PDA

View Full Version : เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๘


เถรี
08-04-2015, 17:12
ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจออกมา ถ้าความรู้สึกของเราหลุดไปที่อื่น ไปคิดเรื่องอื่น ถ้ารู้ตัวเมื่อไร ก็ให้ดึงกลับมาที่ลมหายใจเข้าออกเสียใหม่ ส่วนคำภาวนา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ที่เราถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ เมื่อวานนี้มีการเฉลิมฉลอง เนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา ถ้าพวกเราพิจารณาดูก็จะเห็นว่า เมื่อพ.ศ. ๒๔๙๘ พระองค์ท่านประสูติเป็นเจ้าหญิงพระองค์น้อย ๆ ใต้พระบรมมหาเศวตฉัตรในพระราชวงศ์จักรี หลังจากนั้นก็มีอายุกาลผ่านวัย เจริญพระชันษาขึ้นมาเป็นเด็กโต เป็นหญิงสาว เป็นวัยกลางคน จนมาถึง ๖๐ พรรษาในปัจจุบัน

ก็จะเห็นได้ชัดเจนว่า ถึงแม้พระองค์ท่านมีอิสริยยศ อิสริยศักดิ์สูงส่งถึงขนาดนั้น ก็ยังประกอบไปด้วยความไม่เที่ยงเป็นปกติ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในพระวรกาย อย่างในปัจจุบันนี้พระเกศาส่วนใหญ่ก็ขาวไปแล้ว พระราชภารกิจที่ประกอบอยู่ ก็ประกอบไปด้วยความทุกข์ เพราะต้องรับผิดชอบหนักกว่าเราหลายต่อหลายเท่า

พระองค์ท่านเคยตรัสว่า นอกจากเรื่องกินกับเรื่องเรียนแล้ว ที่เหลือพระองค์ท่านทำเพื่อคนอื่นทั้งหมด โดยเฉพาะทำเพื่อประชาชน ตามรอยพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระองค์ยกเรื่องกินกับเรื่องเรียนไว้ เพราะว่าทั้งสองอย่างเป็นพระประสงค์เฉพาะตน นอกเหนือจากความทุกข์ตามสภาพของร่างกายแล้ว เท่ากับพระองค์ท่านแบกรับความทุกข์ของคนทั้งประเทศ

เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็เห็นได้ชัดว่า ไม่ใช่แต่เราเท่านั้นที่ทุกข์ คน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของทั้งหมด ล้วนแล้วแต่ประกอบด้วยความทุกข์เป็นปกติ แม้แต่องค์สยามบรมราชกุมารี ที่ประกอบไปด้วยอิสริยยศ อิสริยศักดิ์ พระองค์ท่านก็มีความทุกข์เป็นปกติ แล้วท้ายที่สุดก็ไม่สามารถที่จะอยู่ยงดำรงขันธ์ได้ มีการเสื่อมสลายตายพัง กลับคืนไปสู่ธาตุ ๔ ของโลกตามเดิม

เถรี
10-04-2015, 11:31
เราจะเห็นอย่างชัดเจนว่า ในส่วนของสามัญลักษณะ คือสภาพทั่วไปที่เหมือน ๆ กันของสรรพสิ่งทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่ตกอยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์อย่างนี้ทั้งสิ้น ก็คือเมื่อปรากฏขึ้น ก็ก้าวเข้าไปหาความเปลี่ยนแปลงแปรปรวน และสลายตัวไปในที่สุด ระหว่างที่ดำรงคงอยู่ ก็ประกอบไปด้วยความทุกข์ ทุกข์ของการเกิด ทุกข์ของการแก่ ทุกข์ของการเจ็บ ทุกข์ของการตาย ทุกข์ของการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ทุกข์ของการปรารถนาไม่สมหวัง ทุกข์ของการกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ เป็นต้น

ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถที่จะยึดถือเป็นตัวตนเราเขาได้ เพราะสภาพที่แท้จริงล้วนแล้วแต่ประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้อาศัยอยู่ได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว ท้ายสุดก็สลายตัวกลับคืนไปสู่สมบัติของโลกตามเดิม พระองค์ท่านเป็นเช่นนี้ ตัวเราก็เป็นเช่นนี้ ตัวคนอื่นก็เป็นเช่นนี้ สัตว์อื่นตลอดจนวัตถุธาตุสิ่งของทั้งหลายต่างก็เป็นเช่นนี้ ในเมื่อเกิดมามีสภาพร่างกายที่ไม่เที่ยงอย่างนี้ เป็นทุกข์อย่างนี้ ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนได้อย่างนี้ เรายังมีความยินดีที่จะมาเกิดอย่างนี้อีกหรือไม่ ? เพราะเกิดเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้น

ถ้าหากเราไม่ยินดีในการเกิด ทำอย่างไรถึงจะพ้นไปได้ ? ก็ให้ทุกท่านตั้งหน้าตั้งตาชำระศีลทุกสิกขาบทของตนให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล ทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างจริงใจ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ท้ายที่สุดตั้งเป้าเอาไว้ว่า ตายลงไปเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว

ทุกครั้งที่ภาวนา กำลังใจตอนสุดท้ายต้องแน่วแน่มั่นคงต่อเป้าหมายทั้งหลายเหล่านี้ ก็คือทวนศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ทำความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแน่นแฟ้นจริงจัง และตั้งเป้าไว้ว่า ถ้าตายแล้วเราไปพระนิพพานที่เดียว เมื่อถึงตรงนี้ ท่านใดที่สามารถยกจิตขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพานได้ ให้ยกจิตขึ้นไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน ตั้งกำลังใจเอาไว้ตรงนั้นให้ยาวนานที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ถ้าไม่สามารถที่จะยกจิตขึ้นพระนิพพานได้ ก็ให้นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เรารักเราชอบชอบมากที่สุด ว่านั่นเป็นองค์แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน ถ้าตายลงไปเมื่อไร เราขอไปอยู่กับพระองค์ท่านที่พระนิพพานเท่านั้น

แล้วพิจารณาดูว่า ถ้ายังมีลมหายใจเข้าออกอยู่ ก็จับลมหายใจเข้าออกของเรา ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ ก็กำหนดคำภาวนาไปด้วย ถ้าลมหายใจเบาลงหรือว่าหายไป คำภาวนาหายไป ก็กำหนดใจรับรู้ไว้เฉย ๆ ว่าตอนนี้ลมหายใจเบาลง ตอนนี้ลมหายใจหายไป ตอนนี้คำภาวนาหายไป ให้รักษาสภาพจิตของเราเช่นนี้เอาไว้ จนกว่าได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)