้ว

ไม่มีพระมหากษัตริย์องค์ใดในโลก ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันที่ครองราชย์ได้นานขนาดนี้ สูงสุดคือพระนางเจ้าวิกตอเรียก็แค่ ๖๓ ปี"

เถรี
05-04-2016, 20:25
พระอาจารย์กล่าวว่า "มาเดากันว่าอธิบดีกรมศุลกากรจะโดนย้ายหรือเปล่า ? เพราะท่านออกมายืนยันว่าหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำไม่ผิด เพราะศาลฎีการะบุไว้ชัดแล้วว่า ครอบครองโดยไม่รู้ว่าต้องเสียภาษี ไม่ถือว่ามีความผิด เพราะว่าเคยตัดสินมาแล้ว ท่านบอกว่าท่านทนความอยุติธรรมไม่ได้ โดยเฉพาะคนรุมกันรังแกพระ ท่านก็เลยต้องออกมาพูด

แต่ทีนี้ออกมาพูด ความต้องการตรงข้ามกับคนอื่น ต้องบอกว่าบางทีรัฐบาลเราก็ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ มี ม.๔๔ อยู่ในมือ ถ้าตั้งใจจะเล่นงานวัดธรรมกายก็เล่นไปเลย ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับวัดปากน้ำนี่ ไม่ใช่ว่าลูกทำผิดแล้วไปเล่นงานพ่อ โดยที่คิดเอาไว้ก่อนว่าพ่อต้องช่วยลูก ประเภทนี้เขาเรียกว่าใช้หัวแม่เท้าคิดแทนสมอง ก็เลยทำให้เรื่องที่ไม่ควรจะวุ่นวายกลายเป็นวุ่นวายไปหมด

ต้องบอกว่าโชคดีที่หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านมีเมตตาและใจเย็นมาก ไม่อย่างนั้นด้วยภาวะระดับท่านนี่ ได้วุ่นวายกันบรรลัยเลย ประเภทโทรศัพท์หาลูกศิษย์ใหญ่ ๆ โต ๆ ให้ไปบู๊แทน เดี๋ยวก็ได้ตีกันแหลกทั้งบ้านทั้งเมือง..!

ตอนที่จะสอบพระอุปัชฌาย์ กำลังอบรมอยู่ที่วัดสามพระยา หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านก็มาเยี่ยม แล้วก็บอกว่า "เรื่องนี้ให้นิ่ง อย่าไปพูด เพราะถ้าหากไปพูดเรื่องก็จะไม่รู้จบ" ทีนี้นอกจากบอกพวกเราแล้ว ท่านยังนิ่งเองด้วย ก็ไม่เห็นท่านจะไปวุ่นวายอะไรกับเขา โดยเฉพาะสิ่งที่บางคนทำ มีแต่สร้างความไม่เลื่อมใสให้แก่คนมากไปเรื่อย ๆ เพราะเขาตั้งใจลดความน่าเชื่อถือ หรือความน่าเลื่อมใสของพระศาสนาอยู่แล้ว ต้องบอกว่า วัวใครก็เข้าคอกคนนั้น กรรมใครกรรมมัน"

เถรี
07-04-2016, 12:28
พระอาจารย์เล่าว่า "ป้าตุ่นกรรมการวัดท่าขนุน อยู่ ๆ ความซวยก็มาเยือน ขับรถอยู่ดี ๆ มีคนเอาหัวมาให้ทับ..! เป็นทิดซึ่งเคยบวชที่วัดท่าขนุนนั่นแหละ จำไว้เลยนะว่าเขาโดนรถทับเพราะอะไร มือหนึ่งเล่นไลน์ มือหนึ่งขับมอเตอร์ไซค์ แล้วรถล้ม ล้มแล้วกระเด็นเอาหัวแหย่เข้าไปใต้ล้อรถของป้าตุ่นที่กำลังวิ่งมาพอดี ความซวยจึงมาเยือนป้าตุ่น อยู่ ๆ ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิต ตรงนั้นไม่เป็นไรหรอก ยังพอเคลียร์กันได้ เพราะมุมที่ชนมีกล้องวงจรปิดอยู่ ถึงจะโดนแจ้งข้อหา อย่างไรป้าเขาก็ไม่ผิดหรอก แต่ป้าทำใจไม่ได้ที่ขับรถทับคนตาย ป้าก็เลยระดมลูกน้องมา ๕-๖ คน มาช่วยกันบวชให้เขาหน่อย"

เถรี
07-04-2016, 12:30
พระอาจารย์กล่าวเตือนแม่ชีที่เพิ่งบวชใหม่ว่า "อย่าเชียวนะ...ถ้าควบคุมความร่าเริงไม่ได้จะทำให้เสียสถาบันแม่ชี เพราะฉะนั้น...ต่อไปนี้ต้องสำรวมให้มาก ๆ ไม่อย่างนั้นจะพาส่วนรวมเขาเสียไปด้วย"

เถรี
07-04-2016, 12:35
พระอาจารย์กล่าวว่า "นโยบายเจ้าคณะภาค ๑๔ ปัจจุบันนี้ต้องบอกว่า เป็นเจ้าคณะภาคที่ดังที่สุดและโหดที่สุด นโยบายของท่านคือ พระบวชมาอย่าให้พูดว่าบวชแล้วสบาย ให้เขาออกไปคร่ำครวญว่า บวชเข้ามาอยู่ยากฉิบหา...เลย เป็นนโยบายที่เข้าท่าดี แต่ต่อไปจะหาพระบวชไม่ได้

ท่านต้องการทำให้เขารู้ว่า สถาบันสงฆ์ของเราเข้มงวดเอาจริงเอาจังต่อบุคลากร แต่จะหาพระบวชไม่ได้ เพราะปกติก็ไม่ค่อยอยากจะบวชกันอยู่แล้ว เดี๋ยวนี้แค่บวชเอาพรรษายังมีน้อยมากเลย อย่างเก่งก็บวชกันแค่ ๓ วัน ๗ วัน แล้วไปเข้มงวดเสียขนาดนั้น ต่อไป ๓ วัน ๗ วันก็คงไม่บวชกันหรอก

แต่อาตมาก็เริ่มตั้งแต่ออกพรรษาที่ผ่านมา ใครอาราธนาศีล อาราธนาธรรม อาราธนาพระปริตรไม่ได้ไม่ต้องสึก...! ไม่อย่างนั้นเขาว่าบวชมาแล้วอาราธนาศีลหน่อย “ไม่ได้ครับ” บวชมาแล้วอาราธนาธรรมหน่อย “ไม่ได้ครับ” บวชมาแล้วอาราธนาพระปริตรหน่อย “ไม่ได้ครับ” พอถามว่ามาจากวัดไหน ? ไปบอกว่าวัดท่าขนุน ก็บรรลัยสิ เพราะฉะนั้น...ใครรู้ตัวจะบวชวัดท่าขนุนท่อง ๓-๔ อย่างนี้มาให้ได้ก่อน ถ้าไม่ได้ไม่ต้องมาบวชหรอก เพราะถ้าบวชก็ไม่ได้สึก

เมื่อต้นเดือนมีทิดท่านหนึ่งกำลังจะสึก ท่องอาราธนาพระปริตรไม่ได้ สลับไปสลับมา ก็เลยบอกว่า จำไว้...โบราณเขาบอกว่า “ทุกข์อยู่ที่หัว กลัวอยู่ที่อก โรคอยู่ที่ท้อง” ไล่ตามไปเลย ๑-๒-๓ ทุกข์อยู่ที่หัว เริ่มต้นใช่ไหม ? สัพพะทุกขะวินาสายะ ต่อไปกลัว ความกลัวคือกลัวภัย กลัวอยู่ตรงกลางคืออก สัพพะภะยะวินาสายะ โรคอยู่ที่ท้อง โรคอยู่ต่ำสุด มาหลังสุด ก็สัพพะโรคะวินาสายะ อันสุดท้าย คนนี้มีแววดี พอให้เคล็ดลับไปเขาก็ท่องได้เดี๋ยวนั้นเลย บอกไปว่า ถ้าไม่ได้ให้ไปท่องให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาขอสึก แต่พอไม่สับสนแล้ว เขาก็ได้เดี๋ยวนั้นเลย"

เถรี
07-04-2016, 12:53
ถาม : หลังจากอโหสิกรรมไปแล้ว ผู้หญิงเขาตามมา เขาเป็นเทวดา .....(ไม่ชัด).... ?
ตอบ : พวกนี้เหมือนกับเป็นเทวดาชั้นต่ำ คุณเคยแปลเรื่องกุสนาฬิเทวดาหรือเปล่า ? ที่แปลงเป็นกิ้งก่ามุดต้นไม้ ก็เลยทำให้รุกขเทวดาเขารอด เพราะไม่โดนตัดต้นไม้เอาไปทำเสาหลักเมือง กุสนาฬิเทวดาต้องอาศัยอยู่กับกอหญ้าคา คือท่านทั้งหลายเหล่านี้ศักดานุภาพน้อย ถ้าเจ้าถิ่นไม่อนุญาตก็ไม่มีสิทธิ์อยู่ด้วย ในเมื่อเขาอนุญาตให้อยู่ได้ตรงไหนก็อยู่ได้แค่ตรงนั้น

นางยักษิณีเป็นต้นแบบของการที่พวกเราสังเวยนา อย่างที่อีสานของเรามี "นาตาแฮก" ที่ถึงเวลาต้องสังเวยนาก่อน เพราะนางยักษิณีมีความเป็นทิพย์อยู่ พอถึงเวลาปีนี้น้ำน้อย ก็จะบอกว่าให้ปลูกข้าวในที่ลุ่มนะ ถ้าปีนี้น้ำมาก ให้ปลูกข้าวในที่ดอนนะ กลายเป็นว่าชาวนาร่ำรวยขึ้นมาได้เพราะนางยักษิณีบอก เขาก็เลยแสดงความกตัญญูด้วยการเอาข้าวปลาอาหารไปเซ่นสรวงให้ได้กินอิ่มนอนสบาย ก็เลยกลายเป็นประเพณีตอบแทนสืบกันมาจนถึงปัจจุบัน

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : กรณียเมตตสูตร เทวดาอยู่สูงกว่าพระไม่ได้ เขาก็อยากให้พระไป ๆ เสียที พระก็อยู่สุขอยู่สบาย อยู่จำพรรษายาวเลย เขาเองก็เดือดร้อน ก็เลยต้องทำเสียงหลอกบ้างอะไรบ้าง เพื่อให้ไปเสียที

พอพระอยู่ไม่ได้ก็ไปทูลพระพุทธเจ้าว่าสถานที่เป็นอย่างนั้น แรก ๆ ก็อยู่สุขอยู่สบาย พอนานไป ๆ มีแต่สิ่งน่าหวาดสะดุ้ง พระพุทธเจ้าถึงได้บอกว่าลืมเอาอาวุธไป พระท่านก็สงสัยว่าพระพกอาวุธได้ด้วยหรือ ? พระพุทธเจ้าตรัสว่าได้ อาวุธของพระองค์ท่านคือกรณียเมตตสูตร บทที่อาตมาใช้เสกพระขรรค์โสฬส หลวงปู่ดู่ท่านเรียกบทพระขรรค์เพชรพระพุทธเจ้า เอาไว้เสกพระขรรค์โดยเฉพาะ

เถรี
07-04-2016, 14:20
ในเรื่องของการทำวัตถุมงคลรูปพระขรรค์ ที่ดังที่สุดในประเทศไทย คือ หลวงพ่อโสก วัดปากคลองบางครก จังหวัดเพชรบุรี พระขรรค์ของท่านทำจากเขาควายเผือกที่ถูกฟ้าผ่าตาย ทำไมท่านต้องหายากหาเย็นขนาดนั้น ...(หัวเราะ)... แล้วต้องตัดออกมาสด ๆ ด้วยนะ ไม่ใช่ไปต้มให้เขาหลุดออกมา คือถ้าตายก็ตัดเขาออกมาเลย เสร็จแล้วก็ผ่าเป็นชิ้น ๆ เพื่อที่จะเหลาเป็นพระขรรค์ ตอนที่ผ่านี่ต้องจำไว้ด้วยว่า ด้านไหนหัวด้านไหนท้าย เพราะว่าต้องเหลาไปทางปลายเขาอย่างเดียว ห้ามทวนเขาเด็ดขาด ถ้าทวนแม้แต่นิดเดียวต้องทิ้งเลย เท่ากับเสีย...ใช้งานไม่ได้

พระขรรค์ของหลวงพ่อโสกท่านนี่ถอนอาถรรพ์ทุกประเภท เรียกว่ากฤติยาคมแฝด ก็คือ ทั้งกันและแก้พร้อมกัน พระขรรค์ของหลวงพ่อโสก วัดปากคลองบางครก พวกอิสลามกลัวนักกลัวหนา เพราะท่านท่านลงแก้ไสยศาสตร์อิสลามโดยเฉพาะ แต่ก็หายากเหลือเกิน หลวงพ่อโสกท่านเป็นสหธรรมิกของหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว

เถรี
07-04-2016, 14:25
หลวงพ่อโสกดังเรื่องพระขรรค์ หลวงพ่อดิ่งดังเรื่องหนุมาน แต่ลูกอม ๗ กำลังช้างสารของหลวงพ่อดิ่งเหนียวสะเด็ดยาด ลูกศิษย์ของท่านคนหนึ่งคือเสือขาว พกลูกอมแล้วไม่เคยกลัวตำรวจ พอเจอตำรวจล้อมปราบ เสือขาวเดินลุยยิงซึ่ง ๆ หน้าเลย โดนตำรวจยิงเท่าไรก็ไม่เป็นอะไร หลวงพ่อดิ่งเตือนแล้วเตือนอีก “ไอ้ขาว...มึงทำอย่างนี้ต่อไปจะตายโหง” ลูกศิษย์ก็ไม่ฟัง ถือว่ามีดี ของอาจารย์กันลูกปืนได้แน่นอน

ปรากฏว่ากองตระเวนเขาปราบจนเหนื่อย ก็ทำอะไรไม่ได้ จึงไปถามหลวงพ่อดิ่งว่าจะแก้อย่างไร ? หลวงพ่อดิ่งบอกว่าอาตมาเป็นพระ บอกไม่ได้หรอก ท่านก็ทำถูกแล้ว ปรากฏว่าตอนลากลับ มีตาผ้าขาวที่อยู่วัดบางวัวมากระซิบบอกตำรวจ บอกว่าให้ไปหาพระขรรค์หลวงพ่อโสก วัดปากคลองบางครกมา เพราะว่าสองท่านนี้เป็นสหธรรมิกเรียนวิชาด้วยมากัน วิชาที่หลวงพ่อดิ่งทำไว้ หลวงพ่อโสกจารแก้ไว้ที่พระขรรค์หมดแล้ว

พระขรรค์ของท่านเล็กนิดเดียว เขาเรียกพระขรรค์สาลิกา ขนาดประมาณ ๑ นิ้ว ยาวสุดที่เคยเจอมาเกือบ ๕ นิ้ว โอ้โฮ...เปลืองวัสดุมากเลย พอเจ้าหน้าที่รู้ ก็ใช้วิธีอัดลูกปืนโดยเอาพระขรรค์หลวงพ่อโศกยัดเข้าไปด้วย สงสัยไหมว่าเขาอัดลูกปืนกันท่าไหน ? ก็ปืนลูกซองนั่นแหละ ถึงเวลาอัดดินเข้าไป อัดตะกั่วเข้าไป แล้วก็เอาพระขรรค์หลวงพ่อโสกใส่ไปด้วย ตูมเดียวหงิกเลย

หลวงพ่อดิ่งท่านเตือนลูกศิษย์ว่า ถ้าหากประมาทอย่างนี้ตายโหง เสือขาวประมาทเลยโดนจริง ๆ เพราะเสือขาวไม่เคยหนีตำรวจ มีแต่ยืนซัดกันซึ่ง ๆ หน้า ตำรวจโดนยิงกระจายทุกที เพราะฉะนั้น...ถ้าหากว่านับพระขรรค์ที่ดังที่สุดในประเทศไทย ต้องพระขรรค์ของหลวงพ่อโสก วัดปากคลองบางครก

เถรี
07-04-2016, 14:27
ถาม : ของปลอมมีเยอะ
ตอบ : ต้องดูเป็น เพราะว่าของจริงเขาควายเผือกจะใสเป็นน้ำผึ้งเลย ยิ่งเก่ายิ่งใส ของใหม่ไม่ใสอย่างนั้น ถ้าเป็นของใช้งานจะออกสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ ความเก่าความหดของเนื้อนั้นมีอยู่ แค่ส่องกล้องดูก็รู้แล้ว สมัยนี้ปลอมกันเช็ด

เถรี
07-04-2016, 14:30
พระอาจารย์กล่าวว่า "ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเกิดมาทำไมสายตาดี บางคนดูวัตถุมงคลเขาก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถึงเวลาอุตส่าห์บอกกับเขาว่า ลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้ วิธีดูแบบนั้นแบบนี้ เขาก็ไม่เข้าใจ บอกว่าให้นึกถึงต้นไม้สิ ถ้าเรารู้จักต้นไม้ มองไปเมื่อไรเราก็รู้ว่านี่ต้นอะไร กลายเป็นว่าอาตมาพูดง่าย ๆ แต่คนทำกลับทำได้ยาก"

เถรี
07-04-2016, 15:39
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้มณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำใกล้เสร็จแล้ว อลังการมาก ตอนที่ยังไม่ปิดทองก็ดูไม่สวย พอปิดทองนี่...แหม เสียอย่างเดียวว่าจะถ่ายรูปอย่างไรให้สวยเหมือนตาเห็น เป็นเรื่องยาก"

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=24241&d=1460018305 http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=24242&d=1460018381

เถรี
07-04-2016, 15:55
ถาม : กินยาสมุนไพร เหมือนจะปวดหลัง เขาบอกว่ากินไปทั้งขวด จะได้ล้างไต ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี ?
ตอบ : แสดงว่ายาเย็นมาก เขาเห็นว่าคุณความดันขึ้น เขาก็เลยเอาความเย็นไปลด แต่ความเย็นพอมาก ๆ ทำให้เลือดลมไม่เดิน จึงปวดหลังมาก คุณน่าจะไปฝังเข็มมากกว่า แต่ถ้าเป็นผม จะอยู่เป็นเพื่อนกับโรคไปเรื่อย ๆ จะได้คอยเตือนสติเราว่าร่างกายนี้ไม่ดี

เถรี
07-04-2016, 16:57
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในพระไตรปิฎกมีพราหมณี คือพราหมณ์ผู้หญิงท่านหนึ่ง ชื่อ ธนัญชานีพราหมณี มีชื่อปรากฏอยู่หลายพระสูตรด้วยกัน เป็นคนที่นับถือพระรัตนตรัย แต่ก็ไม่ได้ทิ้งศาสนาพราหมณ์เดิมของตัวเอง

วันหนึ่งขณะที่ยกอาหารไปประเคนให้พวกบรรดาพราหมณ์ได้ฉันกัน ก็สะดุดล้ม ด้วยความที่เคยชินเธอก็อุทานว่า “นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ” พวกพราหมณ์ได้ยินก็โกรธ บอกว่า “อีหญิงถ่อยนี่ สรรเสริญคุณพระสมณโคดมอยู่ได้ทุกวัน เราจะไปยกวาทะ ว่าพระสมณโคดมเก่งแค่ไหน” พูดง่าย ๆ ก็คือว่าจะไปโต้วาทีแข่งกัน

ธนัญชานีพราหมณีอุตส่าห์เตือนว่า “ท่านทั้งหลายอย่าได้ไปเลย เราไม่เห็นใคร ๆ ทั้งในมนุษยโลก เทวโลก ตลอดถึงมาร พรหมทั้งหลาย จะสามารถยกวาทะขึ้นให้กับพระสมณโคดมได้” พูดง่าย ๆ ก็คือ ไม่มีใครที่ไปโต้วาทีแล้วชนะ

พราหมณ์ก็ไม่เชื่อ ไปถึงก็ตั้งคำถามในลักษณะปุจฉา-วิสัชนาว่า “ดูก่อนสมณโคดม บุคคลกำจัดอะไรจึงมีความสุข ? บุคคลต้องฆ่าอะไรจึงจะมีความสุข ? ท่านเองสรรเสริญในการกำจัดธรรมอะไร ?” พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า “ฆ่าความโกรธจึงมีความสุข บุคคลสามารถกำจัดความโกรธได้จึงจะเข้าถึงความสงบ พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญการกำจัดเสียซึ่งความโกรธ ซึ่งเป็นรากเหง้าของความทุกข์ มีรากเป็นพิษ” ตกลงพราหมณ์หงายท้องตึงกลับมา ไปด้วยความโกรธ ก็เลยโดนตอกหน้ากลับมา"

เถรี
07-04-2016, 17:09
"คล้าย ๆ กับอักโกสกพราหมณ์ที่ไปด่าพระพุทธเจ้า ด่า ๆ ๆ จนสะใจ บอกว่าสมณโคดมท่านแพ้ข้าพเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า “ดูก่อนพราหมณ์ ญาติมิตรสาโลหิตที่ไปมาเยี่ยมเยือนท่านมีอยู่หรือไม่ ?” อักโกสกพราหมณ์บอกว่า ท่านไม่ได้เป็นคนตัวเปล่าเล่าเปลือย ต้องมีสิ พระองค์ตรัสว่า “เวลาเขามาเยี่ยม ท่านต้อนรับเขา ด้วยข้าว ด้วยน้ำ ด้วยอาสนะที่นั่งหรือเปล่า ?” อักโกสกพราหมณ์ก็บอกว่า ตนรู้มารยาทในสังคมดี ก็ต้องต้อนรับด้วยข้าว น้ำและอาสนะ

พระพุทธเจ้าตรัสถามต่อไปว่า “ถ้าเขาทั้งหลายเหล่านั้น ไม่บริโภคข้าว น้ำ ไม่ใช้อาสนะของท่าน สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจะตกแก่ใคร ?” อักโกสกพราหมณ์ก็บอกว่า “สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็ยังเป็นของข้าพเจ้าตามเดิม” พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า “นั่นแหละพราหมณ์ ในเมื่อท่านด่ามาแล้วเราไม่ได้ด่าตอบ สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นย่อมตกแก่ท่านตามเดิม” อันนี้แสบกว่าด่าอีกนะ

สมัยก่อนคนเขาฉลาด ขณะเดียวกันรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว พอได้ยินดังนั้นอักโกสกพราหมณ์นั่งกระโหย่ง ยกมือไหว้บอกว่า “สมณโคดม วาจาท่านเป็นภาษิตยิ่งนัก เปรียบเหมือนกับคนหงายของที่คว่ำ เปรียบประดุจบุคคลตามประทีปในที่มืด สร้างความแจ่มแจ้งให้แก่ผู้ฟังเป็นอย่างยิ่ง” เมื่อแรกตั้งใจจะด่า ท้ายสุดกลับปฏิญาณตนถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง"

เถรี
07-04-2016, 17:11
ถาม : นั่งกระโหย่งเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : นั่งแบบหลวงพ่อคูณนั่นแหละ แต่บ้านเรามาตีความว่านั่งกระโหย่งคือนั่งคุกเข่า ถ้าไม่เข้าใจภาษาบาลีไทยที่บอกว่านั่งกระโหย่งเป็นอย่างไร ก็นั่งแบบหลวงพ่อคูณนั่นแหละ แสดงว่าหลวงพ่อคูณเป็นพระโบราณ นั่งท่านั้นแล้วสบาย

เถรี
07-04-2016, 17:12
สมัยที่เรียนพระไตรปิฎกศึกษา ท่านอาจารย์พระมหาวิจิตร กลฺยาณจิตฺโต เปรียญธรรม ๘ ประโยคมาเป็นอาจารย์สอน พอมาถึงตอนอักโกสกพราหมณ์ด่า เขาด่าว่าเจ้าเป็นลา เจ้าเป็นม้า เจ้าเป็นอูฐ เจ้าเป็นคนเขลา ฯลฯ สารพัดจะด่า ท่านอาจารย์มหาวิจิตรก็นั่งปรารภว่า "ด่าเป็นม้าเป็นลาหยาบตรงไหนวะ ?" อาตมาก็บอกกับพระอาจารย์ท่านว่า “ลองเปลี่ยนเป็นไอ้เหี้..สิครับ..!”

ยุคหนึ่งสมัยหนึ่งคำด่านั้นหยาบ แต่พอเลยยุคสมัยมาแล้วกลายเป็นของไม่หยาบ พอบอกพระอาจารย์เปลี่ยนเป็นเหี้...ก็พอ ท่านแจ่มแจ้งแดงแจ๋เหมือนหงายของที่คว่ำเลย..!

