PDA

View Full Version : เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๘


เถรี
14-06-2015, 13:28
ขอให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออกให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ มีญาติโยมถามว่า ปกติภาวนาคาถาเงินล้านเป็นประจำ แต่ไม่ได้ใช้วิธีการนั่งพิจารณา หากแต่ว่าเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น ต้นไม้ ดอกไม้ แล้วพิจารณาว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทำแบบนี้จะใช้ได้หรือไม่ ? ต้องขอตอบว่าใช้ได้มากกว่าที่คิด

เนื่องจากวิปัสสนาญาณนั้น เราจะต้องกระทำจนกระทั่งเป็นธรรมชาติ คือ ไม่ว่าจะเห็นคน เห็นสัตว์ เห็นวัตถุธาตุสิ่งของใด ๆ ก็ตาม แม้กระทั่งบ้านเรือนตึกรามต่าง ๆ ก็ต้องเห็นว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ปกติธรรมดาของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นอย่างนั้น คนอื่นเป็นอย่างนั้น สัตว์อื่นเป็นอย่างนั้น วัตถุธาตุเป็นอย่างนั้น แม้แต่ตัวเราก็มีอาการเช่นนั้น ถ้าสามารถพิจารณานี้ได้ สามารถเห็นอย่างนี้ได้ ก็แปลว่าท่านทั้งหลายมีวิปัสสนาญาณที่ทรงอยู่ในใจแล้ว

เราก็แค่ต่อท้ายไปว่า ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมีสภาพเช่นนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาเพื่อมีสภาพเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเช่นนี้ เราไม่มีความต้องการอีก เราต้องการแห่งเดียวคือพระนิพพาน เมื่อพิจารณาเช่นนี้แล้ว ให้กลับไปเอาใจจดจ่ออยู่ที่พระนิพพาน ภาวนาของเราไปจนกระทั่งมีความรู้สึกว่าเต็มที่ ไม่สามารถที่จะก้าวต่อไปได้อีก ก็หันมาพิจารณาสิ่งต่าง ๆ รอบด้านเช่นนี้อีก

การเห็นทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป จัดเป็นอุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ถ้าเห็นเฉพาะความดับอย่างเดียว ว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องเสื่อมสลายตายพังไปหมด ตัวเราก็เป็นเช่นนี้ คนอื่นก็เป็นเช่นนี้ สัตว์อื่นเป็นเช่นนี้ วัตถุธาตุสิ่งของต่าง ๆ ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนี้เรียกว่า ภังคานุปัสสนาญาณ

หรือพิจารณาเห็นว่าร่างกายของเรานี้ มีแต่โทษมีแต่ภัย ก็คือ มีความหิวความกระหายเป็นปกติ จะกินจะดื่มอย่างไร ร่างกายนี้ก็ยังคงทวงอยู่ตลอดเวลา มีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นปกติ ต้องคอยประคับประคองรักษาพยาบาลเพื่อให้ดำรงขันธ์อยู่ได้ มีความสกปรกโสโครกเป็นปกติ ต้องคอยอาบน้ำชำระร่างกายอยู่เสมอ ถ้าหากเห็นดังนี้เรียกว่า ภยตูปัฎฐานญาณ เป็นต้น

เถรี
15-06-2015, 09:20
ฉะนั้น..ในวิปัสสนาญาณทั้งหลายเหล่านี้ เราต้องเห็นให้ได้เป็นปกติในชีวิตประจำวัน เมื่อสภาพจิตของเรายอมรับ ก็ให้พิจารณาต่อไปว่า ขึ้นชื่อว่าความเกิดมาเพื่อมีสภาพเช่นนี้ จะไม่มีอีกสำหรับเรา ถ้าหากว่าตายลงไป เราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว

หลังจากนั้นก็ไปพินิจพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องของศีล ว่าเรามีศีลทุกข์สิกขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์หรือไม่ ? เราล่วงศีลด้วยตนเองหรือไม่ ? ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นล่วงศีลหรือไม่ ? เห็นผู้อื่นล่วงศีลแล้วเรามีความยินดีหรือไม่ ? ทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงจัง ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ แม้ต่อหน้าหรือลับหลัง ตั้งเป้าเอาไว้ให้แน่วแน่ว่า ถ้าตายลงไปเมื่อไร เราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว เอาจิตจดจ่ออยู่ในสถานที่สุดท้ายคือพระนิพพาน

ถ้ารู้สึกว่ากระทำได้ไม่ชัดเจน ให้นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง ที่เรารักเราชอบมากที่สุด ว่านั่นคือพุทธนิมิตแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่อยู่บนพระนิพพาน เรากำหนดนึกถึงท่านได้ เราเห็นท่านได้ คือเราอยู่กับท่าน เราอยู่กับพระองค์ท่านคือเราอยู่กับพระนิพพาน แล้วภาวนาเอาใจเกาะเอาไว้เช่นนั้น ขอให้ทุกคนตั้งกำลังใจไว้ในลักษณะนี้ จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)