เถรี
20-05-2015, 13:13
ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราทั้งหมดไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าออกยาว ๆ สักสองสามครั้ง ระบายลมหยาบทิ้งให้หมด แล้วหลังจากนั้นก็ปล่อยลมหายใจให้เป็นไปตามปกติ หายใจเข้า..เอาความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ตามที่เราถนัดมาแต่เดิม จะกำหนดจุดกระทบของลมหายใจเข้าออกจุดเดียว สามจุด เจ็ดจุด หรือรู้ตลอดกองลมก็ได้
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ การปฏิบัติธรรมของเรานั้น เมื่อภาวนาไปจนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัวถึงที่สุดซึ่งเราทำได้แล้ว สมาธิก็จะเคลื่อนจะคลายออกมาเองโดยอัตโนมัติ ในช่วงนั้นเราจำเป็นต้องหาวิปัสสนาญาณให้พิจารณา ไม่อย่างนั้นสภาพจิตจะวิ่งไปหารัก โลภ โกรธ หลงเอง ถ้าถึงตอนนั้นเราจะยับยั้งได้ยาก เพราะสภาพจิตเอากำลังของสมาธิไปฟุ้งซ่านในรัก โลภ โกรธ หลง จึงมีความแรงมากเป็นพิเศษ
การที่เราจะพิจารณาวิปัสสนาญาณนั้น ส่วนใหญ่ก็เพื่อให้เรายอมรับว่าสภาพร่างกายนี้มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด จากเด็กเล็ก ๆ เป็นเด็กโต จากเด็กโตเป็นหนุ่มเป็นสาว จากหนุ่มสาวเป็นวัยกลางคน จากวัยกลางคนเป็นคนแก่ จากคนแก่เป็นคนตาย เป็นต้น
ให้สภาพจิตเรายอมรับว่า สภาพร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี สัตว์อื่นก็ดี วัตถุธาตุต่าง ๆ ก็ดี มีความทุกข์เป็นปกติ ทุกข์ของการเกิด ทุกข์ของการแก่ ทุกข์ของการเจ็บ ทุกข์ของการตาย ทุกข์ของการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ทุกข์ของการปรารถนาไม่สมหวัง ทุกข์ของการกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ เป็นต้น
เมื่อจิตใจของเรายอมรับว่าสภาพร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา ร่างกายนี้เพียงประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้เราอาศัยเพียงชั่วคราวเท่านั้น ส่วนที่แข็ง เป็นแท่ง เป็นก้อน เป็นชิ้น เป็นอัน จับได้ต้องได้ อย่างเช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ตับ ไต ไส้ ปอด อวัยวะภายในภายนอกทั้งปวง เหล่านี้เป็นธาตุดิน
ส่วนที่พัดไปมาในร่างกาย พัดขึ้นเบื้องสูง พัดลงเบื้องต่ำ ส่วนที่หายใจเข้าก็ดี หายใจออกก็ดี ส่วนที่ค้างอยู่ในช่องหู ช่องจมูกซึ่งเป็นช่องว่างร่างกายก็ดี ส่วนที่ค้างอยู่ในท้องในไส้ที่เป็นแก๊สก็ตาม เหล่านั้นเป็นธาตุลม
ส่วนที่ไหลไปไหลมา มีความเอิบอาบเคร่งตึงนั่นเป็นธาตุน้ำ มีเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี เหงื่อ ไขมันเหลว ปัสสาวะ เป็นต้น
ส่วนที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต เผาผลาญร่างกายให้ทรุดโทรมลง ช่วยในการย่อยอาหาร ทำให้ร่างกายกระวนกระวายเวลาเจ็บไข้ เรียกว่าธาตุไฟ
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ การปฏิบัติธรรมของเรานั้น เมื่อภาวนาไปจนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัวถึงที่สุดซึ่งเราทำได้แล้ว สมาธิก็จะเคลื่อนจะคลายออกมาเองโดยอัตโนมัติ ในช่วงนั้นเราจำเป็นต้องหาวิปัสสนาญาณให้พิจารณา ไม่อย่างนั้นสภาพจิตจะวิ่งไปหารัก โลภ โกรธ หลงเอง ถ้าถึงตอนนั้นเราจะยับยั้งได้ยาก เพราะสภาพจิตเอากำลังของสมาธิไปฟุ้งซ่านในรัก โลภ โกรธ หลง จึงมีความแรงมากเป็นพิเศษ
การที่เราจะพิจารณาวิปัสสนาญาณนั้น ส่วนใหญ่ก็เพื่อให้เรายอมรับว่าสภาพร่างกายนี้มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด จากเด็กเล็ก ๆ เป็นเด็กโต จากเด็กโตเป็นหนุ่มเป็นสาว จากหนุ่มสาวเป็นวัยกลางคน จากวัยกลางคนเป็นคนแก่ จากคนแก่เป็นคนตาย เป็นต้น
ให้สภาพจิตเรายอมรับว่า สภาพร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี สัตว์อื่นก็ดี วัตถุธาตุต่าง ๆ ก็ดี มีความทุกข์เป็นปกติ ทุกข์ของการเกิด ทุกข์ของการแก่ ทุกข์ของการเจ็บ ทุกข์ของการตาย ทุกข์ของการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ทุกข์ของการปรารถนาไม่สมหวัง ทุกข์ของการกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ เป็นต้น
เมื่อจิตใจของเรายอมรับว่าสภาพร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา ร่างกายนี้เพียงประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้เราอาศัยเพียงชั่วคราวเท่านั้น ส่วนที่แข็ง เป็นแท่ง เป็นก้อน เป็นชิ้น เป็นอัน จับได้ต้องได้ อย่างเช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ตับ ไต ไส้ ปอด อวัยวะภายในภายนอกทั้งปวง เหล่านี้เป็นธาตุดิน
ส่วนที่พัดไปมาในร่างกาย พัดขึ้นเบื้องสูง พัดลงเบื้องต่ำ ส่วนที่หายใจเข้าก็ดี หายใจออกก็ดี ส่วนที่ค้างอยู่ในช่องหู ช่องจมูกซึ่งเป็นช่องว่างร่างกายก็ดี ส่วนที่ค้างอยู่ในท้องในไส้ที่เป็นแก๊สก็ตาม เหล่านั้นเป็นธาตุลม
ส่วนที่ไหลไปไหลมา มีความเอิบอาบเคร่งตึงนั่นเป็นธาตุน้ำ มีเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี เหงื่อ ไขมันเหลว ปัสสาวะ เป็นต้น
ส่วนที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต เผาผลาญร่างกายให้ทรุดโทรมลง ช่วยในการย่อยอาหาร ทำให้ร่างกายกระวนกระวายเวลาเจ็บไข้ เรียกว่าธาตุไฟ