เถรี
08-04-2016, 15:10
ถาม : สมัยบ้านอนุสาวรีย์ฯ หนูไปกราบเรียนว่าอยากมีน้อง แล้วหลวงพ่อให้หนูไปขอจากหลวงพ่อวัดท่าซุง ?
ตอบ : อ้อ...ได้มาเรียบร้อยแล้ว สัก ๗ ขวบค่อยเอาลูกไปบวชเณรนะจ๊ะ

ถาม : ฝึกเขาให้สวดมนต์ไว้ก่อนค่ะ ?
ตอบ : ดีแล้ว เด็ก ๆ รุ่นใหม่พยายามฝึกเขาเอาไว้ เพราะว่าเด็กสมัยนี้สมาธิน้อยลงไปเรื่อย ๆ ถ้าเราไม่ฝึกเขาไว้แต่แรก ต่อไปจะอยู่ยาก จะกลายเป็นปัญหาสังคมทีหลัง เด็ก ๆ จะทำก็ต่อเมื่อพ่อแม่นำ

ยกเว้นลูกสาวอาตมา น้องเจนนี่ถึงเวลาถ้าแม่จะนอนแล้วไม่สวดมนต์ แม่เจ้าประคุณโดดขึ้นเตียง กางมือกางตีนเต็มเตียงเลย ห้ามแม่นอนจนกว่าจะสวดมนต์ นั่นถือเป็นอภิชาตบุตร แม่สอนแล้วไม่ทำเอง ลูกไม่ยอมให้แม่นอน โดดขึ้นไปกางมือกางตีนเต็มเตียงเลย จนกว่าแม่จะสวดมนต์จึงยอมให้นอน

เถรี
08-04-2016, 15:15
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงที่ผ่านมามีเรื่องเสี่ยรถเบนซ์ขับรถชนคน คนตายเป็นนิสิต มจร. เท่ากับว่าอาตมาที่เป็นพระอาจารย์มีส่วนร่วมด้วยไปโดยปริยาย

ต้องบอกว่าสังคมของเราทุกวันนี้เกรงใจคนรวย ตั้งแต่รุ่นอาตมาแล้วนะ ๔๐-๕๐ ปีที่ผ่านมา มีคำพูดประโยคหนึ่งว่า "คนรวยทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด" แล้วเราลองคิดดูว่าถนนบ้านเราแบบนี้ ขับรถด้วยความเร็ว ๒๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ของเขา ๒๐๐ กว่าเยอะด้วย แต่ตีว่าขับรถด้วยความเร็ว ๒๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะเอาถนนที่ไหนมาวิ่ง ? ไม่ใช่ออโต้บาห์นของเยอรมันนะ

ออโต้บาห์นของเยอรบังคับว่าต้องวิ่ง ๒๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะเขามั่นใจว่า รถของเขา ถนนของเขา ปลอดภัยแน่นอน ถ้าคุณขับช้าจะอันตราย แล้วบ้านเราไปวิ่ง ๒๕๐ กว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมง สิ้นสติชัด ๆ พอเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาก็เดือดร้อนกันไปหมด ต่อให้รถดีขนาดไหนถ้าขับด้วยความเร็วขนาดนั้น ก็โดนจนได้แหละ"

เถรี
08-04-2016, 15:18
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเราช่วงนี้แล้งมาก โดยเฉพาะกาญจนบุรี พื้นที่ป่าของกาญจนบุรีมีมาก แต่ป่ากาญจนบุรีเป็นป่าเบญจพรรณที่มากไปด้วยป่าไผ่ คือปกติเบญจพรรณนี้ไม้จะคละกันไป แต่กาญจนบุรีป่าไผ่จะเกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ก็เลยทำให้บรรดาพวกสิ้นสติเผาป่ากันเป็นว่าเล่น แม้กระทั่งวัดท่าขนุนของอาตมา ไม่ได้ยุ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลย นึกสนุกขึ้นมาเขาก็เอาไฟไปแหย่ป่าไผ่เล่น ทำให้ต้องดับกันอยู่บ่อย ๆ

ช่วงเจริญกรรมฐานก็เลยขอท่านผู้เป็นใหญ่ คือเจ้าพ่อหลักเมืองกาญจนบุรี ขอฝนหลงฤดูหน่อย ให้ป่าเปียกเขาจะได้เผาไม่ติด ปรากฏว่ากระหน่ำเสียอาตมาเกือบจะกลับวัดไม่ได้ คนขับรถมองทางไม่เห็น อาศัยอานิสงส์เจริญกรรมฐานมา ๑๕ วัน อุทิศให้ท่าน แล้วขอแรงหน่อย ฝนตกตั้งแต่ท่าม่วงไปยันทองผาภูมิเลย เว้นไว้เฉพาะที่วัดนิดหนึ่งเพื่อให้อาตมาลงจากรถได้"

เถรี
08-04-2016, 15:35
พระอาจารย์พูดถึงปรอทกรอ "ปรอทของอาตมาไม่ยอมห่างตัวเลย ไม่ว่าอย่างไรก็เกาะแน่น ๆ คือปกติเวลานอนบางทีมีดพับที่พกอยู่ก็เลื่อนหลุดบ้าง แต่ปรอทกลม ๆ ไม่ยอมหลุดสักที ประเภทว่าทิ้งกันมานาน พอเจอหน้ากันใหม่จึงไม่ยอมให้หลุดมือเลย"

เถรี
08-04-2016, 15:42
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนไปรับรางวัลธรรมาภิบาลสิงห์ทอง ปรากฏว่าเขามีรางวัลสิงห์ฆเณศเอาไว้สำหรับผู้บริหารองค์กรดีเด่น ที่ได้เห็นอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ปัจจุบันผู้หญิงเก่งมีเยอะมาก จำนวนเกือบ ๒๐๐ คนที่ไปรับรางวัลเป็นผู้หญิงเกินครึ่ง แสดงว่าเดี๋ยวนี้ผู้หญิงตั้งบริษัทกันเยอะ แล้วก็ประสบความสำเร็จมากด้วย

แต่ส่วนหนึ่งที่เห็น ก็คือ เขาไปแต่งตัวประชันกัน แต่ละคนไปอย่างสุดฤทธิ์สุดเดช แต่งตัวอย่างกับจะไปงานราตรีสโมสร ไม่ใช่ไปงานรับรางวัล ไปนี่ก็เปิดหน้าเปิดหลัง โกยกันจนล้นทะลักสัก ๓-๔ เท่าของที่พ่อแม่ให้มา ไม่รู้ว่าไปโกยมาจากไหน อาตมายังบอกกับท่านมหาไชยวัฒน์ว่า “ผมเห็นแล้วเหนื่อยแทน สมัยก่อนผมเคยไปรอเขาแต่งตัว ๓ ชั่วโมง แล้วผมหนีมาบวชเลย”

โดยปกติงานที่องคมนตรีไปมอบรางวัลให้ ก็น่าจะแต่งกายให้เรียบร้อยหน่อย แต่อาตมาเกรงว่าที่เขาแต่งมานั่นคือเรียบร้อยที่สุดแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็อนาถชีวิตเลย แล้วชุดที่ประเภทยาวลากพื้น ไม่รู้ว่าเขาเดินได้อย่างไร ยังกลัว ๆ อยู่ว่าถ้าเดินเหยียบชายสะดุดลงไปจะเกิดอะไรขึ้น แต่ละคนส้นสูงมีไม่ต่ำกว่า ๔ นิ้ว มีแต่ ๔-๕ นิ้วทั้งนั้น ดูเขาแล้วก็เหนื่อยใจ"

เถรี
08-04-2016, 15:46
"อีกอย่างหนึ่งที่เห็นก็คือ ผู้หญิงสักยันต์กันเยอะมาก เปิดหลังนี่ลายพร้อยเลย ส่วนใหญ่จะเป็นยันต์หนุนดวงอะไรพวกนั้น เฉพาะผู้เข้ารับรางวัลสองร้อยกว่านี่ผู้หญิงเกินครึ่งไม่พอ แถมยังมีสักยันต์อะไรอีก จนรู้สึกว่าผู้หญิงน่ากลัว มิน่า...ผู้ชายเลยหนีไปเป็นผู้หญิงกันเสียเยอะ..!

อาจจะเป็นเพราะว่าสมัยก่อนอาตมาเป็นโรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะแพ้เครื่องสำอาง บรรดาน้อง ๆ ผู้หญิงเห็นว่าเวลาไปด้วยแล้วอาตมาจามเอา ๆ เขาก็เลยเคยชินกับการที่ไม่แต่งหน้า พอเขาไม่แต่งหน้าไป ด้วยความเคยชิน เมื่อเห็นคนอื่นแต่งหน้าแล้วรู้สึกว่าหลอก ๆ ตาอย่างไรไม่รู้

ในชีวิตเห็นผู้หญิงแต่งหน้าแล้วสวยอยู่ ๒ คน คนหนึ่งคือเพื่อนรุ่นพี่ที่คบหาสมาคมกันอยู่ จนกระทั่งเวลาไปไหนแฟนก็ยกลูกให้ไปด้วย อีกคนหนึ่งก็คือพี่สุทธิลักษณ์ ที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อวัดท่าซุงเหมือนกัน เป็นคนที่แต่งหน้าเหมือนกับไม่ได้แต่ง แปลกดี รู้สึกว่าเขาสิ้นเปลืองน้อยมาก หยิบจับอะไรขึ้นมาเติมนิดเติมหน่อยก็ไปแล้ว ในขณะที่คนอื่นแต่งไป ๓ ชั่วโมงก็ยังสวยสู้พี่เขาไม่ได้

สมัยก่อนเคยคุยข่มผู้หญิงว่า ผู้หญิงไม่สวยก็เลยต้องแต่งหน้า ส่วนผู้ชายไม่ต้องแต่งหน้าแสดงว่าจะต้องดูดีกว่าแน่ ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องแต่งแข่งกับผู้หญิง ปรากฏว่าสมัยนี้เห็นผู้ชายก็แต่งหน้า เพราะว่าที่เขามาออกการแสดงในงาน ๓-๔ ชุด โอ้โฮ...แต่งแล้วแต่งอีก เห็นเขาออกมามีผู้ชาย ๔ คน แทบจะหาผู้ชายแท้ไม่ได้เลย รู้สึกท่านทั้งหลายเหล่านี้จะชอบเรื่องเต้น ๆ รำ ๆ แล้วก็แต่งตัว เขามีความสุขของเขามาก"

เถรี
08-04-2016, 15:52
"รู้สึกว่าคนเกาหลีทั้งประเทศจะทำศัลยกรรมเสีย ๙๐ เปอร์เซ็นต์ คนที่ทำให้เกิดความนิยมของการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของตนเอง โดยเฉพาะเปลี่ยนโครงสร้างใบหน้าเลย ก็คือไมเคิล แจ๊กสัน พ่อเจ้าประคุณคนเดียวไม่รู้หมดไปกี่ร้อยกี่พันล้าน เดี๋ยวเปลี่ยนหน้า เดี๋ยวเปลี่ยนผิว พิพิธภัณฑ์มาดามทุสโซบ่นแล้วบ่นอีก พอถึงเวลาก็ต้องไปแก้รูปหุ่นตามเขา

เขารู้สึกว่าเขาขาดอะไรอยู่ จึงไปแสวงหาในทางเปลี่ยนแปลงร่างกายตนเอง เพราะคิดว่าใช่ แต่ความจริงไม่ใช่ สิ่งที่เขาขาดคือเครื่องยึดเหนี่ยวทางใจ ต้องบอกว่าเป็นที่น่าเสียดายที่ไม่มีหลักธรรมทั้งหลายไปถึง ก็เลยทำให้พวกเขาไปทุ่มเทกับการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ลักษณะเดียวกับบรรดาคณาจารย์หรือโยคีนักบวชในสมัยพุทธกาล เน้นการทรมานตัวเอง โดยที่ไม่รู้ว่าการหลุดพ้นจริง ๆ แล้วอยู่ที่กำลังใจ"

เถรี
08-04-2016, 16:04
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้พระวัดท่าขนุนสอบบาลี ๔ รูป ผ่าน ๓ ติดซ่อม ๑ แล้วไม่รู้ว่าจะซ่อมผ่านหรือเปล่า ? เพราะว่าต้องซ่อม ๒ วิชา แต่ถ้าเป็นอาตมารับรองว่าผ่าน เพราะถ้าพลาดจะรู้ว่าตัวเองพลาดตรงไหน แล้วจะรีบไปปิดจุดอ่อน แต่พอเป็นลูกศิษย์ก็เลยไม่แน่ใจ เพราะว่าบางท่านพลาดไปก็ไม่รู้ว่าตัวเองพลาดตรงไหน ถึงเวลาไปแก้ตัวก็ไม่สามารถที่จะเจาะประเด็นได้ กลายเป็นมวยวัดชกสะเปะสะปะไปเรื่อย"

เถรี
08-04-2016, 19:55
ถาม : มีคนเห็นว่ามีวิญญาณอยู่รอบตัวหนู ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า แต่รู้สึกไม่สบาย ?
ตอบ : รอบ ๆ ตัวของทุกคนบางคนมีเป็นร้อยเลย เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องไปกังวล พวกนั้นชอบพูดส่งเดชเพื่อให้เราเครียด แล้วไปขอวิธีแก้กับเขา แล้วเราก็จะเดือดร้อน ต้องจ่ายเงินไปเยอะ ๆ เป็นเทคนิคการหากินของเขา

อีกภพภูมิหนึ่งเขามีความละเอียดสูงกว่า เขาก็อยู่ปน ๆ กับพวกเรานี่แหละ แต่ว่าน้อยคนที่จะได้เห็น ถ้าหากเราเห็นนี่จะสยองเลย เพราะรอบข้างมีอยู่เต็มไปหมด เพราะฉะนั้น...เขาพูดอย่างไรก็ถูก ไม่ต้องเสียเวลาไปกลุ้มใจ ตั้งใจสวดมนต์ไหว้พระของเราทุกวัน อย่างไรก็ปลอดภัยอยู่แล้ว

เถรี
08-04-2016, 20:04
โยมมักจะไปเจอพวกหมอดูหรือร่างทรงที่ไร้จรรยาบรรณ พวกนี้จะว่าไปเรื่อย เพราะรู้ว่าพูดไปแล้วคนส่วนใหญ่จะกลัว แล้วไปขอวิธีแก้ไข วิธีแก้ไขของเขาก็ต้องสะเดาะเคราะห์ ต่อชะตา เสริมบารมี ให้ยุ่งไปหมด มีแต่เสียสตางค์

ถ้าโยมเห็นอย่างอาตมาละก็...วิ่งตับแลบเลย เพราะว่าเป็นคนชอบเดินกลางคืน อากาศเย็นดี พอเดิน ๆ ไปจนเริ่มไม่มั่นใจว่าเดินทางถูกหรือไม่ ก็จะมีเงาดำ ๆ มาโบกมือเหมือนกับเรียกว่ามาทางนี้ ถ้าแบบนั้นคงได้วิ่งกันตายจริง ๆ ตอนแรกอาตมาก็กลัว ตอนเด็ก ๆ กลัวมาก ห้องน้ำสมัยก่อนเป็นส้วมหลุม ต้องอยู่ไกล ๆ บ้าน โอ้โฮ...กลางค่ำกลางคืนจะให้ไปส้วม จ้างก็ไม่ไป อั้นจนสว่างเลย

ถาม : ยิ่งหน้าตาน่ากลัวก็ยิ่งน่าสงสาร ?
ตอบ : ต้องบอกว่าเขาหมดสภาพ เขามาได้ดีที่สุดแค่นั้น พอฝึกมโนมยิทธิได้ก็พอจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้

เถรี
08-04-2016, 20:08
พระอาจารย์เล่าว่า "วันที่ ๒๘ มีนาคม ไปงานพุทธาภิเษกวัดห้วยน้ำอุ่น ของหลวงปู่ครูบาบุญยัง ตอนแรกก็สงสัยว่า ทำไมท่านถึงจัดพิธีพุทธาภิเษกระหว่าง ๑ ทุ่มถึง ๓ ทุ่ม พอไปถึงแล้วหายสงสัย วัดของหลวงปู่ท่านประเภทแดดร้อนละลายเลย เป็นภูเขาที่แห้งแล้งมาก ภูเขาหินลูกรังล้วน ๆ ถ้าไม่จัดพิธีกลางคืนโยมคงไม่ไปกันหรอก

พอไปเห็นสถานที่ถึงได้รู้ว่า ท่านมีความอดทนและเคารพเชื่อฟังครูบาอาจารย์ขนาดไหน หลวงปู่ครูบาวงศ์ให้ท่านไปดูแลรักษาและพัฒนาวัดที่นั่น ท่านก็อยู่มาจนทุกวันนี้ ท่านเป็นลูกศิษย์รุ่นแรก ๆ ของหลวงปู่ครูบาวงศ์ พูดง่าย ๆ ว่าสมัยก่อนตอนที่ท่านไป ก็คงประเภทไม่มีใครแวะเข้าไปเลย

พอไปถึงแจ้งความจำนงว่าขอมากราบหลวงปู่ครูบา ก็ไม่มีใครสนใจ นั่งรอจนกระทั่งท่านออกมา กราบท่านเสร็จสรรพเรียบร้อย ท่านบอกให้ไปพักที่ศาลาพักอาคันตุกะที่ท่านเพิ่งสร้างใหม่ อาตมาไปถึงเห็นมีเสื่อเก่า ๆ หมอนเก่า ๆ อยู่ชุดหนึ่ง ก็นอนเขลงภาวนาอยู่นั่นแหละ พออีกสักพักหนึ่ง เสียงตึงตังโครมครามมากันเต็มไปหมด ลูกศิษย์ท่านมาช่วยทำความสะอาด มาปูเสื่อเสียเต็มศาลา เอาน้ำร้อนน้ำเย็นอะไรมาถวาย แต่หาครูบาเล็กไม่เจอ เจอแต่พระผอม ๆ รูปหนึ่งนอนคร่อกอยู่

ถ้าอาตมาไปในสภาพนั้นจะชอบมาก เพราะหลอกชาวบ้านได้ ก็คือ ท่านบอกว่าครูบาเล็กไปพักอยู่ที่โน่น ให้ไปจัดสถานที่กันหน่อย พวกลูกศิษย์ก็วิ่งกันใหญ่เลย คนโน้นพัดลม คนนี้โต๊ะ คนนั้นเก้าอี้ โน่นเสื่อนี่หมอน ฯลฯ ตกลงอาตมาไปคนเดียว เขาขนฟูกมา ๒๐ ชุด แล้วก็หาตัวไม่เจอหรอก เพราะว่าครูบาที่ท่านว่านอนอยู่บนเสื่อเก่า ๆ หมอนเก่า ๆ ภาวนาอยู่เฉย ๆ ใครจะทำอะไรก็ทำไป ภาวนาจนกระทั่งครบรอบที่ต้องการ ลุกขึ้นมาเขาถึงได้มาถามว่า "ใช่ครูบาเล็กหรือเปล่า?" ใช่ก็ใช่วะ..!"

เถรี
08-04-2016, 20:10
"เดี๋ยวนี้วัดประเภทที่ไม่ค่อยเคยเห็นหน้าอาตมานี่มีน้อยแล้วนะ อาตมาชอบไปวัดประเภทนี้ ไปแล้วได้เห็นอะไรเยอะดี

พระที่ท่านมาเข้าพิธีด้วยกัน ดูหน้าก็รู้ว่าอาตมามีอาวุโสพรรษามากกว่า ทั้งอายุทั้งพรรษาของท่านต้องน้อยกว่าแน่ ๆ อุตส่าห์ยกมือไหว้ทักทายก่อน ท่านก็เมินไม่สนใจอาตมาก็ไม่ว่าอะไร ทักทายครบถ้วนเสร็จก็ไปนั่งอ่านหนังสือรอเวลา ปรากฏว่าพออีกสักพักหนึ่งครูบาหน่อแก้วฟ้ากับคณะมา ครูบาวิฑูรย์กับคณะมา มารุมมาล้อมมากราบมาไหว้ พวกนั้นก็งง ๆ ว่าเป็นใครวะ ? จนกระทั่งหลวงพ่อครูบาสนิทมานั่นแหละ เขาเห็นอาจารย์ใหญ่แถว ๆ นั้นมาทักมาทาย ก็เพิ่งจะรู้ว่าตูคงมองข้ามใครไปสักคนแล้ว...!"

เถรี
08-04-2016, 20:14
"อาตมาไปนอนค้างที่วัดตุ๊ป้อสิงห์ ออกจากที่นี่ประมาณเที่ยงของวันที่ ๒๗ ไปถึงโน่นสองทุ่มพอดี ตอนเช้าโยมมาถวายอาหารเช้า ด้วยความที่ไม่ค่อยเรื่องมาก ก็ฉันน้ำพริกหนุ่มกับข้าวนึ่งเป็นหลัก ก็ไม่คิดว่ารุ่งเช้าจะท้องเสีย พุทธาภิเษกเสร็จกลับไปถึงวัดถ้ำป่าไผ่สามทุ่มกว่า ไปนอน รุ่งเช้าก็เดินทางต่อ ทำไมปวดท้องมาก ? พอถ่ายท้องแล้วเพิ่งจะรู้

จำไว้ว่าอย่ากินพริกเยอะ กินพริกเยอะก็ถ่ายท้องได้เหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะความเผ็ดทำให้ร่างกายต้องสร้างสารอะไรบางอย่างออกมาลดความเผ็ด คราวนี้พอสร้างเยอะ ๆ ก็เลยทำให้ปวดท้อง ท้องเสีย

สมัยก่อนตอนธุดงค์ น้ำพริกกะเหรี่ยงเผ็ดเท่าไรก็ฉันได้ ฉันจนกระทั่งออกมาข้างนอกพริกอื่นไม่มีรสเลย ถึงเวลาเขาเอาพริกดองมาหรือว่าพริกขี้หนูน้ำปลามะนาวมา อาตมาต้องช้อนเอาแต่พริก เคี้ยวเท่าไรก็ไม่รู้สึกเผ็ด เพราะลิ้นด้านไปกับพริกกะเหรี่ยงเสียแล้ว ส่วนตอนนี้น่าจะเป็นเพราะอายุมากขึ้น เพราะน้ำพริกหนุ่มก็ไม่ได้เผ็ดมากดันท้องเสีย จะเรียกพริกสาวเขาก็ไม่เรียก เรียกแต่พริกหนุ่ม"

เถรี
09-04-2016, 11:00
ถาม : ถ้าเรานึกถึงพระด้วยความเคารพไว้ได้ตลอดเวลา ภัยอะไรก็ทำอันตรายเราไม่ได้ คิดอย่างนี้ถูกต้องไหมคะ ?
ตอบ : ประมาทไปหน่อย

ถาม : ต้องขนาดไหนจึงจะรอด ?
ตอบ : ขนาดไหนก็ไม่รอด ขนาดพระโมคคัลลาน์ยังไม่รอดเลย ต้องดูวาระกรรมของเราด้วย ถ้าวาระกรรมหนักเกินไปก็รับไม่ไหว ต้องยอมเขา คือพวกเรามักจะประมาทเป็นปกติ คราวนี้พอประมาทเป็นปกติ ลืมนึกถึงครูใหญ่ ครูใหญ่คือพระพุทธเจ้าก็ยังเจ็บไข้ได้ป่วยเสียขนาดนั้น ครูใหญ่คือพระโมคคัลลาน์ก็ยังโดนเขาทำร้ายเสียขนาดนั้น อันนั้นถึงเรานึกได้ ความดีก็เป็นส่วนของความดี ความชั่วก็เป็นส่วนของความชั่ว ถ้ากำลังความชั่วแรงกว่า ความดีต้านไม่อยู่ก็ต้องรับกรรมไป

เถรี
09-04-2016, 12:28
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนต้นเดือนคุณเชวงที่ทำเรือพระราชพิธีจำลอง นำเรือไปถวายที่วัด ๓ ลำ จะเรียกว่าถวายก็ไม่ใช่หรอก เพราะว่าอาตมาสั่งทำไว้ จ่ายเงินเสร็จสรรพแกก็เชียร์จัง บอกว่ายังขาดลำนั้น ยังขาดลำนี้ คือถ้าหาเจ้าภาพได้ก็จะทำหรอก แหม...ลำหนึ่งเป็นแสน เชียร์จัง เรือพระราชพิธีจำลองที่ทำไปก็มีเรืออนันตนาคราช เรือสุพรรณหงส์ แล้วก็เรือนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่ ๙

ต้องบอกว่าจริง ๆ ควรจะมีเรืออเนกชาติภุชงค์อีกลำหนึ่งที่เป็นเรือพระที่นั่งเหมือนกัน นอกนั้นก็ประเภทเรือดั้ง เรือแซง เรือปืน ต้องบอกว่าความจริงเรือพระที่นั่งลำเดียวก็พอแล้ว ถ้าหากว่าเอาสมบูรณ์แบบเลยก็ ๒ ลำ คือในหลวงลำหนึ่ง พระราชินีลำหนึ่ง คาดว่าในหลวงก็น่าจะประทับเรืออนันตนาคราช พระราชินีประทับเรือสุพรรณหงส์ แต่ที่ผ่าน ๆ มาส่วนใหญ่แล้วพระองค์ท่านไปประทับเรือสุพรรณหงส์ เรืออนันตนาคราชเป็นเรืออัญเชิญผ้าไตร ก็เลยบอกว่ารอดูก่อน เผื่อมีใครเป็นเจ้าภาพถึงจะสั่งทำเพิ่ม

ที่มอง ๆ เอาไว้ก็น่าจะมี เรือพาลีรั้งทวีปกับเรือสุครีพครองเมือง เพราะว่าต้องเป็นเรือปืนคู่หน้า แล้วก็เรืออสุรวายุภักษ์ กับเรืออสุรปักษี เป็นเรือปืนคู่หลัง แปลว่าอย่างน้อยต้องหางบอีก ๔๐๐,๐๐๐ บาท

คุณเชวงนี่จิตวิทยาสุดยอดมากเลย ไปถึงแล้วเขาถามว่ามีแรงงานที่จะมาช่วยยกไหม ? อาตมาบอกว่ามี พรึ่บเดียวพระมา ๒๐ รูป เขายืนงง เขาบอกว่าไปวัดไหนไม่เคยเห็นพระมาช่วยยกเลย มีแต่จะเรียกชาวบ้านมาช่วยยก อาตมาว่า อ๋อ...ที่นี่บังเอิญว่ามีพระมากพอ จึงยกเรืออนันตนาคราชขึ้นไปก่อน

พอไปถึงชั้น ๓ วางตั้งเรียบร้อย เขาบอกว่า ข่าวดีครับ ลำนี้หนักที่สุด ที่เหลือเบากว่าทั้งนั้นเลย เพราะว่าเรืออนันตนาคราชเป็นเรืออัญเชิญผ้าพระกฐิน ตรงกลางก็เลยเป็นซุ้มบุษบกซึ่งสูงกว่าพระที่นั่ง ก็เลยกลายเป็นว่าทั้งฐานทั้งกล่องต้องใหญ่กว่าลำอื่น พอยกเรือนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่ ๙ กับเรือสุพรรณหงส์ที่เหลือซึ่งเป็นเรือพระที่นั่งธรรมดา ก็เลยเตี้ยกว่าเยอะ เพราะว่าไม่มีบุษบก แต่เป็นลักษณะวอซุ้มประทับนั่ง"

เถรี
09-04-2016, 12:31
"แล้วยังมีการนำเสนออีกว่า เอาเรือโบราณที่เขากำลังฮิตกันไหม ? อาตมาถามว่าเขาฮิตอะไรบ้าง ? ก็บอกว่ามีเรือเจิ้งเหอ เจิ้งเหอนี่ถือว่าไปขนสมบัติกลับบ้าน แล้วก็มีเรือวิกตอรี่ที่ออกรบไม่เคยแพ้เลย แล้วก็อีกลำหนึ่งที่เป็นเรือรบโบราณที่ใหญ่ที่สุด เขาบอกชื่อแต่จำไม่ได้ บอกว่าอันนั้นหมายถึงความมั่นคง มีการตีความอะไรเสร็จสรรพ แล้วก็เอารูปถ่ายให้ดู

