PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๘


เถรี
05-10-2015, 19:11
พระอาจารย์กล่าวสอนว่า "การที่เรากระทบกระทั่งกับใคร ถือเป็นบทเรียนให้เรานำมาพัฒนาตนเอง เมื่อสองสามวันที่ผ่านมาก็มีโยมคนหนึ่ง ตั้งใจจะไปอยู่ปฏิบัติธรรมที่วัดท่าขนุน พอไปกระทบอารมณ์เข้าก็เปลี่ยนใจว่าไม่อยู่แล้ว วัดนี้เรื่องมาก ต้องบอกว่าเขาฉลาดน้อยไปหน่อย สถานที่ใดก็ตามที่ไม่มีแรงกระทบเลย เราไม่สามารถวัดตัวเราเองได้ว่า การปฏิบัติของเราไปถึงไหนแล้ว แต่ถ้าสถานที่ใดมีแรงกระทบอยู่ตลอดเวลา แล้วเรารู้จักนำมาพัฒนาตนเอง การปฏิบัติธรรมจะก้าวหน้าเร็วมาก เหมือนกับมีเครื่องวัดว่าตอนนี้กำลังใจของเราเป็นอย่างไร ? ขึ้นหรือลง ? เมื่อเรารู้จักนำมาพัฒนาตนเอง ก็จะได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

บางคนไปวัดหวังว่าจะได้อยู่ใกล้ชิดครูบาอาจารย์ เวลาท่านไปไหนจะได้แห่ตามไปด้วย ฝันไปเถอะ..! ถ้าคิดแบบนั้นแล้วกำลังใจต่ำมาก อย่าไปอยู่วัดเลย

อาตมาบวชอยู่วัดท่าซุง ๗ พรรษาเต็ม ๆ ขึ้นปีที่ ๘ ไม่เคยไปต่างประเทศกับหลวงพ่อวัดท่าซุงเลยสักครั้งเดียว แม้ว่าท่านจะชวนก็ปฏิเสธ ไม่ใช่เสียดายค่าเครื่องบินเท่านั้น แต่ถ้าไปกันหมดแล้วใครจะทำงานที่วัด ? แม้กระทั่งในประเทศซึ่งจัดเวรผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันตามไปรับใช้ท่าน อาตมาก็เคยไปครั้งเดียว ที่เหลือไม่ไป อยู่ทำงานที่วัดดีกว่า ถึงได้ว่าพอออกจากวัดมาแล้ว หลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ต้องหาพระไปแทนตั้ง ๕ รูป คราวนี้รู้หรือยังว่างานที่อมไว้เยอะขนาดไหน ? ถ้าเรายังไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่แล้วจะมีใครทำงาน ?

วันก่อนในงานของครูบาวิฑูรย์ถึงได้กล่าวว่า การที่จะทำงานถวายการรับใช้ครูบาอาจารย์ เราต้องมีความเสียสละ ไม่ใช่เอาแต่ไปเสนอหน้าอยู่ใกล้ ๆ ท่าน ถ้าอย่างนั้นงานไกลงานห่างใครจะทำ ?

ดังนั้น..การที่ญาติโยมบอกว่ามาทดลองอยู่แล้วไม่สามารถที่จะอยู่ได้ คงต้องไปอยู่ที่อื่น อาตมาไม่ได้เสียดายเลย แต่ถ้าเสียดายก็คือเสียดายว่า เขาไม่รู้จักใช้วิกฤตินั้นเป็นโอกาสในการพัฒนาตนเอง ถ้าอาตมาคิดอย่างเขา ชาตินี้พระอาจารย์เล็กไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้หรอก เพราะฉะนั้น..สู้ต่อไปไอ้มดแดง...!"

เถรี
05-10-2015, 19:14
"ใครทำอะไรไม่ดีกับเราให้จำเอาไว้เป็นบทเรียน ว่าเราจะไม่ทำอย่างนั้นกับคนอื่น ส่วนใครทำดีกับเราให้จดจำเอาไว้ มีโอกาสก็ทดแทนเขาไป ใหม่ ๆ จะทำใจยาก แต่ทำไปเถอะ ถึงเวลาแล้วจะดีกับตัวเราเองทั้งนั้น อาตมาถึงได้ใช้คำว่า "ใครวางก่อนสบายก่อน ใครอยากแบกก็ช่างหัวมัน" โอกาสดี ๆ มาถึงแท้ ๆ แต่กลับเห็นเป็นเรื่องไม่ดี

สถานที่จะดีแค่ไหนก็ตาม ครูบาอาจารย์จะดีแค่ไหนก็ตาม คนก็ยังเป็นคนอยู่วันยันค่ำ ขึ้นชื่อว่าคนแล้วย่อมมี รัก โลภ โกรธ หลง อยู่เต็มหัวเป็นปกติ อะไรพอทนได้ก็ทน อะไรพออภัยได้ก็อภัย ถ้าเหลืออดเหลือกลั้นจริง ๆ ก็พิจารณาต่อไปเลยว่า สภาพที่เราเจออย่างนี้ยังอยากได้อีกไหม ? ยังอยากเกิดอีกไหม ? ขนาดในแวดวงของผู้ปฏิบัติธรรมยังมีแต่ทุกข์แต่โทษขนาดนี้ แล้วด้านนอกจะไม่มีนั้นจะเป็นไปได้หรือ ?

อดีตแม่ชีชไมเคิลหลุดวงโคจรไปคนหนึ่งแล้ว ไม่รู้จักใช้วิกฤติให้เป็นโอกาสของตนเอง ซึ่งหลัก ๆ ก็ไม่มีอะไรหรอก ก็คือสักกายทิฐินั่นแหละ ...กูทำดีอยู่แล้ว ทำไมคนอื่นทำไม่ดีกับกู ?... ไปคิดอย่างนั้นก็บรรลัย ถ้าหากว่ากูดีจริง คนอื่นเขาก็ต้องดี

อะไรที่เป็นขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นระเบียบวินัยก็ทำไป เพราะอย่างไรเราก็ต้องปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นไม่มากก็น้อย มนุษย์เป็นสัตว์สังคม จะทิ้งสังคมเลยเป็นไปได้ยาก เพียงแต่ว่าการปฏิสัมพันธ์นั้น เราต้องพยายามรักษากำลังใจของเราเอาไว้ให้ดี"

เถรี
05-10-2015, 19:31
พระอาจารย์กล่าวถามโยมที่โดนรุมกระทืบมาว่า "ตกลงรอดสหบาทามาได้ใช่ไหม ? บริษัทนี้คนเยอะ เขาเรียกบริษัทสหบาทาไม่จำกัด (๒๐ คนครับ) แล้วไปตกอยู่ในเหตุการณ์ได้อย่างไร ? (เปิดประตูรถไปกระแทกถูกเขาพอดี)

คนเราสมัยนี้ต้องบอกว่าใจเร็วใจร้อน ไม่ค่อยมีการให้อภัยกัน บางอย่างก็เป็นเหตุสุดวิสัย แต่เขาตีความว่าเราเจตนาที่จะไปทำเขาก่อน ก็เลยกลายเป็นเรื่องเป็นราวกันขึ้นมา โดนรุมเหยียบรุมกระทืบกันขนาดนั้น ถ้าไม่มีของดีครูบาอาจารย์คุ้มครองอยู่ คงได้สิ้นชีวากันเป็นแน่

กำลังใจของคนเราแย่ไปเรื่อย ๆ ตามสถานการณ์ วันก่อนเขาส่งคลิปมาทางไลน์ ผัวเก่าขับรถชนผัวใหม่ แล้วลงไปกระทืบซ้ำ ไปกระทืบทั้ง ๆ ที่ศพเลือดนองบนถนน กำลังใจย่ำแย่ขึ้นทุกวัน ยังไม่ทันถึงช่วงปลายของพระศาสนาเลย เลยกลาง ๆ มาแค่ ๕๐ กว่าปียังแย่ขนาดนี้

คราวหน้าแขวนวัตถุมงคลหลาย ๆ วัดหน่อย หลวงพ่อหลาย ๆ องค์ท่านจะได้ช่วยกัน ไปแขวนอยู่วัดเดียว ตูเลยปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้...!"

เถรี
05-10-2015, 19:52
ถาม : เวลาร่างกายมีอาการเจ็บปวด ถ้ามีสมาธิหรือมีสติก็พอจะหยุดได้ แต่พอถอยออกมาแล้วก็โดนกระหน่ำ มีเทคนิคใดไหมคะนอกจากมีสติตลอดเวลา ?
ตอบ : ไม่มี...ธรรมชาติของร่างกายเป็นอย่างนั้นเอง คันก็เกา เอาให้ถลอกไปเลย ก็รู้อยู่ว่าถ้าถอยสมาธิออกมาแล้วจะเป็น แล้วไปถอยออกมาทำอะไร ?

เถรี
05-10-2015, 19:54
ถาม : คนที่เก่ง ฉลาด เป็นเพราะชาติที่แล้วภาวนา ?
ตอบ : สมาธิภาวนาทำให้ปัญญาเกิด ถ้าเก่งในยุคปัจจุบันมีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คืออดีตเคยภาวนามา อย่างที่สองก็คืออดีตเคยทำอย่างนั้นมาแล้ว พอมาทำใหม่จึงมีความคล่องตัวมากกว่าคนอื่นเขา

ถาม : พ่อแม่เขาเป็นหมอ เกิดมาฉลาดมากเลย แสดงว่าชาติที่แล้วพอจะมาทางนี้บ้าง แต่ชาตินี้ไม่ค่อยจะศรัทธาศาสนา แล้วทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ?
ตอบ : คนเราไม่ใช่ว่าจะดีทุกชาติ ถ้าดีทุกชาติป่านนี้ไปพระนิพพานกันหมดแล้ว ก็มีดีบ้างชั่วบ้างสลับกันไป ตอนนี้ผลในส่วนไม่ดีให้ผลอยู่ ผลในส่วนดีก็ถอยหลังก่อน เป็นเรื่องปกติ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ถ้ามีของเก่าแล้วไม่ได้ต่อ ชาติต่อไปหวังจะกลับมาก็ยาก เพราะส่วนใหญ่แล้วกิเลสไม่เปิดโอกาสให้เราหรอก มีแต่เราเปิดโอกาสให้กิเลสเป็นประจำ

เถรี
05-10-2015, 20:18
ถาม : ถ้าไม่ได้ป่วยแล้วหัวใจเต้นช้าลง เกี่ยวกับภาวนาไหมคะ ? ไปตรวจสุขภาพวัดการเต้นของหัวใจได้ ๔๙ ค่อย ๆ ลดลงทุกปี ?
ตอบ : ของอาตมานี่ถึง ๖๐ ก็เก่งมากแล้ว ไปตรวจสุขภาพประจำปี หัวใจเต้น ๕๒ ครั้งต่อนาที หมอบอกว่า “ถ้าไม่รู้ว่าท่านปฏิบัติสมาธิมา จะโด๊ปน้ำเกลือให้ ๒ ขวดแล้ว”

เถรี
05-10-2015, 20:47
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนไปปีนหอจ่ายน้ำประปาของวัดที่สร้างยังไม่เสร็จ ปีนขึ้นปีนลงเพื่อถ่ายรูป คราวนี้ยอดถังน้ำที่สูงอยู่แล้ว อาตมายังต้องขึ้นไปบนนั่งร้านที่สูงกว่าอีก เพื่อที่จะถ่ายรูปถังน้ำให้ได้ มองลงไปแล้ว "เออ...หวิว ๆ เหมือนกันว่ะ" ถามว่ากลัวตายไหม ? ไม่ใช่กลัวตาย แต่ทำไมความรู้สึกถึงเป็นอย่างนั้น เหมือนกับสัญชาตญาณระแวงภัย ถึงเวลาจะขึ้นจะลง ตอนนั้นจะระวังไปหมด เพราะเหลือแต่นั่งร้านเหล็กโด่เด่อยู่อันเดียว"

ถาม : เราหวิวเพราะเราไม่มั่นใจหรือเปล่า ?
ตอบ : ฝรั่งเขาทำวิจัยแล้วว่า ความสูง ๓๒ ฟุตขึ้นไป มนุษย์ทุกรูปทุกนามจะรู้สึกเสียวทุกคน บางคนกลัวชนิดที่ขยับไม่ได้เลย

ถาม : ที่วัดหนองหญ้าปล้องรู้สึกหวิวไหมคะ ?
ตอบ : ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าหลวงพ่อโนรีขึ้นไปถึงสั่นแหง็ก ๆ อยู่ข้างบน อาตมาถามว่าสั่นอะไรกันนักหนา ท่านบอกว่า “ตื่นเต้นครับอาจารย์” ท่านเองไม่เคยฝึกทหาร ไม่เคยลงจากที่สูง ไม่เคยโดดร่ม ท่านก็ลำบากหน่อย สั่นชนิดที่บังคับตัวเองไม่ได้เลย หลวงปู่นริศบอกว่า “ปล่อยอาจารย์เล็กไปคนเดียวเถอะ กูไม่ไปด้วยหรอก กูกลัวโว้ย”

ก็มีอย่างที่ไหน สลิงเส้นเดียวลากขึ้นไปสูงขนาดนั้น คือถ้าอาตมาไม่ขึ้นไปให้ดูเป็นตัวอย่าง คนอื่นเขาก็ไม่กล้าขึ้นกัน พวกช่างเขาไม่กล้าขึ้น แล้วเขาจะไปประกอบเศียรพระได้อย่างไร ? ก็ต้องขึ้นไปเป็นตัวอย่างให้เขาดู

ถาม : สมาธิที่ทำให้ตัดตัวนี้ได้ จริง ๆ ก็แค่ทำให้ไม่รับรู้ ไม่ใช่ตัดความกลัว ?
ตอบ : ใช่...ทำให้กล้ากว่าเขาหน่อยเท่านั้นเอง ก็แบบเดียวกับท่านโมเช่ ท่านโมเช่มีความสามารถสารพัด แต่กลัวมาก เป็นคนขี้กลัวลักษณะว่าปลอดภัยไว้ก่อน อย่างไปเจอฝูงควายกลางป่า แกเองจะวิ่งหนีท่าเดียว พอเห็นว่าอาตมาไม่หนีจริง ๆ แกตวาดทีเดียว ควายทั้งฝูงกลายเป็นตุ๊กตาไปเลย ยืนทื่อทำอะไรไม่ได้ทั้งฝูง ปล่อยให้พวกเราเดินผ่านไปแต่โดยดี ฝีมือขนาดนั้นแต่แกจะหนีท่าเดียว อะไรที่เสี่ยงแกไม่เอา แกเอาปลอดภัยไว้ก่อน เอะอะก็ “อาจาง..หนีก่อง” แต่อาจารย์ไม่ยอมหนี พออาจารย์ไม่หนี แกก็เลยต้องสู้ไปด้วย

เถรี
05-10-2015, 21:55
ถาม : ระหว่างบวชกับเป็นฆราวาส อย่างไหนจะละกิเลสได้ยากกว่ากัน ?
ตอบ : ยากพอกัน เพียงแต่ความเสี่ยงของพระมากกว่า ที่ใช้คำว่า "ยากพอกัน" เพราะว่าในชีวิตของความเป็นพระ ก็แค่เรามีความกังวลน้อยกว่า น่าจะละได้ง่ายกว่า แต่กำลังใจในการตัดละกิเลส สิ่งกระทบจะมีน้อยลงไปด้วย เพราะพระเราเป็นปูชนียบุคคล คนให้ความเคารพบูชามากกว่า ในเมื่อสิ่งกระทบมีน้อย โอกาสที่จะวัดอารมณ์ใจตนเองก็น้อยลงไปด้วย

ส่วนชีวิตฆราวาสเป็นทางคับแคบ การกระทบกระทั่งมีมาก ถ้าปล่อยไม่ได้ วางไม่ได้ ก็ยิ่งยึดยิ่งติดหนักขึ้น แต่ถ้าตั้งใจที่จะปล่อยปละละวางจริง ๆ เอาแรงกระทบต่าง ๆ นั้นมาเป็นเครื่องวัดกำลังใจตัวเอง การปฏิบัติของเราก็จะมีความก้าวหน้ามากขึ้น เพราะฉะนั้น..อยู่ที่เราตัดสินใจ แต่ชีวิตฆราวาสถ้าแต่งงานมีครอบครัวเมื่อไร เครื่องถ่วงจะมีมากมหาศาล เมื่อถึงเวลานั้นอย่าไปคิดเลยว่าจะหนีได้ คนที่ยังไม่มีภาระ ไม่มีครอบครัว มาปฏิบัติธรรมก็ยังพอไปได้สบายหน่อย

เถรี
06-10-2015, 07:00
ถาม : กระผมนั่งสมาธิโดยการภาวนาพระคาถาเงินล้านบ้าง โดยการเพ่งกสิณแสงสว่างด้วยลูกแก้วบ้าง การภาวนาพระคาถาเงินล้านไม่มีปัญหานัก ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ตามกำลังใจ แต่การเพ่งกสิณนั้น เมื่อจับภาพลูกแก้วได้ชัดเจน และภาวนากำหนดลมหายใจไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งลูกแก้วเริ่มขาวใส และสว่างขึ้นตามลำดับ แต่พอถึงจุดที่เกิดแสงสว่างวาบขึ้นมาจากดวงกสิณ กระผมจะหลุดจากสมาธิทันที และเป็นแบบนี้ทุกครั้ง อยากเรียนถามพระอาจารย์ว่าควรแก้ไขอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ทำใจให้ได้ว่า สว่างวาบอย่างไรก็ไม่ตายหรอก ที่เราหลุดจากสมาธิเพราะตกใจ ที่ตกใจเพราะกลัว ที่กลัวเพราะกลัวตาย..!

เถรี
06-10-2015, 07:05
ถาม : การนำรูปภาพจากอินเตอร์เน็ตที่เจ้าของเดิมใส่ลายเส้นไว้ มาตัดต่อและใส่ชื่อว่าเป็นของตัวเองลงไป หรือตัดต่อแล้วนำไปแสวงหาประโยชน์อื่น ๆ เป็นการกระทำที่ผิดศีลไหมครับ ?
ตอบ : ผิด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ รู้ว่าเขาหวงแล้วยังอุตส่าห์เอาของเขาไปหากินอีก

เถรี
06-10-2015, 07:08
ถาม : การตั้งพระที่หน้ารถเรา ควรตั้งหันหน้าเข้าหาเรา หรือควรตั้งหันออกไปทางหน้ารถดีคะ ? บางท่านบอกว่า ต้องให้องค์พระหันหน้าไปด้านหน้า ให้ท่านช่วยดูทาง และปัดเป่าภยันตรายแก่เราค่ะ ?
ตอบ : เอาที่คุณสบายใจเลย...!

เถรี
06-10-2015, 07:09
ถาม : "จิต" เกิดขึ้นมาจากอะไร เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ? หมายถึง จิตดวงแรกนะครับ ต้นกำเนิดหรือจุดเริ่มต้นของจิตมนุษย์และสรรพสิ่งเกิดมาจากอะไรครับ ?
ตอบ : พระพุทธเจ้ายังไม่ตอบเลย...ตูไม่ได้เก่งขนาดนั้น...!

เถรี
06-10-2015, 07:16
ถาม : เจ้าภาพประกาศชัดเจนว่า ตั้งใจนำเงินนี้มาสร้างห้องน้ำให้วัด แต่มีคนหนึ่งเข้าใจว่านำเงินมาสร้างเครื่องกรองน้ำให้วัด และก็ไม่ได้บอกเจ้าภาพว่านำเงินมาสร้างเครื่องกรองน้ำให้วัด เมื่อเงินนั้นถวายให้วัดไปแล้วผ่านไปหลายเดือน ภายหลังเมื่อเจอกันเขาสอบถามว่าเครื่องกรองน้ำของวัดเป็นอย่างไรบ้าง ? อยากทราบว่า เจ้าภาพจะมีโทษใดหรือไม่ครับ ? ถ้าไม่ทราบเลยว่าเงินที่เขาร่วมบุญมานั้นผิดวัตถุประสงค์
ตอบ : เขาเรียกว่าซวยแบบไม่รู้ตัว เงินทำบุญต้องทำตามเจตนาของเจ้าของเขา ไม่อย่างนั้นเขาปรับโทษเท่ากับย้ายเจดีย์ซึ่งเป็นสิ่งเคารพของคนหมู่มาก พวกไม่รู้ภาษามีเยอะ เพราะฉะนั้น..จะรับไปบอกบุญใครก็ระมัดระวังไว้นิดหนึ่ง ของอาตมาอยู่ ๆ โยมส่งซองมาเขียนว่า ร่วมหล่อพระพุทธรูปทองคำหน้าตัก ๕๐ ศอก บอกโคตรแม่มึงไปทำเองเถอะ...!

ถาม : และเมื่อรู้แล้วแจ้งกับเจ้าของเงินว่านำเงินมาสร้างห้องน้ำให้วัด ไม่ได้สร้างเครื่องกรองน้ำ ผู้ร่วมบุญเขาเข้าใจ อย่างนี้เจ้าภาพจะมีโทษใดหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าตกลงกันได้ก็จบ ถ้าเขาไม่ยินยอมก็ไปซื้อเครื่องกรองน้ำถวายให้เขาเสียดี ๆ

เถรี
06-10-2015, 07:17
ถาม : ขออนุญาตกราบเรียนถามเรื่องตะกรุดมหาระงับและธงมหาระงับครับ ว่าทั้ง ๒ อย่างนี้มีอานุภาพเด่นในทางด้านใดบ้างครับ ?
ตอบ : เด่นทางมหาระงับ...!

เถรี
06-10-2015, 07:18
ถาม : ท่านเจ้าที่ผู้ดูแลมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ท่านมีนามว่าอะไรครับ ? ผมจะทำสังฆทานอุทิศถวายท่าน เพื่อขอให้ท่านสงเคราะห์ให้ลูกชายได้เข้าศึกษาต่อที่นั่นครับ กราบขอพระอาจารย์ได้กรุณาชี้แนะด้วยครับ ?
ตอบ : ไปบน "พิงคเทพบุตร" ท่านไม่ได้ดูแลแต่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ท่านดูแลทั้งเมืองเลย

เถรี
06-10-2015, 07:21
ถาม : ที่พระอาจารย์เคยมากราบพระพุทธรูปสำคัญในจังหวัดเชียงใหม่เมื่อนานมาแล้ว อยากขอความเมตตาแนะนำพระพุทธรูปที่สำคัญ ๆ ในเมืองเชียงใหม่ครับ เพื่อจะได้ไปกราบนมัสการสักครั้งหนึ่งในชีวิต ?
ตอบ : พระพุทธรูปไม่มีองค์ไหนไม่สำคัญ เพราะฉะนั้น..ไปกราบให้หมดทั้งเมืองเชียงใหม่เลย...!

เถรี
06-10-2015, 07:22
ถาม : การที่ยังเป็นพระโสดาบันไม่ได้ เกิดจากพร่องในส่วนของสังโยชน์ ๒ ข้อแรก หรือพร่องในส่วนของศีลครับ ?
ตอบ : พร่องทั้งหมดนั่นแหละ..!

เถรี
06-10-2015, 07:23
ถาม : หลังจากหนูนั่งกรรมฐาน พอคลายกำลังใจออกมา ตามองเห็นอะไร ใจก็บอกว่าเป็นสมมุติ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของรอบตัว, ผู้คน หรือแม้กระทั่งร่างกายของตัวเอง เหมือนมีคำว่าสมมุติลอยอยู่รอบตัวเต็มไปหมดเลยค่ะ พอพิจารณาเห็นว่าทุกอย่างเป็นสมมุติ หนูเลยรู้สึกว่าการงานที่ทำอยู่ทุกอย่างก็เป็นการสมมุติทั้งสิ้น ทำให้ตอนทำงาน กำลังใจจะรู้สึกว่า "สักแต่ว่าทำหน้าที่ของตนให้เสร็จ ๆ ไปในแต่ละวัน" แต่หนูก็ตั้งใจทำให้ดีที่สุดในทุก ๆ เรื่องนะคะ อยากขอเมตตาช่วยชี้แนะว่า สิ่งที่หนูพิจารณาอยู่นั้นถูกต้องหรือไม่ ? และควรพิจารณาต่อจากนี้อย่างไรคะ ?
ตอบ : ถ้ารู้ว่าเป็นสมมุติแล้วไม่ไปยึด จิตใจปลดออก พร้อมที่จะละสมมุตินั้นไปทุกเวลา ก็เป็นอันว่าใช่

เถรี
06-10-2015, 07:36
มีพุทธาภิเษกที่วัดท่าซุงครั้งหนึ่ง ปกติเวลา “พระ” ท่านสงเคราะห์ จะเหมือนกับเป็น “ม่านแก้ว” บาง ๆ ลงมาอย่างกับฝนตกอย่างนั้น คราวนี้มีอยู่ครั้งหนึ่งที่วัดท่าซุง พอหลับตาลงปั๊บ รู้สึกเหมือนจะหงายหลัง เพราะว่า “กระแสมาแรงมาก” เป็นพายุเลย อาตมาก็แปลกใจมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมวันนี้แรงผิดปกติขนาดนี้ ?

ตอนนั้นหลวงพ่อ (ฤๅษีลิงดำ) ท่านพุทธาภิเษก “สมเด็จหางหมาก” ปรากฏว่า พอมาอีกสักครู่หนึ่งก็สว่างขึ้น ๆ ๆ สว่างจนบอกไม่ถูกนะ ว่าสว่างกันขนาดไหน แล้วอยู่ ๆ ไฟฟ้าก็ดับพรึ่บไปพร้อม ๆ กัน เล่นเอาพวกเจ้าหน้าที่ดูแลเครื่องไฟวิ่งกันตับแล่บเลย ปกติงานอย่างนี้ไม่เคยเสีย อยู่ดี ๆ ก็ดับพร้อม ๆ กัน แล้วไม่ทราบเหมือนกันว่าเบรกเกอร์ตัดอีท่าไหน อยู่ ๆ ก็ดีดมาเฉย ๆ เหมือนอย่างกับว่ามีไฟช็อต กำลังไฟเกินแล้วก็ดับอย่างนั้น ก็แค่ยกกลับขึ้นไปไฟก็ติดตามเดิม

พอพุทธาภิเษกเสร็จ หลวงพ่อท่านก็บอกว่า… วันนี้ “พระ” ท่านทำสมเด็จหางหมากรุ่นนี้ให้เป็น “พิเศษ” เพื่อกันพวก “รังสีนิวเคลียร์” ภายในรัศมี ๔ เมตร นิวเคลียร์เข้าไม่ได้ ใครมีพระรุ่นนั้นก็สบายเลย อาตมาก็ไม่นึก เพราะว่ากระแสไม่เคยมา “แรง” ขนาดนั้น

เรื่องของ “พระ” หรือ “เทวดา” พุทธาภิเษกแต่ละครั้ง ถ้าท่านเคยสงเคราะห์เท่าไร ครั้งต่อไปจะไม่ต่ำกว่านั้น มีแต่ว่าถ้าท่าน “เพิ่มอะไรให้เป็นพิเศษ” ท่านก็จะบอกให้

เล่าโดย หลวงพี่เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนสิงหาคม ๒๕๔๕
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

............................................................

ถาม : จากข้อความด้านบน ขอกราบเรียนถามว่า เป็นพระหางหมากรุ่นไหนครับ ?
ตอบ : ให้ค้นต่ออีกนิดก็ได้คำตอบแล้ว อย่าโง่นัก..!

เถรี
06-10-2015, 07:41
ถาม : กระผมอยากจะทราบวิธีฝึกกสิณที่ถูกต้องครับ พอดีผมลองฝึกโดยการเพ่งเปลวไฟที่จุดจากเทียน พอลองเพ่งดูสักพักก็เป็นภาพติดตา ลองมองไปข้าง ๆ รอบบริเวณก็จะเห็นภาพไฟติดตาไปด้วย ลองหลับตาก็เห็นเป็นแสงตกค้างของไฟ ทีนี้เวลาผมเพ่งโดยการหลับตาและใช้วิธีเพ่งภาพตกค้างที่ได้ แต่ภาพที่ติดตานั้นมักจะเลื่อนไปตามสายตาด้วย กลอกตาไปทางไหนก็เลื่อนไปด้วย แต่เหมือนกับว่าอยู่เหนือระดับสายตาไปนิดหน่อย ก็เลยพยายามเพ่งมองให้ได้แบบตรง ๆ เช่น เลื่อนขึ้นข้างบน ผมก็ตามมองไปเรื่อย ๆ ภาพก็เลื่อนขึ้นเรื่อย ๆ ผมมองจนตาเหล่ขึ้นข้างบนก็ไม่ยอมหยุด มองตามจนปวดตา ปวดหัว ผมก็เลยคิดว่าผมน่าจะฝึกผิดวิธี เลยอยากจะทราบวิธีการฝึกกสิณที่ถูกต้องครับว่าควรทำอย่างไร ?
ตอบ : ยังอุตส่าห์รู้ตัวว่าผิด การฝึกกสิณทุกกองให้ลืมตามองภาพ หลับตาลงนึกถึง จะนึกภาพนั้นได้ครู่หนึ่งแล้วหายไป ก็ให้ลืมตามองแล้วหลับตาลงนึกถึงใหม่ จนกว่าภาพนั้นจะชัดเจน ทั้งลืมตาและหลับตาเห็นเหมือนกัน แล้วรักษาประคับประคองภาพนั้นไว้ไปเรื่อย ๆ ภาพนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปตามระดับสมาธิของเราเอง ไม่ใช่ไปนั่งเพ่ง

เถรี
06-10-2015, 07:42
ถาม : ของที่เรานำมากราบไหว้บูชาพระพุทธรูปที่บ้านของเราแล้ว เราสามารถนำอาหาร ขนม ผลไม้เหล่านั้นไปถวายพระภิกษุสงฆ์โดยการใส่บาตรหรือถวายภัตตาหารที่วัดได้หรือไม่คะ ? จะเป็นการสมควรหรือไม่คะ ? จะถือเป็นการถวายของเดิมซ้ำหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถวายได้ เป็นการสมควร ถวายซ้ำก็ได้บุญซ้ำอีกรอบหนึ่ง

เถรี
06-10-2015, 07:44
ถาม : กราบนมัสการหลวงพ่อ ขอทราบประวัติครูบาศรีวิชัย ในแบบฉบับของพระอาจารย์ครับ ?
ตอบ : เกิด โต บวช แก่ ตาย จบ

เถรี
06-10-2015, 07:48
ถาม : เวลาเราเดินทางไปต่างจังหวัด กระผมจะเลือกพกและอาราธนาวัตถุมงคลที่มีอานุภาพทางด้านป้องกันเป็นพิเศษ เช่น มีดหมอเพชราวุธหรือตะกรุดมหาสะท้อน กระผมเกรงว่าการอาราธนาวัตถุมงคลของเราจะเป็นการรบกวนเทวดา หรือท่านทั้งหลายที่ประจำอยู่ในสถานที่ซึ่งกระผมเดินทางผ่านหรือไป ซึ่งรวมถึงดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายในที่นั้น ๆ ด้วย กระผมกราบขอเมตตาพระอาจารย์ ชี้แนะวิธีการอาราธนาวัตถุมงคลให้ไม่เป็นทุกข์โทษเวรภัยกับท่านทั้งหลายด้วยครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องอาราธนา เอาไปถวายพระอาจารย์ซะ..!

ถาม : อย่างนี้พกไปอาราธนาไปเป็นทุกข์เป็นโทษไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเราไม่คิดไปรังแกใครก็ไม่เป็นหรอก

เถรี
06-10-2015, 07:48
ถาม : การถวายปัจจัยเข้าร่วมงานบุญ แต่ไม่มีเวลาและโอกาสในการไปร่วมงานบุญนั้น ๆ กรณีเช่นนี้มีอานิสงส์เป็นอย่างไร ?
ตอบ : คิดจะทำบุญ แค่คิดก็ได้บุญแล้ว

ถาม : แล้วการไปเองกับฝากไปนี่มีผลต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : ไปด้วยตัวเอง ถ้าเหนื่อย อารมณ์เสีย บุญจะน้อยกว่าฝากเขาไป

เถรี
06-10-2015, 11:54
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนมีโยมคนหนึ่งมากราบขอบพระคุณ พร้อมกับเล่าให้ฟังว่า ขับรถไปพอจอดแล้วเปิดประตู บังเอิญไปกระแทกถูกเจ้าถิ่นก็เลยโดนรุมกระทืบ ก็ไม่มากไม่มายแค่ ๒๐ ตีนเท่านั้น...! แสดงว่าเป็นคนสติดีมาก ขนาดโดนกระทืบยังนับตีนของเขาได้ เจ้าถิ่นทิ้งให้กองอยู่ตรงนั้น พอลุกขึ้นมาได้ สำรวจตัวเองไม่เป็นอะไรเลย มีแต่รอยถลอกนิดหน่อย มาเล่าให้อาตมาฟังว่า ทั้งเนื้อทั้งตัวพกตะกรุดมหาสะท้อนรุ่น ๕ อยู่ดอกเดียว ก็เลยมาถามว่าที่นี่ยังมีอีกหรือไม่ ? จะขอบูชาไปให้ญาติพี่น้องบ้าง ปรากฏว่าในตู้เหลือแต่พระกริ่งปลดหนี้ ๒ แผ่นดินเนื้อเงิน ซึ่งใส่ตะกรุดมหาสะท้อนลงไป ๓๐ ดอก คาดว่าต่อไปอาจจะถึง ๑๒๐ ตีนเป็นอย่างน้อย ขนาดพกดอกเดียวยังโดนไป ๒๐ ตีนเลย...!

ส่วนป้านุชส่งข้อความส่วนตัวมารายงานว่า เมื่อวานซืนออกจากที่นี่ไป ด้วยความที่ทำงานหนัก จึงหลับในไม่รู้ตัว ขับรถไปชนรถคันหน้าที่ติดไฟแดงเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ลงไปดูแล้วรถไม่มีแม้แต่รอยข่วนทั้งของเขาและของเรา ก็เลยต่างคนต่างไปแบบงง ๆ บอกว่าขอบพระคุณหลวงพ่อที่ช่วยคุ้มครอง อาตมาตอบไปว่า ที่คุ้มครองดูท่าว่าไม่ใช่อาตมาแน่ เพราะนั่งรับสังฆทานอยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้น..ไปขอบคุณให้ถูกที่แล้วกัน

เขาใช้คำว่า "เอารถมาเจิมที่นี่" เกิดเหตุอย่างนี้ ๒ ครั้งแล้วคือขับชนคนอื่น รถไม่เป็นอะไรทั้งของตัวเองและอีกฝ่ายหนึ่ง แต่พอคนอื่นขับมาชนกลับบุบไปทั้งแถบเลย ฉะนั้น..ต่อไปให้มีหน้าที่ชนคนอื่น แสดงว่าฝีมือดี ชนเขาแล้วไม่เป็นอะไร คาดว่าอาตมาคงเจิมรถให้เขาได้อีกไม่เกิน ๓-๔ คัน เพราะว่าแผ่นทองที่เข้าพิธีไว้และใช้เจิมมาเรื่อย ๆ บัดนี้จะหมดแล้ว ถ้าหมดเมื่อไรก็เลิกเจิม"

เถรี
06-10-2015, 12:45
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนนี้มีงานใหญ่ของวัดท่าขนุนอยู่ ๒ งาน คือ งานบวงสรวงไหว้ครูและเป่ายันต์เกราะเพชร วันที่ ๑๗ ตุลาคม พิธีบวงสรวงเริ่ม ๐๗.๓๐ น. เป่ายันต์รอบแรก ๑๐ โมง รอบสองบ่ายโมง ยังอยู่ในช่วงกินเจหรือเปล่า ? ถ้าอยู่ในช่วงกินเจคงต้องให้โรงทานออกอาหารเจสักโรง แต่กลัวว่าจะหมดก่อนเพื่อน

ส่วนวันที่ ๒๘ ตุลาคม ช่วงเช้าเป็นงานตักบาตรเทโวฯ แล้วก็ทอดกฐินในช่วงบ่าย พระท่านสั่งให้เข้ากรรมฐานก่อนรับกฐิน ๓ วันเพื่อสงเคราะห์โยม ก็คาดว่าต้องเข้าวันที่ ๒๕-๒๖-๒๗ ตุลาคม แล้วไปออกเช้ามืดของวันที่ ๒๘ ตุลาคม ปกติเขาทำบุญกับพระออกกรรมฐานทั่ว ๆ ไป แต่ของเรานี่ถวายกฐินกับพระออกกรรมฐาน..!

เกรงอยู่อย่างเดียวว่าจะมีแรงเดินรับบาตรหรือเปล่า ? เพราะว่าตักบาตรเทโวฯ เริ่มประมาณ ๐๘.๓๐ น. กว่าจะเลิกก็ราว ๑๐.๓๐ น. ส่วนเรื่องกฐินตอนบ่ายไม่ต้องกังวล เพราะว่าอาตมานั่งเฉย ๆ อายุมาก กายสังขารเสื่อมโทรม ยังไม่รู้ว่าจะรับบาตรไหวไหม ? แต่ถ้าหากว่าพระท่านสั่งก็ต้องทำ อาตมาจะเป็นลมขายหน้าชาวบ้านก็ช่างเถอะ เพราะว่าตอนปกติร่างกายดี ๆ ไม่ได้เข้ากรรมฐาน กว่าจะรับบิณฑบาตเสร็จยังแทบจะเป็นลม

อาตมาเข้ากรรมฐานไม่เหมือนกับชาวบ้านเขาหรอก พอสมาธิทรงตัว รักษาระดับได้ก็ทำงานไปเรื่อยเปื่อย เพียงแต่จำกัดเขตไม่ได้โผล่หน้ามาให้ชาวบ้านเห็นเท่านั้น"

เถรี
06-10-2015, 20:53
"โชคดีที่อาตมาเกิดมาไตรกลีเซอไรด์สูงโดยกรรมพันธุ์ หมอตรวจแล้วบอกว่าไม่มีอะไรดีเลยครับ นอกจากอดข้าวได้นานกว่าคนอื่นเขา ก็คงเอามาใช้ตอนเข้ากรรมฐานนี่แหละ ที่บ้านของอาตมาไตรกลีเซอไรด์เกิน ๒๐๐ ทุกคน เป็นกรรมพันธุ์ คาดว่ารุ่นปู่ย่าตาทวดอดอยากลำบากอยู่ที่ประเทศจีนมาหลายชั่วอายุคน ก็เลยพัฒนาจนกระทั่งดีเอ็นเอสั่งให้ตุนอาหารไว้ในเลือดโดยอัตโนมัติ

โยมพ่อเล่าให้ฟังว่า คุณย่าเอาขี้เถ้ายัดปากลูกไป ๓ คน เกิดมาแล้วเลี้ยงไม่ไหว แล้วคุณย่าเป็นคนเดียวที่ตายแบบไม่สงบ คุณตานอนหลับตายไปเฉย ๆ คุณยายนอนหลับตายไปเฉย ๆ คุณพ่อนอนหลับตายไปเฉย ๆ คุณแม่นอนหลับตายไปเฉย ๆ แต่คุณย่าก่อนตายประมาณ ๔-๕ วัน แกถือไม้เท้าอยู่ ใครเข้าใกล้โดนฟาดกระจายเลย..!

เราควรจะเข้าใจว่าคนจีนสมัยเก่า ๆ โดยเฉพาะพวกที่เป็นต่างด้าว เข้าเมืองไทยมาแบบเสื่อผืนหมอนใบ มักจะบรรลุวิทยายุทธ์ระดับใดระดับหนึ่งเสมอ อาตมาเองเข้าไปเรียกให้ท่านกินข้าว ก็โดนตีกลิ้งไปเหมือนกัน เพราะท่านเห็นว่าจะมีคนมาเอาชีวิต ก็แปลว่าคุณย่าตายไม่ดีอยู่คนเดียว

ส่วนคุณปู่โดนลูกปืนตาย..! ท่านเป็นผู้ที่มีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับของคนส่วนมาก รับอาสาไปไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้เขา แต่ปรากฏว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอม รู้ว่าคุณปู่ฝึกวิทยายุทธ์มา สู้ไม่ได้แน่ จึงให้มือปืนซุ่มอยู่ชั้นบนของเหลา โดนยิงกลิ้งตั้งแต่ก่อนจะเข้าเหลาไป ฉะนั้น..พวกที่ฝึกวิทยายุทธ์รุ่นเก่า ๆ มักจะดูถูกคนรุ่นใหม่ว่าไม่มีความพากเพียร ไม่มีฝีมือที่แท้จริง อาศัยแต่อาวุธสมัยใหม่

อาตมาเองเกิดทันคนรุ่นนี้ เห็นอยู่หลายคน อย่างอาเจ็กข้างบ้านจะมีกล้องยาสูบ ทำจากเหง้าไม้ไผ่ ยาวประมาณศอกหนึ่ง เหน็บเอวอยู่เสมอ ภาษาจีนเขาเรียกว่า "กล้องยาแดง" สูบยาอยู่ทุกวัน มีพวกบรรดาจิ๊กโก๋เกเรไปรุมทำร้ายแก ๓-๔ คน ไม่เคยทำอะไรแกได้ ถืออาวุธอะไรไปโดนแกตีร่วงหมด ใช้แค่กล้องยาสูบอันเดียว หวดทีไรโดนข้อมือทุกที"

เถรี
07-10-2015, 07:08
"โยมพ่อก็สอนให้อาตมาไปไล่จิ้มต้นกล้วย บอกว่าพอนิ้วแทงต้นกล้วยเข้าแล้วก็มาเปลี่ยนเป็นกะลา ทิ่มกะลาทะลุเมื่อไรแล้วค่อยมาเรียนต่อ อาตมาก็ฝึกหัดด้วยความพากเพียรอยู่ระยะหนึ่ง แต่โยมพ่อตายเสียก่อนก็เลยไม่สามารถจะฝึกให้สำเร็จได้ แต่ทุกวันนี้ถ้าโยมรู้จักสังเกตจะเห็นว่า นิ้วชี้กับนิ้วกลางของอาตมาไม่เหมือนกับชาวบ้านเขา ไม่สั้นยาวเหมือนนิ้วคนอื่น แต่จะเท่ากัน..!

แล้วก็มีเฮียลิ้มจือ เฮียลิ้มจือไม่เก่งวิทยายุทธ์แต่เจ๊เหลียนเมียแกเก่งมาก ฝึกวิชาฝ่ามือทรายเหล็ก ถึงเวลาต้องคั่วทรายร้อน ๆ ด้วยมือ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามือเจ๊เหลียนแกแข็งขนาดไหน แต่แกตบกระดานแตกได้..! แล้วคนที่โดนตบประจำก็เฮียลิ้มจือนั่นแหละ บางวันเสียงดังโครม ปลิวทะลุข้างฝาออกมาพร้อมกับกระดาน ๓-๔ แผ่น..!

วันหนึ่งก็เห็นเจ๊เหลียนแกร้องไห้ร้องห่ม ต้มน้ำร้อนลวกมือตัวเอง เอามีดทื่อ ๆ ขูดหนังล่อนออกมาเป็นแผ่น ๆ เลย ถามว่าทำไม แกบอกว่า “เลิกแล้ว ไม่ฝึกอีกแล้ว” ก็คือมีเพื่อนบ้านมาปรึกษาว่าโดนผัวตี ทำร้ายร่างกายอยู่เรื่อย จะทำอย่างไรดี เจ๊เหลียนแกก็สอนวิธีให้ “ลื้อต้องใช้ ๓ นิ้วนี่นะ จิ้มไปตรงจุดนี้ ๆ แล้วผัวลื้อจะยืนแข็งทื่อ ทำอะไรไม่ได้ ” อาตมาบอกไม่ได้นะ..เพราะถึงตาย ปรากฏว่าเขาไป “เลียะ” ผัวตายเลย..! เพราะด้วยความสงสารผัว กลัวว่าถ้าใช้ ๓ นิ้วผัวจะอาการหนัก เลยใช้นิ้วเดียว...ตายเลย..!

ที่เจ๊เหลียนให้ใช้ ๓ นิ้ว เพราะว่านิ้วกลางจะยื่นมานิดเดียว ถึงเวลาจิ้มถูกจุด นิ้วชี้กับนิ้วนางจะช่วยค้ำไว้ อาการจะไม่หนัก แกดันไปสงสารผัว จิ้มนิ้วเดียว ต้องบอกว่าคนเราถึงที่ตายจริง ๆ แกก็เลยโทษว่าไปทำให้คนอื่นตายเลยเลิกฝึก ต้มน้ำร้อนเอามือแช่ แล้วก็ใช้มีดขูด ๆ จนมือที่ด้านเหมือนสากกะเบือลอกเป็นแผ่น ๆ เลย เวลาที่แกอัดเฮียลิ้มจือ แกรู้ว่าหนักเบาแค่ไหน ประเภทกระเด็นทะลุข้างฝาไปคือส่วนหนาของร่างกายไปกระทบ คนอื่นอาจจะเห็นว่าน่ากลัว แต่แกรู้ว่าควรจะยั้งไว้เท่าไร แต่คนอื่นไม่รู้"

เถรี
07-10-2015, 10:33
"เรื่องของวิทยายุทธ์แบบจีนก็ดี มวยแบบไทยก็ดี ท้ายสุดก็ต้องมาฝึกจิต ฝึกสมาธิกันทั้งนั้น การฝึกจิตของจีนเขาเรียกว่า วิธีเดินลมปราณ ส่วนของไทยเป็นการตั้งธาตุ ปลุกธาตุ ใช้คาถาอาคมเข้าช่วย ซึ่งต้องฝึกสมาธิภาวนาทั้งนั้น เพียงแต่ว่าแต่ละคนเรียกกันไปคนละอย่าง

อาตมาฝึกเดินลมปราณแบบจีนอยู่ ๓ ปี พอมาฝึกกรรมฐานแล้วมีปัญหาใหญ่มาก เพราะการเดินลมปราณ ก็คือไล่ให้ลมปราณวิ่งไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย แต่การฝึกกรรมฐานคือหยุดใจอยู่เฉพาะที่ ด้วยความที่เคยบังคับให้วิ่งทั่วร่างกายแล้ว ต้องมาหยุดเฉพาะที่ก็เป็นอะไรที่สาหัสมาก กว่าจะหยุดได้ แต่พอมาฝึกมโนมยิทธิแล้ว เพิ่งจะรู้ว่าการเดินลมปราณของจีนก็คือมโนมยิทธินั่นเอง เพียงแต่เป็นการเคลื่อนจิตภายในกายตัวเอง ขณะที่มโนมยิทธิเคลื่อนจิตไปข้างนอก ต่างกันแค่นั้นแหละ นอกนั้นเหมือนกันทุกอย่างเลย

ฉะนั้น..ใครที่ฝึกมโนมยิทธิได้ ไปศึกษาวิธีเดินลมปราณแบบจีน จะเอาแบบไหนก็ได้ ตำราเดี๋ยวนี้มีมาก จะสามารถทำได้ง่ายกว่าคนอื่นเขา การเดินลมปราณช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เจ็บไข้ได้ป่วยน้อย แต่ก็อย่างว่า..ไม่ได้ช่วยให้ไม่ตาย ท้ายสุดวาระมาถึงก็ตาย

เสียดายอยู่อย่างว่าคนรุ่นเก่าล่วงลับไป คนรุ่นใหม่ไม่มีความพากเพียรอดทนพอ แม้กระทั่งมวยไทย สมัยอยู่วัดท่าซุงก็มีบรรดานักเรียนโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระมาขอให้สอน พวกเด็กนักเรียนผู้ชายมัธยมก็รู้อยู่ว่ากำลังห้าว มาถึงก็จะให้เข้าท่ามวยเลย อาตมาบอกว่าไม่ได้ ต้องฝึกจากพื้นฐานก่อน วันแรกมา ๔ คน วันที่สองมา ๒๐ กว่าคน วันที่สามมา ๓๐ กว่าคน วันที่สี่หายหัวหมด ไม่มีความอดทนพอ

แต่รายแรกที่มาบอกว่า ต้องขึ้นชกมวยในงานวัดที่อำเภอลานสัก คู่ต่อสู้เป็นมวยมาจากกรุงเทพฯ เคยขึ้นเวทีมาก่อนแล้ว ถามว่าแล้วมึงเสือกไปชกกับเขาทำไม ? เขาบอกว่าเพื่อนยุ เลยเผลอรับปากไป"

เถรี
07-10-2015, 10:53
"เขาถามว่า คู่ต่อสู้รัดเอว ตีเข่าเก่งมาก จะแก้ไขอย่างไร ? อาตมาบอกไปว่า ทำไมต้องไปกลัวนักมวยกอดเอวตีเข่า คนรัดเอวเรา กำปั้น ๒ ข้าง ศอก ๒ ข้างก็ใช้งานไม่ได้อยู่แล้ว กลายเป็นลดอาวุธของตัวเอง ก็เอาศอกจามหน้ามันเข้าไปสิ เขาบอกว่าแล้วถ้าจามหน้าแล้วยังดิ้นไม่หลุดล่ะ ? รอบคอบดีเหมือนกัน ก็เลยบอกว่าถ้าเมตตาก็อย่าให้หนักนัก ถ้าไม่เมตตาก็เอาให้แขนหักไปเลย

ให้ใช้ศอกแนบกับซี่โครงตัวเองแล้วรูดตัวกระแทกลงไป สถานเบาแขนจะหมดแรงใช้งานไม่ได้ ถ้าสถานหนักก็หักไปเลย เลือกเอาเอง จุดระหว่างกล้ามเนื้อแขนก่อนถึงข้อศอกสักสามนิ้ว ลองบิดตัวเองดูแขนจะหมดแรงเลย เพราะเป็นช่วงว่างระหว่างกล้ามเนื้อพอดี พวกเราถ้าไม่ได้ศึกษาจุดเส้นมา คลำไม่ค่อยถูกหรอก"

เถรี
07-10-2015, 10:59
ถาม : สำเร็จจนเป็นเซียนนี่ได้อภิญญาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เซียนทุกคนได้อภิญญา แต่บุคคลที่ได้อภิญญาทุกคนไม่ใช่เซียน ฟังเข้าใจไหม ? ที่ว่าเซียนทุกคนได้อภิญญา ก็คือ อภิญญาลาภีบุคคล จะเป็นฌานโลกีย์ก็ดี โลกุตรฌานก็ดี คนจีนเรียกว่าเซียนทั้งนั้น แต่ว่าเซียนในความหมายที่แท้จริงก็คือผู้ที่บรรลุแล้ว ซึ่งในความหมายของเราก็คือบรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้า ถึงได้กล่าวเซียนทุกคนได้อภิญญา แต่ผู้ได้อภิญญาไม่แน่ว่าจะเป็นเซียน

เถรี
07-10-2015, 11:01
พระอาจารย์กล่าวว่า "วิชาการของพวกเราส่วนใหญ่ถดถอยเพราะความอดทนไม่พอ ไม่มีความพากเพียร ไม่มีความอดทน แม้แต่การฝึกกรรมฐานก็ขาดวิริยบารมี ขาดขันติบารมี ก็ไปไม่รอด ดังนั้น..ต้อง "อดทนหนอ พากเพียรหนอ""

เถรี
07-10-2015, 11:52
ถาม : ตอนที่หลวงพ่อวัดท่าซุงกลับมาจากอเมริกาแล้วบอกว่า ถ้าเกิดสงครามฝรั่งเศสเมื่อไร ก็ให้กลับมาเมืองไทย แล้วฝรั่งเศสก็ไปทิ้งระเบิดไอซิสเมื่อวันสองวันนี้ ผมก็คิดว่าควรจะกลับมาเดือนไหนวันไหนดีครับ ?
ตอบ : ตัดสินใจเอาเอง คนเราถ้าถึงที่ อยู่ที่ไหนก็ตาย อันนี้อาตมาเห็นศพมากับตา เพราะว่าทางบ้านสมัยก่อนมีอาเจ็กอยู่คนหนึ่งดูโหงวเฮ้งเก่งมาก ๆ ถือเป็นอาจารย์คนแรก ๆ ของอาตมาเลย แกดูเก่งถึงขนาดที่ว่าบุคคลนี้ วันนี้ เวลานี้จะตาย แล้วก็ไปเตือนอาเจ็กอีกท่านหนึ่งบอกว่าลื้อจะตายพรุ่งนี้ เวลาเท่านี้ ๆ ก็คือก่อนเพลหน่อยหนึ่ง

อาเจ็กท่านนั้นเชื่อก็จริง แต่แกก็สู้ แกบอกว่าถ้าอั๊วไม่ออกจากบ้านให้รู้ไปว่าจะตาย พอใกล้ถึงเวลาที่เขากำหนดไว้แกก็เข้ามุ้งนอนเลย ให้รู้ไปว่านอนเฉย ๆ แล้วกูจะตาย ปรากฏว่าตำราเขาแม่นหรือกรรมแกแรงก็ไม่รู้ แม่ไก่ออกไข่ พอไข่เสร็จก็กระโดดขึ้นไปบนขื่อ ไปกระต๊ากเพื่อประกาศว่ากูไข่แล้ว เรื่องพวกนี้เป็นธรรมชาติของไก่ เขาจะประกาศให้พรรคพวกรู้ว่าตัวเองไข่แล้ว หลังจากนั้นไม่นานถ้าพาลูกไป พรรคพวกจะได้รับรู้ว่านี่คือลูกของเขา คราวนี้รู้แล้วหรือยังว่าทำไมไก่ไข่แล้วต้องประกาศด้วย ? ถึงเวลาจะได้พาลูกไปเข้าหมู่เข้าพวกได้

ปรากฏว่าอาเจ็กคนนี้แกเอาหลาวพาดไว้บนขื่อ ไก่ก็เจ้ากรรม กระโดดขึ้นไปเหยียบปลายหลาวพอดี พอน้ำหนักถ่วงหลาวก็ไหลปรู๊ดลงไปเสียบอกแกตายคามุ้งเลย สรุปว่าคนเราถ้าจะตายอยู่ที่ไหนก็ตาย ฝรั่งเศสหรือเมืองไทยก็ตายเหมือนกัน เห็นแผ่นดินไหวที่เนปาลไหม ? เด็กอายุ ๒๒ เดือนติดอยู่ในซากตึก ผู้ใหญ่ตายกันเกลี้ยงไม่เห็นเด็กเป็นอะไร ถ้าบอกว่าเด็กอาจจะมีพลังชีวิตแข็งแกร่งอยู่ แล้วคุณปู่อายุ ๑๐๑ ปีก็รอดเหมือนกัน

สรุปว่าถ้าไม่ได้สร้างกรรมเอาไว้ หรือว่าสร้างกรรมไว้แต่วาระยังไม่ถึงไม่เป็นอะไรหรอก ถ้ากลัวมาก ๆ ก็หาวัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดท่าซุงติดตัวไว้ ต้องเป็นรุ่นที่ทันท่านด้วยนะ

เถรี
07-10-2015, 11:57
โบราณบอกว่า “คนขลาดตายหลายครั้ง คนกล้าตายครั้งเดียว” คนที่กลัวก็กลัวจนแทบจะขาดใจตาย เมื่อวันศุกร์มีโยมคนหนึ่งมาถาม บอกว่าเป็นโรคนี้ ก็คือกลัวทุกอย่าง กลัวไปหมด กลัวขนาดนั่งร้องไห้เลย ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นผู้ชายตัวใหญ่ตัวโต มาถามว่าจะแก้ไขอย่างไร ? อาตมาบอกว่าให้ไปฝึกกรรมฐาน ถ้าสมาธิดีขึ้นความกลัวก็จะลดน้อยลงไปตามลำดับ

ในเรื่องของความกลัวเป็นธรรมดาสามัญของมนุษย์และสัตว์ทั้งปวง บาลีว่า อาหารนิทฺทํภยเมถุนญฺจ สามญฺญเปตปฺปสุภีนรานํ การกิน การนอน การกลัวภัย การเสพกาม เป็นเรื่องปกติธรรมดาของบรรดาสัตว์และมนุษย์ทั้งหลาย ที่เราเรียกปศุสัตว์ ปสุเขาแปลว่าสัตว์เลี้ยง ธมฺโมหิ เตสํ อธิโก วิเสโส ธรรมเท่านั้นที่ทำให้เราทั้งหลายต่างไปจากสัตว์ ธมฺเมน วีณา ปสุภิสฺสมานา ธรรมเท่านั้นที่ทำให้แยกคนจากสัตว์ได้ ที่เขาใช้คำพูดง่าย ๆ ว่าคนกับสัตว์มีสภาพเหมือนกันคือกิน ถ่าย นอน สืบพันธุ์

ถ้าสมมุติว่าอยู่ฝรั่งเศสกลัวตายเพราะเขารบกัน มาเมืองไทยอดข้าวตายจะหนักกว่าอีก ช่วงนี้น่ากลัวมาก..ผัดกะเพราจานละ ๑๕๐ บาท ได้ยินแล้วช็อก แต่อาตมาไปเนปาลกินข้าวจานละ ๑๙๕ บาทมาแล้ว เลยรู้สึกว่า ๑๕๐ บาทยังไม่แพงนัก

เถรี
07-10-2015, 17:02
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อปี ๒๕๒๖ น้ำท่วมกรุงเทพฯ จำได้ว่าท่วมตั้งแต่เดือนตุลาคมไปจนถึงเดือนพฤษภาคมของปี ๒๕๒๗ น้ำท่วมหนักกว่าปี ๒๕๕๔ แต่ทางกทม.จัดการได้เร็วกว่ามาก เพียงแต่ว่าบ้านอาตมาสร้างกรรมเอาไว้เยอะ อยู่ห่างจากแยกศรีนุช ก็คือแยกอ่อนนุชตัดกับถนนศรีนครินทร์แค่ป้ายรถเมล์เดียว ทางกทม.ทำคันกั้นน้ำเอาไว้ที่แยกศรีนุช แล้วสูบน้ำจากข้างในออกมา บ้านอาตมาก็เลยโดนท่วมไปจนถึงเดือนพฤษภาคมของปี ๒๕๒๗

ตอนแรก ๆ ที่ท่วมก็ยังอุตส่าห์ไปซื้ออิฐบล็อกมาก่อเพื่อที่จะกันน้ำไม่ให้เข้าบ้าน พอก่อไปได้ ๓ ชั้นน้ำก็ยังขึ้นมาเรื่อย ๆ ก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย แต่คราวนี้อิฐบล็อก ๓ ชั้นนี่ก็สูงเป็นเมตร พอถึงเวลาน้ำลด มีแต่ปลาเต็มบ้าน เข้ามาแล้วออกไม่ได้ กลายเป็นบ่อเลี้ยงปลาไปเลย ต้องเสียเวลาจับไปปล่อยอีก

ในช่วงนั้นวันแรกที่ไปส่งหลวงพ่อวัดท่าซุงที่บ้านบางโพของคุณฉวีวรรณ สรรพกิจ น้ำท่วมสูงมาก ประมาณเลยหัวเข่าแล้ว จำได้ว่าบ้านของคุณฉวีวรรณ สรรพกิจ ที่อยู่ใกล้ ๆ กับห้างบางลำพู น้ำจวนจะถึงบันไดขั้นแรก อาตมาเดินจากบางโพออกมาทางด้านประดิพัทธ์ สะพานควาย เข้าอนุสาวรีย์ชัยฯ ออกไปราชปรารภ จะกลับบ้านที่ซอยอ่อนนุช จึงต้องมาทางด้านสุขุมวิท เดินมาเกือบถึงตลาดพระโขนง น้ำก็ถึงหน้าอกแล้ว รถไม่มีวิ่ง มีแต่เรือพายส่วนตัวลำเล็ก ๆ บางคนก็ต่อแพด้วยยางในรถยนต์ ๒ เส้น เอาไม้พาด ๒-๓ แผ่นแล้วผูกเชือกไว้ ได้เห็นรถกับเรือชนกันก็วันนั้นแหละ

ในเมื่อยังไม่ทันถึงปากซอยเข้าบ้านน้ำก็มาถึงหน้าอกแล้ว ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าที่บ้านจะขนาดไหน จึงตัดสินใจเดินกลับ จากพระโขนงเดินย้อนมาทางสะพานควาย เข้าไปนอนที่บ้านสายลม บ้านสายลมเหลือแต่ชั้นบน ชั้นล่างท่วมหมดเกลี้ยงไปแล้ว"

เถรี
07-10-2015, 17:06
"หลังจากนั้นทุกต้นเดือนก็ไปรับใช้หลวงพ่อวัดท่าซุงที่บ้านสายลมเป็นปกติ ต้องลุยน้ำประมาณขาอ่อนออกจากบ้าน ซึ่งตอนนั้นหนังสือพิมพ์เขาก็แซวกัน ผู้สื่อข่าวชายบอกว่าน้ำท่วมถึงระดับ "หัวเทียน" ผู้สื่อข่าวหญิงบอกว่าน้ำท่วมถึง "จานจ่าย" เห็นคนเป็นรถยนต์ไปได้ พอถึงเวลาไปถวายการรับใช้หลวงพ่อเสร็จสรรพ ก็ต้องลุยน้ำกลับบ้านทุกวันเป็นปกติ ไปวันศุกร์กลับคืนวันจันทร์ เพราะว่าเช้าวันอังคารหลวงพ่อท่านก็เดินทางกลับวัดท่าซุงแล้ว

ที่เล่าให้ฟังก็คือ ภัยธรรมชาติหรืออุปสรรคต่าง ๆ ไม่สามารถที่จะขวางกั้นการปฏิบัติธรรมของเราได้ ไม่ใช่แค่เมฆมืด ๆ ฟ้าร้องหน่อยเดียวเราก็ไม่ไปแล้ว แต่โยมไม่มาก็ดี อาตมาจะได้สบาย และครั้งนั้นเป็นครั้งเดียวในชีวิต ที่อาตมานุ่งกางเกงขาสั้นไปทำบุญ

ปรากฏว่าโดนป้าหมอลัดดา จารุวัฒน์ ตักเตือน ป้าหมอแกดึงหลบเข้าไปห้องใน บอกว่า “ไอ้หนู...หลวงพ่อเรามีคนมาหาทั้งประเทศ คนมาก็อยากถ่ายรูปหลวงพ่อไว้เป็นอนุสติ แกอยู่รับใช้ข้างหลวงพ่อ นุ่งกางเกงขาสั้นดูไม่เรียบร้อย ถ้ารูปถ่ายออกไปบางคนจะหาว่าหลวงพ่อท่านไม่ให้การอบรม” ก็เรียนป้าหมอบอกว่า “บ้านผมน้ำท่วมครับป้า ยันขาอ่อนเลย ถ้าไม่ใส่ขาสั้นนี่ก็ออกจากบ้านไม่ได้”

ท่านบอกว่า “เอากางเกงขายาวใส่ถุงถือมาด้วย พ้นจากที่น้ำท่วมแล้วก็ใส่กางเกงขายาว” นั่นเป็นครั้งเดียวและวันเดียวในชีวิต ที่อาตมาใส่กางเกงขาสั้นไปทำบุญ หลังจากนั้นมาไม่เคยทำอีกเลย เพราะถือว่าผู้ใหญ่ท่านรอบคอบกว่า ท่านเมตตาเตือนแล้ว ดังนั้น..เวลาเห็นญาติโยมทั้งหญิงผู้ชายใส่กางเกงขาสั้นมาทำบุญที่นี่ อาตมาก็พยายามนึกว่าเขาต้องมีความจำเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง พยายามช่วยนึกแต่เรื่องที่ดี ๆ ไว้ เราจะไม่ตำหนิใคร..ใช่ไหม ? ยกเว้นว่าด่าไปเลยให้หมดเรื่องหมดราว..!

ได้เห็นความเมตตาของผู้ใหญ่ และได้เห็นวิธีการที่ท่านแนะนำสั่งสอน ท่านไม่ตำหนิต่อหน้าคนหมู่มาก ดึงเข้าไปในห้องเป็นการส่วนตัวแล้วค่อยบอก นักปราชญ์ท่านถึงได้ว่า ชมคนให้ชมต่อหน้าคนมาก ๆ แต่ถ้าหากว่าจะด่าใครให้ด่าลับหลังคนอื่น เพราะว่าแต่ละคนมีสักกายทิฐิคือตัวกูของกู ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า "อีโก้" ถ้าไปตำหนิต่อว่าต่อหน้าประชาชี เขารับไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ให้ช่วยเมตตาเขาหน่อย ไม่จำเป็นจริง ๆ ก็อย่าไปด่าต่อหน้า...(บ่อยนัก)..."

เถรี
07-10-2015, 18:55
พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมเขียนชื่อทศวรรษมาให้ ส่วนชื่อศตวรรษนี้ได้ยินมา ๓ คนแล้ว ทศวรรษเพิ่งได้ยินเป็นคนแรก ถัดไปจะมีสหัสวรรษไหม ?

ทศวรรษ คือ รอบ ๑๐ ปี ศตวรรษรอบ ๑๐๐ ปี สหัสวรรษรอบ ๑,๐๐๐ ปี"

ถาม : ถ้ารอบ ๑๐,๐๐๐ ?
ตอบ : รอบ ๑๐,๐๐๐ ทสสหัสสะ ถ้า ๑๐๐,๐๐๐ สตสหัสสะ แต่ขณะเดียวกันจะใช้ "ลักขัง" ก็ได้

๑๐,๐๐๐ มีศัพท์เฉพาะคำหนึ่ง คือ นหุต (นะ-หุ-ตะ) ๑๐,๐๐๐ ปีใช้นหุตวรรษก็ได้รอบ อย่างกรุงศรีสัตนาคนหุต (สัด-ตะ-นา-คะ-นะ-หุด) สต คือ ๑๐๐ นหุต คือ ๑๐,๐๐๐ เป็นร้อยหมื่นก็คือหนึ่งล้าน นาคะ คำกลางแปลว่าช้าง กรุงศรีสัตนาคนหุต ก็คือ กรุงล้านช้าง

บาลีเขาจะเอาคำศัพท์ไว้ตรงกลาง หลังจากที่แยกตัวเลขออกจากกัน อย่าง ทเวสังวัจฉรสหัสสานิ ทเว = ๒, สังวัจฉร = ปี, สหัสสา = ๑,๐๐๐ , ปัญจสตาธิกานิ = กว่าอีก ๕๐๐ รวมเป็น ๒,๕๐๐ ปี ไล่ไปเรื่อย

อิทานิ ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ปรินิพฺพานโต ปฏฺฐาย อัฏฐปัญญาสะ ปัญญาสะ = ๕๐, อัฏฐ = ๘, อัฏฐปัญญาสะ = ๕๘, อัฏฐปัญญาสุตตร ก็คือปัญญาส +อุตตร = ยิ่งไปกว่าอีก ๕๘

เถรี
07-10-2015, 19:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ท่านพระครูปลัดปิงเป็น 'ว่าที่เจ้าคุณ' เดี๋ยวพอ ๕ ธันวาคมก็เป็น 'เจ้าคุณ' ขอให้ได้เลื่อนขึ้นไปเรื่อย ๆ จนได้ฉลองอย่างเป็นทางการ"

เถรี
07-10-2015, 19:38
พระอาจารย์กล่าวกับโยมไปเมืองจีนมาว่า "โยมไปเยี่ยมจิ๋นซีฮ่องเต้มา ที่น่าเวทนาก็คือ ช่างฝีมือที่ทำสุสานจำนวนมากด้วยกัน ยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองตายไปแล้ว พวกช่างเขารู้ว่าทำเสร็จก็ตายแน่ แต่ต้องทำ เพราะว่าพ่อแม่ลูกเมียอยู่ในเงื้อมมือของฮ่องเต้หมด พูดง่าย ๆ คือรู้ว่าทำเสร็จก็ตาย แต่ตายเพื่อให้ครอบครัวรอด"

เถรี
07-10-2015, 20:14
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่กำลังนับลูกประคำว่า "ประคำกะลานั้นช่างฟ้อง ถ้าใช้ไปเรื่อย ๆ จะดำเงาสวย ถ้าไม่ใช้ก็ด้านอยู่อย่างนั้นแหละ เส้นที่อาตมาใช้ตอนแรกก็เป็นสีอย่างนี้ ตอนนี้ดำเงาวับ ใช้ไป ๆ ความร้อนจากมือของเรา ทำให้น้ำมันในกะลาออกมา ถูไปถูมาก็ดำจนลื่น แต่ว่ามีกะลาประเภทหนึ่ง เขาเรียกว่า "กะลาเผือก" ก็คือมะพร้าวแก่แล้ว แต่กะลายังไม่ดำ กะลาตาเดียวหายากแล้ว กะลาตาเดียวเผือกจะหายากขึ้นไปอีก"

เถรี
07-10-2015, 20:19
ถาม : จีวรลายดอกพิกุล ที่มาที่ไปพอจะรู้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก สมัยก่อนพอถึงเวลาญาติโยมก็ตั้งใจจะถวายของที่ดีที่สุดไว้ในพระพุทธศาสนา คราวนี้ของพระจะดีแค่ไหนก็แค่บริขาร ๘ แล้วก็ไม่สามารถที่จะประดับประดาอะไรที่เป็นเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ได้เหมือนอย่างชาวบ้านทั่วไป ชาวบ้านเขาอยากทำถวายพระให้ดีที่สุด เมื่อทำจีวรแล้วมีเวลาว่างก็เลยปักลายดอกพิกุลเข้าไปด้วย

จะไปยากอะไร ก็แค่ลงเข็มไขว้ ๘ ทิศเท่านั้นเอง จึงปักเสียทั่วผืนเลย ถ้าหากว่าเป็นศิลปะการสร้างพระพุทธรูป จีวรลายดอกพิกุลจะเป็นรัตนโกสินทร์ตอนต้น ถ้าเห็นมีจีวรลายดอกพิกุลเมื่อไร ก็ให้รู้ว่าเป็นศิลปะรัตนโกสินทร์ตอนต้นแน่นอน ไม่ได้ไกลเลย คราวนี้ก็ดูใต้ฐาน ดูความเก่า ไปกันได้ไหมกับลักษณะพุทธศิลป์ จะได้รู้ว่าปลอมหรือเปล่า คุณยังต้องอาศัยเรียนรู้ไปอีกนาน

เถรี
08-10-2015, 13:55
ถาม : สังเกตว่าพระบูชายุครัตนโกสินทร์ตอนต้นนี้ มักจะทำฉัตรไว้ด้วย ?
ตอบ : ฉัตรนี่สร้างเพิ่มเติมได้ไม่จำกัดยุคสมัย ขึ้นอยู่ที่คนเขามีศรัทธาหรือเปล่า ถ้ามีก็สร้างเพิ่มขึ้นมาได้

ถาม : มีคติอย่างไรในการสร้างฉัตรไหมคะ ?
ตอบ : เป็นค่านิยมอย่างหนึ่ง สร้างพระแล้วก็ถวายฉัตรด้วย ถือว่าเป็นการป้องกันภัยอย่างหนึ่ง เอาอานิสงส์ที่พระโพธิสัตว์เสด็จไปใต้ต้นไทรของยักษ์ ที่ได้รับพรจากท้าวเวสสุวรรณว่า ถ้าคนหรือสัตว์เข้ามาในร่มเงาต้นไทรนี้ ก็อนุญาตให้จับกินได้ พระโพธิสัตว์ท่านเสด็จไปยักษ์จะจับกิน ท่านบอกว่าท่านไม่ได้อยู่ใต้ร่มเงาของต้นไทร จะจับกินได้อย่างไร ? ยักษ์บอกว่าท่านเข้ามาอยู่ในนี้แล้ว มาว่าไม่ได้อยู่ใต้ร่มเงาได้อย่างไร ? พระโพธิสัตว์บอกว่าท่านถือร่มอยู่ ยักษ์บอกว่าถ้าเหยียบแผ่นดินตรงนี้ถือว่ามีสิทธิ์จับกินเหมือนกัน พระโพธิสัตว์บอกว่า ท่านไม่ได้เหยียบแผ่นดิน ท่านยืนอยู่บนรองเท้าท่าน ชาดกเรื่องนี้ก็เลยทำให้หลวงปู่มหาอำพันท่านแนะนำในเรื่องถวายสังฆทานว่า ให้ถวายร่มกับรองเท้าด้วย จะได้ปลอดภัยเหมือนกับพระโพธิสัตว์

อย่าลืมว่ายักษ์เป็นเทวดาพวกหนึ่ง แต่พวกยักษ์ชั้นต่ำที่เป็นบริวารนั้นมักจะเป็นพวกรากษส ก็คือยักษ์พวกที่กินเนื้อ กินคน กินสัตว์อยู่ ในเมื่อเป็นอย่างนั้น จึงได้รับอนุญาตให้เฉพาะที่ มีสิทธิ์เฉพาะที่ของตนเอง แต่ถ้าสามารถแสดงหลักฐานได้อย่างชัดเจนแบบพระโพธิสัตว์ ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปกินท่านได้

ก็เลยทำให้คนรุ่นหลังสร้างฉัตรถวายพระ ซึ่งจริง ๆ แล้วก็มาจากผ้าดาดเพดานก่อน สมัยก่อนพอถึงเวลาสร้างพระพุทธรูปที่ไหน ก็จะเห็นว่าเขาทำผ้ากั้นเพดานเอาไว้ ผ้ากั้นเพดานสมัยก่อนเขาทำเพื่อป้องกันจิ้งจกตุ๊กแกมาขี้รดองค์พระ เพราะจิ้งจกตุ๊กแกเดินบนผ้าไม่ได้ ไม่สามารถจะเกาะแบบสุญญากาศได้ เสร็จแล้วก็พัฒนามาเป็นฉัตร

เพราะสมัยหลังพระเจ้าแผ่นดินก็ดี เชื้อพระวงศ์ชั้นสูงที่ได้รับพระราชทานอนุญาตให้ใช้ฉัตรได้ก็ดี พอถึงเวลาก็ถวายฉัตรไว้เป็นพุทธบูชา หรือไม่เวลามีงานถวายพระเพลิงหรือพระราชทานเพลิง ฉัตรที่ประดับอยู่ในงานนั้น ไม่ว่าจะเป็นประดับโกศก็ดี หรือว่าประดับเหนือพระลองก็ตาม มักจะเอาไปกั้นถวายพระพุทธรูปเป็นพุทธบูชา พวกบรรดาช่างก็เห็นดีเห็นงาม ต่อมาก็เลยสร้างพระพุทธรูปให้มีฉัตรประกอบไปด้วย

เถรี
08-10-2015, 13:58
มีมณฑปตั้งพระศพสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวีในรัชกาลที่ ๕ พอถึงเวลาเคลื่อนพระศพไปพระราชทานเพลิง ก็เอามณฑปนั้นไปถวายไว้ที่วัดเทพศิรินทราวาส ปัจจุบันก็คือมณฑปที่ตั้งพระพุทธรูปประจำพระอุโบสถ สงสัยว่าทำไมสุดยอดฝีมือขนาดนั้นใช่ไหม ? ระดมช่างหลวงในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทั้งหมดมาช่วยกันทำ ของวัดท่าขนุนไม่มีช่างหลวง เอาช่างชาวบ้านนี่แหละ เดี๋ยวไปงานเป่ายันต์ฯ งวดนี้ก็จะได้เห็น มณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำ น่าจะประกอบยอดมณฑปได้แล้ว

เพียงแต่เรื่องของการทำสี ประดับทองปิดกระจก ก็ต้องเป็นไปตามขั้นตอน ตอนนี้มีช่วงแคบระหว่างหน้าบันที่ช่างต้องปิดทองประดับกระจกก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าใส่หน้าบันซ้อนเข้าไปแล้วจะปิดทองยาก ช่างเขาจึงต้องทำการปิดทองไปก่อน

เมื่อวานซืนเพิ่งจะจ่ายค่าแรงสร้างมณฑปงวดที่ ๕ แต่ความจริงแล้วเป็นงวดที่ ๖ เพราะช่างเบิกงวดที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๖ โดดข้ามงวดที่ ๕ ไปเพราะงานไม่เสร็จ มาครั้งนี้งานก็ยังไม่เสร็จ แต่ว่างานไม่ได้อยู่ในมือช่าง เพราะว่างานอยู่ในมือผู้ออกแบบ ผู้ออกแบบต้องนำงานส่วนนี้ไปส่งให้ช่างเขาทำ ก็เลยอนุโลมจ่ายเงินไปก่อน เวลาทำงานเราต้องเห็นใจกัน เพราะว่าช่างทำงานเขาต้องลงทุน ขณะเดียวกันก็มีครอบครัวที่ต้องดูแล ส่วนใหญ่บรรดาช่างต่าง ๆ พอทำงานกับวัดท่าขนุนแล้ว ไม่มีใครอยากไปทำที่อื่น เพราะที่อื่นส่วนใหญ่เขาให้ทำ ๔๐-๔๕ วัน เบิกได้ ๓๐ วัน ของวัดท่าขนุนไม่มี ครบงวดงานหรือว่าครบเวลา ก็จ่ายทันที

เถรี
08-10-2015, 14:03
วันก่อนช่างเจาะเสาเข็มสำหรับทำศาลาธรรมสังเวช ที่สร้างอยู่ด้านข้างของเมรุใหม่ ซึ่งจะทำไปพร้อม ๆ กัน เจาะยังไม่ทันจะเสร็จหรอก เขามาเบิกค่าเจาะเสาเข็มของตัวฌาปนสถานคือตัวเมรุงวดสุดท้าย ก็เลยจ่ายของด้านศาลาไปด้วย จะได้ไม่ต้องเดินทางมาอีกรอบหนึ่ง "ที่เหลือลูกน้องคุณเจาะให้เสร็จก็แล้วกัน" แล้วก็มีเรือนรับรองพระเถระ ๔ หลังโผล่ขึ้นมา ของเดิม ๒ ของใหม่ ๔ ไม่ใช่ของเดิม ๒ ของใหม่ ๒ นะ ของเดิม ๒ หลัง ของใหม่ ๔ หลัง

ตัวผู้รับเหมาเขาบอกว่า พวกประกอบเรือนไม้จำหน่ายที่เห็นตั้งอยู่ ๗-๘ รายใกล้ ๆ กันเจ๊งไปหมดแล้ว เหลือเขาอยู่รายเดียว เพราะว่าเศรษฐกิจไม่ดี เงินเลยจมอยู่ในบ้านไม้ที่ตัวเองทำ เพราะต้องไปซื้อบ้านเก่า ต้องจ่ายค่าแรงช่าง ฯลฯ แต่ว่าขายไม่ออก เขาบอกว่าโชคดีที่หลวงพ่อเรียกใช้บริการ เลยอยู่รอดมาได้ เพราะว่าเท่าที่สั่งไปก็ ๘ หลังแล้ว เหลืออีก ๒ หลังสุดท้ายกำลังทำอยู่ ถ้าไม่มีลูกค้าเลยเขาก็น่าจะยืนหยัดไปได้อีก ๒ ปีเป็นอย่างน้อย เพราะโดยปกติปีหนึ่งจะขายได้ ๕-๖ หลังก็ยังยาก

เถรี
08-10-2015, 14:14
ถาม : มีวิญญาณชั่วร้ายเข้ามารังควานคนในบ้าน ถวายสังฆทานให้เขาแล้ว เขาไม่ไป ?
ตอบ : ไปประกาศบอกเขาว่า เราแค่มาอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น บุญทานอะไรก็ทำให้แล้ว ถ้าหากว่าดีกันไม่ได้ก็จะไล่..! แล้วก็บูชาผ้ายันต์เกราะเพชรไป ขู่ไว้ก่อนว่า "จะอยู่ด้วยกันดี ๆ ได้ไหม ? ถ้าไม่ได้ก็จะติดแล้วนะ"

ถาม : สงสัยว่าทำไมเขาเข้าในบ้านได้ ?
ตอบ : เขาอยู่มาก่อน คือบางรายถ้าพูดดี ๆ กันไม่รู้เรื่องต้องข่มขู่กันบ้าง ถ้าแสดงแสนยานุภาพของเราว่าสูงกว่า เขาก็จะถอยไปเอง ส่วนใหญ่พวกนี้ไม่ค่อยดื้อ

ถาม : ขู่ด้วยพระขรรค์โสฬสไปครั้งหนึ่งแล้ว หายไปไม่นานเขาก็กลับมาอีก ?
ตอบ : ก็คุณไม่เอาจริง แต่อาตมาเอาจริงนี่หว่า บูชาผ้ายันต์เกราะเพชรไป สวดอิติปิ โสฯ ไปเลย จะอยู่ด้วยกันได้หรือไม่ได้ ถ้าอยู่ด้วยกันดี ๆ ไม่ได้ จะติดผ้ายันต์แล้วนะ เข้าไม่ได้คราวนี้ห้ามโวย

ถาม : ติดรอบบริเวณบ้านหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..ติดในบ้าน แต่หันหน้าไปทางทิศตะวันออกหรือทิศเหนือก็ได้ เท่านั้นแหละ..คุ้มได้ทั้งบ้านเลย

เถรี
08-10-2015, 14:34
มีโยมถวายรองเท้า พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนครูบาอาจารย์ท่านใส่รองเท้าเฉพาะยี่ห้อเหมือนกัน เคยกราบเรียนถามหลวงปู่มหาอำพัน ท่านบอกว่าใส่แบบไหนถนัดก็อยากจะใช้แบบนั้น แบบเดียวกับที่อาตมาถนัดรองเท้าพื้นบาง พอคุณชวงเอาที่มีส้นมาหน่อย ใส่แล้วเดินไม่เป็นเลย ของหลวงพ่อวัดท่าซุงจะเป็นตราอูฐ ที่มีห่วงคล้องหัวแม่เท้า ของหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศจะเป็นยี่ห้อ Bata ของหลวงปู่มหาอำพันยี่ห้อ SCS จะเอายี่ห้ออื่นไปอย่างไรก็ไม่ใช้หรอก

อาตมาเคยขอเปลี่ยนรองเท้าของหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศเอาไว้บูชา แต่ปรากฏว่าไปซื้อเอาตราอูฐแบบมีห่วงคล้องหัวแม่เท้าถวาย ท่านเดินไม่ถนัด แต่ท่านก็อุตส่าห์เมตตาให้เปลี่ยน"

เถรี
08-10-2015, 14:43
ถาม : เดินอยู่และสวดมนต์ไปเรื่อย ๆ สักพักขาเริ่มก้าวไม่ออกครับ พยายามฝืนตะโกนแต่ไม่มีเสียง ควรจะทำอย่างไรต่อดีครับ ?
ตอบ : ให้นั่งภาวนาแทน อาการแบบนั้นแสดงว่าจิตเริ่มเป็นสมาธิแนบแน่น ถ้าสมาธิเริ่มทรงตัว ประสาทร่างกายของเรากับจิตใจแยกออกเป็นคนละส่วนกัน เราจะบังคับร่างกายไม่ได้ เพราะฉะนั้น..เมื่อเราเดินภาวนาไปอย่างที่ว่านี้ จนกระทั่งรู้สึกว่าเริ่มเดินไม่ออกแล้ว ก็ให้นั่งภาวนาต่อไปเลย อย่าไปฝืน ถ้าไม่ใช่ชำนาญจริง ๆ ถึงระดับมีความคล่องตัวเป็นวสี ไม่ได้รับประทานหรอก เดิน ๆ ไปเดี๋ยวล้มทั้งยืน เพราะบังคับร่างกายไม่ได้

เถรี
08-10-2015, 14:49
ถาม : บางทีอาราธนาวัตถุมงคลแล้วมีอาการเข่าอ่อนหมดแรง อย่างนี้คือกำลังเราไม่พอหรือครับ ?
ตอบ : บางทีท่านก็แสดงให้เรารู้ว่าพุทธานุภาพนั้นมีจริง เพราะฉะนั้น..ยิ่งมาแรงเท่าไรก็ควรที่จะดีใจเท่านั้น

เถรี
08-10-2015, 14:52
ถาม : น้ำมันชาตรีสามารถกินได้ทุกวันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่มีใครห้าม ถ้ากินมากก็อาจจะอ้วนขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าน้ำมันก็คือน้ำมัน ขนาดว่าเป็นพุทธคุณอย่างน้ำมันชาตรี ก็เท่ากับว่าเรากินไขมันเข้าไปทุกวัน หลวงพี่อาจินต์ (พระครูภาวนาธรรมนิเทศ) สมัยทำน้ำมันชาตรีใหม่ ๆ ท่านเองโดนพวกลูกหลงหางแถวไสยศาสตร์ไปเหมือนกัน ท่านฉันน้ำมันชาตรีวันละครึ่งแก้ว เดือนเดียวเท่านั้นแหละกลมไปทั้งตัวเลย ความจริงหยดสองหยดก็พอแล้ว ฉันครั้งเดียวก็พอแล้ว แต่ท่านว่าของท่านไปเรื่อย ฉันทุกวันกันเอาไว้ก่อน

ถาม : กรณีรักษาโรคภัย ?
ตอบ : ลองทาผิวของเราดู ถ้าอธิษฐานแตะแล้วรู้สึกปกติ หรือรู้สึกเย็นรักษาได้แน่ แต่ถ้ารู้สึกร้อนถือว่ารักษาไม่หาย แสดงว่าโรคนั้นกรรมยังบังอยู่

เถรี
08-10-2015, 14:55
ถาม : เราจำเป็นต้องอุทิศส่วนกุศลตลอดไหมครับ ?
ตอบ : การที่เราอุทิศส่วนกุศล ช่วยให้เราปลดใจจากกรรมตรงนั้น บางทีเจ้ากรรมนายเวรเขาก็ไม่ได้อโหสิกรรมให้เราหรอก แต่ใจเราปลดจากตรงนั้นแล้ว เพราะรู้สึกว่าได้ทำอะไรที่ดี ๆ คืนให้กับเขาไป ใจเราก็ไม่เป็นห่วง ไม่ไปพะวงกับกรรมเก่าตรงจุดนั้น ก็เหมือนอย่างกับว่าเราปลดโซ่ออกแล้ว เราจะไปไหนก็ได้ แต่บางทีเจ้ากรรมนายเวรก็ยังผูกตัวเองอยู่กับเสานั่นแหละ เพราะฉะนั้น..ถ้าเป็นไปได้ก็คืออุทิศให้ทุกครั้ง

เถรี
08-10-2015, 15:00
ถาม : ถ้าเรานำวัตถุมงคลไปวางบนพานรวมกับเครื่องบวงสรวงบูชาครูบาอาจารย์ จะทราบได้อย่างไรว่าท่านสงเคราะห์อะไรให้ ?
ตอบ : ถ้าหากท่านไม่โวยวายว่า "ไม่ทำให้โว้ย..!" ก็ถือว่าท่านสงเคราะห์แล้วกัน หัดตีขลุมด้วยความมั่นใจเสียบ้าง วันก่อนเดินทางกลับวัดท่าขนุน เพราะว่าสอนหนังสืออาทิตย์สุดท้าย ถึงเมืองกาญจน์แดดเปรี้ยงเลย น้องเล็กเขาบอกว่าอยากให้มีแดดถึงทองผาภูมิบ้าง เพราะพวกเราตากผ้าไม่แห้งสักอาทิตย์ ก็เลยบอกว่าวันนี้ทองผาภูมิมีแดด ปรากฏว่าวิ่งเลยท่าทุ่งนามาหน่อยหนึ่ง ฝนกระหน่ำมืดฟ้ามัวดินเลย น้องเล็กก็หันมาถามว่า "ไหนว่ามีแดด ?"

อาตมาตอบว่า “ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรก็ตาม อย่าได้สูญเสียความมั่นใจในความรู้ของตนเองเป็นอันขาด ขาดความมั่นใจเมื่อไร ต่อไปความรู้นี้จะเสื่อม” ปรากฏว่าพอวิ่งเลยไปถึงเขตทองผาภูมิ ฟ้าเปิดใสแจ๋ว ไม่เห็นมีฝนสักหยด

แบบเดียวกับที่อาตมาสอนพระที่วัด ในเมื่อเขาอยากรู้ว่าห้ามฝนอย่างไรก็สอนให้ คาถาว่าอย่างนี้ วางกำลังใจอย่างนี้ แต่พอถึงเวลาเดินบิณฑบาต เขาตั้งใจภาวนาคาถาห้ามฝนเพราะว่าฝนเอาแน่ เมฆดำต่ำมาจะติดหัวอยู่แล้ว ฝนเริ่มลงเปาะแปะ ๆ แล้ว ปล่อยให้เขาทำกันเอง เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำกันหมดเลย บอกว่า "เพราะคุณขาดความมั่นใจ คุณไปคิดว่าฝนจะตกแล้ว ๆ พอคุณขาดความมั่นใจขึ้นมา คาถาก็ไม่ได้ผล"

พอรุ่งขึ้นก็อาการเดียวกัน คือฝนเริ่มลงเม็ดหนัก อาตมาบอกท่านว่า “มา...ผมทำให้คุณดู” พอเดินไปอีก ๓ ก้าวฝนก็หยุดหมด "คราวนี้คุณเห็นหรือยังว่า ความมั่นใจคืออะไร ? เราต้องมั่นคง ไม่หวั่นไหว แม้ว่าสถานการณ์ตรงหน้าจะรุนแรงขนาดไหนก็ตาม เพราะว่าเราหวั่นไหวเมื่อไรก็พัง สิ่งที่เรามั่นคงเกิดจากความมั่นใจในกำลังใจของเราเอง ถ้าขาดความมั่นใจเมื่อไรนี่พังทั้งขบวน"

ถาม : กรณีมั่นใจ กลัวว่าจะเป็นการทึกทักเอาเอง ?
ตอบ : โปรดทึกทักแบบนั้นบ่อย ๆ เดี๋ยวจะดีไปเอง ขอให้มั่นใจเถอะ

เถรี
08-10-2015, 15:02
เมื่อเช้านี้ทันตแพทย์เพชรไพฑูรย์ จันทร์ชูเชิด พาลูกศิษย์มา อาทิตย์ที่แล้วลูกศิษย์ไปโดนสหบาทาไม่จำกัดมา คือปกติบริษัทต้องจำกัดหรือมหาชน แต่บริษัทสหบาทานี่กระทืบไม่จำกัด เจอไป ๒๐ ต่อ ๑ ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ? เขาบอกว่าจอดรถแล้วเปิดประตูไปกระทบคนอื่นเข้า ไอ้เจ้านั่นไม่ยอม พาพวกมาเหยียบ ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาพกตะกรุดมหาสะท้อนอยู่ดอกเดียว

ตอนแรกก็คิดว่าอาการสาหัส แต่พอพวกเขาเลิกกระทืบก็ลุกเดินได้ตามปกติ ก็เลยสงสัย ไม่เป็นอะไรเลย แต่อาตมาสงสัยว่าไอ้คนกระทืบ ๒๐ คนนั่นเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ? เพราะว่ายังไม่ได้ไปติดตามข่าวคราว คราวนี้เขาจะมาหาตะกรุดมหาสะท้อน เพราะพ่อแม่พี่น้องอยากได้ ก็เลยบอกว่าเหลือแต่พระกริ่ง เอาพระกริ่งไปแทนแล้วกัน เพราะว่าใส่ตะกรุดไปตั้ง ๓๐ ดอก ก็เลยเตือนเขาไปว่า คราวหน้าพกหลวงพ่อหลายวัดหน่อย ตูจะได้แก้ตัวได้ นี่เล่นพกตะกรุดดอกเดียวบ่ายเบี่ยงไม่ได้ เลยต้องยอมรับสภาพแต่โดยดี

คนอื่นอย่าไปหาประสบการณ์แบบนี้นะ ไม่สนุกหรอก วัตถุมงคลไม่ได้มีไว้ให้ลอง วัตถุมงคลมีไว้เพื่อคุ้มครองรักษาพวกเราในเวลาฉุกเฉิน ถ้าเราไปลองแปลว่าเราขาดความมั่นใจ เมื่อเราขาดความมั่นใจ กำลังที่ส่งมาเราจะรับได้ไม่เต็มที่ ถึงเวลาอาจจะน่วมจริง ๆ

เถรี
08-10-2015, 18:43
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าโยมจะเอาโมทนาบัตรงานทอดกฐิน ให้รอวันที่ ๒๘ ตุลาคม เพราะเป็นวันรับกฐิน โมทนาบัตรกฐินของวัดทุกใบในปีนี้ จะเป็นวันที่ ๒๘ ตุลาคม แล้วญาติโยมส่วนหนึ่งมักจะช่วยให้พระผิดพระวินัย เพราะแต่ละวัดแต่ละปีจะรับกฐินได้ครั้งเดียว ถ้ารับกฐินซ้ำซ้อนเมื่อไร เขาเรียกว่า "กฐินเดาะ" พระไม่มีโอกาสใช้อานิสงส์กฐินนั้นเลย แต่ว่าญาติโยมส่วนใหญ่ก็ไม่เข้าใจ

อย่างที่วัดท่าขนุนทอดกฐินบ่ายโมงตรง ถึงเวลาเราปิดยอดเสร็จสรรพเรียบร้อย เพื่อจะแจ้งยอดให้ญาติโยมได้ทราบ โยมมาห้าโมงเย็น เอาสตางค์มาให้ พอไม่รับก็ไปโวยวายว่าทำไมไม่รับ ? โดยที่ไม่ยอมรับรู้อะไรทั้งสิ้นว่าพระจะเดือดร้อนแค่ไหน ? รู้อยู่อย่างเดียวว่ากูจะทำบุญมึงต้องรับ..! ประเภทนี้อาตมาด่าส่งไปหลายรายแล้ว

วันรุ่งขึ้นอาตมาไปบิณฑบาต ยังมาฟ้องอีกว่า "วันก่อนเอาสตางค์ไปให้ตอนเย็น โยมที่วัดไม่ยอมรับ บอกว่าปิดยอดไปแล้ว เขาทำอย่างนี้ไม่ถูกนะคะ" อาตมาบอกว่า "เขาทำถูกแล้ว โยมเองต่างหากที่ทำผิด" ก็เลยหน้าเหี่ยวไปเลย กลัวเจ้าอาวาสจะไม่รู้ ไปดักฟ้องตอนบิณฑบาต ยังโชคดีที่ตอนเช้า ๆ อาตมายังใจเย็นอยู่ ถ้าฟ้องสาย ๆ หน่อยอาจจะโดนคืนไปชุดใหญ่..!"

เถรี
08-10-2015, 18:52
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง กฐินหลวงจะมาพร้อมผ้าไตรพระราชทาน ก็คือปัจจัย ๒,๐๐๐ บาท ผ้าไตร ๑ ไตร แล้วก็มีสบงขาว ๑ ผืน เผื่อพวกเราจะเอามาเย็บมาย้อมอะไรกันในวันนั้น เขาบอกหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า ให้ขอวัดท่าซุงยกขึ้นเป็นวัดหลวง หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่าไม่เอา ปกติกฐินได้ตั้งหลายล้าน นี่เหลือแค่ ๒,๐๐๐ บาทเท่านั้น เป็นอัตราที่โหดร้ายมากเลย

อย่างที่เข้าวังสมัยนั้น ไม่รู้สมัยนี้เปลี่ยนหรือยัง ? เข้าวังสมัยก่อนปัจจัยถวาย ๒๐๐ บาท ไม่ว่าจะเป็นเจ้าคุณยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม ๒๐๐ บาทเท่ากันหมด ไม่ไปก็ไม่ได้ จริง ๆ จะว่าไปแล้ว อัตราทั้งหลายเหล่านี้เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังก็ดี หรือว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็ดี สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ แต่คราวนี้เขาไม่เปลี่ยน เพราะเขาไม่อยากจะจ่ายเยอะ

อย่างหลวงพ่อสมเด็จฯ ถ้าไปออกงานที่อื่น อย่างน้อย ๆ ต้องได้รับ ๒๐,๐๐๐-๓๐,๐๐๐ บาท ไปงานหลวงเขาถวาย ๒๐๐ บาท ไม่ไปก็ไม่ได้ด้วยนะ ถือว่าขัดพระบรมราชโองการ ไม่ได้จะตำหนิตรงจุดนี้ เพราะว่าอัตราที่ท่านถวายนั้น เป็นสมัยอาตมายังแก้ผ้าวิ่งอยู่ แต่คราวนี้จากกรมศาสนามาจนเป็นสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตลอดจนสำนักพระราชวัง เขาไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอัตรานี้ แบบเดียวกับใบอนุญาตหาของป่า รู้ไหมว่าค่าธรรมเนียม ๑ บาทเท่านั้น แล้วเขาก็ขนหินไป ๒ คันรถสิบล้อ..! เขาก็พาซื่อแกล้งโง่ไปเรื่อย ทั้งที่มีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงได้ เพราะว่างบประมาณของตัวเองมีอยู่ ไม่ได้ดูโลกภายนอกว่าไปถึงไหนแล้ว

เดี๋ยวนี้เงิน ๒๐๐ บาทซื้อผัดกระเพราได้จานเดียวเท่านั้นเอง แหม...แต่คนขายผัดกระเพราจานละ ๑๕๐ บาท นี่เขาต้องมั่นใจตัวเองมากเลยนะ เขายืนยันว่าของเขาวัตถุดิบคุณภาพสมราคา อาตมาพูดมาตั้งแต่สมัยอยู่บ้านอนุสาวรีย์ฯ ว่า ต่อไปบ้านเราข้าวแกงจานละ ๑๐๐ บาท ปรากฏว่าไปแรงกว่าที่พูดไว้ ล่อไป ๑๕๐ บาทแล้ว สโมสร ทบ.มาก่อนเลย..ใช่ไหม ? ๑๕๐ บาท วันก่อนที่บอกว่าไปกินที่ไหนไม่รู้โวยวายมา ปรากฏว่าเขาติดป้ายไว้เหมือนกัน แต่ป้ายเป็น A๔ บอกรายการยาวเหยียดเลย แล้วใครจะไปเพ่งว่าจานละ ๑๕๐ บาท

สถานการณ์ประเทศชาติจะเป็นอย่างไรก็ตาม พวกเราภาวนาพระคาถาเงินล้านไว้เป็นหลัก ต่อให้เขาลำบากเลือดตากระเด็นเท่าไร ก็ให้เราไปได้สบายกว่าเขาหน่อย"

เถรี
08-10-2015, 19:01
พระอาจารย์กล่าวว่า "คุณประโยชน์ ตันกันภัย ถวายเงินกฐินมาหนึ่งแสนบาท กระทู้ที่เปิดให้บูชาวัตถุมงคลของตัวเล็กยอดจองอยู่ที่ประมาณ ๒ ล้านบาท ตอนนี้โอนเข้าบัญชีมาแล้วราว ๗ แสนบาท ถ้าโยมโอนมาสักครึ่งหนึ่ง ยอดกฐินก็ทะลุล้านไปแล้ว

ส่วนกระทู้ของลูกเจ้าคุณนรฯ ก็ยังเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ความจริงต้องสรุปตารางให้เขาดูวันต่อวัน แต่อาจจะเป็นเพราะภารกิจมาก เวลาที่จะทำก็เลยไม่มี กระทู้ไหนที่นิ่งหรือว่าตายไปเลย คนเขาไม่ค่อยแลกันหรอก ถ้าอยากให้กระทู้เป็นที่น่าสนใจ ก็ต้องมีการปรับกระทู้ทุกวัน แต่ก็อย่างว่า..คนเฝ้ากระทู้ก็ไม่มีเวลาจะเฝ้า อย่างที่ลงเช้ากระทู้บ่ายกระทู้ของคุณสุธรรม ก็ยังโดนประท้วงว่าลงน้อยไปอีก"

เถรี
08-10-2015, 19:07
"ถ้าลงมาก ๆ นี่ก็ต้องเห็นใจคนเขียนด้วยนะ คุณสุธรรมมีหน้าที่ลง แต่คนเขียนคืออาตมาเอง ตูเขียนไม่ทันก็ตายสิวะ..! ไม่ใช่ว่าถึงเวลาจะได้ตุนให้เขามาก ๆ บางทีก็อยู่ในลักษณะ "เบี้ยต่อไส้" หรือ "ตำข้าวสารกรอกหม้อ" ไปวัน ๆ เท่านั้น ความจริงว่าจะรอเรื่องไปเมืองจีนก่อน ปรากฏว่าเอาบันทึกไปทิ้งไว้ที่ไหนไม่รู้ น่าจะอาการเดียวกับพระครูหน่อย ปล่อยไว้นานเลยหาไม่เจอ

เรื่องของมารเขาจะทดสอบนี่ เขากลั่นแกล้งกันสารพัด ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าสอบไปก็ไร้ประโยชน์ เขาก็ยังสอบ มีอยู่วันหนึ่งนั่งฉันเพลอยู่ กาน้ำร้อนหาย อาตมาติดนิสัยมาจากตอนอยู่พม่า เพราะทางพม่าวัดหนองบัวอยู่ท้ายน้ำ เกือบจะปากอ่าวเมาะตะมะเลย ความสกปรกที่มากับน้ำจึงมีมาก ก็เลยใช้น้ำร้อนล้างจาน คราวนี้พอล้างอย่างนั้นบ่อย ๆ คนที่เขาไม่รู้สาเหตุ เขาก็เอาน้ำร้อนให้อาตมาตลอด แม้กระทั่งอยู่วัดท่าขนุนก็ใช้น้ำร้อน

ปรากฏว่าวันนั้นเขาไม่ได้ตั้งกาน้ำร้อน ไม่ให้ก็ไม่เป็นไร...ใช้น้ำเย็นล้างก็ได้ พอว่าไม่เป็นไรเท่านั้นแหละ กาน้ำร้อนทั้งใบเด้งดึ๋งมาอยู่ข้าง ๆ ตัว พระที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ร้อง "เฮ้ย..! มาอย่างไรวะ ?" เขาแกล้งได้ขนาดนั้น เขาจะดูว่าอาตมาจะโมโหด่าคนอื่นหรือเปล่า โอ้โฮ...แสบไส้มากเลย

หลายครั้งตอนช่วงที่ทำวิทยานิพนธ์อยู่ บางทีแก้ ๆ ไป ๘ หน้า ๑๐ หน้า พอเซฟก็หายวับไปกับตา ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน ค้นอย่างไรก็ค้นไม่เจอ แต่พอคิดว่า "ช่างหัวมันวะ กูทำใหม่ก็ได้" เท่านั้นแหละ..พอเปิดใหม่แล้วเจอเลย น่าตายมาก..! เราจะไปคิดว่ามารเขาอยู่มาตั้งกี่หมื่นกี่แสนปี ทันสมัยขนาดนั้นเลยหรือ ? ขอบอกว่าเทคโนโลยีทุกอย่างเขาสร้างขึ้นมานะ เขาเก่งกว่าเราอีก เขาเป็นคนสร้างเพื่อให้พวกเรายึดติด บอกแล้วว่าตัวเราเขายังสร้างเลย ทำไมเขาจะใช้เทคโนโลยีไม่เป็น ? อาตมาโง่เองที่ครั้งแรก ๆ ไปคิดว่าเขาใช้ไม่เป็น ที่ไหนได้..เขาสร้างมาเองแท้ ๆ จะไม่เป็นได้อย่างไร ?"

เถรี
08-10-2015, 19:10
"พอโดนเขาทดสอบอย่างนี้ก็ช่างหัวมัน ลงข้ามไปก่อนก็ได้ ก็เลยเอาเรื่องยุโรปมาลง พอเอาเรื่องยุโรปมาลง ตายห่า...นี่ตูจะไปเนปาลรอบ ๒ แล้ว ก็เลยให้เอาเรื่องเนปาลลงไปด้วย เวลาอ่านก็พยายามทำใจหน่อยแล้วกันนะ ว่าเนื้อหาเป็นอย่างนี้ คนเขียนไม่สับสนหรอก แต่คนอ่านจะสับสนหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? เพราะว่าต้องอ่าน ๒ เรื่องพร้อมกัน

นักเขียนที่เก่งที่สุดในความรู้สึกของอาตมาก็คืออรวรรณ หรือถ้าชื่อจริงก็คือคุณเลียว ศรีเสวก(สี-เส-วก) คุณเลียวเขียนนิยายทีเดียว ๔ เรื่องพร้อมกันได้ แกตั้งพิมพ์ดีด ๔ เครื่องเลย ให้คนใช้เตรียมกระดาษเตรียมเครื่องดื่มไว้ พอถึงเวลาอาบน้ำอาบท่า กินข้าวกินปลาเสร็จสรรพเรียบร้อย แกมาถึงรัวพรืด ๆ ไปเลย พอได้จำนวนหน้าตามที่รับปากไว้กับทางด้านสำนักพิมพ์ คุณเลียวก็ไปอีกเครื่องหนึ่ง แล้วก็พิมพ์เรื่องนั้นต่อไปเลย"

เถรี
08-10-2015, 19:13
พระอาจารย์กล่าวว่า "คุณนวลจันทร์ เพียรธรรม เป็นเจ้าของเอ็นซี ทัวร์ ที่จะพาเราไปเนปาลงวดนี้ ปกติคุณนวลจันทร์ไม่ได้ทำหน้าที่อย่างนี้มานานแล้ว ให้แต่ลูกน้องทำ งวดนี้ด้วยความเกรงใจท่านพระครูปลัดปิง ก็เลยลงมาดูงานด้วยตัวเอง ต้องขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง ใครที่มัวแต่ตัดสินใจอยู่ก็รีบหน่อย เพราะว่าเหลือแค่ ๙ ที่นั่งเท่านั้น"

เถรี
08-10-2015, 19:16
ถาม : อยากจับลมหายใจสามฐานมาก แต่รู้ลมแค่ปลายจมูก สำลักลมหายใจ เหมือนกลั้นหายใจ พยายามจะหายใจ แต่ไม่ค่อยจะยอม ?
ตอบ : กำหนดรู้เฉย ๆ ว่าเราไม่หายใจแล้ว การจับลมหายใจไม่จำเป็นต้อง ๓ ฐาน จะเป็น ๓ ฐาน ๕ ฐาน ๗ ฐาน ฐานเดียวหรือรู้ตลอดกองลมก็ได้ แล้วแต่เราถนัด พอลมหายใจเบาลงให้รู้ว่าเบาลง พอลมหายใจหายไปให้รู้ว่าหายไป กำหนดใจรับรู้นิ่ง ๆ ไว้เฉย ๆ อย่าไปดิ้นรนหายใจใหม่ เพราะตอนนั้นจิตไปกับประสาทแยกออกจากกัน จะไม่ยอมรับรู้ลมหายใจ ต่อให้คุณหายใจอยู่ก็ไม่รู้

ถาม : ตัวเกร็งครับ ?
ตอบ : ตั้งใจว่าถึงตายลงไปเราก็จะไม่ทิ้งการปฏิบัติ ถ้าตัดใจอย่างนั้นได้จะได้ดีเร็ว แต่ส่วนใหญ่จะไปกลัว แล้วก็เลิกทำไปเลย

เถรี
08-10-2015, 19:18
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ส่วนใหญ่พวกเราระยะหลังมักจะขาดศรัทธา ชอบมาถามว่าของจริงหรือเปล่า ? เรื่องของพระบรมสารีริกธาตุหรือพระธาตุต่าง ๆ ไม่ได้สำคัญว่าจริงหรือเปล่า แต่สำคัญที่เราระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยหรือเปล่า ถ้าเราระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยเป็นพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ กุศลใหญ่ก็จะเกิดแก่ตนเอง แต่ถ้าหากเราไม่ได้ระลึกถึงเลย ต่อให้เป็นของจริงก็ไม่มีประโยชน์

แล้วระยะนี้มีพวกสิ้นสติ ส่งพระบรมสารีริกธาตุไปทางไปรษณีย์ อาตมาแกะกล่องออกมา ถ้าอยู่ใกล้ ๆ นี่จะเป่ายันต์รอบพิเศษให้...! ต้อง "ยัน" ให้หนัก ๆ หน่อย ของสำคัญขนาดนั้นดันส่งทางไปรษณีย์ อะไรจะอยากได้บุญกุศลจนสิ้นสติได้ขนาดนั้น ถึงเวลาเขาก็โยนกล่องกองซ้อนทับกันไม่รู้กี่ตลบต่อกี่ตลบ ใส่ถุงใส่กระสอบเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลง เดินข้ามบ้างเหยียบบ้าง นอกจากเกิดโทษแก่ผู้อื่นที่ไม่รู้ว่ามีของสำคัญ ก็ยังเกิดโทษแก่ตนเอง เพราะกำลังใจหยาบเกินไป ไม่ได้ระลึกถึงว่าอะไรเหมาะอะไรควร แต่เชื่อเถอะ..ถึงพูดไปก็เท่านั้น เดี๋ยวก็จะมีไอ้พวกอยากได้บุญส่งไปอีก"

เถรี
09-10-2015, 16:36
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้อาตมาถูกหวย ไม่รู้ว่ารางวัลอะไร อยู่ ๆ คุณจารุก็เอาล็อตเตอรี่มาให้ บอกว่าถูกหวยแต่ไม่ได้ไปเบิก ก็เลยถวายล็อตเตอรี่ให้อาตมาไปขึ้นเงินเอง ป้าจี๋รับไปแทน แต่ว่าให้มากี่สตางค์อาตมาก็ไม่ได้ดูเหมือนกัน (ถูกเลขท้าย ๓ ตัวค่ะ) เคยมีคนถูกรางวัลที่ ๑ ควบเลขท้าย ๓ ตัว เพราะว่าเลขตรงกัน แต่เมื่อเอาไปขึ้นที่ร้านค้า เจ้าของร้านให้รางวัลเดียว ซึ่งความจริงต้องได้ ๒ รางวัล

สมัยเด็ก ๆ พี่ก้องเกียรติวิ่งจากโรงเรียนรวดเดียวถึงบ้านเลย ซื้อล็อตเตอรี่เอาไว้ ปรากฏว่าพอเขาประกาศผล จำได้ว่าตัวเองถูก อารามดีใจเกิดปีติขึ้นมาอีท่าไหนไม่รู้ วิ่งจากโรงเรียนรวดเดียวถึงบ้านเลย ปรากฏว่าพอไปดูแล้วไม่ถูก สลับกันเลขเดียว จำได้เพราะว่าตอนเขาประกาศรางวัลฟังดูตรงหมดทุกตัว คิดว่าใช่..เลยวิ่งกลับบ้าน อารามปีติจึงไม่เหนื่อย คาดว่าพอตรวจดูแล้วผิดนี่คงเหี่ยวไปเลย

สมัยอาตมาเด็ก ๆ ก็ไม่เข้าใจที่เขาเดินขายกัน “เรียงเบอร์ครับ เรียงเบอร์” คืออะไรวะ ? จะว่าเด็กก็ไม่เด็กมากหรอก เข้ากรุงเทพฯ มาใหม่ ๆ นี่เรียนจบ มศ. ๓ แล้ว แต่ไม่รู้หรอกว่าเรียงเบอร์คืออะไร มารู้ทีหลังว่าใบตรวจหวย ต้องบอกว่าทางโรงพิมพ์เขาฉลาด เปิดเสียงคนขานเลขพร้อมกับเรียงตัวเลขไปด้วย พอเขาประกาศเสร็จ ก็เรียงจบพิมพ์ได้เลย ต้องบอกว่าเก่งมาก ๆ เพราะเขาอ่านแค่ ๒ ครั้งเท่านั้น เพราะว่าอ่านซ้ำทางนี้ก็เรียงเสร็จพอดี

คนเรียงพิมพ์สมัยก่อนเก่งมาก เพราะไม่ใช่ระบบคอมพิวเตอร์ แต่เป็นตัวอักษรตะกั่ว ต้องจับมาเรียงแถว ๆ เขาถึงได้ใช้คำว่าเรียงพิมพ์ จัดเรียงเป็นบรรทัด ต้องจัดอะไรให้พอดี ไม่เหมือนกับสมัยนี้ คอมพิวเตอร์สั่งจัดหน้าได้หมด เพราะฉะนั้น..คนสมัยก่อนเก่ง ที่เก่งมากเลยก็คือต้องเรียงกลับด้าน พอถึงเวลาเขาพิมพ์จะได้ตรงพอดี"

เถรี
09-10-2015, 16:43
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีคนบอกว่าประเทศไทยเราล้าหลังอาเซียนทั้งหมด ไม่น่าจะจริง เพราะตอนนี้เราเป็นผู้นำอาเซียนแล้ว ขนาดมาเลเซียยังเลียนแบบสีเหลืองสีแดงไปใช้เลย เพียงแต่อาตมาไม่ได้ติดตามข่าวว่าของเขาสีแดงฝ่ายไหน สีเหลืองฝ่ายไหน จะภูมิใจดีหรือเปล่าว่าเราเป็นผู้นำอาเซียนในสิ่งที่ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวสักเรื่อง ส่วนเรื่องดี ๆ กลับอวดชาวบ้านเขาไม่ได้ ไม่สามารถเป็นผู้นำเขา

ตอนบ้านเราเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ฝรั่งเรียกต้มยำกุ้งไครซิส คือวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง แล้วก็ลามไปทั่วโลก ประเทศเราเป็นประเทศเล็ก ๆ ยังทำเอาหลายประเทศเอียงกะเท่เร่ล้มตามไป ต้องให้ IMF มาช่วยดูแล ซึ่งการดูแลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ส่วนใหญ่แล้วอยู่ในลักษณะบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่เขาคิดว่าดี ทำให้ประเทศชาติเราเสียหายเป็นแสน ๆ ล้านบาท ที่อาตมาพูดนี่ก็คือว่า หากประเทศใหญ่ ๆ อย่างสหรัฐอเมริกาเกิดวิกฤตการณ์ขึ้นมา จะมีผลกระทบขนาดไหน ? โดยเฉพาะยุโรปกับอเมริกาผูกขาติดกันโดยตรง แล้วเวลายักษ์ล้ม ประเทศเล็ก ๆ อย่างพวกเราจะพลอยแบนไปด้วยหรือเปล่า ?

สถานการณ์ประเทศชาติไม่ค่อยจะดี ช่วยกันสวดมนต์ภาวนาให้มาก ๆ เข้าไว้ โดยเฉพาะภาวนาคาถาเงินล้านให้เป็นปกติ อย่างน้อยจะได้ช่วยผ่อนหนักเป็นเบา เรื่องเบาจะได้หาย ถ้าหากว่าเรื่องดีจะได้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป"

เถรี
09-10-2015, 16:52
https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xtp1/v/t1.0-9/s720x720/1546221_10204577671630586_6079074608172466976_n.jpg?oh=227bfd4a841bc5e49143fed34ffeb212&oe=56939A22&__gda__=1451785991_67198fa196e3e58e9fc032781af27ca8


พระอาจารย์กล่าวว่า "เสื้อกระโถนข้างธรรมาสน์รุ่นนี้ อาตมาเลือกสีเอง หมอดูเขาบอกว่าสีนี้ถูกโฉลกกับวันเกิดอาตมา ลองดูว่าใส่กันเยอะ ๆ แล้วจะช่วยอะไรได้บ้าง

อาตมาไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ เชื่อบุญเก่า กรรมเก่าที่เราทำมา ถ้าเราทำบุญเอาไว้ดี เรื่องดี ๆ ก็จะเกิดขึ้นในชีวิตของเราเอง ตำราพรหมชาติท่านดูเอาไว้ค่อนข้างจะแม่นยำ ท่านว่า
สิทธิการิยะ หญิงชายใดเกิดวันอาทิตย์ จิตนั้นพลันมักง่าย ทำบุญแก่ใครเหมือนไฟตกน้ำ สร้างบุญคุณไปเถอะ คนเขาไม่เห็นความดีหรอก
เจรจาเลิศล้ำ ไม่มีความผิด จะได้ดีเพราะคำพูด
น้ำใจซื่อตรง คงสัตย์ต่อมิตร รักง่ายใจจิต ไม่คิดเสียดาย เป็นคนรักเพื่อนฝูงมีน้ำใจซื่อสัตย์
ถ้อยความมาต้อง ถึงสองสามราย ร้ายแล้วกลับกลายคืนดีภายหลัง จะเกิดคดีความ เกิดเรื่องเกิดราวอย่างน้อย ๒-๓ ครั้งในชีวิต แต่ว่าจะเปลี่ยนจากร้ายเป็นดีทุกที
เมื่อน้อยไร้ทรัพย์ เมื่อโตกลับมั่งคั่งสมบูรณ์ แสดงว่าโตขึ้นแล้วถึงจะรวย เด็ก ๆ จะยากจน

แต่ถ้านับพื้นฐานดวงแล้ว คนเกิดวันอาทิตย์ที่อยู่ไม่ถึง ๘๐ ปีไม่รวยหรอก เพราะดาวศุกร์ที่เป็นดาวเงินมาทีหลังสุด ต้องเป็นอาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส เสาร์ ราหู แล้วถึงจะศุกร์ ดาวศุกร์ที่เป็นดาวเงินมาช้าที่สุด คนที่เกิดมาแล้วรวยง่ายที่สุดคือวันศุกร์ เกิดมาดาวเงินก็เข้าเลย"

เถรี
09-10-2015, 16:55
"เรื่องของโหราศาสตร์อย่าเชื่อถือมากนัก ในขณะเดียวกันก็อย่าลบหลู่ เพราะว่าทางพราหมณ์เขาเก็บสถิติต่อเนื่องมาเป็นพัน ๆ ปี ว่าคนที่เกิดในวันเดือนปีอย่างนี้ ๆ ถึงเวลาถึงวาระอายุเท่านั้นเท่านี้ จะมีเรื่องอย่างนี้ ๆ ขึ้น ซึ่งก็คือเรื่องของบุญของกรรมที่เคยทำไว้ส่งผลนั่นแหละ คนที่เกิดมาใกล้เคียงกัน ก็ทำบุญทำบาปมาใกล้เคียงกัน เรื่องราวที่เกิดขึ้นจึงคล้าย ๆ กัน

ในเมื่อสถิติที่เขาเก็บต่อเนื่องมาเป็นพัน ๆ ปี สรุปลงมาเป็นศาสตร์ก็คือโหราศาสตร์แล้ว ก็เป็นเรื่องที่พอจะเชื่อถือได้ แต่ว่าเต็มที่ก็ได้สัก ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าใช้ทิพจักขุญาณ มีความสามารถจริง ๆ ก็จะได้ถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าถามว่าขนาดทิพจักขุญาณทำไมไม่ถึง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ? ก็เพราะว่ามี ๒๐ เปอร์เซ็นต์ที่กำลังใจเกินมนุษย์มนาทั่วไป เรื่องของคำทำนายทายทักไม่มีประโยชน์ เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้บ้า ๆ บอ ๆ กำลังใจเกินมนุษย์มนา ต่อให้ใครบอกว่าไม่ดีก็จะเอาให้ดีให้ได้

ส่วนใหญ่ท่านทั้งหลายเหล่านี้มาสายพุทธภูมิ ปรารถนาจะบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคต กำลังใจจะมากล้นเกินคนปกติ วิชาโหราศาสตร์จึงใช้กับท่านเหล่านี้ไม่ได้"

เถรี
09-10-2015, 18:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "รูปหลวงพ่อวัดท่าซุงรูปนี้เกิดจากหลวงพี่อาจินต์ อาตมาก็ทำรูปลักษณะนี้แหละ เป็นกล่องไฟเล็ก ๆ โตประมาณกระเป๋าเอกสาร พอช่างมาส่ง หลวงพี่อาจินต์ก็บอกว่า "เฮ้ยเล็ก...สวยจังว่ะ ขอพี่เถอะ" อาตมาก็ "อ้าว...ไหงเป็นอย่างนั้นล่ะ ?" "เออน่ะ...แกเอาของพี่ไป" แล้วท่านเอารูปที่ม้วนอยู่ส่งมาให้ ด้วยความซื่ออาตมาก็ไม่รู้ว่าท่านม้วนทางด้านกว้าง เห็นว่าใหญ่กว่าของเราไม่เท่าไร ก็ส่งให้ช่างเขาไปทำให้ใหม่

สรุปว่าช่างต้องเอารถกระบะขนรูปนี้มาให้ อาตมาเห็นก็ตกใจ เพราะว่าบรรทุกมารูปเดียวล้นคันเลย ถามทำไมใหญ่อย่างนี้ ? ช่างเขาบอกว่าก็ใหญ่เท่านี้แหละครับ ยังโชคดีที่อาตมาภาวนาคาถาเงินล้านขึ้นตั้งแต่แรก ก็เลยมีเงินจ่าย คิดดูว่าปลายปี ๒๕๓๕ ต้นปี ๒๕๓๖ รูปนี้ราคา ๓๐,๐๐๐ บาท ปัจจุบันนี้ ๕๐,๐๐๐ บาท ทำได้หรือเปล่าก็ไม่รู้

นาน ๆ จะเปิดไฟเสียทีหนึ่ง ชมกันให้ชื่นใจ เพราะว่าข้างในมีหลอดสั้นตั้ง ๘ หลอด ขืนเปิดทุกวันจ่ายค่าไฟตายเลย"

เถรี
09-10-2015, 18:59
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "ให้ลูกกินนมเยอะ ๆ แม่จะได้ผอมลง ส่วนใหญ่ที่ท้องแล้วอ้วนเพราะไม่ให้ลูกกินนม เขาอ้วนเพราะว่าเตรียมให้ลูกกิน พูดง่าย ๆ คือธรรมชาติให้ร่างกายสะสมไว้เผื่อเด็ก แต่ปรากฏว่าคนเป็นแม่กลับไม่ให้ลูกกินนม ไปกินนมกระป๋องนี่บรรลัยเลย เด็กคลอดใหม่ ๆ มาอย่าให้กินนมกระป๋องเด็ดขาด เพราะถ้ากินนมกระป๋องแล้ว น้อยคนจะยอมกินนมแม่ เพราะนมกระป๋องหวานกว่า เด็กติดรสหวานไปแล้ว"

เถรี
09-10-2015, 20:40
พระอาจารย์กล่าวถึงวัตถุมงคลต่อไปที่จะสร้างว่า "บาตรน้ำมนต์ฉลองอายุ ๕ รอบที่จะสร้าง เอาขนาดปากบาตร ๖ นิ้ว จะได้ใหญ่สะใจหน่อย ทำสัก ๖๐ ใบเท่าอายุก็พอ ให้แย่งจนเหยียบกันตายไปเลย ครอบน้ำมนต์วัดอื่นเขาทำเล็ก ๆ ของเราจะไปขี้เหนียวทำไม ? ทำใบใหญ่ ๆ ไปเลย ใครอยากได้ก็เก็บเงินไว้ ราคาน่าจะเป็นแสนเพราะนวโลหะมีทองคำผสมเยอะ แล้วของมีน้อย ถึงเวลาแย่งกันจองให้หัวทิ่มอยู่ตรงนั้นแหละ"

เถรี
09-10-2015, 20:45
พระอาจารย์กล่าวว่า "สรุปว่าปีนี้คุณเต้ยรับเป็นเจ้าภาพผ้ากฐินปลดหนี้ที่เนปาลกัน ใครจะร่วมบุญด้วยไปทำที่คุณเต้ย อาตมาจะได้ไม่ต้องเอาผ้าไปเอง ถ้าหากว่าลืมก็จะจับพวกเราที่ไปด้วยนั่นแหละ สละผ้าคนละชิ้นแล้วเย็บกันตรงนั้นเลย...!

งานนี้คุณนวลจันทร์ เพียรธรรม เจ้าของเอ็นซี ทัวร์ ไปสำรวจพื้นที่มาแล้ว แจ้งให้ทราบว่าเขาบูรณะจวนจะสมบูรณ์แล้วสำหรับสิ่งที่พัง ๆ ไปตอนแผ่นดินไหว ก็แปลว่าถ้าไปก็มีให้ดู"

เถรี
09-10-2015, 20:47
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานวัดท่าขนุนเดือนนี้ก็มีเป่ายันต์เกราะเพชรวันที่ ๑๗ ตุลาคม บวงสรวงตอน ๐๗.๓๐ น. เป่ายันต์รอบแรก ๑๐.๐๐ น. รอบบ่าย ๑๓.๐๐ น. คาดว่ารอบบ่ายคงแทบไม่มีใครเหลือ แต่ก็ต้องทำเพราะว่าท่านที่ไม่ได้มา เขารอรับกันตามเวลาอยู่ทางบ้าน

วันที่ ๒๘ ตุลาคม มีกฐินกับตักบาตรเทโวฯ ตักบาตรเทโวฯ ช่วงเช้า ทอดกฐินตอนบ่ายโมง อาตมาจะเข้ากรรมฐานก่อนกฐิน ๓ วัน ก็คงจะเป็นวัน ๑๓ –๑๕ ค่ำ ออกมารับบาตรเทโวฯ พอดี จะเดินไหวหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ไม่เป็นไรหรอก...พระท่านสั่งก็ทำไป ถ้าตกเขาตายก็จบ ...(หัวเราะ)...

ต้องเริ่มเข้ากรรมฐานวันที่ ๒๕ ไปออกเช้ามืดวันที่ ๒๘ ที่อื่นเขาทำบุญถวายทานกับพระออกกรรมฐาน ของเราถวายกฐินกับพระออกกรรมฐาน จะเก็งกำไรเยอะไปหรือเปล่า ? กลัวอย่างเดียวว่าจะไปเป็นลมขายหน้าเขาตอนเดินรับบาตร ถ้ารับกฐินไม่กลัวหรอกเพราะนั่งอยู่กับที่ ตอนรับบาตรเดิน ๆ แล้วล้มตึงไปนี่ขายหน้าชาวบ้านเขา"

เถรี
10-10-2015, 14:15
พระอาจารย์กล่าวว่า "ฉบับหน้าจะมี "อีหรอบเดียวกัน" ลงในกระโถนข้างธรรมาสน์ จนป่านนี้แล้วหลายคนยังไม่รู้เลยว่าอีหรอบคืออะไร ? ก็คือยุโรปนั่นแหละ แต่รุ่นปู่ย่าตาทวดเราสมัยรัชกาลที่ ๕ รัชกาลที่ ๖ อ่านว่าอีหรอบ สมัยก่อนเขาออกเสียงไม่เหมือนเรา อย่างโทรเลข เทเลกราฟ เขาเรียก ตะแล็บแก๊บ สถานี สเตชั่น เขาเรียก กะเตชั่น แล้วสมัยนี้เขาเป็นอียู รวมกันเป็นประชาคมยุโรป ก็เลยเป็นอีหรอบเดียวกัน"

ถาม : อ่านอีหรอบเดียวกันไม่ทันใจเลย ?
ตอบ : คนเขียนก็เขียนปางตาย หนักแรงมาก เพราะต้องนึกภาพย้อนหลังไปว่าตอนนั้นมีอะไรเกิดขึ้น หลายคนบอกว่าใส่รายละเอียดได้เหมือนกับไปเห็นด้วยตนเองเลย ถ้าหากคุณเขียนอย่างผม คุณก็เห็นด้วยตัวเองเหมือนกันแหละ เรื่องพวกนี้หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนเอาไว้ บอกว่าเป็นการซักซ้อมอตีตังสญาณ ซักซ้อมทิพจักขุญาณ ให้หมั่นทำเอาไว้ จะได้แจ่มใสชัดเจน ก็ไม่เห็นลูกศิษย์ท่านจะทำสักกี่คนเลย

ไปนึกถึงปลัดน้อย (พระอภิชัย สุธมฺมธมฺโม) คือนายอภิชัย นุตาลัย ในปัจจุบันนี้ มาถึงก็ "เฮ้ยเล็ก...ยืมหนังสือเล่มนี้หน่อย" "มึงยืมไปแล้วกูจำได้" "นั่นแหละกูจะอ่านอีก" "แล้วอ่านไปทำไม ?" "กูลืมไปแล้ว กูอ่านแล้วไม่ได้จำ กูอ่านเมื่อไรก็สนุกเมื่อนั้น มึงอ่านแล้วจำได้ ไม่สนุกหรอก"

เถรี
10-10-2015, 14:20
ถาม : หนูอ่านเพชรพระอุมาสามรอบแล้วค่ะ ?
ตอบ : สมัยอาตมาทำงานที่โรงงานไทยญี่ปุ่นเมตัลอุตสาหกรรม พอหลังอาหารกลางวัน มีหน้าที่เล่าเพชรพระอุมาให้เพื่อนฟัง โอ้โห...ล้อมวงกันดีแท้ ถ้าเก็บเงินนี่รวยเลย คนงาน ๗๐-๘๐ คนนั่งฟัง อาตมาก็เล่าให้เขาฟังเหมือนกับอ่านหนังสือ เขาถามจำได้ขนาดนี้เลยหรือ ? ก็จำได้นี่หว่าจะให้ทำอย่างไรเล่า ?

เพราะว่าอ่านเพชรพระอุมาเป็นตอน ๆ ในจักรวาลรายสัปดาห์ อ่านเป็นเล่มเล็ก ๆ ขนาดใส่กระเป๋าเสื้อได้ เล่มละ ๖ สลึง ๒ บาท แล้วก็มาอ่านปกแข็งรวมเล่ม ๑๘ เล่ม ปกแข็งรวมเล่ม ๒๒ เล่ม ปกแข็งรวมเล่ม ๒๔ เล่ม อ่านทุกชุด ตอนช่วงนั้นปกแข็งรวมเล่มราคาหน้าปก ๓๕ บาท แล้วลดครึ่งราคาเหลือ ๑๗.๕๐ บาท ต้องเก็บเงินได้ค่าแรงวันละ ๒๕ บาท ถึงเวลาค่าแรงออกอาทิตย์หนึ่งก็ซื้อเล่มหนึ่ง บอกเจ้าของร้านไว้เลยว่า เล่มต่อไปห้ามขายให้ใครนะ อาทิตย์ต่อไปจะมาซื้อ เขาเห็นว่าติดตามจริงก็เลยเก็บไว้ให้ เพราะปกติถ้าเล่มไหนโดนดึงออกจากชุด คนซื้อยกชุดก็ไม่ซื้ออยู่แล้ว อ่านมากขนาดนั้นจะไม่ให้จำได้ทุกตัวอักษรได้อย่างไร

เถรี
10-10-2015, 19:14
ถาม : วัดอยู่ทองผาภูมิหรือครับ ?
ตอบ : อยู่อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ไกลหน่อย วิ่งมาที่นี่อย่างเร็ว ๆ ก็ ๓ ชั่วโมงครึ่ง อย่างช้าก็ ๔ ชั่วโมงกว่า ประมาณ ๒๘๐ กิโลเมตร

สมัยก่อนธุดงค์ไปที่นั่นก็ชอบใจพื้นที่ แล้วไปศึกษาความรู้จากหลวงพ่ออุตตมะบ้าง หลวงปู่สายบ้าง หลวงพ่อลำใยบ้าง ท่านก็เมตตาสอนให้ ใครจะนึกว่าไป ๆ มา ๆ จะได้เป็นเจ้าอาวาสวัดหลวงปู่สาย หลวงปู่สายมรณภาพปีเดียวกับหลวงพ่อวัดท่าซุงเลย และก่อนเดือนครึ่งด้วย ท่านมรณภาพ ๑๔ กันยายน ช่วง ๑๐๐ วันของท่านอาตมาก็วิ่งไปวิ่งมาอยู่ ๒ วัด สวดพระอภิธรรมถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงเสร็จตอน ๒ ทุ่มครึ่ง ก็วิ่งจากวัดท่าซุงมาวัดท่าขนุน ทำบุญเช้าวัดท่าขนุนเสร็จก็วิ่งกลับวัดท่าซุง คนจะไม่รู้เพราะว่าวิ่งตอนกลางคืน พอเจ้าอาวาสผ่านไป ๒ รูป ลูกศิษย์ที่ทันบวชกับหลวงปู่สายไม่มีเหลือแล้ว พอถามไปถามมา เออ...อาจารย์เล็กยังอยู่ เคยเรียนวิชากับหลวงปู่ เขาก็เลยมานิมนต์ไปเป็นเจ้าอาวาส

ถาม : ที่วัดเป่ายันต์เกราะเพชรด้วยหรือครับ ?
ตอบ : ก็ไม่นึกว่าจะได้ทำ เพราะตอนที่ครอบครูเป่ายันต์เกราะเพชรมีตั้ง ๙ รูป แล้วอาตมาอาวุโสเกือบน้อยที่สุด ตอนครอบครูเพิ่งจะ ๗ พรรษา มีรุ่นน้องอีกรูปหนึ่ง ๒ พรรษาเอง ปรากฏว่ารุ่นน้อง ๒ พรรษาสึกไปแล้ว รุ่นพี่ก็สึกไปหลายคน ที่อยู่ส่วนใหญ่ออกมาข้างนอกหมด อย่างหลวงพี่วิรัชออกมา อาตมาออกมา หลวงตาวัชรชัยออกมา ก็ ๓ รูปแล้ว ท่านน้อยก็สึก ท่านชาติชายก็สึก ไม่รู้เหมือนกันว่าที่เหลือมีใครบ้าง ?

ถาม : หลวงพี่วัชรชัย ?
ตอบ : ท่านออกมาแล้ว ออกมาหลังอาตมาปีเดียว ท่านไปอยู่สระบุรีจนกระทั่งเป็นเจ้าคณะอำเภอ เพิ่งจะลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอ อาตมาก็ลาออกจากเจ้าคณะตำบลมาทีหนึ่ง นี่โดนจับยัดให้เป็นใหม่อีกแล้ว

หลวงตาท่านลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะตำบลเขาวง เจ้าคณะจังหวัดเซ็นให้ทันทีเลย นึกว่าใจดีปล่อยให้พัก ที่ไหนได้..ตั้งให้เป็นรองเจ้าคณะอำเภอต่อ ท้ายสุดก็ขึ้นเป็นเจ้าคณะอำเภอ

กลายเป็นว่าที่เหลืออยู่ในวัดแทบจะไม่มีตัวแล้ว อาตมาก็อาวุโสน้อยมาก แต่ทำไมท่านสั่งให้เป่ายันต์ฯ ? มาตอนนี้เลิกสงสัยแล้ว หลังจากที่เคยคุย ๆ กับบรรดาพี่ ๆ เขาบอกว่า คนที่หลวงพ่อจะใช้งานต้องติดต่อกับท่านได้ พวกที่ไม่ค่อยมั่นใจตัวเองท่านก็เลิกใช้

เถรี
10-10-2015, 20:22
พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กรุ่นใหม่รู้หรือไม่ว่าสารทไทยตรงกับสิ้นเดือน ๑๐ ? โบราณเขาว่า "ตรุษ ๔ สงกรานต์ ๕ สารท ๑๐" ก็คือวันตรุษไทยจะตรงกับสิ้นเดือน ๔ สงกรานต์ตรงกับกลางเดือน ๕ สารทไทยตรงกับสิ้นเดือน ๑๐ คราวนี้คนฟังไปตีความเพี้ยน ไปตีความว่าวันตรุษไทยให้ทำบุญ ๔ วัน สงกรานต์ให้ทำบุญ ๕ วัน สารทไทยทำบุญ ๑๐ วัน

หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า "โคตรแม่มึงทำไปคนเดียวเถอะ กูไม่ทำกับมึงหรอก ทำบุญตั้ง ๑๐ วัน พระไม่ต้องทำอะไรกันพอดี" คนที่ตีความผิดคืออดีตมัคคนายกวัดท่าซุง อาจารย์สง่า สาโรจน์ อะไรที่ยืดเยื้อเยิ่นเย้อ เสียเวลาทำมาหากินชาวบ้านเขา จะทำบุญตั้ง ๑๐ วัน ก็ทำไปคนเดียวเถอะ การทำบุญนะดี แต่ถ้าทำลักษณะนั้นเดือดร้อนชาวบ้านเขา

สารทไทยตรงกับสิ้นเดือน ๑๐ สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของสารทไทยก็คือกระยาสารท ที่ดังมาก ๆ ไม่แน่ใจว่าเป็นกำแพงเพชรหรือเปล่า ? เพราะว่าต้องคู่กับกล้วยไข่ กระยาสารทมักจะหวานมาก กินคู่กับกล้วยไข่จะตัดรสหวานได้ ส่วนตรุษไทยนั้นจะเป็นข้าวเหนียวแดง ถ้าสงกรานต์จะเป็นกาละแม เดี๋ยวนี้พวกขนมประจำสารทพวกเราจำกันไม่ได้แล้ว ที่อาตมาจำแม่นเพราะตอนเด็ก ๆ ต้องรอ ถ้าไม่มีตรุษ ไม่มีสารท ก็ไม่มีขนมกิน บ้านที่ฐานะไม่ดี ปีหนึ่งทำขนม ๒-๓ ครั้งก็ถือว่ามากแล้ว กว่าจะได้กินอีกทีก็โน่น หน้าลงแขกเกี่ยวข้าว ทำขนมเลี้ยงแขก ส่วนใหญ่ก็เป็นลอดช่องน้ำกะทิ ก็กินกันได้กินกันดีเหมือนกัน เพราะไม่มีอะไรจะกิน

ลงแขกเกี่ยวข้าวเป็นประเพณีที่ดีงาม แสดงออกถึงความสามัคคีของชาวบ้าน ไม่ว่าจะหมู่บ้านเดียวกัน หรือหมู่บ้านอื่น สมัยก่อนเขาใช้คำว่า "เอาแรงกัน" เวลาบ้านเขาเกี่ยวข้าวเราก็ไปช่วย ถึงเวลาเวลาบ้านเราเกี่ยวข้าวบ้านเขาก็มาช่วยคืน ถึงได้เรียกว่า "ลงแขก" คือเรียกแขกช่วยกันลงนาเกี่ยวข้าว มะรุมมะตุ้มพักเดียวก็เสร็จ แต่ความหมายของคำว่าลงแขกสมัยหลัง กลายเป็นรุมข่มขืนผู้หญิงไป อะไรที่เก่า ๆ หลัง ๆ ก็กลายเป็นเพี้ยนไป โบราณถึงบอกว่า ของกินถ้าไม่ได้กินก็เน่า เรื่องเล่าถ้าไม่ได้เล่าก็ลืม"

เถรี
10-10-2015, 20:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "โดยปกติถ้าเป็นเดือนตุลาคมก่อนหน้านี้ ลมหนาวจะเริ่มมาแล้ว โบราณเขาเรียกว่าลมข้าวเบา ก็คือ ถ้าลมเย็นพัดมาข้าวจะเริ่มสุก ข้าวเบาคือข้าวที่มีอายุน้อย โตเร็ว สุกง่ายกว่า กระทบลมหนาวที่ยังไม่หนาวจริงก็เริ่มสุกแล้ว

สมัยเด็ก ๆ ชาวกรุงเทพฯ พอถึงเดือนตุลาคมก็ไปสักการะพระบรมรูปทรงม้าของในหลวงรัชกาลที่ ๕ ต้องใส่เสื้อกันหนาวไป งานพระบรมรูปฯ จึงเป็นงานอวดเสื้อกันหนาวของปี"

