PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมีต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๗


เถรี
30-11-2014, 19:20
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานอาตมาเพิ่งเซ็นสัญญาสร้างมณฑปตั้งพระทองคำไป ๑๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท จริง ๆ ราคา ๑๓,๐๐๐,๐๐๐ กว่าบาท เขาลดให้ ๙๐๐,๐๐๐ กว่าบาท"

เถรี
30-11-2014, 19:22
พระอาจารย์กล่าวว่า "เสื้อยันต์เกราะเพชรพิชัยสงคราม รุ่น ๒ จะทำเป็นเสื้อกั๊ก กำลังรอแบบที่ถูกใจ ให้ฝู (พัชรีภรณ์ หยกอุบล)ไปหาแบบให้อยู่"

เถรี
30-11-2014, 19:28
มีเด็กคนหนึ่งร้องไห้ลั่นบ้าน พระอาจารย์จึงบอกกับพ่อแม่ของเด็กว่า "เวลาเด็ก ๆ ร้องอย่าไปห้าม ยิ่งห้ามเขายิ่งร้อง ต้องยุให้ร้องดัง ๆ พอยุส่งแล้ว เขาเห็นว่าร้องแล้วไม่มีรสชาติ เดี๋ยวก็จะเลิกร้องไปเอง"

เถรี
30-11-2014, 20:13
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22306&stc=1&d=1417353060

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีดหมอเล่มนี้ ถ้าเป็นลูกศิษย์สายวัดท่าซุง เขาเรียกว่า ดาบฟ้าฟื้น เป็นมีดหมอที่หลวงพ่อวัดท่าซุงให้ทำขึ้นมา ในช่วงที่วัดท่าซุงมีการฝังลูกนิมิต ซึ่งในหลวงเสด็จไปตัดลูกนิมิตด้วยพระองค์เอง ช่วงนั้นหลวงพ่อวัดท่าซุงให้ไปกวาดมีดหมอมาหมดตลาดพยุหะคีรีเลย ทั้งเล่มเล็กเล่มใหญ่ เอามาตีคำว่า ภปร.- สก. ลงไป ขนาดเอามาจนหมดตลาดแล้ว ยังมีประมาณ ๖๐ เล่มเท่านั้น

อาตมาก็ไม่ทัน แต่เจ้าของมีดหมอเล่มนี้จริง ๆ คือ หลวงตาเจริญ ฐิตธมฺโม ซึ่งเป็นพระที่อาวุโสที่สุดในวัดช่วงนั้น อาวุโสกว่าหลวงพี่โอ (พระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร) อาวุโสกว่าท่านเจ้าคุณอนันต์ (พระภาวนากิจวิมล) อีก หลวงตาเจริญบอกว่า "ท่านเล็ก..ผมอยากจะสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ที่บ้านเกิดสักองค์หนึ่ง ช่วยผมหน่อยได้ไหม ?" ก็ถามว่า "หลวงตามีอะไรให้ผมบ้างล่ะ ?" หลวงตาบอกว่าทั้งเนื้อทั้งตัวก็มีมีดหมอดาบฟ้าฟื้นเล่มนี้อยู่เล่มเดียวแหละ "หลวงตาเอามาให้ผม ผมมีเงินอยู่เท่าไร เดี๋ยวผมถวายหลวงตาหมดเลย"

อาตมาก็ควักย่ามนับเงิน ให้ทุกคนเดาว่ามีเงินให้หลวงตาเท่าไร ? ทุกวันนี้ยังไม่เชื่อเลยว่าตัวเองจะมีเงินตั้ง ๑๑๒,๕๐๐ บาท มาได้อย่างไรไม่รู้ ? ไม่มีวันที่อาตมาจะมีเงินในย่ามได้มากขนาดนั้น เพราะตอนนั้นเพิ่งจะบวชได้ ๔-๕ พรรษาเอง จะไปเอาศรัทธาญาติโยมมาจากไหน ? กลายเป็นว่ามีดหมอเล่มนี้ ราคาเมื่อ ๒๕ ปีก่อนคือแสนกว่าบาท..!"

เถรี
30-11-2014, 20:21
ถาม : ราคาตอนนี้ละครับ ?
ตอบ : เล่มนี้ก็คงต้องราคาเท่านั้น เล่มอื่นไม่รู้ ?

เนื่องจากว่าอาตมาจะปลุกเสกมีดหมอเพชราวุธ พระท่านบอกว่าให้เอามีดหมอของครูบาอาจารย์มาเป็นองค์ประธาน จะได้รวมสายความรู้ที่ศึกษามา มีดหมอหลวงปู่รุ่ง วัดหนองสีนวล มีแล้ว มีดหมอหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ มีแล้ว ขาดของหลวงพ่อวัดท่าซุง เพราะเพิ่งให้เขาประมูลไป ใครประมูลไปนะ..คุณชวงใช่ไหม ? ประมูลกันบนรถไฟ

มีดหมอเล่มนี้ ตอนออกจากวัดท่าซุงไปอยู่ทองผาภูมิใหม่ พี่สุรกานต์..พี่ชายของอาตมาขอไป อาตมาจึงบอกพี่สุรกานต์ว่า เอาเล่มนั้นมาที เดี๋ยวจะคืนให้แสนหนึ่ง ปรากฏว่าพี่สุรกานต์ไม่เอาเงิน ถวายคืนมาสร้างพระพุทธรูปทองคำทั้งหมด สมัยก่อนตอนออกธุดงค์ อาตมาจะพกมีดหมอเล่มนี้ติดตัวเป็นประจำ ก่อนออกจากวัดท่าซุง พี่สุรกานต์ขอจึงให้ไป ตอนนั้นพี่เขาเอาสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๙ นิ้วไปองค์หนึ่ง มีดหมอเล่มหนึ่ง และน้ำมันชาตรี ๒ ลิตรครึ่ง อาตมาเอาน้ำมันชาตรีไปเข้าพิธีเอง แล้วเก็บไว้ใช้ พี่เขาเห็นว่าอาตมา "สละราชสมบัติ" เพื่อออกป่าแล้วก็เลยขอ แต่ก็ไม่ได้เอาไปทำอะไร นอกจากเอาไปรักษาไว้เท่านั้น อาตมาก็เลยบอกว่าจะใช้งาน ให้เอามาคืน ให้เงินแล้วพี่เขาก็ไม่เอา บอกว่าถึงเป็นเงินส่วนตัวก็ไม่เอา ถวายคืนมาจนหมด

เถรี
30-11-2014, 20:27
เป็นเรื่องอัศจรรย์จริง ๆ ว่า หลวงตาเจริญไปสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ ซึ่งราคาทั้งปิดทองตอนนั้นรวม ๆ ประมาณ ๗๕,๐๐๐ บาท คราวนี้ไม่มีอาคาร ก็คงจะเหลือไว้สร้างอาคารด้วย

เป็นไปได้อย่างไร พระใหม่ ๆ มีเงินติดย่ามอยู่แสนกว่า นับไปยังงง ๆ เลย บอกว่า "หลวงตา..มีเงินขนาดนี้ผมยังตกใจเลย ผมรับปากว่าจะถวายหลวงตาหมด หลวงตาเอาไปทั้งหมดเลยก็แล้วกัน" ไม่รู้ว่าหลวงปู่หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ หรือพ่อแม่ที่ไหนของท่าน อยากจะร่วมสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ก็ไม่รู้ ? เอามายัดใส่ย่ามให้ อาตมารับปากไว้แล้วว่าให้หมดเลย..ก็ต้องให้

เรื่องนี้เจอมาจนตัวเองไม่แปลกใจแล้ว มีอยู่ครั้งหนึ่ง เพิ่งจะมารับสังฆทานที่กรุงเทพฯ เป็นปีแรก ๆ จำได้ว่ารับเงินไปไม่กี่หมื่นหรอก แต่ไปจ่ายค่าวัสดุก่อสร้าง มากกว่าที่รับไว้เป็นเท่าตัว ก็คิดว่าคงต้องติดหนี้เขาไว้ก่อน แต่นับไปนับมา เงินกลับพอที่จะให้เขา ไม่รู้ว่างอกมาตอนไหน เพราะตอนลงบัญชีก็ตรวจสอบดีแล้ว

เถรี
30-11-2014, 20:44
มีดหมอเล่มนี้ ถ้าไม่มี ภปร.- สก. นะ เขาจะตีว่าเป็นมีดหมอหลวงพ่อเดิม เพราะว่าช่างสอนรุ่นเก่าเขาทำ ฝีมือก็เลยเป็นฝีมือเดิม

หลวงปู่รุ่ง วัดหนองสีนวลเป็นลูกพี่ลูกน้องกับหลวงปู่เดิม วัดหนองโพธิ์ เพราะว่าแม่ของหลวงปู่รุ่งกับแม่ของหลวงปู่เดิมเป็นพี่น้องกัน แต่หลวงปู่รุ่งอายุมากกว่า บวชก่อน ๑๑ พรรษา ศึกษาวิชาทำมีดหมอมาจากหลวงปู่เทศ วัดสระทะเล มีดหมอของหลวงปู่รุ่งส่วนใหญ่ตีด้วยมือทั้งตัวมีดและแผ่นเงินหุ้มมีด หลวงปู่เดิมก็ศึกษาวิชาจากหลวงปู่เทศ ทำมีดหมอทีหลังหลวงปู่รุ่ง แต่หลวงปู่เดิมดังกว่า มีลูกศิษย์ที่มีฝีมือเป็นมาตรฐานเดียวกันมาอาสาทำให้ อย่างช่างฉิม ช่างสอน ช่างไข่ ก็เลยทำให้มีดหมอหลวงปู่เดิมมีเอกลักษณ์ที่พิจารณาได้ ว่าเป็นฝีมือใครทำ

แต่มีดหมอของหลวงปู่รุ่งยิ่งมีเอกลักษณ์ใหญ่ เพราะท่านฝังตะกรุดบนสันมีดทุกเล่ม ขณะที่หลวงปู่เดิมฝังตะกรุดในด้ามมีด ที่อาตมาฝังตะกรุดบนสันมีดหมอเพชราวุธ ก็ถอดแบบมาจากตำราของหลวงปู่รุ่งนี่แหละ แต่ทำเป็นตะกรุดสามกษัตริย์แบบหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า คาถาและยันต์ในการเขียนตะกรุดเป็นของหลวงพ่อวัดท่าซุง ส่วนการฝังตะกรุดมหาสะท้อนที่ด้าม ก็ถอดแบบมาจากหลวงปู่เดิม แต่ตะกรุดมหาสะท้อนก็เป็นตำราของหลวงพ่อวัดท่าซุงเช่นกัน

เถรี
30-11-2014, 20:49
มีดหมอหลวงปู่เดิมบางเล่ม เจ้าของถักซองมีดด้วยหวาย ลวดลายงามสุด ๆ เสียดายที่อาตมาไม่มีเวลาที่จะถักเชือกเป็นซองมีด มีคาถาขอดเชือกสงครามของหลวงพ่อวัดท่าซุง เป็นคาถาของหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ถ้ามีเวลาค่อย ๆ ทำก็ได้ แต่อาตมาไม่มีเวลา ตามตำราต้องการแค่ ๓ ขอด เราก็ทำเป็นซองมีดไปเลย ตอนนี้ธุดงค์ไปป่าไหนก็ไม่ต้องกลัวแล้ว ลุยได้เต็มที่

ถาม : จะออกให้ประมูลไหมครับ ?
ตอบ : เล่มนี้ไม่ได้ อุตส่าห์ปล้นคืนมา จะเอามาเป็นประธานในการพุทธาภิเษกมีดหมอเพชราวุธ

เถรี
30-11-2014, 20:57
มีดหมอรุ่นนี้แหละ หลวงพ่อวัดท่าซุงถวายในหลวงไปเล่มหนึ่ง และถวายสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารไปเล่มหนึ่ง ตอนนั้นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ก็อยู่ด้วย แต่ว่าด้วยความที่เป็นผู้หญิง หลวงพ่อท่านจึงไม่ได้ถวายไป

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ตรัสว่า เสียบไว้ที่บังแดดของรถแล้วอาราธนาได้ไหม ? หลวงพ่อทูลว่า "ถ้าอย่างนั้นจะคุ้มได้ทั้งคันเลย" สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร บุญท่านดีนะ นอกจากเกิดเป็นพระราชโอรสองค์เดียวของในหลวงแล้ว สมัยก่อนหลวงปู่หลวงพ่อต่าง ๆ มีอะไรดี ๆ จะทำถวายพระองค์ท่านกันทั้งนั้น ตอนนั้นหลวงพ่อไท วัดไทรย้อยที่เพชรบุรี สร้างเสือมหาอำนาจ ก็ถวายพระองค์ท่าน หลวงพ่อวัดท่าซุงก็ถวายมีดหมอรุ่นนี้ ส่วนในหลวงพอรับมีดหมอไปแล้ว พระองค์ท่านแต่งชุดทหารไป ก็ใส่ในกระเป๋าฉลองพระองค์เลย

เถรี
30-11-2014, 21:12
ตอนนี้พระที่ร่วมพิธีพุทธาภิเษกมีดหมอเล่มนี้ เหลือหลวงพ่อวิชาอยู่องค์เดียว หลวงพ่อวิชา วัดศรีมณีวรรณ ที่ถือว่าไปช้าก็คือหลวงพ่ออุตตมะและหลวงปู่ครูบาวงศ์ หลวงปู่บุดดาก็ไปช้าเหมือนกัน ท่านมรณภาพหลังหลวงพ่อวัดท่าซุงหลายปี ท่านอยู่จนกระทั่ง ๑๐๓-๑๐๔ ปี

หลวงพ่อวิชาตอนนี้อายุ ๗๐ กว่าแล้วกระมัง ? สมัยก่อนอาตมาเรียกหลวงพี่ สมัยนี้แก่ ๆ ไปด้วยกัน ต้องเรียกว่าหลวงพ่อ

เถรี
30-11-2014, 21:21
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=22311&stc=1&d=1417357241

"เรื่องของมีด เรื่องของปืน เจ้าของต้องขยัน ถ้าไม่ขยันดูแลเช็ดถู เดี๋ยวสนิมก็เอาไปกิน คิดดู..เล่มนี้ ๓๗ ปีเข้าไปแล้ว ถ้าดูแลไม่ดี ป่านนี้คงชักไม่ออก สนิมกินติดฝักไปแล้ว

อาตมาศึกษาเรื่องมีดตอนแรก ๆ อ่านตำราฝรั่ง เขาบอกว่า keep it clean and dry ก็คือต้องทำให้สะอาดและแห้ง

เถรี
30-11-2014, 21:33
พระอาจารย์อ่านตัวขอมที่ปรากฏบนใบมีดให้ฟัง "อาปามะจุปะ ทีมะสังอังขุ ภะสัมสัมวิสะเทภะ ติหังจะโตโลถินัง กัณหะเนหะ

อาปามะจุปะ เป็นหัวใจพระวินัย อา ย่อมาจากอาทิกัมมิกะ ปาคือปาจิตตีย์ มะคือมหาวรรค จุคือจุลวรรค ปะคือปริวารวรรค

ทีมะสังอังขุ คือ หัวใจของพระสูตร มีทีฆนิกาย มหานิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตรนิกาย และขุททกนิกาย

ภะสัมสัมวิสะเทภะ คือ คาถามหาอำนาจ บางตำราเรียกว่า คาถาตวาดป่าหิมพานต์

ติหังจะโตโลถินัง เขาเรียกคาถากระทู้เจ็ดแบก เกี่ยวกับการอยู่ยงคงกระพัน

กัณหะเนหะ บางตำราบอกว่าเป็นหัวใจโจร ความจริงแล้วเป็นคาถาแคล้วคลาดเมตตา สมัยก่อนหลวงปู่อี๋ วัดสัตหีบ จะเอาลงปลักขิกของท่าน ไม่ว่าจะเป็นปลัดขิกกัลปังหา หรือปลักขิกไม้ หลวงปู่อี๋จะลงด้วยคาถากัณหะเนหะ

ถ้าไม่มีพื้นฐานเรื่องเวทย์มนตร์คาถาจะอ่านไม่ออก เพราะตัวหนังสือเล็กมาก และตอกไม่ชัด"

เถรี
30-11-2014, 21:49
พระอาจารย์เอามีดเสียบเข้าที่ฝัก มีเสียงดังกริ๊ก "นี่ช่างฝีมือรุ่นเก่าแท้ ตัววัดความแท้เทียมมีดหมอของหลวงพ่อเดิมอย่างหนึ่ง ก็คือจะมีล็อก ถึงเวลาจะลั่นกริ๊ก และด้ามงาจะต้องแตกทุกอัน เหตุที่แตกทุกอันเพราะว่า กั่นมีดเป็นสนิมแล้วดันด้ามงาให้แตก ยกเว้นบางเล่มที่รักษาดีมาก ๆ อาจจะไม่แตก แต่งาต้องเก่าได้อายุด้วย

สมัยก่อนอาตมาแอบล้วงย่ามหลวงพ่อวัดท่าซุงดู ในย่ามท่านมีมีดหมอรุ่นนี้เล่มหนึ่ง มีแก้วจักรพรรดิ มีชุดยานัตถุ์ ทั้งกล้อง ขวดยา และผ้าเช็ดน้ำมูก แล้วก็พระบรมสารีริกธาตุ แค่นั้นแหละ ล้วงย่ามท่านครั้งแรกไปโดนมีดหมอก่อน เหมือนอย่างกับโดนไฟฟ้าเป็นหมื่นโวลต์ดูด จนกระทั่งมือกระเด็นหลุดออกจากย่ามเอง หลวงพ่อท่านเหลือบมามองแล้วก็หัวเราะหึหึ เป็นช่วงจังหวะที่กำลังใจของอาตมาเปิดพอดี เลยรับพลังมาโดยไม่รู้ตัว เหมือนกับโดนไฟฟ้าเป็นหมื่นโวลต์ดูด ตอนนั้นใจเปิดเพราะไม่ได้คิดอะไร คิดอย่างเดียวว่า จะล้วงดูว่า หลวงพ่อท่านพกอะไรในย่ามบ้าง ?"

เถรี
01-12-2014, 10:29
เดือนเมษายน ปี ๒๕๒๐ ตอนนั้นมีอยู่เรื่องหนึ่งที่รู้เป็นการภายใน คือ หลวงปู่บุดดาได้รับนิมนต์มางานฉลองโบสถ์ด้วย หลวงตาวัชรชัยตอนนั้นก็ยังไม่ได้บวช ยังเป็น "พี่ดม" ของน้อง ๆ อยู่เลย หลวงตาวัชรชัยมีหน้าที่ดูแลหลวงปู่บุดดาและรับผิดชอบหลวงปู่ทุกองค์ด้วย เพราะ "แม่อ๋อย" ท่านสั่งไว้

หลวงปู่บุดดาท่านพูดลอย ๆ แต่ตั้งใจให้พวกเราได้ยิน ท่านบอกว่า "วันนี้เป็นวันที่ ร.๑ กับ ร.๙ จะได้พบกัน" ท่านพูดลอย ๆ ขึ้นมาเฉย ๆ ไม่รู้ว่าท่านหมายความว่าอะไร ? ไม่ได้ถามด้วย จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้ถาม แล้วท่านก็บอกว่า "ต่อไปนี้จนถึงสิ้นพระศาสนา ไม่รู้ว่าจะมีใครจัดงานได้อย่างท่านมหาวีระอีกหรือเปล่า ที่เอาพระอริยเจ้าและพระโพธิสัตว์มารวมกันได้มากขนาดนี้" พวกเราก็ได้แต่ฟัง เพราะยังเด็ก..ไม่รู้เรื่องอะไร ปีนั้นอาตมาเพิ่งอายุ ๑๘ เอง จะไปรู้เรื่องอะไร ผู้ใหญ่ใช้อะไรก็วิ่งขาขวิด ทำงานอย่างเดียว

เถรี
01-12-2014, 10:41
สมัยก่อนของใช้ที่เป็นเงิน หรือนากซึ่งมีส่วนผสมของเงิน จะดำง่าย คนโบราณก็อดทนเหลือเกิน ค่อย ๆ เอาส้มมะขามแช่แล้วก็ขัด

ถาม : มะขามอะไรครับ ?
ตอบ : มะขามเปียก สมัยนี้มักง่าย เล่นบรัสโซ ขัดไม่กี่ทีก็สะอาด

ถาม : ใช้มะขามเปียกทำอย่างไรครับ ?
ตอบ :เขาก็จะหมักเลย น้ำมะขามเป็นกรด จะกัดสนิมให้หลุดได้

เถรี
01-12-2014, 10:54
มีดหมอต้องทำความสะอาดบ่อย ๆ ไม่อย่างนั้นสนิมจะขึ้นใบมีด

ถาม : ใช้น้ำมันอะไรครับ ?
ตอบ : น้ำมันอะไรก็ได้ เช็ดแล้วเอาผ้าแห้งสะอาดเช็ดอีกที ไม่อย่างนั้นต่อให้เป็นน้ำมัน สนิมก็จะขึ้น เพราะว่ามีความชื้นอยู่ อาตมาดูแลไม่เคยปล่อยให้สนิมขึ้น คนเห็นก็ตกใจว่าสามสิบกว่าปีแล้วหรือ ? ลองดูเล่มที่คุณชวงประมูลไป เล่มนั้นอาตมาใช้มาทุกป่าเลย ตกน้ำตกท่ามาหลายรอบ แต่ก็ยังใหม่เอี่ยม

ถาม : เล่มนี้เหล็กอะไรครับ ?
ตอบ :เหล็กธรรมดานี่แหละ เพียงแต่เช็ดถูบ่อย ๆ แล้วจะดูดีไปเอง

เถรี
01-12-2014, 10:58
ถาม : หนูซื้อมีดจ่าตุ้มมา ราคาไม่แพง ?
ตอบ : ไม่ใช่จ่าตุ่มแน่ เขาว่าจ่าตุ้มนั้นถูกแล้ว มีดจ่าตุ่มขายเฉพาะที่บ้าน นอกบ้านแล้วมีขายที่เดียว คือ ที่นี่ (บ้านวิริยบารมี) เพราะคนอื่นป้าสุไม่ไว้วางใจความประพฤติ เขาไม่ให้ไปหรอก

ถาม : เขาบอกไม้งิ้วดำ ราคาเล่มละหกร้อยบาท ?
ตอบ : ไม้อะไรเขาก็อ้างไม้งิ้วดำทั้งนั้น ถ้ามีดจ่าตุ่มก็เล่มละหลายพัน

เถรี
01-12-2014, 11:37
พระอาจารย์เล่าว่า "คำสอนของหลวงพี่โอ (พระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร) ที่ประทับใจที่สุดตั้งแต่บวชมาก็คือ "บวชมาแล้วต้องทน..!" คำเดียวคลุมทุกอย่างเลย ท่านสอนตอนไหนรู้ไหม ? ตอนกำลังล้างจานเลย

ตอนนั้นอาตมาทำท่าจะสึกแหล่มิสึกแหล่ หลังจากฉันเพลเสร็จก็ตักน้ำผงซักฟอกไปคนละช้อน ไปนั่งล้างจานที่แพ พวกปลาจะมาแย่งเศษอาหารกัน หลวงพี่โอก็คงรู้ท่า ท่านบวชมานาน มีประสบการณ์มาก ตอนนั้นท่านได้ ๑๕-๑๖ พรรษาแล้ว ท่านเห็นก็เลยเตือน "บวชมาแล้วต้องทน..!" ได้ยินนี่ซาบซึ้ง คำว่า "ทน" คำเดียวครอบคลุมหมดทุกเรื่องเลย"

เถรี
01-12-2014, 11:40
พระอาจารย์เล่าว่า "มีโยมอยู่สองคนที่ถวายทองครั้งละ ๐.๐๖๒๕ บาท ก็ประมาณ ๑ กรัม แต่เขาถวายทุกเดือน แล้วที่เขาถวายมานิด ๆ หน่อย วันก่อนไปลองชั่งดู ได้ ๑,๕๐๐ กว่ากรัม ตกร้อยกว่าบาทแล้วนะ ส่วนทองที่อาตมาซื้อเอง ล่าสุดก็ ๖ กิโลกรัม คราวที่แล้วก็ได้ทองรูปพรรณไปหลายกิโลกรัม เอาไปหลอมเป็นแท่ง อาทิตย์นี้จะให้เขาไปหลอมอีกเป็นแท่งอีก เนื้อจะได้บริสุทธิ์ขึ้น"

เถรี
01-12-2014, 11:42
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนตอนที่อาตมายังอยู่วัดท่าซุง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จอุทัยธานีบ่อยมาก ก็สงสัยว่าท่านเสด็จมาทำไม ? ที่แท้เพื่อนของท่านอยู่ที่นั่น ท่านไปอย่างไม่เป็นทางการบ่อย ๆ

เมื่อ ๒-๓ อาทิตย์ที่ผ่านมา ท่านไปช่วยเพื่อนขายทอง ปกติจะเข้าเฝ้าท่านก็ยากเย็นเข็ญใจอยู่แล้ว จะถ่ายรูปก็ไม่ได้ แต่คราวนี้ขายทองเสร็จท่านใส่ให้ด้วย คนแย่งถ่ายรูปกัน เขาก็ซื้อทองกันใหญ่ น้องเล็กยังบอกว่า ถ้าอยู่ใกล้ ๆ จะไปซื้อตุ้มหูให้ท่านใส่ จะได้ถ่ายหลาย ๆ รูป เพราะตุ้มหูใส่ยาก ต้องใช้เวลามาก

ท่านเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ที่น่ารักมาก ไปไหนท่านก็ปล่อยให้พระเกศาหงอกอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ใส่ใจอะไรเลย ท่านยอมรับสภาพร่างกายยิ่งกว่าพวกเราอีก"

เถรี
01-12-2014, 11:50
พระอาจารย์กล่าวถามว่า "เก็บตกจากงานปฏิบัติธรรม เอก (จิตติพงษ์ ชื่นอารมณ์) ได้บันทึกไว้ทุกครั้งหรือเปล่า ? หรือคนอื่นบันทึกแล้วมาส่งให้ ? เพราะบางครั้งเวลาพระท่านสงเคราะห์แล้วไม่มีคนบันทึกไว้ อาตมาเองยังเสียดายเลย เพราะท่านให้เยอะจริง ๆ"

เถรี
01-12-2014, 11:55
พระอาจารย์เล่าว่า "สาว ๆ สมัยก่อนเขาใช้ส้มมะขามขัดผิว อาบน้ำเสร็จก็ทาแป้ง ทาขมิ้น สมัยก่อนเขาอาบน้ำประณีตมากเลย รุ่นพี่ป้าน้าอาสมัยก่อน จะกระโจมอกไปอาบน้ำที่ท่าน้ำ ค่อย ๆ ขัดสีฉวีวรรณ จึงเข้าใจว่าการขัดสีฉวีวรรณมาจากการอาบน้ำของคนรุ่นก่อนนี้เอง คนรุ่นก่อนทำอะไรประณีตมาก ค่อย ๆ ผสมดินสอพองกับขมิ้น ค่อย ๆ ขัดผิวด้วยส้มมะขาม

ที่ภรรยาของนายประตูเมืองเตือนศรีสุวรรณกับเพื่อนว่า "เห็นผู้หญิงริงเรือที่เนื้อเหลือง อย่ายักเยื้องเกี้ยวพานนะหลานขวัญ แต่ละนางมิใช่ชั่วตัวสำคัญ จะเสียสันเปล่า ๆ ไม่เข้าการ" คำว่า "ริงเรือ" คือผิวเนื้อเหลืองแบบเรื่อ ๆ บางคนใช้คำว่า "ผิวนวลมะปรางสุก"

พอมารุ่นหลังเขาไม่เข้าใจคำโบราณ เขาเลยเปลี่ยนเป็น "ผู้หญิงยิงเรือ" เพราะเขามีสำนวนเก่าว่า "ผู้ชายพายเรือ" ก็คือ ร่อนเร่ตระเวนไปเรื่อย ๆ ไม่เป็นโล้เป็นพาย เขาก็เลยเหมาว่า คำนี้ต้องเป็นผู้หญิงยิงเรือ เพราะผู้ชายพายเรือ...