เขามีการจัดสถานที่เป็นฮวงจุ้ยให้ด้วย ดูเข้าท่าดีเหมือนกัน เอาไว้ถ้าไม่มีของจะวางแล้วค่อยไปหาของใหญ่ ๆ แบบนั้น เพราะว่าเรือลำนั้น ๓ เมตรครึ่ง ใหญ่มหึมาเลย ถ้าขนาดเล็กลงก็ไม่ได้รายละเอียด ของเขาประเภทพวกเชือกพวกใบเรือ ฯลฯ ใช้งานจริงได้เลย ถ้าหากเอาอีก ๔ ลำ คงต้องจัดขบวนเรือชิดเอาไว้ด้านข้าง เอาไว้กลางห้องที่อย่างที่วางปัจจุบันนี้ไม่ได้ เพราะว่าจะยาวมาก

เขามีตู้ครอบมาเสร็จสรรพ ทำเป็นกล่อง บอกเขาให้ทำหน้าพิเศษ ๘ มิลลิเมตรให้ เพราะปกติทั่วไปเขาทำประมาณ ๕ มิลลิเมตรเท่านั้น ของเราเดินทางไกลก็เลยสั่งทำ ๘ มิลลิเมตรให้ นัดส่งของวันที่ ๑๒ ไปถึงวันที่ ๘ พอยกเข้าที่เสร็จบอกคุณเชวงว่าขอถามคำหนึ่งเถอะ "รังเกียจไหมที่จะรับเงินสด ?" เขาบอก "โอ๊ย...ไม่เป็นไรครับ ขอให้เป็นเงินเถอะ" เพราะส่วนใหญ่เขาไม่ค่อยอยากถือเงินสดเยอะ ๆ กัน เขาจะให้โอนเข้าบัญชี แกบอกของแกไม่เป็นไร คนขับรถไว้ใจได้"

เถรี
09-04-2016, 19:41
พระอาจารย์กล่าวว่า "ฝรั่งไม่เข้าใจธรรมเนียมของพระว่า สัมมาอาชีพของพระก็คือการโคจรบิณฑบาต พูดง่าย ๆ ก็คือขอเขากิน เพราะการทำอาชีพอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่สร้างภาระ ขณะเดียวกันก็สร้าง รัก โลภ โกรธ หลง ให้เกิดขึ้นง่าย พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า สัมมาอาชีวะของภิกษุคือโคจรบิณฑบาต แต่ฝรั่งเห็นเป็นการขอทาน เพราะฉะนั้น...บางประเทศพระไปเดินบิณฑบาตนี่โดนจับเลย หาว่าทำตัวเป็นขอทาน เวลาไปต่างประเทศ ส่วนใหญ่พระจึงต้องบิณฑบาตอยู่แต่ในวัด ถึงเวลาโยมคนไทยบ้าง บรรดาสามีภรรยาที่เป็นคนไทยบ้าง พาครอบครัวไปทำบุญ ก็เดินตามระเบียงรับไป

ไปนึกถึงสูจิมุขีปริพาชิกา เจอพระสารีบุตรบิณฑบาตนั่งฉันอยู่ก็ถามว่า "ดูก่อนสมณะ ท่านก้มหน้าฉันหรือเปล่า ?" พระสารีบุตรบอกว่าไม่ได้ก้มหน้าฉัน "ท่านเงยหน้าฉันหรือเปล่า ?" พระสารีบุตรบอกว่าไม่ได้เงยหน้าฉัน "ท่านดูทิศใหญ่ฉันหรือเปล่า ?" พระสารีบุตรบอกว่าไม่ได้ดูทิศใหญ่ฉัน "ท่านดูทิศน้อยฉันหรือเปล่า ?" พระสารีบุตรก็บอกว่าไม่ได้ดูทิศน้อยฉัน

สูจิมุขีปริพาชิกาก็ต่อว่า "ถามอะไรก็บอกว่าไม่ใช่สักอย่าง แล้วท่านฉันอย่างไร ?" พระสารีบุตรบอกว่า "ภคินิ...ดูก่อนน้องหญิง พราหมณ์ทั่วไปที่ดูพื้นที่ แล้วรับค่าตอบแทนเป็นอาหารบ้าง เป็นสิ่งของบ้าง เรียกว่าก้มหน้าฉัน พราหมณ์ท่านใดที่ดูดาวดูฤกษ์ให้คำแนะนำ แล้วบุคคลเกิดศรัทธา ถวายอาหารบิณฑบาต ตลอดกระทั่งสิ่งของต่าง ๆ ให้ เรียกว่าเงยหน้าฉัน พราหมณ์ท่านใดช่วยติดต่อสื่อสาร ช่วยเป็นผู้แทนให้ครอบครัวนั้นครอบครัวนี้ บุคคลนั้นบุคลคลนี้ ถือว่าเป็นผู้ดูทิศใหญ่ฉัน พราหมณ์ผู้ได้ให้คำแนะนำในการดำเนินชีวิตแก่บุคคลที่ไปสอบถาม เรียกว่าดูทิศน้อยฉัน

เราเป็นสมณศากยบุตร เว้นจากมิจฉาอาชีวะทั้งหลายเหล่านี้ ได้อาหารมาจากการโคจรบิณฑบาต เมื่อฉันแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติพรหมจรรย์ จึงไม่เรียกว่าก้มหน้าฉัน เงยหน้าฉัน ดูทิศใหญ่ฉัน ดูทิศน้อยฉัน อย่างที่น้องหญิงเข้าใจ"

เถรี
09-04-2016, 19:42
"สูจิมุขีปริพาชิกาได้ยินก็ชอบใจ กลายเป็นโฆษกให้พระ ถึงเวลาก็ไปประกาศกับชาวบ้านว่า "สมณศากยบุตรเหล่านี้ ฉันภัตตาหารที่ได้มาโดยธรรม ท่านทั้งหลายจงถวายอาหารต่อสมณศากยบุตรเหล่านี้ด้วยเถิด"

ไปนึกถึงชื่อของคุณเธอ สูจิมุขีปริพาชิกา สูจิคือเข็ม สูจิมุขีก็คือปากแหลมเหมือนเข็ม แสดงว่าต้องเป็นคนปากแหลม ๆ หน่อย แบบเดียวกับกูฏทันตพราหมณ์ พราหมณ์ฟันยื่น ชานุสโสณีพราหมณ์ พราหมณ์ขายาว เขาจะมีบอกไว้ชัด ๆ เลย ลักษณะเหมือนกับฉายาที่ประกาศให้รู้ว่าเป็นใคร ไม่อย่างนั้นชื่อก็มักจะซ้ำ ๆ กัน"

เถรี
09-04-2016, 20:28
พระอาจารย์กล่าวว่า "การจะบวชพระต้องมีบริขาร ๘ ก็คือ สบง จีวร สังฆาฏิ ประคดเอว บาตร มีดโกน เข็มและด้าย ผ้ากรองน้ำ ถามว่า ๘ อย่างนี้อะไรที่ขาดไม่ได้ ? ก็คือผ้าไตรกับบาตร เขาห้ามขาดครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งถ้าไม่มีไปหาเอาทีหลังได้ เพราะฉะนั้น...ถ้าจะบวชพระ นอกจากผ้าไตรแล้ว ก็ต้องมีบาตรมาด้วย

พอถึงเวลาคู่สวดถาม ปะริปุณณันเต ปัตตะจีวะรัง มีบาตรมีจีวรบริบูรณ์ดีแล้วหรือ ? ตอบว่า อามะ ภันเต ไม่มีก็ นัตถิ ภันเต ท่านก็ไล่ให้ไปหามาให้ครบก่อน โยมมาถึงก็บอกว่าถวายจีวรบวชพระ ๒ รูป บวชไม่ได้เพราะยังขาดบาตร ...(หัวเราะ)..."

เถรี
09-04-2016, 21:16
ถาม : ขอคำแนะนำเกี่ยวกับการพิจารณาให้เกิดความเมตตา เพราะที่แผ่เมตตาไป ยังเมตตาไม่พอ ?
ตอบ : คำว่าไม่พอเราต้องการขั้นไหน ? ถ้าจะเมตตาให้พอจริง ๆ เป็นอัปปมัญญา อย่างน้อยกำลังต้องเท่ากับพระอนาคามี พูดอีกก็ถูกอีกแหละ เรื่องของการแผ่เมตตา เราแผ่ไปตามปกติ จนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัวแล้ว ก็จับลมหายใจภาวนาต่อ เพื่อที่จะให้เป็นอัปปนาสมาธิ กำลังจะได้สูงขึ้น ทำของเราไปบ่อย ๆ ทำของเราไปเรื่อย ๆ ส่วนจะพอหรือไม่พอก็ช่าง ไม่ได้ไปทำแข่งกับใครนี่หว่า..!

ถาม : กำลังลดลงครับ พยายามอุเบกขามากขึ้น แต่เมตตาก็ตก ?
ตอบ : ในเมื่อรู้ก็พยายามปรับใหม่สิ อุเบกขาไม่ใช่เมตตาตก คุณช่วยไม่ได้ถ้าไม่อุเบกขาเดี๋ยวคุณก็บ้าเอง อุเบกขาก็มีเมตตาประกอบด้วย รอว่าถ้าช่วยได้เมื่อไรก็จะช่วย ถ้าหากว่าผ่านพ้นไปแล้วก็ต้องรอรอบใหม่ บางคนวาระรอบก็ยาวเหลือเกิน บางทีหลุดวงโคจรไปเป็นสิบ ๆ ปี กว่าจะย้อนกลับมาได้ จึงต้องไม่ประมาท พยายามสร้างบุญให้ต่อเนื่องกัน

ถาม : ขอคำแนะนำในเรื่องเมตตา กำลังไม่พอจริง ๆ ครับ
ตอบ : ไปเลี้ยงหมู เลี้ยงหมา เลี้ยงปลา เลี้ยงไก่อะไรก็ได้ ความรู้สึกเมตตาจะเกิดขึ้นเอง สารพัดเทคนิค ต้องหาเอง คนอื่นแนะนำก็เป็นเพียงคำแนะนำ จะทำได้หรือไม่ได้อยู่ที่เรา จะให้ไปเลี้ยงหมา แทนที่จะได้เมตตาเดี๋ยวกลายเป็นโทสะไปอีก

วันก่อนไปวัดถ้ำป่าไผ่ เดินออกมาตอนตีสองกว่า หมาก็แห่กันมา ๗-๘ ตัว บางตัวตะกายขึ้นหัวขึ้นหู บางตัวมาทีหลัง มาถึงแฮ่ไล่ตัวอื่น ต้องคอยดุคอยว่ามันอยู่เรื่อย ก็คือสัตว์เขาแสดงออกแบบสัตว์ เพราะว่าเขารู้แค่นั้น ส่วนเราไม่ใช่สัตว์ อะไรที่เมตตาสงเคราะห์เขาได้ก็สงเคราะห์ไป คือถ้าแมวรู้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเหม็นตลบไปหมด เขาก็คงไม่ทำหรอก แต่คราวนี้แมวมีเขตของตัวเอง ทำเครื่องหมายเขตของตัวเอง ส่วนเราไปดมก็ว่าเหม็นเป็นบ้าเลย

สัตว์เดรัจฉานด้วยสภาพหากินไม่ได้ดั่งใจ กินไม่ได้อย่างใจ นอนไม่ได้อย่างใจ มีความกลัวภัยอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเป็นสิ่งที่น่าสงสาร หรือเป็นสิ่งที่น่าโกรธ ? ต้องคิดให้เป็น คิดเป็นกำลังใจเมตตาจะมา คิดไม่เป็นก็เป็นโทสะ กลายเป็นคู่ตรงข้ามกันเลย

ถาม : กำลังไม่พอด้วยครับ
ตอบ : กำลังไม่พอก็ลดลงมาดูศีล อย่าให้ขาด ตั้งหน้าตั้งตารักษาศีลได้ เดี๋ยวตัวเมตตาก็มาเอง

เถรี
10-04-2016, 20:29
ถาม : เวลาภาวนาเสร็จ ....(ไม่ชัด).... เวลาฝึกผมฝึกไม่ได้ครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าที่เราว่าบังคับลมนั้น บังคับเองหรือเปล่า เพราะเวลาที่สมาธิทรงตัว ลมหายใจจะเปลี่ยนเองโดยอัตโนมัติ ถ้ามีความคล่องตัว เข้าสมาธิได้ระดับใดระดับหนึ่งทันที ทันทีที่ภาวนาจะไปตรงนั้นเลย ไม่ใช่เราบังคับลม แต่สมาธิจะทรงตัวในระดับนั้น ลมหายใจก็เปลี่ยนโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว จะแรงจะเบาตามระดับสมาธิของเราตอนนั้น ไม่ใช่ลมหายใจปกติ

ถาม : แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าบังคับลมตรงนี้ ?
ตอบ : ไปเปิดตำราศึกษาเอาว่า คำว่าฌานหน้าตาเป็นอย่างไร

เถรี
10-04-2016, 20:45
ถาม : กะลาตาเดียวเป็นอย่างไรคะ ?
ตอบ : ถ้าเป็นคนก็พิการ เขามี ๒ ตาแต่นี่ดันมีตาเดียว อะไรที่แปลกกว่าเขา โบราณเขาถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ในตัว โดยเฉพาะกะลาตาเดียวที่ดังที่สุดคือหลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง จะลงยันต์สุริยประภา จันทรประภาที่เป็นยันต์ของพระราหู ต้องลงให้เสร็จภายในช่วงเวลาที่ราหูอมจันทร์ ถ้าเคลื่อนผ่านพ้นไปก็ใช้ไม่ได้ ต้องรอครั้งใหม่

ฉะนั้น...ของหลวงพ่อน้อย ถึงเวลาลูกศิษย์แกะกะลาเอาไว้ พอถึงเวลาราหูอมจันทร์ ท่านก็มานั่งมองแล้วก็ลงยันต์ไล่ไปเรื่อย พอราหูเคลื่อนผ่านไป ที่เหลือก็รอครั้งหน้า เขาเชื่อว่าจะช่วยพลิกชะตากลับร้ายให้เป็นดี

ถาม : ให้โชคด้านไหนคะ ?
ตอบ : บอกไม่ถูกเหมือนกัน สมัยเด็ก ๆ เขาเอากะลาตาเดียวมาเป็นทะนานตวงข้าวสาร เขาเชื่อว่าจะทำให้มอดไม่กิน แล้วโบราณถ้าคู่บ่าวสาวแต่งงาน เขาจะเขียนชื่อ เขียนวันเดือนปีเกิดของทั้ง ๒ คน ใส่ไว้ในกะลาตาเดียว เขาเชื่อว่าจะทำให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข

ต้องบอกว่าเป็นแค่ความเชื่อ อะไรที่มงคลต้องเป็นมงคลตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ อย่างอื่นเป็นเพียงแต่มงคลภายนอกเท่านั้น มงคลภายในก็ อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา ปูชา จ ปูชะนียานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ไปเถอะ...ไปสร้างมงคลให้เกิดกับตนเองก่อน แล้วค่อยไปเอามงคลภายนอก ถ้าหาแต่มงคลภายนอกอย่างเดียวเดี๋ยวก็เจ๊ง..!

เถรี
10-04-2016, 20:46
ถาม : กราบขอพร ?
ตอบ : ขอให้ไปพระนิพพานไว ๆ ดีกว่า พรอะไรก็สู้พรนี้ไม่ได้หรอก

เถรี
10-04-2016, 20:59
ถาม : ท่านไม่แจกวัตถุมงคลให้บ้าง ?
ตอบ : หนังสือที่แจกไปนั่นแหละ เป็นมงคลที่สุดแล้ว ทำให้ได้ก็แล้วกัน

เถรี
10-04-2016, 21:00
พระอาจารย์กล่าวว่า “ประเภทที่ขนของมาวางแล้วตัดใจถวายได้เลย อาจดูเหมือนมักง่ายนะ แต่ความจริงแสดงออกซึ่งกำลังใจที่สูงกว่า”

เถรี
10-04-2016, 21:08
พระอาจารย์กล่าวว่า "ไม่ใช่อาตมาเปลี่ยนบุคลิกนะ แต่ ๓-๔ วันมานี้พระที่ท่านเคยอยู่ประจำท่านติดงาน ท่านก็เลยผลัดเวรกันมา กลายเป็นอีกท่านหนึ่ง เดี๋ยวอยู่ ๆ คิดว่าอาตมาเป็นไบโพลาร์ สงสัยว่าจะเป็นดับเบิ้ลโพล่าร์เลย แต่ไม่เป็นไรหรอก...ท่านมาองค์แรกก็หลวงพ่อรวย ๑ มาองค์สองก็หลวงพ่อรวย ๒ ไล่ไปเรื่อย

สมัยก่อนนี้ได้ยินหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “ถ้าหากว่าพระท่านติดงานก็จะให้ท่านอื่นมาแทน” ตอนนั้นยังไม่รู้ ที่ไม่รู้เพราะว่านึกเมื่อไรก็เจอท่านทุกที แต่งานนี้เปลี่ยนองค์มาจริง ๆ"

เถรี
10-04-2016, 21:20
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงที่อาตมาปฏิบัติธรรมของพระอุปัชฌาย์ใหม่อยู่ ป้าตุ่นซึ่งเป็นกรรมการวัด ขับรถเหยียบไอ้ทิดของวัดหัวบี้กระจายเต็มถนนเลย เหตุเพราะว่าไอ้ทิดของเราขับรถไป มือหนึ่งก็กดโทรศัพท์ไป รถมอเตอร์ไซค์นะ ขับมือเดียวสนุกหรือ ? ก็เลยล้ม กระเด็นไปอยู่ใต้ท้องรถที่กำลังวิ่งมา พาความซวยมาเกิดกับป้าตุ่นโดยไม่ได้เจตนา ขับรถอยู่ดี ๆ มีคนเอาหัวมาให้เหยียบ

บรรดาพระวัดท่าขนุนก็วิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นเพราะไม่ได้ใส่หมวกกันน็อกอย่างดี อาตมาก็เลยบอกว่า ต่อให้ใส่หมวกกันน็อกอย่างดีเขาก็เก็บได้ง่ายหน่อย ลองเอาหัวยื่นไปใต้ล้อ มีหมวกกันน็อกอีก ๒ ใบก็ช่วยไม่ได้หรอก

ปัจจุบันนี้โทรศัพท์โดยเฉพาะไลน์ เป็นอันตรายต่อการขับขี่ยานพาหนะอย่างมาก แต่ก็มักจะประมาทกัน พอเกิดเหตุขึ้นมาก็เดือดร้อนทั้งครอบครัวตัวเองและคนอื่น

คนตายชื่อทิดโอ ได้ยินแล้วสะดุ้งไหม ? (หัวเราะ) ทิดโอเหมือนกับรู้ว่าตัวเองหมดบุญนะ มาเป็นลูกศิษย์ถือกระป๋องตามพระ บิณฑบาตอยู่ตั้งหลายอาทิตย์ แต่ก็ไม่พอช่วยตัวเอง ตายจนได้ คือการถือกระป๋องตามพระบิณฑบาต ถ้าสักแต่ว่าเดินตามไปก็บุญน้อยไปหน่อย ต้องเดินไปภาวนาไป เหมือนอย่างกับอาตมาเวลาเดินนี่จะภาวนาได้น้ำได้เนื้อมาก ก็เลยชอบเดินธุดงค์โดยการเดินยาว ๆ ๓๐-๔๐ กิโลเมตรเป็นอย่างน้อยต่อวัน ถ้าวันไหนประเภทคึกขึ้นมา ๘๐-๙๐ กิโลเมตรก็ไปได้ ก็เลยไม่มีใครอยากเดินด้วยเพราะเดินตามกันไม่ไหว"

เถรี
10-04-2016, 21:24
"พระครูแสงตอนเป็นฆราวาสเคยถามว่า “หลวงพี่...ทุ่งใหญ่หัวท้าย ๙๓ กิโลเมตร เดินอย่างไรวันเดียวถึง ?” บอกว่า “ไม่ต้องสงสัย มาเลย” ว่าแล้วก็พาเดิน เริ่มจากตี ๓ ไปถึงบ่าย ๓ โมง ไปถึงก็ขาขวิดเป็นเลขแปดร่วงตึงเลย อาตมาถามว่าไม่หาอะไรกินก่อนหรือ ? “ไม่เอาแล้ว” ท้ายสุดก็เลยต้องเอายาแก้ไข้ใส่ปากกรอกน้ำตามไป เขาก็นอนกินอย่างนั้นแหละ แล้วสลบไสลไปเลย

ตอนแรกเขากับทิดหมู ๒ คน ทิดหมูชื่อทวี บ้านอยู่ข้างวัดตุ๊กตา อ.นครชัยศรี ออกเดินใหม่ ๆ สองคนโด๊ปยากันมาก็ใส่เต็มที่เลย มีเครื่องดื่มชูกำลังกับน้ำเกลือแร่ เดินทิ้งอาตมา ๑๐๐ กว่า ๒๐๐ เมตร อาตมาแทบจะหัวเราะ จะดูว่าเอ็งไปได้สักเท่าไร ปรากฏว่าพอฤทธิ์ยาหมดนี่คราวนี้โน่น...รั้งท้ายลิบ ๆ"

เถรี
10-04-2016, 21:34
ถาม : ตอนเดินนี่ควรจะภาวนาอย่างไรคะ ?
ตอบ : ชอบใจอะไรก็ภาวนาอย่างนั้น ไม่มีอะไรก็พุทโธ ซ้ายพุท ขวาโธก็ลงตัวพอดี แต่ถ้าเดินเป็นวัน ๆ แล้วภาวนาคาถาเงินล้านก็รวยตายเลย

ถาม : ทำได้หรือคะ ?
ตอบ : ได้....อะไรก็ได้ ให้ใจอยู่กับการภาวนา

เถรี
11-04-2016, 20:04
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีหนังสือคำสั่งให้เจ้าอาวาสใหม่ไปปฏิบัติธรรมตั้งแต่ ๑ พฤษภาคม – ๑๔ มิถุนายน รวม ๔๕ วัน อาตมายังไม่รู้ว่าคำสั่งให้เป็นพระวิปัสสนาจารย์ไปนอนรออยู่ที่วัดแล้วหรือยัง ? สรุปว่าเจ้าอาวาสใหม่พ้นจาก ๔๕ วันไปก็รอดแล้ว ส่วนพระวิปัสสนาจารย์นี่โดนทุกปี น้ำดื่มที่โยมถวายมา อาตมาจะเอาไปถวายเจ้าอาวาสใหม่ที่มาเข้าปฏิบัติธรรมด้วย

ปีนี้คณะสงฆ์หนกลางมีเจ้าอาวาสใหม่ประมาณ ๔๐๐ รูป ไม่น่าเชื่อว่า ๒๓ จังหวัด แต่ละปีนี่มีเจ้าอาวาสใหม่ประมาณ ๓๐๐ - ๔๐๐ รูป เกิดจากสาเหตุ ๑. มรณภาพ ๒. สึก ๓. ลาออก ๔. โดนปลด แต่ลาออกกับโดนปลดนี่น้อยมาก นาน ๆ จะมีสักที หลัก ๆ เลยก็คือมรณภาพกับลาสิกขาคือสึกไป

ฉะนั้น...เดี๋ยวนี้เจ้าอาวาสหาทำยายาก เพราะว่าเขากำหนดไว้เลยว่าพรรษาต้องพ้น ๕ เป็นที่เคารพของบรรพชิตและคฤหัสถ์ในบริเวณนั้น ก็เลยกลายเป็นว่า กว่าจะสร้างเจ้าอาวาสได้แต่ละรูปก็อย่างน้อยเสียเวลา ๕ ปีขึ้นไป กติกาอีกข้อหนึ่งก็คือต้องจบอย่างน้อยนักธรรมชั้นเอก ยกเว้นบางท้องถิ่นที่ผู้ปกครองพิจารณาแล้วว่าสมควรผ่อนผัน

ถ้าถามว่าพระที่สมควรผ่อนผันยกตัวอย่างได้ไหม ? ยกตัวอย่างได้ก็คือหลวงพี่แป๊ะของอาตมานี่แหละ ท่านพระครูยติธรรมานุยุต วัดสว่างอารมณ์ หรือวัดแคแถว แม้แต่นักธรรมตรีก็ไม่ได้ แต่เนื่องจากชาวบ้านเคารพนับถือมาก พระก็เคารพนับถือมาก เพราะท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คือเอาแต่ภาวนาเลยไม่ได้เรียน ท้ายสุดผู้บังคับบัญชาก็ต้องผ่อนผัน ยกขึ้นไปเป็นเจ้าอาวาส"

เถรี
11-04-2016, 20:06
"วันก่อนท่านเห็นอาตมาไปปฏิบัติธรรมของพระอุปัชฌาย์ หลวงพี่แป๊ะก็บอกว่า “ปีหน้าผมจะเป็นบ้างแล้วนะ” ถามว่าเป็นได้หรือ ? “เป็นได้...เป็นแบบวิสามัญ” ต้องเฮี้ยนแบบท่านนั่นแหละ ถึงจะได้ลงหนังสือพิมพ์บ่อย

งวดก่อนทำตะกรุดยัดใส่มืออาตมามากำหนึ่ง ถามว่าตะกรุดอะไรพี่ ? ท่านบอกว่า “ตะกรุดยันต์ ๙ แถว เอาไว้สู้กับอาจารย์หนู ของอาจารย์หนูแค่ ๕ แถว” เข้าท่าดีเหมือนกัน อาตมาทำได้แต่ตะกรุดยันต์ ๘ แถว คือยันต์เกราะเพชร มากกว่านั้นทำไม่เป็นแล้ว ...(หัวเราะ)... เดี๋ยวมะรืนก็เจอกันอีก เพราะว่ามีงานพุทธาภิเษกที่วัดละมุด นครชัยศรี

แถว ๆ นครปฐมต้องบอกว่าเป็นเมืองคนดีมาแต่อดีต อย่าลืมว่าทวารวดีคือยุคแรกของพุทธศาสนา ครูบาอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถจากอดีตถึงปัจจุบันนี้ ของนครปฐมมีรายชื่อเป็นบัญชีหางว่าวเลย ปัจจุบันนี้เกจิอาจารย์ก็มีหลายรูป อาตมานี่จะแหกคอก เป็นอาจารย์จากจังหวัดอื่นที่แทรกเข้าไปอยู่กลางวง ถึงเวลาก็ท่านโน้นท่านนี้วัดอยู่ในนครปฐม แล้วก็จะมีชื่อพระครูวิลาศฯ กาญจนบุรีโผล่ไปทุกที"

เถรี
11-04-2016, 20:10
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะหลังนี้เวลาพุทธาภิเษกเสร็จ ถ้าเทียนน้ำมนต์เหลืออยู่อาตมาก็จะปั้นเป็นลูกอม ปรากฏว่าวันก่อนพุทธาภิเษกที่วัดโคกเขมา นครชัยศรีเหมือนกัน พอลืมตาขึ้นมาพระที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ก็ฉวยเทียนไป โยมอีกคนทำท่าสะอื้น บอกว่าผมกำลังเล็งอยู่เชียว อาตมาบอกว่าเอ็งไม่ต้องสะอื้นหรอก ข้าก็เล็งอยู่เหมือนกัน...ยังไม่ได้เลย"

เถรี
11-04-2016, 20:11
ถาม : ผมจะทำบุญไถ่ชีวิตโคกระบือ ไม่ทราบว่ามีอานิสงส์อย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าอย่างอาตมาก็ไปเอามาจากโรงฆ่าสัตว์เลย ก็แปลว่าช่วยตัดกรรมใหญ่ของปาณาติบาตได้ด้วย อานิสงส์ส่วนอื่นไปอธิษฐานเอาเอง

เถรี
11-04-2016, 20:23
พระอาจารย์กล่าวว่า "สงกรานต์ปีนี้ญาติโยมท่าจะลำบากเพราะขันน้ำโดนยึดหมด..! ต้องบอกว่าจนกระทั่งทุกวันนี้เขาก็ยังไม่สามารถก้าวข้ามคุณทักษิณไปได้ ดันไปให้ความสำคัญกับเขาเอง ถ้าไม่ให้ความสำคัญ ไม่ให้ราคาก็จบแล้ว คนอยู่นอกประเทศจะแผลงฤทธิ์แผลงเดชอะไรได้นักหนา แต่ถ้าขืนเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยแล้วจะมีคนหมดความอดทน คุณทักษิณจะโดนลอบสังหารแน่นอน..!

