PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๘


เถรี
07-09-2015, 18:37
ถาม : การภาวนาแบบมีสติแนบกับจิตตลอดวันควรทำอย่างไร ? เพราะชีวิตประจำวันต้องทำงานอย่างอื่นร่วมด้วย
ตอบ : มี ๒ วิธี วิธีแรกก็คือภาวนาให้ถึงระดับปฐมฌานละเอียด ความรู้สึกของเราจะภาวนาเองโดยอัตโนมัติ แค่เอาสติกำกับตามไปก็พอ อีกประการหนึ่งก็คือฝึกซ้อมการแยกจิตให้ทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน สภาพจิตส่วนหนึ่งประมาณ ๒๐ เปอร์เซ็นต์อยู่กับการภาวนา อีกประมาณ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ก็ให้ทำงานในชีวิตประจำวันไป

เถรี
07-09-2015, 18:37
ถาม : การที่ลืมใส่บาตรวิระทะโยบางวัน เราจึงใส่ย้อนหลังในวันที่ขาด ถือว่าเป็นการใส่ทุกวันหรือไม่ ?
ตอบ : ภาวนาคาถาให้ครบตามที่ตั้งใจเอาไว้ก็แล้วกัน ถือว่าแปะคืนตรงที่แหว่ง ๆ ไปบ้าง

เถรี
07-09-2015, 18:38
ถาม : การทำบุญระยะแรกมีความตั้งใจทำ ระยะที่ ๒ ทำไปแล้วไม่เป็นที่พอใจด้วยสาเหตุบางประการ ระยะที่ ๓ คิดว่าไม่เป็นไร ถือว่าเป็นการสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา ความคิดในการทำบุญลักษณะอย่างนี้อานิสงส์จะเป็นอย่างไร ?
ตอบ : พร่องไปหน่อยหนึ่ง จะเอาอานิสงส์เต็มก็คือ ก่อนทำมีความปีติว่าจะได้ทำบุญนั้น ระหว่างที่ทำมีความปีติว่าเราได้ทำบุญนั้น หลังจากทำแล้ว นึกถึงเมื่อไรก็มีความปีติว่าได้ทำบุญนั้นแล้ว เพราะฉะนั้น..ห้ามไม่พอใจ เดี๋ยวจะไปเกิดเป็นอสูร เพราะว่าอสูรคือผู้ที่มักจะทำบุญผสมด้วยโทสะ

เถรี
07-09-2015, 18:42
ถาม : เมื่อเรากินผลไม้แล้วนำเมล็ดไปเพาะชำ พอต้นโตขึ้นก็นำไปถวายวัด กรณีนี้จะเป็นบาปแก่ตัวเราหรือไม่ ? หรือพอต้นโตขึ้นออกผลแล้ว นำผลไปถวายวัดจะเป็นบาปแก่ตัวเองหรือไม่ ?
ตอบ : ข้อนี้ต้องเรียกว่าฟุ้งซ่านเกินเหตุ เพราะไปคิดว่าเป็นของเหลือจากเรา หมายถึงว่าเหลือจากผลไม้ลูกนั้น สมมติว่าเราเอาแอปเปิ้ลที่กัดแหว่งคำหนึ่งไปถวายพระ อย่างน้อยก็ยังเป็นทาสทาน อานิสงส์นั้นมีอยู่ ถึงเวลาเราก็รับในส่วนที่ไม่เต็มอย่างนั้นด้วย แต่ในส่วนที่เราปลูกต้นไม้ หรือว่านำไม้ผลที่เกิดจากเมล็ดนั้นไปถวายวัด เป็นความดีโดยส่วนเดียว จึงไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องบาปเรื่องกรรมกันต่อไป

เถรี
07-09-2015, 18:44
ถาม : ขณะที่สวดมนต์ไม่มีสมาธิ พอช่วงอุทิศส่วนกุศล บุคคลที่เราอุทิศจะได้รับหรือไม่ ? เพราะผู้สวดไม่มีสมาธิ
ตอบ : น่าคิดไหม ? สิ่งที่เราทำเป็นความดี ดังนั้น..ไม่ว่าจะมากจะน้อยก็ตาม เมื่ออุทิศไป บุคคลที่เราตั้งใจให้ย่อมได้รับในส่วนกุศลนั้น เพราะว่าในขณะที่เรานั่งสวดมนต์อยู่เราทำชั่วด้วยกายไม่ได้ ขณะเดียวกันปากเราสวดมนต์อยู่ก็ทำชั่วด้วยวาจาไม่ได้ ต่อให้ใจคิดชั่ว ฟุ้งซ่าน ขาดสมาธิขนาดไหนก็เสียแค่ส่วนเดียว ความดีได้ถึง ๒ ใน ๓ ส่วน เพราะฉะนั้น..อุทิศส่วนกุศลไปเถอะ อย่างไรก็มีบุญให้เขาแน่ ๆ

เถรี
07-09-2015, 18:45
ถาม : การปรามาสพระรัตนตรัยที่ไม่เจตนา แสดงว่าการปฏิบัติธรรมของเรายังพร่องในเรื่องใด และควรแก้ไขอย่างไร ?
ตอบ : สติบกพร่อง เพราะถ้าสติสมบูรณ์อยู่ก็ย่อมไม่ปรามาสในพระรัตนตรัย ควรแก้ไขอย่างไร ? ก็ต้องสร้างสติให้มากขึ้น วิธีสร้างสติให้มากขึ้นก็คือ การนั่งภาวนากำหนดลมหายใจเข้าออก

เถรี
07-09-2015, 18:46
ถาม : ขณะที่สวดมนต์ แผ่เมตตา มีจิตผุดนึกคำด่าโดยไม่เจตนา ถือว่าบาปหรือไม่ ?
ตอบ : เราตั้งใจทำความดีอย่างที่บอกไปแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ในส่วนที่ผุดขึ้นมาจะเป็นส่วนของกิเลสมารที่ตั้งใจจะมากวนใจของเราให้ขุ่น เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องไปกังวลว่าบาปหรือไม่บาป เพราะเขาได้ไปแค่ส่วนเดียว อีกสองส่วนเป็นของเรา ให้ทำต่อไป

เถรี
07-09-2015, 18:56
ถาม : พระปัจเจกพุทธเจ้าเนื้อเงินของผม มีสีหมองเนื่องจากโดนอากาศ ทำให้สีองค์พระเปลี่ยนไป ถ้าหากผมจะนำน้ำยาขัดเงินมาขัดองค์พระ จะเป็นการสมควรหรือไม่ครับ ? จะเป็นการปรามาสพระหรือไม่ ? หรือจะทำให้เนื้อองค์พระเสียหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าเราต้องการคงสภาพเดิม ซึ่งบรรดานักเล่นวัตถุมงคลจำนวนมากต้องการให้เป็นอย่างนั้น แล้วเราไปขัดทิ้ง วัตถุมงคลนั้นก็เสียสภาพความเก่าไป ถ้าเป็นสิ่งที่นิยมในท้องตลาดราคาก็ตกไปหลายเปอร์เซ็นต์ แต่การที่เราขัดพระให้สวยงาม ให้ดูสะอาดตาขึ้น ถือว่าได้อานิสงส์ในการทำความสะอาดพระพุทธรูป จะว่าไปแล้วเป็นสิ่งที่สมควรทำ

แต่ขอแนะนำว่าอย่าไปขัดเอง เพราะส่วนใหญ่ถ้าเราขัดเองแล้วมักจะเสียหาย อาจจะเกิดเป็นรอยหรือว่าเนื้อแหว่งไปได้ เอาไปให้ทางร้านที่เขารับชุบจะดีกว่า ให้เขาเคลือบด้วยไฟฟ้า อยู่ได้ประมาณ ๔-๕ ปี ถ้ารู้สึกว่าหมองก็เอาไปให้เขาล้างแล้วก็เคลือบใหม่

เถรี
07-09-2015, 18:57
ถาม : การบูชาวัตถุมงคลเพื่อร่วมบุญต่าง ๆ อานิสงส์ที่ได้เต็มร้อยไหมครับ ? และควรวางกำลังใจอย่างไรให้ได้อานิสงส์เต็มร้อยครับ ?
ตอบ : อันดับแรกต้องดูว่าจ่ายเงินครบหรือเปล่า ? ถ้าจ่ายครบก็ได้เต็มร้อย..! เพราะฉะนั้น..ควรวางกำลังใจว่าเราต้องจ่ายให้ครบในทุกกรณี ห้ามเบี้ยวอย่างเด็ดขาด..!

ถาม : แล้วให้อานิสงส์เต็มร้อย ?
ตอบ : อานิสงส์จะไม่เต็มตรงที่มัวแต่สงสัยแล้วถามอยู่นั่นแหละ..!

เถรี
07-09-2015, 19:01
ถาม : ลูกค้าผมเช่าบ้านที่มีศาลพระภูมิเสาเดียวในทางทิศใต้ ไม่ทราบว่าจะมีผลกระทบกับผู้เช่าบ้านหรือไม่ครับ ? และถ้ามีผลกระทบควรแก้ไขอย่างไรครับ ?
ตอบ : ย้ายเสีย..ให้ไปอยู่ในทิศที่ถูกต้องแทน ทิศใต้กับทิศตะวันตกเป็นทิศของอากาสเทวดา ไม่ใช่ทิศของพระภูมิเจ้าที่ ไปตั้งศาลลักษณะอย่างนั้นก็เหมือนอย่างกับเอานายพลมาเป็นคนใช้ เดี๋ยวก็เจอดีจนได้

เถรี
07-09-2015, 19:07
ถาม : เมื่อจิตแรกเริ่มเดิมแท้ประภัสสร มีธรรมเสมอเหมือนกัน เหตุใดหรือประสบการณ์ใดของจิตในวัฏสงสาร ที่ทำให้จิตของบางคนมีมานะทิฐิ มีอัตตาอันแรงกล้า เห็นว่าตนดีกว่าผู้อื่น ? และสามารถกำจัดมานะทิฐิ อัตตาอันแรงกล้านี้ด้วยธรรมใดครับ ?
ตอบ : การสั่งสมของกิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรม ทำให้สภาพจิตที่เคยประภัสสรพอกพูนไปด้วยกิเลสต่าง ๆ วิธีกำจัดก็ให้ปฏิบัติรวบรัดตัดตรงเข้ามาสังโยชน์ ๑๐ ถ้าประหารสังโยชน์ ๑๐ ได้ครบเมื่อไรก็เป็นอันว่ากำจัดได้หมด

เถรี
07-09-2015, 19:13
ถาม : เราใส่ตะกรุดมหาสะท้อนอยู่แล้วนั่งที่พื้น โดยขณะนั้นมีคนมายืนค้ำหัวเรา หรือมีคนนั่งบนเก้าอี้ซึ่งสูงกว่าระดับคอของเราที่กำลังสวมตะกรุดอยู่ ซึ่งอยู่ในห้องเดียวกัน แบบนี้คนที่มายืนค้ำหัวเราหรือคนที่นั่งบนเก้าอี้จะมีโทษไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเขาไม่เตะเราก็ไม่เป็นไร..!

ถาม : ตะกรุดมหาสะท้อนมีผลต่อการกระทำเหล่านี้ไหมครับ ? เช่น โดนสะกดรอยตามบ้าง แอบติดกล้องสอดแนมบ้าง แกล้งทำเสียงดังใส่ทุกรูปแบบบ้าง วางแผนกลั่นแกล้งลับหลังบ้าง ?
ตอบ : ให้ภาวนา “เม สัมมุกขา สัพพาหะระติ เต สัมมุกขา” ไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็รู้ว่ามีผลไหม

เถรี
07-09-2015, 19:15
ถาม : วิธีที่ผมอาราธนาตะกรุดมหาสะท้อนคือ ตั้งนะโมฯ ๓ จบ สวด อิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ๑ จบ แล้วถือตะกรุดมหาสะท้อนพนมมือ ขอให้ตะกรุดมหาสะท้อนคุ้มครองผมและขอให้ตะกรุดมหาสะท้อนได้โปรดแสดงอานุภาพอย่างเต็มที่ด้วยเถิด แล้วสวดต่อว่า "อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้ด้วยเถิด" จากนั้นก็สวดคาถาว่า "เม สัมมุกขา สัพพาหะระติ เต สัมมุกขา" สวดไปเรื่อย ๆ สัก ๓๐ นาที ถึง ๑ ชั่วโมง เสร็จแล้วก็สวมตะกรุดใส่คอ แล้วก็ดูลมหายใจไปเรื่อย ๆ โดยระลึกถึงตะกรุดอยู่เนือง ๆ ทั้งวันเท่าที่จะทำได้ โดยจะสวด เช้า เย็น ก่อนนอน แล้วก็สวมตะกรุดนอนไปเลย โดยผมต้องการให้ตะกรุดคุ้มครองและมีผลทั้งวันทั้งคืน ผมทำแบบนี้ถูกต้องไหมครับ ? ถ้ายังไม่ถูกผมควรแก้ไขอะไรตรงไหนบ้างครับในการอาราธนาตะกรุดมหาสะท้อนนี้ ?
ตอบ : ทำเกิน ถ้าเป็นอาตมาคนถามโดนเตะสลบไปแล้ว..! กว่าจะถึงคาถามหาสะท้อนรู้สึกว่านานเหลือเกิน ...(หัวเราะ)... ต้องถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะว่ายิ่งสวดมนต์หรือภาวนามากเท่าไร แสดงว่าสภาพจิตของเราเกาะพระหรือเกาะความดีมากเท่านั้น แต่จะว่าไปแล้วเอาแค่ตัวคาถามหาสะท้อนอย่างเดียวก็พอแล้ว

ถาม : เราสามารถใส่ตะกรุดมหาสะท้อนเข้าห้องน้ำหรืออาบน้ำไปด้วยได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เคยมีข้อห้ามไว้

เถรี
07-09-2015, 19:28
ถาม : อานุภาพของแก้วอินทนิล แก้วสุริยกานต์ และแก้วจันทรกานต์ เป็นอย่างไรครับ ? และถ้าเราทำสมาธิโดยนึกภาพดวงแก้วทั้งสามนี้เป็นนิมิต ซึ่งเป็นรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต เราจะได้รับอานุภาพจากดวงแก้วเป็นอานิสงส์บ้างไหมครับ ?
ตอบ : มีหรือวะ..? ยังสงสัยอยู่ว่าเอารูปจากที่ไหนมา

ถาม : เขาบอกว่าเอารูปมาจากอินเตอร์เน็ตครับ ?
ตอบ : อย่างนั้นก็ไปหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตแล้วกัน

ถาม : เขาเอารูปจากอินเตอร์เน็ตมาจับเป็นนิมิต เขาจะได้รับอานุภาพจากดวงแก้วไหมครับ ?
ตอบ : ไม่สามารถที่จะบอกได้ เพราะยังไม่เคยทำ

เถรี
07-09-2015, 19:34
ถาม : พอทำกรรมฐานไปช่วงหนึ่งแล้ว ออกมาจากอารมณ์พระกรรมฐานแล้วใช้ชีวิตปกติ ผมมาอ่านหนังสือที่เคยอ่าน แต่พอมาอ่านตัวหนังสือกลับกลายเป็นอย่างอื่น แล้วผมอ่านไม่ออก อาจเป็นรูปภาพหรือภาษาแปลก ๆ ครับ แบบนี้เรียกว่าอะไรครับผม ?
ตอบ : ถ้าไปถามหมอเขาบอกว่าบ้า..! นี่ยังดีที่มาถามอาตมา แปลว่ายังคลายสมาธิออกมาไม่หมด สภาพจิตจึงไม่ยอมรับอย่างอื่น หรือถ้าเห็นภาพอื่นแปลว่าสมาธิตอนอ่านหนังสือเป็นอุปจารสมาธิพอดี ภาพต่าง ๆ จึงเกิดขึ้น

เถรี
07-09-2015, 19:55
ถาม : พระกริ่งปลดหนี้สองแผ่นดินเนื้อเงินและเนื้อชุบทองพ่นทราย นอกเหนือจากเรื่องของมหาสะท้อนแล้ว นอกนั้นมีอานุภาพเท่ากันใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่..คนเห็นพระกริ่งเนื้อเงินแล้วอยากได้มากกว่า..!

เถรี
07-09-2015, 20:02
ถาม : อยากทราบวิธีอาราธนาพระกริ่งปลดหนี้สองแผ่นดินครับ ?
ตอบ : อาราธนาที่ประเทศไทย แล้วไปอาราธนาที่เนปาล ในเมื่ออยากได้สองแผ่นดินก็ต้องไปสองที่..!

ถาม : อาราธนาที่เมืองไทยก็ได้นี่ครับพระอาจารย์ ?
ตอบ : ได้แค่แผ่นดินเดียว..!

เถรี
07-09-2015, 20:04
ถาม : มีหลายครั้งที่ฝึกตัดขันธ์ ๕ โดยคิดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นสมบัติของโลก เราไม่ต้องการมัน เราต้องการไปพระนิพพาน พอคิดแบบนี้บ่อย ๆ เข้า ก็มีหลายครั้งที่เหมือนกับว่า ใจเริ่มจะยอมรับทีละนิดว่าขันธ์ ๕ ไม่ใช่ของเราจริง ๆ แต่พอใจเริ่มคิดยอมรับขึ้นมาว่าร่างกายไม่ใช่ของเราทีไร ก็มักจะมีความคิดสวนขึ้นมาทันทีว่า "หากว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราแล้ว ถ้าอย่างนั้นหากมีใครต้องการจะมาทำร้าย ทำลาย หรือทำปู้ยี้ปู้ยำอย่างไรก็ได้ โดยเฉพาะเรื่องลามก ก็ปล่อยให้เขาทำไปเลย เพราะว่าไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา ใครอยากจะทำอะไรก็ตามใจเขา" พอความคิดนี้แวบขึ้นมา ใจก็รู้สึกหวงร่างกายนี้ขึ้นมาอีก ไม่ต้องการให้ใครมาทำอะไรแบบนั้น จิตก็กลับมายึดถือว่าร่างกายนี้เป็นของเราใหม่ ตอนนี้เลยแทบไม่ค่อยจะกล้าคิดตัดขันธ์ ๕ สักเท่าไร เกิดความกลัวขึ้นมาเสียอย่างนั้น เลยอยากจะขอทราบว่าผมควรจะทำอย่างไรหรือคิดแบบไหนถึงจะผ่านปัญหานี้ไปได้ครับ ?
ตอบ : คิดเหมือนเดิม แสดงว่าโดนมารหลอก แค่ประเภทแทรกความคิดเข้ามาหน่อยเดียว คุณก็ไปเชื่อมารเสียแล้ว

เถรี
07-09-2015, 20:45
ถาม : การสวดคาถา เม สัมมุกขา สัพพาหะระติ เต สัมมุกขา ให้คุ้มครองตลอดทั้งวัน ควรจะท่องเช้าเย็นใช่หรือไม่คะ ? และหากสวดคาถาแล้วจำเป็นต้องไปใกล้คนที่จะคลอดลูก ควรทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ถ้าจะเอาคุ้มครองกันจริง ๆ ให้ภาวนาเช้า กลางวัน เย็น กลางคืน ส่วนถ้าจะต้องเข้าไปใกล้เขาก็อย่าไปภาวนาสิวะ..!

ถาม : แล้วพกตะกรุดมหาสะท้อน ?
ตอบ : พกตะกรุดเขาห้ามเข้าไปอยู่แล้ว

เถรี
07-09-2015, 20:47
ถาม : กระผมเคยได้อ่านบทความเกี่ยวกับการขอพึ่งบารมีพระพุทธเจ้า และพระสงฆ์ รวมถึงวัตถุมงคลที่หลวงพ่อหลาย ๆ ท่านได้สร้างไว้ว่า หากเราไม่มีความผูกพัน หรือเคยสร้างบารมีร่วมกับท่านมา โอกาสที่ท่านจะมาช่วยสงเคราะห์เรานั้นเป็นไปได้ยาก จริงหรือเท็จประการใดครับ ?
ตอบ : ถ้าได้มาแสดงว่าต้องมีความผูกพันอยู่แล้ว ฉะนั้น..คนพูดก็สักแต่ว่าพูดไป แล้วเราก็ดันทะลึ่งไปเชื่อเขาอีก..!

เถรี
07-09-2015, 20:50
ถาม : เซียนพระคนหนึ่งเคยเล่าให้ฟังว่า เวลาที่เขาบูชาวัตถุมงคลมาเก็บ และเอามาปล่อย ในหัวจะคิดแต่เรื่องเงินเรื่องกำไร ว่าเราบูชามาเท่านี้ ปล่อยแล้วจะได้เท่านี้ ต้องเก็บองค์นี้นะ ต่อไปคนจะนิยม แล้วก็เอาเงินมาหมุนไปบูชาอย่างอื่นต่อเพื่อเอามาปล่อยอีก กลายเป็นในหัวมีแต่เรื่องเงิน มีแต่เรื่องลาภผลกำไร พุทธานุสติกลับไม่ค่อยมี หรือมีน้อย เซียนพระคนนี้เริ่มรู้ตัวแล้วว่าผิดวัตถุประสงค์ จึงออกจากวงการนี้มา อยากทราบว่า ถ้าเขาคิดแต่เรื่องลาภผลกำไรแบบนี้ไปตลอด ตายไปตอนนั้นจะมีผลให้ลงทุคติหรือไม่ ?
ตอบ : พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอยึดพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ถ้ายึดจริง ๆ ไปดีแน่นอน..!

เถรี
07-09-2015, 20:51
ถาม : การที่เราเริ่มเพ่งโทษผู้อื่น เป็นไปได้ไหมว่า ในขณะนั้นจิตใจของเราขาดเมตตาแล้ว ? ขณะเดียวกันคนที่มีเมตตามาก ๆ จะส่งผลออกมาให้มีหน้าตาที่เยือกเย็น ใครพบเห็นก็สบายใจ เช่น หลวงปู่หลวงพ่อที่เป็นพระอริยเจ้าใช่หรือไม่คะ ?
ตอบ : ใช่

เถรี
07-09-2015, 20:52
ถาม : การพิจารณาทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเรา ต้องพิจารณาจนเกิดความเบื่อหน่าย แล้วยอมรับว่าเป็นกรรมที่เราทำมาในอดีต คิดว่า "ช่างมัน" ถูกไหมคะ ?
ตอบ : ถูก

ถาม : อารมณ์ที่มั่นใจว่า เรามีศีลบริสุทธิ์ เพราะเรากระทำ, คิด, พูดสิ่งใดก็ทำด้วยเจตนาที่มีแต่ความเมตตา มั่นใจว่าไม่ตกนรกแน่ จะเป็นอารมณ์ประมาทหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ประมาท

ถาม : อารมณ์ปฐมฌานที่จะใช้ละสังโยชน์ ๓ คือ อารมณ์ที่รู้ตัวตลอดเวลาทั้งหลับและตื่นใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ใช่...คนนี้ถามเก่งเพราะไม่ต้องตอบมาก

เถรี
07-09-2015, 20:53
ถาม : การที่คนมาบอกเราถึงสิ่งไม่ดีในตัวเราเพื่อจะให้เราแก้ไข แต่ฟังแล้วรับไม่ได้ มีอารมณ์ บางครั้งโกรธ บางครั้งเสียใจ ควรต้องแก้ไขอย่างไรเจ้าคะ ?
ตอบ : นี่แสดงว่ารู้ตัวแล้ว เพียงแต่ว่ากลัวเสียหน้า ถ้าแก้ไปตามที่เขาบอกก็หมดเรื่อง

ถาม : แต่บางทีอดไม่ได้นะครับ ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่าเราเลว เราจะระงับอย่างไรดีครับก่อนที่จะไปฟาดปากเขา ?
ตอบ : รู้ว่าเลวก็เปลี่ยนเป็นดี ถ้าดีแล้วก็ไม่ต้องไปชกปากใคร

เถรี
07-09-2015, 20:54
พระอาจารย์กล่าวว่า "คำถามส่วนใหญ่เป็นคำถามเรื่องวัตถุมงคล เดือนนี้ได้ประโยชน์กันน้อย นับว่าน่าอนาถมาก..!"

