PDA

View Full Version : เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๘


เถรี
09-10-2015, 16:39
ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกทั้งหมดของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เราเคยถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ ระยะนี้นอกจากภัยธรรมชาติต่าง ๆ โดยเฉพาะน้ำท่วม เกิดขึ้นหลายแห่งทั้งในและนอกประเทศแล้ว สภาพเศรษฐกิจของบ้านเราก็ยังเริ่มฝืดเคืองขึ้น ถ้าท่านทั้งหลายมีการปฏิบัติภาวนาจนกำลังใจทรงตัว ก็จะไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งต่าง ๆ ภายนอกที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการประสบพบเหตุน้ำท่วมด้วยตนเองก็ดี หรือว่าสภาพความเป็นอยู่ที่ฝืดเคืองขึ้น ตามสถานการณ์ของประเทศชาติและโลกก็ดี

แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่สามารถที่จะทำกำลังใจให้ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้ ก็จะรู้สึกทุกข์ยาก กลัดกลุ้ม ขอให้ทุกท่านฉวยโอกาสนี้ ที่บางคนเห็นว่าเป็นวิกฤติ ทำให้เรามองเห็นชัด ๆ ว่า สภาพการเกิดมาในโลกมนุษย์ มีความทุกข์เช่นนี้เป็นปกติ ขึ้นชื่อว่าบุคคลที่เกิดมาแล้วไม่ทุกข์นั้นไม่มี ในเมื่อโลกเต็มไปด้วยความทุกข์ยากเช่นนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาในโลกอย่างนี้ สำหรับท่านทั้งหลายยังต้องการอยู่อีกหรือไม่ ?

ถ้าเราไม่ต้องการการเกิดมาพบกับความทุกข์ยากเร่าร้อนแบบนี้ ก็จำเป็นที่จะต้องมุ่งขวนขวายเพื่อความหลุดพ้นจากกองทุกข์ ซึ่งหลักธรรมที่จะนำเราพ้นจากกองทุกข์ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

เถรี
10-10-2015, 13:18
ดังนั้น ในการปฏิบัติทุกครั้งเราต้องทบทวนดูว่า ศีลทุกสิกขาบทของเราบริสุทธิ์บริบูรณ์หรือไม่ ? ท่านรักษาศีล ๕ รักษาได้ครบถ้วนสมบูรณ์หรือไม่ ? ท่านที่รักษาศีล ๘ รักษาได้ครบถ้วนสมบูรณ์หรือไม่ ? ถ้าท่านที่รักษาศีล ๑๐ หรือศีล ๒๒๗ นั้นยิ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะต้องรักษาสิกขาบทของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์

คำว่า "บริสุทธิ์บริบูรณ์" ในที่นี้ก็คือว่า เราไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล เมื่อมีความมั่นใจว่า ณ ที่นี้ เวลานี้ วินาทีนี้ เรามีศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์ ให้ทุกคนทำกำลังใจให้มีความเคารพมั่นคงในคุณพระรัตนตรัย คือมีความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างจริงใจ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

แล้วทบทวนดูว่าตัวเราก็ดี ตัวคนอื่นก็ดี สัตว์อื่นก็ดี มีใครที่ล่วงพ้นจากความตายได้บ้าง ? สรรพชีวิตทั้งหลายเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง แล้วก็สลายตายไปในที่สุด เรามีความตายเป็นของธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นจากความตายไปได้ แต่ถ้าตายไปแล้วเรามาเกิดใหม่ทุกข์ยากลำบากเช่นนี้ หรือว่าทุกข์ยากลำบากกว่านี้ ก็ขึ้นชื่อว่าเราเกิดมาแล้วขาดทุน เพราะฉะนั้น..การเกิดใหม่สำหรับเราจะไม่มีอีกแล้ว เพราะเราไม่ปรารถนาความเกิดที่เป็นทุกข์เช่นนี้อีก มีสถานที่เดียวที่ทำให้เราพ้นทุกข์อย่างแน่นอน คือพระนิพพาน

เถรี
11-10-2015, 18:09
ในเมื่อตัวเราจะต้องตายอย่างแน่นอน เราก็ต้องทบทวนศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ ตั้งใจว่าตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นก็กำหนดดู กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก พร้อมด้วยคำภาวนาของเรา ถ้าหากว่าเราเผลอสติไปคิดเรื่องอื่น หลุดไปจากคำภาวนา รู้ตัวเมื่อไรให้ดึงกลับเข้ามาที่ลมหายใจเข้าออกเสียใหม่ มาอยู่กับลมหายใจและคำภาวนาของเราใหม่

ต้องพยายามต่อสู้กันอยู่ในลักษณะอย่างนี้อยู่ระยะหนึ่ง จนกำลังใจของเราทรงตัวมั่นคงอยู่กับการภาวนา ต่อไปแค่เราคิดอารมณ์ใจก็ทรงตัว กิเลสหยาบต่าง ๆ กินใจของเราไม่ได้ แล้วตั้งใจว่า ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีความทุกข์เช่นนี้สำหรับเราไม่มีอีกแล้ว เราต้องการที่เดียวคือพระนิพพานเท่านั้น

หลังจากนั้นก็เอาใจของเราจดจ่ออยู่ที่พระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง ที่เรารักเราชอบมากที่สุด ว่านั่นคือองค์แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่บนพระนิพพาน ถ้าหากเราหมดอายุขัยตายลงไปเมื่อไร เราขอไปอยู่กับพระองค์ท่านที่พระนิพพานแห่งเดียวเท่านั้น ให้รักษาการภาวนา และการกำหนดนึกถึงภาพพระของเราเอาไว้เช่นนี้ จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)