ปัจจุบันรัฐบาลทหารที่เข้ามา ต้องบอกว่าสิ่งใดก็ตามที่เคยว่ากล่าวเอาไว้ว่ารัฐบาลคุณทักษิณก็ดี รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ก็ดีได้ทำแล้วผิด มารัฐบาลนี้ก็ทำทุกอย่าง แต่ว่าเศรษฐกิจไม่ได้เรื่อง ก็เลยทำให้ชาวบ้านเขาคิดถึงสมัยคุณทักษิณอยู่ตลอด ต้องบอกว่ารัฐบาลของเราทำตัวเอง ประเทศชาติล้าหลังตามใครไม่ทันแล้ว

ไปนึกถึงรัฐบาลพม่า ปี ๒๕๒๔ เงินพม่า ๑ จั๊ตแลกเงินไทยได้ ๒ บาท ปี ๒๕๕๙ เงินไทย ๑ บาทแลกพม่าได้ ๓๕ จั๊ต พม่าก็รู้ตัวว่าบริหารไม่เป็น ประเทศชาติล้าหลังคนอื่นไป ๒๐-๓๐ ปี ก็เลยเปลี่ยนผ่านเอารัฐบาลจากการเลือกตั้งขึ้นมา ส่วนบ้านเรานำเขาอยู่ดี ๆ กลัวประเทศชาติจะเจริญเกินไป กลับไปปฏิวัติรัฐประหารเสียนี่ กลายเป็นประชาธิปไตยของเราไปเอาเผด็จการมาใช้งานแทน ไม่ทราบว่าเห็นดีเห็นงามอย่างไร ส่วนเผด็จการเขากลับพยายามเอาประชาธิปไตยเข้ามา ดูแล้วอนาถใจพิกล

เรื่องของการเมืองจริง ๆ แล้วไม่ไปยุ่งเกี่ยวได้แหละดี ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินไป ให้ความสนใจมากก็เครียดเปล่า ๆ เพราะว่าเป็นประเภท “ขโมยร้องจับโจร” คำว่า ขโมยร้องจับโจรเกิดจากพฤติกรรมที่เห็น ๆ กันอยู่ เป็นเรื่องที่ใคร ๆ เขาก็รู้ ไม่ต้องเสียเวลามาปรับทัศนคติหรอก"

เถรี
11-04-2016, 20:26
"ในยุคของคุณทักษิณ บ้านเราจวนจะก้าวเข้าสู่ประชาธิปไตยช่วงสุดท้าย ซึ่งก็คือการมีพรรคใหญ่แค่ ๒ พรรค ถ้าก้าวไปสู่จุดนั้นเมื่อไร เราดูตัวอย่างของอังกฤษหรืออเมริกา ของเขามีแค่ ๒ พรรคแข่งกัน ถ้าใครชนะได้เป็นรัฐบาล อีกพรรคหนึ่งก็รอโอกาส ครบ ๔ ปีเลือกตั้งค่อยมาแข่งกันใหม่ ตอนช่วงคุณเป็นรัฐบาลถ้ามีผลงานอะไรดี รัฐบาลเก่าก็เอาออกมาโฆษณาให้ชาวบ้านเขารู้ พร้อมกับกำหนดแนวนโยบายใหม่ ๆ ส่วนพรรคคู่แข่งก็จะดูว่ารัฐบาลทำอะไรไม่เข้าท่าเข้าทาง แล้วพยายามเอามาขยายผลให้ชาวบ้านเขารู้ จากนั้นก็ยกนโยบายที่ตัวเองเห็นว่าดีขึ้นมาแสดง

ต้องบอกว่าประเทศที่เป็นประชาธิปไตยตัวอย่างของโลก เกือบทุกประเทศก็อยู่ในลักษณะนี้ คือถึงไม่ชอบใจก็รอ อดทนอดกลั้นให้หมดเวลาไป จะมาอ้างว่าถ้ารอแล้วประเทศชาติฉิบหาย ก็ไม่เห็นสหรัฐหรือว่าอังกฤษเขาจะฉิบหายสักที เขาก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นมามีอำนาจ ขึ้นมาแสดงผลงาน

ถ้านับในเรื่องของกำลังทหาร อเมริกาก็ต้องถือว่ามีแสนยานุภาพเป็นอันดับ ๑ ของโลก ก็ไม่เห็นเขาจะใช้กำลังปฏิวัติกัน มีแต่บ้านเราเมืองเราที่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว พยายามสร้างสถานการณ์เพื่อให้เกิดการปฏิวัติจนได้ ทั้ง ๆ ที่บ้านเราเมืองเราก้าวผ่านมานานแล้ว

ในส่วนที่อาตมาเห็นว่าคุณทักษิณมีความผิดนั้น ที่เห็นชัดเจนมีอยู่ ๒ อย่าง อย่างหนึ่งคือคุณทักษิณเป็นคนหัวแข็ง ไม่ยอมลงให้ใคร พูดง่าย ๆ ว่าเจ้าที่เจ้าทางอยู่ที่ไหน บรรดานายกฯ อื่น ๆ ไปกราบไปไหว้ แกไม่ไป ประการที่ ๒ คืออยู่นานเกินไป พออยู่นานเกินไป คนไม่ได้เป็นรัฐบาลก็เกิดอาการอย่างที่คุณบรรหาร ศิลปอาชาพูด ก็คืออดอยากปากแห้ง จึงต้องสร้างสถานการณ์เพื่อให้ตัวเองขึ้นไปเป็นรัฐบาลบ้าง แต่ปรากฏว่าทหารของเราดันบ้าจี้ เห็นดีเห็นงามไปด้วย"

เถรี
11-04-2016, 20:29
"ปัจจุบันนี้ในเรื่องการค้าขาย การลงทุน ถ้าประเทศของคุณไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่มีรัฐบาลที่มั่นคงแน่นอน ก็ไม่มีใครเขาอยากค้าขายด้วย ไม่มีใครเขาอยากลงทุนด้วย คนที่ลงทุนอยู่ก็ย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น ต่อให้บรรดาทีมเศรษฐกิจมีอีก ๕ สมคิดก็ช่วยไม่ได้หรอก เพราะเหมือนอย่างกับว่าพอคุณสมคิดสร้างเวที คนในรัฐบาลด้วยกันโดยเฉพาะนายกฯ นั่นแหละ ก็รื้อเวทีเสียเอง สถานการณ์กำลังดี ๆ ก็ไปทำให้แรงขึ้น

โดยเฉพาะไปไล่เก็บขันชาวบ้าน...ทุเรศมากเลย..! ถ้าเป็นอาตมานี่จะซื้อเพิ่มให้อีก ๒ ใบ...! เผื่อให้ไว้ใช้ตอนสงกรานต์ปีหน้าด้วย ถ้าเห็นว่ารูปคุณทักษิณกับยิ่งลักษณ์ไม่สวยไม่หล่อพอ ก็หาที่สวยที่หล่อกว่านั้นให้ แล้วก็ลงรูปไปเลย อภินันทนาการจากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สนับสนุนให้หมดเรื่องหมดราวไปเลย เขาบอกว่าถ้าไม่สามารถที่จะเปลี่ยนจากศัตรูเป็นมิตรได้ ก็จงเป็นพวกเดียวกับเขาไปก็หมดเรื่อง

พูดการเมืองนี่กำลังใจต้องนิ่งพอ ถ้าไม่นิ่งพอเมื่อไรตัวเองจะร้อนเอง เพราะฉะนั้นอย่าไปยุ่งกับมันเลย รัฐธรรมนูญใหม่ต่อให้เขียนมาดีแค่ไหนก็ตาม ใช้ไม่ได้หรอก เพราะว่าอยู่ที่คน"

เถรี
11-04-2016, 20:36
ถาม : ฟังท่านพูดแล้วถูกใจครับ ?
ตอบ : เดี๋ยวก็โดนจับไปปรับทัศนคติด้วยกันหรอก เดี๋ยวนี้พระเจ้าเขาก็ไม่เว้นนะ เมื่อเดือนก่อนเจ้าหน้าที่จากคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม จากสภาผู้แทนราษฎร อุตส่าห์มาถามตอนเลิกกรรมฐานว่า อาตมามีอะไรจะฝากถึงรัฐบาลไหม ? อาตมาบอกว่าไม่ฝาก เพราะรัฐบาลไม่เคยจริงใจกับพระเลย ต่อไปนี้พระจะเลิกใช้สันติวิธี แต่จะไปใช้กำลังแทน ได้ยินแบบนี้ไม่รู้ป่านนี้หัวหงอกกันหมดแล้วหรือยัง ?

เถรี
11-04-2016, 20:58
ถาม : ทำไมถึงชื่อหนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์คะ ?
ตอบ : ตอนแรกเขาทำหนังสือเกี่ยวกับธรรมะต่าง ๆ ที่พูดไป เลยไปนึกว่าของอาตมาเองไม่ใช่ครูบาอาจารย์ เหมือนอย่างกับนั่งฟังอยู่ข้างหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านแล้วก็จำ ๆ เอามา ก็เลยคิดว่าถ้าหลวงพ่อท่านเทศน์แล้วอาตมามีหน้าที่จำ ก็เหมือนกับกระโถนข้างธรรมาสน์ ที่คอยรองรับอะไรต่อมิอะไร จึงตั้งชื่อหนังสือแบบนี้

เถรี
11-04-2016, 21:01
ถาม : ผมอยากบวชที่วัดท่าขนุนตอนอายุ ๑๒ ครับ มีกำหนดการอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : จะบวชเดือนนี้เลยไหม ? ผ้าไตรมี หลวงพ่อเป็นพระอุปัชฌาย์ บวชให้ได้

ถาม : รอครบอายุ ๑๒ ก่อนครับ ?
ตอบ : แล้วตอนนี้อายุเท่าไรครับ ?

ถาม : ๑๑ ปีครับ
ตอบ : ๑๑ ปี ๙ เดือน ?

ถาม : ๑๑ ปี ๓ เดือนครับ
ตอบ : ปิดเทอมหน้าไปบวชได้เลย ไปอยู่ที่โน่นต้องระวัง ถ้าทำอะไรผิดหลวงพ่อตีด้วยสายไฟนะ ไม่ได้ตีด้วยไม้ สามเณรที่วัดเป็นร้อย ๆ เรียบอย่างกับผ้าพับเลย แต่พอกลับบ้านไปแล้วพ่อแม่เขาต่อยอดไม่ได้

อยู่ที่วัดพระพี่เลี้ยงแต่ละรูปจะพกไม้สามอัน ตอนแรกหลวงพ่อก็สงสัยว่าทำไมพกไม้สามอัน เขาบอกว่าถ้าตีหักเดี๋ยวต้องหาไม้อันใหม่ อาตมาประกาศไว้ชัดเจนว่า ถ้าลูกมาถึงวัด เป็นสิทธิของพระ บางทีตีไปพ่อแม่ก็นั่งร้องไห้ไป "ดีแล้วครับที่หลวงพ่อตี เพราะผมก็ไม่กล้าตี" สามเณรวัดอื่นเป็นลิงเป็นค่าง แต่สามเณรวัดท่าขนุนเรียบร้อยผิดปกติ

เถรี
11-04-2016, 21:05
แถวนั้นเขาไม่แปลกใจหรอก เขาว่า "อาจารย์เล็กดุอย่างกับหมา ตรงเวลาจนน่าเกลียด" คนจำนวนมากถ้าใช้พระคุณอย่างเดียวจะเอาไม่อยู่ ต้องใช้พระเดชด้วย พระวัดอื่นแค่ ๓ รูป ๕ รูป ทะเลาะกันจะเป็นจะตาย พระของวัดท่าขนุน ๓๐-๔๐ รูป ไม่เห็นมีปัญหา เพราะเจ้าอาวาสดุ..!

มีโยมไปที่วัดถามว่าที่วัดมีพระกี่รูป บอกว่า “ตอนนี้ ๒๗ รูป” เขาก็ตกใจ “หา...! ทำไมไม่เห็นเลย” บอกว่า “แน่จริงออกมาสิ ถ้าไม่ใช่งานแล้วออกมาเกะกะเป็นโดน...!” เขาสงสัยว่าพระ ๒๐-๓๐ รูปหายไปไหน...เงียบสนิท

ต่างจังหวัดส่วนใหญ่พอนอกพรรษาแล้วมักจะเหลือแต่เจ้าอาวาสกับเณร หรือไม่ก็เหลือเจ้าอาวาสรูปเดียว แต่ที่วัดท่าขนุนตอนแรกพอเอาไม้โหดมาใช้ หลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดท่านบอกว่า “เดี๋ยวคุณก็ได้อยู่คนเดียวหรอก” ปรากฏว่าไม่จริง พอพ่อแม่เห็นว่าเอาลูกเขาอยู่ก็ส่งมาบวชกันใหญ่

มีอยู่ปีหนึ่งเฉพาะพระใหม่ที่มาบวช ๓๖ รูป ผู้กำกับตำรวจที่ทองผาภูมิเขาบอก “สบายใจครับ อย่างไรพรรษานี้ไม่มีเหตุอะไรแน่นอน เพราะไอ้พวกเหี้... ๆ พระอาจารย์เล็กเอาไปบวชหมดแล้ว” ไม่ได้คิดจะเอาเขามาบวช ไม่รู้เขานัดกันอย่างไร ๓๐ กว่าคน มาบวชหมดเลย กลัวว่าจะมาตั้งแก๊งค์ในวัดเหมือนกัน ความจริงเขาเต็มใจมาบวชเอง แล้วบังเอิญเป็นพวกสุดแสบทั้งนั้น ตั้งแต่นั้นมาพอมีเรื่องมีราวเขาก็เห็นอาตมาเป็นมาเฟีย คือมีหน้าที่ไปเคลียร์ให้เขา คือพอมาเป็นลูกศิษย์วัด เมื่ออาจารย์สั่งเขาก็ต้องเลิก รู้สึกประหลาด ๆ ดีเหมือนกัน

โดยเฉพาะระยะนี้พวกนักการเมืองท้องถิ่น คนโน้นก็มา “อาจารย์ช่วยผมหน่อย” คนนี้ก็มา “อาจารย์ช่วยผมหน่อย” ก็เลยต้องโบ้ยไปว่า “โน่น...ไปบนหลวงปู่สายโน่น” อาตมาจะไปช่วยใครได้ ทั้ง ๒ ฝ่ายก็ลูกศิษย์วัด ต้องโยนให้เป็นหน้าที่ของหลวงปู่ ไปบนหลวงปู่เอาเอง

เถรี
18-04-2016, 22:36
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อเดิมท่านสูง ๒ เมตร กุฏิที่ท่านทำกว้างหนึ่งวา ท่านนอนหัวท้ายชนพอดี ใครจะนึกว่าหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ จะสูงขนาดนั้น แค่ยุคท่านกับเราก็ยังไม่ได้ต่างกันมาก ไปนึกถึงสมัยอยุธยา หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ท่านยืนเทียบสูงแค่หน้าอกของเจ้าสามพระยาเอง"

เถรี
18-04-2016, 22:41
"พูดถึงหลวงพ่อเดิมก็ต้องนึกถึงหลวงพ่อรุ่ง วัดหนองสีนวล หลวงพ่อรุ่งเป็นลูกของป้า ก็คือแม่ของหลวงพ่อรุ่งเป็นพี่สาวของแม่หลวงพ่อเดิม หลวงพ่อรุ่งบวชก่อน ๑๑ พรรษา ไปศึกษาวิชาก่อน ส่วนหลวงพ่อเดิมบวชทีหลังจึงไปศึกษาวิชาทีหลัง ช่วงที่ศึกษาวิชาจบมา ทดสอบทำวัตถุมงคลเครื่องรางของขลังต่าง ๆ ก็ยังต้องเดินทางไปหาหลวงพ่อรุ่ง เพื่อขอความมั่นใจอยู่บ่อย ๆ แต่หลวงพ่อเดิมดังระเบิดทั่วฟ้าเมืองไทย ขณะที่หลวงพ่อรุ่งเป็นที่รู้จักกันเฉพาะในถิ่นเท่านั้น

แบบเดียวกับหลวงปู่กลีบสอนหลวงปู่ยิ้มมากับมือ พอบอกหลวงปู่กลีบไม่ค่อยมีใครรู้จักชื่อหรอก แต่ถ้าบอกชื่อหลวงปู่ยิ้มนี่ดังทั่วเมืองไทย เพราะว่าลูกศิษย์ของท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ระดับหัวกระทิทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นหลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้ หลวงปู่ดี วัดเหนือ หลวงปู่สอน วัดทุ่งลาดหญ้า หลวงปู่เหรียญ วัดหนองบัว หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ ฯลฯ ขึ้นอยู่กับบารมีที่ท่านสร้างมาว่าบริวารมากหรือน้อย ถ้าบริวารมาก คนไปหามาก ก็โด่งดังมาก จะว่าลูกศิษย์ล้ำหน้าอาจารย์ก็ใช่

เคยกราบเรียนถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า หลวงพ่อกับหลวงปู่ปาน ใครดังกว่ากัน ? กรุณาเปรียบเทียบให้หน่อย หลวงพ่อท่านบอกหลวงปู่ปานดังกว่า หลวงปู่ปานจัดงานแต่ละที เรือแพจอดเต็มหน้าวัด เดินข้ามแม่น้ำได้เลย สมัยนั้นมีแค่พายเรือไปบอกข่าว สมัยของหลวงพ่อวัดท่าซุงมีทั้งวิทยุ มีทั้งโทรทัศน์ มีทั้งโทรศัพท์ "จัดงานทีคนของข้าประมาณ ๒ แสน ยังสู้หลวงพ่อปานไม่ได้นะ"

อาตมาตรองดูก็เห็นจริง สมัยหลวงปู่ปานหุงข้าวทีละ ๘ กระทะ หุงกันทั้งวันทั้งคืนไม่พอเลี้ยงคน อาตมาไปเจอมาที่วัดเขาตามะยะ ท่านไม่ได้หุง ๘ กระทะ แต่ท่านหุงทีหนึ่งเป็นถาดใหญ่ ๆ สูงประมาณคืบหนึ่ง แล้วเรียงเป็นชั้น ๑๐ ชั้น หุงพร้อมกันทีเดียว ๑๐ เตา ก็ ๑๐๐ ถาดใหญ่ ๆ ยังไม่ทันเลี้ยงคนเลย กับข้าวก็ทำทีละ ๑๐ กระทะใบบัว ยังไม่พอเลี้ยงคน ทั้ง ๆ ที่เป็นอาหารเจล้วน ๆ"

เถรี
18-04-2016, 22:43
"ลองมาเทียบค่าของเงินที่ญาติโยมทำบุญก็ต่างกันมหาศาล ยุคหลวงปู่ปานท่านบอกว่าโบสถ์สวย ๆ หลังหนึ่ง ๕,๐๐๐ บาท สมัยก๋วยเตี๋ยว ๒ ชาม ๕ สตางค์ ตีเสียว่าชามละ ๒๐ บาท ๔๐ บาทเท่ากับ ๕ สตางค์ แล้ว ๕,๐๐๐ บาท ปาเข้าไป ๔-๕ ล้านบาท เดี๋ยวนี้ก๋วยเตี๋ยว ๒๐ บาทมีให้กินไหม ? คงไม่มีแล้วกระมัง ?

อาตมาเพิ่งไปกินก๋วยเตี๋ยวชามละ ๓๐ บาท ขอแนะนำทุกคนให้ไปกิน ถ้าผ่านไปวัดพระพุทธบาทผาหนาม หลวงปู่ครูบาอภิชัยขาวปี เป็นก๋วยเตี๋ยวโบราณ ก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่แค่ไหน ? รู้แค่ว่าตะเกียบพาดปากชามเกือบไม่ได้ ตะเกียบเกือบจะสั้นกว่าปากชาม แล้วเขาให้มาเต็มจริง ๆ ราคา ๓๐ บาท กินไปเถอะ...อร่อยด้วย อาตมาไปกินมา ๒ อย่างแล้ว ครั้งแรกกินก๋วยเตี๋ยวน้ำ ครั้งต่อมากินสุกี้ผัดแห้ง เดี๋ยวครั้งต่อไปจะดูว่ามีอะไรอีก แต่ละอย่างชามใหญ่พอกัน เดินเข้าไปแล้วร้านจะอยู่ทางซ้ายมือ เขาเขียนว่าก๋วยเตี๋ยวหมูโบราณ ลูกสาวก็ขยันอย่าบอกใครเลย แม่เป็นคนทำ ลูกเป็นคนเสิร์ฟ ไม่รู้ว่าเปิดเทอมแล้วแม่ต้องทำเองทั้งหมดหรือเปล่า ?"

เถรี
18-04-2016, 22:50
"พอมาพูดถึงเรื่องบริวารแล้วก็นึกถึงหลวงปู่สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชผาติการาม เปรียบกับหลวงพ่อวัดท่าซุง หลวงปู่ท่านเป็นสมเด็จพระราชาคณะ เป็นเปรียญธรรม ๙ ประโยค ตอนมรณภาพมีเจ้าภาพสวดศพเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น ส่วนหลวงพ่อวัดท่าซุง เป็นแค่เจ้าคุณชั้นราช ไม่ใช่เจ้าอาวาสพระอารามหลวงอย่างท่านด้วย เปรียญธรรมแค่ ๔ ประโยค ครั้นมรณภาพวันหนึ่งอย่างน้อย ๆ มีเจ้าภาพ ๒๐ รายสวดศพ ตลอด ๑๐๐ วันแทบจะเหยียบกันตาย

อาตมานี่ซาบซึ้งเลย สวดตั้งแต่ ๘ โมงครึ่งไปยันสองทุ่มครึ่ง แค่อภิธรรม ๗ บท ๑ จบ เขาบอกว่าสวดดี ๆ ๑๐ นาทีก็จบแล้ว ลองคิดดูว่า ๘ โมงครึ่งไปถึง ๒ ทุ่มครึ่ง รวมเวลาให้เขาขึ้นไปถวายปัจจัยไทยธรรม รับพรด้วย ตีเสียว่า ๒๐ นาที ชั่วโมงหนึ่ง ๓ ราย ๑๒ ชั่วโมง ประมาณ ๓๐ กว่าราย

จะว่าไปแล้วอาจจะเยอะเฉพาะเวรของอาตมาก็ได้ เพราะตอนนั้นอาตมานั่งหัวแล้วเอาพระใหม่ ๆ ต่อท้ายอีก ๓ รูป คนอื่นเขาฟอร์มทีมกันแน่นเลย ส่วนอาตมาไม่ง้อใคร ถือว่ากูสวดคนเดียวได้ ส่งพระใหม่มาก็รับเข้าทีมไป ปรากฏว่าพระใหม่รวยอู้ฟู่...กระเป๋าตุงไปตาม ๆ กัน บอกท่านว่า "คุณไม่ต้องทำอะไร คุณนึกถึงหลวงพ่อแล้วภาวนาคาถาเงินล้านเอาไว้อย่างเดียวก็พอ" เพราะอาตมาภาวนาเป็นปกติอยู่แล้ว ปรากฏว่าทำลายสถิติเขาอีกแล้ว ขึ้นสวดเมื่อไรวันหนึ่งก็ ๓๐ กว่าราย

รอบหนึ่งเขาให้ ๒๐๐ บาท วันหนึ่งประมาณ ๓๐ รอบ พอ ๓-๔ วันจะถึงรอบตัวเองครั้งหนึ่ง ๆ ก็คือเป็นเจ้าภาพรอบละ ๒,๐๐๐ บาท ถวายพระรูปละ ๒๐๐ บาท ๔ รูปก็ ๘๐๐ บาท อีก ๑,๒๐๐ บาทเข้าบัญชีวัด ตอนแรกเป็นการสวดฟรีอยู่หลายวัน พอประชุมเรื่องงานทำบุญ ๗ วัน ก็เลยขอเอาไว้ เพราะว่าพระท่านเหนื่อยกันทุกรูป ต่อให้ไม่เหนื่อยสวดมนต์ ก็ต้องเหนื่อยในหน้าที่อื่น จึงขอให้พระมีรายได้บ้าง"

เถรี
18-04-2016, 22:54
"ตอนแรกพระผู้ใหญ่ท่านเห็นว่า เงินเข้าวัดควรที่จะลงกองกลางทั้งหมด อาตมาบอกว่าควรจะให้พระท่านได้บ้าง โดยเฉพาะพระใหม่ ๆ โดนใช้หัวทิ่มหัวตำเลย วัดใหญ่ขนาดนั้นมีพระแค่ ๓๐ กว่ารูป แล้วคนไปเป็นหมื่นเป็นแสนอยู่ทุกวัน เขาไปเคารพศพหลวงพ่อ

ตอนแรกหลวงตาวัชรชัยเสนอไปรูปละ ๕๐๐ บาทต่อรอบ ก็คือ ๒,๐๐๐ บาท แต่พวกเราบอกว่าจะเป็นภาระแก่ญาติโยมที่เป็นเจ้าภาพมากเกินไป เลยขอลดเหลือรูป ๒๐๐ บาทก็พอ ส่วนที่เหลือก็เข้ากองกลาง ตกลงกันได้ที่เป็นเจ้าภาพรายละ ๒,๐๐๐ บาท ซึ่งญาติโยมทุกคนเขาเต็มใจอยู่แล้ว เพราะว่าผ้าไตร ๔ ชุด ก็ตีเสียว่าไตรละ ๕๐๐ บาทก็ ๒,๐๐๐ บาทแล้ว ต่อให้ไม่คิดถึงเงินถวายพระก็คุ้มเกินค่าแล้ว"

เถรี
18-04-2016, 23:02
ถาม : สวดกี่วันคะ ?
ตอบ : ๑๐๐ วัน เจ้าภาพแน่นมาก ๑๐๐ วันถ้าได้สวดสัก ๒๐ วันก็รวยตายแล้ว วันหนึ่งประมาณ ๖,๐๐๐ บาท ๑๐ วันก็ ๖๐,๐๐๐ บาท ๑๐๐ วันก็แสนกว่า จบงานแต่ละคนมีเงินหมื่นเงินแสนอยู่ในกระเป๋า อาตมาเหลือแต่ตูด..! ถึงเวลาหลวงตาวัชรชัยที่ท่านเป็นแม่งานจัดดอกไม้ถวายพระ ท่านใจใหญ่มาก ไม่ยอมใช้ดอกไม้ปลอม ขอดอกไม้สดสั่งตรงจากเชียงใหม่เลย แล้วแดฟโฟดิล เจ้าประคุณเถอะ...ดอกผักบุ้งชัด ๆ..! โดนลมก็เหี่ยวแล้ว ต้องเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก เดี๋ยว ๆ หลวงตาก็มาสะกิด "เฮ้ย..เล็ก...มีเงินไหมวะ ? พี่หมดตัวแล้ว" อาตมาก็ควักให้ไปเรื่อย

สรุปว่าจัดงานเสร็จมี ๒ คนที่จนกรอบ คือหลวงตาวัชรชัยกับอาตมา ที่เหลือเขารวยกันทั้งนั้น น่าจะมีพี่ประทีปอีกคนกระมัง ? ที่ถึงเวลาฉุกเฉินหลวงตาก็ไปล้วงกระเป๋า เพราะท่านรู้ว่าสองคนนี้ไม่ค่อยเก็บเงิน มักจะทำบุญกันหมด ถึงเวลาก็มาเอา บางทีที่สวดมาได้ไม่พอ ก็ต้องควักโปะเข้าไปอีก ทหารตำรวจเดี๋ยวก็มา "หลวงพี่...ขอกระทิงแดง ๒ ลัง" "เออ...ไปลงบัญชีที่ร้านป้ากีไว้" ถึงเวลาไปจ่ายแต่ละทีนี่หน้ามืดเลย กระทิงแดง ๒ ลังมีกี่ขวด ? ตำรวจทหารทั้งวัดพอไหม ? เห็นใจเขาที่โบกรถทั้งกลางวันทั้งกลางคืน ไม่ให้ก็ไม่ได้ ครบ ๑๐๐ วันไปจ่ายนี่หน้ามืดเลย..!

สมัยหลวงพ่อท่านยังอยู่ หลวงพ่อยังมีเงินพิเศษให้เขา ของอาตมามีแค่บุหรี่กับกระทิงแดงเอง แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าจะไปขอกับใคร รู้สึกว่าคนไหนของ่ายเขาก็เอากับคนนั้น เดี๋ยว ๆ ก็มา "หลวงพี่...ขอกระทิงแดง ๒ ลัง" ไปขอหลวงพี่ทีปจนโดนด่า ก็เลยแวะมาทางนี้แทน หลวงพี่ทีปแกโวยวายเอะอะไปตามแบบ "จะแดกห่..กันไปถึงไหน เดี๋ยวก็ตายห่..กันหมดหรอก...!" แต่ท่านก็ให้นะ ด่าแล้วก็ให้ แต่คราวนี้อาตมาไม่ด่า เลยมาเอาจากทางนี้มากกว่า

เถรี
18-04-2016, 23:06
"ไปนึกถึงงานเก่า ๆ แล้วขำ ๆ คืออยู่วัดท่าขนุน บรรดาเพื่อนสังฆาธิการทั้งอำเภอบอกว่า อาจารย์เล็กจัดงานแต่ละทีคนมากเหลือเกิน อาตมาบอกว่านี่แค่หยิบมือเดียวของวัดเก่าผม วัดท่าขนุนจัดงานทีคน ๔,๐๐๐ – ๕,๐๐๐ คน สมัยอยู่วัดเก่า อย่างไม่มี ๆ ก็แสนคนขึ้นไป

งานที่หนักมากในสายตาของคนอื่นกลายเป็นงานสบายของอาตมา เพราะเจอคนมาเยอะกว่านั้น วัดอื่นบอกว่าได้ ๒๐๐ – ๓๐๐ คนเขาก็ดีใจตายชักแล้ว ยิ่งงานใหญ่ ๆ อย่างสงกรานต์หรือตักบาตรเทโว เขามากันทั้งอำเภอ จนกระทั่งวัดทองผาภูมิ ต้องเรียกว่าวัดลูก เพราะหลวงปู่สายท่านสร้างไว้ แล้วให้หลวงตาอาบไปเป็นเจ้าอาวาส ต้องย้ายไปจัดงานตักบาตรเทโววันอื่น ไม่มีทางจัดวันแรม ๑ ค่ำเด็ดขาด เพราะถ้าชนกับวัดท่าขนุนแล้ว ก็ไม่มีใครไปวัดทองผาภูมิ

แต่อาตมาชอบใจทางฝั่งพม่ามากกว่า ฝั่งพม่าจัดตักบาตรเทโวได้ทั้งปี คือถ้าคุณยังไม่ได้จัด ปีนี้คุณเห็นว่าวันไหนเหมาะสมก็จัดเลย เขาก็จะไปสืบว่าตรงกับวัดไหนในบริเวณใกล้เคียงกันหรือเปล่า ? ตำบลนั้น อำเภอนี้มีไหม ? ถ้าไม่มีก็ลุยเลย ญาติโยมก็แห่ไปทำบุญ ฉะนั้น...อยู่พม่าดีตรงที่มีงานตักบาตรเทโวบ่อยมาก"

เถรี
18-04-2016, 23:13
"งานตักบาตรเทโวของพม่า มักจะมีงานชิงเปรต ประเภททาตัวดำ ๆ ไปปีนเสาน้ำมันเพื่อเอาสตางค์ข้างบน บางทีก็เป็นข้าวของเครื่องใช้ อาตมาเอาใบละ ๕๐๐ บาทไปเสียบไว้ข้างบน โอ๊ย...เขาแย่งกันปีนจะตาย เงินไทยใหญ่กว่าพม่าเยอะ ใคร ๆ ก็อยากได้ แล้วคนจัดก็แสบไส้เหลือเกิน เสาเป็นเสาไม้ไผ่ ด้านบนตัดครึ่งเป็นกระบอก เอาน้ำมันใส่ไว้ นอกจากทาเสาแล้ว เวลาปีนน้ำมันยังกระฉอกออกมาเป็นระยะ ๆ ลื่นจนปีนไม่ได้ กลั่นแกล้งกันเหลือเกิน

จนท้ายสุดอาตมาบอกว่า "ต่อตัวกันสิโว้ย...เขาไม่ได้ห้าม" เหยียบ ๆ กันขึ้นไปกี่คนได้แล้วก็เอาลงมาแบ่งกัน เห็นเขาปีนแล้วเหนื่อยแทน จนต้องสอนให้ พวกเอ็งนี่ซื่อเป็นบ้าเลย แต่อย่างว่า...ชาวบ้านเขาไม่ได้กะล่อนเหมือนอาตมา

แบบเดียวกับเด็กนักเรียน งวดนี้อาตมาจัดสอบชิงทุนการศึกษาสายวิทย์หนึ่งทุน สายศิลป์หนึ่งทุน ที่ ๒ ของสายวิทย์คะแนนท่วมของสายศิลป์เลยนะ แต่ให้สายศิลป์ไปแข่งกันแค่ ๔ คน แล้วไปมะรุมมะตุ้มแข่งกันที่ทุนสายวิทย์กัน อาตมาก็ปรารภไปตั้ง ๒ ครั้ง ๓ ครั้งแล้วว่า "ทำไมมึงโง่ขนาดนี้วะ ? มึงจะเรียนสายไหนก็เรื่องของมึง สมัครแข่งสายไหนก็ไปสิ ไปตบเด็กก็ได้ เราเก่งกว่าอยู่แล้ว เราไปสมัครสายศิลป์ ได้ทุนสายศิลป์มา แล้วจะไปเรียนสายวิทย์ หลวงพ่อก็ไม่ได้ว่าสักหน่อย" แต่เขาซื่อ...แย่งกันลงสายวิทย์ก็ไปแข่งกับพวกเก่ง ๆ ด้วยกัน

อาตมาแหกคอกเก่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ค่อยสนใจหรอก ถ้าหากว่ากติกาไม่ได้ห้ามก็ไปเลย แต่ว่าเด็ก ๆ พวกนี้เขาซื่อ ต้องบอกว่าครูบาอาจารย์อบรมมาดี จะเอาทุนสายวิทย์ก็ตั้งหน้าตั้งตาไปแข่งกับสายวิทย์ แล้วจะไปสู้ใครไหว มีแต่เก่งกับเก่ง"

เถรี
19-04-2016, 12:14
พระอาจารย์กล่าวว่า "เขาบอกว่าจะทำขุนแผนทั่วประเทศ อาตมากลัวอยู่แค่ ๒ สำนัก สำนักแรกคือขุนแผนพลายกุมารของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ซึ่งท่านมรณภาพไปแล้ว อย่างไรก็สู้ของอาตมาไม่ได้ เพราะพระของท่านราคาแพงแล้ว องค์หนึ่งราคาเป็นแสน ๆ ส่วนอีกสำนักหนึ่งก็คือของวัดใหญ่ชัยมงคล ซึ่งก็ราคาแพงสาหัสพอกัน ส่วนที่เหลือนี่ไม่ได้กลัวหรอก เพราะอาตมานอกจากเป็นลูกหลานขุนแผนแล้วดันไปอยู่กาญจนบุรีอีกต่างหาก ทำแล้วท่านไม่ช่วยให้รู้ไป ผลิตออกมารับรองว่าชนได้ทุกสำนัก"

ถาม : ขุนแผนมหาเสน่ห์หรือคะ ?
ตอบ : ขุนแผนเกราะเพชร จะมหาเสน่ห์อะไรกันนักหนา ต้องเรื่องอื่นด้วยสิ มหาเสน่ห์ถือเป็นของแถม

ถาม : พระขุนแผนของหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง มีพิเศษไหมครับ ?
ตอบ : ของที่ไหน ๆ ก็เหมือนกัน แต่อาตมาไม่กลัว กลัวแค่ ๒ สำนักที่ว่ามา ซึ่งก็ไม่มีอะไรให้กลัวแล้ว เพราะของท่านขึ้นหิ้งไปเรียบร้อยแล้ว

ไปนึกถึงหลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง ท่านก็สร้างพระขุนแผนเหมือนกัน แต่พระขุนแผนของท่านดังสู้หลวงปู่ทิมไม่ได้ เพราะว่ามีส่วนผสมของผงพลายกุมารหลวงปู่ทิม เลยกลายเป็นว่าหลวงปู่ทิมต้นตำรับดังกว่า ทั้งที่ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์รุ่นเดียวกัน แต่หลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง ดังเรื่องสีผึ้ง สีผึ้งนี่ท่านหวงสุด ๆ ขนาดลูกศิษย์ไปขอ ท่านควักให้อย่างเก่งก็แค่หัวไม้ขีด รับประกันว่าต้องการอะไรก็ได้ ให้รีบหามาใช้เลย

อาตมาจะพยายามตั้งราคาขุนแผนให้ต่ำสุดไว้ ขอดูค่าใช้จ่ายก่อน ถ้าค่าใช้จ่ายหารเฉลี่ยออกมาไม่โหดนัก อาจจะเหลือองค์ละ ๓,๐๐๐ – ๔,๐๐๐ บาท ยังโชคดีว่าตอนที่ทำราคาทองยังไม่ถึง ๒๐,๐๐๐ บาทดี

เถรี
19-04-2016, 12:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "จังหวัดปทุมธานีมีพระเกจิอาจารย์ดังระเบิดเยอะแยะไปหมด ถ้าเอาประเภทที่อาตมาใฝ่ฝันเลยก็ต้องหลวงพ่อเจ้าคุณสว่าง วัดเทียนถวาย ทำตะกรุดหนังหน้าผากเสือ ตะกรุดหนังหน้าผากเสือของท่าน ถ้าได้มาหนึ่งดอกสามารถลุยได้ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำเลย ทำเฉพาะปีที่มีเสาร์ ๕ เสือหนึ่งตัวทำได้ดอกเดียว ทำเสร็จแล้วเสกอีก ๓ พรรษา ถึงจะแจกลูกศิษย์

อีกท่านหนึ่งคือหลวงพ่อเทียน วัดโบสถ์ อาตมาอยากได้ตะกรุดของท่าน แต่หายากมาก ส่วนใหญ่จะเจอที่เป็นเหรียญ จะเป็นพระ ที่เหลือก็มีดังอีกหลายรูป แต่ส่วนใหญ่แล้วท่านเป็นพระเกจิอาจารย์สายมอญที่โดนกวาดต้อนมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จะเรียกกวาดต้อนก็ไม่ใช่หรอก ท่านตามพระมหาเถรคันฉ่องเข้ามา พระมหาเถรคันฉ่องเข้ามาก็เอาตำรับตำราคาถาอาคมต่าง ๆ เข้ามาด้วยเยอะแยะ

พระเกจิอาจารย์สายมอญสมัยก่อนดังมาก เพราะว่าศึกษาจนรู้จริง ตำราทำปรอทกรอ ตำราทำเบี้ยแก้ ตำราลบผงมหาราช ผงอิทธิเจ ผงตรีนิสิงเห ส่วนใหญ่สายนี้จะถนัด เวลาหลวงพ่อเทียน วัดโบสถ์ ลบผง ผงทะลุกระดานหมด ถึงเวลาต้องกางผ้ารองไว้ข้างล่าง เขียนในกระดานเสร็จลบพรืด ร่วงลงไปข้างล่าง ไม่ใช่ร่วงเฉย ๆ นะ ผงของท่านวิ่งอย่างกับฝูงมด ท่านก็ทำของท่านไปเรื่อย ใครอยากดูก็ไปนั่งดู ท่านไม่ได้ว่าอะไร ลบผงได้พอ ท่านก็สร้างพระ ฉะนั้น...พระของหลวงพ่อเทียน วัดโบสถ์ ที่เขาอยากได้กันจริง ๆ จะเป็นเนื้อผง แต่อาตมาเล็งตะกรุด จนป่านนี้ยังไม่ได้มาสักดอก

พระมหาเถรคันฉ่อง ตอนหลังก็คือสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ด้วยคุณูปการที่มีต่อประเทศไทย สมัยนั้นยังไม่ใช่ไทยหรอก พม่าเรียกโยเดีย อโยธยาอ่านเร็ว ๆ จะกลายเป็นโยเดีย"

เถรี
19-04-2016, 22:07
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานวันที่ ๑ นอกจากเป็นวันศุกร์ เงินเดือนออกแล้ว ยังหวยออกอีกต่างหาก คนที่ไม่มาไม่ใช่หมดแรงเพราะเที่ยวนะ แต่หมดแรงเพราะหวยกิน..! เขาห้ามใจตัวเองไม่ได้ ทำอย่างไรก็ต้องเล่น

พี่ชายของอาตมาคนหนึ่ง คือ พี่สุรกานต์ ประเภทยอมกินบะหมี่สำเร็จรูป ซองละ ๓ บาท ๕ บาทเพื่อให้ได้เล่นหวย แล้วงวดหนึ่งซื้อที ๕,๐๐๐- ๖,๐๐๐ บาท คุณเคยไหม ? ประเภทถูกทีก็รวยไปเลย

หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยให้หวย แต่ต้องจับให้เป็น หลวงพ่อบอกว่ามีเคล็ดอยู่ว่าให้ตาม ๑๒ งวด งวดแรกไม่ออกให้ตามงวดที่สอง เช่น งวดที่ ๑ หนึ่งร้อยบาทไม่ออก เล่นงวดที่ ๒ สองร้อยบาท ถ้างวดที่ ๒ ไม่ออก งวดที่ ๓ สามร้อยบาท งวดที่ ๔ สี่ร้อยบาท แกก็ตามไปเรื่อย จนไปออกงวดที่ ๙ ก็เลยบอกว่า "ถ้า ๑๑ งวดแล้วไม่ออกล่ะ ?" พี่เขาบอกว่า "ผมขายบ้านเล่นเลย" มั่นใจหลวงพ่อขนาดนั้น

หลวงพ่อท่านบอกว่า คนหมู่มาก วาระบุญไม่เท่ากัน คนที่บุญไม่ถึง เขาตามงวดสองงวดไม่ออกเขาก็เลิกแล้ว ส่วนคนที่บุญถึงเขาก็ตามไปเรื่อยจนถูกไปเอง"

เถรี
19-04-2016, 22:14
"แบบเดียวกับสมัยก่อน หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี ถ้าถามว่าหลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี เป็นใคร ? หลวงพ่อเนื่องเป็นอาจารย์ของหลวงปู่สาย วัดท่าขนุน

หลวงพ่อเนื่องให้หวยทุกงวด คนก็ถูกทุกงวด ท่านเองก็ไม่ได้สนใจ คนเอาเงินมาถวาย ท่านก็โยนโครมไปข้างหลัง พอหลวงพ่อเนื่องมรณภาพ เขาไปค้นกุฏิเจอเงิน ๒๐ กว่าล้านบาท ท่านกอง ๆ ไว้ไม่ได้สนใจเลย ถึงเวลาเขามาเบิกค่าใช้จ่าย ค่าก่อสร้างบูรณะวัด ท่านก็คว้ามานับ ๆ แล้วก็ส่งให้เขาไป เหลือเท่าไรไม่ได้เหลียวแลหรอก

ท่านให้หวยอยู่ ๓๐ กว่าปี วันหลวงพ่อเนื่องมรณภาพ ถัดไปก็ลงปาฏิโมกข์ พอเข้าโบสถ์เสร็จหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอก "เออ...วันนี้มีเวลามาก มาคุยกันหน่อยไหม ? จะเอาเรื่องอะไรดี ? เอาเรื่องหลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณีก็แล้วกัน"

"หลวงพ่อเนื่องเป็นพระทองคำ ไม่มีใครไปหาเพื่อขอธรรมะสักคน ไปขอหวยจนกระทั่งพระอรหันต์มรณภาพไปทั้งองค์" หลังจากมรณภาพแล้วหลวงพ่อท่านจึงบอก ถ้ายังไม่มรณภาพท่านไม่กล้าบอกหรอก กลัวคนไปกวนท่านเยอะ

หลวงพ่อเนื่องท่านให้หวยเป็นสาธารณะ เขียนขึ้นกระดานไว้ ไปเลือกเอาตามสบายใจ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า การเล่นหวยหลวงพ่อเนื่อง ถ้าอยากถูกงวดนั้นให้ตัดท้ายเล่นตัวเดียว ถ้าอยากได้ตรง ๆ ให้ตาม ๑๒ งวดอย่างที่ว่า ท่านบอกว่าคนบุญไม่ถึงจะไม่ตาม ก็จะอดไปเอง

พี่ก้องเกียรติ พี่ชายอาตมาไป ๒-๓ ครั้ง หลวงพ่อเนื่องเขียนยัดใส่มือให้เลย ก็ตามงวดที่ ๑ ไม่ออก งวดที่ ๒ ไม่ออก งวดที่ ๓ ไม่ออก เลิกเล่นเลย งวดที่ ๔ มาตรง ๆ สามตัวบน โดนไปสองครั้ง พี่ก้องเกียรติเลิกเลย บอกว่า "กูไม่มีโชคทางด้านนี้ กูไม่เล่นแล้ว" พี่เขาคิดถูก ขนาดหลวงพ่อเนื่องเขียนให้ตรง ๆ นะ ยังเล่นไม่ถูกเลย"

เถรี
19-04-2016, 22:22
ถาม : แล้วพระอาจารย์เล็กละคะ ?
ตอบ : อาตมาโดนสั่งห้าม เมื่อก่อนสมัยอยู่วัดท่าซุงเคยให้พวกแม่ครัวถูกไปหลายงวด หลวงพ่อท่านสั่งห้ามเลย บอกว่า "ไอ้พวกรู้ ๆ แล้วไปบอกเขา ข้าถือว่าไปปล้นเขา ปรับปาราชิกเลยนะโว้ย..!"

เกิดจากโยมเอี่ยม (เอี่ยมศรี อ่อนคำ) โยมเอี่ยมเป็นคนที่กำลังใจยึดมั่นกับหลวงพ่อวัดท่าซุงมาก ถึงขนาดทิ้งบ้านทิ้งช่อง ทิ้งลูกทิ้งผัวมาอยู่ช่วยงานวัด เวลากลางคืนก็แบกปืนเดินท่อม ๆ เฝ้าวัด ต้องบอกว่าเป็นผู้หญิงเก่งและผู้หญิงแกร่งเลย โดยเฉพาะว่ามโนมยิทธิดีมาก ถึงเวลาเจอโน่นเจอนี่ก็มาถาม เพื่อทดสอบกันกับอาตมาว่าของแกเห็นแล้วตรงกันไหม ? พอบอกไปว่าตรง แกก็ดีอกดีใจ รีบไปปฏิบัติต่อ

ตอนนั้นแกนึกอย่างไรก็ไม่รู้ "หลวงพี่...ขอหวยตัวหนึ่งสิ" ถามว่า "เอาไปทำอะไรวะ ?" "อยากได้เงินไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ" แกอยู่วัด หลวงพ่อช่วยค่าใช้จ่ายแกเดือนละ ๑,๕๐๐ บาท แล้วแกจะทำอะไรได้ ค่าใช้จ่ายส่วนตัวก็หมดแล้ว แกอยากจะถวายสังฆทานชุดละ ๕๐๐ บาทกับเขาบ้าง เลยมาขอหวย อาตมาก็ไม่เคยเล่นหวย ถามว่า "ตัวเดียวเล่นได้หรือวะ ?" แกบอกว่าได้ ในเมื่อได้ก็ให้ไป

แกถูกมา ๖๐๐ บาท ก็ไม่รู้ว่าเล่นอย่างไร แกก็ไปถวายสังฆทาน ปรากฏว่าพอใกล้หวยจะออกอีก แกเดินผ่านหน้า อาตมาถามว่า "งวดนี้จะเอาไหม ?" แกว่า "เออ...ได้ก็ดี" พอได้งวดที่ ๒ ไปเท่านั้นแหละ มากัน ๗ คน ๘ คนเลย อาตมาก็แหย่เล่น ๆ ว่า "เฮ้ย...มาเยอะอย่างนี้ต้องชักเปอร์เซ็นต์นะ" เขาบอกว่าให้ก็ได้ ปรากฏว่าหวยออก เขาเอามาให้จริง ๆ เท่านั้นแหละ...หลวงพ่อด่าหูตูบเลย รู้ว่าลูกศิษย์จะระยำแล้ว เพราะเดี๋ยวคนจะมาเยอะกว่านั้นอีก ท่านก็เลยสั่งห้ามไว้

เถรี
19-04-2016, 22:26
อาตมาโดนท่านห้ามอยู่ ๒ เรื่อง คือ เรื่องบอกว่าคนตายแล้วไปไหน กับเรื่องให้หวย ท่านบอกว่าคนตายแล้วไปไหน แกห้ามบอกเพราะว่า บอกไปก็มีแต่เสมอตัวกับขาดทุน ไม่มีกำไร ถามว่าเป็นเพราะอะไรครับ ? ท่านบอกว่า คนเราทำความดีมาทั้งชีวิต ก่อนตายใจไปคิดถึงความชั่วนิดเดียวแล้วลงนรก ถ้าลูกหลานเห็นพ่อแม่ปู่ย่าตายายทำดีมาทั้งชีวิต แต่เอ็งบอกว่าลงนรก แล้วเขาจะมีแก่ใจทำความดีกันไหม ?

ส่วนอีกคนหนึ่งชั่วมาทั้งชีวิต ก่อนตายนึกถึงพระได้ ดันได้ขึ้นสวรรค์ แล้วเอ็งบอกว่าขึ้นสวรรค์ ลูกหลานก็ชั่วกันบรรลัยจักรเลย เพราะคิดว่าทำชั่วแล้วขึ้นสวรรค์

ก่อนหน้านี้อาตมาเฮี้ยน บอกเขาไปเรื่อย ระยะหลังโดนสั่งห้ามก็เลยเงียบไป ไม่อย่างนั้นสร้างวัดสร้างวา ตูไม่เดือดร้อนหรอก ให้หวยสัก ๒ งวดก็ได้บานแล้ว

พวกนี้เก่งจริง ๆ นะ เขาช่างสังเกต พอเห็นป้าเอี่ยมถูกหวย ๒ งวดติดกัน ก็เดินเกาะตูดตามตลอดเลย ดูว่าป้าไปเอาหวยที่ไหน

เถรี
19-04-2016, 22:30
เรื่องของมโนมยิทธิ จำไว้ว่าอย่าดูเพื่อตัวเอง ถ้าดูเพื่อตัวเอง รัก โลภ โกรธ หลง ที่เป็นอคติอยู่ในใจจะเข้าข้างตัวเอง ทำให้พลาดได้

อาตมาดูหวย สมัยก่อนมี ๗ ตัว ดูครบ ๗ ตัวเลย ปรากฏว่ารางวัลที่ ๑ หาซื้อไม่ได้ ไปถามเขาว่าหวยใต้ดินเล่นอย่างไร เขาบอกตัด ๓ ตัวท้ายมาเล่น ดู ๓ ตัว ออก ๒ ตัว ดู ๒ ตัวไปเล่น ออกตัวหนึ่ง ดูตัวเดียวไปเล่น ไม่ออกเลย เลื่อนไปออกงวดอื่น ถามหลวงพ่อว่าทำไมเป็นอย่างนั้นครับ ? ท่านบอกว่า "ใจแกโลภแล้ว เลยเฝือ" แต่พอบอกคนอื่นแล้วก็เป็นไปตามนั้น แปลกดีเหมือนกัน ฉะนั้น...ใครจะเล่นทอง ห้ามใช้มโนมยิทธิ ตายอย่างเขียดมาเยอะแล้ว..!

เถรี
19-04-2016, 22:36
พอเวลาความโลภเกิด ทั้ง ๆ ที่รู้สึกว่าไม่ใช่ แต่ใจไปปรุงว่าน่าจะใช่ พอไปตรวจสอบก็เฝือเลย หลังจากนั้นก็เจ๊งยาว หลวงพ่อวัดท่าซุงถึงได้แนะนำว่า ใครใช้มโนมยิทธิเพื่อเป็นหมอดู อย่าให้เขาซักถามต่อหน้า ประเภทที่ให้เขาถามต่อหน้าอย่างอาตมา ท่านบอกว่าจะต้องแกร่งจริง ถ้าไม่แกร่งจริงเดี๋ยวยุ่ง ถ้าเขาซักงี่เง่ามาก ๆ แล้วเราโกรธ โมโห ขัดใจ มโนมยิทธิก็เฝือ เพราะอารมณ์ใจไม่บริสุทธิ์แล้ว

มีอยู่วันหนึ่งที่วัดท่าซุง ท่านเข้าโบสถ์ลงปาฏิโมกข์ หลวงพ่อท่านก็ปรารภว่า "เออ...พวกแกทดสอบมโนมยิทธิกันดีไหมหว่า ?" อาตมาก็ "ดีครับ" พวกมองกันตาเขียวทั้งโบสถ์ ไม่มีใครอยากลอง มีไอ้บ้าอยู่คนเดียวที่อยากลอง ส่วนอีกคนคือลุงพุฒิ เป็นเพื่อนกัน ลุงพุฒิแกก็ไม่กลัวหลวงพ่อเหมือนกัน คือลองผิดลองถูกอย่างไรเราก็ได้กำไร ผิดเราก็รู้ว่าผิดอย่างไร ถูกเราก็รู้ว่าอันนี้ใช่

หลวงพ่อท่านถอนใจบอกว่า "พวกแกบอกว่าได้มโนมยิทธิ จริง ๆ แล้วยังไม่มีใครได้สักคน" อาตมาก็ "หา...ทำไมเป็นอย่างนั้นครับหลวงพ่อ ?" ท่านบอกว่า "บุคคลที่ได้มโนมยิทธิจริง ๆ ต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น เพราะใจท่านบริสุทธิ์พอ ไม่มีสิ่งใดจะมาปิดบังท่านได้" ถ้าหากเป็นคนทั่ว ๆ ไปแล้ว รัก โลภ โกรธ หลง ที่อยู่ในใจ ชักพาให้เสียไปเยอะแล้ว จะเรียกว่ามโนมยิทธิก็ใช่ แต่ยังไม่ใช่มโนมยิทธิที่แท้ จนปัจจุบันที่เขาบอกว่า "อย่ามามโนฯ" คือประเภทคิดเอา เดาเอาเสียมากกว่า ไม่ใช่ของจริง

เถรี
19-04-2016, 22:43
ไปนึกถึงตอนที่หลวงพ่อท่านไม่สบาย แล้วขึ้นไปถามพระว่า วันนี้จะมีใครมาบ้าง ? มีกี่คนที่ต้องสงเคราะห์เขา ? แต่ละคนแต่งตัวอย่างไรบ้าง ? ปรากฏว่าเป๋เข้าป่าเข้าดง ผิดหมดเลย พอร่างกายดีขึ้น ตั้งใจขึ้นไปหาพระท่านใหม่ พระท่านว่าไม่ใช่ฉัน แกโดนหลอกแล้ว ถ้าระดับต้นตำรับยังโดนหลอก พวกเราไม่ต้องห่วง มีหวังโดนแน่ ๆ

เรื่องของมโนมยิทธิต้องใจกล้าหน้าด้าน ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก ถ้าประเภทผิดแล้วฝ่อไปเลย...ไม่กล้าใช้ หรือต่อให้ถูกก็ไม่กล้าให้ใครลอง ถ้าอย่างนั้นก็เอาดียาก อาตมาโดนหลวงพ่อท่านลองอยู่ ๒ ครั้งซึ่ง ๆ หน้า ต่อหน้าพระและโยมเยอะ ๆ คือท่านถามเรื่องพระศรีสุริโยทัย กับเรื่องพระยาพิชัยดาบหัก ถามห่างกันหลายปี ปรากฏว่าตอบตรงอยู่คนเดียว

ท่านถามว่าทำไมพระศรีสุริโยทัยโดนพระเจ้าแปรฟันขาดคอช้าง ? เพราะท่านเข้าผิดจังหวะ พอเห็นพระมหาจักรพรรดิเสียหลัก ท่านก็ขับช้างเข้าไปเลย แต่ไปเข้าทางซ้ายของเขา ซึ่งเป็นด้านที่เขาถนัด จ้วงได้เต็ม ๆ เลย ลองคิดดูว่าคนถนัดขวาแล้วฟันไปทางซ้าย ถ้าถนัดขวาแล้วเราเข้าขวา เขาจะฟันไม่ถนัด นี่เข้าซ้ายพอดี เลยโดนไปเต็ม ๆ

พอมาถามว่า พระยาพิชัยดาบขวาหรือดาบซ้ายหัก เพราะเห็นอนุสาวรีย์สร้างซ้ายบ้างขวาบ้าง ? ตอบว่า "ดาบขวาครับ" คนอื่นซ้ายกันหมดเลย ถามว่าทำไมถึงหัก ? ตอบว่า "ไปรับดาบแทนเพื่อนครับ" ท่านบอกว่า "เออ...ใช่" เพราะว่าพระยาศรีสิทธิสงครามโดนเขาแอบฟันข้างหลัง ท่านยื่นดาบไปรับแทน แล้วดาบก็ไม่ใช่ของตัวเอง เป็นดาบของพลทหาร ท่านเล่านอกตำราไปเยอะ

เถรี
19-04-2016, 22:49
ถาม : ที่โดนปิดค่าย จนเข้าไม่ได้ ?
ตอบ : ก็คือยกทัพไปรับกองทัพพม่ากัน ปรากฏว่าข่าวศึกยังไม่มา พอตั้งค่ายเสร็จก็สบายใจ เจ้านาย ๑๐ ท่านนั่งแคร่หามเข้าหมู่บ้านไปหากระแช่กิน พอไปถึงหมู่บ้านแล้วไล่พวกคานหามกลับหมด ที่ต้องไล่กลับ เพราะเวลาเมาแล้วเหมือนหมา ถ้าลูกน้องเห็นจะไม่นับถือ เมาเสร็จตะเกียกตะกายกลับค่ายมาก็ค่ำแล้ว ตามกฎอัยการศึก กลางคืนห้ามเปิดประตูค่าย เพราะข้าศึกอาจจะหลอกให้เปิดเพื่อเข้าตี จึงต้องนอนอยู่กับพลตระเวนนอกค่าย

ปรากฏว่ายังไม่ทันจะสว่างดี ทัพข้าศึกพ้นชายทุ่งมาแล้ว ตัวเองก็รีบตีเกราะเคาะไม้แจ้งข่าว แต่อาวุธคู่มืออยู่ในค่าย คว้าดาบพลทหารได้ก็ดาหน้าเข้าประจัญบานกับเขาก่อน ดาบนายทหารสมัยก่อนทั้งหนาทั้งหนัก เพราะว่าอันดับแรก กำลังของตนดีกว่าพลทหารอยู่แล้ว อันดับสองเอาไว้จัดการกับพวกหนังเหนียว

หนังเหนียวแค่ไหนถ้าฟันไม่เข้า ทุบด้วยสันก็อยู่ ที่เขาบอกว่าดาบของขุนแผนยาว ๑ ศอกกำ สั้นเป็นอีโต้เลย ยาวแค่นั้นจริง ๆ แต่ทั้งหนาทั้งหนัก อาจารย์จักรพันธุ์วาดดาบเสียสวยเช้งวับไปเลย ที่จำเป็นต้องทำสั้น ๆ หนา ๆ เพราะเอาไว้ทุบฝ่ายตรงข้ามที่หนังเหนียว

พอตัวเองไปปะทะกับนายกองของเขา ตัวเองดันไปใช้ดาบพลทหารก็หักสิ โชคดีที่พระเจ้าตากเปิดค่ายยกทัพออกมาช่วยทัน มีความดีความชอบที่แจ้งข่าวศึกได้ทัน แต่มีความผิดที่เมาแล้วกลับเข้าค่ายไม่ได้ พระเจ้าตากชี้หน้าคาดโทษว่า "ถ้าวันนี้แพ้ กูตัดหัวหมดทุกคน" ยังโชคดีที่ชนะ..!

เถรี
19-04-2016, 22:52
อาตมาดูหนังสงครามเก่า ๆ ไม่ได้ จนป่านนี้เขาเอาวีดีโอพระนเรศวรมาให้ก็ยังดูไม่ได้ เพราะว่ามีช่วงหนึ่งตามหลวงพ่อท่านไปวัดศรีรัตนาราม แล้วคุณปรีชา พึ่งแสง เอาวิดีโอสมัยที่เป็นม้วน ๆ มาให้ดู เป็นวิดีโอสงคราม ๙ ทัพ เปิดบนรถทัวร์ อาตมาไม่ได้เห็นหนังสงคราม ๙ ทัพเลย เห็นภาพซ้อนขึ้นมาเต็มไปหมด ดูไม่ได้เลย

อาตมาเคยพาเด็ก ๆ ไปดูฟาร์มจระเข้และงานแสดงช้างที่สวนสามพราน เขามีจำลองกองทัพไทยสู้กับพม่า ตอนสงครามยุทธหัตถี พอเสียงปืนใหญ่ดังตูม...! เขาไสช้างเข้าหากัน อาตมาไม่ได้เห็นตรงหน้าหรอก เห็นอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด สรุปว่าหนังพวกนี้ดูไม่ได้ ดูแล้วไปเห็นเรื่องอื่นแทน

เถรี
19-04-2016, 22:54
รูปวาดพระเจ้าตากสิน อาตมายังไม่เจอที่เหมือนตัวจริงสักรูปหนึ่ง คำว่า "ตัวจริง" ก็คือตัวจริงที่อาตมาฝันเห็น ตอนที่ดูหนังสงคราม ๙ ทัพที่คุณปรีชาเปิดให้ดู เห็นสมบัติ เมทะนีเล่น ยังคิดว่าเป็นพระเจ้าตาก แต่ปรากฏว่าสมบัติ เมทะนี เล่นเป็นรัชกาลที่ ๑ หน้าตาแกใกล้เคียงพระเจ้าตากเหมือนกัน

เถรี
21-04-2016, 07:58
ถาม : อัลเลาะห์ คือพระโยนกหรือครับ ?
ตอบ : อัลเลาะห์จริง ๆ คือพระโยนกธรรมรักขิต ท่านเป็นพระอรหันต์ อัลเลาะห์มาจากคำว่าอรหันต์ ลองไปดูคำสอนหลัก ๆ สิ หลักพุทธศาสนาเลย แต่คนรุ่นหลังตีความเพี้ยนไปเอง เมตตาถึงขนาดเขาตบหน้าข้างซ้าย ยื่นข้างขวาไปให้เขาตบ แล้วคิดดูว่าเปลี่ยนมาถึงขนาดนี้ได้

ลองไปศึกษาหลักการของอิสลามดู แต่ว่าอัลเลาะห์องค์ปัจจุบันคือท่านปู่พระอินทร์ นี่อาตมาเปิดเผยความลับของโลกมากเกินไปแล้ว ท่านปู่พระอินทร์ตั้งใจสงเคราะห์ ถ้าหากว่านึกถึงอย่างน้อยก็เป็นเทวตานุสติ

เดี๋ยวพวกรู้จริงก็จะว่าอาจารย์เล็กมั่วอีก แล้วไปใส่กันเละเทะในโซเชียลมีเดีย ให้เขามาใช้มโนมยิทธิแข่งกับอาตมาก็ไม่มา แต่ดันวิจารณ์เก่งฉิบหา..เลย..!

เถรี
21-04-2016, 08:11
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาบอกท่านอาจารย์วิสุทธิ์ว่า หาวัตถุมงคลของหลวงปู่เทียน วัดโบสถ์ ให้บ้างสิ เอาเฉพาะตะกรุด ท่านอาจารย์วิสุทธิ์ร้องจ๊าก บอกว่าพระดีกว่าครับ หาง่ายกว่าเยอะเลย ทั้ง ๆ ที่พระต้องลบผงต้องอะไรด้วย แต่ว่าท่านสร้างไว้เยอะ ส่วนตะกรุดท่านไม่มีเวลาจาร

ไม่มีอะไรหรอก ออกใบสั่งไว้เล่น ๆ เพราะท่านเป็นคนใจอ่อน พอของมาใครตื๊อก็ให้เขาไป อาตมาสั่งมีดหมอหลวงพ่อกวยไว้อีกเล่ม ท่านบอกว่าเพิ่งโดนเขาตื๊อไป น่าทุบจริง ๆ เลย ท่านเป็นคนใจอ่อน ใครตื๊อก็ให้เขาหมด ท่านเป็นคนที่ไม่คิดเอากำไรกับใคร เป็นคนที่น่าคบมาก เล่นวัตถุมงคลแบบมีหลักการ คือศึกษาเรียนรู้ร่วมกัน

ตอนแรกก็ไม่คิดว่าท่านจะบวชยาว คิดว่าบวชเอาพรรษาเดียว แต่พอดีท่านบวชแล้วไปอยู่กับหลวงพ่อประสิทธิ์ วัดป่าหมู่ใหม่ ไปเจอครูบาอาจารย์ระดับนั้นเข้าคงซาบซึ้งในพระธรรม ก็เลยอยู่มาเรื่อย ท่านเจอหลวงพ่อประสิทธิ์มาวัด.. ท่านรับดูแล เลยติดใจตามไปปฏิบัติที่วัด เป็นพรรษาเลย ช่วงนั้นพวกเราก็ลุ้นว่าท่านจะบรรลุเสียแล้ว"

ถาม: ท่านถ่ายทอดโดยไม่ปิดบังอะไร ?
ตอบ : หลักการถ้าศึกษาถึง ก็รู้ทุกคน ท่านเองก็ไม่ปิดบัง ถ้าคนรู้เยอะก็ช่วยกันยืนยันได้ แต่ถ้าวัตถุมงคลถึงมืออาตมานี่โดนแปลงโฉมหมด ประเภทไม้แห้งไม้เก่า เอามาลงน้ำมันหมด เพราะไม่คิดจะขายอยู่แล้ว

เถรี
21-04-2016, 08:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครจองวัตถุมงคลวัดท่าขนุนแล้วโอนเงินผิดบัญชี รับประกันว่าเจ้าหน้าที่ไม่มีคืนเงินให้ จะโอนเข้าไปบัญชีทำบุญตามอัธยาศัยทันที จะได้จำไปตลอดชีวิตว่าอย่าโอนผิดอีก"

เถรี
21-04-2016, 13:39
ถาม : ตอนเช้าก่อนเพื่อนไปทำงาน เขาใส่รองเท้าไปใส่บาตร จะรองเท้าหนังหรือผ้าใบเขาก็จะสวมถุงเท้า การสวมถุงเท้าใส่บาตรเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่สบายใจก็ถอดเสีย ถามไปก็ไม่สบายใจอยู่นั่นแหละ

ถาม : ถ้าไม่ถอดจะเป็นการปรามาสไหมละครับ ถ้าเขาไม่สะดวก ?
ตอบ : ถ้าหากว่ามีความจำเป็นก็ไม่ต้อง แต่ถ้าทำแล้วไม่สบายใจก็อย่าทำ

เถรี
21-04-2016, 15:09
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระเบียบเขาตั้งไว้ให้ปฏิบัติ ไม่ได้ตั้งไว้ให้ต่อรอง ส่วนใหญ่พวกที่ไม่รู้จักเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนดี ก็มักจะคิดว่าระเบียบต่อรองกันได้ โทรมาบอกว่าขอลาเพิ่มอีก ๕ วัน หาเงินค่ารถไม่ทัน อาตมาบอกว่านั่นเป็นปัญหาของเอ็ง กลับมาไม่ทันก็ไล่ออก..!

ระเบียบวัดก็เหมือนกับกฎหมาย ในเมื่อเป็นกฎหมายก็ต้องปฏิบัติตาม ไม่ใช่มาต่อรองกัน มีใครโดนตำรวจจับแล้วต่อรองบ้าง บ่อยเลยใช่ไหม ? จำไว้ว่าถ้าไม่ผิดตำรวจจับไม่ได้หรอก แต่ขนาดจับบิ๊กไบค์ยังต้องโทรถามเพื่อนเลยว่าผิดข้อหาอะไร ยังหาข้อหาไม่ได้แล้วทะลึ่งไปจับเขา..!

รู้สึกว่าที่วัดมีแต่โครงการบวชสามเณรภาคฤดูร้อน แล้วคณะของพวกเราก็มีแต่เด็กผู้หญิงเสียเยอะ ลองบวชชีพราหมณ์ภาคฤดูร้อนบ้างไหม ? จะได้ไปอยู่วัดกันทั้งแก๊งค์เลย

วันก่อนทำตารางให้ท่านเก่ง เลขานุการวัดท่าขนุน เอาไว้ให้ควบคุมสามเณรให้ปฏิบัติตามตาราง เณรเห็นก็ร้องโอ้โห เริ่มตั้งแต่ตี ๓ ครึ่งตื่นนอน ตี ๔ เริ่มกรรมฐาน บอกว่าถ้าใครทำไม่ได้ กลับไปหลวงพ่อจะฟาดตูด หลวมตัวเข้าวัดท่าขนุนต้องโดนบ้าง อย่าได้หลงเข้าไปเชียวนะ หลงไปเมื่อไรตีกระจาย จับบวชชีพราหมณ์แล้วยึดโทรศัพท์ เอาให้คลั่งตายไปเลย...!"

เถรี
21-04-2016, 15:12
"ยกตัวอย่างไม่ใกล้ไม่ไกล ทิดตู่ของเรานี่แหละ โดนไล่ออกจากวัดเพราะว่าไปให้คนอื่นมาช่วยต่อรองให้ ไปช่วยงานท่านอนันต์ที่วัดพระธาตุ ๕ ดวง ๑๕ วัน พอวันที่ ๑๓ อาตมาก็โทรไปเตือนว่าวันลาจะหมดแล้วนะ จะเดินทางกลับก็ต้องเตรียมตัวแล้ว ปรากฏว่าพอวันที่ ๑๖ มีโทรศัพท์มา บอกว่าหลวงพี่อนันต์บอกว่าจะพูดกับหลวงพ่อให้ เลยบอกว่า ไม่เป็นไรหรอก อยู่ต่อไปเถอะ ถ้ากลับมาแล้วก็เก็บของออกจากวัดไปได้เลย...!

ด้วยความข้องใจและด้วยความกล้าหาญว่าตัวเองทำอะไรไม่ผิด ทิดตู่กลับมาก็ถามว่าผมผิดอะไรบ้างครับ ? น่าเหวี่ยงไหม...?! เลยบอกว่าอันดับแรก เอ็งอยู่กับข้า แต่ดันไปฟังคำพูดคนอื่น ถือว่าผิดมารยาท อันดับที่สอง ระเบียบวัดระบุให้ลาแค่ ๑๕ วันแล้วไปเกิน ถือว่าผิดระเบียบวัด อันดับที่สาม ครูบาอาจารย์สั่งแล้วไม่ปฏิบัติตามถือว่าผิดพระธรรมวินัย ตกลงว่าผิดเยอะพอหรือยัง ?

พวกเด็ก ๆ เขายังไม่รู้ ก็คิดว่าหลวงพ่อรักพวกเขาแบบแปลก ๆ เพราะถึงเวลาเขาจะกลับบ้านแล้ว ก็บอกว่าไปเถอะ เขาก็งง ๆ ว่าหลวงพ่อไม่ง้อเขาเลยหรือ ? ตอนอยู่เห็นรักนักรักหนา ตอนจะไปง้อสักนิดก็ไม่มี เลยบอกเขาว่าตูมีอุเบกขาในเมตตา จนป่านนี้เด็ก ๆ ยังตีความไม่แตกเลยว่าอุเบกขาในเมตตาเป็นอย่างไร"

เถรี
21-04-2016, 20:19
ถาม : มีคนอยากรู้ว่าหลวงพ่อลาพุทธภูมิเมื่อไรคะ ?
ตอบ : พอพวกหนูเกิดนี่แหละรีบลาเลย ตูไม่ลานี่ตูคงได้เกิดอีกยาวแน่ ...(หัวเราะ)... ดูว่าไอ้เต้ยจะมาไหม ? ถ้าเต้ยมาต้องยุ่งแน่เลย รีบลาดีกว่า...!

เถรี
21-04-2016, 20:20
พระอาจารย์กล่าวว่า "การประสบความสำเร็จต้องทุ่มเทความพยายาม จะนอนใต้ต้นไม้รอกระต่ายให้มาชนตายนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว"

เถรี
21-04-2016, 20:21
พระอาจารย์กล่าวว่า “ปีนี้อาตมาปล่อยชีวิตสัตว์มาเป็นปีที่ ๓๑ แล้ว นับชีวิตไม่ถ้วน ตอนแรกที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่าให้ไปปล่อยปลาที่เขาขายให้ฆ่าเดือนละตัวสองตัว ท่านบอกว่า “แกเป็นทหารมาทุกชาติ กรรมปาณาติบาตมีมาก ทำให้ป่วยบ่อย” ก็เริ่มทำมาตั้งแต่ ๑ มกราคม ๒๕๒๙ ปีนี้ก็ปีที่ ๓๑ พอดี”

เถรี
21-04-2016, 21:27
ถาม : เส้นเลือดสมองแตกค่ะ ?
ตอบ : มีหมออยู่ทางอีสาน ถ้าหากว่าเส้นเลือดแตกใหม่ ๆ ไปหาหมอคนนี้เลย หายเกือบเป็นปกติ เขาสามารถเรียกเลือดเสียออกมาได้ แปลกดีเหมือนกัน เอาไข่ต้มไปคลึง ๆ พอแกะไข่ออกมา ข้างในมีแต่เลือด แล้วให้หมอปัจจุบันเขารักษาต่อ เขาช่วยได้แค่เอาเลือดเสียออก แต่ต้องตอนเป็นใหม่ ๆ ตอนนี้ไม่ทันแล้ว

ถาม : ผ่าไปแล้วครับ
ตอบ : ผ่าไปแล้วใช่ไหม ? ถ้าเป็นใหม่ ๆ ไปหาเขาเกือบปกติทุกคน แต่ไม่เป็นไร...อย่างน้อย ๆ ก็ยังไปไหนมาไหนได้

เถรี
21-04-2016, 21:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "วิธีที่ง่ายที่สุดคือหากินกับเด็ก ตอนนี้เลยมีชุดขาวสำหรับเด็กไปวัด ความจริงเข้าวัดใส่ชุดสีอะไรก็ได้ เพียงแต่ว่าให้เรียบร้อยหน่อย อย่างเช่นว่า จะผู้ชายผู้หญิงก็ตามก็ไม่ควรใส่ชุดสั้น ๆ ถ้าเป็นกางเกงก็ขายาว กระโปรงก็ยาวเลยเข่าหน่อย ยาวลากพื้นได้ยิ่งดี ผู้หญิงก็ใส่เสื้อให้ดูมิดชิดหน่อย ไม่ต้องไปเปิดหน้าเปิดหลัง ไม่ต้องทำตัวยากจน ใส่เสื้อแค่ครึ่งตัว หรือว่าทำตัวเป็นขอทาน ใส่กางเกงขาด ๆ มา"

เถรี
23-04-2016, 12:08
ถาม : ทำบุญอย่างไรให้ได้บุญสูงสุดคะ ?
ตอบ : ฝึกกรรมฐานให้ได้สมาบัติ ๘ จะได้บุญที่สุด รีบไปทำด่วน...! จำไว้ว่า ถ้าบุญในส่วนของทาน ต่อให้ทำขนาดไหนก็ไม่เกินศีล แล้วรักษาศีลขนาดไหนก็ไม่เกินภาวนา ฉะนั้น...ไปภาวนาให้มากเข้าไว้ แต่ในส่วนของทานกับศีลก็อย่าไปทิ้ง ให้ทำควบคู่กันไปด้วย

สมัยก่อนมีคนไปสรรเสริญหลวงปู่ดูลย์ ว่าได้สร้างโบสถ์ได้สร้างศาลา ช่างเป็นบุญที่ใหญ่เสียจริง ๆ ท่านก็หัวเราะนิดหนึ่ง "เฮอะ...ถ้าอยากได้บุญ ใครจะมาเอาบุญอย่างนั้น" คนเขาตีความไม่ออก สร้างโบสถ์ได้บุญมหาศาลเลย แต่เขาลืมไปว่าโบสถ์ก็เป็นแค่วิหารทาน ยังอยู่ในส่วนของทาน ยังก้าวไปไม่ถึงศีลเลย ยังมีภาวนาอีก แล้วหลวงปู่ดูลย์ท่านก็พูดสั้น ๆ ด้วย ถ้าคนตีความไม่ออก ก็จะเข้าใจผิดไปเลย ไปสงสัยว่าถ้าท่านไม่สรรเสริญในทาน แล้วจะสร้างไปทำไม ?

เถรี
23-04-2016, 20:05
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ถามท่านว่าท่านเกิดทันพระพุทธเจ้าไหม ? ถ้าท่านเกิดทันเราจะเชื่อท่าน เรารู้ตัวก็ตัดการติดต่อไปสิ ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันมีพระอรหันต์สืบต่อกันมาไม่เคยขาดสาย ถ้าพระไตรปิฎกใช้งานไม่ได้แล้วอะไรจะใช้ได้

พวกประเภทฉลาดเกินปล่อยเขาไปเถอะ พวกปทปรมะ ผู้มากด้วยบทบาท หาใครสอนไม่ได้หรอก วัดป่าสายหลวงปู่มั่นมีพระที่มรณภาพแล้วอัฐิเป็นพระธาตุมากมายมหาศาลไม่รู้กี่องค์ต่อกี่องค์ แล้ววัดป่าสายนั้นประกาศตัดท่านออกจากกองมรดก ก็ปล่อยท่าน อย่าไปยุ่งกับท่านเลย คนประเภทนั้นความรู้ท่านเกิน ออกไปแนวสญชัยปริพาชก

ถาม : เขาบอกว่าไม่ให้ไหว้พระพุทธรูปด้วย ?
ตอบ : ที่ไม่ไหว้พระพุทธรูปก็เพิ่งจะต้องอาบัติปาราชิกไป ๑ ราย เดี๋ยวดูว่ารายนี้จะออกไปทางไหน การสวดมนต์ไหว้พระเป็นอนุสติ ระลึกถึงพระตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน คุณศึกษาพุทธวจนะอีท่าไหน บอกห้ามไหว้พระพุทธเจ้า ไม่สวดมนต์ไหว้พระ อย่าไปเถียงกับเขาเลย ไม่มีประโยชน์หรอก เกิดกิเลสเสียเปล่า ๆ

เถรี
23-04-2016, 21:57
ถาม : เดินทางไปทางไหนดี ?
ตอบ : ต้องถามตัวเอง ไม่มีหัวไม่มีปลาย อยู่ ๆ ถามอย่างนั้นใครจะไปตอบได้ ให้ปฏิบัติอยู่ใน ศีล สมาธิ ปัญญา ก็แล้วกัน อย่าให้หลุดจาก ศีล สมาธิ ปัญญา ก็ถูกทางทั้งนั้นแหละ

มีโยมชอบถามปัญหา ลักษณะคำถามแบบรู้กันเองแค่ ๒ คน แล้วจะให้อาตมาตอบอยู่เรื่อย ขอบอกว่าอย่าทำบ่อย มาผิดท่าผิดทางจะโดนด่าอีกต่างหาก ประเภทมาถึงก็ “เดินถูกทางหรือเปล่าครับ ?” “ที่ทำอยู่ใช่ไหมคะ ?” โปรดระวัง...จะโดนเหวี่ยง..! อาตมาเสียเวลาตอบไปโยมก็ได้คนเดียว คนอื่นไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย

เถรี
23-04-2016, 21:58
เมื่อวานมีพระท่านถามว่า ก่อนหน้านี้ไม่ได้เคารพอาตมามากมายนัก แต่ฝันถึงบ่อย ตอนนี้เคารพแบบมอบกายถวายชีวิตเลย ทำไมไม่ฝันอีกเลย ? การปฏิบัติแย่ลงใช่ไหม ?

อาตมาก็บอกว่า “เมื่อไม่อยู่บ้านเราก็คิดถึงบ้าน พออยู่บ้านเราจะคิดถึงบ้านอีกทำไม ?” ยังอุตส่าห์ถามปัญหาแบบนี้ได้ ก็น่าสงสัยเหมือนกันนะ ยืนได้แล้วเขามีแต่ตั้งหน้าตั้งตาเดินไปให้ถึงเป้าหมาย ไม่ใช่ว่ารอให้ครูบาอาจารย์ไปเข้าฝัน

เถรี
24-04-2016, 12:39
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดี๋ยวไว้มีโอกาสอาตมาจะเปิดกองทุนการศึกษาเพราะว่าช่วงนี้จ่ายเยอะมาก ปีนี้มีพระใหม่ที่จะเรียนปริญญาโทอีก ๔ รูป จบมา ๑ เรียนเพิ่ม ๔ อาตมาได้กำไรแบบนี้ทุกปี

ส่วนท่านแบงค์ก็ดวงยากเข็ญ ไปเรียนปริญญาโทวิปัสสนาภาวนา แรกเริ่มก็ต้องไปเข้าปริวาส ๑ เดือนเพื่อความบริสุทธิ์ หลังจากนั้นก็ไปอยู่ปฏิบัติกรรมฐาน ๗ เดือน ความจริงเขาบอกให้แบ่งเป็น ๒ ช่วง คือ ๔ เดือน กับ ๓ เดือน ปรากฏว่าพอไปอยู่ที่โน่นแล้ว ครูฝึกท่านบอกว่าเอา ๗ เดือนรวดไปเลย เพราะว่าอารมณ์ปฏิบัติกำลังดี แล้วค่อยกลับมาเรียนวิชาการ ท่านก็เลยอยู่ยาวไป ๗ เดือน แต่ปรากฏว่าทางมหาวิทยาลัยไม่ยอม ท่านก็เลยเสียฟรีไป ๘ เดือน กลายเป็นเรียนช้ากว่าเพื่อนไป ๑ ปี

เรียนช้ากว่าเพื่อน ๑ ปี พอเรียนเสร็จก็ต้องไปเข้ากรรมฐานอีก ๗ เดือน ได้บุญเยอะจริง ๆ...! เรื่องหัวข้อวิทยานิพนธ์ท่านก็ไม่ได้บอกอาตมาว่าหัวข้อเป็นอย่างไร ถึงเวลาถามว่า “หัวข้อผ่านหรือยัง ?” ตอบว่า “ผ่านแล้วครับ” “คุณได้หัวข้ออะไร ?” “วิเคราะห์การบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าครับ” อาตมาสะดุ้งเฮือก “เฮ้ย..! นั่น ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์เลยนะ” “ครับ.. ผมก็เพิ่งรู้ตอนที่ท่านอาจารย์ที่ปรึกษาบอกนั่นแหละครับ” เพราะฉะนั้น...ทุกวันนี้ รุ่นน้องคือท่านปลัดเผื่อนจบปีนี้ แต่รุ่นพี่คือท่านแบงค์ยังง่วนอยู่กับวิทยานิพนธ์

อาตมาบอกเขาว่า “รวบลงมาให้เหลือ ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วก็ตีเอาเฉพาะหัวข้อใหญ่ ๆ ก็พอ” ก็ไม่รู้ว่าท่านรวบลงหรือเปล่า ? ไม่ได้กลับวัดมา ๒ เดือนกว่าแล้ว อยู่ที่มหาวิทยาลัยเลย มีอะไรจะได้ถามอาจารย์ได้ทุกวัน บอกให้มารับเงินเดือนก็ไม่มารับ นี่ถ้ามารับทีอาตมาต้องจ่าย ๒๐,๐๐๐ บาทเลย"

เถรี
24-04-2016, 12:46
พระอาจารย์กล่าวว่า "สามเณรไม่จำเป็นต้องบวชในเขตเสมา เพราะไม่ใช่สังฆกรรม สามเณรบวชที่ไหนก็ได้ ขอให้มีพระอุปัชฌาย์ก็แล้วกัน อย่างสมัยก่อนท่านบอกว่า ให้นั่งกระโหย่งไหว้เท้าพระอุปัชฌาย์ กล่าวคำถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก ก็เป็นสามเณรแล้ว"

เถรี
24-04-2016, 12:49
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าใครวางแผนจะบวชที่วัดท่าขนุนให้ท่องคำขอบวชแบบอุกาสะไว้ อาตมาจะเริ่มบวชให้ตั้งแต่งานฉลองพระอุปัชฌาย์เดือนมิถุนายนนี้ ถ้าใครตั้งใจจะบวชหมู่แล้วอยู่จำพรรษาก็ได้ แต่ถ้าใครจะบวชเดี่ยวแล้วหวังให้อาตมาว่างนี่ยากสุด ๆ เพราะว่าต้องสอนหนังสือหลายแห่ง ไม่ค่อยได้อยู่วัด

เพราะฉะนั้น...วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือบวชตามตารางของวัด เพราะถ้าตามตารางของวัด อาตมาอยู่แน่ ๆ แต่ก็ไม่แน่นักหรอก ขนาดงานเป่ายันต์เกราะเพชรยังยกเลิกมาแล้ว เจอคำสั่งเจ้านายให้ไปปฏิบัติธรรม พระอาจารย์มหาสันติตอนแรกก็บอกว่ามีงานนั้นงานนี้ พอไปพักอยู่ด้วยกัน “อ้าว...ทำไมไม่ไป ?” ”โอ้...ขนาดงานเป่ายันต์ฯ อาจารย์ยังยกเลิกเลย งานผมเล็กกว่าตั้งเยอะ” สรุปว่ามีคนเลียนแบบ"

เถรี
24-04-2016, 13:04
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนที่ไปอบรมกรรมฐานของพระอุปัชฌาย์ใหม่ มีการเลือกประธานรุ่นกัน เพื่อน ๆ ก็เสนอชื่อหลวงพ่อพระครูโสภิตปัญญากร วัดป่าประดู่ พระอารามหลวง ที่ระยอง กับหลวงพ่อชำนาญ มีเสียงสนับสนุนประมาณครึ่ง ๆ แล้วมีคนเสนอชื่อพระครูวิลาศกาญจนธรรมเสียงเดียว ปรากฏว่าเลือกไปเลือกมา พระครูวิลาศกาญจนธรรมเป็นประธานรุ่นไปเฉยเลย อาตมาก็งง ๆ กับชีวิตเหมือนกัน

เพื่อนกันจากกาญจนบุรีคือพระปลัดธวัช สุทฺธจิตฺโต เจ้าอาวาสวัดสวนมะม่วง ท่านบอกว่าตอนทำวัตรเย็นผมอุทิศส่วนกุศลและอธิษฐานว่า ถ้าพระอาจารย์เล็กบารมีมากจริงต้องได้เป็นประธานรุ่น แล้วท่านก็ปล่อยให้คนอื่นเสนอชื่อกันจนไม่มีใครเสนอ แล้วค่อยเสนอชื่ออาตมาขึ้นมาคนเดียว ตอนแรกก็มีเสียงสนับสนุนเสียงเดียว สรุปแล้วอาตมาก็ไม่รู้ว่าเพื่อนพาซวยหรือไม่ ? เพราะในรุ่นด้วยกัน ๙๒ รูป อาตมาอาวุโสเป็นอันดับที่ ๒๗ มี ๔๐ กว่า ๕๐ กว่าพรรษาเยอะแยะไปหมด ถามว่าแก่ขนาดไหน ? ก็ต้องบอกว่าเข้ากรรมฐานได้ ๓ วัน มีมรณภาพไปแล้ว ๑ รูป..!

ทางด้านหลวงพ่อสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าคณะใหญ่หนกลางท่านบอกว่า “เอาอย่างนี้ ใครอายุเกิน ๗๐ แล้วไม่ต้องไปเข้ากรรมฐาน” ปรากฏว่าไม่ค่อยมีใครใช้สิทธิ์ แปลกมากเลย อาจจะเป็นเพราะว่าท่านต้องการไปคลุกคลีตีโมง สร้างความสนิทสนมกับท่านอื่น ๆ ที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกัน หรือไม่ก็สปิริตแรงกล้า ไม่อยากจะใช้สิทธิ์

อายุ ๗๔ – ๗๕ ปี ท่านไปยกหนอ ย่างหนอ บางท่านไม่ค่อยแข็งแรงก็เซไปเลย

เวลาไปอยู่กับเพื่อนแล้ว อาตมารู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกจากคนอื่นเขา ที่เห็นชัดที่สุดก็คือตอนฉันอาหาร อาตมาฉัน ๕ – ๑๐ นาทีก็ไปแล้ว แต่ท่านอื่นฉันเป็นชั่วโมง เอาพุงที่ไหนไปใส่ก็ไม่รู้ แล้วอย่าคิดว่าฉันน้อยนะ ที่อาตมาลุกก่อนคือฉันมากกว่าเขาเท่าหนึ่งเป็นอย่างน้อย"

เถรี
24-04-2016, 13:06
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปกติวันอาทิตย์ของเดือนเมษายน ทางบ้านสายลมจะทำบุญวันเกิดให้ท่านเจ้ากรมเสริม (พล.อ.ท. ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์) แสดงว่าพรุ่งนี้จะมีงาน ให้รู้ไว้ว่านั่นคืองานวันเกิดของท่านเจ้ากรม แม้ว่าท่านจะเสียชีวิตไปแล้ว เขาก็ยังทำบุญวันเกิดให้ บางคนอาจจะงงว่าบวงสรวงอะไรกัน

ท่านเจ้ากรมเสริมเป็นผู้ใหญ่ที่น่ารักมาก และทำตัวติดดินมาก เป็นหม่อมราชวงศ์ เป็นเจ้ากรมสื่อสารทหารอากาศ เป็นพลอากาศโท ถึงเวลาก็ไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ท้ายศาลา อาตมาเดินผ่านก็ “อ้าวลุง...ทำไมไม่ไปนั่งข้างหลวงพ่อ ?” ท่านบอกว่านั่งมาเยอะแล้ว ให้โอกาสคนอื่นเขาบ้าง นั่งอยู่ท้ายศาลา ๒ ไร่ คนไม่รู้จักก็นึกว่าตาแก่ที่ไหนก็ไม่รู้มานั่งทอดหุ่ยอยู่คนเดียว กว่าจะรู้ว่าเป็นเจ้าของบ้านสายลม บางคนก็ไล่เจ้าของบ้านไปแล้ว..!

ท่านเจ้ากรมเสริมแต่เดิมเป็นตำรวจ พอได้ยศร้อยตำรวจเอกแล้วก็ย้ายเหล่าเป็นทหารอากาศ ป้าอ๋อย (คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์) เวลาคุยกับพวกเราท่านก็แซวเล่นอยู่เรื่อย “ฉันรักกับตำรวจ แต่แต่งงานกับทหารอากาศ” ท่านน่ารักมาก คนไม่รู้ประวัติก็ตาปริบ ๆ ว่าป้าเราหลายใจขนาดนี้เลยหรือ ?"

เถรี
24-04-2016, 20:16
ถาม : เวลาสวดมนต์ตอนเช้ามักจะหลับเลย มีอะไรผิดพลาดไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรผิดพลาดหรอก ยกเว้นว่าต้องการมากกว่านั้น สิ่งที่ทำถือว่าเป็นกุศลแล้วเพราะมีทั้งสวดมนต์และภาวนา แต่ถ้าจะเอามากกว่านั้นต้องตามดูลมหายใจให้จี้ติดยิ่งไปกว่านั้น เพราะถ้าสติห่างเมื่อไรจะเผลอหลับ แต่ในช่วงนั้นอย่างน้อยสมาธิก็เริ่มจะเป็นปฐมฌาน ถึงแม้ว่าจะเป็นอย่างหยาบก็เถอะ ปล่อยให้หลับไป ตั้งใจว่าถ้าเราตายก็ขอไปอยู่กับพระท่านก็จบแล้ว

เถรี
24-04-2016, 20:31
ถาม : พอเริ่มสวดมนต์แล้วรู้สึกปวดท้อง แต่พอสวดต่อไปอีกสักพักก็หาย ?
ตอบ : มี ๒ อย่าง อย่างที่ ๑ ขันธมาร คือร่างกายเขาขวางไม่ต้องการให้เราทำความดี เห็นเราสู้ต่อเขาก็ถอย อย่างที่ ๒ สมาธิทรงตัว จิตกับประสาทแยกออกจากกัน ไม่รับรู้อาการทางร่างกาย อาการก็หายไป ยังต้องการคำอธิบายอะไรอีก ?

เถรี
25-04-2016, 17:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นบางคนโดยเฉพาะวัยรุ่น กังวลกับรูปร่างของตัวเองมาก อาตมาขอยืนยันว่าไม่ต้องกังวล ต่อให้อ้วนหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่ให้แข็งแรงเข้าไว้ ฉะนั้น...ออกกำลังบ้าง อย่าไปนั่งจมอยู่กับไลน์หรือไปหน้าทิ่มอยู่กับหน้าจออินเตอร์เน็ต แต่ละคนทำบุญทำทานมาไม่เท่ากัน สิ่งในอดีตที่เราสร้างไว้จะกลายเป็นปัจจุบันของเรา

ถ้าไปอ่านในพุทธวงศ์จะเห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ มีอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ แต่ละอย่างล้วนเกิดจากการสร้างบุญมาในอดีตทั้งนั้น ว่าทำอะไรแล้วจะได้แบบไหน โบราณเขาถึงใช้คำว่ารูปธรรมนามธรรม คือธรรมชาติสร้างเสริมมาอย่างนั้นอยู่แล้ว

ไม่ต้องไปใส่ใจเขาหรอก ต่อให้อ้วนหน่อยแต่ก็แข็งแรงแล้วกัน ใครมาหือกับเราก็จับทุ่มออกนอกหน้าต่างไปเลย กินเข้าไป กินแล้วออกกำลัง ทำงานให้คุ้ม ถ้าหากว่าเกิดมาแล้วอด ๆ อยาก ๆ ทำเหมือนเร่ร่อนอยู่ในแดนเปรตและอสุรกายแล้วจะเกิดมาเป็นมนุษย์ทำไม ?"

เถรี
25-04-2016, 17:06
"มีเพื่อนพระสังฆาธิการส่วนหนึ่งไม่เข้าใจ ถามอาตมาว่ารักษาสุขภาพมากเลยหรือ ถึงไม่ค่อยอ้วนกับใคร บอกเขาไปไม่รู้ว่าเข้าใจหรือเปล่า บอกไปว่า “ทำให้มากกว่าที่กินนะ” ฉะนั้น...เวลาไปวัดบางทีโยมก็ไปนั่งเถียงกันว่าต้องไม่ใช่เจ้าอาวาสแน่เลย เห็นกำลังกวาดวัดอยู่ รดน้ำต้นไม้อยู่ แล้วที่เถียงกันก็คือคนที่รู้จักนั่นแหละ พอไปเห็นตอนเล่นบทบาทกรรมกรเข้าทำเป็นจำไม่ได้

บ้านเราไม่ต้องไปไกลหรอก สมัยรัชกาลที่ ๖-๗ จนกระทั่งสมัยอาตมาเด็ก ๆ เขาหาสาวที่อวบระยะสุดท้าย เพราะว่าคนสมัยก่อนการคลอดลูกต้องคลอดตามธรรมชาติ ถ้าแม่ไม่แข็งแรงมีสิทธิ์ตายเลย เขาต้องหาผู้หญิงที่ค่อนข้างท้วม ร่างกายแข็งแรง คลอดลูกจะได้ปลอดภัยหน่อย แม้กระทั่งทุกวันนี้ประเทศอินเดีย สังเกตไหมว่าสาวอินเดียทุกวันนี้รูปร่างเป็นอย่างไร ถ้าผู้หญิงอินเดียผอมเขาถือว่าเป็นกาลกิณี ฉะนั้น...ถ้าน้ำหนักต่ำกว่า ๖๐ กิโลกรัมไม่ต้องไปอินเดีย ไม่มีใครเขาแลหรอก ต้อง ๖๐ กิโลกรัมขึ้นไป

ถ้าใครดูภาพวาดยุคเก่า ๆ สมัยเรเนซองส์ จะเห็นว่าผู้หญิงแต่ละคนอ้วน ๆ ทั้งนั้น ฉะนั้น...ถ้าใครว่าเราอ้วน บอกไปได้ด้วยความภูมิใจเลยว่า มาจากยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา เป็นคนสวยของสมัยนั้น ต่อไปเลิกเครียดกับความอ้วนได้แล้ว เราก็ออกกำลังของเราไป กินอย่างมีความสุขไปด้วย"

เถรี
25-04-2016, 17:09
"ส่วนใหญ่ที่คนของเราอ้วนเกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุที่ ๑ เพราะเอาอาหารของคนเมืองหนาวมากิน อาหารพวกนั้นจะให้พลังงานสูงมาก เพราะเอาไว้สู้กับความหนาว คราวนี้ประเทศของเราเป็นเมืองร้อน ก็เลยกลายเป็นส่วนเกินไป มีแต่อ้วนกับอ้วน

อีกส่วนหนึ่งก็คือพวกเราขาดวินัยในการควบคุมตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมปากตัวเองก็ดี หรือว่าควบคุมให้ตัวเองออกกำลังก็ตาม ไม่ค่อยมีวินัยกัน อย่างเก่งก็ไฟไหม้ฟาง วันสองวันเลิกแล้ว เครื่องออกกำลังกายซื้อมาหมื่นสองหมื่นเอาไว้ตากผ้า ฉะนั้น...การควบคุมตัวเองก็คือการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง เราควบคุมปากเราได้ ควบคุมกาย วาจา ของเราได้ ก็เท่ากับว่าเราควบคุมตัวเราให้รักษาศีลและทรงสมาธิได้เช่นกัน"

เถรี
25-04-2016, 17:15
(มีโยมพาเด็กมาถวายสังฆทาน) "เป็นอย่างไรครับลูก ? ทำหน้าอย่างกับจะบรรลุมรรคผลวันนี้เลย เจ้าตัวเล็กทำหน้าเบื่อหน่ายได้อารมณ์มาก ใครปฏิบัติธรรมอยู่ มาเห็นหน้าเขานี่ก็คงจะบรรลุกันเดี๋ยวนั้นเลย เด็กเขาไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ไปเล่นสนุก ทำไมต้องมายกพระถวายสังฆทาน แล้วก็มานั่งไหว้กันอย่างนี้ด้วย บางทีเห็นความฝันของเด็ก ๆ แล้วรู้สึกว่าเรียบง่ายดี

ปีนี้วาวาที่เป็นเด็กวัดสอบเข้า ม.๑ ได้ ช่วงที่ไปสอบโอเน็ตเห็นว่าเขาเรียนช้า เพราะแม่เป็นต่างด้าว ลูกเรียนอยู่ปีสองปีก็ออกมาทำงาน พอมีสตางค์ก็กลับไปเรียนใหม่ ปีหนึ่งก็ต้องออกมาทำงานอะไรอย่างนี้ จนกระทั่งอาตมาเอามาอยู่วัด ถึงได้ส่งให้เรียนต่อเนื่อง แม้ว่าจะรุ่นเดียวกับพวกน้ำหวานแต่เพิ่งจะจบ ป.๖ ทั้ง ๆ ที่น้ำหวานขึ้น ม.๕ แล้ว ปรากฏว่าขึ้น ม.๑ ได้ดีอกดีใจมาก ถามว่าทำไม ? “จะได้ไว้ผมยาวเสียที” คือเขาต้องนับว่าเป็นรุ่น ม.๕ เป็นสาวแล้ว แต่ต้องไปตัดสั้นแค่หู เข้าโรงเรียนใหม่ได้ดีใจมาก จะได้ไว้ผมยาวเสียที

ต้องบอกว่าเด็ก ๆ ที่วัดโอกาสที่จะเรียนแทบจะไม่มี ถ้าไม่มาอยู่วัดให้หลวงพ่อส่งก็ไม่ได้เรียน ฉะนั้น...ถึงเวลาเขาจึงตั้งใจเรียนกัน แต่ขณะเดียวกันเด็กในกรุงเทพฯ เด็กในเมือง มากต่อมากด้วยกัน พ่อแม่แทบจะทุ่มเทให้ทั้งชีวิต แต่กลับไม่ค่อยจะใส่ใจเรียน คนมีโอกาสไม่พยายาม ส่วนคนไม่มีโอกาสต้องตะเกียกตะกายให้ได้โอกาสมา แต่เชื่อเถอะ...คนประเภทหลังจะประสบความสำเร็จมากกว่า เพราะเขาต้องต่อสู้ด้วยตัวเอง จนกระทั่งมีความสามารถแท้จริง

เด็กในเมืองส่วนใหญ่แล้วฉาบฉวยผิวเผิน นอกจากประสบการณ์ในเมืองแล้วอย่างอื่นไม่มีอะไรเลย เอาไปทิ้งไว้ในป่าก็อดตาย..!"

เถรี
26-04-2016, 14:48
ถาม : เวลาจับภาพ ถ้าจับภาพแดนพระนิพพานจะหมุนไม่ได้ แต่ถ้าเกิดจับภาพพระสมเด็จองค์ปฐมจะหมุนได้ ?
ตอบ : ไม่ทราบเหมือนกันเพราะอาตมาไม่เคยเล่นอย่างนั้น ด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้าก็เลยไม่กล้าล่วงเกินด้วยประการใด ๆ ทั้งสิ้น ในเมื่อไม่เคยทำก็เลยตอบไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือ มีโทษอะไรหรือเปล่า

ถาม : แต่การฝึกจับภาพไม่ได้เป็นการล่วงเกินไม่ใช่หรือครับ หรือว่าได้แต่ย่อขยายภาพ ?
ตอบ : ถ้าคิดกันแบบหยาบ ๆ ก็ไม่มีโทษ ถ้าละเอียดกว่านั้นหน่อยก็มี

ถาม : ผมกราบขอความเมตตาพระท่าน ?
ตอบ : อย่าว่าแต่ขอเลย แม้แต่คิดตูยังไม่กล้าคิด พระพุทธเจ้าไม่ใช่เพื่อนเรานี่หว่า..!

ถาม : อย่างนี้เวลาฝึกจับภาพย่อขยายใช้วิธีแบบไหนครับ ?
ตอบ : พระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เราเคยชิน แล้วการย่อขยายนั้นเป็นไปตามระดับกำลังใจของเรา ถ้าสมาธิเราถึง ต้องการให้ใหญ่ก็ใหญ่ ต้องการให้เล็กก็เล็ก

เถรี
26-04-2016, 14:53
ถาม : เวลาจับภาพดวงแก้วหรือแสงสว่างอยู่ข้างหน้า แต่ไม่ทราบว่าวิธีจะนำไปใช้อย่างไร ? อย่างเพื่อนผมเวลาจับภาพสมเด็จองค์ปฐม เขาจะขอให้ระลึกชาติได้บ้าง ทำนองนี้ ?..

ตอบ : สารพัด ๑๐๘ เพราะญาณทั้งหมดพื้นฐานก็คือทิพจักขุญาณ ทิพจักขุญาณคือการรู้เห็น เมื่อรู้แล้วถ้าต้องการรู้เห็นอดีตก็เป็นอตีตังสญาณ รู้เห็นอนาคตก็เป็นอนาคตังสญาณ รู้เรื่องในตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ก็เป็นปัจจุปันนังสญาณ เป็นต้น

ฉะนั้น...จะใช้อะไรก็ใช้ในหลักของญาณ ๘ นั่นแหละ ไม่ได้ต่างกันเท่าไรหรอก พื้นฐานเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนวิธีใช้นิดเดียว

ถาม : เวลาเราอยากรู้ก็รู้เลย หรือว่าต้องขอความเมตตาพระ ?
ตอบ : ถ้ามีความคล่องตัวแค่คิดก็เป็นแล้ว ถ้ายังต้องไปเสียเวลาขอก็ยังห่างไกล

เถรี
26-04-2016, 15:03
ถาม : ความสำคัญของการฝึกลม ๓ ฐาน เพื่อให้สมาธิรวมตัวมั่นคงใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าทำจนเป็นสมาธิแล้ว การอยู่กับลมหายใจเข้าออกคืออยู่ปัจจุบัน การอยู่กับปัจจุบันคืออยู่กับตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ไม่ไปในอดีต ไม่ไปในอนาคต การปรุงแต่งใด ๆ ไม่มี รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นไม่ได้ ก็แปลว่ากรรมใหม่ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ เราไม่ได้สร้าง ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ถ้าเราสร้างความดีใหม่มากขึ้นเรื่อย ๆ กรรมเก่าของเราก็จะค่อย ๆ จางลง เหมือนอย่างกับเติมน้ำจืดลงในน้ำเค็ม เติมไปมาก ๆ ความเค็มไม่ได้ไปไหน แต่ความจืดกลบกลืนไปหมด เราเองก็จะมีความบริสุทธิ์มากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าบริสุทธิ์ถึงที่สุดก็จะหลุดพ้นไปเอง ฉะนั้น...อย่าเห็นว่าเป็นแค่อานาปานสติหรือแค่ลม ๓ ฐานเท่านั้น

ถาม : ทีนี้เวลาฝึกจับลม ๓ ฐานควบกับกสิณที่เป็นภาพ ก็สามารถควบกันได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เขาควบกันเป็นปกติ ฝึกกสิณถ้าไม่ควบกับลมหายใจ ชาตินี้ก็ไม่มีทางได้กสิณหรอก นอกจากภาพติดตาเล็ก ๆ น้อย ๆ

เถรี
26-04-2016, 15:08
ถาม : เวลาเรานึกถึงภาพพระพุทธรูป ถ้าเราตั้งต้นจากความไร้รูป แล้วจะแปรเปลี่ยนเป็นเพชรหรือแก้ว คือวิธีการที่จะทำให้...?
ตอบ : สรุปว่าตั้งคำถามผิดเพราะไม่เคยทำมา แต่ดันทะลึ่งมาถาม เราต้องกำหนดรูปขึ้นมาก่อนถึงเข้าสู่ภาวะไร้รูปได้ การที่กำหนดภาวะไร้รูปขึ้นมาแล้วจะให้เป็นรูปนั้นกลับข้างกัน เป็นไปไม่ได้

ถาม : ที่ไร้รูปเป็นการ...?
ตอบ : มีอยู่อย่างเดียวคือว่าถ้าเรามีความคล่องตัว ต้องการให้ภาพมาก็มา ต้องการให้ภาพหายก็หาย แต่ไม่ใช่อรูป เพราะอรูปต้องทิ้งรูปทั้งหมด

ถาม : ที่ว่าเป็นรูป ทำไมถึงว่ายิ่งใสยิ่งดี ?
ตอบ : ความใสของภาพที่เห็นก็คือระดับสมาธิของเรา ยิ่งระดับสมาธิสูงมากเท่าไรภาพก็ใสสว่างมากเท่านั้น เหมือนอย่างกับคนมีเงิน เขาบอกว่ายิ่งมีเยอะก็ยิ่งดี

ถาม : แก้วก็มีแก้วขาว แก้วใส แก้วมีประกาย อันไหนดีกว่ากันครับ ?
ตอบ : แล้วแต่เรา ถ้ากำลังใจของเราเป็นปุถุชนกิเลสหนา ได้ขาวธรรมดาก็ดีตายชักแล้ว ถ้ากำลังใจเริ่มเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้า ใสเป็นแก้วเองก็ยังอยู่แค่ระดับโคตรภู ถ้าหากว่าใสแล้วมีประกายออกมาถึงจะเริ่มเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้าอย่างแท้จริง แล้วก็หวังว่าจะใสทั้งดวง เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นไปเองตามกำลังใจของเรา ไม่ใช่ไปนั่งคิดแล้วจะเป็น...!

เถรี
26-04-2016, 15:09
ถาม : พอพูดถึงกำลังใจ แล้วกำลังใจนี่คืออะไรครับ ?
ตอบ : ความดีทั้งหมดที่คุณสร้างสมมาใน ศีล สมาธิ ปัญญา

เถรี
26-04-2016, 15:13
ถาม : เวลาฝึกปกติ เมื่อเราคิดเราจะไปแยกจิตเหมือนคุยกับตัวเอง เหมือนคนบ้าที่คุยกับตัวเอง ?
ตอบ : ผิดตั้งแต่คิดแล้ว คิดเมื่อไรก็ทุกข์ เพราะความคิดถ้าไม่ไปอดีตก็ไปอนาคต ทำอย่างไรที่เราจะหยุดอยู่กับปัจจุบันได้ ดูอาการเกิดดับให้เห็นเป็นปกติธรรมดาอย่างนั้น

ถาม : แต่ไม่ใช่ว่าตั้งใจคุยกับจิต หรือเตือนจิตว่าอย่าทำอย่างนี้...?
ตอบ : ถ้าหากว่าลักษณะอย่างนั้นเขาเรียกว่าความเป็นทิพย์ของใจ แต่ว่าความเป็นทิพย์ก็มีทั้งความเป็นจริงแล้วก็มีทั้งอุปาทาน ต้องฝึกซ้อมให้คล่องจริง ๆ ไม่อย่างนั้นจะแยกไม่ออก ส่วนใหญ่แล้วอุปาทานคือสิ่งที่เรายึดเอาไว้จากสิ่งที่เราอ่านมา ได้ยินได้ฟังมา แล้วพอไปเจอเข้ากับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ก็ไปยึดเอาของเก่าของเราเป็นหลัก เขาถึงได้เรียกว่าอุปาทาน

ถาม : แล้วความเป็นทิพย์ของใจเกิดได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : มีสภาพปกติของใจอย่างนั้น จิตมีสภาพรู้ แต่เพียงแต่ว่าการรู้นั้น ถ้าเราต้องการรู้ที่สุดคือการรู้ธรรมที่แท้จริง เรียกว่ารู้ธรรมที่แท้จริงคืออะไร คือรู้เห็นอริยสัจ ฉะนั้น...การรู้ต่าง ๆ ควรจะรู้ในลักษณะของการลด รัก โลภ โกรธ หลง ของเรา ไม่ใช่รู้เพื่อที่จะฟุ้งซ่านไปใหญ่ไปโต ไม่ว่าสวรรค์กี่ชั้น พรหมกี่ชั้น พระนิพพานเป็นอย่างไรกูจะรู้ให้หมด ลักษณะอย่างนั้นกลายเป็นเอากิเลสมาทับถมตัวเองมากกว่า

เถรี
26-04-2016, 15:18
ถาม : จิตนี้จริง ๆ มีแค่ดวงเดียว มีเกิดดับ ๆ ตามอารมณ์ แล้วกายละเอียดเป็นอย่างเดียวกับจิตไหมครับ ?
ตอบ : ก็คือจิตนั่นเอง เราต้องการเห็นเป็นดวงก็เป็นดวง ต้องการเห็นเป็นกายก็เป็นกาย ก็คือผู้รู้ที่อยู่ข้างใน แล้วผู้รู้ตัวนี้มีสภาพอย่างไร ? มีสภาพตามกำลังใจของเราตอนนั้น ถ้ากำลังใจต่ำก็มีสภาพเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน แล้วแต่ระดับของใจ ถ้าสภาพจิตดีก็เป็นเทวดา เป็นพรหม

ถาม : แล้วจริง ๆ อทิสมานกายสามารถแยกเป็นหลาย ๆ กายได้ ?
ตอบ : เป็นจิตเดียว แต่สามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ จึงสามารถแยกเป็นร้อยเป็นพันพร้อม ๆ กันได้ แต่ไม่ว่าปลายจะแยกออกไปเท่าไร ต้นสายก็มีหนึ่งเดียว

ถาม : แล้วใช้ประโยชน์อย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็ถ้าขี้เกียจขึ้นมาก็แยกใจทำงานหลาย ๆ พร้อมกันได้ ถ้าขยันขึ้นมาก็ค่อย ๆ ทำทีละอย่างไป

เถรี
26-04-2016, 19:20
ถาม : การที่เราเปิดร้านอาหารแล้วเราไปซื้อเนื้อสัตว์ จะทำให้ศีลข้อฆ่าสัตว์มัวหมองไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้สั่งให้ฆ่าและไม่ได้ลงมือฆ่าเองก็ไม่เป็นไร

ถาม : การที่เราไปจ่ายตลาดบ่อย ๆ แล้วร้านนั้นเขาเตรียมของให้เราโดยที่เราไม่ได้บอก ?
ตอบ : เรื่องของเขา ไม่ได้เกี่ยวกับเรา

ถาม : การตั้งใจไปหาแหล่งเนื้อสด กุ้งสด แต่เราต้องการแค่ความสด ไม่ได้สั่งให้ฆ่า ?
ตอบ : ถ้าหากว่ายิ่งสดเท่าไรก็ยิ่งเสี่ยงต่อความเป็นโทษเท่านั้น อาตมาเคยเดินเข้าไปในร้านอาหารร้านหนึ่ง แล้วสั่งได้แต่ผัดกะเพราไข่ดาว เพราะกุ้งหอยปูปลาเป็น ๆ ว่ายเต็มตู้ไปหมด แล้วเขาก็ถือสวิงมารอตักว่าจะสั่งตัวไหน...!

ถาม : ถ้าเราจะตั้งใจจะถือศีลให้ละเอียดจะเปิดร้านอาหารได้ไหมครับ ?
ตอบ : เปิดร้านมังสวิรัติสิวะ...!

ถาม : แต่คนไม่ค่อยเข้า ?
ตอบ : จะไปกังวลอะไร ไม่กินก็เรื่องของมึง กูจะนั่งถือศีล...!

เถรี
26-04-2016, 19:22
ถาม : ทำไมพุทธคุณถึงมีอายุเวลาว่า ๒,๐๐๐ ปีบ้าง ๓,๐๐๐ ปีบ้าง ?
ตอบ : ไม่มีอายุเวลา ที่มีอายุเวลาเป็นไปตามกำลังสมาธิของคนทำที่อธิษฐานทิ้งไว้

ถาม : หมายความถ้าคนสร้างอาราธนาพุทธคุณ พุทธคุณก็ไม่มีวันเสื่อมอยู่แล้ว ?
ตอบ : ไม่มีวันเสื่อมอยู่แล้ว

เถรี
26-04-2016, 19:24
ถาม : เวลาเราสวดมนต์ครับ พลังของการสวดมนต์มาจากไหน ?
ตอบ : เกิดจากกำลังใจที่แน่วแน่ ยิ่งแน่วแน่เท่าไร กำลังก็สูงมากเท่านั้น สรุปง่าย ๆ ว่าเกิดจากสมาธิ

ถาม : แต่ไม่ได้แปลว่าสวดมนต์กำลังสมาธิจะน้อยกว่าเวลานั่งสมาธิจริง ๆ ?
ตอบ : อาตมาสวดได้ยันพระนิพพานเลย ใครทำได้น้อยก็ผลน้อย ใครทำได้มากก็ผลมาก แล้วแต่ตัวเอง การทำสมาธิไม่ได้บังคับว่าต้องนั่งทำอย่างเดียว อยู่ในอิริยาบถอะไรก็ทำได้ ทำอะไรอยู่ก็สามารถทรงสมาธิได้

เถรี
26-04-2016, 19:24
ถาม : ข้อสุดท้ายครับผม
ตอบ : เอาให้แน่นะ...มีเกินโดนเหวี่ยง...!

ถาม : คำถามสุดท้ายของตอนนี้ครับ พระปัจเจกพุทธเจ้าทำไมท่านอธิษฐานอย่างนั้น ทำไมท่านไม่อธิษฐานที่จะสอนคนอื่นด้วย ?
ตอบ : ท่านเบื่อคุณน่ะ...! รับผิดชอบตัวเองคนเดียวก็เป็นภาระมากอยู่แล้ว ไปรับผิดชอบคนอีกเป็นหมื่นเป็นแสนก็ไม่ไหว เพียงแต่ว่าท่านต้องการจะรู้เหมือนกับพระพุทธเจ้า ก็เลยกลายเป็นอย่างที่เห็น พูดง่าย ๆ ว่าอยากรู้ครบแต่ไม่อยากมีภาระ

เถรี
26-04-2016, 19:32
ถาม : คำถามสุดท้ายของสุดท้ายครับ เพื่อนเราเขามีคำถามว่า ถ้าเราเหยียบสัตว์โดยไม่ตั้งใจแล้วสัตว์นั้นยังไม่ตายดี ก็ตั้งใจสงเคราะห์ด้วยการเหยียบซ้ำอีกทีให้ตาย เป็นบาปกรรมหรือไม่ ?
ตอบ : ครั้งแรกไม่มีโทษฆ่าสัตว์ ครั้งที่สองโทษเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์

ถาม : เขาหวังดีกับสัตว์นั้นไม่ให้ทรมาน ?
ตอบ : อันดับแรก สัตว์นั้นมีชีวิตอยู่ อันดับ ๒ เรารู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต อันดับ ๓ เราตั้งใจฆ่า อันดับ ๔ เราลงมือฆ่า อันดับ ๕ เราฆ่าสำเร็จ แบบนี้เกิดโทษ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เต็ม ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปก็ลงไป ๒๐ ฉะนั้น...ครั้งที่สองนี่ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเลย

ถาม : สมมติว่าเราขี่มอเตอร์ไซค์แล้วหมามาจะกัดเรา เราจึงเตะเพื่อป้องกันตัว ?
ตอบ : รถมอเตอร์ไซค์ล้ม...รับประกันได้เลย หมาที่บ้านอาตมาชอบให้คนเตะมาก ลากคนลงจากมอเตอร์ไซค์ทั้ง ๆ ที่กำลังเตะนั่นแหละ บอกแล้วว่าการกระทำเขาดูที่เจตนา แม้แต่กฎหมายก็ยังพิจารณาว่าเจตนาฆ่าหรือไม่เจตนาฆ่า เจตนาทำร้ายหรือไม่เจตนาทำร้าย เรื่องของหลักธรรมก็คล้ายคลึงกัน ถามว่าบาปไหม ? บาปก็น้อยลงหน่อยเพราะป้องกันตัว

ถาม : การที่เราป้องกันตัวบาปจะน้อยลง ?
ตอบ : อาจจะเหลือ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายเขาโดยตรง

เถรี
26-04-2016, 19:37
ถาม : ผมตั้งใจเตรียมของไว้ใส่บาตรแต่ผมลืมบอกคนในบ้าน ปรากฏว่าคนในบ้านเอาไปกินเอง เราตั้งใจชำระหนี้สงฆ์แทนได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไปบอกเขาว่าเราตั้งใจทำอย่างนี้ ๆ แต่ปรากฏว่าคุณกินไป เราก็เลยชำระหนี้แทน โปรดโมทนาด้วย ต่อไปจะได้รอบคอบกว่านี้

เถรี
26-04-2016, 20:13
พระอาจารย์กล่าวว่า "การช็อปปิ้งเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์มาแต่โบร่ำโบราณ ตัวอย่างการช็อปปิ้งที่เลยเวลาโดยไม่เจตนาคือท่านแม่มัทรี วันที่ชูชกมาขอกัณหาชาลีท่านโดนเทวดาแกล้ง เพราะถ้าเก็บผักผลไม้ได้มากเหมือนเดิม ได้ง่ายเหมือนเดิม กลับไปทันก็จะไม่ให้กัณหาชาลี ก็เลยโดนเทวดาแกล้ง ที่ ๆ เคยหาได้ก็หาไม่ได้ ต้องเดินไกลไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งห่วงลูกทนไม่ไหว “เอาละ...ถึงได้น้อยก็กลับแล้ว” เทวดาก็ยังอุตส่าห์แปลงเป็นเสือเป็นสิงห์ไปขวางทางไว้อีก ตรงจุดนี้เวลาที่เขาเทศน์มหาชาติพอโอดครวญขึ้นมา คนฟังประเภทน้ำตาไหลน้ำตาร่วง ท้ายสุดต้องควักกระเป๋าติดกัณฑ์ถึงจะเลิกครวญสักที

ตำราของหลวงปู่สังข์เฒ่า วัดละหารไร่ ตกทอดมาถึงหลวงปู่ทิม ท่านก็เลยทำลูกอมเทียนมัทรี ลูกอมเทียนมัทรีพอถึงเวลาเขาจะเทศน์มหาชาติ ก็จะให้ตั้งเทียนขี้ผึ้งเป็นราวพราวไปหมดเลย แล้วก็จุด ๆ ให้เยอะที่สุดเพราะต้องการน้ำตาเทียน พอเทศน์ไปถึงตอนที่มัทรีกำลังคร่ำครวญถึงลูก ก็ให้สาวพรหมจารีรีบไปเก็บน้ำตาเทียน ร้อนมือแค่ไหนก็ต้องเก็บรวบรวมไว้ให้มากที่สุด เก็บไปถึงตอนที่พระนางมัทรีใจอ่อน ยอมโมทนาตามพระเวสสันดรที่ให้ลูกเขาไปก็หยุดเก็บ

เขาเอาเคล็ดลับแค่นั้นแหละ ว่าแม่ที่รักลูกปานจะขาดใจยังอุตส่าห์สละลูกได้ ต้องมีการตากแดดกี่เสาร์กี่อังคารให้ยุ่งไปหมด เอากระดาษสาลงอักขระเป็นไส้ แล้วเอาเทียนมาแผ่หุ้ม ปั้นเป็นลูกอม เป็นมหานิยมสุด ๆ ขนาดแม่รักลูกแทบขาดใจยังสละลูกให้ได้ ฉะนั้น...ไปเอ่ยปากขออะไรใครก็คงไม่พลาด

เพียงแต่ว่าลูกอมเทียนมัทรีทำยาก มาถึงสมัยนี้ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ เพราะสาวพรหมจรรย์หายากมาก สมัยก่อนเครื่องรางของขลังมีหลายอย่างที่เกี่ยวเนื่องด้วยสาวพรหมจารี อย่างเช่นว่าต้องไปขอด้ายที่สาวพรหมจารีเขาปั่น แล้วเอามาพันตะกรุด พันลูกอม พูดง่าย ๆ ก็คือ ถือเคล็ดว่าเป็นหญิงสาวที่ใคร ๆ ก็หมายปอง พวกเคล็ดลับอะไรต่าง ๆ โบราณเขามีอยู่ ถ้าหากว่าเข้าถึงก็ทำได้ขลังกว่าชาวบ้านเขา"

เถรี
26-04-2016, 20:16
"อาตมาทำของได้ขลังแต่ก็ไม่ได้มีวิชาความรู้พวกนี้หรอก ขอพระอย่างเดียวเลย ถึงมีก็ไม่เสียเวลาไปทำหรอก เอานิสัยหลวงพ่อวัดท่าซุงมาใช้ หลวงพ่อวัดท่าซุงได้ตำราพระร่วงมาก็เปิด ๆ อ่าน เสร็จเรียบร้อยโยนเก็บ จนกระทั่งพระร่วงท่านต้องมาเอง ท่านไปเป็นพรหมอยู่ข้างบน ให้ทำโน่นทำนี่หน่อย "ไม่เอาหรอก...ยาก" โดยเฉพาะธงมหาพิชัยสงครามท่านบอกว่ายาก ท่านไม่ทำ ต่อรองไปต่อรองมา ท้ายสุดทำแบบให้เขาพิมพ์มาก็ได้ ถ้าเขียนจริง ๆ นี่ผืนหนึ่งนี่คงต้องเขียนเป็นเดือน พิมพ์มาก็เสกไม่เป็น จนพระร่วงท่านบอกว่าเดี๋ยวจะเสกให้ สรุปแล้วก็คือหลวงพ่อมีหน้าที่สั่งให้เขาทำเท่านั้น

แล้วคนที่ลอกแบบออกมาเก่งสุด ๆ เลยก็คือท่านเจ้ากรมเสริม ท่านไม่รู้จักอักขระบาลีสักตัวเดียว แต่ลอกแบบออกมาได้โดยที่เขียนอักขระผิดแค่ไม่กี่ตัว ผิดเพราะเข้าใจว่าเขียนอย่างนั้น ท่านเก่งจริง ๆ"

เถรี
26-04-2016, 20:25
ถาม : อักขระเป็นตัวขอมหรือคะ ?
ตอบ : เป็นอักขระขอม บ้านเราที่ใช้มี ๒-๓ อย่าง ถ้าไม่ใช่อักขระขอมก็เป็นตัวฝักขามของทางเหนือ หรือไม่ก็ตัวธรรมของอีสาน แต่เห็นวันก่อนเขาส่งรูปมาให้ดู บอกว่าแขวนตะกรุดมานาน ไม่รู้ว่าหลวงพ่อจารอะไรก็เลยแกะออกมาดู เห็นท่านเขียนข้างในว่า “รักนะ จุ๊บ..จุ๊บ” แหม...หลวงพ่อนี่สุดยอดจริง ๆ แสดงว่าเมตตามาก

ถาม : ตัวบาลี สันสกฤตไม่มีเขียนเป็นยันต์บ้างหรือคะ ?
ตอบ : เขียนยาก โดยเฉพาะสันสกฤต ถึงเวลาจะมีขีดแขวนข้างบน คือคำหนึ่งจากช่วงนี้ถึงช่วงนี้ ๆ ในเมื่อเขามีไม้แขวนเสื้ออยู่ก็ต้องอ่านตามไม้แขวนเสื้อ ไม่อย่างนั้นจะอ่านเป็นคำอื่น

บาลีสันสฤตบ้านเราเป็นบาลีไทย คือเขียนลง “อะ” ลง “อัง” พวกนั้น ส่วนตัวสันสกฤตจริง ๆ ไม่ใช่บาลี บาลีจริง ๆ เป็นภาษาที่ตายแล้ว ไม่มีการพัฒนาแล้ว สันสกฤตยังพัฒนาไปเรื่อย ฉะนั้น...ทางด้านสายมหายานเขาจารึกพระไตรปิฎกด้วยอักษรสันสกฤต ส่วนทางด้านเถรวาทของเราจารึกด้วยภาษาบาลี ในเมื่อภาษาบาลีเป็นภาษาที่ตายแล้ว กี่ปี ๆ ก็ไม่มีการเปลี่ยนคำแปล ความหมายจึงไม่เคลื่อน

ถาม : ก็นิยมแล้วว่าคือตัวไทย ?
ตอบ : ใช้อักษรไทยแต่อ่านแบบบาลี

ถาม : ภาษาเขียนบาลีจริง ๆ มีแบบไทยไหมคะ ?
ตอบ :ไม่มี เพราะบาลีเป็นภาษาอัศจรรย์ เป็นด้วยอักษรอะไรก็อ่านแบบบาลีได้ เขาเรียกตันติภาษา คือ ภาษาที่มีแบบแผนอย่างแน่นอน

เถรี
26-04-2016, 20:33
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าไม่คิดมากก็มีความสุขดี ถ้าคิดมากก็เครียดแล้วก็ทุกข์ ส่วนใหญ่คนเราชอบหาทุกข์ใส่ตัวเพราะคิด จะบอกว่าคิดมากก็ไม่ได้เพราะว่าคิดอยู่คนเดียว ฉะนั้น...อย่าคิดคนเดียว ไม่ใช่อย่าคิดมาก พระท่านว่า “อะตีตัง นานวาคะเมยยะ นัปปะฏิกังเข อะนาคะตัง, อย่าไปหวนคิดถึงอดีตและอย่าไปฟุ้งซ่านถึงอนาคต ปัจจุปปันนัญจะ โย ธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสะติ, การที่เราจะเห็นธรรมะได้ต้องอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น”

หยุดใจให้นิ่งแล้วจะเห็นทุกสิ่งได้ มีหลักการปฏิบัติของสายพองยุบเขาบอกว่า ฟุ้งซ่านก็ให้ “ฟุ้งหนอ” นั่นผิดหลักตั้งแต่แรกแล้ว ไปตามรู้อารมณ์ฟุ้งรู้ไปทำไม ? รู้ว่าตัวเองฟุ้งแล้วได้อะไร ? มีแต่ต้องหยุด พอใจสงบแล้วเราถึงจะมองเห็นว่าใจของเราเป็นอย่างไร เหมือนอย่างกับน้ำ พอนิ่งแล้วเราถึงจะเห็นว่าใต้น้ำมีอะไร ไม่ใช่กวนจนตะกอนขุ่นคลั่กแล้วก็ไปนั่งดู คงจะได้เห็นหรอก

แต่ว่าท่านก็ยืนยันของท่านว่านี่แหละวิปัสสนาแท้ ต้องบอกว่าเป็นความเข้าใจผิดในความเข้าใจผิด และคงจะสอนผิด ๆ แบบนี้ไปอีกนาน"

เถรี
26-04-2016, 20:38
พระอาจารย์ให้โยมยืมปลัดขิกของหลวงพ่อยิด "เอ้า...ให้ยืม ไปเคาะ ๆ แตะ ๆ ที่ร้าน หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก คาถาเขาว่าอะไรนะ ? กัณหะ เนหะ นะโมพุทธายะ ขอให้ขายดีกว่าเดิม ๕ เท่า ๑๐ เท่าก็ว่าไป ดูว่าจะปางตายไหม ? ขอคืนด้วยนะ ให้ยืมแค่ตอนขายเท่านั้น

พวกลูกศิษย์ดีมากเลย พออาจารย์ตาย ก็ปล้นเลย ตัวนี้เป็นปลัดขิก ๙ หัว หรือ ๙ ยอด หลวงพ่อยิดท่านใส่ไว้ในพานครู หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก ประจวบคีรีขันธ์ ใครว่าท่านบวชตอนอายุมาก พรรษาน้อย พรรษาไม่สำคัญ สำคัญตรงที่ว่าทำจริงหรือเปล่า ?

ภาวนาตอนเคาะ ๆ แตะ ๆ ขอบารมีท่านสงเคราะห์ ที่เหลือก็ว่าพระคาถาเงินล้านของเราไป"

เถรี
26-04-2016, 20:40
:4672615:เก็บตกเดือนเมษายน ปี ๕๙ หมดแล้วค่ะ :4672615:

ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า คะน้าอ่อน เถรี รัตนาวุธ