PDA

View Full Version : เก็บตกงานสืบชะตาตุ๊พ่อสิงห์ วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ ๒๙ ส.ค. ๒๕๕๘


เถรี
01-09-2015, 18:41
งานสืบชะตาตุ๊พ่อสิงห์ วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ อ.ลี้ จ.ลำพูน
วันเสาร์ที่ ๒๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘


พระอาจารย์เล็ก : เมื่อสองวันก่อนเห็นยมทูตมารอ เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า “เอ๊ะ...นี่เราจะตายแล้วนะ” ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า “ถ้ามารอโยม โยมพร้อมที่จะไปหรือยัง ?” เมื่อความรู้สึกนี้เกิดขึ้น ก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อวัดท่าซุงด่าลงมาว่า “มัวแต่ห่วงแต่คนอื่นนั้นแหละ ตัวเองจะไปไหนยังไม่รู้เลย..!” จึงนึกขึ้นมาได้ว่า ถ้ากำลังใจเรายังมีอะไรยึดถ่วงแม้แต่นิดเดียว ในจังหวะสุดท้ายของชีวิต อาจจะพลาดจากพระนิพพานได้

ตัวอย่างก็คือหลวงปู่พุฒิ วัดทุ่งแก้ว (วัดมณีสถิตกปิฏฐาราม) สมณศักดิ์ของท่านก็คือพระราชอุทัยกวี หลวงปู่พุฒิเป็นอดีตเจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี ด้วยความประพฤติปฏิบัติของท่าน อย่างไรเสียก็ต้องเป็นพระอรหันต์ เข้าพระนิพพานแน่ ๆ แต่ปรากฏว่าก่อนที่จะสิ้นลมหายใจ หลวงปู่พุฒิท่านนึกขึ้นมาได้ว่า “เอ๊ะ...บัญชีของวัดยังไม่ได้มอบหมายให้ใครดูแลเลย” บัญชีทุกอย่างทำไว้เรียบร้อย แค่คิดว่าไม่ได้มอบให้ใครดูแลแค่นั้น ใจมีห่วงอยู่นิดเดียว แทนที่จะหลุดพ้นไปพระนิพพาน ก็หลุดไปอยู่พรหมชั้นที่ ๑๒ คราวนี้ก็รอไปเถอะ อีกนานเท่าไรก็ไม่รู้กว่าจะเข้าพระนิพพานได้ ?

เถรี
01-09-2015, 18:46
ดังนั้น..เมื่อมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่อาตมาเจอ ก็คือทันทีที่เห็นยมทูตท่านมายืนจังก้าอยู่ ความรู้สึกแรกก็คือ “เอ๊ะ..เราจะตายแล้ว” ก็แปลว่าใจห่างจากความตาย ไม่ได้คิดถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก ไม่อย่างนั้นความรู้สึกจะไม่เป็นอย่างนั้น ความรู้สึกจะต้องอยู่ในลักษณะพร้อมที่จะตาย แต่นั่นความรู้สึกดันบอกว่า "เอ๊ะ...เราจะตายแล้ว"...

ประการที่สองก็ คือ ไปคิดว่าถ้าเขามารับญาติโยม มีใครพร้อมที่จะไปกันบ้าง ? ถ้ายมทูตมารับนี่ถือว่าโชคดีแล้วนะ เพราะว่าลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุง ถ้ายมทูตมารับ โอกาสรอดมีเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะเรามักจะอุทิศส่วนกุศลโดยขอให้พระยายมราชเป็นพยาน อาตมาก็อุตส่าห์ไปกังวลว่าถ้าเขามารับลูกศิษย์แล้วเขาพร้อมหรือยัง ? ต้องเรียกว่าห่วงไม่เข้าเรื่อง แต่จะไม่ห่วงเลยก็ผิดวิสัย เพราะในความที่เคยเป็นผู้นำเขามาหลายชาติ แม้กระทั่งชาตินี้ ก็อดไม่ได้ที่จะไปคิดไปห่วงใย ถ้าตายตอนนั้นก็เรียบร้อยเหมือนกัน คงอีกนานกว่าจะควานหาพระนิพพานเจอ เพราะว่ายอดฝีมือระดับหลวงปู่พุฒิ วัดทุ่งแก้ว อดีตเจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี ท่านยังไปติดอยู่ที่พรหมชั้นที่ ๑๒ แล้วอาตมาเองไม่ได้เก่งอย่างนั้น ดูท่าจะไม่รอดแน่..!

เพราะฉะนั้น..เรื่องพวกนี้ญาติโยมทั้งหลายจะประมาทไม่ได้ เราจะไปคิดว่าเราเจริญกรรมฐานทุกวัน การเจริญกรรมฐานทุกวันไม่ใช่เครื่องรับประกันว่าเราจะไปพระนิพพานได้ การจะไปพระนิพพานได้อยู่ที่ใจของเราปลดวางภาระทั้งปวงได้หรือไม่ ? เราต้องถามตัวเองว่า ถ้าเราตายลงไปตอนนี้..เราพร้อมหรือไม่ ? คนที่เรารักมีไหม ? ของที่เรารักมีไหม ? ทรัพย์สมบัติของเรามีไหม ? สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้เราพร้อมจะทิ้งไปเดี๋ยวนี้เลยหรือไม่ ? อาตมารับรองว่าเจ๊งทุกราย เพราะตอนธรรมดาสามารถตอบได้..เพราะรู้ว่าต้องตอบว่าพร้อม แต่เรื่องของการปฏิบัติ ไม่ใช่รู้คำตอบแล้วจะรอด แต่อยู่ที่ใจของเราที่ต้องวางได้จริง ๆ ถ้าใจไม่พร้อมที่จะวาง ทั้งยึด ทั้งเกาะ ทั้งหน่วง ทั้งเหนี่ยว ทั้งดิ้นรนสารพัดเพราะไม่อยากตาย..ก็ไปไม่รอด...

เถรี
02-09-2015, 10:38
ญาติโยมจะเห็นได้ว่า บรรดาลูกศิษย์สายหลวงปู่หลวงพ่อเป็นจำนวนมาก ก่อนตายทุกข์ทรมานเหลือเกิน สารพัดโรครุมเร้าเข้ามา สารพัดเรื่องรุมเร้าเข้ามา เพราะเราตั้งใจว่าจะไปพระนิพพาน กติกาการไปพระนิพพานคือต้องตัดร่างกายนี้ให้ได้จริง ๆ แต่เราทำไม่ได้ ในเมื่อทำไม่ได้ ความตั้งใจจะไปซึ่งเป็นมโนสัญเจตนา ความมุ่งมั่นของใจ เมื่อเป็นเช่นนั้นเรายังไม่สามารถที่จะปลดได้ วางได้ แต่อยากจะไปพระนิพพาน ก็ต้องทรมานกันนานหน่อย บางรายทรมานดิ้นร้องโอดโอยดังไป ๓ บ้าน ๘ บ้านเลย อาตมายืนยันว่าถ้าวางได้ก็ไปเร็ว แต่ถ้าวางไม่ได้แล้วอธิษฐานขอให้ข้าพเจ้าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในปัจจุบันชาตินี้เถิด ก็ทรมานไปเถอะ..!

จงอย่าอธิษฐานแต่ปาก แต่ต้องทำให้ได้อย่างที่อธิษฐานด้วย ต้องหมั่นพิจารณาทุกวัน ๆ ให้เห็นว่าร่างกายของเรานี้เป็นทุกข์จริง ๆ ก้าวเข้าไปหาความเสื่อมสลายทุกเวลา ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการอีก ตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานที่เดียว ตัดเอาไว้อย่างนี้ คิดเอาไว้อย่างนี้ทุกวัน ถามตัวเองอยู่เสมอว่าพร้อมจะตายหรือยัง ? ตายแล้วจะไปไหน ? ให้ใจของเราตอบจริง ๆ ว่า “พร้อมแล้ว..ตายแล้วเราขอไปพระนิพพาน” อย่าตอบเพราะรู้ว่าคำตอบนี้ถูก แต่ให้ตอบเพราะจิตใจของเราพร้อมที่จะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ

เถรี
02-09-2015, 10:40
ขอฝากทุกท่านไว้ว่า อย่าเสียท่าเหมือนที่อาตมาเจอเมื่อสองวันก่อน ทันทีที่เจอยมทูต แทนที่จะดีใจว่าเราจะได้พ้นทุกข์เสียที กลับดันไปคิดว่านี่เราจะตายแล้ว แล้วถ้าไม่ใช่เรา เป็นญาติโยม ญาติโยมเขาพร้อมหรือยัง ? ถ้าตายตอนนั้นนี่เรียบร้อยจริง ๆ จึงสมกับที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านด่าลงมาว่า ห่วงใยเขาไม่เข้าเรื่อง แทนที่จะห่วงตัวเอง

ถ้าเรารักเราห่วงตัวเอง สภาพจิตของเราต้องปลดวางจากภาระทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม ถ้าหากว่าแก้ไขจนสุดกำลังกาย สุดกำลังใจ สุดกำลังสติปัญญา สุดกำลังคน สุดกำลังทรัพย์ ยังแก้ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นค่อยยอมรับว่าเป็นกฎของกรรม แต่ถ้าแก้ได้ขอให้ดิ้นสักหน่อย จะได้ไม่เสียทีที่สร้างบารมีมา อยู่ ๆ ไปยอมแพ้ง่าย ๆ รู้สึกว่าจะไม่ใช่วิสัยของพวกเรา เอาไว้แต่เพียงแค่นี้ก่อน พวกเราฟังอะไรดี ๆ จากหลวงตาวัชรชัยท่านบ้าง นาน ๆ ท่านจะได้มาสักที

เถรี
02-09-2015, 10:51
หลวงตาวัชรชัย : เมื่อคืนหลวงตาพักอยู่ที่รีสอร์ท นินทาอาจารย์เล็กอยู่ ...(หัวเราะ)... คุยกับลูกหลานเรื่องเมื่อครู่นี้ คุยกันเรื่องทุกข์ที่มาอยู่ในปัจจุบัน ทำกรรมเวรอะไรมานักหนา ทำไมต้องเอากูขนาดนี้ ก็เลยบอกเขาว่า “ก็ทำมาเอง ในเมื่อสร้างเหตุมา ผลก็ต้องรับ แล้วจะมาตัดพ้อต่อว่าอะไร” พอพูดไปแล้ว กระแสตัดไปเลย

เคยคุยกันเรื่องอารมณ์กรรมฐาน อารมณ์ทิพจักขุญาณ เล่าให้เขาฟังว่าตอนที่เราเป็นฆราวาสอยู่ นำพี่น้องปฏิบัติอยู่กลุ่มหนึ่ง ก็บอกให้เขาสังเกตว่า อารมณ์ฌานสมาบัติเป็นอย่างไร เราเข้าไปถึงอุปจารสมาธินี่ใจจะเป็นสุข เสียงก็ไม่ค่อยรำคาญ พอไปถึงปฐมฌานขึ้นไปจะตัดเสียง เสียงเขาก็ดังตามปกติแต่เราไม่ได้ยิน ก็เล่าให้ฟังว่าข้างบ้านที่สอนกรรมฐานเขาเล่นลิเกกันตั้งแต่ ๒ ทุ่มยัน ๕ ทุ่ม พอเราเริ่มคุยเขาก็เริ่มดังออกแขกกัน พอคุยไปสักประเดี๋ยว ทั้งกลุ่มสักประมาณ ๑๐ คนไม่ได้ยินเสียงเลย ก็เลยคิดว่าปีนี้เขาเลิกเร็วโว้ย เพราะไม่ได้ยินเสียง พอมาเปิดเทปฟังวันรุ่งขึ้น โห..เสียงแม่ง..ดังสนั่นยัน ๕ ทุ่ม..!

ก็เลยบอกว่า เออ...เวลาจิตเราคุยกันเรื่องธรรมะ สมัยเป็นฆราวาสก็ไม่ได้เก่งอะไรนะ จิตเข้าไปเคารพในหลวงพ่อ ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นึกถึงความตาย ศีลบริสุทธิ์ คุยกันในใจก็อิ่มเอิบเบิกบาน พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านรออยู่นะ อย่าประมาทนะ หูไม่ได้ยินเพราะใจเพลิน พอเอาเทปไปเปิดแม่ง..ดังยัน ๕ ทุ่มเลย

เมื่อคืนนี้ก็เหมือนกันนะ โชคดีมากที่อำเภอเขาจัดดนตรีอย่างดังมาก นอนอยู่ในห้องติดแอร์นี่นะลูก เตียงสะเทือนเลย แต่เราคุยกันข้างนอกไม่มีแอร์ เป็นแบบเดิม คุยกันสนุกสนาน นี่นั่งนินทาองค์นี่แหละ... (พระอาจารย์เล็ก) ว่าองค์นี้เขามาทางฤทธิ์ทางอภิญญาชัดเจน พอกระแสบอกว่าเลิกได้แล้ว เฮ้ย..กลับมาได้ยินเสียงเหมือนเดิม กระแสบอกให้เลิกแสดงว่าอารมณ์ทางโลกเขามาแล้ว ไปนอนดีกว่า มีลูกศิษย์บอกว่า ถ้าเป็นหลวงพ่อเล็กคงบอกแล้วว่าองค์ไหนบอก แต่หลวงตาบอกไม่เป็น หลวงตาบอกได้แต่กระแสตามที่ครูบาอาจารย์สอน แต่อาจารย์เล็กจะบอกได้ชัดเจน ใครบอก ใครคุม

ยกตัวอย่างนิดหนึ่งเมื่อ ๓๐ ปีก่อน ไปสอนกรรมฐานที่พุทธไชโย เอ้า..ท่านไม่ให้คุยก็ไม่คุย กระแสตัดไปแล้ว คืนไมค์ให้แล้วกัน

พระอาจารย์เล็ก : เริ่มนินทาชาวบ้าน ...(หัวเราะ)... พอเริ่มนินทาพระท่านเลยตัดกระแสไป

เถรี
02-09-2015, 18:34
พระอาจารย์เล็ก : พวกเราส่วนใหญ่แล้วตั้งใจจะไปพระนิพพานกัน แต่เราทำตัวไม่สมกับบุคคลที่จะไปพระนิพพาน ความจริงหลวงพ่อของเราอายุขัยของท่านอยู่ถึง พ.ศ.๒๕๗๙ เยอะไปไหม ? แต่ว่าท่านแบกพวกเราไม่ไหว เพราะว่าพวกเราไม่ยอมเดินกันเลย มีอะไรก็เกาะอย่างเดียว ให้ท่านแบก ในเมื่ออยู่ในลักษณะอย่างนั้น ท่านก็ต้องให้บทเรียนหนัก ๆ ว่า การที่ยึดเกาะกับสังขารร่างของท่านเป็นสิ่งที่ยึดผิด

ถ้าท่านใดที่อยู่ทันสมัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง พอทันทีที่สิ้นหลวงพ่อไป ความรู้สึกที่ชัด ๆ เลย คือ หลวงพ่อไม่ได้ไปไหน ไม่เหมือนคนที่เสียพ่อไป ก็เพราะท่านไม่ได้ไปไหนจริง ๆ ท่านไปแต่ร่างกาย สภาพจิตของท่านก็ยังคงทำภาระหน้าที่ต่อไป แต่ถ้าไม่ให้บทเรียนในลักษณะอย่างนี้ ลูกหลานจะไม่จำ แล้วก็ยังคงไปเกาะร่างกายของท่าน ยังคงเกาะผิดอยู่อีก

หลวงพ่อเราเวลาให้บทเรียนลูกหลาน ท่านไม่เคยปรานี เพราะท่านรู้ว่าถ้าใครผ่านข้อสอบนี้ได้ก็จะได้ดีไปเลย ท่านจะสับแรงสุด ๆ ทุกครั้ง ถึงขนาดเอาชีวิตของท่านเป็นบทเรียนแก่พวกเรา พวกเราส่วนหนึ่งก็ยังไม่จำ ยังไม่รู้จักวิเคราะห์แยกแยะว่า หลักการปฏิบัติในธรรมที่หลวงพ่อท่านให้มานั้น ความจริงแล้วเราจับจุดใดจุดหนึ่งเข้ามาปฏิบัติอย่างเดียวก็พอแล้ว ไม่ต้องไปควานเอาทุกเรื่องของท่าน ไม่ใช่อ่านหนังสือทุกเล่ม ฟังเทปทุกม้วน แล้วจับจุดอะไรไม่ได้สักที

เถรี
03-09-2015, 12:12
อาตมาเคยเล่าให้ฟังว่า ตัวเองตั้งใจปฏิบัติเอาแค่ปฐมฌานอย่างเดียว ชีวิตนี้ต้องการแค่นี้ ตั้งใจว่าถ้าได้ปฐมฌานเมื่อไร จะรวบรัดตัดตรงเข้าหาความเป็นพระโสดาบันเลย แต่ความที่อยากได้จนเกินไป..ทำเกิน กำลังใจไม่ตรงร่องสักที จนกระทั่ง ๓ ปีผ่านไป..เหนื่อยเต็มทีแล้ว ได้ไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ พอคิดแค่นี้ก็ลงจุดพอดีเลย

นี่คือสิ่งที่อยากจะยกเป็นตัวอย่างว่า เราจับเอาจุดใดจุดหนึ่งขึ้นมา แล้วมุ่งไปให้ถึงเป้าหมายของเรา ถ้าเราสามารถทำได้ อันดับแรก...พาตัวเราพ้นจากอบายภูมิ อันดับที่สอง...ก้าวเข้าใกล้พระนิพพานที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ อันดับที่สาม...แบ่งเบาภาระของพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่าน ไม่ต้องมาจ้ำจี้จ้ำไชสั่งสอนเรา อันดับสุดท้าย...เป็นการช่วยพยุงรักษาพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป เพราะเราปฏิบัติแล้วได้ผลจริง ๆ

ดังนั้น..จงอย่าตีอวนเอาปลาทั้งทะเล เรากินไม่หมดหรอก เอาแค่ตัวเดียว ชอบใจตัวไหนเล็งเอาไว้เลย ถ้าโยมเคยดูสารคดีสัตว์ป่าของทางด้านแอฟริกา จะเห็นว่าสิงโตก็ดี เสือชีตาห์ก็ตาม เมื่อล่าสัตว์จะพุ่งเข้าไปหาสัตว์ทั้งกลุ่มเป็นสิบ ๆ ตัว แต่สิงโตหรือเสือชีตาห์จะเล็งเอาตัวเดียว แล้วไม่เปลี่ยนเป้าเด็ดขาด เพราะสัตว์ทั้งหลายที่วิ่งอยู่สับสนไปหมด ถ้าเปลี่ยนเป้าก็จะพลาด สิงโตหรือเสือชีตาห์ไม่เคยเปลี่ยนเป้าหมาย การล่าจึงประสบความสำเร็จเกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า การแสดงธรรมของพระองค์ท่านเหมือนราชสีห์จับเหยื่อ จะเป็นเหยื่อตัวใหญ่หรือตัวเล็กก็ทุ่มสุดกำลังเหมือนกัน ดังนั้น..พระองค์จึงไม่พลาด เทศน์เมื่อไรก็มีบุคคลได้มรรคได้ผล ของพวกเราต้องเล็งเป้าให้ชัด ๆ เป้าคำว่าพระนิพพานถ้าไกลเกินไป เรามาดูแค่ศีล สมาธิ ปัญญาของเรา เลือกเอาจุดที่เรายังพร่องอยู่แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำไป อ้าว...ตอนนี้กระแสมาแล้ว ขอให้หลวงตาท่านว่าต่อ...

เถรี
03-09-2015, 12:15
หลวงตาวัชรชัย : หลวงตารับไม่ได้นะกระแสนี้ ...(หัวเราะ)... สมัยอยู่วัดด้วยกันกับอาจารย์เล็ก ก็มีอยู่สามพี่น้อง มีท่านจิตโตด้วย รู้จักกันไหม ? หลวงพ่อบอกหนึ่งก็คือหนึ่ง บอกสองก็คือสอง ถ้าใครยืนไม่ตรงแนวแม้ว่าจะเป็นพระผู้ใหญ่พวกเราก็ไประราน ท่าน ตุ๊พ่อสิงห์ประสบการณ์ท่านมีมาก่อน ท่านยังผ่อนเบาได้ พวกเราตรงเต็มที่เลย พี่น้องก็ไม่ค่อยชอบ แต่เดี๋ยวนี้ก็เข้าใจกันแล้ว ว่าวาสนาบารมีแต่ละรูปมีลวดลายต่างกัน

ท่านเล็กนี้ต้องบอกว่าชัดเจนมาตลอดในเรื่องของความเป็นทิพย์ นี่ไม่ได้รับรองใครนะ เพียงแต่พูดตามที่ผ่านมา ท่านก็พูดของท่านมาตลอด ไม่ได้เกรงใจใคร เห็นก็บอกเห็น เห็นอย่างไรก็บอกไปอย่างนั้น พระบอกอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ก็คนเขาเห็น คนจะไอก็ต้องไอออกมา ส่วนหลวงตานี่ไม่ใช่ หลวงตาจะมาทางอารมณ์สัมผัสได้บ้าง

เถรี
03-09-2015, 12:19
เรื่องเมื่อครู่ที่จะพูดแล้วก็ลืมไป คือ ที่วัดพุทธไชโยของพระอาจารย์นิภัทร ท่านตายไปหลายปีแล้ว ท่านนั้นก็กำลังแข็ง ในตอนแรกกำลังเข้มแข็งดีมาก นั่งอยู่ที่กุฏิท่าน มองไปที่เทือกเขา หลวงตามีความรู้สึกว่าต้นไม้ตรงนั้นน่าไปนั่ง เลยถามว่าต้นอะไร ท่านบอก “ไปด้วยกัน..หลวงพี่” พอไปดูท่านนิภัทรก็เรียกคนมาตอกตรงนี้ ๆ แล้วก็หันมาบอกว่า “หลวงพี่...เมื่อกี้ที่หลวงพี่ชี้มา หลวงปู่ปานท่านกวักมือเรียก ให้มึงมานี่ แล้วท่านก็บอกให้ตั้งกุฏิปักเสาตรงนี้ ๆ” ถึงไม่ได้เห็นขนาดนั้น แต่หลวงตามีความรู้สึกว่าน่าจะไปอยู่ตรงนั้น มีอะไรน่าจะไปอยู่ตรงนั้น มีอะไรน่าเข้าไปอยู่ ก็ทำได้แค่นี้

แต่ถ้าอารมณ์ธรรมะ อารมณ์พูดอะไรออกไปตามกฎธรรมดาก็พอได้ พอสัมผัสได้ แต่ว่าจะเอาจริง ๆ แล้วต้องฟังท่านนี้พูดต่อ ...(พระอาจารย์เล็ก)...

เถรี
03-09-2015, 12:30
พระอาจารย์เล็ก : คำว่า “พอได้” ของหลวงตานี่สร้างอาตมาขึ้นมาทั้งคน ตั้งแต่ก่อนบวชจนกระทั่งบวชแล้ว ๕-๖ พรรษาแรก อาตมาอาศัยหลวงตาวัชรชัยท่านมาตลอด

การปฏิบัติกว่าจะมั่นคงและชัดเจนได้ต้องหกล้มหกลุก ผ่านประสบการณ์มามากต่อมากด้วยกัน ในส่วนของการรู้เห็น ไม่ใช่การได้มรรคผล หลังจากที่เขี้ยวชนเขี้ยว จนกระทั่งพี่น้องเขาเบื่อหน้ากันทั้งวัดแล้ว พวกเราก็สรุปได้ว่า “ใครวางก่อน..สบายก่อน”

การรู้เห็น..เรื่องของฤทธิ์เรื่องของอภิญญา ไม่ได้เกี่ยวอะไรของมรรคผลเลย จะเกี่ยวอยู่อย่างเดียวก็คือว่า อาศัยสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเพื่อให้ได้มรรคผล แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่ใช่ไม่มีผลเลย อาตมาถึงได้ชื่นชมตุ๊พ่อสิงห์มาตั้งแต่แรกจนถึงทุกวันนี้ เพราะว่าตุ๊พ่อท่านเย็นโดยธรรมชาติ เข้าใจคำว่าเย็นโดยธรรมชาติไหม ? พวกเราตั้งแต่รู้จักตุ๊พ่อมา มีใครเห็นท่านโกรธบ้าง ? ถ้าใครเคยเห็นนี่โชคดีจริง ๆ อาตมายังไม่เคยได้เห็นเลย

นี่คือลักษณะของคนที่มีธรรมะอยู่ในใจ ท่านจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นไปโดยธรรมชาติเองแล้ว แต่ว่าพวกเรานี่ต้องพยายามทำให้มี พยายามทำให้เกิด กว่าจะแผ่เมตตาได้ต้องเข้าสมาธิ กดโทสะกันแทบเป็นแทบตาย กว่าโทสะจะยอมสงบลงแล้วแผ่เมตตาได้ แต่อย่างของตุ๊พ่อสิงห์นี่ท่านไม่ต้อง ท่านเป็นโดยธรรมชาติ ท่านมีเมตตาให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย โดยเฉพาะบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายโดยเสมอหน้ากัน

นี่คือสิ่งที่อยากให้พวกเราแยกแยะให้ออก พระพุทธเจ้าถึงไม่สนับสนุนให้พระภิกษุแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เพราะว่าถ้าเราไปติดตรงฤทธิ์ตรงปาฏิหาริย์เมื่อไร โอกาสที่จะเข้าถึงมรรคผลของเราจะหมดไปทันที เนื่องจากว่าเราไม่ได้เคารพพระรัตนตรัยจากใจจริง แต่เราไปยึดอยู่ตรงฤทธิ์ตรงเดชนั้น ในเมื่อเราเข้าไม่ถึงคุณพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง โอกาสที่จะได้มรรคได้ผลก็ไม่มี พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ห้ามไว้

ถ้าหากว่ารู้จริง สามารถใช้เสริมกำลังใจให้กับบุคคลไหนได้ก็ใช้ไป แต่อย่าไปบอกเขา ขณะเดียวกันถ้าไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับมรรคกับผล ที่เกี่ยวกับการรักษาศรัทธาญาติโยมแล้ว เราขืนใช้ไปเมื่อไรท่านปรับโทษ แล้วเป็นการปรับโทษที่ไม่ได้ระบุด้วยว่าโทษเท่าไร สามารถปรับได้ตั้งแต่ต่ำสุดยันสูงสุดเลย

เถรี
03-09-2015, 19:30
เรื่องของการศึกษาพวกนี้ในสมัยที่อยู่วัดท่าซุง อาตมาก็ได้อาศัยหลวงตาวัชรชัย เพราะว่าท่านเป็นรุ่นพี่ เวลาพวกเรามีอะไรสงสัย พวกเราก็จะไปถาม ช่วงค่ำพอเลิกกรรมฐานแล้ว ประมาณทุ่มครึ่ง สถานที่เป็นสโมสรของพวกเราเลยก็คือใต้หอระฆัง หน้าร้านป้ากิมกี มีอะไรสงสัยข้องใจก็ไต่ถาม หลวงตาท่านก็จะอาศัยกระแสที่ท่านบอกไม่ชัดเจนนั่นแหละ แต่ใส่มาเป๊ะ ๆ ทุกที แล้วพวกเราก็ได้อาศัยเป็นหลักการปฏิบัติ เพราะว่าจะไปสอบถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อโดยตรง พวกเราก็ไม่มีโอกาสที่จะทำอย่างนั้นได้บ่อยนัก

ในส่วนที่หลวงตาท่านบอกว่าไม่ชัดเจนนั้น บางสิ่งบางอย่างที่ท่านแนะนำในเรื่องของอดีตเจ้าอาวาสของวัดท่าซุง ท่านนั้นเป็นอย่างนั้น ท่านนี้เป็นอย่างนี้ พอพวกเราเข้าไปกราบทำความรู้จัก ก็ปรากฏว่าเป็นไปตามที่หลวงตาท่านบอกไว้ทั้งหมด ในส่วนนี้แหละที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกพวกเราว่า มโนมยิทธิต้องเชื่อความรู้สึกแรก ไม่ใช่ตาเห็น แต่ถ้าเราทำไปเรื่อย ๆ ใครวิสัยเดิมมา มีกสิณกองใดกองหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องด้วยทิพจักขุญาณมา จะมีความชัดเจนขึ้น อันนั้นเป็นวาสนาบารมีเฉพาะตัว แต่การเชื่อความรู้สึกแรกนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าเราไม่เชื่อความรู้สึกแรกนี้ เอ๊ะ..เมื่อไร เดี๋ยวก็มีการปรุงแต่งเพิ่มแล้วจะพลาด ซึ่งตรงจุดนี้หลวงตาท่านมีประสบการณ์มากกว่า ท่านให้คำแนะนำสั่งสอนมา

เราที่เป็นลูกศิษย์ อย่ายินดีแค่สิ่งที่อาจารย์บอก ต้องพยายามทำให้เกินนั้นหรือทำให้มากกว่าถึงเป็นสิ่งที่ดี เพราะว่าถ้าเรายินดีแค่สิ่งที่อาจารย์บอก แต่เราไม่สามารถถ่ายทอดได้เท่ากับอาจารย์ รุ่นหลัง ๆ ไปก็จะตกต่ำลงไปเรื่อย เมื่อเป็นเช่นนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องฝึกฝนให้เกิดความคล่องตัวให้มากเข้าไว้ และอย่าลืมว่าเรื่องของพระนิพพานเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของเรา ต่อให้ฝึกฝนอะไรมาก็ตาม อย่าทิ้งเป้าหมายของพวกเราเป็นอันขาด

เถรี
04-09-2015, 18:21
ตุ๊พ่อสิงห์ : ตุ๊พ่อขอกล่าวเรื่องวัดวาให้ฟังสักครู่หนึ่งนะ พระเดชพระคุณองค์หลวงพ่อให้ตุ๊พ่อมาอยู่ที่ถ้ำป่าไผ่ สั่งว่า “อาจารย์สิงห์อยู่ที่นี่ ตายที่นี่ ไม่ต้องไปไหนต่อไปอีกแล้ว” แล้วก็มีภาพนิมิตเกิดขึ้นมาว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อเคยบำเพ็ญกุศลมา ๑๖ อสงไขย แต่ว่าเมตตาจิตระดับสุดท้ายขององค์ท่าน คือเมื่อองค์ท่านฉันบิณฑบาต ท่านจะฉันไม่หมด จะเหลือค้างจานไว้ เเล้วนำไปเกลี่ยให้สัตว์ในน้ำกิน ผลบุญอันนั้นได้รวมตัวกันกลับกลายมาเป็นกระสวยก้นแหลม คล้ายห่อขนมก้นแหลมจำนวมมาก เเละได้ไหลมารวมตัวกัน จนมีลักษณะคล้ายภูเขาย่อม ๆ ลูกหนึ่ง อยู่ในถ้ำป่าไผ่แห่งนี้

องค์หลวงพ่อประทับยืนอยู่ที่บนปากปล่องถ้ำ ตุ๊พ่อยืนอยู่ข้าง ๆ องค์ท่าน ท่านได้ชี้มือมาที่กองบุญนั้น ร่างของตุ๊พ่อก็ได้ลอยลงมาตามมือชี้ เเล้วก็ลอยประทักษิณกองบุญนั้น ๓ รอบ เเล้วก็ได้เอาธงสีเทาผืนหนึ่งปักลงตรงกลางภูเขาลูกนั้น เเล้วก็สะดุ้งตื่นจากความฝัน ซึ่งปัจจุบัน ตุ๊พ่อได้สร้างพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมขึ้นประดิษฐานไว้บนกองบุญนั้น แล้วก็ประดับธงชาติ และธงธรรมจักรเเบบถาวรไว้ข้าง ๆ องค์พระ เเล้วก็ได้มาอยู่มาเป็นประธานในการพัฒนาถ้ำ ก็ได้รับความร่วมมือจากชาวบ้านด้วยดีตลอดมา

แต่ชาวบ้านเขาบอกว่าภูเขาลูกนี้ก็ดี ผืนแผ่นดินนี้เป็นของเขา เขาไม่ให้ เขาฟ้องร้องมาตลอด ตุ๊พ่อสู้ความมา ๑๐ กว่าปี หมดไปคงจะเฉียด ๆ ล้านแล้ว ที่ต้องหาค่าจ้างทนายคนแล้วคนเล่ามาช่วย เราหลุดไปครั้งที่ ๑ เขาบอกว่าเป็นที่ป่าช้า ที่ป่าสงวน ที่ดินจังหวัดเขามายืนยันว่าหลักฐานเรามี จะส่งไปให้ที่ดินอำเภอว่าเพิกถอนไม่ได้ ถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่างแล้ว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปนะตุ๊พ่อ..สบายแล้ว

คนเขาก็ฟ้องซ้ำอีกทีว่าหลักฐานออกมาโดยไม่ชอบ..ก็สู้กันอีก เก็บหอมรอมริบเอามาทั้งหมด ไถเอาเงินวิหารทานมาจ่าย จำเป็นต้องจ่ายก็ต้องจ่ายนะ เขาบอกว่าจะให้เสร็จที่นี่หรือเสร็จที่ศาล บอกว่าเสร็จที่นี่ก็ได้ เรื่องคดีตุ๊พ่อไม่อยากขึ้นศาล เขาก็บอกว่าที่ดินนี้นะ ออกมานานแล้วตั้งแต่ปี ๒๕๑๘-๒๕๑๙ หมดอายุความ..ฟ้องไม่ขึ้น ก็รอดมาอีกครั้ง...

ทีนี้เขาก็อยากจะได้ถ้ำอีก ฟ้องร้องจะยึดถ้ำให้ได้ บอกว่าที่ผืนนี้เป็นที่ป่าช้า เขาก็มายึดเอา ทาง สปก.เขาให้ส่งเอกสารคัดค้านไปให้เขาภายใน ๑๐ วัน คัดค้านฟ้องศาลไป จากนั้นเขายอมแพ้ เขาบอกไม่ต้องฟ้องแล้ว เพราะไม่ใช่ที่ของ สปก. ตุ๊พ่อก็เลยต้องไปพึ่งสมเด็จพระเทพฯ พึ่งนายกรัฐมนตรี ทุ่มเงินไป วิ่งไปวิ่งมาเข้าวังไปหลายครั้งแล้ว

ตอนนี้เมื่อวานซืน ที่ดินก็มาบอกว่าที่ดินของวัดมี ๗ ไร่กว่า...แค่นี้ แล้วเขาก็ทำเนื้อที่ของเราหายไปหมด แทบจะไม่มีที่ให้ดิ้นเลยลูก ตุ๊พ่อก็ว่า เอ๊…มันไม่ถูกนะ ก็ต้องสู้กันใหม่ ทางสำนักที่ดินก็ดี สำนักพุทธฯ ก็ดี ก็มาดูที่ เราบอกว่าเราประกาศเป็นวัดไปแล้วนะ เนื้อที่ ๗ ไร่ตุ๊พ่อสร้างวัดถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ตามธรรมดาไม่มีใครเพิกถอนได้หรอก ตุ๊พ่อก็สู้ต่อ แต่ว่ากระเป๋ามันแห้งลูก แต่ว่าตุ๊พ่อก็ฝันนะลูกนะ ฝันว่าขึ้นภูเขาสูง ขึ้นไปโต๋เต๋ ๆ แรงหมด แต่มีท่านอาจารย์เล็กมาแตะหลัง ตุ๊พ่อก็มีแรงไปลิ่ว ๆ ก็คิดว่าองค์นี้แหละจะมาช่วยพ่อ ...(หัวเราะ)...

เถรี
04-09-2015, 18:32
ตุ๊พ่อเลยขอแรงขอแบ่งบารมี เรื่องที่ธรณีก็ดี วัดก็ดี ไหน ๆ ขอให้รักษาสมบัติของพ่อเราไว้ให้ได้นะ สู้ให้ได้ มันเตะแล้วเตะอีกนะลูกนะ ไม่มีอะไรจะเหลือแล้ว โห...สู้กับพวกพลังประชาชนนี่ ผู้ว่าราชการก็เป็นของเขา นายอำเภอเป็นของเขา สำนักพุทธฯ จังหวัดเป็นของเขาหมด ยกมือกัน พระเราไป ๔ รูป บอกว่าพระไม่มีหน้าที่ออกเสียง สู้ความมาหลายหนแต่กลับไม่มีสิทธิ์ออกเสียง มีแต่พวกเขาที่ออกเสียงได้ พอเขายกมือพรึ่บก็เป็นของเขาหมดเลย

ที่ดินบนเขาตุ๊พ่อขอตามขั้นตอนแล้วนะ ขอทางบ้านเมือง ขอให้ผู้ว่าฯ เป็นประธานในการก่อสร้างให้ ขอให้เจ้าคณะจังหวัดเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ มีท่านผู้หญิงประไพ ศิวะโกเศศ ต้นห้องของในหลวงเป็นที่ปรึกษา แล้วนี่ชาวบ้านปลุกระดมกันใหม่อีกแล้ว ตะโกนบอกว่า "ไอ้สิงห์ออกไป..เอาถ้ำกูมา" จุดประทัดตูมตาม แล้วยิงปืนไล่กันเหมือนไล่จับผู้ร้าย ตุ๊พ่อก็ต้องหลบอยู่ในห้องสิลูก นี่ก็เป็นปัญหาที่ว่าเราเกิดมาใช้กรรมเน้อ ตุ๊พ่อเคยปากไม่ค่อยดี ชอบทะเลาะชาวบ้าน..เป็นปัญหาใหญ่

เถรี
04-09-2015, 18:41
พระอาจารย์เล็ก : เอ้า..มาช่วยกันบริจาคค่าทนายให้ตุ๊พ่อสิงห์หน่อย ความจริงแล้วโดยกฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่า ห้ามบุคคลใดบุคคลหนึ่งยกความขึ้นสู้เรื่องที่ดินกับวัด เพราะฉะนั้น..จริง ๆ แล้วเราสามารถฟ้องนายอำเภอ ผู้ว่าฯ จนกระทั่งถึงเจ้าหน้าที่ระดับล่างสุด ว่าเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบได้ แต่ว่าตุ๊พ่อสิงห์ท่านเป็นคนรักสงบจนเกินไป ถ้าเป็นอาจารย์เล็กนี่ไล่เตะยันอำเภอไปแล้ว..!

ในเมื่อตุ๊พ่อท่านรักสงบ เขาว่าอะไรก็ว่าตามเขา เหมือนอย่างกับว่าเขาเมตตาเหลือให้เท่าไรก็เอาแค่นั้น ถ้าไม่เหลือไว้ให้เลยก็พร้อมที่จะย้ายวัดอีกต่างหาก ก็เลยกลายเป็นว่าเสียท่าเขาอยู่ตลอด เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เราต้องยอมรับว่ากรรมเก่าของเราเคยทำมา เคยเบียดเบียนเขามา ถึงเวลาเขาก็มีโอกาสที่จะทวงคืนได้

ดังนั้น..ที่หลวงตาวัชรชัยท่านบอกว่า “ก็เราทำเอาไว้” คำนี้จริง ๆ แล้วลึกซึ้งกินใจและความหมายกว้างไกลมาก ถ้าโยมทั้งหลายเข้าใจยถากัมมุตาญาณตัวนี้ สามารถที่จะปล่อยวางได้ การเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าเป็นของง่ายนิดเดียว เพราะว่าพระอริยเจ้า ก็คือผู้ที่ ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์ ปล่อยวางภาระทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม แต่การยอมรับกฎของกรรมก็อย่างที่ว่า ดิ้นจนสุดกำลังก่อน ไม่อย่างนั้นแล้วบางอย่างพอที่จะสู้ได้แล้วเราไม่สู้ นั่นถือว่าไม่มีปัญญา

เถรี
04-09-2015, 18:47
หลวงตาวัชรชัย : ลูกศิษย์รุ่นหลังหรือว่ารุ่นกลาง ๆ หรือว่ารุ่นน้องที่ถ้ำป่าไผ่ อาจจะไม่รู้ความจริงเรื่องตุ๊พ่อสิงห์ เดี๋ยวจะนินทาให้ฟัง พวกเรารู้ไหมว่า ตุ๊พ่อสิงห์เป็นครูมโนมยิทธิคนแรกของวัดท่าซุงนะ ตอนที่ตุ๊พ่อยังเป็นฆราวาสนะลูก หลวงพ่อฤๅษีตามตัวตุ๊พ่อสิงห์มา นี่นินทาแล้ว บอกความจริงนะ..ไม่ได้นินทา เอาเป็นว่าตอนพระคุณหลวงพ่อฤๅษีท่านยังไม่ได้สอนมโนมยิทธิแบบที่เราสอนกันตอนนี้ หลวงพ่อเอาตุ๊พ่อสิงห์ไปเป็นประจักษ์พยานว่า แม้ฆราวาสก็ทำมโนมยิทธิ ทำทิพจักขุญาณให้เกิดได้ ตุ๊พ่อนี่เป็นคนสอน สอนในโบสถ์ หลวงตาเป็นลูกศิษย์รุ่นแรกของตุ๊พ่อ ยังเป็นฆราวาสอยู่สมัยนั้น สอนในโบสถ์เลย พุทโธ เมนาโถ เมนาถัง ฯ

พระอาจารย์เล็ก : กัมมัฏฐานะ กัมมัฏฐานัง ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระกัมมัฏฐานทั้งหลาย ด้วยใจตั้งมั่นฯ ...(หัวเราะ)... รุ่นหลังนี่ไม่เคยได้ยิน

เถรี
04-09-2015, 18:51
หลวงตาวัชรชัย : เวลาไปได้นี่ต้องหงายท้องนะลูกนะ ต้องล้มลงไปแล้วจิตจะออกจากร่าง ใส่หน้ากากด้วย โห...หลวงตาเห็นแล้วหลวงตาไม่อยากไปเลยในตอนแรก พอได้ยินว่าโยมเขาไปได้ คือพื้นโบสถ์นี่มันแข็งนะ แล้วล้มดังปังไม่กระดิกเลย ล้มไปเฉย ๆ แล้วเงียบไปเลย ไม่ใช่สลบนะ หลับแล้วไปทั้งตัว พอตื่นขึ้นมาครูบาอาจารย์มีหลวงพ่อ มีตุ๊พ่อสิงห์ตอนนั้นยังเป็นฆราวาส ก็จะถามไปอย่างไรมาอย่างไร ก็มีคนเข้ามาเรียนกันเยอะแยะ หลวงตาไม่ได้เลยนะ กลัวหัวแตก เสียงมันแน่นนะ เสียงหัวคนล้มลงไปฟาดกับพื้นหิน แต่ไม่มีใครเจ็บมีบาดแผลนะ

เถรี
05-09-2015, 19:04
ทีนี้เล่าเกร็ดให้ฟังเรื่องหนึ่ง คุณชอ (อัญชัญ ศุทธรัตน์) หรือคุณเชิญ (อัญเชิญ มณีจักร) น่าจะพี่เชิญ..พี่คนโต เขาเป็นครูฝึกมโนมยิทธิคนสำคัญของวัดท่าซุงในกาลก่อน ครั้งนั้นฝึกตอน ๒ ทุ่มแล้ว ผู้หญิงเขากลัวโป๊ เพราะแต่งชุดกระโปรงมา แกกลัวหงายล้มแล้วจะไม่สุภาพ แกก็เตรียมมาอย่างดี นุ่งกางเกงนอน เอายางรัดขามาอย่างดี แล้วก็นั่งฝึกมโนมยิทธิ แต่ไปไม่ได้

มีอยู่วันหนึ่งแกบอกไม่เอาแล้ว นั่งเฉย ๆ ดีกว่า นุ่งกระโปรงมาเลย แกก็บอกขอโทษนะ..กางเกงในไม่ได้ใส่ กะว่าไม่ไปแน่ แต่ดันไปได้ ล้มแล้วไปเฉย ๆ เลย

ตุ๊พ่อสิงห์เป็นครูมโนมยิทธิ ครูทิพจักขุญาณคนแรกของวัดท่าซุง ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านสอนของท่านอยู่แล้ว แต่ว่าท่านเอาไว้เป็นพยาน เป็นกำลังใจให้คนรุ่นต่อมาได้เห็นว่า แม้แต่ฆราวาสก็ไปได้ ไปได้เก่งกว่าด้วย องค์นี้แหละ

หลังจากนั้นหลวงตาก็ไม่ได้เจอตุ๊พ่ออยู่นาน ท่านออกมาสร้างโน่นสร้างนี่อยู่ตรงนี้ แล้วถึงเวลาพ่อท่านไปเราพี่น้องก็เจอกัน อันที่จริงหลวงตาเป็นลูกศิษย์ของท่าน เป็นลูกศิษย์ตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาสด้วยกัน ก็ให้รู้ไว้ นินทาให้ฟัง ท่านมาอยู่ด้วยงานพระศาสนาจริง ๆ อยู่อย่างถูกต้องตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านรับรองจริง ๆ พี่น้องที่ไม่เข้าใจตุ๊พ่อก็ให้เข้าใจ แต่ว่าตุ๊พ่อท่านสุภาพเกินไป ไม่ค่อยสู้เขา สู้ก็สู้อย่างสุภาพ เขาก็ขย่มอกเอาได้นะ ถ้าเป็นอย่างหลวงตากับท่านเล็กนี่ไม่เหลือหรอกลูก ...(หัวเราะ)...

เถรี
05-09-2015, 19:09
พระอาจารย์เล็ก : ตุ๊พ่อท่านเคยปรารภว่าเกิดมาอาภัพ มีโอกาสอยู่กับครูบาอาจารย์น้อย เพิ่งบวชได้ ๒ พรรษา ครูบาอาจารย์ก็สั่งให้ออกมาอยู่ข้างนอกเสียแล้ว เพราะฉะนั้น..รุ่นหลัง ๆ ในวัดท่าซุงส่วนใหญ่จะไม่รู้จักท่าน แต่รุ่นของพวกอาตมานี่บังอาจมากนะ สมัยก่อนพวกเราเรียก "หลวงพี่สิงห์" กัน เรียกหลวงพี่กันมานานมากเลย นานจนกระทั่งต่างคนต่างออกไปอยู่ข้างนอกแล้ว ท่านก็อายุกาลพรรษามากขึ้นทุกที เห็นว่าบรรดาลูกศิษย์ก็เรียกตุ๊พ่อ ๆ กัน ก็เลยเรียกตามลูกศิษย์ไปด้วย จะได้กลมกลืนกันไป

อยากจะบอกว่าในสิ่งที่ท่านทำมานั้น ท่านทำมาก่อนและทำมาด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง จะได้เห็นว่าแต่ละคนนั้นสร้างบารมีมาไม่เหมือนกัน พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า แนวการปฏิบัติมี ๔ สาย คือ ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติก็ลำบาก บรรลุก็ยาก ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติลำบากแต่บรรลุง่าย สุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติสบายแต่บรรลุยาก สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติสบายและบรรลุง่าย

สายมโนมยิทธิของหลวงพ่อวัดท่าซุง จัดอยู่ในพวกสุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ก็คือปฏิบัติสบายแล้วก็บรรลุง่าย แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ร้อยละเกิน ๙๐ ในปัจจุบัน เอาสิ่งที่มีคุณค่ามหาศาลที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านสอนไว้ไปใช้ผิด หลวงพ่อท่านต้องการให้เรารู้จักพระนิพพานได้ ไปพระนิพพานตรง ถ้าคุ้นชินกับอารมณ์พระนิพพานแล้ว นำลงมาปฏิบัติต่อข้างล่าง สภาพจิตของเราเมื่อเคยชินมาก ๆ เข้า จะเกิดการตัดละโดยอัตโนมัติโดยเจโตวิมุติ จะทำให้เราเข้าสู่พระนิพพานได้ง่ายที่สุด

เถรี
05-09-2015, 19:12
ขณะเดียวกันสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นของแถมมา จะเป็นระลึกชาติก็ดี รู้ว่าใครก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วไปไหนก็ตาม สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ท่านให้รู้เพื่อที่จะได้เข็ด รู้เพื่อจะได้ละ ได้วาง ว่าชาติแล้วชาติเล่าเรามีแต่ความทุกข์อย่างนี้ พอกันสักทีหรือยัง ? แต่ปัจจุบันที่อาตมาเห็นอยู่ ส่วนใหญ่พอได้แล้วก็ไปสนุกสนาน ดูว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้นกับเรา คนนี้เป็นอย่างนี้กับเรา แทนที่จะเข็ดจะหลาบ ก็กลับไปยึด ไปฟื้นความสัมพันธ์ขึ้นมาใหม่ อาตมาเคยบอกแล้วว่า ระวัง...แทนที่จะว่ายน้ำขึ้นฝั่งได้ ก็กลับจะกอดคอกันตายทั้งพรวน นี่คือสิ่งที่อยากจะตักเตือนเอาไว้

อาตมาเองตัดตัวเองออกไปเลย ตั้งแต่ออกจากบ้านสายลมแล้วไม่สอนใครเลย เพราะว่าตัวเองยังไปยึดไปติดอยู่ตั้งหลายปี เกรงว่าลูกศิษย์จะไปติดแล้วเสียเวลานาน ดังนั้น..ในส่วนนี้ที่ตุ๊พ่อก็ดี หลวงตาวัชรชัยก็ดี ท่านสอนมา และมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ท่านเห็นควรที่จะแนะนำ ก็จะถวายภาระหน้าที่ในการแนะนำแก่ท่าน เพื่อที่พวกเราจะได้แนวทางที่ถูกต้องและสะดวก ตลอดจนกระทั่งง่ายแก่การปฏิบัติด้วย

เถรี
05-09-2015, 19:17
ตุ๊พ่อสิงห์ : ชื่นอกชื่นใจ ที่ทั้ง ๒ ท่านได้มาช่วยเหลือ ได้มาสงเคราะห์เป็นประธานในการทำบุญครั้งนี้เน้อ ท่านแนะนำลูกศิษย์หลวงพ่อให้มารู้จักว่านี่ตุ๊พ่อสิงห์เน้อ แล้วก็มีท่านอาจารย์เอกที่พาตุ๊พ่อไปแจกของที่เมืองใต้ตั้งหลายครั้ง ก็เลยได้รู้จักลูกศิษย์ลูกหาหลวงพ่อเพิ่มขึ้นมา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็พระอาจารย์เล็กของเรา ท่านสงเคราะห์หนี้สินของตุ๊พ่อ ทีแรกถูกเขาต้มเงินไป ๑,๓๖๐,๐๐๐ บาท ไม่รู้จะหาที่ไหน พยายามช่วยตัวเองไป จนใกล้อายุจะหมด จะตายแล้ว ก็ทำพระชำระหนี้สงฆ์ไว้ ๑ องค์ แล้วก็ไปนิมนต์ขอพระอาจารย์เล็กมาช่วย ท่านก็เอากฐินมาให้ได้ ๑,๘๐๐,๐๐๐ บาท ปลดหนี้หมดไป โห...ท่านมาสองครั้งปลดหนี้ให้ตุ๊พ่อหมดเลย เป็นความอัศจรรย์จริง ๆ เน้อ

เถรี
05-09-2015, 19:22
แล้วก็มีอีกเรื่องหนึ่งนะ เป็นคติสอนใจพวกเรา ที่วัดท่าซุงมีหมาตัวหนึ่งชื่อ "เจ้าดม" เขารักหลวงพ่อมาก เวลาหลวงพ่อไปรับแขก เขาก็อยู่ใต้ที่นั่ง เวลาหลวงพ่ออยู่ในห้องก็นอนขวางเฝ้าประตู รักมาก ๆ พอหมาตัวนี้ตายนะ พระเดชพระคุณองค์หลวงพ่อก็ถวายผ้าไตรให้พระวัดท่าซุงทุกรูป รูปละ ๑ ไตรแล้วก็เงิน ๕๐ บาท เงิน ๕๐ บาทสมัยนั้นใหญ่นะ แล้วท่านก็บอกว่า “เออ...เจ้าดมนะ เป็นหมาที่มีบุญนะ มีสังฆานุสติกรรมฐานมาก พอตายไปแล้วไปพรหมโลกนะลูก พวกเธอทั้งหลายอย่าให้อายหมาก็แล้วกัน”

ตุ๊พ่อยังอายเลยนะ ยังเซนะลูก เดี๋ยวก็โทรทัศน์ เดี๋ยวก็ทีวี อะไรต่ออะไร แหม...เซไปเซมา เรายังไม่ได้รักหลวงพ่อตลอด ๒๔ ชั่วโมงเหมือนหมา เจ้าดมนี่นะ..รักจริง ๆ หลวงพ่อบอกว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง

เพราะฉะนั้น..พวกเราทั้งหลายรักอะไรก็รักได้ แต่อย่าลืมรักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่าลืมรักองค์หลวงพ่อครูบาอาจารย์ของเราเน้อ ทุก ๆ รูปอย่างอาจารย์สมปองก็ดี อาจารย์เล็กก็ดี อาจารย์วัชรชัยนี่ก็ดี ที่วัดท่าซุงก็ดี หัวใจเราอยู่ที่เดียวกันนะ เพราะว่าอยู่ที่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีองค์หลวงพ่อเป็นที่สุดเหนือจิตใจพวกเราทุกคน

เถรี
05-09-2015, 19:25
แต่ว่าบางครั้งกรรมเก่าก็เข้านะ ตุ๊พ่ออยู่วัดท่าซุงก็เหมือนกัน พระบางรูปนี่เห็นแล้วไม่ชอบ ...(หัวเราะ)... ไม่รู้เป็นอย่างไร แหม...เราก็คิดไปได้นะ ทำไมเขาคิดไม่ดีนะ ไม่ถูกชะตา พอเราคิดไปคิดมาก็คิดได้ว่า ไปคิดทำไมชั่ว ๆ แบบนี้นะ เราเกิดมาก็ทุกข์พอแล้ว น่าจะรักกันนะ พยายามข่มใจ พยายามไปพูดจาทำดีกับท่าน

ตอนที่เราเครียด ๆ หน้าเราหมองลูก พอตุ๊พ่อทำใจแผ่เมตตา มีโยมจากกรุงเทพฯ มาถามว่า “อาจารย์สิงห์กินยาอะไรน้อ ?” ถามว่าทำไมหรือ ? “หน้าตาสดใสนะ” ...(หัวเราะ)... คนที่คิดร้ายกับคนอื่นไม่ดีลูก หน้าเศร้าหมอง ดีไม่ดีเราอาจจะตกนรกก็ได้นะ คิดว่าเอ๊...กรรมเราสร้างมา อาจจะอยู่เป็นลูกหลวงพ่อด้วยกันมาก่อน แต่ไม่ชอบกันก็ได้

เถรี
05-09-2015, 19:52
หลวงตาวัชรชัย : เดี๋ยวขอช่วยอาจารย์สิงห์หน่อยนะ เรื่องที่ว่าโกรธพระด้วยกัน ผมว่าเป็นเรื่องวาสนาของเรา ไม่ได้ว่าอาจารย์นะ ว่าหลวงตาเอง กลัวแพ้หมา คือหมานี่เวลาเขาอยู่ด้วยกัน ครอกเดียวกันนี่แหละ อยู่กับแม่ กินนมแม่ด้วยกัน มันว่างก็กัดกันเองลูก แล้วเชื่อเถอะ เราเคยเรียนวิชานักรบ เรียนวิชาการรบก็กัดกันเอง แม่ก็นั่งเฉยดูอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวมันก็เลิก แต่ไปกัดฝูงอื่นนี่ถึงตายนะลูก เพราะฉะนั้น..ที่ทะเลาะกันเองนี่พ่อท่านดูแลเราอยู่ เดี๋ยวก็เลิก เคยขัดใจอะไรกันเดี๋ยวก็หายเอง

เถรี
06-09-2015, 20:24
ตุ๊พ่อสิงห์ไปที่วัดหลวงตาเมื่อ ๓ ปีก่อน ไปแสดงมุทิตา วันนั้นตุ๊พ่อสิงห์ไปนั่งกับหลวงตาตรงที่เดินจงกรม ตุ๊พ่อสิงห์อธิษฐานให้หลวงพ่อมานั่งอยู่บนโต๊ะ นั่งทั้งองค์เลยนะ แล้วท่านก็ไปกอดแขน ถ่ายรูปติดด้วยแต่เป็นเณร ...(หัวเราะ)... เอ้า...อาจารย์เล็กหัวเราะ ให้ท่านเล่าต่อแล้วกัน

เถรี
06-09-2015, 20:31
พระอาจารย์เล็ก : เรื่องนี้ไม่ต้องเล่าหรอก เพราะว่าลักษณะอย่างนั้นใครก็กอดแขนหลวงพ่อท่านได้โดยที่ไม่โดนไม้เท้าเสียก่อน อยากจะทวนที่หลวงตาท่านเล่าเกี่ยวกับป้าชอ ป้าเชิญ พวกเราหลายคนอาจจะไม่ทัน การที่เราปฏิบัติธรรมถ้าตั้งใจมากเกินไปมักจะไม่ได้ เพราะว่าลักษณะอย่างนั้นเป็นความฟุ้งซ่าน อย่างที่อาตมาบอกเมื่อครู่ว่า ๓ ปีแล้วทำไม่ได้สักที..ได้ไม่ได้ก็ช่างมัน..โป๊ะเดียวได้เลย ก็คือเราต้องลดกำลังใจที่เกินพอดีไปจะได้เอง ตั้งใจเกินไปจะไม่ได้

ส่วนที่ตุ๊พ่อสิงห์ท่านพูดถึง "แม่ดม" แม่ดมเป็นหมาประจำองค์ของหลวงพ่อท่าน หลวงพ่อวัดท่าซุงออกรับแขก แม่ดมก็จะนั่งอยู่ข้างที่นั่งประจำ พอแม่ดมตาย หลวงพ่อท่านบอกกับลูกของแม่ดม ก็คือโคล่าว่า “โคล่า...ต่อไปนี้ทำหน้าที่แทนแม่นะ” ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา โคล่าก็มีหน้าที่ตามหลวงพ่อท่านออกรับสังฆทาน เฝ้าอยู่ด้านข้างตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายของชีวิตเหมือนกัน

ระยะท้าย ๆ โคล่าสายตาเสีย มองอะไรไม่ค่อยเห็น เดินชนไปเรื่อย แต่ก็ยังเดินไปจนกระทั่งถึงที่ แล้วก็ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป ที่ตุ๊พ่อท่านบอกว่าระวังพวกเราจะอายหมา อาตมายืนยันว่าอายมาเยอะแล้ว หมาวัดท่าซุงเก่งกว่าพระเยอะเลย โดยเฉพาะ "เจ้าทหาร" แสบสุด ๆ เป็นขี้กลาก พอถึงเวลาพระทำวัตร ถ้ารูปไหนไม่ไปทำวัตรที่นั่งจะว่าง เจ้าทหารจะไปนั่งเกาขี้กลากตรงนั้น เหมือนอย่างกับประจานว่าเป็นพระแท้ ๆ ยังขี้เกียจ สู้หมายังไม่ได้..!

เถรี
06-09-2015, 20:55
ในส่วนของมโนมยิทธิ การรู้เห็นต่าง ๆ อาตมายืนยันว่าเป็นแค่ของแถมในการปฏิบัติเท่านั้น สภาพจิตของเราถ้านิ่งพอก็เหมือนกับน้ำที่นิ่ง จะสะท้อนทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้างลงไปให้เห็นชัด แต่พอเราเห็นแล้วมักจะเสีย พวกเราเสียตรงจุดที่ว่า “เพราะเห็นเราจึงเชื่อ” คราวนี้ใครเตือนก็ไม่ฟัง..ก็กูเห็น ตรงจุดนี้เป็นจุดใหญ่ที่เสียมามากของคนฝึกมโนมยิทธิ

อาตมาไม่อยากให้ท่านทั้งหลายต้องมาเสียเวลา แบบเดียวกับรุ่นที่นั่งเป็นตัวอย่างอยู่ตรงหน้านี้ แต่ละท่านกว่าจะกว่าพ้นไปได้ ติดแล้วติดอีก เรารู้วิธีแล้ว เราสามารถก้าวพ้นไปได้ง่าย ก็อย่าฉลาดไปติดอยู่ตรงนั้น มโนมยิทธิทำให้เรารู้จักพระนิพพานได้ ไปพระนิพพานตรง การรู้เห็นทุกอย่างเพื่อยืนยันว่าทุกชาติเกิดมามีแต่ความทุกข์ ขึ้นชื่อว่าเกิดมาทุกข์อย่างนี้เราต้องการอีกหรือไม่ ? ถ้าเราไม่ต้องการ ก็ต้องตั้งเป้าในชีวิตไว้แล้วไปให้ถึง

ตุ๊พ่อท่านอายุจะ ๘๐ แล้ว หลวงตาท่าน ๗๐ กว่า อาตมาก็ใกล้ ๖๐ แล้ว อยู่บอกกล่าวพวกเราไปได้อีกไม่เท่าไรแล้ว ต้องเร่งรัด ต้องขวนขวาย มีตนเป็นที่พึ่งแห่งตน อย่างที่ตุ๊พ่อท่านบอก พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน โก หิ นาโถ ปโร สิยา คนอื่นใครเลยจะเป็นที่พึ่งของเราได้ อัตตา หิ สุทันเตนะ ตัวเราที่ฝึกมาดีแล้วนั้นแหละ นาถัง ลภติ ทุลลภัง เป็นที่พึ่งที่หาได้โดยยาก

ถ้าจะยึดคุณพระรัตนตรัยให้ยึดในความดีของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่เป็นส่วนนามธรรม พระพุทธเจ้าของเราประกอบไปด้วยคุณความดีอย่างไร ? พระธรรมป้องกันไม่ให้เราตกไปในที่ชั่วอย่างไร ? พระสงฆ์ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างไร ? ให้ยึดตรงจุดนั้นแทน อย่าไปยึดในตัวตน เพราะแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ปรินิพพานไปแล้ว ขอฝากเอาไว้แค่นี้ก่อน มีอะไรก็ฟังจากหลวงตาต่อ

เถรี
06-09-2015, 21:02
หลวงตาวัชรชัย : ยอมรับไมค์เพราะเรื่องค้างอยู่นิดหนึ่ง นึกว่าอาจารย์เล็กจะช่วยเหลือตุ๊พ่อสิงห์เรื่องกอดหลวงพ่อ หลวงตาไปปั้นรูปไฟเบอร์หลวงพ่อไว้..เหมือนมาก วันนั้นเอารูปหลวงพ่อไปบวงสรวงก็ชื่นใจมาก วางไว้ตรงหน้าโต๊ะบวงสรวง ตุ๊พ่อเห็นเข้า ก็เห็นน้ำใจตุ๊พ่อเลยวันนั้น ตุ๊พ่อเหมือนเณรเลยวันนั้น เหมือนลูกน้อยนั่งประจบพ่อ นึกว่าเณรที่ไหน ตุ๊พ่อสิงห์ท่านไปนั่งถ่ายรูป แสดงความรักที่มีต่อหลวงพ่ออยู่ตลอดเวลานั้น เดี๋ยวจะค้างใจว่าหลวงตามายกยอท่าน

เถรี
06-09-2015, 21:19
ขอเสริมของท่านอาจารย์เล็กนิดหนึ่ง เรื่องใจผ่องใสนะ หลวงตานี่ตัดพ้อตัวเองอยู่ในใจ เพราะเป็นคนที่ไม่ได้เห็นอะไรเลย ก็ถามท่านว่าการรู้การเห็นเป็นอย่างไร ? ภาพชัดกับในใจต่างกันอย่างไร ?

ตอนนั้นกำลังกวาดวัดอยู่ หลวงตาเป็นคนกวาดโบสถ์วัดท่าซุงนะ เตรียมพิธีบวชนาค รุ่นท่านเล็กนี่หลวงตาก็จัดพิธีให้ แล้วก็เป็นคนที่สวดปาฏิโมกข์ ๔-๕ ทุ่มก็ทำความสะอาดโบสถ์อยู่ วันนั้นอารมณ์ยังค้างอยู่นะ ว่าการรู้การเห็นทิพจักขุญาณเป็นอย่างไร เสียงหลวงพ่อมา วันนั้นเพิ่งได้ยินก็คราวนั้นแหละ วันนั้นท่านอยู่ไกลมาก อยู่ถึงบางขุนนนท์

เสียงเข้าไปในหัวว่า "ไอ้ควาย..ไปเอาถังตักน้ำมา" ทั้ง ๆ ยังสงสัยก็ไปตัก ก็เอาถังไปรองน้ำมา คืออารมณ์มโนมยิทธิไม่ใช่ได้ยินด้วยหูนะลูก ไม่ได้เห็นด้วยตา แต่เข้าไปในใจเหมือนท่านพูด ท่านให้เทน้ำลงไปทั้งถังบนพื้นคอนกรีตที่เดินนั่นแหละ "เห็นอะไรไหม ?" ก็เห็นคอนกรีตนั้นแหละ ท่านบอก “ไอ้ควาย..!” ท่านก็ให้ราดน้ำลงไปใหม่อีก ถามว่า "เห็นอะไร ?" "ก็เห็นน้ำ" ท่านบอก "ไอ้ควาย..!" อีกแล้ว

วันนั้นพระจันทร์ ๑๔ ค่ำพอดีนะ เห็นดวงจันทร์อยู่ในน้ำ เห็นก้อนเมฆ แล้วมองเอียง ๆ มองก็เห็นจตุรมุข ท่านบอก “เออ..จำไว้ลูก พื้นคอนกรีตซึ่งหยาบ ไม่มีความใส ไม่มีความนิ่ง ย่อมจะไม่เห็นความเป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ตามความเป็นจริง แต่ถ้าพื้นนั้นมีกระแสน้ำ เรียบ ใส พอมองลงไปอะไรที่เป็นจริงอยู่จะสะท้อนให้เห็นความจริงเสมอ มีพระจันทร์ก็เห็นพระจันทร์ จะเห็นควายบนฟ้าไม่ได้”

เห็นเฉพาะความจริงที่ตามความเป็นจริงนะลูก ไม่ใช่ภาพเฟ้อฝัน มองให้ถูกมุม ถูกแง่ อยากจะเห็นอะไรก็กำหนดจิตด้วยใจสงบ ภาพจะสะท้อนให้เห็น จำไว้ลูก ถ้าคอนกรีตมีความใส มีความสงบนิ่ง ยังสะท้อนตามความเป็นจริงได้ แล้วใจของแกทำให้สงบเหมือนน้ำได้ไหม ? อยากรู้อะไรก็กำหนดลงไป ขอให้รู้ในใจชัดเจนเหมือนภาพในน้ำ ภาพจะปรากฏ ทั้งชีวิตหลวงตาได้มาแค่นี้แหละ อธิบายจนตายก็อธิบายไม่หมด

เถรี
07-09-2015, 12:55
พระอาจารย์เล็ก : ที่ญาติโยมได้ฟังกันในวันนี้ ถ้าจับจุดได้จริง ๆ สามารถที่จะเอาไปใช้ไปได้ตลอดชีวิตเลย สิ่งที่ตุ๊พ่อท่านบอกมาก็ดี หลวงตาท่านบอกมาก็ดี ที่อาตมาพยายามสรุปให้พวกเราก็ดี เป็นส่วนที่เป็นหน้าที่ของพระ พระพุทธเจ้าฝากพระศาสนานี้ไว้กับพุทธบริษัททั้ง ๔ คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกและอุบาสิกา อาตมาอยู่ในฐานะของภิกษุ รวมภิกษุณีด้วย จัดอยู่ในส่วนของอนาคาริกะ ผู้ไม่ครองเรือน ไม่มีอาชีพ ได้รับการสนับสนุนจากปัจจัย ๔ จากญาติโยมทั้งหลายที่อยู่ในส่วนของอุบาสกอุบาสิกา ซึ่งเป็นคนทำมาหากิน สละทรัพย์สินสิ่งของที่ได้มาโดยยาก มาอุปถัมภ์ค้ำจุนต่อพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา

เมื่อพระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนามีเวลาว่างมากกว่า ปฏิบัติได้แล้วก็นำเอาสิ่งที่ตนทำได้มาบอกกล่าว คนที่ทำได้ พูดแล้วจะทำตามได้ง่าย ก็เป็นการสงเคราะห์อุบาสกอุบาสิกาที่เป็นฝ่ายอาคาริกะ คือผู้ครองเรือน มีครอบครัว มีอาชีพ มีความห่วงกังวลมาก เวลาปฏิบัติมีน้อย ก็เป็นการเกื้อกูลให้เขาทำปฏิบัติธรรมได้ง่ายขึ้น

ในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าเราตั้งใจ ต่างคนต่างทำหน้าที่ของเรา พระพุทธศาสนาก็จะมีความเจริญรุ่งเรืองมาก ไม่ต้องเกรงว่าศาสนาอื่นเขาจะมาเบียดเบียน ไม่ต้องเกรงว่าศาสนาอื่นเขาจะมารังควาน ถ้าเราทุกคนทำจนถึงระดับ สามารถเป็นทนายแก้ต่างให้กับพุทธศาสนาได้ การปฏิบัติของเรานั่นแหละจะเป็นตัวยืนยันผล ว่าพุทธศาสนาของเรามีคุณความดีอย่างไร

ดังนั้น..สิ่งที่วันนี้ได้ไป อยากจะให้ทุกท่านนำไปทบทวน สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เราฟังแล้วติดอยู่ในหู คาอยู่ในใจ นั่นเป็นสิ่งที่เรากำลังปฏิบัติอยู่เดี๋ยวนั้น สภาพจิตของเราถึงได้ยอมรับและเก็บเอาไว้ ถ้าส่วนไหนยังทำไม่ถึงหรือก้าวเลยไปแล้ว จะเหมือนกับฟังผ่านหูไปเฉย ๆ อย่าเพิ่งเสียใจ..สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะได้รับการถอดเป็นตัวอักษรและบันทึกเอาไว้ ถึงเวลาเราค่อยไปทบทวนใหม่ แล้วจะได้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ

แต่การปฏิบัตินั้นต้องทำจริงจังและสม่ำเสมอ ทำโดยพึ่งตนเองเป็นหลัก มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นหลักชัยอยู่ข้างหน้า มีแนวทางคำสอนหลวงปู่หลวงพ่อเป็นเส้นทางที่จะนำพาเราไปตรงจุดนั้น ๆ ถ้าใครสามารถทำตนอย่างนี้ จะเป็นคนมีภาระน้อย มีเครื่องถ่วงน้อย สามารถก้าวไปถึงจุดหมายได้เร็วกว่าคนอื่นเขา


พระอธิการสิงห์ วิสุทฺโธ, พระครูภาวนาพิลาศ, พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
งานสืบชะตาตุ๊พ่อสิงห์ วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ อ.ลี้ จ.ลำพูน
วันเสาร์ที่ ๒๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