เถรี
12-10-2015, 12:14
ถาม : หลวงพ่อถาวร วัดปทุมวนาราม ท่านเส้นโลหิตในสมองแตกนอนอยู่โรงพยาบาลครับ ?
ตอบ : ไม่เห็นมีข่าวบ้างเลย ตอนปี ๒๕๓๒ ท่านยังเป็นพระมหาถาวร จิตฺตถาวโร ท่านไปกราบหลวงพ่อวัดท่าซุงในงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่มหาอำพัน พอท่านกราบลงหลวงพ่อวัดท่าซุงก็บอกว่า “มาถูกทางแล้ว ไปตามทางนั้นแหละ” รู้สึกว่าท่านดีใจมาก ท่านกราบแล้วก็ไปนั่งข้างหลังเลย ท่านคงตั้งใจมาจากวัดเลยเพื่อที่จะมาถาม พอกราบลงหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็บอกเลยว่ามาถูกทางแล้ว พอหลวงพ่อวัดท่าซุงมรณภาพ ท่านเป็นพระเถระรูปแรก ๆ ที่ไปคารวะศพ

พออาตมาเจอหน้าท่าน รื้อฟื้นความหลังท่านก็จำได้ทันที แต่ก็อย่างว่า..อาตมาเดินคู่กับท่านแล้วน่าเกลียด เพราะท่านสูงไม่ถึงไหล่ ถ้าท่านนั่งอยู่จะรู้สึกว่าองค์ท่านใหญ่ แต่พอยืนแล้วเหลือนิดเดียว

ตอนนี้ท่านเส้นโลหิตในสมองแตก นอนไม่ได้สติอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจมาเป็นเดือนแล้ว ข่าวคราวก็ไม่ออกเลย ท่านไปสร้างวัดถวายในหลวงอยู่ที่สระบุรี ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อวัดมงคลชัยพัฒนา อยู่ที่ ต.ห้วยบง อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.สระบุรี เคยแวะเยี่ยมท่านที่โน่นครั้งหนึ่ง ครูบาอาจารย์ก็เจ็บไข้ได้ป่วยล่วงลับกันไปเรื่อย ๆ ที่เหลืออยู่ก็โตไม่ทันใช้ โดยเฉพาะทางกาญจนบุรี

เถรี
12-10-2015, 12:19
ที่กาญจนบุรีเดี๋ยวนี้พระเกจิอาจารย์เด่น ๆ แทบจะไม่มีเลย พอสิ้นหลวงพ่อลำใย หลวงพ่ออุตตมะแล้วก็เงียบสนิท ที่ดังขึ้นมาก็ดังเฉพาะพื้นที่อย่างหลวงปู่ทองศุข วัดท่าตะคร้อก็เพิ่งมรณภาพไป พระอาจารย์วัชระ วัดถ้ำแฝดก็โดนอธิกรณ์จนต้องลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสไป พระอาจารย์วัชระนั่นอบรมเจ้าอาวาสรุ่นเดียวกับอาตมา

เรื่องของผู้หญิง ถ้าพระเราไม่รู้จักระมัดระวังจะเสียหายง่ายมาก เพราะคนมักจะจ้องจับผิดอยู่แล้ว ท่านเองไปเที่ยวต่างประเทศ ที่เขาถ่ายรูป คนถ่ายอ้างว่าเดินจับมือกันไป แต่จากรูปที่ออกมาเป็นรูปที่ถ่ายทางผู้หญิงซึ่งบังองค์ท่านอยู่ เห็นแต่ศีรษะ แล้วจะรู้หรือว่าจริงอย่างนั้นหรือเปล่า ? แต่ท่านก็ดี..พอมีเรื่องขึ้นมา เจ้าคณะอำเภอบอกให้ลาออกเสียก่อน พอเรื่องซาแล้วค่อยว่ากันเรื่องตำแหน่งใหม่ ท่านก็ลาออก ไม่อย่างนั้นวัน ๆ คนก็แห่ไปหาท่านเยอะแยะ เพราะว่าท่านสาวน้ำตาเทียนดูโชคชะตาให้

รู้สึกว่าถ้าเป็นพระหมอดูนี่คนจะขึ้นเยอะ เพราะต้องการที่พึ่ง อาตมาเลิกดูหมอได้นี่โล่งใจไปเลย ตอนนี้วัดใกล้ ๆ กันก็คือวัดอู่ล่อง แต่เดิมก็คือสำนักสงฆ์โชคผาสุกิจ ต้องบอกว่าเป็นคู่เขยกัน ท่านเป็นเจ้าคณะตำบลท่าขนุนเขต ๑ อาตมาเป็นเจ้าคณะตำบลท่าขนุนเขต ๒ ตำบลอื่นอิจฉาเพราะว่าในอำเภอทองผาภูมิแล้ว ๒ รูปนี้มีโยมไปหามากที่สุด ทางด้านโน้นเขาจะดูหมอ พอดูแล้วท่านจะให้โยมมาแก้บนที่วัดท่าขนุน น่าฆ่าให้ตาย...!

ที่มาแก้บนวัดท่าขนุนก็คือต้องมาจุดเทียนบูชาพระที่วัดท่าขนุน แล้วน่าจะประมาณเทียนเท่าอายุ เขาก็จะปักเต็มถาดแล้วจุดไปวางไว้บนพรมในโบสถ์ อาตมาเห็นแล้วร้องจ๊ากเลย บอกพระที่วัดว่าคุณอย่าไปคิดว่าอยู่บนถาดแล้วจะไม่ไหม้นะ เพราะพรมส่วนใหญ่สมัยนี้เป็นพวกใยสังเคราะห์ โดนความร้อนหน่อยก็ไหม้เหมือนกัน ท่านก็ประหลาดคนดีเหมือนกัน ดูหมอที่วัดแต่ให้เขามาแก้บนที่วัดท่าขนุน แต่ละวันทางเราก็เก็บเศษเทียนไปเถอะ

เถรี
12-10-2015, 14:48
พระอาจารย์กล่าวกับพระที่จะไปเป็นอาจารย์สอนพระนิสิตว่า "ถ้าไปเป็นอาจารย์สอนก็ให้ใช้หลักแบบผม เรื่องวิชาการใครก็ยัดให้เขาได้ แต่เรื่องของคุณธรรมเราจะทิ้งไม่ได้เลย คุณจะสังเกตว่าทำไมถึงเวลาแล้วเขาเรียกร้องให้ผมไปเป็นพระวิปัสสนาจารย์ ก็เพราะว่าเวลาผมสอนในชั่วโมง ผมจะไม่ลืมตบท้ายเกี่ยวกับเรื่องของความเป็นพระหรือพระธรรมวินัย จะเตือนสติพวกเขาไว้บ่อย ๆ เพราะว่าบางคนพอเรียนแล้วก็เหลิง เตลิดเปิดเปิงตามเพื่อนตามฝูง หรือไม่ก็ที่วัดตัวเองครูบาอาจารย์ไม่ได้อบรมเลย

ในเมื่อไม่ได้อบรมเลย พอถึงเวลาผมบอกว่าอะไรถูกอะไรควร อะไรไม่ถูกไม่ควร จะต้องปฏิบัติอย่างไร เขาเองได้ประโยชน์กันเยอะ ถึงเวลาก็ไม่อยากได้พระอาจารย์ท่านอื่น ถึงได้บอกว่าเวลาผมไปนี่ เรื่องสอนผมไม่ได้ใส่ใจเท่าไรหรอก เพราะว่าวิชาการต่อให้ผมไม่สอนเขาก็ค้นคว้ากันเองได้ สำคัญที่สุดก็คือเน้นย้ำเรื่องความเป็นพระของเรา แต่ว่าถ้าไปเน้นมากก็กลายเป็นว่ายัดเยียดให้เขาจนเกินไป ทำอย่างไรที่จะพอเหมาะพอดีจึงจะสมควร"

เถรี
12-10-2015, 15:23
ถาม : ผมอ่านในธรรมบท สำรับกับข้าวที่จัดไว้ถวายพระแล้วมีแมวแอบคาบไปกิน จะมีโทษแบบกากเปรตไหมครับ ?
ตอบ : ก็เป็นวิฬารเปรต เขามีกากเปรตอันนี้ก็ต้องเป็นวิฬารเปรต ดูท่าจะหนักกว่ากากเปรตนะ กากเปรตเขายังไม่ถวายพระ แต่กรณีนี้ถวายแล้ว แต่ก็อย่างว่าแหละ..เรื่องของสัตว์โทษไม่หนักเท่าคน ถ้าเป็นคนก็ลงอเวจีมหานรกเลย สัตว์ไปแค่เปรต ถ้าเมตตาก็ช่วยกันให้เขาหน่อย เอาฝาชีอะไรมาครอบไว้

สัตว์เขาถือว่าสิ่งที่เขาเจอเป็นของเขา ซึ่งหลักการเป็นคนละเรื่องกับคนเรา ในเมื่อเขาเจอเขาเป็นเจ้าของเขาก็จัดการสิ กลายเป็นว่าไปกินของสงฆ์เข้า

เถรี
12-10-2015, 15:25
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนกำลังฉันอยู่ โยมที่ดูแลเรื่องอาหารก็ยกพรวดออกไป อะไรวะ ? ถึงจะเป็นส่วนเกิน อาตมาไม่ได้ฉันก็เถอะ แต่พระยังฉันไม่เสร็จก็ไม่ใช่ของเหลือนะ ไม่ใช่ไปตีความว่า ไหน ๆ พระก็ไม่ได้ฉันแล้วจึงยกออกไปก่อน แบบนั้นก็หาเรื่องซวย ต้องฉันเสร็จแล้วจึงถือว่าเป็นวิทาสาโท คือเป็นของเหลือ แต่ถ้าฉันไม่เสร็จ เห็นว่าอย่างไรพระก็เอื้อมไม่ถึงแล้วยกออกเลย คนกินต่อก็ซวยไป

ทำอะไรไม่ค่อยจะถาม ตัดสินใจเอาเองโดยพลการ ตัดสินใจทีไรโดนทุกทีแหละ..!"

เถรี
12-10-2015, 18:34
ถาม : พระที่โดนอาบัติสังฆาทิเสสมาแล้วมาบอกเรา จะถือว่ายังปกปิดอยู่ไหมครับ ?
ตอบ : เขาบอกเรา เราก็รายงานต่อสิครับ จริง ๆ แล้วมาบอกเราไม่ได้ ต้องบอกท่านที่รับผิดชอบคือพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ถ้าท่านไม่ใช่เจ้าอาวาสก็ต้องรายงานเจ้าอาวาส

ถาม : ถ้าโดนอาบัติสังฆาทิเสสแล้วระหว่างที่อยู่ปริวาสไปโดนซ้ำอีก ?
ตอบ : ปุนัปปุนัง เริ่มต้นนับใหม่

ถาม : บวชรอบหลังจะเป็นพระหรือครับ ?
ตอบ : ยังไม่ทันที่จะเก็บของเก่าเสร็จเลยก็ไปผิดซ้ำแล้ว เขาเรียกว่าปุนัปปุนัง คือโดนแล้วโดนอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้จักเข็ด ท่านก็ปรับหนักกว่าเดิมอีก ถ้าสึกไปแล้วบวชใหม่ก็ราคาดีกว่าเณรหน่อยเดียว บวชแล้วต้องรีบไปเข้าปริวาส ครบตามโทษที่ได้รับแล้ว คณะสงฆ์จะสวดอัพภานคืนความเป็นพระให้

ถาม : แล้วถ้านับใหม่ ก็คือ เอาโทษเก่ากับโทษใหม่รวมกันใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ของเก่าเท่าไรบวกกับของใหม่อีก ๖ วัน ๖ คืน

เถรี
12-10-2015, 18:36
ถาม : การภาวนาคาถาเงินล้านแบบ ๑๐๘ จบ กับนั่งภาวนาสักครึ่งชั่วโมงแบบไหนจะดีกว่ากันครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าแบบไหนสมาธิดีกว่ากัน คาถาไม่ใช่สักแต่ว่าท่องให้คล่อง ๆ ปากเท่านั้น ต้องได้สมาธิด้วยผลถึงจะเกิด

เถรี
12-10-2015, 19:16
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้เดือนหนึ่งอาตมามีรายจ่ายเกี่ยวกับพระนิสิตประมาณ ๘-๙ หมื่นบาท เดือนหน้านี่ค่าเทอมออกจะตกประมาณ ๘ แสนบาท ไปหนักตรงปริญญาเอกค่าเทอม ๙ หมื่นบาท แล้วของวัดท่าขนุนเรียนอยู่ตั้ง ๓-๔ คน มีปริญญาโทอีกตั้งเยอะ

ที่วัดอื่น ๆ เขาไม่ค่อยส่งพระเรียน มักจะไปยัดเยียดให้วัดที่มีกำลังเพราะอย่างนี้แหละ..รายจ่ายมาก มีบางท่านบอกว่ากฐินผมทั้งปียังได้ไม่ถึงแปดหมื่นบาทเลย อาจารย์เล็กจ่ายลูกน้องเดือนหนึ่ง ๘-๙ หมื่นบาท ไม่ได้คิดจะไปคุยอวดเขาหรอก เขาถามเองว่าส่งพระเรียนรายจ่ายเยอะไหม ? บอกว่าตั้งเงินเดือนให้ท่านไป อะไรเล็กน้อยท่านก็จ่ายเอง ถ้าค่าเทอมท่านก็มาเอาที่ผม ถามว่าประมาณเดือนละเท่าไร ? ก็เลยตอบท่านไป เล่นเอาทำท่าจะเป็นลมไปตาม ๆ กัน

แต่น่าเสียดายว่าพระภิกษุสามเณรของทองผาภูมิส่วนใหญ่แล้วขาดความพยายาม อาตมาตั้งทุนการศึกษาให้พระวัดอื่น ๑๐ ทุน ไม่มีใครมารับเลย คือจะจ่ายให้ทุกเดือน ขอให้ไปเรียนเท่านั้น แต่ไม่เอากันเลย จนกระทั่งท้ายสุด พระวัดท่าขนุนรำคาญ ก็เลยไปเรียนกันเอง อุตส่าห์ตั้งให้แล้วไม่เรียนกัน เรียนเองก็ได้วะ..!

ปีนี้มีท่านวิชาญ สิริสมฺปนฺโน มาจากวัดท่ามะเดื่อ ของพระครูสมจิตร พระอุปัชฌาย์ขาประจำของวัดท่าขนุน ไปเรียน ปปส. อยู่ที่วัดใต้ มักจะเข้าเรียนสาย เพื่อน ๆ ก็ถามว่าจะเช็คขาดไหม ? อาตมาบอกว่าเอ็งไม่ต้องเช็คหรอก เพราะข้ารู้ว่าท่านมาไกลแค่ไหน วัดท่านอยู่ไกลกว่าข้าอีก วัดท่านยังเลยวัดท่าขนุนไปอีก ๒๐ กว่ากิโลเมตร จากวัดท่าขนุนลงมาถึงวัดใต้ก็ ๑๔๐ กิโลเมตรแล้ว ท่านเอง ๑๖๐ กว่ากิโลเมตร เลยขึ้นไปทางด้านปิล็อก ขอให้มาเรียนเท่านั้นแหละ ไม่เช็คขาดหรอก มาสายหน่อยก็ได้ เพราะชั่วโมงแรกส่วนใหญ่ท่านมาไม่ทัน

ขอให้มีความเพียรในการเรียนเท่านั้นแหละ ครูบาอาจารย์ท่านสนับสนุนอยู่แล้ว จะไปบีบคั้นอะไรกันนักหนา ให้มาตรงเวลาตลอดได้ที่ไหน ไม่ใช่นักเรียนประจำนี่ครับ ขนาดนักเรียนประจำอยู่หอข้างห้องเรียน บางทียังป่วยมาไม่ไหวเลย"

เถรี
13-10-2015, 13:58
พระอาจารย์สนทนากับพระลูกวัดที่ไปเรียนบาลี "เรื่องเก็งข้อสอบนั้นดูได้ แต่อย่าไปใส่ใจมาก คือเรียนแล้วควรจะรู้ให้ครบ ไม่ใช่ไปเลือกท่องเฉพาะที่เก็งไว้ เลือกท่องเฉพาะที่เก็ง ถ้าไม่ออกก็เจ๊งทุกราย

ปีแรกที่มหาเอท่านสอบ ตอนช่วงเช้าวันสอบผมก็โทรไปหาท่าน เพื่อจะบอกว่าออกตรงไหน แต่ว่าเป็นเรื่องของเวรของกรรม เพราะว่าท่านไม่รับโทรศัพท์ คือท่านปิดโทรศัพท์เพื่อที่จะตั้งหน้าตั้งตาท่องหนังสือ ผมก็เลยฝากข้อความไว้ แล้วท่านมาเปิดหลังจากสอบเสร็จแล้ว โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง ตั้งแต่นั้นมาผมเลิกบอกข้อสอบเลย"

ถาม : ตอนนี้บอกใหม่ได้นะครับ
ตอบ :...(หัวเราะ)... ไม่เอาแล้ว ได้ด้วยความสามารถตัวเองภูมิใจกว่า เป็นห่วงท่าน อุตส่าห์บอกไป ปรากฏว่าท่านก็ดีจริง ๆ ปิดโทรศัพท์ท่องหนังสือ

เถรี
13-10-2015, 14:04
ความจริงพระวัดท่าขนุนของเรา ส่วนใหญ่แล้วจะมีการศึกษาทางโลกมาก่อน อย่างไม่มีเลยในปัจจุบันนี้ก็จบ ม.๖ ในเมื่อเป็นอย่างนั้นจึงพอไปแข่งกับบรรดาเด็กต่างด้าวได้ อาตมาใช้คำว่า "ไปตบเด็ก" บางคนจบปริญญาโทจากต่างประเทศ ส่วนเด็กพม่า เด็กกะเหรี่ยง บางทีกว่าจะปั้นหนังสือไทยได้สักบรรทัดหนึ่งปาไปครึ่งชั่วโมง กลายเป็นว่าคุณภาพต่างกัน วัดอื่นเขาจะมาว่าวัดท่าขนุนก็ไม่ถูก

ท่านปัญญาเป็นอย่างไรบ้าง ? อักขระเลขยันต์นี่เข้าใจขึ้นเยอะเลยว่ามาจากไหน..ใช่ไหม ? คุณไม่ได้เจตนาเรียนบาลี แค่จะหนีคนเท่านั้นเอง แต่ไหน ๆ เรียนแล้วก็เอาให้เต็มที่ เขามาก็ปฏิเสธเขาได้ แหม...ไม่ใช่ประเภทปฏิเสธคนไม่เป็น ท้ายสุดก็ต้องหนีเขา ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องหนีไปทั้งชาติ ผมเองนั่งรับสังฆทาน ถ้าหมดเวลาผมก็ลุกเลย ประเภทเพิ่งมา "เดี๋ยวก่อน ๆ" นี่ผมไม่ได้ยินหรอก จะเจริญศรัทธาต้องมีปัญญาประกอบด้วย ดูว่าอะไรเหมาะอะไรควร ไม่ใช่เรียกใช้ตูก็ไปกับเขาเรื่อย ไม่มีเวลาจะภาวนา ไม่มีเวลาจะพักผ่อน ท้ายสุดต้องหนีมาเรียนหนังสือ

ผมนึกถึงตัวเองเหมือนกัน ช่วงเรียนหนังสือเป็นช่วงพักผ่อน อยู่กับวัดนี่งานสารพัด บางคนบอกว่าอาจารย์ขยันเรียนจริง ๆ ไม่เคยขาดเลย บอกไปว่านี่แหละเวลาพักผ่อนของผม

เถรี
13-10-2015, 14:24
ถาม : กราบเรียนถามหลวงพ่อปรีชา วัดเขาอิติสุคโต ว่าหลวงพ่อไม่เรียนเอกต่อหรือครับ ท่านบอกว่า "โอ๊ย..ไม่เอาหรอก ไม่ใช่อาจารย์เล็ก..ท่านพระนักเรียน" ?
ตอบ : ชวนท่านตั้งแต่แรกแล้ว ท่านบอกว่า “อาจารย์เล็กไปเรียนคนเดียวเถอะ ผมไม่ไหวหรอก” อาตมาเองก็ไม่ใช่พระนักเรียนนะ มาสายปฏิบัติเหมือนกัน เพียงแต่ทำตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน อนากุลา จ กมฺมนฺตา เอตมฺมํคลมุตฺตมํ ทำอะไรไม่คั่งค้างจึงจะเป็นอุดมมงคล ไปเรียนให้ค้าง ๆ คา ๆ ทำไม ? ก็ลุยให้จบไปเลย

เรื่องการเรียนสำคัญที่สุดตรงสมาธิ ทิ้งสมาธิไม่ได้เด็ดขาดเลย ทิ้งเมื่อไรนี่จะท้อ ฉะนั้น..ต้องภาวนาสู้กันเลย

เถรี
13-10-2015, 14:33
สมัยที่ผมเรียนบาลี ตอนแรกผมก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน ตอนบิณฑบาตก็ท่องบาลีไปด้วยทุกเช้า ถึงเวลาก็เขียนใส่ซองปัจจัย โยมเขาถวายปัจจัยใส่ซองมา ซองเปล่าเหลือก็เสียดาย เก็บ ๆ ไว้ ถึงเวลาเขียนศัพท์ใส่แล้วก็เดินไปท่องไป เดี๋ยว ๆ ก็ล้วงขึ้นมาดู ญาติโยมคงคิดว่าพระรูปนี้มีสาวส่งจดหมายมาทุกวัน

ท่องไป ๆ แล้วรู้สึกเหมือนมีอะไรแตกโป๊ะข้างในหัว แล้วเข้าใจหมดเลย เข้าท่าดีเหมือนกัน ค่อย ๆ เรียนไป อย่างน้อย ๆ ก็เป็นมหาให้ได้ เอามากไม่ได้ สัก ๓-๔ ประโยคก็ยังดี แต่ที่ยากที่สุดก็ ๓-๔ ประโยคนั่นแหละ เพราะเป็นพื้นฐานที่ต้องหากินไปยันประโยค ๙ เลย แล้วประโยค ๗-๙ จะศึกษาเรื่องฉันท์ต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันนี้คนเก่งจริง ๆ มีน้อยลงไปเรื่อย ๆ แล้ว

หลวงพ่อบุญมา ท่านเจ้าคุณพระธรรมวโรดม วัดเบญจมบพิตร ก็มรณภาพไปแล้ว หลวงพ่อวัดราชโอรสตอนนี้เป็นพระมหาโพธิวงศาจารย์ ก็อายุกาลผ่านวัยไปเยอะแยะขนาดนั้นแล้ว คนเก่ง ๆ ล่วงลับไปเรื่อย คนใหม่ไม่หมั่นฝึกฝน ก็หาที่เก่งจริงได้ยาก

เถรี
13-10-2015, 14:36
ถาม : การพกตะกรุดมหาสะท้อน ?
ตอบ : อย่าให้ต่ำกว่าเอวก็พอ ถ้าอยู่กับตัวอย่าให้ต่ำกว่าเอว

ถาม : ถ้าอยู่ในกระเป๋า ?
ตอบ : ถ้าอยู่ในกระเป๋าก็ไม่เป็นไร

เถรี
13-10-2015, 14:38
พระอาจารย์เล่าว่า "เพื่อนพระเขาบอกว่าอาจารย์เล็กบ้า มีรถดี ๆ ไม่ขี่ เที่ยวไปไล่แจกวัดอื่นเขา มีใครขี่รถทีละ ๕ คันได้บ้างล่ะ ? ก็ได้ทีละคันเท่านั้น เหลือแล้วจะเอาไว้ทำอะไร ก็เอาไปแจกวัดอื่นเขา"

เถรี
13-10-2015, 15:15
ถาม : แก้วจักรพรรดิของวัดท่าซุง องค์เล็กของท่านปู่ องค์ใหญ่ของท่านย่าหรือครับ ?
ตอบ : องค์ใหญ่ของท่านปู่ องค์เล็กของท่านย่า อย่าสลับกันสิวะ..!

เถรี
13-10-2015, 15:57
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อช่วงเข้าพรรษาใหม่ ๆ แม่ชีขนบรรดาผ้าไตรและเครื่องสังฆทานไปถวายวัดไกล ๆ หลายคันรถ หลายวัดก็น่าสงสารเพราะว่าไทยธรรมต่าง ๆ ไม่ค่อยจะมี บางทีผ้าจีวรก็เก่าจนเปื่อยเลย ถามว่าทำไมท่านไม่ไปอยู่วัดที่เจริญ ? บางท่านก็ติดที่ติดถิ่น ก็บ้านอยู่ตรงนั้น บวชก็ต้องอยู่ใกล้บ้านตัวเอง คราวนี้พอเป็นที่กันดาร ญาติโยมไปทำบุญกันลำบาก จึงไม่ค่อยมีอะไร

วัดท่าขนุนมีหน้าที่ไล่แจกปีละครั้ง ที่ขำ ๆ ก็คือตั้งความหวังไว้สูง ถวายอาสนะวัดละ ๕ ที่ แต่หาพระครบ ๕ รูปยากมากเลย บางวัดมี ๒-๓ รูปนี่เยอะมากแล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นหลวงปู่หลวงตาอายุมาก ๆ บวชเฝ้าวัด แบบเดียวกับวัดหนองบัวสมัยก่อน พอพระอาจารย์แสงหนีมาอยู่เมืองไทย ทางด้านโน้นไม่ใครดูแลวัดก็จับสลากกัน ปรากฏว่าหลวงตาอินทร์พานจับได้ก็ต้องบวชเฝ้าวัด

หลวงตาอินทร์พานมรณภาพไปแล้ว หลวงตาเย็นก็มรณภาพไปแล้ว ครูบาญาณก็มรณภาพไปแล้ว บรรดาตัวละครในบันทึกเที่ยวพม่า ล่วงลับกันไปเป็นแถว ๆ "

เถรี
14-10-2015, 11:32
ถาม : ตกลงว่าหลวงตาเย็นท่านได้สึกไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้สึก...มรณภาพในผ้าเหลือง อาตมาถวายปัจจัยสร้างเมรุลอยให้วัดของครูบาญาณ เขาทำโมทนาบัตรมาให้ใหญ่มาก

คนบ้านหนองบัว สองแคว บ้านใหม่สามพระยา บอกว่าครูบาอาจารย์ใหญ่ของเรา ถ้าทำให้น้อยหน้าก็อายบ้านอื่นเขา อาตมาถามว่าแล้วเมรุลอยราคาเท่าไร ? เขาบอกว่า “สี่แสนบาท” เออ...เอาไป สี่แสนบาทถ้าเป็นเงินพม่าก็เอา ๒๗ คูณเข้าไป อาตมาเป็นเจ้าภาพเขาก็เลยทำโมทนาบัตรมาให้ เป็นสี่สีใบใหญ่เกือบเท่าเตียงนอน ใส่กรอบมาเสร็จสรรพ แต่ความจริงมีรายจ่ายหลายอย่างที่ไม่มีความจำเป็นต้องจ่าย แต่เขาก็ไปจ่าย อย่างเช่นทำซองบอกบุญพิมพ์สี่สี แล้วฎีกาข้างในเป็นกระดาษแข็งเดินทอง แพงเปล่า ๆ ต้องบอกว่าคุณทำได้อลังการสมเกียรติครูบาอาจารย์มาก แต่จ่ายมากไปโดยใช่เหตุ พอถึงเวลาคนก็เอาไปทิ้ง ซองใส่เงินกลับมาพอฉีกก็ต้องทิ้งอีก

จะไปว่าอะไรได้ ในเมื่อเขามีความคิดแต่ไม่มีสตางค์ ถึงเวลาได้สตางค์ไปก็ทำกันบรรลัยวายวอดหมด เมรุลอยทำสวย ๆ เป็นวิมาน ๙ ยอดสี่แสนกว่าบาท วันสุดท้ายก็เผาไปพร้อมศพ

ครูบาญาณเป็นพระผู้ใหญ่ใจดีมาก ๆ ไม่ถือเนื้อถือตัวกับใครเลย ที่ขำที่สุดคือตอนที่ถวายเครื่องตัดหญ้าให้ท่าน ท่านเก็บไว้ห้องนอนข้างเตียงเลย เพราะว่าของวัดหนองบัวพอถวายไปแล้ว พวกทหารขอยืมเอาไปตัดหญ้าที่ค่ายแล้วทำพัง ครูบาญาณท่านกลัวเขาจะมายืม ก็เลยเอาซ่อนไว้ข้างเตียงเลย

ด้วยความที่ค่านิยมเปลี่ยน จากที่แต่เดิมโยมเป็นคนสร้างโบสถ์วิหารการเปรียญถวายวัด ก็กลายเป็นพระต้องมาสร้างกันเอง ครูบาญาณท่านทำแทงค์น้ำ ฉาบปูนไปฉาบปูนมาก็ขว้างเกรียงทิ้ง บ่น “บักห่าเอ๊ย..กูหนีมาบวชเพราะขี้คร้านทำงาน ต้องมาทำหนักกว่าเก่าอีก” ...(หัวเราะ)...

เถรี
14-10-2015, 11:39
ถาม : เวลาคนเหาะกับหายตัว ที่จริงก็เป็นการทำให้ธาตุสี่ที่ประกอบขึ้นแบบไม่ใช่แท่งทึบ แทรกไปไหน ๆ เหมือนกันใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..ถ้าเราอธิษฐานให้ลอยไปช้า ๆ จะเป็นเหาะ แต่ถ้าเราตั้งใจไปถึงปลายทางเลยจะเหมือนกับหายตัว เพราะไปเร็วจนตามองไม่ทัน ยกเว้นว่าหายตัวด้วยอำนาจของนีลกสิณ อันนั้นต้องเรียกว่ากำบังตัว เพราะว่าอยู่ตรงนั้นแหละ แต่จะมองไม่เห็น ส่วนที่ทำให้ธาตุ ๔ เป็นช่องแล้วลอดไปได้ นั่นเป็นอากาสกสิณ

เถรี
14-10-2015, 11:58
ถาม : หนูฝึกอาโลกกสิณแล้วรู้สึกว่าในอกมีสายใยอยู่กับดวงกสิณ แล้วพอเราทำไปเรื่อย ๆ นั่งสมาธินิ่ง ๆ แล้วก็ยิ่งมารวมกันเป็นดวง สว่างขึ้นเรื่อย ?
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสว่างจ้าเหมือนกับเรามองดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่า ไปบรรเลงต่อ กำลังจะดีแล้ว

ถาม : เวลาไปในที่มืดแม้ว่าเราไม่ได้เปิดไฟก็สว่าง ไปในที่ไม่มีแสงสว่างก็สว่าง ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติจ้ะ

ถาม : แล้วแยกออกเป็นผู้ดูกับจิต มีผู้ดูแล้วก็มีจิต แม้ว่าจิตวุ่นวายสับสนแต่ก็ไม่ใช่เรา ?
ตอบ : อันนั้นเป็นอาการทำงานของจิต ตัวจิตจริง ๆ ก็คือที่ดูอยู่นั่นแหละ

ถาม : แล้วทำสมาธิแล้วมีไฟลุกขึ้นมา ?
ตอบ : เอาอย่างเดียวก่อน อย่าเพิ่งไปสนใจกับไฟ จับแสงสว่างในอกของเราให้สว่างเต็มที่ก่อน เอาให้ได้ขนาดเหมือนกับมองดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่า

ถาม : หนูไม่ต้องไปสนใจอย่างอื่น ?
ตอบ : ไม่ต้องไปสนใจอย่างอื่น อะไรมาพักเอาไว้ก่อน ไปนอนรอก่อน เดี๋ยวถึงคิวแล้วค่อยมา

ถาม : ถ้าทำสมาธิแล้วพอเห็นดวงนี้ แล้วก็มีสิ่งแปลกปลอมนั้นทำให้รู้สึกอึดอัด ?
ตอบ : ไม่ต้องไปสนใจ อยู่กับการภาวนาของเราไป ถ้าหากว่าต้องการให้สิ่งเหล่านั้นหมดไปเร็ว ก็ไปศึกษาเรื่องของสังโยชน์ ๑๐ แล้วพยายามตัดละกิเลสตามนั้น ถ้าหากว่าหมดกิเลส สิ่งแปลกปลอมก็จะหมดไปเอง

เถรี
14-10-2015, 12:00
ถาม : แม้แต่ครอบครัวพี่น้องต้องวางให้หมดใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด รักแต่ไม่ต้องผูกพัน ถึงเวลาก็ต่างคนต่างไป ไม่ใช่ไปตัดเขาทิ้ง ยังต้องทำหน้าที่ของเราอยู่

ถาม : หนูขอลาไปภาวนาต่อนะคะ ?
ตอบ : เชิญจ้ะ ขอให้ประสบความสำเร็จมาก ๆ เวลาได้ยินโยมที่ปฏิบัติแล้วเริ่มได้ผลดีมาเล่าผลการปฏิบัติให้ฟังก็ชื่นใจหน่อย อย่างน้อยที่สอน ๆ ไปก็ไม่หายไปไหน ยังมีคนทำได้อยู่

เถรี
14-10-2015, 12:14
มีโยมเอาภัตตาหารมาถวาย "ไอ้เจ้าไก่ตัวนี้มาจากไหนหว่า ? เล่นมาทวงส่วนกุศลเลย กลัวจะไม่ได้บุญ เอาลงไปให้แม่ครัวเขาจัดลงสำรับ เดี๋ยวจะลงไปงับหัวมัน ...(หัวเราะ)...

ต้องบอกว่าคนกับสัตว์เหมือนกัน คือบางคนก็มีความกล้าที่จะเรียกร้องสิทธิของตัวเอง บางคนก็ไม่กล้า ไอ้เจ้านี่ก็เหมือนกัน ถึงเวลาโผล่หน้ามา “กูจะเอา” เลย โมทนาความดีไป ได้ไปเป็นเทวดาก็บุญโขแล้ว

สัตว์เลี้ยงถ้ากำลังเกาะคนจะไปเกิดเป็นคน ถ้าหากว่าเกาะพระจะไปเกิดเป็นเทวดา เจ้าของเลี้ยงอยู่ทุกวัน เขาก็ไม่รู้หรอกว่าเลี้ยงตัวเองเอาไว้ขาย"

เถรี
14-10-2015, 12:21
ถาม : มโนมยิทธิตรงนี้แก้อย่างไรครับ ถ้าแวบขึ้นมา แต่ตอบไม่ถูก ?
ตอบ : ให้เชื่อความรู้สึกแรก ส่วนใหญ่จะไปเอ๊ะ พอเอ๊ะก็เจ๊งเลย ตูก็เอ๊ะมาเยอะแล้ว อีกทีก็ไปใช้ตรรกะแบบทั่ว ๆ ของเราไปคิดเอาเองว่าไม่น่าจะใช่ ต้องเชื่อความรู้สึกแรกอย่างเดียวเลย

ถาม : เอาอันแรกเลยหรือครับ ?
ตอบ : อันแรกไว้ก่อน ถ้าเถียงขึ้นมาเมื่อไรก็พังเมื่อนั้น

เถรี
14-10-2015, 19:02
ถาม : เวลาผมบอกบุญ บอกว่าหมดเวลาปิดวันนี้ ถ้ามีคนโอนเงินมาไม่บอกที่มาที่ไปให้ผม...?
ตอบ : ก็เป็นความซวยของคุณเอง ต้องไปสืบหาให้ได้ว่าเป็นใคร แล้วตั้งใจทำบุญเรื่องอะไร แล้วไปจัดการให้เขาตามนั้น

ถาม : ผมบอกว่าให้โอนก่อน ๑๑ โมงครับ ?
ตอบ : ไปคุยกับท่านปู่นายบัญชีข้างล่างแล้วกัน ไปร้องทุกข์ตรงนั้น ไม่ต้องมาร้องทุกข์กับอาตมา..!

เถรี
14-10-2015, 19:12
ถาม : ปกติจะดูแลคุณแม่อยู่ที่บ้าน ตอนนี้คุณแม่นอนอยู่ที่โรงพยาบาล แกขาดสติ มีอาการโวยวายลูกคนที่ดูแลแก ขี้ระแวงลูก ลูกคนอื่นแกรับไม่ได้ แกยอมรับลูกชายได้คนเดียว แต่ว่าต้องทำงาน ไม่มีเวลาค่ะ ไม่ทราบว่าคุณแม่เป็นอย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : ส่งถึงมือหมอแล้วไม่ต้องถาม เป็นเรื่องธรรมดาถ้าวาระกรรมมาถึง บางคนจำคนในบ้านไม่ได้สักคน นี่ยังอุตส่าห์จำได้คนหนึ่ง

ถาม : เข้าหน้าแกไม่ได้เลยค่ะ แกเห็นหน้าแล้วจะระแวงเลยค่ะ ?
ตอบ : เรื่องปกติ ให้หมอเขาจัดการไป

ถาม : แล้วเราจะทำอย่างไรคะให้ท่านมีสติกลับมาดีขึ้น ?
ตอบ : นั่นเป็นหน้าที่หมอรักษา ถามพระจะช่วยอะไรได้เล่า ? คนเราถ้าต้องการรักษาสติไว้ ต้องมีการภาวนาเป็นปกติ พอภาวนาสติมั่นคง ต่อไปก็หลงลืมได้ยาก แต่คราวนี้แม่ของคุณไม่มีพื้นฐานทางนี้มา สติขาดไปแล้วกลายเป็นจำใครไม่ได้ แล้วจะไปแก้อีท่าไหน ? จะไปสอนให้แกภาวนาตอนนี้ก็ไม่ทันรับประทาน ปล่อยหมอเขารักษาตามอาการไป ช่วยได้แค่ไหนก็แค่นั้น คนทุกคนมีกรรมเป็นของตัวเอง ถึงเวลาแล้วเราอาจจะแย่กว่าท่านก็ได้ ฉะนั้น..อะไรที่ทำเพื่อท่านได้ก็ทำให้เต็มที่ไป

เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอย่างไรก็ไม่รู้ เดี๋ยวเรื่องโน่นเดี๋ยวเรื่องนี้ประเดประดังเข้ามา ให้รู้ว่าชาติก่อนเราเล่นเขาไว้เยอะทีเดียว ถึงเวลาเขาเลยตามมาเอาคืน

เถรี
14-10-2015, 19:19
ถาม : จะไปฝึกอภิญญาค่ะ จะทำได้ไหม ?
ตอบ : ถ้ารักจะฝึกอภิญญาแล้วมัวแต่สงสัยว่าจะทำได้ไหม อย่าไปฝึกให้เสียเวลาเลย กำลังใจยังไม่พอ

ถาม : ทำไปเลยหรือคะ ?
ตอบ : ทำไปเลยไม่ต้องถาม

ถาม : แล้วขั้นตอนในการทำ ?
ตอบ : ไปดูคู่มือกรรมฐาน ๔๐ ของวัดท่าซุง ชอบใจตรงไหนก็ทำไปเลย

ถาม : แล้วของเก่า ?
ตอบ : ค่อย ๆ ภาวนาไป ถ้ากำลังใจเพียงพอ ทุกอย่างที่เคยทำได้จะกลับมาเอง แต่ถ้าของเก่ากลับมาแล้ว กำลังใจของเรายังยอมรับกฎของกรรมไม่ได้ก็ยังใช้ไม่ได้อยู่ดี เพราะเดี๋ยวก็ไปฝืนกฎของกรรม ทำให้ยุ่งไปหมด

ถาม : ทำอย่างไรจึงจะยอมรับกฎของกรรม ?
ตอบ : พิจารณาเยอะ ๆ ยอมรับให้ได้ว่าเราเกิดมาต้องทุกข์อย่างนี้ ธรรมดาเป็นอย่างนี้ ถ้าเห็นธรรมดาไม่ได้ ก็ยอมรับกฎของกรรมไม่ได้

เถรี
14-10-2015, 19:38
ถาม : หนูปรารถนาครูบาอาจารย์สอนกสิณค่ะ ?
ตอบ : ทำ...ติดขัดตรงไหนแล้วมาถาม

ถาม : ไม่ได้ติดขัดค่ะ แต่กำลังเยอะ จนเกิดความกลัวในกำลัง ?
ตอบ : จงกลัวต่อไป กลัวแล้วฝึกไปทำอะไรวะ ?

ถาม : ไม่ได้ฝึกค่ะ เป็นขึ้นมาเอง ลองเพ่งกระดาษทิชชู่เป็นความรู้สึกว่าไฟลุกที่กระดาษทิชชู่จริง ๆ ค่ะ แล้ววิญญาณก็ปรากฏตัวต่อหน้า รู้สึกว่ากำลังแรงมาก โยมต้องทำอย่างไรเจ้าคะ ?
ตอบ : ถ้าเราทำได้จริง ๆ สั่งแค่ไหนก็เป็นแค่นั้น สั่งให้เผาเสื้อผ้าคน แค่ขนสักเส้นหนึ่งก็ยังไม่ไหม้เลย แล้วกลัวไปทำซากอะไร ?

ถาม : อยากฝึกเจ้าค่ะ รับเป็นศิษย์ได้ไหมเจ้าคะ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าไปทำ ติดขัดตรงไหนแล้วค่อยมาถาม

เถรี
14-10-2015, 19:54
หลักใหญ่ของการปฏิบัติธรรมก็คือลงมือทำ พอลงมือทำแล้วติดขัดตรงไหนแล้วค่อยมาถาม ไม่ใช่คิดฟุ้งซ่านไปก่อนว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้แล้วมาถาม การฝึกกสิณ ถึงเวลาใช้อานุภาพกสิณ เราสามารถคุมได้ทุกอย่าง ต้องการแค่ไหนก็เป็นแค่นั้นแล้วจะกลัวไปทำไม ? หรือกลัวจะเก่ง ?

อย่างพระอุปคุตเถระแสดงอานุภาพให้พระเจ้าอโศกมหาราชดู บันดาลให้เกิดแผ่นดินไหว พระเจ้าอโศกมหาราชบอกว่าไม่เชื่อ เพราะแผ่นดินอาจจะไหวพอดีก็ได้ พระอุปคุตขอให้พระเจ้าอโศกนำน้ำมา ๑ ขัน ตั้งเอาไว้ บอกว่าจะบันดาลให้แผ่นดินไหวโดยทำให้น้ำสะเทือนแค่ครึ่งขัน (ซีกเดียว) แล้วทำให้ดู พระเจ้าอโศกมหาราชถึงได้เชื่อว่าท่านบันดาลได้จริง ๆ สั่งได้ขนาดนั้น แล้วเราดันไปกลัว ?

ถ้าเล่นกสิณไฟ สั่งให้เผาคน เอาแค่เฉพาะขนตา รับประกันว่าดวงตาไม่เป็นอันตราย ถ้าเผาแค่เสื้อผ้า ขนสักเส้นก็ไม่ไหม้ สั่งได้ตามใจเรา ดันไปกลัว ?

แต่สมัยอาตมายังเด็ก แถวบ้านมีพระลูกศิษย์หลวงพ่ออินทร์ วัดสระพัง ๒ รูป ฝึกกสิณน้ำกับกสิณไฟ มีอยู่ท่านหนึ่งพอขยายปฏิภาคนิมิต เป็นเปลวไฟลุกท่วมโบสถ์แล้วตกใจ กระโดดหน้าต่างหนี อีกท่านหนึ่งขยายปฏิภาคนิมิตของกสิณน้ำ เห็นน้ำท่วมมาทุกหนทุกแห่งก็เลยพลอยบ้าจี้ ว่ายน้ำหนีเป็นการใหญ่ กว่าหลวงพ่ออินทร์จะมาเจอ ก็ตะกายบก อกถลอกปอกเปิกไปหมด ก็ของตัวเองบันดาลขึ้นมา สั่งอย่างไรก็ได้ ดันไปตกใจ ก็คงพอ ๆ กับลิงเห็นเงาตัวเองในกระจกแล้วตกใจ

จำไว้ว่า "ถ้าได้กสิณจริงต้องสั่งได้ ถ้าสั่งไม่ได้ แสดงว่าไม่ใช่ของเรา"

เถรี
15-10-2015, 14:52
พระอาจารย์กล่าวว่า "ประมาณ ๒ อาทิตย์กว่าที่ผ่านมา ทางโรงเรียนบ้านจันเดย์มาขอพวกข้าวสารอาหารแห้ง น้ำพริก น้ำปลา เหล่านี้ มอบให้ไป ๑ คันรถ โดยปกติแล้วแต่ละโรงเรียนจะได้ค่าอาหารกลางวันเด็กนักเรียนหรือที่เรียกว่าค่าหัว ประมาณ ๓๐ บาทต่อคนต่อวัน แต่ให้เฉพาะเด็กไทย ก็คือเด็กที่มีหมายเลขประจำตัวประชาชน ๑๓ หลัก โรงเรียนบ้านจันเดย์มีเด็กไทยอยู่ประมาณร้อยละ ๓๐ นอกนั้นเป็นเด็กต่างด้าว เป็นมอญ กะเหรี่ยง พม่า ก็แปลว่าต้องไปนั่งดูเด็กไทยกินอาหารกลางวันกัน

ผู้อำนวยการโรงเรียนจึงใช้วิธีขอความร่วมมือจากสถานที่ต่าง ๆ ที่ง่ายที่สุดก็คือวัด โดยเฉพาะบรรดาโรงเรียนต่าง ๆ ในทองผาภูมิรู้ว่า ถ้ามาวัดท่าขนุนแล้วจะไม่ผิดหวัง

ตอนนี้ที่ทางวัดต้องให้เป็นประจำอยู่ก็คือหน่วยป่าไม้ต่าง ๆ ในอำเภอโดยเฉพาะทุ่งใหญ่ หน่วย ตชด. โรงเรียนต่าง ๆ ข้าวของที่ญาติโยมถวายไป แม้กระทั่งบรรดาข้าวของในถังสังฆทาน หลังจากที่แกะออกมาถวายพระ ให้ท่านเลือกกันตามความพอใจแล้ว ส่วนที่เหลือจากพระ แม่ชีกับเด็กวัดก็ได้ใช้บ้าง แล้วก็รวบรวมที่เหลือไปมอบให้กับสถานที่ต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว

บางสถานที่มีความจำเป็นมาก พอมีเจ้าภาพแจ้งความจำนงจะถวายผ้าป่า อาตมาก็ขอให้เขาถวายเป็นผ้าป่าอาหารกลางวันเด็กนักเรียน แล้วก็นำไปทอดที่โรงเรียน มอบเงินให้กับทางโรงเรียนไปเลย คือให้เจ้าภาพกับทางโรงเรียนเจอหน้ากันเอง โดยที่อาตมานั่งเป็นประธานเท่านั้น

โรงเรียนหลายแห่งจัดโครงการอาหารกลางวันเด็กประจำ อย่างโรงเรียนบ้านดินโส จัดโครงการสนับสนุนให้เด็กบ้านไกลได้เรียนชั้นมัธยมศึกษา โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ไกล ๆ อย่างอยู่แถวทุ่งเสือโทน กว่าจะเข้ามาถึงอำเภอทองผาภูมิก็ ๘๐ กว่ากิโลเมตร เด็กที่อยู่บ้านปิล็อก กว่าจะถึงทองผาภูมิก็ ๗๐ กิโลเมตร แล้วขึ้นเขาลงห้วย ซึ่งถ้าหากว่าญาติโยมเคยได้ยินข่าวผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านจะแก โดนเสือลากไปรับประทาน ก็จะหายสงสัยว่าทำไมถึงต้องช่วยให้เด็กบ้านไกลได้เรียนชั้นมัธยม เพราะว่าถ้าโรงเรียนไม่มีที่พักประจำ ไม่มีอาหารให้ เด็กก็ไม่มีโอกาสได้เรียน

แม้ว่ารัฐบาลของเราจะจัดโครงการเรียนฟรีก็ตาม แต่อย่าลืมว่าทุกอย่างต้องมีหลักฐาน ในเมื่อเด็กทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน ก็ไม่รู้ว่าจะเอาหลักฐานที่ไหนมา แปลว่าส่วนใหญ่แล้วก็พระเรานั่นแหละ..ช่วยไปเถอะ..!"

เถรี
15-10-2015, 14:54
"แม้กระทั่งวัดท่าขนุนเองก็ยังส่งเด็กวัดเรียนทั้งหมด ปัจจุบันนี้เด็กวัดที่เรียนมัธยมก็มีหลายคน โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่เริ่มโตเป็นสาวแล้ว อยู่ ป.๖ บ้าง ม.๑ ถึง ม.๔ บ้าง เป็นต้น ต้องบอกว่าแต่ละคนด้วยความที่อยากเรียนก็ต้องทนอยู่วัด เพราะว่างานวัดหนักมาก แค่เลี้ยงหมาวัดอย่างเดียวก็รู้แล้วงานหนักแค่ไหน หมาวัด ๒๐๐ - ๓๐๐ ตัว ไม่ต้องคิดถึงเรื่องอื่นเลย ไม่ว่าจะเป็นงานในครัว งานทำความสะอาด สารพัดจิปาถะ แม้กระทั่งแยกขยะเพื่อเอาไปจำหน่าย

เรื่องของการศึกษาเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด แต่น่าเสียดายว่าเด็ก ๆ ที่พ่อแม่มีความพร้อมทุกอย่าง มีฐานะดี มีโอกาสเรียนในโรงเรียนดี ๆ แต่กลับไม่ค่อยตั้งใจเรียน เด็กที่เขาลำบากยากจน ก็พยายามขวนขวายทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ได้เรียน ทนลำบากแค่ไหนก็ยอมขอให้ได้เรียนเท่านั้น แล้วส่วนใหญ่แล้วผลการเรียนจะดี เพราะว่าทุ่มเทจริงจัง ดังนั้น..ถ้าลูกใครไม่ค่อยสนใจเรื่องการเรียน ปิดเทอมเอาไปทิ้งไว้ในป่าหรือบ้านชนบทสักเดือนหนึ่ง เห็นความลำบากของเด็กบ้านนอกแล้ว เขาก็คงอยากจะเรียนไปเอง"

เถรี
15-10-2015, 15:08
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่ออาทิตย์ก่อนนำหนังสือสำหรับแจกงานศพไปให้โยมที่เชียงใหม่ แวะเข้าห้องน้ำกลางทางยังไม่ทันจะสว่างดี มีหมาอยู่ ๒ ตัววิ่งรี่เข้ามากอด แล้วก็พาไปห้องน้ำ จากนั้นกลับมาส่งที่รถ ท้ายสุดไม่รู้จะหาอะไรให้ มีหมูสวรรค์อยู่ในรถกล่องหนึ่ง จึงตัดใจเลี้ยงหมาไปเลย เหมือนอย่างกับรู้จักกันมาหลายชาติ เป็นหมารุ่น ๆ วิ่งมาถึงก็กอดซ้ายตัวหนึ่งกอดขวาตัวหนึ่ง ปกติหมาเห็นคนแปลกหน้าจะไม่เข้าใกล้ หรือไม่ก็เห่าใส่ ไอ้เจ้าสองตัวนี่วิ่งรี่เข้าหาเลย พาไปห้องน้ำยังไม่พอ พากลับมาส่งที่รถอีกต่างหาก

มีอยู่เที่ยวหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน เดินทางสายในจากหนองปรือไปด่านช้าง จากด่านช้างไปบ้านไร่ จากบ้านไร่ไปหนองฉางเพื่อเข้าอุทัยธานี ช่วงประมาณบ้านไร่ - หนองฉาง ก็แวะปั๊มเหมือนกัน เดินไปเข้าห้องน้ำ พอเดินลับห้องผู้จัดการ โผล่ไปเจอหมาอยู่ตัวหนึ่ง ไอ้เจ้านี่ทันทีที่เจอ ความรู้สึกของเขาไหลออกมาชัด ๆ เลยว่า “นั่นแน่..เราได้กินแล้ว” แล้วก็วิ่งตามมาเลย ท้ายสุดก็ต้องไปเข้าร้านสะดวกซื้อ ซื้อขนมเลี้ยงหมาอยู่ตรงนั้นแหละ หมาหลายตัวเขามีความสามารถพิเศษมากกว่าคน รู้ว่าอะไรควรไม่ควร"

เถรี
15-10-2015, 15:19
"เมื่อปี ๒๕๔๔ หลวงพ่อพระราชธรรมโสภณ รักษาการเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี สั่งให้อาตมาไปช่วยพัฒนาวัดท่าขนุน ไปถึงแล้วหมาวัดท่าขนุนเป็นขี้เรื้อนไปเกินครึ่ง จึงต้องช่วยรักษาด้วยการเอากำมะถันผงผสมกับน้ำมันพืชไปทาให้ วิธีทาก็คือละเลงให้แฉะไปทั้งตัวเลย รับประกันว่าครั้งเดียวหาย แต่ขอโทษเถอะ กลิ่นกำมะถันจะติดมือเหม็นไปเป็นอาทิตย์ ๆ ถ้าไม่รู้ว่ากำมะถันกลิ่นแบบไหน ก็ที่เขาเรียกว่าก๊าซไข่เน่า กลิ่นแบบนั้นแหละ

ปรากฏว่าบรรดาหมาต่าง ๆ ไม่ยอมให้ทา ก็ต้องไล่จับกัน โดนกัดบ้างอะไรบ้าง อาตมาเป็นคนหน้าด้าน โดนกัดก็กัดไป อาตมาก็ทาไปเรื่อย ปรากฏว่ามีหมาอยู่ตัวหนึ่งลายเสือ เขาเรียกไอ้เสือ พอจับก็หันมากัดอาตมา กัดโดนนิ้วชี้ เห็นเลือดไหลท่วม อาตมาก็ไม่ได้ใส่ใจ ก็ทายาให้จนเสร็จ ไปล้างมือเสร็จสรรพเรียบร้อย อ้าว...มีแต่รอยบุบ ๆ แล้วเลือดมาจากไหนเยอะแยะ ? ท่านอาจารย์สมพงษ์ตอนนั้นเป็นเจ้าอาวาสอยู่ตามไปดู ปรากฏว่าไอ้เสือกัดท่าไหนไม่รู้ ฟันหักเลย เลือดที่ไหลออกมาเพราะฟันหัก...!

วัดท่าขนุนสมัยก่อนมีหมานักเลงโตอยู่ตัวหนึ่งคือเจ้าดอกรัก ไอ้เจ้านี่กัดทุกคนที่ขวางหน้า กัดจนญาติโยมไม่กล้าไปวัดกัน เป็นหมาเลี้ยงของแม่ชีวิชชุดาภรณ์ ซึ่งแม่ชีแกก็ค่อนข้างจะล้นเกินบาท บอกว่าให้ตีหมาสั่งสอนบ้าง แกก็ไม่ตี เวลาหมากัดคนลงไปกองกับพื้น แกก็ไปกอดหมา “โอ๋..ลูก..โอ๋..ลูก” คนโดนกัดนอนเลือดท่วมอยู่ไม่ยักจะไปดู

ท้ายสุดอาตมาก็เลยต้องตีเอง แต่เจ้าดอกรักเป็นหมาสู้ไม้..ไม่หนี ใครตีก็โดดกัดสวนเลย ทำให้เจ้าอาวาสอย่างท่านอาจารย์สมพงษ์ก็โดน อาจารย์สมพงษ์โดนกัดน่องแหว่งเลือดไหลโกรก แม่ชียังมีหน้ามาบอกอีกว่า “อาจารย์สมพงษ์ยังออกเหรียญไม่ได้หรอก หมายังกัดเข้าอยู่” พอตีแล้วเจ้าดอกรักโดดสวนมา ท่านอาจารย์สมพงษ์ก็เตะ ปรากฏว่าหมาไวกว่า แว้งงับน่องเลือดสาดเลย ถ้าเป็นอาตมาจะเปลี่ยนไปเตะแม่ชีแทน มีเยี่ยงอย่างที่ไหน แทนที่จะห้ามหมาตัวเอง กลับมาบอกว่าโดนหมากัดเข้ายังออกเหรียญไม่ได้หรอก..!"

เถรี
15-10-2015, 15:21
"วันที่ตบะแตก ก็คือ เจ้าดอกรักนึกจะไปไหนก็ไป เพราะแม่ชีให้ท้าย ก็โดดขึ้นอาสนะสงฆ์ที่ตั้งสำรับกับข้าวไว้ แล้วก็ยกขาเยี่ยวรด อาตมาก็เลยเอาไม้เรียวตี เจ้าดอกรักก็สันดานเหมือนเดิม ใครตีก็โดดกัด อาตมาก็ปล่อยให้กัด ตีไปเรื่อย พอกัดจนเหนื่อยเห็นว่าอาตมาไม่เลิกตีแน่ก็เลยวิ่งหนี ถึงวิ่งหนีอาตมาก็ตามตีไปเรื่อย มุดเข้าไปอยู่ใต้เตียงก็มุดตามตีไป เอ็งอยากจะกัดก็กัดไปข้าก็ตีไป จำได้ว่าวันนั้นใช้ไม้ติดกัณฑ์เทศน์ตีหักไปเกือบ ๑๐ อัน

เจ้าดอกรักนี่ใช้ไม้ใหญ่ตีไม่ได้ ไม้ใหญ่ตีหมาไม่เจ็บ ได้แค่ช้ำ อาตมาต้องใช้ไม้เรียวเล็ก ๆ แบบไม้ติดกัณฑ์เทศน์นั่นแหละ ตีไปเรื่อย ไม้เล็ก ๆ ตีเจ็บนี่ เล่นเอามุดหนีจนไม่มีที่จะไป เข้าใต้เตียงก็ตามไปตีใต้เตียง หนีไปซอกตู้ก็ตามไปตีในซอกตู้ มีปัญญากัดก็กัดไป จนกระทั่งท้ายสุดหมาก็ยอมรับว่ามีคนบ้ากว่า ตั้งแต่นั้นมาถ้าอาตมาตวาดทีเดียวเจ้าดอกรักก็วิ่งหางจุกตูด แล้วดันไปวิ่งให้ญาติโยมเห็น เขาก็เลยลือว่าเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนดุกว่าหมาอีก...!"

เถรี
16-10-2015, 12:44
พระอาจารย์กล่าวว่า "บรรดาภัยธรรมชาติต่าง ๆ ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะโลกเราเสียสมดุลมาก ความจริงมนุษย์เราเป็นตัวทำลายล้างที่ดุเดือดมาก สร้างถนนขึ้นมาสายหนึ่ง โดยปกติถ้าเป็นพื้นดิน เราทิ้งไว้ประมาณ ๒-๓ ปีก็จะกลายสภาพเป็นป่าละเมาะ ถ้านานกว่านั้นต้นไม้ใหญ่ขึ้นได้ ก็จะปรับสภาพกลายเป็นป่าสมบูรณ์ แต่ถ้าเราไปสร้างถนนเทคอนกรีต ไม่รู้กี่พันปีกว่าต้นไม้จะโผล่ขึ้นมาได้ ต่อให้คลุมไปจนมิด ก็ต้องยื่นมาจากทางอื่น ไม่ได้มาจากตรงนั้น

กลายเป็นว่ามนุษย์เราเหมือนกับสร้างความเจริญ แต่จริง ๆ แล้วเป็นการอำนวยความสะดวกให้เฉพาะตน แต่ไปทำลายตลอดจนกระทั่งขัดขวางธรรมชาติ หลักการของธรรมชาติต้องคล้อยตาม ถ้าขวางเมื่อไรก็พังกันไปข้างหนึ่ง"

เถรี
16-10-2015, 15:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้อาตมาไม่กังวล เพราะว่ายอดกฐินวัดท่าขนุนทะลุล้านไปแล้ว ใครบอกว่าเศรษฐกิจไม่ดี ? ภาวนาพระคาถาเงินล้านไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็ดีขึ้นไปเอง"

เถรี
16-10-2015, 15:48
พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านที่พันไส้เทียนผางประทีป หัวท้ายอย่าบีบแน่นมาก ให้หลวม ๆ ไว้หน่อย เท่าที่สังเกตดู ถ้าบีบแน่นมาก บางทีน้ำเทียนเดินไม่สะดวก น้ำเทียนขึ้นไม่ทัน ไฟไหม้จนไส้ขาดดับไปก็มี แสดงว่าตั้งอกตั้งใจทำ จึงบีบเสียแน่นเลย"

เถรี
16-10-2015, 17:57
พระอาจารย์กล่าวว่า "เจ้าอาวาสต้องทำบัญชีรายรับรายจ่าย บัญชีครุภัณฑ์ ลหุภัณฑ์ ยุ่งไปหมด อาคารสถานที่กว้างเท่าไร ยาวเท่าไร ก็ต้องลงรายละเอียดไว้ โดยเฉพาะว่าต้องรายงานกฐินทุกปี รายงานบัญชีรับจ่ายทุกปี ถ้าไม่ทำก็ถือเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่..ซวยอีก"

เถรี
16-10-2015, 18:04
พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่วัดตอนนี้มีลูกหมาอยู่ ๒ ครอก แต่ละครอกมีอยู่ ๘ ตัว ครอกที่สามกำลังจะตามมา ดูท่าก็ใกล้เคียงกันเพราะว่าท้องแม่หมาใหญ่มาก ที่พูดเรื่องนี้ไม่ใช่อะไรหรอก แม่หมาโดนลูกกินนมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ก็ไม่เห็นว่าจะเอาลูกไปทิ้งถังขยะเลย..!

ตอนนี้อาตมามีนโยบายเลี้ยงลูกหมาให้สวยทุกตัว ชาวบ้านอยากได้เดี๋ยวก็มาอุ้มไปเลี้ยงเอง ครอกไหนที่เจ้าอาวาสเลี้ยง แม้กระทั่งตัวเมียเขาก็เอาไปจนหมด อาจจะต้องสร้างคอกอนุบาลสุนัขไว้หน้ากุฏิเจ้าอาวาส ตัวไหนคลอดมาก็กวาดเข้าครอกให้หมด ถ้าทำตะกรุดผูกคอให้ด้วย สงสัยหมดเกลี้ยงในทันที...!"

เถรี
16-10-2015, 18:08
ถาม : ปฏิบัติธรรมถึงระดับไหน จึงจะมีครูบาอาจารย์มาสอนธรรมทางจิต ?
ตอบ : ต้องได้ทิพจักขุญาณ พูดภาษาชาวบ้านคือต้องได้ตาทิพย์

ถาม : ถ้ามาสอนทางฝัน ?
ตอบ : ลักษณะคล้ายกันนั่นแหละ มาในฝันก็เป็นทิพจักขุญาณอย่างอ่อน

เถรี
16-10-2015, 20:06
พระอาจารย์กล่าวว่า "พอคนอายุมากเข้า ธาตุต่าง ๆ ในร่างกายก็เริ่มพร่อง โดยเฉพาะธาตุลมกับธาตุไฟ ไม่มีธาตุลมหนุนเสริม ธาตุไฟก็เฉา จะดับท่าเดียว โบราณถึงได้มียาลมประเภทต่าง ๆ คนแก่พอขาดธาตุลมจะเคลื่อนไหวช้าลง บางทีธาตุลมเกินก็เป็นลม มีทางแก้ก็คือทั้งเพิ่มและระบายออก"

เถรี
16-10-2015, 20:08
ถาม : สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ควรจะต้องระวังเรื่องอะไรครับ ?
ตอบ : ระวังอย่าตายก่อน..! ถ้าตายก่อนเดี๋ยวจะไม่รู้ว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร...! ความจริงโยมถามเรื่องสถานการณ์บ้านเมืองว่าควรจะต้องระวังเรื่องอะไรบ้าง จะว่าไปแล้วถ้าเราเป็นนักปฏิบัติธรรม ก็ไม่ต้องไปใส่ใจว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร มีหน้าที่ภาวนาก็ภาวนาของเราไป รักษากำลังใจให้มั่นคงไว้ ต่อให้เป็นหลักให้คนอื่นเขายึดเขาเกาะไม่ได้ อย่างน้อย ๆ เราไม่ต้องไปยึดไปเกาะใครก็ยังดี ยังแบ่งเบาภาระครูบาอาจารย์ไปได้บ้าง

เรื่องของบ้านเมืองต้องอยู่ในลักษณะรับรู้ มองแต่ไม่เห็น ฟังแต่ไม่ได้ยิน ไม่อย่างนั้นแล้ว ถ้าทำใจไม่ได้ ปล่อยวางไม่ได้ ก็จะร้อนหู ร้อนตา ร้อนใจ และทำให้ตัวเองวุ่นวาย เครียดไปเอง

เถรี
16-10-2015, 20:10
ถาม : พี่ชายตายเมื่อวันก่อน ผมต้องทำอย่างไรเขาจึงจะได้บุญ ?
ตอบ : สังฆทานก็ได้ บุญอะไรก็ได้ ส่วนใหญ่ถ้าตายก่อนอายุ ทำอะไรไปเขาก็ได้รับ พี่ชายตายเราทำบุญให้ ถ้าเราตายใครจะทำให้ ? ฉะนั้น...ต้องเร่งทำเองให้เยอะ ๆ จะได้ไม่ต้องไปรอให้ใครเขาทำให้

เถรี
16-10-2015, 20:17
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงการเป่ายันต์เกราะเพชร ก็ถือเป็นการพุทธาภิเษกวัตถุมงคลไปในตัวอยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่ถ้าไม่ได้เอาไปวางเอาไว้ในจุดที่จัดไว้ให้ กำลังใจก็ไม่ถึงกัน

อาตมาโดนเองเต็ม ๆ มาทีหนึ่ง ก็คือ งานพุทธาภิเษกที่วิหาร ๑๐๐ เมตร ก็ตั้งใจว่าจะไม่ไปยุ่งกับวัตถุมงคลของวัด คิดว่าเราจะวางวัตถุมงคลไว้ในที่ซึ่งอนุญาตให้พระอาคันตุกะหรือญาติโยมเขาเอาของมาร่วมพิธีได้ พอแบกลังวัตถุมงคลไป จะถึงจุดที่เขาจัดไว้สำหรับคนนอก ก้มลงจะวางวัตถุมงคล อ้าว...ทำไมมาอยู่กับกองของวัดได้วะ ? คือหนึ่งช่วงต้นเสาที่เขาวางวัตถุมงคลไว้เต็มเลย อาตมาเดินเข้าไปตรง ๆ โดยไม่ได้หลีกเลย เป็นไปไม่ได้ที่จะฝ่ากองวัตถุมงคลไปถึงข้างใน แต่ก็เป็นไปแล้ว ไม่รู้ว่าไปได้อย่างไร พอวางลงยังงง อ้าว...ตูมาถึงนี่ได้อย่างไร ? หันไปข้างหลังวัตถุมงคลก็วางเต็มทั้งช่อง แล้วเราเดินผ่านมาได้อย่างไร ?

เรื่องอย่างนี้บางทีก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ถ้าญาติโยมเห็นก็เป็นเรื่องอีก ถ้าวันไหนมักน้อยสันโดษท่านก็ให้เยอะ ถ้าวันไหนโลภมากท่านก็ไม่ให้เลย ของวางเต็มช่องทางเลย ผ่านไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ ของเป็นคันรถ ๑๐ ล้อ ก็รู้สึกว่าเดินไปถึงกองนั้นปกติ แต่พอจะวางของลง อ้าว...นี่กองของวัด เรื่องพวกนี้แหละที่พอมีประสบการณ์มากขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้ความมั่นใจในคุณพระรัตนตรัยของเรามีมากขึ้นไปตามลำดับ"

เถรี
16-10-2015, 20:23
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่ไปงานเป่ายันต์เกราะเพชรรอบนี้ จะเห็นมณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำเกือบเต็มองค์แล้ว ยังขาดลวดลายไม่มาก ส่วนการปิดทองประดับกระจก พระครูหน่อยไปดูงานแล้วบอกว่า “หลวงพ่อเล่นทำไม่ให้คนตามเลย” อาตมาก็ไม่ได้ห้ามให้ตามนี่หว่า คุณมี ๑๒ ล้าน ๕ แสนบาทก็ทำไปสิ อยากจะตามก็ไม่ได้หวงห้ามสักหน่อย"

เถรี
16-10-2015, 20:32
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนนี้มีงานบวงสรวงไหว้ครูเป่ายันต์เกราะเพชรวันที่ ๑๗ ตุลาคมนี้ แล้ววันที่ ๒๘ ตุลาคม ก็เป็นการตักบาตรเทโวฯ และกฐินสามัคคี พระท่านว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะฝืดเคืองมาก ไม่รู้ว่าฝืดแค่ไหน ท่านให้เข้ากรรมฐานก่อนงานกฐินสงเคราะห์ญาติโยมสัก ๓ วัน อาตมายังหาวันไม่ได้เลย กะว่าจะเข้าสักขึ้น ๑๓ - ๑๕ ค่ำ พอแรม ๑ ค่ำ ก็ออกมารับกฐินเลย เพราะฉะนั้น..หากใครอยากจะทำบุญกับพระออกกรรมฐาน ก็ไปทำบุญกฐินกัน เอาให้รวย ๓ เด้ง ๕ เด้งไปเลย

เกรงอยู่อย่างเดียวว่าอาตมาชราแล้ว กำลังไม่ดี เมื่อวานก็ไข้จับ มองโยมดูไม่รู้เรื่อง ตาลายไปหมด ไปเข้ากรรมฐาน ๓ วัน ออกมาแล้วต้องเดินบิณฑบาตวันตักบาตรเทโวฯ จะคลานไหวไหม ? ถ้าตักบาตรเทโวฯ เริ่ม ๐๘.๓๐ น. จะเสร็จประมาณ ๑๐.๐๐ น. เป็นอย่างเร็ว ไม่เป็นไร รีบออกกรรมฐานแต่เช้า กินตั้งแต่ก่อน ๖ โมง แล้วก็นอนยัน ๘ โมง น่าจะมีแรงพอเดินได้ น่าจะต้องทำอย่างนั้นแหละ ดูว่าจะสะสมพลังงานทันไหม ?

ปกติอาตมาก็เข้ากรรมฐานไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขา ชาวบ้านชาวเมืองเขาเข้ากรรมฐานกันนั่งเงียบนอนเงียบ อาตมาทำงานก๊อกแก๊กไปเรื่อย ทำงานทั้งวัน เราถือว่าเราหากินทางการเคลื่อนไหวมาตลอด ตั้งแต่สมัยเป็นทหารก็วิ่งไปภาวนาไป หกคะเมนตีลังกาไปก็ภาวนาไป สามารถเดินด้วยมือแทนเท้าเป็นกิโล ๆ ถึงได้ยืนยันว่าตีลังกาก็ภาวนาได้"

เถรี
16-10-2015, 20:35
"งานไหว้ครูเป่ายันต์เกราะเพชรห่างจากงานทอดกฐินแค่ ๑๑ วัน ญาติโยมอาจจะลำบากในเรื่องการเดินทาง ขอยืนยันว่าการรับยันต์เกราะเพชรไม่จำเป็นต้องไปที่วัดก็ได้ แต่ญาติโยมหลายท่านเมื่ออธิษฐานขอรับที่บ้าน แล้วเกิดผลอย่างเห็นได้ชัด ก็ดันตะกายไปวัดเสียอีก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อาตมาเองก็งงอยู่เหมือนกัน ในเมื่อรับที่บ้านได้แล้วทำไมต้องไปวัด ?

ก่อนหน้านี้ก็ไม่ทราบว่าทำไมหลวงพ่อวัดท่าซุงถึงสั่งให้อาตมาเป่ายันต์เกราะเพชร ทั้ง ๆ ที่รุ่นพี่ที่อาวุโสกว่า แม้ว่าจะมีสึกหาลาเพศไปบ้าง ออกจากวัดมาบ้าง แต่ในวัดก็ยังมี นอกวัดก็ยังมี แล้วทำไมต้องมาเริ่มที่อาตมา ? มาตอนนี้รู้แล้วว่าท่านต้องการประเภท ระบบ HD ก็คือเอาชัด ๆ หน่อย พวก analog เก่า ๆ ท่านไม่อยากได้

ความชัดเจนแจ่มใสของทิพยจักขุญาณเกิดจากการขยัน หมั่นฝึกซ้อม ถ้าขยันหมั่นฝึกซ้อมก็ทำได้ทุกคน อย่างที่อาตมาเคยบอกกับโยมว่า แค่เรื่องของพระคาถาเงินล้าน อาตมาใช้ภาวนาเป็นกรรมฐานทั้งวันอยู่ ๓ ปีเต็ม ๆ มีใครทำบ้าง ? ถึงขนาดนับจำนวนได้ว่าถ้าเอาจริง ๆ จัง ๆ ภาวนาช้า ๆ แบบคุณภาพ วันหนึ่งจะได้ประมาณ ๑,๒๐๐ จบ เริ่มตีสาม เลิกหนึ่งทุ่ม กี่ชั่วโมงต่อวันก็ไม่รู้ ? แต่ญาติโยมก็ไม่มีกำลังใจที่จะทำกัน

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสั่งให้ไปนั่งข้างถนน เพื่อซักซ้อมมโนมยิทธิ พอรถวิ่งมาให้กำหนดใจว่ารถที่วิ่งมาสีอะไร พอตอบถูกประมาณ ๘ คันใน ๑๐ คันก็เพิ่มรายละเอียดว่า รถที่วิ่งมาสีอะไร มีคนมาด้วยกี่คน พอถูกประมาณ ๘ ใน ๑๐ ก็เพิ่มไปอีกว่า ผู้หญิงกี่คน ผู้ชายกี่คน พอถูกประมาณ ๘ ใน ๑๐ ก็เพิ่มไปว่าแต่ละคนใส่เสื้อผ้าสีอะไร จนกระทั่งท้าย ๆ เลขทะเบียนอะไรก็บอกได้ถูก

เพราะฉะนั้น..พวกเราต้องมีการซักซ้อมอยู่เสมอ ส่วนใหญ่พวกเราทำในลักษณะเหมือนอย่างกับ "แก้บน" ศึกษาเรียนรู้แล้วไม่มีการซักซ้อมใช้งานจริง ก็เลยทำให้เสื่อม เรื่องของโลกียฌาน เก่งแค่ไหนถ้าหากขาดการซักซ้อม ขาดการชำระกำลังใจของเราให้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะเรื่องของศีลกับสมาธิถ้าไม่ทรงตัวก็เสื่อมทุกราย"

เถรี
17-10-2015, 11:32
"ตอนเด็ก ๆ อาตมาก็สงสัยว่าทำไมผีชอบหลอกเราเสียจริง พอโตขึ้นมาถึงได้หายสงสัย เพราะว่าเขาหลอกคนอื่นไม่ได้ คนอื่นไม่รู้เรื่อง เล่นเอาตูกลัวฉี่ราดอยู่คนเดียว..! ตอนเด็ก ๆ นี่อาตมากลัวผีขนาดไม่กล้าออกจากบ้าน เพราะว่าบ้านที่ต่างจังหวัดเป็นส้วมหลุม ต้องไปสร้างไว้ไกล ๆ ไม่อย่างนั้นกลิ่นเหม็น แล้วกลางคืนให้เดินไป จ้างก็ไม่ไปหรอก อั้นอึอั้นฉี่จนสว่าง เป็นอย่างนั้นอยู่ทุกวัน เพราะกลัวผีจริง ๆ

พอไปอ่านประวัติหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านก็เป็นแบบนั้น ตอนขึ้นบันไดบ้านหันหน้าขึ้นได้ แต่ตอนลงต้องถอยหลังลง ท่านบอกว่ากลัวผีคว้าคอทางด้านหลัง สรุปว่าท่านทั้งหลายที่มีปฏิปทาแบบนี้ เพราะว่าระบบของตัวเองชัดเจนเกินไป รับของเขาได้ง่าย ก็เลยโดนผีหลอกจนกลัวไปตาม ๆ กัน

อาตมาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเลิกกลัวผีตอนไหน หลังจากที่รู้ว่าจริง ๆ แล้วที่ผีมาเพราะว่าเขาลำบาก ด้วยกำลังบุญของเขาที่มี เขาทำให้สวยที่สุดเท่าที่เราเห็นแล้ววิ่งตับแลบนั่นแหละ เหมือนอย่างกับขอทานหรือคนบ้า แต่งตัวสวยอย่างไรเราก็รู้ว่านี่คือขอทานหรือว่าคนบ้า กะรุ่งกะริ่งดูไม่ได้ ลักษณะเดียวกัน ในเมื่อเข้าใจว่าเขาลำบาก เขาเดือดร้อน เขาถึงมาหา เขาต้องการความช่วยเหลือจากเรา ก็เกิดความรู้สึกว่า ในเมื่อเราเป็นเศรษฐีทำไมต้องไปกลัวขอทานด้วย ก็เลยไม่รู้ว่าตัวเองเลิกกลัวผีตอนไหน

ในปัจจุบันนี้แม้จะบอกว่าเลิกกลัวผีแล้ว แต่จากการสังเกตตัวเองดู เวลาเจอก็ยังรู้สึกสันหลังเย็นวาบ ๆ แสดงว่าก็ยังกลัวอยู่ เพียงแต่ไม่หนีเท่านั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่มาได้คำตอบหลังจากเนิ่นนานเหลือเกิน ว่าทำไมผีถึงหลอกเราเสียจริง ทำไมหลวงพ่อถึงสั่งให้อาตมาเป่ายันต์ฯ ทั้ง ๆ ที่พี่ ๆ น้อง ๆ ก็ครอบครูรวมกันตั้ง ๙ รูป ถึงหลวงพี่บัญชา ท่านน้อย ท่านชาติชายสึกไป ก็ยังเหลืออีก ๖ รูป ที่ออกมาสร้างวัดข้างนอกก็มี หลวงพี่วิรัช หลวงตาวัชรชัย มีอาตมา ยังเหลือในวัดตั้งสามรูป เอ๊ะ...ได้ยินว่าหลวงพี่อาจินต์ไปเยอรมัน ก็ยังมีอยู่ในวัดอีก ๒ รูป"

เถรี
17-10-2015, 11:53
ถาม : อาการเย็นวาบ ๆ นี่ ไม่ใช่เพราะเขาดึงเอาธาตุรอบ ๆ ไปเพื่อทำให้เรามองเห็นเขา กระทั่งเสียสมดุลหรือ ?
ตอบ : ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องนั้นหรอก คิดไว้ก่อนว่าเรากลัว ปลอดภัยดี ความกลัวไม่ใช่สิ่งที่น่าอาย ความกลัวทำให้เรารู้จักระมัดระวังและไม่ประมาท ถ้าเกิดมาแล้วไม่กลัวก็คนบ้าเท่านั้น คนบ้าไม่กลัวอะไรเลยเพราะไม่มีสติ

มีอยู่ปีหนึ่งมีโยมถามว่า “พระอาจารย์ครับ พระอรหันต์กับคนบ้าปล่อยวางได้เหมือน ๆ กันใช่ไหมครับ ?”เข้าใจถามนะ ตอบว่า “ไม่เหมือนกันหรอก พระอรหันต์ท่านปล่อยวางแบบมีสติ แต่คนบ้าปล่อยวางเพราะไม่มีสติ ต่างกันลิบโลกเลย” ในเมื่อมีสติมา ปัญญาเกิด เห็นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์เป็นโทษ ท่านก็ไม่ไปแตะต้อง ท่านปล่อยวางอย่างมีสติ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งปล่อยวางเพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไร สติไม่มี ทำไปโดยสัญชาตญาณเท่านั้น วัน ๆ ก็เอาแต่นั่งยิ้ม

เถรี
17-10-2015, 11:57
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาแกะลูกประคำส่วนตัวออกมาร้อยใหม่ เอาของเสริมเข้าไป มีทั้งที่ท่านพระครูปลัดสุวัฒนสิทธิคุณหามาให้ ก็คือประคำเขาจามรี มีทั้งกะลาตาเดียวที่เป็นกะลาเผือก มีทั้งไม้พญางิ้วดำ ใส่เสริม ๆ ไป ของเก่าที่ใช้มานานก็เลยเหลือ เมื่อคืนจึงร้อยเป็นประคำสองพวง บอกให้เอามาเข้าตู้จำหน่าย ไม่เห็นเลย ไม่รู้อยู่ไหน ใครเอาไปก็ไม่รู้ ? ...(หมดแล้ว)... คำว่าหมดแล้วไม่รู้ว่าหมดตั้งแต่ยังไม่ลงตู้หรือเปล่า ?

อาตมาทำตัวเป็นภิกขุ คือผู้ขออย่างชัดเจน คนอื่นเขาหาลูกประคำดี ๆ มาใช้ ส่วนอาตมาใช้ประคำกะลา ออกแนวถือกะลาขอทาน..!"

เถรี
17-10-2015, 12:05
พระอาจารย์กล่าวว่า "เลี้ยงลูกอย่ารักลูกจนเกินไป รักลูกจนเกินไป เด็กจะไม่คิดพึ่งพาตัวเอง ในเมื่อไม่คิดพึ่งพาตัวเอง ถ้าเกิดไม่มีเราเดี๋ยวเขาจะเอาตัวไม่รอด ต้องให้เขาทำอะไร ๆ ได้ด้วยตัวเองตั้งแต่แรก เลี้ยงลูกแบบลำบากหน่อย อย่าตามบริการมากนัก บางคนลูกไม่กินข้าวแม่นั่งร้องไห้เลย มาถามว่าทำอย่างไรดี ปล่อยให้อดไปสิ ไม่เกิน ๒ วัน รับรองว่าตะกายมาหากินเองแหละ

ที่วัดอาตมาเลี้ยงหมาไว้ตัวหนึ่ง ตอนแรกก็เรียก "คุณนายแสบ" ความแสบซ่ามีตั้งแต่เล็ก ๆ เดินกร่างไปทั่ววัด ท้ายสุดเป็นขี้เรื้อนจนขนแทบจะไม่เหลือสักเส้น จึงหายาไปทาให้ พอหายขึ้นมาก็พอดีเกาะพระฤๅษีไม่มีหมา เลยเอาไปทิ้งไว้ที่นั่น ปรากฏว่าอยู่ไปอยู่มาแม่ชีปุ๊กเขาเอาหมามาเลี้ยงเพิ่ม ตัวมาใหม่เก่งกว่า ไล่กัด ก็เลยอยู่ในเกาะไม่ได้ ต้องหนีมาอยู่ข้างนอก อาตมาไปเจอเข้า จึงอุ้มกลับมาวัดท่าขนุน

คราวนี้เขามาอีกทีโตแล้ว เลยเข้ากับใครไม่ได้ ต้องอยู่หน้ากุฏิเจ้าอาวาสนั่นแหละ แล้วยายนี่กินอะไรก็กินช้ามาก ๆ คาบไปแล้วก็นั่งหมอบค่อย ๆ แทะ มารยาทดีเหลือเกิน ตัวอื่นกินหมดเป็นกาละมังแล้วแม่เจ้าประคุณเพิ่งจะกินไปได้ชิ้นหนึ่ง ก็เลยเรียกว่าคุณนาย พอตอนหลังคงรู้ว่าตัวเองเป็นหมาเจ้าอาวาส ตอนนี้ชักจะยืด ได้อะไรมา ประเภทต้องนั่งคุม ไม่ค่อยยอมกิน อวดตัวอื่นว่ามีของดี ก็เลยเปลี่ยนชื่อเป็น "คุณนายลีลาจัง" ลีลาเยอะจัด

ในเมื่อคุณนายแกลีลาจัง จึงต้องดัดสันดาน โดยการทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้สัก ๒ วัน เดี๋ยวหิวไส้ขาดก็วิ่งมาหาเอง ก็ลักษณะเดียวกับการเลี้ยงลูก ถ้ามัวแต่ไปง้อลูกตอนอิ่มเขาไม่กินหรอก ปล่อยหิวซะให้เข็ด ถึงเวลาก็วิ่งตามมาหากินเอง"

เถรี
17-10-2015, 12:05
:4672615:เก็บตกเดือนตุลาคมปี ๕๘ หมดแล้วค่ะ:4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