เถรี
08-09-2015, 11:58
พระอาจารย์กล่าวว่า “ในการปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่แล้วพวกเรามักจะเกิดความสงสัย ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ว่ามาคิดดูอีกทีว่า ถ้าเราไม่สงสัยแล้วตั้งหน้าตั้งตาทำไป โดยเฉพาะในส่วนของการปฏิบัติสมาธิภาวนา เราจะได้รับคำตอบเกือบทุกคำตอบที่สงสัยอยู่แล้ว เพียงแต่ทำให้จริง ๆ เท่านั้น ก็จะเหลือการรวบรัดตัดเข้าหาความเป็นพระอริยเจ้าในตอนท้าย ที่จำเป็นจะต้องสงสัยไว้บ้างว่าเรามาถูกทางหรือไม่

ดังนั้น ปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับการปฏิบัติ ส่วนใหญ่ถ้าเราตั้งใจทำจริงก็จะมีคำตอบในตัวอยู่แล้ว แต่พวกเรามักจะสงสัยแล้วเอาแต่ถาม ถามแล้วถ้าคนตอบไปตอบเกินคำถาม เราก็จะไปฟุ้งซ่านอีก ว่าถึงเวลาเราทำแล้วจะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ อย่างที่ท่านตอบหรือเปล่า ก็เลยพาให้เสียประโยชน์หนักเข้าไปอีก

หลายคำถามจะเห็นว่าอาตมาตอบสั้นนิดเดียว เพราะถ้าอธิบายมากเมื่อไรก็จะเอาไปสงสัยต่อ แทนที่จะตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ก็ไปวิ่งหาคำตอบกันต่อไป”

เถรี
08-09-2015, 12:01
พระอาจารย์กล่าวว่า “เวลาจองวัตถุมงคลในเว็บวัดท่าขนุนโปรดอ่านรายละเอียดด้วย เท่าที่ผ่านมาหลายท่านเสียสิทธิ์ไปอย่างน่าเสียดาย อย่างเช่น เขาระบุว่าให้จองได้รายชื่อละ ๑ องค์ ก็ตะบันจองมา ๓ องค์ หรือเขาบอกว่าจะเก็บรักษาไว้ให้ ๒ เดือน ถ้าไม่มาเบิกถือว่าสละสิทธิ์ ก็ไม่เคยอ่าน ตัวเองมาไม่ได้ก็ให้เพื่อนมารับแทนสิ”

เถรี
08-09-2015, 12:03
พระอาจารย์กล่าวว่า “ตะกรุดมหาสะท้อนทองคำยังสามารถที่จะมาขอรับได้ในวันที่ ๑๓ กันยายนนี้อีกวันหนึ่ง บ้านนี้จะเปิดตั้งแต่บ่ายโมงถึงหกโมงเย็น อาตมาไม่อยู่หรอก จะมีเจ้าหน้าที่มาจ่ายให้ที่ห้องข้างล่าง พ้นจากหกโมงเย็นวันที่ ๑๓ แล้วถือว่าสละสิทธิ์เหมือนเดิม”

เถรี
08-09-2015, 13:21
พระอาจารย์กล่าวว่า “ประเทศชาติของเราตอนนี้มีกลุ่มผู้ไม่หวังดีหลายกลุ่มด้วยกัน กำลังสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายเพื่อผลประโยชน์ของตนหรือประเทศของตน ดังนั้น..พวกเราเองต้องมีสติสัมปชัญญะมาก ๆ อย่าไปใส่อารมณ์เต้นตามใคร สิ่งที่เขาทำให้เราเห็นไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องจริง เพราะว่าบางประเทศต้องการจะดึงเราไปเป็นพวก บางประเทศต้องการจะยึดบ้านเราเมืองเราเป็นของเขา บางพวกต้องการที่จะอยู่ในอำนาจ บางพวกต้องการที่จะมีอำนาจ ก็เลยสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายไปหมด จะว่าไปแล้วทั้งหมดเหล่านี้ก็เกิดขึ้นจากประโยชน์ของตนนั่นเอง ในเมื่อเห็นแก่ประโยชน์ตน ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ประเทศชาติบ้านเมืองถึงได้เดือดร้อนวุ่นวายกันไปหมด

สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือพระพลานามัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ถ้าสองพระองค์สิ้นไป บ้านเราคงวุ่นวายจนบอกไม่ถูก เพราะว่าในปัจจุบันนี้มีคณะบุคคลที่พยายามจะลดความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ลง ด้วยการปล่อยข่าวให้ร้ายในลักษณะต่าง ๆ ประกอบกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถอยู่ในโรงพยาบาลเสียส่วนใหญ่ โอกาสที่จะเสด็จออกทรงงานเหมือนสมัยก่อนไม่มี ทำให้คนรุ่นหลังคล้อยตามไปได้ง่าย โดยที่ไม่ได้ดูว่าในอดีตทั้ง ๒ พระองค์สร้างคุณความดีแก่ประเทศชาติมาตั้งเท่าไร"

เถรี
08-09-2015, 13:40
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของโซเชียลมีเดียมีคุณอนันต์และก็มีโทษมหันต์ คุณอนันต์ก็คือข่าวคราวทั้งหลายจะมารวดเร็วมาก โทษมหันต์ก็คือข่าวทั้งหลายเหล่านั้นมีทั้งจริงและไม่จริง แม้กระทั่งข่าวคราวที่เป็นจริงก็เป็นข่าวที่เขาต้องการให้เรารู้ แต่ไม่ใช่ข่าวที่เราสมควรจะรู้ ดังนั้น..ถ้าใครเล่นไลน์ เล่นเฟซบุ๊กหรือเข้าอินเตอร์เน็ตเป็นปกติ โปรดระมัดระวังบรรดาฟอเวิร์ดเมล์ต่าง ๆ ไม่ใช่รับมาก็ส่งต่อ ให้ใช้สติสัมปชัญญะตรองดูด้วยว่า เราทำไปแล้วจะเกิดผลกระทบต่อส่วนตัวและส่วนรวมเท่าไร

ขนาดควักเงินในกระเป๋าซื้อตั๋วเพื่อจะไปดูคอนเสิร์ตยังโดนคนด่าทั้งประเทศ โปรดระมัดระวังในการแสดงออก เราอาจจะสร้างกรรม ไม่ว่าจะเป็นกายกรรม วจีกรรม หรือมโนกรรมไปโดยไม่รู้ตัว หรือถ้ารู้ตัวก็เพื่อเอาความสะใจ กลายเป็นการสร้างกรรมใหญ่ ถ่วงดึงให้เราเข้าถึงมรรคผลช้าลงไปอีก"

เถรี
08-09-2015, 13:49
พระอาจารย์พูดกับเด็กคนหนึ่งว่า "ถ้าอยากเก่งกว่าเพื่อน ต้องนั่งสมาธินิ่ง ๆ ให้ได้สักวันละครึ่งชั่วโมง ถ้าทำได้เราจะเก่งกว่าเขาอย่างแน่นอน"

เถรี
08-09-2015, 14:05
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานคุณสุรีย์ขอเบิกเงินค่าสร้างหมู่เรือนไทยบนศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย ๖,๕๐๐,๐๐๐ บาท ไม่อยากจะคุยว่าศาลาของพวกเราทะลุ ๘๑ ล้านบาทไปแล้ว หลังจากชุดนี้แล้วก็ไม่เหลืออะไรให้เบิกเท่าไรแล้ว เพราะว่างานส่วนมากเสร็จแล้ว"

เถรี
08-09-2015, 14:32
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้สิ่งที่น่ากลัวในบ้านเราเป็นเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจ ทีมเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งมี ดร. สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นหัวหน้า แม้ว่าจะมีชื่อเสียงและแนวคิดที่ดีจากผลงานเดิมก็จริง แต่สถานการณ์บ้านเรากับสถานการณ์โลก เหมือนกับคนไข้หนักที่เข้าห้องไอซียูอยู่ หมอเก่งแค่ไหนก็ไม่รู้ว่าจะยื้ออยู่หรือเปล่า

แต่ที่น่ากลัวก็คือว่า กลัวว่ารัฐบาลจะไปลดค่าเงิน เพราะทันทีที่จีนปล่อยค่าเงินหยวนลอยตัวบางส่วน ตลาดหุ้นก็ตกระเนนระนาดกันหมดทั้งภูมิภาคของเรา แล้วเวียดนามก็ลดค่าเงินดอง ไทยเราอาจจะไปเลียนแบบเขา ถ้าไปเลียนแบบเขาถึงแม้จะขายของได้มากขึ้น แต่ค่าเงินลดลงก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้มาก อาจจะไปซ้ำเติมสถานการณ์อื่น ๆ เช่น พวกสั่งของเข้า และพวกที่กู้เงินต่างประเทศ เมื่อเรานำเข้าต้องจ่ายเป็นเงินตราต่างประเทศ โดยเฉพาะเงินดอลลาร์ เงินดอลลาร์ตอนนี้เสถียรภาพก็ไม่มั่นคง เพราะเงินดอลลาร์พิมพ์ขึ้นมาโดยที่ไม่มีทองคำเป็นเครื่องค้ำประกันค่า นึกอยากจะพิมพ์เท่าไรก็พิมพ์

คราวนี้ในเวทีเศรษฐกิจโลก ตอนนี้ถือว่าจีนเป็นผู้นำ ก็เลยมีการอิจฉากัน ทำให้มีการโจมตีค่าเงิน อาตมาไม่แน่ใจว่าจีนกำลังขุดบ่อล่อปลาอยู่หรือเปล่า เพราะว่าการที่จะโจมตีค่าเงินก็ต้องทุ่มเงินเข้าไป โดยเฉพาะเข้าทางตลาดหุ้น ถ้ากำลังทุ่มเพลิน ๆ แล้วจีนเขาทุ่มทองคำออกมาในท้องตลาด หรือไม่ก็ทุ่มเพลิน ๆ จีนแอบซื้อทองคำหมดตลาด คงได้เจริญกันบ้าง เพราะระยะช่วงที่ผ่านมา ๑๐ กว่าปีของจีน ต้องบอกว่าตุนเงินทุนสำรองต่างประเทศอยู่ในระดับหลายแสนล้านดอลลาร์ ถ้าเงินหลายแสนล้านอยู่ ๆ ทะลักพรวดเข้ามาในตลาด อเมริกาก็มีหนาวกันบ้าง

สรุปว่าถ้าทางด้านอเมริกาตั้งใจที่จะทำให้เศรษฐกิจจีนล่ม จีนอาจจะต้องไม่เห็นแก่มิตรภาพ ซึ่งอเมริกาไม่เคยมีมิตรภาพจริง ๆ ให้ใคร แล้วถ้าจีนไม่เห็นแก่มิตรภาพ ปล่อยพันธบัตร หรือเงินทุนสำรองที่เป็นดอลลาร์ออกมาในท้องตลาด อเมริกาก็ตายอย่างเดียว แล้วถ้าพี่แกปล่อยแบบไม่เหมือนชาวบ้านเขา ก็คือปล่อยด้วยการซื้อทองคำไปตุน อเมริกายิ่งตายเลย เพราะจะไม่มีทองคำเหลือไว้ค้ำประกันค่าเงินของตัวเอง"

เถรี
08-09-2015, 15:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานมาถึงที่นี่เหลือเงินติดตัวอยู่ ๒๘๐ บาท ซึ่งถือว่าเยอะมาก เพราะเคยเหลืออยู่แค่ ๔๒ บาท ซึ่งนับว่าน้อยที่สุด เนื่องจากช่างรับเหมาขอเบิกค่าสร้างหมู่เรือนไทย ๖,๕๐๐,๐๐๐ บาท แล้วจะต้องจ่ายค่าวัสดุก่อสร้าง จ่ายเงินเดือน ฯลฯ เดือนนี้ก็เลยเหลือแต่ตัวมาแค่นี้"

เถรี
08-09-2015, 15:39
พระอาจารย์กล่าวว่า "ขอเตือนว่า ญาติโยมท่านใดเล่นซื้อขายทองอยู่ ถ้าคุ้มทุนแล้วให้เบิกทองคำของตัวเองกลับมา อย่าไปทิ้งไว้กับร้านโดยย่ามใจให้ทบต้นไปเรื่อย ๆ การเล่นทองระยะนี้จะเสี่ยงมาก อาตมาบอกไว้ตั้งแต่ตอนที่ลงไปงานแต่งงานที่สุไหงโกลกเมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคมที่ผ่านมา ช่วงที่อยู่หาดใหญ่ได้ถามเถ้าแก่เล็กที่เปิดร้านขายทองว่า เคยเจอทองราคาแพงที่สุดบาทละเท่าไร ? เขาบอกว่า ๒๐,๐๐๐ กว่า ไม่ถึง ๓๐,๐๐๐ บาท ระวังไว้..ถ้าราคาขึ้นไป ๓-๔ เท่าแล้วจะจุก..!"

เถรี
08-09-2015, 15:41
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาจจะเป็นเพราะอาตมาติดราคะจริตมาหรืออย่างไรก็ไม่รู้ การสร้างพระถ้าไม่สวยก็ไม่อยากจะสร้าง คราวนี้พอสร้างสวย คนก็แย่งกันหมดเกลี้ยงอีก"

เถรี
08-09-2015, 18:50
ถาม : เวลาโดนของ เหมือนกับโดนลมพัด จะแก้อย่างไรคะ รู้สึกว่าเหมือน...?
ตอบ : รู้สึกไม่ได้ ต้องเอาให้แน่ ๆ ถ้าหากเอาแน่ไม่ได้ กลายเป็นว่าเราคิดมากไปเอง แล้วอะไรที่เกิดขึ้นก็พาให้เราคิดว่าโดนของไปหมด เพราะฉะนั้น..ต้องเลิกคิด ไปนั่งภาวนา ถ้าโดนคุณไสยจริง ๆ อารมณ์ใจทรงตัวแค่ปฐมฌานหยาบ คุณไสยก็พังหมดแล้ว นี่เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ถ้าหากว่าไม่ไหวค่อยไปหาน้ำมนต์ของหลวงปู่หลวงพ่อที่เรามั่นใจมาดื่ม มากิน มาอาบแทน

เถรี
08-09-2015, 19:53
ถาม : เมื่อเช้าคุยกับพี่คนหนึ่ง เรื่องแผลผ่าตัดเนื้องอกที่นิ้ว พี่เขาถามว่าเย็บกี่เข็ม ถ้าเกิน ๕ เข็มแปลว่ายันต์เกราะเพชรหลุดแล้ว ก็เลยสงสัยว่า แผลที่เกิดจากเจตนาเพื่อการรักษา ไม่น่าอยู่ในข่ายนี้ ซึ่งต่างจากแผลที่เกิดจากคนมาทำร้าย ที่พี่เขาพูดถูกหรือเปล่า ?
ตอบ : ตำราของใคร ? ไม่เคยได้ยิน ประเภทชอบมั่วไปเรื่อย

ไปนึกถึงคำว่าสัทธรรมปฏิรูป ก็คือเอาความคิดของตนไปปนกับธรรมะของพระพุทธเจ้า ก็คงอยู่ในลักษณะแบบเดียวกัน เพราะเท่าที่ผ่านมาพบว่า คนโน้นพูดว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงว่าอย่างนั้น คนนี้พูดว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงว่าอย่างนี้ แต่ฟังแล้วห่างไกลกับสิ่งที่อาตมาเคยพบ เคยฟังมาด้วยตัวเอง โดยเฉพาะหลายอย่างอยู่ในลักษณะที่อ้างเพื่อหากินโดยเฉพาะ ขณะเดียวกัน..อีกหลายอย่างก็เกิดจากประเภทคิดเองเออเอง เหมือนกับจินตนาการบรรเจิด

เมื่อปี ๒๕๒๖ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบวงสรวงงานวันเกิดที่บ้านสายลม ท่านบอกว่า ท่านท้าวมหาราชให้พรไว้ว่า ถ้าลูกศิษย์หลวงพ่อบาดเจ็บ เต็มที่ก็จะเย็บให้ไม่เกิน ๕ เข็ม แล้วทำไมมามั่วเป็นว่า ถ้าเย็บเกิน ๕ เข็มแปลว่ายันต์เกราะเพชรหลุดแล้ว..??!

เพราะฉะนั้น..ประเภทคิดเองเออเอง จินตนาการดีจนเกินไป หรือว่าอะไรก็ตาม จะทำให้ความเป็นจริงผิดเพี้ยนไปด้วย แล้วท้ายสุดความเป็นจริงเป็นอย่างไรเราก็จะไม่รู้ กลายเป็นยึดถือกันผิด ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ เหมือนกับบรรดานิกายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นของแต่ละศาสนา ก็เพราะเกิดจากฟังสัทธรรมปฏิรูป แล้วก็ยึดผิด ๆ ทำให้การประพฤติปฏิบัติแตกต่างกันไป เมื่อแตกต่างกันก็กลายเป็นคนละนิกาย ทั้ง ๆ ที่เป็นศาสนาเดียวกัน

เถรี
08-09-2015, 20:51
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยรัชกาลที่ ๕ ผู้ชายเขานิยมไว้หนวดกัน ก็คาดว่าน่าจะเป็นแฟชั่นจากต่างประเทศ บรรดาชาวต่างชาติที่เข้ามาบ้านเรายุคนั้น ส่วนใหญ่ไว้หนวดกันเป็นปกติ แล้วเราไปเห็นว่าเขาเป็นชาติที่เจริญแล้วก็เลยทำตามเขา

ตอนช่วงนั้นมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างด้วยกัน อย่างเช่นว่าต้องใส่เสื้อ เพราะเขาเห็นว่าการไม่ใส่เสื้อของคนโบราณเป็นความล้าหลังป่าเถื่อน ทั้ง ๆ ที่บ้านเราอากาศร้อน ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ใส่เสื้อกัน ยกเว้นว่าไปวัดไปวาก็มีผ้าห่มผืนหนึ่ง แต่อาจจะห่มพาดเฉย ๆ อีกอย่างก็คือ บรรดาเจ้านายตลอดจนข้าราชการต่าง ๆ พยายามลดการกินหมากลง เพราะเวลากินหมากมักจะบ้วนน้ำหมากกันเลอะเทอะไปหมด

การกินหมากโดนห้ามจริง ๆ ในสมัยจอมพลแปลก พิบูลสงคราม เขาเรียกว่ายุคมาลานำไทยสู่มหาอำนาจ ให้คนใส่หมวกแบบอารยประเทศ บ้านเราใส่หมวกไม่ได้ ต้องใส่งอบ เพราะบ้านเราอากาศร้อน ไม่มีความจำเป็นต้องใส่หมวกเพื่อรักษาความอบอุ่นของศีรษะ

ในบ้านเราหมากมาหมดเอาจริง ๆ เมื่อไม่นานมานี้เอง รอบข้างเขาก็ยังกินหมากกันเป็นปกติ โดยเฉพาะพม่า ประเทศที่เรานึกไม่ถึงเลยก็คือไต้หวัน ทุกวันนี้ไต้หวันยังกินหมากกันเป็นปกติ สาว ๆ ร้านขายหมากก็ก้าวหน้าเหลือเกิน นุ่งน้อยห่มน้อย บางคนนี่แทบจะเป็นบิกินี่เลย เพราะขายหมากให้หนุ่ม ๆ มิน่า..เขาถึงได้กินกันไม่เลิก จะหาเรื่องไปซื้อหมากนี่เอง"

เถรี
08-09-2015, 20:54
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าใครจองตะกรุดมหาสะท้อนเนื้อทองคำไม่ทัน ไปเอาในเว็บพลังจิตได้ เขาลงไว้เมื่อคืนนี้ดอกละ ๗๐,๐๐๐ บาท ถ้าอยากรู้ว่าใครเป็นคนลง ให้ไปถามทิดโก้กับเพื่อน ต้องบอกว่ายังไม่ทันจะได้ของ ก็ลงกระทู้ขายก่อนแล้ว ย้ำด้วยนะว่าเขามี ๒ ดอก"

เถรี
09-09-2015, 11:39
พระอาจารย์กล่าวว่า "ก่อนทองขึ้นราคา อาตมาว่าจะซื้ออีกสักหน่อย แต่งวดนี้อาจจะแพง ช่วงจังหวะที่ถูกที่สุดเงินไม่พอซื้อ ตอนนี้กองทุนสร้างพระพุทธรูปทองคำยังติดลบอยู่ ๑๔ ล้านกว่าบาท"

เถรี
09-09-2015, 11:41
ถาม : ของในโลกทุกอย่างประกอบขึ้นด้วยธาตุสี่ แล้วเราก็เรียกและยึดส่วนผสมของธาตุสี่ไปเป็นสมมติต่าง ๆ แล้วที่เราทำอะไรต่าง ๆ ให้เป็นชื่อเสียงหรือชื่นชมว่าเก่งก็ตาม เช่น การออกแบบของได้ จริง ๆ ก็เป็นความจำของคนหมู่มาก เราจะทำอะไรในโลกก็แค่ทำส่วนผสมใหม่เท่านั้นเอง ถ้าทำด้วยวิธีการที่คนส่วนใหญ่จำได้ ก็จะเรียกว่าวิชาการ แต่ถ้าสมมติว่าทำด้วยวิธีการที่แปลกไปจากเดิม อย่างเช่น เสกเอา...?
ตอบ : เขาก็ว่าบ้า..! ถ้าไม่เห็นว่าเราบ้าก็เห็นเราเป็นผู้วิเศษ

ถาม : เป็นส่วนของความจำที่เราเรียกว่าสัญญาไหมคะ ?
ตอบ : เป็น...แต่ขณะเดียวกันสิ่งที่มากระทบแล้วทำให้เกิดสัญญาก็มีส่วนด้วย คนเราก็เลยไม่ค่อยยอมรับอะไรที่ตัวเองไม่ค่อยรู้ ถ้านอกเหนือประสบการณ์ตัวเอง ก็มักจะโบ้ยให้เป็นเรื่องของผี ของเทวดาบ้าง ไอ้โน่นบ้า ไอ้นี่ดี ยุ่งไปหมด

ถาม : เป็นกิเลส ?
ตอบ : ต้องบอกว่าเป็นอวิชชา ต้นตอของกิเลสเลย

เถรี
09-09-2015, 12:23
พระอาจารย์กล่าวกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งว่า "หยงหยงอ่านหนังสือต้องจำให้ได้อย่างหลวงตานะ จำหน้าได้ยังไม่พอ ต้องจำบรรทัดได้ด้วย

ความจริงอาตมาไม่ได้คิดจะจำ แต่ไม่รู้เป็นอย่างไร อ่านหนังสือแล้วจำได้หมด ฝรั่งเขาบอกว่า บางคนมีความจำเหมือนภาพถ่าย น่าจะเป็นในลักษณะอย่างนั้น คือจะนึกออกเลยว่าหน้าตาเป็นอย่างไร คนที่มีความจำเหมือนภาพถ่าย ถึงเวลาจะให้รายละเอียดได้มากเพราะว่าจำชัดเจน บางคนก็ถามว่าทำไมบันทึกการเดินทางของอาตมาเขียนได้ละเอียดจัง ตามรอยได้ทุกก้าวเลย ก็นั่นแหละ..ดึงออกมาจากความจำตัวเองก็เขียนได้เรื่อย ๆ

เสียดายอย่างเดียวว่าวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกได้แค่ B+ ถ้าได้ A จะได้คุยอย่างเต็มปากเต็มคำเลย"

เถรี
09-09-2015, 12:32
ถาม : กฐินปลดหนี้ที่เนปาล ไปอย่างไร ?
ตอบ : ไปจองที่คุณไพรินทร์ ไป ๔ วัน ตั้งแต่วันที่ ๕-๘ พฤศจิกายน เป็นวันพฤหัส-ศุกร์-เสาร์ วันอาทิตย์กลับ เขานับเป็นวันที่ ๔ เพราะเที่ยวครึ่งวันแล้วกลับ ค่าใช้จ่าย ๓๕,๙๐๐ บาท รายจ่ายทุกอย่างเป็นของเขา ยกเว้นอาหารมื้อเย็นไม่มี เพราะที่ไปส่วนใหญ่ไม่มีใครกินข้าวเย็น เขาพาไปเที่ยวก่อน ๒ วัน ทอดกฐินครึ่งวัน แล้วอีกครึ่งวัน ถ้าจำไม่ผิดไปนอนที่นากาก็อต คงจะได้หนาวตายกันบ้าง เพราะว่าช่วงปลายปีที่โน่นถึงติดลบเลย..!

รับแค่ ๒๕ คน ถ้าจะจองก็รีบจอง จะเด็กหรือผู้ใหญ่ถ้าคิดว่าสู้หนาวได้ก็ไปเถอะ ตอนนี้เหลือที่ให้จองแค่ ๑๒ คน

เถรี
09-09-2015, 12:35
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ไปไกล ไปปลดหนี้ต่างประเทศ ปีหน้าไปไกลกว่าอีก ไปชายแดนพม่า ไปวัดตะเคียนงาม เป็นห่วงท่านเหมือนกัน ท่านอายุ ๗๐ เข้าไปแล้ว วัดวาอารามกำลังจะเสร็จเพราะว่างานปิดทองฝังลูกนิมิตกำลังดำเนินการอยู่ วันก่อนท่านมาขอยืมเงิน ก็เลยโอนไปให้ ๑ ล้านบาท เพราะว่าช่วงดำเนินการค่าใช้จ่ายจะสูงมาก เลยบอกว่าเอากฐินไปให้คุณก็ไม่มีประโยชน์ เพราะรับเสร็จคุณก็ต้องเอามาคืนผม ปลดหนี้เสร็จ เจ้าหนี้ก็เก็บเงินกลับมาด้วย"

เถรี
09-09-2015, 12:39
พระอาจารย์กล่าวเตือนว่า “ถ้าทำงานโดยไม่ใช้เสียงได้ก็จะดี นี่เริ่มเสียงดังกลบข้างหน้าอีกแล้ว พวกเราส่วนใหญ่แล้วสติไม่พอ พอถึงเวลาก็จะเผลอเสียงดัง ก็เลยต้องโดนปฏักเป็นระยะ ๆ ไป

เคยนั่งอยู่ข้างวงคนกินเหล้าไหม ? คนกินเหล้าแล้วหูจะอื้อ คิดว่าตัวเองพูดเสียงเบา แล้วก็ต่างคนต่างดังใส่กัน อาตมาเองเกาะข้างวงเหล้าอยู่หลายปี มีหน้าที่กินกับ ใครบอกว่าทหารไม่กินเหล้าแล้วอยู่ไม่ได้..ไม่จริง ถึงเวลาในวงถ้ามีคนไม่เมาอยู่ คนอื่นเขาจะเกรงใจ เวลาเขาเมาเหมือนหมาเราก็แบกเขากลับได้ ฉะนั้น..ใครที่บอกว่าไม่กินเหล้าแล้วเพื่อนเขาไม่คบ ไม่ใช่หรอก มีแต่ต้องคบเรา เพียงแต่เขาเบื่ออยู่อย่างเดียวว่ากับแกล้มหมดเร็ว”

เถรี
09-09-2015, 12:42
ถาม : ว่าจะซื้อทอง ๑๙,๐๐๐ บาทค่ะ ?
ตอบ : ซื้อไว้เถอะ ต่อให้ลดลงได้อีกเราก็ซื้อไว้ก่อน เพราะถ้าทองขึ้นงวดนี้จะขึ้นอย่างน่ากลัวมาก ไม่ใช่ขึ้นแค่หลักร้อยหลักพัน แต่ขึ้นเป็นหลักหมื่นเลย ไว้เดี๋ยวถึงเวลาก็รู้เอง บอกมากไปก็ไม่ดี รู้อะไรล่วงหน้า...ถ้าปล่อยไม่ได้วางไม่ได้ก็เครียด อย่าไปรู้เลย ไปเนปาลกินข้าวจานหนึ่งเกือบ ๒๐๐ บาท บ้านเราต่อไปก็เจอราคานี้แหละ..!

เถรี
09-09-2015, 13:43
ถาม : ผมท่องพุทโธ แล้วไม่ค่อยเป็นสมาธิ ?
ตอบ : ก็ใช้อย่างอื่น การภาวนาเป็นเครื่องโยงใจให้ใจเป็นสมาธิ เราใช้อย่างไหนแล้วใจเป็นสมาธิให้ใช้อย่างนั้น ไม่ได้จำกัดว่าต้องพุทโธเท่านั้น

เถรี
09-09-2015, 13:53
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อ ๒ อาทิตย์ที่แล้วมา อาตมาบังเอิญได้ลูกอมหลวงปู่ปาน วัดตุ๊กตา มา ๑ ลูก พวกเราไม่เคยได้ยินชื่อท่านหรอก รู้จักแต่หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ใช่ไหม ? สมัยก่อนตอนกราบสนทนากับหลวงปู่บุดดา หลวงปู่บุดดาบอกว่า "อ๋อ...หลวงพ่อปานหรือ ? มีตั้ง ๓ องค์" หลวงพ่อปาน ๓ องค์ของหลวงปู่บุดดาก็มี หลวงพ่อปาน วัดตุ๊กตา จังหวัดนครปฐม, หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย จังหวัดสมุทรปราการ และหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

หลวงพ่อปาน วัดตุ๊กตา ท่านมีความสามารถทางไหน ? ประวัติท่านไม่ค่อยชัด เพราะว่าท่านเป็นอาจารย์รุ่นเก่ามาก ถ้าถามว่าเก่าระดับไหน ? เก่าขนาดเป็นพระอุปัชฌาย์ของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ถัดจากหลวงปู่บุญ มาเป็นหลวงปู่เพิ่ม จากหลวงปู่เพิ่มมาเป็นหลวงปู่เจือ ตอนนี้หลวงปู่เจือก็มรณภาพไปแล้ว นึกไล่ย้อนหลังไปแล้วกันว่าหลวงปู่ปานอยู่ในยุคไหน แต่ว่าลูกอมของท่านต้องถือว่าเป็นอันดับ ๑ ของประเทศไทย แต่ละคนที่มีอยู่จะหวงสุดชีวิต ไม่ยอมให้ใครง่าย ๆ

ถ้าเอาเป็นที่นิยมในท้องตลาดก็จะมีลูกอมของหลวงปู่ปาน วัดตุ๊กตา, ลูกอมมหากัน หลวงปู่คง วัดบางกะพ้อม, ลูกอมผงยันต์เกราะเพชร หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค, ลูกอมผงอิทธิเจ หลวงปู่พริ้ง วัดบางปะกอก, ลูกอมเมฆสิทธิ์ หลวงปู่ทับ วัดอนงคาราม เป็นต้น ถ้าใครมีอยู่รักษาให้ดี ๆ ไม่ใช่ของหากันง่าย ๆ ลูกอมลูกนี้หลุดมาอยู่ในเว็บหนึ่ง เขาลงราคาไว้เป็นหมื่น อาตมาคว้าหมับมาเลย บอกว่าไม่ต้องโอนเงิน ให้เอามาส่งแล้วรับเงินไปเลย"

เถรี
09-09-2015, 13:54
"ลูกอมของหลวงปู่ปาน วัดตุ๊กตา มีส่วนผสมของว่านสบู่เลือด เพราะฉะนั้น..จะมีสีสันอมชมพู ที่อัศจรรย์กว่านั้นก็คือผงที่ท่านทำ ไม่ทราบว่าใช้ส่วนผสมอะไร พอปั้นเป็นลูกอมแล้วเนื้อแกร่งเหมือนกับหินอ่อนเลย

ของดี ๆ บางทีก็มีหลุดมาในเว็บเหมือนกัน แต่คนต้องดูเป็น ถ้าดูไม่เป็นจะมองข้ามไปแบบน่าเสียดาย โดยเฉพาะหลวงปู่ปาน วัดตุ๊กตา ถ้าไม่ใช่คนที่อยู่ในวงการจริง ๆ แทบจะไม่รู้จักท่านเลย ลูกอมผงยันต์เกราะเพชร ของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค อาตมาโดนเพื่อนอมไปแล้ว ในเมื่อเป็นลูกอมก็เลยโดนอมไป ตอนนี้ก็เหลือแต่ของหลวงปู่พริ้ง วัดบางปะกอก"

เถรี
09-09-2015, 14:10
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตะกรุดมหาสะท้อนทองคำ รุ่น ๕ เพิ่งจะเข้าพิธีพุทธาภิเษกล่าสุดที่วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่มา ในงานก็มีตุ๊พ่อสิงห์กับหลวงตาวัชรชัยร่วมพิธีด้วย ต้องบอกว่านาน ๆ ทีจะมีตะกรุดมหาสะท้อนเข้าพิธีใหญ่สักครั้งหนึ่ง เพราะปกติเขียนเสร็จก็เสกในตัวใช้ได้เลย

ตะกรุดมหาสะท้อนบังคับเลยว่าต้องเป็นวัตถุมีค่า ต่ำสุดก็คือเงินแท้ หรือนาก หรือทองคำเท่านั้น น้ำหนักต้องไม่ต่ำกว่า ๑ บาท นี่เป็นวัตถุมงคลเนื้อทองคำรุ่นเดียว ที่อาตมาคิดราคาเท่ากับราคาท้องตลาด เพราะราคาวัตถุมงคลในตลาดที่เป็นเนื้อทองคำ คำนวณราคาทองคำที่ใช้ทำออกมาเป็นเงินแล้วคูณด้วย ๓ ก็คือราคาที่เขาออกให้บูชากัน แต่อาตมาคิด ๓ บาทพอดี ถ้าหากจะเอา ๓ เท่าพอดีต้องเกิน ๓ บาทไปหน่อย ๆ เพราะว่าเราจะให้ตะกรุดหนัก ๑ บาทตรง ๆ ไม่ได้ ต้องให้เกินไว้นิดหนึ่ง..เผื่อขาด

ส่วนใหญ่แล้วพอนานไปก็จะมีการเพี้ยน ครูบาอาจารย์ท่านระบุไว้อย่างไรก็ไม่ทำตามนั้น ซึ่งถ้าต้องการให้เป็นมหาสะท้อน แปลว่าน้ำหนักต่ำสุดต้องหนักบาทหนึ่งขึ้นไป และเป็นโลหะมีค่า ก็คือเงิน นาก หรือทองคำ เคยกราบเรียนถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า โลหะมีค่าแต่ละชนิด ทำไมถึงต้องใช้ต่างกัน ? ท่านบอกว่า วัตถุมงคลยิ่งสร้างด้วยโลหะมีราคาสูงเท่าไร พรหม เทวดาที่รักษาก็ยิ่งมีอานุภาพหรือศักดานุภาพสูงเท่านั้น แล้วก็ไม่ต้องไปหาอีก เพราะว่าปกติอาตมาไม่เคยทำตะกรุดเนื้อทองคำเป็นสาธารณะ เพิ่งจะมีครั้งนี้ครั้งแรกและครั้งเดียว ถ้าพระท่านไม่อนุญาตก็ไม่กล้าทำ

ตอนนี้ถ้าใครจะซื้อทองคำ อย่าเพิ่งไปสนใจราคาที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ให้ซื้อเอาไว้ก่อน จะขาดทุนกำไรเล็กน้อยอย่างไรช่าง เพราะอาตมายืนยันว่าอีกไม่นานราคาทองคำจะแพงหูดับ..!"

เถรี
09-09-2015, 14:59
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนทางมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ห้องเรียนวัดไร่ขิง กำหนดสอบโครงร่างสารนิพนธ์ปริญญาโทวันที่ ๑๔ กันยายน อาตมาก็เลยต้องโวย ถ้า ๑๔ กันยายน คุณก็หาคนอื่นคุมเล่มแทนเถอะ เพราะวันที่ ๑๔ กันยายน ตรงกับงานหลวงปู่สาย เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่อาตมาจะว่าง

ตอนแรกวันสอบโครงร่างฯ ตรงกับวันที่ ๑๑ กันยายน แต่ท่านเจ้าคุณพระราชวรเมธีท่านไม่ว่าง ก็เลยเลื่อนมาเป็น ๑๔ กันยายน อาตมาก็ได้แต่คิดว่า ถ้าอาจารย์คุมเล่มไม่ไปก็น่าเกลียดมาก ปรากฏว่าท้ายสุดเขาก็เลื่อนเป็น ๑๕ กันยายนให้ แปลว่า พองานหลวงปู่เสร็จ อาตมาต้องวิ่งตับแล่บเลย เพราะคุมอยู่ตั้ง ๙ เล่ม กำลังคิดว่าเรียนจบแล้วไม่ต้องมายุ่งกับเรื่องอย่างนี้อีก กลายเป็นต้องมานั่งตรวจโครงร่างสารนิพนธ์ของเขา ดึก ๆ ดื่น ๆ โดนไปตั้ง ๙ เล่ม แล้วอาตมาก็มีนิสัยอ่านทุกตัวอักษรเสียด้วย

วันนั้นที่ตรวจไปมีผิดทุกหน้า ก็คิดขึ้นมาว่าสมัยตอนเราเรียนใหม่ ๆ เราก็คงจะทำให้อาจารย์ปวดกบาลแบบนี้เหมือนกันแหละ อาตมายืนยันนะ ถ้าใครไม่ได้เรียนปริญญาตรีงานวิจัยมาโดยตรง ก็จะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับวิทยานิพนธ์หรือสารนิพนธ์สักเท่าไรหรอก จะมารู้เอาจริง ๆ ตอนที่เรียนจบแล้ว แล้วถ้าไม่ได้เรียนต่อให้สูงไปกว่านั้นก็ไม่ได้ใช้ต่อ จึงต้องมาแก้ให้เขาตั้งแต่หน้าแรกยันหน้าสุดท้าย แต่ที่น่าตายที่สุดก็คือ ชื่อตัวเองยังเขียนผิด ก็เลยบอกเขาว่า คราวหน้าถ้าชื่อตัวเองยังเขียนผิด อาตมาจะปรับตกตั้งแต่ก่อนสอบเลย"

เถรี
09-09-2015, 15:56
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยที่ยังอยู่ที่บ้านอนุสาวรีย์ฯ มีสาววัยรุ่นคนหนึ่งชื่อมีมี่ น่าจะเรียนมัธยมปลายหรือไม่ก็มหาวิทยาลัยปีแรก แกถามปัญหาสารพัด อาตมาก็นั่งทำนั่นทำนี่แล้วก็ตอบไปเรื่อย ๆ เขาโกรธมาก เขาบอกว่า เขาต้องทุ่มเทความคิดและสติปัญญาทุกอย่างเพื่อถาม หลวงพ่อทำโน่นทำนี่แล้วก็ตอบไปเรื่อย ๆ พูดง่าย ๆ คือของอาตมาสบาย ๆ ขณะที่เขาต้องทุ่มสุดตัว

อาตมาก็บอกกับเขาว่า ถ้าเราฝึกไปถึงระดับหนึ่ง ความละเอียดของใจมีมากขึ้น จะทำงานหลายอย่างได้พร้อม ๆ กัน นึกขำตอนที่เขาโกรธ เขาโกรธแบบเด็ก ๆ เลย ทุ่มเทสติปัญญาความรู้ความสามารถทั้งหมดตั้งคำถาม แต่หลวงพ่อเล่นทำงานไปตอบไป

ถ้าคนฝึกมโนมยิทธิมา มีความคล่องสักนิดหนึ่ง ก็ทำแบบนี้ได้ทุกคน เพราะว่าเรื่องของมโนมยิทธิ ใจของเราส่วนหนึ่งต้องอยู่กับพระ ใจของเราอีกส่วนหนึ่งต้องควบคุมการทำงานของร่างกายจนเคยชิน

วันก่อนที่วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ ที่หลวงตาวัชรชัยท่านพูดว่า ในเรื่องของความชัดเจนของมโนมยิทธิ ต้องยกให้อาตมา ความจริงที่ได้มาก็เกิดจากการฝึกฝน ขอยืนยันว่าต้องฝึกหนักมาก หลังจากที่ฝึกมโนมยิทธิได้ก็ซักซ้อมครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะซ้อมอยู่ข้าง ๆ หลวงพ่อวัดท่าซุงกับหลวงปู่ธรรมชัย"

เถรี
09-09-2015, 16:44
"ตอนอยู่ข้างหลวงพ่อวัดท่าซุง บารมีพระท่านสงเคราะห์ลงมา เวลาไปซักซ้อมการรู้เห็นอะไรก็จะชัดเจนมาก เมื่อมีโอกาสซักซ้อมอยู่บ่อย ๆ ก็มีความคล่องตัว แล้วก็ไปซ้อมที่หลวงปู่ธรรมชัย ก็แปลว่าเดือนหนึ่งอย่างน้อยได้ซ้อม ๒ รอบใหญ่ ๆ ก็คือ ตอนที่หลวงพ่อวัดท่าซุงมาบ้านสายลม กับหลวงปู่ธรรมชัยไปบ้านคุณประดิษฐ์ที่สมุทรปราการ

หลวงปู่ธรรมชัยจะต้องตรวจรักษาโรค เวลาคนมาหาท่านต้องจับสายสิญจน์ที่วางบนพาน หลวงปู่ก็จะบอกว่าเจ็บป่วยด้วยโรคอะไร เป็นมากี่วัน กี่เดือน กี่ปี ต้องใช้ยาอะไร ซึ่งพระเลขาต้องเขียนเร็วมาก เพราะหลวงปู่ท่านพูดไปเรื่อย ๆ อาตมาก็ไปนั่งซ้อม ปรากฏว่าป่วยมากี่ปีพอจะบอกได้ถูก แต่พอกี่เดือนกี่วันมักจะพลาด เพราะว่าวิสัยไม่ได้มาทางด้านนี้ ไม่ได้ละเอียดขนาดนั้น

ซ้อมไปอยู่เป็นปี ๆ มีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็หัวเราะ ท่านบอกว่าทิพจักขุญาณของหลวงปู่ธรรมชัยเยี่ยมที่สุดในยุคนี้ ท่านบอกว่า "หลวงปู่เกิดมาเพื่อรักษาโรค ถ้ารู้สมมุติฐานไม่ละเอียดก็รักษาไม่ได้ เอ็งไม่ต้องไปแข่งกับท่านหรอก" เพราะฉะนั้น..ประเภทที่แพ้ยับเยินมาทุกงานนี่ไม่ใช่เรื่องแปลก ปัจจุบันที่คนโน้นก็บอกว่ารู้ชัด คนนี้ก็บอกว่ารู้ชัด อาตมาไปเจอหลวงปู่นี่เยินมาเยอะแล้ว ไม่ติดฝุ่นท่านเลย

หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า แรก ๆ ท่านก็ต้องช่วยรักษาโรค เพราะคนเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยมาก็จะมาพึ่งพา ตนเองเป็นพระก็ต้องสงเคราะห์เขา แต่พอเห็นหน้าหลวงปู่ธรรมชัยก็รู้ว่าเจ้าของงานมาแล้ว โล่งอกไปที ภายหลังเวลาใครเจ็บไข้ได้ป่วย ท่านก็แนะนำไปหาหลวงปู่ธรรมชัยก่อน

หลวงปู่ธรรมชัยท่านเมตตาเหลือเกิน อาตมาต้องคอยอาละวาดไล่คนอยู่เรื่อย เพราะคนเราต้องการประโยชน์ของตัวเอง ไม่สนใจว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไร หลวงปู่ท่านนั่งสงเคราะห์โยมตั้งแต่เช้าจนจะเที่ยงอยู่แล้ว เขาก็ยังรุมกันแน่นไปหมด ต้องไล่ไป..บอกว่าให้หลวงปู่ได้ฉันเพลก่อน ทางด้านคุณประดิษฐ์ก็บอกว่าเป็นอย่างนี้แหละ หลวงปู่อดฉันเพลประจำ"

เถรี
09-09-2015, 16:52
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนเวลาหลวงปู่มหาอำพันมีอะไรก็มักจะถามอาตมา ท่านจะถามหลวงพ่อก็เกรงใจ เพราะหลวงพ่อวัดท่าซุงไม่ค่อยมีเวลา ถึงเวลาท่านรู้อะไรท่านก็จะใช้วิธีขอคำยืนยันกับอาตมา เป็นคนแก่ที่น่ารักมาก บางทีก็เขียนจดหมายถาม ถ้าเจอตัวก็ถามตรง ๆ

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านให้ช่วยเขียนวิธีการฝึกและใช้มโนมยิทธิถวายท่าน อาตมาก็เขียนตำราถวายท่านไป ต้องบอกว่าเป็นตำราเล่มแรกของพระอาจารย์เล็ก เขียนใส่สมุดธรรมดา ๆ นี่แหละ แล้วท่านก็มาเน้นข้อความ คือท่านจะดูว่าตรงกับที่ท่านรู้มาหรือไม่ เพราะว่าจริง ๆ แล้วหลวงปู่ท่านทำได้ แต่ท่านไปติดตรงที่ว่าทิพจักขุญาณต้องเหมือนกับตาเห็น ท่านจะเอาแบบทิพยเนตร ไม่ใช่ทิพจักขุญาณ พอท่านเข้าใจว่าทิพจักขุญาณเป็นความรู้สึกแรก ตั้งแต่นั้นมาท่านก็ไปลื่นเลย ถือเป็นโอกาสที่หาไม่ได้ในโลก คือได้ถวายความรู้แก่ครูบาอาจารย์ระดับนั้น

แล้วท่านก็ซื้อปากกาหมึกซึมพร้อมกับหมึกดำให้ขวดหนึ่ง บอกว่าต่อไปคุณใช้หมึกนี้นะ เพราะว่าปากกาของคุณสีจางมาก คนแก่มองไม่ค่อยเห็น ก็คือด้วยความที่จะเขียนถวายหลวงปู่ สมุดก็เอาเล่มใหม่ ปากกาก็เอาของใหม่ คราวนี้ปากกาหมึกซึมถ้าใช้ใหม่ ๆ แล้วสีจะจาง ต้องใช้ไปสักครึ่งหนึ่งแล้วสีจะค่อย ๆ เข้มขึ้น ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าต้นฉบับนั้นพี่มุกดาจะเก็บเอาไว้

ต้องบอกว่ามีโอกาสทำงานที่ไม่น่าจะได้ทำ เพราะว่าหลวงปู่ท่านมีหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นครูบาอาจารย์ มีหลวงปู่ธรรมชัย หลวงปู่ครูบาไชยวงศ์เป็นสหธรรมิก กลับต้องมาคอยถามอาตมาอยู่ว่าเรื่องพวกนี้เป็นอย่างไร"

เถรี
09-09-2015, 16:57
ถาม : ถ้าเดือนนี้กับเดือนตุลา จะย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหม่วันไหนดีครับ ?
ตอบ : ปกติแล้วในช่วงเข้าพรรษาเขาจะไม่ขึ้นบ้านใหม่กัน เพราะฉะนั้น..ให้ไปหาฤกษ์หลังออกพรรษา แล้วเป็นฤกษ์ วันศุกร์ ข้างขึ้น เดือนคู่ ก็ต้องเป็นเดือน ๑๒ หรือไม่อีกทีก็เดือนยี่คือปีหน้าไปเลย ถ้าจำเป็นต้องย้ายระยะนี้ ก็เอาตัวเข้าไปอยู่ก่อน พอหาฤกษ์ที่เราต้องการได้ก็ตั้งหิ้งพระ แล้วนิมนต์พระเข้าไป ถือว่าวันที่พระเข้าบ้านก็คือวันขึ้นบ้านใหม่

เถรี
10-09-2015, 14:11
ถาม : คำว่า สุกขวิปัสสโก เขาบอกว่า เป็นผู้มีฌานอันแห้งแล้งครับ ?
ตอบ : อธิบายง่าย ๆ ว่า ไม่มีฤทธิ์ไม่มีอภิญญา คำว่า สุกขวิปัสสโก มีอธิบายว่า รู้แจ้งเห็นจริง เข้าถึงธรรมแบบง่าย ๆ โอ้พระเจ้า...ถ้าเข้าถึงธรรมได้ง่าย ๆ ก็ดีสินะ

พูดง่าย ๆ ว่า บรรลุมรรคผลโดยปราศจากความสามารถพิเศษด้านอื่น ๆ แต่เท่าที่อาตมาเจอมา ก็เห็นว่าท่านทำอะไรได้เหมือนกับพระอภิญญาดี ๆ นี่เอง ที่ยกตัวอย่างไปก็คือ หลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพศิรินทราวาส สมัยที่อาตมาอยู่กับท่าน ท่านมักจะซักซ้อมมโนมยิทธิด้วยการสอบถามเรื่องนั้นเรื่องนี้กับอาตมาว่าเป็นอย่างไร เวลาท่านรู้ท่านจะมาถาม ก็แปลว่าท่านรู้ยิ่งกว่าอาตมาเสียอีก เพียงแต่ท่านต้องการให้คนยืนยันเท่านั้นว่าเรื่องนี้ถูกไหม

ขณะเดียวกันก็เคยเห็นท่านเรียกฝนมาต่อหน้าต่อตาเหมือนกัน เพราะฉะนั้น..จะบอกว่าพระสุกขวิปัสสโกไม่มีฤทธิ์ก็ไม่จริง เพราะฤทธิ์ที่เราว่านั้นก็คืออิทธิวิธี การแสดงได้ด้วยอำนาจของกสิณ ๑๐ ที่เขาแยกแยะเป็นประเภทวิกุพพนาฤทธิ์ แต่ว่าฤทธิ์ด้านอื่น ๆ อย่างเช่นว่า ฌานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากฌานสมาบัติ อธิษฐานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากความตั้งใจมั่นนั้นมีอยู่ คราวนี้พระระดับนั้นกำลังของท่านเหลือเฟืออยู่แล้ว ถ้าท่านตั้งใจอธิษฐานต้องการอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น

เขาบอกว่าพระสุกขวิปัสสโกแสดงฤทธิ์ไม่ได้ แต่อาตมาเจอมาเต็ม ๆ พอท่านทำเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว ท่านก็บอกว่า “อย่าบอกใครนะ”

ถาม : เป็นของเก่าหรือครับ ?
ตอบ : จะบอกว่าเป็นของเก่าไม่ได้หรอก เพราะว่าถ้าเป็นของเก่า ที่พื้นฐานเดิมถ้ามาทางวิชชา ๓ อภิญญา ๖ เวลากำลังถึงจะได้ของเก่าคืนมา แสดงว่าของท่านเป็นของใหม่จริง ๆ แต่ว่าเราไปเข้าใจผิดว่าแสดงฤทธิ์ไม่ได้ เพราะไปคิดว่าเป็นวิกุพพนาฤทธิ์ แต่ความจริงฤทธิ์ด้านอื่น ๆ มีรวม ๆ กันตั้ง ๑๐ อย่าง

ถาม : ประโยชน์อะไรที่จะไปแยกสุกขวิปัสสโกกับประเภทอื่น ๆ ?
ตอบ : แยกให้รู้เท่านั้นเองว่าคุณจัดอยู่ในประเภทไหน จะว่าไปแล้วก็จบปริญญาเหมือนกันนั่นแหละ เพียงแต่ว่าคนเรียนหมอมาก็มีความสามารถพิเศษทางหนึ่ง คนจบปริญญาด้านพลศึกษามา สมรรถภาพร่างกายของเราก็สู้เขาไม่ได้อยู่แล้ว แต่คราวนี้ตำรับตำราคำอธิบายมาฟังแล้ว แหม...บรรลุมรรคผลง่าย ๆ กว่าจะง่ายนี่ไม่รู้ล่อไปกี่แสนกัป..!

เถรี
10-09-2015, 16:38
ถาม : พระสาวกต้องบำเพ็ญบารมีนานเท่าไรครับ ?
ตอบ : ถ้าตามในวิสุทธิมรรคกล่าวมาก็คือ ๑ อสงไขยกับแสนมหากัป

ถาม : อัครสาวกล่ะครับ ?
ตอบ : อัครสาวก ๒ อสงไขย เท่ากับพระปัจเจกพุทธเจ้า

ในบรรดาอัครสาวก มหาสาวก ระบุไว้ว่ามีพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะ พระนางพิมพา ท่านใช้คำว่าได้อภิญญาใหญ่จริง ๆ เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ระลึกชาติได้แบบไม่จำกัด พูดง่าย ๆ ก็คือเกิดมากี่ชาติก็สามารถที่จะนึกได้หมด ขณะเดียวกันสาวกคนอื่นอาจจะระลึกได้คนละ ๑ กัปบ้าง ๕ กัปบ้าง ๑๐ กัปบ้าง ๑๐๐ กัปบ้าง

ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์ที่ท่านปล่อยวางได้แล้วจริง ๆ การระลึกชาตินี่คงเครียดน่าดู เกิดเป็นคนนี้คนนั้นสารพัดสารเพ เป็นพวกเราคงปวดกบาลตายชัก..!

เถรี
10-09-2015, 16:42
ถาม : พระโสดาบันเกิดอีกกี่ชาติครับ ?
ตอบ : มากที่สุด ๗ ชาติ เป็นประเภทสัตตักขัตตุงปรมะ เป็นมนุษย์ชาติที่ ๑ ไปเทวดาชาติที่ ๒ ลงมาเป็นมนุษย์อีกชาติที่ ๓ ขึ้นไปเป็นเทวดาชาติที่ ๔ ลงมาเป็นมนุษย์อีก ๕ ขึ้นไปเป็นเทวดา ๖ ลงมาเป็นมนุษย์ ๗ แล้วไปพระนิพพาน

โกลังโกละ แปลว่า จากตระกูลสู่ตระกูล จากมนุษย์ขึ้นไปเป็นเทวดา ลงมาเป็นมนุษย์อีกที แล้วก็ไปพระนิพพาน เพราะฉะนั้น..การที่จะเป็นเทวดาหรือมนุษย์เขาเรียกเกิดทั้งนั้น ก็เท่ากับเหลือประมาณ ๓ ชาติ ส่วนเอกพีชี เขาแปลว่า ผู้มีพืชอันเดียว คือเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็เข้าพระนิพพานไปเลย

เถรี
10-09-2015, 16:43
ถาม : พระอนาคามียังมีคำว่า "เรา" คือ ถือว่าเป็นเรา ?
ตอบ : รอให้คุณเป็นก่อนดีกว่าแล้วค่อยมาถาม คือถ้ายังตัดไม่หมด อย่างไรตัวสุดท้ายก็ยังเกาะอยู่ ตัวสุดท้ายหรืออวิชชาที่เกาะอยู่ ก็คือเกาะตัวแรกที่เป็นสักกายทิฏฐิด้วย เพราะฉะนั้น..จะเป็นเราหรือเป็นเขาก็พอกันนั่นแหละ

เถรี
10-09-2015, 16:55
ถาม : คำว่า อายตนนิพพาน ทำไมเป็นสถานที่ครับ ?
ตอบ : พูดง่าย ๆ ว่าความยึดติดของเรา เรายึดว่า ถ้ามีก็ต้องเป็นสถานที่ คือความเคยชินของเรา

ถาม : ในคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้แสดงสถานที่ไว้ ?
ตอบ : ท่านใช้คำว่า ตะทายะตะนัง อายตนะนั้นมีอยู่ เป็นสถานที่ซึ่งเกินความเข้าใจของคนทั่ว ๆ ไป เกินกว่าที่สมมติจะก้าวล่วงเข้าไปถึง ก็เลยเป็นสิ่งที่พระองค์ท่านไม่ได้อธิบายเอาไว้ เพราะรู้ว่าอธิบายไป พวกเราก็มัวแต่ไปเปรียบเทียบกับสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่ การที่เราไปเปรียบเทียบจะทำให้ยึดติด การยึดติดก็ทำให้หลุดพ้นยากขึ้นไปอีก บางคนก็เลยสงสัยว่า ในเมื่อพระนิพพานเป็นสุดยอดของพระพุทธศาสนา ทำไมพระพุทธเจ้าไม่อธิบายให้ชัดไว้ ก็ภาษามนุษย์จะไปอธิบายพระนิพพานได้อย่างไร ? พระนิพพานเป็นภาษาใจ ไม่สามารถที่จะใช้คำพูดหยาบ ๆ อธิบายได้

ถาม : ตราบใดที่กายสังขารยังไม่แตกดับ มนุษย์และเทวดาก็ยังไม่เห็นอายตนนิพพาน ?
ตอบ : ถ้าเราไม่ได้เข้าถึงในหลักธรรมของพระองค์ท่าน ก็ไม่สามารถจะรู้ว่าจริง ๆ แล้วพระองค์ท่านคืออะไร ? ที่พระองค์ท่านตรัสไว้ว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ก็คือเราต้องเข้าถึงความละเอียดระดับเดียวกันจึงสามารถที่จะรู้เห็นได้ มนุษย์กับเทวดายังอยู่ในภพภูมิที่หยาบเกินไป ไม่สามารถจะรู้เห็นอายตนนิพพานได้

เถรี
10-09-2015, 16:59
ถาม : ที่พระสาวกบอกว่า พระพุทธเจ้าจะเสด็จนิพพานโดยไม่เห็นในวันนั้น ?
ตอบ : ไม่ได้เห็นสังขารอีกแล้ว กายสังขารนี้ได้แตกดับไป ก็คือ สายตานี้จะไม่ได้เห็นกายหยาบพระองค์ท่านอีกแล้ว ต้องแปลอย่างนี้ถึงจะชัด..ใช่ไหม ?

เถรี
10-09-2015, 18:27
วันก่อนมีคนถามว่าพระราหุลปรินิพพานตอนอายุเท่าไร ? ต้องใช้คำว่าประมาณการ เพราะในพระไตรปิฎกไม่ได้ระบุอายุที่ชัดเจน แต่ว่าตอนที่พระโมคคัลลาน์กับพระสารีบุตรพิจารณาว่า อัครสาวกกับพระพุทธเจ้าผู้ใดควรจะปรินิพพานก่อน และควรจะปรินิพพาน ณ ที่ใด ทั้งสองท่านรำพึงว่าพระราหุลปรินิพพานที่ดาวดึงสเทวโลก ก็แปลว่าพระราหุลไปก่อนแล้ว

ถ้าตีเสียว่าพระราหุลไปในปีนั้น เป็นปีที่พระพุทธเจ้า ๗๙ พรรษา ถ้าลบ ๗๙ ออก ๒๙ ปีที่พระองค์ท่านเสด็จออกบรรพชา ก็เหลือ ๕๐ แสดงว่าพระราหุลไปนิพพานตอนอายุไม่ถึง ๕๐ แต่คราวนี้พระราหุลท่านเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่เด็ก ถ้านับอายุว่า ๗ ขวบ ก็แปลว่าท่านไปตอนอายุ ๔๓ ถ้านับทั่ว ๆ ไปคนที่อายุ ๔๓ พรรษานี่ไม่ถือว่าน้อย เพียงแต่ว่าภาระหมดก็ไป ไปจำพรรษาที่ดาวดึงส์ก็เลยนิพพานบนนั้น

อายุที่น้อยที่สุดแล้วนิพพานในพระไตรปิฎกไม่ได้บอกไว้ แต่อายุที่มากที่สุดก็คือพระพากุลเถระ ๑๕๐ ปีแล้วค่อยไป ไม่ได้ตายด้วยนะ พูดง่าย ๆ ก็คือถอดจิตไปเลย ไม่อยู่แล้ว เบื่อเต็มทีแล้ว ใครลองอยู่ ๑๕๐ ปีดูสิ คนที่รู้จักก็ไปหมดเกลี้ยงแล้ว รุ่นหลัง ๆ ที่รู้จัก ความผูกพันก็ไม่มี คงเป็นอะไรที่น่าเบื่อมากสำหรับคนทั่วไป แล้วท่านพากุละก็หมดภาระเพราะว่าเป็นพระอรหันต์ ท่านอยู่จนถึงขนาดนั้น

บาลีใช้คำว่า เข้าห้องปิดประตู แล้วก็นั่งกรรมฐานไปเลย อยู่ในพักกุลเถรัจฉริยัพภูตธัมมสูตร ก็คือพระสูตรที่แสดงออกซึ่งอัจฉริยภาพอันน่าอัศจรรย์ของพระพากุละ ประโยคนี้รับประกันว่าถ้าไม่ไปเปิดตำราดู ต้องถอดผิดแน่เลย เพราะเป็นเถระ + อัจฉริยะ + อัพภูตธรรม

เถรี
10-09-2015, 18:46
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยจะดูกฎเกณฑ์ ไม่ดูกติกา เขาระบุให้จองตะกรุดมหาสะท้อนเนื้อทองคำได้คนละ ๑ ดอก ก็ตะบันจองไปคนละ ๒ ดอก ๓ ดอก นี่ถ้าปล่อยให้จองได้เกิน ๑ ดอก รับประกันได้ว่าจองได้แค่ไม่กี่คน"

เถรี
10-09-2015, 18:59
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ฝนทิ้งช่วงเร็วมาก ปกติที่ทองผาภูมิช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม ฝนจะตกทั้งวันทั้งคืน ปรากฏว่าปีนี้ตกเป็นช่วง ๆ อย่างเช่นตกช่วงหัวค่ำหรือเช้ามืด ลักษณะนี้ปีหน้าจะแล้งจัดมาก ใครที่อยู่กรุงเทพฯ หาถังหาแท็งก์สำรองน้ำเอาไว้บ้างจะได้ปลอดภัย หรืออย่างน้อยให้มีใช้ไปสัก ๓ วัน ๗ วัน

ญาติโยมยุคนี้ไม่เคยเจอกรุงเทพฯ ในยุคที่ต้องตื่นมารองน้ำประปาตั้งแต่ตีหนึ่งยันสว่าง ถึงจะพอใช้งาน อาตมาขอยืนยันว่าเคยเจอมาแล้ว จะรองน้ำให้เพียงพอต่อการหุงข้าว ซักผ้า หรือว่าอาบ ต้องตื่นมาตั้งแต่ตีหนึ่ง รอให้บ้านอื่นเขาหลับแล้วไม่ได้เปิดน้ำก่อน น้ำถึงจะไหลแรงพอที่จะมาถึงบ้านเรา"

เถรี
10-09-2015, 20:03
ถาม : ทำไมจึงใช้คำว่าปรินิพพาน ?
ตอบ : บาลีเขาใช้อย่างนั้น

ถาม : ปรินิพพานไม่ได้ใช้กับเฉพาะพระพุทธเจ้า ?
ตอบ : จะใช้อะไรก็ตามก็ความหมายเดียวกันหมด ปริ แปลว่า รอบ, ทั่ว นิพพาน แปลว่า ดับ ปรินิพพาน แปลว่า ดับรอบ ดับทั่ว ดับไม่มีอะไรเหลือ

เถรี
10-09-2015, 20:43
ถาม : ที่วัดจัดงาน มีฆราวาสท่านหนึ่งเอาใบไม้ใส่ลงไปในร่างกายแล้วก็ดึงของไสยศาสตร์ออกมา เกิดจากอะไรคะ ทำไมจึงดึงออกมาได้ ?
ตอบ : ก็มีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือมีความสามารถจริง อย่างที่สองก็เล่นกล ระยะหลังเขาเล่นกลเยอะ ถ้าอยากรู้ว่าเล่นกลทำอย่างไร ? ถามทิดตู่ดู รายนั้นแหกตาชาวบ้านมาเยอะแล้ว

เถรี
11-09-2015, 10:58
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้มณฑปตั้งพระพุทธรูปทองคำประกอบเข้าไปแล้ว อาตมาลองขึ้นไปนั่งดู ปรากฏว่าขนาดตัวคนที่นั่งลงไป ถ้าไม่มีแท่นรองก็จะจมหายไปครึ่งตัว เนื่องจากว่าความสูงระดับแท่นนี้ เลยหัวอาตมาไปเกือบศอกแล้ว ถ้าแหงนขึ้นดูจะเห็นแค่ครึ่งตัว แล้วถ้าจะหนุนเอาพระทองคำขึ้นมา ก็คงต้องทำแท่นรองอีกชั้นหนึ่ง เข้าไปเห็นแล้วจะรู้ว่าใหญ่มาก แต่ตอนที่หน้าตาแค่นี้เรายังดูกันไม่ออก

ด้วยความที่คนออกแบบกับช่างคุ้นมือคุ้นงานกันมานาน ออกแบบเสร็จช่างก็ทำไปเรื่อย ปรากฏว่าช่างลงสีรองพื้นไว้แดงโร่เลย พอคนออกแบบไปถึงบอกว่าไม่เอา ของหลวงพ่อเล็กไม่เอาอย่างนี้ ต้องการให้ย้อมสีไม้อ่อนแก่สลับกัน จะได้โชว์ลายให้เด่นขึ้นมา พูดง่าย ๆ ก็คือส่วนหนึ่งจะโชว์เนื้อไม้ แต่รายโน้นเขาคิดว่าแกะสลักทีไรก็ปิดทองทุกที เขาก็เลยลงสีพื้นไว้ให้ สรุปแล้วช่างสีขาดทุน ต้องไปลอกสีออก เสียเวลาทำงานฟรี ๆ

ส่วนหอจ่ายน้ำประปา ตอนนี้ถังเทเสร็จแล้ว กำลังหาบริษัทอุดรอยรั่ว ครั้นจะให้ทำเองก็กลัวมือไม่ถึง เพราะส่วนใหญ่ช่างของเราไม่ใช่ผู้ชำนาญการ ก็เลยต้องการบริษัทที่เขารับทำทางด้านนี้ เผื่อมีอะไรผิดพลาดเขาจะได้รับประกันแก้ไขได้

ส่วนเมรุวัดท่าขนุนหายไปจากโลกนี้แล้ว ไม่มีอะไรเหลืออยู่นอกจากพื้นเปล่า ๆ ช่างกำลังวางผังทำเมรุใหม่อยู่ ทองผาภูมิเป็นอำเภอที่มีผู้หลักผู้ใหญ่ เจ้าใหญ่นายโตไปกันเยอะ งานศพแต่ละที รัฐมนตรี ส.ส. ส.จ. นายพล นายพัน ฯลฯ ไปกัน แต่ไม่มีเมรุที่เป็นหน้าเป็นตาให้แก่อำเภอเลยสักที่เดียว ท้ายสุดวัดท่าขนุนก็เลยต้องทำเอง แต่ประกาศบอกญาติโยมไปแล้วว่าเผาฟรีก็ได้ ไม่ใช่เห็นเมรุสวยแล้วไม่กล้าเข้าไปใช้

ช่วงนี้ก็ห้ามตาย..! ต้องรอสัก ๒ ปี เมรุเสร็จแล้วค่อยอนุญาตให้ตายได้ รวมทั้งเจ้าอาวาสด้วย ไม่อย่างนั้นไม่มีที่เผา ถ้าเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนตายแล้วไปเผาวัดอื่นนี่น่าเกลียดมาก..!"

เถรี
11-09-2015, 19:20
ถาม : คนที่เอาตะปูสังขวานรจากโบสถ์เก่ามาละครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่รู้จักชำระหนี้สงฆ์ก็ลงนรกไป ตะปูสังขวานรเป็นตะปูหล่อแบบโบราณ ส่วนใหญ่เอาไว้ยึดสิ่งที่ต้องการความแข็งแรง อย่างเช่น ประตูโบสถ์ ประตูวัง ถ้าโบสถ์ก็เป็นหนี้สงฆ์แน่ ๆ ถ้าวังก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปรื้อแล้วจะโดนอะไรบ้าง เขาถือว่าโบสถ์เป็นสถานที่ซึ่งพระภิกษุทำสังฆกรรมอยู่เสมอ โดยเฉพาะการสวดปาฏิโมกข์ทุกกึ่งเดือน พระภิกษุทุกรูปในพุทธศาสนาเกิดมาจากโบสถ์ มีการสวดญัตติ ประกาศยกเข้าเป็นอุปสัมบัน มีสิทธิ์ในการร่วมกิน ร่วมนอน ร่วมสังฆกรรมทั่วทั้งสังฆมณฑล

ส่วนวังเป็นที่พักของผู้มีบารมีสูงสุดของประเทศ ประกอบไปด้วยผู้คนจำนวนมากที่ต้องอ่อนน้อมค้อมเข้าไปหา ดังนั้น..สิ่งของที่เนื่องด้วยทั้ง ๒ อย่างนี้จึงถือว่าเป็นสิ่งที่มีอาถรรพ์ มีความเป็นมงคลอย่างสูง จึงเอามาใช้งาน หล่อพระบ้าง สร้างเป็นวัตถุมงคลบ้าง ทำเป็นมีดหมอบ้าง

เถรี
11-09-2015, 19:22
ถาม : ทำไมสมัยพุทธกาลจึงมีการสร้างวัดไม่กี่หลังครับ ?
ตอบ : เหตุที่มีอยู่ไม่กี่หลังเพราะไม่ค่อยมีเงินพอจะสร้างอย่างหนึ่ง อย่างวัดบุพพารามของนางวิสาขาหมดไป ๒๗ โกฏิสมัยนั้น ตีเสียว่า ๑ โกฏิเท่ากับสิบล้าน ๒๗ โกฏิก็สองร้อยเจ็ดสิบล้านในสมัยนั้น เป็นสมัยนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าหมื่นล้านจะเอาอยู่หรือเปล่า ? แล้วจะมีใครสร้างถ้าไม่ได้ศรัทธาขนาดนั้น อีกอย่างหนึ่งก็คือนักบวชเป็นผู้เว้นจากการครองเรือน นิยมอยู่ถ้ำอยู่ป่ากัน สมัยต่อมาไม่มีป่าให้อยู่ จึงต้องสร้างวัดให้พระอยู่อาศัยแทน

เถรี
11-09-2015, 19:26
ถาม : ปราสาทเอาไว้ทำอะไรครับ ?
ตอบ : ปราสาทก็คือที่อยู่ เป็นที่อยู่ที่มีหลายชั้น อย่างเช่นสมัยนี้ ถ้าตึก ๒ ชั้น ๓ ชั้นขึ้นไป โบราณเขาเรียกว่าปราสาททั้งนั้น ส่วนโลหะปราสาทคือมีส่วนยอดหุ้มด้วยโลหะ เขาถึงเรียกว่าโลหะปราสาท

ที่อยู่ที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้พระอยู่ได้ ประกอบด้วย วิหาโร คือวิหาร อัฑฒโยโค แปลเป็นไทยว่า เรือนมุงซีกเดียว อย่างเพิงหมาแหงน ปาสาโท คือปราสาทหรือกุฏิหลาย ๆ ชั้น หัมมิยะ ท่านบอกว่าเรือนหลังคาตัด ฟังแล้วบ้าไปเลย รู้จักค่ายไหม ? ค่ายที่มีแต่รั้วรอบ ๆ นั่นแหละหัมมิยะ และ คูหา ก็คือถ้ำ

ในเรื่องของปราสาทที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้ เพราะว่านางวิสาขาสร้างขึ้นเพื่อถวายพระสงฆ์ที่วัดบุพพาราม ในบาลีบอกว่ามีห้องพัก ๕๐๐ ห้อง สมัยนี้ก็คอนโดมีเนียมดี ๆ นี่เอง ยูนิตเบ้อเริ่มเลย..!

เถรี
11-09-2015, 19:28
บางคนเข้าไม่ถึงรากศัพท์ แล้วก็แปลแบบโบราณมา ทำให้คนสมัยใหม่ฟังไม่รู้เรื่อง อย่างเรือนมุงซีกเดียว สมัยนี้เด็กรู้จักหรือเปล่าว่าเพิงหมาแหงนหน้าตาเป็นอย่างไร ? คือหลังคาลาดลงเหมือนหมากำลังแหงนหน้าขึ้น สมัยนี้ก็มีกันสาดข้างหน้ามาอีกหน่อยหนึ่ง ส่วนเรือนหลังคาตัด ถ้าใครนึกภาพไม่ออกก็ให้นึกถึงค่ายทหารสมัยโบราณ ก็แค่เอาไม้มาปักล้อมรอบ ๆ ไม่มีหลังคา

เหตุนี้นาน ๆ ไปถึงต้องมีบรรดาอาจารย์ต่าง ๆ มาอธิบายความเพิ่มเติม อาจารย์ที่อธิบายความในพระไตรปิฎกท่านเรียกว่า อรรถกถาจารย์ อาจารย์ที่อธิบายอรรถกถา เรียกว่า ฎีกาจารย์ อาจารย์ที่อธิบายฎีกาเรียกว่า อนุฎีกาจารย์ อาจารย์ที่อธิบายอนุฎีกาท่านเรียกว่า เกจิอาจารย์

คำว่า เกจิ แปลว่า ต่าง ๆ กันไป ก็คืออาจารย์หลาย ๆ สำนัก แต่สมัยนี้คำว่าเกจิอาจารย์ความหมายเปลี่ยนไป กลายเป็นผู้มีฌานสมาบัติ มีความขลังกว่าพระอื่น ๆ ความจริงตามรากศัพท์แล้วไม่ใช่เลย ความหมายเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่พระไตรปิฎกต้องจารึกไว้เป็นภาษาบาลี เพราะภาษาบาลีเป็นภาษาที่ตายแล้ว ไม่เปลี่ยนแปลง กี่ปี ๆ คำนี้ก็ต้องแปลว่าอย่างนี้ ภุญฺชติ ก็ต้องแปลว่ากิน กตฺตวา ก็ต้องแปลว่าไป

เถรี
11-09-2015, 19:39
ถาม : ตอนพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ พอมารผจญ ทำไมเทวดาจึงต้องเผ่น ?
ตอบ : สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ท่านอธิบายต่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชว่า ถ้าพรหมเทวดาอยู่ การชนะด้วยอานุภาพของพรหมเทวดา พระมหาบุรุษก็จะไม่เด่นขึ้นมา เปรียบเหมือนบรรดาแม่ทัพนายกองที่ตามเสด็จพระองค์ท่านไม่ทัน พระองค์ท่านเข้ายุทธนาการกับพระมหาอุปราชแล้วชนะด้วยพระองค์เอง พระเกียรติยศจึงได้เกริกไกรขึ้นมา

แม่ทัพนายกองหัวจะขาดหมดอยู่แล้ว ...(หัวเราะ)... สมเด็จพระพนรัตน์ ซึ่งแต่เดิมก็คือพระมหาเถรคันฉ่อง เข้าไปกราบทูลขอชีวิตให้แม่ทัพนายกอง พระนเรศวรจึงเว้นโทษตายให้ แต่ให้ไปตีเมืองกัมพูชาเพื่อเป็นการแก้ตัว ไม่ต้องตายฟรี

ถาม : ช้างของพระองค์เผ่น ?
ตอบ : จะช้างหรืออะไรเป็นสาเหตุทหารก็ตามไม่ทัน โดนสั่งประหารหมดเลย พระองค์ท่านตีความว่า “มันเกรงกลัวข้าศึกมากกว่ากลัวโยม” ความจริงช้างของพระองค์ท่านตกมัน จึงวิ่งถลำไปโดยที่ไม่รอใครเลย สมัยก่อนที่เขาเอาช้างตกมันไว้ออกศึก เกิดจากช้างทั่วไปพอได้กลิ่นช้างตกมันก็จะหนี เหมือนอย่างกับรู้ว่าคนนี้กำลังบ้า เรื่องอะไรจะไปสู้กับมัน

เถรี
11-09-2015, 19:44
ถาม : แต่ช้างตกมันก็ควบคุมไม่อยู่ ?
ตอบ : สมัยนั้นวิชาคชศาสตร์ของเขา ประเภทเอามือตบตะพองทีเดียวช้างตกมันหมอบกับพื้นเลย เขามั่นใจว่าคุมได้แน่นอน วิชาคชศาสตร์นี่รวมพวกไสยเวทย์อาคมเข้าไปด้วย

ถ้าหากพวกเราเล่นพระเครื่อง จะมีพระเครื่องอยู่ชุดหนึ่งที่เขาเรียกว่า พระหูไห หรือบางคนเรียกว่า พระหูช้าง นั่นคือพระเครื่องที่เขาหล่อขึ้นมาเพื่อที่จะแขวนคอช้างม้าโดยเฉพาะ พระเครื่องชุดนั้นจะหล่อแบบมีหูในตัว เอาไว้ร้อยเชือกแล้วแขวนคอช้างม้าเพื่อกันอาวุธ อย่างนั้นเหมาะสำหรับคนมาก เพราะว่าช้างม้าวัวควายอาราธนาพระไม่เป็น คนเสกต้องเสกให้คุ้มได้ทุกที่เลย แต่คนแขวนก็ไม่ค่อยไหว องค์ใหญ่จัด

เถรี
11-09-2015, 19:50
ถาม : ช้างตกมันตรงไหนครับ ?
ตอบ : เป็นรูระหว่างหูกับตา จะมีรูเล็ก ๆ อยู่ ถ้าช่วงตกมันรูจะบวมและพองขึ้นมา น่าจะเป็นลักษณะของต่อมกลิ่นอะไรบางอย่าง เวลาบวมพองขึ้นมาแล้วน้ำมันไหล เจ้าของต้องคอยเช็ดให้ ตอนนั้นช้างจะซึมอยู่ตลอด อย่าให้น้ำมันนี้ไหลเข้าปาก ถ้าไหลเข้าปากทำให้เมา ถ้าอย่างนั้นแล้วช้างจะอาละวาด ถ้าเจ้าของช้างรู้จักดูแลคอยเช็ดให้ พอผ่านระยะนั้นไปก็จะเป็นปกติตามเดิม

เปรียบเหมือนอย่างกับผู้หญิงมีประจำเดือน พ้นไปแล้วก็หายเป็นปกติ ไม่อย่างนั้นแล้วมักจะหงุดหงิดงับหูคนใกล้ ๆ เป็นช่วงของระดับฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง ลักษณะเดียวกับผู้ชายวัยทองนั่นแหละ แบบที่ทิดอู๋บอกว่า “อย่าไปถือสาอะไรอาจารย์เล็กเลย ที่ท่านด่า ท่านดุ เพราะท่านอยู่ในวัยทอง..!”

เถรี
11-09-2015, 20:07
พระอาจารย์กล่าวว่า “เทคโนโลยีสมัยนี้ทำให้คนหมดความกล้า อย่างสมัยก่อนประเภทถือดาบเข้าไปลุยกัน ถ้าไม่เก่งจริง ใจไม่สู้จริง มีใครกล้าบ้าง ? สมัยนี้ห่างกันเป็นพันไมล์ จรวดนำวิถีระเบิดกระจายไปแล้ว เทคโนโลยีดีขึ้นแต่กำลังใจคนแย่ลง สมัยก่อนไปลุยกันซึ่ง ๆ หน้า สมัยนี้บางทีไม่รู้หรอกว่าข้าศึกหน้าตาเป็นอย่างไร รู้ว่าอยู่ตรงนั้นก็ตูมเดียวกระจายไปแล้ว

สมัยที่อาตมายังเป็นทหารอยู่ อาวุธที่ทันสมัยที่สุดก็คือจรวดดราก้อน ใช้ต่อสู้รถถัง จะมีเครื่องชี้เป้า ต้องไปรับการฝึกซ้อมกันจนกระทั่งเบ้าตาดำเป็นหมีแพนด้า เพราะต้องเอาตาประกบอยู่กับเครื่องเล็ง พอยิงทีก็จะมีแรงสะท้อนกระแทกถอยหลังที กว่าจะชำนาญก็เบ้าตาเขียวไปทุกคน

นั่นถือว่าทันสมัยมากเพราะถ้าล็อกเป้าได้ โอกาสพลาดมีน้อยกว่า ๑๐ เปอร์เซ็นต์ แต่สมัยนี้เขาก็หาทางป้องกัน อย่างพวกจรวดต่อสู้อากาศยานอากาศสู่อากาศ มีระบบล็อกเป้าอยู่ เขาก็จะปล่อยพวกแผ่นโลหะมาแทน อย่างเช่นว่าอยู่ ๆ ก็โรยแผ่นเคลือบตะกั่วออกมา ไอ้โน่นก็ไม่รู้ว่าเป้าไหนเพราะเครื่องบินเป็นโลหะเหมือนกัน พอเครื่องบินเลี้ยวทำมุมฉกาจหลีกออกไปจากเส้นทาง จรวดก็ไปตามแผ่นโลหะนั้นแทน”

เถรี
11-09-2015, 20:14
ถาม : พญามารมารังควานพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไหมครับ ?
ตอบ : ทุกพระองค์ ใครต้องการไปพระนิพพานเจอทุกคน ไม่ใช่แต่พระพุทธเจ้า

ถาม : พญามารกลัวว่าพระพุทธเจ้าจะสำเร็จหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าตามที่ท่านบอกนอกตำรา ท่านบอกว่าคิดผิดไปหน่อย กลัวว่าพระพุทธเจ้าเก่งขนาดนั้นจะเอาคนไปพระนิพพานหมด

ถาม : พญามารท่านคิดอย่างไรครับ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าเป็นหน้าที่ของท่าน เมื่อท่านทำตามหน้าที่ก็ไม่ต้องไปใส่ใจว่าคิดอย่างไร

ถาม : พญามารไม่มีกรรม แต่มีเวรใช่ไหมครับ ต่อไปเขาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็โดนแบบนี้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไปถามท่านเอง อาตมาคงอยู่ไม่ถึงหรอก ตำรวจจับโจรจะไปมีเวรมีกรรมอะไร เขาทำตามหน้าที่ ผู้พิพากษาตัดสินให้อาชญากรโดนจำคุก มีกรรมไหมเล่า ? ไม่ใช่ความโกรธแค้นส่วนตัว แต่ทำตามหน้าที่ ยกเว้นอยู่อย่างเดียวว่า กูหมั่นไส้ไอ้นี่ อย่างไรต้องเอาเข้าคุกให้ได้ ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เถรี
11-09-2015, 20:17
ถาม : มีโรคเกี่ยวกับตา มีอะไรพอจะแนะนำไหมครับ ?
ตอบ : วัดไหนที่เขาสร้างพระพุทธรูป ก็ไปขอสร้างพระเนตรถวาย แล้วอธิษฐานขอตัดกรรมตรงนี้

เถรี
11-09-2015, 20:25
ถาม : คนจีนเขาชอบทำของปลอม เป็นเพราะเขาไม่มีคุณธรรมหรือครับ ?
ตอบ : เรื่องของคุณธรรมเกิดจากมโนธรรม ความรู้ผิดชอบชั่วดีในใจของตนก่อน รู้อยู่ว่าผงเมลามีนไปผสมนมผงให้เด็กกิน อย่างไรเด็กก็ตายแน่ เพราะทำให้ไตอุดตันแต่เขาก็ทำ แสดงว่ามโนธรรมไม่มีเลย

คนมีมโนธรรมจึงเข้ามาหาศีลธรรม ปฏิบัติตามศีลธรรมจึงมีคุณธรรม เมื่อมีคนเห็นความดีแล้วปฏิบัติตามแบบอย่างก็กลายเป็นจริยธรรม

เถรี
11-09-2015, 20:40
ถาม : ถ้าผมโดนมารเล่นเรื่องผู้หญิง โดยผมคิดว่าจะไม่ไปพระนิพพานแล้ว ขอมีคู่ครองก่อน ผมจะโดนเล่นงานน้อยลงใช่ไหมครับ ?
ตอบ : หนักขึ้น...คุณเห็นคนมีครอบครัวภาระน้อยลงไหมเล่า ? แทนที่จะตัวคนเดียว คราวนี้ก็ไหนจะเมีย ไหนจะลูก ไหนจะพ่อตาแม่ยาย พูดง่าย ๆ ว่าเหยียบเราได้จมลึกเท่าไรเขาก็เอา

ถาม : หลอกเขาก่อนแล้วตอนหลังเราค่อยตั้งใจไปพระนิพพาน ?
ตอบ : ยังไม่มีใครหลอกมารได้ มีแต่โดนมารหลอกหลาย ๆ ชั้น ถ้าคุณหลอกได้ถือว่าเป็นคนแรกในโลก ลองดู..เผื่อจะสำเร็จ ไม่ใช่ว่าคิดแล้วเขาถึงรู้นะ คุณยังไม่ทันจะคิดเขาก็รู้แล้ว จะไปสู้กันอีท่าไหน ? ก็เหลือแต่กำลังใจอย่างเดียวที่จะต้องเข้มแข็ง ไม่ย่อท้อต่อการทำความดี

เถรี
12-09-2015, 14:14
ถาม : ถ้ามีนักเลงมาล้อมอยู่รอบทิศทาง ถ้าผมล้มเขาได้ ผมควรจะสู้อย่างไรครับ ?
ตอบ : นั่งเฉย ๆ ก็ให้เขาล้อมไปสิ นั่งเฉย ๆ ดูใครจะอึดกว่ากัน

ถาม : ทำอะไรก็เข้าทางมารตลอด บางทีก็ท้อครับ ?
ตอบ : ยังไม่ทันจะเกิดมาก็อยู่ใต้อุ้งเท้าเขาอยู่แล้ว แล้วไม่ใช่แค่นี้ แต่หลายชาติมาแล้ว ป่วยการที่จะไปท้อ วันก่อนที่มีข่าวชายอินเดียคนหนึ่งใช้เวลา ๑๒ ปีขุดภูเขาจนทะลุ

ถาม : ที่เขาขุดเพราะภรรยาตายเนื่องจากหมอมารักษาไม่ทัน ?
ตอบ : ใช่...เพราะว่าภูเขาขวางอยู่ต้องอ้อมไป ตำราลุงโง่ย้ายภูเขานี่มีจริง ๆ ฉะนั้น..ต้องอึดให้ได้แบบนั้น..!

ถาม : อย่างนั้นเรียกว่าเพียรหรือเรียกว่าบ้าครับ ?
ตอบ : คนจะเพียรได้ต้องบ้า คนจะไปพระนิพพานได้ต้องบ้ากว่าคนปกติอย่างน้อย ๔ เท่า

ถาม : ผมท้อ ?
ตอบ : เขาเรียกว่ากำลังใจเฮงซวย กำลังใจแค่นั้นจะไปสู้มาร..!

ถาม : บ้าคือยอมไม่ได้ อย่างไรต้องผ่านให้ได้ สุดท้ายเจอแต่... ?
ตอบ : ก็สู้ต่อไป…ถ้าอาตมาถอยหลังตั้งแต่แรก วันนี้ไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้หรอก..! แต่ละอย่างที่มานี่ แหม...สารพัดลีลาเลย ทุกอย่างล้วนแล้วแต่บั่นทอนกำลังใจของเราให้หมดอารมณ์ที่จะปฏิบัติทั้งนั้น…! เขาแค่อาศัยปากคนอื่นเท่านั้นเอง แล้วเราก็ดันไปปรุงแต่งต่อ ถึงได้บอกว่านั่งเฉย ๆ ก็คืออย่าไปปรุง ถ้าไม่คิดแล้วจะเอาทุกข์จากไหนมา ? อย่างเก่งก็แค่ทุกข์ตามสภาพร่างกาย ส่วนใหญ่คนเราทุกวันนี้ทุกข์เพราะความคิดตัวเอง

เถรี
12-09-2015, 14:39
ถาม : ที่พระเจ้าตากทรงช้างพังเข้าไปในเมืองจันทบุรี เป็นเพราะตอนนั้นหาช้างพลายไม่ได้หรือครับ ?
ตอบ : แล้วบังคับหรือว่าต้องขี่ช้างพลาย ?

ถาม : ก็ช้างพลายตัวผู้น่าจะแข็งแรงกว่าช้างพัง
ตอบ : อุตส่าห์ตีความได้นะ พังตัวนี้ไม่ใช่ช้างตัวเมีย พังคีรีบัญชรคือทลายได้ทั้งภูเขาและประตูโว้ย..!

เถรี
12-09-2015, 16:28
ถาม : ผมเลี้ยงกุมารไว้ ไม่ทราบว่าจะขอลาภอย่างไรครับ ?
ตอบ : ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยทำ สงสารกุมารทองเมืองไทย ป่านนี้เป็นเบาหวานหมดทุกตัวแล้ว ไม่รู้ตำราใครที่ให้เลี้ยงแต่น้ำแดง สมัยก่อนที่เคยได้ยินมา ก็คือเรากินอะไรก็จัดอย่างนั้นให้เขา สมัยนี้เล่นแต่น้ำแดง

ถาม : ควรจัดอาหารให้เขาเท่าที่เรากิน หรือเป็นถ้วยเล็ก ๆ พอ ?
ตอบ : จัดเท่าที่เรากินก็บ้าแล้ว..!

เถรี
12-09-2015, 16:35
ถาม : ตะกรุดกับธงมหาระงับมีอานุภาพเหมือนกันหรือเปล่า ?
ตอบ : ใช้คนละอย่างกัน ไปนึกถึงลูกศิษย์หลวงปู่สายรุ่นเก่า ๆ เขามีธงหลวงปู่ จัดงานหน้าฝนอย่างเย้ยฟ้าท้าดิน บอกว่าถ้ามีธงหลวงปู่รับรองว่าฝนไม่ตก มานึกได้ว่าต้องเป็นธงมหาระงับแน่นอน

เถรี
15-09-2015, 11:41
ถาม : ถ้ามีชื่อหลายชื่อ แล้วเวลาทำบุญจะลงชื่อไหนคะ ?
ตอบ : กลัวนายทะเบียนข้างล่างจะสับสนใช่ไหม ? การทำบุญแค่คิดเราก็ได้บุญแล้ว ไม่ใช่ว่าต้องใส่ชื่อถึงจะได้ ถ้าจะใช้ก็ใช้ชื่อล่าสุด ไอ้พวกประเภทเปลี่ยนชื่อเดือนละครั้ง เปลี่ยนจนตัวเองยังจำไม่ได้เลย..ใช่ไหม..?!

เถรี
15-09-2015, 11:42
ถาม : โสรัจจะคือความอดกลั้นหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ความสงบเสงี่ยมเจียมตัว ถ้าไม่มีความอดทนอดกลั้นก็ทำไม่ได้

เถรี
15-09-2015, 12:19
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครเข้าเฟซบุ๊กพวกการเมืองได้บ้างไหม ? ช่วยถามให้ทีว่า พวกสปช.ที่ไม่ออกเสียงนั้นไม่ออกเสียงไปทำเหี้..อะไร ? มีหน้าที่รับกับไม่รับดันไม่ออกเสียง แล้วจะกินเงินเดือนไปทำอะไร ? ถ้าคุณเทียนฉายก็ไม่เป็นไรหรอก ท่านเป็นประธาน ไม่ออกเสียงถือว่าทำตามมารยาท แต่ที่เหลือไม่ออกเสียงนี่โคตรจะเสียมารยาทเลย กินเงินเดือนเขาไปตั้งเท่าไร ต้องบอกว่าถ้าระดับนั้นแล้วยังไม่รู้จักว่าหน้าที่ตัวเองคืออะไร แล้วจะไปตั้งความหวังอะไรกับประชาชนทั่ว ๆ ไป หรือเขาไม่ให้ใช้คำว่าประชาชน ต้องใช้คำว่าพลเมืองอีก ? คำว่ารากหญ้าก็ห้ามใช้แล้ว ให้เปลี่ยนเป็นผู้มีรายได้น้อย เปลี่ยนแปลงแต่เรื่องที่ไม่เจ็บไม่คัน ช่วยโพสต์ถามให้ที บอกว่าเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนถามมา

ใครถอดบันทึกเสียงช่วยเน้นตรงนี้ออกมาเด่น ๆ ใส่ตัวใหญ่ ๆ เลย อยากรู้จริง ๆ ว่าเป็นถึงขนาดนั้นแล้วทำไมถึงไม่รู้หน้าที่ตัวเอง ? คนที่เขาประกาศตัวชัดเจนว่าเขาสนับสนุนหรือคัดค้านก็ปกติ แต่พวกงดออกเสียงนี่อาตมาขอเรียกว่า "อีแอบ" เป็นพวกที่ แอบแฝงหาผลประโยชน์ทางการเมืองทุกอย่าง พอถึงเวลาต้องรับผิดชอบกลับหลบบังเสาไว้ก่อน ทุเรศจริง ๆ เลย..!

อาตมาเจอกับเสธ.นิด (พลตรีศรชัย มนตริวัต) ตั้งแต่ตอนที่ทหารยึดอำนาจใหม่ ๆ แล้วบอกว่าตามโรดแมปแล้วจะมีการเลือกตั้งปลายปี ๕๘ หรือต้นปี ๕๙ เสธ.นิดท่านบอกว่า “๖๐ ได้เลือกก็ดีแล้วครับ” นั่นแสดงว่าผีย่อมเห็นผีด้วยกัน บุคคลที่ขึ้นไปอยู่บนอำนาจแล้วยอมสละอำนาจนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก"

เถรี
15-09-2015, 19:12
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : เข้าสมาบัติ ๘ ได้ไหม ? ถ้าหากว่าเข้าได้ก็พอช่วยได้ ถ้าเข้าสมาบัติ ๘ หรือว่าฌาน ๔ ได้ ก็ใช้คาถาหัวใจราชสีห์หรือว่าตวาดป่าหิมพานต์

เถรี
15-09-2015, 20:40
ถาม : การบูชาพระพุทธรูปรวมถึงเทพเทวดาต่าง ๆ ควรจะทำอย่างไรให้ท่านโมทนาด้วย ?
ตอบ : ปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา อะไรก็ได้ จะสวดมนต์หรือภาวนาก็ได้ แล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น

ถาม : แล้วอย่างองค์เทพเทวดาควรหันหน้าไปทิศไหนคะ ?
ตอบ : ทิศเหนือหรือตะวันออกก็ได้ หันตามพระ เพียงแต่ให้อยู่ต่ำกว่าพระหน่อยหนึ่ง

เถรี
15-09-2015, 21:34
ถาม : ในระหว่างผมอาราธนาจะหลับตลอด ?
ตอบ : สมาธิเริ่มทรงตัวแต่สติตามไม่ทัน เปลี่ยนจากนั่งอาราธนาเป็นเดินอาราธนาแทน แต่ระวังนะ..เดินก็หลับได้ สมาธิเริ่มทรงตัวเพียงว่าหยาบไปหน่อยหนึ่ง สติตามไม่ทัน ต้องบอกว่าถ้าอาราธนาตอนนั้นจะได้ผลมาก

เถรี
15-09-2015, 21:41
ถาม : การสร้างความดีเพื่อเข้าพระนิพพานไปตามลำดับ คือ ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องทำในระดับไหนจึงจะพอ อย่างเรื่องของทาน มีตัวอย่างสมัยพุทธกาล พระภิกษุบางรูปที่บรรลุอรหัตผล แต่ไม่สามารถจะรับบิณฑบาตอาหารได้ แสดงว่าท่านไม่ได้สร้างทานไว้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : นั่นคุณสรุปเอง ต่อให้ทำมายิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม ถ้าหากว่าแรงกรรมมีอยู่ กรรมก็จะขวางไว้ก่อน ท่านเคยสร้างความดีมาขนาดไหนก็ตาม แต่กรรมที่ท่านทำกับพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นหนักกว่า กรรมดีในส่วนของทานจึงให้ผลไม่ได้ ท่านก็ต้องอยู่ในลักษณะของนรกบนดิน ตั้งแต่เกิดมาจนอายุ ๒๐ ปีไม่เคยได้กินข้าวเกิน ๗ เม็ดต่อมื้อเลย เพราะฉะนั้น..อย่าเพิ่งไปสรุปอย่างนั้น ความดีส่วนความดี ความชั่วส่วนความชั่ว ในเมื่อความชั่วหนักกว่าก็ย่อมให้ผลก่อน แต่ว่าความดีที่ท่านได้ปฏิบัติมาก็สามารถทำให้เข้าถึงอรหัตผลได้เช่นกัน

ถ้าถามว่าทานต้องทำในระดับไหนถึงจะพอ ? ก็ต้องเป็นระดับปรมัตถบารมี คือสามารถสละได้ทุกที่ สละได้ทุกเวลา สละได้แม้แต่ชีวิต ในเรื่องของศีลก็คือตัวตายดีกว่าศีลขาด ในเรื่องของการภาวนาอย่างน้อยต้องทรงฌาน ๔ หรือถ้าได้สมาบัติ ๘ ก็ยิ่งดี

เถรี
15-09-2015, 21:43
ถาม : บุคคลที่ไม่เคยได้ฌาน ๔ ในอดีตชาติก่อนมาเลย ในชาตินี้จะไม่มีโอกาสบรรลุอรหันต์เลยไหมครับ ?
ตอบ : คุณก็ทำให้ได้ในชาตินี้สิ ...(หัวเราะ)... ถ้าเป็นคนที่เริ่มเจริญสมาธิภาวนาในชาติแรก โอกาสที่จะเข้าถึงฌานสมาบัติแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ต้องผ่านการสั่งสมมาชาติแล้วชาติเล่า ชาตินี้ของเราจึงไม่ใช่ชาติแรกที่ทำก็ได้

เรื่องของสมาธิไม่ใช่จะเกิดจากการนั่งฝึกอย่างเดียว การพิจารณาธรรมก็เกิดสมาธิได้ การระมัดระวังไม่ให้ศีลบกพร่องก็เกิดสมาธิได้ การให้ทานบ่อย ๆ จนจิตใจจดจ่อแน่วแน่ก็เป็นสมาธิได้

เถรี
15-09-2015, 21:44
ถาม : การฟังธรรมในเรื่องต่าง ๆ เพื่อประดับความรู้ หากไม่ได้เกี่ยวกับศีล สมาธิ ปัญญาจะทำให้บรรลุธรรมได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ใช่เรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา โอกาสบรรลุธรรมก็ยาก แต่ก็เป็นพื้นฐานสร้างสมาธิให้เกิดได้เพราะตั้งใจฟัง

เถรี
15-09-2015, 21:56
ถาม : ข้อที่ว่าไม่ยอมให้ศีลขาดจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ความรู้สึกตรงนี้จะเกิดขึ้นได้จะต้องมีอะไรเป็นนิมิต จึงได้มั่นอกมั่นใจขนาดนั้น ?
ตอบ : เห็นประโยชน์ในตรงจุดนั้นแล้วว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมานั้นมีคุณจริง ลักษณะเดียวกับพระที่ท่านออกธุดงค์ พอถึงเวลาก็เหลือแต่ศีล สมาธิ ปัญญาเท่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับภัยอันตรายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก็อ้างคุณของทาน ของศีล ของภาวนาแล้วหลุดรอดมาได้ ก็จะเกิดความมั่นใจขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อความมั่นใจของเราไปถึงระดับที่ไม่คลอนแคลนเมื่อไร ก็เป็นอันว่าตีก็ไม่ไปไล่ก็ไม่หนี อย่างไรชีวิตนี้ก็มอบกายถวายชีวิตให้แก่พระรัตนตรัยแล้ว ก็แปลว่าถ้าลักษณะอย่างนั้นไปบอกให้เขาละเมิดศีล เป็นตายก็ไม่ยอมละเมิด

ถาม : ช่วงเวลาที่ไม่มีพระศาสนาเกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นไปได้ยากนะครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่เป็นไปได้ยาก เป็นไปไม่ได้เลย เพราะช่วงโลกว่างจากพระศาสนา ส่วนใหญ่เป็นช่วงที่ผู้คนไม่มีศีลไม่มีธรรม แม้กระทั่งคิดจะให้ทานอย่างอังกุรเทพบุตร ตั้งโรงทาน ๘๐ โรง ให้ทานอยู่สองหมื่นปี ให้ทานทั้งกลางวันกลางคืน ปรากฏว่ามีผลน้อยกว่าอินทกเทพบุตรที่ใส่บาตรครั้งเดียว เพราะว่าโลกยุคนั้นหาคนที่มีศีลมีธรรมไม่ได้เลย

เถรี
15-09-2015, 21:57
ถาม : ช่วงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว สามารถสั่งสอนคนให้เข้าถึงธรรมเป็นจำนวนมาก แสดงว่าก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเกิดขึ้น บุคคลเหล่านั้นต้องมีพื้นฐานอยู่แล้ว ?
ตอบ : ในสมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าท่านจะตรัสรู้ขึ้นมา ส่วนใหญ่แล้วคนจะมีพื้นฐานของสมาธิมาก แต่จะมีพื้นฐานแค่ศีล สมาธิ ในส่วนของปัญญายังเข้าไม่ถึงที่สุด ก็จะเปะปะคาดเดาไปว่าโน่นเป็นของดีนี่เป็นของดี จนกระทั่งพระองค์ท่านตรัสรู้ขึ้นมา เอาหลักธรรมที่แท้จริงมานำเสนอได้ เขาถึงได้รู้ว่าของที่ดีจริง ๆ เป็นอย่างไร

เถรี
16-09-2015, 11:42
ถาม : เรื่องสัมมาสมาธิครับ ถ้าสัมมาสมาธิมีคุณเท่าไร มิจฉาสมาธิก็มีโทษเท่านั้น ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นมิจฉาสมาธิกับสัมมาสมาธิในกำลังที่เท่ากัน ก็สำคัญอยู่ที่ว่าเราไปทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์หรือสิ่งที่เป็นโทษ เราจะไปฟันธงว่ามีคุณเท่าไรก็มีโทษเท่านั้นก็ไม่แน่ว่าจะใช่ ขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นเขาเอาไปทำอะไร

ถ้าตั้งหน้าตั้งตาคิดแต่ในสิ่งที่เป็นรัก โลภ โกรธ หลง ก็ยังเป็นแค่มโนกรรมเท่านั้น แต่ว่าสมาธิเกิดแล้ว สำคัญตรงที่ว่าสิ่งที่เขาทำนั้น เขาทำเกินกว่านั้นหรือเปล่า ? ถ้าทำเกินกว่านั้นไป โทษก็จะมากขึ้นไปตามสิ่งที่ตนเองกระทำ

ถาม : คนที่เขาใช้มิจฉาสมาธิแล้วกลับใจได้ มาใช้สัมมาสมาธิ จะมีโอกาสเข้าสมาธิได้ง่ายกว่าคนทั่วไปที่ไม่เคยฝึกไหมครับ ?
ตอบ : ง่ายกว่าเยอะ แต่มีน้อยคนที่จะเปลี่ยนแปลงได้

เถรี
16-09-2015, 11:48
ถาม : ถ้าผมจะเรียงลำดับกุศลธรรม จากทาน ศีล ภาวนา แล้วสัมมาทิฐินี่ถูกต้องไหมครับ ?
ตอบ : ต้องสัมมาทิฐิก่อน ถ้าคุณไม่เห็นถูกต้อง คุณก็ไม่คิดที่จะทำทาน ไม่มีความเห็นที่ถูกต้องก็ไม่คิดที่จะรักษาศีล ไม่มีความเห็นที่ถูกต้องก็ไม่คิดที่จะภาวนา

ถาม : แล้วสัมมาทิฐิกับปัญญาต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ตัวเดียวกัน สัมมาทิฐิ ความเห็นที่ถูกต้อง สัมมาสังกัปปะ การดำริที่ถูกต้อง เป็นปัญญา
สัมมาวาจา การพูดที่ถูกต้อง สัมมากัมมันตะ การกระทำที่ถูกต้อง สัมมาอาชีวะ การเลี้ยงชีพที่ถูกต้อง เป็นศีล
สัมมาวายามะ ความเพียรที่ถูกต้อง สัมมาสติ การตั้งสติไว้ถูกต้อง และสัมมาสมาธิ สมาธิที่ดำเนินไปถูกต้อง จัดเป็นส่วนของสมาธิ
ฉะนั้น...ทุกอย่างปัญญาต้องขึ้นก่อน เพราะถ้าไม่เห็นประโยชน์เราก็ไม่ทำ

ถาม : สัมมาทิฐิเป็นกิ่งหนึ่งของปัญญาใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าเป็นปัญญาอะไร เพราะปัญญาก็มีหลายระดับ มีตั้งแต่สุตมยปัญญา ได้ยินได้ฟังมาเกิดความเข้าใจ จินตามยปัญญา คิดแล้วเกิดความเข้าใจ ภาวนามยปัญญา ลงมือภาวนาแล้วรู้แจ้งเห็นจริง จะลึกลงไปตามลำดับ ฉะนั้น..ในส่วนของสัมมาทิฐิต้องบอกว่าเป็นเบื้องต้นของปัญญาและเป็นพื้นฐานของปัญญาทั้งปวง เพราะจะชักนำเราไปสู่ทางที่ถูกต้อง เหมือนกับก้าวแรก ถ้าก้าวผิดก็หลงทางไปเลย

แม้สัมมาทิฐิจะเป็นเบื้องต้นของปัญญา แต่เป็นพื้นฐานที่ใหญ่มาก เพราะว่าเป็นแนวทางที่เราจะก้าวได้ถูกต้องหรือเปล่า

เถรี
16-09-2015, 12:07
ถาม : พระยามาราธิราชท่านก็เป็นมิจฉาทิฐิ เพราะท่านมาขัดขวางการบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ แต่ท่านจะได้บรรลุธรรมในอนาคตโดยไม่ยากใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถามว่าไม่ยากหรือ ก็ยากนะ...แต่ยากในระดับของท่าน ไม่ใช่ยากในระดับของเรา ถ้าระดับของเราก็ต้องบอกว่าโคตรยากเลย..!

ถาม : แล้วพรหมต่าง ๆ ?
ตอบ : ดูอย่างอดีตท้าวพกพรหมเป็นตัวอย่าง ไปอ่านประวัติของสนังกุมารพรหม ท่านขึ้นไปชวนเพื่อนพรหมด้วยกันมาฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้า เพื่อนพรหมบอกว่าเรายิ่งใหญ่ มีฤทธิ์ขนาดนี้แล้วยังต้องไปฟังใคร ว่าแล้วก็เนรมิตร่างกาย ๔ พักตร์ ๘ กร ใหญ่โตมหึมาให้ดู สนังกุมารพรหมต้องแสดงฤทธิ์ให้ยิ่งกว่า แล้วบอกว่าฤทธิ์เรามากกว่าท่านขนาดนี้เรายังต้องไปฟังธรรมเลย แสดงว่าส่วนใหญ่แล้วท่านเป็นมิจฉาทิฐิ

เถรี
16-09-2015, 12:30
ถาม : เรื่องการสร้างบารมีในพระพุทธศาสนามี ๓ ระดับ ต้นบารมีต้น อุปบารมี ปรมัตถบารมี
ตอบ : ศาสนาไหนก็เหมือนกัน ไม่ใช่ของพระพุทธศาสนาเท่านั้น

ถาม : บุคคลที่เคยทำกำลังบารมีได้สูงแล้ว อย่างปรมัตถบารมี ถ้าเขาเกิดกำลังใจอ่อน มีโอกาสที่เขาจะตกไปอยู่อุปบารมีหรือบารมีต้นอีกไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มี...มีแต่ขึ้นหน้าอย่างเดียว ยกเว้นพวกห่วยแตกไม่เอาไหนที่จะเกิดความรู้สึกอย่างนั้น การสร้างบารมีเหมือนกับการเรียนหนังสือ สอบผ่านแล้วจะไม่ตกอีก

เถรี
16-09-2015, 13:51
ถาม : มีเรื่องไม่สบายใจ อกหักค่ะ ?
ตอบ : อกหัก ? ก็เลิกหักเท่านั้นเอง ต้องบอกว่าผู้หญิงเราเสียท่า ผู้หญิงเราถึงเวลารักใครก็ทุ่มเทให้เขา แต่ผู้ชายไม่ใช่ ผู้ชายในฐานะสัตว์โลกตัวผู้ มีหน้าที่กระจายพันธุ์ ดังนั้น..เขาไม่จำเป็นต้องรัก แต่ผู้หญิงเราต้องรัก ก็เลยเสียท่าเขามาตลอด ตัดใจเสียเถอะ อย่างที่โบราณเขาบอกว่า "แผ่นดินไม่สิ้นไร้เท่าใบพุทรา" หาใหม่ไม่ได้ก็อยู่คนเดียว

ถาม : ไม่รู้จะทำตัวอย่างไร ?
ตอบ : ทำตัวตามปกติ หน้าที่การงานอะไรของเรามีก็ทำไป โดยเฉพาะถ้ายังมีพ่อมีแม่อยู่ ดูแลพ่อแม่ให้ดี พ่อแม่เลี้ยงเรามาหลายสิบปี ขณะที่ไอ้บ้าคนหนึ่งมาได้พักเดียว แล้วเราไปเสียอกเสียใจอยู่กับเขา โดยที่ลืมทำหน้าที่กับพ่อกับแม่ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล ฉะนั้น..ให้ทำอะไรของเราไปตามปกติ

เจอหน้าเขาก็ยิ้มทักทายเขาตามปกติ เห็นเป็นเพื่อนร่วมโลกคนหนึ่ง

ถาม : ควรจะทำอย่างไรจึงจะปฏิบัติได้ถูกต้อง ?
ตอบ : ถ้าภาวนาได้จะลืมเรื่องพวกนี้ได้เร็ว เพราะกำลังของเราสูง จะตัดออกจากใจได้ง่าย แต่ถ้าสมาธิภาวนาไม่มีก็ติดแหง็กอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครลืมเรื่องอย่างนี้ลงได้ แต่ไม่จำเป็นต้องไปนึกถึงอยู่ตลอดเวลา ถ้ามีโอกาสก็ทำสมาธิเพิ่มขึ้น จะได้มีกำลังในการตัดละเรื่องพวกนี้ได้ง่ายขึ้น

ถาม : มีอะไรอีกที่ควรจะทำเพิ่ม ?
ตอบ : อย่าเชื่อคนง่ายก็พอแล้ว เขาว่าอะไรก็เชื่อเขาหมด เดี๋ยวก็เป็นอย่างนี้อีก ต่อไปใครว่าอะไรกูไม่เชื่อ...จบ

เถรี
17-09-2015, 15:51
ถาม : ทำอย่างไรถึงจะก้าวข้ามขีดกำจัดของร่างกายในการนั่งสมาธินาน ๆ ให้ได้ครับ ?
ตอบ : ทน..!

ถาม : ถ้านั่งไม่ได้ให้ตายไปเลยหรือครับ ?
ตอบ : ประมาณนั้น สงสัยอยู่อย่างเดียวว่าจะนั่งไปทำไมวะ ? ในเมื่อยืนก็ได้ เดินก็ได้ นอนก็ได้ เขาจำกัดด้วยหรือว่าต้องนั่งอย่างเดียว ? สำคัญอยู่ที่ว่าคุณรักษากำลังใจตัวเองให้เป็นสมาธิอยู่ได้ไหม ? ไม่ได้อยู่ในท่าที่เราทำ

ถาม : วิ่งก็ทำสมาธิได้หรือครับ ?
ตอบ : ตูหากินทางวิ่งมาเยอะแล้ว หลายปีด้วย..!

เถรี
17-09-2015, 15:54
ถาม : ถ้าเราตัดร่างกายของตนเองได้ ร่างกายของคนอื่นก็ขาดไปได้โดยอัตโนมัติใช่ไหมครับ ?
ตอบ : แน่นอน...เพราะเรารักตัวเองมากที่สุด ที่ว่ารักคนอื่นนั่นรักน้อยกว่าตัวเองเยอะ อรรถกถาจารย์ท่านว่า เอาถ่านแดง ๆ ร้อน ๆ วางลงบนหัวเรากับหัวคนที่เรารัก เราจะปัดของใครก่อน ? ปัดของตัวเองก่อนทุกคนแหละ แสดงว่าเรารักตัวเองมากกว่า แต่ตอนที่เราว่ารักคนอื่นมากกว่า ไม่ใช่...นั่นหลง หลงผิดไปยึดว่าเขาเป็นของเรา แต่พอถึงเวลาความจริงปรากฏขึ้น ถ่านแดง ๆ หล่นใส่หัวขึ้นมา ความหลงก็หายไปชั่วคราว ...(หัวเราะ)...

เถรี
17-09-2015, 15:57
ถาม : สัญญา คือ ความจำ ผมมองผู้หญิงแบบกายวิภาคศาสตร์ คือ มองเห็นเป็นชั้น ๆ เป็นเส้นเอ็น ทำอย่างไรจึงจะเปลี่ยนสัญญาเป็นปัญญาครับ หรือต้องพิจารณาบ่อย ๆ ?
ตอบ : พิจารณาบ่อย ๆ สมาธิยิ่งสูงขึ้น ความชัดเจนยิ่งมีมากขึ้น ดังนั้น..จึงจำเป็นต้องมีกำลังสมาธิอย่างน้อยปฐมฌานขึ้นไป ไม่อย่างนั้นกำลังจะไม่พอ มองไปทีไรก็ติดอยู่แค่ผิวข้างนอก ยังสวยยังหล่ออยู่ ถ้าปัญญาไม่พอก็จับถลกหนังไม่ได้ ถ้าปัญญาพอจับถลกหนังออกมา เห็นเลือดไหลโทรมอยู่ ถ้ามองลึกเข้าไปอีก ก็มีแต่กล้ามเนื้อ มีแต่เส้นเอ็น มีแต่เส้นเลือด มีแต่กระดูก ถ้าสมาธิดีขึ้น ปัญญาจะตามมาเอง

เถรี
17-09-2015, 16:01
ถาม : ผมกำลังพิจารณาให้วางจากผู้หญิงคนหนึ่ง พอกำลังจะขาด ใจกลับฟูเต็มที่เลยครับ สักพักได้ยินเสียงก้องเข้ามาในใจว่า ไม่เป็นไรเดี๋ยวส่งคนใหม่มา ใจผมที่ฟูก็แฟบเหมือนลูกโป่งปล่อยลมเลยครับ ที่ผมทำมาเหมือนสูญเปล่า ?
ตอบ : จะสูญเปล่าตรงไหน ?

ถาม : ผมต้องทำข้อสอบใหม่อีกครับ ?
ตอบ : ก็แค่ความรู้เดิม กำลังเท่าเดิม เพียงแค่เปลี่ยนข้อมาเท่านั้นเอง

ถาม : เขาส่งนักเลงมาตีผมเรื่อย ๆ อย่างนี้ผมต้องรบจนตาย ?
ตอบ : แล้วมีใครบ้างวะที่ไม่เจออย่างนี้ ? ก็เจออย่างนี้ทุกคนแหละ เพียงแต่ว่าถ้าเรารู้จักระมัดระวังตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเราเอาไว้ ศัตรูก็เข้ามายาก ถ้าไม่รู้จักระมัดระวัง ไปเปิดประตูเมืองไว้ เขายึดเมืองได้ จะไปโทษศัตรูหรือจะโทษเราว่าโง่ดีล่ะ ?

เถรี
17-09-2015, 16:12
ถาม : ผมข้องใจกับครูฝึกทหารครับ ตอนเรียนนักศึกษาวิชาทหาร เขาให้ผมวิดพื้น ๒๐ ครั้ง พอวิดพื้นครบ ๒๐ ถามว่าเหนื่อยไหม ? ผมบอกว่าเหนื่อย ถ้าเหนื่อยอย่างนั้นต่ออีก ๑๐ จะได้ไม่เหนื่อย ผมทำครบ ๑๐ ครั้ง ถามว่าเหนื่อยไหม ? ผมบอกไม่เหนื่อยครับ ไม่เหนื่อยก็ต่ออีก ๑๐ ตกลงเขาสอนอะไรครับ ? หรือหาเรื่องแกล้งเฉย ๆ โดนทั้งขึ้นทั้งล่องครับ ?
ตอบ : กดดันทุกอย่าง เพื่อดูความอดทนของเรา ในสถานภาพของศึกของสงคราม สิ่งที่กดดันเราจะมีมากกว่านี้ เขาจะดูว่าเราสามารถจะรักษาสติสัมปชัญญะได้หรือเปล่า คุณโดนแค่นิด ๆ หน่อย ๆ ลองไปฝึกอย่างอาตมาดูสิ ต่อให้ขาหัก เขาให้เวลาแค่ ๒๔ ชั่วโมง คุณต้องกลับมาสู่การฝึก ไม่อย่างนั้นปรับตก ลองอย่างนั้นดูบ้างไหม ?

เขากดดันเพื่อให้รู้ว่าสถานการณ์จริง ๆ รุนแรงขนาดไหน ต่อให้คุณขาหัก คุณคิดว่าข้าศึกจะเปิดโอกาสให้คุณไปนอนรักษาก่อน แล้วค่อยฆ่าคุณหรือเปล่า ? เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้น..เขาต้องสร้างสถานการณ์กดดันให้ใกล้เคียงกับสภาพที่แท้จริงมากที่สุด เพื่อดูว่าเรามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะออกสู่สนามรบที่แท้จริงได้หรือไม่ หรือไปเป็นปุ๋ยอยู่ที่ชายแดน ?

รู้หรือเปล่าว่าที่พวกคุณฝึก ร.ด. อยู่ ๓ ปีทหารเขาฝึกแค่ ๒ อาทิตย์เท่านั้น สถานการณ์เดียวกันนั่นแหละ ความรู้ระดับเดียวกันนั่นแหละ ช่วงสมัยก่อนพออาตมาไปเห็น ร.ด.ฝึก อาตมาได้แต่นั่งเซ็งว่าจะฝึกไปทำไมวะ ? ถ้ามีความสามารถแค่นี้ คุณฝึกอยู่ ๓ ปี ทหารเขาฝึกกันแค่ ๒ อาทิตย์ แล้วผลออกมาต้องได้เท่ากัน ฉะนั้น..ทหารจะโดนโหดแค่ไหน ?

ของคุณ ๒ ปี ยังโดนฝึกแถวชิดอยู่เลย ของทหารอาทิตย์ที่ ๒ ก็ต้องเข้าท่าอาวุธแล้ว คุณไม่เคยโดนสถานการณ์ตื่นตี ๕ ฝึกยาวไปยัน ๓ ทุ่ม เป่านกหวีดนอนตอน ๓ ทุ่ม ๔ ทุ่มปลุกใหม่ ฝึกยาวไปยันตี ๒ ตี ๓ แล้วแต่ยากง่าย ตี ๒ หรือตี ๓ ได้นอน ตี ๕ ปลุกใหม่ วันแล้ววันเล่าก็อยู่ในลักษณะอย่างนี้ คุณโดนแค่นั้นก็แค่นิดเดียวเท่านั้น

เถรี
17-09-2015, 16:18
แล้วที่โดนฝึกมาขนาดนี้ พอเจอสถานการณ์จริง สติแตกวิ่งเตลิดเปิดเปิงหาที่ตายมาเยอะแล้ว แค่การฝึกโดยใช้กระสุนจริงเท่านั้น เพื่อนบางคนก็สติแตก ต้องจับล็อกหามส่งโรงพยาบาลกัน นั่นไม่ใช่สนามจริงนะ แค่สนามฝึก เพียงแต่ใช้กระสุนจริงเท่านั้น

อาตมาเองลอดลวดหนามไปก็เก็บของให้เพื่อนไป เพื่อนเขาลืมไปว่าเป็นการฝึก การฝึกอาวุธปืนเขายิงในระดับที่กำหนดไว้ ก็สูงจากพื้นประมาณ ๑ ศอกหรือ ๓๐ เซนติเมตร ถ้าเราไม่ทำตัวสูงกว่านั้นก็ไม่ตายหรอก แต่เพื่อนก็กลัวกัน กระเสือกกระสนผ่านกระโจมลวดหนามเพื่อจะเข้าไปยึดพื้นที่ ไปติดอยู่กับรั้วลวดหนาม อาตมาก็ไปแงะให้เพื่อน ต้องใช้ปืนสอดเข้าไปงัดขึ้นแล้วให้เพื่อนผ่านทีละคน งัดจนหมดแรง จนกระโจมหล่นลงมาติดหนุบหนับไปทั้งตัว เพื่อนไปกันหมดแล้ว มึงแกะเอาเองก็แล้วกัน..!

การฝึกมีตายทุกปี มีตายทุกรุ่น ยกเว้นรุ่นอาตมาที่ไม่มี เป็นความภูมิใจในความเป็นหัวหน้าตอนทหารอยู่อย่างหนึ่งว่า สามารถพาเพื่อนรอดตายมาได้ทุกคน

การฝึกของทหารมือถึงตีนถึงเป็นเรื่องปกติ กฎกระทรวงกลาโหมระบุไว้ว่า ในการฝึกสามารถจำหน่ายได้ร้อยละ ๕ แปลว่าตายฟรี ๆ โดยที่ครูฝึกไม่มีความผิดได้ร้อยละ ๕ คน อย่างรุ่นของอาตมา ๑๒๓ คน ตายฟรีได้ ๖ คน แต่ก็ไม่มีใครตาย ขึ้นอยู่กับสติสัมปชัญญะของตัวเองและความสามารถของครูฝึกด้วย

เถรี
17-09-2015, 19:10
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเรารู้หรือไม่ว่าทำไมระยะหลังฝรั่งหันมากินส้มตำไทยเยอะขึ้น ทั้ง ๆ ที่เผ็ดหูดับตับไหม้ เพราะมีผลงานวิจัยรับรองว่า การกินเผ็ดอย่างน้อยอาทิตย์ละ ๒ ครั้ง ช่วยให้เป็นโรคเส้นเลือดอุดตันน้อยลง ๓๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้น..ใครที่มีทีท่าว่าจะเป็นเส้นเลือดอุดตัน ก็ให้หันมากินอาหารประเภทเผ็ดกระโดดไปเลย..!"

เถรี
17-09-2015, 19:21
ถาม : โสฬส แปลว่า อะไรคะ ?
ตอบ : โสฬส แปลว่า ๑๖ เขาหมายถึงความเป็นมงคลสูงสุด เพราะว่าสมัยก่อนพราหมณ์เขารู้จักแค่พรหม แล้วรูปพรหมมีสูงสุดแค่ ๑๖ ชั้น

ภาษาบาลี โสฬส แปลว่า ๑๖ สตฺตรส แปลว่า ๑๗ อฏฺฐารส แปลว่า ๑๘ ฉะนั้น...โสฬสอ่านแบบคนไทยว่าโสฬส ตั้งแต่เตรส ๑๓ ปณฺณรส ๑๕ วันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ เรียก วันปัณณรสี บางคนตั้งชื่อลูกว่า ปัณณรส แสดงว่าลูกเกิดวันที่ ๑๕

โสฬสมังคะลัญเจวะ นะวะโลกุตตะระธัมมะตา จัตตาโรจะมะหาทีปา ปัญจะพุทธามะหามุนี ได้ยันต์โสฬสไปมุมหนึ่งแล้ว เอาไว้มีอารมณ์แล้วจะทำตะกรุดให้

เถรี
17-09-2015, 19:36
พระอาจารย์กล่าวถามว่า "มหาระงับสายหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม จะเอาเป็นธงหรือเป็นตะกรุดดี ? (โยม : เอาทั้งสองอย่าง) ตะกรุดยาว ๖ นิ้วนะ จะเอาไว้ตีกบาลใคร ?

หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม ท่านมีลูกศิษย์อยู่หลายรูป รูปหนึ่งคือหลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี หลวงพ่อเนื่องเรียนวิชาจากหลวงพ่อคงมามากมายมหาศาล แต่คนไปติดเรื่องให้หวยอย่างเดียว หลวงพ่อเนื่องให้หวยถูกทุกงวด ใครไปหาหลวงพ่อเนื่องไม่ต้องไปขอหวย ท่านจะเขียนขึ้นกระดานไว้ให้เลย แต่คนมักจะไม่รู้เคล็ดในการเล่น

พี่ก้องเกียรติ พี่ชายของอาตมาไปหาหลวงพ่อเนื่อง ได้มา ๓ ตัว งวดที่ ๑ ไม่ออก งวดที่ ๒ ไม่ออก งวดที่ ๓ ไม่ออก เลิกเล่น งวดที่ ๔ มาตรง ๆ ไปกราบเรียนถามหลวงพ่อวัดท่าซุง หลวงพ่อท่านบอกว่า เล่นหวยหลวงพ่อเนื่องเอ็งต้องรู้เคล็ด ถ้าจะเอางวดนั้นเลย ให้ตัดท้ายเล่นตัวเดียว

ปรากฏว่าพี่ชายอีกคน คือ พี่สุรกานต์เก่งกว่า ตัดท้ายมาตัวเดียวแล้วเติมหน้าเติมหลัง ครบ ๒๐ ตัว..ถูกทุกงวด เก่งนะ..พวกคนเล่นหวย เขามีลีลาของเขา อาตมาสู้เขาไม่ได้

ท่านบอกว่าส่วนที่เหลือถ้าอยากถูกตรง ๆ ให้ตามทุกงวด โดยการเล่นเพิ่มไป เช่น งวดที่ ๑ เล่น ๑๐ บาท งวดที่ ๒ เล่น ๒๐ งวดที่ ๓ เล่น ๓๐ ตามไปเรื่อย ๆ ไม่เกิน ๑๒ งวดจะออก ท่านบอกเป็นสาธารณะ คนเราบุญกุศลไม่เท่ากัน โอกาสที่จะได้ไม่เท่ากัน คนที่บุญไม่ถึง ไม่มีอารมณ์ที่จะเล่น ก็มักจะเลิกเสียก่อน เหมือนพี่ก้องเกียรติ เป็นต้น"

เถรี
17-09-2015, 19:41
"หลวงพ่อวัดท่าซุงก็เคยให้หวยลีลานั้น ท่านให้ตอนกฐิน พี่สุรกานต์ตามไปเรื่อย ๆ ไปออกงวดที่ ๙ ได้มาแสนแปด อย่าลืมว่าหวย ๙ งวด ต้องตามไปตั้ง ๕ เดือน เพราะเดือนหนึ่งมี ๒ งวด อาตมาถามว่าถ้างวดที่ ๑๑ แล้วยังไม่ออก ? พี่เขาบอกว่างวดที่ ๑๒ กูขายบ้านเล่นเลย เขามั่นใจขนาดนั้น ต้องคนประเภทนั้นถึงจะอยู่ได้ด้วยหวย

เป็นที่น่าเสียดายว่าหลวงพ่อเนื่องให้หวยมา ๓๐ กว่าปี วันมรณภาพหลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า หลวงพ่อเนื่องเป็นพระอรหันต์ คนขอหวยจนพระอรหันต์ตายไปทั้งองค์ โดยที่ไม่ได้อะไรที่เป็นอรรถเป็นธรรมเลย

หลวงปู่สาย วัดท่าขนุน เดินธุดงค์ขึ้นไปเพื่อจะศึกษาวิชาทางด้านจังหวัดสุโขทัย พอได้ข่าวว่าหลวงพ่อเนื่องมีความรู้ความสามารถแบบไหน ท่านนั่งรถไฟจากพิษณุโลก ลงมากรุงเทพฯ แล้วต่อไปแม่กลอง ไปเรียนวิชาอยู่กับหลวงพ่อเนื่อง ๑ เดือนเต็ม ๆ บุคคลที่มีพื้นฐานการปฏิบัติมาแล้ว การศึกษาวิชาต่าง ๆ ก็เป็นของไม่ยาก

หลังจากที่ทบทวนจนมั่นอกมั่นใจอยู่หนึ่งเดือน หลวงปู่สายนั่งรถไฟจากแม่กลองกลับไปพิษณุโลก แล้วเดินธุดงค์ต่อจากจุดที่คาไว้ คนสมัยก่อนท่านมีสัจจะ เดินก็คือเดิน ในเมื่อเดินไปถึงตรงโน้นแล้วนั่งรถไฟกลับมา ก็ต้องนั่งรถไฟกลับไปเดินต่อจากจุดเดิม ฉะนั้น...วิชาของสายวัดท่าขนุน เลยได้วิชาจากสายวัดบางกะพ้อมและวัดจุฬามณีมาด้วย"

เถรี
17-09-2015, 19:45
"อาตมาเองก็รอเวลาที่เหมาะสม เพราะว่าสมัยหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม บรรดาเสือปล้นต่าง ๆ พอปล้นใครแล้วถ้าตำรวจล้อมยิง เขาเอาธงมหาระงับปักไว้ข้างหน้า มีปัญญาก็ยิงไปเถอะ

ตอนช่วงสงครามโลก จัดงานศพหลวงพ่อคง วัดบางกระพ้อม แสงสีเสียงสนั่นหวั่นไหวไปทั้งวัดเลย ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่สัมพันธมิตรก็เป็นญี่ปุ่นนั่นแหละที่เข้ามาทิ้งระเบิด ปรากฏว่าลูกศิษย์หลวงพ่อคงเอาธงมหาระงับปักไว้บนยอดเมรุ จัดงานไปเถอะ กี่คืนก็ไม่มีปัญหา เครื่องบินผ่านมาก็บินผ่านไปเฉย ๆ เหมือนกับมองไม่เห็น

แต่เป็นที่น่าเสียใจว่า ลูกศิษย์หลวงพ่อคงประเภทหนึ่ง มีอาชีพเป็นโจรปล้นเขากิน จะขึ้นบ้านใครก็เอาธงมหาระงับเสียบไว้ใต้ถุนบ้าน แล้วก็เดินขึ้นไปขนของเอาเฉย ๆ ตอนหลังตำรวจกองปราบต้องไปกราบหลวงพ่อคง บอกว่าคราวหน้าหลวงพ่อจะให้วัตถุมงคลแก่ใคร ก็ดูหน่อยว่าเป็นคนดีหรือคนชั่ว หลวงพ่อท่านบอกว่า "ก็ตอนมาหาฉัน เขาเป็นคนดีนี่จ๊ะ" ท้ายสุดไม่รู้จะทำอย่างไร ทางราชการกดดันหนัก หลวงพ่อคงต้องขนวัตถุมงคลที่เหลือลงเรือไปทิ้งกลางทะเลหมดเลย"

เถรี
17-09-2015, 19:58
ถาม : เรื่องริดสีดวง ถ้าทดลองหลายอย่างแล้วไม่ได้ผล ควรจะลองสูตรยาไหนดีครับ ?
ตอบ : เปลี่ยนวิธีการกินอาหาร มากินผักผลไม้ให้ได้สัก ๔๐-๕๐ เปอร์เซ็นต์

เถรี
17-09-2015, 20:44
ถาม : วิธีฝึกอุเบกขา ?
ตอบ : สมาธิต้องมาก่อน ถ้าสมาธิไม่ดีเบรกไม่อยู่หรอก ฉะนั้น..ภาวนาให้ทรงฌานให้ได้ แล้วอุเบกขาจะดีขึ้น

ถาม : ถ้าสวดมนต์อยู่ในใจตลอดเวลาได้ไหมคะ ?
ตอบ : ก็ได้ในระดับหนึ่ง

เถรี
18-09-2015, 15:26
ถาม : เวลานั่งสมาธิแล้วเปิดเสียงหลวงพ่อจะเหมือนกับวูบไป แต่ว่าถ้านั่งสมาธิโดยไม่เปิดเสียงหลวงพ่อจะไม่เป็น คือหลับใช่ไหมคะ ?
ตอบ : สมาธิเริ่มทรงตัวแต่สติตามไม่ทัน ในเมื่อสติตามไม่ทันจะมีอาการวูบเหมือนจะหลับ บางคนสะดุ้งเฮือกเลย

ถาม : เป็นเฉพาะตอนฟังธรรมอย่างเดียวค่ะ ?
ตอบ : กำลังใจที่เรามุ่งฟังเป็นสมาธิอยู่แล้ว คราวนี้บวกกับเราตั้งใจภาวนาสมาธิก็ทรงตัวเร็วขึ้น แต่สติยังไม่พอ วิธีแก้ไขก็คือตั้งใจว่าเราจะฟังให้ได้ยินและทำความเข้าใจให้ได้ทุกคำ ใจจะได้จดจ่ออยู่ตรงนั้น สติจะได้ไม่ขาด ไม่อย่างนั้นถ้าสติขาดก็วูบอีก

ถาม : เราก็บริกรรมของเราต่อไปใช่ไหมคะ ?
ตอบ : บริกรรมหรือไม่บริกรรมอยู่ที่เราจ้ะ

ถาม : แต่ต้องตั้งใจว่าเราจะฟัง ?
ตอบ : ใช่...เงี่ยหูฟัง ที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระมหากัสสปะว่า “กัสสปะ..เมื่อเธอฟังธรรมจงเงี่ยหูลงฟัง และตั้งใจทำความเข้าใจในเนื้อความ”

เถรี
18-09-2015, 15:28
ถาม : การที่เราเปิดเสียงธรรมะทิ้งไว้ตอนทำงาน เป็นการปรามาสไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจฟังและทำความเข้าใจได้ตลอดก็ไม่ปรามาส แต่ถ้าสักแต่เปิดทิ้ง ๆ ไว้โอกาสปรามาสมีเยอะ

ถาม : มีแค่นี้แหละคะ เวลานั่งสมาธิแล้วเปิดเทปจะวูบ นั่งปกติจะไม่วูบ ?
ตอบ : เอาเป็นว่า ถ้าเราอยากวูบเราก็เปิดเทป ถ้าเราไม่อยากวูบเราก็ภาวนาปกติแล้วกัน

เถรี
18-09-2015, 15:33
ถาม : บางครั้งนั่งภาวนาไปแล้วตรงมือแข็ง ?
ตอบ : ปล่อยให้แข็งไป อย่ากลัว และอย่าอยากให้เป็น เรามีหน้าที่ภาวนา อาการเกิดขึ้นรับรู้ไว้เฉย ๆ ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ให้ดูลมหายใจ ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ให้กำหนดรู้คำภาวนา ถ้าไม่มีลมหายใจ ไม่มีคำภาวนาให้รับรู้ไว้เฉย ๆ ว่าตอนนี้อาการเป็นอย่างนั้น เริ่มจะได้ดีแล้ว เดี๋ยวพอแข็งเป็นหินแล้วก็ต้องหาเจ้าชายหนุ่มมาจุ๊บแล้วจะหาย ประโยคหลังหลอกนะจ๊ะ ไม่ใช่เรื่องจริง..!

ถาม : แล้วคำภาวนาก็หายไปด้วย ?
ตอบ : ถ้ามีก็ภาวนา ถ้าไม่มีก็ตามรับรู้ไว้เฉย ๆ ว่าไม่มี อย่ากลัว รับรู้ไว้เฉย ๆ ทำไม่รู้ไม่ชี้ไว้แล้วจะได้อะไรดี ๆ อีกเยอะ

ถาม : ถ้าแข็งแล้วจะแข็งเพิ่มอีกไหมคะ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับสมาธิของเรา ถ้าสมาธิของเราดีกว่านี้คราวนี้จะ “ตาย” ไปเลย คนข้างนอกมาถึงก็ “อ้าว..ตายไปแล้ว” เดี๋ยวเขาก็จับใส่โลงไปเผาเอง..!

สมาธิพอทรงตัวแนบแน่น จิตกับประสาทจะแยกออกจากกัน อวัยวะภายในเหมือนกับหยุดการทำงานหมด คนที่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอำนาจของสมาธิ ก็คิดว่าเราตายไปแล้ว

เถรี
18-09-2015, 15:35
ถาม : บางทีแข็งเหมือนกับแน่นที่หน้าอกค่ะ จะตาย แล้วก็กลัวต้องหายใจใหม่ ?
ตอบ : แหม...อุตส่าห์เตือนแล้วว่าอย่ากลัว

ถาม : จะขาดใจตายอยู่แล้ว ทำอย่างไรดี ?
ตอบ : เขาเรียกว่ากลัวดี สมาธิเริ่มทรงตัวจะเป็นฌานแนบแน่นไปแบบนั้น ย้อนกลับมาหายใจใหม่ก็เท่ากับถอยหลังกลับ คราวหน้าเอาใหม่ ทำไม่รู้ไม่ชี้ตามดูไปเฉย ๆ

ถาม : หนูกลัวตายค่ะ ?
ตอบ : ตายแน่ ๆ คนเราจะช้าจะเร็วก็ต้องตายอยู่แล้ว การปฏิบัติธรรมถ้าตราบใดที่เรายังกลัวตายอยู่ก็ยังเอาดีไม่ได้ ให้ตั้งใจว่า “เราทำความดีอยู่ ถึงตายเราก็ไปดี” ว่าแล้วก็ปล่อยไปเลย แต่ให้ตั้งใจไว้ว่าอีก ๑ ชั่วโมงเราจะเลิก อีกครึ่งชั่วโมงเราจะเลิก ไม่อย่างนั้นถ้าสมาธิลึกขึ้นบางทีหายไป ๓-๔ ชั่วโมงหรือเป็นวันก็มี

เถรี
18-09-2015, 15:40
ถาม : ตอนที่เราภาวนาพระคาถาเงินล้านจบเดียว เหมือนใช้เวลาไปเกือบชั่วโมง ?
ตอบ : ถ้าเราภาวนาจนเลยที่แข็งทื่อไปนั่นแหละจะได้ผลมาก

ถาม : ถ้าสมมติว่าเราภาวนาปกติ ?
ตอบ : เราภาวนาปกติแต่สมาธิลึกไป เวลาข้างนอกจึงผ่านไปโดยไม่รู้ตัว แค่ภาวนาจบเดียว แต่เวลาข้างนอกผ่านไปตั้ง ๒-๓ ชั่วโมง ก็เมื่อครู่เตือนแล้วว่าให้ตั้งใจไว้ก่อนว่าอีก ๑ ชั่วโมงหรืออีกครึ่งชั่วโมงเราจะเลิก ไม่อย่างนั้นแล้วบางทีก็ยาวไป ๓-๔ ชั่วโมงหรือเป็นวันเลยก็มี แต่เรารู้สึกว่าพักเดียว พอแล้วอย่าถามมาก ถามแล้วจะฟุ้งซ่าน ต่อไปจะทำไม่ถึงตรงนั้นอีก

ถาม : อย่างนั้นไม่ถามแล้วก็ได้ค่ะ ?
ตอบ : ไม่ถามก็ไปไม่ถึงอีกนั่นแหละ เพราะเราไปนั่งคิด เราต้องหยุดคิด เรามีหน้าที่ภาวนา จะเป็นอย่างไรก็ช่าง ถ้าทำกำลังใจอย่างนั้นได้โป๊ะเดียวก็ได้แล้ว มัวแต่ไปกลัวแล้วไปนั่งคิดอยู่ พอถามแล้วก็ไปฟุ้งซ่าน ไม่ถามก็กลัวอยู่นั่นแหละ

เถรี
18-09-2015, 15:48
ถาม : หมดคำถามแล้วค่ะ ?
ตอบ : หมดแล้วแน่นะ ? ไม่ไปคิดแน่นะ ? ถ้าอย่างนั้นไปนั่งภาวนาต่อ ความจริงมีญาติโยมจำนวนมาก ที่ภาวนาแล้วอยู่ในระดับที่อาตมาว่าจะได้ดี แต่แล้วก็ไปกลัว หรือถ้าไม่กลัวก็ไปอยากให้ได้อย่างนั้น ก็เลยไม่ได้สักที พระปฏิบัติสายหลวงปู่มั่นท่านบอกว่า “ธรรมะอยู่ฟากตาย” แปลว่าต้องแลกกันด้วยชีวิต ถ้ายังกลัวตายอยู่ชาตินี้ก็เอาดีไม่ได้

แต่ถามว่าไม่กลัวแล้วจะทำอย่างไร ? บอกไม่ได้เหมือนกัน เพราะความกลัวตายเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์และสัตว์ทุกรูปทุกนาม มีอยู่อย่างเดียวก็คือต้องตัดใจให้ได้ว่าตายเป็นตาย แล้วก็ลุยไปเลย

พระบาลีท่านบอกว่า อาหารนิทฺทํภยเมถุนญฺจ สามญฺญเปตปฺปสุภีนรานํ อาหาระ ก็คือ อาหารที่เรากินเข้าไป นิททัง คือ การนอน ภยะ คือการกลัวภัยซึ่งก็คือกลัวตาย เมถุนะ คือ การเสพกาม สามัญญะ ก็คือธรรมดา ๆ เปตัปปสุภีนะรานัง ของคนและสัตว์ทั้งหลาย ธมฺโมหิ เตสํ อธิโก วิเสโส ธรรมเท่านั้นที่ให้ต่างกันไป วิเสส ก็คือพิเศษ แตกต่างไปจากเขา ธมฺเมน วีณา ปสุภีนรานา ธรรมเท่านั้นที่ทำให้คนและสัตว์แตกต่างกัน ฉะนั้น...ห้ามกลัวตาย แม้ว่าความกลัวตายจะเป็นปกติของมนุษย์และสัตว์ทั้งปวงก็ตาม

เถรี
18-09-2015, 15:53
ถาม : ทำอย่างไรจึงจะเลิกกลัวตาย ?
ตอบ : ก็เลิกกลัว พอเลิกกลัวก็หายกลัวไปเอง

ถาม : ต้องเริ่มต้นที่ไหนครับ ?
ตอบ : ป่าช้า...ตรงไหนที่เขาบอกว่าน่ากลัวที่สุดให้ไปตรงนั้น สถานที่ไหนเขาบอกน่ากลัวที่สุดเราไปที่นั่น ต้องเผชิญหน้ากับความกลัวตรง ๆ จนกว่าจะหายกลัวไปเอง แบบเดียวกับหลวงปู่หลวงพ่อสายปฏิบัติ ท่านไปเจอกับเสือ บางท่านบอกว่ากลัวจนเหงื่อแตกเปียกไปทั้งตัว บางท่านบอกกลัวจนน้ำตาไหลพราก ๆ แต่ท้ายที่สุดก็คิดได้ว่ากลัวหรือไม่กลัว ถ้าเสือกัดเราก็ตายเหมือนกัน แล้วจะกลัวไปทำไม ? ท่านก็ตัดความกลัวได้ ฉะนั้น...กลัวอะไรให้ไปหาอย่างนั้น ถ้ากลัวตุ๊กแกก็ต้องจับตุ๊กแกมาเล่นให้ได้ ถ้ากลัวงูก็ต้องหาทางเล่นกับงูให้ได้

ถาม : ถ้าผมจะต่อสู้กับความกลัวตายแล้วไปเล่นพวกกระโดดบันจี้จัมพ์จะไม่โรคจิตกว่าเดิมหรือครับ ?
ตอบ : ถ้ากล้าสู้จริง ๆ จะหาย ส่วนคุณพูดแบบคนไม่คิดจะทำ เอาแต่อ้างว่ากลัวตาย ก็ไปสิ ตายก็ตายทีเดียว ตั้งใจ “กูไปพระนิพพานแล้วโว้ย” แล้วก็โดดเลย เสียดายว่าเขาไม่ให้พระเล่น ไม่อย่างนั้นเอ็งจะเห็นข้าโดดทุกวันแหละ..!

เถรี
18-09-2015, 19:16
ถาม : ทำอย่างไรที่จะเลิกกลัวความพลัดพรากจากคนที่รักไปคะ ?
ตอบ : พยายามพิจารณาให้เห็นว่า ถึงเราไม่กลัวทุกคนก็ต้องพลัดพรากจากกันเป็นปกติอยู่แล้ว ดูสิว่ามีใครในบ้านไม่พลัดพรากจากกันบ้าง ถ้าไม่จากเป็นก็ต้องจากตาย ก็ในเมื่อเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ แล้วเราต้องไปกลัวทำไม ? ระหว่างที่อยู่ก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ถึงเวลาถ้าต้องจากกันก็ถือว่าหมดภาระไป เพราะฉะนั้น..ควรจะจากกันเร็ว ๆ จะได้ไม่ต้องมีภาระ

ถาม : เข้าใจแล้วครับ ?
ตอบ : เข้าใจทุกทีแหละ เพียงแต่ไม่เคยทำได้สักอย่าง..!

เถรี
18-09-2015, 20:00
ถาม : ความอาลัยนี่ตัดยากนะคะ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับกำลังใจ กำลังใจสูงก็ตัดได้ง่าย กำลังใจต่ำก็ตัดได้ยาก

เถรี
18-09-2015, 20:24
ถาม : (เด็กถาม) โดนเพื่อนแกล้ง ควรจะทำอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ปล่อยให้แกล้งต่อไป..! การอยู่ในสังคมส่วนรวม โดยเฉพาะโรงเรียนของเด็ก ๆ การโดนเพื่อนแกล้งถือว่าเป็นปกติ สมัยยังเรียนหนังสือหลวงพ่อก็โดนเพื่อนแกล้งเหมือนกัน แกล้งเสร็จเพื่อนก็วิ่งไปอยู่ใกล้ ๆ ครู แล้วหลวงพ่อก็ทำอะไรเขาไม่ได้ ครั้งที่ ๑ ก็อย่างนี้ ครั้งที่ ๒ ก็อย่างนี้ ครั้ง ๓ ก็อย่างนี้ ครั้งที่ ๔ หลวงพ่อเตะเพื่อนต่อหน้าครูเลย แล้วครูก็รู้ด้วย ครูก็แค่บอกว่า "เธอ...คราวหน้าอย่าทำอย่างนี้อีกนะ"

ส่วนเพื่อนอีกรายหนึ่งชอบแกล้งตอนเรียนมัธยมแล้ว หลวงพ่อว่าตัวเองสูงแล้ว เพื่อนคนนี้สูงกว่าเกือบศอก ก็รอวันว่าเมื่อไรจะได้เอาคืน แล้ววันดีคืนดีก็มาถึง ตอนนั้นเรียนชั่วโมงไฟฟ้าอยู่ พอเลิกเรียนก็ต้องช่วยกันปิดโรงฝึกงาน เจ้าเพื่อนคนนี้ก็ล้าหลัง หลวงพ่อเดินไปถึงประตูซึ่งเป็นประตูเหล็กยืด กระชากประตูล็อกทันที หันกลับมาไอ้นั่นรู้ว่าซวยแล้ว ตอนนี้ใครจะช่วยได้ล่ะ ? ภารโรงก็ไม่อยู่ กว่าจะหากุญแจมาเปิดได้มีทางเดียว ก็คือ เอ็งรับมือรับตีนข้าไปก่อนก็แล้วกัน..!

งานนั้นตั้งใจจะเตะเพื่อนให้สลบคาตีนจริง ๆ..! ว่าจะเตะก้านคอคนสั่งสอนสักหน่อย แต่เตะไม่ถึงเพราะเขาสูงกว่าเยอะ เตะได้แค่ต้นแขน เตะจนเขายกแขนสองข้างไม่ขึ้น เตะจนลงไปกองกับพื้นบอกว่ายอมแพ้แล้ว ต่อไปจะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้ว เพราะฉะนั้น..อนุญาตให้เลียนแบบได้ หลังจากนั้นจะไม่มีเพื่อนคนไหนกล้าแกล้งเราอีกเลย..!

ถาม : ไม่ผิดศีลหรือครับ ?
ตอบ : ผิดตรงไหนวะ ? ไม่ได้ฆ่าเขาโว้ย..! ส่วนเตี่ยของอาตมานี่สุดยอดมาก ห้ามฟ้องเด็ดขาดว่าเพื่อนรังแก ฟ้องว่าโดนเพื่อนรังแกเมื่อไรโดนตีเมื่อนั้น เพราะนิสัยของเตี่ยก็คือ เอ็งต้องมีหน้าที่รังแกเพื่อน ไม่ใช่ให้เพื่อนมารังแกเอ็ง ท่านสอนให้สู้อย่างเดียว

อาตมาเองรังแกใครไม่เป็น แต่ถ้าใครมารังแกโปรดระวังตอนฟิวส์ขาด จะเอาคืนเยอะกว่าหลายเท่าเลย ทุกวันนี้เพื่อนคนนี้เป็นอาจารย์สอนอยู่โรงเรียนใกล้ ๆ วัดท่าขนุน ไปเจอกันได้อย่างไรไม่รู้ ไม่ได้ถามหรอกว่าเอ็งยังจำได้ไหมวันนั้น ไปเจอกันตอนที่ไปงานกิจกรรมนักเรียนที่โรงเรียนบ้านเสาหงส์ พอเห็นชื่อบนกระดานก็อ้าว...นี่เพื่อนเรานี่หว่า ก็เลยถามหา ไปเจอกันก็คุยกันพักหนึ่งเห็นเขายังทำท่าแหยง ๆ อยู่ ไปก็ได้วะ..๓๐-๔๐ ปีแล้วยังจะกลัวอยู่อีก

เถรี
19-09-2015, 18:43
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงพระพุทธรูปทองคำ ถ้าหล่อแบบพระพุทธชินราชก็มีทองพอแล้วนะ เสียดายว่าท่านสั่งให้หล่อแบบทรงเครื่อง ทองจึงยังไม่พอ ไม่รู้ว่าจะซื้อทันไหม..เพราะว่าทองจะขึ้นราคามาก ใครมีโอกาสถ้าจะซื้อก็ซื้อ ๆ ไว้ก่อน ถ้าทองขึ้นนี่ขึ้นหลักหมื่นนะ..ไม่ใช่แค่หลักพัน

เขามีระบบการซื้อขายทองบนกระดาษ ระบบนี้ซื้อกันไปขายกันมา คุณอาจจะวางทองค้ำประกันไว้ ๑๐ บาท แต่ซื้อไปขายมาทวีคูณไปอาจจะเป็น ๒๐๐-๓๐๐ บาท แต่ทองจริง ๆ มีแค่ ๑๐ บาท แล้วคุณลองคิดดูว่า ถ้าทุกคนที่ถือตั๋วสัญญาอยู่ต้องการทองพร้อม ๆ กัน เขาจะเอาจากไหนให้ แล้วระดมซื้อทองพร้อม ๆ กัน ทองทั้งโลกจะขึ้นไปเท่าไร

ใครเล่นทองอย่าย่ามใจ ได้แล้วรีบเบิกออกมาให้เร็วที่สุด ไม่ใช่ทบต้นไปเรื่อย ๆ แบบทบต้นไปเรื่อย ๆ นี่เจ๊งทีก็หมดเลย"

ถาม : คนค้าขายจะเล่นง่าย ?
ตอบ : ง่าย...แต่ไม่ใช่ความเป็นจริง ในเมื่อการค้าขายไม่ยืนอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง คนขายไม่ได้มีสินค้าอยู่ในมือ ลักษณะเดียวกับพวกเซ็งลี้ตอนสงครามโลก คนที่หนึ่งมีน้ำมันอยู่ถังหนึ่ง บอกขายคนที่สองไป ๕๐๐ บาท คนที่สองบอกขายคนที่สามไป ๗๐๐ บาท คนที่สามบอกขายคนที่สี่ ๑,๐๐๐ บาท รับเงินกันไปเป็นทอด ๆ แต่น้ำมันมีอยู่ถังเดียว สมัยสงครามโลกเขาทำกันอย่างนี้ ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงเขาบอกว่า เพื่อนไม่ได้มีอาชีพอะไรหรอก เหมือนกับเซลล์แมนเดินขายของ แต่รายได้สมัยนั้นวันหนึ่งสองสามร้อยบาท สมัยก๋วยเตี๋ยว ๒ ชาม ๕ สตางค์ สองสามร้อยนี่รวยตายชักเลย นี่คือฝีมือการเซ็งลี้สมัยนั้น

เถรี
19-09-2015, 18:44
ถาม : ทำไมเวลาตัดร่างกายต้องทุกข์แล้วทุกข์อีกครับ ตัดแบบนอนสบาย ๆ อยู่บ้านไม่ได้หรือครับ ?
ตอบ : ถ้าปัญญาถึงก็ได้ แต่เมื่อปัญญาไม่ถึง ความโง่มีมากกว่า ก็เลยต้องทุกข์แล้วทุกข์อีกให้เห็นชัด ๆ ไม่อย่างนั้นจะไม่เชื่อว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา

ถาม : ในเมื่อโดนบังคับให้คิดกับคิดเอง ผมว่าคิดเองน่าจะดีกว่า ?
ตอบ : แล้วมีใครอยากจะคิดบ้างล่ะ ? เมื่อไม่กี่วันก่อนที่ไปคุยที่วัดตุ๊พ่อสิงห์ ขอยืนยันว่าถ้าคุณต้องการจะไปพระนิพพานต้องพิจารณาเอง ไม่อย่างนั้นก็จะโดนบังคับให้พิจารณา พอหรือยังที่เขาบังคับ ? ถ้ายังไม่พอเดี๋ยวจะโดนมากกว่านี้..!

เถรี
19-09-2015, 18:46
พระอาจารย์กล่าวว่า “ตอนนี้อยากมีเลขานุการเพิ่มอีก ๓ คน งานเยอะฉิ_หายเลย แต่มีมาก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะว่างานคุมเล่มวิทยานิพนธ์คนอื่นอ่านแทนไม่ได้ ต้องอ่านเอง อาตมาเจอไป ๙ เล่ม"

ถาม : ก็ไม่ต้องทำสิครับ ?
ตอบ : อยู่ ๆ หนังสือแต่งตั้งก็มาพร้อมกับงานปึกเบ้อเร่อเลย มีเลขาฯ งานวัดคนหนึ่ง เลขาฯ งานเจ้าคณะตำบลคนหนึ่ง ส่วนงานคุมวิทยานิพนธ์นี่เลขาฯ ช่วยไม่ได้

เถรี
19-09-2015, 19:06
ถาม : กังวลค่ะ ?
ตอบ : เอาแค่วันนี้ก็อยู่ได้ อยู่แค่วันนี้ ตายเราก็ไปพระนิพพาน อย่าให้เกินวันนี้ ถ้าเกินวันนี้จะกังวล เอาแค่วันนี้ก็พอ

ถาม : พยายามทำอยู่ เอาทีละวัน ?
ตอบ : วันเดียวยังเยอะไป ความจริงเขาเอาแค่ชั่วลมหายใจเดียว

เอาเถอะ...ยังไปไหนได้ก็ดีมากแล้ว จะได้รู้ไว้ว่าเกิดมาเมื่อไรก็เจออย่างนี้ เข็ดหรือยัง ? ร่างกายนี้เหมือนเสือร้ายคอยขบกัดทำร้ายเราอยู่ตลอดเวลา เจ็บโน่นป่วยนี่ ยังอยากได้อยู่อีกหรือไม่ ?

เถรี
19-09-2015, 19:15
พระอาจารย์สนทนากับหลวงพี่เอว่า "ตอนนี้ความรู้สึกคล้ายจะเป็นเต่า ก็คือ อยู่ในน้ำครึ่ง อยู่บนบกครึ่ง เราก็ว่าเรามาสายปฏิบัติแท้ ๆ แต่หลุดไปสายวิชาการตอนไหนก็ไม่รู้ ไปเรื่อยเปื่อย คราวนี้พอยืนอยู่ตรงกลางมองสองข้าง ก็เหมือนกับเต่า ตูจะขึ้นบกหรือลงน้ำดีวะ ?

ช่วงที่ผ่านมาสอนเขาตามตำรา ก็ต้องอธิบายให้ลูกศิษย์เข้าใจว่า ถ้าเขาถามมาให้คุณตอบตามตำรา แต่ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ ๆ อย่างที่เขาบอกว่ารูปกับเวทนาเป็นวิปัสสนา ส่วนที่เหลือเป็นสมถะล้วน ๆ ถามว่ามีคนเป็นอัลไซเมอร์ไหม ? ลูกศิษย์บอกว่ามีเยอะแยะเลยครับ เออ...แล้วสัญญาเที่ยงไหม ? ถ้าสัญญาเที่ยง คนก็ไม่เป็นอัลไซเมอร์สิ แล้วไหนคุณบอกว่าเป็นสมถะล้วน ๆ ก็ต้องเป็นวิปัสสนาได้

สังขาร การนึกคิดปรุงแต่ง ยั่งยืนยาวนานไหม ? ไม่ยั่งยืนก็เป็นทุกข์ใช่ไหม ? สิ่งที่ไม่ยั่งยืนเป็นทุกข์ เราบังคับบัญชาได้หรือไม่ ? เขาอธิบายไปเรื่อยโดยไม่รู้จริง ก็เข้าป่าเข้าดงไปเรื่อย

รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธัมมารมณ์ เขาบอกว่ารูปสามารถกำหนดเป็นสมถะได้ ส่วนที่เหลือกำหนดไม่ได้ จริงไหม ? รูปเราตั้งรูปกสิณขึ้นมา ก็กำหนดได้ ตั้งรูปอสุภกรรมฐานขึ้นมา กำหนดได้ใช่ไหม ? เสียงกำหนดได้ไหม ? ตั้งใจฟังเสียงเกิดสมาธิไหม ? เขาบอกว่าไม่ได้ แล้วฝึกทิพโสตฝึกวิธีไหน ? ก็ต้องตั้งใจฟังเสียง แล้วทิพโสตเป็นสมถะเต็ม ๆ หรือเปล่า ? ต้องไปอธิบายให้ลูกศิษย์ฟังทีละข้อว่าความจริงเป็นอย่างนี้ แต่เวลาสอบคุณตอบตามตำราเพราะเป็นข้อสอบกลาง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวตก เป็นอะไรที่น่าเซ็งมากเลย แต่ก็ต้องทำ

กลิ่นเป็นสมาธิไหม ? ถ้าตั้งใจดม อโรมาเธอราพี คุณเข้าไปนวดไปอะไรสารพัด เขาตั้งใจใช้กลิ่นในการประกอบเพื่อความผ่อนคลายให้เกิดสมาธิใช่ไหม ? คนไหนที่เคยไปสปาจะนึกออกเลย"

เถรี
19-09-2015, 19:24
ถาม : เขายกขึ้นแล้วก็ลอย ผมว่าเดี๋ยวนี้ทำไมทำกันได้เยอะเลย ?
ตอบ : เรื่องปกติ หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่าอภิญญาจะเป็นสาธารณะ ไม่เห็นหรือว่าพวกเล่นกลจับไม่ได้ปัจจุบันมีเยอะแยะมาก วันก่อนมีพระลามะที่ลอยพ้นพื้น แล้วนักข่าวฝรั่งเขาขอไปถ่ายทำออกทีวี ลามะก็ไปเดินวน ๆ ๆ เดินให้ดูว่าไม่มีอะไร เสร็จแล้วก็นั่งลง ภาวนาอยู่ไม่กี่ครั้ง ตัวก็ค่อย ๆ ลอยพ้นพื้นขึ้นมาฟุตกว่า ๆ นักข่าวถ่ายเสร็จ แกก็ค่อย ๆ แปะลงไปกับพื้นใหม่

นักข่าวถามว่าเป็น magic หรือเปล่า ? ท่านว่า No..no ลามะบอกว่า Meditation is not the same as magic. ไม่เหมือนกันเลย เกิดจากอำนาจจิตล้วน ๆ ไม่ใช่แหกตากัน

ถาม : ฝรั่งเขาเดินบนน้ำ ?
ตอบ : เดินบนน้ำ เดินข้ามตึก แต่ผมดูแล้ว ต้องตั้งสมาธิอย่างแรง เขาตั้งสมาธิอยู่พักหนึ่งถึงจะไปได้

ถาม : ท่านเปิดคอร์สสอนหน่อยครับ ?
ตอบ : สอนอยู่แล้ว แต่ไม่ค่อยทำกัน ที่สอนไปนั่นแหละ ถ้าทำได้ก็ได้ทุกคน โดยเฉพาะที่สอนตอนปฏิบัติธรรม

ถาม : ถ้าเราดูไปเรื่อย ๆ พยายามดูว่าเขากำหนดจิตอย่างไร แล้วเรากำหนดใจคล้อยตาม เราจะทำได้อย่างเขาไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าพื้นฐานเก่ามีอยู่ก็ทำได้อย่างเขา

ถาม : จริง ๆ พวกเราน่าจะมีพื้นฐานเก่ากันหมดนะครับ ?
ตอบ : คุณเคยยอมรับกฎของกรรมจริง ๆ ไหม ? ถึงเวลาเห็นคนอื่นเดือดร้อนก็เสือกแส่เข้าไปช่วยเขา โดยไม่ได้ดูว่าเขาเดือดร้อนจากเรื่องอะไร

ถาม : คนพวกนี้เขายอมรับกฎของกรรมหรือครับ เขาถึงทำได้ ?
ตอบ : ถึงเวลาจะมีสิ่งที่ควบคุมอยู่ แต่เขาไม่ได้บอกเรา อาจจะเป็นเสียง อาจจะเป็นภาพ ที่บอกว่าเอ็งช่วยได้แค่ไหน เอ็งแสดงได้แค่ไหน เกินจากนั้นก็ไม่ได้

เถรี
19-09-2015, 19:34
มีคลิปที่เขาถ่ายสถานที่แห่งหนึ่งในอินเดีย แล้วอยู่ ๆ มีโยคีคนหนึ่งเหาะหายไปเลย โยคีอุตส่าห์ไปบังเสา แล้วมีคนถ่ายทีวีพอดี ถ่ายไปจังหวะที่แกลอยวูบหายไปติดในทีวี พอไปรีเพลย์ดูก็เลยรู้ อุตส่าห์ไปหลบซ่อนอยู่หลังเสาแล้ว ดันถ่ายติดมาได้

ถาม : แอบไปติดกล้องไว้วัดท่าขนุนดีกว่า อาจจะเห็นพระเหาะ ?
ตอบ : ไม่ต้อง...ตอนนี้วัดท่าขนุนติดกล้องไว้เยอะแยะไปหมด เปิดให้เด็กวัดดูร้องกันจ๊าก...ติดไว้แต่เมื่อไร บอกว่าติดนานแล้ว พวกเอ็งไม่รู้เอง เดี๋ยวนี้ละเอียดมากเลย ชัดกว่าตาเห็นอีก ไม่รู้ระบบอะไร ฮาร์ดดิสก์ลูกหนึ่งไม่ถึง ๔ แสนบาท กล้อง ๑๔ ตัวพร้อมกับฮาร์ดดิสก์ ๒ เทราไบต์ ๖ ตัว ราคา ๘ หมื่นกว่าบาทเอง ทำไมฮาร์ดดิสก์ของ กทม.ตัวละ ๔ แสน ? แล้วก็คิดว่าคนอื่นเขาโง่กันมาก แก้ตัวไปเรื่อย

คราวนี้รอบ ๆ นั้นทั้งกลางวันกลางคืน ใครจะออกลิงออกค่าง ดูได้หมด เขาก็คิดว่าหลวงพ่อไม่อยู่กัน ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เขาดูทางอินเตอร์เน็ตได้ ขนาดชี้ให้พวกช่างณรงค์เขาดู เขายังหากล้องไม่เจอว่าอยู่ตรงไหน กล้องสมัยนี้ตัวเล็กไม่สะดุดตา

พระครูสุนทรวัชรกิจ วัดถ้ำรงค์ ไปถึงวัดก็บอกช่างว่า "มึงทุบเสาต้นนี้..เดี๋ยวนี้เลย" "ทุบทำไมอาจารย์ ?" "ไอ้ห่..มึงไม่ได้ผูกเหล็ก เล่นเสียบเอาไว้เฉย ๆ" ทุบออกมาปรากฏว่าไม่ได้ผูกเหล็กสักอัน ประเภทเทคอนกรีตกรอกไว้เฉย ๆ แล้วเอาเหล็กเสียบข้างบนให้โผล่มาหน่อยหนึ่ง

ถาม : ท่านรู้ได้อย่างไร ?
ตอบ : ท่านดูจากกล้อง ท่านมาเรียนปริญญาเอก ถึงเวลาช่างเห็นหลวงพ่อไม่อยู่ก็มั่ว พวกนี้โกงทุกอย่าง ฉะนั้น..วัดท่าขนุนได้คุณสุรีย์ถือว่าโคตรโชคดีเลย ถึงจะแพงหน่อยก็จริงแต่แกตรงไปตรงมา ช่างบางที่ลดวัสดุยังไม่พอ ยังเอาวัสดุไปขายอีกต่างหาก สมัยอยู่วัดท่าซุงหลวงพ่อท่านโดนประจำ ถึงเวลาผูกเหล็กห่างกัน ๑๕ ซม. ห่างกัน ๑๒ ซม. เขาก็ผูกตามนั้นแหละ แต่พอหลวงพ่อเผลอก็ชักตรงกลางออก หายไปช่วงหนึ่ง คิดดูสิว่า..ศาลาหลังขนาดนั้น ชักออกไปเป็นเหล็กกี่ตัน ? ได้กำไรไปเท่าไร ?

เถรี
19-09-2015, 19:38
ถาม : หลวงพ่อน่าจะรู้ ?
ตอบ : ก็เพราะว่าท่านรู้ ท่านถึงได้ทำเอง ศาลา ๒ ไร่ เขาตีราคามา ๑๒๐ ล้านบาท ท่านทำไป ๗ ล้านกว่าบาทเอง คุณภาพดีกว่าตั้งเยอะ แต่อาตมาทำไม่ได้อย่างหลวงพ่อหรอก ศาลาวัดท่าขนุนเขาตีราคาโดยประมาณไว้ ๔๐ ล้านบาท ตูทำมา ๘๑ ล้านกว่าบาทแล้ว ยังมีหน้ามาบอกว่า ถ้าตีราคาจริงเดี๋ยวอาจารย์ไม่ยอมทำ..!

เมื่อวานซืนคุณสุรีย์มาเบิกค่าแรงทำหมู่เรือนไทยข้างบน ๖.๕ ล้านบาท เขาบอกว่า "ถ้าอาจารย์ไม่มี ขอแค่พอใช้ก่อนก็ได้" อาตมาตอบไปว่า "พูดอย่างนี้แสดงว่ายังไม่รู้จักอาจารย์เล็กดีใช่ไหม ?"

เถรี
19-09-2015, 19:40
ถาม : ทุกวันนี้ท่านยังภาวนาพระคาถาเงินล้านไหมครับ ?
ตอบ : ภาวนาเป็นปกติ มีเวลาก็ว่าไปเรื่อย ไปได้เยอะตอนบิณฑบาต เพราะว่าตั้งใจสงเคราะห์คนใส่บาตร แต่ทีนี้เราจะให้เขา เราก็ต้องมี จึงเท่ากับเราได้ไปด้วย

เถรี
19-09-2015, 19:53
ถาม : ตอนนี้พระพุทธรูปทองคำได้ทองไปกี่บาทแล้วครับ ?
ตอบ : ตั้งไว้ที่ ๑๐๐ กิโลกรัม ตอนนี้ทองคำได้ ๖๒ กิโลกรัมนิด ๆ อย่าไปคิดเป็นตัวเงิน เดี๋ยวช็อก

ถาม : อันนี้รวมทองคำของตะกรุดเมฯ ล่าสุดหรือยังครับ ?
ตอบ : ยัง...กลัวว่าซื้อไม่ทันแล้วทองจะขึ้นราคาก่อน ความจริงหลวงพ่อท่านให้ทุ่มซื้อตอน ๑๗,๙๐๐ บาท แต่อาตมาซื้อทันแค่อึดใจเดียว เพราะลดลงวันเดียวและช่วงเดียวเท่านั้น อุตส่าห์ตั้งเป้าไว้ ๑๗,๙๐๐ บาท ท้ายสุดมาซื้อได้ที่ ๑๘,๓๕๐ บาท ถ้าไม่ซื้อราคาก็ไปไกลกว่านี้อีก ตอนนี้ ๑๙,๒๕๐ บาท กำลังรอสหรัฐทุบราคาลงมาอีกทีหนึ่ง เพราะว่าถ้าทองคำราคาแพงดอลลาร์จะหมดราคา

ถือว่าเป็นตาชั่ง ถ้าดอลลาร์ตกทองคำจะขึ้น ถ้าดอลลาร์ขึ้นทองคำจะตก ถ้าหากทองคำขึ้นราคาชนิด ๓ เท่า ๔ เท่า ดอลลาร์ก็เจ๊งแล้ว

ถาม : ขึ้นเป็น ๓-๔ เท่าเลยหรือครับ ?
ตอบ : บอกแล้วว่าเขายักไฮโลว์มาเป็น ๑๐ รอบ ทองจริงมีแค่หน่อยเดียว

ตอนนี้ที่รู้มากที่สุดก็คือทางเอเชียเรานี่แหละ จีนกับอินเดียตุนทองคำกันแหลกเลย ต่อให้เงินจีนตกอย่างไรก็ตาม ไม่ต้องไปตื่นเต้นหรอก เขามีทองคำค้ำอยู่ พอถึงเวลาถ้าเขาแบต้นทุนออกมาเมื่อไร เงินจะเด้งขึ้นเอง แต่เขาไม่ให้เด้งขึ้นเพราะเงินราคาตก เขาขายของได้เยอะ ตอนนี้สหรัฐยังไม่รู้หรอก ไปทุบตลาดหุ้นจีน หารู้ไม่ว่าจีนกำลังขุดบ่อล่อปลาอยู่ ถึงเวลาคุณทุบไป ๆ เงินตก แต่ทุนสำรองมีเป็นแสน ๆ ล้านดอลลาร์ ก็ปล่อยออกซื้อทองคำไปเรื่อย พอเก็บทองคำหมด คุณไม่มีทุนสำรองเหลือ พอแบต้นทุนออกมาแล้วเอ็งหงายหลัง เกทับเขาจนหมดตูดหมดหน้าตัก เขาเปิดมาเป็นสเตรทฟลัช ถือเอโพธิ์ดำด้วยก็เจ๊ง ตกลงเคยเล่นไพ่กันไหม ? ถ้าไม่เล่นก็ฟังไม่รู้เรื่อง

ถาม : อย่างนี้จีนก็ตลาดวาย ?
ตอบ : ของจีนถ้าไม่ได้เกรงว่าเกิดผลกระทบทั่วโลกนะ แค่เทพันธบัตรออกมาเท่านั้น อเมริกาก็เจ๊งแล้ว เพราะจีนถือพันธบัตรอเมริกาอยู่หลายแสนล้านดอลลาร์

ถ้ามีเงินเหลือก็ตุน ๆ ทองคำเอาไว้บ้าง แต่เสียอยู่อย่างคือกินไม่ได้ พอเดือดร้อนก็ต้องเสียเวลาเอาไปขาย แล้วถ้าต่างคนต่างจนใครจะซื้อ ?

เถรี
19-09-2015, 20:12
ถาม : เช่าที่วัดปลูกผักดีกว่า
ตอบ : มีที่ข้างวัดอยู่ ๙๐ ตารางวา ซื้อมาตั้งล้านกว่าบาท ความจริงราคาประเมินไร่ละ ๒ แสนบาท แต่ราคาขายเลยมาตั้ง ๑๐ เท่าตัว

ถาม : ตอนน้ำท่วมราคาไม่ลงหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ลง...ตราบใดที่เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนไม่ย้ายหนี ก็ยังราคาแพงอยู่

ฝั่งตรงข้ามกับโบสถ์ ผอ.ณรงค์ประกาศขายห้องละล้าน บอก ผอ.ว่าขายแพงขนาดนั้นไม่คิดถึงคนอื่นบ้างหรือ ห้องหนึ่งของเขา คือ หน้ากว้าง ๔ เมตร ลึก ๒๐ เมตร

ถาม : ตารางวาละห้าหมื่น...โห
ตอบ : ที่โน่นเขาเรียกขายเป็นห้อง

ถาม : แสดงว่าเขาขายได้แน่เลย
ตอบ : เขาตั้งราคาไว้ต้องขายได้ เราเองว่าก็น่าซื้อไว้ เพราะที่ติดวัด แต่ราคาสูงก็เลยไม่ซื้อ

บังเอิญว่าแผนพัฒนาวัดท่าขนุน โปรเจ็คล่าสุดกะว่าจะจบแล้ว ทำเมรุเสร็จก็ไม่เอาแล้ว ซ่อมของเก่าต่อ เดี๋ยวคอยดูตอนท้าย ๆ พองานเมรุเสร็จ พวกช่างจะห่อเหี่ยวเหลือเกิน ทำงานวัดมาตั้งหลายปีเงินดี เบิกเท่าไรได้เท่านั้น ต่อไปจะไปหาที่ไหนอีก

พวกช่างทำท่าซังกะตายเลย พอเห็นว่าหอจ่ายน้ำประปาจะเสร็จแล้ว ไม่มีงานอื่นทำ ตอนนี้กำลังใจมาแล้ว เห็นมีเมรุด้วย

เถรี
21-09-2015, 18:23
ถาม : ระบบไฟของเมรุใหม่ที่ว่าจะทำเตาเผาเป็นอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : เขาเสนอราคามา ๓ ราย มีตั้งแต่ระดับราคา ๑ ล้านกว่าบาท – ๓ ล้านกว่าบาท

ถาม : ราคาต่างกันเยอะนะครับ ต่างกันตั้ง ๓ เท่า ?
ตอบ : ก็ต้องดูของเขาว่าเดือนหนึ่งเผาได้กี่ศพ อัตราการสิ้นเปลืองเท่าไร เขาจะมีรายละเอียดมาให้ เราเอามาเปรียบเทียบแล้วเลือกว่าจะเอาแบบไหนถึงคุ้มค่าที่สุด

เขาบอกว่า ถ้าจะเอาไฟฟ้าล้วนเลยต้องลงหม้อแปลงต่างหากอีกลูกหนึ่ง ก็เลยคิดว่าจะใช้ระบบน้ำมันปนไฟฟ้า คราวนี้เขาอยากขายมาก เพราะว่าของพวกนี้ปีหนึ่งขายได้สักครั้งก็บุญโขแล้ว พอได้ยินว่าวัดเราจะเอา ไปสืบราคานี่ โอ๊ย...ประเภทยัดเยียดให้เลย

ถาม : เขาก็ได้กำไรนะครับ นาน ๆ ขายได้ที ?
ตอบ : จะทำอย่างไรได้ ดันมาค้าขายด้านนี้ไปแล้ว

ถาม : ถ้าซ่อมของเก่า ?
ตอบ : ถ้าจะซ่อมต้องซ่อมหมุนเวียนไปเลย โบราณเขาถึงบอกว่าวัดกับวังสร้างไม่รู้จบ เพราะของใหม่เสร็จ โน่นก็เก่าแล้ว ต้องซ่อมไล่ไปเรื่อย ถึงได้ว่าบุคคลที่เป็นเจ้าอาวาสต้องมีศักยภาพเพียงพอ ไม่อย่างนั้นแล้วจะพาวัดไปไม่รอด

เถรี
21-09-2015, 18:44
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ท่านไม่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลขนาดนั้น พระพุทธศาสนาก็คงยังไม่แผ่กว้างไปต่างประเทศ ท่านลงทุนยอมให้เขาด่าให้เขาว่าทุกอย่าง เพราะสมัยก่อนพระขออนุญาตไปต่างประเทศ เขาใช้คำว่าไปเที่ยว เขาไม่เข้าใจคำว่าเผยแผ่พุทธศาสนาหรืออย่างไรก็ไม่รู้ หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านก็มีหน้าที่ไปขออนุญาต เขาก็ด่า ๆ ลงมา เอ้า..วันนี้ไม่อนุญาตไม่เป็นไร ๒-๓ วันเห็นท่านเย็นลงแล้วก็ไปใหม่ ไปก็ไม่ใช่จะอนุญาตอีก...ก็โดนด่า วันนี้ไม่ได้วันต่อไปก็ไปใหม่

ไปจนเขารำคาญ จนกระทั่งให้ไป ท่านก็ส่งพระธรรมทูตไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีวัดไทยในอเมริกาขึ้นมา เราลองมานึกดู ถึงศาสนาอื่นมายึดประเทศไทยได้ เราก็ไม่ต้องกังวล เพราะศาสนาพุทธไปเจริญในต่างประเทศหมดแล้ว"

เถรี
21-09-2015, 18:52
พระอาจารย์กล่าวว่า "การศึกษาของเราปัจจุบันนี้เพิ่งจะมาเน้นเรื่องศีลธรรม ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ดึงออกจากวัดไป สมัยก่อนความรู้ทุกอย่างอยู่กับวัด บรรดาท่านที่ไปบวช คือท่านที่มีความรู้ทางโลกเต็มที่แล้ว บางทีก็เบื่อ บางทีก็เกษียณตัวเองแล้วเข้าไปบวช แม้กระทั่งบรรดานักรบขุนศึกต่าง ๆ ก็อยู่ในลักษณะของการบวชล้างบาป ถึงได้มีการฝึกมวยฝึกดาบในวัด เพราะบรรดาท่านที่เก่งสุดไปอยู่ในวัด

แม้กระทั่งอาตมาเรียน ป.๑ ป.๒ โรงเรียนก็หยุดวันโกนวันพระ เพราะต้องหยุดตามกิจกรรมของวัด พอการศึกษาของต่างประเทศเข้ามา รัชกาลที่ ๕ ที่ ๖ มีบาทหลวงฝรั่งมาตั้งโรงเรียนฝรั่ง ของเขาหยุดวันเสาร์อาทิตย์ เพราะว่าเขาต้องไปโบสถ์กัน คนไทยดันบ้าจี้ไปหยุดเสาร์อาทิตย์ตามเขา อาตมาเซ็งสุด ๆ ไม่รู้ว่าเสาร์อาทิตย์หน้าตาเป็นอย่างไร เพราะรู้แต่ขึ้นแรม จนพี่มุกดารำคาญเพราะถามแกทุกวัน แกพาไปดูปฏิทินสมัยก่อน เป็นแผ่น ๆ ๓๖๕ แผ่น แกก็เปิด ๆ ให้ดู นี่ใบแดง ๆ คือวันอาทิตย์ เพราะใบอื่นสีขาวหมด อาตมาถึงได้จำได้ว่าใบแดงคือวันอาทิตย์

พอทางราชการตั้งโรงเรียนประชาบาลขึ้นมา เพื่อเผยแผ่ความรู้ให้กว้างไกล เพราะสมัยก่อนคนมีความรู้มีไม่มาก เผยแผ่ความรู้ออกมาก็ต้องตั้งโรงเรียนอยู่ในวัด พอเราไปเปลี่ยนอะไร ๆ ตามโรงเรียนฝรั่ง ก็เหมือนกับว่ามาตรฐานโรงเรียนฝรั่งเขาสูงกว่า ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ทุกอย่างที่ฝรั่งทำเลยกลายเป็นของดีในสายตาของเรา เลยเกิดเป็นลัทธิบูชาฝรั่งเป็นเทวดา ทำให้การศึกษาของเราไม่มีความเข้มแข็ง ไม่มีความเป็นเอกลักษณ์ ลองไปดูปักษ์ใต้สิ โรงเรียนปอเนาะไม่เห็นจะเปลี่ยนตามเราเลย

แต่ตอนนี้เราเปลี่ยนตามกระทั่งอาเซียน ถามว่าดีไหม ? ก็ดีในบางส่วน แต่คุณควรเป็นผู้นำให้คนอื่นตามเรา ไม่ใช่ไปคอยตามเขา ถ้าคุณตามเขาก็ไม่แปลกหรอก เพราะคุณเป็นอันดับ ๘ ของอาเซียน ไม่เป็นอันดับ ๑๐ ก็บุญโขแล้ว"

เถรี
21-09-2015, 18:57
"ระบบการผลิตครูของเราผลิตพลาด ต่างประเทศเขาเอาคนเก่งที่สุดไปเป็นครู เหมือนกับที่กองโรงเรียนทหาร ตอนที่อาตมาเรียนจบแล้วด่าเช็ด "โคตรแม่ง...พวกคนเก่ง ๆ มึงก็เอาไปใช้งานกันหมด แล้วใครจะอยู่สอนรุ่นน้อง" เขาด่ากันอย่างนี้ จริง ๆ แล้วอาจารย์เขาด่าถูก เพราะคุณเอาคนเก่งไปหมด เอาคนห่วย ๆ มาสอนรุ่นน้อง แล้วรุ่นน้องจะออกมาดีได้อย่างไร ? คนเก่งของเราไปเรียนหมอ เรียนวิศวะฯ กันหมด คนที่เอ็นท์ฯ ไม่ติดที่ไหนก็ไปเข้าวิทยาลัยครู

บ้านเรากลายเป็นว่าครูเป็นอาชีพเหลือเลือก จะหาเก่งจริงก็ยาก คนที่เก่งจริงก็เหลือทนกับระบบห่วย ๆ จึงออกไปเป็นติวเตอร์กันหมด แล้วจะไปโทษได้อย่างไรว่า เอ็นทรานต์เมื่อไรก็มองแต่สวนกุหลาบ เทพศิรินทร์ ก็เพราะว่าโรงเรียนทั้งหลายเหล่านั้นเขามีศักยภาพ ถึงเวลาก็จ้างอาจารย์ดี ๆ มาสอน

ระบบของเราควรจะเริ่มต้นใหม่ ควรตั้งเงินเดือนครูให้สูง แบบเกาหลีใต้เงินเดือนครูสูงที่สุด ไม่ว่าคุณจะเป็นหมอ เป็นวิศวะฯ เป็นอะไรเงินเดือนต่ำกว่าครูทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นครูบ้านเราก็ต้องขายแอมเวย์ ขายประกัน เงินไม่พอใช้ก็กู้ทุกอย่าง สหกรณ์ออมทรัพย์ครู ฝากไปกี่เดือน ๆ มีสิทธิ์กู้ ใช้สิทธิ์กู้ทุกประการเลย ถามว่าทำไมกู้เยอะแยะขนาดนั้น ? เขาจะได้ไม่โดนไล่ออก เป็นหนี้เยอะแยะไล่ออกหนี้ก็สูญสิ..! เป็นวิธีที่ดีเหมือนกัน ในเมื่อเป็นอย่างนี้จะทำให้ประชากรเราเก่งได้อย่างไร ? แม่พิมพ์ประเภทบิด ๆ เบี้ยว ๆ พิมพ์ตื้นไม่พอยังเบี้ยวอีกต่างหาก

อาตมาเองยังชื่นชมครูสมัยก่อน จบ ป.๔ แท้ ๆ สมัยนี้จบครุศาสตรบัณฑิตยังเทียบไม่ได้ เพราะว่าท่านเป็นครูด้วยจิตวิญญาณ สมัยนี้เป็นครูเพราะไม่รู้ว่าจะเป็นอะไร เอาใหม่...ต้องเริ่มตั้งแต่รุ่นของเรา อาตมาไม่ได้เขี้ยวนะ แต่ทำให้เขาดู เป็นอาจารย์ที่ไปนั่งรอลูกศิษย์เสมอ ชั่วโมงแรกเริ่ม ๐๘.๓๐ น. อาตมาไปนั่งรอตั้งแต่ ๘ โมง อ้าว..อาจารย์มาก่อนอีกแล้ว มาเช้าจัง บอกไปว่า มึงมาสายต่างหาก ถึงเวลาตรวจงานบอกเขาว่าอ่านทุกตัวจริง ๆ นะ ตอนแรกไม่มีใครเชื่อ ตอนตรวจวิทยานิพนธ์ เจออ่านทุกตัว แก้ทุกบรรทัด ร้องจ๊ากไปตาม ๆ กัน"

เถรี
21-09-2015, 18:59
พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านใดที่จองวัตถุมงคลแล้วพิมพ์ผิดกติกา กรุณาเข้าไปแก้ไขด้วย เมื่อเช้าอาตมาเพิ่งจะแบนตลอดชีวิตไปอีก ๔ - ๕ ราย ในกระทู้พระกริ่งปลดหนี้ฯ เนื้อชุบทองพ่นทราย เนื่องจากว่าเขาแจกใบแดงทิ้งคาไว้นานมากแล้ว จนจะปิดกระทู้อยู่แล้วยังไม่กลับไปแก้ไข ดังนั้นถ้าอยู่ ๆ ท่านทั้งหลายเหล่านี้เข้ากระทู้ไม่ได้ ก็ไปสมัครใหม่ได้เลย เพียงแต่อย่าใช้ชื่อเดิมเพราะชื่อเดิมโดนแบนตลอดชีวิตไปแล้ว

อาตมาไม่ค่อยโหดหรอก ใช้วิธีนี้ตลอด เปิดโอกาสให้แก้ไขเป็นเดือนก็ไม่แก้ บรรดาเจ้าหน้าที่ดูแลเว็บเขาเมตตา ลงโทษกันที ๒ อาทิตย์ ๓ อาทิตย์ แจกใบแดงแล้วก็ยังเปิดโอกาสให้แก้ตัวแล้วแก้ตัวอีก เจอเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน แบนตลอดชีวิตสถานเดียว..!

เราไม่กลัวว่าไม่มีสมาชิก เรากลัวว่าสมาชิกจะเยอะเกินไป โดยเฉพาะสมาชิกที่ไร้คุณภาพ อาตมาต้องการให้ทุกคนเป็นคนละเอียดรอบคอบมากกว่านี้ ถ้าหากว่าแค่การเขียนหนังสือ พิมพ์หนังสือ ตลอดจนการใช้ภาษาไทยของเรายังผิดพลาดและไม่แก้ไข จะไปหวังอะไรกับศีล สมาธิ ปัญญา ที่เป็นของสูงมากกว่านี้ เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่แก้ไข พร้อมที่จะจมอยู่กับกองทุกข์อาตมาก็จะบี้ให้ตายไปเลย หมดเรื่องหมดราว"

เถรี
21-09-2015, 19:02
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อเช้ามีโยมมารายงานว่า ภรรยาตั้งท้องแล้วไปให้หมอตรวจแต่ไม่เจออะไร อาตมาไม่อยากให้กังวลใจก็เลยไม่ได้พูดว่า ถ้ารออีก ๓ - ๔ วันท้องโตขึ้นมาใหม่ แสดงว่าได้ของดีแน่

ผู้หญิงที่ท้องแล้ว ท้องโตบ้างท้องยุบบ้าง เด็กที่เกิดมามักจะเป็นลูกกรอก ลูกกรอกเป็นโอปปาติกะ กึ่งผีกึ่งเทวดา เวลามาเกิดก็ต้องบอกว่ามีอาการเหมือนผู้หญิงท้องทั่วไป แต่เวลาเขาไปเที่ยวท้องแม่ก็ยุบเป็นปกติ ดังนั้น..ถ้าใครตั้งท้องลูกกรอก นอกจากชุดคลุมท้อง ยังต้องเตรียมชุดปกติไว้ด้วย เวลาลูกไปเที่ยวเราก็นุ่งชุดปกติไปเต้นระบำได้ พอลูกเขากลับมาค่อยแบกท้องต่อไป

อาตมาเจออยู่ ๒ – ๓ ราย ถึงเวลาเขาก็คลอดเหมือนคนปกติ แต่สิ่งที่คลอดออกมาคือเด็กตัวเล็ก ๆ อย่างเก่งก็ตัวเท่านิ้วชี้ ไม่มีชีวิต เป็นเพียงแต่ซากที่เป็นสัญลักษณ์เฉย ๆ ให้จัดพิธีรับขวัญเขาเหมือนกับที่รับขวัญเด็กอ่อน มีเปล มีที่นอน มีเครื่องหอม มีข้าวปลาอาหาร แล้วก็รีบถวายสังฆทานอุทิศให้เขา ไม่อย่างนั้นหมอผีจะเรียกไปใช้หมด ถ้าเราถวายสังฆทานให้ ด้วยบุญของสังฆทานจะทำให้ลูกกรอกมีอำนาจเหมือนกับเทวดา คราวนี้หมอผีหมดสิทธิ์ เพราะหมอผีเก่งแค่ไหนก็โดนเทวดาเหยียบ..!

ส่วนใหญ่แล้วลูกกรอกมาก็มักจะช่วยให้ครอบครัวนั้นเจริญ โดยเฉพาะในเรื่องของลาภผล ทำมาค้าขายหรือประกอบอาชีพอะไรก็มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง เสียอยู่อย่างเดียวว่าอายุมากน้อยไม่เท่ากัน แล้วแต่เวรกรรมของเขา ลูกกรอกบางตัวก็อยู่แค่ ๑ – ๒ ปี บางตัวก็อยู่ ๒๐ – ๓๐ ปี บางตัวไม่คลอด แต่ว่ามาวิ่งเล่นกับบรรดาพี่ ๆ น้อง ๆ ที่เป็นมนุษย์เป็นปกติ"

เถรี
21-09-2015, 19:03
"ญาติโยมหลายท่านคงรู้จักคุณพนม สุธาพจน์ พี่สาวคุณพนมคลอดลูกกรอก เก็บไว้เฉย ๆ ๒๐ กว่าปี ไม่ได้ใช้อะไรเลย เพียงแต่ว่าจัดอาหารไว้ชุดหนึ่ง พอถึงเวลาก็เรียกให้กิน ปรากฏว่าไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง พอสั่งอาหารไปวางไว้เฉย ๆ เจ้าของร้านถามว่า “คุณเลี้ยงลูกกรอกใช่ไหม ?” พี่สาวเขาแปลกใจว่ารู้ได้อย่างไร เจ้าของร้านบอกว่า “ลักษณะอย่างนี้ถ้าไม่ใช่ลูกกรอกก็กุมารทอง ถ้าเป็นลูกกรอกให้รีบพาไปหาพระที่มีความรู้ให้ท่านช่วยสงเคราะห์ให้ ไม่อย่างนั้นถ้าเจอหมอผี เขาจะเรียกเอาไปใช้”

สรุปแล้วพี่สาวของคุณพนมก็เอาลูกกรอกมาหาอาตมา ทำพิธีรับขวัญให้เสร็จสรรพ อาตมาก็ขอหวย ๒ ตัว..ออกเป๊ะเลย เป็นที่เสียดายว่าพี่สาวคุณพนมเลี้ยงลูกกรอกมา ๒๐ กว่าปีไม่ได้คิดจะใช้เลย เลี้ยงอย่างเดียว สมกับเป็นแม่จริง ๆ

ส่วนลูกกรอกที่ไม่คลอดแต่มาเล่นกับพี่น้องเลย ก็คือพี่สาวของน้ำหวาน (จิตอาภา ดีประวัติ) รายนั้นก็มาอยู่โดยที่พ่อแม่ไม่เคยขออะไรเลยเช่นเดียวกัน รู้สึกว่าคนที่มีลูกกรอกแต่ละคนช่างเป็นคนดีเหลือเกิน ถ้าเป็นอาตมาลูกกรอกมาอยู่นานขนาดนั้น รวยกว่าคุณทักษิณไปแล้ว..!"

เถรี
21-09-2015, 19:04
:4672615:เก็บตกเดือนกันยายนปี ๕๘ หมดแล้วค่ะ:4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