เสียสัน คือโดนโบยจนสันหลังลาย โทษฐานที่ไปเกาะแกะนางในรั้วในวังเข้า"

เถรี
01-12-2014, 12:02
ถาม : ทำไมผีบางที่จึงดุชอบหลอกคน ?
ตอบ : นิสัยก็เหมือนกับคน รัก โลภ โกรธ หลง ก็เหมือนกันนั่นแหละ เพียงแต่เขาอยู่อีกเขตเท่านั้น

ถาม : แล้วผีที่เป็นเทวดา ?
ตอบ : ผีหรือเทวดาก็นิสัยเหมือนคน บางรายก็ค่อนข้างจะเกเร ก็มักจะหลอกคนนั้นคนนี้ บางรายก็หวงที่ หวงถิ่น หวงสมบัติ เห็นเราเข้าไปใกล้ ก็กลัวเราจะเข้าไปเอาของเขา ก็ต้องหลอก ไล่ ขับเราออกมา

ส่วนเทวดาบางทีท่านซนก็แกล้งเรา ส่วนท่านที่ไม่ซนก็ต่างคนต่างอยู่ไป เพราะฉะนั้น..จะเห็นว่าเราไปบางที่ก็ผีหลอกจังเลย แต่บางที่กลับอยู่สบาย สรุปว่า ผีหรือเทวดาก็นิสัยเหมือนคน รัก โลภ โกรธ หลงเหมือน ๆ กัน เพียงแต่ว่าอยู่คนละเขตเท่านั้น

ถาม : อาทิตย์หน้าจะไปเกาะพระฤาษี ไม่มีพระอยู่สักรูป คาดว่าโดนหลอกแน่ ?
ตอบ : ที่โน่นอาตมาโดนตั้งแต่ยุคแรก ๆ แล้ว ไปทำกระต๊อบหลังเล็ก ๆ ไว้ ทำวัตรเย็นอยู่ ผีโผล่หน้ามา หน้าใหญ่เต็มหน้าต่างเลย บอกว่า "เอ็งไสหัวไปไกล ๆ เลย ขืนโผล่ไปหาคนอื่นเขาจะได้ช็อกตายห่.." เขามาดูว่าอาตมาทำอะไร โผล่หน้ามาดู หน้าใหญ่เต็มหน้าต่างเลย..!

เถรี
01-12-2014, 12:33
พระอาจารย์กล่าวถึงกลุ่มโยมผู้พิการทางสายตาที่ช่วยเหลือกันว่า "บางทีเห็นเขาเกาะเป็นแถว ๆ เออ..เขารักกันดีนะ ถึงเวลาจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยกัน แบบเดียวกับนกจิ้มฟันจระเข้ ถึงเวลาจะไปจิก ๆ พวกเศษอาหาร พวกปลิงตามปากจระเข้ จระเข้ก็ได้ทำความสะอาดตัวเอง

ปลาไหลมอเรย์อ้าปากมา ฟันแหลมเปี๊ยบเลย แต่กุ้งพยาบาลมุดเข้ามุดออกทำความสะอาด เป็นเรื่องของการพึ่งพาอาศัยกันในธรรมชาติ สัตว์เขารู้ว่าเขาจะสบายได้เพราะว่าอีกฝ่ายหนึ่งมาช่วย จึงไม่ทำอันตราย ไม่อย่างนั้นแล้ว นกไปเต้นเหย็ง ๆ ในปาก จระเข้งับตูมเดียวกลืนเลย

คนเราจะพึ่งพาอาศัยกันลักษณะนั้น ก็ต้องประกอบด้วยหลักธรรมหลายอย่าง อย่างน้อยต้องมีพรหมวิหาร ๔ จึงจะเมตตากรุณาสงเคราะห์คนอื่น คนมีพรหมวิหาร ๔ ก็มีศีลเป็นปกติ บำเพ็ญตนเป็นประโยชน์ต่อผู้พิการก็ถือว่า เป็นอัตถจริยาในสังคหวัตถุ ๔"

เถรี
01-12-2014, 12:41
พระอาจารย์ถามว่า "มีใครเล่นหุ้นบ้าง ? อาทิตย์หน้าหุ้นจะทะลุพันหกร้อยจุด แต่โปรดระวังพฤหัส-ศุกร์ จะร่วงแรง เล่นหุ้นนี่ต้องรู้จังหวะ ช่วงจังหวะที่จะขึ้นก็จันทร์-อังคาร-พุธ หลังจากนั้นจะมีคนเทขาย ใครบ่นว่ารัฐบาล คสช.ไม่ดี ? หุ้นขึ้นเอา ๆ แต่อย่างว่า..ขึ้นแต่หุ้น เป็นการลงทุนที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ระวังตอนร่วงหนักเอาไว้ด้วย ถ้าเงินไม่เย็นจริง มีหวังได้หน้ามืดกันบ้าง..!"

เถรี
02-12-2014, 11:49
มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งมาทำสังฆทาน พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ถ้าใครมีแม่ต้องหาให้ได้อย่างนี้นะ โหงวเฮ้งแบบนี้ใจกว้างเป็นแม่น้ำเลย ประเภทขอร้อยบาทให้สองพัน..! เรื่องของตำราโหงวเฮ้ง ถ้าไม่ได้ทดสอบด้วยตัวเองอาตมาก็คงไม่เชื่อ บังเอิญไปได้ครูดี ตำราของท่านนี่อ่านคนขาดจริง ๆ แต่ท่านขอไว้อย่างหนึ่งว่าอย่าถ่ายทอดต่อ เพราะบางอย่างรู้แล้วเอาไปขู่กรรโชกคนอื่นเขาได้"

เถรี
02-12-2014, 12:31
ถาม : ปรารถนาน้อย สันโดษ สงัด ต่างกันอย่างไรคะ ?
ตอบ : ปรารถนาน้อย เป็นเรื่องของการตัดความโลภ สันโดษ คือ พอใจในสิ่งที่มีอยู่ ไม่ไขว่คว้ามากจนเกิดทุกข์ สงัด ไม่ว่าอย่างไรสภาพไหนก็ตาม จะต้องทำใจของตนให้สงบระงับจากกิเลสได้ สงัดนี่ถ้าเข้าถึงจริง ๆ ก็คือ พระนิพพาน

เถรี
02-12-2014, 12:53
ถาม : การภาวนาคาถาหลาย ๆ คาถา โดยแบ่งเป็นเวลาเป็นสัดส่วน เช่น ภาวนาคาถาอภิญญารวมครึ่งชั่วโมงในตอนเช้า คาถาท่านปู่พระอินทร์ครึ่งชั่วโมงในตอนเย็น หรือระหว่างวันก็จับคำภาวนาคาถาเงินล้านไปด้วย จะสามารถทำได้ไหมครับ ?
ตอบ : ทำได้...แต่ควรจะทำให้คาถาใดคาถาหนึ่งให้เกิดผลก่อน คาถาอื่น ๆ ก็ใช้กำลังใจเท่ากัน เมื่อทำคาถาขึ้นแล้ว จะใช้คาถาไหน ภาวนาเป็นระยะเวลาเท่าไร ก็อยู่ที่เราตั้งใจ ถ้าหากว่ายังทำไม่ได้ผล แล้วไปภาวนาคาถาโน้นบ้างคาถานี้บ้าง จะเป็นการเสียเวลาเปล่า

ถาม : การที่ภาวนาคาถาท่านปู่พระอินทร์อย่างเดียว ไปสอบโดยไม่อ่านหนังสือไปเลย จะเป็นประมาทเกินไปไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ประมาทเกินไปหรอก แต่ประมาทมากทีเดียว..! ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมา หลายท่านทิพจักขุดีขนาดไหนก็ตาม เวลาใช้คาถาท่านปู่พระอินทร์อย่างเดียวโดยไม่อ่านหนังสือ เมื่อคำตอบมา เป็นคำตอบที่ไม่เคยผ่านหูผ่านตาตัวเองมาก่อน เลยพลอยไม่เชื่อ ฉะนั้น..ก็เจ๊งตั้งแต่แรกแล้ว จึงควรอ่าน ๆ ให้ผ่านตาไว้บ้าง

เถรี
02-12-2014, 12:55
ถาม : เดี๋ยวนี้เวลาทำความดี บางครั้งเรารู้สึกอิ่มใจ ปีติใจมากจนน้ำตาจะไหล เนื่องจากความดีที่เราทำนี้ เป็นเพราะเราได้มาพบครูบาอาจารย์ที่เป็นพระสุปฏิปันโน ถ้าเราไปแจกอาหารออกโรงทาน อยากจะใช้ชื่อป้ายว่า "ลูกศิษย์หลวงพี่เล็ก" (ใช้เฉพาะตอนทำความดี) ไม่ทราบว่าหลวงพี่เล็กจะอนุญาตไหมครับ ?
ตอบ : ไม่อนุญาต เพราะว่าเดี๋ยวก็ไปติดอยู่แค่ปีติ ไม่ได้อะไรสักที

ถาม : อย่างนี้ใช้ชื่ออะไรดีครับ ?
ตอบ : จะใช้ชื่ออะไรก็ตามใจ ยกเว้นชื่อของอาตมา..!

เถรี
02-12-2014, 12:57
ถาม : การที่เจ้าหนี้เข้าบังคับยึดทรัพย์ของลูกหนี้ โดยใช้วิธีตีมูลค่าสิ่งของแล้วหักหนี้ ลูกหนี้เองไม่ได้เต็มใจ แต่ถูกบังคับจากทางเจ้าหนี้ จะถือว่าเจ้าหนี้ทำผิดศีลข้ออทินนาทานไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่เป็นไปโดยกฎหมาย ไม่ได้เป็นไปตามสัญญาหรืออำนาจศาลสั่ง..ผิด แต่ถ้าหากว่าเป็นไปตามสัญญา มีข้อบังคับกฎหมายโดยศาลสั่งก็ไม่ผิด

ถาม : แล้วการตกลงกันเองแบบปากเปล่าละครับ ?
ตอบ : ถ้ามีการตกลงกันแล้ว ถือว่าเป็นไปตามข้อตกลงนั้น..ไม่ผิด

เถรี
02-12-2014, 12:58
ถาม : ผมอยากได้อานิสงส์ของการบอกบุญบ้าง เลยเอาที่คนอื่นโพสต์บอกบุญมาโพสต์เผยแพร่ต่อ พอคนมาเห็นใครอยากทำก็ทำ ใครไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ แบบนี้ผมรู้สึกสบายใจดี รู้สึกว่าไม่ได้ไปบังคับใจใครเขา ทำอย่างนี้ผมจะได้อานิสงส์ของการบอกบุญคนอื่นครบถ้วนไหมครับ ?
ตอบ : ได้..แต่คงไม่ครบหรอก เพราะว่าแต่ละคนทำบ้างไม่ทำบ้าง ถ้าทุกคนทำครบถึงจะได้ครบ..!

ถาม : แต่ก็ถือว่าได้อานิสงส์ของ..?
ตอบ : ส่วนของเวยยาวัจมัย ช่วยให้งานบุญของผู้อื่นสำเร็จ

เถรี
02-12-2014, 13:00
ถาม : ผมจะนำไผ่ตันไปกลึงและเกลาเป็นพระขรรค์ เพื่อเตรียมเข้าพิธีมีดหมอของวัดท่าขนุนที่จะมีในครั้งหน้า พอดีผมมี “ไม้ชองระอา” อยู่ด้วย ถ้าจะนำไปทำเหมือนไผ่ตัน อานุภาพในด้านมีดหมอจะใช้ได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : เอาให้แน่ ๆ นะ เอาไผ่ตันไปกลึงที่ไหนได้ช่วยบอกด้วย เพราะยังไม่เคยเจอใครกลึงไม้ไผ่ได้..! จะตันหรือไม่ตัน ไม้ไผ่ก็กลึงไม่ได้ เพราะเสี้ยนไม้ขวางกับมีดกลึง เป็นอันว่ามีปัญญาเอาไปเข้าพิธีก็แล้วกัน ไม่ได้ห้าม

ถาม : เขาบอกว่ามีไม้ชองระอาอยู่ ถ้าเอาไปทำเป็นพระขรรค์จะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ชองระอามีอานุภาพน้อยไปหน่อย ถ้าผัวหรือเมียระอาจะมีอานุภาพมากกว่านี้..!

เถรี
02-12-2014, 13:02
ถาม : ทั้งไม้ไผ่ตันและไม้ชองระอาที่ผ่านพิธีมีดหมอ จะนำไปทาแชลแล็กหรือทาแล็กเกอร์ ได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ทำไมไม่ทำให้เสร็จเสียก่อน ? ถ้าเอาสิ่งที่ไม่ได้ผ่านพิธีทับลงไปก็เสียอานุภาพไปเลย ถือว่าไม่เคารพในพระรัตนตรัย

ถาม : แล้วการดูแลรักษา ทาน้ำมันมีดหมออย่างนี้ ?
ตอบ : นั่นเขาถวายน้ำมันเป็นพุทธบูชา เป็นอันว่าถ้าอยากจะทาก็ทาให้เสร็จก่อน แล้วค่อยเอาไปเข้าพิธี

ถาม : แล้วการปิดทองเจตนาบูชา ?
ตอบ : ได้..แต่เสี่ยงมาก ถ้าตั้งกำลังใจผิด จะกลายเป็นเอาสิ่งที่ไม่มีพุทธานุภาพ ไปทับสิ่งที่มีพุทธานุภาพอยู่ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ บางทีอาจจะเกิดโทษปรามาสด้วย

ถาม : แล้วการที่เราปิดทองพระหางพระหมากคำข้าว เจตนาให้สวยขึ้นอย่างนี้ละครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เรามั่นใจ

เถรี
02-12-2014, 13:11
ถาม : การที่มีพระถือเครื่องกระจายเสียง เดินถือบาตรนำพระและเณรถือกล่องทำบุญ พร้อมทั้งประกาศให้ทำบุญต่าง ๆ ในที่ชุมชน เช่น ตลาด เป็นต้น ผมขอถามเป็นความรู้ว่า ในทางพระธรรมวินัยผิดหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าในทางพระวินัยก็ผิดตั้งแต่แรกแล้ว เพราะว่าภิกษุสามเณรโดยศีลแล้ว ห้ามยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเงินทอง ในทางกฎหมายบ้านเมืองถ้าไม่ขออนุญาตผู้บังคับบัญชาก็ผิด ดังนั้น..วัดใดวัดหนึ่งจะเรี่ยไร ต้องแจ้งแก่เจ้าคณะตำบล เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ก็เรี่ยไรได้เฉพาะในตำบลนั้น ถ้าต้องการเรี่ยไรในอำเภอนั้น ต้องให้เจ้าคณะอำเภออนุญาต จะเรี่ยไรในจังหวัดนั้น ต้องให้เจ้าคณะจังหวัดอนุญาต เรี่ยไรในภาคการปกครองนั้น จะเป็นภาคละ ๓ หรือ ๔ จังหวัด ต้องให้เจ้าคณะภาคอนุญาต ไม่สามารถที่จะเรี่ยไรข้ามจังหวัดหรือว่าข้ามภาคได้ เพราะท่านที่อนุญาตมีเขตรับผิดชอบเฉพาะของตนเอง แปลว่ามีโอกาสผิดทั้งทางโลกทางธรรม

ถาม : แสดงว่าถ้ามีประเภทพระนั่งท้ายรถกระบะเรี่ยไร เราขอดูใบอนุญาตก่อนเลย ?
ตอบ : ใช่..สมัยก่อนที่หลวงปู่พระธรรมเสนานี วัดวังตะกู เป็นเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ท่านประกาศชัดเลยว่า ในเขตจังหวัดนครปฐมห้ามทำการเรี่ยไรไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น ปรากฏว่ามีนักเลงดีต่างถิ่นมาเรี่ยไร หลวงปู่ท่านไปถึงก็ผัวะเดียวกลิ้งไปเลย รายนั้นก็ลุกขึ้นมาถามว่า “ตบอาตมาทำไม ?” หลวงปู่ชุณห์ก็พลั่กซ้ำลงไปกองอีกรอบ แล้วบอกว่า “จำไว้เลยนะ ถ้ามึงเป็นพระจริง มึงต้องรู้ว่าพระพูดกันเขาใช้ คุณ..ผม ไม่ได้ใช้อาตมา”

อาตมาก็ถามว่า “แล้วหลวงปู่ไม่กลัวเขาสวนบ้างหรือครับ ?” ท่านบอกท่านปฏิบัติตามกฎหมาย เพราะฉะนั้นท่านไม่กลัวโดนสวน กฎหมายของท่านมีอยู่ ๒ มาตรา คือมาตรา ๕ สูงกับมาตรา ๕ ต่ำ..! มาตรา ๕ สูงคือฝ่ามือ มาตรา ๕ ต่ำคือฝ่าเท้า..! ฉะนั้น..เราขอดูใบอนุญาตได้ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการหากินกัน ไม่มีใบอนุญาตหรอก

ถาม : แล้วกรณีนี้ในทางธรรมวินัยผิดไหมครับ ?
ตอบ : ทางธรรมวินัยนี่ไม่สามารถปรับเขาได้ เพราะรายนั้นไม่ใช่พระตั้งแต่แรกแล้ว ปลอมเป็นพระมาหากิน

ถาม : หลวงปู่ท่านก็แน่จริง ๆ นะครับ ?
ตอบ : เป็นพระรูปเดียวในยุคนั้น ที่จบแค่นักธรรมเอกแล้วขึ้นเป็นถึงเจ้าคุณชั้นธรรม ไม่มีประโยคบาลีเลย ได้เพราะงานอย่างเดียว นครปฐมยุคที่ท่านอยู่นี่สงบเรียบร้อยมาก บรรดาตัวแสบไม่มีสิทธิ์โงหัวขึ้นมาเลย จนกระทั่งท่านเกษียณไปแล้ว พวกนั้นถึงได้โผล่มาซ่าได้ ไม่อย่างนั้นเจอมาตรา ๕ ต่ำอย่างแน่นอน..!

เถรี
02-12-2014, 13:14
ถาม : บริษัทลูกค้าเป็นบริษัทขายเนื้อสัตว์ เขาแจ้งมาทางบริษัทว่า ต้องการเครื่องจักรแบบไหน เราก็ออกแบบตามสั่ง เช่น ออกแบบว่าต้องปล่อยแก๊สเพื่อให้หมูเหมือนจะหลับ มึน ๆ เป็นเวลาเท่านี้ จากวาล์วตัวนี้ แล้วต้อนให้หมูเดินเข้าช่อง ในช่องก็จะมีมีดวิ่งมาปักหมู แล้วหมูจะค่อย ๆ ตาย หลังจากนั้นก็มีเครื่องถลกหนังไปตามขั้นตอน การที่ผมเป็นวิศวกรออกแบบเครื่องจักรตัวนี้ตามคำสั่งลูกค้า จะผิดศีลปาณาติบาตหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ผิดศีลปาณาติบาต แต่มีส่วนส่งเสริมให้เขาละเมิดศีล ก็แปลว่าเขาได้ ๑๐๐ เราอาจจะได้ ๘๐ ฉะนั้น..ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ทำเองไปเลย จะได้หมดเรื่องหมดราวไป..!

ถาม : แล้วถ้าเราไม่ใช่วิศวกรออกแบบ แต่เราเป็นคนคุมละครับ ?
ตอบ : ยังตะแบงข้างไปอีก..!

ถาม : แล้วอาชีพเป็นอย่างนี้ต้องทำอย่างไรละครับ ?
ตอบ : อาชีพอย่างอื่นมีตั้งเยอะตั้งแยะ ก็ไปทำสิ หรือไปรับออกแบบอย่างอื่นแทน

เถรี
02-12-2014, 13:27
ถาม : ถ้ามีภพภูมิที่เฝ้าสมบัติ เขาอยากไปเกิด ไม่อยากเฝ้าแล้ว ให้นำไปทำบุญให้หน่อย มาบอกให้เราไปเอาสมบัติ เช่น ทองคำ ไหทองคำ ไหเงิน พระเก่าโบราณ เราจะทำอย่างไรครับ ? สมควรไปเอาหรือเปล่า ? และจะเป็นบาปหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ลองไปดู ดูว่าจะเหมือนท่านเจ้ากรมเสริมฯ กับอาตมาหรือเปล่า เพราะท่านเจ้ากรมเสริมฯ พอฝึกมโนยิทธิได้ ก็มีท่านทั้งหลายเหล่านี้มาบอก ให้ไปเอาที่โน่นที่นี่ ไปทีไรไม่เคยได้สักที

อาตมาก็เหมือนกัน ไปทีไรไม่เคยได้สักที ทั้ง ๆ ที่เขาเปิดให้ดูแล้ว พอถึงเวลาก็อ้างว่าผิดอย่างโน้น พลาดอย่างนี้ไปเรื่อย ท้ายสุดอาตมาก็เลยสรุปว่า "ต่อไปถ้าจะให้ เอาไปขายแล้วโอนเงินเข้าธนาคารให้เลย..!" ตั้งแต่นั้นมาก็เลิก เหมือนกับเขามาทดลอง ลองไปดูก็แล้วกัน ได้มาก็ถือว่ากำไร ไม่ได้ก็เสมอตัว


ถาม : ทองคำที่ได้มา หากนำมาหล่อพระทองคำ เช่น ถวายหลวงพ่อร่วมหล่อพระทองคำ จะได้บุญหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าน้อยกว่า ๑ ตันไม่ค่อยได้บุญหรอก เพราะของอาตมาใช้เยอะ..!


ถาม : ทองคำที่ได้มา เรานำมาขาย นำเงินมาใช้ส่วนหนึ่ง ทำประโยชน์และทำบุญให้เขาส่วนหนึ่ง จะทำได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ปกติที่อาตมาแนะนำ คือ ให้ตั้งใจว่าส่วนหนึ่งทำบุญในพุทธศาสนา ส่วนที่สองทำงานสาธารณประโยชน์ให้กับประชาชนทั่วไป ส่วนสุดท้ายค่อยเป็นของตนเอง แต่แบ่งให้ยุติธรรมหน่อย ไม่ใช่ส่วนสุดท้ายมากกว่าเพื่อน..!

เถรี
02-12-2014, 20:00
ถาม : ถ้าคืนไหนผมไม่สวดมนต์ ก็มักจะโดนอำ แล้วต้องตื่นมาสวดมนต์ทุกครั้ง หากวันไหนที่ตั้งใจไปตักบาตรแต่ลุกขึ้นจากที่นอนไม่ไหว ก็มีฝันอันน่าสะพรึงน่ากลัวมาก ๆ จนต้องลุกขึ้นไปตักบาตร ปัจจุบันถึงแม้จะสวดมนต์แต่ก็ยังโดนอำอยู่ ควรจะทำอย่างไรจึงจะไม่โดนอำครับ ?
ตอบ : เป็นสัญลักษณ์ให้เราทำความดี เขาช่วยส่งใบเตือนขนาดนั้นแล้ว

ถาม : สวดมนต์แล้วก็ยังโดนอำอยู่ ต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็สวดต่อไป คาดว่าไม่ใช่ผีอำ แต่เป็นการเข้าใจผิด เกิดจากกำลังใจที่ทรงสมาธิขั้นสูง จิตกับประสาทเริ่มแยกออกจากกัน ทำอะไรไม่ถนัดก็เลยคิดว่าผีอำ เพราะสมาธิแน่นทรงตัวแล้วขยับไม่ได้

ที่ ต.วังปลิง อ.สะเดา จ.สงขลา มีโยมผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง สมาธิทรงตัวเร็วมาก พอสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ก็แข็งทื่อเลย เขาใช้คำว่า “ต้องคอยเขย่าให้หลุด” พอขับไปหน่อยก็แข็งอีก ต้องคอยเขย่าให้หลุด เขาถามว่าเขาเป็นอะไร อาตมาตอบว่าขอให้เป็นอย่างนั้นบ่อย ๆ แต่เขย่าให้หลุดให้เร็วขึ้น เพราะเขาไม่รู้ว่า ทันทีที่เขาตั้งใจ สมาธิจะทรงตัว จิตกับประสาทเริ่มแยกออกจากกัน ต่อไปนี้คน ๆ นี้จะเข้าออกสมาธิได้เก่งมาก แต่เขาไม่รู้ว่าตัวเองได้สมาธิ

ถาม : อย่างนี้วิธีปฏิบัติคือ ?
ตอบ : ซักซ้อมการเข้าออกสมาธิให้เร็วขึ้น

ถาม : เคยใช้คาถาเงินล้านภาวนาขณะนอน รู้สึกนิ่ง ๆ ตัวโล่ง ๆ เหมือนจะลอยขึ้นไปข้างบน น่ากลัวมาก เหมือนมีแรงอะไรดูดเราออกจากร่าง ซึ่งผมไม่ทราบว่าเป็นอะไร บางทีก็ตัวแข็งไปหมด หายใจไม่ออกด้วย พอหยุดภาวนาทุกอย่างก็กลับสู่ปกติ และสติก็เตลิดเปิดเปิง ผมผ่านไม่พ้นจุดนี้สักทีครับ นี่คืออะไรและผมต้องทำอย่างไรต่อไปครับ ?
ตอบ : ทำเหมือนเดิมบ่อย ๆ แล้วตัดตัวกลัวตายให้ได้ นั่นเป็นอาการที่จะออกไปแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง ถ้าตราบใดที่ยังกลัวตายอยู่ ก็จะไปไหนไม่ได้ สภาพจิตยังเป็นห่วงร่างกาย จึงไม่ไปไหนเสียที

เถรี
02-12-2014, 20:05
ถาม : การเช่าพระกรุ อย่างเช่น พระสมเด็จวัดเกศไชโย ซึ่งเป็นของวัด ถ้าเราเช่าบูชาต่อมาจากคนอื่น เราบาปไหมครับ ? และถ้าเราอยากได้ไว้บูชาจริง ๆ เราร่วมชำระหนี้สงฆ์โดยการร่วมสร้างพระหน้าตักสี่ศอกปิดทองกับผู้อื่น แล้วหายกันหรือไม่อย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้ารู้อยู่ว่าเป็นของจากกรุภายในวัด อยากได้ด้วยความโลภ เช่ามาราคาถูกเพื่อเอาไปปล่อยราคาแพง ก็มีส่วนในการติดหนี้สงฆ์ไปเต็ม ๆ แต่ถ้าตั้งใจสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ร่วมกับเขา สามารถที่จะพ้นโทษนั้นได้ แต่ว่าให้ร่วมบุญกับเขามากหน่อย ไม่ใช่ทำบุญแค่บาทครึ่งบาทเท่านั้น

เถรี
02-12-2014, 20:08
ถาม : เคยทะเลาะกับแม่ เเล้วนำพวงมาลัยที่ซื้อมา ซึ่งตั้งใจว่าจะนำมาบูชาพระ โยนลงที่นอนอย่างเเรง เพราะกำลังโกรธ พอหายโกรธแล้วความตั้งใจเดิมปรากฏ จึงเดินไปดูพวงมาลัย เห็นว่าสภาพยังดีเหมือนเดิม ก็นำไปถวายพระที่บ้าน อย่างนี้ไม่ทราบว่าดิฉันมีบาปอย่างไรบ้างคะ ? แล้วจะแก้ไขอย่างไรดีคะ ? กังวลมากเลย
ตอบ : จะไปเกิดเป็นอสูร..! พวกอสูรเกิดจากการทำความดีผสมโทสะ ถ้าจะแก้ไขก็ขอขมาทั้งพระ ขอขมาทั้งแม่บ่อย ๆ อสูรอยู่ในเขตของเทวดา เพียงแต่ว่าสวยสู้เทวดาไม่ได้ เพราะหน้าหงิกตอนทำบุญ

ถาม : แต่ไม่ใช่อสุรกายที่จัดเป็นอบายภูมิใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเรียกก็คือ เทวอสุรกาย พวกที่อยู่ในอบายภูมิเป็น นิรยอสุรกายหรือเปตอสุรกาย

เถรี
02-12-2014, 20:13
ถาม : หนูเป็นคนพูดจาเรื่องไม่ดีของคนอื่น บางครั้งเรื่องก็ผ่านไปนานแล้ว แต่เวลาพูดไม่ดีมีผลสะท้อนกลับมาที่ตัวหนูเสมอ คือรู้สึกถึงพลังความร้อนหรือพลังอะไรก็ไม่รู้ เป็นลูก ๆ มาเผาตัวเองและที่สำคัญหลังจากนั้นจะรู้สึกผิดถึงผิดมาก สรุปหนูควรแก้อย่างไรดีทั้งเรื่องปากหมาและเรื่องความรู้สึกผิด ?
ตอบ : ก็เลิกทำ แสดงว่าดีชั่วก็รู้อยู่ แต่อดใจไม่ได้

ถาม : รู้สึกตัวว่าผิด ?
ตอบ : แพ้ใจตัวเอง แสดงว่ารู้ตัวแล้วว่าจะลงนรก เริ่มร้อนแล้ว

ถาม : มีวิธีแก้ไหมครับ ?
ตอบ : ก็เลิกทำ

ถาม : บางทีกำลังใจหวั่นไหวครับ อดใจไม่ได้ ?
ตอบ : นั่นเป็นแค่ข้อแก้ตัว

เถรี
02-12-2014, 20:19
ถาม : พระที่อาพาธ หมอและพยาบาลบอกให้ฉันข้าวเย็นได้เพราะว่าจะได้ฉันยาต่อ ไม่ทราบว่าพระพุทธเจ้าอนุญาตให้พระอาพาธฉันข้าวเย็นได้หรือไม่ ผิดพระวินัยหรือไม่คะ ?
ตอบ : ทรงอนุญาตแม้กระทั่งภิกษุผู้เฝ้าไข้ เพราะคนเฝ้าไข้บางทีงานหนักยิ่งกว่าคนป่วยอีก ถ้าไม่ได้ฉันอาหารตามมื้อปกติ อาจจะไม่มีกำลังพอดูแลคนไข้ได้ แต่ว่าต้องพอสมควร

อาตมาเคยไปนอนอยู่โรงพยาบาลสงฆ์ ปรากฏว่าเขาฉันมื้อแรกตอนตี ๕ มื้อที่สองตอน ๘ โมง มีอาหารว่างตอน ๑๐ โมง มื้อที่สามตอนเพล มื้อที่สี่ตอนบ่าย ๒ มื้อที่ห้าตอน ๕ โมงเย็น มื้อที่หกตอน ๒ ทุ่ม ถ้าอย่างนั้นอย่าฉันเลยดีกว่า อาตมาอยู่ของตัวเองดี ๆ ก็มาเซ้าซี้ “พระหนุ่ม ๆ ฉันมื้อเดียวอยู่ได้อย่างไร ?”

ที่สลดใจก็คือแต่ละคนหายป่วยแล้วแต่ไม่ยอมออกจากโรงพยาบาลสงฆ์ เพราะว่ามีโยมไปเลี้ยง ไปถวายปัจจัยกันมาก โดยเฉพาะจะแย่งกันอยู่เตียงข้าง ๆ ประตู เนื่องจากว่าโยมเข้ามาก็เริ่มถวายจากหน้าประตูไปก่อน ท่านเหล่านั้นทะเลาะกับพยาบาลหรือหมออยู่ทุกวัน หมอจะให้ออกจากโรงพยาบาลก็ไม่ยอมออก เป็นตายก็ไม่ยอมไป อาตมาทนอยู่ได้ ๓ วันก็ต้องออกไปอยู่วัด

ถาม : เคยไปเจอ ๕ เวลามาแล้วเหมือนกัน ?
ตอบ : ๕ เวลานั่นเขากินกันเอง โรงพยาบาลเขาเพิ่มแค่ตอน ๕ โมงเย็นให้เพื่อกินยาเท่านั้น

เถรี
02-12-2014, 20:20
ถาม : การที่พระนำเอาเงินสงฆ์ คือ เงินที่โยมตั้งใจถวายวัด ไปใช้เป็นเงินส่วนตัว โดยเจตนายักยอก ไม่ทราบว่าเข้าข่ายปาราชิกหรือไม่คะ ?
ตอบ : เจตนายักยอกแค่บาทเดียวก็ขาดความเป็นพระตั้งแต่แรกแล้ว

ถาม : แม้กระทั่งเงินสงฆ์ที่เขาถวายมาแล้วเราเอาไปใช้โดยไม่แจ้งสงฆ์ ?
ตอบ : แจ้งก็ไม่มีสิทธิ์ เงินสงฆ์ต้องใช้ในงานของสงฆ์เท่านั้น

เถรี
02-12-2014, 20:21
ถาม : กราบเรียนถามเรื่องยารักษาโรคเบาหวาน สูตรของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ที่ให้ใช้หญ้าแพรก ๑ กำมือ ขมิ้นชันขนาดเท่าหัวแม่มือ มาตำแล้วละลายด้วยน้ำปูนใสให้ได้ปริมาณ ๓๐ ซีซี อยากทราบว่าน้ำปูนใสใช้ปูนแดงหรือปูนขาวละลายน้ำครับ ? และอยากทราบว่าใช้ปูนเท่าไรต่อน้ำเท่าไรครับ ?
ตอบ : น่าจะใช้น้ำปูนคอนกรีตนะ ...(หัวเราะ)... อะไรจะไม่รู้ได้ขนาดนั้น แต่เด็กรุ่นนี้ก็ว่าไม่ได้ เพราะว่าบ้านเรากินหมากกันน้อยแล้ว ให้ใช้ปูนแดงประมาณหัวแม่มือละลายน้ำ ๑ ขัน ทิ้งเอาไว้จนน้ำใสเพราะปูนตกตะกอน แล้วก็เอามาใช้ ปูนแดงที่กินกับหมากนะจ๊ะ ไม่ใช่ปูนขาว..!

เถรี
02-12-2014, 20:22
ถาม : การที่ญาติโยมมาเลี้ยงเพลพระที่วัด หลังจากทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าภาพก็ตักเอากับข้าวที่ตนเองเอามา แจกจ่ายให้บรรดาแขกเหรื่อที่มาในงานของตนเองกลับบ้านด้วย เจตนาเพื่อทำทานแก่คนทั่วไป อยากถามว่ากับข้าวที่เจ้าภาพแจกจ่ายนั้นจะถือว่าเป็นของสงฆ์หรือไม่ ?
ตอบ : ไม่เป็นของสงฆ์ เป็นของเจ้าภาพ ของสงฆ์คือส่วนที่เขาถวายพระไป

ถาม : อ้าว...เขาเอาไปเลี้ยงเพลนี่ครับ ?
ตอบ : เขายกไปวัดเฉย ๆ ไม่ได้ให้พระทั้งหมด เขาตั้งใจจะแจกคนด้วย ส่วนที่ถวายสงฆ์ก็เป็นของสงฆ์ไป ส่วนที่ไม่ได้ถวายสงฆ์เขาจะให้ใครก็เป็นสิทธิ์ของเขา

เถรี
03-12-2014, 06:36
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่กว่าโยมจะออกจากบ้านก็สาย มาถึงนี่ก็ประดังกันมาตอนใกล้ ๆ เพล แล้วเพลก็เป็นเวลาที่พระจะไปฉัน ถามว่าเวลาอื่นได้ไหม ? ถ้าเคร่งครัดมาก ๆ ก็ควรที่จะตรงเวลา พระท่านมีเวลาแค่ชั่วโมงเดียว เวลาเพลจึงเป็นเวลาสำคัญของพระ ใครโทรมาตอนเพลอาตมาไม่รับสายเด็ดขาด ขนาดเจ้านายโทรมายังปล่อยให้กริ่งดังจนเลิกไปเอง ท่านเป็นพระก็รู้ว่าผมต้องฉันเพล

ถ้าถามว่าฉันมื้อเดียวสะดวกกว่าไหม ? ก็ต้องปรับกิจวัตรประจำวันกันขนาดใหญ่ เพราะว่าฉันมื้อเดียวก็ต้องฉันตอน ๙ โมง ไม่เกิน ๑๐ โมง แล้วก็ไม่ได้ฉันน้อยกว่าสองมื้อนะ ขอยืนยัน เพราะว่าตอนบวชใหม่ ๆ อาตมาก็ถือธุดงควัตร ฉันมื้อเดียว ฉันในบาตร ข้าวปลาอาหารตักรวม ๆ กัน บาตรเบอร์แปดครึ่ง ข้าวครึ่งบาตร ฉันไม่เหลือเลย ครึ่งบาตรนี่เทออกมาประมาณ ๔-๕ จาน ฉะนั้น..ฉันมื้อเดียวของอาตมานี่ รู้สึกฉันสองมื้อจะน้อยกว่า

ตอนไปธุดงค์เดินอยู่ในป่าเดือนหนึ่ง หลุดออกมาเจอบ้านคน ทางด้านรอยต่อระหว่างห้วยขาแข้งกับศรีสวัสดิ์ เป็นแพอยู่ริมน้ำ เจ้าของเป็นเถ้าแก่รับเหมาซื้อปลาจากชาวบ้าน เห็นพระก็ดีใจ นิมนต์ฉัน อุตส่าห์หุงข้าวมา มีหม้อข้าวไฟฟ้าใบเล็กอยู่ น่าจะหุงข้าวได้สักครึ่งลิตร ทำกับข้าวมาหลายอย่าง มีน้ำพริกผักต้ม มีปลาทอด มีต้มยำ เขาก็รอว่าพระฉันเสร็จแล้วจะกินต่อจากพระ อาตมาก็ฉันไปเรื่อย เงยหน้ามาอีกทีข้าวหมดหม้อ..! ถึงได้รู้ว่าชูชกท้องแตกตายได้อย่างไร

เดินในป่าเป็นเดือน ร่างกายขาดสารอาหาร ฉันเท่าไรจึงไม่รู้สึกอิ่ม พวกเราเคยฉันเท่าไร ต้องเอาแค่นั้นเลย อย่าไปว่าเพลิน..จะตายเอา ถึงได้ว่าเวลาอ่านในพระธรรมบทว่า ฤๅษีหรือโยคีไปปฏิบัติธรรมอยู่ในป่า ๓ เดือน ๖ เดือน อยากเปรี้ยวอยากเค็ม ก็เดินทางเข้ามาในเมือง เข้ามาหาอาหาร นั่นก็คือขาดสารอาหารเยอะ เข้ามาฉันให้มีกำลังแล้วกลับเข้าไปปฏิบัติธรรมใหม่ เจอมากับตัวเองถึงได้รู้ว่า ฉันสองมื้อของอาตมา น้อยกว่าฉันมื้อเดียวเยอะเลย"

เถรี
08-12-2014, 11:22
ถาม : ลูกพยายามใช้เวลาสวดมนต์ให้มากที่สุด ลูกจะหนีกรรมได้หรือไม่ ?
ตอบ : แล้วแม่ไม่คิดจะหนีหรือ ?

ถาม : อ๋อ..คือเขาแทนตัวเองว่าเป็นลูกครับ ?
ตอบ : ถ้าสวดมนต์เป็นจะหนีกรรมได้มาก เพราะว่าการสวดมนต์นั้น อันดับแรก..เกิดสมาธิ สังเกตว่าถ้าสมาธิเคลื่อนจะสวดผิด อันดับที่ ๒..ถ้าเราตั้งใจใช้คำสวดเป็นคำภาวนา ก็สามารถที่จะทรงฌานเวลาสวดได้ ผลที่จะได้รับก็มากขึ้นไปอีก อันดับที่ ๓..ถ้าสามารถยกจิตขึ้นพระนิพพานได้ ให้ขึ้นไปสวดถวายเป็นพุทธบูชาที่ข้างบนโน้น ถ้าตายตอนนั้นก็พ้นกรรมไปเลย อันดับสุดท้าย..ถ้าสามารถแปลออกว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนอะไร แล้วปฏิบัติตามนั้นก็จะเกิดประโยชน์แก่ตนยิ่งขึ้นไปอีก

ดังนั้น..ถามว่าสวดมนต์สามารถหนีกรรมได้ไหม ? ต้องบอกว่าอยู่ที่ตนเองทำได้มากน้อยเท่าไรก็จะหนีกรรมได้มากน้อยเท่านั้น

ถาม : นี่ขนาดแค่สวดมนต์อย่างเดียวนะครับ ?
ตอบ : ที่ว่า “แค่นี้” คือแค่นี้ของเรา แต่ถ้าทำเป็นก็ได้ผลมาก

เถรี
08-12-2014, 11:23
ถาม : ขณะที่ลูกขับรถไปทำงาน ก็ขอขมาพระรัตนตรัยโดยการขึ้นไปกราบพระวิสุทธิเทพบนพระนิพพาน เป็นวิธีที่ถูกต้องหรือไม่ครับ ?
ตอบ : การยกใจขึ้นไปขอขมาบนพระนิพพานถือว่าเป็นการขอขมาตรงเลย ถ้าทำได้บ่อย ๆ จะดีมาก แต่ต้องระวัง..อย่าให้กำลังใจส่วนใหญ่เกาะข้างบน เพราะจะบังคับร่างกายได้ยาก เดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุ..!

เถรี
08-12-2014, 11:24
ถาม : ที่บ้านมีต้นโพธิ์ขึ้นติดกับครัว ลูกตัดไปหลายครั้งแล้ว จะบาปหรือไม่ ก่อนตัดก็ไหว้ขอขมาแล้ว ?
ตอบ : ถ้าเป็นต้นไม้ใหญ่ซึ่งขึ้นในที่ไม่สมควร เราโค่นทิ้งไปได้เลย เทวดาท่านไม่อยู่หรอก เพราะรู้ว่าไม่ช้าก็จะโดนเขาตัดทิ้ง

เถรี
08-12-2014, 11:24
ถาม : ลูกอยากทราบเรื่องการขอพลังแสงทิพย์สมเด็จพระนเรศวรที่วัดวรเชษฐ์ฯ มีจริงหรือไม่ ? ทำเพื่อประโยชน์อะไรคะ ?
ตอบ : เรื่องนี้ต้องไปถามคนที่ทำ อาตมาไม่ได้ทำ ตอบแทนไม่ได้

เถรี
08-12-2014, 11:24
ถาม : สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง ได้ขึ้นไปข้างบนแล้วไม่เจออิสลาม เนื่องจากอะไร ?
ตอบ : เนื่องจากไม่ได้เจอ..!

เถรี
08-12-2014, 11:25
ถาม : นรกสวรรค์ของทุกศาสนาคือที่เดียวกัน แล้วผู้ควบคุมนรกสวรรค์ของศาสนาอื่น จะเป็นท่านเดียวกันกับของศาสนาพุทธหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ว่าจะศาสนาไหนก็นรกสวรรค์แห่งเดียวกันทั้งหมด ผู้ดูแลก็เป็นผู้เดียวกัน

ถาม : แล้วเรื่องของภาษาพูดใช้ภาษาใจหรือว่าภาษาอะไรครับ ?
ตอบ : เราใช้ภาษาใดจะได้ยินเป็นภาษานั้น

เถรี
08-12-2014, 11:26
ถาม : บ่อยครั้งที่มีข่าวต้นไม้ออกผลเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ ทำให้ชาวบ้านมากราบไหว้แล้วถูกหวยกัน อยากทราบว่าสิ่งที่ถูกต้องคืออะไรครับ ?
ตอบ : สิ่งที่ถูกต้องคือถูกหวย..!

ถาม : อย่างไรครับพระอาจารย์ ?
ตอบ : การถูกหวยเกิดจากการที่เราเคยสร้างบุญไว้ การที่เราได้ลาภมาจากการถูกหวย ต้องเคยสร้างทานบารมีมาในอดีต แต่คราวนี้ไปให้ผลตอนไปกราบไหว้สิ่งประหลาด ๆ เหล่านั้นพอดี ถ้าเป็นเพราะกราบไหว้สิ่งเหล่านั้นแล้วถูกหวย ก็ต้องถูกกันทั้งประเทศไปแล้ว

เถรี
08-12-2014, 11:27
ถาม : หลวงพ่อพระราชพรหมยานวัดท่าซุง ทำไมท่านถึงลาพุทธภูมิ ? แล้วลูกศิษย์ไม่ตามท่านจะมีผลอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถามท่านก็แล้วกันว่าทำไม ลูกศิษย์ถ้าไม่ตามท่านก็จงเกิดต่อไป

เถรี
08-12-2014, 11:27
ถาม : เคยฝึกมโนมยิทธิแล้วมีคนมาทัก ทำให้ตัวเองไม่เชื่อมั่น สงสัยในการทำสมาธิ ความจริงเป็นอย่างไรและต้องแก้ไขอย่างไรคะ ?
ตอบ : เลิกเชื่อที่เขามาทัก

ถาม : แล้วที่เกิดความหวั่นไหวสงสัยไปแล้วจะทำอย่างไรละครับ ?
ตอบ : ก็เลิกเชื่อ

ถาม : ก็เลิกแต่ว่าสงสัยนะครับพระอาจารย์
ตอบ : เลิกเชื่อก็จะเลิกสงสัย

เถรี
08-12-2014, 11:39
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้อาตมามีหน้าที่นั่งเสกมีดหมอ เพราะว่าช่างส่งมีดหมอเพชราวุธมาแล้ว ๖๐ กว่าเล่ม เต็มห้องเลย ยังเหลืออีก ๒๐ กว่าเล่ม ส่งมาหมดเมื่อไรก็จะเริ่มเปิดจองแล้ว ใครได้โควตาพิเศษแล้วห้ามจองซ้ำ"

เถรี
10-12-2014, 12:15
ถาม : เมื่อวานนี้โยมพิจารณา... พอเห็นแล้ว จึงย้ายความรู้สึกตรงนี้ออกไป ลบความรู้สึกความยึดมั่นถือมั่น ความรู้สึกจะว่างเปล่า เหมือนกับไม่มีความคิด อยากจะถามว่าถูกบ้างไหม ?
ตอบ : ถามว่าถูกไหม ? ถูก..แต่เกินความต้องการไปหน่อย เอาแค่ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ทุกอย่างไม่มีสาระก็พอแล้ว การพิจารณาในลักษณะของเราไม่ใช่การพิจารณา แต่เป็นการใช้สมาธิในอรูปฌาน ถ้าการพิจารณาที่ใช้ปัญญาจริง ๆ เขาต้องถอยสมาธิออกมาก่อน แล้วค่อยพิจารณา สังเกตไหมว่าของเราไม่ได้คลายสมาธิออกมา เพียงแต่ว่าเปลี่ยนอารมณ์สมาธิ

ถาม : ไม่รู้เลยค่ะ ?
ตอบ : ไม่รู้เลยใช่ไหม ? ลองไปสังเกตว่าเราไม่ได้ทิ้งการภาวนาเลย เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการภาวนาเท่านั้นเอง ลักษณะคล้าย ๆ กับอรูปฌาน คราวหน้าก่อนที่จะพิจารณาเราก็ถอยกำลังออกมา อยู่อารมณ์สบาย ๆ ตามปกติของเรา แล้วก็ค่อย ๆ คิดดู ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด แม้กระทั่งร่างกายของเราหรือคนอื่นก็เหมือน ๆ กัน จึงไม่มีอะไรให้ยึดมั่นถือมั่นได้ ตัวเราก็ตาย ตัวเขาก็ตาย ไม่มีใครดีใครเลวกว่ากันหรอก เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปเหมือน ๆ กัน

พอพิจารณาไปเรื่อย ๆ สภาพจิตจะทรงตัวเป็นสมาธิ ก็จะย้อนกลับไปภาวนาใหม่ ส่วนที่โยมว่ามานั่นเป็นการทรงสมาธิไม่ปล่อย แต่ว่าการทรงสมาธิอยู่ เราสามารถที่จะรักษาอารมณ์อะไรบางอย่างเอาไว้ได้ อย่างเช่น อารมณ์อรูปฌานในลักษณะของการกำหนดพิจารณาความไม่มีอะไร ทำไปแล้วกันเท่าที่ทำได้ อรูปฌานกำลังก็เหลือเฟือเหมือนกัน เพียงแต่ว่าถ้าติดอยู่แค่นั้นก็ลำบากหน่อย

เถรี
10-12-2014, 12:19
ถาม : อภิญญาที่รักษา ...(ไม่ชัด)...
ตอบ : ไม่มี..ถ้าอยากจะทำอย่างนั้นได้ ต้องซ้อมให้คล่องตัวในกสิณ ๑๐ พูดง่าย ๆ ก็คือต้องสำเร็จอภิญญา ๕ แล้วก็ค่อยไปปรับธาตุเอา แต่ส่วนใหญ่คนที่เขาทำได้ระดับนี้ ไม่มีใครเขาอยากอยู่หรอก เขาก็ยอมรับกฎของกรรมไป ถ้าไม่ใช่เพราะภาระเยอะแยะมากมาย ใครเขาอยากจะอยู่กัน อยู่ ๑ วันก็ทุกข์ ๑ วัน อยู่ ๒ วันก็ทุกข์ ๒ วัน เขาเข้าใจได้ถูกต้องแล้ว

เถรี
10-12-2014, 12:22
ถาม : เวลาจะพิจารณา จะทำสมาธิ หรือภาวนาตามลำดับ เหมือนกับว่าร้อน เลยคิดว่าจะทำอย่างไรดี ?
ตอบ : เวลาเรานั่งสมาธิ ถ้ากำลังใจทรงตัว ลมหายใจจะละเอียดขึ้น การแลกเปลี่ยนออกซิเจนในร่างกายจะดีขึ้น ก็เลยทำให้การเผาผลาญในร่างกายมีมากขึ้น ในเมื่อการเผาผลาญมีมากขึ้น ก็ย่อมต้องร้อนเป็นปกติ จนกว่าเราจะสามารถเข้าเมื่อไรออกเมื่อไรก็ได้ตามใจนึกของเรา ถ้าอย่างนั้นก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้ว

ถาม : หมายถึงว่าเราก็คลายออกมา ?
ตอบ : คลายออกมาด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะถ้าคลายออกมาจนไม่เหลืออะไรไว้ป้องกันตัวเลย กิเลสจะมาตีเราอีก หรือไม่ก็เอาน้ำราดให้หายร้อน..!

เถรี
10-12-2014, 12:28
ถาม : ภาวนาและทำอย่างอื่นไปด้วย เหมือนคนปกติ ?
ตอบ : ทำได้..ในลักษณะแยกจิตทำงานหลายอย่างพร้อม ๆ กัน ให้สังเกตว่าถ้าเราเน้นไปข้างหนึ่ง อาจจะลืมไปอีกข้างหนึ่ง เพราะเราไม่มีความชำนาญพอ ต้องซ้อมทำไปจนกระทั่งความรู้สึกทั้งสองฝ่ายชัดเจนเสมอกัน แล้วจะเพิ่มเป็นฝ่ายที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ไปอีกก็ได้ แต่ว่าการทำแบบนั้น พอไปถึงระยะหลัง ๆ แล้วจะเกิดโทษบางส่วนขึ้น ก็คือสภาพจิตหนึ่งภาวนา แล้วอีกจิตหนึ่งฟุ้งซ่านได้

ถ้าไม่อยากให้ฟุ้งลักษณะนั้น ต้องรวมจิตทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเดียวกัน กลับมาอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกของเราเสียใหม่ สมัยก่อนอาตมาชอบเล่นมากเลย ทำหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน แต่พอทำไปทำมาแล้ว ท้ายสุดได้ความคล่องตัวในกีฬาสมาธิ แต่พอเผลอแล้วสภาพจิตฟุ้งง่าย ตรงนี้นิ่ง แต่ตรงนั้นคิดสารพัด แล้วท้ายสุดก็ต้องดึงกลับมารวมกัน กว่าจะหาวิธีแก้ได้รำคาญอยู่ตั้งนาน เอ๊ะ..เป็นอะไร ฟุ้งไปเรื่อยทั้ง ๆ ที่เราก็ภาวนาอยู่

ถาม : ตัวแรกฟุ้งก่อน แล้วก็ไปจับตรงที่ฟุ้ง ปรากฏว่ามีตัวที่สามฟุ้งมา ทีนี้เอาไม่อยู่ ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นต้องหาอย่างอื่นทำ จนกระทั่งเริ่มลืม ๆ ไป แล้วก็ค่อยกลับมาภาวนาใหม่ เอาอย่างเดียวก่อน จนกระทั่งกำลังใจมั่นคงพอที่จะต่อต้านกับกิเลสได้ แล้วค่อยไปเล่นอย่างอื่น ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวโดนกิเลสตีตาย..!

เถรี
10-12-2014, 12:31
ถาม : ไม่มีตู้ให้หยอดทำบุญหรือคะ ?
ตอบ : ไม่มี..ถ้าจะทำก็ทำตรงนี้เลย เพราะเจ้าของบ้านท่านไม่ชอบเห็นตู้เยอะ ๆ ท่านบอกว่าเหมือนตั้งใจจะเอาเงินอย่างไรก็ไม่รู้ ท่านก็เลยไม่ให้ตั้งตู้ ในเมื่อนโยบายท่านเป็นอย่างนั้น อาตมาก็ต้องตามใจ

เถรี
10-12-2014, 12:41
พระอาจารย์กล่าวกับคุณหญิง (ณญาดา ศราภัยวานิช) ว่า "จะให้หญิงจัดเรื่องไปเนปาล ยังไม่มีใครจัด ถ้าอาตมาขืนจัดเองเดี๋ยวเครื่องบินไม่พอนั่ง ให้จำกัดยอดด้วย อันดับแรกคือต้องตรวจสอบเรื่องที่พัก ถ้าในภักตรปุระไม่มีโรงแรมที่รับคณะใหญ่ ๆ ได้ ก็ต้องพักที่กาฐมาณฑุ แล้วจากกาฐมาณฑุก็ต้องเดินทางไปภัตรปุระอีก ๑๒-๑๓ กิโลเมตร แล้วระยะทาง ๑๒-๑๓ กิโลเมตรบ้านเขานี่ไม่เหมือนบ้านเรานะ

สำรวจที่พักกับราคา จะได้รู้ว่าเราจะจำกัดยอดได้เท่าไร ไม่ใช่เรื่องสนุกหรอก ค่าเครื่องบินก็หลายหมื่นบาท ที่แนะนำก็คือเนปาลแอร์ไลน์ เพราะว่าแอร์เอเชียต้องไปต่อเครื่องที่มาเลเซีย จะยุ่งมาก ถ้าไม่ได้ภาษา อ่านหนังสือไม่ออกนี่วุ่นวายตายชักเลย ส่วนการบินไทยแพงเกิน เนปาลแอร์ไลน์นั่นแหละ ดูเอาวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เป็นวันหลัก เพราะว่าเป็นวันที่เราไปทอดกฐิน แล้วจะไปก่อนไปหลังอย่างไรค่อยว่ากันอีกที เพราะเนปาลแอร์ไลน์ไม่ได้บินทุกวัน

กฐินของเราวันเสาร์ ถ้าไปวันศุกร์ ทอดเสาร์ กลับอาทิตย์ได้ก็จะประหยัดที่สุด แต่ถ้าจำเป็นก็ต้องเอา เพราะว่าที่พักน่าจะแพง ประมาณ ๒๕ ดอลลาร์ต่อคนต่อวันนะจ๊ะ ไม่ใช่ต่อคนต่อห้องนะ คุณจะนอน ๒ คน ๓ คน ก็เสียคนละ ๒๕ ดอลลาร์ทั้งนั้น แล้วก็บริหารดี ๆ อย่าให้เขาฆ่ากันตาย..! ดูท่าคนอยากไปกันเยอะ"

เถรี
10-12-2014, 13:53
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครรู้จัก คุณบุญนำ สุขสกุล บ้างไหม ? พระที่เขาจองตั้งแต่งาน ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย ยังไม่มารับ ทิดมงคลชัยก็สึกไปเรียบร้อยแล้ว คุณบุญนำที่จะมารับแทนก็ไม่มา เจ้าตัวก็ไม่มา"

เถรี
10-12-2014, 13:58
ถาม : ผมไปถวายเพลที่วัดหนึ่งเขาจัดงาน พอถวายเสร็จเขาก็บอกว่า จะเอาไปถวายเพลพระที่มาร่วมงาน ปรากฏว่าถึงเวลาจริง ๆ พระท่านที่เป็นเจ้าหน้าที่คว้าของผมไปกินคนเดียวโดด ๆ ไม่ทราบว่าอานิสงส์สังฆทานผมจะได้ไหมครับ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจไว้ก็ได้ แต่พระที่ฉันคนเดียวก็เฮงไป ถ้าไม่ทันตั้งใจไว้ก็ยกให้ท่านไปเถอะ

เถรี
10-12-2014, 14:01
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาอยู่ที่วัดท่าซุงทั้งหมด ๑๘ ปี มีอยู่ปีเดียวที่วัดท่าซุงหนาวที่สุดคือ ๑๖ องศาเซลเซียส อยู่ทองผาภูมิ ๒๒ ปี ปีที่หนาวที่สุด ๒.๕ องศาเซลเซียส เพราะฉะนั้น..ตอนนี้จ้างให้กลับไปวัดท่าซุงก็ไม่ไปแล้ว ร้อนเป็นบ้าเลย ช่วงนี้อากาศของทองผาภูมิกำลังสบาย ๑๘-๑๙ องศาเซลเซียส เช้า ๆ นี่หมอกท่วมเมืองเลย

เรื่องของอาหาร เรื่องของอากาศ เรื่องของบุคคล เรื่องของสถานที่ เรื่องของธรรมะ เหล่านี้ถ้าหากว่าเหมาะสม การปฏิบัติก็จะเจริญได้ง่าย คราวนี้บางคนไม่ชอบหนาว ไปเจอที่หนาวมาก ๆ ก็แย่ บางคนอยู่ภาคอีสานหรือภาคเหนือไม่ได้ เพราะว่าส่วนใหญ่เป็นข้าวเหนียวข้าวนึ่ง ต้องหาที่เหมาะสมสำหรับตัวเอง"

เถรี
10-12-2014, 14:04
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันก่อนไปบวงสรวงในงานฉลองศาลาการเปรียญของวัดมาบฟักทอง อยู่ที่บางละมุง ห่างจากวัดญาณสังวรารามประมาณ ๓-๔ กิโลเมตร เกิดมาก็ไม่เคยได้ยินชื่อ แต่ปรากฏว่าเข้าไปแล้ววัดใหญ่ ศาลาสร้างได้สวยทีเดียว ของเขาหมดไป ๑๐ กว่าล้านบาท แล้วก็ไปเจอหลวงตาแจ่ม เป็นรุ่นน้องที่ห่างจนไม่ทันกัน บวชที่วัดท่าซุงแล้วออกไปตั้งสำนักสงฆ์อยู่ใกล้ ๆ แถวนั้น วัดของท่านอยู่ห่างจากวัดมาบฟักทองออกไปประมาณ ๓๐๐ เมตรเอง เสียดายว่าบวงสรวงเสร็จแล้วต้องขอตัวรีบกลับมาฉันเพลที่กรุงเทพฯ ก็เลยไม่ทันแวะไปดูวัดของหลวงตาแจ่มท่านว่าเป็นอย่างไร

ที่วัดนั้นความจริงไม่ได้รู้จักท่าน แต่ว่าที่ไปเพราะว่าโยมที่เป็นเจ้าภาพสร้างศาลาคุ้นเคยกับตุ๊ป้อสิงห์ วัดถ้ำป่าไผ่ ตุ๊ป้อสิงห์ท่านแนะนำว่า “ถ้าจะบวงสรวงแล้วให้ดี ต้องนิมนต์พระอาจารย์เล็กวัดท่าขนุนมาด้วย” ตกลงว่าตุ๊ป้อท่านก็เลยสบาย"

เถรี
10-12-2014, 14:05
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาจะทำพิธีพุทธาภิเษกมีดหมอปลายเดือนมกราคม คราวนี้รีบสุดชีวิตแล้ว มีดหมอสร้างได้ไม่มาก ตอนนี้ในห้องก็ ๖๐ กว่าเล่ม อาตมามีหน้าที่นั่งเสกทุกวัน เพราะว่ามีดรุ่นนี้ฝังตะกรุด ก็เลยทำให้หาเหล็กที่หนาพอจะฝังตะกรุดได้ยาก นอกจากหาเหล็กได้ยากแล้ว ช่างฝีมือก็ยังหาได้ยากอีกด้วย

ยังเหลืออีก ๒๐ กว่าเล่มเหล็กก็จะหมด แล้วโรงงานก็ไม่ผลิตเหล็กแบบนี้อีกแล้ว ถ้าทำเสร็จครบก็น่าจะได้ ๘๐ กว่าเล่ม เดี๋ยวได้ตีกันตาย เพราะฉะนั้น..จึงให้หามีดไปเข้าพิธีกันเอง ปกติอาตมาใช้มีดของทางบ้านจ่าตุ่มเป็นหลัก ปรากฏว่าตอนนี้ช่างหมีที่เป็นช่างประจำ สายตาไม่ค่อยดี ทำไม่ค่อยไหวแล้ว บอกว่าจะเกษียณตัวเองเร็ว ๆ นี้"

เถรี
10-12-2014, 19:24
พระอาจารย์กล่าวถึงมณฑปพระทองคำว่า "คราวนี้จะอลังการงานสร้างมาก ตอนแรกไม่นึกว่าจะได้เฮียจั๊ว (นายเซียงจั๊ว แซ่ตั้ง) มา เพราะว่าลูกศิษย์คนแรกที่ทำงานเกี่ยวกับด้านนี้บอกว่า ไปซ่อมพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทอยู่ อาตมาไม่กล้าไปรบกวนเขา ปรากฏว่าไป ๆ มา ๆ เขาคงจะทำงานร่วมกับเฮียจั๊ว

รายโน้นได้รางวัลอะไรสักอย่างจากสมเด็จพระเทพฯ เกี่ยวกับการออกแบบลวดลายไทย คนเขาฝีมือระดับนี้แล้ว จะออกแบบอลังการแค่ไหนก็ได้ สำคัญตรงที่ว่าจะทำให้เหมือนกับแบบ ก็ต้องได้ฝีมือระดับนี้ด้วยกันอย่างเฮียจั๊ว

อาตมาให้แนวคิดคุณประพนทัศน์ไป บอกเขาว่าเคยเห็นมณฑปโบราณที่ทรงเหมือนเรือแล้วมี ๓ ยอดไหม ? เขาบอกเคยเห็น ก็บอกว่านั่นแหละ พยายามปรับให้ออกมาคล้ายแบบนั้นให้ได้แล้วกัน ของเก่าเขาจะโค้งมากเหมือนอย่างกับเรือเลย ตอนนี้ก็เท่ากับมีอะไรสนุก ๆ ให้ทำอีกเยอะ จะไปสิ้นสุดโครงการโน่น เดือนมิถุนายนปี ๒๕๕๙ ปี ๒๕๕๘ พวกเราฉลองศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย ปี ๒๕๕๙ พวกเราก็ฉลองมณฑป ๑๐๐ ปีหลวงพ่อวัดท่าซุง ถึงเวลาหล่อพระพุทธรูปทองคำเสร็จ เราก็ฉลองพระกันต่อ อาจจะตรงกับช่วง ๑๐๐ ปีหลวงพ่อวัดท่าซุงด้วย

เดี๋ยวต้องดูแบบจากช่างปัทม์ (นายปัทม์ บุณยรังค์) ให้ช่างปัทม์เขาหล่อพระพุทธรูปเป็นบรอนซ์องค์หนึ่งก่อน ถึงจะแพงหน่อย แต่ก็เพื่อจะคำนวณได้ว่าจริง ๆ แล้วต้องใช้ทองคำเท่าไร ถ้าไม่พอจะได้หาเพิ่ม ถ้าพอแล้วอาจจะทำเลย ตอนแรกก็ว่าท่านอาจารย์สุชาติแกปั้นลายสวยมากเลย จะให้อาจารย์สุชาติปั้นองค์พระพร้อมลาย แล้วหล่อทีเดียวให้จบเรื่องไปเลยดีไหม ? แต่พอนึก ๆ ดูแล้ว เรื่องของเครื่องทรงพระนี่ ถ้าถอดไม่ได้ก็เหมือนกับไม่ได้อย่างใจ ต้องถอดได้ จึงต้องสร้างเครื่องทรงต่างหาก

ตอนแรกมณฑปจะปิดทองประดับคริสตัล ก็คิดว่าถ้าใช้ไม้สักทองจะแพงโดยใช่เหตุ แต่ช่างเขาบอกว่าไม้สักทองจะแกะลายได้เนียนที่สุด ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็ต้องยอมแพงหน่อย เพราะถ้าใช้ไม้อย่างอื่นแกะแล้วมาปิดทอง อย่างไรก็ไม่เห็นเนื้อไม้อยู่แล้ว..ใช่ไหม ? ปรากฏว่าเขาบอกว่าไม้สักทองแกะได้ลายเนียนที่สุด ถึงปิดทองแล้วไม่เห็นเนื้อไม้ก็ต้องยอม

คนอื่นเขาทำงานจะช้า เพราะว่าเขารอจนมีเจ้าภาพแล้วเขาถึงทำ ส่วนอาตมาทำไปเรื่อย ๆ คนโน้นให้บ้างคนนี้ให้บ้าง ก็พอไปเอง"

เถรี
10-12-2014, 19:34
ถาม : รถเฉี่ยวชนบ่อยค่ะ ?
ตอบ : เฉี่ยวชนบ่อยหรือ ? ขาย..ซื้อคันใหม่ไปเลย..! ก็เอาไปให้หลวงปู่หลวงพ่อที่ไหนเจิมเสียหน่อยสิจ๊ะ เฉี่ยวชนบ่อยอยู่ที่เราขับกระมัง ? สมัยก่อนมีน้องผู้หญิงอยู่คนหนึ่งขับรถ อาตมานั่งนี่หัวใจเกือบจะวายตาย เขาขับตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว ไม่ได้สนใจใครเลย ดูว่าถ้าเราขับรถแข็งแล้วเฉี่ยวชนบ่อย ก็เอารถไปเจิมเสียหน่อย ถ้าหากว่าเราขับรถไม่แข็ง เฉี่ยวชนบ่อยก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

เถรี
10-12-2014, 19:43
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของฤกษ์ยามปี ๒๕๕๘ ต้องขอปรับตามปฏิทินทั่วไปก่อนนะจ๊ะ แล้วจะยื่นเรื่องประท้วง คือปัจจุบันนี้การคำนวณฤกษ์ยามปฏิทินมาจาก ๒ สายด้วยกัน ก็เลยทำให้ต่างกันไป แต่ว่าโดยมาตรฐานแล้ว การคำนวณต้องอยู่ในรอบ ๑๑ ปี กับรอบ ๘ ปี

รอบ ๑๑ ปีก็คือ ๓ ปีมี ๘ สองหนครั้งหนึ่ง ๓ ปีมี ๘ สองหนครั้งหนึ่ง ๓ ปีมี ๘ สองหนครั้งหนึ่ง แล้วก็ ๒ ปีมี ๘ สองหนครั้งหนึ่ง รวมแล้วเป็นรอบ ๑๑ ปี

ถ้ารอบ ๘ ปีก็คือ ๓ ปีมี ๘ สองหนครั้งหนึ่ง ๓ ปีมี ๘ สองหนครั้งหนึ่ง แล้วก็ ๒ ปีมี ๘ สองหนครั้งหนึ่ง คราวนี้พอเอา ๘ กับ ๑๑ มารวมกัน ก็จะเป็นรอบ ๑๙ ปี ซึ่งวันเวลาจะตรงกันทั้งทางสุริยคติและจันทรคติพอดี ก็คือถ้าจะเอารอบใหญ่ตรงกันจริง ๆ ต้อง ๑๙ ปีครั้งหนึ่ง

แต่คราวนี้ไม่ทราบเหมือนกันว่าตำราอื่นเขาคำนวณกันอย่างไร จึงมาพลาด แล้วเขาก็เลยตามเลยมา ๒ ปีแล้ว ไม่อย่างนั้นปีที่ผ่านมาของเรานี่ ต้องมีวันแรม ๑๕ ค่ำเดือน ๗ แต่ของเขาไม่มี ในเมื่อของเขาไม่มีเท่ากับพลาดไปวันหนึ่ง ฤกษ์ปีหน้า (๒๕๕๘) ก็เลยมั่วไปหมด งานต่าง ๆ คงต้องขอพระท่านสงเคราะห์ให้เป็นพิเศษ คือถ้าพระท่านสงเคราะห์ ฤกษ์อะไรก็ได้ แต่คราวนี้ในเมื่อส่วนรวมไปใช้อันที่เราว่าผิด จึงยุ่งกันใหญ่

เรื่องนี้ถ้าไม่ได้ศึกษาทางโหราศาสตร์มา ก็จะกลุ้มว่าเขาคิดกันอย่างไร ? โบราณท่านใช้คำว่า "เดือนคี่ดับคู่ เดือนคู่ดับคี่" ก็คือว่าเดือนที่เป็นเดือนยี่ เดือน ๔ เดือน ๖ เดือน ๘ เดือน ๑๒ ข้างแรมเดือนดับจะมีถึงแรม ๑๕ ค่ำ ส่วนเดือนคี่ดับคู่ก็คือ เดือนอ้าย เดือน ๓ เดือน ๕ เดือน ๗ เดือน ๙ เดือน ๑๑ ข้างแรมจะมีแค่แรม ๑๔ ค่ำ เป็นเลขคู่ ก็เลยจำง่าย ๆ ว่าเดือนคี่ดับคู่ เดือนคู่ดับคี่

ฟังแล้วคนไม่มีพื้นฐานก็เมาไปเลยว่าคืออะไร ? คราวนี้เดือนทางจันทรคติก็จะมี ๒๙ วัน หรือ ๓๐ วัน ส่วนเดือนทางสุริยคติจะมี ๓๐ วัน กับ ๓๑ วัน ยกเว้นเดือนกุมภาพันธ์ที่มี ๒๙ วันหรือ ๒๘ วัน ซึ่งเขาถือตามปฏิทินเกรกอเรียน ทางด้านจันทรคติของเราท่านเก่ง ท่านปรับสูตรตามที่ว่า คือ สูตร ๑๑ และสูตร ๘ พอ ๑๑ กับ ๘ รวมกันเป็น ๑๙ ปี วันทางจันทรคติกับสุริยคติจะมาตรงกันพอดี ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าท่านทั้งหลายที่ทำปฏิทินของปีนี้เมาอะไรขึ้นมา พลาดไปได้ขนาดนั้น คือถ้าผิดทีหนึ่งก็จะผิดยาวไปเลย"

เถรี
10-12-2014, 19:47
ถาม : ...(ไม่ได้ยิน)...?
ตอบ : ถ้าหากว่าดาวเสาร์ไม่ได้ย้ายมาอยู่ในราศีของเรา ก็ไม่ต้องทำพิธีรับอะไรหรอก เพราะท่านไม่ได้มายุ่งเกี่ยวอะไรกับเรา คนที่ดาวเสาร์ย้ายเข้าราศีควรจะทำพิธีรับนิดหนึ่ง

ถาม : ทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ยุ่งตายชักเลย ต้องใช้ของสีม่วงซึ่งเป็นสีของดาวเสาร์ วัสดุก็จะมีธงสีม่วงจำนวนเท่ากับกำลังของพระเสาร์ก็คือ ๑๐ จะมีธงสีม่วง ๑๐ ข้าวตอก ๑๐ ดอกไม้สีม่วง ๑๐ เงิน ๑๐ บาท เป็นต้น จะเพิ่มอาหาร ๑๐ ชุด ผลไม้ ๑๐ อย่าง ของหวาน ๑๐ อย่างไปด้วยก็ได้ จัดเอาไปถวายพระ แล้วอุทิศส่วนกุศลให้พระเสาร์ไป ก็เท่ากับว่าเทวดาชั้นจาตุมหาราชต้องเดือดร้อน เพราะว่าเทวดานพเคราะห์ท่านยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์เป็นปกติ ซึ่งเทวดาชั้นที่ต้องยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์เป็นปกติก็คือชั้นจาตุมหาราช ท่านก็ต้องหาคนมารับหน้าที่ไป

เถรี
10-12-2014, 19:50
ถาม : คนทำชั่วมาทั้งชีวิต ก่อนตายเกาะพระได้ก็ไปพระนิพพาน แบบนี้ก็ไม่ยุติธรรมสิครับ ?
ตอบ : ฟังให้ดี ๆ นะ บุคคลที่ทำดีในอดีต ทำชั่วในปัจจุบัน ไม่แน่ว่าจะไปชั่ว เพราะมีผลบุญที่ดีในอดีตรับรองอยู่ บุคคลที่ทำชั่วในอดีต ทำดีในปัจจุบัน ไม่แน่ว่าจะไปดี เพราะผลของความชั่วเก่ามีอยู่ เราจะไปสรุปอย่างที่ว่ามานั้นไม่ได้

พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลที่สามารถทำทิพจักขุญาณอันบริสุทธิ์ให้เกิดขึ้นได้ รู้เห็นนรกสวรรค์ แล้วกล่าวว่าบุคคลทำดีไปสวรรค์โดยส่วนเดียว บุคคลทำความชั่วไปนรกโดยส่วนเดียว ตถาคตขอกล่าวว่าไม่ใช่

บุคคลที่ทำดีในอดีต ทำดีในปัจจุบัน ไปดีแน่นอน
บุคคลที่ทำดีในอดีต ทำชั่วในปัจจุบัน ไม่แน่ว่าจะไปชั่ว
บุคคลที่ทำชั่วในอดีต ทำชั่วในปัจจุบัน ไปนรกแน่นอน
บุคคลที่ทำชั่วในอดีต ทำดีในปัจจุบัน ไม่แน่ว่าจะไปดี

เพราะฉะนั้น..ที่ว่ามานั่นเข้าใจผิด โดยเฉพาะถ้าเกาะพระได้แล้วไปพระนิพพานนี่ยิ่งเข้าใจผิดไปหลายโยชน์เลย เกาะพระได้ไปสุคติแน่ แต่ไม่ใช่ไปพระนิพพาน ส่วนที่เราบอกว่าไม่ยุติธรรมนั้น จริง ๆ แล้วยุติธรรมมาก อย่างมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ทำชั่วมาทั้งชีวิต เกาะพระนิดเดียวตอนท้าย ไปอยู่ดาวดึงส์ แต่มีอายุแค่ ๗ วันของดาวดึงส์เท่านั้น ยุติธรรมไหม ? ไม่ยุติธรรมหรือ ? ก็เขาทำดีมาแค่นั้น แต่ในอดีตเขาเคยสร้างความดี ก็คือเคยสร้างพระพุทธรูปมา ทำให้วาระสุดท้ายของชีวิต นอกจากพระพุทธเจ้าเดินผ่านให้เกาะได้แล้ว ยังเป็นวาระที่พระองค์ท่านเสด็จขึ้นไปโปรดพระพุทธมารดาพอดี ได้ฟังเทศน์กลายเป็นพระโสดาบัน ก็เลยอยู่มาจนบัดนี้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วไปทำดีตอนท้ายนิดเดียว ถ้าอย่างนั้นไม่ไม่ยุติธรรมแน่ เรื่องกฎของกรรมยุติธรรมที่สุด เรารู้จริงหรือเปล่าเท่านั้น

เถรี
10-12-2014, 19:58
ถาม : การมัดตราสัง ?
ตอบ : การมัดตราสังคนตายเป็นการแสดงออกซึ่งปริศนาธรรม ให้คนที่ไปงานศพได้เห็น ห่วงลูกเหมือนโดนผูกคอ ห่วงทรัพย์สินเหมือนกับโดนผูกเท้า ห่วงเรื่องของสามีภรรยาเหมือนโดนผูกมือ เขาทำให้ดูว่าถ้ามีห่วงอยู่ ก็ยังเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ ถ้าอยากจะพ้นการเวียนว่ายตายเกิดก็ต้องหมดห่วง คราวนี้พวกเราไม่ได้ไปดูในเรื่องของปริศนาธรรม แต่ไปสงสัยว่าทำไมต้องมามัดกันด้วย

ถาม : ต้องมัดแน่นจนลุกไม่ได้ ?
ตอบ : เขาไม่ได้มัดขนาดนั้น เขาเอาแค่สายสิญจน์เส้นเดียว มัดอย่างไรก็มัดไม่อยู่หรอก เพราะฉะนั้น..สัปเหร่อที่ค่อนข้างมีประสบการณ์ ก่อนจะเผามักจะใช้มีดตัดเส้นเอ็นก่อน เขาจะเอาปลายมีดกดตัดเอ็นแถวข้อพับมือข้อพับเท้า ถึงเวลาเผาแล้วเอ็นหด ศพจะได้ไม่ลุกนั่งให้คนเขาตกใจ

ถาม : เขาว่าต้องจับขาถ่างให้ห่างกันไว้ ถ้าขาติดกันเดี๋ยวจะมีคนตายติด ๆ กันไปอีก ?
ตอบ : อันนี้ก็เหมือนกัน ทางวัดท่าซุงจะไม่เคยมีตายศพเดียว ภายใน ๗ วันจะต้องมีอีกศพหนึ่ง หรือไม่ก็อาจจะเป็นศพที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ไปเลย เขาบอกไอ้พวกท่าซุงขี้เหงา ไม่ยอมตายคนเดียว เขาให้สังเกตดู อาตมาอยู่มา ๖ - ๗ ปีตอนที่เป็นพระ จริง ๆ ด้วย สวดศพจะต้องได้สวดคู่เป็นประจำ ก็เป็นเรื่องประหลาดดีเหมือนกัน ของคุณถ้าทำแล้วสบายใจก็ทำให้เขาหน่อย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะกลายเป็น "ตายตามไปจริง ๆ ด้วยเว้ย..!" เดี๋ยวก็เลื่องลือกันไปใหญ่

ถาม : ตายพร้อมกันเพราะผูกกรรม ?
ตอบ : มักจะทำกรรมมาใกล้เคียงกัน ดีไม่ดีก็ทำมาเหมือนกันเลย จึงไปด้วยกัน วันก่อนมีข่าวสามีภรรยาตายพร้อมกันวันเดียวกัน อันนั้นไม่ใช่อุบัติเหตุนะ แก่ตาย..ตายวันเดียวกันเลย แสดงว่ารักกันจริง ทำกรรมมาเสมอกัน

เถรี
10-12-2014, 20:03
ถาม : ยมทูตเอาตัวคนที่นามสกุลผิดไป ?
ตอบ : ชื่อนามสกุลต่างกันยังเอาผิดไปเลย ปกติแล้วไม่ค่อยผิดหรอกจ้ะ ท่านแค่ต้องการให้คนไปดูบ้าง ว่าการที่ทำดีทำชั่วแล้วผลเป็นอย่างไร เสร็จแล้วก็เอามาคืน จะได้บอกกับคนที่พอจะมีบุญอยู่บ้าง ถ้าคนไม่มีบุญบอกให้ตายก็ไม่เชื่อ

ถาม : ถ้าคืนไม่ทัน ?
ตอบ : ยังไม่มีตัวอย่างที่คืนไม่ทัน แล้วเขาบอกหรือเปล่าว่าอีกนานเท่าไหร่ถึงจะมาเอา ? ...(หัวเราะ)... ถ้าบอกว่าอีกนานเท่าไรจะมาเอานี่ เตรียมตัวได้เลยจ้ะ ถึงเวลาต้องไปแน่ ๆ

ถาม : ถ้าพระท่านเจิมรถเรา แล้วจะมีแม่ย่านางมาคุ้มครองไหมคะ ?
ตอบ : ไม่แน่จ้ะ...ถ้าพระที่ท่านเจิม ท่านอัญเชิญเทวดาได้ก็จะมี แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่แม่ย่านางหรอก ส่วนใหญ่เป็น "พ่อปู่นาย" เสียเยอะ ถ้าเชิญไม่เป็น ไม่มีเทวดามารักษา ก็ไม่มีแม่ย่านาง อาตมาเองใช้รถมา ๕ คันก็เพิ่งจะมีผู้หญิงมารักษาคนเดียว ขอยืนยันว่าผู้หญิงชั้นจาตุมหาราชดุฉิบหา..เลย..!

เถรี
10-12-2014, 20:11
ถาม : ถ้าเราเปิดเทปบวงสรวงเอง แล้วเจิม ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วถ้าทำอย่างนั้นได้จะดีมากเลย เพราะหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้ตั้งแต่ตอนท่านอายุมากแล้วเจิมรถไม่ไหว ท่านบอกว่าให้เปิดเทปบวงสรวง เสร็จแล้วก็ตั้งใจนึกถึงภาพพระครอบเราลงมา คิดว่าเป็นพระท่านเจิมให้ ไม่ใช่ตัวเราเจิม เราเป็นแค่ผู้แทนเท่านั้น ท่านสอนให้ทำอย่างนั้นเองเลย

เถรี
10-12-2014, 20:13
ถาม : การดูลายมือมีหลักอย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : ถ้าจะเอาละเอียดจริง ๆ ต้องดูทุก ๑๕ วัน เพราะว่าอย่างเส้นลายมือนี่ ๑๕ วันจะเปลี่ยนทีหนึ่ง เส้นหลัก ๆ อาจจะไม่เปลี่ยน แต่ว่าถ้าเส้นรองจะเปลี่ยน เพราะฉะนั้น..หมอดูที่มีความสามารถจริง ๆ จะดูให้ทุก ๑๕ วัน แล้วสามารถบอกรายละเอียดได้เหมือนตาเห็นเลยก็มี เพียงแต่หายาก อาตมาเองวันก่อนมานั่งเล็ง ๆ ตายละวา..ปกติเส้นอาทิตย์ของอาตมาสั้นนิดเดียว ตอนนี้ยาวต่อกันหมดแล้ว เพราะฉะนั้น..ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปก็รับเงินอย่างเดียว..!

ถาม : อยากได้บ้างค่ะ ?
ตอบ : อยากได้ให้เอามีดกรีด เส้นจะได้ขึ้นคม ๆ ชัด ๆ..!

เถรี
10-12-2014, 20:20
ถาม : การยอมรับสภาพความเป็นจริงของร่างกาย ?
ตอบ : สภาพจิตของเราเห็นและยอมรับว่า ร่างกายนี้มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ เป็นทุกข์เป็นปกติ สกปรกเป็นปกติ ให้เรากับมันก็ตายพังจากกันไป ต่อให้รักแค่ไหนก็ไม่สามารถยึดเป็นตัวตนของเราได้ ให้ใจของเรายอมรับว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ พอถึงเวลาคิดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราแล้วจิตไม่เถียง ไม่ใช่พอเขาตี ก็ "โอ๊ย..! ตีกูทำไม ?"

ถาม : เวลาเป็นสมาธิแล้วร่างกายโยก ?
ตอบ : ปล่อยเลยจ้ะ เพราะว่าสภาพจิตเริ่มเข้าช่วงปีติก่อนจะเป็นฌาน ต้องปล่อยให้ตึงตังโครมครามให้เต็มที่ไปเลย แล้วก็จะเลิกไปเอง ถ้าเราไม่ปล่อย ไปอายเขา แล้วบังคับให้หยุด ก็จะหยุด แต่ถ้าทำถึงตรงนั้นอีกเมื่อไรก็จะเป็นอีก เพราะฉะนั้น..ต้องปล่อยให้เต็มที่ไปเลยทีเดียว

ถาม : เป็นอุปาทาน ?
ตอบ : จะอุปาทานอีท่าไหนเล่า ? ก็โยกจริง ๆ ถ้าไม่เชื่อก็ตั้งโทรศัพท์ถ่ายคลิปเอาไว้ พอถึงเวลาก็มาเปิดดูคลิปของเราเองว่าโยกแค่ไหน

เถรี
10-12-2014, 20:30
ถาม : ฆราวาสที่บรรลุที่ต้องตายใน ๗ วัน ?
ตอบ : ถ้าถึงเวลานั้นแล้ว เขาไม่อยากอยู่กันแล้วจ้ะ เพราะฉะนั้น..ถ้าอยากจะตายก็ตายไปเถอะ ส่วนผู้ชายเองถ้าไม่มีงานไม่มีอะไรแล้วก็..บ๊ายบาย ไปแล้วเหมือนกัน ถึงตอนนั้นจะรู้สึกว่าร่างกายนี้ไร้สาระไร้แก่นสารมาก เบื่อหน่ายมาก ๆ เลย อยู่ต่อแม้แต่อึดใจเดียวก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เหลือจะทน เขาจึงไม่ขวนขวายเพื่ออยู่หรอก แต่เนื่องจากความเข้าถึงธรรมทำให้มีปัญญามาก เขาก็ไม่ดิ้นรนที่จะตายเหมือนกัน ปล่อยไปตามวาระของกรรม

ถาม : ไปนอนให้เลือดมา เห็นเลือดแล้วจะช็อกเป็นลม ...(ไม่ชัด)... ?
ตอบ : ไม่ได้จ้ะ ถ้าไม่ถึงวาระอย่างไรก็ไม่ตาย แต่ที่ช็อกนั่นร่างกายตัดระบบเอง ต่อไปก่อนให้เลือดสั่งร่างกายว่า “ห้ามช็อก..ห้ามเป็นลม ห้ามช็อก..ห้ามเป็นลม” ภาวนาจนเป็นฌานไปเลย คือร่างกายของเราสามารถตั้งระบบได้ ถ้าระบบอ่อนก็จะตัดเร็ว สมัยก่อนอาตมาเห็นเลือดก็เป็นลมแล้ว สมัยนี้เอาดาบมายังไม่กลัวเลย สรุปก็คือกลัวตายนั่นแหละ

พอกลัวตายถึงเวลาร่างกายก็ตัดระบบให้ทำงานช้าที่สุด ถ้าเสียเลือดช้าจะได้ตายช้าหน่อย ถ้าหากว่าเราสั่งเขา บอกเขาว่าอย่าเป็น อายเขา เลิกเป็นได้แล้ว ถ้าเราตั้งโปรแกรมของเราอย่างนี้ใหม่ ๆ อยู่เรื่อย เดี๋ยวร่างกายเขาก็จะตั้งระบบใหม่ตามมาเอง เพราะฉะนั้น..ต้องไปให้เลือดใหม่อีก ๒-๓ ครั้ง ตั้งระบบให้ชิน เดี๋ยวก็ดีขึ้นไปเอง

เถรี
10-12-2014, 20:30
ถาม : พระพี่น้องที่ลอยแพมา ?
ตอบ : เขาว่าอย่างนั้น แต่ความจริงเป็นพระที่ชาวบ้านเขาเอาลอยแพหนีพม่ามา ในเมื่อลอยมาหลาย ๆ องค์พร้อมกัน เขาก็นับเป็นพี่เป็นน้องกัน

ถาม : ลอยมาเองหรือคะ ?
ตอบ : ตีเสียว่าลอยแพมาง่ายที่สุด อย่าไปคิดว่าลอยมาเองหรืออะไร เพราะบางคนจะคิดว่า เป็นโลหะลอยได้อย่างไรวะ ?

เถรี
10-12-2014, 20:31
ถาม : ออกรถใหม่ต้องทำอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ออกแล้วก็ขับสิจ๊ะ..!

เถรี
11-12-2014, 12:06
ถาม : ท่านที่ปฏิบัติถึงระดับที่มีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ท่านใช้ร่างกายนี้แบบแยกออกจากใจ เหมือนเราขับรถไหมคะ ?
ตอบ : ใช้ตามปกติจ้ะ เพียงแต่ใช้โดยให้รู้ตัวอยู่ตลอดว่าไม่ใช่เรา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นสักแต่ว่าทำ ตาเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น มือสัมผัสก็สักแต่ว่าสัมผัส

ถาม : ท่านจัดการกับการรับรู้อย่างไรคะ เมื่อท่านเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส หรือสัมผัสต่าง ๆ แล้ว แต่ไม่ปรุงแต่ง ?
ตอบ : เป็นเพียงกิริยา ในเมื่อเป็นกิริยาก็สักแต่ว่าทำ ๆ ไป ไม่ต้องมีมายา ก็คือไม่ต้องไปแสดงออกเพื่อใคร ไม่ต้องไปปรุงแต่งเพื่ออะไรต่อมิอะไร

ถาม : ท่านคิดว่าร่างกายนี้เป็นภาระไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ได้เป็นภาระอะไร เพราะสภาพจิตของท่าน ท่านไม่ได้แบกอะไร ก็สักแต่ว่าทำ ๆ ไป เหมือนกับสักแต่ว่ากิน ๆ ไปสักมื้อหนึ่ง

ถาม : เวลากิน ท่านคิดถึงร่างกายว่าปฎิกูลเลี้ยงปฏิกูลไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าถึงระดับนั้นก็ไม่ต้องไปเสียเวลาปฏิกูลแล้ว ใจยอมรับตั้งแต่แรกแล้ว

ถาม : อ้อ..ที่คิดอย่างนั้น เอาไว้สำหรับฝึก ?
ตอบ : จ้ะ..ท่านเห็นเป็นปกติอยู่แล้ว อย่างที่ภาษาบาลีว่า เนวะ ทวายะ นะ มะทายะ นะ มัณฑะนายะ นะ วิภูสะนายะ ไม่กินเพื่อความมึนเมา ไม่กินเพื่อการประดับ ไม่กินเพื่อการตกแต่ง ก็คือว่าไม่ติดในรสอาหาร ไม่กินอวดร่ำอวดรวย ประดับตกแต่งก็คือกินอวดร่ำอวดรวยนั่นแหละ แล้วก็กินเพื่อยังสภาพร่างกายนี้ไว้ เพื่ออนุเคราะห์ต่อการปฏิบัติธรรมเท่านั้น ท่านใช้คำว่า พรัมมะจะริยานุคคะหายะ อนุเคราะห์ต่อการประพฤติพรหมจรรย์

อิติ ปุราณัญจะ เวทะนัง ปะฏิหังขามิ นะวัญจะ เวทะนัง นะ อุปปาเทสสามิ เพื่อระงับซึ่งเวทนาเก่า แล้วก็บรรเทาเวทนาใหม่ที่จะเกิดขึ้น ถ้าร่างกายปั่นป่วนมาก ๆ ก็ไม่สามารถที่จะปฏิบัติธรรมได้

เถรี
11-12-2014, 19:10
พระอาจารย์กล่าวกับเด็กนักเรียนโรงเรียนเทพศิรินทร์ว่า "ถ้าหากว่าเรียนดีกีฬาเด่นก็ครบถ้วน ถ้าหากว่าดีด้านเดียวก็กลายเป็นว่าขาดไปส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้น..บอลจตุรมิตรสามัคคี ระยะหลังเทพศิรินทร์ผูกปีแพ้ ปีนี้ชนะได้ ขนาดอาตมาไม่ใช่ศิษย์เก่าเทพศิรินทร์ยังดีใจแทนเลย ชนะได้สักที ขืนแพ้นานไปเดี๋ยวเฉา คือประเภทแพ้แล้วแพ้อีกแล้วไม่ท้อถอยนั้นหายาก ต้องมีแพ้บ้างชนะบ้างจะได้มีกำลังใจ พระพุทธเจ้าตรัสว่า อัตตา หะเว ชิตัง เสยโย การชนะตนได้เป็นดีที่สุด ชนะอย่างอื่นไปก็เท่านั้นแหละ"

เถรี
11-12-2014, 19:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "รองานสร้างมณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำนี้เสร็จแล้ว เฮียจั๊วก็คงสบายใจ อายุ ๗๐ กว่าแล้ว ขอทิ้งผลงานเอาไว้อีกสักชิ้นหนึ่ง ตอนนี้อยู่ในระหว่างที่ถ่ายแบบเป็น ๑ ต่อ ๑ ก็คือขนาดเท่าของจริง แต่คราวนี้ก็ต้องใช้ระยะเวลา น่าจะประมาณอีกเดือนหนึ่ง กว่าแบบจะเสร็จ ช่วงนี้เขาว่าอยู่ในระหว่างหาวัสดุ พอดีเขามีไม้สักทองใหญ่ที่เป็นไม้เก่า เหลือจากซ่อมเรือพระราชพิธีกับซ่อมพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทอยู่ อาตมาบอกว่าขนมาได้เลย

ปกติแล้วค่าถ่ายแบบจะเป็น ๕ เปอร์เซ็นต์ของราคาที่เซ็นสัญญา ก็แปลว่าอาตมาจะต้องจ่ายประมาณ ๖๒๕,๐๐๐ บาท แต่เขาทำให้ฟรี ๆ และเป็นช่วงจังหวะพอดี จะทำงานทีไรจะมีคนเข้ามาพอดี จึงเชื่อแล้วว่าขอให้ทำตามที่หลวงพ่อบอกเถอะ ท่านเตรียมทุกอย่างไว้แล้วแหละ"

เถรี
11-12-2014, 19:28
พระอาจารย์กล่าวว่า "บรรดาพิณพาทย์ สะล้อ ซอ ซึง เครื่องสายเก่า ๆ ฟังแล้วเย็น พวกดนตรีรุ่นใหม่ ๆ พวกร็อก พวกพังก์ นี่ประเภทฟังแล้ว รัก โลภ โกรธ หลง กำเริบ เฮฟวี่เมทัล..ใช่ไหม ? ฟังกันหูจะพัง ต้องพวกหูเหล็กถึงจะฟังได้ คาดว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้อายุมากหน่อย ต้องมีปัญหาเรื่องการได้ยินอย่างแน่นอน

งานสงกรานต์ที่จังหวัดกาญจนบุรี จะเป็นเวลาโชว์เครื่องเสียง บรรดารถต่าง ๆ บ้านต่าง ๆ จะเอาเครื่องเสียงมาเปิดกันสนั่นหวั่นไหวไปหมด บางทีอาตมาวิ่งรถผ่านไปประมาณ ๑ กิโลเมตร โดนเครื่องเสียงอัดจนเหนื่อยเลย กระแทกตึง ๆ อัดจนแทบจะตาย บ้านโน้นก็ขนโฮมเธียเตอร์มา บ้านนี้ก็เครื่องเสียง ไอ้นั่นเปิดรถทั้งคัน ดูแล้วลำโพงประมาณ ๒๐ ตัว แล้วเขาทนฟังของเขาได้อย่างไรก็ไม่รู้ ?"

เถรี
13-12-2014, 07:03
ถาม : หลวงพ่อเคยเห็นดวงแก้ววิเศษของหลวงพ่อวัดท่าซุงบ้างไหมครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าแก้วจักรพรรดิ เคยเห็นออกจะบ่อยไป เคยถ่ายรูปลงเว็บเอาไว้ด้วย เป็นดวงแก้วที่ประหลาดมาก ถ้าเราดูด้วยสายตา จะเหมือนเป็นเนื้อหินอ่อนทึบลาย ๆ แต่พอไฟส่องกลับใสสว่าง เป็นเรื่องประหลาดดีเหมือนกัน มีทั้งองค์ใหญ่และองค์เล็ก

ส่วนของอาตมาเอง เป็นแบบที่โบราณเรียกว่าแก้วอินทนิล ถ้าสมัยนี้คงเรียกว่าแก้วมรกต ขนาดน่าจะประมาณกำปั้น แล้วก็จะมีเป็นแก้วสุริยกานต์กับแก้วจันทรกานต์อีกอย่างละ ๑ ดวง ของอาตมาไม่ใช่แก้วจักรพรรดิอย่างของหลวงพ่อวัดท่าซุงท่าน เป็นคนละอย่างกัน แก้วสุริยกานต์จะเป็นสีแดง จันทรกานต์จะเป็นสีน้ำเงิน ทั้ง ๒ อย่างนี้เขาบอกว่าห้ามพกด้วยกัน แต่อาตมาพกมาตลอด โดยเอาแก้วอินทนิลไว้ตรงกลางก็หมดเรื่อง เขาบอกว่า ๒ อย่างนี้พลังจะหักล้างกันเอง จนอาจจะสร้างความวิบัติให้กับเจ้าของ แต่คราวนี้ของอาตมามีแก้วอินทนิลองค์ใหญ่อยู่ ก็เลยเอากั้นกลางไว้เป็นกรรมการห้ามมวย

แก้วอินทนิลเคยลงภาพไว้ในเว็บท่าขนุน ลองไปหาดูแล้วกัน แต่ว่าสองอย่างหลังนี่ไม่กล้าลง ที่ไม่กล้าลงเพราะบางคนเขาบอกว่าเนื้อแก้วเป็นเพชร ถ้าเพชรขนาดนั้นนี่อาตมาประมาณราคาไม่ถูกหรอก ใหญ่กว่าไข่นกพิราบตั้งเยอะ ประมาณไข่ไก่ขนาดกลางเห็นจะได้..!

เถรี
13-12-2014, 12:59
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าในเรื่องของมีดต้องดูชาวบ้าน ชาวบ้านมีมีดเหน็บเล่มหนึ่งกับมีไฟ เข้าป่าไปไม่อดตายหรอก มีดเล่มเดียวหากินได้สารพัด แล้วมีดชาวบ้านเขาใช้อยู่ทุกวัน ๆ สวยอย่าบอกใครเลย มีดของเราเผลอหน่อยเดียวก็ทิ้งให้สนิมกิน มีคนเคยถามว่ามีดหมอลับได้หรือเปล่า ? อาตมาขอยืนยันว่าตั้งแต่เด็ก ๆ มา เห็นมีดหมอหลวงพ่อเดิมเขาลับใช้งานกันเป็นปกติทุกเล่ม เพราะว่าสมัยก่อนมีดหมอคือมีดใช้งาน เพียงแต่ว่ามีพุทธคุณ ต้องระมัดระวังเก็บไว้ในที่สูง เขาลับใช้กันเป็นปกติ

โดยเฉพาะพวกเสือพวกโจรหนังเหนียว ๆ นี่เจอมีดหมอหลวงพ่อเดิมเข้าไปเปื่อยหมด มีดหมอถ้าลับใช้งานให้ระมัดระวังอย่าให้บาดตัวเอง เพราะว่าแผลจะรักษาไม่หาย เคล็ดลับก็คือใช้ด้ามมีดหมอฝนกับน้ำแล้วทาแผลถึงจะหาย ตอนหลังพอหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านออกน้ำมันชาตรีมา อาตมาก็เลิกฝนด้ามมีดหมอ ใช้น้ำมันชาตรีทาแทน

หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว ออกทั้งมีดทั้งดาบ แต่ว่าคนไม่ค่อยได้กัน เพราะว่าของท่านพิธีการทำยาก เตรียมโลหะเตรียมอะไรกว่าจะทำได้แต่ละเล่ม หลวงปู่ยิ้มท่านเป็นปรมาจารย์เก่ายุคไล่ ๆ กับหลวงปู่ศุขโน่น สมัยก่อนเจ้าเมืองกาญจนบุรี พอเวลาเข้ากรุงเทพฯ มาถวายรายงานข้อราชการ บรรดาเจ้าใหญ่นายโตก็ถาม “เจ้าคุณ..มีของขลังของหลวงพ่อเฒ่ายิ้มมาหรือเปล่า ?” สมัยก่อนการเดินทางยาก ถ้าไม่ใช่หน้าที่ราชการจริง ๆ ไม่ค่อยมีใครอยากไปหรอก ทางเมืองกาญจน์ ฯ ป่าเสือป่าช้างทั้งนั้น เพราะฉะนั้น..ถ้ามีคนมาจากเมืองกาญจน์ เขาก็ขอเอาดื้อ ๆ เลย

หลวงปู่ยิ้มท่านเป็นอาจารย์ของหลวงปู่เหรียญ วัดหนองบัว หลวงปู่ดี วัดเหนือ หลวงปู่สอน วัดทุ่งลาดหญ้า หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ นั่นก็ลูกศิษย์หลวงปู่ยิ้มทั้งนั้น ว่ากันว่าหลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้ ก็เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ยิ้ม แต่ว่าหลวงปู่เปลี่ยนท่านมีพื้นฐานการปฏิบัติมาก่อน ก็เลยไม่ได้ไปเรียนนานแบบคนอื่นเขา พอไม่ได้ไปเรียนนาน หลายคนเลยไม่ได้นับหลวงปู่เปลี่ยนเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ยิ้ม ถ้าถามว่าหลวงปู่เปลี่ยนอาวุโสระดับไหน ? อาวุโสระดับท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัด แล้วตั้งหลวงปู่ดีเป็นพระใบฎีกาฐานานุกรมของท่านได้ แสดงว่าท่านต้องบวชก่อนอย่างน้อย ๑๐-๒๐ ปี

ถ้าถามว่าหลวงปู่สอน วัดทุ่งลาดหญ้า เก่งแบบไหน ? ก็ต้องดูหลวงพ่อลำไย ลูกศิษย์ท่านก็พอ ส่วนหลวงปู่ม่วง วัดบ้านทวนนี่มาอีกสายหนึ่งเลย จากหลวงปู่ม่วงก็เป็นหลวงปู่เพิ่ม หลวงปู่ซ้ง"

เถรี
13-12-2014, 14:42
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เหมือนกับมีวันนี้วันเดียว ถ้าเราทำหน้าที่ของเราดีที่สุดแล้ว ถึงเวลาก็สามารถจากไปอย่างสง่างามที่สุด ไม่ต้องให้ใครเขาตำหนิ ไม่ต้องให้ใครเขาด่าว่าตามหลังไป

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ทำ ๆ ไปก่อนอย่าเพิ่งเล่นตัว ขอให้เข้าใจว่าตราบใดที่เรายังอยู่ในโลกมนุษย์ เรายังต้องกินต้องใช้อยู่ การทำงานของเราก็ถือเป็นการปฏิบัติธรรม ก็คือช่วยให้เราเห็นความทุกข์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ถาม : แล้วจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์แก่โลกมากกว่านี้ ?
ตอบ : ถ้าเราไม่ทำตัวให้เป็นภาระแก่โลกก็พอแล้ว

ถาม : ปลูกผัก ปลูกข้าว ก็มีแมลง ต้องฆ่า ?
ตอบ : เขามีวิธีการอยู่เยอะแยะไป มีทั้งวิธีทางธรรมชาติหรือวิธีทางสารเคมีก็เลือกไป อาตมาเคยทำมาก่อน ที่บ้านก่อนหน้านี้เป็นสวนผัก แต่ปรากฏว่ามาระยะหลัง พอรัฐบาลสนับสนุนสินค้าส่งออก สมัยนั้นก็จะเน้นเรื่องข้าว ไม้สัก ข้าวโพด ยางพารา น้ำตาล ฯลฯ รอบบ้านเขาก็เปลี่ยนไปปลูกอ้อยกันหมด คราวนี้พอเนื้อที่เป็นพันเป็นหมื่นไร่กลายเป็นไร่อ้อยหมด ก็เหลือผักอยู่แค่กระจุกเดียว แมลงมีเท่าไรก็มารุมอยู่ตรงนั้น ก็ต้องหาวิธีว่าทำอย่างไรเราถึงจะป้องกันได้

คราวนี้จะไปซื้อสารเคมีอะไรก็ลำบาก ก็ต้องใช้วิธีปลูกพืชที่แมลงไม่ชอบเอาไว้ ก็มีพวกกระเพรา ดาวเรือง พวกผักที่ส่งกลิ่นฉุน ๆ กลบกลิ่นผักอื่นหมด แมลงก็หาไม่เจอ เพียงแต่ว่าถ้าที่หลายไร่จะลำบาก เราจะดูแลยาก ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ต้องลงทุนปลูกผักกางมุ้ง

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ก็ไม่จำเป็น ต้องประเภทแบ่งกันคนละครึ่ง เอ็งกินไปครึ่งหนึ่ง เหลือให้ข้าครึ่งหนึ่ง

ปลูกผักกางมุ้งจ้ะ ยอมลงทุนสักนิดหนึ่ง ทำประตู ๒-๓ ชั้น ถึงเวลาเดินเข้าซองไปก่อน เปิดประตูหนึ่งเข้าซองย้อนมา แล้วเปิดอีกประตูหนึ่งค่อยเข้าไปในแปลงผัก ก็พอที่จะกันได้ แต่ถ้าเล็ก ๆ ไม่พอให้แมลงกินหรอก ต้องทำเยอะหน่อย

เถรี
13-12-2014, 14:51
ถาม : มีเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และรูปปั้นพระยาพิชัยดาบหัก ควรจัดโต๊ะหมู่บูชาอย่างไรคะ ?
ตอบ : เอาพระประธานเป็นหลัก หลังจากนั้นก็เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ รูปปั้นพระยาพิชัยดาบหักให้อยู่ล่างสุด

เถรี
13-12-2014, 14:52
ถาม : เวลาเราได้บางสิ่งมาแบบบังเอิญ ?
ตอบ : คำว่าบังเอิญในโลกนี้ไม่มี ทุกอย่างเป็นไปตามวาระบุญวาระกรรม

ถาม : แล้วจะตีความอย่างไร ?
ตอบ : ก็ไม่ต้องตีความอะไร มีโอกาสไปวัดก็เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว แต่ถ้าให้ดีกว่านั้นคือวัดใจของเราว่ามีความดีหรือเปล่า? ถ้าไม่มีก็เร่งสร้างขึ้นมา ถ้ามีอยู่แล้วก็เร่งทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป

เถรี
13-12-2014, 14:56
ถาม : วัตถุมงคลจำเป็นต้องมีหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าเรามั่นใจในความดี นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้เป็นปกติ ไม่ต้องมีก็ได้ แต่คราวนี้เนื่องจากว่าเราเองต่อให้เก่งขนาดไหน โอกาสเผลอย่อมมี ในเมื่อโอกาสเผลอมี ถ้าหากว่ามีพระติดตัวไว้หน่อยก็จะมั่นใจได้มากกว่า

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ได้..สำคัญที่ว่าเรานึกถึงพระได้ไหม ? ตื่นเช้ามาขออาราธนาบารมีท่านช่วยคุ้มครองรักษา ถ้าวันนี้เราหมดอายุขัยตายลงไป หรือเกิดอุบัติเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิต ก็ขอไปอยู่กับท่าน ให้ตั้งใจอย่างนั้น

ถาม : ควรเลือกวัตถุมงคลแบบไหน ?
ตอบ : ความจริงจะบอกว่าเอาที่เราศรัทธา แต่บางคนบอกว่าต้องตรงกิเลสด้วย คือเอาที่เราชอบด้วย

เถรี
14-12-2014, 13:03
ถาม : ไปทอดกฐินที่วัดอัปสรสวรรค์ ?
ตอบ : วัดอัปสรสวรรค์เป็นวัดที่มีพระประธานมากที่สุด พระประธานในโบสถ์ ๒๘ องค์ เขาสร้างตามความที่มีในพระไตรปิฎกว่า พระพุทธเจ้าท่านพบพระพุทธเจ้าในอดีตมาทั้งหมด ๒๔ พระองค์ แล้วในกัปแรกที่พระองค์ท่านได้รับพยากรณ์มีพระพุทธเจ้าอีก ๓ องค์ รวมกับตัวพระองค์ท่านเป็น ๒๘ พระองค์ เขาก็เลยสร้างพระพุทธรูป ๒๘ พระองค์เป็นพระประธาน เอาทีเดียวให้คุ้ม

ถาม : แล้ว ๓ องค์รุ่นแรกเลย คือ.. ?
ตอบ : ๓ องค์รุ่นแรกคือพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ตัณหังกร เมธังกร และ สรณังกร เกิดในกัปเดียวกับพระพุทธเจ้าพระนามว่าทีปังกร แต่ว่าผ่านไปแล้ว พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเรา ได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้านามว่าทีปังกร แล้วมีพระพุทธเจ้าถัดมาอีก ๒๔ พระองค์ถึงได้ตรัสรู้

ถาม : ๓ องค์รุ่นแรกนี่คือก่อนองค์พระพุทธเจ้าทีปังกร ?
ตอบ : ก่อนหน้านั้นมีสามล้านกว่าพระองค์ พระพุทธเจ้ามีพระนามว่าทีปังกรเป็นองค์ที่ ๔ ของ ๒๔ องค์ล่าสุด

เถรี
14-12-2014, 13:09
ถาม : .(ไม่ชัด)... ลำบากไหม ?
ตอบ : ลำบากไหม ? อาตมาไม่เคยคิดตั้งเลย เพราะรู้ว่าความดีไม่พอที่จะไปถวายพระนามให้พระพุทธเจ้าท่าน แต่เห็นเขานิยมตั้งกันจัง

ถาม : พระสมเด็จองค์ปฐม ก็คือองค์ที่พิษณุโลก ?
ตอบ : คำว่าสมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ปฐม เกิดขึ้นโดยหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเรียก ก็แปลว่าเกิดขึ้นไม่นาน แต่องค์ที่พิษณุโลก สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระเจ้าศรีทรงธรรมปิฎก หรือที่เรียกว่าสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ต้องบอกว่ายุคสมัยห่างกันเยอะ

ถาม : แล้วองค์ที่พิษณุโลกกับองค์ปฐมที่วัดท่าซุง เรานึกถึงองค์ไหน ?
ตอบ : ไหว้แล้วเรานึกถึงพระองค์ไหนก็เป็นพระองค์นั้นแหละ พระพุทธรูปเขาสร้างไว้เป็นพุทธานุสติ คือเป็นเครื่องระลึกถึง เพราะฉะนั้น..เราจะนึกถึงพระพุทธเจ้าพระองค์ไหน ก็ไหว้แล้วก็นึกเอา

ถาม : ถ้าเราคิดถึงทุกองค์ละคะ ?
ตอบ : ก็เรานึกถึงทุกพระองค์ได้ไหมเล่า ? ถ้านึกถึงทุกองค์ได้ก็เท่ากับได้ไหว้ทุกพระองค์

เถรี
14-12-2014, 13:20
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "เครื่องประดับถ้าเป็นวัสดุงาช้าง อย่าใส่ไปต่างประเทศนะจ๊ะ บางประเทศนี่เขาจับติดคุกเลย อาตมาไปต่างประเทศยังต้องปลดมีดหมอด้ามงาช้างออก ถึงเราจะมั่นใจว่าเครื่องไม่ดังก็เถอะ แต่ถ้าดังขึ้นมานี่เฮงจริง ๆ

ไปเขมรขากลับระหว่างที่นั่งพักอยู่ ก็มีเจ้าหน้าที่ของสายการบินของเขา มาขอให้ช่วยดูหมอให้หน่อยว่า ก็คือเขาถามเรื่องยุ่ง ๆ ในชีวิตทั้งนั้น ดูไปดูมามีโยมเอาลูกมายกให้อีก มัวแต่ไปเห่อเด็กอยู่ จะได้เวลาเขาประกาศให้ขึ้นเครื่อง ก็รีบเดินผ่านไป เครื่องร้องเสียลั่นเลย ลืมอาราธนาจนได้ พอเสียงดังนี่ต้องรีบขอพระ อย่าให้เขาหาเจอนะครับ ไม่อย่างนั้นผมซวยแน่ ๆ เลย สรุปว่าหาไม่เจอ ท้ายสุดเลยอ้าปากให้เขาดูว่า ใช่ครอบฟันอันนี้หรือเปล่าที่ทำให้เครื่องดัง ?"

เถรี
14-12-2014, 20:21
หลังจากการสนทนาตอบปัญหาธรรมกับโยม พระอาจารย์ได้กล่าวว่า "พวกเราส่วนใหญ่ถนัดในการภาวนา แต่ไม่ถนัดในเรื่องของการพิจารณา พอมาพูดถึงในเรื่องของการพิจารณา การตัด การละอะไร บางทีเราไม่เข้าใจ ฟังก็รู้แค่ผิว ๆ เพราะฉะนั้น..จึงต้องวิ่งไปชนกับกิเลสเอง..!"

เถรี
14-12-2014, 20:32
ถาม : ทำไมพระพุทธเจ้าถึงไม่บวชให้ "นาค" ?
ตอบ : สัตว์เดรัจฉานมีปัญญาไม่เพียงพอที่จะบรรลุมรรคผล เพราะว่าอยู่ในภพภูมิที่ต่ำกว่า มีปัญญาไม่พอที่จะพิจารณาให้รู้ทั่วถึงธรรม หลัก ๆ ของสัตว์เดรัจฉานมีแค่ กิน นอน สืบพันธุ์ หลบภัย มีอยู่ส่วนหนึ่งที่ท่านไม่ได้บอกก็คือ วิสัยของผู้มีพิษมักโกรธ ในเมื่อตัวเองไม่มีโอกาสได้มรรคผลก็แปลว่าระงับโกรธไม่ได้ เดี๋ยวอาละวาดขึ้นมา คนอื่นจะเดือดร้อนกันมาก

เถรี
15-12-2014, 19:06
ถาม : เจ้าพ่อหลักเมืองกาญจนบุรีเป็นพรหม ปกติต้องเป็นภุมมเทวดาไม่ใช่หรือครับ ?
ตอบ : ปกติเจ้าพ่อหลักเมืองต้องเป็นอากาศเทวดา แล้วก็มักจะเป็นชั้นจาตุมหาราช เท่าที่เจอ ๆ มาก็มีของกรุงเทพฯ เรานี่เป็นชั้นดาวดึงส์ ของเมืองกาญจน์ฯ เมืองสำคัญ ทรัพย์ใต้ดินมาก ทองคำเยอะ..จึงเป็นพรหมเลย

เถรี
15-12-2014, 19:08
ถาม : จะอ่านหนังสือสอบ แต่สมาธิความจำไม่ค่อยดี ?
ตอบ : รู้ตัวว่าสมาธิไม่ดีก็นั่งสมาธิสิวะ..! มีคำตอบอยู่ในตัวแล้ว ฝึกซ้อมสมาธิบ่อย ๆ ใช้คาถาท่านปู่พระอินทร์ช่วย

ถาม : มีวิธีทำบุญอะไรที่จะช่วยอานิสงส์ให้มีปัญญา ?
ตอบ : คงทำยาก อานิสงส์เรื่องปัญญาก็คือสมาธิ เพราะสมาธิก่อให้เกิดปัญญา จิตสงบปัญญาจะมีเอง ถ้าสร้างธรรมทานก็ต้องรอชาติหน้าถึงจะได้ผล

เถรี
15-12-2014, 19:32
ถาม : ไม้พะยูงเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : พะยูงมีอยู่ ๓ สี คือ พะยูงดำ จะมีสีดำเข้มไปเลย พะยูงปกติ จะมีสีน้ำตาลออกดำ ใช้ไปนาน ๆ จะดำไปเอง พะยูงทอง สีน้ำตาลแดง จะแดงสวยมาก แต่หายาก ส่วนใหญ่ที่เป็นน้ำตาลแดงไม่ค่อยมีเท่าไร ใหม่ ๆ จะสีแดง พอนาน ๆ ไปสีจะเข้มขึ้น คนจีนชอบเอาไปทำเฟอร์นิเจอร์ ใช้ไปเช็ดไปจนดำเมี่ยมเลย เขาเรียกว่าไม้จันทน์ม่วง

ถาม : กี่ปีถึงจะใช้ได้ ?
ตอบ : ต้องรอจนโต ๕๐-๖๐ ปีขึ้นไป เดี๋ยวนี้วัดทางภาคอีสานลำบากมากเลย เพราะบางคนจะไปหาซื้อ "ต้นนี้สองแสน หลวงพ่อขายไหม ? ถ้าหลวงพ่อไม่ขายหลวงพ่อนอนเฝ้าให้ดีนะ เผลอเมื่อไรจะเอาฟรี..!" คิดดู..พระไปกิจนิมนต์ครึ่งชั่วโมง กลับมาหายไปทั้งต้นแล้ว..!

ประเทศจีนนิยมกันเพราะชื่อเป็นมงคล ใช้งานไปหลายร้อยปีก็ยังคงสภาพ ไม่ผุพังง่าย ๆ บ้านเศรษฐีเขาอยากได้ไปทำเฟอร์นิเจอร์จึงซื้อไม่อั้น ราคาแพงเท่าไรก็ซื้อ บ้านเราก็ขายกันไป ระยะหลังต้องชั่งกิโลขาย เพราะราคาแพง ตอนที่อาตมาทำพระขรรค์โสฬส ๘๔ พรรษาธรรมิกราช จ่ายค่าไม้ชุดแรกไปสองแสนกว่าบาท ได้ไม้ไม่กี่ชิ้นหรอก มีพะยูงดำติดมาท่อนเดียว

มีไม้ที่หายากเกือบจะเป็นไม้เฉพาะถิ่นไป เช่น ไม้เทพทาโร บางคนเรียกตะไคร้ต้น มีกลิ่นหอมคล้าย ๆ ตะไคร้หอม ทางปักษ์ใต้ชอบเอามาทำเป็นของที่ระลึก ไม้หลุมพอ เนื้อละเอียด สวยมาก คุณสมบัติคล้ายไม้สัก คือปลวกไม่กิน ต้อง "นายหัว" ที่รวยจริง ๆ ถึงจะสร้างบ้านด้วยไม้หลุมพอได้

เถรี
15-12-2014, 19:41
ถาม : ไม้งิ้วดำละครับ ?
ตอบ : ไม้งิ้วดำพบได้ทุกภาค แต่หายากสุด ๆ ร้อยวันพันปีจะเจอสักต้นหนึ่ง อาตมาเองเจอที่เป็นต้นจริง ๆ อยู่ครั้งเดียวเท่านั้นเอง ตอนที่ไปเลื่อยกับพระครูแสงช่วงยังเป็นฆราวาส ท่อนแค่แขน ใช้เลื่อยเหล็กไฮสปีดเลื่อยอยู่ครึ่งค่อนชั่วโมงกว่าจะขาด แสดงว่าเหนียวกว่าเหล็กอีก..!

ที่เขาขายกันอยู่ส่วนมากบอกว่าเป็นไม้งิ้วดำ แต่เขาลืมไปว่า ไม้งิ้วดำเป็นไม้เนื้อเบา เพราะว่าก็คือต้นไม้ประเภทเดียวกับนุ่นนั่นแหละ แต่ว่าเป็นสีดำ เป็นไม้ตระกูลเดียวกับต้นนุ่น ที่ขายอยู่จะมี ๒-๓ อย่างด้วยกัน ถ้าเป็นไม้ดำแล้วเสี้ยนเป็นสีน้ำตาลลาย ๆ ถ้าดูจะเห็นลายเสี้ยนค่อนข้างชัด แล้วเนื้อไม้หนักมากจะเป็นไม้มะเกลือ ถ้าหากว่าเป็นสีดำแล้วลายเสี้ยนไม้หรือลายเนื้อไม้ออกสีชมพูหน่อย จะเป็นไม้มะริด ถ้าหากว่าสีดำสนิทเลยจะเป็นไม้ดำดง ปัจจุบันนี้ที่ขายกัน ร้อยละ ๙๐ เป็นไม้ดำดง บางคนที่มีจรรยาบรรณหน่อยก็เรียกว่า "ไม้ดำ" แต่คนซื้อมักจะทึกทักเอาเองว่าเป็นไม้งิ้วดำ

ไม้ดำดงนี่แหละที่พวกไร้จรรยาบรรณมักจะเอามาแหกตาเราว่าเป็นไม้งิ้วดำ บางทีก็เอาไม้มะเกลือมาบอกว่าเป็นไม้งิ้วดำ แต่ไม้มะเกลือที่เขาบอกว่างิ้วดำ ถ้าเราเห็นแล้วชอบใจก็ซื้อมาเถอะ มะเกลือแพงจะตายไป

ที่บ้านอาตมาเคยมีมะเกลืออยู่ต้นหนึ่ง ขนาดใหญ่ ๓ โอบกว่า ตั้งแต่เด็ก ๆ อาตมาก็เห็นอยู่อย่างนั้นแล้ว น่าจะสูงถึง ๔๐ เมตร มีคนเขามาขอซื้อพี่ชายไปสี่แสนบาทของสมัยนั้น ถามว่าเอาไปทำอะไร เขาบอกว่าเอาไปทำโลงจำปา โห..ไม้อย่างนั้นทำโลงใครจะแบกไหววะ ? เพราะหนักมาก ขอซื้อไม้ต้นเดียวไปสี่แสน ราคาสมัยที่ทองบาทละสองพันกว่าบาทเอง

ตอนเด็ก ๆ พอถึงเวลาแม่ก็จะเก็บลูกมะเกลือต้นนั้น เอามาตำกับกะทิให้พวกอาตมากินถ่ายพยาธิ จะมีเคล็ดลับว่าต้องใช้เท่าอายุ อย่างเช่นว่า ๑๐ ขวบก็ใช้มะเกลือ ๑๐ ลูก ๒๐ ขวบก็ ๒๐ ลูก ห้ามกินเกินอายุ แล้วก็ห้ามเก็บค้างคืน ถ้าเก็บแล้วมักจะเป็นพิษ ต้องตำแล้วผสมกะทิกินตอนนั้นเลย ที่ตำผสมกะทิเพราะกะทิช่วยให้ถ่ายง่าย พอถึงเวลาถ่ายพรวดออกมานี่ บางทีพยาธิไส้เดือนยั้วเยี้ยไปหมด พยาธิเมาขนาดโดนถ่ายออกมา แสดงว่าถ้าไม่ใช่คนตัวใหญ่ก็เป็นพิษนะ แต่ว่าถ้าเก็บหลาย ๆ ชั่วโมงจะเป็นพิษถึงตาบอดได้ คนรุ่นหลังบางทีไม่รู้ เขาบอกว่าถ่ายพยาธิด้วยมะเกลือ ตำเสร็จแล้วก็แช่ตู้เย็นไว้ ค่อยไปกินทีหลัง..เสร็จหมด..!

เถรี
15-12-2014, 19:49
ถาม : ต้นนั้นขึ้นมากี่ปีได้ครับ ?
ตอบ : อาตมาเกิดมาก็เห็นอยู่ต้นขนาดนั้นแล้ว ทุกปีจะมีนกกระจาบไปทำรัง เพราะต้นสูงและเปลาะมาก ใคร ๆ ก็ขึ้นไปกวนไม่ได้ คงเป็นไม้ประเภทที่เขาเรียกว่าไม้จ้าวป่า ขึ้นเด่นมากเลย ตอนเตี่ยไปหักร้างถางพงก็ทิ้งเอาไว้ต้นเดียว ต้นอื่นโดนโค่นหมด ไม้แดงต้นใหญ่ ๆ ก็โค่นหมด ตอนหลังมีคนมาขอขุดเอาตอไปทำเฟอร์นิเจอร์กัน

พวกเราสมัยก่อนกว่าจะขุดได้แต่ละตอ ทั้งขุดทั้งสุมทั้งเผากว่าจะทำไร่ได้ สมัยนี้อยากได้ทำเฟอร์นิเจอร์ก็ใช้รถขุดกันกระจายหมด ไม่ต้องเสียเวลาจ้างเขาขุดเหมือนสมัยก่อน สมัยก่อนมีพวกรับจ้างขุดตอ แล้วก็รับจ้างขุด "ขยองเดือน" ก็คือก้อนหินที่จมดินอยู่ จะไปตกลงกันว่าก้อนนี้ราคาเท่าไร สมมติว่า ๒๐๐ บาท บางคนน้ำตาจะร่วง ตกลงกันไว้ ๒๐๐ บาท เพราะดูข้างบนไม่น่าจะใหญ่ สรุปว่าหินก้อนนั้นขุดไปครึ่งไร่กว่า..! เวลาหักร้างถางพงป่าใหม่ ๆ นี่ต้องขุดตอ ขุดหิน เก็บออกให้หมดจะได้ทำไร่ไถนาได้สะดวก พื้นที่หักร้างถางพงใหม่ ๆ นี่ไม่มีใครอยากไถให้หรอก ไถทีผาลไถหักหมด

พวกรถไถเก่ง ๆ นี่เขาเก่งจริง ๆ ไม่รู้ว่าเอาฝีมือมาจากไหน ? โดยเฉพาะแถวเพชรบูรณ์ พวกคนขับรถไถฝีมือเซียนทั้งนั้น เนินเขาสูงขนาดที่รถตะแคงข้างแต่เขาไถได้ แถวบ้านโยมมีไหม ? แรก ๆ ก็บอกว่า “ไถไม่ได้หรอก รถคว่ำตายห่..!” ไถไม่ได้ก็ไม่เป็นไร กินข้าวกันก่อน เลี้ยงเหล้าเข้าไปครึ่งขวด..หนึ่งขวด พอเมา ๆ ก็ไปไถให้ ตอนแรกไม่เอาหรอก..บอกว่ากลัวรถคว่ำ

เถรี
15-12-2014, 19:53
ถาม : ถ้าจะปลูกต้นไม้ ๒ ข้างทางให้สวย ควรเอาต้นอะไรดี ?
ตอบ : เอาเป็น ๒ ข้างถนนใช่ไหม ? ถ้าหาได้นะ เอาต้นตำเสาของปักษ์ใต้ ทางอีสานเรียกต้นมันปลา ของเราเรียกต้นกันเกรา ทรงจะเหมือนกับฉัตร แล้วดอกหอมอย่าบอกใครเลย ขนาดแห้งแล้วก็ยังหอม

ถาม : อย่างนั้นต้องไปหาทางปักษ์ใต้ ?
ตอบ : ตลาดต้นไม้มีเยอะแยะไป บอกตาแดงหรือคุณมงคลของเราก็ได้ ไปพักเดียวก็เอามาให้แล้ว เพราะเขาขายไม้พวกนี้อยู่ พรรคพวกกันเองเขาก็ไม่ได้คิดกำไรเท่าไรหรอก จะเอากี่ต้นก็สั่งเขา

ที่ปักษ์ใต้เขาเรียกต้นตำเสาเพราะว่าส่วนใหญ่เขาเอาไว้ทำเสา เป็นไม้ที่เนื้อแข็งแล้วก็เหนียวมาก แต่ที่อาตมาติดใจก็คือติดใจดอก ออกเป็นช่อสีเหลืองอ่อน ๆ หอมอย่าบอกใครเลย คนแก่ ๆ สมัยก่อนเก็บมาซุกไว้ในตู้เสื้อผ้า ทำให้ผ้าหอมติดทนนาน

เถรี
15-12-2014, 20:00
ถาม : ต้นขี้อ้าย ?
ตอบ : ต้นขี้อ้ายสมัยนี้หาดูยากแล้ว แถวบ้านอาตมาขนาดมี "ทุ่งขี้อ้าย" ยังหมดเลย ไม้บางอย่างคนเขาไม่รู้จัก อย่างชื่อโบราณเขาเรียกต้นตุมกา สมัยใหม่เขาเรียกว่าต้นแสลงใจ เขาเอาเม็ดมา ๑ เม็ดมาแช่น้ำร้อน แช่พักเดียวนะ ห้ามแช่นาน กินลงไปถ่ายท้องระเบิดเทิดเถิงเลย ถ้าหากว่าแช่นานนี่ถ่ายถึงตาย หมอสมัยก่อนพอคนไข้หมักหมมโรคไว้เยอะ เขาจะทำให้กิน เรียกว่า "ถ่ายรุ" คือถ่ายของที่เสีย ๆ ในร่างกายออกไปให้หมดก่อน แล้วค่อยให้ยารักษา แต่ว่าหมอต้องเก่ง เพราะว่าใช้เม็ดเดียว แล้วก็แช่น้ำร้อนพักเดียว แช่นานเกินก็ไม่ได้ เพราะพิษแรง ส่วนใหญ่คนป่วยร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว ถ้ายาแรงบางทีถึงตาย กินลงไปมีเท่าไรก็ถ่ายหมด

ถาม : แล้วสลอดละคะ ?
ตอบ : สลอดถ่ายแล้วหมดแรง ส่วนใหญ่เขาไม่ค่อยใช้กัน

โบราณเขาแต่งโคลงไว้ว่า

กาฝากกาจับต้น.....................ตุมกา
กาลอดกาลากา......................ร่อนร้อง
เพกาหมู่กามา........................จับอยู่
กาม่ายมัดกาซร้อง...................กิ่งก้านกาหลง

มีต้นกาฝาก ต้นตุมกา ต้นการ่อน ต้นเพกาที่บางทีเรียกว่าลิ้นฟ้า แล้วก็กาหลง บ้านน้องทรายที่ด่านช้างมีต้นกาหลงเถาเบ้อเร่อ ใหญ่เกือบเท่าขาอ่อน เลื้อยพันบ้านไปครึ่งหลัง เขาบอกว่าหลวงพ่อจะเอาไปทำวัตถุมงคลเมื่อไรให้ไปเอาได้เลย ไม่ได้ไปเอาสักที ประเภททำพวกสายเสน่ห์เขาจะใช้กัน

เถรี
15-12-2014, 20:04
ถาม : ทำไมถึงชื่อกาหลงครับ ?
ตอบ : หน้าตาต้นเหมือน ๆ กันหมด แล้วชอบขึ้นเป็นหมู่ ในเมื่อเหมือนกันหมดคนยังหลงเลย อย่าว่าแต่กา เขาถึงได้เรียกกาหลง หรือกาหลงรัง แต่ว่าต้นกาหลงที่กาญจนบุรีนั้น พวกนกมาเกาะอยู่แล้วไม่ไปไหน จนอดตายเป็นแถว ๆ เลย นั่นเขาเรียกว่ากาหลงเหมือนกัน แต่ว่าแบบที่เมืองกาญจน์ฯ น่าจะมีอำนาจพิเศษอะไรมากกว่า ส่วนกาหลงทั่ว ๆ ไปนั่นเป็นเพราะชื่อ

ถาม : เป็นไม้เถา ?
ตอบ : เป็นไม้ต้นกึ่งเถา เพราะถ้าขึ้นสูงแล้วมักจะเลื้อย ถ้าต้นเล็กจะยืนต้น

ถาม : แล้วลูกสวาด ?
ตอบ : ลูกสวาดส่วนใหญ่เขาจะเอาไปทำเสน่ห์กัน ถึงเวลาต้องกลืนลงท้องไปก่อน ผ่านไฟธาตุของเราย่อยก่อน พอถ่ายออกมาแล้วไปเขี่ยมาล้าง ค่อยเอามาใช้งาน

เถรี
15-12-2014, 20:40
ถาม : กรณีคนที่ฆ่าตัวตาย เราจะทำอย่างไรเพื่อช่วยเขาได้คะ ?
ตอบ : ฆ่าตัวตายทำบุญอะไรไปให้เขาก็ได้ทั้งนั้นแหละจ้ะ เพราะว่ายังตายโดยไม่หมดอายุ เขาโมทนาได้หมดเลย จะว่าไปแล้วพวกนี้โชคดีนะ ฆ่าตัวตายเขามักเป็นอุปฆาตกรรม คือ กรรมที่มาตัดรอนให้ตายตั้งแต่ยังไม่หมดอายุ ไปรับดีรับชั่วก็ไม่ได้ ต้องเป็นสัมภเวสีเร่ร่อนไปเรื่อย ใครทำบุญไปให้ก็ได้หมด ถึงได้บอกว่าบางทีโชคดี แต่ก็ต้องดูนะ ไม่ใช่เห็นว่าโชคดีก็เลยลองไปฆ่าตัวตายดูบ้าง

ถาม : คนที่ฆ่าตัวตายต้องกำลังใจเข้มแข็งมาก เพราะปกติแล้วคนเราจะรักร่างกาย ?
ตอบ : เศร้าหมองเสียจนไม่เห็นประโยชน์ในการมีชีวิต ไม่ใช่เข้มแข็ง ถ้าไม่มีใครทำบุญให้ หมดอายุความเป็นมนุษย์มักจะลงข้างล่างไปเลย..!

เถรี
15-12-2014, 20:45
ถาม : ก่อนหน้านี้ไปช่วยงานภูเขาทอง เหมือนกับเราช่วยไปเรื่อย ๆ แต่ก็เพิ่มภาระงานขึ้น พอไม่มีงานก็รู้สึกว่าอยากจะทำ ...(ไม่ชัด).... ?
ตอบ : ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด คิดว่าทุกอย่างทำเพื่อเป็นพุทธบูชา ธัมมบูชา สังฆบูชา ตายเมื่อไรขอไปพระนิพพานที่เดียว เอาแค่นั้นแหละ โดยเฉพาะภูเขาทองมีพระบรมสารีริกธาตุ เท่ากับเราได้รับใช้อยู่ใกล้เบื้องพระยุคลบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถาม : ถ้าเราทำงานด้วยตั้งใจว่าถวายเป็นพุทธบูชา ธัมมบูชา สังฆบูชา อย่างนี้งานอื่น ๆ เราก็ทำได้ ?
ตอบ : ทำได้..ถ้าเป็นงานเพื่อส่วนรวมทำได้ทั้งนั้น

ถาม : เท่ากับเราปฏิบัติไปด้วยหรือเปล่า ?
ตอบ : เท่ากับเป็นการปฏิบัติธรรม อยู่ที่เราตั้งกำลังใจ

เถรี
16-12-2014, 12:28
พระอาจารย์กล่าวว่า “คนเป็นพ่อแม่จำไว้เลยว่า ถ้ารักลูกต้องปล่อยให้ลูกทำอะไรด้วยตัวเองให้เร็วที่สุด เผื่อว่าอยู่ ๆ ไม่มีเราแล้ว เขาจะได้เอาตัวรอดได้ อาตมาหุงข้าวเองซักผ้าเองตั้งแต่อยู่ชั้น ป.๒ ทำกับข้าวเองเสร็จสรรพ เพราะว่าติดนิสัยชอบไปโรงเรียนแต่เช้า คราวนี้พี่สะใภ้เขาก็ต้องทำงานบ้าน ต้องเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่ กว่าจะเสร็จแล้วค่อยมาหุงข้าวก็ช้า จึงทำเองเลยหมดเรื่อง”

เถรี
16-12-2014, 12:36
พระอาจารย์กล่าวว่า “ในวรรณคดีทั้งบาลีและไทย นายพรานที่ดังมาก ๆ เลยก็จะมีพรานบุญในเรื่องพระสุธน-มโนราห์ พรานเจตบุตรในพระเวสสันดรชาดก แล้วก็พรานโสณุดรในฉัททันต์ชาดก พรานโสณุดรนี่ต้องบอกว่าแกสุดยอดเลย เพราะว่าทางที่จะเข้าไปถึงสถานที่อยู่ของพญาฉัททันต์ บางช่วงต้องปีนหน้าผาสูงเป็นร้อย ๆ วา แกก็อุตส่าห์ฟั่นเชือกหนัง ตอกหมุดโยงตัวเองลงไปจนถึง ปรากฏว่าขากลับพญาฉัททันต์ให้คาถาพญาช้างสารมา ก็เลยแบกงากลับได้แบบเดินภูเขาเป็นที่ราบเลย”

เถรี
16-12-2014, 12:40
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่ตั้งใจถือศีลแปดอยู่ช่วงหนึ่งว่า “ไม่ต้องเสียเวลาไปลาศีลนะ กลับไปถือศีล ๕ ต่อได้เลย สมัยก่อนการที่เขาลาศีล เพราะว่าโยมไม่ค่อยจะรู้ว่าศีลมีอะไรบ้าง ในเมื่อเรารู้แล้วว่าศีล ๕ เป็นอย่างไร ศีล ๘ เป็นอย่างไร ก็ลดจากศีล ๘ ไปถือศีล ๕ เท่านั้นก็พอ ไม่ต้องไปลาแล้วก็สมาทานศีล ๕ ใหม่”

เถรี
16-12-2014, 13:07
มีโยมพาลูกมาทำบุญ "ได้กี่เดือนแล้วจ๊ะ ? (๑๑ เดือนค่ะ) รับรองว่าถ้าถามเดือนไม่มีทางถึงปี อาตมาเลี้ยงหลานมาเยอะ พอเลี้ยงเยอะ ๆ ก็เกิดความชำนาญ พอเกิดความชำนาญแค่มองก็รู้ว่าเด็กอายุกี่เดือนแล้ว ลักษณะการปฏิบัติธรรมก็ต้องซักซ้อมเยอะ ๆ จะเกิดความชำนาญ พอมีความคล่องตัวมาก ๆ เราจะเข้าสมาธิระดับไหนก็ได้ สลับกันไปสลับกันมาก็ได้ อย่างพวกมีทิพจักขุญาณ มีทิพโสต เวลารำคาญก็เข้าฌานสองฌานสามไป ไม่รู้ไม่เห็นอะไร แต่ถ้าอยู่อุปจารสมาธิหรือฌานสี่ก็เห็นหรือได้ยินหมด"

เถรี
16-12-2014, 13:19
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงคำว่า ๑๘ มงกุฎสมัยก่อนก็คือสุดยอดพญาลิง ๑๘ ตัว ความหมายมาเพี้ยนตอนหลัง มีความหมายของลิงหลอกเจ้าเข้ามาด้วย พอมาตอนหลังคำว่า ๑๘ มงกุฎเขาก็เลยเอาไปใช้กับพวกที่ล่อลวงคนอื่นเขา

ถ้าใครอ่านรามเกียรติ์รุ่นเก่า ๆ จะจำได้ “นิลเอกนิลนนท์นิลขันธ์ สุรเสนสุรกานต์ทหารใหญ่ อีกชามภูวราชฤทธิไกร มีอายุได้โกฏิปีปลาย” อาตมาเองรู้จักว่า “บัดนั้น” กับ “เมื่อนั้น” ต่างกันอย่างไรก็จากเรื่องนี้แหละ คุณครูท่านบอกว่าถ้าเป็นตัวเจ้าใช้ “เมื่อนั้น” แต่ถ้าหากว่าเป็นเสนาทหารจะใช้ “บัดนั้น” เช่น "เมื่อนั้น พระตรีภูวนาถนาถา กับ บัดนั้น พญาพิเภกยักษี" เป็นต้น

บางทีคำบรรยายในวรรณคดีต้องใช้จินตนาการตามไปเยอะมากเลย ที่ตลกที่สุดคือนิลนนท์วิ่งไปส่งข่าวกับพระราม ตอนไปไม่เป็นไรไปได้ แต่ขากลับหลงทาง

บัดนั้น.......................นิลนนท์ฤทธิไกรใจหาญ
ได้ฟังสุครีพบัญชาการ ............ก็วิ่งลนลานเข้ามา

ประโยคเดียวเท่านั้นเองวิ่งถึงพลับพลาเลย

ครั้นถึงน้อมเศียรอภิวาท .............พระตรีภูวนารถนาถา
สะอื้นพลางทางทูลกิจจา............ ว่าพระอนุชาวิลาวัณย์
ออกไปสัประยุทธ์ชิงชัย ...............กับอ้ายกุมภกรรณโมหัน
บัดนี้ต้องโมกขศักดิ์มัน............... พระน้องนั้นสุดสิ้นชนมาน

เขาใช้บรรยายคำเดียวว่า “ก็วิ่งลนลานเข้ามา” ถึงแล้ว แต่ตอนกลับบรรยายระยะทางยาวดีจัง จึงหลงทาง"

เถรี
16-12-2014, 13:24
ถาม : เวลาจินตนาการจะได้อรรถรส ต้องปรุงแต่ง แล้วเวลาเราจะเสพอรรถรสควรทำอย่างไร ?
ตอบ : จำเป็นต้องปรุง ไม่ปรุงก็ไม่อร่อย แต่ต้องมีสติคอยควบคุม อย่าให้เกินเลย ฉะนั้น..ต้องรู้ว่าอะไรก็ตาม ถ้าส่งจิตออกนอกจะเป็นสาเหตุของทุกข์ ถึงเวลาไม่มีให้เสพก็เริ่มแสวงหา ก็คือต้องยากลำบาก ต้องทุกข์ เราเห็นทุกข์จึงรู้จักระงับยับยั้ง ไม่คล้อยตามไปทั้งหมด

มืดคลุ้มอับแสงดาวเดือน........... เมฆเกลื่อนบดบังรัศมี
ไม่เห็นมรรคาพนาลี ................กระบี่พาหลงวงไป


ตอนมาวิ่งพรวดเดียวถึงเลย ตอนกลับดันพาหลงเสียได้ แต่ต้องบอกว่ายุคนั้นทันสมัยมากเลย พระรามยิงพลุนำวิถี ๓ ดวง..สว่างโร่เลย

ว่าแล้วจับจันทราทิตย์ ...............ทรงฤทธิ์พาดสายเงื้อง่า
น้าวหน่วงแผลงไปในเมฆา.......... เสียงสนั่นลั่นฟ้าธาตรี
เกิดเป็นศศิธรสามดวง ...............โชติช่วงจำรัสรัศมี
แสงสว่างพ่างพื้นธรณี............... ภูมีเร่งรีบเสด็จจร

ตอนวิ่งไปหาพระรามบรรยายประโยคเดียว ตอนกลับบรรยายเสียยาวเป็นหน้ากระดาษเลย

เถรี
16-12-2014, 13:25
หนุมานเป็นลูกพระพายกับนางสวาหะ ก็เลยได้พรพิเศษว่า ถ้าสิ้นชีวิต ลมพัดมาต้องเมื่อไรก็ฟื้นใหม่ แล้วตามเรื่องหนุมานรบไม่เคยแพ้ ทำงานสำเร็จทุกครั้ง โบราณาจารย์ก็เลยสร้างเครื่องรางของขลังรูปหนุมานขึ้นมา ลักษณะถือเคล็ดว่าเป็นผู้ไม่ตาย แล้วประสบความสำเร็จในหน้าที่ทุกอย่าง มีหลวงพ่อสุ่น วัดศาลากุน เครื่องรางหนุมานดังที่สุด แล้วก็มีหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว เขาเรียกว่าลิงจับหลัก หลวงพ่อเชย วัดบางกระสอบ เป็นองคต องคตถือว่าทำงานสำเร็จก็จริง แต่ว่าถ้าเป็นสมัยนี้ต้องบอกว่าทำเกินหน้าที่ เป็นทูตเจรจา แต่ดันไปฆ่าทหารของทศกัณฑ์

เถรี
17-12-2014, 18:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "พอหลังวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ในหลวงก็จะมีพระชนมายุ ๘๘ พรรษา ไปนึกถึงคนอายุ ๘๘ นี่จะเอาสมบูรณ์จริง ๆ ก็คงยาก เพราะว่าคนที่จะร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงทั้งที่อายุมาก ก็คือคนที่สร้างปาณาติบาตมาน้อย แต่ในอดีตชาติในหลวงเป็นจอมทัพในการกู้ชาติกู้แผ่นดิน ต้องบอกว่าสังหารฆ่าศึกมาจนนับไม่ถ้วน สุขภาพของพระองค์ท่านจึงได้ชำรุดทรุดโทรมไปตามแรงกรรมเก่าที่ได้ทำไว้ ขณะเดียวกัน..ในชาตินี้พระองค์ท่านก็ทรงงานจนแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน ก็ยิ่งทำให้พระวรกาย..ต้องใช้คำชาวบ้านคือ "กรอบ" ในเมื่อกรอบจนถึงที่สุด ทรุดลงไปครั้งหนึ่งก็ฟื้นคืนได้ยาก

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้บางทีก็ทำให้พวกเราคิดประมาท บอกว่าได้ยินในหลวงตรัสว่าจะอยู่ถึง ๑๒๐ พรรษา ต้องบอกว่า นั่นเราได้ยินในหลวงตรัส อาตมาเองเห็นลายมือของหลวงพ่อวัดท่าซุงเขียนบอกไว้ว่า ท่านจะมรณภาพวันไหน เดือนไหน ปีไหน ก็ปรากฏว่าท่านจะต้องอยู่ถึงประมาณ ๑๑๘ ปี แล้วก็ไม่สามารถที่จะอยู่ได้ เพราะว่าร่างกายไปไม่ไหว เมื่อเป็นดังนั้นท่านก็ต้องตัดใจทิ้งร่างกาย ไปทำงานในลักษณะของกายทิพย์แทน

ถ้าพวกเราไปประมาทว่า ได้ยินในหลวงตรัสว่าจะอยู่ถึง ๑๒๐ พรรษา นั่นก็คือกำลังใจที่พระองค์ท่านตั้งใจไว้ เพื่อที่จะช่วยเหลือประเทศชาติของเรา เพื่อที่จะสร้างความสุขให้กับประชาชนให้ได้มากที่สุด..นานที่สุด แต่เราต้องดูด้วยว่าพระวรกายของพระองค์ท่านไหวหรือเปล่า ? ถัดจากนี้อีก ๒ ปี พระองค์ท่านก็ ๙๐ พรรษา อายุ ๙๐ นี่โบราณเขาบอก “ลูกหลานดูนั่งร้องไห้” ถ้าร้อยปี "ไข้ก็ตายบ่ไข้ก็ตายแล"

เถรี
17-12-2014, 20:12
ถาม : เมื่อทุกอย่างในโลกเป็นสมมติ เราจะพูดว่าการทำบุญเป็นสมมติได้หรือไม่ ?
ตอบ : ถ้านับแล้วทุกอย่างเป็นสมมติ แต่อย่าลืมว่าสมมติก็มีสัจจะ คือความจริงของสมมติอยู่ โดยเฉพาะในส่วนความเป็นจริงนั้น เป็นความจริงแท้ที่เถียงไม่ได้ แม้ว่าเราจะสมมติขึ้นมาว่าท่านเป็นอย่างนั้น ท่านเป็นอย่างนี้ แต่ท่านก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เขาเลยเรียกว่าสมมติสัจจะ

ถาม : จริง ๆ แล้ว สมมติในโลกนี่ เกิดจากการสร้างขึ้นมาเองของเราทั้งหลาย ?
ตอบ : จะเรียกว่าการสร้างก็ใช่ จะเรียกว่าการปรุงแต่งก็ใช่ แต่ว่าท้ายที่สุดก็คือการถวายความเคารพต่อพระรัตนตรัย

เถรี
17-12-2014, 20:23
ถาม : บางคนที่มีความสามารถพิเศษ เข้าใจสมมติในโลก เช่น เห็นว่าร่างกายหรือสิ่งของไม่ใช่แท่งทึบ ก็แทรกผ่านกันไปได้ เมื่อมีคนทำได้ถึงความพิเศษอันนี้แล้ว ทำไมจึงไม่เข้าใจความจริงของโลก ต้องถึงตรงไหนจึงจะเป็นปัญญา ? ?
ตอบ : ต้องเข้าถึงอริยสัจ ถ้าไม่เข้าถึงอริยสัจก็ยังเป็นปัญญาที่เอาตัวรอดไม่ได้ ในส่วนที่เขาเรียกว่าวิสุทธิ ๗ อย่างคือสีลวิสุทธิ จิตวิสุทธิ ทิฏฐิวิสุทธิ ก็คือความบริสุทธิ์ของศีล ความบริสุทธิ์ของจิต ความบริสุทธิ์ของทิฐิ คือความเห็น

บริสุทธิ์ของศีลก็จัดอยู่ในส่วนของศีลในไตรสิกขา จิตวิสุทธิจัดอยู่ในส่วนของสมาธิหรืออธิจิตสิกขา ทิฏฐิวิสุทธิจัดอยู่ในส่วนของปัญญา ก็คือปัญญาสิกขา ก็เลยกลายเป็นว่าในส่วนของปัญญาแท้ ๆ ก็ยังมีหลายระดับ เพราะยังมีกังขาวิตรณวิสุทธิ ก้าวข้ามความสงสัยเสียได้ จึงเกิดมัคคามัคคญาณวิสุทธิ เห็นหนทางที่จะมุ่งไปสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้น จากนั้นก็เป็นปฏิปทาญาณวิสุทธิ ทำเพื่อให้ถึงซึ่งความบริสุทธิ์หลุดพ้น จนไปถึงญาณทัสสนวิสุทธิ รู้แจ้งเห็นจริง เข้าถึงความบริสุทธิ์สิ้นเชิง เปรียบไปแล้วก็เหมือนกับคนเดินขึ้นที่สูง ยิ่งขึ้นสูงเท่าไรก็ยิ่งมองได้ไกลเท่านั้น

ฉะนั้น...ถ้ากำลังของศีล ของสมาธิของเราสูงมากเท่าไร ปัญญาของเราก็จะกว้างไกลเท่านั้น แล้วท้ายสุดก็จะสามารถเห็นทุกข์และเข้าถึงความดับทุกข์ได้

เถรี
17-12-2014, 20:35
ถาม : เวลาที่รู้สึกปวดใจนี่เป็นเพราะโดนกิเลสเล่นงานใช่หรือไม่ ? อย่างเช่น เวลาที่เรารู้ตัวว่าพลาดท่ากิเลสไปแล้ว แทนที่จะวางลง ยังมาฟุ้งต่อเป็นเรื่องเจ็บใจว่าทำไมโง่นัก ?
ตอบ : ลักษณะอย่างนั้นแสดงว่าปัญญายังไม่พอ ก็จะโดนกิเลสหลอกไปเรื่อย ถ้าหากว่าปัญญาเพียงพอ จะสาวไปดูว่าสาเหตุเกิดจากอะไร ? แล้วเราเลี่ยงจากสาเหตุนั้น เรื่องนั้นก็ไม่เกิดขึ้น เราก็ไม่ต้องมานั่งปวดใจอีก

ถาม : เวลาที่เราคิดชั่ว ต่อให้รู้ตัวก็ไม่ทันกิเลสไปแล้ว ทำอย่างไรก็ไม่ทันกิเลส ต้องทำอย่างไรจึงจะไม่แวบออกไป ?
ตอบ : อันดับแรกต้องไม่หลุดจากสมาธิเลย หลุดเมื่อไรกิเลสก็แทรกเข้ามาเมื่อนั้น หลังจากนั้นก็มาพิจารณาให้เห็นว่ามีทุกข์มีโทษอย่างไร ? จนกระทั่งจิตของเราเบื่อหน่าย ไม่คิดที่จะทำอย่างนั้นอีก ก็อาศัยกำลังของสมาธิช่วยเสริม ให้สภาพจิตมีความเด็ดขาดในการตัดละตรงนั้น ก็จะเลิกการกระทำอย่างนั้นได้

เถรี
26-12-2014, 12:29
ถาม : เราเอาวัตถุมงคลเข้าพิธีเสกมีดหมอได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เขาเสกมีดหมอ เอาวัตถุมงคลไปเสกเผื่อว่าจะกลายเป็นมีดบ้าง ได้ไหมล่ะ ?

ถาม : แล้วมีดของผมแบบนี้ล่ะครับ ?
ตอบ : มีดอะไรก็ได้แต่ต้องไม่ใช่มีดพับ เพราะว่ามีดพับเป็นมีดหมอไม่ได้

ถาม : ถ้าเอามีดสำนักอื่น ถ้าไปเสกในงานอานุภาพจะเปลี่ยนไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าท่านสงเคราะห์ให้มากกว่าก็เปลี่ยน

อาตมาเล็ง ๆ ว่าจะหาดาบคาตานาที่ญี่ปุ่นเขาตีด้วยมือ เล่มละ ๑๕๐,๐๐๐ ดอลลาร์ มาเข้าพิธี เป็นมือหนึ่งของโลกในการทำดาบซามูไร ทำกันเป็นปี ไม่ต้องห่วง..คิวยาวยันแกตาย ไม่รู้ว่าจะมีช่องให้เสียบแทนหรือเปล่า ?

เถรี
26-12-2014, 12:40
ถาม : โกรธโดยไม่มีสาเหตุ ?
ตอบ : ต้องมีสิ เพียงแต่ว่าเรารับแรงกระทบมาแล้วเรารู้ไม่ทันต่างหาก เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีสาเหตุ เราอาจจะไม่พอหู ไม่พอตา ไม่พอใจ เก็บ ๆ เอาไว้ ให้อภัยไปเรื่อย จนสุดท้ายให้อภัยไม่ไหว ก็ปรี๊ดแตก

ถาม : วิธีป้องกันไสยศาสตร์ ?
ตอบ : ถ้าเรามั่นใจในคุณพระรัตนตรัย ภาวนานึกถึงพระไว้เป็นปกติ อารมณ์ใจทรงตัวแค่ปฐมฌานละเอียด ไม่มีไสยศาสตร์หรืออันตรายภายนอกกล้ำกลายได้แล้ว เราก็ภาวนาของเราไป ส่วนคนอื่นจะเป็นอย่างไรก็ช่างเขา นึกถึงภาพพระคลุมเราเอาไว้มิดทั้งตัวเลย ใครทำอะไรมาก็ติดอยู่ที่พระ

เถรี
26-12-2014, 13:56
พระอาจารย์กล่าวว่า "เอามีดอะไรก็ได้ที่เรามั่นใจไปเข้าพิธี ถ้าไม่รู้จะเลือกอะไร อาตมาแนะนำ Gerlach หรือ Zwilling รู้จักไหม ? มีดทำครัว ใช้งานได้หลากหลายดีด้วย Zwilling ตราตุ๊กตาคู่คมสุด ๆ เลย ยี่ห้อ Gerlach ก็ได้ เหล็กหนักดี ใบมีดเขา ๗ นิ้ว ๙ นิ้ว คนเห็นแล้วสยอง แหลมเปี๊ยบเลย เล่มละไม่กี่ร้อย ไม่แพง เหล็กคุณภาพสุดยอด ไม่ขึ้นสนิมด้วย"

เถรี
26-12-2014, 14:01
พระอาจารย์เล่าว่า "คุณวีรวิทย์ เหล่าวงค์ไทย เขาวิ่งรถจากลพบุรีมาทำบุญ คุณวันชัย พิทักษ์วงษ์ พาครอบครัววิ่งมาจากชลบุรี เขามีกำลังใจวิ่งทำบุญข้ามจังหวัด ถ้าเราไปเทียบกำลังใจแล้วยังสู้เขาไม่ได้ ไม่ติดฝุ่นเขาเลย ครอบครัวทิดเอฟอยู่โคราช วิ่งมาทำบุญที่นี่ทุกเดือน แล้วต้องผลัดกันมาด้วยนะ วันนี้แม่กับลูกเฝ้าบ้าน พ่อมา พรุ่งนี้พ่อเฝ้าบ้าน แม่กับลูกมา ฝากได้ก็ไม่ฝาก ขอมาทำเอง ถ้าเอกอยู่โคราชจะมาไหม ?"

เถรี
26-12-2014, 14:10
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อกลางเดือนอาตมาลงไปพังงา กับภูเก็ต พังงาเพิ่งจะไปเป็นครั้งแรก โยมนิมนต์ไว้นานแล้วเพิ่งมีโอกาสแวะไป ภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สับสนวุ่นวาย เศรษฐกิจสะพัดมาก นักท่องเที่ยวฝรั่งแทบจะเดินชนกันตาย ในส่วนของพังงา จะมีนักท่องเที่ยวทางอยู่ด้านตะกั่วทุ่ง ทางด้านตะโก พอออกไปทางด้านตะกั่วป่านี่สงบเงียบ น่าอยู่ สองทุ่มแทบจะไม่มีรถบนถนนเลย

อาตมาแวะไปวัดสุวรรณคูหา วัดนี้มีพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ตลอดจนเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงอยู่ แม้กระทั่งนายกรัฐมนตรีในอดีต อย่างเช่น พระยาพหลฯ พระยาทรงสุรเดช แต่ว่าลายพระหัตถ์ที่เห็นยากคือ ลายพระหัตถ์ของสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมารองค์แรกเลย

ไปถึงพอลงรถ พระปลัดธนารักษ์รี่เข้ามาต้อนรับ "ดีใจมากเลยครับ ที่พระอาจารย์มาโปรดวัดผม" อาตมาก็..เฮ้ย..! "ผมตามผลงานพระอาจารย์ในเว็บมาหลายปีแล้วครับ ยังไม่รู้จักท่านอาจารย์เลย เพิ่งมีโอกาสได้เจอตัวเป็น ๆ วันนี้เอง แล้วมาเจอที่วัดตัวเองด้วย"

เถรี
27-12-2014, 11:57
ถาม : ถ้าลาศีล ๘ เพื่อมาถือศีล ๕ ชั่วคราว ?
ตอบ : จริงแล้ว ๆ ทำได้ แต่ต้องดูด้วยว่ามีจุดมุ่งหมายอะไร ถ้าเราลามาเพื่อที่จะกินข้าวเย็นแล้วไปรักษาศีล ๘ ใหม่ อย่างนั้นจะมีโทษปรามาสพระรัตนตรัย เพราะทำเป็นเล่น ๆ แบบที่บาลีเรียกว่าสีลัพพตปรามาส รักษาศีลแบบลูบ ๆ คลำ ๆ ถ้าหากว่าจะทำก็ทำให้เด็ดขาดไปเลย

เถรี
27-12-2014, 12:19
ถาม : หลุมดำมีจริงหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : มีจริง

ถาม : รูปร่างเหมือนกับที่เขาเห็นหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เขาว่าได้ตามที่เขารู้สึกว่าเป็นอย่างนั้น ตัดสินกันไม่ได้เพราะว่าอยู่ไกลมาก แต่ว่าจริง ๆ แล้วลักษณะของหลุมดำเหมือนกะลาคว่ำ ด้วยความที่ว่าอากาศไปถึงตรงนั้นแล้วเหมือนเจอน้ำวน บรรดาดวงดาวต่าง ๆ เลยถูกดูดอยู่เข้าไปในกะลาคว่ำ เสียเวลาคุย..ต้องไปดูเอง

ถาม : ผมเห็นแต่ทฤษฎีของฮอว์กิ้ง ?
ตอบ : ที่อาตมาตั้งใจไปอ่าน เพราะอยากรู้ว่าเขารู้แค่ไหน

ถาม : ตกลงว่าใกล้เคียงใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ทฤษฎีต่าง ๆ ที่เขาตั้งไว้นั้นไม่ใช่ ที่เขาบอกว่าโดนดูดกลืนหายไปหมด ก็ไม่ได้หายไปหมด เพียงแต่นานเหลือเกินกว่าจะหลุดออกมา เพราะคลื่นอากาศที่หมุนวน พอหมุนไปนานเข้า ๆ สมมติว่าเป็นดวงดาวดวงหนึ่ง พอหลุดเข้าไป ในที่สุดก็ต้องออกมา อาจจะเป็นหลายร้อยปี ซึ่งเขาไม่มีปัญญาที่จะเฝ้าดูได้นานขนาดนั้น เขาก็เลยสรุปว่าไม่มีอะไรหลุดออกมาได้

ถาม : ตอนแรกมีมวลก้อนหนึ่งก้อนเล็ก แล้วกลายเป็นเหมือนน้ำวน ?
ตอบ : เราต้องลองนึกดูว่า ถ้าเป็นมวลสาร เมื่อดึงอย่างอื่นเข้าไปแล้วหายไป ฉะนั้น..จะเป็นมวลสารไม่ได้ ต้องเป็นพลังงาน เมื่อเป็นพลังงานแล้วแหล่งกำเนิดมาจากไหน ? เถียงกันไปก็ไม่จบ เพราะว่าเขาไม่ได้ไปเห็นจริง ๆ นั่นคือลักษณะที่คิดว่าคาดว่า จนกำหนดเป็นทฤษฎีขึ้นมา ถ้าตราบใดที่หาหลักฐานที่ดีกว่านั้นมาค้านไม่ได้ ก็ใช้ทฤษฎีนั้นไปเรื่อย ๆ พอถึงเวลาที่มีคนคัดค้านได้ ยกทฤษฎีใหม่ที่น่าเชื่อถือกว่าขึ้นมา ก็เอามาใช้ต่อ ทฤษฎีเก่าก็ตกไป นี่ก็คือหลักของวิทยาศาสตร์ทั่ว ๆ ไป

แต่หลักพุทธศาสตร์ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ทฤษฎี เป็นอริยสัจ ถ้าหากภาษาอังกฤษ ทฤษฎีเขาเรียกว่า Theory แต่ของพุทธศาสตร์ต้องเป็น Theorem ทฤษฎีสมบูรณ์ ไม่สามารถที่จะคัดค้านได้ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็เป็นความจริง อัจฉริยภาพของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ท่านประกาศว่ารู้ธรรม ไม่มีใครคัดค้านได้ เพราะสิ่งที่พระองค์ท่านรู้เป็นความจริงแท้ ต้องไปอธิบายให้ฝรั่งเขาเข้าใจให้ได้ พระองค์ท่านบอกว่าทุกคนเกิดมาไม่เที่ยง ก็ไม่เที่ยงจริง ๆ เพราะไม่มีใครอยู่ได้ในลักษณะเดิม

อย่าชวนคุยเรื่องนี้ เดี๋ยวน้ำลายแตกฟอง..!

เถรี
27-12-2014, 12:21
ถาม : ผมเป็นคนอยากรู้อยากเห็น ผมจะทำลายความอยากรู้อยากเห็นได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ต้องรู้เห็นได้จริง ถ้ารู้เห็นได้จริง ๆ ก็หมดอยากแล้ว ฝึกทิพจักขุญานให้ประเภทใช้งานได้จริงไปเลย อยากรู้อยากเห็นไม่ใช่ความผิด แต่ต้องมีสติว่า สิ่งที่เรารู้เห็น จะช่วยให้เราพ้นทุกข์ได้อย่างไร ไม่ใช่รู้แล้วไปติดแหง็ก เหมือนแมลงติดใยแมงมุม ยิ่งดิ้นก็ยิ่งพันแน่นไปเรื่อย ไม่มีโอกาสหลุดได้เลย

เถรี
27-12-2014, 14:39
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยโบราณ อาจจะเป็นเพราะจิตคนสงบไม่วุ่นวาย ความเป็นทิพย์เกิดง่าย เขาก็เลยเห็นผี เห็นเปรต เห็นเทวดา เป็นปกติ คนสมัยก่อนเวลาไปถามว่าเป็นใคร จะบอกว่าเป็นคน อย่างคำว่า "ไท" แปลตรง ๆ ก็แปลว่าคน ภาษาโบราณเขาว่า "มึงเป็นไทบ้านได๋ ?" มึงเป็นคนบ้านไหน "กูเป็นไทหนองบัว" กูเป็นคนหนองบัว

ก็แปลกที่ว่าคนทุกชาติทุกภาษาเรียกตัวเองว่าคน แม้กระทั่งพวกมอร์แกน ที่เราเรียกชาวเล เขาเรียกตัวเองว่า "อูรักลาโว้ย" แปลว่า "ข้าคือคน" เป็นเรื่องที่ประหลาดดีเหมือนกัน เพราะว่าเขาเห็นภพภูมิอื่นด้วย ก็ต้องยืนยันว่าตัวเองเป็นคน คงกลัวเขาเข้าใจผิดว่าเป็นนางฟ้าเทวดา หรือไม่ก็พวกเปรตอสุรกายไปเลย..!"

เถรี
27-12-2014, 18:00
ถาม : คนที่ได้ทิพจักขุญาณในด้านทิพโสต มักจะเจอผีแกล้ง โดยเขาจะใช้ความเป็นทิพย์ทางการได้ยินของเราเป็นช่องทางในการโจมตีเรา เราจะมีวิธีป้องกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : อย่าไปสนใจเท่านั้นเอง ดูว่ามีเรื่องเกี่ยวอะไรกับเราหรือเปล่า ถ้าไม่เกี่ยวก็ไม่ต้องไปสนใจ

ถาม : คนที่มีนิสัยเป็นเด็กอย่างผม มีวิธีแก้นิสัยที่ติดความเป็นเด็ก ให้เป็นผู้ใหญ่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าติดเป็นนิสัยจริง ๆ แก้ไม่ได้ พระอรหันต์ยังแก้ไม่ได้เลย ดูตัวอย่างพระสารีบุตร เรื่องของทิพจักขุหรือทิพโสต ถ้าเรารำคาญ ใช้วิธีเข้าสมาธิที่เกินกว่าอุปจารสมาธิ แต่อย่าให้ถึงฌาน ๔ ต้องมีความชำนาญในการเข้าออกฌานในแต่ละระดับ ในเมื่อเราขึ้นเกินอุปจารสมาธิแต่ไม่ถึงฌาน ๔ ความรู้เห็นต่าง ๆ จะไม่มา แต่ถ้าป้องกันตัวเองไม่ให้กิเลสกินได้ จำเป็นต้องเข้าสมาธิในระดับสูง ๆ ก็จะไม่ต้องไปสนใจ

ถาม : อย่างนี้ความสามารถด้านการรับรู้ที่เราได้ที่เรามี ก็เป็นดาบสองคมสิครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าคุณจะทำตัวอย่างไร ถ้าทำตัวผิดก็เป็นดาบสองคม

เถรี
27-12-2014, 19:04
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมามีเครื่องวัดอากาศประจำตัวคือโรคมาลาเรีย อากาศเปลี่ยนทีไรเป็นไข้จับ ก็ต้องบอกว่าเป็นความเมตตา เพราะถ้าไม่ป่วยก็อาจจะหลงตัวเอง

พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนเราเกิดมาเมา ๓ อย่าง ก็คือ เมาในความเป็นหนุ่มเป็นสาว เรียกว่าเมาวัย ไม่คิดว่าจะแก่ เมาในความไม่มีโรค ร่างกายแข็งแรงก็ประมาท และเมาในชีวิต คิดว่าจะอยู่จนอายุเท่านั้นเท่านี้่โดย ไม่ตาย ดังนั้น..ในเมื่อมีโรคประจำตัวก็ถือว่าเขาคอยเตือนอยู่เรื่อย

มีคนโพสต์รูปโลงศพลงอินเตอร์เน็ตแล้วเขียนว่า “พัสดุจากพระยามัจจุราช” เราส่งคำเตือนมาถึงท่านแล้ว..!"

เถรี
27-12-2014, 19:25
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้อาตมากำลังไล่เก็บประวัติตนเอง ต้องบอกว่าประวัติพระครูวิลาศกาญจนธรรมฉบับตัดปะ คือไปดูตามเว็บที่พูดเรื่องต่าง ๆ ไว้ แล้วจับมาต่อกันเป็นชีวิตของตัวเอง ไม่อย่างนั้นต้องเขียนประวัติตนเองใหม่ นี่เล่าไว้เยอะแล้ว

เดี๋ยวพออายุ ๖๐ ปีแล้วจะลงประวัติให้ดู ลงแล้วไม่มีอะไรใหม่เลย เพราะเล่าให้ฟังหมดแล้ว"

เถรี
29-12-2014, 18:47
ถาม : ผมมีพระวิสุทธิเทพเนื้อเงินยวง เอามาถวายเป็นพระสังฆทานเวียนได้ไหมครับ ?
ตอบ : เอามาจากไหน ?

ถาม : จำชื่อวัดไม่ได้ครับ
ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นพระที่เข้าพิธีพุทธาภิเษกแล้ว ไม่ควรเอามาเป็นพระสังฆทาน เพราะว่ามีเทวดาท่านรักษาประจำอยู่แล้ว ไปยกขึ้นลง ข้ามไปมา เดี๋ยวท่านรำคาญจะสวนเอา..!

เถรี
29-12-2014, 18:53
ถาม : ระหว่างผลของกรรมที่ทำมากับคำสอนของบิดามารดา ครูบาอาจารย์ รวมถึงสภาพแวดล้อมที่เติบโตมา อย่างไหนมีผลมากกว่ากันครับ ?
ตอบ : กรรมในอดีตมีผลในปัจจุบัน กรรมในปัจจุบันมักจะมีผลในอนาคต แต่ว่าวินาทีข้างหน้าก็เป็นอนาคตแล้ว เพราะฉะนั้น..ให้ตั้งใจทำความดีให้ต่อเนื่องเข้าไว้ โดยเฉพาะบุญใหญ่จาก ทาน ศีล ภาวนา มีโอกาสที่จะได้รับผลในอนาคตคือชาตินี้

เถรี
29-12-2014, 19:11
:4672615:เก็บตกเดือนธันวาคมปี ๕๗ หมดแล้วค่ะ:4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน