PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๘


เถรี
04-01-2015, 21:09
ถาม : บุญกุศลต่าง ๆ ที่เราทำแล้ว และอุทิศให้บิดาหรือญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปแล้ว บุญที่อุทิศให้อยู่ในขอบเขตของ ศีล สมาธิ ปัญญา ทั้งหมด ถ้าดวงจิตนั้นยังไม่เข้าถึงพระนิพพาน แต่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง เราซึ่งเป็นลูกหลานก็ยังทำบุญกุศลและอุทิศบุญให้เรื่อย ๆ อยากเรียนถามว่า บุญกุศลจะส่งผลถึงบิดาหรือญาติพี่น้องที่ลงมาเกิดอีกครั้งที่อุทิศให้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าลงมาเกิดแล้ว ต้องแจ้งให้เขาทราบ จะได้โมทนาเอง

ถาม : เราไม่รู้ครับว่าเขามาเกิดใหม่แล้ว ?
ตอบ : เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าพ้นจากเขตนั้นมาแล้ว ความเป็นทิพย์ไม่มี บอกเขาสักแค่ไหนเขาก็ไม่รับรู้ จึงไม่ได้โมทนา ในเมื่อไม่โมทนา ผลบุญนั้นก็ไม่เกิดกับเขา

เถรี
04-01-2015, 21:12
ถาม : เมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ ๗ ธันวาคม ที่ผ่านมา พระอาจารย์ท่านเมตตานำกรรมฐานเช้าก่อนทำวัตรเช้าที่วัด ตอนที่แผ่เมตตานั้น ก็สะดุดที่พระอาจารย์นำว่า '...แผ่กว้างออกไป กว้างออกไป เบื้องบนสูงสุดถึงพรหมชั้นที่ ๑๖' เนื่องจากดิฉันจะชินกับที่ท่านนำว่า '...เบื้องบนถึงพระนิพพาน' มากกว่า จึงขอกราบเรียนถามว่า มีนัยของความแตกต่างนี้หรือไม่ ? อย่างไร ? และที่สะดุด แทนที่จะทำตามท่านไปเรื่อย ๆ นี้ เป็นเพราะสมาธิพร่องหรือฟุ้งใช่หรือไม่ ?
ตอบ : ฟุ้งแน่นอน สถานที่ซึ่งเขายังใช้บุญกันอยู่ ไม่เกินพรหมชั้นที่ ๑๖ นอกเหนือจากนั้นก็พ้นบุญพ้นบาปไปแล้ว ท่านไม่ได้ใช้อะไรหรอก ฉะนั้น..ให้หรือไม่ให้ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร

เถรี
04-01-2015, 21:18
ถาม : ตามความเข้าใจของกระผมนะครับ เจ้ากรรมนายเวรที่เป็นคนอื่นนอกจากตัวของเรานั้นไม่มีจริง แต่เจ้ากรรมนายเวรที่ผมเข้าใจ คือจิตของเราเอง ที่คิดดี หรือคิดไม่ดี ที่ติดตัวมาจากชาติปางก่อน หรือชาติภพปัจจุบัน สิ่งที่ไม่ดี ไม่บริสุทธิ์ในจิตของเรา จะส่งผลออกมาเป็นการกระทำ แล้วเราก็มักจะให้เหตุผลกันว่าเป็นกรรมเก่า เจ้ากรรมนายเวรจากอดีตชาติ เรียนขอคำแนะนำจากหลวงพ่อครับ ว่าผมเข้าใจถูกต้องหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ผิดร้อยเปอร์เซ็นต์เลยครับ..! พระพุทธเจ้าสอนให้เราเชื่อกรรม สอนให้เราเชื่อการส่งผลของกรรม ถ้าคุณไม่เชื่อก็ไม่ต้องคุยกัน

ถาม : มีเจ้ากรรมนายเวรเป็นตัวตนหรือครับ ?
ตอบ : ส่วนหนึ่งเป็นการกระทำของเราที่ส่งผล เพราะว่าบุคคลที่เรากระทำไม่ดีด้วย อาจจะไปอยู่อีกภพภูมิหนึ่งแล้ว แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นพวกที่ผูกอาฆาตพยาบาทอยู่และยังไม่ได้ไปเกิด ตามจ้องจะเล่นงานอยู่ สรุปว่ามีทั้งที่มีตัวตนและไม่มีตัวตน แต่ว่าส่วนที่ส่งผลแน่นอนคือการกระทำของเรา ถ้าการกระทำนั้นส่งผลเมื่อไร ท่านที่มีตัวตนจะฉวยจังหวะนั้นเล่นงานคืน แต่ถ้าหากไม่มีตัวตนแล้ว จังหวะที่ผลกรรมนั้นถึงวาระจรเข้ามา กรรมนั้นก็จะสนองเอง

เถรี
04-01-2015, 21:23
ถาม : กราบเรียนสอบถามการแบ่งที่ดินตำราปลูกเรือนของหลวงปู่สายครับ ผมตีตาราง ๓๖ ช่องโดยกำหนดเอาทิศเหนือเป็นหลัก ตารางที่ผมทำตามรูปนี้ ถูกต้องตามตำราปลูกเรือนของหลวงปู่สายใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ผิดตั้งแต่แรกแล้ว เพราะว่าที่ดินสมัยก่อนเป็นสิบ ๆ ไร่ ตีเป็น ๓๖ ช่องแล้วปลูกบ้านได้ สมัยนี้อย่างเก่งซื้อ ๒๐๐ ตารางวา ตี ๓๖ ช่องก็สร้างได้แค่ศาลพระภูมิ..!

ถาม : สำหรับอย่างนี้จะใช้ได้กับบ้านในปัจจุบันไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าจะสร้างศาลพระภูมิก็ใช้ได้..! แต่ถ้าใครมีที่ดินหลายไร่ก็ทำได้ ถ้ามีที่ดินอยู่หน่อยเดียว ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปทำหรอก

เถรี
04-01-2015, 21:44
ถาม : ตามหลักเถรวาทภิกษุณีได้สูญสิ้นไปแล้ว แต่มหายานยังมีการบวชภิกษุณีอยู่ กราบเรียนถามว่า ถ้าภิกษุณีในปัจจุบันที่บวชโดยมหายาน ได้ออกบิณฑบาตและให้ผู้คนกราบไหว้นับถือ โดยที่ไม่ได้เป็นภิกษุณีแบบครบถ้วนสมบูรณ์ ตามหลักวินัยปิฎกของเถรวาท ภิกษุณีที่ปฏิบัติตนดังกล่าวจะบาปหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ใช่นักบวชแล้วไปทำตัวแบบนักบวช ก็แปลว่ารับไปเต็ม ๆ..! กล่าวถึงในเรื่องของภิกษุณีต้องว่ากันตามพระธรรมวินัย ภิกษุณีต้องบวชในฝ่ายภิกษุณีก่อน แล้วก็มาญัตติซ้ำในฝ่ายของภิกษุอีกรอบหนึ่ง เรียกว่าบวชโดยอุภโตสงฆ์ คือสงฆ์ทั้งสองฝ่ายให้การรับรอง จึงจะเป็นภิกษุณีได้ ไม่ใช่นึกอยากจะบวชก็บวชขึ้นมา โดยให้พระภิกษุเป็นฝ่ายบวช แล้วก็กล่าวว่าตนเองเป็นภิกษุณี

เรื่องนี้ว่ากันตามหลักพระวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติเอาไว้ ไม่ใช่การกีดกันสิทธิสตรีอะไรทั้งสิ้น ในเมื่อเราต้องการเข้ามาอยู่ในธรรมวินัยนี้ ก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักวินัย ไม่ใช่เอาสิทธิสตรีหรือหลักกฎหมายสมัยใหม่มากล่าวว่าเป็นการกีดกัน แล้วพยายามที่จะเบียดแทรกเข้ามา ถ้าอย่างนั้นแปลว่าคุณกำลังหาเรื่องเดือดร้อนเอง

บ้านเรามีคำสั่งมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ ระบุชัดเจนว่าภิกษุณีและสามเณรีหมดสิ้นขาดหายไปจากประเทศไทยนานแล้ว ห้ามพระภิกษุที่เป็นพระอุปัชฌาย์ทุกรูป บวชสามเณรีและภิกษุณี จนป่านนี้คำสั่งนั้นยังมีผลใช้งานอยู่

ความจริงการบวชในลักษณะบวชใจจะสะดวกกว่า แต่บางทีเขาก็ใช้เหตุผลว่าเป็นการเติมเต็มพุทธบริษัท ซึ่งเหตุผลกับพระธรรมวินัยเป็นคนละเรื่องกัน เหตุผลคุณจะอ้างอย่างไรก็ได้ แต่ถ้าคัดค้านได้โดยพระธรรมวินัย ก็เป็นอันว่าเหตุผลนั้นใช้ไม่ได้

ถาม : สรุปว่าในเมืองไทย..?
ตอบ : ในเมืองไทยมีภิกษุณีไม่ได้ เพราะคำสั่งของสมเด็จพระสังฆราชถือว่าเป็นกฎหมายคณะสงฆ์

ถาม : ในประเทศอื่นยังมีภิกษุณีที่สืบเนื่องมาจากสมัยพุทธกาลอยู่หรือครับ ?
ตอบ : ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าสืบเนื่องมาถูกต้องหรือไม่ ? ต้องไปสืบสายค้นหากันเอาเอง เพราะว่าต้องบวชกันในสงฆ์ทั้งสองฝ่าย


** ไม่อนุญาตให้นำข้อความนี้ไปเผยแพร่นอกเว็บนะคะ เพราะจะเกิดการโต้เถียงกัน

https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xap1/v/t1.0-9/q86/s720x720/10868232_788350204563351_2764788799593085962_n.jpg?oh=8cdf18dd82c40e5e51b7082808756df5&oe=5532F03B&__gda__=1429901738_70ad07124d3a466b7d32854b134a9bb7

เถรี
04-01-2015, 21:45
ถาม : บูชาวัตถุมงคลอย่างไรไม่ให้เป็นกิเลส ?
ตอบ : ให้ตั้งใจว่า เราขอยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพื่อความพ้นทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานในชาตินี้

เถรี
04-01-2015, 21:48
ถาม : ดารานักร้องศิลปิน ทำกรรมอะไรถึงได้มีชื่อเสียงโด่งดัง ?
ตอบ : อย่างน้อยก็ต้องเคยทำบุญใหญ่มาในอดีต ในลักษณะเป็นผู้นำบุญคนอื่นเขา

ถาม : จำเป็นไหมครับว่าทำบุญแบบนี้แล้วต้องไปเกิดเป็นดาราศิลปิน ?
ตอบ : ไม่จำเป็น..จะเกิดเป็นอะไรก็ตาม มักจะโดนถีบให้ออกหน้าอยู่เสมอ..!

เถรี
04-01-2015, 21:52
ถาม : มีคนบอกว่า พระภิกษุเดินบนผ้าขาวแล้วเป็นอาบัติ ไม่ทราบว่าในพระวินัยมีศีลข้อห้ามนี้หรือไม่คะ ?
ตอบ : มีห้ามไว้อย่างชัดเจน ห้ามภิกษุเดินบนผ้าขาวที่เขาลาดเอาไว้เป็นทางเดิน เนื่องจากสมัยพระเจ้าโพธิราชกุมาร พระองค์ท่านตั้งใจอธิษฐานว่า ถ้าตนเองสามารถมีพระราชโอรสหรือพระราชธิดาได้ ขอให้พระพุทธเจ้าเดินบนผ้าขาวนี้ พระพุทธเจ้าไปถึงสั่งพระอานนท์รื้อทิ้งหมดเลย และด้วยความที่พระทุกรูปไม่ได้มีทิพจักขุญาณ บางท่านอาจจะเสียท่า ไปเดินบนผ้าขาวที่โยมตั้งใจอธิษฐานเอาไว้ พระพุทธเจ้าจึงตัดปัญหาด้วยการห้ามเดินบนผ้าขาวไปเลย

เถรี
04-01-2015, 21:57
ถาม : พระที่เข้านิโรธสมาบัติเป็นเดือน ท่านเอาจิตไปไว้ที่ไหน ท่องเที่ยวไปตามภพภูมิต่าง ๆ หรือว่าอยู่กับการพิจารณาธรรม ?
ตอบ : อยากทำใช่ไหม ? ถ้าอยากทำจะตอบให้ การเข้านิโรธสมาบัติมีสองลักษณะด้วยกัน ลักษณะแรกก็คือส่งจิตไปอยู่เฉพาะที่พระนิพพาน ลักษณะที่สองคือเอาจิตท่องเที่ยวไปตามภพต่าง ๆ แต่ว่าทั้งสองลักษณะนั้น จิตจะไม่เกี่ยวข้องกับร่างกาย ทิ้งร่างกายไปเหมือนกับตายเลย

ถาม : แตกต่างกับมโนมยิทธิเต็มกำลังหรือไม่ครับ ?
ตอบ : มโนมยิทธิเต็มกำลังสามารถใช้ในลักษณะการเข้านิโรธสมาบัติได้

ถาม : ปกติพระอาจารย์ทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ปกติก็นอน..!

เถรี
05-01-2015, 10:34
ถาม : กระผมขอกราบเรียนถามข้อสงสัยเกี่ยวกับการนำวัตถุมงคล เช่น เหรียญพุทธบารมีหรือพระพุทธปฏิมาลอยองค์ของวัดท่าขนุน ที่เป็นมวลสารเนื้อเงิน มาชุบทองคำโดยเจตนาเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา อยากทราบว่าเมื่อชุบเสร็จแล้ว ผู้ครอบครองจะต้องนำเข้าพิธีพุทธาภิเษกอีกครั้งใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ต้อง อยากทำอะไรทำตามใจของตนเองไปเลย เพราะว่ามีเจตนาดี

ถาม : ไม่เป็นกรรมอะไรใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเนื้อทองเอาไปชุบเงินก็ไม่ค่อยดี เป็นกรรมเหมือนกัน

ถาม : จำเป็นต้องภาวนาเสกอีกครั้งเฉกเช่นเดียวกับกรณีที่ทองชุบบนเหรียญทำน้ำมนต์ลอก แล้วนำไปชุบทองใหม่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เหรียญทำน้ำมนต์ลอกแล้วเอาไปชุบใหม่ ถ้าต้องการใช้งานก็เอาไปนั่งเสกเอง ๑๐๘ จบ แต่สิ่งเหล่านี้ให้เข้าใจว่าเป็นคำสั่งเฉพาะแต่ละอย่างไป ไม่ต้องไปฟุ้งซ่านในเรื่องที่ท่านไม่ได้สั่ง

เถรี
05-01-2015, 10:42
ถาม : โรคซึมเศร้ารวมถึงโรคทางจิตเภทนั้น เกิดจากบุพกรรมใดในอดีตครับ ? เพราะมีญาติประสบปัญหาอยู่ โดยตอนนี้รักษาโดยจิตแพทย์และยาแผนปัจจุบัน (ยาต้านเศร้า) แต่ทำได้เพียงแค่ทรงอาการไว้ แต่ไม่ใช่การรักษาให้ดีขึ้นหรือกลับมาเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น ?
ตอบ : สาเหตุที่เป็นเพราะไม่ได้ใช้วัสดุวอเตอร์พรูฟ (กันน้ำ) ทำให้ซึมได้ เพราะซึมได้ก็เลยเศร้า..! ..(หัวเราะ).. การเจ็บไข้ได้ป่วยทุกอย่างมีผลจากเศษกรรมปาณาติบาตทั้งสิ้น ที่บอกว่าเป็นโรคซึมเศร้าแล้วรักษาไม่ได้เพราะเป็นกรรม นั่นเข้าใจผิด ถ้าสามารถสอนให้เขาภาวนาได้ เมื่ออารมณ์ใจตั้งมั่น โรคนี้จะหายเอง

ถาม : หายขาดเลยหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าหลุดจากสมาธิเมื่อไรก็เป็นอีกเพราะชอบคิด ส่วนใหญ่เกิดจากการคิดสงสารตนเอง เพราะรักตัวเองมากจนเกินไป มีอะไรก็โทษว่าตัวเองเป็นหลัก ท้ายสุดเป็นย้ำคิดย้ำทำ ไม่สามารถถอนจิตออกมาจากตรงนั้นได้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือแนะนำให้ปฏิบัติในอานาปานสติ ให้จับลมหายใจเข้าออกเป็นหลัก ถ้าภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัวได้ โรคนี้จะหาย

ถาม : ขอความอนุเคราะห์จากท่านถึงวิธีการรักษาแบบสมัยก่อนที่ใช้รักษาผู้ป่วยกัน ?
ตอบ : ทั้งโบราณและปัจจุบันก็วิธีเดียวกัน วิธีอื่นใช้ยาก็ได้แค่กดสภาพไว้ชั่วคราวเท่านั้น

เถรี
05-01-2015, 10:46
ถาม : มีไหมครับที่ฝึกเรื่องเดียว ฝึกสิ่งเดียว วิธีเดียวไปตลอดชีวิตแล้วสำเร็จหมดทุกอย่าง ?
ตอบ : ภาษิตจีนบอกว่า รู้จริงเพียงหนึ่ง ร้อยอย่างก็ปรุโปร่ง เราฝึกกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งจนเข้าถึงที่สุดได้ ถ้าวิสัยเดิมเป็นปฏิสัมภิทาญาณอยู่ ทุกอย่างก็จะรู้หมด สำเร็จหมด

ถาม : มีข้อธรรมอะไรไหมครับที่ใช้อย่างเดียวแล้วสำเร็จหมด ?
ตอบ : อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ ไม่ประมาทข้อเดียวเท่านั้น สำเร็จทุกอย่าง

เถรี
05-01-2015, 11:26
ถาม : พระพุทธเจ้าท่านถือว่าเป็นผู้เลิศ เป็นหนึ่ง เก่งที่สุด ผมสงสัยว่ากรรมนี้มีอำนาจมากกว่าพระพุทธองค์ไหม ? ธรรมชาตินี้มีอำนาจมากกว่าพระองค์ไหม ?
ตอบ : มีมากกว่าเป็นปกติ เพราะพระองค์ท่านก็ยังเสวยกรรมเป็นปกติ แม้จะบรรลุมรรคผลแล้ว เศษกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังคงตามสนองอยู่ ขณะเดียวกันธรรมชาติ ก็คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เกิดขึ้นกับพระองค์เป็นปกติ พูดง่าย ๆ ว่าพระองค์ท่านมีพระองค์เองเป็นคำสอนที่ดีที่สุดให้พวกเราได้เห็น แต่ส่วนใหญ่เราไม่ได้มองในจุดนั้น เพราะไปติดอยู่ตรงที่ว่า "พระองค์ท่านเก่งที่สุด" ก็เลยลืมไปว่า พระองค์ท่านก็คือมนุษย์ธรรมดาเหมือนกัน เพียงแต่เป็นอัจฉริยมนุษย์ ที่เกิดมาเพื่ออนุเคราะห์สงเคราะห์สัตว์โลกจำนวนมหาศาลให้ได้ประโยชน์

เถรี
05-01-2015, 11:29
ถาม : พระพุทธเจ้ามี ๓ ประเภท มีปัญญา ศรัทธา วิริยะ แล้วสมเด็จองค์ปฐมท่านจัดอยู่ในประเภทไหนครับ ?
ตอบ : อยู่ในประเภทองค์ปฐม..! พระองค์ท่านเป็นผู้มาก่อนหลักสูตร เมื่อพระองค์ท่านสำเร็จแล้ว จึงได้มีหลักสูตรในการปฏิบัติเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าให้องค์ถัด ๆ มา เพราะฉะนั้น..เรื่องนอกเหตุเหนือผลแบบนี้อย่าไปจัดประเภท คุณจะจัดก็จัดเอาเองเถอะ อาตมาไม่บังอาจ..!

เถรี
05-01-2015, 11:31
ถาม : ลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุงที่ลงมาเกิด นอกจากมีหน้าที่ปฏิบัติเพื่อมรรคผลของตนเองแล้ว ยังมีหน้าที่อื่นติดตามมาด้วยหรือไม่คะ ?
ตอบ : ๑. เพื่อเกื้อกูลพระศาสนา ๒.เพื่อแบ่งเบาภารกิจการงานของหลวงพ่อ ๓.เพื่อมรรคผลพระนิพพานของตนเอง ใครรู้ตัวว่าทำไม่ครบก็รีบทำเสียให้ครบ

เถรี
05-01-2015, 11:33
ถาม : ถ้ามีบุคคลหนึ่งได้เข้ามาทำความรู้จักเพื่อจะคบหากัน ต่อมาเราทราบว่าเขาได้พูดโกหกกับเรา จนทำให้ส่วนรวมเสียหาย ถ้าภายหลังเราอภัยให้เขา แต่ไม่กลับไปคบหาสนิทสนมเหมือนเดิม ตรงนี้เป็นเพราะใจเรายังคับแคบเกินไป ขาดเมตตาต่อคนทำผิด หรือเป็นการสมควรแล้วครับ ?
ตอบ : ต้องพิจารณาดู ถ้าเรายังผูกโกรธอยู่ก็จิตใจคับแคบ แต่ถ้าเราทำไปเพราะรู้จักจำ มีความเข็ด ถือว่าเป็นการกระทำของผู้ที่มีปัญญา

เถรี
05-01-2015, 11:39
ถาม : ทำอาชีพโรงแรม (ม่านรูด) ผิดศีลหรือไม่คะ ? และควรประกอบอาชีพนี้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ทำต่อไป ไม่มีอะไรผิด พวกที่ไปใช้โรงแรมม่านรูดต่างหากที่ทำผิด

ถาม : บางทีไปนอนเฉย ๆ ครับ
ตอบ : ก็ผิด มีบ้านแล้วไม่นอน..!

ถาม : ทำงานม่านรูดไม่ถือว่าส่งเสริมเขา หรืออำนวยความสะดวกหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจอย่างนั้นก็ผิด อยู่ที่การตั้งเจตนา ถ้าคิดว่าเราสร้างขึ้นมาจะเป็นม่านรูดอะไรก็ตาม เราก็ทำมาหากินของเรา ส่วนใครจะมาใช้บริการอย่างไรก็เรื่องของเขา ตัดใจอย่างนั้นได้ก็ไม่ผิด คิดว่าให้เขามานอนหลับ ไม่ได้ให้มาหลับนอน..!

เถรี
06-01-2015, 19:10
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมท่านใด ตลอดจนพระภิกษุสามเณรหรือแม่ชีที่ตั้งคำถามมา โปรดพิจารณาด้วยว่าคำถามเหล่านั้นก่อประโยชน์แก่ตนหรือเปล่า ถ้าไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากความรู้เพิ่มขึ้นมาหน่อยเดียว แล้วเอาไปโม้ต่อ ก็เสียเวลาที่ตั้งคำถามมา ควรจะถามในสิ่งที่ก่อประโยชน์กับตนหรือส่วนรวมมากกว่า ส่วนใหญ่แล้วมักจะอยากรู้ทุกเรื่อง พวกนี้ต้องไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าเอง..!

อย่างโยมวันนี้ถวายพระพุทธรูปไม้แกะมาหนึ่งองค์ น่าจะเป็นไม้จันทน์ ในพระหัตถ์พระพุทธรูปมีใบไม้อยู่หนึ่งใบ นั่นก็คือการแสดงออกว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้ามาสอนเราคือใบไม้ในกำมือ สิ่งที่พระองค์ท่านตรัสรู้ก็คือใบไม้ทั้งป่า ฉะนั้น..บางเรื่องถ้าอยากรู้จริง ๆ ชาตินี้ก็สร้างทิพจักขุญาณให้เกิดแล้วทูลถามพระ ถามพรหมเทวดาท่านได้ หรือไม่ถ้าอยากรู้ไม่หายคันจริง ๆ ก็ตั้งใจปรารถนาพระโพธิญาณไปเลย ถึงเวลามีสัพพัญญุตญาณ ก็จะรู้รอบในทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะในระดับอัครสาวกหรือแม้แต่พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ยังไม่มีสัพพัญญุตญาณ แต่เราสามารถยืมใช้ได้ ขอพระองค์ท่านแอดไลน์ให้เราอยู่ในไลน์กลุ่มด้วย

ฉะนั้น...อยากรู้เรื่องอะไรก็พึ่งพระบารมี ทูลถามพระองค์ท่านโดยตรง แต่อย่าถึงขนาดคุณสุภิตาก็แล้วกัน ถาม ๆ ๆ ๆ ถามจนพระองค์เห็นว่าเป็นการฟุ้งซ่านจนเกินไป ก็จำกัดว่า ต่อไปนี้ห้ามถามเกินวันละหนึ่งคำถาม คุณสุภิตาก็อุตส่าห์สงสัยอีกว่า แล้วถ้าเกิดสงสัยมากกว่าหนึ่งคำถาม ? พระองค์ท่านตรัสว่า "ให้ไปถามกับพระเล็กก็แล้วกัน" คุณสุภิตาหาทั่วประเทศไทยเลย บังเอิญไปเจอชื่ออาตมาเข้า นับว่าเป็นความเฮง จึงได้มาถามต่อ

ของบางอย่างไม่รู้ดีกว่า เพราะบางอย่างรู้เกินวาระของกรรม แล้วไม่สามารถจะบอกจะกล่าวให้คนอื่นทราบได้ อกจะแตกตายเอา แต่อย่างว่านะ..ยังไม่มีประสบการณ์ก็คัน อยากจะรู้ พอรู้แล้วมีโยมบางท่านมาปรารภกับอาตมาว่า ทำอย่างไรจะปิดทิพจักขุญาณนี้ได้ รู้มากจนเบื่อ โดยเฉพาะรู้ใจคนอื่น แต่ละคนคิดอย่างหนึ่ง แต่พูดอีกอย่างหนึ่ง ทำอีกอย่างหนึ่ง ทำเอาเขาสับสนกับชีวิต

ด้วยความที่โลกอื่นเขาไม่มีการหลอกลวงกัน มีอะไรก็ว่ากันตรง ๆ พอมาถึงโลกนี้ทำไมสับสนกันอย่างนี้ ก็เลยอยากจะไม่มีทิพจักขุญาณ ความสามารถนี้พอทำไปแล้ว คุณไม่อยากก็ต้องรู้ ท้ายสุดก็เลยแนะนำเขาไปว่า ให้ไปซักซ้อมการเข้าออกสมาธิให้ชำนาญ แล้วรักษากำลังใจให้เกินอุปจารสมาธิ แต่อย่าให้ถึงฌานสี่ จะอยู่ที่ฌานหนึ่ง ฌานสอง ฌานสามอย่างไรก็ได้ อยู่แถว ๆ นั้นแหละ ไม่ขึ้นข้างบนไม่ลงข้างล่าง ก็ไม่มีทางที่จะรู้หรอก"

เถรี
06-01-2015, 19:23
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนที่มีงานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ในพระเจดีย์ที่วิหารร้อยเมตรวัดท่าซุง อาตมาเองไม่ได้รับการกำหนดให้เป็นผู้ถือพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุตามพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง แต่ในความที่คนอื่นช้า หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเดินนำเข้าวิหารไปแล้ว พระบรมสารีริกธาตุทุกพระเจดีย์ยังตั้งอยู่ที่รถ อาตมาก็คว้ามาหนึ่งพระเจดีย์ เพราะรู้ว่าถ้าช้าเดี๋ยวที่เหลือตายหมด..! พอท่านอื่นเห็นอาตมาคว้าพระเจดีย์ ท่านก็ได้สติก็รีบคว้าเหมือนกัน แล้วเดินตามพระเดชพระคุณหลวงพ่อไปเป็นพรวน

อาตมาอาศัยสัญชาตญาณ ไปถึงก็เลี้ยวขวา ปรากฏว่าทุกคนเลี้ยวซ้ายกันหมด ก็เลยกลายเป็นเวรกรรมว่า อาตมาถือพระบรมสารีริกธาตุหนึ่งพระเจดีย์ ยืนรออยู่กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ขณะที่ทั้งหมดไปยืนรอพระเดชพระคุณหลวงพ่ออยู่ที่อีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งปัจจุปันคือฝั่งมณฑปตั้งศพหลวงพ่อ อาตมาหลงไปได้อย่างไรคนเดียว ? ฉะนั้น..บางอย่างเราก็ต้องเชื่อสัญชาตญาณเหมือนกัน

คำว่าสัญชาตญาณจริง ๆ ก็คือทิพจักขุญาณนั่นเอง ถ้าสำหรับคนทั่ว ๆ ไป ที่ไม่ได้ซักซ้อมมา ก็จะเป็นทิพจักขุญาณอย่างอ่อน ทำให้เราไม่ค่อยเชื่อใจตัวเอง

วันนั้นพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านยังขาวผ่องอยู่ อาตมาก็โล่งใจ ยืนรอจนกระทั่งท่านอื่นมาถึง แทนที่จะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไปตั้งนานแล้ว ก็ไม่ได้บรรจุเสียที ถ้าวันนั้นเห็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อดำปี๋ อาตมาก็คงส่งพระเจดีย์พระบรมสารีริกธาตุให้คนอื่น ตัวเองเผ่นไปนานแล้ว" ...(หัวเราะ)...

เถรี
06-01-2015, 19:37
พระอาจารย์กล่าวสอนพระว่า "ถึงเวลาเรียน ต้องให้ความสำคัญกับการเรียนเป็นอันดับหนึ่ง เรื่องอื่นเป็นเรื่องรองทั้งหมด ผมเองสมัยเรียน ถ้าตรงกับวันเรียนจะไม่รับกิจนิมนต์ใครเลย แม้กระทั่งทุกวันนี้ ถ้าตรงกับวันสอนหนังสือก็ไม่รับกิจนิมนต์ใครเหมือนกัน"

เถรี
06-01-2015, 20:00
พระอาจารย์กล่าวว่า "โลกเจริญขึ้นทุกวัน เราปฏิเสธความเจริญไม่ได้ แต่ให้เทคโนโลยีเป็นเครื่องสนับสนุนความสะดวกในการปฏิบัติธรรมของเรา อย่าให้เทคโนโลยีเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเรา จนก้มหน้าก้มตาไม่ยอมเงย

สำหรับพวกเราอาตมาไม่ห่วงหรอก เพราะว่าพวกปฏิบัติธรรมมา กำลังใจจะเข้มแข็งพอ ประเภทเลิกดูไลน์ได้พักหนึ่ง ถ้าทั่ว ๆ ไปนี่ก้มหน้าไม่เงยเลย"

เถรี
08-01-2015, 10:07
ถาม : โยมถือศีล ๘ แต่หาน้ำปานะที่กรองด้วยผ้า ๗ ชั้นไม่ได้..?
ตอบ : เสียเวลาเปล่า ๆ น้ำเต้าหู้ก็ได้ โอวัลตินก็ได้ นั่นของโยม ไม่ได้เกี่ยวกับพระ ที่ว่ามาเป็นศีลของพระ หรืออยากจะถือศีลแบบพระก็เอา ท่านให้รู้จักประมาณในการบริโภค ถ้าร่างกายไม่ได้ใส่ใจตรงจุดนั้นก็ไม่จำเป็น อาตมาก็ฉันน้ำเปล่ามาตลอด แต่ถ้าร่างกายยังต้องการอยู่ก็หาให้เขาสักนิด แต่ให้รู้จักประมาณ

สมัยก่อนที่ยังอยู่วัดท่าซุง มีท่านน้อยบวชรุ่นเดียวกัน บวชด้วยกัน เหลืออยู่ด้วยกันแค่ ๒ รูป ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า "รุ่นนี้เหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ " เหลือแต่เล็กกับน้อยอยู่สองรูปจริง ๆ พอถึงเวลาเย็นท่านน้อยมาถึงก็ โอวัลตินสองช้อนโต๊ะ นมข้นอีกครึ่งแก้ว เทรวมกัน เอาช้อนคนจนเหนียวเป็นกาละแมเลย แล้วก็ตักฉัน อาตมาบอกว่า "น้อย..บอกแบบไม่เกรงใจเลยนะ เอ็งไม่ได้ฉัน เอ็งกำลังแด..!"

อาตมาได้เปรียบว่า ๑๑ ปีในความเป็นฆราวาส ได้ศึกษาและฝึกปรือพวกนี้ไว้ก่อน ก่อนบวชสองปีก็รักษาศีลแปดเด็ดขาดมาตลอด ไม่ได้ไปยุ่งไปเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ ตอนเป็นพระก็เลยไม่ได้มีปัญหากับการอดข้าวเย็น หรือจะต้องหาน้ำปานะมาฉัน ฉะนั้น..ใครคิดว่าจะรักษาศีลแปดก็เริ่มฝึกหัดตัวเองได้ ร่างกายของเราจะปรับระบบตัวเอง ถ้าไม่ได้อาหารไปประมาณสักสามวันติดกัน รู้ว่าทวงไปแล้วเสียเวลาก็เลิกทวงเอง แต่ส่วนใหญ่ที่ทนไม่ได้ เพราะว่าเวลาร่างกายทวง บางคนจะรู้สึกปวดหัวจนทนไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ทนผ่านไปได้หน่อยเดียวก็จบแล้ว

อาตมาเคยย้ำกับพระเณรที่วัดว่า ถ้าเราห้ามปากตัวเองได้ จะรักษาศีลทุกข้อได้ เพราะกำลังใจในการห้ามปากตัวเอง ก็คือกำลังใจห้ามใจไม่ให้ละเมิดศีล

เถรี
08-01-2015, 11:29
ถาม : ศาสนาพุทธในอุซเบกิสถานเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : อุซเบกิสถานส่วนใหญ่เป็นพระพุทธศาสนาแบบมหายาน ถ้านับเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วมีน้อยมากเลย

ถาม : มีพระอยู่ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นพระลามะ จริง ๆ ในรัสเซียมีแคว้นคามัยเคีย ที่มีวัดพุทธที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป แต่ก็เป็นพุทธมหายาน เกิดจากสมัยเจงกิสข่านไปตีรัสเซีย แล้วก็นำพระพุทธศาสนาเข้าไป

รัสเซียออกปทานุกรมพุทธศาสนา ถือว่าเป็นเรื่องแปลกนะ พวกนี้น่าจะเป็นประเทศไทยหรือประเทศพม่าทำมากกว่า กลายเป็นรัสเซียทำหนังสือปทานุกรมพระพุทธศาสนา แสดงว่าคนของเขาหันมานับถือศาสนาพุทธกันเยอะมาก โดยเฉพาะพวกคริสต์นิกายออร์โธด็อกซ์ แต่ว่าเขาถือศาสนาพุทธแบบคริสต์ ๆ ก็คือทิ้งของเก่าไม่ได้ แต่ก็มาสวดมนต์ไหว้พระ ทำสมาธิตามแบบพุทธ เพราะเห็นว่าเกิดประโยชน์แก่ตัวเองมาก จึงกลายเป็นพุทธศาสนาแบบพิลึกพิลั่น ซึ่งโดยลักษณะของศาสนาจริง ๆ แล้วควรเป็นอย่างนี้ ก็คือส่วนไหนที่เป็นประโยชน์ คุณก็เอาไปประยุกต์ใช้กับตัวเองได้ เพราะศาสนาเป็นเรื่องสากล แต่คราวนี้ส่วนใหญ่เกิดจากตัวกูของกู ก็คือในเมื่อมาถือศาสนานี้แล้วก็ต้องมาทั้งตัว จะไปถือศาสนาอื่นไม่ได้

ของเก่าเขามีอะไรที่ยึดถืออยู่ก็ถือไป แบบเดียวกับศาสนาพุทธในประเทศไทย ต้องบอกว่าศาสนาพุทธแบบผี ๆ เพราะว่าไทยเรานับถือผีมาก่อน ในเมื่อนับถือผีมาก่อน จึงเป็นลักษณะของการกราบไหว้บวงสรวง แทนที่จะยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง จริง ๆ แล้วก็คือยึดในลักษณะบูชาผีด้วยความกลัวทำนองนั้น ยังดีว่าผ่านระยะที่ยาวนานมามาก ก็เลยทำให้ค่อย ๆ ซึมเข้าไป ลักษณะของการยึดถือด้วยความกลัวก็ค่อย ๆ ลดน้อยลง

ไปนึกถึงหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ที่พวกข่าระแดนับถือผีกันหมด กี่หมู่บ้าน ๆ ท่านลุยเข้าไป ๆ เอารูปพระพุทธเจ้าไปแจก บอกว่านี่หัวหน้าผี ถ้านับถือหัวหน้าผี ไม่มีผีอะไรทำอันตรายเจ้าได้อีก พวกนั้นก็เลยหันมานับถือพระพุทธเจ้าโดยที่คิดว่าเป็นหัวหน้าผี..!

ในเมื่อผ่านระยะเวลายาวนานมา การนับถือด้วยความกลัวผีก็ค่อย ๆ จางลง ปัจจุบันนี้กลายเป็นยึดถืออ้อนวอนแบบฮินดูแทน ตกลงว่าศาสนาพุทธนี่น่าสงสารมาก เป็นของดีที่สุด วิเศษที่สุด แต่เขาเอาไปแค่ผิว ๆ นิดเดียว บ้านเรากับเนปาลคล้าย ๆ กันอยู่อย่างหนึ่งก็คือ อะไรเข้ามาก็รับไว้หมด ศาสนาไหนเข้ามาก็รับไว้หมด

ถาม : แต่พวกออร์โธดอกซ์เขาก็นับถือ..?
ตอบ : ส่วนใหญ่เริ่มมาจากผีทั้งนั้นแหละ นับถือผี นับถือธรรมชาติ แล้วก็บรรดาเทพเจ้าของธรรมชาติที่สมมติขึ้นมา ดิน น้ำ ลม ไฟ พวกนั้น โดยเฉพาะฮินดูนี่ทั้งนั้นเลย เทพวายุ เทพอัคคี เทพคงคา สารพัดเทพ

เถรี
08-01-2015, 11:36
ถาม : เป็นเนื้องอก จะผ่าตัดกระโหลกเดือนมีนาคม ก็คิดว่าไหน ๆ จะโกนผมแล้ว ไม่ให้เป็นการเสียโอกาสก็จะบวชชีค่ะ ?
ตอบ : อยู่วัดก็พอ ๆ กับอยู่บ้านนั่นแหละ กิเลสมากพอกัน เพียงแต่ว่าเป็นแม่ชีแล้วต้องอดทนอดกลั้นมากกว่าฆราวาสหลายเท่า

เถรี
08-01-2015, 11:46
มีโยมเอาดอกจำปาดองมาถวายพระอาจารย์ "ดองมากี่ปีแล้ว ? (สองเดือนครับ) ยิ่งเก็บนานยิ่งดีนะ ทางเขาโป๊บป้าเขาดองกันเป็นสิบปีเลย เขาโป๊บป้าเป็นภาษาพม่า ภาษาไทยคือเขาบุปผา ก็คือภูเขาดอกไม้ เขาจะมีแต่จำปาดองสำหรับขายนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด

เขาโป๊บป้าเป็นยอดภูเขาไฟที่ดับแล้ว เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ บรรดาฤๅษีหรือดาบสดัง ๆ ของทางพม่า ไม่ว่าจะเป็นฤๅษีโบโบอ่อง ฤๅษีโบมินข่อ เขาไปสำเร็จจากที่นั่นกันเยอะแยะไปหมด ก็เลยเชื่อว่าต้นไม้ใบหญ้าแถวนั้นเป็นยาหมด โดยเฉพาะพวกดอกไม้ ดอกจำปาที่ฤๅษีเอาไปไหว้พระ เสร็จแล้วก็อธิษฐานขอ ถ้าจะสำเร็จวิชา ขอให้จำปางอกขึ้นมาเป็นต้นใหม่ได้ แล้วก็งอกได้จริง ๆ"



https://scontent-a-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-xaf1/v/t1.0-9/s720x720/10891749_823910370987920_346273245717389981_n.jpg?oh=b4e40b08f204dced251d638976e79b77&oe=552204D1

เถรี
08-01-2015, 12:39
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนอาตมาเพิ่งจะด่าพระในวัดไป ทำงานยังไม่ถึง ๕ นาที มีรูปลงเฟซบุ๊กแล้ว เล่นเสียจนไม่มีเวลาเป็นส่วนตัวเลย จะทำอะไรหน่อยขี้หมูราขี้หมาแห้งก็ลงเฟซบุ๊ก ทุเรศที่สุดเลยก็คืออาตมาขึ้นแท็กซี่คันไหน ยังอุตส่าห์ถ่ายรูปลงว่าเลขทะเบียนอะไร ทำอย่างกับกลัวว่าสหรัฐฯ จะบอมบ์ตูไม่ถูก..! คงเป็นเกียรติเป็นศรีมากเลยที่ได้รายงานว่าหลวงพ่ออยู่ที่ไหน..!"

เถรี
08-01-2015, 12:45
(พูดถึงยันต์ดอกบัว) "แต่ละคนคิดว่าทำง่าย ๆ ทั้งนั้นแหละ ถึงเวลาก็ขอ แต่ไม่ได้นึกถึงคนทำเลย เอาตัวเองเป็นหลัก ในเมื่ออยากได้ก็ขอ ตอนเขียนไม่ยากหรอก ตอนเสก ๒ ชั่วโมงครึ่ง..! เพราะฉะนั้น..พยายามอย่ามาขอเด็ดขาด มีรายหนึ่งมาขอ พอส่งให้กลับถามว่าใช้อย่างไร เกือบจะด่าไปแล้ว ไม่รู้ว่าใช้อย่างไรแล้วทะลึ่งมาขอ แล้วให้อาตมาเสกเสียเกือบตาย..!"

เถรี
08-01-2015, 12:46
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่เอาหนังสือเรื่องมีดมาถวาย โยมเล่าว่าคนทำหนังสือสนิทกับคุณสังเวียน "อาตมาเคยไปให้ คุณสังเวียน ภู่สุวรรณ วัดมือเพื่อทำด้ามปืน แต่คิวไม่ถึง ไปบวชเสียก่อน ต้องโทรศัพท์ไปยกเลิก ของคุณสังเวียนเขาทำทีละด้าม วัดมือแต่ละคนแล้วค่อยทำขึ้นมา"

เถรี
08-01-2015, 12:51
ถาม : หลวงพี่จ๋า..!
ตอบ : จะทะลึ่งก็ให้รู้เวล่ำเวลาบ้าง ทะลึ่งกระทั่งเวลาทำความดี จำเอาไว้เลยนะ ประเภทแนะนำให้เขาถวายกัณฑ์เทศน์ ตูไม่ได้เทศน์สักหน่อย ก็ดันทะลึ่งไปติดกัณฑ์เทศน์ วันก่อนก็มี ประเภทดันควายตามเอ็ง พระบิณฑบาตอยู่มาใส่บาตรบอกว่า “กัณฑ์เทศน์” ก็เลยถามว่า “ไอ้เต้ยแนะนำมาใช่ไหม ?” เขาบอก “ใช่ครับ” พระเดินบิณฑบาตที่ไหนไปเทศน์ให้เอ็งฟังวะ ?

เถรี
08-01-2015, 13:16
ถาม : หนูว่าจะบวช ๗ มีนาค่ะ ?
ตอบ : ถ้าตายก่อนก็ไม่ได้บวชหรอก พร้อมเมื่อไรก็ไปเลย

ถาม : หนูอาจต้องไปพบหมอศัลยกรรม อาจจะขอเลื่อนผ่าค่ะ จะได้บวชก่อน ?
ตอบ : ก็ลองไปเถอะ บางทีอาตมาก็ไม่อยู่วัด ถ้าไม่อยู่จะหาคนบวชแทนให้ จำไว้ว่าเวลาทำความดีทำให้เร็วที่สุด เราเคยตั้งใจจะทำและเสียโอกาสมาแล้วก็เพราะความช้าของเรา การทำความดีจะมีสิ่งขวาง เขาเรียกว่ามาร ยิ่งยืดระยะเวลาไปมากเท่าไร เขายิ่งขวางเราได้ถนัดเท่านั้น แล้วถ้าไปฟังคนอื่น เดี๋ยวก็จะมีเสียง “ทำไมต้องไปบวชด้วย ?” แล้วท้ายสุดเราก็จะลังเล แล้วก็ไหลตามเขาไป

ตัดสินใจจะทำอะไรก็ทำไปเลย ทำแล้วก็จบกัน คนจะว่าหรือไม่ว่าก็เป็นเรื่องของเขา มัวแต่ไปกลัวขี้ปากชาวบ้าน แบบนั้นทั้งปีทั้งชาติก็ไม่ต้องทำอะไร เวลาที่เราทุกข์ที่เราลำบาก ชาวบ้านเขามาลำบากกับเราด้วยหรือเปล่า ? แล้วทำไมเวลาที่เราจะทำความดี เราจะมีความสุข เราต้องไปเกรงใจชาวบ้านเขาด้วย

เถรี
08-01-2015, 13:18
เวลาทำวัตรเขาก็อุตส่าห์อธิษฐานกันทุกคน เตโสตตะมานุภาเวนะ, มาโรกาสัง ละภันตุ มา ด้วยอานุภาพของบุญที่เราทำ ขอให้มารอย่าได้ช่องมาขวางเราเลย แต่พวกเราเปิดโอกาสให้มารทุกช่อง เห็นแล้วเหนื่อยแทน แปลไม่ออกก็ดีเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเขาว่าอะไร

ถือว่าเป็นอธิษฐานบารมีอย่างหนึ่ง ได้แต่อธิษฐาน แต่ไม่ได้ทำอะไรให้ได้อย่างอธิษฐาน เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก

เถรี
08-01-2015, 13:19
พระอาจารย์กล่าวว่า "นั่งดูหนังสือมีดแล้วนึกถึงภาษิตจีนที่ว่า ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว แต่คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย"

เถรี
08-01-2015, 13:32
ถาม : ...(ไม่ได้ยิน)...
ตอบ : จริง ๆ แล้วถ้าใจเราดี อะไร ๆ ก็ดีหมด ไม่ต้องไปกังวลหรอก ส่วนใหญ่แล้วกำลังใจไม่ดี เมื่อวานไปเยี่ยมเจ๊จิ๋มมา เจ๊เขาเป็นมะเร็ง เขาบอกว่าเขาทำใจได้ แต่พอหมอบอกนี่ไปแอบร้องไห้อยู่เป็นชั่วโมง นั่นขนาดทำใจได้นะ ในที่สุดก็ได้สติ ร้องหรือไม่ร้องก็เป็นอยู่แล้วนี่หว่า แล้วจะร้องทำไม ? ก็เลยเลิกร้อง นั่นขนาดคนที่กำลังใจเด็ดขาดแล้วนะ

พอหมอให้คีโมก็รู้สึกว่าร่างกายแย่ “หมอ..ขอกลับบ้านแล้ว” ถามว่าทำไม “ถ้าขืนให้ซ้ำกว่านั้น จะไม่มีแรงขับรถกลับบ้านแล้ว” ว่าแล้วก็ขับรถกลับเลย กว่าจะถึงทองผาภูมิพักแล้วพักอีก ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นลุยรอบเดียวถึง โอ้โฮ... คีโมกินแรงหมดเลย คิดดูว่าคนยังจะตาย แต่เชื้อโรคไม่ยอมตาย

ทุกวันนี้เจ๊เขาก็ใช้วิธีฟังเสียงตามสายจากท่าขนุน นั่งกรรมฐาน บอกเจ๊เขาแล้วว่า ถ้าจะตายก็ให้รีบตายนะ เพราะว่าเมรุวัดท่าขนุนจะรื้อทำใหม่ ถ้ารื้อแล้วห้ามตายจนกว่าเมรุจะเสร็จ คงทรมานอีกนานเลย

‘ความกลัวตายมีทั่วทุกตัวสัตว์’ โบราณเขาว่าเป็นกลอนไว้

เถรี
08-01-2015, 13:39
พระอาจารย์กล่าวกับคณะที่เอาเม็ดเงินมาถวายว่า "จะเก็บเม็ดเงินเอาไว้หล่อพระถวายสมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี พระองค์ท่านจะครบ ๕ รอบ ๖๐ พรรษาปีนี้ จะหล่อสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเงินแท้ถวายพระองค์ท่านองค์หนึ่ง ขนาด ๙.๙ นิ้ว แต่ขอโทษ...คงต้องใช้เม็ดเงินประมาณ ๕๐ กิโลกรัม ก็ตกราว ๆ ๑ ล้านบาท

ส่วนของสมเด็จนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ก็สร้างพระองค์ใหญ่หน้าวัดเลย นับเป็นเรื่องอัศจรรย์ วันเกิดของพระองค์ท่านมาลงกันพอดี สมเด็จนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ๘๐ พรรษา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ๖๐ พรรษา แล้วก็ครบ ๒,๖๐๐ ปี พุทธชยันตีพอดี สร้างพระใหญ่องค์เดียวคุ้มค่ามากเลย ตรงนั้นหมดไป ๑๙ ล้านกว่าบาท"

เถรี
09-01-2015, 12:05
ถาม : ได้ยินว่า พระธุดงค์ฉัน..?
ตอบ : อยู่ที่ท่าน ไม่ได้เกี่ยวกับอะไร ถ้าไม่ผิดพระวินัยท่านฉันได้ แต่ถ้าอย่างอาตมานี่ไม่ฉัน แต่เป็นเพราะขี้เกียจแบก ไม่ได้เกี่ยวกับศีลเลย

ถาม : ถ้าเป็นฆราวาสละคะ ?
ตอบ : ฆราวาสก็กินไปสิ ใครเขาห้ามเล่า ? ก็เอาของที่พอสมควร ไม่ใช่ว่าเป็นอาหารเสียเต็มที่ พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตน้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เนยใส เนยข้น ก็เลือกเอา อยู่ในจำนวนนั้นแหละ

เถรี
09-01-2015, 12:05
ถาม : ศีลข้อมุสา ในเว็บบอร์ดเราใช้ชื่อหนึ่ง ต่อมาเราเลิกใช้ชื่อนี้ คนก็นึกว่าเราเป็นคนอื่น มุสาหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่เกี่ยวกัน เราไม่ได้ตั้งใจเปลี่ยนเพื่อหลอกลวงใคร ยกเว้นว่าตั้งใจเปลี่ยนเพื่อหลอกลวงเขาก็ผิดศีลข้อมุสา

เถรี
09-01-2015, 16:09
ถาม : เวลาเราไปเซฟรูปเขามาเก็บไว้ ?
ตอบ : ถ้าเซฟได้แปลว่าเขาไม่หวง ถ้าคนที่เขาหวงเซฟไม่ได้หรอก ต้องเสียเงิน ในเมื่อเขาไม่หวงแล้วจะไปขโมยอะไรใคร ? ในเมื่อเอามาลงในสื่อสาธารณะแสดงว่าตั้งใจให้อยู่แล้ว

เถรี
09-01-2015, 16:29
ถาม : ทำอย่างไรจึงจะไม่โกรธคะ ?
ตอบ : อันดับแรกสร้างสติให้เกิด พอมีสติจะรู้ตัวเร็วว่าเราจะโกรธ ยังไม่โกรธจริง ๆ นะ แต่รู้สึกตัวกำลังจะโกรธแล้ว อันดับที่สอง สร้างสมาธิให้เกิด ถ้าสมาธิทรงตัวจะมีแรงในการหยุด เหมือนกับเบรกรถที่หน้าผา แล้วก็สร้างปัญญาให้เกิด มองเห็นว่า ความโกรธนี้เป็นโทษต่อทั้งเราและเขาอย่างไร ก็จะเกิดความเบื่อ ไม่ต้องการที่จะทำอย่างนั้นอีก

สติ..จะได้รู้ตัวเร็ว สมาธิ..จะได้หยุดได้ทัน ปัญญา..จะได้ยกทิ้งไปจากใจเรา ๓ อย่างก็พอ ไม่ต้องมาก ถ้าเราเห็นโทษเราจะไม่อยากทำ เพราะว่าน่าเกลียดน่าชังมาก ต่อให้โกรธอยู่ในใจก็จะอกแตกตาย

ทั้งหลายทั้งปวงที่ว่ามาอยู่ที่สมาธิตัวเดียว ถ้าสมาธิทรงตัวสติจะรู้รอบ ในเมื่อสมาธิทรงตัว กิเลสหยาบอื่น ๆ มาขวางกั้นไม่ได้ ปัญญาก็จะเกิดขึ้น แล้วเราก็จะเห็นช่องทาง ถ้ารู้ว่าสู้ไม่ได้จริง ๆ ก็ยอมเสียมารยาทเดินหนีไปก่อน อย่าไประเบิดใส่เขา ให้อกแตกตายไปเองคนเดียว หลังจากกำลังเราดีขึ้น ๆ พวกนี้ก็จะโดนกดเอาไว้ นิ่งสนิทไปชั่วคราว คราวนี้ก็ระมัดระวังอย่าให้หลุด เพราะถ้าสมาธิหลุดเมื่อไรกิเลสจะตีกลับ แล้วเล่นแรงด้วย บางทีไประเบิดใส่เขา โดยที่เขาก็นึกไม่ออกว่าไปทำอะไรผิด จนต้องโกรธมากมายขนาดนั้นเลยหรือ ?

หลังจากนั้นพอปัญญาเกิด ก็ค่อย ๆ ขูด ๆ ค่อย ๆ ขัด ค่อย ๆ เกลาไป ท้ายสุดพอเห็นทุกข์เห็นโทษ เกิดความเบื่อหน่าย ถอนจิตออกจากความยึดถือทั้งตัวเราและตัวเขา ก็ไม่เห็นประโยชน์ที่จะโกรธเขา ในเมื่อไม่เห็นประโยชน์ก็เลิกดีกว่า ค่อย ๆ ทำไปทีละหน่อย อย่าไปเร็ว..เดี๋ยวพระสู้ไม่ได้..!

เถรี
09-01-2015, 16:38
พระอาจารย์เล่าว่า "ก่อนหน้านี้ทิเบตไม่กินเนื้อสัตว์เลย เพราะว่าเขาไม่ฆ่าสัตว์ ตอนหลังพวกอิสลามอพยพเข้าไป ก็ไปรับอาชีพฆ่าสัตว์ จำได้ไหมเมื่อไม่กี่วันก่อน ที่บูชาเจ้าแม่กาธิมัย ฆ่าสัตว์ไป ๕๐๐,๐๐๐ กว่าตัว น่าสงสารมาก ขณะเดียวกันก็เห็นว่า ศรัทธาที่ผิดพลาด ทำร้ายคนอื่นได้มากขนาดนั้น ยังดีที่เป็นเจ้าแม่กาธิมัย ถ้าเป็นอย่างพวกเทวะเทวี จะได้ไปต่อว่าเขาหน่อย เจ้าแม่กาธิมัยอาตมาไม่รู้จัก หาตัวไม่เจอ

http://www2.tnews.co.th/userfiles/image/5247538_orig.jpg

จะได้ไปบ่นกับคุณนภิสรา (เจ้าที่เนปาล) ว่าทำไมโหดร้ายอย่างนี้ อาตมาไปโดนเจ้าที่ของเนปาลหลอกต้มเอา ไปขอดูยอดเขาเอเวอเรสต์ชัด ๆ เหน่ง ๆ เขาก็รับปากว่าได้ ปรากฏว่าเห็นแต่เมฆ พออาตมาไปอยู่ที่เนปาล แม่เจ้าประคุณก็คอยแต่หลบหน้าหลบตา ไม่โผล่มาเลย ปรากฏว่าเขาจัดให้ดูขากลับ อาตมาขอไม่รอบคอบเอง ขอดูเฉย ๆ ไม่ได้บอกว่าจะดูขาไปหรือขากลับ

ต้องบอกว่าเรื่องของเทวดาเขาสอนให้เรารอบคอบ เพราะว่าทุกครั้งถ้าขออะไรไม่รอบคอบนี่ ท่านเล่นชนิดที่เรียกว่าเจ็บ ๆ เลย เล่นกันแบบไม่ต้องเกรงใจ ต่อไปจะได้ละเอียดกว่านี้"

เถรี
09-01-2015, 16:49
ถาม : (เด็กถาม) อยากจะคุยกับผีกับเทวดา ต้องไปทำอย่างไร..ที่ไหน ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็แค่ทำให้ใจของเราสงบ..นิ่งจริง ๆ นะ ถ้านิ่งมากพอก็จะเริ่มทำได้ คราวนี้เราอยู่ที่ไหนถ้าใจนิ่งได้เราก็คุยกับผีกับเทวดาได้ เพราะฉะนั้น..ที่สำคัญคือทำอย่างไรให้ใจเรานิ่ง เราอาจจะพูด จะคุย หรือเล่นกับเพื่อนอยู่ แต่ทำใจให้นิ่งได้ ถ้าถามว่านิ่งอย่างไร ? ก็ไม่รัก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เรื่องใหญ่เลยนะจ๊ะ ไปค่อย ๆ ทำ หนูยังมีเวลาอีกเยอะ

เถรี
10-01-2015, 18:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่ผ่านการฝึกในรั้วในวังมา ไม่ว่าจะเป็นคำพูดคำจา อากัปกิริยาอะไร ล้วนแล้วแต่บอกถึงความเป็นผู้ดี อย่างที่เล่าว่าเคยเจอคุณยายคนหนึ่ง พูดจา "เจ้าคะ เจ้าขา" ตลอด พูดเป็นธรรมชาติมาก ๆ เลย ไม่ใช่ดัดจริตนะ พูดแบบธรรมชาติแบบเป็นตัวคุณยายเองเลย

คุณยายทำขนมขาย สมัยเป็นฆราวาสอาตมาก็ชอบซื้อ ที่ซื้อนี่ไม่ได้อยากกินขนมหรอก..ชอบคุยกับยาย มารู้ทีหลังว่าแกเคยทำงานอยู่ในวัง พอแต่งงานแล้วก็ขอเกษียณตัวเองออกมา ถูกฝึกเสียจนติดเป็นนิสัยไปแล้ว

อย่างหลวงปู่สายก็เหมือนกัน หลวงปู่สายท่านเกิดในวังบ้านดอกไม้ของเสด็จในกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน เพราะว่าโยมแม่เป็นนางกำนัลอยู่ในวัง หลวงปู่สายก็ได้รับการอบรมมา การทำงานทุกอย่างของท่านจะเรียบร้อยมาก ขนาดเงินโยมถวายสังฆทานมา หลวงปู่นั่งนับจับธนบัตรรีดทุกใบเลย ใบไหนมีมุมพับหลวงปู่รีดตรงหมด ไม่มีให้พับแม้แต่ใบเดียว ผู้ชายโบราณถ้าผ่านการฝึกมาลักษณะนั้นจะเรียบร้อยมาก

แม้กระทั่งหลวงปู่เจ้าคุณนรฯ ดูรูปท่านนั่งพับเพียบสิ ผู้หญิงยังนั่งไม่ได้เลย นั่งพับเพียบเรียบร้อยมาก ทั้ง ๆ ที่เป็นผู้ชาย ท่านเป็นมหาดเล็กในพระองค์ของในหลวงรัชกาลที่ ๖ ตอนที่ท่านนั่งชุนสนับเพลาถวายรัชกาลที่ ๖ ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์มีนิสัยชอบกวนผู้ใหญ่ ก็เข้าไปถามว่า “เจ้าคุณนั่งเย็บกางเกงอยู่หรือ ?” ท่านบอกว่า “นี่สนับเพลาในหลวง เอ็งกราบเสียดี ๆ” เจอแบบนี้ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เลยต้องกราบ

ตอนแรกท่านอาจารย์คึกฤทธิ์คิดว่าเป็นกางเกงของหลวงปู่ ท่านชุนไปก็บ่นไป “ดู..ใครขออะไรก็ให้เขาหมด ทีตัวเองสนับเพลาต้องปะแล้วปะอีก” เวลาในหลวงพระราชทานบ้านให้หลวงปู่เจ้าคุณนรฯ ท่านจึงไม่รับ เพราะสงสารในหลวง ให้เขาจนหมด จนตัวเองไม่มีอะไร ขนาดกางเกงยังต้องปะแล้วปะอีก"

เถรี
10-01-2015, 18:59
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนนี้หลวงตาชลอเป็นพระครูสาครสิทธิวิมล เทียบผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงชั้นเอก ถือว่าเป็นพี่น้องออกจากวัดท่าซุงที่ได้ช้าไปหน่อย ทั้ง ๆ ที่ผลงานเยอะมาก เพราะว่าต้องรอจนกระทั่งวัดได้รับการตั้งเป็นวัดอย่างเป็นทางการ ส่วนตุ๊ป้อสิงห์ชีวิตนี้คงไม่ทัน เพราะวัดท่านยังอยู่ลักษณะสำนักสงฆ์อยู่เลย ต้องเป็นวัดมาตรฐานที่สำนักพุทธฯ รับรอง เป็นที่น่าเสียดาย ท่านก็ทำงานไว้เยอะ แต่ถ้าไปนึกถึงหลวงปู่หลวงพ่อสมัยเก่า ๆ ลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง อย่างหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ไม่เห็นท่านจะเป็นอะไรเลย เพราะท่านไม่เอา"

ถาม : หลวงตาก็เล่าให้ฟังว่าไม่ได้อยากจะได้ตำแหน่งจากเจ้าคณะจังหวัด ?
ตอบ : เรื่องของการคณะสงฆ์ พอถึงเวลาถ้ามาถึงตัว ต่อให้ไม่คิดก็ต้องทำ เพราะไม่อย่างนั้นการบริหารงานคณะสงฆ์ก็ไปไม่ได้ ผู้บังคับบัญชาต้องเล็งว่าใครสามารถช่วยงานได้ จึงแต่งตั้งคนนั้น

ถาม : มีประโยชน์ในการดูแลปกครองสงฆ์อย่างถูกต้องด้วย ?
ตอบ : นั่นก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็คือว่า ในสายตาของคนจำนวนหนึ่ง เขาดูเรื่องยศเรื่องตำแหน่ง ในเมื่อเขาดูเรื่องยศเรื่องตำแหน่ง ก็เลยกลายเป็นว่าอย่างน้อย ๆ ก็ควรมีไว้ให้เขาเห็น อาตมาถึงได้ให้นโยบายบรรดาลูกศิษย์ไว้ว่า "ถ้าหากว่าได้มาก็รับไว้ ถ้าไม่ได้มาก็ไม่ต้องไปดิ้นรนไขว่คว้า"

เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ อาตมาพาท่านตั้มไปรับฐานานุกรมพระปลัด ของท่านเจ้าคุณพระวิสุทธิพงศ์เมธี พระผู้ใหญ่ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดรู้กันหมดว่า อาจารย์เล็กขอทีไรไม่เคยให้ตัวเอง ขอให้ลูกน้องหมด เดือนกุมภาพันธ์ก็ขอให้ท่านกอล์ฟอีก ๑ ตำแหน่ง ไปไถเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิรูปใหม่เอาไว้แล้ว

เถรี
10-01-2015, 19:12
พระอาจารย์เล่าว่า "ถ้าหิมะตกที่ทองผาภูมิจะต้องลงที่ยอดเขาช้างเผือกก่อน เขาช้างเผือกสูงจากระดับน้ำทะเล ๑,๒๐๐ กว่าเมตร ส่วนทองผาภูมิสูง ๖๐๐ กว่าเมตรแล้ว ก็แปลว่าเขาช้างเผือกอุณหภูมิอย่างน้อยก็ต้องต่ำกว่าข้างล่าง ๒ องศาเซลเซียส

เหมือนอย่างที่เกาะพระฤๅษี อุณหภูมิต่ำกว่าข้างนอก ๔ องศาเซลเซียส ที่เกาะพระฤๅษีหนาวมากเพราะทองคำเยอะ เทวดาเอาไปยัดไว้ใต้โบสถ์เยอะเลย พวกแร่โลหะดูดความร้อนเร็ว คายความร้อนเร็ว คนไปอยู่ที่เกาะนี่บ่นทุกรายเลย ทำไมหนาวขนาดนั้น นอนกันอยู่บนกองเงินกองทองยังไม่รู้ตัวอีก..!"

เถรี
10-01-2015, 20:13
พระอาจารย์เล่าว่า "คุณนิรัตน์ เลาหสุรโยธิน ก่อนนั้นเป็นผู้รับเหมาทำงานอยู่ที่วัดท่าซุง ทำสมเด็จคำข้าวสมเด็จหางหมากถวายหลวงพ่อเสร็จก็ไป เป็นคนแรก ๆ เลยที่ช่วยออกความเห็นเกี่ยวกับการสร้างวัตถุมงคลของหลวงพ่อ ให้อยู่ในลักษณะที่ลูกหลานต้องการ ได้ยินว่าแกไปเปิดร้านแดรี่ฮัทอยู่ริมถนนพหลโยธินแถว ๆ อ่างทอง แต่ก็ไม่เคยไปแวะไปกินสักที รู้จักกันมา ๓๐-๔๐ ปีแล้ว นั่นเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง อยู่ด้วยกันตั้งแต่สมัยอาตมายังไม่ได้บวช

ลูกศิษย์เก่า ๆ บางทีมาเจอกันจะมีวีรกรรมอะไรคุยกันเยอะ วันที่ ๓๑ ส่งท้ายปีเก่า คุณยายทองชุบพาหลานไป ๗-๘ คน เขาบอกว่า “๓๐ ปีพอดี เจอท่านครั้งสุดท้ายตอนพระองค์ที่ ๑๐” ก็เลยบอกยายว่า หลังจากนั้นอาตมาก็บวช คุณยายเขาใช้คำพูดว่า “ท่านดูไม่แปลกตาเลย” แสดงว่า ๓๐ ปีผ่านไปยังเหมือนเดิม ยกเว้นว่าได้แว่นมาอันหนึ่ง

อาตมามักจะเสียเปรียบบรรดาญาติโยมเพื่อนฝูงเสมอ เพราะว่าเป็นนักเรียนก็ผมสั้น เป็นทหารก็ผมสั้น เป็นพระก็ผมสั้น เขาเห็นปุ๊บก็จำได้ ด้วยความที่ยังอ้วนไม่ขึ้น ก็เลยทำให้เขาจำง่าย พออ้วนขึ้นมักจะจำกันไม่ค่อยได้ ต้องร้องเพลง "ต้องมีสักวัน ต้องมีสักวัน" เดี๋ยวต้องอ้วนจนได้แหละ

ไปนั่งปรกที่สำนักสงฆ์เจโตวิมุตติ พระครูยุคลธรณ์ ท่านอ้วนได้ขนาดนั้น แล้วคิดดู..ท่านอายุประมาณ ๓๐ กว่าอายุจะมาถึงอาตมาก็ยังอ้วนได้อีกเยอะ ของอาตมานี่หุ่นไม่น่าเชื่อถือ ถ้าจะอ้วนต้องอ้วนอยู่ตัวแบบหลวงพ่อวิชัย วัดถ้ำผาจม ไม่ขยับเลย อยู่ประมาณนั้น แต่ตอนหนุ่ม ๆ ท่านผอมนะ แต่พอท่านอ้วนแล้วอยู่ตัว ก็ประมาณนั้นมาตลอด

หลวงพ่อวิชัยนี่พอหลวงพ่อวัดท่าซุงสิ้นท่านมาถึงวัดเลย ถามว่าทำไมมาเร็ว ? ท่านบอกว่า หลวงพ่อไปหาเมื่อคืน บอกว่าจะไปแล้ว เลยรีบมา ปรากฏว่าไปจริง ๆ ด้วย จากเชียงรายวิ่งถึงอุทัยธานีเลย ทันรับศพพอดี"

ถาม : เคยไปกราบท่าน ท่านก็สอนไปตามสายของท่าน สักพักหนึ่งท่านมองหน้าแล้วเอ่ยถึงหลวงพ่อฤๅษี ?
ตอบ : พวกเราไปไหนนี่ครูบาอาจารย์ท่านมักจะไปด้วย คนที่รู้ก็ต้องเอ่ยถึง

เถรี
10-01-2015, 20:19
ถาม : ตอนนี้เครียดหลายอย่าง ?
ตอบ : อย่าแบกมาก แบกมากแล้วเครียด บางทีคนอื่นก็เอาความเครียดมาแบ่งให้อาตมา ถึงได้บอกกับพระที่วัดท่านว่า คุณรู้ไหม..ผมบวชมาจนป่านนี้ ผมกลับบ้านครั้งเดียว ประมาณ ๑๕ นาทีเท่านั้น แล้วผมไม่เคยไปบ้านอีกเลย เพราะว่าไปทีไรจะมีคนเอาเรื่องมาให้ แล้วเราก็จะเครียดไปด้วย พอเครียดไปเครียดมา เดี๋ยวแบกมาเป็นงานของเราก็อยู่ไม่ได้ ต้องสึกอีก เตือนพระท่านให้รู้ เพราะท่านกลับบ้านไปแล้ว พอกลับวัดมาก็มานั่งเครียด ทางบ้านมักจะเอาปัญหามาหมกให้

เถรี
10-01-2015, 20:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้หล่อพระ ๒ องค์ ก็คือหล่อสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๔ ศอกในศาลา เสร็จแล้วก็หล่อถวายสมเด็จพระเทพฯ เป็นสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๙.๙ นิ้ว ด้วยเนื้อเงินทั้งองค์ ก็เท่ากับได้ฉลองอายุ ๕๖ หล่อพระสำคัญ ๒ องค์

เป็นเรื่องอัศจรรย์ คนออกแบบที่ประดิษฐานพระองค์นี้โดยไม่ได้สั่ง เขาออกเผื่อเอาไว้ ก็เลยว่าจะสร้างสมเด็จองค์ปฐมถวายสมเด็จพระเทพฯ เพราะว่าที่มีอยู่ก็คือที่ประดิษฐานพระทองคำที่จะสร้าง แล้วก็พระที่ในหลวงรัชกาลที่ ๗ พระราชทานมา ๒ องค์ และหลวงพ่อพระแก้วน้อยกับหลวงพ่อนาก เขาเพิ่มมาให้อีกที่หนึ่งพอดีลงได้เลย"

เถรี
10-01-2015, 20:29
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้เป็นปีของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี คาดว่าคงจะมีพระราชกรณียกิจแล้วก็รูปเก่า ๆ ออกมาเยอะ เก็บ ๆ เอาไว้หน่อยนะจ๊ะ

ตอนนี้พระองค์ท่านทำตัวเป็น "ป้า" เต็มที่เลย ไม่เสริม ไม่แต่ง อะไรกับใครทั้งนั้น ไปไหนยินดีเป็นคุณป้าเลย ใครเรียกป้าจะยิ้มชอบใจ ต้องบอกว่าคน ๆ หนึ่งเสียสละเพื่อส่วนรวมได้ขนาดนั้น ในหลวงท่านทำเป็นตัวอย่างก็จริง แต่ถ้าลูกไม่เอาก็ไม่มีใครว่าอะไร แต่พระองค์ท่านเอา เท่ากับแบกภาระของคนทั้งชาติ"

เถรี
11-01-2015, 10:01
พระอาจารย์พูดถึงพระปิดตาเนื้อนวโลหะรุ่นแรก "ต่อให้สร้างพระปิดตาอีกกี่รุ่น อาตมาก็ไม่บ้าขนาดนั้นแล้ว เขาต้องการให้ใส่ทองแค่ ๙ บาท อาตมาใส่ไป ๑๐๐ บาท..! องค์ที่หัวช่อบางองค์นี่สีทองชัด ๆ เลย"

เถรี
11-01-2015, 10:01
พระอาจารย์กล่าวว่า “หลวงพี่นิลท่านทำงานทุกอย่างประณีตมาก ทำแล้วเหมือนกับจะทำครั้งเดียวในชีวิต”

เถรี
11-01-2015, 10:04
พระอาจารย์กล่าวว่า “งานสวดพระคาถาเงินล้านเมื่อวาน อาตมาไม่ได้ลงไปดูข้างล่าง เห็นว่าแม้กระทั่งห้องน้ำเขายังนั่งกันเลย มาได้เยอะกว่าที่คิด ต้องบอกว่าเยอะกว่างานทำบุญบ้าน งานทำบุญบ้านนี่พวกโรงทานมาก กินที่ไปเยอะ

ทางคุณชยาคมน์เห็นคนมาขนาดนั้นก็คงหายเหนื่อยไปเองแหละ สงสารแต่พวกสาว ๆ ชุดไทย เข้าชุดตั้งแต่กี่โมงก็ไม่รู้ ? แล้วชุดอย่างนั้นก็ไม่รู้จะเข้าห้องน้ำได้หรือเปล่า ? เข้าไม่ได้ใช่ไหม ? ต้องอั้นเอา ฉะนั้น..อย่าให้อาตมาต้องใส่แบบนั้นเลย เพราะต้องเข้าห้องน้ำบ่อย

เวลาแต่งชุดไทยแล้วก็ดูเรียบร้อยดี ชุดไทยมีไทยจักรี ไทยเรือนต้น ไทยบรมพิมาน ไทยจักรพรรดิ ลองไปหาในกูเกิ้ลดู ถ้าเป็นโบราณเขาเน้นสีตัดกัน นุ่งสีไหนห่มสีไหน อย่างเช่นว่านุ่งตองห่มจำปา ตัดกันให้ยุ่งไปหมด”

เถรี
11-01-2015, 12:36
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในกระทู้บูชาวัตถุมงคลเพื่อร่วมหล่อพระพุทธรูปทองคำ ฉลอง ๖๐ ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม มีของที่คนมองข้าม อย่างหลวงพ่อวัดไร่ขิงลอยองค์ เขารู้หรือเปล่าว่าอาตมาเอาเข้ากรรมฐานนั่งเสกไปตั้ง ๑๐ วัน ? ปกติเคยเสกวัตถุมงคลไม่เกินชั่วโมงเท่านั้น"

เถรี
11-01-2015, 12:47
พระอาจารย์กล่าวว่า “อาตมามีเวลาอีก ๓ เดือนจะต้องจบปริญญาเอก แต่ขอโทษเถอะ..ไม่มีเวลาแก้วิทยานิพนธ์เลย อาจารย์ท่านให้เพิ่มโน่นเพิ่มนี่ไปเรื่อย ขอสอบตั้งแต่ปลายปีที่แล้วก็ไม่ยอมให้สอบ บอกว่าเรียนยังไม่ครบ ๓ ปีจะรีบสอบไปไหน รุ่นพี่เพิ่งจบแค่คนเดียวเอง ตอนนี้คงเห็นว่าเข็นรุ่นพี่ไม่ไปแล้ว จะเอารุ่นน้องมาแซงหน้ารุ่นพี่ ให้รุ่นพี่ไล่ตามดูบ้าง

วิชาโลกเรียนเท่าไรก็ไม่จบ เรียนแล้วกว้างออกทะเลไปเรื่อย จบปริญญาเอกมาก็รู้แค่เรื่องเดียว เพราะปริญญาเอกเน้นเฉพาะสาขาวิชา รู้เรื่องเดียว เรื่องอื่นก็ไม่ได้รู้อะไรสักหน่อย ถ้าถามเรื่องที่ตรงสาขาวิชาแล้วแค่สามารถอธิบายได้มากกว่าคนอื่นเท่านั้น สรุปแล้วสู้วิชาพระพุทธเจ้าไม่ได้สักอย่าง

จริง ๆ แล้วถ้านับวิชาพระพุทธเจ้านี่ พวกโยคีที่อินเดียควรได้ปริญญาเอกกันทุกคน น่าจะเป็นพวกพาราไซโคโลจี หรือพวกปรจิตวิทยา “ปร” แปลว่าอื่น “อปร” แปลว่า อื่นอีก ท่องบาลีกันสนุกสนาน “ปรโลก” คือ โลกอื่น “ปรภพ” คือ ภพอื่น”

เถรี
11-01-2015, 13:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "อากาศที่ทองผาภูมิช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาทำเอาประสาทกิน วันนี้ ๑๔ องศาเซลเซียส พรุ่งนี้ ๒๐ องศาเซลเซียส วันมะรืน ๑๘ องศาเซลเซียส เล่นเอาอาตมาไข้จับตลอดทั้งอาทิตย์เลย

ที่ทองผาภูมิว่าเย็นแล้ว ที่เกาะพระฤๅษีจะเย็นกว่า ๔ องศาเสมอ ถ้าที่ทองผาภูมิ ๑๔ องศา เกาะพระฤๅษีจะเหลือแค่ ๑๐ สาเหตุที่เย็นจัดเพราะว่าเทวดาเขาเอาทองคำยัดไว้ใต้โบสถ์หลายตัน พวกแร่โลหะดูดความเย็นเร็ว ประเภทรวมตัวกันมาก ๆ เวลาร้อนดูดความร้อนเร็วก็ร้อนจัด เวลาเย็นคายความร้อนเร็วก็เย็นจัด ใครอยากได้ไปขุดเอาเองนะ แล้วมาแบ่งกันบ้าง

วันนั้นกำลังทำวัตรกันอยู่ มีพระ ๔-๕ รูป เสียงครืน ๆ โบสถ์ไหวทั้งหลังเลย อาตมาก็สงสัยว่าอะไร กำหนดใจดูเห็นเทวดา ๘ องค์ยืนล้อมโบสถ์อยู่ ถามว่ามาทำอะไร ? “เอาของมาฝากครับ” ๘ องค์ขนมาฝากไว้บาน เลยถามว่า “ฝากแล้วว่างงานใช่ไหม ? ช่วยหาสตางค์ให้ด้วย” แค่คิดค่าฝากเท่านั้น ทำหน้าแหะ ๆ กันทุกองค์

ทองพวกนี้ประเภทปีนี้อยู่นี่ ปีหน้าไม่รู้อยู่ที่ไหน เจ้าของเขาย้ายไปเรื่อย ถ้าที่ไหนปลอดภัยก็อยู่นานหน่อย ที่ย้ายเข้าวัดเพราะว่าพระดูแลอยู่ ชาวบ้านเขาไม่ไปยุ่งไปขุดในวัดอยู่แล้ว"

ถาม : ทองพวกนี้เป็นสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จะว่าไปแล้วก็ใช่ทั้งนั้นแหละ ถือว่าเป็นทรัพย์แผ่นดิน ทรัพย์แผ่นดินนี่ถ้าสมัยไหนมีพระเจ้าจักรพรรดิ ก็เอาขึ้นมาใช้กันครึกครื้นไปเลย

ถาม : ของกลางหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ทรัพย์แผ่นดินเป็นของกลาง สำหรับผู้มีบุญ

เถรี
11-01-2015, 14:02
ถาม : ผมเบื่อ ๆ เมื่อไรจะไปสักที พิจารณามาตั้งแต่ตอนบวช ตอนนี้ไม่เห็นเข้าใจเหมือนเดิมเลย ?
ตอบ : แสดงว่ารักษาเอาไว้ไม่ได้ ความเบื่อเป็นของดี แต่ต้องรักษาให้เป็น ก้าวพ้นไปได้ก็สบาย ถอยหลังลงมาก็เป็นหมาเหมือนเดิม นิพพิทาญาณไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นง่าย เกิดขึ้นแล้วส่วนใหญ่คนจะเบื่อสุด ๆ แล้วก็ผลักไสไปเรื่อย ความจริงแล้วต้องรักษาเอาไว้

รักษาอารมณ์ให้คงตัวเอาไว้ ถ้ามีโอกาสสัก ๓ วัน ๗ วัน พิจารณาไปเรื่อยว่า “ถึงเบื่ออย่างไรเราก็ยังมีชีวิตอยู่ ในเมื่อชีวิตนี้ถ้าตายลงไปแล้วเราไปพระนิพพาน ก็เป็นการตัดชาติตัดภพทั้งหมด ถ้านับการเวียนว่ายตายเกิดที่นับกัปไม่ถ้วน กับการดำรงชีวิตอยู่ไม่ถึงร้อยปีแล้วตาย ก็แค่ชั่วแวบเดียวเท่านั้น ทำไมเราจะอยู่ไม่ได้” สภาพจิตจะก้าวข้ามไป กลายเป็นสังขารุเปกขาญาณ จะเห็นว่าธรรมดา ช่างมัน ธรรมดาเป็นอย่างนั้น เห็นเด็กซนก็ธรรมดาเพราะเด็กต้องซน เห็นผู้ใหญ่ทะเลาะเบาะแว้งกันก็ธรรมดา คนไม่มีปัญญา ไม่รู้โทษก็เป็นอย่างนั้นแหละ พอปล่อยได้ เห็นอะไรเป็นธรรมดาหมดก็อยู่ได้อย่างสบาย กลายเป็นมีความสุข แต่ตอนแรกเบื่อจนอยากจะมุดดินหนี

นิพพิทาของอาตมาดันไปขึ้นกลางห้างพอดี ...(หัวเราะ)... กำลังเดินหอบของตามสาวอยู่ พาสาวไปช็อบปิ้ง เขามีหน้าที่ซื้อของ อาตมามีหน้าที่หอบของ ถุงหนึ่งก็แล้ว สองถุง สามถุง สี่ถุง แทบจะต้องเอาปากคาบยังไม่หยุดซื้ออีก อยู่ ๆ เกิดคำถามกับตัวเองว่า “นี่เอ็งกำลังทำอะไรอยู่ ? ทำไมเหลวไหลไร้สาระอย่างนี้” ความเบื่อพุ่งขึ้นสุดขีดเลยตอนนั้น ถ้าเป็นไปได้ก็คือดำดินหนีไปเลย คราวนี้ผู้หญิงเขาความรู้สึกไว หันขวับมาถามว่าเป็นอะไร ? “เป็นอะไรก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้เบื่อหน้าเธอฉิบหา..เลย” เขาก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็กลับ

กลับไปอาตมาก็ “โหย..ทำไมเบื่ออย่างนี้” อยากจะหนีเข้าป่าไปเดี๋ยวนั้นเลย พยายามพิจารณาว่าจริง ๆ แล้ว อารมณ์อย่างนี้เป็นอารมณ์ที่เราต้องการ แล้วเราจะไปผลักไสไล่ส่งได้อย่างไร ก็พยายามประคับประคองไว้ไปเรื่อย ท้ายสุดก็มาสรุปลงตรงที่ว่า “ถ้าเอ็งยังเกิดอยู่ชีวิตก็น่าเบื่อหน่ายอย่างนี้แหละ แต่ถ้าเราตายไปพระนิพพานได้ ชาตินี้ดำรงชีวิตอยู่อย่างไรก็ไม่เกิน ๑๒๐ ปี เปรียบกับการเวียนว่ายตายเกิดนับกัปไม่ถ้วน ก็แค่แวบเดียวเท่านั้นเอง เหมือนอย่างกับหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้น ทำไมเราจะอยู่ให้ดีไม่ได้” พอคิดมาถึงตรงนี้สภาพจิตก็ปลดออกหมด เห็นอะไรเป็นธรรมดาหมด

ปกติจะเป็นคนเบื่ออะไรที่ได้มามาก ๆ เบื่อชนิดประกาศเลยว่า ถ้าเกิดใหม่นี่จะไม่ทำบุญอีกแล้ว ...(หัวเราะ)... เพราะทำแล้วได้เยอะ ในเมื่อเห็นธรรมดาก็ทน ๆ นั่งไป เป็นเนื้อนาบุญให้เขาหน่อย แปลงจากโลกียทรัพย์เป็นโลกุตรทรัพย์ เป็นอริยทรัพย์ให้กับเขาไป อาตมาเองเดี๋ยวก็หาทางไปให้คนอื่นเขาต่อ วัดอื่นมีที่เขาต้องการอีกตั้งเยอะตั้งแยะ

เถรี
12-01-2015, 11:31
พระอาจารย์กล่าวถึงมีดหมอในหนังสือวัตถุมงคลว่า "ทำไมของเขาถึงได้ซกมกขนาดนั้น ยังสงสัยว่าชักออกจากฝักไหวหรือเปล่า ? ดูความต่างสิ..ทำไมคนอื่นเขาไม่ดูแลรักษากัน หรือว่าดูแลรักษากันไม่เป็น ?"

ถาม : บางทียังสงสัยว่าเป็นที่เหล็กต่างกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่..เหล็กชนิดเดียวกันนั่นแหละ เพียงแต่ต้องหมั่นเช็ดหมั่นถูไว้ โดยเฉพาะใครที่ได้มีดหมอเพชราวุธเนื้อนวโลหะไป ถ้าไม่เช็ดแค่ไม่กี่วันก็ดำปี๋แล้ว เพราะว่านวโลหะมีส่วนผสมของเงินมาก ออกไซด์ของเงินจะจับใบมีดทำให้ดำอยู่เรื่อย ต้องหมั่นเช็ดหมั่นถูทุกวัน แค่เอาผ้าแห้งเช็ด ๆ ถู ๆ เท่านั้นเอง ถ้าขึ้นมาก ๆ ก็ลงบรัสโซ ไม่กี่ทีก็เงาวับแล้ว แต่ถ้าลงบรัสโซบ่อย ๆ ก็ใบมีดบางหมด

เถรี
12-01-2015, 12:36
ขณะที่พระอาจารย์กำลังเช็ดน้ำมันมีดบ้านจ่าตุ่มอยู่ ท่านก็ชักออกจากฝักแล้วเฉือนแขนของท่านเองให้ดู “ต้องเชื่อมั่นนะ ถ้าไม่เชื่อมั่นก็แหว่ง คุณเชื่อแล้วหรือยัง ? ถ้าเชื่อมั่น..ที่ไม่เหนียวก็พลอยเหนียวไปด้วย

ความจริงพวกคาถามหาอุตม์คงกระพันพวกนี้ จะเอาบทไหนก็ได้ สำคัญที่ว่ากำลังใจของเราเชื่อมั่นหรือเปล่า ? ต่อให้คาถาผิดก็เถอะ ถ้าเรามั่นใจว่าใช้ได้ก็ใช้ได้ อย่างคาถาของหลวงปู่ศุขที่ว่า "เฑาะว์รันตันโต สีละสมาธิฯ " สมัยนี้เขียนผิดกันทั้งนั้นแหละ มั่วไปหมด จาก “เฑาะว์” กลายเป็น "ท้อ" ไปบ้าง แต่ท้ออย่างไรก็ใช้ได้..ถ้ามั่นใจ”

เถรี
12-01-2015, 12:37
พระอาจารย์กล่าวว่า “พวกคาถามหาอุตม์เขาต้องการแค่อุปจารสมาธิต้น ๆ เท่านั้นเอง แต่สำคัญตรงที่ว่าต้องรักษาระดับเอาไว้ให้ได้ อย่าถอย..เห็นของมีคมแล้วอย่าใจหายแวบ ถ้าใจหายแวบก็เสร็จ”

เถรี
12-01-2015, 12:46
พระอาจารย์กล่าวว่า “เป็นอาจารย์เล็กนี่น่าสงสาร รับเงินทีละเยอะ ๆ แต่ตัวเองไม่ค่อยจะมีใช้หรอก แบบเดียวกับหลวงพ่อวัดท่าซุง วันหนึ่งอยู่ ๆ ท่านก็นั่งหัวเราะ กราบเรียนถามท่านว่าอะไรครับ ? ท่านบอกว่า “เอ็งดูสิ..ข้าสร้างวัดจนใหญ่ปานนี้ ก็มีที่นั่งแค่นี้แหละ” ท่านคงนึกขำ ๆ เหมือนกัน สร้างไว้ใหญ่โตขนาดนั้น ที่มีนั่งแค่หน่อยเดียวเอง”

เถรี
12-01-2015, 12:59
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครมีธนบัตรใบละ ๕๐ บาท ที่เป็นรุ่นกาญจนาภิเษกให้เก็บ ๆ ไว้บ้างเพราะว่าเขาเลิกผลิตไปแล้ว และใบละร้อยบาท เคยสังเกตกันหรือเปล่าว่าปกติจะเป็นรูปในหลวงรัชกาลที่ ๕ แต่ว่ามีใบละร้อยรุ่นใหม่ที่เป็นรูปสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ตอน ๖๐ พรรษา ถ้าเคยเห็นก็เก็บไว้บ้าง แสดงว่าไม่ค่อยจะสังเกตกัน"

เถรี
12-01-2015, 14:46
ถาม : มีหลายครั้งที่เห็นตามสภาพความเป็นจริง ?
ตอบ : จะค่อย ๆ เห็นลึกไปเรื่อย ๆ บางทีเราคิดว่าใช่แล้ว ที่ไหนได้..มีที่ใช่กว่านั้นอีก อย่าเพิ่งไปยึดมั่นถือมั่น

ถาม : เพราะ ?
ตอบ : เดี๋ยวจะกลายเป็นเอาแสงหิ่งห้อยไปประชันกับพระจันทร์วันเพ็ญ

เถรี
13-01-2015, 15:26
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "ปีใหม่ขอให้แข็งแรงมาก ๆ นะจ๊ะโยม อาตมาเองไม่ค่อยแข็งแรง ตอนนี้ก็เลยต้องการพลัง สุขังไม่ค่อยอยากได้หรอก อายุ วัณโณ สุขัง พลัง อายุบอกชัด ๆ แล้วว่าเป็นอายุ วรรณะไม่ใช่ผิวพรรณ วรรณะในที่นี้คือชาติตระกูล สุขะ คือ ความสุข พละ คือ กำลัง

ถ้าไม่มีกำลังก็ไม่มีความสุข ทำอะไรไม่ได้หรอก ต้องมีกำลังด้วย มีความสุขด้วย ส่วนใหญ่เขาไปแปลวรรณะว่าผิวพรรณ ไม่ใช่หรอก ผิวพรรณช่วยให้ชีวิตดีขึ้นไม่ได้หรอก ยกเว้นว่าจะไปประกวดนางงามผิวเนียน"

เถรี
13-01-2015, 15:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาบวชวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ พอวัน ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ก็ต้องลงฟังปาฏิโมกข์ ก็แปลว่าบวชแค่ ๗ วันก็ลงปาฏิโมกข์แล้ว ปรากฏว่าตอนนั้นหลวงตาวัชรชัยเป็นองค์แสดงพระปาฏิโมกข์ อาตมาเห็นการสวดที่ไม่ได้หายใจหายคอครึ่งชั่วโมงติดต่อกัน..เหนื่อยมาก เห็นแล้วปฏิญาณตนเลย ชีวิตนี้จะไม่สวดปาฏิโมกข์เด็ดขาด

อาตมาเป็นคนความจำดี ฟังอะไรไม่กี่เที่ยวก็จำได้หมด ทุกวันนี้เวลาลูกศิษย์สวดปาฏิโมกข์ติดขัด สามารถทักท้วงเขาได้ อย่างที่ทิดเฟิร์สเขาบอกว่า "หลวงพ่อท้วงไม่เห็นต้องเปิดตำราเลย" ก็จำได้..ต้องไปเปิดตำราทำไม ? แต่ให้สวดปาฏิโมกข์ ไม่เอา...เหนื่อย

รุ่นอาตมาท่องปาฏิโมกข์ภาษาไทย ๒ คน แข่งกับหลวงพี่สมาน หลวงพี่สมานเป็นรุ่นพี่อยู่ ๓ พรรษา ท่านบวชปี ๒๕๒๖ อาตมาบวชปี ๒๕๒๙ ท่องปาฏิโมกข์ภาษาไทยแข่งกัน ท่องนวโกวาททั้งเล่ม จะขึ้นด้วยอนุศาสตร์ ๘ นิสสัย ๔ อกรณียกิจ ๔ นิสสัยปัจจัยซึ่งเป็นเครื่องอาศัยของบรรพชิต มี ๔ อย่างคือ เที่ยวบิณฑบาต นุ่งห่มผ้าบังสุกุล อยู่โคนไม้ ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า อกรณียกิจ ๔ กิจที่ภิกษุทำไม่ได้ ๔ อย่าง ได้แก่เสพเมถุน ลักของเขา พูดอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน และฆ่ามนุษย์ให้ตาย ฯลฯ ท่องกันจนจำได้ทั้งเล่ม"

เถรี
13-01-2015, 15:40
ถาม : หนูนั่งสมาธิวันละสามเวลา ....(ไม่ชัด)....?
ตอบ : เอาใจจดจ่ออยู่กับคาถา อย่างชนิดที่ตั้งใจว่า เราจะต้องรู้ทุกคำ ไม่ใช่สักแต่ว่าท่องให้คล่อง ๆ ปากไป ถ้าท่องให้คล่อง ๆ ปากไป สมาธิไม่ได้อยู่ตรงนั้นก็เลยไม่นิ่ง หรือไม่ก็ใช้วิธีภาวนาโดยเอาตัวคาถาเป็นบทภาวนา เช่น ขึ้นต้นด้วย สัมปะจิตฉามิ พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะลายันติ..ฯลฯ ใช้เป็นคำภาวนาไปเลย

ถาม : ตามดูลมหายใจเข้าออกไปด้วย ?
ตอบ : จ้ะ...ต้องตามดูลมหายใจเข้าออกไปด้วย ไม่อย่างนั้นสมาธิจะไม่ทรงตัว

เถรี
13-01-2015, 15:49
ถาม : เวลา.....เอาไปแทงหวย จะเป็นอะไรไหมคะ ?
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ อย่าไปแทงพุงใครก็พอ

ถาม : ถ้าเอาเงินนั้นไปทำบุญจะได้บุญไหมคะ ?
ตอบ : ได้จ้ะ

ถาม : เงินที่ได้จากการพนันจะได้อานิสงส์เต็มไหมคะ ?
ตอบ : เงินจากส่วนนี้เป็นลาภจากการพนัน ถ้าจะเอาให้ได้อานิสงส์เต็มร้อยเหมือนน้ำพักน้ำแรงของเราก็ไม่ใช่ แต่ว่าได้บุญแน่จ้ะ ทำไปเถอะ

เถรี
13-01-2015, 15:58
ถาม : เราสามารถไปเกิดเป็นมนุษย์ต่างดาวได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้จ้ะ..ถ้าอยากไปเกิดก็ตั้งใจทำบุญ แล้วก็อธิษฐานจะไปเกิดดาวไหนก็ตั้งใจไป เพียงแต่ว่าจะขาดทุนเสียกระมัง ? ทำความดีทั้งทีก็ไปสูง ๆ หน่อย ไปแค่ต่างดาวจะไปทำไม ?

ถาม : ไปได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไปได้จ้ะ ไปเกิดที่นั่นได้ เพียงแต่ว่าเป็นการเกิดที่อาตมาเห็นว่าขาดทุน

เถรี
13-01-2015, 16:07
ถาม : เวลาที่หนูท้อง ต้องเอาเข็มกลัดติดชายเสื้อเอาไว้จริง ๆ หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เป็นเคล็ดลับจ้ะ ถ้าหากว่าทำแล้วสบายใจก็ทำไปเถอะ แต่ใกล้คลอดต้องเอาออกนะจ๊ะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะคลอดไม่ได้

เถรี
13-01-2015, 16:10
ถาม : ถ้าเราฝันเห็นว่าคนที่รู้จักตาย ?
ตอบ : ก็ดูสิ ถ้าหากว่าเป็นญาติหรือใครที่เราสามารถพูดคุยบอกกล่าวได้ ก็เล่าให้เขาฟัง บอกให้ไปทำบุญเสียหน่อย ถ้าได้ทำบุญก็คงจะต่ออายุได้บ้างแหละจ้ะ ถ้าหากว่าไม่มีบุญต่อเลย ก็ไปไหนไม่รอดเหมือนกัน โดยเฉพาะในส่วนของการปล่อยชีวิตสัตว์ แจ้งเขาให้ทราบว่า เราฝันไม่ดีว่าคุณตาย เพราะฉะนั้น..ไปทำบุญเสียหน่อย

ถาม : คนที่ทำนายเขาบอกว่า ถ้าฝันว่าฟันหักแปลว่าญาติตาย ?
ตอบ : อันนี้แม่นเฉพาะบางคน จัดอยู่ในพวกกรรมนิมิต ก็คือความดีความชั่วที่ทำมาแสดงเหตุขึ้น พอถึงเวลาฝันว่าฟันหัก เราก็ระมัดระวังหน่อย สังเกตสักนิดหนึ่งว่าญาติผู้ใหญ่มีอันเป็นไปจริงหรือเปล่า ถ้าหากว่ามีก็จดจำเอาไว้ แต่ว่าไม่ต้องไปทุ่มเทใจเชื่อเสียทั้งหมด เพราะว่าอาจจะฝันเพราะคิดมาก เป็นความฟุ้งซ่านของเราก็ได้

เถรี
13-01-2015, 16:11
ถาม : เวลาที่เราไปงานศพ เขาห้ามชมพวงหรีดว่าสวย ?
ตอบ : งานศพสมัยนี้ส่วนใหญ่อยู่ที่วัด..ก็ชมไปเถอะ ที่เขาห้ามชมเพราะอยู่ที่บ้าน ไปชมพวงหรีดว่าสวย กลัวว่าจะมีพวงหรีดมาอีก เพราะฉะนั้น..ถ้างานศพไม่ได้ตั้งที่บ้านก็ชมไปเถอะ ถ้าตั้งอยู่ที่วัดจะศพใครมาเพิ่มก็ปล่อยเขาไป

เถรี
13-01-2015, 16:12
ถาม : ปีที่ผ่านมา มีเครื่องบินตก ?
ตอบ : ปล่อยให้เขาหากันเองจ้ะ อย่าไปยุ่งกับเขาเลย

ถาม : คนที่เครื่องบินตก เพราะสร้างกรรมร่วมกันมาหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่สร้างกรรมร่วมกันมาถึงได้อยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน ต้องบอกว่าชุดนี้ทำกรรมมาหนัก ตายแล้วจะเก็บศพยังเก็บยากเก็บเย็น ทะเลมีแต่คลื่นกับลม แรงจนกระทั่งงมศพก็ยาก

เถรี
13-01-2015, 20:06
เมื่อนำวัตถุมงคลของหลวงปู่จ้อย วัดศรีอุทุมพร ออกให้บูชา พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงหลวงปู่จ้อยท่านเก่งทางมีดหมอนะ ถือว่าเป็นเกจิอาจารย์รุ่นล่าสุดที่ดังทางด้านมีดหมอ ถ้าหลวงปู่จ้อยไม่มรณภาพไปก่อน หลวงพ่อสะอาด วัดเขาแก้ว ไม่ได้เกิดเรื่องมีดหมอหรอก ไปลงที่หลวงปู่จ้อยหมด"

เถรี
13-01-2015, 20:16
ถาม : ที่เขาบอกว่า มีวิญญาณมาเฝ้าศพ ต้องรอให้คนไปขุดก่อนแล้วจึงไปเกิดได้ ?
ตอบ : บางศพมีความห่วงความกังวลบางอย่างอยู่ ก็เท่ากับผูกพันอยู่ตรงนั้น ไปไหนไม่ได้ ถ้าเขาหมดห่วงหมดกังวล เขาก็ไปเกิดได้ เป็นต้น

เรื่องนี้ขออนุญาตยกตัวอย่างครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง คือหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านเล่นแร่แปรธาตุ เอาโลหะมาผสมกันแล้วทำเป็นทองได้ ท่านทำทองคำได้ประมาณ ๒๕ บาท และท่านมีลูกอมวิเศษอยู่ลูกหนึ่ง ที่อมแล้วสามารถย่นระยะทาง เดินน้ำ ดำดินได้ ท่านก็ฝังอยู่ด้วยกัน คราวนี้ใจไปผูกอยู่หน่อยเดียว

หลวงปู่ศุขท่านเป็นพระทรงอภิญญา ปกติท่านจะต้องไปเกิดเป็นพรหม แต่ท่านไปไม่ได้ ก็เลยมาหาหลวงพ่อวัดท่าซุง มาบอกว่าช่วยไปขุดเอาลูกอมกับทองคำขึ้นมาทำประโยชน์ให้กับพระศาสนาหน่อย ท่านจะได้ไปเป็นพรหมเสียที ไม่อย่างนั้นก็ติดอยู่แค่เทวดา หลวงพ่อบอกว่า "หลวงปู่ยังติดอยู่แค่นั้น แล้วผมจะเอามาทำไม ? เดี๋ยวผมก็ติดไปด้วย" หลวงปู่ศุขท่านเลยเฉา ขอให้ช่วยแล้วไม่ช่วย

พอรุ่งขึ้นมาใหม่ คราวนี้หลวงปู่ศุขไปพาหลวงปู่ปานมาด้วย ให้ช่วยพูดกับลูกศิษย์ท่านหน่อย หลวงปู่ปานมาถึงก็ “เฮ้ย..ช่วยหลวงปู่ศุขเขาหน่อยสิ” หลวงพ่อท่านก็เลยต้องรับปาก แล้วก็บอกว่า "ให้ผมช่วย แล้วถ้าผมไปติดอยู่ตรงนั้นแทนจะทำอย่างไร ?" หลวงปู่ปานก็บอกว่า “เอ็งก็ตั้งใจสิว่า รับมาแล้วตั้งใจถวายเป็นของสงฆ์ในพระพุทธศาสนาไปเลย ไม่ต้องไปยุ่งไปเกี่ยวก็จบแล้ว” หลวงพ่อบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็ได้ ท่านจึงรับปากช่วย พอหลวงปู่ศุขจิตปลดจากตรงนั้น ว่าไม่มีของต้องห่วง ท่านก็ไปเป็นพรหม นี่เป็นตัวอย่างอย่างหนึ่งว่า ถ้าจิตมีกังวลอยู่ ก็ไม่สามารถที่จะไปได้อย่างที่ตัวเองต้องการ

เพราะฉะนั้น..ที่ว่าทำไมบางศพต้องรอให้คนไปขุดก่อน แล้วถึงจะไปเกิดได้ ก็เพราะว่าเขายังมีบางอย่างที่ห่วงกังวลอยู่ คือห่วงตามประสามนุษย์ ถ้าตัดความเป็นมนุษย์ได้ก็ไปนานแล้ว

ถาม : เขารอเป็นพันปีค่ะ ?
ตอบ : ๑,๐๐๐ ปีของเราเทียบเวลาเป็นนิดเดียวของเขานะ ถ้าเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ ๑,๐๐๐ ปีของเราก็แค่ ๑๐ วันของเขา เวลาเดี๋ยวเดียวเท่านั้น

ถาม : แล้วคนที่มาขุดก็ต้องเกี่ยวเนื่องกันมา ?
ตอบ : ต้องมีกรรมบางอย่างเนื่องกันมา ถ้าไม่มีก็คงไม่ต้องถึงขนาดมาไล่ขุดศพให้เขาหรอก พูดถึงหลวงปู่ศุข อาตมาเพิ่งจะเจอกับท่านเมื่อวันเสกมีดหมอเพชราวุธนี่เอง

เถรี
13-01-2015, 20:24
ถาม : เวลาเราสวดคาถาให้นึกถึงอะไรบ้างคะ ?
ตอบ : นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก่อน หลังจากนั้นก็นึกถึงพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้มา แล้วจะภาวนาอย่างไรก็ว่าไปให้เต็มที่ หลังจากนั้นก็อุทิศส่วนกุศลถวายท่านด้วย

ถาม : ที่บอกว่าให้ยกใจขึ้นไปกราบข้างบน ?
ตอบ : ก็ลักษณะเดียวกันจ้ะ นึกว่าเราไปอยู่ที่ตรงนั้น แล้วก็ตั้งใจกราบลงไป

ถาม : บางทียกใจมาก ๆ ก็ปวดหัว ?
ตอบ : อาจจะเผลอใช้สายตาไปเพ่ง คลายสมาธิออกมาหน่อยหนึ่ง เมื่อหายปวดหัวแล้วก็ยกใจไปใหม่

เถรี
13-01-2015, 20:41
พระอาจารย์เล่าว่า "วันปลุกเสกมีดหมอเพชราวุธ อาตมาโดนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านปลุกขึ้นมาตอนเที่ยงคืน ปกติเมื่ออาตมาได้มีดหมอมาก็ต้องเสกทุกวัน อย่างเช่นวันพฤหัสบดีก็เน้นคาถาพระเจ้า ๕ พระองค์ วันศุกร์เน้นเรื่องลาภ วันเสาร์เน้นเรื่องการป้องกัน ฯลฯ ปรากฏวันนั้นเป็นคืนวันอังคาร ท่านปลุกขึ้นมาเที่ยงคืน จัดพิธีกรรม จัดสถานที่ แล้วพระท่านก็เสด็จมา

พระท่านกำหนดครูบาอาจารย์มา ๖ รูปด้วยกัน มี ๑. หลวงปู่รุ่ง วัดหนองสีนวล ถ้าไม่รู้จักหลวงปู่รุ่งก็ให้รู้ว่า ท่านเป็นลูกพี่ลูกน้องของหลวงปู่เดิม วัดหนองโพ บวชก่อน ๑๑ พรรษา เรียนวิชาทำมีดหมอมาจากหลวงปู่เทศ วัดสระทะเลก่อน ส่วนหลวงปู่เดิมบวชทีหลัง ก็เรียนวิชาจากครูบาอาจารย์ท่านเดียวกัน เพราะฉะนั้น..มีดหมอสายหลวงปู่เดิม วัดหนองโพ จริง ๆ ก็คือสายหลวงปู่เทศ วัดสระทะเล ซึ่งถ้าหากว่าจำไม่ผิด หลวงปู่เทศ วัดสระทะเล เรียนไปจากหลวงปู่ขัน วัดเขาแก้ว แล้วที่ตลกที่สุดก็คือ ตอนหลังหลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว ต้องไปเรียนคืนมาจากหลวงปู่เดิม วัดหนองโพ วนเป็นงูกินหาง ก็เท่ากับว่าสองท่านนี้ก็เป็นสายของหลวงปู่ขัน วัดเขาแก้ว ๒. หลวงปู่เดิม วัดหนองโพ

๓. หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า แล้วก็มา ๔. หลวงปู่เก็บ วัดสวนลำใย อาตมาได้ยินชื่อท่านครั้งแรกจริง ๆ หลวงปู่เก็บท่านยืนยันว่า วัดของท่านต้องใช้สระใอ ไม้ม้วน ปรากฏว่า ๒ ท่านนี้ก็เป็นศิษย์เป็นอาจารย์กัน คือจากหลวงปู่ศุข ก็ถ่ายทอดวิชาต่อให้หลวงปู่เก็บ วัดสวนลำใย ๕. หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ๖. หลวงพ่อวัดท่าซุง นี่ก็เป็นศิษย์เป็นอาจารย์กัน รู้สึกว่าท่านจะกำหนดลักษณะเป็นสาย ๆ มา ก็เท่ากับว่ามีดหมอรุ่นนี้รวมครูบาอาจารย์ถึง ๓ สายด้วยกัน"

เถรี
13-01-2015, 20:45
"ในจุดที่อาตมามึนมากก็คือ ครูบาอาจารย์ทั้ง ๖ ท่าน มีทั้งพระอรหันต์ มีทั้งพรหม มีทั้งเทวดาพระโพธิสัตว์ อาตมานั่งกุมขมับเลย ต้องบอกว่าของท่านประเภทครบถ้วนสมบูรณ์จริง ๆ จะเอาระดับพระอรหันต์ก็มีให้ ระดับพรหมก็มีให้ ระดับเทวดาก็มีให้ ทุกวันนี้มานึกภาพแล้วก็ขำ คนไม่เคยชินจะแยกออกไหมว่าแต่ละท่านเป็นอะไรกันบ้าง ? แล้วความสวยก็ค่อนข้างจะใกล้เคียงกันอยู่

แต่ละท่านก็มาแนะนำวิธีว่า ต้องวางกำลังใจอย่างไร ใช้คาถาบทไหนในการภาวนา แล้ววิธีใช้ตามสายครูบาอาจารย์เป็นอย่างไร บทนี้คาถาสับสนเกินไป ต้องปรับใหม่เรียงใหม่ให้ยุ่งไปหมด สรุปอย่างที่อาตมาลงไว้ในเว็บนั่นแหละ คราวนี้พอทำพิธีเสร็จ พระท่านก็สอนวิธีว่า ให้ทำกำลังใจลักษณะอย่างนี้ ก็คือกวาดกำลังใจไปยังวัตถุมงคลทั้งหมด ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำ เพราะว่ารออย่างเดียวว่าพระท่านจะสั่งทำอะไรบ้าง ส่วนใหญ่พอบารมีท่านคลุมลงมาครบ วัตถุมงคลสว่างครบถ้วนทุกชิ้นก็ถือว่าใช้ได้แล้ว

อันนี้ท่านสอนให้กวาดกำลังใจลงไปยังวัตถุมงคล ก็ทำตามที่ท่านว่า ไม่ได้คิดอะไร พอเสร็จพิธีกราบลาพระเสร็จลืมตาขึ้นมา ปรากฏว่ามีดหมอกระจัดกระจายหมดเลย ต้องมานั่งจัดใหม่เรียงใหม่ เพิ่งเข้าใจว่า อ๋อ...สมัยก่อนที่ครูบาอาจารย์บางท่านพุทธาภิเษกหรือปลุกเสกวัตถุมงคล แล้ววัตถุมงคลดิ้นได้ คือลักษณะอย่างนี้นี่เอง พอเวลาใช้กำลังใจกวาดไป วัตถุมงคลก็ดิ้นได้เลย แต่อาตมาไม่ได้เห็นตอนดิ้นหรอก เพราะตอนนั้นหลับหูหลับตาอยู่ไม่รับรู้ข้างนอก ก็คิดว่าเรากวาดกำลังใจไปตามปกติ ที่ไหนได้..มีดหมอหัวก่ายท้ายเกยเกลื่อนกลาดไปหมด ต้องมาจัดเรียงใหม่

เสียดายอาตมาเป็นคนโลว์เทค ไม่ใช่ไฮเทค ลืมไปว่ารู้อย่างนี้เราตั้งกล้องโทรศัพท์ถ่ายไว้ก็ดี มัวแต่รีบร้อนกลัวจะทำไม่ทันตามที่หลวงพ่อท่านสั่ง เสร็จพิธีลืมตาขึ้นมาเกือบ ๆ ตีหนึ่ง ๔๐ นาทีได้ แปลว่านานทีเดียว แล้วก็เลยนอนไม่หลับ เพราะทรงกำลังใจแน่นไปหน่อย ทำให้ตาค้าง มาง่วงเอาตอนกำลังจะทำงาน ไม่เป็นไร..เดี๋ยววันที่ ๒๔ นี้ท่านก็คงจะย้ำให้อีกทีหนึ่ง"

เถรี
14-01-2015, 18:43
ถาม : เรื่องงาน ตอนนี้มีอยู่สองทางให้เลือกค่ะ ยังไม่แน่ใจว่าอันไหนจะมาก่อน ?
ตอบ : เอาเป็นว่าไปอธิษฐานกับพระว่า งานไหนที่เหมาะกับเราที่สุดให้มาก่อนก็แล้วกัน

เถรี
14-01-2015, 18:46
ถาม : (เด็กถาม) ทำอย่างไรถึงจะคุยกับสัตว์ได้ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าใจนิ่งได้ ต่อไปก็จะเข้าใจไปเอง เพราะฉะนั้น..ที่สำคัญเลยคือทำอย่างไรให้ใจของเรานิ่งและไม่ฟุ้งซ่าน ถ้าใจนิ่งแล้วไม่ฟุ้งซ่าน คนกับสัตว์ก็ภาษาเดียวกัน คนเราคิดเป็นสัตว์ก็คิดเป็น พอถึงเวลากระแสความคิดตรงกันก็รู้เรื่องกัน เหมือนกับคุยกันได้

เถรี
14-01-2015, 19:25
ถาม : ของที่ได้มาในระหว่างบวช ของนี้ถือว่าเป็นของส่วนตัวหรือของสงฆ์ครับ ?
ตอบ : ถ้าใช้เงินส่วนตัวซื้อของเพื่อสงฆ์ (เพื่อใช้ในการบวช) ก็เป็นของสงฆ์ไปแล้ว

ถาม : ถ้าของที่ได้มาในระหว่างบวช นำไปจำหน่ายหลังจากสึกไปแล้ว ?
ตอบ : ภิกษุห้ามซื้อขายด้วยรูปิยะ แปลว่าเดี้ยงตั้งแต่ก่อนสึกแล้ว..!

ถาม : มีเพื่อนที่รู้จักกันเขาเป็นพระครู เขาทำแบบนี้ครับ ?
ตอบ : ช่วยบอกเขาว่าขอให้เจริญ ๆ เถอะ..! ชีวิตคงจะราบรื่นมากเลย ถ้าอย่างของอาตมานี่ทำได้ ซื้อทองเก็บไว้ แล้วก็เขียนไว้ชัด ๆ เลยว่า ‘ซื้อด้วยเงินมรดกส่วนตัว’ เป็นเงินที่แม่ให้ ถึงเวลาใครจะมาอมไม่ได้หรอก เพราะอาตมาเขียนแปะเอาไว้แล้ว ต้องอย่างนั้นจึงเป็นเงินของฆราวาสจริง ๆ

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านได้มรดกมาเยอะทีเดียว แค่ตอนท่านบวชยายก็ให้ทอง ๒๐ บาทแล้ว หลังจากนั้นก็ยังมีโยมหลายรายที่รักท่านมาก ถึงเวลาก็ทำพินัยกรรมยกสมบัติให้ท่าน ยกให้เป็นส่วนตัว ไม่ได้ยกให้เป็นของสงฆ์ แล้วก็มีคนไปดำเนินการให้เกิดดอกเกิดผลขึ้นมา พอเขามารายงานหลวงพ่อก็ตกใจ “เฮ้ย..ข้ามีเงินเยอะขนาดนี้เลยหรือ ?” สรุปแล้วท่านก็เอาเงินไปสร้างวัด หลวงพ่อบอกว่า "ปกติมีแต่คนเป็นหนี้สงฆ์ แต่สำหรับข้า สงฆ์เป็นหนี้ข้า เพราะเอาเงินส่วนตัวไปใช้เพื่อสงฆ์เสียเยอะ"

ถาม : แสดงว่าต้นเป็นส่วนตัว กลางเป็นส่วนตัว ออกไปก็เป็นส่วนตัว ?
ตอบ : ถ้าต้นเป็นส่วนตัวแล้วไปแปลงเป็นสงฆ์ ก็เท่ากับว่าเจตนาของเราเพื่องานบุญนี้ ในเมื่อเจตนาเพื่องานบุญนั้น แสดงว่ากลายเป็นของสงฆ์ไปแล้ว ถึงเวลาเราจะไปคิดว่าเราใช้เงินส่วนตัวซื้อไม่ได้แล้ว เพราะว่าตัดช่วงไปแล้ว

มีของใช้บางอย่าง เช่นรองเท้าสมัยฆราวาสติดเท้าไป เพราะว่าไม่อยากได้คู่ใหม่ คู่เก่าใช้ถนัดแล้ว บวชไปก็ใช้คู่เก่า สึกก็เอากลับบ้านไปเถอะ เพราะยังเป็นของเราอยู่ แต่ถ้าไปซื้อรองเท้าใหม่มาเพื่อใช้ในตอนบวช นั่นเป็นเพื่อสงฆ์ไปแล้ว

เถรี
14-01-2015, 20:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ได้ยินว่ามีดโต้น้อยขาดตลาด ทั่วประเทศไทยไม่มีเหลือ โดนกว้านเพื่อเอาไปเข้าพิธีวัดท่าขนุนกันหมด เขาคงแปลกใจว่าซื้ออะไรกันนักหนา ถ้าหมดก็ไปอรัญญิกต่อ กวาดให้หมด ถ้าอรัญญิกหมดก็ไปทองแสนขันต่อ ทองแสนขันเขามีพวกเหล็กน้ำพี้เหลืออยู่บ้าง จะน้ำพี้จริงน้ำพี้ปลอมอะไรก็เอาเถอะ เข้าพิธีแล้วก็ใช้ได้เหมือนกัน

แหล่งมีดอีกแหล่งหนึ่งก็ค่ายพระราม ๖ อาตมาไปดูมีดค่ายพระราม ๖ มาก่อนบ้านจ่าตุ่มอีก แต่ปรากฏว่ามีดค่ายพระราม ๖ เขาทำมีดเป็นมีด โลหะอาจจะดีหน่อย การออกแบบอาจจะสวยหน่อย แต่ว่าความเฉียบคมของลวดลายหรือเส้นสายไม่เหมือนของบ้านจ่าตุ่ม ของบ้านจ่าตุ่มที่มีดออกมาสวยมาก เพราะช่างส่วนใหญ่เป็นช่างที่ทำปืนเถื่อนมาก่อน

คราวนี้ทางด้านจ่าตุ่ม ผู้บังคับบัญชาสั่งให้ไปกวาดล้างพวกทำปืนเถื่อน กวาดเท่าไรก็กวาดไม่หมด เพราะแถวนั้นมีบึงมีหนองที่ขวางทางเข้าออก เป็นพวกพงอ้อสูงท่วมหัว พอถึงเวลากว่าจะเข้าไปถึง เขารู้ตัวก่อนก็ขนเครื่องมือใส่เป้หนีไปแล้ว เพราะมีเครื่องมือแค่ไม่กี่ชิ้นนี่ มีพวกเลื่อยเหล็ก มีสว่าน มีตะไบอะไรแค่นั้นเอง เขาก็ไปผลิตกันต่อ จนกระทั่งท้ายสุดจ่าตุ่มใช้วิธีไปขอร้องเขาให้เลิกทำ เขาบอกว่าถ้าเลิกทำก็ไม่รู้จะกินอะไร จ่าตุ่มก็เลยต้องมาแนะนำการทำมีด ทำเครื่องมือเครื่องใช้การเกษตรด้วยเหล็กแทน

พวกนี้เวลาเขาทำปืนนี่ถอดแบบฝรั่งมาเลย ถ้าวางเทียบกันกระบอกต่อกระบอก ของไทยสวยกว่าด้วย เพียงแต่ที่ชัดที่สุดก็คือ ลำกล้องของไทยไม่มีเกลียว อาตมาเคยจับปืนเถื่อนสมัยเป็นทหารอยู่หลายกระบอก เจ้านายขอเอาไปใช้ ปรากฏว่าใช้ได้แค่ ๒-๓ อาทิตย์บ่นแล้ว “ไอ้ห่..สนิมขึ้นโว้ย” อ้าว..ก็ของไทยนี่ครับ แล้วลำกล้องก็ไม่มีเกลียว ท่านแก้ปัญหาโดยการเอาไปเปลี่ยนกับลำกล้องปืนฝรั่งในคลัง เข้ากันได้ทุกมิติเลย ประเภทที่เรียกว่ามิลลิเมตรต่อมิลลิเมตร ไม่มีพลาดเลย

กลายเป็นว่าพอพวกนี้ออกมาทำงานเกี่ยวกับมีดและเครื่องมือเครื่องใช้ ฝีมือจึงค่อนข้างประณีตมาก สู้ฝรั่งเขาได้สบาย ไม่ว่าจะสัน จะคม จะร่องมีด จะใบมีด จะออกมาคมชัดเลย"

เถรี
14-01-2015, 20:33
ถาม : ใช้วิธีกลึงหรือว่าอะไรคะ ?
ตอบ : มีทั้งกลึง มีทั้งไส มีทั้งขุด มีทั้งถาก มีทั้งเจาะ เพราะฉะนั้น..เขาจึงทำได้ทุกอย่าง แค่เปลี่ยนจากโลหะทำปืนมาเป็นทำมีดแค่นั้นเอง ก็เท่ากับว่าสามารถแก้ไขปัญหาปืนเถื่อนที่บ้านอีเติ่งไปได้ เพราะว่าเอาช่างชุดนั้นมาหมด ปัจจุบันช่างชุดนี้ก็เกษียณเกือบหมดแล้ว ที่ตายไปก็หลายคน

สมัยก่อนที่ทำอยู่กับจ่าตุ่มก็จะมีช่างเปี๊ยก ช่างทิน ช่างเดือน ช่างชู ช่างหมี ฯลฯ ตอนนี้ช่างเปี๊ยกก็ไปแล้ว ช่างทินก็ไปแล้ว ช่างเดือนเกษียณตัวเอง ช่างหมีกำลังจะเกษียณตามไปด้วย พวกช่างแขก จ่ามังกร พวกนี้มาทีหลัง พอเห็นมีดจ่าตุ่มติดตลาด ต่างประเทศต้องการมาก ก็ทำตาม แต่คราวนี้ของช่างแขกขายแพงมาก ตั้งใจขายตลาดฝรั่ง

ส่วนใหญ่ฝีมือของช่างจะอยู่ตัวก็ตอนใกล้ ๆ จะเกษียณแล้วทั้งนั้น ตอนนี้บ้านจ่าตุ่มก็จะมี "อาร์ค" ลูกชายคนเล็กรับช่วงต่อ แต่ก็ยังทำมีดเป็นมีดอยู่เลย คือไม่สามารถที่จะผลิตออกมาเป็นงานศิลปะได้ ทางบ้านช่างเปี๊ยกก็มี "ช่างกบ" ช่างกบทำงานมีดหมอเพชราวุธคนเดียวไปเกือบ ๖๐ เล่ม คาดว่าต่อไปถ้าเป็นทรงเปอร์เซียนนี่ช่างกบคงเอาอยู่เลย

ส่วนใหญ่พวกช่างเขาจะเป็นประเภทศิลปิน สมัยก่อนบางทีอาตมาไปรอมีดเล่มหนึ่ง ๒-๓ ปีกว่าจะได้ อย่างเล่มของทิดเก้าที่แกะเป็นเศียรพญานาค เล่มนั้น ๒ ปีกว่าเกือบ ๓ ปี พอถึงเวลาไปก็เห็นช่างเขาว่าง ๆ ยืนรดน้ำต้นไม้ ลากสายไปลากสายมา รดอยู่นั่นแหละ ถามป้าสุว่า "เมื่อไรเขาจะทำงานสักที ?" ป้าสุบอกว่า "มันไม่มีอารมณ์ มันกำลังสร้างอารมณ์อยู่" ปรากฏว่าพอสัก ๓-๔ โมงเย็นก็มีอารมณ์ทำขึ้นมา คว้าตะไบคว้าเหล็กมาเข้าเครื่องหนีบได้ คราวนี้ก็ใส่ไปเถอะ ๒-๓ ทุ่ม บางทีมืดจนมองไม่เห็นแล้ว ก็ยังทำไปเรื่อยนั่นแหละ เกิดอารมณ์ทำแล้วหยุดไม่ได้ ถ้าหยุดเดี๋ยวหมดอารมณ์ที่จะทำอีก

เสียดายงานฝีมือรุ่นเก่า ๆ ไม่ว่าจะเรื่องของวัสดุ เรื่องของฝีมืองาน เขาพยายามคัดเลือกที่ประณีตมากที่สุด ช่างเดือนเกษียณตอนทำพระขรรค์โสฬส ทำพระขรรค์อย่างเดียวจนหมดอารมณ์ไปเลย พวกนี้เขาเป็นศิลปินที่ไม่อยากทำงานซ้ำ ต้องปล่อยเขาทำตามอารมณ์ ให้เขาออกแบบไปเรื่อย ๆ จะไม่ซ้ำของเดิม นี่ต้องมาทำของเหมือน ๆ กันทีหนึ่งหลาย ๆ สิบเล่ม จึงหมดอารมณ์ไปเลย

งวดนี้ช่างหมีเจอมีดหมอเพชราวุธ ขอเลิกเหมือนกัน บอกว่าทำแล้วเครียด แต่ละเล่มแกจึงพยายามใส่โน่นใส่นี่ ให้ต่างกันนิด ๆ หน่อย ๆ จะได้ไม่เครียด ถ้าของช่างกบที่บ้านช่างเปี๊ยกนั่น จะทำออกมาแบบเดียวกันหมด แต่ของช่างหมีนี่ บางทีวัสดุคั่นคอมีดบ้าง อะไรบ้างจะเปลี่ยนไปเรื่อย เพื่อจะได้ไม่รู้สึกว่าทำงานซ้ำ

เถรี
14-01-2015, 20:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมายืนยันกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว บอกว่าเรื่องของชื่อ ถ้ายังไม่เปลี่ยนความประพฤติ เปลี่ยนชื่อไปก็เท่านั้นแหละ สำคัญตรงความประพฤติ ถ้าความประพฤติเปลี่ยนได้ ชื่อไม่ต้องเปลี่ยนก็ประสบความสำเร็จเอง"

เถรี
14-01-2015, 20:48
ถาม : ขอธรรมะสำหรับพุทธภูมิครับ ?
ตอบ : สติ..ใช้คำว่าคิดก่อนทำ สมาธิ..ใช้คำว่าอดทนไว้ ปัญญา..ใช้คำว่าให้อภัย "คิดก่อนทำ อดทนไว้ ให้อภัย" ถ้าไม่มีปัญญา มองไม่เห็นว่าสิ่งที่เขาทำเป็นโทษทั้งตัวตนเองและผู้อื่นอย่างไร ก็ให้อภัยเขาไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องใช้ปัญญาด้วย

ก็แปลว่าต้องใช้สติ ต้องใช้สมาธิ ต้องใช้ปัญญา สมาธิไม่พอ ความข่มกลั้นก็น้อย ก็ต้องเร่งสมาธิขึ้นอีก ส่วนเรื่องสติที่คิดก่อนทำนี่ ต้องคิดก่อนพูดด้วยนะ "คิดก่อนทำ อดทนไว้ ให้อภัย"

ถาม : พุทธภูมิมีเท่านี้หรือครับ ?
ตอบ : มีมากกว่านี้หน่อย แต่ทั้งหมดก็เท่านี้แหละ ถ้าหากบอกว่าคิดก่อนทำ อดทนไว้ ให้อภัย โยมตีไม่ถูกหรอกว่าเป็นอะไร ต้องมาแยกให้ฟังว่าแต่ละอย่างคืออะไรถึงจะพอไปได้

เถรี
15-01-2015, 11:53
ถาม : ไปสักมา หากต้องการลบออก ?
ตอบ : ก็ลบสิจ๊ะ ถ้าไม่มีครูช่วยสักให้สวย ๆ ได้ก็ลบ ถ้าหากว่ามีครูก็ขอขมาเสียก่อน ต้องบอกว่าตอนทำไม่คิด ทำแล้วค่อยมาคิด

เถรี
15-01-2015, 12:21
ถาม : การงานมีอุปสรรค ?
ตอบ : ไปภาวนาพระคาถาเงินล้าน ในพระคาถาเงินล้านมีคาถาปัดอุปสรรคอยู่ด้วย อะไรที่เป็นอุปสรรคจะได้หมด ๆ ไปจากชีวิต จะทำอะไรต้องทำให้จริง ๆ จัง ๆ โดยเฉพาะคุณเป็นทหาร ทุกอย่างต้องเด็ดขาดและแน่นอน

เถรี
15-01-2015, 12:41
พระอาจารย์แจ้งว่า "เรื่องของสมเด็จองค์ปฐม ๙.๙ นิ้ว หลายคนอยากได้ใบอนุโมทนาบัตร อาตมาออกไม่ได้จ้ะ แม้ว่าเป็นงานวัดท่าขนุน แต่เงินไม่ได้เข้าวัด เพราะเขาเอาเงินไปหล่อพระ การออกใบอนุโมทนาบัตร ถึงเวลาส่งรายงานบัญชีรับจ่ายประจำปี ทางผู้บังคับบัญชาท่านจะตรวจสอบยอดกับใบอนุโมทนาบัตรด้วย เพราะฉะนั้น..เมื่อเงินไม่ได้เข้าวัด ตัวเลขมี แต่เงินไม่มี แล้วออกใบอนุโมทนาบัตร จะกลายเป็นโมฆะได้ ดีไม่ดีจะโดนข้อหาทุจริตด้วย กลายเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอีก

หลายคนที่มาทำบุญตรงนี้ (ที่รับสังฆทาน) อาตมาต้องแยกเงินออกถวายให้กับพระมหานันทวัฒน์ไป เพราะระบุว่าสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๔ ศอก ซึ่งท่านรับเป็นเจ้าภาพในการจัดสร้าง คนทำบุญระบุอะไรมา ก็ต้องทำตามนั้นให้เขา โยมก็ไม่ได้ใส่ใจหรอกว่าใครเป็นเจ้าภาพทำหรือใครเป็นแม่งาน มาถึงอยากทำบุญก็เทลงตรงนี้เลย เจ้าหน้าที่ก็ปวดหัวเพราะต้องแยกออกให้ตรงกับบัญชี"

เถรี
15-01-2015, 12:43
ทิดตู่สอนการต่อสู้ด้วยมีดสั้น พระอาจารย์กล่าวว่า “การใช้มีดสั้น จะแทงก็ได้ จะปาดก็ได้ จะกรีดก็ได้ แต่อย่าฟันยาว ๆ การเงื้อฟันยาว ๆ อีกฝ่ายจะกันได้ง่าย สำหรับคนที่ไม่เป็นก็ฟันไปเถอะ แต่ถ้าคนเป็นด้วยกันนี่เราไปเงื้อฟันยาว ๆ รับรองได้ว่าพิการ โดนหักแขนแน่นอน..!”

เถรี
15-01-2015, 13:34
ถาม : คำว่าสมมุติสัจจะกับคำว่ากฎของกรรมนี่เป็นตัวเดียวกันไหมคะ ?
ตอบ : กฎแห่งกรรมเป็นความเที่ยงแท้ของการกระทำ ไม่ว่าทำดีหรือทำชั่วก็จะได้รับผลแน่นอน ส่วนสมมุติสัจจะนั้น เป็นสิ่งที่เราสมมุติขึ้นมา เพื่อสะดวกในการเรียกหาหรือว่าสืบค้น อย่างเช่น สมมุติสิ่งนี้เรียกว่าขัน แต่จะสมมุติเรียกว่าโอ่งก็ได้ ถ้าหากเขาเรียกอย่างนั้นมาตั้งแต่แรก ก็จะกลายเป็นโอ่ง..ไม่ใช่ขัน

ถาม : แล้วเรื่องของบุญกับบาปละคะ ?
ตอบ : ถ้าเรื่องของบุญบาปแล้ว ส่วนใหญ่เป็นอภิสังขาร ก็คืออยู่เหนือการปรุงแต่งขึ้นไป เกิดจากการกระทำของเราก็คือกรรม

ถาม : แล้วถ้าบุญกับบาปเป็นสมมุติสัจจะด้วย แล้วก็เป็นกรรมด้วย ?
ตอบ : ถ้าในส่วนของสมมุติ จะเป็นการแยกแยะเพื่อให้รู้ว่า สิ่งนี้คนเขาสรรเสริญว่าเป็นความดี นั่นคือส่วนของบุญ สิ่งนี้คนเขากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี คือส่วนของบาป ถ้าแยกในลักษณะอย่างนั้นก็จะเป็นสมมุติสัจจะ แต่ถ้าในตัวความเป็นจริงก็คือผลของการกระทำนั่นเอง

ถาม : ตัวสมมุติก็คือตัวที่แยกแยะ ?
ตอบ : แยกแยะออกมาเพื่อให้ง่ายในการเรียกหา สืบค้น หรือว่าแนะนำบอกกล่าวคนอื่นเขา

ถาม : แล้วสมมุติว่าคนสรรเสริญว่าเป็นความดี แต่ไม่ได้อยู่ในส่วนของบุญกิริยาวัตถุละคะ ?
ตอบ : ก็ต้องดูด้วยว่าส่วนที่ดีนั้น ดีในลักษณะไหน ระดับไหน ดีในส่วนของทาน ดีในส่วนของศีล ดีในส่วนของภาวนา หรือว่าดีในส่วนของจารีตประเพณี ดีตามกฎหมายบ้านเมือง มีหลายซับหลายซ้อน

ถาม : แล้วการทำดีตามกฎหมายบ้านเมืองถือว่าเป็นบุญด้วยไหมคะ ?
ตอบ : บางอย่างก็เป็นบุญเหมือนกัน อย่างเช่นว่า ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ฆ่าคน ไม่กินเหล้า เพราะกฎหมายบ้านเมืองส่วนหนึ่งก็มาจากพื้นฐานของศีล

เถรี
15-01-2015, 13:39
ถาม : ถ้าบุญเป็นสมมุติ ถ้าพ้นจากความดีทาน ศีล ภาวนา ?
ตอบ : ถ้าพ้นดีพ้นชั่วแล้วก็เป็นปรมัตถ์

ถาม : นึกว่าเขากำหนดขึ้นมาเป็นสมมติ พอพ้นจากตรงนี้ก็ไม่มีสัจจะเลย ?
ตอบ : สำหรับคนทั่วไป ถ้าเรากล่าวถึงปรมัตถธรรม เขาจะไม่เข้าใจอะไรเลย ต้องเริ่มไปจากสมมุติทั้งนั้น ก็ต้องเริ่มจากขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นปลาย ละเอียดลึกไปเรื่อย ๆ

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : เพราะว่าเป็นสมมุติสัจจะเป็นจริงตามโลก หรือว่าเป็นจริงตามที่เรากันเรียกขึ้นมา

เถรี
15-01-2015, 13:53
ถาม : คนที่น้ำตาร่วงจากการพิจารณาธรรมต่าง ๆ เหมือนอารมณ์ปีติส่วนหนึ่ง ถ้าเราไม่อยากร้องไห้แล้วกระโดดข้ามไปเป็นฌานเลย จะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าข้ามไปถึงฌานจะจบเลย แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะไหลตามเหตุการณ์ไปจนกระทั่งลืม ฉะนั้น..พระที่ท่านทรงคุณความดีได้ ท่านก็จะเหลือแต่ธรรมสังเวช ไม่อย่างนั้นลืมตัว กำลังใจตกลงมาอยู่ในระดับล่าง ก็น้ำตาตกเหมือนกับคนทั่วไป

ถาม : นั่นคือสาเหตุที่พระอรหันต์ไม่มีอาการร้องไห้ ?
ตอบ : ของท่านเองท่านพ้นสุขทุกข์ไปนานแล้ว ไม่มีอะไรทำให้หวั่นไหวได้แล้ว ได้แต่ อนิจจา วะตะ สังขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ อุปปาทะวะยะธัมมิโน เกิดขึ้นก็เสื่อมไปเป็นธรรมดา อุปัชชิตะวา นิรุชฌันติ มีเกิดแล้วก็ต้องมีดับ เตสัง วูปสะโม สุโข การเข้าถึงความสงบระงับอย่างแท้จริงเป็นสุขยิ่งหนอ

เถรี
15-01-2015, 13:57
ถาม : พระอรหันต์หัวเราะเป็นกิเลสไหมคะ ?
ตอบ : ท่านพ้นไปแล้วจากการปรุงแต่งทั้งปวง จะเอาอะไรมาเป็นกิเลส ? ในส่วนของการแสดงธรรมมีอย่างหนึ่งคือให้รื่นเริงในธรรม หลักการแสดงธรรมของพระพุทธเจ้าประกอบไปด้วย สันทัสสนา ชี้แจงให้เห็นอย่างเจ่มแจ้ง เหมือนอย่างกับหงายของที่คว่ำหรือตามประทีปในที่มืด สมาทปนา จูงใจให้กระทำตาม ได้ยินแล้วอยากทำให้ได้อย่างนั้นบ้าง สมุตเตชนา เกิดความกล้าหาญ ความพากเพียรที่จะทำเพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายนั้น สัมปหังสนา เกิดความรื่นเริง ชื่นอกชื่นใจ ไม่เบื่อไม่หน่ายที่จะทำ

ฉะนั้น..ในส่วนของการหัวเราะก็คือในส่วนของสัมปหังสนา บางทีท่านเรียกว่ารื่นเริงในธรรมหรือว่าธรรมปีติ เพียงแต่ว่าเป็นปีติแสดงออกภายนอก นางวิสาขามหาอุบาสิกาสร้างบุพพาราม โดยเฉพาะตัวอาคารคือมิคารมาตุปราสาทเสร็จแล้วก็ปลื้มอกปลื้มใจ แทนที่จะทักษิณาวรรตธรรมดา นางวิสาขาก็รำไปร้องเพลงไป บรรดาพระทั้งหลายก็ว่า "สงสัยว่ามหาอุบาสิกาจะโรคดีกำเริบ ปกติไม่เคยแสดงอาการอย่างนี้" พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่า นางกำลังปีติอยู่ ที่ได้สร้างมหาปราสาทถวายแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา

เถรี
15-01-2015, 14:05
ถาม : ในแง่ของการพิจารณาวิปัสสนาญาณ ตัวนิพพิทาญาณที่เกิดอารมณ์หมอง เศร้า เบื่อหน่าย เราจะต้องกระโดดเข้าฌานไปเลยหรือปล่อยให้เป็นอย่างนั้น ?
ตอบ : ถ้าถึงตรงนั้นควรที่จะแช่รักษาเอาไว้ให้มั่นใจจริง ๆ ก่อน ว่าสิ่งนี้น่าเบื่อน่าหน่าย หลังจากนั้นก็ใช้ปัญญาพิจารณาดู ว่าการที่เรามีชีวิตอยู่ ก็เป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายอย่างนี้ น่าระอาใจอย่างนี้ ถ้าเราสามารถเข้าสู่พระนิพพานได้ในชาตินี้ เป็นการตัดการเวียนว่ายตายเกิดที่นับชาติไม่ถ้วนลงไปได้ การที่เรามีชีวิตอยู่นี่อย่างไรก็ไม่เกิน ๑๐๐ ปี เปรียบกับการเวียนตายเวียนเกิดนับกัปไม่ได้ ก็แค่แว่บเดียวเท่านั้นเอง ทำไมเราจะอยู่ให้ดีไม่ได้

ถ้าใช้ปัญญาต่อก็จะก้าวข้ามไปได้ ไม่อย่างนั้นบางคนก็เบื่อ ๆ ๆ ๆ หาทางออกไม่ได้ ฆ่าตัวตายไปเลยก็มี บางรายกำลังใจตีกลับ จากเบื่อกลายเป็นอยากอีก ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างหลังมากกว่า คือ เบื่อ ๆ อยาก ๆ

ถาม : เวลาเราอยู่เฉย ๆ เราก็ไม่รู้สึก เราก็ไม่เข้าใจ ไม่ได้อารมณ์นั้น แต่พอเราได้อารมณ์นั้นก็ฟุ้งอีก ปัญญาก็ไม่เกิดแล้วค่ะ แค่รู้สึกได้เท่านั้นเอง ทำอย่างไรถึงจะได้ในปัญญานั้นเลยคะ ?
ตอบ : สติกับสมาธิ ถ้าสติกับสมาธิทรงตัว ปัญญาก็จะเห็นชัดเจน จิตใจยอมรับได้ง่าย สรุปลงที่สมาธิ ถ้าสมาธิทรงตัวตั้งมั่น สติก็แหลมคม ปัญญาก็ว่องไว "รู้เท่าเอาไว้กัน รู้ทันเอาไว้แก้ รู้แท้เอาไว้ทั้งแก้ทั้งกัน" ต้องมองทะลุไปให้ได้

อย่างเช่นว่า เขามาร้องเพลงพระคุณที่สาม ก็นั่งน้ำตาไหล โอหนอ..การเวียนว่ายตายเกิดเช่นนี้ เสียน้ำตาชาติละไม่กี่หยด กว่าจะถึงพระนิพพานรวมแล้วน้ำตามากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่เสียอีก เรื่องที่มีโทษก็กลายเป็นมีประโยชน์ไปได้

ถาม : แต่ยิ่งทำให้เห็นทุกข์หนักเข้าไปอีกสิครับ ?
ตอบ : เห็นทุกข์ก็ดีแล้ว ไม่เห็นทุกข์แล้วจะเบื่อหรือ ? พอเห็นทุกข์เห็นโทษ ก็เกิดความเบื่อหน่าย อยากจะหนีไปให้พ้น ตะเกียกตะกายหาช่องทางที่จะหนี

ถาม : แล้วรู้ก็ไม่ช่วยอะไรด้วยเพราะยังไม่เกิดปัญญา ?
ตอบ : รู้แล้วทำให้เครียดหนักขึ้น รู้ ๆ อยู่แต่ทำไมทำไม่ได้ กำลังไม่พอ ก็เหมือนคนขาสั้นจะข้ามกำแพง เขย่งเท่าไรก็ข้ามไม่ได้สักที ต้องพยายามต่อขาขึ้นไปอีกหน่อย สร้างสติ สมาธิ ปัญญา เพิ่มขึ้นอีก เดี๋ยวก็ข้ามไปได้เอง

เถรี
16-01-2015, 12:16
ถาม : การเดินจงกรมมีจุดมุ่งหมายเพื่อสติปัฏฐาน ?
ตอบ : เอาสติอยู่กับการเคลื่อนไหว ถ้าเราเอาสติอยู่กับปัจจุบัน ไม่ส่งไปในอดีต ไม่ส่งไปในอนาคต ความฟุ้งซ่านที่ก่อให้เกิดทุกข์ก็ไม่มี รัก โลภ โกรธ หลง ก็ไม่เกิด ถ้าความชั่วใหม่ไม่เกิด ความชั่วเก่าโดนการพยายามขัดพยายามเกลา ท้ายสุดก็หมดไป เพียงแต่ว่าเราจะเป็นประเภทเดินไปฟุ้งไปหรือเปล่า ?

ถาม : แล้วตรงจุดนั้นต่างกันอย่างไรกับสมาธิครับ ?
ตอบ : ก็คือการสร้างสมาธิ แต่เป็นสมาธิในการเคลื่อนไหว ถ้าทำได้ก็จะมั่นคงกว่าการนั่ง เพราะว่าการนั่งนิ่ง ๆ ถ้าเราเคลื่อนไหว สมาธิอาจจะหลุดจะถอนไปได้ แต่ถ้าสมาธิเกิดในขณะที่เคลื่อนไหว ก็จะมั่นคงมากกว่า

ถาม : แสดงว่าสติกับสมาธิต้องควบคู่กันไป ?
ตอบ : เป็นของที่ทิ้งกันไม่ได้ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ต้องไปด้วยกัน ถ้าไม่มีศรัทธาก็ไม่เกิดวิริยะ ก็คือไม่อยากที่จะพากเพียรไปทำ พากเพียรทำไป สติก็ค่อย ๆ สมบูรณ์ขึ้น สมาธิก็ทรงตัวมากขึ้น ปัญญาก็จะเกิดขึ้น

ถาม : ถ้าอย่างนั้นการที่เราขี้เกียจปฏิบัติเป็นเพราะศรัทธาไม่พอ ?
ตอบ : แน่นอน..ศรัทธาไม่พอไปจนถึงปัญญาไม่พอ สรุปแล้วไม่พอทุกตัวตั้งแต่ต้นยันปลายเลย

เถรี
16-01-2015, 12:17
ถาม : ตัวสมาธิทำให้มีสติ แล้วสติทำให้แยกแยะได้ระหว่างที่เราพิจารณาอยู่ ?
ตอบ : สติทำให้รู้ยั้งคิด เมื่อฉุกคิดขึ้นมาก็ไม่ไหลตามกระแสกิเลสไป การจะไม่ไหลตามกระแสกิเลส ต้องมีสมาธิเป็นตัวช่วยรั้งไว้ ไม่อย่างนั้นกำลังของเราจะไม่พอในการยับยั้งชั่งใจ ในเมื่อกำลังของสมาธิเพียงพอ ปัญญาเกิด ก็สามารถที่จะตัดจะหั่นอะไรได้ง่ายขึ้น

ถาม : แล้วเวลาที่เราเคลื่อนไหว สมาธิหลุดเพราะเราไหลไปตามกิริยานั้นถูกไหมคะ ?
ตอบ : ต้องเรียกว่าเราสร้างสมาธิจากการเคลื่อนไหว แต่คราวนี้พวกเราพอถึงเวลาสมาธิทรงตัวแล้ว เรารักษากำลังใจไม่เป็น พอไปเคลื่อนไหวก็เลยหลุดหมด จึงต้องไปเริ่มต้นใหม่จากการเคลื่อนไหว จนกลายเป็นสมาธิอีกทีหนึ่ง

ถาม : เคยลองหลับตาเดิน ?
ตอบ : ถ้าหลับตาเดินเดี๋ยวก็ร่วง..!

เถรี
16-01-2015, 12:27
พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของการสร้างพระขรรค์อาตมาจำขึ้นใจเลย ถ้าบุญไม่ถึงบารมีไม่ถึงอุปสรรคเยอะอย่าบอกใคร ขนาดหลวงพี่นิลท่านทุ่มทั้งชีวิต ตามจี้ติดอยู่ตลอดเวลายังปาเข้าไปปีกว่าถึงจะเสร็จ บางทีช่าง ๒-๓ คนป่วยพร้อมกันหมด ป่วยแบบไม่มีสาเหตุ ทำงานไม่ได้ ต้องไปบวงสรวง ต้องไปขออนุญาตกันรอบแล้วรอบเล่า เป็นอะไรที่โหดสุด ๆ ช่างที่เคยทำงานร่วมกันมาดี ๆ รู้ใจกัน แต่ถึงเวลาแล้วเบี้ยวงานเฉยเลยก็มี..!”

เถรี
16-01-2015, 18:11
พระอาจารย์พูดกับโยมคนหนึ่งที่ไม่ได้มาร่วมงานสวดพระคาถาเงินล้านว่า "นี่..คนนี้ขี้เกียจ อยู่ที่บ้านใช้วิธีส่งใจมาแทน"

ถาม : หนูอยู่ที่บ้านตรวจสอบว่าการถ่ายทอดทางเว็บเป็นอย่างไรบ้างค่ะ ตอนหนูขึ้นไปก็สงสัยว่าหายไปไหนกันหมด ?
ตอบ : อาตมาขึ้นไปบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ อ้าว..ท่านปู่ก็ไม่อยู่ ท่านย่าก็ไม่อยู่ พี่ ๆ ก็หายหมด..ไปไหนกัน ? ปรากฏว่าเทวดาท่านมาตาม บอกว่าวันนี้ประชุมเทวสภาครับ ต้องตามไปยันเทวสภาโน่น

เถรี
16-01-2015, 18:43
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนที่อาตมายังเป็นฆราวาส พอถึงวันที่ ๓-๔-๕ ธันวาคม จะรักษาศีลแปดถวายในหลวง ๓ วัน พอเป็นทหารแล้ว ต้องถวายความจงรักภักดี มีสวนสนาม มีสาบานธง มีกองเกียรติยศ อาตมาอยู่กองเกียรติยศสองปีซ้อน เวลาแต่งเต็มยศร้อนอย่าบอกใครเลย ต้องซักซ้อมเป็นเดือน ๆ กว่าจะพร้อมเพรียงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน"

เถรี
17-01-2015, 11:40
ถาม : ช่วยคนแค่ไหนถึงจะเรียกว่าไม่ล่วงกรรมใครคะ ?
ตอบ : เอาแค่ไม่เกินความสามารถของเราแล้วกัน จะอย่างไรลองว่าช่วยเขาก็ล่วงกรรมอยู่แล้ว

ถาม : แล้วการถวายพระราชกุศลให้ในหลวง ?
ตอบ : ถวายไปเถอะ หลายคนช่วยกันก็เหมือนกับมดแบกช้าง ถึงอย่างไรก็แบกไปจนได้แหละ หลายคนช่วยกันงานหนักก็กลายเป็นเบา

เถรี
17-01-2015, 11:52
ถาม : ชื่นใจว่าศิษย์ได้ดีเป็นมานะไหมคะ ?
ตอบ : มุทิตาจิต ด้วยความปรารถนาดี

ถาม : ความคาดหวังถือว่าเป็นมานะ ?
ตอบ : ทำก็ต้องหวัง อย่างน้อย ๆ สิ่งที่หวังก็ยังเป็นคุณความดีอยู่ แม้ว่ายังเป็นคุณความดีเบื้องต้นก็ขอให้ได้ทำ ไปนึกถึงครูสมัยก่อน ถึงเวลาลูกศิษย์เรียนอ่อน ก็ต้องบังคับให้มาเรียนในวันหยุด แล้วครูก็ต้องเลี้ยงข้าวด้วย เงินก็ไม่ได้สักบาท เพราะสมัยนั้นเขาไม่เรียกว่ากวดวิชาอะไรทั้งนั้น จนกระทั่งอาตมามาเรียนมัธยมแล้ว เขาถึงได้มีการเรียนทไวไลท์ อาตมาก็คิดว่าอะไร ไม่เข้าใจ ตอนหลังจึงรู้ว่าเป็นการเรียนภาคค่ำนอกเวลา

โรงเรียนกวดวิชาเพิ่งจะมานิยมสมัยหลังนี่เอง แต่พอมีแล้วกลายเป็นว่ามีความต่างอย่างชัดเจน เพราะว่าอาจารย์ของพวกโรงเรียนกวดวิชา ส่วนใหญ่สามารถทำของยากให้ง่าย ในเมื่อทำของยากให้ง่าย เด็กเรียนแล้วเข้าใจง่าย ก็ไปกวดวิชากันใหญ่ อย่างของเกาหลีใต้มีอาจารย์ท่านหนึ่ง มีลูกศิษย์ทั่วประเทศเป็นแสน นั่นต้องกวดวิชาผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์

เถรี
17-01-2015, 12:43
พระอาจารย์เล่าเรื่องตะปิ้งให้ฟังว่า "ในงานเทศน์ ๒ ธรรมมาสน์ โยมเขาส่งคำถามมา ให้หลวงพ่อวัดท่าซุงถามต่อว่า “เอาตะปิ้งไปหล่อพระได้บุญหรือเปล่า ?” หลวงปู่พระครูโว (พระครูโวทานธรรมาจารย์ วัดดาวดึงสาวาส) ท่านก็ตอบว่า “แล้วเขาไหว้เอ็งได้บุญหรือเปล่า ?” หลวงพ่อท่านก็ว่า “อ้าว..ผมเป็นพระสงฆ์ ไหว้ผมก็ต้องได้บุญสิ” หลวงปู่ท่านว่า “เออ..นั่นแหละ ตะปิ้งหล่อเป็นพระพุทธ ไหว้ก็ต้องได้บุญ” หลวงพ่อท่านก็ว่า “ได้บุญอย่างไร ? ตะปิ้งมันคาดตรงนั้นของเด็ก ?” หลวงปู่พระครูโวท่านตอบว่า “ทีเอ็งยังออกมาจากตรงนั้นทั้งตัวเลย..!”

เถรี
17-01-2015, 13:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครรู้จักเด็กหญิงต้นข้าวไหม ? เด็กหญิงต้นข้าว ยอดระบำ ตายไปแล้ว คุณวีระศักดิ์ ยอดระบำ (พ่อของต้นข้าว) ไปใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ทำนาทำไร่ ปลูกผักไม่ใช้สารพิษ แล้วก็เลี้ยงลูกมาด้วยวิธีให้อยู่กับธรรมชาติ เจ็บไข้ได้ป่วยก็ปล่อยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันแล้วหายเอง พอเขาทำตัวลักษณะอย่างนั้นแล้วข่าวดังออกไป บรรดาเพื่อน ๆ จากกรุงเทพฯ ขึ้นไปเยี่ยม เลยเอาโรคไปติดหลาน ทำเอาต้นข้าวตายเลย เพราะว่าพ่อเขาใช้วิธีปล่อยให้หายเอง ให้ร่างกายสร้างภูมิเอง ก่อนหน้านี้ก็ทำได้มาตลอด พอไปเจอเชื้อหนัก ๆ เข้าก็ไปเลย

เสียดายมาก ต้นข้าวกำลังรู้ความเลย โตมาได้ ๕-๖ ขวบแล้ว แม่สอนหนังสืออยู่กับบ้าน ไม่ได้ไปเรียนหนังสือกับเขาหรอก เพราะบ้านอยู่ไกลมาก กว่าจะออกแม่น้ำแหม่นอโกร กว่าจะถึงหมู่บ้านข้างนอก ระยะทางไกลมาก เวลาเพื่อน ๆ จะเข้าไป ถ้าหน้าฝนก็ต้องไปเรือ ถ้าหน้าแล้งก็ต้องไปรถขับเคลื่อน ๔ ล้อ

คุณวีระศักดิ์พยายามทำตัวให้เป็นตัวอย่างให้กับคนอื่น ในลักษณะของเศรษฐกิจพอเพียง ปลูกพืชอาหารของตัวเอง ปลูกข้าวของตัวเอง สีข้าวเอง ใช้เครื่องมือสีข้าวแบบของกะเหรี่ยง กะเหรี่ยงเวลาทำเครื่องมือสีข้าวเขาจะตัดไม้มาท่อนหนึ่ง แล้วก็บากรอยทำเป็นตัวฟันเฟือง ถึงเวลาก็เจาะรูให้ข้าวไหลลงไปทีละน้อย ชักให้หมุนแล้วเฟืองก็ขบเปลือกข้าวแตกได้ ถ้าใช้ครกตำก็ลำบากหน่อย ใช้สีเอาก็ง่ายหน่อย แต่ก็เหนื่อยพอกัน เขาเองอยู่กันอย่างมีความสุขกันพ่อแม่ลูก แต่ว่าเพื่อน ๆ ไปเยี่ยม เอาโรคไปติดหลาน

เขาก็พยายามที่จะสอนลูก ๆ ให้รู้ ให้กระดาษไปก็วาดรูปโน่นวาดรูปนี่ ต้นข้าวยังบอกแม่ว่า “ต้นข้าวจะไปเป็นดาวบนท้องฟ้า” เลยไปเป็นจริง ๆ ไม่รู้น้องชายเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าจำไม่ผิดน้องชายต้นข้าวชื่อต้นโพธิ์ คุณวีระศักดิ์เขียนหนังสือดี ๆ หลายเล่ม เช่น คืนสู่ขุนเขาและสายน้ำ ใช้นามปากกาว่า คืนญางเดิม คำว่าญางตัวนี้ก็คือกะเหรี่ยง กลับคืนเป็นกะเหรี่ยงดั้งเดิม ตอนช่วงที่เขียนพวกเรื่องสั้นลงคอลัมน์ต่าง ๆ บางทีก็ใช้ชื่อจริง วีระศักดิ์ ยอดระบำ ลองไปค้นหาข้อมูลดูว่าแกไปถึงไหนแล้ว

คุณวีระศักดิ์ใช้ชีวิตลักษณะไม่ต้องมีเงินก็อยู่ได้ มีข้าวเปลือกตุนเข้ายุ้งก็สบายแล้ว ที่เหลือก็ปลูกพืชอาหารอื่น ๆ ปลูกฟักทอง ปลูกฟักเขียว ปลูกข้าวโพด ปลูกกระเจี๊ยบเต็มไร่ไปหมด เวลาลุงป้าน้าอาไป ต้นข้าวก็พาไปบอกว่าต้นไหนกินได้ ต้นไหนกินไม่ได้ เป็นเด็กที่ฉลาดมากเลย แปลกมาก..เด็ก ๆ ที่อยู่กับธรรมชาติแบบนั้นอย่างพวกเด็กกะเหรี่ยง เด็กม้ง แต่ละคนแก้มแดงทั้งนั้น เหมือนอย่างกับอาหารดี อากาศดี

มีหนังสือของเด็กหญิงต้นข้าวอยู่ ลอง ๆ ไปหามาอ่านดู เขาเขียนถึงลูก ถ้าต้นข้าวยังอยู่ก็น่าจะ ๑๐ กว่าขวบ ต้องบอกว่าเป็นการทดลองที่ใช้ชีวิตตัวเองและครอบครัวเป็นเดิมพัน ว่าจะอยู่ได้ไหม ? อยู่กับธรรมชาติ อยู่แบบไม่พึ่งพาเงินทอง ถึงเวลาพืชผลเหลือก็เอาไปขาย แลกเกลือแลกน้ำมันมาใช้เท่านั้น ส่วนอื่น ๆ เขาปลูกเองในไร่"

http://www.gbookshop.com/images/stories/virtuemart/product/p1060814.jpg

เถรี
17-01-2015, 13:05
"พอคุยเรื่องนี้แล้วนึกถึงท่านโมเช่ ท่านโมเช่ไม่มีอะไรเลย มีแต่ตัวเปล่า แต่ละปีนี่เลี้ยงพระเป็นสิบ ๆ รูป ตอนนี้ยังบวชอยู่ ตอนช่วงนั้นท่านโมเช่ทำตัวเหมือนตาฤๅษี ถึงเวลาก็ไปสร้างกระต๊อบอยู่ ขนาดบ้านตะเพินคี่อยู่สุดหล้าฟ้าเขียวแล้ว แกยังข้ามเขาไปอีก ๓ ลูก ไปอยู่กลางป่าที่มีน้ำซับอยู่ พระธุดงค์ผ่านไปก็ติดใจ ไปอาศัยอยู่กับแก แกก็พาไปภาวนาอยู่ถ้ำโน้นถ้ำนี้บ้าง ในรัศมีประมาณ ๑๐-๑๒ กิโลเมตร แกเดินไปส่งข้าวทุกที่เลย

บางทีข้าวหมด อาตมาก็เอาเงินให้บอกว่า “โมเช่..ไปซื้อข้าวในหมู่บ้านมาสัก ๒ ถังสิ” แกบอกว่า “ไม่ต้องหรอก” แล้วก็คว้ากระสอบไป เดี๋ยวเดียวก็แบกมาแล้ว ไปขอเขาเฉย ๆ ชาวบ้านเขาทำบุญให้กับแกเหมือนอย่างกับทำบุญกับพระ เพราะรู้ว่าส่วนใหญ่แกเอามาเลี้ยงพระ เหลือเชื่อจริง ๆ ไม่ใช้เงินไม่ใช้ทองอะไรเลย สามารถเลี้ยงพระได้เป็นสิบ ๆ รูป

ที่ขำ ๆ ก็คือ พออาตมาเอาของสมัยใหม่เข้าไป แกไม่รู้จัก แต่แกเป็นคนช่างซักถาม อันนี้กินอย่างไร ? ทำอย่างไร ? เห็นพวกเราเดี๋ยวก็กินพวกอาหารผง ต้มบะหมี่ พอไปเจอผงซักฟอกซองเล็กก็ถาม “อันนี้กินอย่างไร ?” ฮ่วย..อันนี้เขาไว้ซักผ้า..!"

เถรี
17-01-2015, 19:08
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมายืนยันว่าการเปลี่ยนชื่อไม่มีประโยชน์ เปลี่ยนความประพฤติดีที่สุด เปลี่ยนตั้งร้อยชื่อพันชื่อ แต่ถ้าความประพฤติยังแย่อยู่เหมือนเดิม ก็หาเรื่องดีใส่ตัวไม่ได้หรอก แล้วยิ่งเปลี่ยนเสียจนอ่านไม่ออก ถ้าถือตามแบบของอาตมา คือ ถ้าชื่ออ่านยากขนาดนี้แล้วชีวิตจะสะดวกง่ายดายได้อย่างไร ?"

เถรี
17-01-2015, 19:10
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเราส่วนหนึ่งที่อ้วนกันมาก เพราะไปกินอาหารตามอย่างฝรั่ง ฝรั่งเขาอยู่ในพื้นที่หนาว ต้องการอาหารที่มีแคลอรี่สูง เพื่อไปเผชิญกับความหนาว บ้านเราอยู่เมืองร้อน ไม่ได้ต้องการอาหารแคลอรี่สูง เมื่อไปกินตามอย่างเขา ร่างกายใช้ไม่หมดเก็บตุนไว้ ก็ต้องอ้วนเป็นธรรมดา

เดี๋ยวนี้พวกขนมนมเนยต่าง ๆ ตลอดจนไอศกรีมเยอะแยะไปหมด เจอพิซซ่าขอบชีสถาดเดียวก็หน้ามืดแล้ว อาตมาแตะไม่ได้เลย เพราะไตรกลีเซอร์ไรด์สูง กินเข้าไปหน่อยเดียวก็ความดันขึ้น เท่ากับบังคับว่า ของพวกนี้มีสิทธิ์กินเพื่อรู้รสเท่านั้น

เรื่องของวัฒนธรรมมีการส่งผ่านกันเป็นปกติ แต่การรับวัฒนธรรมเข้ามา ถ้าจะให้เกิดประโยชน์ก็ต้องดูว่า เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศ ตลอดจนกระทั่งจารีตประเพณีของเราหรือไม่ ไม่ใช่ประเภทถึงเวลาก็รับเอาวัฒนธรรมต่างด้าวเข้ามา รับเข้ามา ๆ

ลักษณะของการครอบงำทางวัฒนธรรมเกิดขึ้นในช่วงสงครามเย็น ที่มีการประจัญหน้ากันระหว่างโลกเสรีกับค่ายคอมมิวนิสต์ ก็ต้องมีการโฆษณาว่าโลกเสรีมีชีวิตความเป็นอยู่สะดวกสบายแบบไหน ก็เลยส่งผ่านบรรดาวัฒนธรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน การดนตรี ตลอดจนกระทั่งการแต่งกาย ทำเอาคนรุ่นเก่าเสียความรู้สึก เพราะว่ารับเข้ามาโดยไม่ได้ยั้งคิด คิดว่าเป็นวัฒนธรรมของผู้ที่เจริญแล้ว

หารู้ไม่ว่าส่วนหนึ่งเป็นการโฆษณาชวนเชื่อเต็ม ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็มีการไหลตามกระแสเขาไป ทั้ง ๆ ที่สิ่งดีที่สุดที่บรรพบุรุษเรามีให้ไว้อยู่แล้ว อย่างเช่นเรื่องพระพุทธศาสนา เราก็ทอดทิ้งแล้วไปไขว่คว้าเอาทุนนิยมเข้ามาแทน"

เถรี
17-01-2015, 19:13
"ทุกวันนี้ต่างประเทศเขาเห็นแล้วว่าทุนนิยมไปไม่รอด โดยเฉพาะเรื่องของการลงทุนที่ไม่ก่อประโยชน์อย่างเรื่องของตลาดหุ้น เป็นต้น ในเมื่อไปไม่รอดก็ต้องหาที่พึ่งพิงทางใจ จึงหันมาปฏิบัติธรรมกันมาก น่าเสียดายที่บ้านเมืองเรามีหลักธรรมดีอยู่แล้ว แต่ว่าไปไขว่คว้าทุนนิยม คว้าความเจริญที่คนอื่นเขาเบื่อหน่ายกันหมดแล้ว กำลังทอดทิ้งแล้ว เห็นเป็นสมบัติล้ำค่า เหมือนไก่ได้พลอย ไม่รู้คุณค่าของพลอย ไปเอาข้าวเปลือกดีกว่า

น่าจะเกิน ๒๐ ปีแล้วที่อาตมาเห็นนิมิตกองมหาสมบัติสูงท่วมเป็นภูเขาเลากา แล้วก็มีประชาชนจำนวนมหาศาลไปขุดคุ้ยหาสมบัติวิเศษกัน โดยเฉพาะฝรั่งแบกเป้มาเยอะเป็นพิเศษ เห็นแก้วแหวนเงินทองเต็มไปหมด คุ้ยกระจุยกระจายแต่ไม่เอาอะไรไปเลย ก็เกิดความสงสัยจึงถามว่า “หาอะไรกัน ?” เขาบอกว่าเขาหาแก้ววิเศษ ๓ ดวง

อาตมาเลยคิดว่าในเมื่อเขาหาแก้ววิเศษ ๓ ดวง ก็ลองหาดูกับเขาบ้าง เผื่อว่าจะเจอ บรรดาสมบัติอื่น ๆ ของเขาอาตมาก็ไม่สนใจเหมือนกัน คุ้ย ๆ ไม่กี่ทีก็เจอเข้าพอดี พอเจอเข้าก็รีบตะครุบเก็บแต่..ไม่ทัน รัศมีดวงแก้วสว่างออกไปให้คนเห็นเสียก่อน ทีนี้คนก็วิ่งรุมเข้ามาทั่วเลย ต่อจากนั้นก็จบ เพราะว่านิมิตขาดลงแค่นั้น อนาคตเป็นอย่างไรก็เรื่องของคุณเถอะ..!"

เถรี
17-01-2015, 19:15
"ดังนั้น..ในเมื่อพวกเรามีดวงแก้ววิเศษอยู่แล้ว แต่กลับไปละทิ้ง กลายเป็นไปเลือกหาเอาสิ่งที่มีโทษมากกว่าประโยชน์ ในหลวงของเราพยายามใช้หลักธรรมในการปกครองประเทศ พระองค์ท่านดัดแปลงเป็นพระบรมราโชวาทตามวาระต่าง ๆ โดยเฉพาะแนวทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงที่ให้ไว้ แต่พวกเราดันไปเชื่อบรรดานักเศรษฐศาสตร์ที่เรียนตำราฝรั่งมา ตำราฝรั่งของเขานี่ต้องเป็นหนี้ถึงจะถือว่ามีเครดิต เครดิตก็บอกตรง ๆ ว่าหนี้ แล้วจะดีได้อย่างไร ? โบราณของเราเขาสู้แค่หน้าตัก

มาจากเมืองจีนมีแค่เสื่อผืนหมอนใบ เก็บหอมรอมริบได้เงินก้อนหนึ่งก็ลงทุนทำโน่นทำนี่ ถ้าไม่เกิดความเจริญงอกงามขึ้นมา ต่อให้เจ๊งหมดตัวก็ไม่เป็นหนี้ใคร แต่สมัยนี้ยังไม่ทันจะทำอะไรเลย ก็เริ่มต้นด้วยการกู้หนี้ยืมสิน ต้องหาหลักทรัพย์ไปประกัน ถึงเวลาเจ๊งหมดตัวขึ้นมาหนี้ก้อนใหญ่รออยู่ ไม่สามารถที่จะส่งหนี้ได้ เขาก็ยึดหลักทรัพย์ของเราไป

จากที่ว่ามาเปรียบเทียบกับโบราณจะเห็นชัดเลยว่า การดำเนินชีวิตของพวกเราประมาทมาก ส่วนใหญ่ไปคิดในลักษณะหนึ่งบวกหนึ่งต้องเป็นสอง คิดว่าถ้าเราลงทุนแค่นี้ ถึงเวลาค้าขายในราคานี้ ได้กำไรเท่านี้ วันหนึ่งได้เท่านี้ เดือนหนึ่งได้เท่านี้ ปีหนึ่งต้องได้เท่านี้ โดยไม่ได้คิดว่าถ้าขายไม่ได้จะเกิดอะไรขึ้น

ดังนั้น..การลงทุนทุกอย่าง ถ้าเราจะลงทุนเราต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า ถ้าเกิดข้อผิดพลาดแล้วเราจะแก้ไขอย่างไร ? ถ้าตอบตัวเองได้ก็ทำไปเถอะ ตอบไม่ได้นี่อย่าไปแตะเลย ถ้าไม่ใช่บุญเก่าดีจริง ๆ ไปไม่รอดหรอก ปีที่ผ่านมาก็เห็นที่ดาราเขาลงทุนร่วมกัน แล้วทะเลาะเบาะแว้งกันชนิดผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ ก็ลักษณะเดียวกัน พอกำไรขึ้นมาก็จะเอา พอขาดทุนก็ให้คนอื่นรับไป จะตีกันตายตรงนั้น"

เถรี
17-01-2015, 19:20
"เรื่องพวกนี้ก็อยู่ในลักษณะว่าอยู่อย่างมีสติ อยู่อย่างพอเพียง ไม่ใช่กินบะหมี่สำเร็จรูปทุกวันแล้วพอเพียง พอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาจากหลักสันโดษของพระพุทธเจ้า ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามที่ได้มา ยถาพลสันโดษ ยินดีตามกำลังความสามารถที่หาได้มา ยถาสารุปปสันโดษ ยินดีตามฐานะของตน ถ้ามีเงินเป็นหมื่นล้าน พันล้าน จะกินอย่างไรก็กินไปเถอะ ไม่มีใครเขาว่า

ในหลวงถึงได้ยืนยันหนักหนาว่า เศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่ต้องจน ท่านบอกว่าเศรษฐกิจพอเพียงก็รวยได้ แต่ว่าตนเองต้องยืนหยัดได้ก่อน สามารถพึ่งพาตนเองได้ก่อน เหลือจากนั้นแล้วค่อยเอาไปขายเอาไปแจก แบบไหนก็แล้วแต่เรา

อย่าลืมว่ายถาพลสันโดษ ยินดีตามกำลังที่ตนหาได้ คนมีความรู้สูง มีต้นทุนสูง ลงทุนมากได้กำไรมาก ก็เป็นเรื่องปกติ แต่ว่าพวกเราจะเสียท่าอยู่อย่างหนึ่งก็คือว่า พอมีเงินอยู่ในมือมักจะคิดการใหญ่ เก็บเงินได้แสนจะลงทุนอันนี้ พอเงินเกินแสนเราขยับไปลงทุนอันนั้น พอเป็นล้านจะลงทุนอย่างโน้นดีกว่า กลายเป็นว่าช่องทางกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ความเสี่ยงก็สูงขึ้น อันนี้จริง ๆ แล้วคือแฝงไว้ด้วยความโลภ ถ้าไม่โลภก็ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม คงเข้าวัดบวชกันหมดแล้ว

ฉะนั้น..ต้องยินดีตามที่ได้มา ยินดีตามกำลังของตนที่หาได้ ยินดีตามสภาพฐานะของตน ถ้าขายหุ้นได้จะบูชามีดหมอเพชราวุธก็ไม่เป็นไร ขายหุ้นไม่ได้ก็ทนกินบะหมี่สำเร็จรูปเอา..!"

เถรี
17-01-2015, 19:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีดหมอเพชราวุธที่ราคาสูงเพราะว่า แค่ตะกรุดมหาสะท้อนที่ด้ามก็ราคาครึ่งหนึ่งแล้ว ยังมีตะกรุดสามกษัตริย์ ทอง นาก เงิน อีก ๓ ดอกที่สันมีด ตัวมีดยังเป็นโลหะพิเศษ ด้ามมีดก็เป็นไม้ที่ตอนแรกผิดกฎหมายคือไม้พะยูง แต่ว่าเป็นเรื่องแปลก พวกไม้หรืองาช้างผิดกฎหมาย แต่ทำเป็นของใช้ขึ้นมาแล้วเขาไม่ว่าอะไร งาช้างก็เหมือนกัน ถ้าทำเป็นของใช้ขึ้นมาก็แล้วกันไป ถ้าเป็นงาอยู่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณไปล่ามาหรือเปล่า เป็นกฎหมายที่ลักลั่นอย่างไรพิกล จะเรียกว่าเป็นการผ่อนปรนให้ก็ได้ แต่อาตมาเองก็พอมีช่องทางอยู่ เพราะอย่างไรก็สามารถซื้อจากที่เขาโค่นไว้แล้วได้ ต่อให้ไม่ซื้อเขาก็โค่นไปแล้ว

ไม้พะยูงที่มีราคาแพงเพราะมีเท่าไรประเทศจีนซื้อไม่อั้น เนื่องจากว่าเขาไปขุดเจอในสุสาน ที่ผ่านระยะเวลายาวนานมาหลายร้อยปี เครื่องใช้ทุกอย่างที่ทำด้วยไม้พะยูงยังเป็นปกติอยู่ ไม่มีอะไรชำรุดเสียหาย ไม้พะยูงบางทีก็เรียกว่าไม้จันทร์ม่วง เพราะยิ่งใช้ยิ่งดำ ดำขึ้นไปเรื่อย ๆ ถ้าหากว่าขัด ๆ ถู ๆ อยู่ทุกวันจะสวยเป็นพิเศษ"

เถรี
17-01-2015, 19:30
"ปรากฏว่าการทำมีดหมอเพชราวุธครั้งนี้ เล่นเอาโลหะหมดประเทศไทยไปเลย เพราะว่าตัวมีดต้องหนาพอที่จะฝังตะกรุดที่สันได้ แล้วเหล็กที่หนาขนาดนั้นเขาก็ไม่ค่อยสั่งเข้ามาเพราะว่าราคาสูง ในเมื่อเป็นเหล็กพิเศษราคาสูง ไม่มีการสั่งบ่อย ท้ายสุดโรงงานก็เลิกสายการผลิตไป ดังนั้น..เหล็กที่ตกค้างในประเทศไทยโดนอาตมากว้านซื้อมาหมดแล้ว เหลือแต่เศษเล็ก ๆ เท่านั้น แล้วก็ทำมีดหมอได้หน่อยเดียวอย่างที่เห็น เกือบจะตีกันตายใช่ไหม ? ชั่วโมงกว่า ๆ ก็จองหมดแล้ว ดังนั้น..ให้ไปหาของที่เราชอบไปเอง ชอบใจมีดแบบไหนวันที่ ๒๔ มกราคมนี้ก็เอาไปเข้าพิธี บรรจุเข้าหีบเข้าห่อให้ดี จะได้ไม่สูญหาย ถึงเวลาฝากก็ง่ายรับคืนก็ง่าย

อย่าเอาอย่างคุณยายทองชุบนะ ให้ลูกหลานฝากมีดไปเข้าพิธี เขียนติดไว้เลยว่า ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๓ เพิ่งจะรับกลับไปเมื่อ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ นี่เอง สี่ปีกว่าเกือบห้าปีแล้ว พระเราก็เวรกรรมจริง ๆ ศีลพระบังคับไว้เลยว่า ถ้าหากเขาลืมของไว้ในวัด ต้องเก็บไว้จนกว่าเจ้าของมารับคืน สมัยที่อาตมาอยู่วัดท่าซุง จะมีตู้พิพิธภัณฑ์ของหายเลย ถึงเวลาทำความสะอาดห้องพักต่าง ๆ ก็มีรองเท้าบ้าง กระเป๋าถือบ้าง เยอะแยะไปหมด ต้องไปติดป้ายว่า เก็บมาจากห้องไหน เดือนไหน ปีไหน แล้วก็ไม่ค่อยมีใครมาเอาหรอก เพราะอาจจะทิ้งแล้วก็ได้ แต่คราวนี้ศีลพระบังคับไว้ ไม่สามารถที่จะทิ้งได้ ก็ต้องเก็บ ไม่รู้ว่าหลังรุ่นอาตมาแล้ว คนอื่นที่มาเขาช่วยดูแลต่อหรือว่าขนไปชั่งกิโลขายแล้วก็ไม่รู้ ?"

