PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘


เถรี
06-05-2015, 13:32
ถาม : ขอกราบเรียนถามข้อสงสัยถึงวิธีการและหนทางปฏิบัติที่พอจะทำให้เราสามารถทราบได้ว่าเราติดหนี้สงฆ์หรือโทษหนักอื่นใด เช่น โทษการย้ายเจดีย์ เป็นต้น เพื่อป้องกันหรือหาหนทางแก้ไขก่อนที่เราจะสิ้นลมหายใจในชาติปัจจุบัน หากในกรณีที่เรามิได้เป็นบุคคลผู้ทรงอภิญญาหรือญาณแปดใด ๆ กล่าวคือ เป็นบุคคลธรรมดาที่ไม่ได้สนใจเรื่องธรรมะหรือได้มโนมยิทธิใด ๆ ทั้งสิ้น

จึงขอเรียนถามข้อสงสัยสำหรับประเด็นดังกล่าวว่า พอจะมีทางอื่นใดบ้างที่เราสามารถทราบในเรื่องของกรรมดังกล่าวได้บ้างหรือไม่ ? และอย่างไรครับ ?

ทั้งนี้เจตนาในการตั้งคำถามนี้ เป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อบุคคลจำนวนมากที่อาจมิอาจทราบได้ถึงโทษจากกรรมหนักดังกล่าว ซึ่งจะได้ทราบเป็นวิทยาทานและแก้ไขได้อย่างทันท่วงทีหากมีหนทางและโอกาสครับ

ตอบ : ก็แปลว่าไม่ต้องรู้ ไม่ได้อะไรสักอย่างจะไปรู้ได้อย่างไรวะ ? ตั้งกติกาไม่ให้มีอะไรสักอย่างเดียวแต่อยากรู้ จะรู้ไปทำไม ?

เถรี
06-05-2015, 13:33
ถาม : ผมไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุง ผลคือฝึกไม่ได้ครับ ครูฝึกบอกว่าเป็นสุกขวิปัสโก ผมจะมีโอกาสจะฝึกสำเร็จได้หรือไม่ครับ ? และการจับลมหายใจเข้าออก ผมควรจับที่จมูกฐานเดียว หรือจับสามฐานครับ ?

ตอบ : ถ้าเชื่อครูฝึกชาตินี้ก็ฝึกไม่ได้ แต่ถ้าไม่เชื่อครูฝึกโอกาสได้จะมีเยอะ เพราะบางทีครูฝึกโง่กว่า สอนลูกศิษย์ไม่เป็น ส่วนเรื่องการจับลมหายใจ จะฐานเดียว ๓ ฐาน ๗ ฐาน หรือว่ารู้ตลอดกองลมแล้วแต่ความถนัดของเรา

ที่อาตมาใช้คำว่าครูฝึกโง่กว่าลูกศิษย์ เพราะว่าปัจจุบันนี้ครูฝึกส่วนใหญ่แล้วไม่รู้จริง มักจะสอนตามรูปแบบเดิม ๆ จนกระทั่งโดนลูกศิษย์หลอกมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว การจะเป็นครูฝึกมโนมยิทธิต้องมีเจโตปริยญาณแจ่มใส รู้ว่าในขณะนั้นลูกศิษย์คิดอะไร ทำอะไรอยู่ ถึงสามารถที่จะสอนให้ถูกต้องได้

เถรี
06-05-2015, 13:34
ถาม : ผมป่วยมาก อาการไม่ค่อยจะดีมาหลายปีแล้วครับ หาหมอหลายที่แล้วไม่ดีขึ้น มีแต่ทรุดลง กระเพาะอักเสบมานาน เลยทำให้ท้องแข็ง เป็นเถาดาน ท้องมาน บวม จุกแน่นชายโครงขวา หายใจลำบากเหมือนจะขาดใจหลายครั้งแล้ว และยังมีคุณไสยมาช่วยทำให้แย่ลง ขอหลวงพ่อเมตตาแนะนำยา หรือการปฏิบัติตนให้ผมคลายจากเวทนานี้ด้วย กราบขอบพระคุณหลวงพ่อครับ

ตอบ : เลิกหายใจ ถ้าเลิกหายใจวันไหนก็หายสนิท..! เรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นกรรมเก่า ถ้าเราพิจารณาเห็นว่าสภาพร่างกายมีความป่วยไข้เช่นนี้เป็นปกติ ก็จะไม่ไปเครียด ไม่ไปกังวล ไม่ไปแบกไว้ เห็นว่าเป็นบุญลาภอันประเสริฐ ที่เราได้เห็นความทุกข์อย่างถนัดชัดเจน ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาทุกข์เช่นนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก เราต้องการจะไปพระนิพพาน เรียกว่าพลิกวิกฤติเป็นโอกาส ฉวยโอกาสที่ร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วย นำมาเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติของเรา เพราะฉะนั้น..ความเจ็บไข้ได้ป่วยต้องถือว่าเป็นลาภอันประเสริฐ

เถรี
06-05-2015, 13:35
ถาม : กระผมได้ศึกษาธรรมะตามแนวหลวงพ่อวัดท่าซุงมานานหลายปี และได้ทราบว่า มีสมเด็จองค์ปฐมซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกสุดอยู่ จึงให้ความเคารพท่านมากเป็นที่สุด แต่พอช่วงหลังมานี้ ได้ศึกษาธรรมะตามแนวของหลวงพ่อสด คือวิชชาธรรมกาย จากทางวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม จังหวัดราชบุรี ได้ศึกษาข้อมูลที่กล่าวไว้ว่า มี "พระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรมอยู่" ลูกศิษย์หลายท่านบอกว่า เป็นคนละพระองค์กับสมเด็จองค์ปฐมที่หลวงพ่อวัดท่าซุงสอน

กระผมอยากอาราธนาหลวงพ่อช่วยเมตตาอธิบายทีครับว่า เป็นพระองค์เดียวกันหรือไม่ ? ถ้าไม่ใช่ แล้วพระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรมคือท่านใดกันครับ ?

ตอบ : ไปถามคนที่บอกว่าไม่ใช่..!

เถรี
06-05-2015, 13:37
ถาม : ผมได้ใส่บาตรพระรูปหนึ่งที่รับบาตรอยู่ช่วงเช้า พอท่านให้พรเสร็จ ขณะที่ผมกำลังจะไป จู่ ๆ ท่านใช้ให้ผมหยิบของในมือท่านและของที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ ๆ ผมเข้าใจว่าเป็นของที่คนนำมาใส่บาตรซึ่งมีหลายอย่างด้วยกัน ให้นำไปใส่ในกระสอบใส่ของที่วางอยู่ที่พื้น เข้าใจว่าท่านอาจจะเตรียมกระสอบมา

ผมมีความกังวลและไม่ทันตั้งตัว จึงได้หยิบของใส่ลงกระสอบให้ท่านไม่กี่อย่าง จู่ ๆ ท่านก็ลุกขึ้นมาหยิบของใส่กระสอบด้วยตัวท่านเอง ซึ่งผมช่วยจับกระสอบอยู่พักเดียว แล้วผมก็เดินปลีกตัวไป ปล่อยให้ท่านจัดการของท่านเอง โดยผมไม่ได้มีความเต็มใจที่อยากจะช่วย เนื่องจากกลัวผิด อยากทราบว่าผมมีความผิดอะไรหรือเปล่าครับ ? และควรแก้ไขอย่างไรครับ ? และหากเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้อีก ผมควรทำอย่างไรครับ ?

ตอบ : ถือว่ามีส่วนร่วมไปแล้ว ถ้าเป็นกุศลก็เป็นกุศลไปแล้ว ถ้าเป็นบาปก็เป็นไปแล้ว ไม่ต้องเสียเวลามาสงสัย ให้ตั้งหน้าตั้งตาตั้งปฏิบัติในทาน ศีล ภาวนาของเราไป อะไรที่สงสัยก็ถอยห่างเอาไว้ ถึงเวลาจะได้ไม่ต้องมาคิดให้ฟุ้งซ่านเศร้าหมองเหมือนอย่างปัจจุบันนี้

เถรี
06-05-2015, 13:39
ถาม : เวลาที่คนสร้างกิจกรรมใดที่ให้คนลงชื่อเพื่อร่วมสนุกในการแจกของรางวัล โดยไม่ได้มีการเก็บเงินหรือว่าต้องให้คนร่วมสนุกซื้อของก่อน จัดเป็นการพนันหรือไม่ครับ ?
ตอบ : การพนันคือการพนัน ถ้าหากว่าเป็นการชิงโชคก็แค่อยู่ในลักษณะของการชิงรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ พูดง่าย ๆ ว่าดูตามหลักกฎหมายแล้วกัน ถ้าสิ่งที่กฎหมายไม่ถือว่าเป็นการพนันก็ไม่ต้องไปถือว่าเป็นการพนัน

ถาม : สโมสรกีฬาที่มีการซื้อขายตัวผู้เล่น จัดเป็นอาชีพค้ามนุษย์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : การค้ามนุษย์ส่วนใหญ่แล้วเขาค้าให้ไปเป็นทาส สโมสรกีฬาเขาค้าไปเป็นทาสหรือเปล่า ?

ถาม : ผู้ที่มีอาชีพเลี้ยงเด็กหรือคนชรา จัดเป็นอาชีพค้ามนุษย์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : เลี้ยง..ไม่ได้ขาย..!

เถรี
06-05-2015, 13:41
ถาม : ถ้ามีคนยืมเงินเราไป แล้วนำไปทำบุญ ภายหลังนำเงินมาใช้คืน เราสามารถนำเงินที่ได้รับคืนมาใช้จ่ายของเราเองได้หรือไม่และเป็นหนี้สงฆ์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : แสดงว่าไม่เข้าใจคำว่าหนี้สงฆ์ แต่ไม่เป็นไร ให้เขาคิดว่าเป็นหนี้สงฆ์ไว้แหละดี ถ้าไม่ใช่..ใจเศร้าหมองจนลงข้างล่างไปเลย ก็คงจะระมัดระวังตัวมากขึ้น..!

ถาม : ถ้ามีคนฝากเงินให้เราทำบุญ จำเป็นหรือไม่ว่าจะต้องเป็นธนบัตรหรือเหรียญเดียวกันกับที่เจ้าของเงินให้มา เราสามารถใช้ธนบัตรหรือเหรียญอื่นที่มีมูลค่าเท่ากันทำแทนได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ทำด้วยมูลค่านั้น จะเป็นอะไรก็ได้

เถรี
06-05-2015, 13:42
ถาม : ช่วงนี้ฝันหนักมาก จนถึงขนาดที่ตื่นมารู้สึกเพลียไปหมดทั้ง ๆ ที่นอนมาเกือบแปดชั่วโมง พอเจอเข้าติด ๆ กันหลายวัน ร่างกายเริ่มไม่ไหวแล้วค่ะ ไม่ทราบว่าพระอาจารย์มีวิธีไม่ให้ฝันไหมคะ ? แล้วการที่เราฝันเยอะ ๆ นี่หมายความว่ากำลังใจของเราฟุ้งซ่านไปในทางที่ไม่ดีหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ฝันแปลว่ากำลังใจไม่เป็นสมาธิจึงฟุ้งซ่าน ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก่อนนอนก็พยายามแผ่เมตตา แล้วภาวนาให้กำลังใจทรงตัวก่อน

เถรี
06-05-2015, 13:43
ถาม : จากที่ทราบว่าอีกไม่นานนักจะเกิดสงครามใหญ่ในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศทางซีกโลกเหนือ และเนื่องด้วยกระผมต้องไปเรียนต่อต่างประเทศในอีกไม่นานเช่นกัน ขอเรียนถามพระอาจารย์ว่า หากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวจริง ประเทศในแถบซีกโลกใต้ เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จะรอดพ้นจากภัยสงครามหรือไม่ อย่างไรครับ ?
ตอบ : ตกลงถามเองหรือว่ามั่วเอง ? เกิดสงครามใหญ่ที่ซีกโลกเหนือ..รู้ขนาดนั้นเลยหรือ ? แต่ทำไมไม่รู้ว่าซีกโลกใต้จะรอดหรือไม่รอด ต้องบอกว่าขอเชิญฟุ้งซ่านต่อไป เรื่องนี้เลยตายไปเยอะเลย

เถรี
06-05-2015, 13:48
ถาม : ถ้าผู้เป็นเจ้าของตะกรุดกระทำผิดอย่างชัดเจน เช่น ทำร้ายคนอื่น ลักขโมย นินทาว่าร้าย ฯลฯ บุคคลอื่นทราบเข้าจึงตำหนิการกระทำเหล่านั้น หรืออาจดำเนินคดีตามกฎหมาย บุคคลอื่นที่ตำหนิการกระทำของเจ้าของตะกรุด หรือนำตัวเจ้าของตะกรุดไปดำเนินคดีตามกฎหมาย จะโดนสะท้อนหรือไม่ อย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าทำชั่ว ตะกรุดก็ไม่คุ้มครองป้องกันอยู่แล้ว

เถรี
06-05-2015, 13:50
ถาม : ขณะทำพิธีอุปสมบท มีภิกษุบางรูปศีลไม่สมบูรณ์ หรือขาดจากความเป็นพระ และมีฆราวาสร่วมพิธีอยู่ในโบสถ์ ฯ เมื่อเสร็จพิธีผู้ขอบวชจะถือว่าได้เป็นสมมติสงฆ์โดยสมบูรณ์หรือเป็นได้เพียงแค่เณรครับ ?
ตอบ : ถ้าอยู่นอกเขตหัตถบาส คือมือเอื้อมไม่ถึง การบวชก็สมบูรณ์ แต่ถ้าอยู่ในเขตหัตถบาสคือเอื้อมมือแตะกันถึง คุณก็เป็นแค่เณร ในเรื่องของสังฆกรรม อย่างน้อย ๆ ต้องเว้นช่วงระยะหนึ่ง แต่ถ้าจะเอาให้บริสุทธิ์จริง ๆ ต้องอยู่นอกเขตสีมาไปเลย

ถาม : หลังเสร็จพิธีอุปสมบท เราจะสามารถทราบได้อย่างไรว่าผู้ขอบวชได้เป็นสมมติสงฆ์โดยสมบูรณ์ หรือเป็นแค่เณร เพราะเราไม่ทราบเลยว่าในพิธีมีภิกษุที่ศีลไม่สมบูรณ์ร่วมอยู่ด้วยหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าไม่ทราบแล้วจะอยากรู้ไปทำไม ?

เถรี
06-05-2015, 13:56
ถาม : เมื่อตอนสมัยบวชพระ มีเพื่อนพระด้วยกันนำวัตถุมงคลที่อยู่ในวิหาร ฯ มาให้ดู หลังจากที่สอบถาม เพื่อนพระแจ้งว่าสามารถหยิบออกมาได้ เจ้าอาวาสท่านไม่ว่า จากนั้นจึงได้ขอวัตถุมงคล และให้เพื่อนพระไปหยิบวัตถุมงคลในวิหารมาให้บ้าง เพื่อนำไปบูชาในกุฏิส่วนตัวและแจกบางส่วนให้ฆราวาส แบบนี้ถือว่า "ปาราชิก" หรือไม่ ?
ตอบ : เสี่ยงต่อการปาราชิกมาก เพราะว่าเป็นความเห็นของเพื่อนคนนั้น ไม่ใช่ความเห็นของพระสงฆ์ทั้งวัดร่วมกัน การจะนำของสงฆ์ไปใช้สอยอย่างไรก็ตาม ควรที่จะได้รับการอนุญาตจากสงฆ์หรือผู้แทนสงฆ์ก่อน ไม่ใช่ถึงเวลาเขาว่าส่งเดชก็เชื่อตามเขา กลายเป็นว่าเอาอนาคตหรือไม่ก็ความเป็นพระของตนเอง ไปแลกกับสิ่งที่คนอื่นเขาพูดด้วยลมปากเท่านั้น มีโอกาสขาดทุนมหาศาลเลย

ถาม : ขณะบิณฑบาตมีฆราวาสนำเงินใส่บาตรหรือย่าม หากเรานำเงินนั้นไปใช้ส่วนตัว เช่น ซื้อของให้แม่หรือฆราวาส อย่างนี้ถือว่า "ปาราชิก" หรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าซื้อของให้แม่ไม่เป็นไร เพราะท่านอนุญาตให้ภิกษุเลี้ยงดูพ่อแม่ได้ แต่ท่านใช้คำว่าตามสมควร ไม่ใช่ประเภทซื้อเช้า ซื้อกลางวัน ซื้อเย็น แต่โดยปกติแล้ว ถ้าตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงสอนมาก็คือ ปัจจัยทุกอย่างที่เขาถวายมา จะเป็นส่วนตัวหรือส่วนรวมก็ตาม ให้นึกอยู่เสมอว่าเป็นของสงฆ์

เถรี
06-05-2015, 13:57
ถาม : จะเป็นการสมควรหรือไม่ถ้าจะรักษาศีล ๘ ช่วงระยะเวลากลางคืนก่อนนอนของทุกวันจนถึงรุ่งเช้า เนื่องจากเป็นช่วงระหว่างวันทำงานบ่อยครั้ง มีเหตุปัจจัยที่ทำให้หลุดจากศีล ?
ตอบ : เรียกว่าขี้โกง..! หลังจากกินข้าวเย็นไปแล้วใคร ๆ ก็รักษาได้

ถาม : แล้วมีอานิสงส์ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจจริง ๆ ก็มี แต่ถ้าตั้งใจโกงก็ไม่มี

ถาม : แล้วจำเป็นต้องอาราธนาศีลทุกครั้งไหมคะ หรือว่าตั้งใจจะรักษาศีล ๘ เท่านั้นก็เพียงพอ ?
ตอบ : การอาราธนาศีลเป็นการขอร้องให้พระท่านบอกว่าศีลมีอะไรบ้าง เมื่อท่านบอกมาเราก็สมาทาน คือศึกษาจดจำตามนั้น แล้วก็ยึดถือปฏิบัติไป ในเมื่อเรารู้แล้วว่ามีอะไร ก็ไม่ต้องเสียเวลาอาราธนา ไม่ต้องเสียเวลาสมาทาน ให้ตั้งใจปฏิบัติโดยการงดเว้นไปเลย

เถรี
06-05-2015, 13:58
ถาม : การสวดมนต์ในใจทั้งวันโดยไม่ได้กำหนดลมหายใจเข้าออก สามารถเข้าสู่พระนิพพานได้หรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้ตั้งใจไว้ก่อนก็ไปไหนไม่รอด แต่ถ้าตั้งใจไว้ก่อนว่าสิ่งที่เราทั้งหมดนี่เป็นไปเพื่อพระนิพพาน โอกาสที่จะไปก็มีมาก

เถรี
06-05-2015, 13:59
ถาม : ถ้าเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เรารวมกันทำดี พูดคุยเรื่องคำสอน ธรรมะ การปฏิบัติ นี่คือบุญธรรมทานอย่างหนึ่งใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ดูด้วยว่าคุยถูกเรื่องหรือเปล่า ถ้าประเภทมั่วเอาโดย "อัตโนมติ" ไม่ใช่หลักธรรมที่แท้จริง มีสิทธิ์ลงอเวจีมหานรก ดีไม่ดีก็เลยไปถึงโลกันต์เลย ฉะนั้น..ในเรื่องธรรมสากัจฉา ต้องมีคนที่รู้จริงอยู่ด้วย ถึงเวลาถ้าคุยผิดต้องแก้ไขให้ถูกได้

ถาม : แล้วการที่เราอยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบนี้จะมีอานิสงส์อะไรบ้างคะ ?
ตอบ : ก็อยู่ที่ว่าตนเองตั้งใจอะไรเอาไว้ ถ้าตั้งใจเพื่อความหลุดพ้น สภาพจิตของตนเองเกาะความดีอยู่เสมอ โอกาสที่จะหลุดพ้นก็มี

เถรี
06-05-2015, 13:59
ถาม : ถ้ามีฉันทะแบบไฟไหม้ฟางต้องทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ก็เลิกไหม้ฟาง หันไปไหม้ขอนแทน

เถรี
06-05-2015, 14:01
ญาติโยมจะเห็นว่า คำถามบางคำถามนั้น เป็นการกระทำไปโดยพาซื่อ อย่างเช่น เพื่อนพระบอกว่าของชิ้นนี้เอาไปได้ก็เอาไป แสดงว่าขาดการอบรมจากครูบาอาจารย์เป็นอย่างมาก เสี่ยงต่ออาบัติอย่างสูง ไม่ได้คุ้มค่าเลยแม้แต่น้อย จะหยิบจะจับอะไรของภิกษุเรา ถ้าเจ้าของไม่ได้อนุญาต เคลื่อนออกจากฐานแค่เส้นผมผ่า ๑๖ ก็โดนอาบัติปาราชิกไปเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้น..เป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ง่าย ๆ เลยว่าครูบาอาจารย์สมัยนี้ไม่ค่อยจะเข้มงวดกับลูกศิษย์

ปัญหาที่ต้องการให้ถาม ก็คือ เราปฏิบัติธรรมไปแล้วปัจจุบันเป็นอย่างไร ? ควรจะปฏิบัติต่ออย่างไร ? ไม่ใช่ถามเพื่อสนองกิเลสในเรื่องที่ตอบไปแล้วก็ไม่เจ็บไม่คัน พูดง่าย ๆ ก็คือรู้แล้วเอาไปอวดชาวบ้าน แล้วก็ทะเลาะกันต่อไป เพราะอีกคนหนึ่งอาจจะไม่เชื่อก็ได้ จะกลายเป็นว่า “อาจารย์ฉันบอกอย่างนี้” แล้วเอาคำของอาจารย์ไปกลายเป็นอาจริยวาท ไปก่อวิวาทะกันขึ้น

ในเรื่องของคำถามขอให้พิจารณาให้ดี ๆ ว่าเกิดประโยชน์แก่ตนและส่วนรวมหรือไม่ ถ้าไม่เกิดประโยชน์แก่ตนและส่วนรวมก็อย่าเสียเวลาถามเลย

เถรี
07-05-2015, 17:58
ถาม : ที่มีข่าวว่าเขาสามารถผ่าตัดเปลี่ยนศีรษะมนุษย์ย้ายไปร่างอื่นได้ แสดงว่าจิตอยู่ที่สมองหรือครับ ?
ตอบ : จิตอยู่ส่วนไหนของร่างกายก็ได้ ไม่ได้อยู่ที่สมอง แต่สมองเป็นศูนย์กลางในการสั่งให้ร่างกายทำงาน จิตต้องบังคับสมอง สมองบังคับร่างกาย แต่คราวนี้การที่จิตบังคับนั้นเป็นการบังคับที่เร็วมาก ต้องบอกว่าแค่คิด ดังนั้น..คนก็เลยคิดว่าการสั่งการเป็นส่วนของสมอง เรื่องของการที่ทำแล้วฝืนธรรมชาติมักรอดยาก ไม่อย่างนั้นคนก็ไม่ต้องตายกัน

เมื่อเดือนที่แล้วมีข่าวว่าด็อกเตอร์ท่านหนึ่งแช่แข็งลูกสาวตัวเอง เพื่อรอให้เทคโนโลยีการแพทย์ดีกว่านี้แล้วจะละลายลูกสาวออกมา เพื่อจะรักษาให้หายหรือทำให้ฟื้นใหม่ ถ้าเขามีความเชื่อมั่นอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นความเชื่อของเขา ไม่ใช่เรื่องที่น่าตำหนิ แต่ว่าถ้าในส่วนของการเป็นผู้ปฏิบัติธรรม นั่นคือการยึดติดอย่างน่ากลัว การยึดแค่ตัวกูของกูก็แย่แล้ว นี่ยังยึดคนอื่นเป็นของกูอีก กลายเป็นภาระ แบกภาระมากขึ้น โอกาสที่จะหลุดพ้นก็ไม่มี

เถรี
07-05-2015, 18:02
มนุษย์ใฝ่ฝันจะเอาชนะความตายมาทุกยุคทุกสมัย ยิ่งผู้ที่เป็นใหญ่เป็นโตมีอำนาจ ก็ยิ่งกลัวตาย ตัวอย่างคือฮ่องเต้ของจีนหลายท่านด้วยกัน พอมีอำนาจวาสนา มีศักดานุภาพแผ่ไพศาล สิ่งที่คิดก็คืออยากจะมีชีวิตเป็นอมตะ แบบเดียวกับเจงกีสข่าน ส่งกองทัพยึดผืนแผ่นดินทั้งเอเซียและยุโรปกว้างใหญ่ไพศาล ก็แสวงหาบุคคลที่จะทำให้ตนเองเป็นอมตะ

คิวชู่กีที่เป็นนักพรตลัทธิช้วนจิน มีฉายาว่าผู้อมตะ ชื่อเสียงโด่งดังมาก เจงกีสข่านส่งทูตมาเชิญให้ไปช่วยสอนวิธีทำให้เป็นอมตะ พอเจอหลักการปฏิบัติธรรมเข้าเจงกีสข่านก็ไปไม่รอด แต่เจงกีสข่านเป็นคนรู้จักของดี เมื่อเห็นว่าหลักปฏิบัติอย่างนี้เป็นไปได้จริง ก็เลยส่งเสริมลัทธิเต๋า โดยเฉพาะลัทธิช้วนจิน จนกระทั่งลัทธินี้เจริญรุ่งเรืองไปทั่วแผ่นดินจีนสมัยนั้น ทำให้พุทธศาสนาเสื่อมลงไปมาก

หลักการปฏิบัติหลัก ๆ ก็คืออานาปานสติ พูดง่าย ๆ ว่าสร้างอภิญญาให้เกิด แล้วใช้กำลังอภิญญาปรับธาตุปรับร่างกายตัวเอง แล้วจะอยู่ไปทำอะไร ? อยู่ไปวันหนึ่งก็ทุกข์เพิ่มขึ้นวันหนึ่ง มีวันไหนไม่ปวดท้องเข้าห้องน้ำห้องส้วมบ้างไหม ? มีวันไหนที่เราไม่หิวบ้าง ? ระยะนี้มีวันไหนที่ไม่ร้อนบ้าง ? แต่เขาก็ยังอยากจะอยู่กัน

นึกถึงหลวงปู่มั่น ท่านพยายามไม่ให้ลูกศิษย์ยึดติดแม้แต่กายสังขารของท่าน ลูกศิษย์มรณภาพเผาเสร็จกระดูกเป็นพระธาตุ หลวงปู่มั่นเผาเสร็จกระดูกเป็นกระดูก ขี้เถ้าเป็นขี้เถ้า ผ่านไปเนิ่นนานหลายสิบปี ลูกศิษย์มรณภาพเผาแล้วเผาเล่า ท่านนั้นก็อัฐิเป็นพระธาตุ ท่านนี้ก็อัฐิเป็นพระธาตุ ของหลวงปู่มั่นเป็นขี้เถ้าเหมือนเดิม จนกระทั่งท้ายสุดคนลังเลสงสัยกันมาก ๓๐ กว่าปีผ่านไปอัฐิหลวงปู่มั่นถึงกลายเป็นพระธาตุ เพราะคนจะเริ่มปรามาสครูบาอาจารย์มากขึ้นแล้ว ท่านไม่ต้องการให้คนยึดติดกับสังขารร่างกายของท่าน จึงไม่ได้อธิษฐานทิ้งไว้ให้

การที่อัฐิเป็นพระธาตุนั้นเกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือเจ้าของร่างกายอธิษฐานทิ้งไว้ให้ สาเหตุที่ ๒ คือพระท่านสงเคราะห์ให้ เพื่อรักษากำลังใจของคนส่วนใหญ่ ถามว่าทำไมกระดูกถึงเป็นพระธาตุ ? เหตุกระดูกเป็นพระธาตุได้เพราะว่าสภาพจิตที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ได้รับการขัดเกลาด้วยธรรมะจนสะอาดบริสุทธิ์ถึงที่สุด สภาพร่างกายซึ่งเป็นเครื่องอาศัยของจิต ก็เลยพลอยได้รับการขัดฟอกธาตุขันธ์ไปด้วย ถ้าเจ้าของไม่ได้ตั้งเจตนาเอาไว้ หรือเจตนาจะไม่ให้เป็น ก็จะไม่เป็นพระธาตุ

เถรี
07-05-2015, 18:04
เรื่องกายสังขาร ถ้าหากว่ามรณภาพแล้วไม่เน่า ยังไม่แน่ว่าจะใช่พระที่ปฏิบัติดีจนถึงที่สุดจริง ๆ เพราะการที่ร่างกายไม่เน่านั้นมีหลายสาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรก ก็คือ ท่านที่ตั้งใจทิ้งกายสังขารเอาไว้เพื่อเป็นเครื่องยึดโยงกำลังใจของลูกศิษย์ อธิษฐานให้เป็นเช่นนั้น ส่วนใหญ่ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะบรรลุมรรคผลจริง ๆ

ส่วนที่สอง คือการกินว่านยาบางอย่าง ทำให้ร่างกายคงกระพัน ไม่เน่าได้ ส่วนที่สาม ใช้คาถาบางบทเสกข้าวกินเป็นประจำทุกวัน ตายแล้วจะไม่เน่า ง่าย ๆ ก็คือพระอภิธรรม ๗ บท แต่ว่าควรจะเสกก่อนกินข้าวสักครึ่งชั่วโมง ไม่อย่างนั้นจะหิวเป็นลมไปก่อน เพราะนานกว่าจะเสกจบ

ดังนั้น ถ้าเป็นเรื่องของกายสังขารยังไม่สามารถจะวัดได้ แต่ถ้าเรื่องอัฐิวัดได้ว่าท่านเป็นผู้ปฏิบัติปฏิบัติชอบจริงหรือไม่ เพราะท่านผ่านการฟอกธาตุขันธ์ไปจริง ๆ อัฐิมักจะแปรเป็นพระธาตุเอง ต้องบอกว่าโบราณเก่ง บางทีลูกหลานทำผิดแล้วผิดเล่า พ่อแม่โกรธจนด่า “ไอ้นี่ชั่วจนเข้ากระดูกดำ” ก็ขอให้ดูในมุมกลับว่า ถ้าดีจนถึงที่สุดก็กระดูกเป็นแก้วเหมือนกัน

ท่านใดดูข่าวรูปหล่อโลหะมีโครงกระดูกพระอยู่ข้างในบ้าง ? ถ้าลักษณะอย่างนั้นเจ้าของตั้งใจเอง คนอื่นทำให้ไม่ได้ ขอบอกว่าถ้าได้กสิณ ๑๐ ก็เป็นเรื่องเล็ก ถ้าไม่ได้กสิณ ๑๐ ก็ทำไม่ได้ เอาตัวเองเข้าแทนโครงสร้างข้างใน

เถรี
07-05-2015, 18:10
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาที่ทองผาภูมิ คุณประสิทธิ์ กาญจนรัช หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า เตี่ยเส็ง เสียชีวิต อายุ ๘๙ ปี เป็นอายุในการแจ้งเกิดไม่ใช่อายุจริง เนื่องจากแจ้งเกิดช้า เดือนก่อนโน้นทองผาภูมิตายไป ๕ ศพ คนที่อายุน้อยที่สุด ๘๒ ปี ดังนั้น..ทองผาภูมิก็เลยโฆษณาว่า “ถ้าอยู่ทองผาภูมิ ๑ คืนจะอายุยืนไป ๑ ปี” อาตมาอยู่มา ๒๐ กว่าปีแล้ว ดูท่าจะแย่..!

ถ้าหากว่านับในเรื่องของอากาศแล้ว ถือว่าทองผาภูมิมีอากาศค่อนข้างดีทีเดียว มลพิษมีน้อย แต่ถ้าเป็นตามหลักของการแพทย์จีน เขาบอกว่าให้กินอาหารในรอบถิ่นเกิด หรือรอบที่อยู่ของตนเองอย่าให้เลย ๓๐ ลี้ ก็คือ ๑๕ กิโลเมตร เพราะว่าพืชผักผลไม้ต่าง ๆ ดึงเอาธาตุที่เหมาะสมกับสภาพร่ายกายของเราที่เกิดในบริเวณนั้น ๆ เอาไว้ ถึงเวลากินเข้าไปก็จะเสริมธาตุให้แข็งแรง มีอายุยืนนานได้ แต่ปัจจุบันนี้ทั่วโลกเป็นบ้านเดียวกัน ข้าวปลาอาหารของซีกโลกใต้เอามาขายที่ซีกโลกเหนือ ทางด้านตะวันตกมาขายตะวันออกยุ่งไปหมด ต้องบอกว่าผิดหลักการแพทย์ ต้องหันไปเน้นเรื่องของอาหาร อากาศ อารมณ์เหล่านั้น เป็นต้น

อย่าลืมว่า ๑ ในปัจจัยสี่คือยา โบราณเราเก่งมาก โดยเฉพาะตัวยาที่น่าทึ่งที่สุดคือยาแก้ลม ๑๐๘ จำพวก ใครที่อายุเกิน ๓๕ ปีแล้วพก ๆ ติดตัวไว้บ้าง ถ้าไม่มีก็ไปไม่รอดแล้ว คนโบราณที่คิดคำศัพท์ว่ายาขึ้นมานี่สุดยอดจริง ๆ “ยา” คือการอุดรูรั่ว อย่างเช่นยาเรือ เมื่อร่างกายไม่ไหวเกิดการรั่ว ธาตุพร่องก็ต้องเอายาเข้าไปอุด โดยเฉพาะธาตุต่าง ๆ เวลาบกพร่องหรือกำเริบก็เกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมา ที่เรียกว่าลมกำเริบ

โบราณเราเก่งตรงที่ว่ามียาแก้ลม ๑๐๘ จำพวก สมัยก่อนก็ยาหอมตรา ๕ เจดีย์เป็นหลัก แต่ว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านใช้ยาหอมภูลประสิทธิ์ตราพระอาทิตย์ดั้นเมฆ อาตมาเคยลองไปทีหนึ่งหูตาสว่างไปเป็นวันเลย ยี่ห้อนี้ถ้าฉันขนาดหลวงพ่อท่าน อาตมาเชื่อว่าคนตายก็ฟื้น..! อะไรจะแรงได้ขนาดนั้น ถ้าหากว่าใครซื้อยาหอมยี่ห้อนี่มา อย่าใช้มาก..ขอเตือนว่าใช้ปลายช้อนกาแฟสะกิดก็พอ"

เถรี
07-05-2015, 18:12
พระอาจารย์กล่าวถึงตะกรุดมหาสะท้อนรุ่น ๕ ว่า "ตะกรุดรุ่นนี้ลงวันที่ปลุกเสก ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ นะจ๊ะ โดนใช้แรงงานตั้งแต่ตี ๑ เลย เสกตะกรุดจนกว่าท่านจะบอกว่าใช้ได้ ลืมตาขึ้นมาเกือบตี ๓ ไม่ต้องนอนแล้ว เข้าสมาธิทีไรมักหูตาสว่าง ไม่ต้องหลับไม่ต้องนอนกัน"

เถรี
07-05-2015, 18:13
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพ แล้วสอนให้เด็ก ๆ ขึ้นลงบันไดตามช่วงลมหายใจ คือให้หายใจเข้าแล้วก็ก้าวขึ้นไปเรื่อย ๆ ช้า ๆ จนสุด แล้วก็หายใจออก ก้าวขึ้นไปเรื่อย ๆ ช้า ๆ จนสุด เด็กเขาก็สงสัยว่าหลวงพ่อหายใจทีหนึ่งก้าวได้กี่ขั้น อาตมายังไม่เคยนับ ก็เลยลองนับดู ปรากฏว่าได้ ๓๐ กว่าขั้น..! เพิ่งจะรู้ว่าเป็นคนหายใจยาวขนาดนั้น มิน่าล่ะ...ว่าเดินเท่าไรไม่รู้จักเหนื่อย หนึ่งช่วงลมหายใจ เข้าสุดออกสุด ได้ตั้ง ๓๐ กว่าขั้น ด้วยความที่เคยฝึกพวกมวยจีน พวกกำลังภายในมาก่อน พอออกแรงก็จะสัมพันธ์กับลมหายใจ กลายเป็นว่าเดินขึ้นก็ว่าไปเรื่อย ถ้าหากว่าเดินลงจะได้เยอะกว่านั้นอีก"

เถรี
07-05-2015, 18:15
พระอาจารย์พูดถึงตะกรุดมหาสะท้อนรุ่น ๕ ว่า "ใครเอาไปจำหน่ายต่อ ถ้าไม่มีสติ๊กเกอร์นี้ถือว่าปลอม ปกติตะกรุดมหาสะท้อนเขาเขียนไปเสกไป เขียนเสร็จม้วนเสร็จก็ใช้ได้เลย พอต้องมาแยกเสกต่างหากนี่ แหม...ท่านให้เสกเสียหลายชั่วโมง"

เถรี
07-05-2015, 18:18
พระอาจารย์เล่าว่า "ไปเจอหลวงตาวัชรชัยที่งานศพวัดเสมียนนารี หลวงตาวัชรชัยบ่นเลย เพราะไปงานของหลวงตาไม่ได้ วันที่ ๑๐ พฤษภาคมต้องไปรับปริญญา หลวงตาถามว่า “ตกลงไปไม่ได้ใช่ไหม ?" ก็บอกว่า “ถึงจะไปวิธีอื่น คนก็ไม่เชื่อหรอก ต้องเห็นตัวเป็น ๆ” หลวงตาก็บ่นว่า ปลัดเอ๊ดเขาบอกว่า “อาจารย์เล็กออกวัตถุมงคลอะไรมา โยมแย่งกันจองเกลี้ยง ของเราทำอะไรออกมา มีแต่เหลือจนไม่มีที่จะเก็บแล้ว” ก็เลยกราบเรียนหลวงตาไปว่า “ต้องปล่อยให้เป็นภาระของพระท่าน ถ้าพระท่านบอกให้ทำอะไรก็ทำแค่นั้น เดี๋ยวก็หมดเอง” ท่านไม่ได้สั่งจะไปทำให้เหนื่อยทำไม ?"

เถรี
07-05-2015, 18:22
https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpf1/v/t1.0-9/q81/s720x720/11229557_966314453399973_4760092753747124654_n.jpg?oh=c2875df1fef85f21a29f1ee01de84f46&oe=55D15BB2&__gda__=1443727268_2c9b3eabee0a2dc523075d5623ff52b4

พระอาจารย์พูดถึงถุงผ้าเงินล้านว่า "จ่าบี (ปลาส้มเงินล้านแม่ทองปอน) เขาทำถุงเงินล้านมาถวาย เขาไปเข้าพิธีมาหลายที่แล้ว ทั้งที่วัดท่าขนุน วัดถ้ำป่าไผ่ วัดถ้ำป่าอาชาทอง ไปเชียงใหม่งวดนี้จ่าบีแบกไปถวาย น่าจะประมาณ ๓๐๐ ใบเท่า ไม่เยอะหรอก ใครจะร่วมทำบุญหล่อพระพุทธรูปทองคำก็ไปบูชาเอา คิดใบละ ๑๐๐ บาท ถ้าเหลือค่อยเอาไปลงเว็บ ถ้าหมดตรงนี้ก็แล้วไป

จ่าบีเขาถวายอาตมาไว้ใบหนึ่ง เมื่อตอนไปพุทธาภิเษกที่วัดถ้ำป่าไผ่ ก็ใช้มาทุกวันนี้ เอาไว้ใส่มีดหมอเพชราวุธพอดีเลย แต่ต้องเป็นเล่ม ๕ นิ้วนะ ใส่เข้าไปม้วน ๆ กันกระแทกเรียบร้อยเลย จ่าบีแกเห็นถือติดมืออยู่หลายงาน งานครูบาเหนือชัยก็ถือติดมือไป ใครถวายปัจจัยก็เอาถุงเงินล้านรับ นี่คงต้องโทรศัพท์ไปบอกแกว่าไม่พอ ยังไม่ทันไรโยมบูชากันหมดเกลี้ยงไปแล้ว"

เถรี
07-05-2015, 18:29
พระอาจารย์บอกกับเด็กที่อ่านหนังสือชีวิตสัตว์ว่า "เวลาหมีเขาล่าสัตว์อื่นเป็นอาหาร อย่างล่าแมวน้ำ จะเห็นว่าโหดร้ายมาก แต่จริง ๆ แล้วเป็นวิถีชีวิตของเขา ถ้าเขาไม่ล่า เขาก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้ ถ้าเรามองในมุมกลับก็จะเห็นว่า เป็นความทุกข์ยากของหมี ที่ต้องรักษาชีวิตของตัวเองให้อยู่ในโลกนี้ได้ จึงต้องไปล่าสัตว์อื่นเป็นอาหาร หาไม่ได้ก็หิว บางทีถ้าไปเจอศัตรูที่มีกำลังใกล้เคียงกัน ก็อาจจะต้องบาดเจ็บล้มตายด้วย เพราะฉะนั้น..เขาก็ทุกข์ยากเหมือนกับเรา ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางความทุกข์ แล้วท้ายที่สุดก็ตาย"

เถรี
08-05-2015, 18:40
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครมีงาช้างยังไม่ได้แจ้งการครอบครองก็แบ่งชิ้นส่วนให้ดี มีได้คนละไม่เกิน ๔ ชิ้น น้ำหนักรวมไม่เกินครึ่งกิโลกรัม ห้ามเป็นงาท่อน วันสุดท้ายปิดการรับแจ้งเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน รวมแล้วรายงานว่ามีวัดแจ้งการครอบครองแค่ ๑๔ วัดทั่วประเทศไทย ถ้าเอาวัดท่าขนุนออกก็เหลือ ๑๓ วัด เป็นไปได้อย่างไร ? วัดทั่วประเทศไทยต้องมีงาช้างมากกว่านั้น หรือไม่ก็คิดแบบอาตมาว่าเขาไม่ได้ระบุเอาไว้ ไม่ได้ระบุนิติบุคคลประเภทวัดไว้ อาตมาก็เลยแจ้งในฐานะนิติบุคคลไม่ได้ ต้องแจ้งในฐานะส่วนตัว

ไปแจ้งวันไหนรู้ไหม ? ไปแจ้งวันที่ ๒๐ หมดเขตวันที่ ๒๑ ปรากฏว่าหลวงพ่อมณฑลโทรศัพท์มาเช้าวันที่ ๒๑ “อาจารย์เล็กโว้ย เขาไปแจ้งกันที่ไหนวะ ?” “ที่ป่าไม้เขตบ้านโป่งครับ” “แล้วเขาทำอย่างไรบ้าง ?” กราบเรียนว่า “ถ่ายรูปไปเลยครับ ซ้ายขวา หน้าหลัง บนล่าง วัดขนาดความยาว ความกว้าง เส้นรอบวง น้ำหนัก” ท่านบอก “ยุ่งฉิบหาย เอาอย่างนี้ ผมแบกไปเลยดีกว่า”

เถรี
08-05-2015, 19:12
พระอาจารย์เล่าว่า "คนทิเบต ถ้าสัตว์ไม่ตาย เขาก็ไม่กิน มาตอนหลังพวกอิสลามเข้าไปตั้งโรงฆ่าสัตว์ คนทิเบตถึงได้มีเนื้อกินเยอะขึ้น ไม่อย่างนั้นต้องรอนำเข้าจากอินเดีย หรือไม่ก็รอให้สัตว์แก่ตายเอง แม้กระทั่งภูฏานเดี๋ยวนี้ก็มีพวกอิสลามเข้าไปฆ่าสัตว์ให้ ไม่อย่างนั้นทั้งประเทศก็ต้องกินเจกันหมด

พวกงานฟอกหนัง งานฆ่าสัตว์ งานเก็บขยะ เป็นของพวกศูทร ต้องใส่ชุดสีดำ ๆ อย่างพวกฆ่าสัตว์ใส่สีดำ ๆ แล้วเปื้อนเลือดยาก มองไม่ค่อยเห็น พวกอินเดีย เนปาล เขามีแนวคิดเกี่ยวกับวรรณะ ๔ อยู่แล้ว แต่ก็แปลก ในเมื่อเป็นหน้าที่ของวรรณะศูทร แล้วไปกินของที่เขาฆ่าทำไม ? ภาษาบาลีที่เขาแปลว่า คนทิ้งหยากเยื่อ คือเป็นคนชั้นต่ำสุดของสังคม ถ้าเป็นบ้านเราสมัยนี้ก็น่าจะเป็นพวกเก็บขยะ

คนเราเกิดมาก็มีมานะติดตัวมาตั้งแต่แรกแล้ว ระบบวรรณะยังตอกย้ำให้มานะหนักเข้าไปอีก ต้องบอกว่าเป็นแบบธรรมเนียมของพวกอารยัน เพราะเขาเข้ามาครองอินเดีย แล้วเผยแพร่เรื่องนี้ จริง ๆ แล้วก็คือ แบ่งออกเป็นผู้ปกครอง เป็นฝ่ายศาสนพิธี เป็นพ่อค้า เป็นกรรมกร ระบบเกิดวรรณะไหน ตายวรรณะนั้นก็แปลกดีเหมือนกัน

วรรณะพราหมณ์ที่ยากจนมาก ๆ เลย อย่างเช่น ชูชก เป็นขอทาน แต่ก็ยังอยู่ในวรรณะสูงลิบ อย่างราธพราหมณ์ ยากจน ถูกลูก ๆ ทอดทิ้ง ก็ต้องไปอาศัยบวชอยู่ในพระพุทธศาสนา เขาไม่ได้เอาเรื่องฐานะทางสังคม เขาเอาฐานะโดยชาติตระกูล คำว่าวรรณะคำนี้จึงแปลว่าชาติตระกูล ที่สุปปิยปริพาชกด่าพระพุทธเจ้าว่า พุทธัสสะ อะวัณณัง ภาสะติ ธัมมัสสะ อะวัณณัง ภาสะติ สังฆัสสะ อะวัณณัง ภาสะติ พระพุทธเจ้าไร้วรรณะ พระธรรมไร้วรรณะ พระสงฆ์ไร้วรรณะ สมัยก่อนด่าประเภทแบบหยาบคายสุด ๆ ดูถูกกันถึงที่สุด

สุปปิยปริพาชกนี่น่ากระทืบมาก ด่าพระพุทธเจ้าเสร็จ พระพุทธเจ้าพักที่ไหนก็ย่องไปพักใกล้ ๆ จนพรหมทัตมานพที่เป็นลูกศิษย์ถามว่า “อ้าว..อาจารย์เพิ่งจะด่าเขา แล้วไปพักใกล้ ๆ เขาทำไม ?” สุปปิยปริพาชกตอบหน้าตาเฉยว่า สมณโคดมเป็นพระอรหันต์ อยู่ที่ไหนพรหมเทวดาก็คอยรักษา เราไปพักใกล้ ๆ เราก็พลอยปลอดภัยไปด้วย คือคนจะด่าเสียอย่าง รู้ทั้งรู้ว่าพระพุทธเจ้าดีแค่ไหนแต่จะด่า"

เถรี
08-05-2015, 19:14
"ขำที่สุดคือเจ้าเจค็อบ หมาที่วัด เป็นหมาที่ไม่มีมารยาท หมาทุกตัวในวัดเจอหน้าต้องด่า ปรากฏว่าวันก่อนทำวัตรเช้าเสร็จออกมา ลูกหมากำลังด่า “แง็ก ๆ” อาตมาก็เฮ้ย..ด่าใครวะ ? ไม่เห็นมี ปรากฏว่าพอส่องไฟ โน่น..เกือบสุดแสงไฟ เจ้าเจค็อบยืนอยู่ นี่ขนาดลูกหมาเพิ่งเกิดยังโดนด่าเลย ประเภทหน้าด้านไปซ่าได้ทุกที่ทั่ววัด"

เถรี
09-05-2015, 15:35
พระอาจารย์พูดถึงเนปาลว่า "ตอนที่ลาจากกัน ก็บอกเจ้าแม่ว่าเดี๋ยวปีหน้าเจอกันใหม่ เพราะว่าต้องเอากฐินมาทอด เขาบอกว่าปีหน้าก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว อาตมาก็คิดว่าจะมีการเปลี่ยนตัวเจ้าที่ ไม่คิดว่าที่ไม่เหมือนเดิมคือสภาพสถานที่ เขาบอกแล้ว แต่อาตมาไม่เฉลียวใจเอง มานึกถึงที่เขาว่า ปีหน้าก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว..ก็ใช่นะ

ทุกวันนี้เนปาลเขาอยู่ได้ด้วยแหล่งเที่ยว กลายเป็นว่าแหล่งเที่ยวนอกเหนือจาก Everest Base Camp แล้ว ที่เหลือถล่มทลายหมดเลย บริษัททัวร์ที่เคยใช้บริการเขาบอกว่า Staff ของเขาคนหนึ่ง กับคนขับรถ ๓ คน บ้านพังหมดเลย แต่ว่าทุกคนปลอดภัยดี แล้วเขาส่งรูปบ้านใหม่มาให้ดู เป็นเต็นท์ “This my new Home” เมื่อถามว่าจะให้ช่วยเหลืออะไรบ้าง เขาส่งชื่อมูลนิธิมา บอกให้บริจาคให้ที่นั่นแหละ ไม่ต้องส่งมาให้เขา เขาบอกว่าพวกเขายังพออยู่ได้ พวกชาวบ้านที่เดือดร้อนมากกว่าเขามีเยอะ ให้บริจาคเข้ามูลนิธิไปเลย

แต่ท่านวิปัสสีนี่ติดต่อไม่ได้ โทรศัพท์ไปก็ไม่รับ คาดว่าจะมีปัญหาเหมือนกัน ก็เลยคิดว่าถ้าเราไปกฐินปลดหนี้ที่เนปาลปีนี้ จะกลายเป็นไปซ้ำเติมเขา ก็คือว่าเขากำลังเดือดร้อนเรื่องกินเรื่องใช้ ของเขาเองก็ไม่พอแล้ว ถ้าเราไปก็ไปแย่งกินแย่งใช้ ก็เลยคิดว่าอย่าไปเลยดีกว่า ถ้าอย่างไรให้ท่านมารับที่นี่ก็ได้ ไม่นึกเลยว่าจะเละได้ขนาดนั้น

รัฐบาลที่ล้มสถาบันกษัตริย์ ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกชาวบ้าน พอได้อำนาจมาก็ปกครองไม่เป็น นายกรัฐมนตรีอยู่คนหนึ่ง ๘ เดือน ๑ ปี ๒ ปี แล้วก็ลาออก ๆ เพราะทำงานไม่เป็น ชาวบ้านเขาอยู่ได้ด้วยรายได้จากการท่องเที่ยวอย่างเดียว แต่กลายเป็นว่าที่ท่องเที่ยวพังหมดเลย ดูที่เขาเอาโดรนถ่ายรูปออกมา ที่ไหนที่เคยไปเที่ยว ที่นั้นแหละที่พัง

คนเราถ้าไม่ได้สร้างกรรมไว้ อย่างไรก็ไม่โดน เด็กเพิ่งจะ ๔ เดือนแท้ ๆ โดนฝังอยู่เป็นวันกลับไม่เป็นไร หน่วยกู้ภัยคุ้ยขึ้นมา มอมแมมไปทั้งตัว

พระเราเป็นหน่วยแรก ๆ เลยที่ส่งความช่วยเหลือไป เพราะทางหลวงพ่อวัดปากน้ำบริจาคเองเลย ๒ ล้านบาท แล้วก็ทางคณะสงฆ์รวม ๆ กัน ชุดแรกที่ไป มีพวกบะหมี่แห้ง ๑,๐๐๐ ลังใหญ่ ลังใหญ่ที่มี ๑๒ ลังเล็ก แล้วก็มีพวกข้าวสารอีกเป็น ๑๐๐ กระสอบ

ไปนึกถึงตอนของเราที่เกิดสึนามิ ก็คงโกลาหลวุ่นวายกันแบบนี้แหละ เพียงแต่ว่าของเราเองไม่คิดว่าเรื่องอย่างนี้จะเกิด ระบบการจัดการก็เลยช้า เรื่องพวกนี้เป็นช่วงเวลาที่จะได้เห็นน้ำใจของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ตัวเองลำบากยากแค้นขนาดไหน เห็นเขาลำบากก็ช่วยกัน"

ถาม : ทำกรรมอะไรมาจึงโดนแบบนั้น ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ก็เป็นกรรมที่ร่วมกันมา เกี่ยวกับเรื่องของปาณาติบาต กับอทินนาทาน ส่วนใหญ่ก็ปล้นบ้านตีเมืองเขานั่นแหละ

เถรี
09-05-2015, 17:38
ถาม : ผมภาวนาคาถาเงินล้าน สมาธิดีขึ้นช้า ๆ อยากถามว่า ปัจจุบันควรทำอย่างไร ?
ตอบ : ใช้เป็นกรรมฐานไปเลย ภาวนาเมื่อไรใช้คาถาเงินล้าน คำภาวนาเป็นเครื่องโยงใจให้เป็นสมาธิ ในเมื่อใจเป็นสมาธิแล้วมีผลพิเศษด้วย จึงให้เอาคาถาเงินล้านเป็นหลัก

เถรี
09-05-2015, 17:58
ถาม : รูปปั้นพระสยามเทวาธิราชหล่นลงมาหัก ควรจัดการอย่างไรครับ ?
ตอบ : เอากาวต่อ แล้วก็บูชาเหมือนเดิม ไม่มีอะไรหรอก

เถรี
09-05-2015, 18:04
ถาม : ต้องการจะทำบุญอุทิศให้เจ้าของยาเก้าร้อย แล้วเจ้าของท่านคือใครคะ ?
ตอบ : ถ้านึกถึงใครไม่ออก ก็นึกถึงเจ้าของยา ปู่หมอชีวก น่าเสียดายคนเก่งขนาดปู่หมอชีวกปัจจุบันนี้ไม่มีแล้ว ไม่อย่างนั้นท่านรักษาได้ทุกโรคจริง ๆ

ไปดูในเว็บวัดท่าขนุน มียาฟอกเลือดของท่าน ท่านบอกเอาไว้ ตอนนั้นยังรับสังฆทานอยู่ที่บ้านอนุสาวรีย์แล้วท่านมา คนลองเอาไปกินดูหลายคนแล้วได้ผล คาดว่าถ้าไม่ใช่โรคขั้นร้ายแรงอย่างเอดส์น่าจะหาย ฟอกเลือดพวกเลือดเป็นพิษ

แต่พอสิ้นหลวงปู่ธรรมชัยแล้ว คนที่อยู่ก็ไม่เก่งอย่างนั้น เขาได้แต่ตำรายาไว้ แต่ตรวจโรคไม่เป็น สมัยก่อนหลวงปู่ท่านหลับตาลง บอกได้เลยว่าป่วยเป็นโรคอะไร กี่วัน กี่เดือน กี่ปี บอกรายละเอียดได้ แต่คราวนี้คนรุ่นหลังได้แต่ตำรายา ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร ก็รักษามั่ว

เถรี
10-05-2015, 13:30
ถาม : ไปหาแม่ชีทศพรมา ทำไมเขาฝึกได้ขนาดนี้เลยหรือครับ ?
ตอบ : ของเก่าเขาเคยทำมา ถึงเวลาก็แค่ใช้ของเก่าเท่านั้น เหมือนกับเขียนหนังสือ ถ้าพวกเราอยู่อนุบาล กว่าจะปั้น ก.ไก่ ได้ตัวหนึ่ง แทบล้มประดาตาย ส่วนตอนนี้เขียนอะไรก็ได้ ก็เหมือนกันนั่นแหละ

ถาม : ทำไมคนทำได้แบบแม่ชีจึงมีน้อย ?
ตอบ : ใครว่าน้อย มีเยอะแยะไป เพียงแต่เขาไม่ได้แสดงตัวเท่านั้นเอง หลายคนคิดว่าตัวเองบ้าด้วย มีบางคนอยู่ใกล้คนอื่นแล้วรู้สึกเครียด เพราะสิ่งที่เขาคิดกับสิ่งที่เขาพูดไม่เหมือนกัน

ถาม : เราคิดอีกอย่าง แต่พูดอีกอย่างหรือครับ ?
ตอบ : แบบนั้นแหละ ตรงนั้นทำให้เขาสับสน มีคนมาบ่นกับอาตมาหลายคนแล้ว บอกว่าแล้วจะไปฟังทำไม เขาอยากคิดอะไรก็ให้เขาคิดไปสิ

เถรี
10-05-2015, 13:33
ถาม : บางครั้งไหว้พระอยู่ แต่ในใจก็ด่าพระ ก็คิดว่าไม่ใช่เราอยู่แล้ว ?
ตอบ : ต้องใช่สิ ถ้าไม่ใช่แล้วจะคิดได้อย่างไร ไม่เคยเห็นของฝรั่งหรือ ? ตัวมีปีกกับตัวมีหาง นั่งเถียงกันอยู่ ๒ ข้างหัว สภาพจิตที่ใฝ่ต่ำ กับสภาพจิตที่รักความดี

ถาม : ยากนะครับ อย่างนี้เราก็สร้างมโนกรรมตลอดเวลา ?
ตอบ : แน่นอน โอกาสที่จะหลุดพ้นยากมาก

ถาม : นึกถึงพระนิพพานตลอดก็หลุดพ้นไม่ใช่หรือครับ ?
ตอบ : คราวนี้เรานึกถึงได้ตลอดไหมล่ะ ? ขนาดไหว้พระอยู่ยังนึกด่าพระได้

เถรี
10-05-2015, 13:37
ถาม : ตอนผมบวช กำลังทำวัตรทรงอารมณ์อยู่ ภาพลอยมาแก้ผ้าทั้งตัวเลย ?
ตอบ : เรื่องปกติ เราฝึกเรื่องพวกนี้มากี่ชาติแล้ว ? ส่วนกรรมฐานเราฝึกมากี่วัน ? เรื่องนั้นเราชำนาญมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว

ถาม : แสดงว่าเป็นจิตใต้สำนึกเราเอง ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าทุกอย่างที่อยู่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นของในอดีตที่ทำมา ขึ้นอยู่กับว่าเราฟื้นความดีมาใช้งาน หรือเราฟื้นความชั่วมาใช้งาน ถ้าฟื้นความดีมาใช้งานก็ได้อย่างแม่ชี ถ้าฟื้นความชั่วมาใช้งาน ก็เหมือนกับเราอย่างที่เป็นทุกวันนี้

ถาม : ผมนึกว่ามารมาขวางเสียอีก เพื่อไม่ให้เราทำความดี ?
ตอบ : ก็ใช่อยู่ เพียงแต่ว่าเขาก็เอาการกระทำของเรานั่นแหละมาขวางเรา พวกนี้เหมือนเล่นยิวยิตสู อาศัยแรงคนอื่นทำร้ายคนอื่น

ถาม : ผมจะสู้เขาได้อย่างไรครับ ยากมากเลย ?
ตอบ : ก็อย่าออกแรง ไม่ออกแรงเขาก็ทำอะไรไม่ได้ คราวนี้การไม่ออกแรงก็คือหยุด หยุดกายกรรม หยุดวจีกรรม หยุดมโนกรรม พอไม่มีแรง ตัวปฏิกิริยาก็ไม่มี ไม่มีกิริยา ปฏิกิริยาก็ไม่มี ก็ในเมื่อไม่มี Action ก็ไม่มี Anti-action ต้องอธิบายเป็นภาษาอังกฤษถึงจะเข้าใจ อาตมาพูดไทยก็แล้ว พูดบาลีก็แล้ว ยังไม่เข้าใจเสียที

เถรี
10-05-2015, 13:41
ถาม : แม่ชีช่วยคนเขาไม่รับกรรมหรือครับ เพราะไปขวางกรรมชาวบ้าน ?
ตอบ : สายโพธิสัตว์เขาไม่กลัวเรื่องแค่นั้นหรอก หนักกว่านั้นเขาก็ทำ เพื่อความสุขของคนหมู่มาก ตัวเองจะลงนรกเป็นเรื่องเล็ก เรายังทำกำลังใจไม่ได้อย่างเขาเลย พูดง่าย ๆ ว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ ถึงเวลาพอเห็นคนอื่นลำบากก็ช่วย ไม่เคยคำนึงเลยว่าช่วยแล้วตัวเองจะเดือดร้อนอะไร ไม่เสียเวลาไปคิด

ถาม : พระโพธิสัตว์ท่านเหนื่อยรากเลือดจริง ๆ ?
ตอบ : อยู่ในดีเอ็นเอมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว ถึงเหนื่อยก็ไม่เลิกหรอก

ถาม : จริง ๆ ก็ไม่ต้องเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ แค่ช่วยเหลือคนไปเรื่อยก็พอ ?
ตอบ : ก็ไม่ได้คิดจะเป็นหรอก แต่ทำไปทำมากติกาครบก็เลยต้องเป็น

ที่พูดนี่ไม่ใช่ค้านนะ แต่พูดตามปฏิปทาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐม เพราะท่านก็ทำของท่านไปเรื่อย สมัยนั้นมีใครรู้บ้างเล่าว่าทำแล้วจะได้เป็นพระพุทธเจ้า ? ท่านนึกอยากจะช่วยเขา ท่านก็ช่วยไปเรื่อย แต่ช่วยไปช่วยมาแล้วกติกาครบก็เลยเป็น รุ่นหลัง ๆ ก็อยากช่วยแบบนั้นบ้าง แต่คราวนี้ตัวอย่างมีแล้ว ก็ขอเป็นอย่างนั้นบ้างก็แล้วกัน

ถาม : พอทำไปกำลังใจก็ไม่กลัวอะไร ?
ตอบ : ถ้าท่านกลัว ท่านคงตัดหัวตัวเองถวายพระไม่ได้หรอก

เถรี
10-05-2015, 13:48
ถาม : มีไหมที่ใช้กรรมในนรกยังไม่หมด คือยังไม่ถึงวาระ แต่ไปจุติที่อื่น ?
ตอบ : ถ้ากรรมใหญ่ก็ใช้หมด ยกเว้นว่ามีบุญเก่าบางอย่างเข้ามา ก็จะทำให้ช่วงจังหวะนั้นไปรับบุญก่อน แต่ถ้าพลาดเมื่อไรของเดิมก็กลับมาอีก

ถาม : ก็หมายความว่า ?
ตอบ : ถ้ากระแสบุญแรงกว่า บางทีบุญก็ชักนำให้ไปก่อน แบบที่ว่าบางท่านเห็นไฟนรกแล้วไปนึกถึงจีวรพระ ก็จะอันตรธานออกจากที่นั่นไป แต่ถ้าไม่ได้ทำความดีอะไร กุศลที่นึกขึ้นมาได้แค่นั้นหมด เดี๋ยวก็ได้ลงใหม่

เถรี
10-05-2015, 14:23
พระอาจารย์กล่าวถึงประเทศเนปาลว่า "ความจริงเจ้าที่เขาบอกไว้แล้ว แต่อาตมาไม่เฉลียวใจเอง คือก่อนจะกลับบอกท่านว่า “เดี๋ยวปีหน้าเจอกัน” เขาก็ทำหน้าเศร้าบอกว่า “ปีหน้าก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว” อาตมาก็คิดว่าเขาจะมาทำโศกอะไรกับเรา ไปคิดว่าจะมีการเปลี่ยนตัวเจ้าที่อะไรไปโน่น ไม่คิดว่าไม่เหมือนเดิมของท่านคือพังทลายหมดแล้ว"

ถาม : เกี่ยวกับที่เขาฆ่าสัตว์ ฆ่าวัวไหมครับ ?
ตอบ : อันนั้นแค่นิดเดียว อันนี้เป็นกรรมเก่า กรรมเก่าประเภทไปปล้นบ้านตีเมืองเขามา ถึงเวลาก็ต้องสูญเสียทรัพย์สินและชีวิต

ถาม : แล้วเราจะรอดจากกรรมตีบ้านตีเมืองไหมครับ ?
ตอบ : โดนแน่ แต่ถ้าเราโดน พม่าจะโดนด้วย สังเกตไหมว่าพอเราก็โดนสึนามิ นาร์กีสก็ถล่มพม่า

ถาม : ทำไมเราจึงต้องเกี่ยวเนื่องกับพม่าด้วย ?
ตอบ : ก็ผลัดกันตี เขาฟาดเรา เราฟาดเขา ใครโดนอีกฝ่ายก็โดนตามไปด้วย

เถรี
10-05-2015, 14:35
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาญาติโยมทำบุญรับวัตถุมงคล พอเขาวนมาอาตมาก็บอกได้ว่า คนนี้รอบที่ ๕ คนนี้รอบที่ ๘ บางทีเขาคิดว่าอาตมาพูดเล่น แต่บอกตรง ๆ ว่าอาตมาจำได้จริง ๆ"

เถรี
10-05-2015, 14:45
ถาม : ท่านห้ามไม่ให้คิดชั่วอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก่อนหน้านี้ห้ามไม่ได้เลย จินตนาการบรรเจิดมาก แต่พอเห็นทุกข์เห็นโทษเข้า ก็รู้จักหยุดตัวเอง หลังจากนั้นพอกำลังสมาธิของเราดีขึ้น ก็ห้ามได้ พอไม่ได้ทำนาน ๆ ก็ชักลืม ก็คือลืมไปว่าจะคิดชั่วอย่างไร

อันดับแรก สติของคุณต้องมีก่อน ถ้าคุณไม่มีสติก็จะเพลิดเพลินเจริญใจไปกับการคิดชั่ว คราวนี้พอมีสติแล้ว จะหยุดให้ได้ก็ต้องมีกำลังของสมาธิ เพราะถ้ากำลังสมาธิไม่พอ คุณก็ไม่สามารถหักห้ามกำลังความคิดของตัวเองได้ หลังจากที่ห้ามอยู่แล้ว คุณก็ไม่สามารถที่จะฆ่าให้ตายขายให้ขาด ก็ต้องมีปัญญาพิจารณาให้เห็นว่าถ้าเราคิดไปแล้วจะเป็นทุกข์เป็นโทษแก่เราอีกยาวนานเท่าไร ก็จะเกิดความรู้สึกเข็ด แล้วก็เห็นชัดว่านี่คือสาเหตุที่สร้างทุกข์ให้แก่เรา แล้วก็ปล่อยวาง

ในเมื่อปล่อยไม่ไปสร้างเหตุ ความทุกข์ก็ไม่เกิด แล้วคราวนี้ก็เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือ พอจะคิด สติก็จะรู้เท่าทันขึ้นมา ก็จะเตือนตัวเองว่า ถ้าคิดดีจะเป็นอย่างนี้ ถ้าคิดไม่ดีจะเป็นอย่างนี้ แล้วเขาก็จะเลือกแต่ด้านที่ดีเอาไว้

อย่างนี่ก็เป็นกระติกน้ำธรรมดา แต่ถ้าเราคิดว่าตอนนี้อากาศร้อน ได้น้ำแข็งเสียหน่อยก็ดี โลภมาแล้วใช่ไหม ? นั่นแหละ..โลภแล้ว วันก่อนใส่น้ำเอาไว้ คนอื่นมาถึงแดกหมดแล้วก็ไม่ใส่คืนให้เราด้วย โทสะเกิดแล้ว หรือวันนั้นสาวเขาอุตส่าห์แช่น้ำไว้ให้เราอย่างดี อ้าว...ราคะเกิดอีกแล้ว รัก โลภ โกรธ หลง ทุกอย่างอยู่ที่เราคิดจริง ๆ เพราะฉะนั้น..พอเห็นปุ๊บว่าคิดแล้วจะเป็นโทษอย่างไร ก็จะหยุดทันที ในเมื่อหยุด กระติกก็เป็นวัตถุอย่างหนึ่ง ทำอะไรเราไม่ได้หรอก นี่บอกข้ามไปเยอะแล้ว

เถรี
10-05-2015, 14:46
ถาม : ถ้าเราตั้งกำลังใจว่าจะนั่งสมาธิวันละ ๑๐ นาที กับเราเห็นพระทั้งวัน อย่างไหนควรทำมากกว่ากัน ?
ตอบ : การเห็นพระทั้งวันก็เป็นสมาธิอยู่แล้ว

เถรี
12-05-2015, 14:44
ถาม : ไปถวายตะกรุดมหาสะท้อนให้หลวงพ่อจำเนียร กราบเรียนว่าตะกรุดมหาสะท้อนของพระอาจารย์เล็ก ท่านบอกว่าอันนี้ดีมากเลยนะ แล้วท่านก็เก็บเข้ากระเป๋าส่วนตัวไปค่ะ ?
ตอบ : ได้โปรดอย่าเอาไปให้ท่านบ่อย มีเท่าไรท่านเก็บเรียบ เวลาคนอื่นเล่นงานหลวงพ่อจำเนียร ท่านแผ่เมตตาให้อย่างเดียว คือวิชาการสายที่ท่านเรียนมาไม่มีประเภทตอบโต้เขา ถึงมีก็อยู่ในลักษณะการใช้ไสยศาสตร์สู้ไสยศาสตร์ ไม่ใช่แบบพุทธคุณที่ไสยศาสตร์เข้าไม่ได้แล้วย้อนกลับไป

จำได้ว่าท่านให้คดมะพร้าวมา น่าจะเป็นจาวมะพร้าวที่เป็นหิน เล็กนิดเดียว ไม่รู้เอาไปไว้ไหน หาไม่เจอแล้ว

สมัยก่อนเวลาพุทธาภิเษกงานเดียวกับท่าน อาตมาก็อู้ เข้าสมาธิเฉย ๆ ดูหลวงพ่อท่านทำ ไม่ต้องเหนื่อยเอง ท่านไปอยู่ราชบุรีก็ดีแล้ว ลูกศิษย์ไปหาง่ายหน่อย สมัยก่อนกว่าจะไปถึงกระบี่ได้ก็ไกล ไปถึงท่านก็ไม่อยู่อีก ช่วงบวชใหม่ ๆ บรรดารุ่นพี่ ๆ เขาชวนไปหาหลวงพ่อจำเนียรบ่อย ไปกันทีก็ ๗-๑๐ วัน อย่างไรก็ต้องรอจนกว่าจะได้พบ

ถาม : เพิ่งรู้ว่าท่าน ๘๐ กว่าแล้ว ?
ตอบ : ท่านเดินลมปราณตั้งแต่สมัยยังหนุ่ม ๆ ก็เลยแข็งแรง ท่านเคยสอนให้เหมือนกัน ปรากฏว่าดูไปดูมาแล้วคล้าย ๆ กับไท้เก๊ก มีพวกท่าอุ้มโลกแบกโลกอะไรของท่านด้วย

นึกถึงครูบาอาจารย์แต่ละท่าน ต้องไปสร้างวัดโน้น บูรณะวัดนี้ เหมือนกับไปใช้หนี้เขา ทำไปหลายวัดด้วยกัน กว่าจะไปปักหลักอยู่จริง ๆ สักวัดหนึ่ง อย่างหลวงพ่อจำเนียร คิดว่าท่านจะปักหลักที่ถ้ำเสือ ไป ๆ มา ๆ ก็มาอยู่ที่เขาหลาว หลวงปู่สุภาก็คิดว่าท่านจะอยู่จนมรณภาพที่ภูเก็ต ปรากฏว่าท่านกลับไปบ้านท่านที่สกลนคร

เถรี
12-05-2015, 14:52
ถาม : ตอนแวะไปกราบหลวงตาชลอ ที่วัดศาลพันท้าย และกราบเรียนว่าจะไปกราบหลวงพ่อจำเนียรที่วัดเขาหลาว หลวงตาชลอท่านบอกว่า วัดเขาหลาวเป็นสาขานะ ?
ตอบ : น่าจะเป็นสาขาของทางด้านวัดถ้ำเสือ เพราะว่าถ้าไม่ยกเป็นสาขา ก็จะต้องขอตั้งเป็นสำนักสงฆ์ ขอตั้งเป็นวัด ซึ่งขั้นตอนจะยุ่งยากกว่าเยอะ แต่ถ้าติดป้ายสาขาลงไปเลย ก็คือวัดถ้ำเสือนั่นแหละ เพียงแต่ว่าเป็นสาขาเขาหลาว เท่ากับเป็นวัดไปในตัว เป็นที่ธรณีสงฆ์ของวัดถ้ำเสือ เพราะว่าที่ดินวัดจะมีที่ตั้งวัด ที่ธรณีสงฆ์ ที่กัลปนา

ที่ตั้งวัดก็คือที่ ๆ วัดนั้นอยู่ ซึ่งได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เรียกง่าย ๆ ว่าที่ตั้งโบสถ์ ผืนเดียวกับที่ตั้งโบสถ์ทั้งหมด จะกี่ร้อยกี่พันไร่ก็ตามจัดเป็นที่ตั้งวัด ส่วนที่ธรณีสงฆ์จะเป็นที่ใดก็ได้ในโลกนี้
ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของวัดนั้น ถ้าเป็นที่ผืนเดียวกับที่ตั้งวัดเก่า แล้วอยู่ ๆ มีทางสาธารณะตัดผ่าน อย่างนั้นฝั่งที่ตั้งวัดก็เป็นที่ตั้งวัดเหมือนเดิม ส่วนอีกฝั่งจะกลายเป็นที่ธรณีสงฆ์ไปทันที ส่วนที่กัลปนาจะเป็นที่ซึ่งเจ้าของที่ดินอนุญาตให้ทำประโยชน์บนที่ดิน อย่างเช่น ปลูกข้าว ปลูกผลไม้ หรือสร้างอาคารพาณิชย์ให้เช่าอะไรก็แล้วแต่ แล้วก็เก็บประโยชน์จากที่ดินนั้นได้ แต่ที่ดินยังเป็นของเจ้าของอย่างเดิม ถ้าหากว่าปักป้ายว่าเป็นสาขา ก็เป็นที่ธรณีสงฆ์ของวัดที่เป็นสาขาใหญ่

บางทีที่วัดเก่า เห็นว่าโบสถ์เล็กไป หรือว่าโบสถ์เก่าแล้ว อยากสร้างใหม่ ก็ขอพระราชทานวิสุงคามสีมาใหม่ได้ ท่านก็จะให้ไปว่ากี่วา พอพระราชทานให้ คราวนี้จะเป็นสิทธิ์ขาดของทางวัด ในเมื่อเป็นสิทธิ์ขาดของทางวัด แบบเดียวกับที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ที่โดนรัชกาลที่ ๔ ไล่ออกจากแผ่นดิน ท่านก็ไปอยู่ในโบสถ์ บอกว่าตรงนี้เป็นที่ของวัดแล้ว ไม่ใช่สิทธิ์ของพระมหากษัตริย์แล้ว

ส่วนสุนทรภู่หนีราชภัยก็ลอยเรือ ถือว่าอยู่ในน้ำไม่ได้อยู่บนบก ในเมื่อท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ไม่ใช่พระเจ้าแผ่นน้ำ ลอยเรืออยู่ในน้ำ ของสุนทรภู่ต้องบอกว่า ท่านแทงหวยผิด เพราะว่าท่านเข้าข้างสมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎมาตลอด แต่บรรดาข้าราชบริพารต้องการให้กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ขึ้นครองราชย์ ตัวเองไปกีดไปกัน ไปแสดงท่าทีอะไรต่อมิอะไรเอาไว้เยอะ พอถึงเวลาเสด็จขึ้นครองราชย์ กลัวว่าจะโดน ก็เลยหนีไปบวช ต้องบอกว่าระแวงโดยใช่เหตุ รัชกาลที่ ๓ ท่านไม่เคยที่คิดจะเบียดเบียนอะไรเลย มีแต่สุนทรภู่ไปเขียนกลอนด่าพระองค์ท่านไว้เยอะแยะ ต้องบอกว่าคนเรากำลังใจแค่ไหนก็คิดแค่นั้น พูดแค่นั้น ในเมื่อคิดว่าตัวเองเอาคืนแน่ พอถึงเวลารัชกาลที่ ๓ ก็คงจะเอาคืนเหมือนกัน

เถรี
12-05-2015, 15:07
ถาม : เจ้าคุณศรีเป็นสมณศักดิ์หรือคะ ?
ตอบ : ถ้าจบประโยค ๙ แล้วเป็นเจ้าคุณจะขึ้นด้วยคำว่า ศรีหรือเมธี อย่าง ศรีวิสุทธิวงศ์ ศรีวิสุทธิเมธี ศรีวิสุทธิโมลี เมธีธรรมาจารย์ เมธีปริยัติวิบูล ฯลฯ

ต้องบอกว่าสมณศักดิ์ บ่งถึงวิทยฐานะ มีอยู่ตำแหน่งหนึ่งที่ขึ้นว่าเจ้าคุณศรีเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ประโยค ๙ เป็นประโยค ๘ ก็คือศรีสุธรรมเมธี ให้สำหรับท่านที่เป็นประโยค ๘ โดยเฉพาะ

เถรี
12-05-2015, 15:07
ถาม : แม่ย่าเสืองที่สุโขทัยเป็นใคร และเกี่ยวเนื่องอะไรกับหลวงพ่อวัดท่าซุง ?
ตอบ : เชื่อว่าท่านก็คือแม่ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ไม่อย่างนั้นก็เป็นวงศ์พระร่วง ซึ่งจะเกี่ยวข้องกันยาวนานลงมา เพราะว่าหลวงพ่อท่านก็เคยเกิดในวงศ์นั้น

เถรี
12-05-2015, 15:10
ถาม : มีคนกลุ่มสุโขทัยค่ะ กำลังจะอัญเชิญรูปหล่อพระแม่ย่า ที่หล่อพิธีใหญ่เมื่อ ๒-๓ ปีที่แล้ว และจะจัดทำหนังสือประวัติถ้ำแม่ย่าด้วยค่ะ ?
ตอบ : ทำไปเถอะ อะไรที่เป็นความดี โดยเฉพาะในเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์ ยิ่งนานไปคนเรามีการศึกษาแบบตะวันตกมากขึ้น ก็เกิดความลังเลสงสัยในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์มากขึ้น เราจะสังเกตว่าของต่างประเทศเขา ถ้าไปสัมภาษณ์ว่านับถือศาสนาอะไร มีจำนวนมากเลยที่บอกว่าไม่มีศาสนา ก็คือการศึกษาทำให้ไปเชื่อมั่นในสิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์แทน ก็ต้องบอกว่าทิ้งของดีไปเอาของปลอมมาแทน ทิ้งเพชรไปเอาพลอยหุงมาแทน

เจอหน้าหลวงตาวัชรชัยยังบอกท่านเลยว่า "นี่ผมจบด็อกเตอร์แล้วนะ ผมจะเริ่มพูดไม่รู้เรื่องแล้ว" หลวงตาก็บอกว่า "ไอ้พวกเรียนกรรมฐานมาก่อน เรียนด็อกเตอร์สักกี่ใบก็ไม่เป็นอย่างนั้นหรอก" เพราะว่าจะมีอยู่ส่วนหนึ่ง ที่พอศึกษาหลักวิชาการตะวันตกมาก ๆ เข้า ก็มักจะอ้างอิงสิ่งที่คนทั่วๆ ไปเขาฟังไม่เข้าใจ

เถรี
13-05-2015, 13:43
ถาม : ได้ไปฟัง ดร. ท่านหนึ่ง ซึ่งท่านเก่งมาก มีลักษณะเฉพาะของนักวิชาการแท้ ๆ ตั้งโจทย์แล้วหาคำตอบให้ได้ และยังคิดต่อเนื่องสร้างสรรค์ไปได้อีกหลากหลาย แต่พอมาเกี่ยวข้องกับเรื่องทางธรรมแล้ว กลับเห็นว่าท่านไม่มีความเชื่อในหลักพระศาสนา ทำให้เห็นภาพของคำว่าฉลาดเกินได้ชัดมาก ?
ตอบ : ต้องบอกว่าหัวแข็ง เขาจะตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนเสมอ ซึ่งหลักเกณฑ์นี้ขัดกับหลักการบรรลุธรรมตรงที่ว่า ต้องไม่มีวิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย) คราวนี้ในเรื่องของทางธรรมเป็นเรื่องของการลงมือปฏิบัติ ไม่ใช่ตั้งข้อสงสัยแล้วไปค้นคว้าหาคำตอบ ก็เลยทำให้ท่านทั้งหลายเหล่านี้เสียโอกาสไปเอง

ถาม : ประโยคที่ท่านใช้แนะนำก็คือ คิดให้ได้คำตอบอย่างเดียวไม่ได้ ต้องลงมือทำด้วย ถึงอย่างนั้น ก็ยังสังเกตว่า การลงมือให้ได้ผลสำเร็จที่ท่านแนะนำก็ไม่เหมือนการปฏิบัติธรรม ?
ตอบ : ตั้งสมมติฐานขึ้นมา แล้วทำให้ได้ตามสมมติฐานนั้น ซึ่งอาตมาเคยไปบอกว่า ตัดสมมติฐาน ทิ้งไปเถอะ ถ้าคุณสามารถคาดว่าจะเป็นอย่างนั้นได้ ในเมื่อรู้คำตอบอยู่แล้ว คุณจะทำไปทำไม ? เล่นเอาบรรดาอาจารย์โวยกันขรมเลย

เถรี
13-05-2015, 14:25
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปกติถ้าเป็นการปฏิบัติธรรม ถ้าผ่านขั้นตอนหนึ่ง ๆ พระพุทธเจ้าท่านให้มีการทบทวน อย่างที่เรียกว่าอนุโลม ปฏิโลม ก็คือขึ้นหน้าถอยหลัง ถอยหลังขึ้นหน้า อันดับแรกก็คือเพื่อให้มั่นใจว่าทำได้แล้วจริง อันดับที่สองก็คือทบทวนขั้นตอนต่าง ๆ ให้ขึ้นใจ เมื่อบอกกล่าวผู้อื่นจะได้บอกกล่าวได้โดยง่ายและสะดวก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ เสวยวิมุติสุขอยู่ ๔๙ วัน มีการทบทวนข้อธรรมที่พระองค์ท่านตรัสรู้ ที่บอกไว้ชัดเจนที่สุดก็คือพระอภิธรรม ทบทวน ๗ วันเต็ม ๆ เมื่อทบทวนจนมั่นใจ พระองค์ถึงได้ตรัสว่า กตํ กรณียํ งานทุกอย่างทำหมดแล้ว นาปรํ อิตถตฺตาย ไม่มีอะไรให้ทำอีกแล้ว

คราวนี้อย่างที่อาตมาเรียนจบ ถ้าหากว่านับทางโลกก็คือหมดแล้ว ที่หมดแล้วก็คือที่สูงกว่าปริญญาเอกไม่มีแล้ว ตอนนี้อยู่บนยอดเขาเอเวอเรสต์แล้ว รู้สึกโหวงเหวงอย่างไรพิกล เหมือนอย่างกับไม่ทันจะได้อะไรเลย ไปนึกถึงที่หลวงปู่มหาอำพันท่านเขียนติดหัวเตียงไว้ว่า

วิชาโลกเรียนเท่าไรไม่รู้จบ
พื้นพิภพกลมกว้างใหญ่ลึกไพศาล
วิชาธรรมเรียนและทำจนชำนาญ
ย่อมพบพานจุดจบสบสุขเอย

เถรี
13-05-2015, 14:32
"สรุปว่าสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ปริญญาทางโลกเป็นเพียงเครื่องรับรองความรู้ แต่ไม่ใช่เครื่องยืนยันว่ามีความรู้ เพราะการปฏิบัติธรรมยืนยันด้วยปริญญาทางโลกไม่ได้ ตอนนี้ในเมื่อยืนอยู่บนยอดเขาสูงสุด สิ่งที่ควรทำคืออะไร ? ก็ต้องเป็นการย้อนทวนมองไปว่า หนทางที่เราเดินมาเป็นอย่างไร ? ในเมื่ออยู่บนที่สูงก็เห็นชัด ตรงไหนที่ยากก็พยายามแก้ไขให้ง่าย ตรงที่ไหนง่ายอยู่แล้ว ถ้าสามารถทำให้ง่ายยิ่งขึ้นไปก็ทำให้ง่ายเสีย เพื่อคนที่เดินตามจะได้มีความสะดวก เท่ากับได้ทบทวนความรู้ของตนเองไปด้วย

แต่คราวนี้บรรดาท่านที่จบมาก็จะมีอยู่ ๒ ประเภท ประเภทหนึ่งก็คือพวกลำบากยากเข็ญอย่างอาตมา ทำงานด้วยตัวเอง ประเภทนี้ก็จะจำได้ทุกบรรทัด จำได้ทุกหน้า เพราะฉะนั้น..ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ตัวเองทำไปก็ย่อมรู้ลึก รู้จริง ส่วนอีกประเภทหนึ่งก็คือคนนั้นช่วยบ้าง คนนี้ช่วยบ้าง บางท่านอาจจะหนักถึงขนาดจ้างเขาทำเลย ประเภทนั้นก็ไม่แน่ว่าจะรู้จริง หากว่าทิ้ง..ไม่มีการทบทวนเมื่อไรก็สนิมกิน

ฉะนั้น..เมื่อเรียนจบแล้วจึงจำเป็นต้องนำความรู้นั้นมาใช้งาน ไม่ได้แปลว่าต้องเอามาใช้ทั้งหมด เขาถึงใช้คำว่า Applied คือประยุกต์ เลือกเอาส่วนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ เหมาะสมกับสถานที่ เหมาะสมกับเวลา เอามาใช้งานให้คุ้มค่ากับที่เรียนมา ของอาตมาได้ใช้แน่ ๆ เพราะว่าต้องสอนหนังสือเขาหลายแห่ง"

เถรี
13-05-2015, 14:36
"ช่วงนี้เกิดการแย่งชิงตัวกันอุตลุด ยังปรารภกับรองศาสตราจารย์พระมหาบุญเลิศ อินฺทปญฺโญ ผู้อำนวยการหน่วยวิทยบริการ คณะสังคมศาสตร์ ห้องเรียนวัดไร่ขิง ท่านบอกว่า “ตอนนี้ท่านอาจารย์พระครูวิลาศกาญจนธรรมเป็นที่ยอมรับกันมากในเรื่องของการนำปฏิบัติธรรม นิสิตกี่ห้องเรียนก็จะเอาแต่ท่านอาจารย์ งานมีแต่เยอะขึ้นไม่มีน้อยลงหรอก”

ขอให้ทราบว่าขณะที่อาตมานั่งรับสังฆทานอยู่ที่นี่ บรรดาลูกศิษย์ตาดำ ๆ ก็แหงนคอรอคอยว่าเมื่อไรอาจารย์เล็กจะมาเสียที เพราะว่าทางเจ้าคณะภาค ๑๔ หลวงพ่อพระเทพสุธี วัดนิมมานนรดี แต่งตั้งให้เป็นวิปัสสนาจารย์สำหรับอบรมอุปัชฌาย์ใหม่และเจ้าอาวาสใหม่ของปีนี้ เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคมที่ผ่านมา จะไปสิ้นสุดวันที่ ๑๔ มิถุนายนนี้

หลวงพ่อสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ไปเปิดการอบรมตั้งแต่วันที่ ๑ ที่ผ่านมา จนป่านนี้ลูกศิษย์ยังไม่ได้เห็นหน้าอาจารย์เล็กเลย..เพราะมานั่งอยู่ตรงนี้ เนื่องจากเรียนท่านไว้แล้วว่าไม่ขอรับ เพราะว่าภารกิจมาก แต่ท่านบอกว่าไม่ต้องไปครบวันก็ได้ ในเมื่อไม่ต้องไปครบวันก็ได้ เขาจัดตั้ง ๔๕ วัน ก็ว่าจะไปให้เขาสักวันหนึ่ง..!"

เถรี
13-05-2015, 14:48
ถาม : การที่พระพุทธองค์ทรงทบทวน อนุโลม ปฏิโลม จัดว่าเป็นวิมังสาไหมคะ ?
ตอบ : เหนือไปแล้ว เหตุที่เหนือวิมังสาไปแล้วเพราะว่างานของพระองค์ท่านหมดแล้ว

ต้องถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิมังสา แต่ว่านอกผลของวิมังสาไปแล้ว ความสุขในทางธรรมที่รู้ว่าตนเองหมดภาระแล้ว ใช้คำว่า พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว นาปรํ อิตฺถตฺตาย งานอื่นที่จะให้ทำไม่มีอีกแล้ว ใครเข้าถึงตรงนี้คงมีความสุขอย่าบอกใครเลย ภาระทุกอย่างที่แบกรับมานับชาติไม่ถ้วน ตอนนี้ปลงลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว ไม่มีอะไรต้องให้แบกต้องให้หามอีกแล้ว บุคคลที่จะสามารถกล่าวอย่างนี้ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ต้องบอกว่าในชั่วชีวิตนี่นับเรียงตัวได้เลย มีไม่เท่าไรหรอก

ไปนึกถึงบรรดาพระอรหันต์สมัยพุทธกาล ๔ ขวบ ๕ ขวบ ๗ ขวบ ปัญญาท่านถึงขนาดเห็นทุกข์แล้วสามารถทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ สุดยอดจริง ๆ ที่กล่าวถึงตรงนี้ก็เพราะพวกเราจนป่านนี้ก็ยังไม่เป็นโล้เป็นพายเลย ต้องไปดูในเถรกถา พอท่านบรรลุมรรคแล้วก็มักเปล่งอุทานธรรม ของท่าน ๔-๕ ขวบบรรลุมรรคผล ของเรา ๑๐ กว่า ๒๐ ขวบยังมัวแต่ไปเที่ยวห้างอยู่เลย

ถาม : เถรกถาอยู่ในหมวดไหนครับ ?
ตอบ : ขุททกนิกายของสุตตันตปิฎก ถ้าไปดูในเถรีกถาคุณจะอนาถกว่านั้นอีก ผู้หญิงบรรลุกันเยอะมากเลย

เถรี
13-05-2015, 15:03
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันก่อนพาน้องพลอยกับแม็กซิมไปไหว้หลวงพ่อพระพุทธชินราช ปรากฏว่าเป็นวันงาน รถติดยาวเหยียดตั้งแต่กลางเมือง เลี้ยวเข้าไปด้วยความมั่นใจว่าเรามีที่จอดรถแน่นอน เพราะว่าทำบุญมาดี แล้วก็ มีจริง ๆ มีที่จอดรถเหลืออยู่ที่หนึ่ง รถกระบะบังอยู่ คันอื่นวิ่งมาจะไม่เห็นมุมจอดตรงนั้น อาตมาจึงจอดด้วยความสบายใจ

ออกมาวัดท่าหลวง จังหวัดพิจิตร มาไหว้หลวงพ่อเพชร ตั้งใจจะไปดูแม่น้ำยมว่าน้ำเหลือแค่ไหน มีคนวิ่งมาเสนอขายปลา ขายหอย ขายเต่า ขายกบ เข้าท่านะ..ถุงหนึ่งเขาใส่มาให้ทุกอย่างเลย จะมีกบลอยตุ๊บป่องอยู่ตัวหนึ่ง มีเต่าตัวหนึ่ง มีปลาหมอ ๔-๕ ตัว แล้วก็มีหอยขมครึ่งถุง เขาบอกว่า "ถุงละ ๔๙๙ บาทครับ" เห็นเขาถือมา ๔ ถุง จึงบอกว่า "๔ ถุงนี่ ๔๐๐ ถ้วน" เขาบอกว่า "ขายไม่ได้" "ขายไม่ได้ไม่เป็นไร คุณเก็บของคุณไว้ก็แล้วกัน" ปรากฏว่าอีกคนบอก “ได้ครับอาจารย์” เลยหันไปทะเลาะกันเอง

อาตมารับมา ปล่อยเสร็จสรรพเรียบร้อย เขาบอกว่า “อาจารย์..ขอเพิ่มอีกสัก ๕๐ บาทได้ไหมครับ ?” บอกว่า "ได้" ล้วงไปล้วงมามีแค่ ๔๐ บาท บอกเขาว่า "เอ็งเอาไปแค่นี้ก็แล้วกัน" ฝ่ายที่ไม่ขายต่อว่าเพื่อน "ไปขายทำไมวะ..? เสียราคา" "ถ้าไม่ได้ขายแล้วจะไม่ได้ราคาด้วยซ้ำไป" เขาก็นั่งเถียงกัน

วิ่งมากราบหลวงพ่อศรีสวรรค์ที่นครสวรรค์ รอดมาได้เพราะว่าช่วงที่ไปเป็นวันที่ ๑๖ เขายังเล่นสงกรานต์กันทั้งเมืองอยู่เลย กราบหลวงพ่อศรีสวรรค์เสร็จก็วิ่งกลับ พาน้องพลอยกับแม็กซิมไปส่ง สองคนบอกว่าจะเปิดเทอมแล้ว ไม่ได้ไปไหนกับหลวงพ่อแล้ว เกิดมาไม่เคยไปไหว้พระพุทธชินราชเลย คุณแม่เคยไปก็ ๑๗-๑๘ ปีที่แล้ว ลูกยังไม่เกิดเลย"

เถรี
13-05-2015, 15:07
"เหตุที่ไปเพราะว่าปีนี้มัวแต่ยุ่ง ๆ กับเรื่องวิทยานิพนธ์อยู่ ลืมไปเลยว่าออกพรรษาแล้วต้องไปไหว้หลวงพ่อพระแก้วมรกต พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์กับพระปฐมเจดีย์ วันรุ่งขึ้นก็เลยไปไหว้พระแก้วมรกต ปรากฏว่าเดี๋ยวนี้เขามีพานดอกบัวพานใหญ่ ก่อนหน้านี้มีพานเล็กขนาดเดียว ๓๐๐ บาท ตอนนี้มีพานใหญ่ ๔๐๐ บาท ก็เลยยกไปทีเดียว ๒ พาน

เข้าไปไหว้พระแก้วกราบขออนุญาตว่า "เมื่อหล่อพระทองคำเสร็จแล้วกราบขออนุญาตสร้างเครื่องทรงแบบพระแก้วมรกตฤดูร้อน ถวายกับหลวงพ่อทองคำด้วยครับ" ท่านบอกว่า “เรื่องเครื่องทรงเก็บไว้ก่อน ให้สร้างฐานให้ท่านก่อน พอฐานเสร็จแล้วค่อยสร้างเครื่องทรง พอฐานกับเครื่องทรงเสร็จคราวนี้ก็ให้สร้างฉัตรด้วย” โอ้พระเจ้า...แล้วเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความเห็น แต่เป็นคำสั่ง ตูคงโดนสมน้ำหน้าไปอีกนาน คาดว่าฐานก็คงจะหนักพอ ๆ กับองค์พระนั่นแหละ"

ถาม : ฐานก็จะทำทองคำหรือครับ ?
ตอบ : เป็นไปได้ก็ทำทองคำไปเลย อาตมาเป็นลูกคนรวยจะไปกลัวอะไร..! อย่าเพิ่งทำบุญมาเป็นอันขาด ทำมาอาตมาก็เอาไปทำอย่างอื่นหมด รอให้ประกาศก่อน ถ้าหากว่าทำบุญมาก็เท่ากับบังคับให้ต้องสร้าง อาตมาตายก่อนก็ซวยสิ ความจริงก็ไม่มีอะไรน่าหนักใจเพราะว่าเวลาหล่อองค์ท่าน ชนวนที่เหลือก็พอทำได้ตั้งครึ่งฐานแล้ว

เถรี
14-05-2015, 16:13
ถาม : เวลาเด็ก ๆ เล่นแล้วเจ็บตัว ก็ดูเหมือนเขาไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย ?
ตอบ : เขายังไม่รู้ โดยเฉพาะความรักตัวเอง เขายังรักตัวเองไม่มากเท่ากับผู้ใหญ่

เถรี
14-05-2015, 16:29
ถาม : วันก่อน ดร.ท่านหนึ่งเปรียบเทียบธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ว่า ดินคือของแข็ง น้ำคือของเหลว ลมคืออากาศ และธาตุไฟ ท่านว่าคือพลาสมา แบบเดียวกับที่เป็นส่วนของผิวดวงอาทิตย์ อันนี้ถูกต้องไหมคะ ?
ตอบ : ส่วนประกอบที่สำคัญของไฟคือออกซิเจน ที่ไหนมีออกซิเจนที่นั่นมีไฟ เพราะฉะนั้น..ก็แปลว่าในดิน น้ำ ลม มีทั้งนั้น โดยเฉพาะคุณสมบัติของธาตุไฟที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ คือไฟธาตุสามารถกระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต และเผาผลาญร่างกายให้ทรุดโทรม เพิ่งจะไม่นานนี้เองที่ฝรั่งเขาวิเคราะห์พบว่า ออกซิเจนนอกจากจะช่วยให้ร่ายกายเจริญเติบโตแล้ว ยังทำลายเซลล์ในร่างกายได้รุนแรงมาก

ถาม : ก็แบบเดียวกับที่โลหะทำปฏิกิริยาออกซิเดชั่นกลายเป็นสนิม ?
ตอบ : เหมือนกัน เป็นทั้งตัวก่อเกิดและตัวทำลาย พระพุทธเจ้าท่านรู้จริง แล้วคนรุ่นหลังกว่าที่จะตามมาเจอก็ทิ้งห่างมาหลายพันปี

ถาม : แล้วส่วนที่เป็นเปลวไฟ เป็นแค่ปฏิกิริยาทางเคมี ไม่ใช่ตัวธาตุไฟ ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ส่วนที่เป็นเปลวคือสิ่งที่ทำปฏิกิริยาขึ้นมาโดยมีเชื้อเพลิงเป็นตัวกลาง ตัวธาตุไฟเป็นความร้อนเฉย ๆ

ถาม : แล้วธาตุลมหมายถึงอากาศ หรือการเคลื่อนไหวของอากาศคะ ?
ตอบ : ลมนิ่งก็ได้ เคลื่อนไหวก็ได้ ลมหายใจเข้าออกหรือความดันเลือดของเราเป็นลมที่เคลื่อนไหว ลมที่ค้างในท้องในไส้ ในช่องว่างของร่างกายเป็นลมที่นิ่ง

เถรี
14-05-2015, 16:43
ถาม : เพื่อนผมขับเครื่องบินแล้วเครื่องบินตกที่ลพบุรี จากการวิเคราะห์กล่องดำพบว่า ลมหายใจของเขานิ่งมาก สันนิษฐานว่าเขาตั้งใจประคองเครื่องให้ไปตกนอกชุมชน ไม่ทราบว่ากรรมที่เขาทำ เขาจะได้อานิสงส์ไหมครับ ?
ตอบ : สรุปว่าตอนนี้ทำบุญอะไรให้เขาก็ได้ เพราะว่าเขายังไม่หมดอายุ ยังไปรับบุญรับบาปไม่ได้ ทำบุญอุทิศให้เขา เขาจะได้รับทั้งหมด

ถาม : เจอเขาก่อนที่จะเสียสักปีหนึ่ง เหมือนจะรู้ล่วงหน้าว่าเขาจะตกเครื่องบินตาย ทำไมเราถึงรู้ ?
ตอบ : บางอย่างโบราณเรียกว่าลางสังหรณ์ ซึ่งก็คือทิพจักขุญาณ เพียงแต่ว่าขาดการซักซ้อม มีของเก่าอยู่แต่ไม่เคยเอามาใช้ จึงรู้บ้างไม่รู้บ้าง

เถรี
14-05-2015, 16:46
ถาม : เด็ก ๆ ที่มีความจำว่าเหาะได้ แล้วกระโดดลงมาจากที่สูง คือเขาน่าจะเหาะได้มาก่อน แล้วทำไมเขาถึงทำไม่ได้ ?
ตอบ : ของเก่าขึ้นสนิม..ก็ซ้อมใหม่สิจ๊ะ เริ่มด้วยกสิณไปเลย

เถรี
14-05-2015, 17:35
ถาม : เพื่อนที่รู้จักกันเขาแขวนคอตาย พอเขาตายแล้วก็พยายามจะควบคุมหนู อยู่ ๆ ก็อาเจียน กินอะไรไม่ได้ พอเขาตายหนูก็ไปช่วยเขาจัดงานศพ คิดว่าไม่มีอะไร แต่เขาพยายามจะควบคุมหนูให้ทำอย่างที่เขาต้องการ ?
ตอบ : ก็อย่าไปฟังเขาสิจ๊ะ

ถาม : เขาพยายามใช้หนูไปพูดกับครอบครัวเขา ไปหาแม่เขา บังคับหนูซึ่งไม่ต้องบังคับก็ได้ ทำให้หนูป่วย อาเจียนตลอดเวลาค่ะ ทำไมหนูแพ้ง่ายจัง ?
ตอบ : สภาพจิตของเราเป็นเหมือนโทรศัพท์หมายเลขสาธารณะ ใคร ๆ ต่อเข้ามาก็ต้องเจอ ต้องพยายามทำสมาธิให้สูงเข้าไว้ ถ้ากำลังสมาธิของเราสูง มีความมั่นคงมาก ใคร ๆ ก็สิงไม่ได้หรอก

ถาม : ก่อนที่เขาจะเสีย เขาก็เป็นคนที่จิตใจอ่อนโยน อัธยาศัยดี แต่พอเสียชีวิตแล้วเปลี่ยนไปเลย กลายเป็นน่ากลัว เหมือนจำความดีที่มีต่อกันไม่ได้เลย ?
ตอบ : ตอนนี้เขาต้องการอย่างเดียวคือให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายของตัวเอง ไม่จำเป็นที่จะต้องไปสนใจใครแล้ว

ถาม : แล้วหนูต้องทำอย่างไรต่อไปคะ ?
ตอบ : บอกแล้วว่าไปนั่งสมาธิให้กำลังสูง ๆ ไว้ ถ้ากำลังใจเข้มแข็งเขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ให้ซ้อมภาวนาไว้บ่อย ๆ

เถรี
14-05-2015, 17:36
ถาม : ผมห้อยพระ กำหนดจิตให้พระหมุนซ้าย หมุนขวา หมุนตามนาฬิกา เป็นลักษณะสมาธิหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เป็นสมาธิขั้นต้น ประมาณอุปจารสมาธิเท่านั้น

ถาม : ควรจะขอขมาพระรัตนตรัยไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจทำเพื่อทดสอบก็ไม่เป็นไร ถ้าตั้งใจทำเอาสนุกก็ปรามาสพระรัตนตรัย

เถรี
14-05-2015, 17:40
ถาม : ในทศพิธราชธรรม ทานกับบริจาคต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ทานเป็นการให้ด้วยวัตถุสิ่งของ การบริจาคท่านว่าเป็นการให้ในลักษณะของธรรมทาน ก็คือสอนให้เขารู้ว่าต้องทำอย่างไร แบบเดียวกับที่เขาว่าทานก็คือเราเอาปลาไปให้เขา แต่บริจาคคือการที่เราสอนเขาว่าต้องจับปลาอย่างไร ท่านอธิบายไว้ลักษณะอย่างนั้น ฉะนั้น..การเป็นพระเจ้าแผ่นดินไม่ใช่ให้เขาเฉย ๆ ต้องสอนให้เขารู้จักทำกินให้เป็นด้วย

ถาม : แล้วการที่เราใช้คำว่าไปบริจาคสิ่งของ ถูกไหมคะ ?
ตอบ : ถูก..คำว่าปริจจาคะแปลว่าสละให้ผู้อื่น เพียงแต่ว่าถ้าหากอยู่ในทศพิธราชธรรม ความหมายนี้หมายถึงเรื่องธรรมทานมากกว่า ปริจจาคะ แปลว่าการเสียสละให้โดยรอบ ให้โดยทั่วไป คือให้คนทั่วไปลักษณะของการที่ให้ความรู้ เพื่อที่คนส่วนใหญ่นำความรู้ไปแล้วสามารถที่จะเลี้ยงชีพของตนเองได้ มีช่องทางในการทำกิน

อย่างที่ในหลวงท่านไปเปิดโครงการหลวงต่าง ๆ สอนให้เขารู้จักเพาะปลูกไม้เมืองหนาว รู้จักทำศิลปาชีพ แต่ถ้าทานเป็นการให้เฉพาะ ให้แล้วให้เลย ผลนั้นมีระยะสั้นกว่า

เถรี
14-05-2015, 17:44
ถาม : ความทุกข์เป็นอนิจจังด้วย เป็นอนัตตาด้วยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นทุกข์ด้วย เป็นอนิจจังด้วย แล้วก็เป็นอนัตตาด้วย เพราะว่าไม่มีใครทุกข์อยู่ตลอด เดี๋ยวก็เปลี่ยนไปเป็นอารมณ์อื่น

ถาม : ถ้าจะขยายความยาว ๆ เพื่อจะพิจารณา ควรจะพิจารณาในแง่มุมไหนครับ ?
ตอบ : ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนหลับตาลง มีวินาทีไหนที่เราไม่ทุกข์บ้าง ? จะได้เห็น ๆ อยู่ในปัจจุบันเลยว่าเราดำเนินชีวิตอยู่ในท่ามกลางกองทุกข์ ไม่ว่าจะก้าวไปทางไหนก็ไม่สามารถล่วงพ้นจากกองทุกข์นี้ได้ มีทางเดียวที่จะพ้นไปได้ก็คือก้าวพ้นไปสู่พระนิพพาน นึกย้อนหลังไปเลยว่าตั้งแต่เราลืมตาขึ้นมาก็ทุกข์แล้ว เริ่มตั้งแต่ต้องหายใจก็ทุกข์แล้ว

เถรี
14-05-2015, 17:49
ถาม : ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงพยากรณ์ว่า คนนั้นในอนาคตจะไปเกิดเป็นคนชื่อนั้นในอนาคตกาล โคตรนั้น นามนี้ แสดงว่าชื่อต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นล่วงหน้าแล้วหรือครับ ?
ตอบ : นั่นเป็นการสรุปของคุณเอง ความจริงยังไม่เกิดขึ้น แต่พระพุทธเจ้าทรงรู้ล่วงหน้า รู้ว่าถึงเวลานั้นแล้วจะเป็นอย่างนั้น

เถรี
15-05-2015, 09:08
พระอาจารย์กล่าวว่า “ตามในรูปด้านหลังธนบัตรใบละ ๑๐๐ บาท จะเห็นว่ามีรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเครื่องออกศึกเต็มยศ แล้วมีสังวาล อาตมามั่นใจว่าไม่ใช่สังวาล น่าจะเป็นพวกเครื่องคาดราชศาสตรา พวกตะกรุดมากกว่า แต่คนรุ่นหลังเข้าใจว่าออกแบบเป็นสังวาล ออกรบจะเอาเครื่องประดับไปทำอะไร ? นอกจากเอาเครื่องป้องกันตัวไป”

เถรี
15-05-2015, 09:17
ถาม : เราสามารถเปิดเสียงธรรมะพร้อม ๆ กับทำงานไปด้วยได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..ถ้าต้องการให้ได้ผลต้องแบ่งใจเป็น ๒ ส่วน ส่วนหนึ่งอยู่กับธรรมะ ส่วนหนึ่งอยู่กับงาน ไม่อย่างนั้นก็ได้แค่ธัมมานุสติ คือระลึกถึงธรรมเฉย ๆ เพราะสภาพจิตไปอยู่กับงานมากกว่า

ถาม : แล้วคนที่เปิดฟังธรรมะที่เป็นการปรามาสพระรัตนตรัย ลักษณะไหนครับ ?
ตอบ : เปิดแล้วไม่ตั้งใจฟัง จะเกิดโทษในลักษณะที่ว่าได้ยินเสียงธรรมทำเป็นไม่ได้ยิน อยู่ที่วัดท่าขนุน ถ้าเสียงตามสายขึ้นอาตมาจะให้วางมือทั้งหมด ต่อให้ไม่คิดจะฟังก็ห้ามทำงาน เพราะไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะกลายเป็นการปรามาสพระธรรม จะเกิดโทษมากกว่าประโยชน์ ฉะนั้น..คนที่ไปวัดใหม่ ๆ ไม่รู้ระเบียบ ถึงเวลาก็คว้าไม้กวาดแกรก ๆ กลายเป็นกลบเสียงธรรมไปอีก ก็ต้องคอยเตือนเขา

เถรี
15-05-2015, 17:43
พระอาจารย์กล่าวว่า "อย่างที่ได้ปรารภไปว่าเรียนจบแล้วก็เหมือนกับไม่จบ เพราะว่าต้องมีการทบทวน ต้องมีการนำไปใช้งาน ลักษณะเดียวกับในพระไตรปิฎก ที่กล่าวถึงพระอรหันต์จำนวนมากต่อมากด้วยกัน ถึงเวลาบรรลุมรรคผล จบกิจในพุทธศาสนาแล้ว ก็ยังมีภาระหน้าที่จะต้องทำงานแบบนั้นแบบนี้ เป็นภารธุระในพุทธศาสนาทั้งนั้น ไม่ได้หมายความว่างานส่วนตัวหมดแล้ว จะไปแอบเสวยสุขอยู่ได้คนเดียว เพราะว่าพระระดับนั้น เมื่อทำถึงที่สุดแล้วก็ไม่มีใครอยากอยู่ ต้องบอกว่าอยู่เพื่อเป็นเนติ เป็นแบบอย่างแก่ผู้อื่น อยู่เพื่อสงเคราะห์โลก อยู่เพื่อสงเคราะห์ญาติ อยู่เพื่อสงเคราะห์เพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย

ตัวอย่างพระท่านหนึ่งก็คือพระนาลกะ พระนาลกะบรรลุมรรคผลไล่ ๆ กับพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ แต่ไม่มีงานอะไรเลยนอกจากทำตนให้บรรลุมรรคผล ดังนั้น..ท่านก็เลยทูลลาไปพระนิพพาน ต้องบอกว่าเรื่องอย่างนี้ขึ้นอยู่กับความตั้งใจ อย่างท่านที่ตั้งใจมาเป็นอัครสาวก ตั้งใจมาเป็นมหาสาวก ก็ต้องรับภาระรับหน้าที่ไปตามที่ตั้งใจไว้ ท่านที่มาเพื่อจบกิจอย่างเดียว ไม่มีภาระหน้าที่ ถึงเวลาก็ไปได้เลย"

เถรี
15-05-2015, 17:51
ถาม : อย่างพระที่ปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน จะรอสงเคราะห์..?
ตอบ : ถ้ายังมีบริวารอยู่ก็ต้องรับภาระไปก่อน ตัวอย่างชัด ๆ ก็หลวงปู่โลกอุดร จนป่านนี้ก็ยังไปไม่ได้สักที เบื่อคนมาก ๆ ก็หนีตายไปสักทีหนึ่ง เดี๋ยว ๆ ก็ไปโผล่ที่โน่นอีกแล้ว

สมัยของหลวงพ่อวัดท่าซุง มีพระอยู่รูปหนึ่ง อยู่แถว ๆ ราชบุรี อายุยังไม่ถึง ๔๐ ปี บรรลุมรรคผลแล้วพิจารณาดู เห็นว่าไม่มีงานอื่นทำเหมือนกัน ท่านก็เลยลาไปพระนิพพาน เป็นอะไรที่น่าอิจฉามาก

เถรี
15-05-2015, 17:52
วันนี้ที่ไปเจริญพุทธมนต์ฉลองปริญญามา ปรากฏว่ามีอยู่รายหนึ่งชื่อพระมหาศุภกิจ สุภกิจฺโจ ท่านเกิดปีที่อาตมาบวช เพราะฉะนั้น..ก็แปลว่าน่าจะเป็นพระที่จบปริญญาเอกด้วยอายุน้อยที่สุดของรุ่น เพิ่งจะ ๒๙ ปี ขึ้นปีที่ ๓๐ ก็จบปริญญาเอกแล้ว เป็นดุษฎีบัณฑิตสาขารัฐประศาสนศาสตร์ ท่านเรียนก่อนปีหนึ่ง แต่อาตมาไล่ทัน ตอนท่านยกมือไหว้ก็เอ๊ะ...หน้าตาคุ้น ๆ ดูไปดูมาก็ อ๋อ..ตอนที่ท่านสอบประชาพิจารณ์อาตมาไปเข้าฟังท่านด้วย แล้วท่านทำงานออกมาดี ครูบาอาจารย์ให้คำแนะนำเพิ่มเติมน้อย แก้ไขเล็กน้อยก็สามารถขอสอบจบได้

อายุยังน้อย อนาคตไกล ในสายตาของคนทั่วไปคืออนาคตไกล ในสายตาของผู้ปฏิบัติธรรมคือยังต้องทุกข์อีกนาน

เถรี
15-05-2015, 17:56
ถาม : การอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร เท่ากับทำให้เขามีกำลังมาทำอันตรายเรา ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเขาไม่อโหสิกรรม ก็เท่ากับเราเลี้ยงเขาให้มีกำลัง แล้วเขาก็มาตีเราต่อ แต่ให้เขาไปเถอะ เดี๋ยวเขาตีจนเบื่อก็เลิกไปเองแหละ

ถาม : ถ้าจะให้ก็ให้ไปเยอะ ๆ เขาจะได้เลิกตอแยเรา ถ้าให้เล็ก ๆ น้อย ๆ เขาก็มาเรื่อย ๆ ?
ตอบ : ก็ประมาณนั้น ถ้าได้จนเป็นที่พอใจก็ไปเอง

เถรี
15-05-2015, 18:07
ถาม : ท่านที่จบกิจแล้ว นอกจากสัจจะความตั้งใจเดิมเหล่านี้ ท่านก็ไปได้นี่คะ ?
ตอบ : ถ้างานไม่หมดก็ทนทำไปก่อน ถ้างานหมดก็ไปได้ ดูอย่างหลวงพ่อคูณ จนป่านนี้ยังไปไหนไม่ได้เลย ทรมานสังขารอยู่นั่นแหละ

ถาม : แล้วมีไหมคะที่บริวารยอมให้ท่านไป ?
ตอบ : ยาก..เขาเกิดมาเพื่อเกาะโดยเฉพาะ ตั้งใจอธิษฐานตามกันมาก็เกาะไปเรื่อย

ถาม : อย่างนี้บริวารที่เกาะหรือที่ตามมา ถือเป็นเจ้ากรรมนายเวรไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..ต้องบอกว่าเป็นภาระจำยอมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

เถรี
15-05-2015, 18:13
ถาม : ไปกราบเรียนถามหลวงพ่อวิชาเรื่องต้อหินของพระอาจารย์ ท่านว่า ต้อหินรักษาไม่หาย จึงกราบเรียนถามว่า หากเป็นจุดที่ไม่สำคัญ ตัดออกก็หายได้มิใช่หรือ ? ท่านว่า ต้อหินก็มักจะเป็นบริเวณสำคัญสิ และถามคนที่เขาเคยเป็นและรักษาหายแล้ว เขาว่าถ้ารู้เร็วก็รักษาได้นี่คะ ?
ตอบ : ต้อหินจะกินถึงประสาทตา ตัดออกไม่ได้หรอก ไม่ต้องกังวลหรอก ประเภทหลับตาเดินได้..เท่ออก การเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นการวินิจฉัยของหมอ บางทีเวรกรรมก็วิลิศมาหราเกินกว่าที่หมอจะคิดถึง บางอย่างก็แค่มาขู่ให้พวกเราได้สำนึกเฉย ๆ ว่าร่างกายนี้เป็นรังของโรค แค่ประเภทตั้งโจทย์ขึ้นมา แล้วดูว่าเราจะไปกังวลด้วยหรือเปล่าเท่านั้น

เถรี
15-05-2015, 18:17
ถาม : การที่สายพันธุ์สัตว์ปรับตัวให้เข้ากับบรรยากาศของโลกที่เปลี่ยนไปได้ยาวนาน อย่างเช่น แมลงสาบ คือความเป็นไปของโลกที่คนหรือสัตว์ต้องปรับไปตามนั้น หรือเกิดจากกิเลสของคนและสัตว์ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นให้เกิดกับโลก ?
ตอบ : ต้องบอกว่า ๒ อย่างรวมกัน อย่างแรกก็คือทำอย่างไรให้อยู่ได้ ก็หมายความว่าอยากเกิด..ไม่ได้อยากตาย ในเมื่ออยากเกิด..ก็กลายเป็นตั้งเป้ามุ่งมั่นเอาไว้ ทำอย่างไรจะให้เกิดได้ในสภาพที่ตนไม่ถนัด ก็ต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้ตนเองสามารถอยู่ได้โดยไม่ลำบากมากนั้น ต้องบอกว่าเป็นมโนสัญเจตนา คือความมุ่งมั่นใจของใจอย่างหนึ่ง คราวนี้พอผ่านไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า ก็เหมือนอย่างกับว่าคำสั่งนี้ฝังลึกอยู่ในดีเอ็นเอ จึงทำให้รุ่นหลัง ๆ ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนไปจนกระทั่งเข้ากับสภาพดินฟ้าอากาศของช่วงนั้น ๆ ได้

ถาม : แล้วมนุษย์โลกอื่นที่เขาอายุยืนกว่าเรา ชีวิตเรียบง่าย และไม่ค่อยมีการดิ้นรนในการใช้ชีวิตหรือการเปลี่ยนแปลงอะไร เป็นเพราะอานิสงส์บุญที่เขาทำไว้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : อะไรประมาณนั้นแหละ เพียงแต่ว่าพวกโน้นเขาไม่คิดมากอย่างนี้ เขาเอาแค่อยู่ได้ ส่วนของเรารู้มาก กิเลสมาก ก็อธิษฐานเอาเยอะ ๆ

เถรี
15-05-2015, 18:26
ถาม : ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุก็ดี ถูกฆ่าตายก็ดี ถ้าจิตยังอยู่ที่นั่น เขาอยู่เพื่อรออะไรครับ ระหว่างที่รอเขาทุกข์ไหมครับ เขาทำกรรมอะไรมาจึงรออยู่เป็นร้อยปีพันปี ?
ตอบ : เหตุที่ไปเกิดไม่ได้เพราะว่ายังไม่หมดอายุขัย ในเมื่อไม่หมดอายุขัยแต่สูญเสียร่างกายไป ก็จำเป็นต้องอยู่จนกว่าจะครบอายุขัยของร่างนั้น ๆ ส่วนบางคนก็ยึดติด อย่างเช่นว่าโกรธแค้น ตั้งใจจะเอาคืน ก็กลายเป็นความยึดมั่นถือมั่นของตนเอง เกาะติดอยู่ตรงนั้น ทำให้ไปไหนไม่ได้ รอจนกว่าจะได้แก้แค้นตามที่ตนเองต้องการ

ระหว่างที่อยู่ ถ้าไม่มีใครทำบุญไปให้ ไม่มีญาติพี่น้อง ก็ต้องทนลำบาก อด ๆ อยาก ๆ เร่ร่อนไปเรื่อย แต่ถ้ามีคนทำบุญไปให้ก็สบายหน่อย ส่วนในเรื่องของระยะเวลา ถ้าอยู่ในเขตของเขา อย่างต่ำสุดวันหนึ่งเท่ากับ ๕๐ ปีของโลกมนุษย์ เพราะฉะนั้นเขาอยู่แค่ ๕๐ วันก็ปาเข้าไปเป็นพันปีแล้ว

เถรี
16-05-2015, 13:24
ถาม : น้ำหมักในพระไตรปิฏกบอกว่าอนุญาตให้พระฉันเป็นยาได้ ๑ องคุลีจากก้นบาตร ดร. ท่านหนึ่งเห็นว่าบาตรที่เห็นพระในเมืองไทยใช้กันอยู่มีขนาดใหญ่ ปริมาณยาตามนั้นเป็นครึ่งค่อนถ้วย ท่านเห็นว่าเยอะมาก ท่านก็อุตส่าห์ไปดูบาตรที่เขาขุดขึ้นมาจากบริเวณเมืองตักศิลาเดิม และเห็นว่าบาตรมีขนาดเล็กกว่ามาก ได้ยาปริมาณเพียงถ้วยตะไล จริง ๆ แล้วเป็นอย่างไรคะ ?
ตอบ : เข้าใจผิดแล้ว ๑ องคุลีของพระเขาวัดจากถ้วยตะไล วัดจากบาตรก็เมาตายพอดี แล้วบาตรมีตั้ง ๓ ขนาด บาตรขนาดใหญ่เขาบอกว่าจุข้าวสุกที่หุงจากข้าวสาร ๑ นาฬี จำไม่ได้ว่ากี่ทะนาน นึกเอาก็แล้วกันว่าใหญ่ขนาดนั้น ฉะนั้น..องคุลีเขาหมายถึงถ้วยตะไล ถ้วยเล็ก ๆ ที่เขาเอาไว้ครอบปากขวดเหล้า พอถึงเวลาก็รินไปเป๊กหนึ่งพอดี

เรื่องของพระวินัยไม่สามารถที่จะมั่วได้ ต้องเอาให้แน่นอน สมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ท่านคิดคำนวณไว้หมดแล้ว เพียงแต่ว่าคนเข้าใจยากหน่อยเท่านั้น เพราะเป็นภาษาโบราณ เดี๋ยวเกิดเขาไปอ้างว่าเอาบาตรขนาดใหญ่ก็เจริญเท่านั้น

เถรี
16-05-2015, 13:51
ถาม : ก่อนนอนจะนั่งสมาธิ แต่ในความฝันเรามักจะเจอเหตุการณ์ที่ทำให้ผิดศีลหรือทำให้จิตไม่ดี ?
ตอบ : เกิดเพราะว่ากำลังใจเรายังไม่ดีพอ ความฝันเป็นเครื่องวัดกำลังใจได้ ถ้ามีโอกาสที่จะละเมิดศีลแล้วเราไม่ละเมิด แปลว่ากำลังใจเราอยู่ในด้านดี แต่ถ้าวันไหนมีโอกาสละเมิดศีลแล้วเราละเมิด แปลว่าวันนั้นกำลังใจของเราใช้ไม่ได้ ถือว่าเป็นเครื่องวัดกำลังใจของเราอย่างหนึ่ง เพราะในฝันคือกำลังใจที่แท้จริงของเรา ไม่สามารถที่จะปรุงแต่งได้

เถรี
16-05-2015, 13:59
พระอาจารย์กล่าวว่า “ที่ไปเจอพวกปล่อยกบ ปล่อยปลา ปล่อยเต่าที่เขาบอกราคาแพง เขามีค่านิยมว่าห้ามต่อราคา อาตมาต่อกระจายทุกครั้งเลย เขามีค่านิยมว่าถ้าจะตัดเคราะห์ห้ามต่อราคา เป็นคนละเรื่องกัน อาตมาคิดว่าถ้าต่อมากเท่าไรก็ซื้อเพิ่มได้มากเท่านั้น เท่ากับช่วยชีวิตเขาได้มากขึ้น”

เถรี
16-05-2015, 14:02
พระอาจารย์กล่าวว่า “กลุ่มสมาธิจุฬาฯ นิมนต์บรรยายวันที่ ๑๙ พฤษภาคมนี้ อาตมามีชั่วโมงสอนเต็มวันเลย จึงไปไม่ได้ แจ้งทางชมรมไปแล้วว่า ถ้าต้องการให้ไปจริง ๆ โปรดให้อาตมาเป็นคนกำหนดวัน ถ้าอย่างนั้นก็พอจะมีโอกาสบ้าง

บรรดาท่านที่นิมนต์แล้วกำหนดวันอย่างหนึ่ง กำหนดหัวข้ออย่างหนึ่ง กำหนดวันมักจะเสียโอกาส เพราะถ้าติดวันที่มีงานก็มักจะไปไม่ได้ ส่วนกำหนดหัวข้อบางทีไม่ใช่เรื่องที่อยากจะพูด ฟังแล้วมีประโยชน์น้อย แทนที่จะไปเน้นเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา เขาให้เราไปเน้นเรื่องความกตัญญู ก็เลยได้ไปหน่อยเดียว กำหนดหัวข้อก็ทำให้ไม่ได้พูดอย่างที่ตัวเองต้องการ กำหนดวัน ถ้าติดงานก็ไปไม่ได้”

เถรี
16-05-2015, 14:08
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาไม่รู้ว่าจะบีบรายจ่ายศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สายให้อยู่ใน ๖๕ ล้านบาทได้ไหม ? ถ้าไม่ได้ก็ต้องปล่อยเลยตามเลย ส่วนที่แพงมากคือส่วนเพดานของหมู่เรือนไทย เพราะกรุฝ้าด้วยไม้ล้วน ๆ"

เถรี
16-05-2015, 14:20
ถาม : ช่วงนี้ฝันเห็นหลวงพ่อบ่อยมากคะ ?
ตอบ : ฝันเห็นพระดีกว่าฝันเห็นผีเยอะเลย

ถาม : ไม่ทราบว่าท่านไปตามหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก ฝันเห็นพระแสดงว่ากำลังใจอยู่ในด้านดีมากกว่า พยายามรักษากำลังใจให้อยู่ในลักษณะอย่างนี้เอาไว้

เถรี
16-05-2015, 14:40
ถาม : เรื่องแผ่นดินไหวที่เนปาล เกิดจากสาเหตุอะไรครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเหตุ..พระพุทธเจ้าบอกชัดเลยว่าลมกำเริบ คือใต้โลกของเราเป็นหินเดือด พอเดือดมาก ๆ เข้าไอร้อนก็ไปอัดแน่นอยู่ไม่มีทางไป ถึงเวลาเคลื่อนตัวทีก็ดันแผ่นโลกไปด้วย ฉะนั้น..ถามว่าอะไรเป็นเหตุ ตอบว่าลมกำเริบ

ถาม : แล้วบ้านเรามีโอกาสเจออย่างนั้นไหมครับ ?
ตอบ : มีโอกาส ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องตื่นเต้น ถึงเวลาก็รู้เอง แต่บ้านเราน่าจะตายง่ายกว่าบ้านเขาเยอะ เพราะบ้านเราตึกสูงมาก บ้านเขาตึกเตี้ย ๆ ถึงเวลาถล่มทับก็ไม่หนักเท่าไร บ้านเราตึกสูง ส่วนใหญ่ก็เกิดจากกรรมที่ไปปล้นบ้านตีเมืองเขาเอาไว้นั่นแหละ ทำให้บ้านเรือนเขาเสียหาย ทำให้ทรัพย์สินเขาเสียหาย ทำให้ชีวิตเขาดับสิ้นไป ถึงเวลาก็ต้องรับคืน

เถรี
16-05-2015, 15:04
พระพุทธเจ้าตรัสถึงเหตุแห่งแผ่นดินไหวไว้ ๘ ประการ มีลมกำเริบ ๑ ผู้มีฤทธิ์บันดาล ๑ พระโพธิสัตว์จุติลงสู่ครรภ์พระมารดา ๑ พระโพธิสัตว์ประสูติ ๑ พระโพธิสัตว์ตรัสรู้ ๑ พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา ๑ พระพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร ๑ และพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ๑ มี ๘ สาเหตุด้วยกัน เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าไป ๖ สาเหตุ

ถาม : แผ่นดินไหวที่มีสาเหตุเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าจะมีอันตรายกับคนไหมคะ ?
ตอบ : พวกนั้นไม่มีอันตราย เพราะแผ่นดินไหวเกิดจากการแซ่ซ้องสรรเสริญของพรหมเทวดาท่าน แต่ว่าแผ่นดินไหวเกิดจากผู้มีฤทธิ์บันดาลก็ต้องดูว่าท่านทำเพื่ออะไร ถ้าหากว่าอยู่ในลักษณะใช้อภิญญาสมาบัติในการทำลายทำร้ายคนอื่นก็อันตราย

ส่วนเรื่องของลมกำเริบนี่ว่าไม่ได้ แล้วแต่กรรมใครกรรมมัน ภูเขาหิมาลัยเกิดจากแผ่นดินเคลื่อน อนุทวีปอินเดียวิ่งมาชนกับชายฝั่ง ดันสูงไปเรื่อย ๆ ปีหนึ่ง ๓-๕ เซนติเมตร ก็ยังสูงไปเรื่อย ฉะนั้น..ถ้าเกิดแผ่นดินไหวก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ต้องไปศึกษาภูมิศาสตร์โบราณ สมัยโลกเรายังเป็นมหาทวีปกอนด์วานา มหาทวีปแพนเจียโน่น

เถรี
17-05-2015, 09:04
ถาม : สัตว์ทุกชนิดที่มีดวงจิต ถือว่าเป็นสัตว์มีชีวิต สัตว์อย่างแบคทีเรีย ไวรัส จัดว่าเป็นสัตว์มีชีวิตไหมครับ ?
ตอบ : พวกแบคทีเรียพวกไวรัสเป็นเหมือนกับพืช มีแต่วิญญาณ ไม่มีจิต สัตว์ที่มีดวงจิตขนาดเล็กสุดก็คือพวกเล็นพวกไร มองเกือบไม่เห็น สมัยเด็กอาตมาปีนขึ้นไปล้วงเอาลูกนกฮูกมาเลี้ยง แม่นกพ่นลมใส่หน้า มีแต่ไรเต็มหน้าเลย ต้องเผ่นลงมาอาบน้ำ ด้วยความบ้าดีเดือดเดี๋ยวก็ขึ้นไปใหม่ อยากได้ลูกนกฮูกมาเลี้ยง ปรากฏว่านกก็สู้ คว้าคอปุ๊บก็ถูกขยุ้ม กรงเล็บ ๔ นิ้วนี่ฝังเข้าเนื้อหมดเลย แต่อาตมาไม่ปล่อยหรอก จะเอาลูกนกให้ได้ แต่ว่าเลี้ยงแล้วแม่มันมาเอาคืนหรืออย่างไรไม่รู้ เพราะว่ากลางคืนหายไปจากกรงเฉย ๆ

ถาม : แมวหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่หรอก เพราะว่าที่บ้านไม่ได้เลี้ยงแมว น่าจะเป็นแม่นกเขามาเอาคืน เพราะว่านกฮูกหรือเหยี่ยวนี่สามารถที่จะโฉบไปได้ สมัยอยู่เกาะพระฤๅษีอาตมาปีนต้นไม้ขึ้นไปไล่พวกตะกวด ที่จะขึ้นไปกินไข่นกเหยี่ยวบนรัง พอแม่เหยี่ยวเห็นว่าเรารู้ว่ารังอยู่ที่ไหน อีก ๒ วันขึ้นไปดูใหม่ เหลือแต่ดอกไม้อยู่ ๒ ดอก แม่นกย้ายไข่ไปเรียบร้อยแล้ว ย้ายรังไปแล้ว ถ้าเป็นนกอื่นจะย้ายไม่ได้ แต่พวกเหยี่ยวพวกอินทรีนี่เขาขยุ้มไปสบาย ๆ เลย

ถาม : เคยเลี้ยงลูกค้างคาว ?
ตอบ : ลูกค้างคาวตัวเล็กนิดเดียว ถ้าจะเลี้ยงต้องเอาหลอดฉีดยาค่อย ๆ หยอดนมให้ กลิ่นตัวเหมือนเทียนเลย เลี้ยงมาเยอะแล้ว อาตมาเลี้ยงจนกระทั่งใหญ่แล้วไม่มีอะไรก็กินค้างคาวนั่นแหละ..!

พูดถึงค้างคาวก็นึกถึงลูกศิษย์พระสารีบุตร ที่เคยเกิดเป็นค้างคาวอยู่ในถ้ำ ฟังพระสาธยายพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์จนเพลิน ตกลงมาตาย ไปเป็นเทวดานานเลย พอมาพุทธกาลนี้ก็มาเกิดเป็นลูกชาวประมง มีโอกาสบวชพร้อมกัน

เถรี
17-05-2015, 09:12
ถาม : คนที่เคยเกิดเป็นพญานาคมาก่อนจะมีนิสัยอย่างไรครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เอาแต่นอนอย่างเดียว แล้วห้ามปลุกนะ จะขี้โมโหมาก ถ้าใครเคยเกิดเป็นนาคนี่จะถนัดในการนอน ที่อัศจรรย์ที่สุดก็ในธรรมบท พระพุทธเจ้าเทศน์อยู่ยังนอนได้ พระอานนท์สงสัยทูลถามพระพุทธเจ้าว่า พระองค์แสดงธรรมประดุจมหาเมฆบันลือขึ้น ไฉนจึงมีคนนอนหลับได้ ? พระพุทธเจ้าบอกว่าอุบาสกผู้นั้นเกิดเป็นพญานาคต่อเนื่องกันมา ๕๐๐ ชาติ มีความเคยชินกับการพาดหัวบนขนดตนเองแล้วก็หลับ นั่งฟังเทศน์อยู่แท้ ๆ ยังหลับได้ โดยเฉพาะองค์เทศน์คือพระพุทธเจ้า

อีกรายหนึ่งนั่งเขย่าต้นเสา พระพุทธเจ้าบอกว่ารายนี้เกิดเป็นลิงมา ๕๐๐ ชาติ อีกรายหนึ่งเอานิ้วเขี่ยพื้น ไม่ได้สนใจฟัง เขี่ยไปเรื่อย รายนี้เกิดเป็นไก่มา ๕๐๐ ชาติ อีกรายก็เหม่อ จ้องแต่เพดานศาลา ท่านบอกมาเป็นพราหมณ์ มีอาชีพดูดาวมา ๕๐๐ ชาติ ใครเคยเป็นอย่างไรติดต่อกันก็เป็นอย่างนั้น แบบนกุลปิตา นกุลมาตา ๒ อุบาสกอุบาสิกา เจอหน้าพระพุทธเจ้าก็ร้องว่า “ลูกไปไหนมา ไม่ได้เจอกันตั้งนาน” เคยเกิดเป็นบิดามารดาพระพุทธเจ้าต่อเนื่องกันมา ๕๐๐ ชาติ

เถรี
17-05-2015, 09:12
ถาม : คนที่สิ้นชีวิตถ้าอยู่ในฌานจะไปพรหมโลก แต่ถ้าอยู่ในขณิกสมาธิหรืออุปจารสมาธิจะไปไหนครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ก็อยู่ชั้นดาวดึงส์กับยามา

เถรี
17-05-2015, 14:14
พระอาจารย์กล่าวว่า "ยาหอมยาลมถือว่าเป็นภูมิปัญญาไทยที่ตกทอดกันมา ถึงเวลาธาตุลมกำเริบ ถ้าไม่มีพวกยาหอมยาลมก็จะลำบาก ฟื้นตัวยาก ในเรื่องของส่วนผสมต่าง ๆ ในปัจจุบันก็หายากขึ้นเรื่อย ๆ สมัยอยู่วัดท่ามะขาม ยายทองเหมาะซึ่งเป็นน้องสาวของหลวงพ่อพระเทพเมธากร พอว่างจากงานอื่นก็กวาดใต้ต้นพิกุล กวาดมาเป็นเข่งแล้วก็นั่งคัดเอาเฉพาะดอก ชั่งกิโลขายตามร้านขายยาโบราณ

ดอกพิกุลเป็นหนึ่งในเกสรห้าอย่างที่เป็นส่วนผสมของยาหอม เกสรห้าอย่างเป็นตัวยาพื้นฐานของยาไทย ที่เป็นส่วนผสมของยาหอม จะมีเกสรบัวหลวง สารภี มะลิ พิกุล บุนนาค ดอกไม้พวกนี้ขายได้ในราคาแพงด้วย เดี๋ยวนี้ต้นพิกุลก็ปลูกน้อยลง ๆ สมัยเด็ก ๆ อาตมาชอบเก็บดอกพิกุลมาร้อยทำเป็นสร้อยคอ"

เถรี
17-05-2015, 14:25
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนเห็นในกระทู้ว่าเขาแปลกันแบบผิด ๆ เขาลงกระทู้ว่า "สติปัฏฐาน ๔ เป็นทางเดียวที่จะทำให้บรรลุมรรคผล" แล้วก็เข้าไปเถียงกันกระจายอยู่ตรงนั้น

เขาแปลจากคำว่า ‘เอกายโน’ เอกะ คือ หนึ่ง , อายนะ คือ หนทาง เขาบอกว่านี่เป็นหนทางเดียวที่จะนำสัตว์ไปสู่ความบริสุทธิ์ ในเมื่อแปลอย่างนั้นก็ต้องทะเลาะกับชาวบ้านเขา ต้องแปลว่า ‘นี่เป็นหนทางหนึ่งซึ่งนำสัตว์ไปสู่ความบริสุทธิ์’ จะได้รู้ว่าที่เหลืออีกเป็นหมื่นเป็นพันสายยังมีอยู่

ปัจจุบันนี้บรรดาท่านที่เรียนมาสายปริยัติ โดยเฉพาะเรียนในส่วนของวิปัสสนาภาวนา ก็มักจะแปลว่าเป็นทางสายเดียว ถ้าเป็นทางสายเดียวแล้วพระพุทธเจ้าท่านเทศน์เอาไว้ตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ทำไม ? แต่เขาก็จะแปลว่าทางสายเดียว ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยเขาไปเถอะ

อาตมาอยากจะบอกว่ามหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนคนทั่วไป ท่านสอนชาวกุรุซึ่งชาวกุรุเป็นมนุษย์ต่างดาว แต่มาสืบเชื้อสายบนโลกมนุษย์ทำให้ฉลาดเกินมนุษย์ทั่วไป มีความละเอียดของจิตมาก มีความชอบใจในมหาสติปัฏฐานสูตรเพราะว่ามีรายละเอียดมาก ในเมื่อไม่ใช่สำหรับคนทั่วไป พวกเราก็จะรู้สึกว่าถ้าเป็นส่วนของกายในกายเราก็จะพอเข้าใจไปได้ พอเป็นเวทนาในเวทนาก็ชักจะไปไม่เป็น พอเป็นจิตในจิต หรือธรรมในธรรม บางทีก็เข้าไม่ถึงเลย เพราะว่าความละเอียดของใจของเราไม่เท่ากับเขา

ต้องบอกว่าธรรมะหลายต่อหลายส่วนเหมาะเฉพาะสถานที่ บุคคล หรือกาลเวลานั้น ๆ พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสไว้จำนวนมากต่อมากด้วยกัน แต่เขาก็มาสรุปว่ามีอย่างเดียวนี่แหละ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ยกไปได้เลย เหลือแค่มหาสติปัฏฐานสูตรอย่างเดียวที่ทำให้บรรลุมรรคผล ต้องบอกว่าเรียนอย่างเดียวไม่ได้ทำ ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็เลยไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเขาทำกันอย่างไร"

เถรี
17-05-2015, 14:34
"ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาถกเถียงกัน ถ้าเราเถียงกันเมื่อไรก็กลายเป็นเอากิเลสมาชนกัน ก็แปลว่าเสียท่ากิเลสตั้งแต่ต้นเลย หลักการปฏิบัติมีไว้ทำ ไม่ได้มีไว้เถียงกัน ถ้าใครมาถามชนิดไม่ได้ง้างปากกันจริง ๆ ก็ไม่บอกกันง่าย ๆ หรอก เพราะว่าแต่ละคนจะมีทิฐิของตนอยู่ ในเมื่อมีทิฐิของตนอยู่ ถ้าเห็นไม่ตรงกันเมื่อไรก็ทะเลาะกันเมื่อนั้น

ในส่วนของหลักการปฏิบัติ ในปัจจุบันนี้ในทางศูนย์ประสานงานสำนักปฏิบัติธรรมแห่งประเทศไทยได้สรุปเอาไว้ใหญ่ ๆ ๕ สายด้วยกันคือ สายพุทโธ สายสัมมาอะระหัง สายพองยุบ สายรูปนาม แล้วก็สายสติปัฏฐานแบบท่านพุทธทาส อาตมาเองพยายามผลักดันจนกระทั่งทางมหาจุฬาฯ เอามโนมยิทธิไปบรรจุไว้ในหลักสูตรวิชาธรรมะภาคปฏิบัติ ซึ่งเป็นธรรมะภาคปฏิบัติ ๗ ก็คือธรรมะภาคปฏิบัติสุดท้ายของปริญญาตรี แต่เขาไม่ให้อาตมาเป็นคนเขียน เขาไปหาข้อมูลมาเขียนกันเอง เลยออกมาเป็นอะไรก็ไม่รู้ ชื่อว่ามโนมยิทธิ แต่อาตมาไม่คุ้นเคยเลย ไว้มีโอกาสค่อยไปปรับใหม่ เพราะว่าคนเขียนไม่ได้ปฏิบัติมาเองก็เลยไม่เข้าใจ จึงตีความผิด

จะว่าไปแล้วหลักการปฏิบัติไม่ได้ต้องการยอมรับจากนักวิชาการ แต่อยู่ที่ว่าญาติโยมยอมรับและปฏิบัติตามหรือเปล่า ? ถ้ายอมรับและปฏิบัติตามเป็นจำนวนหนึ่งและเหนียวแน่นพอ ก็จะเป็นสายการปฏิบัติขึ้นมาเอง แต่สายการปฏิบัติทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วทั้งนั้น ครูบาอาจารย์ท่านชำนาญอย่างไร ท่านก็เอาอย่างนั้นมาสอน เราก็ไปเถียงกันว่าของเธอสู้ฉันไม่ได้ ของฉันดีกว่าเธอ สายการปฏิบัติอะไรก็ตามถ้ามาในส่วนของศีล สมาธิ ปัญญา ช่วยให้รัก โลภ โกรธ หลงบรรเทาเบาบางลง หรือสามารถที่จะละรัก โลภ โกรธ หลงได้ ก็ถือว่าเป็นสายการปฏิบัติที่ถูกต้องทั้งนั้น เพียงแต่ว่าพอถึงเวลาแล้วทิฐิขึ้นหน้า ก็เลยไม่ค่อยจะยอมรับสายอื่นกัน"

เถรี
17-05-2015, 14:39
"หลักการปฏิบัติทั้งหมด ถ้าไม่มีอิทธิบาทซึ่งเป็นพื้นฐานของความสำเร็จ ก็ยากที่จะทำแล้วเกิดผล อิทธิบาท ๔ ต้องถือว่าเป็นหญ้าปากคอก อยู่ใกล้หูใกล้ตามากจนกระทั่งลืม

ฉันทะ ต้องมีความยินดี มีความพอใจเราถึงมาปฏิบัติ วิริยะ มีความพากเพียรบากบั่น การปฏิบัติจึงจะสำเร็จได้ จิตตะ คือกำลังใจจดจ่อจับมั่นอยู่ไม่แปรผันเป็นอื่น วิมังสาคือไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ ๆ ว่าเราทำอะไร ? เพื่ออะไร ? ทำไปถึงไหน ? เหลืออีกเท่าไร ? เป็นต้น

นักเทศน์เขาแต่งเป็นกลอนเอาไว้ว่า “พอใจพอใจใฝ่ความรู้ เพียรอยู่เพียรอยู่ไม่ท้อถอย จดจ่อจดจ่อเฝ้ารอคอย ทวนบ่อยทวนบ่อยไม่หลงลืม” ก็คือฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสานั่นแหละ ส่วนใหญ่พวกเรามีฉันทะแบบไฟไหม้ฟาง คือมาวูบเดียว ถ้าไก่ไม่สุกก็อดกิน ในเมื่อมีฉันทะแค่ไฟไหม้ฟาง วิริยะคือความเพียรก็พลอยน้อย ความแน่วแน่ของกำลังใจไม่มี ใครว่าอะไรดีที่ไหนก็ไปกับเขาหมด แล้วก็ลืมเป้าหมายของตัวเองว่าจะทำอะไร จะโดนกิเลสหลอกลักษณะอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่โดนเท่าไรก็ไม่รู้จักเข็ดเหมือนกัน"

เถรี
18-05-2015, 14:25
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้หวยออกแล้ว อาตมาก็ไม่รู้หรอกว่าหวยออก พอดีเปิดดูหนังสือพิมพ์ เป็นหนังสือพิมพ์ออนไลน์ เขาแจ้งว่าหวยออกแล้ว จะไปดูข่าวแผ่นดินไหวที่เนปาล กลายเป็นข่าวหวยออก แสดงว่าเรื่องของหวย บ้านเราให้ความสำคัญมาก

สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงบวชใหม่ ๆ หวยคู่ละ ๑ บาท ถ้าครึ่งหนึ่งก็ ๕๐ สตางค์ สมัยอาตมาเป็นเด็กยังมีขายเป็นเสี้ยวอีก รู้สึกว่าปกติคู่หนึ่งแบ่งครึ่งก็อย่างละใบ นี่เขาฉีกครึ่งได้อีก อุตส่าห์ขายกันได้

สมัยหลวงพ่อท่าน ที่เขาเรียกสลากกินแบ่งนั้นเพราะเขาแบ่งจริง ๆ ก็คือถ้าขายไม่หมดก็คิดเฉลี่ยตามจำนวนที่ขายได้ ไม่เหมือนสมัยนี้ที่มีรางวัลตายตัวไปเลย สมัยนั้นรางวัลเขาเฉลี่ยจากยอดที่ขายได้ เวลาซื้อสลากแล้วต้องเขียนชื่อที่ต้นขั้วเอาไว้ด้วย ถ้าเราเอาสลากไปขึ้นเงินแล้วบอกชื่อที่ต้นขั้วไม่ถูก เขาจะไม่จ่ายให้ ชื่อส่วนใหญ่ก็จะเป็นนามแฝง ประเภทกุมารทองคะนองฤทธิ์อะไรแบบนั้น เพราะกลัวคนจะรู้ว่าถูกหวย

มีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านฝันว่าตกส้วม สมัยก่อนเป็นส้วมหลุม ท่านบอกว่าตกส้วมจมมิดหัวเลย ตะกายเกือบตายกว่าจะขึ้นมาได้ พอไปเล่าถวายหลวงปู่ปาน หลวงปู่ปานบอกว่า “ถ้าฝันว่าโดนเขาตัดหัว หรือฝันว่าตกส้วมมิดหัว จะถูกรางวัลที่หนึ่ง” หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็สงสัยว่าจะจริงหรือ ? แล้วท่านก็ไม่เล่นหวยเสียด้วย แต่ครูบาอาจารย์บอกอย่างนี้ก็ขอลองหน่อยเถอะ"

เถรี
18-05-2015, 14:28
"หลังจากบิณฑบาตฉันเช้าเสร็จสรรพเรียบร้อย ท่านก็ขอลาหลวงปู่ปานนั่งเรือเขียวเรือแดงจากอยุธยาเข้ากรุงเทพฯ มาซื้อหวย ก็คู่ละบาทนั่นแหละ ท่านบอกว่าท่านจะมีเงิน ๒๐๐ บาทอยู่ในย่ามเป็นประจำ เผื่อไว้ฉุกเฉิน ปุบปับจะไปไหนจะได้มีเงินใช้

อาตมามาลองคูณดูแล้วใจหายวาบ..! สมัยนั้นก๋วยเตี๋ยว ๒ ชาม ๕ สตางค์ หลวงพ่อพกเงิน ๒๐๐ บาท ก๋วยเตี๋ยว ๒ ชาม ๕ สตางค์ ถ้าเป็น ๒๐ ชามก็ ๕๐ สตางค์ พอเป็น ๔๐ ชามก็ ๑ บาท ถ้า ๑ บาทเท่ากับก๋วยเตี๋ยว ๔๐ ชาม ตีเสียว่าชามละ ๒๐ บาทก็พอ เท่ากับว่า ๑ บาทสมัยนั้นเท่ากับ ๘๐๐ บาท ในปัจจุบัน ๑๐ บาทก็เท่ากับ ๘,๐๐๐ ถ้าเป็น ๑๐๐ บาทก็เท่ากับ ๘๐,๐๐๐ แปลว่าหลวงพ่อพกเงินตั้ง ๑๖๐,๐๐๐ บาท..!

ท่านบอกว่า ท่านเข้ามาซื้อหวยที่กองสลาก ได้แล้วก็เดินทางกลับ จนกระทั่งวันหวยออก ขุนบาลหรือเจ้ามือก็ประกาศตัวเลข หลวงพ่อท่านจำได้ว่าตัวเองซื้อหวย ก็เอามาตรวจดู ปรากฏว่าถูกจริง ๆ งวดนั้นเฉลี่ยแล้ว ให้ ๘,๐๐๐ บาท หลวงพ่อก็ส่งให้เด็กวัดไปเบิกเงิน พอเด็กวัดก็ไปเบิกเงินเอามาให้ หลวงพ่อก็ท่านบอกว่า “เอ็งจะเอาไปทำอะไรก็ไปเถอะ เงินระยำอย่างนี้ข้าไม่เอาหรอก ข้าแค่อยากพิสูจน์ว่าหลวงพ่อปานท่านบอกแล้วจะถูกหวยจริงหรือเปล่า ” อย่าลืมว่า ๑๐๐ บาทสมัยนั้น เท่ากับ ๘๐,๐๐๐ บาทสมัยนี้ สมัยนั้นหลวงพ่อท่านถูกตั้งหกล้านกว่า สมัยนี้รางวัลที่หนึ่งคู่ละเท่าไร ?"

เถรี
18-05-2015, 14:32
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาไปตรวจตาหลังจากที่บาดเจ็บเพราะว่าโดนเครื่องตัดหญ้าดีดหินเข้าตา ทนจนกระทั่งเรียนจบ ก็ไปให้หมอตรวจเพื่อจะโดนผ่าตัด หมอตรวจเสร็จก็บอกว่า "เป็นต้อหินครับ อย่าไปผ่าให้เสียเวลาเลย อย่างไรก็บอด ท่านไม่ต้องเครียดนะครับ ให้ผมเครียดคนเดียวก็พอ"

อาตมาฟังแล้วขำ ๆ ปกติก็หลับตาเดินบ่อย ๆ อยากทดสอบดูว่ารู้จริงหรือเปล่า ? ถ้าตานอกใช้ไม่ได้ ก็ใช้ตาใน จึงไม่ได้เครียด แต่ปรากฏว่าโยมหวังดี ไปซื้อยาแก้มาให้ จะลองกินดู ถ้ากินจนกระทั่งร้อนจนทนไม่ไหวแล้วค่อยว่ากัน ยาเขาแพง

หมอเขาบอกว่าจอประสาทตาเหลืออยู่หน่อยเดียว บางนิดเดียว แต่แปลกใจอยู่อย่างเดียวว่าทำไมความดันลูกตาไม่ขึ้น หมอจึงจับหยอดยาให้ไปตรวจซ้ำอีกรอบหนึ่ง อาตมาก็เลยต้องเดินโซซัดโซเซไปให้เขาตรวจอีกรอบหนึ่ง เพราะว่าเวลาหมอเขาหยอดยาขยายม่านตา จะมองอะไรไม่เห็นเลย หมอเขาบอกว่า "นิมนต์ครับทางห้องเบอร์ ๑" อาตมาก็นั่งเฉยอยู่ "นิมนต์ครับท่าน" ไปไม่ได้เว้ย..มองอะไรไม่รู้เรื่องเลย จะไปอย่างไร พอขยายม่านตาแล้วม่านตาจะรับแสงมากกว่าปกติหลายเท่า กลายเป็นว่าสว่างจนมองไปทางไหนก็เห็นเขียวไปหมด ดูไม่รู้เรื่อง ก็เลยสรุปว่าช่างมันเถอะ รักษาได้ก็รักษา รักษาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถึงเวลาก็หลับตาคุยกับโยมเอา..!"

เถรี
18-05-2015, 18:04
ถาม : (คนคริสต์ถาม) มีผีตามผมมา ?
ตอบ : ภาวนานึกถึงภาพพระคลุมตัวเราเอาไว้ แล้วแผ่เมตตา ไปดูในมนต์พิธีก็ได้ ท่องบทกรณียเมตตาสูตรก่อนนอนเอาไว้ แล้วพวกนี้ก็จะไม่กวน

ถาม : เขาจะอยู่อีกนานไหม ?
ตอบ : ถ้าหากเป็นเวลาของเขา ต่ำ ๆ วันหนึ่งก็ ๕๐ ปีของเรา ถ้าเขาอยู่สัก ๒ วัน เราก็ตายไปนานแล้ว ...(หัวเราะ)... ไม่ต้องไปกังวลเรื่องนั้นหรอก ถึงเวลากลางคืนภาวนานึกถึงภาพพระคลุมตัวเราเอาไว้แล้วสวดกรณียเมตตาสูตร นึกถึงลมหายใจเข้าออก กรรมฐานเป็นเรื่องสากล ไม่ใช่เรื่องศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แบบเดียวกับที่เราร้องเพลงสวด ถ้าร้องแล้วสมาธิดี ๆ ก็เท่ากับภาวนา

เถรี
18-05-2015, 18:10
ถาม : ศรีลังกาไม่โดนแผ่นดินไหวใช่ไหมคะ ?
ตอบ : คนศรีลังกาเขามั่นใจ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ว่า ตราบใดที่พระบรมธาตุเขี้ยวแก้วยังอยู่ เขาจะไม่ประสบอุบัติภัยอย่างนี้เด็ดขาด อาตมาส่งแม่ชีพิมพ์วราไปเรียนอยู่ที่นั่น แม่ชีเล่าว่า ตอนพายุเข้าคนศรีลังกานั่งสวดมนต์สบายใจเฉิบ

ถาม : เขาว่าทางเชียงใหม่จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ กลัวค่ะ ?
ตอบ : ไม่ต้องกลัวจ้ะ ถ้าโดนก็โดนด้วยกันทั้งนั้นแหละ

เถรี
19-05-2015, 15:41
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตะกรุดมหาสะท้อนเที่ยวนี้พระท่านให้อย่างอื่นด้วย ลองเอาไปใช้ ๆ ดูก็แล้วกัน เอาไปใช้เดี๋ยวก็รู้เองแหละ"

เถรี
19-05-2015, 15:42
พระอาจารย์กล่าวว่า "ต่อไปภายหน้าคนที่รู้เรื่องบายศรีสายวัดท่าซุงจริง ๆ จะเหลือน้อย เดี๋ยวนี้ชุดบายศรีมีส่วนเกินเยอะมาก อย่างพวกขนมจีนน้ำยา ทองหยิบฝอยทอง พวกเห็นเขาทำ ก็เลยทำด้วย ขนมจีนน้ำยาเอาไว้ในวัดท่าซุงอย่างเดียว สำหรับหลวงปู่ขนมจีนท่าน ส่วนทองหยิบฝอยทอง เอาไว้บวงสรวงเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ เขาเห็นใส่อะไรก็ใส่มั่วไปเรื่อย ถือว่าเกินดีกว่าขาด แต่อย่าขาดก็แล้วกัน เกินไปไม่เป็นไร"

เถรี
19-05-2015, 15:48
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนไปงานศพที่วัดเสมียนนารี อากาศร้อนเหมือนอยู่ในเตา ไอร้อนพัดพรึ่บ ๆ หลวงตาวัชรชัยบอก "ไม่ไหวแล้วเว้ย..!" ทำท่าจะตาย ส่วนอาตมากำลังพอดีเลย คนเป็นมาลาเรียกลัวหนาวไม่กลัวร้อน คนอื่นจะตายส่วนอาตมากำลังพอดี ๓๙ – ๔๐ องศา แต่ถ้าอยู่ห้องปรับอากาศเมื่อไรก็คันบรรลัยทุกที หลังแตกหมด ต้องทาครีมอยู่เรื่อย

หลังจากโดนเขายำครั้งนั้น ที่เอาผ้าชุบน้ำร้อนโปะแล้วถูจนอาตมาแสบไปทั้งตัว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดนอะไรไม่ได้เลย จะรู้สึกคัน ทั้ง ๆ ที่เขาก็รู้ว่าคนที่เข้าสมาธิจะมีอาการอย่างไร เขาก็พยายามจะปลุกให้ได้

ไปนึกถึงหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเข้าห้องปุ๊บก็ล็อกปั๊บ อาตมากราบเรียนหลวงพ่อว่า "อย่าล็อกสิครับ เป็นอะไรไปผมก็เข้าลำบาก" ท่านบอกว่า "ไม่ล็อกได้หรือ ? เปิดเข้ามาเขาคิดว่าข้าตาย ก็จะหามไปเผาแล้ว"

หมอเคยขออนุญาตเอาเครื่องวัดคลื่นหัวใจ ติดให้หลวงพ่อวันหนึ่งคืนหนึ่งเพื่อเช็คสภาพหัวใจ ปรากฏว่าหมออ่านค่าแล้วมึนมากเลย หัวใจหยุดเต้น ๓๐๐ กว่าครั้ง ไม่ใช่หยุดเต้นหรอก พอเข้าสมาธิแล้วหัวใจไม่ทำงาน หมอก็สงสัยว่าทำไมหัวใจหยุดเต้นแล้วยังมีชีวิตอยู่ได้ ? หัวใจหยุดเต้นคืนละ ๓๐๐ กว่าครั้ง"

เถรี
19-05-2015, 15:54
ถาม : ถ้าคนที่ทำอนันตริยกรรม บวชไม่ได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่เกี่ยวกัน ไม่ใช่ปาราชิกนี่ อนันตริยกรรมคนละเรื่องกัน ถ้าฆ่าพระอรหันต์หรือทำร้ายพระพุทธเจ้าจึงห้ามบวช ที่เหลือรีบ ๆ ไปบวชใช้หนี้ได้ยิ่งดี

ถาม : ก็คือไม่เจตนาก็เป็น ?
ตอบ : เป็น..แบบเดียวกับนายพราน พระอรหันต์ท่านเดินมา ก็คิดว่าถ้าหากว่านายพรานเห็นเราจะถือว่าโชคร้าย..ล่าสัตว์ไม่ได้ คิดไม่ดีจะเป็นโทษแก่เขา ท่านก็เลยไปซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ พรานผ่านไปก็คิดว่าเป็นเก้งเป็นกวาง เพราะจีวรสีคล้าย ๆ เอาหอกพุ่งไปพระอรหันต์ตายคาที่เลย ไม่ได้เจตนาแต่เป็นอนันตริยกรรม ของบางอย่างถึงไม่ได้เจตนาแต่ก็เป็นกรรม

เถรี
19-05-2015, 16:05
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่แล้วโยมมักจะลืม ลืมว่าพระฉันเพล กำลังฉันอยู่ก็มักจะโทรศัพท์มา ถ้าหากว่าเป็นโยม อาตมายังพอให้อภัย รับเสร็จแล้วก็จะบอกว่า "คราวหน้าอย่าโทรเวลานี้ เพราะพระกำลังฉันอยู่" แล้วก็จะมีเสียงตกอกตกใจ แต่ถ้าเป็นพระอาตมาจะด่าเลย "ถ้ามึงไม่แดกก็อย่าโทรมาเวลานี้ กูกำลังฉันอยู่..!"

เถรี
19-05-2015, 16:09
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่ทวด จนป่านนี้บารมีท่านยังตามรักษาอยู่ เอาไว้อาตมาสร้างลูกแก้วดีกว่า สร้างรูปท่านก็ไปแข่งกับชาวบ้านเสียเปล่า ๆ อยากได้ประเภทเนื้อแก้วที่ใสจริง ๆ เลย ถึงลงทุนแพงหน่อยก็เอา"

เถรี
21-05-2015, 13:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้งานของวัดท่าขนุนโดยเฉพาะศาลาใหญ่ เสร็จไปเกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ หมดไป ๕๖ ล้านบาทเศษแล้ว เหลือรายจ่ายหนัก ๆ อยู่อีกแค่ ๒ อย่าง คือการปูพื้นชั้นสองและติดม่านทั้งหลัง

อีกอย่างหนึ่งก็คือเครื่องเสียง คราวที่แล้วเขาบอกว่าล้านกว่า..ใช่ไหม ? ขอลองติดม่านก่อน ดูว่าช่วยได้หรือเปล่า ? ถ้าช่วยไม่ได้ก็ต้องยอมจ่ายล้านกว่า แต่ทำทีเดียวแล้วใช้งานได้ตลอดไป

โดยเฉพาะการปฏิบัติธรรมของวัดท่าขนุน ต่อไปจะมีพื้นที่ทั้งชั้น ๑ ชั้น ๒ ของศาลาไว้ปฏิบัติ คราวนี้จะมีการแยกแล้ว มือใหม่แยกส่วน ใครเป็นมือเก่าแล้วจะแยกไปปฏิบัติรวมกับคนเก่า คราวนี้คนเก่าจะโดนหนักกว่า จากเดินจงกรมครึ่งชั่วโมงกลายเป็น ๑ ชั่วโมง จากนั่งภาวนาครึ่งชั่วโมงกลายเป็น ๑ ชั่วโมง เชื่อเถอะ...จะมีคนยอมเป็นคนใหม่เยอะเลย..!

พวกเราโดยส่วนใหญ่แล้วสติไม่ค่อยจะทัน ในเมื่อสติไม่ค่อยจะทัน พอสมาธิแซงหน้าก็จะหลับ สมาธิอย่างเดียวถ้าไม่มีสติก็จะเหมือนกับหลับไปเฉย ๆ เมื่อสติของเราไม่ทันต้องหาวิธีแก้ไข วิธีแก้ที่ดีที่สุดคือตามลมหายใจเข้าออกให้ติดไว้ ลมหายใจคืออานาปานสติ อานาปานะ คือ ลมหายใจเข้าและออก"

เถรี
21-05-2015, 13:28
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงประมาณสองเดือนที่แล้ว คนทองผาภูมิตายติด ๆ กัน ๕ ศพ มาเดือนนี้อีก ๑ ศพ ต้องบอกว่าคนทองผาภูมิอายุยืน ๕ ศพที่แล้วเด็กที่สุดอายุ ๘๒ ปี..! ศพนี้ ๘๙ ปีตามที่แจ้งทางราชการ อายุจริงมากกว่านั้นเยอะ เพราะสมัยก่อนมักจะแจ้งเกิดช้า

คนนี้แกใส่บาตรทุกวัน ปุบปับก็ไป โยมทองสุขที่เป็นภรรยา อายุ ๘๔ ขึ้น ๘๕ ปีแล้ว รับหน้าที่ใส่บาตรต่อ วันนี้เลยให้คุณมงคลขนหนังสือคู่มือภาวนาพระคาถาเงินล้านไปให้เขาแจกเป็นของชำร่วยงานศพ งานพ่อชีกุ๋ยก็เอาไป หนังสือเล่มนี้กระจายไปทั่วประเทศแล้ว"

เถรี
21-05-2015, 14:14
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยอาตมาเด็ก ๆ เรียนชั้น ป.๑ มีครูจบชั้น ป.๔ อยู่ ๒ ท่าน จบ ป.๔ มาเป็นครู สั่งสมประสบการณ์แล้วไปเรียน ป.กศ. ป.กศ.สูง หรือ พ.ม. ตอนนั้นมีครูชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอก ไม่ได้แบ่งระดับด้วย ซี. อย่างตอนนี้

อย่างบ้านนอกของอาตมา ทั้งปีทั้งชาติอย่าไปหวังว่าจะมีครูจบปริญญาตรีประเภท ค.บ.(ครุศาสตรบัณฑิต) ไม่มีหรอก พอมาระยะหลังปริญญาตรีเริ่มจบมากขึ้น แล้วมี ปวช. ปวส. ปวท. มาคั่นกลาง ระยะหลังความต้องการความรู้มากขึ้น ก็เรียนปริญญาโทหรือ MBA นิยมกันอยู่พักหนึ่ง รู้สึกว่าทุกหน่วยงานต้องบังคับคนที่จบปริญญาตรีแล้วมีกำลังความสามารถ มีสมองเพียงพอ ไปเรียน MBA เรียนไปเรียนมากลายเป็นปริญญาโทชักเฟ้อ ก็เริ่มมาเรียนปริญญาเอกกัน หลังจากรุ่นอาตมาไปไม่นานปริญญาเอกก็คงจะเฟ้อ แต่ไม่รู้ว่าจะไปเรียนอะไรแล้ว

ก็แปลกนะ ความรู้ของคนสูงขึ้น ๆ แต่วุฒิภาวะและความสามารถลดลง ๆ อาตมาสังเกตว่าคนจบปริญญาตรีครุศาสตรบัณฑิตปัจจุบันนี้ สู้ครูจบชั้น ป.๔ ของอาตมาไม่ได้ คุณครูท่านพร้อมทั้งจิตวิทยา พร้อมทั้งความรู้ความสามารถ จบชั้น ป.๔ สมัยก่อน วิชาการแข็งโป๊ก อาตมาจบแค่ชั้น มศ.๓ เรียนยันปริญญาเอก ภาษาอังกฤษไม่แพ้ใครเลย สมัยก่อนเรียนเยอะมาก เริ่มเข้าชั้น ป.๕ ต้องเรียน Grammar เกี่ยวกับไวยากรณ์ เรียน Standard คือหลักสูตรทั่วไปที่เป็นมาตรฐานโลก เรียน Oxford เป็นหลักสูตรของมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด เรียน Living การใช้ภาษาในชีวิตประจำวันทั่วไป เด็กสมัยนี้ได้เรียนสักเล่มหรือเปล่า ? แล้วมีการบังคับออกเสียง ออกเท่าไรก็ไม่ได้ เพราะลิ้นไม่ให้

เด็กรุ่นหลัง ๆ บอกว่าหลวงพ่อพูดสำเนียงประหลาด ๆ เพราะรุ่นอาตมาเขาบังคับออกเสียง ชั้น ป.๕ เรียนภาษาอังกฤษ ๔ เล่ม แม้แต่ฝรั่งเขายังบอกว่าประเทศไทยเรียนภาษาอังกฤษยากมาก ยากจนฝรั่งมาเรียนเองยังตก แต่ที่เราไม่เก่งภาษาอังกฤษ เพราะไม่มีโอกาสได้ใช้ ส่วนใหญ่แล้วไปกลัวฝรั่ง ต่อไปไม่ต้องกลัวนะ ถ้าเขาตัวใหญ่กว่าเราก็ใช้มวยไทย ถ้าเขาตัวเล็กกว่าก็ตบกะโหลกไปเลย..!"

เถรี
21-05-2015, 14:22
ถาม : หินนี้มีอานุภาพด้านไหนครับ ?
ตอบ : ขว้างหัวคนแขวนได้..! เทอร์คอยส์ ถ้าหากว่าทางด้านทิเบตเขาถือเป็นอัญมณีแห่งชีวิต สร้างความเจริญร่มเย็น เก็บไว้เถอะ อาตมาเองยังเอาไปคั่นคอมีดหมอเพชราวุธเลย ถือว่าเป็นวัตถุอาถรรพ์อย่างหนึ่ง

เถรี
23-05-2015, 14:50
พระอาจารย์เล่าว่า "ปีนี้พระที่วัดขอมาเรียนบาลีเพิ่มอีก ๓ รูป เลยบอกให้ท่านทราบว่าบาลียากมาก ถ้ามีความเพียรเรียนจบประโยค ๙ ได้ ก็สามารถจบ ดร.ได้ ๓ ใบเลย แต่ถ้าเราเรียนบาลีจบประโยค ๙ แบบไม่ตกเลย ต้องใช้เวลาถึง ๘ ปี เขาให้เทียบเท่าปริญญาตรีเท่านั้น ซึ่งเป็นปริญญาตรีเฉพาะสาขา

พอเอาสิทธิ์ของประโยค ๙ มาเรียนปริญญาโท ก็จะสาหัสสากรรจ์มาก เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีพื้นฐานของวิชาทั่วไปเลย ตอนที่เรียนปริญญาโท อาตมาช่วยทำการบ้านทุกอย่างให้เพื่อนที่จบประโยค ๙ เพราะว่าท่านไม่รู้เรื่องวิชาพื้นฐาน พวกอังกฤษ คณิตศาสตร์ สังคม เรียนมาแต่บาลี ต้องช่วยกันผลักช่วยกันดันจนจบ

ในเรื่องของบาลี ถ้าไม่ใช่ว่ารู้เรื่องเดียวจริง ๆ น่าจะเทียบให้มากกว่าปริญญาตรี เพราะเรียนแบบไม่ตกเลยยังต้องใช้เวลาถึง ๘ ปี"

เถรี
23-05-2015, 14:55
พระอาจารย์เล่าว่า "มีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานที่ดินจังหวัด เขาแนะนำว่าให้ไปยื่นหนังสือขอเปลี่ยน นส. ๓ ก. ของวัดท่าขนุนให้เป็นโฉนดแทน อาตมาก็ไปยื่น ปรากฏว่ายื่นเสร็จ หัวหน้าที่ดินจังหวัดบอกว่า "อาจารย์ครับ ถอนเรื่องเถอะครับ" ถามว่าทำไม ? "วัดอาจารย์มีภูเขาอยู่ พื้นที่ลาดชันเกิน ๓๐ เปอร์เซ็นต์ ห้ามออกโฉนด ขืนยื่นเรื่องไป ดีไม่ดีอาจโดนยึด นส. ๓ ก. ไปด้วย..!"

แล้วคุณทะลึ่งเสือกแนะนำทำไม ? "อ้าว...ไม่รู้นี่ครับว่าที่ของอาจารย์มีภูเขาอยู่ด้วย" ถามว่า "นส. ๓ ก. มีปัญหาไหม ?" "ไม่มีครับ เป็นสิทธิของเราเหมือนกัน" แต่สมัยนี้ใคร ๆ เขานิยมออกโฉนด อยู่ดี ๆ ดันมาแนะนำให้พระโดนยึดที่เสียแล้ว ...(หัวเราะ)..."

เถรี
23-05-2015, 15:02
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อสงกรานต์ที่ผ่านมา อาตมาสรงน้ำอัฐิหลวงปู่พุก โดยใช้วิธีเทน้ำอบลงไปทั้งขวดเลย เพราะอาตมาซื้อโกศบรรจุอัฐิหลวงปู่พุกมาใหญ่มาก ราคา ๑๘,๙๐๐ บาท เป็นโกฏิทองเหลืองปิดทองลงยา ตอนแรกว่าจะเอาโกศกลีบมะเฟือง แต่ทางร้านไม่มี ทางร้านบอกว่าส่วนใหญ่ของมาจากกรมช่างสิบหมู่ เขาทำแล้วมาฝากขาย แต่ระยะนี้หมด เลยต้องเอาโกศทองเหลืองปิดทองลงยาแทน

กำลังวางแผนว่า ช่วงสงกรานต์น่าจะมีการสรงน้ำพระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว แต่จะทำอย่างไรให้ออกมาดูดี ก็คือให้ญาติโยมสรงน้ำกันโดยที่ข้าวของของเราไม่พัง อาจต้องต่อท่อ โดยกั้นบริเวณ ต่อท่อแล้วให้โยมเทน้ำเข้าไป แต่ก็ยังมีอีกว่าแล้วเราต้องใส่กรงเหล็กไหม ? ถ้าไม่ใส่กรงเหล็กเดี๋ยว "ไอ้เต้ย" คว้าพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วไป แต่ถ้าใส่กรงเหล็กก็ออกมาดูไม่ดี แต่ถ้าไม่ใส่ หายไปก็แย่อีก

วันก่อนที่อยู่เชียงใหม่ จ่าบีเขาแนะนำช่างคนหนึ่ง ว่าทำชุดสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุสวยมาก ก็เลยว่าถ้ามีโอกาสจะสั่งเขาทำหน่อย แต่ว่าชุดนั้นเขาทำด้วยเงิน อาตมาอยากทำเป็นทอง"

เถรี
23-05-2015, 15:28
พระอาจารย์กล่าวว่า "โดยธรรมชาติคนเราชอบความสงบ ถึงเวลาเข้าไปอยู่กับธรรมชาติ รู้สึกสงบสดชื่นเบิกบาน แต่แปลก..แปลกตรงที่ว่า พอถึงเวลาอยู่กับความสงบจริง ๆ แล้ว ถ้าไม่ใช่ท่านที่กำลังใจทรงตัวก็มักจะฟุ้งซ่าน เที่ยวคิดไปหา รัก โลภ โกรธ หลง เพราะเป็นวิสัยของกิเลส

ไม่ใช่แต่ฆราวาส พระหลายรูปบอกว่าชอบอยู่ที่สงบ ๆ พอส่งไปให้อยู่ที่สงบจริง ๆ ก็เผ่นกลับมา บอกว่าอยู่ไม่ได้ เงียบเกินไป ขนาดพระที่ควรจะเป็นผู้สงบกาย สงบวาจา สงบใจ บาลีเขาว่า สนฺตมโน สนฺตวาโจ สนฺตกาโย กลายเป็นว่าถึงเวลาก็ทนไม่ได้ เพราะกิเลสจะตาย หาอาหารไม่ได้ พอสงบเข้าจริง ๆ ไม่มีรัก โลภ โกรธ หลงให้กิเลสจะดิ้นตาย ก็ผลักดันจนกระทั่งต้องหนีออกมา ไม่สามารถอยู่ในที่สงบอย่างที่ตัวเองต้องการ แล้วก็แปลกตรงที่ว่าท่านก็ไม่คิดจะสู้กับกิเลส แทนที่จะดวลกันไปเลย ตายเป็นตาย ไม่ออกไป ดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น"

เถรี
23-05-2015, 15:29
:4672615:เก็บตกเดือนพฤษภาคมปี ๕๘ หมดแล้วค่ะ:4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน