PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๙


เถรี
10-01-2016, 13:57
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้อุตส่าห์ภาวนาคาถาเงินล้าน ปรากฏว่าท่านเจ้าของพระคาถาอยู่โน่น เพราะสมเด็จพระพุทธกัสสปเสด็จมา ท่านเจ้าของพระคาถาก็เลยนั่งเสียห่างเลย ประเภทสบายใจแล้ว...ไม่เหนื่อย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสป เป็นพระพุทธเจ้าที่มากด้วยลาภผลเป็นพิเศษ เป็น ๑ ใน ๒ พระองค์ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงแนะนำให้ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะต้องสร้างบารมี ๓๐ ทัศมาเหมือนกัน แต่ท่านที่มีความพิเศษในทางลาภเกิดจากเริ่มต้นด้วยทานบารมีก่อน เห็นท่านเสด็จมาอาตมาก็สบายใจแล้ว อธิษฐานกันเอาเองเถอะ

ตอนแรกก็ตั้งใจดูว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าเจ้าของพระคาถาเงินล้าน ท่านจะมาทำอะไรให้พวกเราบ้าง ปรากฏว่าพอ "พ่อใหญ่" มา ท่านก็เลยนั่งสบายใจเฉิบ หมดหน้าที่แล้ว"

เถรี
10-01-2016, 14:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "วัตถุมงคลที่เข้าพิธีสวดพระคาถาเงินล้านจะให้เขาเอาลงเว็บให้ ไปลุ้นบูชากันข้างใน ราคาไม่แพงหรอก มีพระพุทธรูป รูปหล่อ รูปปั้น ทางด้านตัวเล็กเขาตั้งใจขนจากคลังวัดมาเข้าพิธีโดยเฉพาะ"

เถรี
10-01-2016, 14:40
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดี๋ยววันที่ ๑๖ มกราคมนี้ อาตมาไปงานของหลวงพี่วิรัช คราวที่แล้วท่านนิมนต์ตรงกับงานเป่ายันต์ที่วัดท่าขนุน จึงไม่ได้ไป งานนี้ท่านส่งฎีกามา อาตมาไปได้ แต่ได้ยินว่าจัดงานหลายวัน

อาตมาเองถ้าต้องจัดงานสองวันนี่ก็เครียดแล้ว ที่เครียดเพราะต้องคอยรักษากำลังสมาธิเอาไว้สงเคราะห์โยม เนื่องจากขอพระไว้ว่า ให้คนที่ไปร่วมงานเดินทางไปกลับสะดวกและปลอดภัย แต่ท่านไม่ให้ขอเฉย ๆ ท่านให้รักษาอารมณ์ใจในระดับที่ท่านสั่งด้วย เพื่อจะได้อาศัยอาตมาเป็นเครื่องถ่ายทอด ฉะนั้น..เวลาทรงสมาธินาน ๆ บางทีประสาทก็ตึง ๆ รู้สึกเลยว่าเครียด เหมือนกับร่างกายไม่ได้พักผ่อน"

เถรี
10-01-2016, 14:58
พระอาจารย์เล่าว่า "มีลูกศิษย์หลวงพ่ออีกรูปหนึ่งที่ไม่ได้ข่าวคราวเลย รุ่นใกล้เคียงกับหลวงพ่อมนัส ก็คือ หลวงพ่อประดิษฐ์ พวกอาตมาเรียกหลวงพี่กันจนชิน พออายุกาลนานเข้าก็เลยต้องเรียกนำให้ลูกศิษย์ จึงต้องเรียกหลวงพ่อ

หลวงพ่อประดิษฐ์ไปอยู่ที่เกาะสีชังระยะหนึ่ง ไม่รู้ตอนนี้ไปที่ไหนแล้ว ไม่ได้ข่าวคราว และก็มีหลวงพี่จะเด็ดอยู่ทางด้านอุบลราชธานี บวชรุ่นเดียวกับหลวงพี่ละออง ออกไปแล้วก็เงียบ ไม่มีข่าวคราว ท่านเหล่านี้ส่วนใหญ่รักสันโดษ มักจะอยู่ในลักษณะของพระธุดงค์ ไปอยู่ตรงนั้นตรงนี้แล้วขยับไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่ปักหลัก โยมก็ไม่สามารถที่จะไปหาอย่างเป็นทางการได้ จึงไม่ค่อยปรากฏนามในยุทธจักร

อาตมาหนีไปอยู่ป่า ๘-๙ ปี โผล่ออกมา โยมเห็นก็กระโดดเกาะทันที เสร็จเขาจนได้ ตอนช่วงอยู่ป่าเป็นเวลาที่สบายใจที่สุด แม้ว่างานจะหนัก แต่ก็เหนื่อยแค่กาย เวลาที่ต้องรบกับโยมมาก ๆ แล้วกำลังใจเขาไม่เท่ากัน ต้องแบกเขาตลอด ก็เลยเหนื่อยใจด้วย สงเคราะห์ผีสบายใจกว่ากันเยอะเลย"

เถรี
10-01-2016, 15:18
พระอาจารย์กล่าวว่า "รัฐบาลทหารส่วนมากจะไม่เก่งทางด้านเศรษฐกิจ โลกปัจจุบันส่วนใหญ่อยู่ด้วยเรื่องของเศรษฐกิจทั้งนั้น ในเรื่องของการ "ช็อปเพื่อชาติ" ที่ผ่านมาไม่ได้ช่วยคนทั่วไป กลายเป็นช่วยนายทุนเจ้าของห้าง เพราะเงินไม่ได้กระจายออก ไปตกอยู่กับห้างใหญ่ ๆ แค่ไม่กี่แห่งเท่านั้น"

เถรี
10-01-2016, 15:33
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้พระครูหน่อยไปเรียนต่อปริญญาเอก ท่านบอกว่าอยู่ ๆ ก็หมดอารมณ์ในการก่อสร้างไปเฉย ๆ ระดมสร้างใหญ่อยู่สามปี ทำหัวไม่วางหางไม่เว้น และก็หมดไฟเอาดื้อ ๆ

วันนั้นย่องมาถามว่า "หลวงพ่อ...ไม่เบื่อบ้างหรือครับ ?" "เบื่อเหมือนกันแหละ" "เบื่อแบบไหนของหลวงพ่อ ? ยิ่งทำก็ยิ่งเยอะ" "อ๋อ...ตอนนี้เกินเบื่อไปแล้ว เหลือแต่ว่าควรจะทำงานอะไรเท่านั้น" อยู่ก็สร้างประโยชน์ให้กับส่วนรวมไป ตายก็จบ เป็นเรื่องของคนรุ่นหลังก็แล้วแต่ว่าเขาจะเห็นหรือไม่เห็น

อย่างที่เสด็จในกรมชุมพรท่านแต่งเพลงมาร์ชทหารเรือ "เกิดมาทั้งทีมันก็ดีอยู่แต่เมื่อเป็น อีกสามร้อยปีก็ไม่มี ใครจะเห็น" ชื่อเสียงยืนยงไปอย่างเก่งก็ ๓๐๐ ปี พอรุ่นหลัง ๆ ก็ไม่รู้จักแล้ว"

เถรี
10-01-2016, 15:44
"อมตะเถราจารย์บ้านเราที่เอ่ยชื่อแล้วรู้จักกันทั่วถึง อย่างหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ น่าจะจวน ๔๐๐ ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยอยุธยา ส่วนหลวงปู่โต วัดระฆัง ก็แค่ช่วงรัชกาลที่ ๔-๕ นี้เอง

ครูบาอาจารย์สมัยเก่า พอขึ้นเป็นเจ้าอาวาสก็ต้องมีความสามารถเป็นที่ยอมรับกัน ไม่ว่าจะเรื่องของหลักธรรม เรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา จนกระทั่งบรรดามนตราอาคมต่าง ๆ ต้องอยู่ในระดับพอตัว

มีอยู่รูปหนึ่งที่ไม่ใช่เจ้าอาวาสแล้วดังมาก คือ หลวงปู่ทับ วัดอนงคาราม ท่านสร้างพระปิดตาเนื้อเมฆสิทธิ์ ติดอันดับเบญจภาคีพระปิดตาของประเทศ ท่านเป็นรุ่นไล่ ๆ กับหลวงปู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม) วัดอนงคาราม แต่เป็นรุ่นพี่ หลวงปู่ทับเคยดุอาตมาตอนพุทธาภิเษก ถามว่าหลวงปู่เป็นใคร ? มาจากไหน ? ท่านบอกว่า "ข้าชื่อทับ" อาตมาก็ "อ๋อ..หลวงพ่อวัดทอง" ท่านตวาดเสียงเขียวเลยว่า "มีแต่ไอ้ท่านวัดทองดังคนเดียวหรือวะ..?!"

บ้านเรามีหลวงปู่ทับ วัดอนงคาราม , หลวงปู่ทับ วัดทอง (สุวรรณาราม) สององค์นี้ดังเรื่องพระปิดตาทั้งคู่ แต่วัดทองดังกว่า พระปิดตายันต์ยุ่งของท่าน ปั้นหุ่นด้วยมือทีละองค์ สวยงามประณีตมาก และหลวงปู่ทับ วัดโสมนัสวรวิหาร ท่านเป็นครูบาอาจารย์ของสมเด็จพระวันรัต (จับ) แต่ว่าท่านเป็นสมเด็จพระวันรัต (ทับ) ชื่อใกล้เคียงกันมากเลย"

เถรี
10-01-2016, 20:12
ถาม : ผมมักจะทำในสิ่งที่ฝืนใจตัวเอง ตรงข้ามกับความต้องการของตัวเองเพื่อให้คนอื่นได้รับในสิ่งที่ดี แล้วตัวผมเองก็มายิ้ม หัวเราะทั้งน้ำตา อิ่มใจเคล้าความทุกข์ความเจ็บปวดเพื่อแลกกับการเห็นคนอื่นได้ดี หลายครั้งผมถามตัวเองว่าเมื่อรู้ว่าทำแล้วเสียใจ ทุกข์ เจ็บปวดและโดนเข้าใจผิดทีหลัง แล้วตัดสินใจทำอย่างนั้นไปทำไม คำตอบจากตัวเองคือ ผลที่คนอื่นจะได้รับ ผลที่คนที่ผมรักจะได้รับนั้นยิ่งใหญ่กว่า หากแต่ว่าผมเป็นคนรุ่นหลังเพราะฉะนั้นปัญญาของผมอาจจะเลวจนไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ถ้าผมยังมีแนวคิดอย่างนี้ต่อไป แล้วตอนตายผมมาคิดเสียดายทีหลัง คติที่ไปของผมคงไม่พ้นอบายภูมิใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่สามารถพยากรณ์คติที่ไปได้ ขนาดพระพุทธเจ้ายังตรัสไว้เลยว่า บุคคลที่ได้ทิพจักขุญาณไปเห็นว่าการทำดีไปสวรรค์ การทำชั่วไปนรก แล้วกล่าวว่าคนทำดีต้องไปสวรรค์ คนทำชั่วต้องไปนรก พระองค์ท่านตรัสว่าไม่ใช่

แต่ถ้าอยากจะลงนรกก็ไม่ยาก รักษาอารมณ์ให้เศร้าหมองไว้ เดี๋ยวก็ได้ไปเอง..!

ถาม : ในเมื่อปัญญาของผมไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ผมก็ควรทำตามใจตัวเองให้มีความสุข เพื่อที่ผมจะสามารถไปสุคติได้ใช่หรือไม่ ?
ตอบ : ทำตัวเองให้มีความสุขอาจจะลงนรกง่ายกว่าทำตัวเองให้มีความทุกข์อีก เพราะความสุขทางโลกผูกอยู่กับเรื่องกามฉันทะ รูปสวย กลิ่นหอม รสอร่อย เสียงไพเราะ สัมผัสระหว่างเพศ ซึ่งมีแต่จะฉุดจะดึงให้เราตกต่ำได้ง่ายขึ้นเท่านั้น

เถรี
10-01-2016, 20:20
ถาม : ผมมีความคิดที่จะทำแหวนนามสกุลเนื้อเงินให้กับสมาชิกในครอบครัว และตั้งใจว่าจะนำตะกรุดมหาสะท้อนรุ่น ๕ จำนวน ๑ ดอกหลอมลงไปด้วย จึงขอกราบเรียนถามว่า แหวนที่มีมวลสารของตะกรุดมหาสะท้อนดังกล่าว ในกรณีที่มิได้นำเข้าพิธีพุทธาภิเษกอีก แหวนนั้นจะยังมีอานุภาพมหาสะท้อนเช่นเดียวกับตะกรุดหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าวงละบาทเท่าน้ำหนักตะกรุดก็ยังมีอานุภาพอยู่ ถ้าอยากจะทำแหวนก็คือ ตะกรุด ๑ ดอกต่อแหวน ๑ วง ถ้าไม่ได้ไปเข้าพิธีใหม่ก็ต้องใส่ให้เต็มน้ำหนัก แต่ถ้าไม่เต็มน้ำหนัก ก็ต้องเอาไปเข้าพิธีใหม่

ถาม : ยังมีข้อห้ามเช่นเดียวกับตะกรุดมหาสะท้อนหรือไม่ครับ ? คือห้ามให้เด็กบูชาติดตัว และห้ามเข้าใกล้คนหรือสัตว์ที่กำลังจะคลอดลูก
ตอบ : ข้อห้ามเหมือนกัน

ถาม : ถ้าใส่ตะกรุดไปเสี้ยวหนึ่งล่ะคะ ?
ตอบ : ก็ได้แค่เสี้ยวหนึ่ง

ถาม : หากการกระทำดังกล่าวเป็นการไม่สมควร ขอพระอาจารย์ท่านได้โปรดติเตียน เพื่อที่ผมจะได้ล้มเลิกความตั้งใจนี้ แล้วทำแหวนเนื้อเงินไปตามปรกติครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่หน้าที่ของอาตมา...เชิญท่านด่าตัวเองไปเถอะ..!

เถรี
10-01-2016, 20:26
ถาม : ปกติทิพจักขุญาณ เวลาเห็นจะเหมือนตาเนื้อเห็น แต่พักนี้ผมเหมือนมีแค่ความรู้สึก ไม่เป็นภาพ และตรงด้วย ยกตัวอย่าง เช่น ผมได้รับพัสดุเป็นกล่องบรรจุแน่นหนา โดยไม่ได้ระบุรายละเอียดอะไร ผมก็ไม่ได้สนใจ จนอยู่ ๆ ผมก็มีความรู้สึกว่าในกล่องนั้นมีหนังสือที่ผมตามหาและต้องใช้งาน แล้วความรู้สึกนั้นถูกต้อง หลัง ๆ มานี่ความรู้สึกแบบนี้เป็นบ่อยมาก ลักษณะนี้เรียกว่าอะไรครับ ?
ตอบ : เรียกว่าทิพจักขุญาณ ใครบอกคุณว่าทิพจักขุญาณจะเห็นเหมือนตาเนื้อเห็น..?

เถรี
10-01-2016, 20:26
ถาม : ถ้าพระสงฆ์ได้ชำระเงินให้เราเพื่อเป็นค่าจ้างหรือค่าสินค้าและบริการ เราสามารถนำเงินดังกล่าวไปใช้ได้โดยไม่เป็นโทษใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าเอาไปซื้อยาบ้าก็เป็นโทษ..!

เถรี
10-01-2016, 20:27
ถาม : หากเราไม่เจอตู้หยอดชำะหนี้สงฆ์ในวัด แต่เจอตู้ที่เขียนในลักษณะที่ว่า "รับบริจาค" หรือ "ทำบุญบำรุงวัด" หรือ "ค่าน้ำ ค่าไฟ" แล้วเรานำเงินใส่ซองโดยเขียนหน้าซองว่า "ทำบุญชำระหนี้สงฆ์" แล้วนำไปหยอดในตู้ เพื่อให้ทางวัดนำไปคัดแยกเอง สามารถทำได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ทำได้

เถรี
10-01-2016, 20:30
ถาม : สมมติว่า ถ้าลูกต้องพาพ่อหรือแม่ไปรักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาล แล้วหมอเสนอทางเลือกในการรักษาโดยให้ลูกเป็นผู้ตัดสินใจไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ถ้าหากผู้เป็นลูกได้เลือกไป แล้วหมอใช้วิธีนั้นในการรักษาจนพ่อหรือแม่เสียชีวิตในที่สุด ผู้เป็นลูกจะโดนอนันตริยกรรมหรือไม่ครับ ?
ตอบ : การตัดสินใจรับเลือกการรักษา เป็นในลักษณะว่าเราเลือกทางที่ดีที่สุดแล้ว ส่วนการรักษาเป็นหรือตายอยู่ที่ฝีมือหมอ ไม่ใช่อยู่ที่ฝีมือเรา ยกเว้นว่าเราเลือกโดยตั้งใจว่าทางนี้หมอรักษาแล้วพ่อแม่เราตายแน่ ๆ ถ้าอย่างนั้นก็โดนอนันตริยกรรมแน่นอน แต่ถ้าไม่ใช่ เราเลือกแล้วหมอรักษาตายหรือไม่ตาย ก็ขึ้นอยู่กับกรรมของพ่อของแม่แล้ว

ถาม : การที่หมอให้ลูกเซ็นเอกสารยินยอมในการรักษา ซึ่งหากหมอรักษาอาการป่วยของผู้เป็นพ่อหรือแม่เสียชีวิต ผู้ที่เป็นลูกจะโดนอนันตริยกรรมหรือไม่ครับ ?
ตอบ : นั่นเป็นในแง่กฎหมายซึ่งเราต้องเซ็นยินยอมอยู่แล้ว การรักษาอยู่ที่ฝีมือหมอ ไม่ใช่อยู่ที่เรา จึงไม่เป็นอนันตริยกรรม

เถรี
10-01-2016, 20:34
ถาม : ลูกที่มีหน้าที่ดูแลพ่อและแม่ยามเจ็บป่วย ต้องป้อนข้าวป้อนน้ำและยา หรือต้องฉีดยาให้ตามที่หมอสั่ง หากสุดท้ายแล้วพ่อหรือแม่ตาย ลูกจะโดนอนันตริยกรรมหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็โดนกันทั้งประเทศไทย ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดด้วยความกตัญญู ถ้ายังโดนอนันตริยกรรมก็โดนกันทั้งประเทศ รวมทั้งอาตมาด้วย เพราะรักษาพ่อตายคามือไปแล้ว..!

ถาม : สมมติว่าถ้าลูกได้ชวนพ่อหรือแม่ไปเที่ยวต่างจังหวัด โดยซื้อตั๋วโดยสารเพื่อเดินทางให้ แล้วหากพ่อหรือแม่ต้องประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตระหว่างการเดินทาง ลูกจะโดนอนันตริยกรรมหรือไม่ครับ ?
ตอบ : นี่เรียกว่าฟุ้งซ่านจัด ถ้าจะโดนอนันตริยกรรมก็แปลว่าคุณซื้อตั๋วให้ แล้วไปทำอะไรกับรถคันนั้นเพื่อให้เกิดอุบัติเหตุจนได้ ถ้าอย่างนั้นเป็นอนันตริยกรรมแน่ แต่ถ้าไม่ได้ไปทำอะไร ซื้อตั๋วรถตามปกติ รถเกิดอุบัติเหตุ แล้ว เกี่ยวอะไรกับเรา ?

เถรี
10-01-2016, 20:39
ถาม : การที่นักแสดงรับบทเป็นพระสงฆ์หรือพระพุทธเจ้า บุคคลนั้นจะมีโทษฐานปรามาสพระรัตนตรัยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าเขาแสดงไปในลักษณะไหน ถ้าประเภทโกยเถอะโยม อย่างนั้นปรามาสพระรัตนตรัยแน่นอน

ถาม : แล้วคนที่รับชมภาพยนตร์นั้นจะมีโทษไปด้วยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าไปยินดีในส่วนที่เขาปรามาสพระรัตนตรัย ก็มีโทษไปด้วย

ถาม : ถ้าสร้างภาพยนตร์ขึ้นมาแล้วมีส่วนในการผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง มีโทษไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง ก็ต้องดูว่าเขาสื่อหรือนำเสนออะไร ถ้านำเสนอในด้านที่ดี คนชมแล้วเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือเกิดศรัทธาเพิ่มขึ้นก็ไม่มีโทษอะไร กลับได้บุญเสียอีก

เถรี
10-01-2016, 20:42
ถาม : ระบบอินเทอร์เน็ตหรือเครือข่ายของผู้ใช้งานขนาดใหญ่ อย่างเช่น Facebook เป็นเครื่องมือของบ่วงมารที่หลอกล่อให้มนุษย์จมปลักอยู่กับกิเลสตัณหา โลกธรรม ๘ และนำไปสู่การผิดศีล ๕ ตามที่เห็นกันในข่าวใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ใช่หรือไม่ก็ต้องดูว่าคุณใช้ทำอะไร ถ้าทั้งวันเอาแต่สนทนาธรรมกัน แล้วจะไปผิดได้อย่างไร ?

เถรี
10-01-2016, 20:45
ถาม : การที่เราชมภาพยนตร์ บทเพลง จากช่องทางออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ YouTube BitTorrent ซึ่งของพวกนี้บางอย่างมีการสงวนลิขสิทธิ์ แต่เขาเอามาลง เราซึ่งเป็นผู้รับชมถือว่าผิดศีลข้อสองหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าคุณรู้ว่าเขาสงวนลิขสิทธิ์แล้วยังตั้งใจไปชมก็แปลว่าผิดแน่ ๆ

ถาม : การที่เอาระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ที่มิใช่ของแท้มาใช้งาน เช่น Windows หรือ Mac ที่เป็นของปลอมมาใช้ เนื่องจากของแท้มีราคาสูง เรารู้ว่าไม่ใช่ของแท้แต่เอามาใช้ ถือว่าละเมิดศีลข้อ ๒ ขาดโดยบริบูรณ์แล้วใช่หรือไม่ ? หรือเพียงแค่ศีลข้อ ๒ ด่างพร้อยครับ ?
ตอบ : ตอบไปเมื่อครู่นี้แล้ว

เถรี
10-01-2016, 20:48
ถาม : การที่เรารับชมภาพหรือคลิปจากอินเทอร์เน็ต เช่น คลิปหนุ่มเมายาไอซ์ คลั่งปาดคอตัวเอง แทงเพื่อนสาหัส หรือคลิปนักเรียนหญิงหึงโหด ตบกันแย่งผู้ชาย หรือคลิปหนุ่มช่างไฟโหด ใช้มีดแทงภรรยาดับ ฯลฯ แล้วเราเกิดความรู้สึกร่วม ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกบวกหรือลบไปด้วยนั้น เท่ากับตัวเราได้ร่วมก่อกรรมใหม่กับกลุ่มบุคคลในคลิปไปเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่ายินดีในความชั่วของคนอื่น ก็คือโมทนาความชั่วของเขา มีส่วนในโทษนั้นเช่นกัน

เถรี
10-01-2016, 20:54
ถาม : เหตุใดผมถึงรู้สึกเหมือนว่าพอปฏิบัติธรรมไปเรื่อย ๆ จะมีอยู่ช่วงหนึ่งก่อนหน้านี้ที่ผมรู้สึกว่า "ตัวจริง" ของผมเดินตามหลังตัวของผมเอง เสมือนมีตัวผมอีกคนซ้อนกันอยู่ แต่ตัวที่คอยควบคุมตัวจริง ๆ ของผม คือคนด้านหลัง ไม่ใช่คนที่เดินอยู่ตรงหน้าจริง ผมไม่แน่ใจว่าสภาวะนี้คืออะไรครับ ?
ตอบ : ถ้าไปถามคนทั่วไปเขาก็ว่าใกล้บ้าแล้ว..! แต่สำหรับนักปฏิบัติถือเป็นเรื่องปกติ เพราะสภาพจิตที่คุมกาย หากมีความรู้สึกชัดเจน ก็จะเหมือนกับว่าเราบังคับหุ่นยนต์หรือรถยนต์ให้ทำหน้าที่ไป ต้องพยายามมองให้ชัดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราจริง ๆ เป็นสิ่งที่เราอาศัยอยู่เพื่อสร้างความดีแค่ชั่วคราวเท่านั้น ถึงเวลาตายจากละกันไป ถ้าไปพระนิพพานได้ก็จบ

ถาม : การที่เขาเห็นว่าเป็นเขาที่เดินอยู่ แต่จิตที่ควบคุมอยู่เป็นตัวที่ตามมา อย่างนี้ถือว่ายังยึดร่างกายไหมคะ ?
ตอบ : อย่างน้อยก็รู้ว่าแยกออกจากกัน ในเมื่อแยกออกจากกัน ก็พยายามมองให้เห็นว่าไม่ใช่ของเราให้ได้

เถรี
10-01-2016, 20:57
ถาม : เหตุใดผมถึงรู้สึกค้างคาภายในใจลึก ๆ มานานตั้งแต่เด็กแล้วว่ามนุษย์ทุกคนล้วนอยู่ใน Matrix หรือประมาณกล่องใบหนึ่ง แล้วพิจารณาว่าถ้าบรรลุมรรคผลหรือออกจาก Matrix นี้ได้ แล้วจะเป็นอย่างไรต่อ ? เกิดคำถามพวกนี้มากมายขึ้นในใจผม เช่น ทำไมเราต้องเกิดมาเป็นดวงจิต ? เหตุใดต้องมีโลกและจักรวาลอื่นนับไม่ถ้วน ? ฯลฯ อยากกราบเรียนถามพระอาจารย์ว่าผมผิดปกติหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ค่อนข้างจะผิดปกติมาก..!

ถาม : แล้วอาการผิดปกตินี้ควรจะแก้อย่างไร ?
ตอบ : ไม่ต้องแก้...ทำไปจนกว่าจะรู้ครบทุกเรื่องก็จบแล้ว

เถรี
10-01-2016, 21:00
ถาม : ทุกวันนี้ดูเหมือนอินเทอร์เน็ตและ Facebook จะมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์ปุถุชนในโลกแห่งความเป็นจริงยิ่งกว่าสมัยก่อน และดูเหมือนจะเป็นเกือบทุกอย่างของชีวิต เช่น การรู้จักคน การซื้อขายสินค้า การทำบุญ และการปฏิสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่สามารถสร้างกุศลกรรมและอกุศลกรรมได้อย่างรวดเร็วและฉับพลัน อีกทั้งสามารถทำให้เกิดความสุขและความทุกข์แบบปลอม ๆ ได้แนบเนียนเสียเหลือเกิน ผมกราบขอคำชี้แนะจากพระอาจารย์ว่า ผมผิดปกติหรือไม่ที่มีความรู้สึกเช่นนี้มาสักพักใหญ่แล้ว ? และขอกราบเรียนถามถึงวิธีการหนีรอดจากเครื่องมือของบ่วงมารนี้ได้
ตอบ : ผิดปกติไหม ? ก็ถือว่าแปลกแยกจากสังคม ส่วนวิธีทำอย่างไรจะให้ได้ประโยชน์ที่สุดหรือหลุดพ้นไปได้ ก็พยายามใช้ไปในเรื่องของการปฏิบัติธรรม หรือใช้สนับสนุนศีล สมาธิ ปัญญา ของเราให้ก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป

เถรี
10-01-2016, 21:00
ถาม : ผู้ที่ปรารถนาความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า จะสามารถบรรลุความเป็นพระโสดาบันได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้ละความปรารถนานั้นเสียก่อนก็บรรลุไม่ได้

เถรี
10-01-2016, 21:03
ถาม : เคยมีคนบอกว่าเรื่องการย้ายเจดีย์นั้น หากนำเอาเงินทำบุญของพุทธบริษัทมาใช้ในงานบุญที่มีอานิสงส์มากกว่าเจตนาเดิมที่คนร่วมบุญมา ไม่ถือว่าเป็นการย้ายเจดีย์จริงไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเจ้าของเงินไม่ยินดีด้วย อย่างไรก็โดน..!

เถรี
10-01-2016, 21:06
ถาม : ถ้าฆราวาสมีปัญหากับพระสงฆ์ และต้องการขอขมาท่าน แต่ไม่สามารถขอขมาแบบตัวต่อตัวได้ ใช้วิธีถวายพานดอกไม้ธูปเทียนแพขอขมาต่อหน้าพระพุทธรูป และภาวนาคำขอขมาพระรัตนตรัยต่อพระเครื่องประจำตัวก่อนนอนตลอดทุกคืน อยากทราบว่าการทำเช่นนี้ถือว่าการขอขมาพระรัตนตรัยมีผลสมบูรณ์หรือไม่ครับ ? และหากไม่สมบูรณ์ กราบขอคำชี้แนะที่ถูกต้องจากพระอาจารย์ด้วยครับ
ตอบ : ดูท่าว่าจะไปไม่รอดหรอก เพราะใจกังวลเหลือเกิน สำหรับบุคคลนี้ที่ถาม เกิดจากการที่ไม่มีความกล้าหาญพอที่จะไปเผชิญหน้ากับพระท่าน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ที่บอกว่าไม่สามารถไปพบและขอขมาซึ่งหน้าได้ ก็เป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น..!

เถรี
11-01-2016, 11:18
การถามคำถาม มีบุคคลหลายประเภทด้วยกัน ประเภทแรก...ถามเพื่อตั้งใจให้อาตมารับรองผลการปฏิบัติ เพื่อที่จะได้เอาไปอวดคนอื่นเขา ประเภทนี้จะเห็นว่าอาตมาจะไม่ตอบเลย ประเภทที่สอง...ถามให้คนอื่นรู้สึกว่าตนเองเป็นคนดี ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจพอกัน ฉะนั้น...ในส่วนที่น่าตอบที่สุดคือ ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติ เราติดขัดตรงไหนแล้วสอบถามมา ไม่ใช่ถามเปะปะไปเรื่อยเปื่อย หรืออวดความรู้ของตนเอง แต่บุคคลที่ว่ามาก็ดันมีมากเสียอีก..!

ไปนึกถึงแม่ชีท่านหนึ่งไปพักที่วัดท่าซุงราว ๆ ปี ๒๕๒๘ ประมาณหกโมงเช้าก็ไปทุบประตูศาลานวราช บอกว่า "ท่าน..เทปที่เปิดเมื่อเช้ามืด มีขายไหม ?" พระก็ตั้งหลักไม่ทัน ถามว่าเทปไหน ? แม่ชีก็ว่า "เทปที่ด่าฉันน่ะ" พระก็บอกว่า "ไม่มีนะ...เทปที่ด่าโยม" เขายืนยันว่ามี พระท่านถามว่า "โยมได้ยินเสียงด่าหรือ ?" เขายืนยันว่าหลวงพ่อด่าเขาตลอดครึ่งชั่วโมงที่ฟังเทป

ในเมื่อเป็นเช่นนั้นพระท่านก็ถามต่อว่า "เกิดอะไรขึ้นถึงโดนด่าอย่างนั้น หลวงพ่อท่านด่าด้วยเรื่องอะไร ?" เขาตอบว่า ได้ปฏิบัติธรรมไปจนถึงระดับหนึ่งแล้วรู้สึกว่าตัวเองดี ก็เลยตั้งใจจะมาสนทนาธรรมกับหลวงพ่อ แต่ความตั้งใจอยู่ในลักษณะที่จะอวดว่าตัวเองดีแล้ว เวลาฟังเทปตอนเช้ามืดก็เลยได้ยินหลวงพ่อท่านด่า "อวดดี..ความรู้มีแค่หางอึ่ง ปฏิบัติได้นิดหน่อย ตั้งใจจะมาหาเรื่องคุยอวดชาวบ้านเขา หาเรื่องลงนรกชัด ๆ...ฯลฯ" หลวงพ่อท่านก็ว่าของท่านไปเรื่อย

สรุปได้ความว่า เทปที่เปิดตอนเช้ามืดนั้น เป็นเทปปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ตั้งแต่ต้นจนท้ายไม่มีคำด่าสักคำเดียว แสดงว่าหูดีมาก สามารถได้ยินในสิ่งที่คนอื่นไม่ได้ยิน..!

เถรี
11-01-2016, 11:20
สมัยก่อนพอเลิกกรรมฐานทุ่มครึ่ง พวกเราก็มาจับกลุ่มสนทนาธรรมกัน พอสองทุ่มทางวัดจะเปิดเสียงตามสายของหลวงพ่อ หลวงตาวัชรชัยก็ยกมือไหว้อย่างดี แล้วก็ปิดเสียงที่ลำโพง ปรากฏว่าวันนั้นดวงเฮงทั้งคณะเลย พอยกมือไหว้ เอื้อมมือจะไปปิดเสียงลำโพง ก็มีเสียงหลวงพ่อดังออกมาว่า "ไอ้พวกชอบคุยแข่งเสียงธรรมะ แถมยังชอบปิดเสียงลำโพงด้วย หาเรื่องไปอเวจีทั้งก๊วน...!" สรุปแล้วเทปของหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านด่าได้จริง ๆ..!

เถรี
11-01-2016, 11:24
อาตมาก็เจอมากับตัวเอง หลวงพ่อท่านเทศน์ว่าพระนางโรหิณีเกิดมาสวยมาก แต่ไม่กล้าที่จะไปพบพระพุทธเจ้า เพราะได้ยินว่าพระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญเรื่องความงาม อาตมาก็นึกในใจว่า "ไม่น่าจะใช่ เพราะตามที่เคยอ่านมาเป็นพระนางรูปนันทา" เสียงหลวงพ่อในเทปบอกว่า "ถ้าในพระสูตรเป็นพระนางรูปนันทา แต่ในธรรมบทบอกว่าเป็นพระนางโรหิณี" อ้าว...แค่คิดในใจท่านก็เถียงแล้ว แสดงว่าเทปเสียงหลวงพ่อวัดท่าซุงเถียงเก่งทุกม้วน...!

เถรี
11-01-2016, 11:29
ประสบการณ์ที่พบบ่อยก็คือ เวลาตั้งใจฟังเสียงสอนธรรมของหลวงพ่อวัดท่าซุง โดยปกติอาตมาจะฟังตั้งแต่ต้นจนจบ โดยขยับขาเปลี่ยนท่านั่งเพียงครั้งเดียว บางวันฟังไปพลิกขาไปสองครั้งก็แล้ว สามครั้งก็แล้ว ไม่จบสักที จนในที่สุดก็เกิดความสงสัยว่าทำไมวันนี้ท่านเทศน์ยาวแท้ ? จึงลืมตาขึ้นมาดู ปรากฏว่าทันทีที่ลืมตามา เสียงก็หายวับไปเลย เทปที่ตั้งใจเปิดฟังดีดจบไปตั้งนานแล้ว แต่ทำไมได้ยินเสียงต่อเนื่องตลอดเวลาก็ไม่รู้ ? เนื้อหาก็ต่อเนื่องเป็นเรื่องเดียวกันอีกด้วย

เถรี
11-01-2016, 12:28
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความเจ็บไข้ได้ป่วยสำหรับนักปฏิบัติแล้วถือเป็นกำไรใหญ่ อันดับแรก...ได้เห็นว่าร่างกายนี้ไม่ดีจริง ๆ อันดับที่สอง...การประคับประคองร่างกายตัวเองต้องใช้กำลังของสติ สมาธิมากกว่าปกติ ในลักษณะอย่างนั้นกิเลสจะกินใจของเราไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อเห็นความตายมาอยู่ตรงหน้า อาการเจ็บไข้ได้ป่วยหนักอย่างนี้ไม่ทราบว่าจะรอดหรือเปล่า ? ถ้าท่านที่ทำได้ก็จะส่งใจไปเกาะพระหรือเกาะพระนิพพานไว้ก่อน เป็นการประกันความเสี่ยง แต่สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ใช่นักปฏิบัติธรรม บางทีก็โอดครวญอยู่กับความเจ็บป่วยนั้น

ถ้าเป็นนักปฏิบัติที่ปฏิบัติไปได้ระยะหนึ่ง บางทีไม่รู้ว่าตัวเองทำไปแล้ว ผลในการปฏิบัติมีมากน้อยเท่าไร ตอนเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ จะรู้ว่าต้นทุนของเรามีเพียงพอหรือไม่ เพราะกำลังที่เราปฏิบัติได้ทั้งหมดจะมารวมตัวกัน แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตอนนั้นเรามีกำลังเท่าไร ถ้าใครเป็นแล้วกำลังใจไม่เกาะร่างกาย ปล่อยวางได้เป็นปกติ รักษาไปตามหน้าที่...หายก็หาย ถ้าไม่หาย...จะตายก็เชิญตามสบาย ถ้าไม่มีความหวั่นไหว ปล่อยวางได้ขนาดนั้น โอกาสที่จะไปพระนิพพานก็มีสูง จึงสามารถวัดผลการปฏิบัติของตนเองได้ด้วย"

เถรี
11-01-2016, 13:43
ถาม : พระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญแบบปัญญาธิกะ บำเพ็ญบารมีเพียง ๔ อสงไขยหรือครับ ?
ตอบ : เฉพาะตอนท้าย

ถาม : ปรมัตถบารมี ?
ตอบ : ถูกต้อง บารมีต้นของปัญญาธิกะบำเพ็ญ ๗ อสงไขย บารมีกลางบำเพ็ญ ๙ อสงไขย บารมีปลายบำเพ็ญ ๔ อสงไขย รวมแล้ว ๒๐ อสงไขยถ้วน ๆ กับเศษอีกหนึ่งแสนมหากัป เพราะฉะนั้น...ได้ยินมาว่าปัญญาธิกะบำเพ็ญมา ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป โปรดทราบว่านั่นเป็นตอนท้ายเท่านั้น

บาลีท่านบอกว่า จิตติตัง สัตตะสังเขยยัง คิดในใจว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าใช้เวลา ๗ อสงไขย นะวะสังเขยยะ วาจะกัง พูดว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้า ๙ อสงไขยกัป ก็เหลือสุดท้าย กาย วาจา ใจทำเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป ถ้าเป็นศรัทธาธิกะก็บวกเท่าตัวเลย รวมแล้ว ๔๐ อสงไขย วิริยาธิกะบวกไปอีกเท่าตัว รวมแล้ว ๘๐ อสงไขย

ส่วนใหญ่ท่านทั้งหลายเหล่านี้ทำเพื่อความสุขความสบายของบริวาร ท่านก็เลยไม่ค่อยได้ใส่ใจว่าตัวเองจะลำบาก

เถรี
11-01-2016, 14:08
ถาม : หลวงพ่อวัดท่าซุงสัมพันธ์กับสมเด็จองค์ปฐมอย่างไรครับ ?
ตอบ : เคยเกิดเจอท่านมา

ถาม : แล้วท่านปรารถนาพุทธภูมิสมัยสมเด็จองค์ปฐมหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ได้ถาม ท่านเพียงแต่บอกว่าสมัยที่ท่านปรารถนาพุทธภูมิครั้งแรก ภูกระดึงยังเป็นเกาะเล็ก ๆ อยู่กลางทะเล ตอนนี้น้ำถอยไปยังปักษ์ใต้แล้ว แค่สมัยคณะของหลวงพ่อโสณะกับหลวงพ่ออุตตระมาเผยแผ่พุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ ตอนนั้นนครปฐมอยู่ชายทะเล เป็นท่าเรือที่คนเข้ามาค้าขายกัน ปัจจุบันทะเลถอยยาวไปถึงชะอำของเพชรบุรีแล้ว

เถรี
11-01-2016, 14:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "โดยปกติแล้วหลังการจัดงานวัด อาตมาจะอาศัยเวลาทำวัตรค่ำวันนั้น สรุปและประเมินผลการจัดงานว่ามีอะไรผิดพลาดที่ต้องแก้ไขบ้าง

เมื่อวานนี้ข้อผิดพลาดใหญ่ที่เห็นก็คือคน โดยเฉพาะแม่งานก็คือคุณชยาคมน์ พลาดตรงที่ไม่กล้าตัดสินใจ คนมาแน่นขนาดนั้นต้องเปิดบ้านให้เขาขึ้นเลย ไม่อย่างนั้นจะระบายคนไปทางไหน ? เขาให้คนวิ่งมาถาม อาตมาก็เลยไม่ตอบ โทษฐานที่ตัดสินใจไม่ได้ ท้ายสุดก็ไม่ยอมตัดสินใจอีก อาตมาจึงต้องเปิดบ้านเอง

ถ้าหากว่าเป็นแม่งานต้องกล้าตัดสินใจ สมัยอยู่วัดท่าซุง หลวงพ่อตั้งคณะกรรมการสงฆ์ ๑๒ รูป ให้ดำเนินการแทนท่าน ให้อำนาจถึงขนาดว่า ถ้ากรรมการสงฆ์ ๒ ใน ๓ มีมติขับไล่ท่านออกจากวัด ท่านก็จะไป แต่ก็ไม่มีใครกล้าตัดสินใจสักคน ไม่ว่าเรื่องอะไรท้ายสุดก็ต้องให้หลวงพ่อท่านตัดสินใจ แล้วท่านจะตั้งคณะกรรมการสงฆ์ไว้ทำอะไร ?

ท้ายสุดพออาตมาไปถวายการรับใช้หลวงพ่อ อะไรที่มั่นใจว่าทำแล้วไม่พลาดแน่ จะตัดสินใจทำแทนท่านไปเลย เพราะฉะนั้น...ช่วงสี่พรรษาสุดท้ายก่อนที่หลวงพ่อท่านจะมรณภาพ ท่านก็เลยเรียกใช้อาตมาอยู่คนเดียว เพราะอาตมา "กล้ารับผิด" พูดง่าย ๆ ว่าถ้าพลาดยอมแม้กระทั่งให้หลวงพ่อไล่ออกจากวัด แต่จะพยายามให้งานไปถึงท่านให้น้อยที่สุด เพื่อถนอมสังขารของท่านเอาไว้ให้นานที่สุด ก็เลยเป็นคนที่กล้าตัดสินใจและค่อนข้างที่จะเผด็จการ

ส่วนใหญ่แล้วคนเรามักจะกลัวผิดกลัวพลาด ถนัดรับแต่ชอบ ไม่รับผิด ถ้ามีคนตัดสินใจแทนก็จะทำงานแบบสบายใจ ฉะนั้น...คนที่จะตัดสินใจรับผิดจึงหาได้ยาก ต่อไปถ้ารักที่จะทำอะไรโปรดรับผิดเสียบ้าง แล้วงานทุกอย่างจะไปได้ดีขึ้นกว่านี้ ถ้าเป็นแม่งานก็ไม่ต้องเกรงใจใครแล้ว แม้แต่เจ้าของบ้านก็ออกไปห่าง ๆ เลย ต้องตัดสินใจได้ทุกเรื่อง ไม่ใช่วิ่งมาถามทุกเรื่อง ถ้ามาถามทุกเรื่องอาตมาก็เป็นแม่งานเอง ไม่ใช่คนอื่นเป็น"

เถรี
11-01-2016, 14:40
"งานในส่วนอื่นของเมื่อวานนี้ก็คาดว่าจะเรียบร้อย ที่ต้องใช้คำว่า "คาดว่า" เพราะอาตมาไปไหนไม่ได้ ติดอยู่ข้างบนนี้ ไม่ได้ลงไปดู ได้ไปดูเอาก็ตอนที่เก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว

เคยย้ำเตือนตั้งแต่สมัยจัดงานนิโรธกรรมของครูบาวิฑูรย์ที่ปรียานันท์ธรรมสถานครั้งแรก ๆ ว่า ใครรับงานต้องเป็นผู้เสียสละ ก็คือต้องประจำอยู่กับหน้าที่ของตนเอง ไม่ใช่ไปเสนอหน้าอยู่ใกล้ ๆ ครูบาอาจารย์ ถ้าเช่นนั้นงานของตัวเองก็จะบกพร่อง แล้วก็จะพาให้งานส่วนอื่นเสียไปด้วย

งานของครูบาวิฑูรย์ส่วนที่ต้องแก้ไข แม้กระทั่งครั้งล่าสุดก็คือการจราจร อาตมาบอกไปครั้งหนึ่งว่า ให้หาไฟไปติดตรงทางเข้าด้านนอกให้คนเขาเห็น ปรากฏว่าไปติดเอาปากทางฝั่งโน้น แปลว่าคนเห็นคือเลยทางเข้าไปแล้ว ค่อนข้างจะติดได้ปัญญานิ่มมาก ไม่รู้เคยขับรถหรือเปล่า ? ต้องติดก่อนทางเข้าอย่างน้อยสัก ๑๐-๒๐ เมตร รถจะได้ชะลอและเข้าได้ทัน หรือถ้าจะให้ดีก็แต่งชุดสะท้อนแสง แล้วถือแท่งไฟโบกให้เขาเห็นเลย ปีนี้อาตมาก็เกือบจะถลำเลยไป ดีที่รู้ว่าทางเข้าอยู่บริเวณนั้น ถ้าคนที่ไม่รู้ก็คงต้องไปวนรถกลับมาใหม่"

เถรี
11-01-2016, 14:43
ถาม : เวลาสร้างพระ ทำไมถึงต้องสร้างสมเด็จองค์ปฐมกัน ?
ตอบ : อยู่ที่ความตั้งใจของเขา ส่วนใหญ่ที่สร้างแล้วประกาศว่าสร้างสมเด็จองค์ปฐมก็เพราะต้องการอานิสงส์ เนื่องจากหลวงพ่อวัดท่าซุงเคยบอกกับลูกศิษย์ว่า ถ้าใครสร้างสมเด็จองค์ปฐม พระยายมราชจะขึ้นบัญชีทองคำไว้ให้ ท่านเหล่านี้ถ้าไม่ใช่ถึงขนาดทำอนันตริยกรรมแล้ว ท่านจะพยายามประคองจิตให้นึกถึงความดีให้ได้ก่อนตาย คนก็เลยโยนภาระให้พระยายมราช โดยการประกาศว่ากูก็สร้างสมเด็จองค์ปฐม ถึงได้สร้างกันยกใหญ่

เถรี
12-01-2016, 13:04
ถาม : ไปงานศพแล้วผีตามมาค่ะ ?
ตอบ : ไปบอกผีว่า มีปัญญาก็ตามไปเถอะ ถ้าเอ็งตามมา ข้าจะไม่อุทิศส่วนกุศลให้เอ็ง..!

ถาม : ทำให้ไม่สบายเลยค่ะ ?
ตอบ : ที่เขาบอกว่าไปแล้วชง อาตมาไปทีไรก็ชงทุกที บางทีตามมาเป็นร้อยเลย พวกไม่ใช่เจ้าของศพก็ตามมาด้วย เขาอยากได้บุญ ไปงานศพนี่ไข้จับตะครั่นตะครอเลย บางทีไม่ได้เฉลียวใจ ไม่ได้ตั้งใจดู ก็ปล่อยให้เขาตามไป

ถาม : เขาทำให้หลวงพ่อไม่สบายหรือคะ ?
ตอบ : ตะครั่นตะครอเหมือนจะจับไข้ บางทีกระอักกระอ่วนอยากจะอาเจียนก็มี แล้วแต่ว่าแรงมากแรงน้อย

ถาม : ทำไมจึงมีผลได้ขนาดนั้น ?
ตอบ : เขาพยายามตามตื๊อเรา ถ้าอุทิศส่วนกุศลให้เขาไป แผ่เมตตาให้เขาไปก็จบแล้ว แต่นี่บางทีลืม ไม่ได้นึกถึงเขา

เถรี
12-01-2016, 14:24
พระอาจารย์บอกกับโยมเรื่องที่ทำงานว่า "ทน ๆ เอาหน่อย อยู่ที่ไหนเราก็ต้องทน ถ้าทนแรงเสียดทานไม่ได้ อยู่ที่ไหนก็ลำบาก น่าเบื่ออย่างนี้ทุกที่แหละ โลกนี้ไม่มีอะไรได้ดั่งใจหรอก..ต้องทนอยู่ไป ตายแล้วอย่ามาเกิดอีกก็แล้วกัน"

เถรี
12-01-2016, 19:11
มีโยมใส่กางเกงขาสั้น (มาก) มาบ้านวิริยบารมี พระอาจารย์จึงกล่าวกับโยมว่า "โยมใส่ชุดจนอาตมานึกว่าไม่ได้นุ่งอะไรข้างล่าง ถ้าตั้งใจมาหาพระไม่ต้องสวยมาก เล่นใส่สวยมากเดี๋ยวคนเขาจะนินทาเอา..!"

เถรี
12-01-2016, 19:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันเสาร์นี้เตรียมสตางค์ไว้ทำบุญ ๒๐๐ บาท มีเหรียญของขวัญปีใหม่แจกให้ ยกเว้นใครอยากได้มากกว่า ๑ เหรียญก็เตรียมสตางค์ไว้เยอะ ๆ เหรียญของขวัญปีใหม่ชุดเดิมนั่นแหละ แต่ชุดนี้เป็นเนื้อชินตะกั่ว รับไปแล้วโปรดระวังจมูกพระจะบี้ ออกในราคาเหรียญละ ๒๐๐ บาทแค่พรุ่งนี้เท่านั้น"

เถรี
12-01-2016, 19:22
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเพิ่งจะทำบัญชีรายรับรายจ่ายของวัดเสร็จ จะส่งพรุ่งนี้ ฝากพระที่วัดไว้ให้ท่านไปส่งแทน ปีที่ผ่านมาจ่ายเกินรายรับไปนิดหน่อยแค่ ๔๐ ล้านกว่าบาท บวกของเก่าแล้วจ่ายเกินไป ๗๗ ล้านกว่าบาท ไม่เป็นไรหรอก...เดี๋ยวพวกเราช่วยกันทำบุญนิด ๆ หน่อย ๆ ก็หมดหนี้ไปเอง เพราะปีนี้มีการก่อสร้างใหญ่ ๆ อยู่แค่เมรุเท่านั้น ตอนนี้พวกโครงสร้างที่ถือว่าเป็นส่วนราคาแพงและสำคัญก็จ่ายไปจะหมดแล้ว"

เถรี
12-01-2016, 19:25
พระอาจารย์กล่าวว่า "เหรียญของขวัญปีใหม่นั่นเข้าพิธีมา ๓ งานแล้ว เข้าเสาร์ ๕ มา ๒ ครั้ง แล้วก็เข้ากรรมฐาน ๓ วันมาอีกครั้งหนึ่ง ต้องบอกว่างานนี้เก็บความลับดีมาก โผล่ออกมาแล้วถึงจะรู้กัน แม้แต่อาตมาเองก็ยังไม่ได้เห็นว่าหน้าตาเหรียญเป็นอย่างไร เปิดกล่องเห็นพร้อมกันวันนั้นแหละ

รู้ไหมทำไมต้องเก็บความลับขนาดนั้น ? เพราะมีคนสร้างเลียนแบบทันทีทันใดเลย พอสร้างเลียนแบบแล้วก็เอามาเข้าพิธีของวัดท่าขนุน ขนาดมีดหมอเพชราวุธยังทำเลียนแบบกันให้ชุ่ยไปหมด"

เถรี
12-01-2016, 19:35
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีคนเขาบอกว่า เศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดีให้ดูที่ปฏิทิน ถ้าปีไหนปฏิทินแจกกันคึกคักเกลื่อนกลาดก็แสดงว่าเศรษฐกิจดี ถ้าเศรษฐกิจไม่ดีก็มีปฏิทินบ้างไม่มีบ้าง ตั้งแต่แม่โขงเลิกแจกปฏิทินนี่รู้สึกว่าเหงาไปเลยนะ ปีนี้ที่ไม่มีแจกเพราะรัฐบาลเขากลัวปฏิทิน ขืนแจกเดี๋ยวโดนตามเก็บ..!

คาดว่าเดี๋ยวท่านเจ้าคุณปิงก็คงขนปฏิทินของวัดสระเกศมาแจกอีก เศรษฐกิจของท่านเจ้าคุณน่ะดีแน่ เพราะแจกจัง...!

ท่านเจ้าคุณเดี๋ยวนี้เป็นผู้ชำนาญในฤกษ์พรหมประสิทธิ์แล้ว ท่านก็เลยใส่เอาไว้ในปฏิทินด้วย เอาปฏิทินของวัดสระเกศแจกไป ปฏิทินฤกษ์พรหมประสิทธิ์ของวัดท่าขนุนขายไม่ออกแน่เลย"

เถรี
13-01-2016, 20:13
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนเวลาคลอดลูก ผู้หญิงต้องอยู่ไฟ ที่อยู่ไฟเพราะเวลาคลอดลูกแล้วเสียเลือดมาก ก็คือธาตุไฟจะพร่อง ถ้าโดนความเย็นร่างกายจะไม่ปกติ เช่น จะมีอาการปวดเมื่อยเนื้อตัวง่าย เวลาดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลงจะเจ็บไข้ได้ป่วยง่าย โบราณเขาเลยให้อยู่ไฟ ขังตัวเองอยู่ในห้องแคบ ๆ จุดไฟ อบอยู่ตลอดเวลาเพื่อไม่ให้กระทบความเย็น จนกระทั่งร่างกายฟื้น สร้างเลือดคืนมาได้พอ

สมัยก่อนเทคโนโลยียังไม่ดีเท่าสมัยนี้ มีคลอดลูกตายบ้าง ถ้าอยู่ไฟไม่ครบเดือน ร่างกายไม่ดี ก็มีลูกเพิ่มไม่ได้"

เถรี
13-01-2016, 20:17
มีโยมมาปรึกษาเรื่องการตั้งศาล พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "เรื่องของการตั้งศาล เจ้าของบ้านทำเองจะดีที่สุด อย่างสมัยก่อน "ปู่โต๊ะ" อยู่แถวบางนมโค รับตั้งศาลตั้งแต่กล่อมเสา ถากเสาขึ้นมาเลย เขาจะถามความสูงของเจ้าของบ้าน ว่าระดับสายตาอยู่ตรงไหน ฉะนั้น..ศาลแต่ละหลังจะสูงต่ำไม่เท่ากัน เขาจึงเรียกว่าศาลเพียงตา คือต้องระดับสายตาเจ้าของ แต่สมัยนี้ศาลเพียงตามาตรฐานเท่ากันทั้งประเทศ"

เถรี
14-01-2016, 13:02
พระอาจารย์กล่าวถามว่า "ใครจองพระทองคำเอาไว้ ซื้อทองทันไหม ? ขึ้นราคาไปบาทละหลายร้อยแล้ว อุตส่าห์รีบให้ออกแล้วนะ ถ้ามัวแต่ใจเย็นอยู่ก็ตัวใครตัวมัน"

เถรี
14-01-2016, 13:07
ถาม : สมมติเรายึดมั่นในพระรัตนตรัย เวลาพระท่านสงเคราะห์ช่วย กฎแห่งกรรมจะลดลง ๒๕ % ที่ว่าลดก็คือ ช่วยผ่อนไปเรื่อย ๆ หรือว่าตัดไปเลยครับ ?
ตอบ : ใครบอกคุณ ? มักจะมั่วไปเรื่อย บุคคลที่มั่นคงในศีล สมาธิ ปัญญา เข้าใจคำว่า "มั่นคง" ไหม ? คนที่จะมั่นคงได้จริง ๆ อย่างต่ำต้องพระโสดาบันขึ้นไป ไม่ใช่ทุกคน และกรรมของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ๒๕ % ของเราเอาไปเปรียบกับคนอื่นอาจจะนิดเดียว แต่ ๒๕ % ของคนอื่น อาจจะเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ของเรา เรามักจะฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับเอาไปกระเดียดอยู่เรื่อย

เถรี
14-01-2016, 13:19
ถาม : สมมติของหล่น กรณีแรกเจ้าของไม่ได้ติดตาม แต่พระหยิบไป กรณีที่สองเจ้าของติดตามอยู่ พระหยิบไปผิดไหมครับ ?
ตอบ : ข้าวของอะไรก็ตาม พระไม่มีสิทธิ์ที่จะไปหยิบของเขา พูดง่าย ๆ ว่าถือเอาเป็นสมบัติส่วนตัวไม่ได้ ยกเว้นอย่างเดียวคือเก็บรักษาไว้จนกว่าเจ้าของจะมาทวงคืน เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปสมมติที่ ๑ สมมติที่ ๒ หรอก ผิดหรือไม่ผิดอยู่ที่พระนั่นแหละ

เถรี
14-01-2016, 13:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อคืนเจอเสือปืนไว ปรากฏว่าเมื่อเช้าก็เจออีก ที่บอกว่าเมื่อคืนเจอเสือปืนไว คือวัตถุมงคลที่แจกเมื่อวานไปประกาศขายอยู่ในเว็บ วางจำหน่ายแล้ว ส่วนที่เจอเมื่อเช้านี้ เขาเลี่ยมแขวนมาเรียบร้อยแล้ว อะไรจะเร็วปานนั้น แสดงว่าเมื่อวานเช้ารับได้ก็ไปร้านทำกรอบเลย"

เถรี
14-01-2016, 13:56
ถาม : บอกให้คนเขาอธิษฐานภาวนาคาถาโสตัตตะภิญญา แต่เขาอธิษฐานภาวนาผิดเป็น โสตาตะภิญญา ผลที่ได้จะเหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าทำด้วยความเคารพก็มีผลเหมือนกัน

เถรี
18-01-2016, 21:56
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานไปเยี่ยมท่านอาจารย์ภิญโญ สุวรรณคีรี ท่านเป็นศิลปินแห่งชาติและเป็นราชบัณฑิตสาขาสถาปัตยศิลป์ด้วย อาตมาไปขอแบบของท่านมาทำมณฑป ท่านกำลังขยายแบบให้อยู่ ท่านบอกว่า "โดยปกติถ้าเจ้าของงานไม่โผล่หน้ามาให้เห็นนี่ผมไม่ให้จริง ๆ นะ พอดีของท่านพิเศษหน่อย เพราะลูกศิษย์ทำงานให้ ๓๐ กว่าปี มาบอกว่าอาจารย์ขอ ท่านติดงาน ไม่มีเวลามา ก็เลยให้ไป"

เรียนท่านว่า "ที่มานี่ก็คือมาขอบคุณอย่างเป็นทางการ" ท่านชวนคุยสนุกมาก พักเดียวหมดไป ๒ ชั่วโมง บอกท่านว่า "ท่านอาจารย์ทนอยู่หน่อยนะ ถ้าอาตมาทำพิพิธภัณฑ์เสร็จ เดี๋ยวหาทางเอางานฝีมืออาจารย์ไปอวดทางภาคตะวันตกบ้าง"

ถาม : ท่านคือพี่ชาย ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ?
ตอบ : ใช่

เถรี
18-01-2016, 22:02
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=24107&stc=1&d=1453155103
รศ.ภิญโญ - คุณลาวัณย์ สุวรรณคีรี

ท่านเล่าประวัติให้ฟังว่า ท่านเขียนลายก่อนเขียนหนังสือเป็น เพราะมีหลวงปู่ที่วัดบ้านเกิดเอาท่านไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม หลวงปู่ท่านเก่งทางเขียนลาย ทางฉลุไม้ สลักไม้ มีลูกศิษย์ลูกหาเต็มไปหมด ท่านเองเวลาเขามาชุมนุมกัน หลวงปู่ท่านสอน ท่านเองก็ได้ฟังไปด้วย รู้สึกชอบใจ เห็นเขาทำลายก็อยากจะเขียนบ้าง เลยหัดเขียนลายก่อนเขียนหนังสืออีก

ที่ขำที่สุดก็คืองานชิ้นไหนที่อาตมาไปเห็นว่าสวย ปรากฏว่ากลายเป็นงานของท่านหมดเลย คุยถึงตรงโน้น ตรงนี้ ท่านก็บอกให้นี่ก็งานผม โน่นก็งานผม เอาเล่มหนังสือมาเปิดให้ดู ใช่งานท่านจริง ๆ ด้วย แสดงว่างานของท่านถูกสายตาอาตมามาก เห็นว่าสวยทันทีเลย

ท่านก็ชวนไปดูโน่นดูนี่ในบ้าน เดินไปทั่ว อายุย่าง ๘๐ ปีแล้ว มีลู่วิ่งอยู่หลังบ้านด้วย เต็มสนามหลังบ้านเลย ท่านวิ่งวันละ ๖๐ รอบ มิน่าว่าท่านถึงได้คล่องตัวขนาดนั้น หมอบ ๆ คลาน ๆ เขียนลายทั้งวัน คนแก่ขนาดนั้นขึ้น ๆ ลง ๆ ยังสะดวก แต่ที่อัศจรรย์กว่านั้นก็คือคุณลาวัณย์ สุวรรณคีรี ภรรยาของท่านอาจารย์ ดูไม่ออกเลยว่าเป็นคนแก่ อะไรจะสาวพริ้งได้ถึงขนาดนั้น

เถรี
18-01-2016, 22:05
เรียนท่านว่าที่วัดจะพยายามรักษาพื้นที่ป่าไว้ ท่านก็เลยพาไปหลังบ้าน ไปดูศาลานั่งเล่นทรงไทย ที่เป็นเสาล้มสอบหลังเล็ก ๆ ท่านบอกว่า “นี่ ๆ ให้ทำแบบนี้ ไม่เปลืองที่”

เรียนท่านว่าเคยจะให้คุณชลทิตออกแบบศาลาให้เหมือนพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ ท่านบอกว่า "ไม่ได้หรอก พระคุณท่านไม่ได้เรียนเรื่องนี้มา ท่านไม่เข้าใจหรอก การออกแบบต้องดูบริบทรอบข้างด้วยว่าควรจะให้เป็นอย่างไร ขณะเดียวกันพื้นถิ่นเขามีเอกลักษณ์อย่างไร ก็ต้องเอามาใส่ลงไปด้วย ถึงจะกลมกลืนกันได้ ไม่ใช่เห็นของใครสวยก็ไปเอาของเขามาเลย" ถ้าหากว่าท่านออกแบบให้อาตมา คงจะติดแบบมอญพม่าแน่เลย

เถรี
18-01-2016, 22:10
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=24108&stc=1&d=1453155222
รศ.ภิญโญ สุวรรณคีรี พาชมผลงานต่าง ๆ

ถ้าหากว่าวาสนาบารมีมีพอ ที่ข้าง ๆ วัดท่าขนุนยอมขายให้ รับรองว่าได้สร้างแน่ เพราะทุกวันนี้มีแต่คนถามว่า "โบสถ์เล็กแค่นั้นเอง ทำไมไม่สร้างใหม่เสียที ?" ถ้าได้ที่ข้าง ๆ มา ที่ตรงนั้นเกือบ ๔๐ ไร่ ตอนที่ธนาคารจะขายให้ ๔๐ ล้านบาท อาตมาไม่เอา เพราะถ้าหากว่าเอามา ก็ไม่มีเงินเหลือพอจะไปทำอย่างอื่น

เรียนท่านอาจารย์ว่าไม่ได้คิดอะไรหรอก นอกจากสร้างความเจริญไว้กับพระพุทธศาสนา แล้วก็ฝากผลงานเอาไว้ให้คนรุ่นหลังเขาได้ดู เพราะว่างานฝีมือดี ๆ เดี๋ยวนี้หาดูยากมากแล้ว ส่วนใหญ่คนจะเก่งได้ระดับ ก็มักจะอายุวัยเกษียณแล้วทั้งนั้น ยังโชคดีที่ท่านอาจารย์อายุยืนมาก ตอนนี้ลูกสาวกำลังรวบรวมผลงานของท่านอยู่ เรียนท่านว่า อย่างไรให้ทำขายเลยนะ คนจะได้ซื้อแล้วก็มีเก็บเอาไว้เป็นสมบัติบ้าง ปรากฏว่าดูไปดูมานี่หนาขนาดนี้ (ประมาณ ๔ นิ้วฟุต) ต้องซอยเป็น ๒-๓ เล่ม ไม่อย่างนั้นจะแพงมาก

ท่านพาไปดูบ้านหลังเก่าของท่าน ที่ดินแถวบางกะปิสมัยนั้นตารางวาละ ๒๐๐ บาท ตอนนี้เท่าไร ? ตารางวาละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท..! เรียนท่านอาจารย์ว่า พี่ชายของอาตมาซื้อที่ดินที่ซอยอ่อนนุชตารางวาละ ๗๐๐ บาท จริง ๆ แล้วเขาติดประกาศไว้ ๙๐๐ บาท ไปต่อจนเขายอมลดให้ ปรากฏว่าพอซื้อเสร็จ ปีรุ่งขึ้นถนนศรีนครินทร์ตัดผ่าน น้ำเข้า ไฟเข้า ราคาขึ้นพรวด ๆ คนขายโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง บอกว่าติดป้ายไว้เป็น ๑๐ ปีขายไม่ได้ พอขายได้ก็ขึ้นราคาทันที ท่านอาจารย์ภิญโญบอกว่า ของท่านก็เหมือนกัน ซื้อมาตารางวาละ ๒๐๐ บาท ตอนนี้ตารางวาละ ๕๐๐,๐๐๐ บาทไม่รู้ว่าจะหาซื้อได้ไหม ?

เถรี
18-01-2016, 22:21
ส่วนใหญ่แล้วท่านทำงานไม่ได้เอาเงิน ท่านบอกว่าชอบฝากผลงานไว้ในพระพุทธศาสนามากกว่า ในประเทศคนรวยขนาดไหนก็ตาม ถ้าหากว่าไม่ใช่ประเภทพูดคุยถูกคอถูกอัธยาศัย ง้อให้ตายท่านก็ไม่ไปออกแบบให้เขาหรอก ตอนนี้ท่านกำลังทำศาลฎีกาหลังใหม่อยู่ แล้วส่วนที่ออกแบบอยู่ก็คือรัฐสภาแห่งใหม่

อาจารย์ท่านได้ทำพระเจดีย์สูง ๘๔ เมตร ท่านทำให้ดูแล้วก็ชี้ให้ดู "นี่ ๆ เห็นไหม ? ทรงต้องอยู่ในเส้นจอมแหอย่างนี้ถึงจะสวย" มีรายละเอียดหมดเลย คุยไปคุยมาคุยเรื่องออกแบบจนหมด ดูโน่นดูนี่จนหมด ท่านเลยพาไปดูเครื่องดนตรี ท่านเล่นดนตรีถวายสมเด็จพระเทพฯ มา ๓๐ กว่าปีแล้ว เวลาสมเด็จพระเทพฯ จะทรงดนตรี ก็โทรมาขอให้ไปช่วยเล่นหน่อย

ท่านมีซออู้ กะลาลูกใหญ่มาก ด้ามซอเป็นงา ลูกกลึงก็เป็นงา ท่านบอกว่าเป็นของนายเค็งเหลียน ศรีบุญเรือง ของเขาเลี่ยมทองไว้ ไม่รู้ว่าลูกหลานหรือใครแกะเอาทองไปขาย ท่านอาจารย์ก็เลยเอาไปเลี่ยมเงินแทน บอกว่า "นี่ใครมาให้ ๒๐ ล้านบาทผมก็ไม่ขาย เพราะมีประวัติศาสตร์อยู่ในซอคันนี้"

เถรี
18-01-2016, 22:23
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=24109&stc=1&d=1453155317
รศ.ภิญโญ สุวรรณคีรี ตีกลองเนปาลีให้ฟัง

ไล่ดูไปดูมาไปเจอซอเนปาลีเข้า อาตมาบอกว่า "เอ๊ะ...ตอนไปเนปาลเขาเล่นเพลง Ressem pee dee dee ให้ฟัง" ท่านอาจารย์บอกว่า “เพลงนี้ผมก็เล่นได้...ผมเล่นได้” แล้วท่านก็เปิดเพลง เป็นทำนองนั้นจริง ๆ ที่ "นายชีวัน" เขาร้องให้ฟัง ท่านบอกว่าท่านก็ไปพักที่นากาก็อตที่วิลล่าคันทรีนั่นแหละ แล้วทางโน้นเขาเล่นเพลงกัน ท่านก็เลยไปขอเล่นบ้าง ทางด้านโน้นก็ถามว่าเล่นได้หรือ ? ท่านก็บอกว่าได้ ก็เล่นให้เขาดู ท่านจำชื่อเพลงไม่ได้ พออาตมาออกปาก ท่านบอกว่า "ใช่เลย...เพลงนี้แหละ ” เป็นเพลงพื้นเมืองยอดฮิตของเนปาลคล้าย ๆ เพลงลอยกระทงของเรา ท่านบอกว่าใช่ เพราะพอท่านเล่นให้เขาฟังเสร็จ เขาก็เลยเล่นเพลงลอยกระทงคืนมา

อัธยาศัยน่ารักมากทั้งสามีทั้งภรรยา ท่านพาไปดูที่ห้องทำงาน ที่ห้องใต้ดิน ฯลฯ ดูจนหมด ท่านบอกว่าเป็นเรือนไทยหมู่เดียวที่มีห้องใต้ดิน อาตมาบอกว่าเคยเห็นของท่านอาจารย์ มรว.คึกฤทธิ์ แต่ไม่ใช่ห้องใต้ดิน จะยุบลงไปเป็นหลุมแค่ครึ่งตัว ท่านบอกว่าของท่านอาจารย์ มรว.คึกฤทธิ์ไปซื้อของเก่าเขามา เสร็จแล้วก็เลยต้องทำให้เข้ากับของเก่า

อาตมามอบหนังสือวัดท่านขนุนเป็นที่ระลึกให้ท่านไป ๒ เล่ม ท่านบอกว่าท่านอยากจะฝากผลงานไว้ในแผ่นดิน ไม่ได้คิดอยากจะได้สะตุ้งสตางค์อะไร ก็เลยมอบหนังสือให้เป็นที่ระลึกแทน

เถรี
19-01-2016, 15:54
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทุกวันนี้มีอยู่เรื่องหนึ่งที่คิดจะทำ แต่ไม่ได้ทำ ก็คือเทศน์ ๒ ธรรมาสน์ ๓ ธรรมาสน์ สาเหตุเพราะว่าหาคู่เทศน์ไม่ได้ ส่งลูกศิษย์หลายคนไปเรียนวิชานักเทศน์จากสำนักวัดประยุรวงศาวาสก็มี วัดราชโอรสก็มี แต่ท่านไม่ยอมเทศน์ด้วย แม้จะบอกว่าเรื่องของเทศน์ ๒ ธรรมาสน์ ๓ ธรรมาสน์นั้น เขาไม่หักกันหรอก มีแต่ช่วยกันประคับประคองไป ท่านก็ไม่เอา ดังนั้น...อาตมาก็เลยไม่ได้ทดสอบวิชา ว่าจะออกมาเละเทะขนาดไหน

หลักสูตรนักเทศน์หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสรุปง่าย ๆ ว่า ‘ปากไว ใจกล้า หน้าด้าน เสียงดัง’ ปากไว คือ เขาถามมาต้องตอบทันที ใจกล้า คือ กลัวคู่ต่อสู้ไม่ได้ ถึงรู้ว่าตัวเองสู้ไม่ได้ก็ต้องสู้ คำว่าหน้าด้านนี่คือ ผิดก็คือผิด พยายามแก้ให้ถูกก็แล้วกัน ส่วนเรื่องของเสียงดังเป็นลีลาของนักเทศน์ พูดง่าย ๆ ก็คือเสียงดังไว้ก่อน ช่วยข่มคู่แข่งได้

วันก่อนได้รับนิมนต์ไปงานทำบุญ ๑๐๐ ปีพระอารามหลวง วัดมหาธาตุวรวิหาร จังหวัดเพชรบุรี ไปเจอเทศน์ ๒ ธรรมาสน์ เป็นมหาสินกับมหาสม สองพี่น้อง ท่านเป็นพระครูแล้ว แต่จำไม่ได้ว่าท่านเป็นพระครูอะไร ท่านเป็นฝาแฝด เพราะฉะนั้น...เวลาเทศน์นี่รู้ใจกันมากเลย นั่งฟังท่านเทศน์อยู่ ๔ กัณฑ์ ตั้งแต่ทศพร หิมพานต์ ทานกัณฑ์ วนประเวสน์ ท่านเทศน์ได้แค่นั้นก็หมดเวลาก่อน ฟังเทศน์มหาชาติไม่ครบ ๑๓ กัณฑ์ เขาว่าไม่ได้ขึ้นสวรรค์

ไปนั่งฟังท่านเทศน์ ตอนแรกก็สงสัยท่านเล่นรับส่งกันลื่นไหลดี ลูกเล่นลูกฮาเหลือกินเหลือใช้ ตอนหลังถามพระครูวาทีวรวัฒน์ รองเจ้าคณะอำเภอเมืองเพชรบุรี เพื่อนร่วมรุ่นปริญญาเอก ท่านบอกว่าทั้งสองรูปเป็นฝาแฝดกัน"

เถรี
19-01-2016, 16:04
"เทศน์ ๒ ธรรมาสน์ส่วนใหญ่เป็นพระสกรวาทีกับพระปรวาที ก็คือผู้หนึ่งจะสมมติตัวเองว่าสงสัยในข้อธรรม แล้วก็ไปถามอีกผู้หนึ่งที่ถือว่าเป็นผู้มีความรู้ ตอบกันไปโต้กันมา ญาติโยมก็จะได้ธรรมะบันเทิง สนุกเฮฮาไปตามเรื่อง

ถ้าหากว่าเป็นเทศน์ ๓ ธรรมาสน์ เขาเรียกว่าเทศน์แจง มีท่านหนึ่งต้องสมมติตนเป็นพระมหากัสสปะ องค์ประธานในการสังคายนาพระไตรปิฎก องค์หนึ่งสมมติตนเป็นพระอานนท์ วิสัชนาในส่วนของพระธรรม ก็คือพระสูตรกับพระอภิธรรม อีกองค์หนึ่งสมมติตนเป็นพระอุบาลี วิสัชนาเรื่องพระวินัย แต่ส่วนใหญ่จะถามเรื่องอะไรมาก็ตอบกันไปตามเพลง"

เถรี
19-01-2016, 16:06
"สมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุง หลวงตาวัชรชัยของขึ้น บอกว่า “อยากเทศน์กับพระอาจารย์พยอมสักงวดว่ะ..!” เล่นเอาพวกเราห้ามกันแทบแย่ บอกว่าพระอาจารย์พยอมท่านมืออาชีพ ส่วนพวกเราแค่มือสมัครเล่น จะไปสู้ได้อย่างไร ท่านก็ยืนยันว่า ของเราถ้าหากยึดอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างไรก็ไม่หลุดไปจากแนวนี้ ก็ใช่อยู่นะ แต่ถ้าเกิดท่านไม่มาแนวนี้ล่ะ ?"

เถรี
20-01-2016, 20:25
ถาม : ตั้งใจทำความดีตอนเย็น ๆ เช่น สวดมนต์ แต่ร่างกายเพลียจัดมากเลย เราตั้งกำลังใจว่าจะนอนสักตื่นหนึ่งค่อยลุกขึ้นมาทำความดี อย่างนี้ถือว่ากำลังใจห่วยไหมครับ ?
ตอบ : ห่วย...ต้องตั้งใจว่าถึงตายก็ต้องทำ ใครเป็นประเภทนอนไม่หลับแล้วลองลุกมาสวดมนต์ดูสิ ไม่ถึงห้านาทีหัวก็ไถหมอนแล้ว..! กิเลสเขากลัวเราทำความดี

เถรี
20-01-2016, 20:33
ถาม : โยมเขาถวายทองคำเป็นส่วนตัว พระเราเอามาใช้เป็นส่วนตัวได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเขาถวายเป็นส่วนตัวก็ไม่ใช่ส่วนตัวจริง ๆ หรอก เขาถวายเพราะเราเป็นพระ ดังนั้น...ควรใช้ทำบุญ หล่อพระ ช่วยคนยากคนจน หรืออะไรก็ได้ที่เป็นส่วนของสาธารณประโยชน์

เถรี
20-01-2016, 20:55
ถาม : เรื่องของศีล เรามีโอกาส แต่ไม่ละเมิด ?
ตอบ : ถ้าหากว่าไม่ได้ตั้งใจรักษาศีล ถึงมีโอกาสแล้วเราไม่ละเมิดก็ไม่ถือว่าเป็นศีล ศีลเราต้องตั้งใจรักษาก่อน ถ้าไม่ได้ตั้งใจรักษา ถึงคุณไม่มีโอกาสจะไปขโมยใคร เดินผ่านไปบ้านเขาปิดอยู่ เราไม่มีโอกาสขโมย อย่างนั้นจะเอาอานิสงส์ที่ไหนมา ?

ถาม : กำลังใจก่อนตายฟุ้งซ่าน จะลงล่างไหมครับ ?
ตอบ : ก็อยู่ที่กำลังใจของเรา ว่าเกาะความดีมั่นคงแค่ไหน ถ้าหากว่าไม่มั่นคง ไปฟุ้งซ่านก่อนตายเป็นอาสันนกรรม ก็ตัวใครตัวมันเถอะ โปรดระวังให้ดี

เรื่องของความดีอย่าไปประมาท เพราะว่าถ้าหากว่าเราประมาทเกิดอาสันนกรรม จะเป็นกรรมที่มาขวางตอนก่อนตายนิดเดียว ถ้าช่วงนั้นจังหวะนั้นเราเกาะความดีได้ก็รอด ถ้าเกาะความดีไม่ได้ก็ไปยาวเลย

เถรี
22-01-2016, 20:59
ถาม : ถ้าเราทรงสมาธิ เราต้องสลับมาพิจารณาหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าทำได้จะดีมาก เพราะว่าการพิจารณาจะช่วยให้ปัญญาของเราดีขึ้น มองเห็นสภาพความเป็นจริงมากขึ้น ยอมรับความเป็นจริงมากขึ้น แล้วเราก็ไม่ต้องเอากำลังไปกดข่มกิเลสมากนัก เพราะเห็นโทษแล้ว คนที่เห็นโทษก็ย่อมเบื่อหน่าย หวาดกลัว ไม่อยากที่จะไปแตะต้อง แต่ถ้าหากว่าไม่สามารถที่จะพิจารณาได้ อย่างน้อยกำลังสมาธิก็ป้องกันไม่ให้กิเลสทำอันตรายเราได้มากนัก

เถรี
22-01-2016, 21:00
ถาม : เวลาที่เราทำความดีได้ เช่น มีมุทิตาจิตอย่างจริงใจ สักประเดี๋ยวเดียวก็จะมีความคิดชั่วแวบเข้ามา ชั่วมากด้วย?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ เหมือนอย่างกับมีคนหนึ่งดีคนหนึ่งชั่วอยู่ในใจของเรา กิเลสก็พยายามดึงเราไปในทางของเขา ส่วนกุศลกรรมก็พยายามดึงเรามาในทางดี ช่วงนี้ก็ต้องยื้อแย่งกันอยู่ จนกว่ากำลังของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเหนือกว่า ก็จะพาไปทางด้านนั้นเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน

ถาม : เป็นเพราะสมาธิเราไม่พอหรือคะ ?
ตอบ : ต้องเรียกว่าเผลอให้กิเลสโผล่มาได้ เพราะสติยังไม่พอ ที่สติยังไม่พอเพราะสมาธิยังน้อยไปหน่อย

เถรี
22-01-2016, 21:03
ถาม : แม่สบายดีหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : มาถามอะไรกับพระ ? แม่ตัวเองแท้ ๆ แต่มาถามกับพระว่าแม่สบายดีหรือเปล่า ? ประเภทไปไหนก็ถามแบบนี้ เดี๋ยวก็โดนเขาหลอกเข้าสักวัน

มีญาติโยมบางท่านโดนอาตมาดุไป แล้วมากราบขอขมาเมื่อไม่กี่วันก่อน บอกว่าเพิ่งจะเข้าใจว่าทำไมถึงดุ เพราะเขามาถามอาตมาตอนบ่าย ๒ ว่า "ฉันหรือยังครับ ?" เลยบอกว่า "มึงจะชวนพระคุยก็ใช้หัวแม่ตีนคิดเสียบ้างว่าตอนนี้เป็นเวลาอะไร...!"

อย่างรายนี้เหมือนกัน แม่ตัวเองแท้ ๆ ไม่รู้ว่าสบายดีไหม ? ถ้าลูกไม่รู้ว่าแม่สบายดีไหม ถ้าไปถามหมอดูเดี๋ยวก็ได้เรื่อง กลายเป็นกำลังมีเคราะห์อย่างโน้นอย่างนี้ ต้องสะเดาะเคราะห์ จ่ายเงินเท่าโน้นเท่านี้ หมดกันอีกเยอะ

เถรี
22-01-2016, 21:04
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่จะเป็นครูฝึกมโนมยิทธิ ต้องซ้อมแล้วซ้อมอีก ผิดแล้วผิดอีก ผิดจนรู้ว่าที่แท้เราผิดเพราะอะไร ไม่อย่างนั้นก็พาลูกศิษย์เข้าป่าเข้าดงไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร เป็นที่น่าเสียดายว่าแม้แต่ในวัด กฎเกณฑ์ก็ระบุไว้ชัดว่าจะบวชก็ต้องฝึกมโนมยิทธิให้ได้ก่อน แต่ไม่มีใครซักซ้อมจริงจัง พูดง่าย ๆ ว่า ถ้ามีใครเขาท้าพิสูจน์ก็ไม่สามารถที่จะพิสูจน์ให้เขาเห็นได้ ก็มีแต่จะพาหลักการหรือวิชาการเสื่อมลงไปทุกวัน"

เถรี
22-01-2016, 21:20
พระอาจารย์เล่าว่า "มีโขลงช้างป่าลงมาอาละวาดที่บ้านห้วยเขย่งอยู่เป็นอาทิตย์ แล้วก็แปลก...ชาวบ้านเขาตั้งใจทำบุญให้ช้างอยู่พอดี ช้างเหมือนกับรู้ล่วงหน้า เขาก็ลงมาก่อนเลย ทั้ง ๆ ที่คนก็จัดงานก็อยู่ในบ้านในเมือง ส่วนช้างอยู่ในป่าแต่ดันรู้ด้วย ก็วิ่งลงมารอเลย

หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ท่านบอกว่า ช้างทุกตัวมีผีหรือว่าเทวดาคุม ดังนั้น...เราว่าอะไรเขารู้หมด หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกแค่ว่าช้างพูดรู้เรื่องทุกตัว ท่านไม่ได้บอกรายละเอียดมากกว่านั้น แต่อาตมาธุดงค์ไปเจอ เขาพูดรู้เรื่องจริง ๆ อยู่ในป่าทางเดินหายาก ถ้าไม่เดินไปตามด่านสัตว์ ก็ต้องเดินไปในร่องห้วย เดิน ๆ อยู่เจอช้างหากินอยู่เต็มห้วย คราวนี้ก็รอไปสิ เพราะช้างกินทั้งวัน จะทำอย่างไรได้ เราเองก็ต้องไป

ท้ายสุดไม่รู้ว่าทำอย่างไรอาตมาก็หน้าด้านเดินไปหา “ช้างจ๋า...ขอทางหน่อยจ้ะ” พอได้ยินนี่ทุกตัวหยุดพรึ่บ หันมามองเป็นตาเดียว พอเห็นเป็นพระเขาก็เอาตัวเบียดข้างลำห้วย ทำตัวลีบเหมือนกับเปิดทางให้เดินผ่าน อาตมาก็เดินตะแคงข้างไป กะว่าถ้าเอ็งขยับข้าก็วิ่งเลย ปรากฏว่าเขารอจนเดินพ้นไปไกลแล้วค่อยหากินกันต่อ"

ถาม : แล้วหมาละคะ ?
ตอบ : เราพูดหมารู้เรื่องทุกตัวแหละ แต่หมาพูดมาเราไม่รู้เรื่องเอง

เถรี
22-01-2016, 21:33
ถาม : สัตว์ที่เราเลี้ยงได้เสียชีวิต เราทำบุญให้เขา ให้เขาโมทนาบุญ เขาไปเกิดที่อื่น เขาจะรับรู้ไหมคะ ?
ตอบ : เอาแค่ว่าเราอยู่ใกล้ก็พอแล้ว ถ้าใจเขาเกาะเรา อย่างไรก็ไปเกิดเป็นคน ไม่ต้องเอาอะไรมาก

เถรี
23-01-2016, 19:10
ถาม : คนเราควรนอนวันหนึ่งกี่ชั่วโมงคะ ?
ตอบ : เอาตามตำราหมอก็ ๘ ชั่วโมง

ถาม : นอนดึกกับนอนหัวค่ำต่างกันไหมคะ ?
ตอบ : ต่างกันเยอะมาก เพราะว่าพวกฮอร์โมนร่างกายต่าง ๆ ของเรา ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำงานช่วงดึก จะทำงานช่วงหัวค่ำเท่านั้น จึงต้องรีบพัก ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับไม่ได้พัก พอไม่ได้พักระบบร่างกายจะรวนหมด ถ้าใครนอนสักทุ่มหนึ่งได้ยิ่งดีเลย

ถาม : วันหนึ่งนอน ๔ ชั่วโมงก็พอได้ไหมคะ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าถ้าตามหมอบอกก็ต้อง ๖ - ๘ ชั่วโมง

ถาม : ถ้าตามตำราท่านละคะ ?
ตอบ : ถ้าตามอาตมาไม่ต้องนอนก็ได้ ให้ตายชักไปเลย...!

ถาม : ถ้าวันพรุ่งนี้เราไม่ได้มาร่วมพิธีสวดพระคาถาเงินล้าน โยมจะทำอย่างไรให้ตัวเองได้เหมือนกัน สวดที่บ้านได้ไหมคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วถ้าตั้งใจภาวนาด้วยความเลื่อมใส อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน

เถรี
23-01-2016, 19:13
:4672615:เก็บตกเดือนมกราคม ปี ๕๙ หมดแล้วค่ะ :4672615:

ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