สายท่าขนุน
17-01-2015, 23:08
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครรู้จักเด็กหญิงต้นข้าวไหม ? เด็กหญิงต้นข้าว ยอดระบำ ตายไปแล้ว คุณวีระศักดิ์ ยอดระบำ (พ่อของต้นข้าว) ไปใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ทำนาทำไร่ ปลูกผักไม่ใช้สารพิษ แล้วก็เลี้ยงลูกมาด้วยวิธีให้อยู่กับธรรมชาติ เจ็บไข้ได้ป่วยก็ปล่อยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันแล้วหายเอง พอเขาทำตัวลักษณะอย่างนั้นแล้วข่าวดังออกไป บรรดาเพื่อน ๆ จากกรุงเทพฯ ขึ้นไปเยี่ยม เลยเอาโรคไปติดหลาน ทำเอาต้นข้าวตายเลย เพราะว่าพ่อเขาใช้วิธีปล่อยให้หายเอง ให้ร่างกายสร้างภูมิเอง ก่อนหน้านี้ก็ทำได้มาตลอด พอไปเจอเชื้อหนัก ๆ เข้าก็ไปเลย
...
เขาก็พยายามที่จะสอนลูก ๆ ให้รู้ ให้กระดาษไปก็วาดรูปโน่นวาดรูปนี่ ต้นข้าวยังบอกแม่ว่า “ต้นข้าวจะไปเป็นดาวบนท้องฟ้า” เลยไปเป็นจริง ๆ ไม่รู้น้องชายเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าจำไม่ผิดน้องชายต้นข้าวชื่อต้นโพธิ์ คุณวีระศักดิ์เขียนหนังสือดี ๆ หลายเล่ม เช่น คืนสู่ขุนเขาและสายน้ำ ใช้นามปากกาว่า คืนญางเดิม คำว่าญางตัวนี้ก็คือกะเหรี่ยง กลับคืนเป็นกะเหรี่ยงดั้งเดิม ตอนช่วงที่เขียนพวกเรื่องสั้นลงคอลัมน์ต่าง ๆ บางทีก็ใช้ชื่อจริง วีระศักดิ์ ยอดระบำ ลองไปค้นหาข้อมูลดูว่าแกไปถึงไหนแล้ว


เท่าที่หาข้อมูลเจอ คุณแม่ของน้องต้นข้าว ชื่อคุณกาญจนา พิมล
เขียนหนังสือ ชื่อว่า 'โรงเรียนของต้นข้าว' ด้วย

...และได้นำวิดีโอของน้องต้นข้าวมาฝากไว้ที่นี้ ดังลิงก์นี้
https://www.youtube.com/watch?v=Rg0o7I21BKk

เถรี
18-01-2015, 12:10
พระอาจารย์กล่าวว่า "คณะคุณกิจจา ปัญญาวุฒิธรรม ถวายดอกบัวทองคำ ๓ คู่ ทองคำแท้ ๆ ไม่ใช่ทองชุบ คู่ที่หนึ่งถวายเป็นสมบัติประจำวัดท่าขนุน จะจัดสรรไว้ที่ใดแล้วแต่สังฆามติจะเห็นสมควร คู่ที่สองถวายบูชาพระบรมสารีริกธาตุเขี้ยวแก้ว คู่ที่สามถวายองค์พระพุทธรูปทองคำที่กำลังดำเนินการจัดสร้าง มีเบอร์ติดต่อด้วยว่า ถ้าไม่พอให้ขอเพิ่มได้ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงกับญาติโยมที่ร่วมบุญมาทุกท่าน ขอให้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนานะจ๊ะ"

เถรี
18-01-2015, 18:46
พระอาจารย์กล่าวถึงงานสวดพระคาถาเงินล้านว่า "คราวหน้าเปลี่ยนจากเพลงพระคุณที่สาม เป็นเพลงรางวัลของครูนะจ๊ะ "...ฯลฯ...ให้ศิษย์ถึงฝั่งด้วยแรงหวังแรงศรัทธา เหนื่อยกายและใจทว่า เป็นสุขอยู่ทุกนาที ความภูมิใจมิได้อยู่ในพานไหว้ครู แต่อยู่ในวันที่รู้ว่าศิษย์นั้นไปได้ดี ...ฯลฯ..." แต่ถ้าตอนเรียนอยู่แล้วได้ดีนี่ครูจะโกรธมาก ต้องเรียนจบแล้วไปได้ดี ถ้าเรียนอยู่แล้วได้ D รับรองครูไม่รักแน่เลย ตอนเรียนอยู่ต้องได้ A"

เถรี
18-01-2015, 18:49
พระอาจารย์กล่าวว่า "ประเทศที่เจริญแล้วต้องสนับสนุนการขนส่งสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟบนดิน รถไฟใต้ดิน รถไฟลอยฟ้า รถแท็กซี่ รถเมล์ แต่บ้านเราถ้าไปสนับสนุนอย่างเขา บริษัทต่าง ๆ จะขายรถยนต์ส่วนตัวไม่ได้ ส่วนใหญ่แล้วพวกบรรดาบริษัทใหญ่ ๆ มักจะเป็นผู้สนับสนุนพรรคการเมือง ก็เลยทำให้บ้านเราต้องช่วยเหลือบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ฉะนั้น..ไม่ใช่ไม่รู้ว่าการจะแก้รถติดต้องจัดการขนส่งสาธารณะให้ดี แต่รู้แล้วไม่ทำ เพราะว่าถ้าทำไปแล้วผู้สนับสนุนพรรคจะขายรถกันไม่ได้

ถ้าบ้านเราเป็นอย่างอังกฤษหรือญี่ปุ่น ถึงเวลาจะรู้ว่ารถเมล์เที่ยวนี้จะถึงที่ทำงานเวลาไหน ก็ออกจากบ้านได้ตรงเวลา ไม่ต้องไปเสียเวลาขับรถติดอยู่บนถนน คงต้องรออีกสักระยะหนึ่ง ให้บุคคลที่มีจิตทำงานเพื่อสาธารณะมีมากกว่านี้ ตอนนี้แต่ละฝ่ายแต่ละท่านก็ยังกระจัดกระจายอยู่ตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง ไม่สามารถที่จะรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อสร้างความเจริญให้แก่ประเทศชาติได้

จำหลักการง่าย ๆ ว่า "รถคือลด" ไม่มีเพิ่ม ซื้อเมื่อไรเงินในกระเป๋าของเราก็ลดลงทันที แล้วก็ลดไปเรื่อย ๆ เพราะต้องมีการซ่อมบำรุง ต้องมีการเข้าศูนย์เป็นประจำ ต้องเติมน้ำมัน ต้องดูแลรักษาตามระยะทาง ตามระยะเวลา ฉะนั้น..ถ้าไม่จำเป็นอย่าซื้อรถ ถ้าคิดว่าจำเป็น ก็ให้ซื้อรถที่ท้องตลาดนิยม ราคาไม่ต้องแพง เอาเป็นซิตี้คาร์เล็ก ๆ ก็พอ จะได้ขับกันสะดวกหน่อย

อาตมาชอบใจลูกเจนนี่ ตอนนั้นลูกเจนนี่เพิ่งจะเรียนชั้นประถม คุณแม่ซื้อรถเบนซ์ คุณลูกบ่นจนปากจะฉีกถึงใบหู ว่าแม่ซื้อไปทำไมตั้งหลายล้าน ? ซื้อรถญี่ปุ่นอย่างเก่งก็เจ็ดแปดแสน อย่างดีก็ล้านเศษ ๆ เหลือเงินสดเอาไว้เผื่อใช้ยามฉุกเฉินอีกตั้งหลายล้าน แสดงว่าเด็กรู้จักคิดมากกว่าผู้ใหญ่"

เถรี
18-01-2015, 19:15
พระอาจารย์เล่าว่า "เห็นในหลวงดูฟุตบอลได้ เข้าร้านสะดวกซื้อได้ อาตมาก็รู้สึกดีใจว่าพระพลานามัยแข็งแรงขึ้น โดยเฉพาะในหลวงเชียร์บอล มาเลเซียบอกว่าประเทศไทยโกงความตายชัด ๆ ขนาดตายแล้วยังฟื้นใหม่..!

ต้องเชื่อในเรื่องบารมีของคนเรา แค่ให้ราชเลขาฯ โทรไปเท่านั้น กำลังใจนักฟุตบอลไทยมาท้วมท้นเลย ขนาดโดนนำไป ๓-๐ ก่อน ยังไล่ทันและแซงชนะได้ สรุปว่า คสช. (คืนความสุขให้แก่มวลชนชาวไทย) ดำเนินการโดยคุณซิโก้..!

ดูการคอมเม้นท์ของบรรดาแฟนบอลต่างชาติ หลายคนเขามีน้ำใจเป็นนักกีฬามาก แต่หลายคนพอได้ประตูนำคนไทยไปแล้วโพสต์เยาะเย้ยก็มี ต้องบอกว่าเป็นเรื่องปกติ ส่วนท่านที่มีน้ำใจเป็นนักกีฬา ก็ใช้คำพูดว่า "แล้วแต่ความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า"

เถรี
18-01-2015, 19:32
"ถ้าใครได้ดูคลิปวงดนตรีพระ ที่บรรดาพระภิกษุเล่นดนตรีกันสนุกสนานกลางป่า โปรดทราบว่าเป็นพระพม่านะจ๊ะ ไม่ใช่พระไทย เพลงที่ร้องก็เป็นเพลงพม่าด้วย บังเอิญว่าอาตมาฟังออกบ้าง ไม่ใช่เห็นแล้วรีบด่าไปก่อน พระพม่าเขาทำกันเป็นปกติ วัดของพม่ามีทีมบอลแข่งกับชาวบ้านได้ ฝ่ายหนึ่งก็ขัดเขมรลงสนามกันแดงพรึ่บไปเลย เพราะพระพม่านุ่งสีแดง (https://www.youtube.com/watch?v=YudiyiadtNE)

ไปนึกถึงในหลวงรัชกาลที่ ๔ พระองค์ทรงเปิดกว้างมาก เพราะมีคนไปฟ้องท่านว่า พระตั้งวงเตะตะกร้อกัน ทรงมีรับสั่งว่า "เจ้ากูจะเล่นบ้าง ก็ช่างเจ้ากูเถอะ" เจ้ากูสมัยนั้นก็คือพระทั่วไป ถ้าขรัวตาหมายถึงพระผู้ใหญ่ที่เป็นพระเถระ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเจ้าอาวาส พระองค์ท่านเป็นพระมหากษัตริย์สามารถชี้เป็นชี้ตายได้ แต่เห็นว่าบางทีการที่คนหนุ่มไปโดนจำกัดอยู่ในธรรมวินัยก็เกิดความเครียด ในเมื่อท่านออกกำลังอยู่ในวัดก็ออกไปเถอะ

แต่ถ้าเป็นแบบหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านกับเพื่อนอีกสามองค์ฝึกกรรมฐานกันอยู่ในป่าช้า ท่านใช้วิธีหาบน้ำคนละสองปีบ ขีดเส้นเอาไว้ วิ่งวนรอบป่าช้า เหยียบเส้นเมื่อไรเป็นอันว่าทรงฌานทันที ท่านซ้อมแบบนี้ ปรากฏว่ากำนันเถาไปเจอ ไปฟ้องหลวงปู่ปาน "ท่านใหญ่ พระของท่านหาความสำรวมไม่ได้เลย วิ่งกันอยู่ในป่าช้าโน่น" หลวงปู่ปานก็ถามว่าที่ไหนนะ ? "ในป่าช้า" "แล้วมึงเสือกไปดูเขาทำไม ? เขาอุตส่าห์หลบเข้าไปในป่าช้าแล้ว" กำนันเถาหน้าม้านเลย

ถ้าฝึกซ้อมการทรงฌานจนมีความชำนาญ กำหนดได้เลยว่าจะเอาอย่างไร วสีคือความคล่องตัว ความชำนาญ สามารถกำหนดได้ ถ้ากำหนดได้คล่องขนาดนั้นจะรู้วันตายของตนเอง เพราะกำหนดได้ว่าจะไปเมื่อไร"

เถรี
18-01-2015, 19:41
"เรื่องของสมาธิ ถ้าถามว่าเกี่ยวกับน้ำหนักตัวไหม ? ก็มีส่วนอยู่บ้าง เพราะคนน้ำหนักตัวมาก กระแสเลือดเต็มไปด้วยสารอาหารและไขมัน มักจะทำให้ตั้งสติไม่ค่อยได้ ถึงเวลานั่งสมาธิก็จะง่วงซึม พร้อมที่จะหลับ แต่ถ้าซ้อมสมาธิจนคล่องตัว ก้าวเดียวข้ามพรวดไปเลย ทรงฌานเมื่อไรก็ได้ ถ้าอย่างนั้นน้ำหนักตัวก็ไม่เกี่ยวแล้ว แต่ถ้ายังไม่สามารถที่จะทรงฌานในระดับที่คล่องตัวได้ ก็ยังเกี่ยวอยู่มาก

คนเจริญกรรมฐานใหม่ ๆ จะสังเกตเห็นว่า พอลมหายใจละเอียดจะรู้สึกว่าร้อนขึ้น ๆ ๆ เพราะลมหายใจเริ่มละเอียด การแลกเปลี่ยนออกซิเจนจะดีขึ้น อัตราการเผาผลาญร่างกายก็มากขึ้น เท่ากับว่าช่วยให้น้ำหนักลดลงได้เหมือนกัน"

เถรี
18-01-2015, 19:50
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระปิดตาหลวงปู่เทพโลกอุดร หลวงพ่อนิลท่านถวายมา ส่วนอีกองค์เป็นของหลวงปู่ทองทิพย์ ถามว่าใช่พระปิดตาจันทรคราสหรือเปล่า ? ท่านหัวเราะเลย

ความจริงครูบาอาจารย์ท่านมักจะมอบของดีที่สุดที่ท่านมีอยู่ให้ แต่อาตมาเป็นคนรักษาของไม่อยู่ เดี๋ยวก็ไปอีกแล้ว คือเกิดมาแล้วไม่หวงของ พอถึงเวลาก็เอาไปลงประมูลเกลี้ยง

สมเด็จเสด็จกลับของหลวงปู่สุภา อุตส่าห์ได้หน้ากากทองมาด้วยก็ไปหมดแล้ว ประมูลกันบนรถไฟเลย"

เถรี
18-01-2015, 20:22
พระอาจารย์เล่าเรื่องขำ ๆ ในวงการสงฆ์ให้ฟังว่า "เคยได้ยินคำว่า "บุญมีแต่กรรมบัง" ไหม ? สามเณรไปกิจนิมนต์ ถอดรองเท้าไว้ ไม่ทราบว่าแขกคนไหนใส่รองเท้าของสามเณรไป สามเณรเดินเท้าเปล่ากลับวัด พอดีเดินผ่านร้านขายรองเท้า มีโยมผู้หญิงเห็นเข้า "นิมนต์หน่อยเจ้าค่ะ ดิฉันจะถวายรองเท้า" โชคดีนะ..รองเท้าหายแล้วได้ของใหม่ แต่ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รีบบอกว่า "คุณ ๆ เณรเขาเคร่ง อุตส่าห์ไม่ใส่รองเท้า คุณยังไปถวายให้เป็นอาบัติอีก" เณรอดได้รองเท้าไปเลย

พระอาจารย์มักจะสอนเณรว่า ถ้าญาติโยมนิมนต์ให้รับ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการขัดศรัทธา ทำให้ญาติโยมเสียกำลังใจได้ เณรก็รับรู้ รับทราบ รับปฏิบัติ วันนั้นเณรกำลังท่องหนังสืออยู่ ปรากฏว่ามีเด็กโผล่มาทางหน้าต่าง "เณร ๆ ว่างไหมครับ ?" เณรบอกว่า "กำลังท่องหนังสืออยู่" "ถ้าไม่ได้ทำอะไรนิมนต์เลยครับเณร" นิมนต์ทำอะไร ? ฟุตบอลขาดคน เด็กมานิมนต์ให้เณรช่วยเฝ้าประตูให้หน่อย

สามเณรถกสบงยืนเฝ้าประตูให้ หลวงพ่อผ่านมาพอดีเลย "เณรไปเอาไม้เรียวมา..! เป็นสามเณรไปเล่นฟุตบอลได้อย่างไร ? ไม่มีความสำรวมเลย" "ก็ไหนหลวงพ่อบอกว่า ถ้าเขานิมนต์แล้วเราต้องรับ..?!"

เถรี
18-01-2015, 20:35
"โยมหลายคนเวลาทำบุญมักจะตามไปดูว่า พระได้ใช้ของตัวเองหรือเปล่า ? ที่อำเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี มีโยมอยู่คนหนึ่งถวายที่สร้างวัดสองร้อยกว่าไร่ แล้วโยมคงถวายไม่ขาด จึงไปตามคุมประพฤติพระในวัด เพราะโยมคงจะคิดว่าเป็นวัดของกู

นี่ก็เหมือนกัน มีโยมท่านหนึ่งเดินไปถามพระในวัด "ท่าน ๆ วันก่อนของที่ฝากเณรไว้ได้รับหรือยัง ?" พระก็ตอบด้วยความมั่นใจ "ได้รับ..ฉันเรียบร้อยแล้วโยม" "ดิฉันถวายรองเท้าไปนะเจ้าคะ..!" สงสัยพระท่านเป็นร็อตไวเลอร์มาเกิด ฉันกระทั่งรองเท้า..! เรื่องขำ ๆ ในวงการสงฆ์มีมาก แต่บางเรื่องขำจนหัวเราะไม่ออก"

เถรี
18-01-2015, 20:40
พระอาจารย์กล่าวว่า "เทวดาชั้นยามาท่านสวดมนต์กันเป็นปกติ เพียงแต่ทรงฌานไม่ได้เท่านั้น ถ้าทรงฌานได้ก็ไปเป็นพรหมกันหมดแล้ว"

เถรี
18-01-2015, 20:57
ถาม : อายุ ๖๐ ปี ถ้าไม่ทำบุญวันเกิดจะเป็นอะไรไหม ?
ตอบ : จะไม่ทำบุญก็ไม่ว่า แต่คนเรานั้นที่อยู่มาได้ เพราะ ๑. ยังไม่หมดอาหาร ๒. ยังไม่หมดอายุ ๓.ยังไม่หมดบุญ ๔.ยังไม่หมดกรรม ถ้าอย่างหนึ่งอย่างใดหมด ก็อาจจะอยู่ไม่ได้

ดังนั้น..ถ้ายังอยากอยู่ต่อ ก็ทำบุญสักหน่อยหนึ่ง หมดอาหาร..ตาย หมดอายุ..ตาย หมดบุญ..ตาย หมดกรรม..ตาย..!

เถรี
18-01-2015, 21:54
พระอาจารย์เล่าว่า "พระวัดท่าขนุนเดี๋ยวนี้ไม่สนใจงานก่อสร้าง ทำให้อาตมานึกถึงตัวเอง สมัยนั้นบวชใหม่ ๆ หวงเวลาตัวเองมาก เวลาที่เหลือใช้ในการภาวนาเสียส่วนใหญ่ ภาวนาวันละเกิน ๑๐ ชั่วโมง ไม่เอาเรื่องการก่อสร้างเลย

พอออกจากวัดไป งานก่อสร้างมาหูดับตับไหม้ แล้วก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักอย่าง ไม่รู้ว่ากระเบื้องมีทั้งขนาดยาวขนาดสั้น มีอย่างหนา มีอย่างบาง มีลอนใหญ่ มีลอนเล็ก ไม่รู้ทั้งนั้น ต้องใช้วิธีตีขลุมเอา อย่างเช่น ช่างถามว่า อาจารย์จะเอากระเบื้อง ๑.๒ เมตร หรือ ๑.๕ เมตร เอาอย่างหนาหรืออย่างบาง อาตมาก็ถามว่า "แล้วช่างเห็นว่าอย่างไหนเหมาะกว่า ?" ต้องใช้วิธีตีขลุมเอา เพราะไม่รู้เรื่องเลยจริง ๆ

ค่อย ๆ ศึกษาไปทีละนิดทีละหน่อย จนกระทั่งก่อสร้างได้ ๔-๕ ปี ทีนี้คิดเองเป็นหมด พื้นที่เท่าไร ใช้วัสดุขนาดไหน ใช้งบประมาณเท่าไร อยู่ ๆ ช่างก็มาบอกว่า "อาจารย์..ขาดกระเบื้องไป ๑๑ แผ่น" "เป็นไปไม่ได้หรอก ข้าคิดไม่เคยขาด" ช่างเขาบอกว่า "หนูทำแตกเองค่ะ" เป็นกระเบื้องปูพื้น "ไม่เคยเจอใครคิดกระเบื้องได้ลงตัวขนาดนี้ ไม่เหลือสักแผ่นเดียว พอทำแตกจึงต้องขอให้ซื้อเพิ่ม" "ถ้าเอ็งสารภาพแต่แรกก็หมดเรื่อง ดันหาว่าข้าคิดขาดไป ๑๑ แผ่น ต้องหักค่าแรงให้เข็ด" เรื่องแบบนี้ต้องค่อย ๆ ศึกษาไป"

เถรี
19-01-2015, 12:01
ถาม : ถ้าเราไม่กลับบ้านไปไหว้บรรพบุรุษ แต่ถวายเป็นสังฆทานได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีผู้ใหญ่เหลืออยู่แล้ว พวกเราเป็นรุ่นใหญ่ที่สุด ก็ทำได้เลยจ้ะ แต่ถ้ายังมีผู้ใหญ่อยู่ เดี๋ยวท่านจะขัดคอเอา ไหว้ทางด้านโน้นด้วย มาถวายสังฆทานด้วย หมดเรื่องไป อาตมาเองทุกวันนี้ก็ยังให้ทางบ้านเขาไหว้กันอยู่ แต่ก็บอกว่า อย่าลืมถวายสังฆทานด้วย ถ้ายังมีผู้ใหญ่อยู่ ขัดคอผู้ใหญ่จะไม่ดี

เถรี
19-01-2015, 12:08
ถาม : พยายามจินตนาการถึงนิพพาน ?
ตอบ :ไม่ต้องจินตนาการ ถ้าทำถึงจะรู้เอง พระนิพพานไม่ได้อยู่ที่ไหนไกล อยู่แค่หมดกิเลสนี่แหละ หมดกิเลสเมื่อไรก็รู้ชัดเมื่อนั้น ไม่ต้องได้มโนฯ ไม่ต้องได้อะไรทั้งสิ้น

ถาม : ทำอย่างไรโรคภัยจึงจะหายไป ?
ตอบ : ถ้าสามารถปฏิบัติตามคำสอนได้ ก็แปลว่าหมดโรคไปโดยปริยาย เพราะว่าโรคที่หนักที่สุดคือโรคกิเลสที่กินเราอยู่ทุกวัน..!

เถรี
19-01-2015, 13:12
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาเคยเขียนติดสมุดบันทึกของตัวเองไว้หลายปีว่า "อย่าเอาตัวเราเป็นบรรทัดฐานไปวัดผู้อื่น" ปกติเป็นคนชอบจดบันทึก ก่อนบวชก็เจริญเตโชกสิณ เผาจนเกลี้ยงเลย บวชไปจึงเริ่มบันทึกใหม่ บางอย่าง "ของกิน..ถ้าไม่กินก็เน่า เรื่องเล่า..ถ้าไม่เล่าก็ลืม" วิธีกันลืมที่ดีก็คือบันทึกไว้หน่อยหนึ่ง"

ถาม : ตอนก่อนบวช กับบวชไปแล้ว ต่างกันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เป็นเรื่องแปลก ตอนก่อนบวชทำตัวเหมือนกับพระ พอบวชแล้วทำตัวเหมือนกับโยม ครึ่ง ๆ กลาง ๆ อย่างไรก็ไม่รู้ "ดีก็ดีไม่ทั่ว ชั่วก็ชั่วไม่หมด" ประเภท "สึกอยากจะสวด บวชอยากจะร้อง" อะไรประมาณนั้น

เถรี
19-01-2015, 21:06
พระอาจารย์แจกลูกแก้วสารพัดนึกในงานสวดพระคาถาเงินล้าน "รับลูกแก้วด้วยจ้ะ รับไปแล้ว..ไปภาวนาพระคาถาเงินล้าน วันละ ๑๐๘ จบนะจ๊ะ แค่ชั่วโมงครึ่งเอง แบ่งเป็น ๓ ช่วงก็ได้ ช่วงละ ๓๖ จบ ก็ได้ ๑๐๘ แล้ว เท่ากับช่วงละ ๓๐ นาที"

https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpa1/v/t34.0-12/10801723_910029512361801_3099295890412315704_n.jpg?oh=a3600af0c2f15368e5425c7df3a8bd82&oe=54BF705E&__gda__=1421833736_85811a098a57f80f344a65092e9594be

https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpf1/v/t34.0-12/1969249_910071545690931_8233143920489217526_n.jpg?oh=7c263a534e52d715df27fb81d7f6f118&oe=54BEFD55&__gda__=1421883626_31ba4ba087173898c5d18d13c2ecd485

เถรี
19-01-2015, 21:07
:4672615:เก็บตกเดือนมกราคมปี ๕๘ หมดแล้วค่ะ:4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน