PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๗


เถรี
06-10-2014, 17:31
ถาม : การที่พระสงฆ์บางรูปประกาศละสังขารในวันที่เท่านั้น เวลาเท่านี้ ทำให้ญาติโยมแห่มาทำบุญด้วยเข้าใจว่าท่านจะละสังขารจริง แต่เมื่อถึงเวลา พระกลับไม่ได้ละสังขารตามที่แจ้งไว้ ในกรณีนี้เข้าข่ายปาราชิก ในข้อกล่าวอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่จริงหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไปปรับท่านส่งเดชเดี๋ยวจะซวยเอง..! ต้องดูเจตนาของท่านด้วย ถ้าท่านประกาศเพราะได้นิมิตอะไรมาในลักษณะของการเข้าใจผิดก็ไม่เป็นไร เราดันทะลึ่งไปปรับท่าน เราเองจะซวยแทน แต่ถ้าท่านเจตนาจะอวด รู้อยู่ว่าถ้าประกาศอย่างนั้นแล้วญาติโยมจะมาทำบุญกันมาก โดยที่ตัวเองไม่ได้รู้เห็นเป็นจริงตามนั้น ก็ต้องอาบัติปาราชิกไปเรียบร้อยแล้ว

เถรี
06-10-2014, 17:34
ถาม : การที่วัดบางแห่งส่งจดหมายพร้อมแผ่นทองสำหรับหล่อพระมาให้เราที่บ้าน แต่เราไม่สนใจที่จะหล่อพระกับวัดนั้น จึงไม่ได้ส่งกลับ ในกรณีนี้ถือว่าว่าติดหนี้สงฆ์วัดที่ส่งแผ่นทองมาให้เราหรือไม่ครับ ?
ตอบ : แผ่นทองเป็นของเราหรือเปล่าละ ? ถ้าแผ่นทองเป็นของพระ ไม่ใช่ของเราก็เฮงไปแล้ว

ถาม : เราสามารถนำแผ่นทองของวัดที่ส่งมาให้ ไปหล่อพระกับวัดอื่นได้หรือไม่ ?
ตอบ : ถือว่าเสียมารยาท ถ้าจะหล่อพระวัดอื่นจริง ๆ ต้องหล่อองค์ใหญ่กว่าที่เขาตั้งเจตนาเอาไว้

ถาม : ควรจะส่งคืนกลับ ?
ตอบ : ส่งกลับคืนไปดีที่สุด

เถรี
06-10-2014, 17:38
ถาม : ถ้ามีลูกหลานถือกำเนิดในวันเสียของฤกษ์พรหมประสิทธิ์ ส่วนใหญ่จะมีวิบากกรรมในการดำเนินชีวิต ทุกข์มากกว่าสุข ร้ายมากกว่าดี พอจะมีวิธีการแก้ไขจากร้ายให้กลายเป็นดีอย่างไรได้บ้างครับ ?
ตอบ : ตำราใครวะ ? คนจะเกิดเกี่ยวอะไรกับฤกษ์พรหมประสิทธิ์ด้วย ? ไม่ได้เกี่ยวกันสักหน่อย ฤกษ์พวกนั้นเป็นฤกษ์ที่เราจะเอาไปทำการทำงานอะไร ไม่ใช่ฤกษ์ที่เด็กจะมาคลอด เวลาคลอดของเขามาตามบุญตามกรรมของเขาอยู่แล้ว ถ้าหากว่าเฮงซวยจริง ๆ ก็เร่งให้เขาทำความดีใน ศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากเข้าไว้ เดี๋ยวก็ดีไปเอง นี่เขาเรียกว่าจับแพะชนแกะ บางทีอาจจะชนผิดกลายเป็นจับแพะชนควายไป..!

เถรี
06-10-2014, 17:48
ถาม : ผมใช้วิธีกำหนดลมหายใจสามฐาน คำภาวนาที่ใช้จะเลือกใช้ตามความจำเป็นของจังหวะชีวิตในช่วงนั้น อย่างติดขัดการเงินก็ใช้พระคาถาเงินล้าน ช่วงใกล้สอบก็ใช้คาถาตาทิพย์ของท่านปู่พร้อม ๆ ไปกับจับภาพพระไปด้วย นึกขึ้นได้ตอนไหนก็ทำ
ตอบ : ฟังดูแล้วคนถามอนาคตจู๋แน่นอน เพราะทำอะไรไม่จริงจังสักอย่าง โบราณเขาใช้คำว่า "ขี้จะแตกแล้วค่อยขุดส้วม" แหม..ใช้คำว่า "ตามความจำเป็นของจังหวะชีวิต" หาความสม่ำเสมอไม่ได้เลย

ถาม : ภาพพระชัด สว่าง พอใช้ได้แล้ว ก็กำหนดถอดกายในออกไปกราบท่าน เอาความรู้สึกทั้งหมดไปรวมอยู่ที่กายทิพย์ นึกว่าได้กราบท่านจริง ๆ ทำความรู้สึกตอนกราบ ตอนเดินให้เหมือนกายเนื้อ ตอนบังคับให้เดินไปช้า ๆ รู้สึกเหมือนมันจะล้ม คล้าย ๆ เด็กที่เพิ่งหัดเดิน บางทีภาพยังไม่ทันชัดกำหนดใจไปกราบ ภาพนั้นสว่างและชัดขึ้นมาทันที การใช้คำภาวนาผมใช้ผิดพลาดหรือเปล่า ?
ตอบ : ต้องบอกว่าไปทำของง่ายให้ยาก ถ้ามีความคล่องตัวมโนมยิทธิแล้ว ถึงไม่ใช้คำภาวนา นึกเมื่อไรก็ไปได้ เพราะฉะนั้น..ไม่เกี่ยวกับคำภาวนาอยู่แล้ว ส่วนในเรื่องของอทิสมานกายหรือกายทิพย์นั้น จะไม่ติดขัดแบบกายเนื้อไม่ว่าจะด้วยประการใดทั้งปวง พูดง่าย ๆ คือว่ามีความคล่องตัวในทุกรูปแบบ แค่นึกก็ถึงแล้ว เสือกทะลึ่งไปเดินทีละก้าว โง่ฉิบหา..เลย..!

ถาม : เอาให้ชัดครับ กลัวไม่ชัด
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็จงโง่ต่อไป..!

ถาม : พอไปกราบท่านได้แล้วให้ฝึกอย่างไรต่อ ?
ตอบ : จงทำแบบเดิมต่อไป

ถาม : อ้าว..!
ตอบ : ก็เขาเป็นคนชอบของยาก

เถรี
06-10-2014, 17:50
ถาม : สมมุติบ้านปลูกอยู่ในเขตธรณีสงฆ์ เราต้องชำระหนี้สงฆ์ คำถามคือ เขตธรณีสงฆ์จะมีอายุเป็นธรณีสงฆ์ เท่ากับอายุของพระศาสนาใช่ไหมครับ หรือมีอายุเป็นธรณีสงฆ์ตลอดทั้งกัป ?
ตอบ : ทั้ง ๒ เรื่องเอ็งก็อยู่ไม่ถึงหรอก แล้วเสือกกังวลไปทำไม..!? อายุธรณีสงฆ์เขานับแค่อายุพระศาสนาเท่านั้น เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องไปกังวลหรอก อย่างไรก็อยู่ไม่ถึง

เถรี
06-10-2014, 17:56
ถาม : ถ้าเราสร้างวัตถุมงคลหรือให้ประมูลวัตถุมงคล เพื่อนำเงินไปทอดกฐิน แต่ในประกาศเราไม่ได้แจ้งให้เขาทราบว่า จะนำเงินทั้งหมดทุกบาททุกสตางค์ไปทอดกฐิน เมื่อได้เงินมาแล้วเรานำเงินไปทอดกฐินแค่บางส่วนเท่านั้น เพราะถือว่ายังไม่ได้บอกว่าจะนำเงินทั้งหมดไปทอดกฐิน จึงเป็นสิทธิ์ของตนเองจะนำเงินไปทอดกฐินเท่าใดก็ได้ ในกรณีนี้เราจะมีโทษไหมครับ ? ถ้าผู้ร่วมบุญมีความตั้งใจว่าเงินที่ทำบุญมาทั้งหมดของเขาเป็นบริวารกฐินครับ
ตอบ : ขอให้กิเลสจงเจริญ..! ระยะนี้มีคนทำบ่อย โดยเฉพาะในเว็บพลังจิต ประกาศให้บูชาวัตถุมงคลวัดท่าขนุน บางชิ้นราคาหลายหมื่นแต่มาทำบุญตรงนี้ ๑๐๐ บาท เขาประกาศว่า “ให้บูชาเพื่อเอาเงินไปทำบุญกับวัดท่าขนุน” ลักษณะอย่างนี้เล่นข้อหาฉ้อโกงได้ไหม ?

ถาม : ได้ครับ
ตอบ : ถ้าหากว่าทางโลกมือกฎหมายเขายืนยันว่า เล่นข้อหาฉ้อโกงได้ ส่วนในทางธรรมนี่กิเลสจงเจริญ เสียท่าความโลภไปแล้ว ถ้าเขาตั้งใจทำบุญทั้งหมดยิ่งซวยหนักเข้าไปใหญ่ มีโทษเท่ากับย้ายเจดีย์ เอาของไประหว่างกึ่งกลางสงฆ์

ถาม : แล้วประเภทว่าเขามีดอกจันนิดหนึ่งเขียนว่า *รายได้ส่วนหนึ่งหักไปทำบุญ แต่ไม่ได้บอกว่าทำเท่าไร ?
ตอบ : มีหลายรายที่ทำแบบนี้

ถาม : อย่างนี้โดนไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเขาบอกเอาไว้ก็ไม่เป็นไร แต่ควรที่จะให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่อย่างนั้นก็มีเจตนาหลอกลวงเช่นกัน

เถรี
06-10-2014, 18:00
ถาม : คำภาวนา "โสตัตตะภิญญา" จะเริ่มมีผลเรียกอภิญญาเก่ากลับมา เมื่อถึงสมาธิระดับใดครับ ?
ตอบ : ตั้งแต่อุปจารสมาธิขึ้นไป

ถาม : อุปจารสมาธิได้อภิญญากลับมาแล้วหรือครับ ?
ตอบ : ได้นิดหนึ่ง ก็คุณถามว่าได้ตั้งแต่เมื่อไร ก็ได้ตั้งแต่อุปจารสมาธิสมาธิขึ้นไป จะได้มากได้น้อยขึ้นอยู่กับความมั่นคงของสมาธิเรา

ถาม : คือถ้าทรงสมาธิในกำลังที่สูงขึ้นไปก็... ?
ตอบ : ได้มากกว่านั้น

ถาม : เคยอ่านเจอว่า พอเห็นแสงแล้วให้นึกมารวมกันไว้ในอก จนเต็มแล้วตัวจะลอยได้ แต่ไม่ทราบว่าตอนที่ตัวลอยได้นั้นหรือไปได้ดังใจนึกนั้น เป็นสมาธิระดับฌานใดครับ ?
ตอบ : ระดับอุปจารสมาธิ

ถาม : ตัวลอยเลยนะครับ ?
ตอบ : เออ..!

ถาม : เป็นปีติหรือครับ ?
ตอบ : ใช่..ยังดีที่เป็นอุปจารสมาธิ

ถาม : ทำไมละครับ ?
ตอบ : มัวแต่สงสัย สมาธิเลยตก อาจจะได้น้อยกว่านั้นอีกก็ได้

เถรี
06-10-2014, 18:04
ถาม : หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเชิญพระมาพุทธาภิเษกวัตถุมงคลถ้าในครั้งก่อน ๆ ได้เท่าใด ครั้งต่อ ๆ ไปก็จะไม่น้อยหน้ากว่าครั้งเก่า พระหางหมากรุ่นพิเศษท่านปลุกเสกในพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าอย่างนั้นพระหางหมากรุ่นพิเศษก็ต้องมีอานุภาพมากกว่าพระหางหมากรุ่นธรรมดาใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ต้องไปถามหลวงพ่อวัดท่าซุงเอง เชิญไปถามท่านที่วิหารร้อยเมตรได้เลย

ถาม : ท่านจะลุกมาคุยด้วยหรือครับ ?
ตอบ : แปลกใจว่า ๒-๓ เดือนนี้มีแต่พวกมาแนวโลภแบบนี้เยอะมากเลย หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้ชัดว่า การพุทธาภิเษกเมื่อพระ หรือพรหม หรือเทวดา ท่านเคยสงเคราะห์ไว้เท่าไร ต่อไปจะให้ไม่ต่ำกว่านั้น ยกเว้นว่ามีอะไรพิเศษก็จะบอกให้ต่างหาก

เถรี
06-10-2014, 18:09
ถาม : การนึกภาพพระแก้วใสแบบกสิณ จะมีผลให้จิตตัดกิเลสอัตโนมัติ เหมือนเช่นเดียวกับการนึกภาพพระวิสุทธิเทพอยู่บนพระนิพพานหรือไม่ครับ ? ถ้าเหมือนกัน เราแค่นึกภาพพระแก้วใสเป็นกสิณอย่างเดียวก็ตัดกิเลสได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : น่าจะมีอาการเข้าใจผิดอะไรสักอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะนึกภาพพระวิสุทธิเทพหรือว่าภาพพระเป็นกสิณ ก็ไม่สามารถที่จะตัดกิเลสได้ทั้งคู่ เพียงแต่สามารถข่มกิเลสไว้ชั่วคราวเท่านั้น ยกเว้นว่าเรายกจิตขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพาน ตอนนั้นจะหมดกิเลสชั่วคราว ต่ำสุดจะมีกำลังใจเท่ากับพระโสดาบัน ถ้าเรารักษากำลังใจตอนนั้นเอาไว้ได้โดยตลอด ก็จะมีผลเท่ากับการตัดกิเลสตามกำลังระดับนั้น ๆ

อาตมาจึงสงสัยว่า จะมีการเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง ถึงได้บอกว่าการนึกว่าการนึกถึงภาพพระวิสุทธิเทพเป็นการตัดกิเลส สิ่งที่ปฏิบัติเหล่านี้เขาเรียกว่า วิกขัมภนวิมุติ คือพ้นเพราะการข่มกิเลสไว้ เผลอเมื่อไรกิเลสก็ตีกลับ เพราะฉะนั้น..ก็ควรที่จะยกจิตขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพาน แล้วรักษากำลังจิตให้อยู่ที่นั่นให้นานที่สุดเท่าที่เราทำได้ จะได้ผลมากกว่า

ถาม : การนึกถึงภาพพระแต่ไม่ได้ยกจิตไปพระนิพพานก็เป็นสมถะ ?
ตอบ : ราคาเดียวกัน

เถรี
06-10-2014, 18:11
ถาม : ผมได้รับหินชนิดหนึ่งมาจากฝั่งประเทศลาว ตอนไปทำงานสร้างเขื่อนน้ำงึม ๒ เป็นหินที่ฝังอยู่ในเนื้อหินอีกชั้นหนึ่ง ลักษณะสัณฐานกลม นายช่างที่นำมาแบ่งให้ เขาเรียก "หัวใจหิน" แต่ผมไม่แน่ใจครับว่า วัตถุนี้มีชื่อเรียกถูกต้องตามที่เขาบอกมาหรือเปล่า อยากสอบถามหลวงพ่อครับว่า หินลักษณะกลมที่ฝังอยู่ในเนื้อหิน จัดเป็นวัตถุทนสิทธิ์ หรือเปล่าครับ ? และถ้าเป็นวัตถุทนสิทธิ์ มีวิธีการบูชาอย่างไร ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วถ้ามีหินอื่นซ้อนอยู่ข้างใน มักจะเป็นก้อนแร่ชนิดอื่นที่ฝังตัวอยู่ ถ้าเรามั่นใจว่าวัตถุทุกอย่างมีพลังงาน ก็จัดเป็นทนสิทธิ์อย่างหนึ่ง ถ้าถามจะว่าบูชาอย่างไร ? ขอแนะนำว่าให้แกะเป็นพระติดตัวไว้เป็นพุทธบูชา หมดเรื่องหมดราวไปเลย

เถรี
06-10-2014, 18:13
ถาม : หากมีคนเป็นหนี้เราแล้วไม่ยอมจ่ายเสียที แต่เราอยากนำเงินไปทำบุญ เราสามารถบอกลูกหนี้เราว่า หนี้ที่ค้างเรานั้น เราฝากไปทำบุญด้วยนะ แบบนี้เราจะได้บุญหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าตั้งใจทำบุญจริง ๆ ก็ได้

ถาม : หากเพื่อนไม่เอาเงินที่ค้างไปทำบุญให้เรา เพื่อนจะติดหนี้สงฆ์หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ติดหนี้สงฆ์ไปเต็ม ๆ เลย

ถาม : ถ้าเรารู้ว่าเพื่อนไม่ยอมเอาเงินไปทำบุญ หรือไม่มีเงินไปทำบุญแน่ แต่เราทำแบบนี้ ถือว่าเราขาดเมตตาหรือไม่ครับ ?
ตอบ : โหดมาก..!

เถรี
06-10-2014, 18:30
ถาม : มีพี่ท่านหนึ่ง ทำงานในโรงงานที่รู้จักกัน ตอนมาสมัครงาน ก็เป็นเพราะพ่อแม่และญาติบังคับให้มาหางานทำ จะได้มีอาชีพเลี้ยงตัว แต่เจ้าตัวเขามีจิตใฝ่ฝันถึงแต่การบวชเป็นพระ ไม่ยินดีที่จะหางานทางโลกทำเพื่อเลี้ยงชีพ แต่สุดท้ายได้เข้าไปทำงานในโรงงานแห่งหนึ่ง มาทำงานได้สักพัก เพื่อนร่วมงานเห็นว่าเขาหายตัวไป เลยออกตามหากัน ปรากฏว่า ไปพบพี่เขานั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องน้ำ เอาผ้าสีเหลือง (ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะเปรียบเสมือนสีจีวรพระ) คลุมไหล่ไว้ครึ่งตัว มีมีดโกนวางอยู่ใกล้ ๆ โกนผมตนเองไปได้ประมาณครึ่งหนึ่งของศีรษะ แล้วนั่งเสียชีวิตในท่านั้น การที่ผู้ที่ปรารถนาอยากจะบวช แล้วไม่ได้บวช เกิดจากกรรมประเภทใดเจ้าคะ ?
ตอบ : เรื่องกรรมนี่กองเอาไว้ก่อน รู้สึกว่ารายนี้น่ากลัวมาก อาจจะทำใจบริสุทธิ์ถึงที่สุดแล้วอยู่ไม่ได้ รู้ตัวแล้วจะบวชแต่ไม่ได้บวช เลยโดนตัดให้ตายไปเรียบร้อยแล้ว..!

ถาม : แล้วเรื่องของกรรมนี่ถึอว่าเป็นกรรมหรือเป็นบุญครับ ?
ตอบ : เคยขวางคนอื่นไว้ในลักษณะเดียวกัน เป็นที่น่าเสียดาย ถ้าข้อสันนิษฐานของอาตมาไม่ผิด เมื่อบวชเข้ามาก็ได้พระดีไปเลย

ถาม : การที่พ่อแม่และญาติขัดขวางไม่ให้บวช จะมีผลกรรมใดเกิดขึ้นกับพ่อแม่และญาติบ้างไหมเจ้าคะ ?
ตอบ : เขาเองโดนมาแล้วนี่ คนอื่นทำแบบนั้นบ้างก็โดนต่อไป

ถาม : การที่เขานั่งเสียชีวิตในท่าขัดสมาธิ พยายามทำตนเหมือนตนเองได้บวชในพระพุทธศาสนาแล้ว จะเกิดโทษกับเขาไหมเจ้าคะ ?
ตอบ : ตอบไปแล้ว ไม่ใช่ทำตนเหมือนเป็นพระ น่าจะเป็นพระไปแล้ว

ถาม : หากเขากระทำการตามที่เล่ามาแล้วนั้น ตอนตายจิตใจของคนที่กระทำแบบนี้จะเกาะความดีอยู่ใช่ไหมคะ แล้วเขาจะไปสู่ภพภูมิใดเจ้าคะ ?
ตอบ : ไม่เป็นไร...คืนนี้จุดธูปถามท่านเองแล้วกัน

เถรี
06-10-2014, 19:32
ถาม : ผมมีเหรียญห้อยคอเหรียญหนึ่ง เขาบอกว่าเป็นเหรียญที่รับแสงจากพระศรีอาริยเมตไตรยโดยตรง ได้จากกลุ่มคนที่เรียกว่า "โยเร" คำถามคือ พระศรีอาริยเมตไตรย ท่านส่งแสงทิพย์ของท่านมาที่เหรียญโยเรนี้ เพื่อช่วยเหลือคนจริงหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ต้องถามว่าคุณเชื่อหรือไม่ ?

ถาม : อำนาจของเหรียญนี้เท่าที่ผมเคยเห็นสามารถเปลี่ยนคนป่วยให้ดีขึ้นได้ เปลี่ยนให้อุปสรรคต่าง ๆ ราบรื่นได้ แต่ถึงจะมีฤทธิ์ขนาดไหนผมก็ไม่อยากศรัทธาเลยแม้แต่น้อยครับ อยากรู้ว่ามีพลังจริงไหมครับ ?
ตอบ : วิทยาศาสตร์ยืนยันแล้วว่า วัตถุทุกชนิดแกนกลางเป็นพลังงาน เพราะฉะนั้น..มีพลังทุกอย่างแหละ แม้กระทั่งกระดาษเช็ดก้น..!

ถาม : ถ้าแสงโยเรไม่ใช่เรื่องที่เป็นสัมมาทิฐิ ไม่ถูกต้องจริง ผมจะมีวิธีใดให้แฟนผมได้รู้ และดึงกลับมาทำทานรักษาศีลในทางที่ถูกที่ต้องแทน ? ตอนนี้ผมไปพูดแตะต้องอะไรโยเรไม่ได้เลยครับ เขาจะโกรธมาก
ตอบ : เรื่องของความเชื่อถือศรัทธา ถ้าไม่ใช่มีกรรมเนื่องกันมา ก็เกิดจากการที่ตนเองสั่งสมกุศลอกุศลมาในอดีต ก็เลยทำให้แต่ละคนไปคนละทิศคนละทางกัน บุคคลที่สร้างบารมีไว้ดีย่อมได้พบครูบาอาจารย์ที่ดีไปเอง ดังนั้น..อย่าไปยุ่งกับเขาเลย จะได้ไม่บ้านแตก

เถรี
06-10-2014, 19:34
ถาม : คุณแม่ท่านหนึ่งกำลังตั้งครรภ์ และมีโรคประจำตัว คุณหมอบอกว่าค่อนข้างอันตรายกับเด็ก เพราะว่าคุณแม่ต้องกินยาเยอะ ค่อนข้างเสี่ยง คุณหมอแนะนำว่า ถ้าต้องการเอาเด็กไว้ เราก็สามารถเจาะน้ำคร่ำ ตรวจดูพัฒนาการของเด็กไปเรื่อย ๆ หากเด็กพิการ อวัยวะไม่ครบ สมองไม่เจริญเติบโต ก็ต้องทำแท้งเอาเด็กออก ไม่ทราบว่า ถ้าครอบครัวรวมทั้งหมอเห็นตรงกันว่าต้องทำแท้ง ใครบ้างที่จะได้รับบาปครับ ?
ตอบ : ทั้งหมดที่มีความเห็นร่วมกัน คนเราจะพิกลพิการขนาดไหนเขาก็รักชีวิตของเขา เขามีกรรมเป็นเครื่องหนุนเสริมของตนเองอยู่ เราไม่ได้มีหน้าที่ที่จะไปตัดสินแทนใคร

ถาม : แล้วกรณีที่ว่าอาจจะมีโทษมาถึงแม่ด้วยละครับ ?
ตอบ : จะกรณีไหนก็ตาม ถ้าแม่ไม่ได้สร้างกรรมไว้ก็ไม่เป็นไรหรอก

เถรี
06-10-2014, 19:38
ถาม : กรณีที่ลูกบวชเป็นพระสงฆ์ และยังไม่ได้มรรคผลใด ๆ คำถามคือ ถ้าลูกไปกราบเท้าแม่ที่เป็นพระอริยเจ้าแล้ว ลูกที่เป็นพระสงฆ์ที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ จะมีโทษหรือไม่ครับ ?
ตอบ : มีโทษเป็นปกติ อาตมาเคยเจอพระฤๅษีเป็นพระอนาคามี ท่านบอกว่า “กราบท่านไม่ได้ เพราะท่านถือศีลแค่ ๘ ข้อ” ตนเองอยู่ในอุดมเพศในขณะที่อีกฝ่ายเป็นฆราวาส ยิ่งเป็นพระอริยเจ้าท่านยิ่งรู้ ถ้าลูกไปกราบท่านอาจจะถวายผางมาให้..!

ถาม : ถ้าลูกเป็นพระสงฆ์ที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ สามารถนำจิตถอดออกไปกราบแม่ที่เป็นเทวดา ถ้าแม่เป็นเทวดาปุถุชน ลูกจะมีโทษหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าในเรื่องของจิตไม่ได้เกี่ยวกัน ในเรื่องของทางกายมีโทษมากเพราะเนื่องด้วยบุคคลอื่น โดยเฉพาะบุคคลรอบข้าง ถ้าเขาทำตามจะเกิดกรรมต่อเนื่องกันไปไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนในสภาพจิตอยากจะทำก็ทำไปเถอะ

ถาม : กรณีที่ลูกเป็นฆราวาส แล้วกราบแม่ที่เป็นปุถุชนสามครั้งแบบกราบพระ ลูกจะขาดพระรัตนตรัยไหมครับ ?
ตอบ : เราตั้งใจกราบแม่ไม่ได้กราบพระ จะกราบกี่ครั้งก็กราบไปเถอะ ถ้าจะเป็นมงคลใหญ่ก็กราบให้ครบ ๑๐๘ ครั้งไปเลย..!

เถรี
06-10-2014, 19:54
ถาม : เนื่องด้วยผมปรารถนาที่จะอัดกรอบและเลี่ยมทองคำพระพุทธปฏิมาลอยองค์เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา และเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา กระผมได้สวดมนต์และอธิษฐานจิตประหนึ่งถวายทองคำแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ เพื่อเป็นพุทธบูชาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผมทราบจากครูบาอาจารย์ที่ท่านเมตตาแนะนำกระผม และได้อ่านเนื้อหาจากบันทึกเก็บตกบ้านวิริยบารมีมาบางส่วน คือ ถ้าหากผู้ครอบครองเจตนาเลี่ยมทองคำถวายเพื่อเป็นพุทธบูชาแล้ว ผู้ถวายจะก้าวล่วงโดยนำทองคำไปขายเพื่อให้ผู้อื่นบูชาทั้งองค์พระต่อ หรือแม้กระทั่งการนำทองคำไปตีราคาค่างวดขายในยามเดือดร้อนมิได้ในทุกกรณี ถ้าหากวันหนึ่งกระผมหมดบุญสิ้นกรรมจากโลกนี้ไป องค์พระพุทธปฏิมาซึ่งอัดกรอบและเลี่ยมทองคำ ที่เจตนาถวายเป็นพระพุทธบูชาทั้งหมดนี้ กระผมจะสามารถสืบทอดให้ลูกหลานเป็นมรดก เพื่อบูชาต่อไปในภายภาคหน้าได้อีกหรือไม่ ? หรือจำเป็นต้องถวายเข้าในบวรพระพุทธศาสนาทันทีและต้องตกเป็นสมบัติของสงฆ์ครับ

ตอบ : ถ้าตั้งใจให้คนอื่นบูชาต่อ ต้องบอกเขาด้วยว่าแต่เดิมเราเองตั้งใจไว้เป็นอย่างไร คนที่รับไปจะได้ปฏิบัติให้ถูก ถ้าเอาไปจำนำอย่างไรก็ต้องไถ่คืน ห้ามตายก่อน เพราะคนเขารับไปเขาไม่รู้ จะเป็นโทษกับตัวเขาเอง

เถรี
06-10-2014, 19:59
ถาม : การนำปัจจัยจากบาตรวิระทะโย โอนไปร่วมทำบุญในลักษณะที่เป็นสายบุญหรือกองบุญ ทั้งในกรณีที่กระผมเป็นผู้นำสายบุญเอง และการที่กระผมไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสายบุญกับบุคคลอื่นนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้หรือไม่ครับ ? และถือว่าการร่วมบุญในลักษณะนี้ จะได้อานิสงส์เฉกเช่นเดียวกับการนำปัจจัยจากบาตรวิระทะโย ไปร่วมทำบุญในวิหารทาน ธรรมทาน และสังฆทาน ตามที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำได้เมตตาชี้แนะไว้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าตอนที่เขาหยอดบาตรตั้งใจจะทำอะไร ถ้าตั้งใจไว้แล้วทำผิดประเภท ก็เจอโทษย้ายเจดีย์อีก

ถาม : บาตรหลวงพ่อที่ว่าวิหารทาน ธรรมทาน สังฆทาน ชำระหนี้สงฆ์ หยอดไปแล้วมีงานบุญที่สนใจ ก็เอาเงินจากบาตรไปทำ อย่างนี้ถือว่าผิดเจตนาไหมครับ ?
ตอบ : บอกไว้แล้วว่าตั้งใจอย่างไรก็อย่าทำให้ผิดความตั้งใจนั้น สังฆทาน ธรรมทาน วิหารทาน ถ้าเราไปทำไม่เกินขอบเขตนี้จะทำวัดไหนก็ทำไปเถอะ

เถรี
06-10-2014, 20:05
ถาม : ผู้จัดสร้างพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม ได้ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงวัดที่ได้ปวารณาไว้ในเบื้องต้น เนื่องจากพฤติกรรมของคณะลูกศิษย์และบุคคลภายในวัดดังกล่าวไม่บริสุทธิ์ ถึงขั้นมีการข่มขู่เจ้าภาพเพื่อที่จะดำเนินคดีความและอ้างอิงข้อกฎหมาย เป็นเหตุทำให้เจ้าภาพตัดสินใจที่จะอัญเชิญพระพุทธองค์ไปถวายและประดิษฐาน ณ วัดอื่นแทน แน่นอนว่าเจ้าภาพผิดสัจจบารมีอย่างชัดเจน หากแต่เพื่อความสบายใจของบุคคลส่วนใหญ่ที่รับรู้เรื่องราวนี้ ในทางธรรมหรือกฎแห่งกรรม ถือว่าเจ้าภาพผู้นี้ได้กระทำในสิ่งที่ถูกหรือผิด เหมาะสมหรือไม่ ?
ตอบ : อันดับแรก ต้องดูว่าเจ้าภาพตั้งใจทำเฉพาะวัดนั้นหรือเปล่า ? ถ้าตั้งใจทำเฉพาะวัดนั้นแล้วย้ายไปทำที่อื่นก็มีโทษย้ายเจดีย์ อันดับที่ ๒ ในส่วนของเราที่โยกย้ายไปทำที่อื่น เจ้าภาพมีความยินดีด้วยหรือไม่ ? ถ้าเจ้าภาพที่ความยินดีด้วยสามารถโยกย้ายได้ แต่ขาดสัจจบารมี ซวยทั้งขึ้นทั้งล่อง

ถาม : อย่างนี้ถือว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยไหมครับ ?
ตอบ : จะไปปรามาสอย่างไร ? ยกเว้นอย่างเดียวคือประเภทย้ายไปก็ด่าพระไป..!

เถรี
06-10-2014, 20:07
ถาม : คนที่ทำผิดต่อผู้อื่น พอสำนึกได้แล้วเอ่ยปากขอโทษ กับอีกคนที่ทำผิดเช่นกัน พอสำนึกได้แต่ไม่เอ่ยปากขอโทษ ใช้วิธีชวนคุยเสมือนว่าไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้นมาก่อน อยากทราบว่า คนไหนกำลังใจดีกว่ากัน ?
ตอบ : ต้องบอกว่าคนที่เอ่ยปากขอโทษฉลาดกว่า เพราะถ้าอีกฝ่ายเอ่ยปากยกโทษให้ก็จบกัน ส่วนคนชวนคุยก็ผูกกรรมไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกัน

ถาม : แล้วอย่างนี้คนที่เอ่ยปากขอโทษเขายังต้องรับกรรมอีกไหมครับ หรือเขาตัดของเขาแล้ว ?
ตอบ : ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งอโหสิกรรมให้ก็จบแล้ว ส่วนอีกแบบหนึ่งก็คงจะชวนคุยกันไปอีกหลายชาติ..!

เถรี
06-10-2014, 20:09
ถาม : อยากทราบว่ามีลูกศิษย์คนไหนของพระอาจารย์ที่เอาดีหรือเอาจริงเอาจังในการปฏิบัติบ้างครับ ? และถ้ามีเป็นใคร ผมจะได้ไปทำความรู้จัก
ตอบ : ค่อย ๆ สังเกตไป ถ้าหาไม่เจอก็อย่าผิดหวังแล้วกัน..!

เถรี
07-10-2014, 12:19
ถาม : ภิกษุเดินบิณฑบาตแล้วเจอเงินระหว่างทาง ไม่มีไถยจิตคิดจะเอาเงินนั้น แต่ชี้ให้เด็กเก็บ จะต้องอาบัติปาราชิกหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เงินเป็นของใคร ?

ถาม : ไม่ทราบ ตกอยู่ข้างถนนครับ
ตอบ : ในเมื่อไม่มีเจ้าของแล้วจะไปขโมยใครได้ ? ถ้าจะให้ปลอดภัยที่สุดก็เก็บเอามา แล้วไปทำสังฆทานให้เจ้าของเขา

เถรี
07-10-2014, 12:20
ถาม : ลูกค้าถามว่าเขาจะเปิดบริการนวดกระปู๋ ผู้นวดเป็นชายและเปิดให้บริการเฉพาะผู้ชาย เจ้าของร้านที่เปิดจะผิดศีลข้อสามหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ต้องดูเจตนาเขาว่าทำเพราะเรื่องกามหรือเปล่า ถ้าเจตนาลักษณะนั้นก็ผิด

ถาม : ถ้าหากคนที่มาใช้บริการเป็นชายโสด จะผิดศีลข้อสามหรือไม่ครับ ?
ตอบ : อย่าลืมว่าเป็นผู้ที่มีบิดาปกครอง มีมารดาปกครอง ถ้าพ่อแม่ตายไปก็มีพี่ชายปกครอง มีน้องชายปกครอง มีพี่สาวปกครอง มีน้องสาวปกครอง ท้ายสุดกระทั่งมีธรรมปกครอง ซวยหมดนั่นแหละ

ถาม : ถ้าหากคนที่มาใช้บริการมีครอบครัวมีภรรยา แล้วแอบมาเที่ยวนวดกระปู๋ คนที่มาใช้บริการจะผิดศีลหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ขนาดคนไม่มีครอบครัวยังผิด แล้วคนมีครอบครัวจะไม่ผิดได้อย่างไร ?

ถาม : แล้วถ้าเมียอนุญาตละครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าเมียประชดหรือเปล่า ? ถ้าเมียไม่ประชดต้องให้เงินค่านวดไปด้วย ถ้าเมียบอกว่า "จะไปตายโหงตายห่..ที่ไหนก็ไป..!" นี่อย่าไปคิดว่าเขาอนุญาตนะ กลับมาอาจจะตายจริง ๆ..!

ถาม : ถ้าจะเปิดร้านแบบนี้ควรจะวางกำลังใจอย่างไรไม่ให้จิตใจเศร้าหมองครับ ?
ตอบ : อย่าเปิดเลยจะได้ไม่เศร้าหมอง

เถรี
07-10-2014, 12:22
ถาม : ลูกค้าผมท่านหนึ่ง เดิมนับถือศาสนาอิสลาม ปัจจุบันมานับถือศาสนาพุทธ แต่มีความกังวลใจเรื่องอาชีพ ลูกค้าท่านนี้ประกอบอาชีพทำฟาร์มไก่ไข่และฟาร์มไก่เนื้อ ส่งไก่ให้โรงงานแปรรูป การที่เขาเอาไข่ไก่และตัวไก่ไปขาย จะผิดศีลข้อหนึ่งหรือไม่ครับ ? และควรทำอย่างไรให้ตัวเขาไม่บาป หรือบาปน้อยที่สุดที่จะประกอบอาชีพนี้อยู่ ?
ตอบ : ถ้าจะไม่ให้บาปก็เลิกทำไปเลย เพราะถือว่าเป็นมิจฉาวณิชชา เป็นอาชีพที่พุทธมามกะไม่ควรทำ ประกอบไปด้วยการขายสุรา การขายยาพิษ การขายอาวุธ การขายมนุษย์และการขายสัตว์ที่มีชีวิต

ถาม : แต่ว่าต้องทำเป็นอาชีพ ทำอย่างอื่นไม่ได้ ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็ทนบาปไปเถอะ..!

เถรี
07-10-2014, 12:24
ถาม : ลูกค้าอีกท่านรับช่วงต่อกิจการขายข้าวมันไก่ แต่ไม่สบายใจที่ต้องสั่งไก่มาขายวันละ ๗๐ ตัว ไม่ทราบว่าเขาจะผิดศีลหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ผิดเต็ม ๆ

ถาม : เต็ม ๆ เลยหรือครับ ไม่ได้สั่งเขาเชือดนะครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้สั่งแล้วไก่จะตายไหม ?

ถาม : ไม่สั่งก็ตายครับ ก็ไปอยู่ร้านอื่น
ตอบ : สั่งคนอื่นทำเท่ากับทำเอง

ถาม : แบบนี้ทำอย่างไรล่ะครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่เลิกก็ทนบาปต่อไปเหมือนกัน

เถรี
07-10-2014, 12:26
ถาม : เมื่อเดือนก่อนพระอาจารย์แนะนำการใช้งานตะกรุดหลวงพ่อพูน ขอให้พระอาจารย์แนะนำการใช้งานตะกรุดกำลังพระแม่ธรณีเนื้อทองคำ ของวัดท่าขนุนด้วยเถิดครับ ?
ตอบ : วิธีใช้ที่ดีที่สุดคือยกให้คนที่เขารู้ไป..!

เถรี
07-10-2014, 12:27
ถาม : เรามีภาพถ่ายของพระพุทธรูปและภาพพระเครื่องที่นับถือ เช่น พระสมเด็จวัดระฆัง แต่ไม่มีโอกาสบูชามาอยู่กับตัวเอง การที่เราบูชาผ่านทางรูปถ่าย จะได้รับอานุภาพหรือพลังต่างจากการที่มีองค์จริงอยู่คล้องคอหรือตั้งบูชาอยู่มากน้อยเพียงใดครับ ?
ตอบ : คนละอย่างกัน ถ้าเราระลึกถึงท่านก็เป็นพุทธานุสติ เป็นสังฆานุสติ จัดเป็นกรรมฐานใหญ่ แต่ว่าการที่มีวัตถุมงคลติดตัว สามารถที่จะช่วยตัดเคราะห์กรรมบางอย่างได้ เพราะฉะนั้น..ผลจึงไม่เหมือนกัน แต่ว่าในเรื่องของผลส่วนหนึ่ง ก็เป็นการนึกถึงความดีเหมือนกัน

เถรี
07-10-2014, 12:28
ถาม : บางครั้งผมง่วงมากตอนกลางคืน ทำให้ต้องยกยอดการสวดมนต์มาไว้ตอนเช้า หรือบางครั้งเอาไปสวดในขณะรถติดยาว ๆ ผมไม่แน่ใจว่าเวลาและสถานที่ในการสวดมนต์ จะมีผลต่ออานิสงส์การสวดมนต์หรือไม่ครับ ? เพราะเคยได้ยินว่าถ้าสวดตอนกลางคืนก่อนนอน จะมีเทวดามาร่วมสวดด้วย ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าจะดีกว่าสวดตอนกลางวัน และไม่ได้อยู่ต่อหน้าพระพุทธรูปอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจสวดมนต์ทุกเย็นแล้วไม่ได้สวด เกิดตายไปก่อนก็ขาดอานิสงส์ที่จะพึงได้รับไปส่วนหนึ่ง ส่วนการจะสวดที่ไหนนั้นไม่ได้สำคัญ สำคัญตรงกำลังใจเป็นสมาธิมากน้อยเท่าไร ถ้ากำลังใจเป็นสมาธิมาก ต่อให้ทำงานทำการอื่นอยู่ก็สวดไปเถอะ

เถรี
07-10-2014, 12:32
ถาม : น้องคนหนึ่งเขาประกอบอาชีพสาวขายบริการทางเพศ อยากทราบว่าตัวเขาเองจะผิดศีลข้อสามหรือไม่ครับ ? และควรจะวางกำลังใจอย่างไรไม่ให้จิตใจเศร้าหมอง ?
ตอบ : ผิดแน่ ๆ

ถาม : ผิดอย่างไรครับ เขาไม่เป็นชู้ ทำงานของเขาไป ?
ตอบ : พ่อแม่อนุญาตให้เขาไปทำหรือเปล่า ? เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องห่วง จงเศร้าหมองต่อไป..!

ถาม : พี่ชายท่านหนึ่งทำหน้าที่เป็นพนักงานเชียร์แขก ให้ชายเลือกใช้บริการทางเพศกับทางร้าน เขาจะผิดศีลหรือไม่ครับที่เชียร์ให้คนใช้บริการทางเพศ ?
ตอบ : ผิดเหมือนกัน เป็นการสนับสนุนคนอื่นให้ทำผิดศีล ตัวเองก็เท่ากับทำผิดไปด้วย

เถรี
07-10-2014, 12:33
ถาม : น้องชายท่านหนึ่งที่บ้านขายส่งสุรา เบียร์ เรียกว่าน้ำเมาทุกชนิด เขากังวลในเรื่องการรับช่วงต่อกิจการ ถ้าเขาทำอาชีพนี้ต่อไป ตัวเขาเองจะผิดศีลข้อห้าหรือไม่ครับ ? และควรวางกำลังใจอย่างไร ?
ตอบ : ขายกิจการให้คนอื่นไป ไม่ต้องห่วง มีคนแย่งกันซื้อกิจการแน่

ถาม : แล้วผิดไหมครับ ขายเฉย ๆ ?
ตอบ : หนึ่งในห้าของมิจฉาวณิชชาที่พุทธมามกะไม่ควรทำ ขึ้นต้นด้วยการขายสุราเลย

เถรี
07-10-2014, 12:33
ถาม : น้องสาวท่านหนึ่งประกอบอาชีพเชียร์เบียร์ ขายเบียร์ตามสถานเริงรมณ์ ทุก ๆ วันต้องออกไปเชิญชวนให้คนอื่นทำผิดศีลกินเบียร์ ตัวเขาเองจะบาปมากหรือไม่ครับ ? และควรวางกำลังใจอย่างไรในขณะที่ยังประกอบอาชีพนี้อยู่ ?
ตอบ : เขากินไปกี่ครั้งตัวเองก็ผิดเท่านั้นครั้ง จะบาปมากไหม ? ก็ไม่มากหรอก เพราะบาปอยู่คนเดียว..!

ถาม : แล้วเขาควรจะวางกำลังใจอย่างไรครับ ?
ตอบ : หางานทำใหม่เถอะ

เถรี
07-10-2014, 12:35
ถาม : เมื่อเดือนที่ผ่านมา พระอาจารย์กล่าวถึงเหรียญพระนาคปรก วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ว่า "พระท่านบอกว่าทำให้เพื่อการป้องกันเป็นพิเศษ ถ้าใครคิดร้ายจะแพ้ภัยตนเอง" อยากทราบว่า "เหรียญพุทธบารมี" พระท่านสงเคราะห์เรื่องใดเป็นพิเศษหรือไม่ ? มีรายละเอียดอย่างไรครับ ?
ตอบ : มาถามช้าไป ลืมหมดแล้ว

ถาม : เมื่อวันพุทธาภิเษกเหรียญพุทธบารมี พระอาจารย์กล่าวว่า "พระท่านสงเคราะห์เกินมาเยอะ" ขอเรียนสอบถามว่า เป็นการสงเคราะห์ในเรื่องใดบ้างครับ พระอาจารย์จะเมตตาบอกได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ลืมไปแล้ว

ถาม : พระอาจารย์ได้แนะนำคาถาบารมี ๓๐ ทัศ ในการอาราธนาเหรียญพุทธบารมี จึงขอเรียนสอบถามว่า ข้างหลังของเหรียญมียันต์หลายอย่าง หากประสงค์จะอาราธนาเป็นการเฉพาะเรื่อง เช่น ด้านมหาสะท้อน ควรใช้คำอาราธนาว่า "เม สัมมุกขา สัพพาหะระติ เต สัมมุกขา" หรือไม่ หรือว่าใช้คาถาบารมี ๓๐ ทัศ แทน เพราะมีอานุภาพครอบจักรวาลหรือไม่ครับ ?
ตอบ : รู้สึกคนถามจะรู้มากกว่าอีกนะ บอกแค่ไหนให้ทำแค่นั้น ถ้าจะแหกคอกต้องแน่จริง..!

ถาม : ยันต์ศัตรูพินาศ ใช้คาถาใดในการอาราธนาเป็นการเฉพาะครับ ?
ตอบ : ให้ไปถามเจ้าของยันต์..!

เถรี
07-10-2014, 12:36
ถาม : ลูกค้าเป็นหญิงรักหญิงและตกลงอยู่กันฉันสามีภรรยา แต่อีกฝ่ายนอกใจและนอกกายไปรักหญิงอีกคน อยากทราบว่าจะผิดศีลข้อสามหรือไม่ครับ ? (รวมถึงชายรักชายด้วยครับ)
ตอบ : ระหว่างที่อยู่ด้วยกันก็ผิดศีลทั้งคู่ พอแหกคอกไปอยู่กับคนอื่นก็ผิดอีกยกหนึ่ง

ถาม : ผิดในกรณีใดครับ ?
ตอบ : ละเมิดของรักของคนอื่นเขา

ถาม : แล้วถ้าเขาขออนุญาตจากพ่อแม่เรียบร้อยแล้ว แต่เป็นหญิงกับหญิงละครับ ?
ตอบ : ถ้าผู้ใหญ่รับรู้และอนุญาตก็ไม่ผิด

ถาม : แล้วกรณีหญิงกับหญิงอยู่ด้วยกัน แล้วผู้หญิงคนหนึ่งไปมีผู้หญิงอีกคนหนึ่ง จะผิดศีลข้อกาเมไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเจ้าของเดิมเขาไม่อนุญาตก็ผิด

เถรี
07-10-2014, 12:37
ถาม : อีกกรณีหนึ่ง ชายแต่งงานมีลูกมีภรรยา แต่นอกใจภรรยาไปมีผู้ชายอีกคน ไม่ทราบว่าสามีจะผิดศีลข้อสามหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ก็รู้อยู่ว่าถ้านอกใจก็ผิดอยู่แล้ว

ถาม : แม้กระทั่งผู้ชายไปมีผู้ชายก็ผิด ?
ตอบ : เหมือนกัน..เพราะตนเองมีเจ้าของแล้ว

เถรี
07-10-2014, 12:38
ถาม : ผู้หญิงท่านหนึ่งไปรักและชอบพอกับชายที่มีภรรยาอยู่แล้ว ฝ่ายชายไม่ได้ปกปิดใด ๆ แต่ไม่บอกภรรยา ทั้งสองคบหากัน ไม่มีอะไรเกินเลยทางเพศ มีบ้างที่จับมือถือแขน บ่อยครั้งที่ไปเที่ยวด้วยกัน ไปกินข้าวดูหนัง ไม่มีอะไรเกินเลย แต่ไม่ได้บอกภรรยา และภรรยาไม่ทราบว่าทั้งสองรักกัน อยากทราบว่าอย่างนี้ทั้งผู้ชายและผู้หญิงจะผิดศีลข้อสามหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ศีลไม่ผิดแต่ธรรมบกพร่อง อาจจะตายแบบขาดทุน เพราะคนเข้าใจผิดว่ามีอะไรกัน ก็เลยฆ่าทิ้งไปโดยที่ไม่ได้มีอะไรกันสักนิดหนึ่ง..!

ถาม : แต่อย่างนี้ไม่ได้ผิดศีลข้อกาเม รอดนรกได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ผิดธรรมไม่ได้ผิดศีล เรียกว่าศีลด่าง ศีลพร้อย ศีลทะลุ แต่ไม่ถึงกับศีลขาด ถ้าใจไม่ไปเศร้าหมองข้องอยู่ก็รอด ถ้าไปเศร้าหมองข้องอยู่ก็ไปยาว..!

เถรี
07-10-2014, 12:40
ถาม : ลูกค้าท่านนี้เป็นหญิง และคบหากับฝ่ายชายกำลังจะแต่งงานกันแล้ว และรับทราบว่าฝ่ายชายมีภรรยาและลูก ซึ่งได้เลิกรากันไปห้าปี แยกบ้านและไม่เคยมาบ้านฝ่ายชายอีกเลยเพราะไปมีสามีใหม่ ขณะที่ชายหญิงคู่นี้จะแต่งงานกัน ฝ่ายภรรยาเดิมก็มาราวี บอกว่าแต่งไม่ได้ เพราะยังไม่ได้หย่าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าจะเอาใบหย่า ต้องยกบ้านที่ดินเงินทองให้ก่อนถึงจะยอมหย่า ลูกค้าผมอยากทราบว่าอย่างนี้เขาจะผิดศีลข้อสามหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ก็บอกแล้ว ให้ดูว่าเจ้าของเขาหวงไหม ?

ถาม : ก็ไม่ได้อยู่กันแล้ว แต่เขาไม่ยอมหย่า ?
ตอบ : ก็เขายังหวงอยู่นี่

ถาม : เขาบอกว่าถ้าจะให้หย่าก็เอาบ้านเอารถมา ?
ตอบ : ก็ต้องทำตามกติกาเขา ถ้าไม่ทำตามกติกาเขา เขายังหวงอยู่ รายนี้เขาคงถือภาษิตโบราณ "ถ้าเอาทองมาเท่าหัว ก็รีบเอาผัวฉันไป"[/B]

ถาม : ฝ่ายหญิงไม่ทราบว่าฝ่ายชายมีภรรยาอยู่ก่อน จึงร่วมใช้ชีวิตคู่ อย่างนี้ฝ่ายหญิงจะผิดศีลข้อสามหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าตัวเองไม่ได้รับอนุญาตจากพ่อแม่ ไปอยู่กับเขาก็ผิดอยู่ดี

ถาม : แล้วถ้าพ่อแม่อนุญาตเรียบร้อยแล้ว ?
ตอบ : ถ้าพ่อแม่อนุญาตเรียบร้อย ตัวเองไปอยู่โดยไม่รู้ ไม่ถือว่าผิด เพราะเจตนาไปละเมิดไม่มี

ถาม : แล้วถ้ารู้แล้ว เมียเขามาตามถึงบ้านแล้ว ?
ตอบ : เบรกสุดชีวิตเลย หยุดตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นไป เพราะรู้แล้วต้องหยุด

เถรี
07-10-2014, 12:41
ถาม : มีดหมอจำเป็นต้องดูโฉลกดาบโฉลกมีดหรือไม่ครับ ? ถ้าจำเป็นควรใช้แบบตำราใดครับ ?
ตอบ : ถ้าได้ต้องตามโฉลก คนใช้ก็คงจะสบายใจขึ้น ถ้าเอาตามตำราก็มีหลายตำราด้วยกัน แต่ว่าที่ใช้อยู่ก็คือ วัดไล่ไปจาก "ศรีวิชัย ภัยนิรันดร์ สุพรรณลาภ ปราบนคร จรประสิทธิ์ ฤทธิเดช วิเศษสมบัติ พลัดบ้านเมือง เลื่องลือยศ" ก็จะมีภัยนิรันดร์กับพลัดบ้านเมืองที่ไม่ดี นอกนั้นดีหมด เพราะฉะนั้น..ใช้ตำรานี้ง่ายที่สุด ตำราอื่นส่วนที่เสียมีเยอะ เดี๋ยวกำลังใจจะเสียหมด

ถาม : แล้วถ้าโฉลกตกไม่ดีละครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วไม่ได้เกี่ยวกัน ถ้าพระท่านสงเคราะห์ก็ใช้ได้ทั้งนั้น คราวนี้เขาอยากวัดเพื่อความสบายใจของตัวเอง เล่มไหนบูชาแล้วไม่ดีก็ยกให้คนอื่นเขาไป

ถาม : ถ้าดาบต่างสำนักต่างที่มา แต่มาเข้าพิธีที่วัดท่าขนุน จะนับโฉลกดาบอย่างไรครับ ?
ตอบ : บอกแล้วว่าถ้าพระท่านสงเคราะห์ให้ก็ไม่ต้องนับ ถ้าอยากจะนับก็ให้นับแบบข้างต้นที่ว่ามา

เถรี
07-10-2014, 12:43
ถาม : ขั้นตอนหนึ่งของพิธีอุปสมบท โดยเฉพาะในช่วงที่พระกรรมวาจาจารย์และพระอนุสาวนาจารย์ จะถามอันตรายิกธรรมต่อผู้ขออุปสมบทที่เป็นเพศที่สามว่า "ปุริโสสิ ?" กระผมอยากทราบว่าหากผู้ขออุปสมบทกล่าวตอบว่า "อามะ ภันเต" นั้น จะถือว่าผู้ขออุปสมบทกล่าวมุสาวาจาตั้งแต่ยังไม่ได้ครองสมณเพศเลยหรือไม่ ? และถือว่าพิธีอุปสมบทนั้นเป็นโมฆะหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าเป็นผู้ชายจะไปโกหกตรงไหน ? ถ้าเป็น ๒ เพศทางกายภาพโดยชัดเจน ไม่สามารถที่จะบวชได้อยู่แล้วเพราะเป็นอุภโตพยัญชนก ส่วนบัณเฑาะว์ที่ว่านั้นเกิดจากเพศเดียวก็จริง แต่ว่ามีอาการทางกามวิปริตไม่เหมือนคนทั่วไป พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ห้ามเอาไว้ ก็สรุปว่าถ้าอยากบวชจริง ๆ แล้วอยู่ในภาวะที่เขาใช้คำจำกัดความว่าเพศที่สาม ก็ให้บวชลักษณะหัวดำดีกว่า คือตั้งใจปฏิบัติในชีวิตฆราวาสง่ายกว่าเยอะเลย ศีลมีแค่ ๕ ข้อเท่านั้น

ถาม : แล้วที่เขาอยากบวช แต่เขาไม่ได้กามวิปริตขนาดนั้น ?
ตอบ : ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงแปลงเพศไม่ถือว่าโกหก บวชไปแล้วเก็บอาการให้อยู่ แต๋วแตกวันไหนก็สึกวันนั้น..!

ถาม : ถ้าทำศัลยกรรมมา ?
ตอบ : ถ้าเป็นผู้ชายแล้วศัลยกรรมเป็นผู้หญิง เครื่องหมายเพศไม่มีแล้วถือว่าไม่ครบ ๓๒ จัดเป็นวิบัติ บวชไม่ได้

เถรี
07-10-2014, 12:44
ถาม : สมมุติว่าเราเจอกับสิ่งที่เราไม่รู้มาก่อน เช่น คำที่เราไม่รู้จักมาก่อน พอเรามีคำถามในใจว่า คำ ๆ นี้แปลว่าอะไร คำตอบก็จะปรากฏขึ้นมาทันทีเองในใจ เป็นแค่ชั่วเสี้ยววินาทีและจำขึ้นใจ แต่จะไม่เกิดหากตั้งใจถาม จึงอยากกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า ลักษณะนี้เป็นอุปาทานหรือไม่ค่ะ ?
ตอบ : แสดงว่าวางกำลังใจผิด ตอนที่ตั้งใจถามตั้งใจมากเกินไป ถ้าวางกำลังใจสบาย ๆ เท่าตอนที่นึก จะได้คำตอบทุกครั้งแหละ

ถาม : แล้วเราจะตรวจสอบได้อย่างไรว่าเป็นอุปาทานไหม ?
ตอบ : ให้พิสูจน์กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในระยะใกล้ ๆ อย่างเช่นว่า วันนี้กลับบ้านไปเราจะเจอหมาตัวไหนก่อน ถ้าถูกต้องก็ให้จำว่าเราวางอารมณ์แบบไหน ต่อไปก็ให้วางอารมณ์แบบนั้น

เถรี
07-10-2014, 12:45
ถาม : ผมกำลังจะบวช แต่ไม่สามารถไปขออโหสิกรรมกับเพื่อน ๆ ทุกคนได้ จึงประกาศขออโหสิกรรมทางอินเทอร์เน็ต ต่อมาเพื่อน ๆ หลายคนทั้งที่เล่นอินเทอร์เน็ตและไม่ได้เล่นอินเทอร์เน็ต แจ้งมาที่ผมวันละคน (ไม่ซ้ำหน้าประมาณสิบคน) และบอกผมว่า "ฝันเห็นพระอาจารย์เล็กและผม" หลายคนได้ขอให้ผมพามากราบพระอาจารย์ที่บ้านวิริยบารมีเป็นครั้งแรกในชีวิต กระผมจึงกราบเรียนถามว่า การที่คนเหล่านี้ฝันเห็นพระอาจารย์และผม เป็นเพราะ "จิตสื่อถึงกันเพราะผมตั้งใจขอขมาทุกคน" หรือเป็นเพราะ "วาระบุญที่ทำให้เขาฝันเห็นพระอาจารย์และทำให้ตัดสินใจมาทำบุญกับพระอาจารย์" ครับ ?
ตอบ : เป็นเพราะวาระกรรมของพระอาจารย์..!

ถาม : แล้วเขาขออโหสิกรรมทางอินเตอร์เน็ตได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าอีกฝ่ายยินดีอโหสิกรรมให้ด้วยก็ใช้ได้

เถรี
07-10-2014, 12:53
พระอาจารย์เล่าว่า "เถ้าแก่ใหญ่สหวิริยาบริจาคเหล็กมาช่วยสร้างบ้านวิริยบารมี ตอนแรกลูกสาวเข้าไปตรวจสอบว่าเหล็กล็อตที่บริจาคให้อยู่ที่ไหน เจ้าหน้าที่บัญชีบอกว่าไม่มี ไม่ได้บริจาค พอไปถามปรากฏว่า เถ้าแก่ใหญ่กลัวว่าถ้าบริจาคเฉย ๆ เดี๋ยวจะไม่ได้บุญ ก็เลยควักกระเป๋าซื้อเหล็กของบริษัทตัวเองส่งมาให้ เลยทำให้เจ้าหน้าที่สงสัย เพราะไม่มีเหล็กบริจาคในบัญชี"

เถรี
09-10-2014, 12:40
พระอาจารย์บอกว่า "อนุโมทนาบัตรงวดนี้ที่ต้องใช้มาก เพราะว่าคณะของคุณนก (สิรีธร น้อยเจริญ) ถวายเครื่องสุขภัณฑ์ห้องน้ำ ๒๒ ชุด เพื่อที่จะเอาไปติดตั้งที่ห้องน้ำใหม่ข้างศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย แล้วทางคณะขออนุโมทนาบัตรมา รายชื่อก็เลยยาวเป็นหางว่าว ทั้งหมด ๒๐ กว่าคน ก็ต้องขอโมทนากับโยมที่มีจิตศรัทธาร่วมกันถวาย ซ้ำยังบอกว่า ถ้ามีวัดไหนทำห้องน้ำอีก ก็เต็มใจที่จะถวายอีก"

เถรี
09-10-2014, 12:41
ถาม : มีทำบุญอะไรบ้างแล้วโรคลดลง ?
ตอบ : ไม่มี..ให้เว้นจากการทำบาปจ้ะ ไม่ใช่ทำบุญแล้วโรคจะลดลง เว้นจากปาณาติบาตทุกชนิด หมั่นแผ่เมตตาบ่อย ๆ ชาติต่อไปก็โรคน้อยไปเอง หรือไม่ก็สร้างส้วมถวายวัด จะได้อานิสงส์แบบพระพากุละ

ถาม : ไปช่วยเขาสร้างห้องน้ำ เขาทำบุญกันทั้งศาลาได้แค่สามร้อยกว่าบาท ?
ตอบ : บางทีต่างจังหวัดเขาไม่ค่อยมีกำลังเงิน อาตมาไปอยู่ทองผาภูมิใหม่ ๆ หมู่บ้านมอญยกผ้าป่ามาถวาย มากันหมดหมู่บ้าน ถวายผ้าป่ามา ๒๑๗ บาท เขาทำต้นผ้าป่ามาสวยมากเลย แล้วเอากระดาษตัดเป็นดาวบ้าง เป็นดอกไม้บ้าง ห่อเหรียญบาทมา นับมาได้ ๒๑๗ บาท อาตมาแจกวัตถุมงคลหมดไปหมื่นกว่าบาท เพราะฉะนั้น..บางทีต่างจังหวัดมีแต่แรงงาน ถ้าเราต้องการแรงงานเขามีให้ แต่ว่าเรื่องเงินเขาไม่ค่อยจะมี ก็เลยเป็นเรื่องที่ต้องบอกว่า ญาติโยมมีจิตศรัทธามาก ศรัทธาล้นเกินตัวเงินที่ได้ทำบุญมา

เถรี
09-10-2014, 13:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้ามีใครอยากจะไปรับลูกระเบิดที่ปักษ์ใต้กับอาตมา ก็ไปจองรถที่คุณหญิง (ณญาดา) นะจ๊ะ รับแค่ ๘๐ คน เพราะว่าไปรถไฟตู้นอนปรับอากาศ ตอนนี้เหลืออยู่แค่ ๕ ที่ ไปกันหลาย ๆ คน เผื่อว่าใครเคราะห์กรรมหนัก ๆ เพื่อนจะได้ไปช่วยเฉลี่ยให้บ้าง..!"

เถรี
10-10-2014, 19:24
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่างเขาเอาแบบเมรุใหม่มาให้ อาตมาจะทำเมรุใหม่ รื้อของเก่าทิ้งสร้างใหม่เลย แจ้งกับญาติโยมแล้วว่าช่วงที่สร้าง ๒ ปีนี้ห้ามตายเด็ดขาด เพราะไม่มีเมรุให้เผา..! ใครจะเป็นเจ้าภาพสร้างเมรุคนเดียวก็ได้ คิดแค่ ๒๐ ล้านบาทเท่านั้น..! ก็จะมีตัวเมรุ คือ ฌาปนสถาน ขนาด ๙๐๐ ตารางเมตร ไม่ใหญ่เท่าไรหรอก ใหญ่กว่าห้องนี้หน่อยหนึ่ง แล้วก็มีศาลาเมรุ ๓ หลัง ใครมีเงินเหลือเฟือสัก ๒๐ ล้านบาทถวายมา อาตมาจะสละสมเด็จวัดระฆังที่พกติดตัวให้ แถมสมเด็จบางขุนพรหมอีกองค์หนึ่งด้วย..!"

เถรี
10-10-2014, 19:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "แจ้งให้โยมทราบอย่างเป็นทางการว่า พระที่จะบวชหมู่ถวายหลวงปู่สาย ช่วงงานทำบุญ ๑๐๐ ปีเกิดของท่าน ไม่ใช่ ๑๐๘ รูปอย่างที่ทุกคนเขียนมานะจ๊ะ ได้มา ๑๑๓ รูป สมัครมา ๑๒๑ ตัดยอดแล้วเหลือ ๑๑๓ จึงให้บวชทั้งหมดเลย สงสารพวกที่สมัครเกินมา เดี๋ยวไม่ได้บวชแล้วจะไปนั่งเสียใจ ก็เลยรับเอาไว้ทั้งหมด เพราะฉะนั้น..โยมที่เป็นเจ้าภาพร่วมบวชมานี่ให้ทราบว่า บวชพระ ๑๑๓ รูปนะจ๊ะ ไม่ใช่ ๑๐๘ รูป"

เถรี
10-10-2014, 19:28
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานออกนิโรธกรรมครูบาวิฑูรย์ปีนี้ ไม่ทราบว่าเข้าใจผิดกันหรืออย่างไร ตอนที่ขึ้นเสลี่ยงแห่ เขาแห่รอบเดียวจบ คาดว่าเขาคงเข้าใจผิด เพราะปกติจะแห่ ๓ รอบทุกครั้ง แต่อาตมาไม่ค้านหรอก เพราะนั่งนาน ๆ ก็กลัวตกเหมือนกัน จะรอบเดียวหรือ ๓ รอบก็ไม่ว่าหรอก แต่ถ้าได้รอบเดียวก็จะดี"

เถรี
10-10-2014, 19:32
พระอาจารย์พูดถึงเมรุที่จะสร้างใหม่ว่า "ฌาปนสถาน ๙๐๐ ตารางเมตรนี่คงไม่ใหญ่เกินไป กำลังคิดว่าจะใช้ระบบไฟฟ้า คือถ้าใช้ระบบน้ำมันเป็นเตาปลอดมลพิษ ทองผาภูมิก็แทบจะหาไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าใช้ไฟฟ้านี่มั่นใจมากเลยว่า น่าจะเป็นหลังแรกของจังหวัดกาญจนบุรี เพราะว่าเผาด้วยไฟฟ้านี่แค่ ๖-๘ นาทีเท่านั้น แล้วแต่อ้วนผอม กลายเป็นขี้เถ้าหมดเลย ไม่ต้องเสียเวลานาน สับไฟฟ้าเข้าไป ๖-๘ นาทีเท่านั้น ไม่มีอะไรเหลือเลยนอกจากขี้เถ้าห่อหนึ่ง

กำลังให้เขาไปศึกษาดูว่า เมรุแบบนั้นใช้ไฟฟ้าขนาดไหน แต่ว่าถึงใช้ขนาดไหนวัดท่าขนุนก็ไม่หวั่น เพราะว่าซื้อหม้อแปลงขนาด ๒๕๐ KVA เป็นของวัดเอง แล้วหม้อแปลงอยู่ข้างหน้าเมรุพอดี สามารถเดินสายใหม่เข้าไปได้ภายในเวลาไม่กี่นาที

เสียดายว่าตัวอาคารกับเมรุเก่าไม่สามารถที่จะเหลือไว้ได้เลย เนื่องจากว่าพื้นที่ไม่ได้ศูนย์กลาง พื้นที่ซึ่งตั้งใจว่าจะปรับใหม่นั้น ตัวอาคารเก่าอยู่ชิดด้านหนึ่ง คงต้องรื้อไปถมที่เลย ระยะนี้วัดท่าขนุนถมที่ด้วยของแพง ถมสระน้ำนี่ใส่เสาเข็มต้นละ ๒๐,๐๐๐ บาทลงไป ๑๒ ต้น ซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้งาน เพราะว่าเข็มตอกเวลาตอกลงไปแล้วสะเทือนมาก อาคารอื่นอาจจะร้าวได้ กลายเป็นซื้อมาทิ้งไว้เฉย ๆ แล้วไปใช้เข็มเจาะแทน

มีเสาไฟฟ้าอีก ๕ ต้น เป็นเสาแบบเดิมในซอยแยก ไม่ใช่เสาไฟฟ้ามาตรฐานซีแพ็ก ๒๕ เมตร แบบนี้น่าจะประมาณ ๑๒ เมตร ถมลงไปอีก ๕ ต้น แล้วก็ตามด้วยกุฏิศาลเจ้าที่อีก ๑ หลัง กำลังมองว่าจะเอากุฏิหลวงปู่พุกถมลงไปอีกหลังหนึ่ง

เรื่องการรื้อสิ่งปลูกสร้างภายในวัดมีหลักการว่า ถ้าเราทำใหม่แล้วไม่ดีกว่าเดิมนี่ห้ามรื้อเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นติดหนี้สงฆ์หัวโตเลย ถ้าทำต้องทำให้ดีกว่าเดิม ไม่ใช่แพงกว่าเดิมนะ ดีกว่าเดิม เพราะว่าเรื่องแพงกว่าเดิมนี่ คนทำทีหลังจ่ายแพงกว่าเป็นปกติอยู่แล้ว พอถึงเวลาทำเมรุเสร็จอาตมาก็อาจจะได้ฉลองเผาเป็นคนแรก..นอนสบาย กะดูว่างบประมาณ ๒๐ ล้านบาท เพราะว่า ๙๐๐ ตารางเมตร เฉพาะตัวเมรุ แล้วก็มีศาลารอบอีก ๓ หลังเป็นรูปเกือกม้า"

เถรี
10-10-2014, 19:33
"ครึ่งเดือนที่ผ่านมา ญาติโยมทางทองผาภูมิตายติด ๆ กันหลายศพ เป็นช่วงที่อากาศเปลี่ยนแรงมาก ช่วงอากาศเปลี่ยนถ้าคนแก่หรือคนป่วยดูแลไม่ดีนี่อาจจะไปเลย รายล่าสุดก็คุณยายขันแก้ว อายุ ๘๖ ปี แต่เขาบอกว่าคุณยายแจ้งเกิดช้า คนทองผาภูมิถ้าไม่ใช่เกิดโรคภัยไข้เจ็บหรืออุบัติเหตุจริง ๆ แล้วอายุยืน อย่างปีที่แล้วก็ ๕ ศพ เด็กที่สุดอายุ ๘๒ ปี ระดับอายุ ๘๐ กว่าของทองผาภูมิเขาถือว่าเป็นปกติ ถ้าไม่ใช่มะเร็งกินตายหรืออุบัติเหตุตายนี่รับประกันว่าอายุเกิน ๘๐ ปีแน่นอน เขาบอกว่าเกิดจากทองผาภูมิอากาศดี อาตมาไม่ใช่คนทองผาภูมิ เป็นแค่เขยทองผาภูมิ คือไปฝากตัวอยู่ที่โน่น เพราะฉะนั้น..อายุไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้"

เถรี
13-10-2014, 20:21
ถาม : สอบคะแนนไม่ค่อยดีเท่าไร ?
ตอบ : ใช้คาถาช่วยจ้ะ ภาวนาคาถา สะหัสสะเนตโต เทวินโท ทิพพะจักขุง วิโสธายิ นึกถึงลมหายใจเข้าออก ภาวนาทุกวัน เช้าสักครึ่งชั่วโมง เย็นครึ่งชั่วโมง

ถาม : ไม่ค่อยดีนี่ ๘๐ คะแนน ?
ตอบ : น้อยไป หลวงพ่อได้ตั้ง ๑๐๐ คะแนน..!

ถาม : พ่อเขาจะให้ได้ ๙๖ คะแนน
ตอบ : นั่นแหละ ประมาณนั้นแหละ ไปภาวนาเอา ไม่เยอะหรอก มีวิชาหนึ่งหลวงพ่อได้ ๙๘ คะแนน ท่านอาจารย์พระมหาอุดรบอกว่า "ของพระครูเล็กผมจะให้ ๑๐๐ คะแนนก็ได้ แต่เดี๋ยวเขาจะหาว่าลำเอียง เลยตัดไป ๒ คะแนน" แล้วพระอาจารย์พูดทำไม ? ให้ผมเฉย ๆ แค่นั้นผมก็ไม่ว่าหรอก ผมจะคิดว่าความสามารถของผมไม่ถึง นี่ความสามารถของผมถึง แต่พระอาจารย์ไม่ให้ เพราะพระอาจารย์กลัวโดนว่า นี่คนละเรื่องกันเลย...

เถรี
13-10-2014, 20:39
ถาม : ความดันขึ้น ไม่ได้เรื่องเลย ตามองไม่ค่อยเห็น ?
ตอบ : ตำราหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านให้ใช้ยาเก้าร้อย ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนชื่อเป็นอะไรแล้ว บอกเขาว่าชื่อเก่าคือยาเก้าร้อยของวัดท่าซุง ถ้าความดันต่ำจะปรับให้สูง ถ้าความดันสูงจะปรับให้ต่ำ ยาตัวนี้กินได้ทั้งความดันต่ำและสูง ให้เขาลองไปดูที่บ้านสายลม ถ้าไม่มีก็ต้องไปที่วัดท่าซุง รีบ ๆ เอามากิน ความดันสูงมากแบบนี้อันตราย

ที่เขาเปลี่ยนชื่อยาเพราะมีอยู่ช่วงหนึ่ง อย.เข้าไปเล่นงาน บอกว่าโฆษณาเกินจริงอะไรพวกนั้น ไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนชื่อตัวนี้ไปหรือเปล่า เดิมเขาเรียกยาเก้าร้อย ความดันเท่าไร ?

ถาม : สองร้อยกว่าค่ะ
ตอบ : ครูบาเหนือชัยก็ความดันสองร้อยกว่า เส้นเลือดในสมองแตกไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ตายแต่ว่าร่างกายด้านขวาหยิบจับทำอะไรไม่ได้ ท่านบอกว่าไม่รู้ตัว ปวดหัวก็กินยาแก้ปวด ไม่รู้ว่าเป็นความดัน ให้สังเกตว่าไม่ใช่อาการปวดหัวทั่วไป จะปวดตุบ ๆ ที่ขมับ ๒ ข้างนี่ นั่นแหละความดัน แต่พวกเราไม่รู้กัน

เถรี
13-10-2014, 21:14
ถาม : ทำสารนิพนธ์ศัลยกรรมความงามของปริญญาเอกค่ะ ?
ตอบ : คนที่ทำศัลยกรรมเพิ่มความงามแล้วเพิ่งตายไปเองนะ..! เรื่องนี้จริง ๆ แล้วโยงเข้าหาหลักธรรมได้ง่ายมากเลย แต่กลายเป็นว่าหลักธรรมของเราไม่สรรเสริญตรงจุดนี้ ในเมื่อหลักธรรมไม่สรรเสริญตรงจุดนี้ ก็ต้องไปไล่มาตั้งแต่เบญจกัลยาณี แล้วก็พุทธมารดาที่มีอิตถีลักษณะงามเลิศอีก ๖๔ ประการ ว่าเกิดจากการสร้างบุญอะไรมา คนรุ่นหลังที่มาศัลยกรรมความงามต้องเข้าใจว่า ในเมื่อบุญเก่าไม่ได้ทำมา คุณฝืนอย่างไรก็ฝืนไม่ได้ รายนั้นจึงตายไปเลย ต้องพยายามดึงเข้าหาหลักธรรมของพระพุทธศาสนาให้ได้

เบญจกัลยาณีให้ยกตัวอย่างนางวิสาขา ผู้ที่มีเบญจกัลยาณีพร้อมอิตถีลักษณะที่งามที่สุด ๖๔ ประการก็คือพุทธมารดา ได้ค้นพระไตรปิฎกกันสนุกไปเลย ถ้ารู้สึกว่าน้อยไปก็เอามหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ บวกกับอนุพยัญชนะอีก ๘๐ ประการของพระพุทธเจ้า จะมีคำอธิบายว่า แต่ละอย่างได้มาเพราะสร้างบุญอะไรไว้

คราวนี้เรื่องของการเสริมความงามในปัจจุบัน แม้จะเป็นการนิยมกันก็ตาม แต่ถ้าไม่มีบุญเก่ารองรับอยู่ โอกาสที่จะสำเร็จตามนั้นยาก ถ้าใครฝืนทำขึ้นมา บางทีชะตาชีวิตทุกอย่างพลิกเปลี่ยนหมดเลย เพราะว่าไม่ไปกับบุญเก่ากรรมเก่าของตัวเอง ไปลองค้นดูนะ คราวนี้จะเห็นทางสว่างขึ้นอีกเยอะ

ประเทศที่น่ากลัวที่สุดเกี่ยวกับการเสริมความงามก็คือประเทศเกาหลี หนุ่มสาวเกาหลีแทบทุกคนมีค่านิยมเกี่ยวกับการเสริมความงาม เขาบอกว่ารางวัลแรกที่ลูกขอเมื่อตอนสอบได้ก็คือ ขอทำศัลยกรรม แล้วเวลาแต่งงานกับสาวสวย ลูกออกมาหน้าตาดูไม่ได้นี่ไม่ใช่ลูกของคนข้างบ้านนะ ลูกตัวเองนั่นแหละ เพียงแต่ว่า DNA หรือยีนส์ที่ถ่ายทอดพันธุกรรมก็ถ่ายทอดไปตามเดิม แต่หน้าตาผ่านการศัลยกรรมมา

คนจีนเชื่อว่าการทำศัลยกรรมทำให้นรลักษณ์ หรือที่เรียกว่าโหงวเฮ้งเปลี่ยน ถ้าโหงวเฮ้งเปลี่ยน ทางชีวิตก็จะเปลี่ยนไปด้วย จึงมาตรงกับทางพระพุทธศาสนาที่ว่า ในเมื่อบุญกรรมของคุณที่สร้างมา ไม่ได้สร้างมาอย่างนี้ คุณฝืนจะไป ก็ย่อมไปไม่ได้อยู่แล้ว

เถรี
13-10-2014, 21:26
ถาม : ผมซื้อผ้าก๊อซมาสามแผ่น ใช้ไปหนึ่งแผ่น เหลืออยู่สองแผ่น ทีนี้มีคนขอซื้อต่อ ไปทำบุญต่อผู้ยากไร้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ก็ขึ้นกับว่าคุณจะขายไหม ?

ถาม : ผมขายครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นอาตมาก็ยกให้ฟรีไปเลย ร่วมทำบุญกับเขา

ถาม : ถ้าผมซื้อของมาเพื่อเปิดโรงทาน แล้วมีของแถมมา ของแถมที่ได้ผมจะทำอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ถ้าจะให้ดีก็ถวายพระไปเลย ถ้าอยากได้จริง ๆ เก็บเอาไว้ก็ไม่มีปัญหาหรอก เพราะว่าโรงทานที่เราตั้งใจนั้นได้ทำแล้ว

เถรี
14-10-2014, 09:21
ถาม : ญาติเขาเป็นมะเร็งผ่าตัดแล้วลามไปที่ตับ รักษาหมดไปเป็นล้าน ตอนนี้ไม่มีเงินแล้ว กราบขอคำปรึกษาค่ะ ?
ตอบ : ถ้าผ่าตัดแล้วก็ช่วยไม่ได้แล้วจ้ะ ถ้าผ่าแล้วยาอะไรก็ช่วยไม่ได้ มะเร็งเหมือนกับรังผึ้งหรือรังมด พอเราไปตีรังหรือไปทำลายรัง ก็จะกระจายไปทั่ว ถ้ายังไม่ได้ผ่านี่ยาพอจะช่วยได้ ถ้าผ่าแล้วก็รอเวลาไปอย่างเดียว

ถาม : มียาที่บรรเทาทุกขเวทนาไหมคะ ?
ตอบ : ดูท่าจะไม่มี จำไว้ว่าหมอเขาคิดว่ามะเร็งเป็นแค่ก้อนเนื้อ แต่ความจริงก้อนเนื้อนี่เป็นรังของมะเร็ง ตัวเชื้อโรคจริง ๆ พอไปผ่าเข้าก็เตลิดไปที่อื่น จะสังเกตเห็นว่าคนผ่าแล้วนี่ส่วนใหญ่อยู่ไม่นาน แล้วก็อย่าให้คนไข้กินซุปไก่ เขามีการทดสอบทำวิจัยมาแล้ว ซุปไก่ที่ว่าทำให้คนไข้ฟื้นไข้เร็ว เขากินไปอาทิตย์เดียวมะเร็งจาก ๑ เซนติเมตร กลายเป็น ๓ เซนติเมตร ก็เลยมีบางคนบอกว่าซุปไก่เป็นอาหารเลี้ยงมะเร็ง ถ้าเป็นโรคอื่นกินไปเถอะ อาจจะช่วยให้ฟื้นกำลังได้เร็ว แต่มะเร็งต้องการอาหาร แล้วรู้สึกว่าจะชอบซุปไก่มาก จะโตขึ้นเร็วมากเลย

เถรี
14-10-2014, 09:25
ถาม : พักนี้จะมีแต่เรื่อง พอเวลาผ่านไปนาน ๆ เราลืมเรื่องพระนิพพาน ก็สามสี่ครั้งที่เป็นแบบนี้ เลยทำให้ไม่ไปไหนสักที ?
ตอบ : ทุกครั้งที่เราใกล้ความดี ก็จะโดนก่อกวนเพื่อที่จะให้ห่างออกไป การทดสอบนี่จะมีอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นมีทางเดียวก็คือเราต้องมีสติระมัดระวังอยู่กับสิ่งที่เราทำ เผลอไม่ได้..ไม่ต้องโทษใคร ต้องโทษเราว่าสติยังไม่พอ ก็ต้องฝึกต่อไป วิธีฝึกที่ดีที่สุดก็คือให้อยู่กับลมหายใจเข้าออก

ถาม : ถ้าบุญไหว้พระสวดมนต์แล้วอธิษฐานเข้าพระนิพพาน แล้วเพิ่มเป็นให้ชนะมารด้วยได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้..แต่การอธิษฐานก็คืออธิษฐาน ส่วนที่จะชนะจริง ๆ คือเราต้องลงมือทำ การอธิษฐานเป็นส่วนของความตั้งใจ อย่างเช่น เราตั้งใจว่าจะสอบให้ได้ แล้วถ้าเราตั้งใจเฉย ๆ เราจะสอบได้ไหม ? เราก็ต้องลงมือสอบ

เถรี
14-10-2014, 09:41
ถาม : พัดลมชั้นหนึ่งที่ศาลาเขาจะมาเพิ่มอีก ๒๐ ตัว พร้อมการเดินไฟ เขาบอกว่าจะมีส่วนเพิ่ม ผมขอจนรอไม่ไหวแล้ว ถ้าเขามาแค่นี้ก็โอเค แต่เพิ่มไปเรื่อย ?
ตอบ : เพิ่มไปเรื่อย เมื่อวันก่อนผมเพิ่งไล่พวกทำเครื่องเสียงเตลิดเปิดเปิงไป เขาแก้ไขปัญหาไม่ตก แต่เพิ่มวัสดุมาเรื่อย ตรงนี้ใส่ลำโพงเพิ่มอีก ๖ ตัว ตรงนี้ใส่ลำโพงเพิ่มอีก ๔ ตัว เขาไม่เคยแก้ตกเลย อาตมาบอกว่า "มึงเอาของกลับไปหมดเลย กูไม่ชอบแบบประเภทถึงเวลาแล้วมาเพิ่มวัสดุไปเรื่อยแล้วแก้ไม่ได้" กลายเป็นว่าเขาขายของให้เราไปเรื่อย โดยที่ปัญหาไม่จบสักที ไม่มีฝีมือก็บอกสิว่าไม่มีฝีมือ ไม่ใช่แก้ไขโดยวิธีเพิ่มวัสดุไปเรื่อย

เถรี
14-10-2014, 09:51
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนช่างกระเบื้องมาปูห้องน้ำไปได้ประมาณ ๔ ห้อง มาขอเบิกเงิน ๕,๐๐๐ บาท อาตมาก็หัวเราะ “เอ็งรู้หรือเปล่าว่าวันนี้ที่เบิกน้อยที่สุด ๘๐๐,๐๐๐ บาท แล้วเอ็งมาเบิก ๕,๐๐๐ นี่จะให้ข้าจ่ายอย่างไรวะ ? ข้าทำตัวไม่ถูกโว้ย..!” เบิก ๔ รายต่ำสุด ๘๐๐,๐๐๐ บาท แล้วเอ็งมาเบิก ๕,๐๐๐ บาทนี่นะ

ส่วนหนึ่งที่ค่อนข้างจะหนักสำหรับทางวัดก็คือค่าแรงช่าง ไล่ขึ้นมาเลยนะ จากเดิมเดือนละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท เป็น ๖๐๐,๐๐๐ บาท เป็น ๗๐๐,๐๐๐ บาท เป็น ๘๐๐,๐๐๐ บาท เดือนนี้ ๑ ล้านบาท คนงานจำนวนเท่าเดิม แต่ทีนี้พอเขาเห็นว่าจ่ายสะดวกก็ทำงานกันฉิบหา..เลย วันหยุดเขาก็ไม่หยุด ตรุษ สารท เทศกาลอะไรเขาก็ทำงานของเขาอยู่นั่น

คุณสุรีย์อยู่มาตั้งแต่ปี ๒๕๔๙ ไม่ยอมไปไหนเลย เพราะงานที่วัดไม่มีการคุยราคาไว้ก่อน ทำไปได้เลย แล้วจะเบิกเท่าไรก็มาเอา ด้วยความที่ผมเองเคยทำงานมาก่อน รู้ว่าคนที่เขาซื่อและตรงไปตรงมา เขาทำเท่าไรเขาเอาเงินแค่นั้น ไม่ได้เรียกร้องอะไรเกินไปมากมาย ให้เขาได้ก็ให้ เพราะถ้าไปคุยราคาก่อนอย่างที่เขาทำ ๆ มา พอถึงเวลาของขึ้นราคานี่กำไรเขาแทบไม่มี หรือไม่บางทีก็กินทุนตัวเองเลย เขาบอกว่าระยะหลังก่อนที่จะมาทำงานกับผม เขาขาดทุนมา ๓ งานติดกัน อยู่ ๆ เหล็กประกาศขึ้นราคาตันละ ๗,๐๐๐ บาท ท่านเจ้าคุณปัญญานั่งสั่นหัวเลย “อย่างนี้มีแต่อาจารย์เล็กจ่ายได้ ผมจ่ายไม่ได้หรอก” คราวนี้พอเขาทำงานกับผมแล้วเรื่องเงินสะดวก ก็ไม่อยากไปไหน ทำไปเรื่อย อยู่กันมา ๙ ปีเข้าไปแล้ว"

เถรี
14-10-2014, 11:24
พระอาจารย์เล่าว่า "วันนี้มีโยมคนหนึ่งเรียนปริญญาเอก ทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับการทำศัลยกรรมความงาม จะไปรอดไหมก็ไม่รู้ ? อันดับแรก..ที่ปรึกษาจะหาใคร อันดับที่สอง..เขาเพิ่งจะศัลยกรรมตายคาที่ไป อาตมาให้เขาไปดูเรื่องเบญจกัลยาณี ไปดูอิตถีลักษณะ ๖๔ ประการของพุทธมารดา รวมถึงมหาปุริสลักษณะและอนุพยัญชนะของพระพุทธเจ้าด้วย แล้วให้สรุปออกมาว่าแต่ละอย่างได้มาเพราะสร้างบุญอะไร

การที่ไปทำศัลยกรรมความงามนั้น เป็นการฝืนกฎของกรรมอย่างหนึ่ง คนจีนเขาเชื่อว่าทำให้นรลักษณ์หรือโหงวเฮ้งเปลี่ยนไป ทางชีวิตอาจจะเปลี่ยน ในเมื่อเราไม่ได้สร้างบุญมาลักษณะอย่างนั้น ทำไปแล้วอาจจะเกิดโทษบางอย่างขึ้นก็ได้ แต่คราวนี้ความเชื่อลักษณะนี้คนสมัยใหม่เขายังไม่ยอมรับกัน ในเมื่อคนสมัยใหม่เขายังไม่ยอมรับกันก็ต้องชี้แจงว่า ในพระไตรปิฎกว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้มาด้วยบุญ ถ้าชาตินี้เราตั้งใจค่อย ๆ เสริมสร้างไป ก็ต้องมีสักชาติหนึ่งที่สวยได้อย่างนั้น

มีคนหนึ่งผ่าตัดเปลี่ยนหน้าตัวเองเพื่อเอาแต่โหงวเฮ้งดี ๆ มารวมกัน แต่กลายเป็นว่าพอรวมกันลงไปแล้วกลายเป็นโทษ เพราะต้องมีการคานกัน ดีบ้างไม่ดีบ้าง หักกลบลบล้างออกมาแล้วส่วนดีมีมากกว่า เอาแต่ดีอย่างเดียวมันเหมือนมีแต่ไฟ ไฟ ไฟ ก็เผาตัวเองอยู่นั่น ไม่มีน้ำมาช่วยบรรเทาเลย"

เถรี
14-10-2014, 11:29
ถาม : ต้องวางกำลังใจอย่างไรจึงจะถูกรางวัลที่ ๑ สักที ?
ตอบ : เรื่องของการพนัน ถ้าไม่เคยทำเอาไว้ไม่มีทางได้หรอก ลาภการพนันเกิดจากการทำบุญแบบไม่ได้ตั้งเจตนาไว้ก่อน สมมติว่าออกไปเจอกองกฐินกองผ้าป่า แล้วร่วมทำกับเขาไปเลยอย่างนั้น ถ้าทำโดยตั้งเจตนาไว้ก่อน อย่างทำกฐินหรือถวายสังฆทาน ก็กลายเป็นเศรษฐีไปแล้ว ไม่ต้องเสียเวลารอถูกหวย เราก็ทำแบบตั้งใจไปด้วย เจอแบบไม่ได้ตั้งใจก็ร่วมทำกับเขาไปด้วย แต่ถ้าเกิดใหม่ไม่มีหวยก็ไม่รู้จะไปเล่นอะไรอีก

ถาม : เกิดใหม่เพื่อถูกหวยนี่ไม่คุ้ม ?
ตอบ : ประเทศทิเบตเขามีความเชื่อว่า คนเราต้องเกิดใหม่เพื่อมาเรียนรู้เพิ่มเติมไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเห็นทางพ้นทุกข์ ความจริงก็ใช่นะ เพียงแต่ว่าบุคคลที่สามารถพ้นทุกข์ก็มักจะตั้งใจว่า จะกลับมาเรียนรู้และช่วยเหลือผู้อื่นไปเรื่อย ๆ อีก ก็เลยไม่ต้องไปไหนสักที

เถรี
14-10-2014, 11:35
ถาม : ทรงฌานอย่างไรจึงจะเรียกว่าทรงฌานครับ ?
ตอบ : สมาธิทรงตัว มีสติรู้รอบอยู่ตลอดเวลา

ถาม : ทรงตัวเกี่ยวกับการทำงานด้วยไหมครับ ?
ตอบ : เวลาทำงาน ถ้าตั้งใจจริง ๆ สมาธิจะเกินปฐมฌานไม่ได้ ส่วนใหญ่ก็แค่อุปจารสมาธิปลาย ๆ ที่บางคนเรียกอุปจารฌาน เพราะถ้าไม่เคยชินนี่ ถึงเวลาแล้วจะขยับไม่ได้ คนที่จะทรงเกินนั้นได้ ต้องมีความคล่องตัวในฌาน แบบที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านใช้คำว่า "ฌานใช้งาน"

ถาม : เป็นอย่างไรครับฌานใช้งาน ?
ตอบ : จะเข้าเมื่อไรจะออกเมื่อไร ต้องทำได้ในทุกที่ทุกเวลา

เถรี
14-10-2014, 11:44
พระอาจารย์กล่าวว่า "โบราณาจารย์ท่านบังคับให้พระนั่งเขียนยันต์บ้าง เสกนั่นเสกนี่บ้าง เพื่อให้ใจอยู่กับสมาธิตลอดเวลา จะได้ไม่หลุดไปให้ รัก โลภ โกรธ หลง กินใจได้ คนรุ่นใหม่ไม่รู้ก็คิดว่าไสยศาสตร์ล้วน ๆ เรียกว่าโง่แล้วอวดฉลาด เพราะถ้าให้นั่งภาวนาอย่างเดียว บางทีใจก็ไม่รวมตัว แต่ถ้าเคี้ยวหมากไปภาวนาไป ใจกลับรวมดีกว่า"

เถรี
14-10-2014, 13:05
ถาม : มีปัญหาในที่ทำงาน ?
ตอบ : จะย้ายงาน ? ถ้าย้ายเพื่อหนีปัญหา ย้ายไปที่ไหนก็มีปัญหา ถ้าเราไปที่ใหม่ก็ดีอยู่อย่างว่า มีอะไรท้าทายเราใหม่ ๆ เพราะของเก่าเรารู้หมดแล้ว ถ้าไม่ชอบงานท้าทายก็อยู่ที่เก่าต่อไป

เถรี
14-10-2014, 13:09
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงปู่หลวง วัดป่าสำราญนิวาส อาตมาขึ้นไปจุฬามณี เจอพระธรรมยุติองค์หนึ่งเดินอยู่ "เฮ้ย..ท่านมาทั้งตัวเลยว่ะ..!" เราสู้ท่านไม่ได้ เพราะเราถอดใจไป แต่ท่านเล่นไปทั้งตัวเลย

เลยเข้าไปกราบ ถามท่านว่าชื่ออะไร ? อยู่ที่ไหน ? ท่านบอกว่า "ผมชื่อหลวง ลองไปถาม ๆ ดู พอมีคนรู้จักอยู่บ้างหรอก" พอลงมาก็ถามว่าพระชื่อนั้น ลักษณะอย่างนั้น ๆ เป็นใคร มีคนบอกว่าหลวงปู่หลวง วัดป่าสำราญนิวาส

ส่วนใหญ่เรื่องของท่านทั้งหลายเหล่านี้ โดยมารยาทแล้วถึงรู้ก็ไม่ควรบอก แต่ว่าพอมรณภาพแล้วก็บอกได้ ไม่อย่างนั้นถ้าท่านยังอยู่ เดี๋ยวคนไปกวนท่านหัวไม่วางหางไม่เว้น

หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า ท่านไม่ค่อยชอบไปไหนทั้งตัวเพราะเหนื่อย เอาตัวไปคือเอาตัวจริงไป ก็เหนื่อยจริงเหมือนกัน แต่ปรากฏว่าหลวงปู่หลวง วัดป่าสำราญนิวาส , หลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม ไปทั้งตัวเลย ท่านไปพระนิพพานกัน ท่านก็ไปทั้งตัวอย่างนั้น ไปจุฬามณี ท่านก็ไปทั้งตัวอย่างนั้น แสดงว่าท่านถนัดของท่านอย่างนั้น ส่วนอาตมาเทียบไม่ได้แม้แต่ปลายก้อย ต้องเอาใจไป ตัวไปไม่ไหว

ที่ขำที่สุดคือท่านบอกว่า "ผมชื่อหลวง ลองไปถาม ๆ ดู พอมีคนรู้จักอยู่บ้างหรอก" ถ่อมตัวเสียไม่มี"

เถรี
14-10-2014, 13:29
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดี๋ยวนี้คสช.เขาห้ามพระทำวัตถุมงคลด้วย เขา เขี้ยว งา หนังสัตว์ เชื่อเถอะ..ห้ามไม่สำเร็จหรอก ก็ตำราเขามาอย่างนั้น อย่างแพะหลวงพ่ออ่ำ วัดหนองกระบอก พระขรรค์หลวงพ่อโศก วัดปากคลองบางครก ถ้าไม่ได้เขาควายเผือกที่ฟ้าผ่าตายนี่ไม่ทำด้วยนะ แล้วอย่างเขี้ยวเสือหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระราชหัตถเลขาบันทึกไว้ว่า ราคาถึง ๓ บาท ๖ บาท โอ้โฮ..สมัยนั้นนี่ราคาแพงขนาด หรืออย่างหลวงพ่อนก วัดสังกะสี ก็เอาเขี้ยวหมีมาแกะเป็นรูปเสือ เนื่องจากสมัยก่อนเขาล่าหมีเอาดีไปขาย เขี้ยวหนังเลยได้เป็นของแถม"

ถาม : ควายตัวผู้หรือตัวเมียครับ ?
ตอบ : จะตัวผู้ตัวเมียก็ไม่เป็นไรหรอก ให้ฟ้าผ่าแล้วกัน ท่านถือว่าได้พลังจากฟ้าด้วย วันก่อนเปรี้ยงเดียวตายไป ๕ ตัวเลย แต่ว่าไม่มีควายเผือก มีแต่ดำปี๋..!

เถรี
14-10-2014, 13:31
พระอาจารย์กล่าวถึงมีดหมอเพชราวุธว่า "ขอยืนยันว่าไปซื้อมีดมาเข้าพิธีเองจะดีกว่า ไม่ต้องเสียเงินมาก จะไปซื้ออีเหน็บ มีดโต้ พร้าหวด อะไรมาก็ได้ อาตมายังมีอีเหน็บอยู่เล่มหนึ่งที่เข้าพิธีโสฬสอยู่เลย ใช้อยู่ทุกงาน ออกป่าก็เอาไปด้วย ถึงเวลาไม่ต้องกลัวพัง ฟันกระจาย ชาวบ้านเรียกอีเหน็บ บางคนเรียกมีดท้องปลิง ทางด้านเพชรบุรี สุพรรณบุรี เอาไปปาดงวงตาล ก็เลยเรียกว่ามีดปาดตาล"

เถรี
16-10-2014, 02:10
พระอาจารย์เล่าว่า "มีคนน้อยคนที่จะรู้ว่า หลวงพ่อโต วัดระฆัง เป็นสายครูบาอาจารย์ของอาตมาเอง จากหลวงพ่อโต วัดระฆัง มาเป็นหลวงปู่เนียม วัดน้อย จากหลวงปู่เนียมไปถึงหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงปู่โหน่ง วัดคลองมะดัน แล้วมาถึงหลวงพ่อวัดท่าซุง จากสายหลวงปู่โหน่งมาเป็นหลวงปู่สด วัดปากน้ำ แล้วหลวงพ่อวัดท่าซุงมาศึกษาหลวงปู่สดอีกทีหนึ่ง วนเป็นวงกลมพอดี

ไปนึกขำที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่าให้ฟัง ว่าตอนท่านฉันเช้าอยู่ แล้วหลวงปู่สดเล่าให้ฟังว่า เมื่อเช้าขี่ม้าแก้วไปเที่ยวพระนิพพานมา หลวงพ่อท่านเรียนบาลีประโยค ๔ ท่านว่าสงสัยว่าหลวงปู่สดจะบ้าแล้ว เพราะไม่ได้มีในพระไตรปิฎกสักหน่อย เขาว่าพระนิพพานสูญไม่ใช่หรือ ? หลวงปู่สดหันมาบอกว่า "ต่อไปคุณจะบ้ามากกว่าผมอีก..!" ท่านเล่าให้ฟังแล้วก็ขำ สมัยหลวงปู่สดท่านยังพูดเรื่องพระนิพพานไม่มาก แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงเล่นเต็ม ๆ แทบทุกคำสอนเลย"

ถาม : หลวงพ่อฤๅษีไปเรียนอะไรจากหลวงพ่อสด วัดปากน้ำครับ ?
ตอบ : ไปศึกษาเรื่องพระนิพพานนี่แหละ หลวงปู่สดท่านสอนธรรมกายพักเดียวก็ได้แล้ว เพราะพื้นฐานมี ท่านว่าทบทวนอยู่เดือนหนึ่งก็กราบลา หลวงปู่สดท่านถึงบอกว่า "ต่อไปคุณจะบ้ามากกว่าผมอีก" ก็จริง ๆ ด้วย คือตอนที่ยังไม่รู้ไม่เห็น ก็ไม่เป็นไร พอรู้เห็นแล้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ท่านเคยเทศน์ไว้ว่าพระนิพพานสูญ ท่านต้องไปคิดย้อนว่าท่านเทศน์ที่ไหนบ้าง แล้วกลับไปเทศน์แก้ให้เขา กว่าจะครบหมดเวลาไปเป็นปีเลย เพราะว่าส่วนใหญ่เวลาเขานิมนต์ให้ไปเทศน์ที่ไหนท่านจะมีจดบันทึกสถานที่เอาไว้ วันเดือนปีไหนต้องไปเทศน์ที่ไหน เดี๋ยวจะลืม..เลยไปย้อนดู แล้วไปเทศน์แก้ให้ ไม่อย่างนั้นถ้าโยมเป็นมิจฉาทิฐิเพราะการฟังเทศน์นั้น คนเทศน์จะมีโทษหนักมาก

ต้องไปเทศน์เปลี่ยนจากพระนิพพานสูญเป็นไม่สูญแล้ว เพราะไปเจอมาเอง เพิ่งจะเข้าใจว่า นิพพานัง ปรมัง สูญญัง นิพพานเป็นที่ว่างอย่างยิ่ง คือว่างจากกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ตอนแรกท่านนึกว่าสูญคือไม่มีอะไรเหลือเลย

เถรี
16-10-2014, 02:11
วิทยาศาสตร์เขายังบอกเลยว่าสสารไม่มีวันสูญหายไปจากโลกนี้ ถ้าจากหนังสือเล่มนี้ (เรื่อง..ตาที่สาม) พอท่านฝึกตาที่สามได้สำเร็จ วันแรกจะเดินไปทำงานในโรงครัว เห็นคนเดินไฟไหม้ท่วมตัวเดินมา ก็ตกใจ วิ่งหนีไปบอกพระอาจารย์ พระอาจารย์บอกว่ากายในของแต่ละคนไม่เหมือนกัน รายนั้นก็น่าจะประมาณสัตว์นรกไฟลุกท่วม เห็นเข้าก็ตกใจ นึกว่าคนโดนไฟไหม้

เถรี
16-10-2014, 02:15
พระอาจารย์กล่าวว่า "วิธีจัดกระดูกวิธีหนึ่งก็คือเหยียบ เดี๋ยวก็ลั่นเข้าที่เอง แต่ต้องให้คนที่เป็นจริง ๆ นะ แล้วเราจะวัดตัวเองได้ชัดเจนเลยว่า จริง ๆ แล้วเรารักตัวเองมากที่สุด โดยเฉพาะความกลัวตาย หมอสั่งอะไรทำตามหมด เพราะกลัว กลัวจะพิการ กลัวจะไม่หาย ท้ายสุดก็คือตาย พอถึงเวลาเราจะได้เห็นว่า เรารักตัวเราเองชนิดตัดไม่ได้เลย"

เถรี
16-10-2014, 02:23
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครจะร่วมบุญกฐินวัดท่าขนุนไปหลังห้อง มีวัตถุมงคลอยู่หน่อยหนึ่ง เป็นของหลวงปู่หลวง วัดป่าสำราญนิวาสกับแม่ย่าสุโขทัย อาตมาก็ไม่เคยคิดว่าจะเจอคนเป็น ๆ เดินอยู่บนพระจุฬามณีได้ ก็ไปเจอหลวงปู่หลวง ท่านเล่นไปทั้งตัวเลย ส่วนพวกเราใช้มโนมยิทธิถอดใจไป

มีอยู่วันหนึ่ง หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกกับพวกอาตมาว่า "พวกแกไปสืบดูหน่อย ว่าแถวสิงห์บุรีมีพระหลวงตา รูปร่างท้วม ๆ ผิวขาวเหลือง ชื่อหลวงตาจวนไหม ?" กราบเรียนถามว่า "หลวงพ่อจะสืบไปทำไมครับ ?" ท่านบอกว่า "ข้าขึ้นไปจุฬามณี เจอท่านขึ้นไปทั้งตัวเลย" พวกเราก็ไปสืบหา ท้ายสุดก็รู้ว่าเป็นหลวงปู่จวน วัดหนองสุ่ม จ.สิงห์บุรี พอมารุ่นอาตมาก็ไปเจอหลวงปู่หลวงไปทั้งตัวหมือนกัน ทั้ง ๒ องค์มรณภาพไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเล่าไม่ได้

ส่วนใหญ่แล้วรุ่นหลัง ๆ พอครูบาอาจารย์มรณภาพแล้ว พระเครื่องที่อยู่กับวัด มักจะเป็นของที่ทำเสริมขึ้นมา แต่พระเครื่องของหลวงปู่หลวงไว้ใจได้ เพราะว่าสมัยก่อนหมอเพชร (ท.พ.เพชรไพฑูรย์ จันทร์ชูเชิด) ไปหาเป็นประจำ แล้วเล่นบูชายกกล่องมาเลย สมัยแรก ๆ วัดท่านก็ไปยาก เพราะลักษณะเป็นวัดป่า ไม่ชอบความเจริญมากมายนัก ถนนเป็นลูกรัง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า พระดีอยู่ที่ไหนให้สังเกตอยู่อย่างหนึ่งว่า วัดวาอารามจะเจริญมาก เพราะพระดีท่านไม่ค่อยเก็บเงิน ได้มาเท่าไรก็สร้างหมด"

เถรี
16-10-2014, 02:29
ถาม : แม่ย่าสุโขทัย คือใคร ?
ตอบ : ตำราเขาว่าก็คือสมเด็จพระบรมราชชนนีของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช อาตมาไปบ้านแม่สาน กะเหรี่ยงเขาเดินกัน ๖ ชั่วโมง แม่ย่าท่านยืนยันว่าอาตมาไปถึงได้ก่อนค่ำ ไปได้จริง ๆ ๒ ชั่วโมงกว่าก็ถึงแล้ว ตอนนั้นเข้าไปตามท่านชาติชาย เข้าไปตอนประมาณ ๘ โมงครึ่ง ไปแล้วกลับออกมาทันเพล

พวกกะเหรี่ยงบอกว่า "อาจารย์ไปไม่ถึงหรอก เดินไปครึ่งทางแล้วกลับแน่เลย" เพราะเขาเดิน ๖ ชั่วโมง เขาไม่เชื่อว่าจะมีใครเดินเร็วกว่าเขา เขาบอกว่า "อาจารย์โกหกแน่เลย เดินไปพักหนึ่งแล้วก็กลับ"

เถรี
16-10-2014, 02:30
พระอาจารย์กล่าวเมื่อโยมทำของหล่นเสียงดังมากว่า "อาตมาเป็นคนที่ไม่ตกใจอะไร ที่ไม่ตกใจเพราะไม่มีใจให้ตก ...(หัวเราะ)... ถ้าสภาพจิตอยู่กับร่างกาย ก็จะไม่ตกใจ ถ้าสภาพจิตส่งออกไปที่อื่น พอเกิดอะไรขึ้นแล้วรีบวิ่งกลับสู่ร่างกายเพื่อรับรู้ อาการที่จิตวิ่งสู่ร่างกายเร็วเกินไป เขาเรียกว่าตกใจ"

เถรี
16-10-2014, 02:34
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนนี้วัดท่าขนุนมีขวัญใจชื่อน้องโมเน่ต์ อึดจริง ๆ เลย ผู้ใหญ่นั่งกรรมฐานชั่วโมงหนึ่ง โมเน่ต์ก็นั่งชั่วโมงหนึ่ง ผู้ใหญ่นั่งครึ่งชั่วโมง โมเน่ต์ก็นั่งก็ครึ่งชั่วโมง บางวันง่วงมาก บอกให้นอนก็ไม่ยอมนอน นั่งโงกไปโงกมาก็ขอนั่ง"

เถรี
16-10-2014, 02:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "กำลังรอหล่อพระประธานในศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สายตอนปีหน้าอยู่ ว่าจะนิมนต์หลวงพ่อวิชา หลวงพ่อมนัส หลวงตาชลอ หลวงพ่อวิรัช หลวงตาวัชรชัย หลวงพี่องอาจ หลวงพี่สมคิด แล้วก็ตัวอาตมาเอง นั่งปรกคุมธาตุครบ ๘ ทิศพอดี ดีไม่ดีก็หาใครแทนอีกสักที่หนึ่ง เพราะอาตมาเป็นเจ้าภาพ

สมัยก่อนผู้ที่นั่งปรกประจำทิศ เขาเรียกว่า นั่งคุมธาตุ ฉะนั้น..คนที่จะคุมธาตุได้ต้องชำนาญในภูตกสิณ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม สมัยก่อนเทคโนโลยียังไม่ค่อยดี ถ้าคุมธาตุไม่อยู่ เย็นเกินไป ร้อนเกินไป ก็จะทำให้องค์พระออกมาไม่สวยไม่งามได้ เย็นเกินไปก็ติดไม่ทั่ว ร้อนเกินไปก็สำรอกขี้ผึ้งออกเร็วเกินไป ถึงเวลาก็แกะพิมพ์ยากอีก

ภูตกสิณ คือ กสิณแห่งชีวิต ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นส่วนประกอบของชีวิต"

เถรี
16-10-2014, 21:17
พระอาจารย์กล่าวว่า "ว่ากันว่าหลวงปู่ทวดเป็นพระนิรันตราย มีนายดาบตำรวจคนหนึ่งและเจ้าหน้าที่มูลนิธิปอเต็กตึ้งอีกคนหนึ่งพูดเหมือนกัน นายดาบตำรวจบอกว่า ตั้งแต่ที่รับราชการมา ๒๐ กว่าปี ไม่เคยเห็นคนตายแขวนพระหลวงปู่ทวดเลย เจ้าหน้าที่ปอเต็กตึ้งก็บอกเหมือนกันว่า ตั้งแต่เก็บศพมา ไม่เคยเห็นมีศพไหนแขวนหลวงปู่ทวดเลย แสดงว่าบารมีหลวงปู่ทวดท่านสุดยอดจริง ๆ

คาถาบูชาท่านว่า นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา อาตมาท่องได้ตั้งแต่เรียนชั้นประถม เพราะว่าตอนช่วงนั้น คณะกรรมการจากวัดช้างให้จะสร้างมณฑปหลวงปู่ แล้วมีอยู่สายหนึ่งหลุดมาที่นครปฐมได้อย่างไรก็ไม่รู้ ? เอารูปหลวงปู่ทวดใส่กรอบมาให้ทำบุญ แพงมาก..ราคาตั้ง ๕ บาท..! สมัยนั้นก๋วยเตี๋ยวยังชามละสลึงเดียวเอง ๕ บาทแพงจะตายไป

คนที่ควรจะมีหลวงปู่ทวดมากที่สุด แต่กลับต้องไปขอเขาทีหลัง ก็คือ ครูอี๊ด (คุณฉัตรชัย วิเศษวรรณภูมิ) พวกเราจะรู้จักกันในชื่อ พนมเทียน เพราะว่าคนที่ช่วยหลวงปู่ทิมสร้างพระหลวงปู่ทวด เป็นเพื่อนกับครูอี๊ด เวลาทำครูอี๊ดรับรู้ตั้งแต่ต้นยันจบ ก็ดูเขาทำไปเรื่อย ท่านว่าไม่ได้คิดอยากจะได้เลย พอมาตอนหลังรู้ว่าเป็นของดี ไปขอเขากลายเป็นราคาแพงไปแล้ว"

เถรี
16-10-2014, 21:24
ถาม : มิตร ชัยบัญชา ตกเครื่องบิน ?
ตอบ : วันนั้นมิตรไม่มีวัตถุมงคลติดตัว ปกติอย่างน้อยเขาต้องมีพระหลวงปู่ธูป วัดแคนางเลิ้ง ติดตัวอยู่แน่ ๆ คนเราพอถึงที่อย่างไรก็ตาย วันนั้นเปลี่ยนชุดอินทรีทองใส่แล้ว วัตถุมงคลอยู่ในชุดที่ตัวเองแต่งออกจากบ้านไป มิตรเขาไม่ชอบแขวนสร้อย เขาบอกว่าแขวนพระหลายองค์แล้วเสียงดัง เลยเอาผ้าเช็ดหน้าห่อพระแล้วใส่กระเป๋าเสื้อไว้ พอเปลี่ยนชุดแล้วลืมเอาพระใส่กระเป๋าเสื้อชุดใหม่

เถรี
16-10-2014, 21:26
ถาม : นั่งสมาธิจะเกิดอาการโยกเป็นประจำ พอสวดมนต์จะเกิดเป็นระยะ พอแผ่เมตตาก็จะเป็นหนักมาก ?
ตอบ : ปล่อยให้เป็นไปอย่างนั้น เรารับรู้ไว้เฉย ๆ เขาเรียกว่าอาการปีติ พอขึ้นเต็มที่แล้วก็จะเลิกไปเอง ถ้าบางคนกลัวไปบังคับให้หยุด ก็จะหยุดทันที สังเกตดู..ถ้าเราคิดว่าทำไมไม่หยุดสักทีนะ ก็จะหยุดเลย บางคนเป็นหนัก ๆ เหมือนมีร่างกายทะลุ มีอะไรไหลออกจากตัวมาซู่ซ่าไปหมด บางคนรู้สึกว่าตัวจะระเบิดตูมไปเลย นั่นเป็นแค่ความรู้สึก ต้องปล่อยให้ขึ้นเต็มที่ไปเลย

ปีติเป็นขั้นตอนในการปฏิบัติธรรมที่คนส่วนหนึ่งจะต้องเจอ ถ้าไม่ปล่อยให้ขึ้นเต็มที่ก็ติดอยู่อย่างนั้น พออารมณ์ใจถึงตรงนี้เมื่อไรก็จะเกิด แต่ว่าตัวปีตินี้ดีอยู่อย่างหนึ่งคือ เล่นคาถาอะไร ถ้าอารมณ์นี้ขึ้น คาถาก็ขึ้นด้วย ลองไปหาคาถาที่ทำแล้วรวยก็ได้ พอปีติขึ้นก็จะรวย

เขาเรียกผรณาปีติ บางคนเห็นเป็นแสงเป็นสี บางคนรู้สึกว่าตัวพองใหญ่ขึ้น ๆ บางคนรู้สึกหน้าใหญ่เหมือนกระด้ง บางคนรู้สึกว่ามีไฟฟ้าวิ่งไปวิ่งมาในตัว บางคนรู้สึกว่าตัวรั่วเป็นรู บางคนถึงขนาดตัวระเบิดตูมเป็นผงไปเลย ขอยืนยันว่าไม่มีอันตราย อาตมาเป็นมาเยอะแล้ว

ปีติบางอย่าง อย่างน้ำตาไหล บางทีเราก็อายคนอื่น อย่างพระครูแสงน้องชายอาตมา ไปน้ำตาไหลบนรถเมล์ ก็อายชาวบ้านเขาสิ

ถาม : แล้วอย่างพวกเข้าทรงตัวสั่น ?
ตอบ : ตอนนั้นของขึ้น ลักษณะของปีติเหมือนกัน จิตเริ่มเป็นสมาธิ กำลังของครูบาอาจารย์ที่ส่งมา เขารับได้..ก็เลยของขึ้น งานวัดหลวงพ่อเปิ่นแต่ละปี ต้องอาศัยทหารเป็นกองร้อยไปคอยไล่จับพวกของขึ้น

เถรี
16-10-2014, 21:33
ช่วงกินเจ ส่วนใหญ่แล้วพวกเปรต พวกอสุรกายจะมาช่วยงาน ในลักษณะถือคำสั่งผู้ใหญ่มา อาตมาไปเจอหมู่บ้านจันทร์วิโรจน์ อยู่ที่หาดใหญ่ เขามีตำหนักเจ้าแม่กวนอิมอยู่ อาตมาไปถึงตอนประมาณ ๙ โมง เขากำลังจะเริ่มแห่เจ้ากัน ก็จะไปดูว่าเขาลงกันอย่างไร ดูแล้วดูอีกตั้งครึ่งค่อนชั่วโมง แดดเริ่มร้อนขึ้น ๆ เจ้าก็ไม่ลงสักที ก็เลยตั้งใจกำหนดจิตดู เห็นเทวดาท่านหนึ่งคุมสถานที่อยู่ ถามว่าทำไมเขาไม่ลงสักที เทวดาบอกว่า "เขาเกรงใจท่านเลยไม่กล้าลง" จึงบอกเขาว่า "ไม่ต้องเกรงใจ ลงได้เลย ที่มาเพราะอยากจะเห็น"

โห..พออนุญาตคราวนี้ลงกันอย่าบอกใครเลย ลงแม้กระทั่งหัวหน้าหมู่บ้าน คนที่เป็นคนสร้างศาลเจ้าตำหนักเจ้าแม่กวนอิมนั่นแหละ ลงเสร็จก็ไปแทงปากตัวเอง ร่างทรงเจ้าแม่ต้องมาขอร้องให้ออก เพราะว่าหัวหน้าหมู่บ้านต้องเป็นคนคุมขบวน เสร็จแล้วเลยถามว่า เขาจะออกอย่างไร เจ้าแม่ก็เอาฮู้หรือยันต์ของจีนแปะที่ข้างแก้มแล้วรูดปรื๊ด ดึงเอาที่แทงปากออก แผลก็ไม่มี เอายันต์รูดทีเดียว แผลไม่มีเลย ดีเหมือนกัน

ถามว่าได้ประโยชน์อะไร ท่านบอกว่าในเมื่อมีความเคารพในองค์เจ้าแม่กวนอิมอยู่ ก็ถือเป็นอนุสติอย่างหนึ่ง ท่านทั้งหลายเหล่านี้มาก็สามารถแสดงอภินิหารอย่างต่ำ ๆ ได้ เรียกศรัทธาจากคนได้ คนที่ให้ความเคารพก็ทำบุญกับศาลเจ้าแม่ พวกนี้เขาก็ได้บุญไปด้วย เขาก็เลยมาลงกันเป็นที่สนุกสนาน ถ้าอาตมายืนอยู่นานอีกหน่อย แล้วไม่ได้บอกให้ลง สงสัยไม่ได้ลงกันสักที

เป็นหมู่บ้านที่หาดใหญ่ ชื่อหมู่บ้านจันทร์วิโรจน์ เป็นหมู่บ้านจัดสรร แต่เจ้าของหมู่บ้านเขาสร้างศาลเจ้าแม่กวนอิมด้วย พอถึงเวลาก็มีงานแห่ประจำปี พอรถวิ่งมาคันแรกก็เจ้าพ่อเสือ ตั่วเหล่าเอี้ยมาเอง มิน่าล่ะ...โน่นก็พ่อเรา นี่ก็แม่เรา เขาถึงได้ไม่กล้าลงกัน บังเอิญอาตมาเป็นเด็กเส้น เขาเลยเกรงใจเรา..ไม่กล้าลง

ส่วนใหญ่ช่วงกินเจเขาจะมี แต่กินเจปีนี้ยังไม่ออกพรรษา อาตมาไปไหนไม่ได้ ปกติเทศกาลกินเจอยู่ในช่วงเข้าพรรษา เขาไม่ได้นิมนต์ก็ไปไม่ได้อยู่แล้ว ปีนั้นที่ไปเพราะโยมทางด้านโน้นเขาตาย เขานิมนต์ไป อาตมาไปแล้วไม่ชอบอยู่เฉย ๆ เดินไปดูโน่นดูนี่ ที่ชอบใจที่สุดคือ เจ้าแม่กวนอิมปักษ์ใต้ผิวดำดีจัง ปกติจะเห็นแต่เจ้าแม่กวนอิมหมวย ๆ ขาว ๆ ไปเจอสาวใต้ผิวดำ แต่งเป็นเจ้าแม่กวนอิมแบบไม่ต้องเขินเลย

เถรี
16-10-2014, 21:36
การเลือกร่างทรงเจ้าแม่กวนอิมที่ปากน้ำโพ มีพิธีเลือกที่ค่อนข้างจะยากมาก เพราะว่าคนที่สมัครเป็นเจ้าแม่กวนอิม ต้องมาหยิบส้มในตะกร้า ๘ ตะกร้า แล้วต้องได้หมายเลขเดียวกันทั้งหมด พอผ่านการคัดตัวรอบแรกแล้ว ต้องมาหยิบใหม่ รอบแรกหยิบทีละลูก รอบที่สองหยิบทีละสองลูก ต้องเลขเดียวกันทั้ง ๘ ตะกร้า ถ้าสองรอบใครผ่าน จะดีอกดีใจกันมาก เพราะว่าร่างทรงต้องเป็นสาวพรหมจรรย์เท่านั้น ไม่อย่างนั้นเจ้าแม่ไม่รับ บ้านไหนได้เป็นร่างทรงเจ้าแม่ที่ปากน้ำโพ เท่ากับเจ้าแม่การันตีให้ ถึงเวลาเลิกทรงเมื่อไร ขบวนขันหมากมาหัวชนกันเลย

ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์อย่างหนึ่ง คนเราจะล้วงเบอร์เดียว ๘ ตะกร้าก็ยากแล้ว คราวนี้ ๘ ตะกร้า ให้ล้วงตะกร้าละ ๒ ลูก ต้องได้เบอร์เดียวกัน ใครว่าหวยล็อกได้ ลองมาล็อกเลขเจ้าแม่กวนอิมปากน้ำโพดูบ้างสิ

เถรี
16-10-2014, 21:37
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงตาบัวจริง ๆ แล้วที่บ้านท่านรวยนะ มีเงินติดบ้านเป็นชั่ง เพราะว่าพ่อเป็นนายฮ้อย มีอาชีพต้อนวัวต้อนควายไปขาย ผจญกับคนเจ้าถิ่น ผจญกับโจรผู้ร้าย ถ้าไม่เก่งจริงไปไม่รอด สมัยก่อนนายฮ้อยคนเขาเคารพนับถือพอ ๆ กับเจ้าเมืองเลย"

เถรี
16-10-2014, 21:38
ถาม : บางครั้งเราภาวนาในใจ แต่เรากลับได้ยินเสียงจากไหนดังและก้องกังวาน ?
ตอบ : สมาธิเริ่มทรงตัวถึงระดับอุปจารสมาธิ พอจิตละเอียดขึ้น สิ่งที่เคยรับรู้ไม่ได้ หรือว่ารับรู้ได้แบบหยาบ ๆ ก็จะรับรู้ได้ชัดเจนขึ้น

ถาม : เสียงนั้น ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ ภาวนาของเราต่อไป ถือว่าขั้นตอนนั้นเป็นขั้นตอนที่บ่งบอกว่าสมาธิเริ่มทรงตัวแล้ว เอาตรงนั้นเป็นหลัก แต่ว่าไม่ต้องไปสนใจว่าจะเป็นหรือไม่เป็น ถ้าภาวนาแล้วอยากให้เป็น มักไม่ค่อยจะเป็น

เถรี
16-10-2014, 21:39
ถาม : จริตนิสัยตัวเอง มีผลต่อการเจริญกรรมฐานไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าได้กรรมฐานตรงจริตตัวเองก็มีโอกาสบรรลุธรรมได้เร็ว ถ้าได้ไม่ตรงจริต บางทีก็รอกันนาน ไปดูในคัมภีร์พระวิสุทธิมรรค หรือหนังสือกรรมฐาน ๔๐ ของหลวงพ่อวัดท่าซุงก็ได้ จะมีบอกไว้ว่าแต่ละจริตเหมาะกับกรรมฐานกองไหนบ้าง แล้วทำตามนั้นจะได้ผลเร็ว

อย่างที่ท่านแยกเอาไว้ มี ๖ อย่าง แต่ทุกคนจะมีจริตทั้ง ๖ อย่างครบ เพียงแต่อย่างใดอย่างหนึ่งจะเด่นออกมามากกว่า ถ้าอย่างไหนเด่นมากกว่า เราก็ทำกรรมฐานที่เป็นคู่ศึกของจริตนั้น ก็จะได้ผลเร็ว ถ้าได้กรรมฐานที่ไม่ตรงจริต ก็จะเหมือนกับลูกชายนายช่างทอง ทำเท่าไรก็ไม่เกิดผลสักที จนกระทั่งไปพบพระพุทธเจ้า

เถรี
17-10-2014, 15:14
พระอาจารย์กล่าวถึงหลวงปู่ไวยว่า "คนสมัยก่อนศึกษาอะไรเขาศึกษาจริงจัง แพทย์แผนโบราณก็เป็นกรรมฐานดี ๆ นี่เอง ต้องใช้ทั้งคาถา น้ำมนต์ ทั้งอำนาจจิตเข้าไปช่วย สมัยนี้เขาเรียนไม่ได้แม้แต่เสี้ยวเดียวของสมัยโน้น สมัยนี้ได้แต่ตัวยา ตัวยาบางอย่างถ้าไม่ประกอบคุณพระก็รักษาโรคไม่ได้ กลายเป็นว่ายิ่งเรียนก็ยิ่งถอยหลัง

มีคุณหลวงสุวิชานแพทย์ เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ท่านมีศักดิ์เป็นน้าของหลวงพ่อวัดท่าซุง ถึงเวลาคนไข้มาหา ท่านก็เสกหมากให้กิน นั่นหมอสมัยใหม่นะ เสกหมากให้กิน เป็นถึงเจ้ากรมแพทย์เลยนะ ถ้าสมัยนี้ก็ระดับอธิบดีอะไรสักกรมหนึ่ง ท่านเป็นน้าของหลวงพ่อ แล้วหลวงพ่อวัดท่าซุงมาอยู่กับท่านยายที่วัดเรไร (ตลิ่งชัน) ตั้งแต่เด็ก หลวงพ่อท่านเลยเข้านอกออกในกรมอู่ทหารเรือเป็นว่าเล่น มีโอกาสพบปะผู้ใหญ่สมัยนั้นอย่างเสด็จในกรมหลวงชุมพร เสด็จในกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธินเป็นปกติ

คนไม่เข้าใจมักจะเขียนเป็น “สุวิชาญ” สุวิชานของท่านใช้ น.หนู มาจากสุวิชานในภาษาบาลี สุวิชาโน ภวํ โหติ ทุวิชาโน ปราภโว

เสียดาย..พอท่านสิ้นไปคนหนึ่งคนป่วยมาอาตมาไม่รู้ว่าจะส่งไปไหน ไม่มีหลวงปู่ธรรมชัย ไม่มีหลวงปู่ไวย เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยไม่รู้ว่าจะส่งไปหาใคร หลวงปู่ครูบาธรรมชัยท่านเป็นหมอโดยหน้าที่ ส่วนหลวงปู่ไวยท่านเป็นหมอเพราะรู้จริง"

เถรี
17-10-2014, 15:32
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนไปเนปาลเห็นฝรั่งเขาไปกราบ ไปสวดมนต์ ไปนั่งสมาธิกัน พวกเขาทุ่มเทกันจริง ๆ เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปครึ่งค่อนโลก ต้องบอกว่าถ้าไม่สนใจจริง ๆ ก็คงไม่ไปอย่างนั้นหรอก โดยสภาพเขาได้รับการอบรมมาในลักษณะของการทำอะไรต้องทำจริง ส่วนพวกเรานี่ส่วนใหญ่ยังทำเล่น ๆ กันอยู่

หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศท่านถึงได้บอกว่า ต่อไปเราอาจจะต้องไปขอเรียนพระพุทธศาสนากับทางตะวันตก ถึงเวลาเขารับช่วงเอาแก่นแท้ไป เพราะว่าเขาเบื่อความเจริญทางโลกแล้ว ส่วนเราไปวิ่งไล่ไขว่คว้าหาเจริญทางโลก เราเจริญจิตใจอยู่วิ่งไปหาทางวัตถุ เขาเจริญทางวัตถุอยู่ทิ้งไปหาจิตใจ กลายเป็นงูกินหางไล่ตามกันไป เราอยากจะเจริญทางด้านวัตถุ ส่วนเขาอยากจะเจริญทางจิตใจ "

ถาม : แสดงว่าเราโง่ขึ้นไหมคะ ?
ตอบ : ก็น่าจะประมาณนั้น แต่ว่าจะว่าไปแล้วเรื่องของ รัก โลภ โกรธ หลง เป็นเรื่องปกติ เขาอยากในสิ่งที่ตัวเองไม่มี พวกฝรั่งเดินทางไปเนปาล ไปทิเบต ไปอินเดียเพื่อศึกษาปฏิบัติกันจริง ๆ จัง ๆ ปกติแล้วพวกหลักโยคะหรือปราณายามะต่าง ๆ นั้น ไม่เหมาะกับคนตะวันตก สภาพร่างกายกระดูกกล้ามเนื้อของเขาไม่เคยชินมาตั้งแต่เด็ก ไม่เหมือนกับเราพวกเราที่เกิดมาก็เตะเป็น ส่วนเขาต้องหัดกันแทบตาย เพราะสภาพร่างกายไม่ให้

อย่างพวกเรานั่งส้วมเรานั่งยอง ๆ ได้ ฝรั่งเขานั่งได้ที่ไหนกัน ไม่มีโถชักโครกก็ไปไหนไม่เป็นแล้ว ไปนึกถึงรูปในสมัยสงครามโลกที่สร้างทางรถไฟสายมรณะ ถึงเวลาพวกเขาต้องตอกหลัก เอากระบอกไม้ไผ่พาด แล้วขึ้นไปนั่งถ่ายอยู่บนนั้น ไม่อย่างนั้นเขานั่งพื้นกันไม่เป็น เส้นยึดจนนั่งไม่ลง ส่วนพวกเรานั่งอยู่ทุกวันก็ไม่รู้สึกว่าลำบาก แต่ฝรั่งเขาเรียนอะไรแล้วเขาสนใจจริง ๆ เขาก็ทุ่มเทฝึกโยคะ จนกระทั่งประสบความสำเร็จกันหลายต่อหลายคน แต่ว่าได้แค่รูปแบบทางร่างกายเท่านั้น เรื่องของปราณ เรื่องของสภาพจิต เขามีความเข้าใจน้อยมาก

ถาม : ถ้าเขาตั้งใจ เขาจะได้ก็ในลักษณะการเรียนรู้อยู่ดี
ตอบ : ได้แค่เบื้องต้น จะเอาสูงกว่านั้นเขาก็ไปกันไม่ค่อยเป็น เพราะว่าเขาไม่เข้าใจ เรื่องของสมาธิไม่ใช่อ่านแล้วจะเข้าใจ แต่ต้องทำ ถ้าทำไปแล้วติดขัดต้องมีครูบาอาจารย์คอยแนะนำ สอบถามแล้วตอบปัญหาได้

เถรี
17-10-2014, 21:49
ถาม : เวลาที่คนกำลังจะตายแล้วจิตกำลังจะแยกออกจากร่างกายนี่เจ็บใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ถ้ามีกรรมเก่ามา ก็จะต้องทนทุกขเวทนามากหน่อย

ถาม : เหมือนกับเวลาที่เขาบอกว่า จิตเขาออกไปเพราะว่าทนไม่ไหวแล้ว ?
ตอบ : มีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือร่างกายเสื่อมสภาพ หมดสภาพไปเอง บางคนเขาบอกว่าหมดกำลัง ส่วนอีกอย่างก็คือทุกขเวทนาบีบบังคับ การเสื่อมสภาพหมดสภาพ ท้ายสุดเมื่ออยู่ไม่ได้ก็ต้องไป ทุกขเวทนาบีบบังคับร่างกายทนไม่ไหว ก็ต้องไปเช่นกัน

ทางด้านทิเบตเขาศึกษาเรื่องนี้ลึกซึ้งกว่าพวกเรา ถึงเวลาก่อนตายก็มีการไปนำทางให้ ว่าตอนนี้สภาพร่างกายอยู่ไม่ได้แล้วนะ ไม่ต้องไปห่วงใยไปกังวลอะไร ขอให้เดินไปตามเส้นทางนี้ ๆ แต่ว่าเขาอยู่จนเคยชินกับความเชื่อนั้นแล้ว เห็นว่าร่างกายเหมือนกับเสื้อผ้าเก่า ๆ ชุดหนึ่ง หมดสภาพก็ต้องไปเปลี่ยนหาเสื้อผ้าชุดใหม่ ในเมื่อเขาเคยชิน พอถึงเวลามีคนมาบอกทางให้ก็สบายใจ ส่วนเราไม่เคยชิน ไปบอกเขาดีไม่ดีโดนด่ากลับมาเลย

ถาม : เขามีปัญญาในระดับหนึ่ง ?
ตอบ : ต้องบอกว่าศาสนาอยู่ในหัวจิตหัวใจของเขา ของเราเองส่วนใหญ่ศาสนาอยู่ในทะเบียนบ้าน โอกาสที่จะปฏิบัติให้เห็นผลไม่ค่อยมี เหมือนหลวงปู่ปานตอนเด็ก คนกำลังกินข้าวอยู่ท่านก็ “พุทโธ พุทโธ” ขึ้นมา โดนแม่จับโยนไปนอกชาน เด็กไม่รู้ว่าผู้ใหญ่เขาถือ สอนให้ภาวนาพุทโธ ท่านชอบท่านก็พุทโธขึ้นมาตอนกำลังกินข้าว เพราะสบายใจ ปรากฏว่าโดนแม่จับโยนไปนอกชาน กลายเป็นว่าพุทโธเอาไว้สำหรับบอกทางคนตาย เขาเชื่อกันอย่างนั้น

แบบเดียวกับสมัยก่อน เขาถือว่าพระอภิธรรม ๗ บท เป็นพระธรรมที่ทำให้มีผู้บรรลุมรรคผลมากที่สุด ขนาด เทวดา นางฟ้า พรหม บรรลุทีตั้ง ๘๐ โกฏิ ถือเป็นมงคลใหญ่ จึงใช้สวดใช้ในงานมงคล เช่น งานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหญ่ งานทำบุญอายุ คราวนี้พอในงานพระบรมศพของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี เขาสวดพระอภิธรรมถวายท่าน คนก็เลยไปนิยมว่าสวดในงานศพ ตั้งแต่นั้นมาพอขึ้น “กุสลา ธัมมาฯ” เมื่อไรก็นึกถึงงานศพอย่างเดียวเลย ไม่ได้นึกถึงความเป็นมงคลด้านอื่น

คราวนี้คนเรามักกลัวตาย ในเมื่อกลัวตาย พอได้ยิน "กุสลา ธัมมาฯ" ก็ไปนึกถึงว่าผูกพันกับความตายจึงกลัวกัน ของที่ดีที่สุดก็เลยไม่เอา เพราะกลัวตายมากกว่า

เถรี
18-10-2014, 22:41
ถาม : คนที่ตัดสินใจทำความชั่ว เป็นผลจากอกุศลกรรมหรือเป็นเพราะเขาขาดปัญญาคะ ?
ตอบ : กิเลสสอน เรียกว่าโดนกระแสของกิเลส ตัณหา อุปาทาน ชักนำ ซึ่งมีผลมาจากการทำอกุศลกรรมมากว่ากุศลกรรม ต้องบอกว่าเชื่อกิเลสมากกว่า

เถรี
18-10-2014, 22:44
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปราสาทนอยชวานชไตน์ที่เขาเรียกปราสาทซินเดอเรล่า เขาสร้างได้สวยมาก ๆ เป็นปราสาทที่สวยทุกฤดู ขนาดหิมะตกจนท่วมก็ยังสวย ไว้มีโอกาสก็ว่าจะไปดูเหมือนกัน แต่เงินเยอรมันแพง ค่ากินค่าอยู่ได้ยินแต่ละทีแทบสะดุ้งเฮือก อยากไปชื่นชมกับความละเมียดละไมของจิตรกรโบราณ ภาพวาดแต่ละภาพ และฝีมือก่อสร้างที่ละเอียดลออขนาดนั้น"

ถาม : เขาใช้สมองในการสร้าง ?
ตอบ : เขามีสมาธิจากงาน ได้สมาธิใช้งานเลย พอถึงเวลาก็ตั้งใจวาดภาพไป ตั้งนั่งร้านนอนวาดได้เป็นเดือนเป็นปีเลย

ถาม : จินตนาการ ออกแบบหรือการลากเส้นอะไรของเขาก็ตาม..?
ตอบ : เป็นไปตามความเชื่อและจารีตประเพณีเขา ถ้าเขามีหลักธรรมแบบของเราคงจะไปได้ไกลกว่านั้นมาก อาตมาเอารูปไปลงเพาเวอร์พ้อยต์ให้ลูกศิษย์ดู เขาติดใจกันมากว่าปราสาทที่ไหนสวยขนาดนี้ บอกลูกศิษย์เขาว่า สมัยก่อนเขากลัวการเบียดเบียนกัน ก็เลยต้องไปสร้างไว้บนยอดเขา ถึงเวลาใครจะมาโจมตีก็มีแค่ทางแคบ ๆ เส้นเดียว ซึ่งเฝ้าได้ง่าย ความกลัวของมนุษย์ทำให้ต้องหนีไปถึงขนาดนั้น เห็นโทษของการเกิดจริง ๆ พอมาถึงสมัยที่ทุกอย่างสะดวกสบาย จึงกลายเป็นที่สวยงามซึ่งคนแห่กันไปชม

ไปนึกถึง คุณถวัลย์ ดัชนี ที่เพิ่งจะเสียชีวิตไป เจ้าของปราสาทที่เยอรมันจ้างให้ไปวาดรูป พอวาดเสร็จเขาตีเช็คเปล่าให้ บอกว่าเขาไม่สามารถที่จะประเมินราคาฝีมือได้ คุณไปกรอกตัวเลขเอาเองก็แล้วกัน ช่วงนี้เราสูญเสียศิลปินยอดฝีมือไปติด ๆ กันเลย จากอาจารย์ถวัลย์ ดัชนีก็มา ศ.ประหยัด พงษ์ดำ แล้วก็มาคุณสุนทรี ณ เวียงกาญจน์

เถรี
18-10-2014, 23:10
พระอาจารย์อ่านหนังสือธรรมเล่มหนึ่ง เห็นที่บกพร่อง จึงกล่าวว่า "เอกะ บวกกับ อยนะ เป็น เอกายนะ หรือ เอกายโน เขาไปแปลว่า ทางสายเดียว ถ้าทางสายเดียวแล้วพระพุทธเจ้าจะเทศน์ไว้ทำไมตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ? คนแปลก็แปลไปเรื่อย แปลแล้วพอความหมายผิด คนอ่านก็เข้าใจผิดกันไปเรื่อย

เอกะ + อยนะ แปลว่า ทางสายหนึ่ง คือเป็นหนทางหนึ่งที่จะนำสัตว์ไปสู่ความบริสุทธิ์ เขาดันไปแปลว่าทางสายเดียว ถ้าเป็นทางสายเดียวแล้ว พระพุทธเจ้าจะเทศน์ไปตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ให้เหนื่อยทำไม ? จนกระทั่งเดี๋ยวนี้มีนักวิชาการจำนวนมากที่เข้าใจไปอย่างนั้น บอกว่า “ต้องปฏิบัติในมหาสติปัฏฐานสูตรเท่านั้น อย่างอื่นบรรลุมรรคผลไม่ได้” บรรลัยเลย..!"

เถรี
18-10-2014, 23:17
ถาม : คำพูดของครูบาอาจารย์ บางทีเป็นเรื่องเดิมพอได้ฟังอีกครั้งถึงจะสะดุด เข้าใจ ?
ตอบ : สภาพจิตละเอียดขึ้น ทำให้เข้าใจได้มากขึ้น

ถาม : บางที คำพูดเหมือนของเดิมเลย และความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นบางทีก็ตรงข้ามกันแต่ก็ว่าไม่ผิดทั้งคู่ ในความเป็นจริง เป็นเรื่องเดียวกันหรือคนละเรื่องกันแน่ ?
ตอบ : เรื่องเดียวกัน แต่ความเข้าใจละเอียดขึ้น ตอนแรกไปติดที่ทิฐิคือความเห็น ความยึดมั่น ว่าเป็นอย่างนั้น ใช่อย่างนั้น ถูกแบบนั้น แต่พอสภาพจิตละเอียดขึ้นก็เห็นว่า ที่ถูกกว่านั้นยังมีอีก ก็จะเป็นอย่างนี้แหละ พัฒนาไปเรื่อย ๆ แล้วพอขยับขึ้นไปได้ก็ “ตรงนี้ถูกกว่า” แล้วไปยึดตรงนั้นอีก

เถรี
18-10-2014, 23:18
ถาม : บางทีเราคิดไปเรื่อย แต่เราไม่ได้เรียนรู้อะไร ก็เลยแค่เห็น ?
ตอบ : เป็น สุตมยปัญญา “ฟัง” แล้วเกิดความรู้ จากนั้นก็ไปเป็น จินตามยปัญญา “คิด” จนเกิดความเข้าใจ แล้วก็เป็น ภาวนามยปัญญา เห็นจริงตามนั้น จิตยอมรับในความจริงนั้น ๆ จึงเกิดความรู้แจ้งขึ้นมา แล้วปล่อยวางการยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง ก็สามารถที่จะพ้นทุกข์ได้

เถรี
18-10-2014, 23:27
ถาม : ดูไปดูมาก็เหลือแต่ไม่สนใจ เราจะทำให้ไม่สนใจกับเรื่องที่มากระทบให้เป็นปกติได้อย่างไร ?
ตอบ : ต้องมีสติสมบูรณ์พร้อม ถ้าสติไม่สมบูรณ์พร้อมถึงเวลา ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส เผลอก็ไปแล้ว ฉะนั้น..การฝึกสติจึงสำคัญที่สุด พระพุทธเจ้าตรัสเป็นบาลีว่า อตฺตาหิ กิร ทุทฺทโม ขึ้นชื่อว่าตนนี้ฝึกได้ยากจริงหนอ

เถรี
20-10-2014, 18:35
พระอาจารย์กล่าวถึงท่าเดินที่ไม่ธรรมดาของโยมคนหนึ่งว่า "เป็นวาสนาที่ตัดไม่ขาด ภาษาโบราณเขาพูดไว้สวยมาก แต่ภาษาไทยแท้เขาว่าสันดานเป็นอย่างนั้นเอง ถึงเวลาก็ร่อนไปเรื่อย พอโยมเขาเห็นเยอะ ๆ เขาก็ว่า “อ๋อ..อาจารย์เล็กฝึกลูกศิษย์ได้แค่นี้เอง” เสียหายไปยันครูบาอาจารย์เลย ทำอะไรไม่ได้ใช้หัวแม่ตีนคิด..! ถ้ารู้จักใช้ป่านนี้ไปยันไหนแล้วก็ไม่รู้ ?

โยมบางคนก็โชคดี ไปวัดครั้งแรกก็เจออาตมากำลังด่าพระด่าเณรอยู่ บางคนก็ไม่กล้าโผล่ไปอีกเลย ถ้าไม่มีเหตุมีผลครูบาอาจารย์จะไปด่าลูกศิษย์ทำไม ? แต่อารามที่เขาได้ยินข่าวลือมาว่าอาจารย์เล็กดุ ไปถึงเจอด่าอยู่พอดีก็หมดกันเลย..!"

เถรี
20-10-2014, 18:39
ถาม : โดนด่าแต่ไม่ถอย
ตอบ : สมัยนี้ไม่ค่อยมีคนสู้หรอก หนีกันหมด ทำอะไรต้องมีเหตุมีผล ถ้าไม่มีเหตุมีผลจะด่าไปให้เหนื่อยทำไม ? ขนาดประเภทเกินบาทอย่างทิดอู๋ยังรู้เลย ทิดอู๋บอกว่า “อย่าไปถือสาอาจารย์เล็กเลย ท่านกำลังอยู่ในวัยทอง..!” ต้องบอกว่าขนาดคนเกินบาทยังรู้เหตุผล คนประเภทครบบาทพอดีดันไม่รู้เรื่อง

บางอย่างเวลาท่านทำผิดขึ้นมา อยากจะขอบคุณท่านนะ เพราะเราได้อาศัยท่านเป็นตัวอย่าง แล้วก็ด่าไปก่อน คนอื่นมาเห็นตัวอย่างเขาก็ไม่ทำอีก แต่ว่าคนพลาดนี่บางทีเฉาไปเป็นเดือนเลย อย่างที่เคยเล่าให้ฟังสมัยอยู่วัดท่าซุงว่า ทางคณะกรรมการสงฆ์ตั้งใจส่งอาตมาไปขึ้นเขียงแท้ ๆ แต่บังเอิญอาตมามีความรู้สึกว่า "ไม่มีพ่อที่ไหนฆ่าลูกหรอก ถ้าท่านด่าต้องมีเหตุผล" ก็พยายามหาเหตุผลให้กับตัวเอง จนกระทั่งมีอยู่คราวหนึ่ง หาเหตุผลตั้งแต่ต้นยันปลาย ก็ยังหาไม่ได้ว่าทำไมตัวเองโดนด่า ? ท้ายสุดก็สรุปว่าเพราะเอ็งเสือกโง่เกิดมาเอง ถ้าไม่เกิดมาก็ไม่โดนด่าแบบนี้..!

จนกระทั่งมาตอนหลังรู้ว่า ทุกอย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านว่ามา ถ้าเรามาปรับปรุงแก้ไข ก็จะเป็นประโยชน์แก่เราเองทั้งนั้น ก็ไม่ไปหาเหตุผล ถ้าโดนด่า..อาตมาจะหาว่าผิดตรงไหน จะได้แก้ไขตรงนั้น ที่ขำที่สุดคือพอปลงใจลงได้ว่าผิดมาตั้งแต่เกิดแล้ว ยังไม่ทันจะถึง ๒ นาที หลวงพี่อนันต์ท่านก็โทรมา ท่านบอกว่า “เล็ก..หลวงพ่อฝากบอกด้วยว่า ที่ด่าไปเมื่อกลางวันนั่น ท่านย่าฝากด่ามา ท่านบอกว่าไอ้นี่รู้ตัวเร็ว ถ้าโดนด่าแล้วจะระวังตัว คนอื่นจะเล่นงานไม่ได้ ท่านก็เลยฝากด่า”

ปล่อยให้อาตมาคิดหัวจะระเบิดอยู่เป็นวัน ไปคิดหาเหตุผลว่า "ผิดตรงไหนวะ ทำไมอยู่ ๆ ถึงโดน ?" คนอื่นเขาหนีกันเตลิดเปิดเปิงหมด หลวงพี่ชัยวัฒน์หนีไปอยู่สวนไผ่ คนที่อยู่หน้าห้องหลวงพ่อได้นานที่สุดคือหลวงพี่ไพบูลย์ ที่หลวงพี่ไพบูลย์อยู่ได้นานเพราะไม่เคยเจอหลวงพ่อตอนกลางวัน ท่านเข้าเวรเฉพาะกลางคืน คือท่านจะเหมาตลอดตั้งแต่ ๖ โมงเย็นถึง ๖ โมงเช้า บ่ายโมงหลวงพ่อลงรับแขกเสร็จก็กลับเข้าที่พัก จะมาอีกทีก็ เจ็ดโมงครึ่ง หลวงพี่ไพบูลย์ก็ออกเวรนอนหลับไปแล้ว

เถรี
20-10-2014, 18:59
คิดถึงพระเก่าสมัยอยู่วัดท่าซุงด้วยกันมา ตายไปบ้าง ไปอยู่ที่อื่นบ้าง สึกบ้าง ไม่ทราบว่ากลับไปนี่จะเหลือสักเท่าไร เพราะส่วนใหญ่เวลาไปวัด อาตมาก็จะไปกราบสมเด็จองค์ปฐม หลวงปู่หลวงพ่อแล้วก็กลับ ตอนที่อยู่รวมกันนี่หลวงตาเจริญจะอายุกาลพรรษามากที่สุด บวชปี ๒๕๑๓ มรณภาพไปแล้ว ถัดมาก็หลวงพี่โอ บวชปี ๒๕๑๔ ยังอยู่ เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส ถัดมาก็หลวงพี่อนันต์ ปัจจุบันคือท่านเจ้าคุณภาวนากิจวิมล บวชปี ๒๕๑๖ ถัดมาก็เป็นหลวงพี่สุรจิตร บวชปี ๒๕๑๘ แต่ต้องญัตติใหม่ เพราะว่าท่านบวชเป็นธรรมยุติ บวชไปจากวัดอาวุธฯ ที่กรุงเทพฯ

ถัดมาก็หลวงพี่ทีป บวชปี ๒๕๑๙ มรณภาพแล้ว ถัดมาก็เป็นหลวงพี่ชัยวัฒน์ หลวงพี่บรรจง หลวงตาสมชาย หลวงพี่ไพบูลย์ ชุดนี้บวชปี ๒๕๒๐ ฉลองโบสถ์กัน หลวงตาสมชายมรณภาพแล้ว ปี ๒๕๒๑ หลวงพี่ยงยุทธสึกไปแล้ว ส่วนหลวงพี่อาจินต์ตอนนี้ไปดูแลวัดอยู่ที่เยอรมัน

หลวงตาชลออยู่วัดศาลพันท้ายนรสิงห์ บวชปี ๒๕๒๓ หลวงพี่วิรัช ตอนนี้อยู่วัดธรรมยานที่เพชรบูรณ์ บวชปี ๒๕๒๔ หลวงตาวัชรชัยอยู่เขาวง บวชปี ๒๕๒๕ ก่อนหน้านั้นมีหลายรูป ที่สึกล่าสุดก็เป็นหลวงพี่สมาน บวชปี ๒๕๒๖ ไม่ทราบว่าหลวงพี่ละอองยังอยู่ไหม ? (ยังอยู่ครับ) ถ้าอย่างนั้นยังเหลือคนหนึ่ง บวชปี ๒๕๒๗

ถ้าหลวงพี่ขวัญเมืองไม่อยู่ ท่านที่บวชปี ๒๕๒๘ ก็หมดเหมือนกัน ส่วนที่บวชปี ๒๕๒๙ ก็เหลือหลวงพี่ตี๋กับอาตมา อาตมาบวชก่อน เป็นรุ่นพิเศษก่อนเข้าพรรษานาน หลวงพี่ตี๋บวช ๒๕๒๙ เหมือนกัน แต่บวชรุ่นเข้าพรรษา มารุ่น ๒๕๓๐ ก็สูญพันธุ์ เพราะว่าท้ายสุดเหลือท่านโกวิท แต่ก็ก็สึกไปแล้ว ที่บวชปี ๒๕๓๑ ก็มีท่านจิตโต ปี ๒๕๓๒ก็เหลือ หลวงน้าสุนทร ซึ่งก็ชักจะเดินไม่ไหวแล้ว อายุ ๘๐ กว่าแล้ว รุ่น ๒๕๓๓ ก็มีท่านสมนึกกับท่านสำออย

ถัดไปก็เป็นท่านพิษณุกับท่านรำพึงไม่รู้ว่ายังอยู่หรือเปล่า ? ต่อจากนั้นไปไม่รู้จักใครแล้ว ออกจากวัดมาแล้ว จะมีก็แต่พวกที่รู้จักกันตั้งแต่ตอนที่เป็นฆราวาสแล้วไปบวชทีหลัง ถ้าอย่างนั้นจะคุ้นหน้า ยังพอรู้จักทักทายกันได้ แต่ถ้าตอนฆราวาสไม่เคยเห็นหน้า แล้วบวชเข้าไปนี่ไม่รู้จักกันแล้ว ของปี ๒๕๒๗ มีหลวงพี่จะเด็ด ออกไปอยู่ที่อุบลฯ ท่านหนึ่ง เมื่อประมาณ ๑๐ กว่าปีที่แล้วยังเจออยู่ ก็คาดว่าท่านน่าจะยังอยู่

ตอนช่วงนั้นอยู่กันประมาณ ๔๐ กว่ารูป ไม่เคยมีปีไหนถึง ๕๐ รูป เพราะหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบังคับว่า ถ้าจะบวชที่นั่นต้องได้มโนยิทธิคล่องตัวก่อน จะได้รู้ว่านรกหน้าตาเป็นอย่างไร ถ้ารู้แล้วยังอยากไปนรกก็ช่วยไม่ได้ อะไรทำนองนั้น ก็เท่ากับว่าที่รู้จักมักจี่ก็สึกหาลาเพศกันไปเสียเยอะ รุ่นของอาตมาบวช ๓๖ รูป ปรากฏว่าเข้าบวชไม่ทันรูปหนึ่ง เหลือแค่ ๓๕ รูป ก็ที่อยู่ด้วยกันนานที่สุดคือท่านน้อย (อภิชัย นุตาลัย) น้องของดร.ปริญญา

อาตมาบวช ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๙ พอต้นเดือนมิถุนาก็ยังเหลือกันอยู่ ๗-๘ รูป ก็จะมีพวกท่านนิลพงษ์ ท่านบุญทรงยังอยู่ ก็ปรากฏว่าอาจารย์ยกทรงถามหลวงพ่อวัดท่าซุง ที่ลงไปรับสังฆทานต้นเดือนมิถุนายนว่า “พระที่บวชรุ่นนี้เหลือมากไหมครับ ?” ท่านบอกว่า “เหลือแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ” ตอนนั้นก็ไม่ได้คิด ปรากฏว่าเขาสึกกันหมดเหลือแค่พระเล็กกับพระน้อยอยู่ ๒ คนจริง ๆ แล้วก็อยู่ด้วยกันมา ๗ พรรษา

เถรี
20-10-2014, 20:45
พอพรรษาที่ ๘ อาตมาจัดงานศพถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงเสร็จ ก็ออกจากวัดไปจำพรรษาที่ทองผาภูมิ พรรษาที่ ๙ ท่านน้อยก็สึก ชวนมาอยู่ด้วยกันท่านก็ไม่อยู่ ตอนนั้นก็มีพี่ ๆ หลายคน หลวงพี่อาจินต์ก็มาดูวัด ท่านบอกว่าไกลไป หลวงพี่วิรัชมาดูแล้ว ท่านบอกว่าผมกลัวมาลาเรีย หลวงพี่สามารถมาดูบอกว่า “เฮ้ย..เตรียมกุฏิไว้ให้ด้วยนะ” ปรากฏว่าหลวงพี่สามารถตัดสินใจสึกไปเสียก่อน ก็เลยกลายเป็นว่าอาตมาออกมานี่ต้องมาช่วยพระพี่พระน้องหลายราย พูดง่าย ๆ ว่าใครที่อดทนอยู่ไม่ได้ ออกจากวัดท่าซุงมา ก็ต้องรับไว้ก่อน

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านต้องการพระบวชแก้บน ส่วนใหญ่ก็สึกไปภายใน ๗ วัน แล้วที่มีอยู่เหลือรอดไปอยู่กันเป็นเดือนก็มีท่านนิลพงษ์ ท่านบุญทรงพวกนั้น อยู่ไปอยู่มาก่อนเข้าพรรษาก็สึกกันเฉยเลย รุ่นปี ๒๕๒๑ ที่เสียดายมากที่สุดคือหลวงพี่ชัยศรีที่สึกไป เพราะว่าช่วงนั้นใคร ๆ ก็เห็นว่าสามารถแทนหลวงพ่อได้ ทำงานทำการอะไรเด็ดขาดเรียบร้อยทุกอย่าง

มีที่ทุลักทุเลหน่อยก็หลวงพี่สุรจิตร ท่านบวชมาจนหลวงพ่อวัดท่าซุงตั้งให้เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส ตรวจสอบหนังสือสุทธิแล้วปรากฏว่าท่านเป็นพระธรรมยุติ พอยื่นชื่อไปจังหวัดเขาไม่ยอมตั้งให้ ก็เลยต้องให้ท่านญัตติใหม่ โดยปกติญัตติใหม่นี่ต้องไปต่อท้าย แต่ว่าพวกเราด้วยความที่รักและเคารพท่านมาแต่ดั้งเดิม ถึงท่านญัตติใหม่ก็ให้ท่านนั่งที่เดิม เพราะว่าหลวงพี่สุรจิตรจริง ๆ แล้วท่านอยากบวชตั้งแต่แรก แต่ติดตรงที่ว่าท่านเรียนปริญญาตรีอยู่ ต้องรอจนเรียนจบอยู่ปีกว่าเกือบสองปี

พอจบแล้วด้วยความที่คิดอยากจะบวชแล้วไปอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็เลยบวชใกล้บ้าน บวชที่วัดอาวุธฯ เลย ไม่ได้รู้ว่าเขาเป็นธรรมยุติมหานิกายอะไรหรอก ขอให้ได้บวชเถอะ ทุกวันนี้ท่านเป็นรองเจ้าอาวาสอยู่ หลวงพี่สุรจิตรนี่อาตมามั่นใจในความดีของท่าน เพราะว่าหลังจากออกมาจากวัดหลายพรรษาอยู่ น่าจะได้ ๕-๖ ปี ท่านมาผ่าตัดหัวใจที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ พอได้ข่าวอาตมาก็แวะไปเยี่ยมท่าน ท่านฟื้นขึ้นมากำลังพักผ่อนอยู่ มีพยาบาลดูแลอยู่คนหนึ่งแล้วก็โยมอีกคนหนึ่ง อาตมาก็เอาช่อดอกไม้ไปถวายท่าน แล้วกราบเรียนถามว่า...

“หลวงพี่ครับ.. ผมขอถามประโยคเดียว ตอนนี้อยู่ก็ได้ตายก็ดีใช่ไหมครับ ?” ท่านมองหน้านิ่งอยู่พักหนึ่ง แล้วบอกว่า "ใช่" ก็เลยกราบเรียนท่านว่า “แค่นี้แหละครับ ผมพอใจแล้ว” ก็กราบลาท่านแล้วกลับเลย กำลังใจของคน ถ้าปฏิบัติมา เราจะไม่รู้ว่าตัวเองทำแล้วได้เท่าไร จนกว่าจะถึงวันตายจริง ๆ พูดง่าย ๆ ว่า ต้องมีอะไรฉุกเฉินถึงแก่ชีวิตกันไปข้างหนึ่ง ชนิดที่เจียนอยู่เจียนไปนั่นแหละ ทำให้กำลังใจทั้งหมดมารวมกัน จึงรู้ว่าต้นทุนของตัวเองมีเท่าไร ดังนั้น..พระปฏิบัติท่านจึงไม่กลัวเรื่องตาย ไม่กลัวเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย ยิ่งหวาดเสียวมากเท่าไรก็ยิ่งรู้กำลังตัวเอง

คราวนี้อาตมาพอที่จะทราบว่ากำลังใจท่านเป็นอย่างไร ก็เลยถามประโยคเดียว ถามว่าตอนนี้อยู่ก็ได้ตายก็ดี ใช่ไหมครับ ? พอท่านยืนยันว่าใช่ ก็บอกว่าผมสบายใจแล้วครับ ไม่ห่วงพี่ละ ไปแล้ว

เถรี
21-10-2014, 18:49
ถาม : ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า มีพระอรหันต์ที่ดูแลวัดท่าซุง ?
ตอบ : อยู่ในวัด ๓ อยู่นอกวัด ๔ ท่านบอกไว้อย่างนั้น ท่านบอกไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๒๖

อาตมาเสียดายพี่ ๆ หลายคนปฏิบัติเคร่งครัดมาก ถ้าบวชใหม่เมื่อไร พูดง่าย ๆ ว่าไหว้ได้สนิทใจเลย แต่ว่าท่านก็มีเหตุให้สึกหาลาเพศไป อย่างหลวงพี่สุธน เป็นทั้งคนซื่อคนตรง ทั้งเข้มแข็งในการปฏิบัติเลย ส่วนใหญ่แล้วลูกศิษย์หลวงพ่อที่ได้ดีมักจะมาจากที่อื่น มาจากวัดอื่น จนกระทั่งอาตมาเคยเปรียบเทียบว่า พวกเราเหมือนหนูในถังข้าวสาร จะกินเมื่อไรก็ได้ ก็เลยไม่ตื่นเต้น ไม่กระตือรือร้น คนอื่นเขาอดมา มาถึงก็กินใหญ่ เขาจึงได้ประโยชน์ไปมากกว่า

ต้องดูหลวงปู่มหาอำพันเป็นตัวอย่าง อาตมาบวชไม่กี่วันก็เป็นงานวัด หลวงปู่ท่านก็ไปร่วมงาน ด้วยความดีใจว่าหลวงปู่มา อาตมาก็วิ่งเข้าไปจะกราบท่าน ท่านยกมือไหว้มาแต่ไกลเลย โอ้พระเจ้า..! กี่ครั้งก็เป็นอย่างนั้น ท้ายสุดก็ไปกราบโอดครวญกับท่านว่า “หลวงปู่ทำอย่างนี้เป็นบาปเป็นกรรมกับลูกกับหลาน” ท่านบอกว่า “โอ้..ไม่เป็นไรหรอก คุณอยู่กับหลวงพ่อ อย่างน้อย ๆ ก็ได้รับฟังการอบรมฟังเสียงตามสายวันละ ๔ ครั้ง ถ้าตั้งใจเอาจริง ๆ ผมว่าเป็นพระโสดาบันหมดทุกคนแหละ ผมไหว้ได้ทั้งนั้น” อาตมาก็เหงื่อหยดติ๋ง ถึงเวลาเจอท่านนี่ต้องแอบ ๆ ย่องไปใกล้ กราบก่อนได้ก็โล่งใจไปที แต่ถ้าท่านเห็นก่อนนี่ท่านไหว้ก่อนทุกที"

เถรี
21-10-2014, 19:00
ถาม : ที่ว่าอยู่ก็ได้ตายก็ดีนี่หมายถึงเป็นพระอรหันต์ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่..คนที่จะเรียกว่าอยู่ก็ได้ตายก็ดี ต้องเป็นประเภทที่ไม่เห็นประโยชน์ในโลกนี้แล้ว แต่ว่าขณะเดียวกันก็ไม่ได้คิดที่จะประเภทไปตีด่าฆ่าฟันอะไรตัวเองหรอก แล้วแต่เวรแต่กรรม ถ้าอยู่ก็สร้างบุญสร้างบารมีต่อไป ถ้าตายเราก็ไปพระนิพพานของเราสบาย ๆ

ต้องบอกว่าในวัดท่าซุง ถ้ายังมีหลวงพี่สุรจิตรเป็นหลักให้อยู่ก็สบาย แต่คราวนี้ท่านเป็นคนพูดน้อยมากเลย ถ้าพูดมากอย่างอาตมานี่ป่านนี้ไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ?

เถรี
21-10-2014, 19:07
ถาม : การแยกกาย ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็คือลักษณะของการใช้อภิญญา แยกจิตเป็นหลายจิต หลายกาย เพื่อทำหน้าที่ต่าง ๆ แบบเดียวกับพระจูฬปันถกที่ท่านแยกออกเป็นพันกายพร้อม ๆ กัน

ถาม : แล้วการแยกกายเฉย ๆ ไม่ใช้จิต ?
ตอบ : แยกกายนั่นแหละคือจิต กายแยกยาก จิตแยกง่าย แต่ว่าพระจูฬปันถกท่านเป็นสุดยอดในการแยกจิต เพราะว่าท่านแยกแล้วเห็นเป็นตัว ๆ เลย

เถรี
21-10-2014, 19:13
ถาม : จับให้ลูก ๆ นั่งสมาธิค่ะ คนโตให้นั่ง ๑๐ นาที คนเล็กนั่งคนละ ๕ นาที ?
ตอบ : ต่อไปการเรียนจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีโอกาสก็เพิ่มเวลาขึ้น แต่ว่าอย่าให้เกินครึ่งชั่วโมง เพราะจะหนักเกินไปสำหรับเด็ก

ถาม : ขอให้แนะนำเพิ่มหน่อยคะ ?
ตอบ : ให้ใจนิ่งได้อย่างเดียว คืออยู่กับลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องแนะนำอะไรหรอก อยู่ตรงนี้ได้ก็พอแล้ว ถ้าทำได้ต่อไปเรื่องเรียนเรื่องเล็ก ไม่มีอะไรหนักใจเลย

ถาม : คนโตกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ?
ตอบ : ไปภาวนาคาถาท่านปู่พระอินทร์ เตรียมตัวแต่เนิ่น ๆ หลังภาวนา ๑๐ นาที เราก็ว่าสหัสสะเนตโตฯ ไปอีก ๑๐ นาที ลับมีดไว้แต่เนิ่น ๆ ถึงเวลาจะได้ใช้ได้ ไม่ขึ้นสนิม พักเดียวเด็ก ๆ ก็จะเข้ามหาวิทยาลัยกันหมดแล้ว อาตมาก็เป็นหลวงตาแก่ไปทุกวัน ๆ

เถรี
21-10-2014, 19:14
มีพระมาขออนุญาตสึก "ไปเถอะ..เดี๋ยวพอเข็ดก็วิ่งกลับมาเองแหละ ส่วนใหญ่คนเคยอยู่วัด พออยู่นาน ๆ แล้วออกไปข้างนอก ทนแรงกระทบเขาไม่ไหว ไม่สงบเหมือนกับตอนอยู่วัดก็วิ่งกลับมาเอง ใหม่ ๆ นี่ปรับตัวกันแทบไม่ทันเลย"

เถรี
21-10-2014, 19:17
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุง เวลาผ่านไปเร็วที่สุดเลย เพราะว่าแต่ละวันปฏิบัติยังไม่ทันจะจุใจหมดวันอีกแล้ว ยังรู้สึกไม่ทันไรเลย อ้าว..ออกพรรษาอีกแล้ว สมัยนี้เวลายาวขึ้นมาหน่อย เพราะทำงานเยอะ ถ้าอยู่กับการปฏิบัติจะไม่ค่อยรู้วันรู้เดือนอะไร เสียดายแม้กระทั่งเวลาจะนอน..!

มีอยู่ระยะหนึ่งสัก ๓ ปีนี่นอนคืนหนึ่ง ๒ ชั่วโมงเท่านั้น ตั้งสติไว้เตรียมตื่นเลย ขยับลุกเมื่อไรลุกทันที จะไม่มีการมาอ้อยอิ่งเลย เข้าสู่การปฏิบัติของเราต่อ สภาพจิตก็ดำเนินต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ แปลกดีเหมือนกัน ก่อนหลับก็รู้สึกว่าภาวนาคาถาหรือสวดมนต์บทนี้อยู่ ตอนหลับอยู่ก็รู้ว่าตัวเองกำลังสวดไปเรื่อย ภาวนาไปเรื่อย ตื่นมาก็ว่าต่อได้ ดีเหมือนกัน..ไม่เสียเวลา"

เถรี
21-10-2014, 19:26
ถาม : ความสนใจในร่างกาย ?
ตอบ : สภาพจิตจะดำเนินอยู่ข้างในอย่างเดียว อะไรที่มาข้างนอกแล้วกระทบประสาท ตา หู จมูก ลิ้น กาย ถ้าเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องปฏิสัมพันธ์ด้วย ก็จะคลายกำลังใจออกมารับรู้ แล้วก็กลับเข้าไปตามเดิม เป็นช่วงที่ต้องระมัดระวังตัวเอง เพราะว่าถ้าโดนกิเลสตีแล้วตกจะเอาคืนยาก จะเป็นช่วงที่ระวัง กลัวจิตตก สมาธิตก กรรมฐานตก อะไรประเภทนี้ เพราะตกจนเข็ดแล้ว บางทีวันหนึ่งตกเป็นร้อยครั้ง เมื่อไรจะเลิกตกเสียที ท้ายสุดพอตะกายถึงได้ ก็ต้องประคองกันสุดชีวิต ที่ถึงเวลาปฏิบัติจะเตือนพวกเราว่า เลิกแล้วอย่าเลิกเลย ให้รักษากำลังใจเอาไว้ เพราะว่าตัวเองโดนมาจนเข็ดแล้ว

ถาม : แล้วสมาธิระดับไหนจึงรู้ว่าตัวเองตก ?
ตอบ : ถ้าหลุดจากปฐมฌานไปกิเลสกินทันที รัก โลภ โกรธ หลง ไหลมาเทมา จะไม่รู้ไม่ได้หรอก โดนเข้าเมื่อไรก็ต้องรู้

ถาม : ระดับอุปจารสมาธิพอไหมครับ ?
ตอบ : ไม่พอ อุปจารสมาธินี่กิเลสฟัดอร่อย เต็ม ๆ เลย กำลังไม่พอป้องกันตัวเอง ถ้าพอป้องกันตัวเองได้ต้องเป็นปฐมฌานขึ้นไป และควรจะเป็นระดับละเอียดด้วย เพราะปฐมฌานหยาบนี่ เผลอเมื่อไรก็โดนเมื่อนั้น

ถาม : เป็นฌานที่ขนาดว่าไม่รับรู้ข้างนอกใช่ไหมครับ ?
ตอบ : รู้ทุกอย่าง เพียงแต่ว่าจะรับไหม ถ้าจิตละเอียด อะไรมากระทบนี่จะรู้หมด ถ้าไม่สนใจก็จะนิ่งอยู่ ถ้าสนใจจะคลายกำลังใจไปรับรู้หน่อย แล้วก็รีบกลับเพราะกลัวโดนอีก

ถาม : เหมือนกับว่ามีอะไรกระตุก จะรู้ลักษณะเป็นสัญญาณหรือเปล่า ?
ตอบ : เหมือนอย่างกับว่าได้ยินเสียงก็รู้ เขาพูดถึงเราก็รู้ แต่ถ้าหากว่าไม่มีเรื่องอะไรที่เราต้องไปปฏิสัมพันธ์ด้วย เราก็ไม่ไปสนใจเขา แต่ถ้าสมมติว่ามีคนมาถามเรื่องนี้ว่าเป็นอย่างไร แล้วเราต้องอธิบายให้เขาฟัง ก็จะคลายกำลังใจออกมาหน่อย อธิบายให้เขา เสร็จก็ผลุบกลับเข้าไปใหม่

เถรี
21-10-2014, 19:34
ถาม : ที่เขาว่า......แปลว่าอะไร ตกภวังค์แล้วขึ้นฌานใหม่หรือครับ ?
ตอบ : ต่อให้เป็นฌานสี่ก็ได้ยิน จิตที่ละเอียดจริง ๆ จะรับรู้หมด ได้ยินหมด เพียงแต่ว่าถ้าเป็นฌานในลักษณะที่นิ่งอยู่ข้างใน จะไม่รับรู้อาการข้างนอก แต่ถ้าคล่องตัวจริง ๆ ก็รับรู้ได้หมด

ถาม : ที่เราทุกข์เป็นข้างนอกทั้งนั้นหมดเลย ?
ตอบ : จริงแล้วเป็นข้างนอกแทบทั้งนั้นแหละ พอใจเราส่งออกไปข้างนอก ก็ทำอันตรายเราทันที

เถรี
21-10-2014, 19:39
ถาม : สมาบัติคือตั้งอยู่ในฌานตลอด ?
ตอบ : แค่เข้าถึงก็พอ เข้าถึงฌานใดฌานหนึ่งเรียกว่าสมาบัติ ถ้าคลายออกมาเมื่อไรก็ไม่ใช่ ฉะนั้น..ไม่จำเป็นต้องตั้งอยู่ตลอด

ถาม : ที่บอกว่าตั้งอยู่ ๗ วัน ?
ตอบ : นั่นเป็นพวกประเภทซักซ้อมจนชำนาญ มีความชำนาญในการเข้าออกชนิดที่กำหนดเวลาได้

ถาม : อย่างปฐมฌานเข้า ๗ วันได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..ถ้าคล่องตัวจริง ๆ เราต้องการเท่าไรก็ได้ อาตมาเคยตั้งอยู่เป็นเดือน ๆ ขี้เกียจประเภทหลุดออกมาแล้วโดนกิเลสตี เอาไปเลยเดือนหนึ่ง

ถาม : เดือนหนึ่งแล้วไม่ผิดปกติหรือครับ ?
ตอบ : เหมือนปกติทุกอย่าง กำลังใจจะทรงตัวเองไม่คลายออกมา แต่ถ้าเผลอเมื่อไร พ้นเวลาแล้วไม่ตั้งใหม่ก็โดนทันทีเลย หลุดออกมาเองเลย

เถรี
21-10-2014, 19:48
ถาม : ทรงสมาธิแบบกำหนดเวลา ?
ตอบ : เราจะทำอะไรสมาธิก็ไม่เคลื่อนออกมา หกคะเมนตีลังกาอย่างไรก็ทรงตัว ต้องคอยระมัดระวังตรวจสอบดูว่า นิวรณ์กินใจเราอยู่หรือเปล่า ? อารมณ์ใจของเราทรงตัวไหม ? สติของเราควบคุมอยู่ไหม ? ถ้าสติไม่ควบคุมไว้ บางทีทั้ง ๆ ที่ตั้งเอาไว้ก็เผลอหลุดได้ ถ้าอารมณ์ใจเริ่มทรงตัวได้ มีอย่างเดียวคือเอาสติประคองไว้ ถ้าเราจะอยู่เท่าไรให้ตั้งใจไปเลย แรก ๆ ก็ไม่ได้อย่างใจหรอก แต่พอนาน ๆ ไปแล้วเหมือนกับว่า ถ้าไม่ถึงเวลาเขาจะไม่คลายออกมา เขาจะอยู่ของเขาได้เอง

เถรี
21-10-2014, 19:52
พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่วางแผนสร้างเมรุ อาคารเมรุส่วนหนึ่งจะเอาไว้เป็นที่นอนของโยม เพราะจะให้คนตายที ๓-๔ ศพพร้อมกันก็คงเป็นไปไม่ได้..ใช่ไหม ? อยากนอนเมรุกันไหม ? กลัวผีกันหรือเปล่า ? เดี๋ยวติดเครื่องปรับอากาศให้ เอาเครื่องปรับอากาศมาล่อ..!"

เถรี
22-10-2014, 15:04
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนไปพุทธาภิเษกรูปหล่อหลวงปู่เปลี่ยน (พระวิสุทธิรังษี) อดีตเจ้าอาวาสวัดใต้ที่กาญจนบุรี สมาธิยังไม่คลายออกก็รู้ว่าไม่พอ จึงนั่งไปเรื่อย ๆ เมื่อรู้สึกว่าพอแล้วลืมตาขึ้นมา พระมหาจีรพันธ์ เลขานุการรองเจ้าคณะจังหวัดบอกว่า “อาจารย์ครับ..ผมเปลี่ยนเทียนไป ๖ เล่มพอดี” ไม่รู้ว่าเทียน ๖ เล่มใช้เวลาจุดนานเท่าไร เทียนปากบาตรน้ำมนต์ขนาดมาตรฐานเล่มละ ๑ บาทนะ

วันนั้นไม่ได้เจตนา ตั้งใจจะเอาเงินไปช่วยสนับสนุนงานเขา ปรากฏว่าไปถึงหลวงพ่อเจ้าคุณปัญญากำลังจะทำบวงสรวงพอดี พอเห็นนี่แทบจะกระโดดกอดเลย “โอ๊ย..อาจารย์เล็ก มาเลย มาช่วยทำให้หน่อย” คราวนี้พอบวงสรวงเสร็จอธิษฐานเสร็จ ท่านบอกนิมนต์เข้าไปปลุกเสกให้ด้วย เข้าไปถึงก็เจอแต่รุ่นครูบาอาจารย์ทั้งนั้น

พระที่เคยร่วมพุทธาภิเษกด้วยกันมา จะมีหลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร องค์นี้ท่านบอกชัดเลย องค์อื่นยังไม่ชัด ครั้งไปพุทธาภิเษกที่วัดเนินสุทธาวาสของหลวงปู่เกลี้ยง พอรู้สึกว่าเต็มลืมตาขึ้นมา หลวงพ่อฟูท่านก็ลืมตาหันมามองพอดี แล้วท่านก็พยักหน้าบอกว่า “เต็มแล้วนะ..ไปกันเถอะ” องค์อื่นยังไม่เคยเจอพูดชัดขนาดนี้ มีหลวงพ่อฟูนี่แหละ..ที่บอกชัดที่สุด"

เถรี
22-10-2014, 15:26
ถาม : การพุทธาภิเษกต้องเข้าฌานเต็มกำลังไหมครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นสายหลวงพ่อวัดท่าซุง ต้องแล้วแต่พระท่านบอก อันดับแรกเลย คือ ส่งใจไปกราบพระข้างบน กราบครูบาอาจารย์ ขอบารมีท่านช่วยสงเคราะห์ แล้วท่านบอกให้ทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ท่านบอกให้ตั้งสมาธิแบบไหน ให้ใช้คาถาบทไหน หรือให้นึกถึงภาพพระลักษณะอย่างไหน ต้องทำตามอย่างเดียว ก็เลยกลายเป็นว่า พวกเรานี่พอถึงเวลาแล้วท่านก็จะบอกว่าพอหรือยัง ตำราอื่นเขาปลุกพระ ตำราของวัดท่าซุงต้องรอพระปลุก ถึงเวลาพระท่านจะปลุกเองว่าพอแล้ว

เถรี
22-10-2014, 15:49
ถาม : พุทธาภิเษกวัตถุมงคลแบบเมตตามหานิยม ?
ตอบ : ทำยากที่สุดเลย อย่างอื่นง่าย แต่เมตตายาก เพราะว่าตัวเมตตานี่ต้องออกจากใจของเราจริง ๆ ถ้ากำลังใจเราเมตตาไม่ถึง ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จหรอก

ถาม : คำว่าเมตตาถึง ?
ตอบ : ต้องเคยปฏิบัติเกี่ยวกับพรหมวิหาร ๔ มาจนคล่องตัว ถ้าเป็นอย่างอื่นไม่ว่าจะคงกระพัน แคล้วคลาด ใช้แค่อุปจารสมาธิ ขนลุกก็ใช้ได้แล้ว

เถรี
22-10-2014, 16:19
ถาม : พระที่เสกวัตถุมงคลทางด้านเมตตา โยมควรตั้งกำลังใจอย่างไรถึงได้อานุภาพสูงสุดครับ ?
ตอบ : ตั้งว่ากูจะทำชั่วให้ได้..! ถ้าเราตั้งใจชั่วขนาดนั้นแล้ว อานุภาพพระยังรักษาให้คนเขาเมตตาเราได้ ก็แสดงว่ามีอานุภาพสูงสุด ตูว่าตูอธิบายชัดที่สุดแล้วนะ

ตำรานี้เขาเรียกว่าถามแบบมักง่าย คงได้รับการครอบครูมาจากบ้านสบายใจ ไอ้ถามทำนองนี้คือไม่ยอมใช้สมองคิด..!

ถาม : ก็ผมโง่นี่ครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่โง่..แต่ฉลาดเกินไป จนไม่ยอมคิดเอง พวกโง่ ๆ เขาต้องหัดคิดเอง วันนี้ทำไมโดนหลายยกแท้วะ ? อยู่ ๆ ก็ยื่นหัวมาให้ตี..!

เถรี
22-10-2014, 16:22
พระอาจารย์กล่าวว่า “คนที่เขาทำอะไรเป็นหลักเป็นฐาน เป็นการเป็นงาน แสดงออกถึงความละเอียดของใจ แต่ขณะเดียวกัน คนที่ไม่ได้เตรียมตัวมา ถ้าสามารถตัดสินใจปุบปับได้เลย แสดงว่ากำลังใจดีมาก ถ้าตัดสินใจไม่ได้ ประเภทคิดแล้วคิดอีก มองแล้วมองอีกก็ยังอีกนาน กำลังใจบางอย่างจะแสดงออกได้ชัดมาก

เรื่องของการทำบุญทำทานก็เหมือนกัน ทางด้านวัดท่าขนุน โยมมาถึงก็กราบงาม ๆ ๓ ที เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วค่อยล้วงกระเป๋า เอาเงินขึ้นมานับ ตัดสินใจว่าทำเท่าไร แล้วก็เก็บที่เหลือ จากนั้นค่อยคลานมาถวาย ถ้าเป็นอย่างนั้นสัก ๒๐ คน พระมีหวังอดเพลแน่ เพราะมัวแต่นั่งรอกันอยู่”

เถรี
22-10-2014, 16:30
ถาม : ตัวเมตตากับกรุณา เมื่อแผ่ไปถึงทุกคนนั้นต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ต่างกันตรงที่..เมตตาคือรักเขาเหมือนกับตัวเรา เราอยู่ดีมีสุขอย่างไร ก็อยากให้เขาอยู่ดีมีสุขแบบนั้น กรุณานั้นสงสารที่เห็นเขาตกอยู่ในกองทุกข์ อยากให้เขาพ้นจากห้วงทุกข์ กำลังใจต่างกันอยู่นิดเดียว

ถาม : ควรวางกำลังใจอย่างไร ?
ตอบ : มีหน้าที่อยู่อย่างเดียว คือ พยายามช่วย ถ้าไม่เกินกำลังกาย กำลังปัญญา กำลังทรัพย์ก็ช่วยเขา ถ้าเกินนั้นก็จะมีตัวอุเบกขาไว้คอยเบรก ไม่อย่างนั้นแล้วจะไปทุกข์ใจแทนเขา พระพุทธเจ้าท่านสุดยอดเลย เอาอุเบกขามาแปะท้ายไว้

ขาดอุเบกขานี่บางคนช่วยคนอื่นจนตัวเองเป็นโทษ อย่างมีโยมอยู่คนหนึ่งที่เก็บขยะขาย เขาเลี้ยงหมาไว้ ๒๐๐ กว่าตัว อันนั้นตัวเองเดือดร้อน แต่ว่าด้วยความที่เมตตากรุณามาก ก็ยอมอดให้หมาอิ่ม อันนั้นแสดงว่าขาดอุเบกขา คือทนเห็นเขาลำบากไม่ได้ หมาที่ไหนลำบากเอามาเลี้ยงหมด ก็เลยกลายเป็นเมตตาเกินประมาณ อย่างที่หลวงปู่พระพุทธพจนวราภรณ์ วัดเจดีย์หลวง ท่านว่าไว้ เมตตาเกินประมาณตัวเองก็เดือดร้อน เก็บขยะขายวัน ๆ จะได้สักกี่สตางค์ แล้วต้องเลี้ยงหมาตั้ง ๒๐๐ กว่าตัว

ถาม : แล้วผลบุญไม่ส่งเลยหรือครับ ?
ตอบ : ต้องรอชาติหน้า รับรองว่ามีบริวารช่วยเพียบเลย หรือถ้าชาตินี้ทำได้สม่ำเสมอต่อเนื่องกันเป็นสิบ ๆ ปี ท้าย ๆ ก็อาจจะได้ บางทีเห็นท่านทั้งหลายเหล่านี้ทำแล้ว ยังรู้สึกสะท้อนใจว่า เออ..กำลังใจเราสู้เขาไม่ได้ เขาตัดสินใจทำขนาดนั้นได้ ตัวเองยอมอดให้คนอื่นอิ่ม

อาตมาเข้าไปที่พุทธมณฑลตอนประมาณตีห้ากว่ายังไม่ทันจะหกโมง ทันทีที่เห็นแสงไฟ หมาเป็นร้อยตัววิ่งไล่ตามรถ เขาคิดว่าคนที่เลี้ยงเขามาแล้ว แต่ความจริงอาตมาจะไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุข้อนิ้วพระหัตถ์ที่นั่น ถ้าไปสายคนจะเยอะ เลยไปตั้งแต่เช้า กะว่าอาศัยความเป็นพระไปขออนุญาตพระท่านที่เฝ้าเข้าไปไหว้ก่อน ไปกันตั้งแต่ก่อนหกโมงเช้า หมาเห็นไฟรถนี่วิ่งตามกันมาเลย คิดว่าคนมาเลี้ยงแล้ว

แสดงว่าคนที่เขาปฏิบัติธรรมโดยที่ตัวเองไม่รู้ว่าปฏิบัติธรรมมีเยอะมากเลย อย่างพวกบรรดาหมอที่สละตัวเองไปรักษาผู้ป่วยอีโบล่า นั่นเป็นฝรั่งมังค่าเอง เขาก็ไม่ได้เข้าใจว่าเรื่องของเมตตาพรหมวิหารคืออะไร รู้แต่ว่าตัวเองอยากทำ อยากช่วย ทนเห็นเขาลำบากไม่ได้

ถาม : เพราะเขาขาดเรื่องอธิษฐานบารมีหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : จะขาดอะไรก็ไม่เป็นไรหรอก ถ้าชาตินี้เขาทำขนาดนั้น เดี๋ยวชาติหน้าเขาก็เลี้ยวเข้ามาถูกทางเอง

ถาม : หมายถึงว่า เขาทำโดยที่ตัวเองไม่รู้ว่าปฏิบัติ ?
ตอบ : บางทีก็ขาดอธิษฐานบารมี บางทีก็สร้างบุญนอกเขตพระพุทธศาสนา ในเมื่อกำลังบุญยังส่งผลไม่พอ ก็ไม่ได้เข้ามาในเขต แต่ก็ยังทำต่อไป

เถรี
22-10-2014, 16:33
ถาม : ตัวมุทิตาเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : มุทิตานี่เรายินดีเมื่อเห็นเขาอยู่ดีมีสุข เขาจะตั้งใจว่าขอให้มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ท่านที่มีความสุขความเจริญดีอยู่แล้ว ขอให้มีความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยเถิด ไม่ได้อิจฉาเขา มีแต่สนับสนุนอยากให้เขาได้ดียิ่งไปกว่านั้น เสียงรถยนต์วิ่งมานี่ “โห..น่าดีใจนะ เขามีรถขี่” ทั้ง ๆ ที่เราเดินเท้าอยู่นี่แหละ แต่ดีใจว่าเขามีรถขี่

ถาม : แล้วผลของมุทิตาเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ลักษณะเดียวกันว่าถ้าเขาทำถึง คนที่สภาพจิตเริ่มละเอียดจะรับได้ หรือไม่ก็สภาพจิตอยู่ในระดับอุปจารสมาธิจะรับได้ บางทีก็รู้สึกเห็นแล้วก็รักก็ชอบ อยากเข้าใกล้โดยไม่มีสาเหตุ แต่จริง ๆ สาเหตุมี..แต่ตัวเองยังไม่ชัดเจน

เถรี
22-10-2014, 16:42
ถาม : ที่เขาบอกว่าเจริญเมตตาจนกระทั่งสัตว์เดรัจฉานเขาสัมผัสได้ ?
ตอบ : พระอาจารย์ของพระเจ้าอโศกมหาราชที่เป็นอดีตปริพาชก เข้าไปในสำนักของพุทธศาสนา แล้วเห็นเสือกับกวางอยู่ด้วยกันได้ ไม่เป็นศัตรูกัน ก็สงสัยว่าเป็นตัวอะไร จึงถามพระภิกษุในพระพุทธศาสนา พอถามอะไรก็ตาม ท่านบอกว่า “อนัตตา” ทั้งหมด ท่านก็เลยขอฟังธรรม พอฟังธรรมแล้วกลายเป็นอรหันต์จึงขอบวช กลายเป็นพระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนา แล้วพวกทหารก็รับเข้าวังไป รับการแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์ของพระเจ้าอโศกมหาราช เพราะว่าท่านทำนายไว้ตั้งแต่เด็กว่า พระเจ้าอโศกมหาราชต้องฆ่าพี่น้องตัวเอง แต่ว่าต่อไปจะเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่มาก

แสดงว่าเรื่องของอภิญญาสมาบัติ เรื่องของอนาคตังสญาณท่านชำนาญมาแล้ว เพียงแต่ว่าการปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ท่านยังไม่มี แล้วบุญเก่าส่งให้ท่านไปเจอพระภิกษุในพุทธศาสนาพอดี ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจไปอวดเขาว่าเราเป็นปริพาชก ได้เป็นอาจารย์ของพระเจ้าแผ่นดิน เขาส่งวอมารับ ท่านเองเป็นพระในพุทธศาสนา ท่านได้อะไรบ้าง แต่ปรากฏว่าเข้าไปถึงก็เจอของดีเข้า

ถาม : แล้วจริงไหมคะที่สัตว์จะสัมผัสได้ดีกว่าเรา ?
ตอบ : ของเขาจะดีกว่าเรามาก เพราะสัตว์ทั่ว ๆ ไปเขายังใช้ภาษาเสียง ภาษากาย ภาษาใจ ๓ อย่างรวมกัน ของเราได้แต่ภาษาเสียงกับภาษากาย ภาษากายก็อ่านไม่ค่อยออกแล้ว ยกเว้นบางท่าที่เป็นสากลจริง ๆ อย่างผลักมือออกก็ NO คราวนี้เมื่อภาษากายยังอ่านไม่ค่อยออก ภาษาใจ สภาพจิตที่หยาบก็อ่านไม่ออกไปด้วย

สมัยก่อนเขาไม่ต้องใช้ภาษามากมาย เพราะว่ามีภาษาใจเป็นหลัก แต่พอสภาพจิตของคนหยาบขึ้น ๆ จนรับภาษาใจไม่ได้ ก็ต้องเปล่งเสียงออกมาเพื่อสื่อสารกัน ก็เลยกลายเป็นภาษาโน้นภาษานี้เยอะแยะไปหมด

เถรี
22-10-2014, 16:50
ถาม : กรรมมาขวางมากกว่า ?
ตอบ : ต้องบอกว่าคนเราสร้างกรรมไว้มากขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งที่มาขัดขวางความสะดวกสบายที่ได้อำนวยจากบุญก็เลยน้อยลง จึงทำให้พวกความเป็นทิพย์ พวกภาษาใจต่าง ๆ ค่อย ๆ หายไป แล้วภาษากาย ภาษาเสียง ก็เจรจากันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง เพราะต่างคนต่างแบกทิฐิมา

ลองไปคุยดูสิว่า ฉันปฏิบัติกรรมฐานสายนี้ดีกว่า เดี๋ยวมีคนมาช่วยกันเยอะเลย มาช่วยเสวนาด้วย ถึงได้บอกว่าคนเราสู้หมาไม่ได้ ลองอุ้มหมาไปประเทศฝรั่งเศส โยนลงไปเจอหมาด้วยก็คุยกันรู้เรื่องทันที ไม่เห็นต้องไปหัดภาษาฝรั่งเศสเลย เอาไปประเทศไหนก็ได้ โยนลงไปก็คุยกันได้ เพราะเขามีภาษากาย มีภาษาใจด้วย ของเรามีภาษาเสียงอย่างเดียวจึงสู้เขาไม่ได้

ถาม : อย่างนี้การรับรู้ด้วยใจเลย ก็ดีกว่าการแปลงเป็นเสียง ?
ตอบ : ดีกว่าเพราะเป็นความจริง เรื่องของวาจาเป็นมายาหลอกลวงกันได้ ใจคิดอย่างหนึ่ง ปากพูดอีกอย่างหนึ่ง มีน้องอยู่คนหนึ่ง เขาแทบจะรับสภาพสังคมปัจจุบันไม่ได้ เพราะว่าใครอยู่ใกล้นี่เขาอ่านความคิดได้หมด แล้วทำไมถึงพูดคนละอย่างกับที่เขาคิด เขาก็เลยเครียดอยู่คนเดียว อันนั้นก็ว่าเขาไม่ได้หรอก เขายังปล่อยไม่เป็น วางไม่เป็น ไปคิดอยู่อย่างเดียวว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ เครียดอยู่คนเดียว แต่ถ้าเราเห็นว่าปกติธรรมดาเขาก็เป็นอย่างนั้น อยากว่าอะไรก็เออ ๆ ค่ะ ๆ ไปตามเรื่องก็จบแล้ว

อย่างเรื่องที่เขาว่า ถ้าหากใครพูดอะไรมา แล้วเราอยากว่าเขาตอแหล ให้พูดว่า “อ๋อ..หรือคะ ?” อย่าไปด่าว่าเขาตอแหลนะ คุณแม่สอนไว้ ถ้าเขามาพูดโกหกก็ให้พูดว่า “อ๋อ..หรือคะ ?”

เถรี
22-10-2014, 17:16
ถาม : ไปเช่าธงมหาพิชัยสงคราม เพื่อจะนำไปแจกทหารสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ?
ตอบ : ให้ใช้คาถา “พุท ธะสัง มิ” ในการปลุกธง ก็คือ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ธงมหาพิชัยสงคราม เป็นวัตถุมงคลที่อาตมาติดตัวอยู่ตลอดเวลาที่อยู่ชายแดน รับประกันคุณภาพ ชอบใจอยู่อย่างเดียวว่า จะปืนจะระเบิดอะไรยิงออกหมด แต่ไม่มีถูก นิสัยของอาตมาชอบเสียงดัง ๆ ได้ยินแล้วคึก ได้ยินแล้วจะวิ่งสวนกระสุนท่าเดียว หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถึงได้บอกว่า ลูกของท่านนี่กลัวไม่ได้

ถ้าพกธงมหาพิชัยสงครามอยู่ ตกอยู่ในวงล้อมนี่ เสียงปืนด้านไหนแน่นที่สุด ให้ฝ่าออกไปทางด้านนั้น วัดกันชัด ๆ เลยว่า เรายังกลัวหรือเปล่า ?

เถรี
22-10-2014, 17:23
ถาม : อุเบกขาพรหมวิหารเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าอุเบกขาที่ทำถึงที่สุดเลยก็คือ ปล่อยวางแม้แต่สังขารร่างกายของเรา ซึ่งถ้าทำอย่างนั้นได้ ก็ต้องเป็นพระอรหันต์ไปเลย ที่เขาเรียกว่าสังขารุเปกขาญาณ ปล่อยวางในการปรุงแต่งทั้งปวง เห็นสักว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่น ได้รสสักแต่ว่าได้รส สัมผัสสักแต่ว่าสัมผัส หยุดการคิดเพราะเห็นโทษในสิ่งทั้งปวง นับว่าเป็นอุเบกขาที่แท้จริง

ถาม : แล้วกระแสแผ่ออกไปจะมีผลอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าบางคนไม่สังเกต บางทีท่านนั่งอยู่ก็ไม่เห็นท่าน เหมือนกับว่าท่านวางหมดทุกอย่างแล้ว จุดที่ท่านอยู่ก็เลยเหมือนกับไม่มีอะไรเลย ถ้าคนไม่สังเกตบางทีไม่เห็นท่านหรอก

ถาม : ตอนแรกคิดว่าอุเบกขาจะไม่มีการแผ่ออกไปอีก ?
ตอบ : แผ่ได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าลักษณะของการทำไปถึงอุเบกขาแล้ว ส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยปัญญามากเป็นพิเศษ เพราะมีปัญญาตั้งแต่รู้ว่า ในเมื่อเราแก้ไขไม่ได้ ดิ้นรนไปก็ไร้ประโยชน์..ใช่ไหม ? ปัญญาขั้นต้นก็ไล่ไปสิ ไล่ไปจนกระทั่งถึงเห็นทุกข์เห็นโทษก็เลยปล่อยวาง ไม่ไปแตะต้อง ทุกข์โทษเหล่านั้นก็ไม่เกิดขึ้น

เถรี
22-10-2014, 17:32
ถาม : แล้วอุเบกขาจะเป็นฐานให้เข้าถึงอรูปฌานได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นอุเบกขา กำลังใช้ได้ แต่ถ้าจะทำอรูปฌาน อย่างน้อย ๆ ต้องจับภาพกสิณอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา ยกเว้นอากาสกสิณ หรือถ้าไม่มีความคล่องตัว ก็ต้องเว้นอาโลกกสิณไปด้วย

ถาม : ถ้ามีความคล่องตัวในอาโลกกสิณ ?
ตอบ : อาโลกกสิณจับเป็นดวงกสิณได้ยากเพราะอาศัยแสงสว่างเป็นดวงกสิณ

ถาม : แล้วถ้ามีความคล่องตัวก็จะแยกได้ ?
ตอบ : สามารถแยกได้ แต่คราวนี้ถ้าไม่มีความคล่องตัวก็เว้นไปเลย ไปจับกสิณที่อาศัยรูปชัด ๆ แทน คราวนี้พอจับกสิณแล้ว กำลังสมาธิที่ได้มาจากพรหมวิหาร ก็จะช่วยให้ดวงกสิณมั่นคงได้เร็ว จับติดตาได้ง่าย แล้วระดับการเปลี่ยนแปลงก็จะเกิดขึ้นเร็ว เพราะว่าสมาธิทรงตัวแล้ว

ถาม : แปลว่าต้องเปลี่ยนกองกรรมฐาน ?
ตอบ : ให้กลับมาใช้คำภาวนากับจับรูปก่อน แต่ว่าสมาธิก็เท่าเดิมที่เราเคยทำได้ ในเมื่อพื้นฐานสมาธิมี เรื่องนี้ก็ง่ายแล้ว

ถาม : แต่จริง ๆ พรหมวิหารก็เป็นตัวสนับสนุนกันใช่ไหมคะ ? ถ้าเราแผ่เมตตาไปด้วยสมาธิจะรวมตัวเร็ว อันนั้นคือเราเจริญพรหมวิหาร ?
ตอบ : เรื่องของพรหมวิหาร ๔ ช่วยให้กำลังใจไม่แห้งแล้ง เกิดความชุ่มชื่นเบิกบาน ทำแล้วไม่อิ่ม ไม่เบื่อ ไม่หน่าย ถ้าไม่มีพรหมวิหาร ๔ คอยช่วยอยู่ บางทีก็รู้สึกแห้งแล้งอย่างไรไม่รู้ แล้วก็พาให้เบื่อไปเอง

เถรี
22-10-2014, 17:35
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปฏิบัติธรรมงวดนี้คงได้สอนมากหน่อย เพราะว่าระยะหลายวัน ส่วนใหญ่อยากจะนำมาก แต่ก็ติดที่ว่าต้องทำวัตรเช้า ต้องบิณฑบาต ก็สอนได้วันละหน่อย บางคนก็สงสัยว่า "ไม่มีอะไรมากกว่านี้หรือ ?" อยากจะบอกกับเขาว่า "ถ้าเอ็งทำจริง ๆ จบเลยนะนั่น" แต่เขาไม่ค่อยจะสังเกตกัน แต่ที่เขาชอบกันเพราะว่า พอทำตามแล้วอารมณ์ใจทรงตัวเร็ว อาศัยคำแนะนำเป็นการโยงใจให้เกิดสมาธิ แต่ส่วนใหญ่พอถึงเวลาทำวัตรก็ปล่อยหลุดหมด"

เถรี
22-10-2014, 17:48
ถาม : ตอนที่พระโพธิสัตว์จะบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงยกปฏิจจสมุปบาทขึ้น ในขณะนั้นมีฌานหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีกำลังฌาน การพิจารณาจะไม่ชัดเจน พอไป ๆ แล้วกำลังสมาธิหมด บางทีเหมือนกับคิดต่อไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้ทรงฌานคล่องตัวนี่การพิจารณาทุกอย่างประโยชน์จะน้อยมาก ต้องบอกว่า “จำเป็นต้องทรงฌานเลย ถ้าจะพิจารณา”

ถ้าเราสังเกตหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านจะบอกว่า “เข้าสมาธิให้เต็มที่ คลายออกมาแล้วพิจารณา” ก็คือเอากำลังจากสมาธินั่นแหละ ถ้าหากว่ารู้สึกมันจางไป พิจารณาไม่ชัดเจนก็เข้าสมาธิใหม่ คลายออกมาแล้วว่าใหม่ จำเป็นที่จะต้องใช้เลย ฉะนั้นเรื่องของสมาธินี่ทิ้งไม่ได้เด็ดขาด

เถรี
22-10-2014, 18:02
ถาม : ถ้าเป็นโสดาปัตติมรรคเขาเรียกว่าอาสวักขยญาณไหมครับ ?
ตอบ : ยังไม่ถึง แต่ไม่ถอยหลังแล้ว เหมือนอย่างกับคนได้กินอาหารอร่อยแล้วติดใจ อย่างไรก็ต้องขึ้นหน้าไปกินให้ได้

ถาม : แล้วที่เขาว่าอาสวักขยญาณหมายถึงมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑
ตอบ : อย่างน้อยต้องเป็นโสดาปัตติผลขึ้นไป ก็ตัดกิเลสไปได้ตามกำลังใจของตนเอง ถ้ายังไม่ได้โสดาปัตติผลขึ้นไปจะยังไม่เรียกว่าอาสวักขยญาณ เพราะว่าตัดกิเลสบางตัวยังไม่ได้

ถาม : ที่ถามอย่างนี้เพราะว่า ถ้าเข้าฌานสี่แล้วสามารถไปได้ถึงอาสวักขยญาณ
ตอบ : ถ้าหากว่ากำลังฌานสี่พอนี่ตัดได้ถึงระดับสุดท้ายเลย ถ้าหากว่าจะเอาเบื้องต้นอย่างพระโสดาบัน แค่ปฐมฌานก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าจะให้ดีก็ฌานสี่ปลอดภัยกว่า

เถรี
22-10-2014, 18:08
ถาม : อภิญญากำลังใจที่จะใช้อยู่ระดับฌานไหนครับ ?
ตอบ : อย่างน้อยต้องเป็นฌานสี่คล่องตัว ถ้าได้สมาบัติแปดยิ่งดี บุคคลที่ทรงอภิญญาจริง ๆ แทบจะไม่ละจากการทรงฌานเลย ยิ่งพวกที่ใช้เป็นปกติ พูดง่าย ๆ ก็คืออยู่กับฌานไปเลย เพียงแต่ว่าขึ้น ลง อธิษฐานจนเกิดความคล่องตัว ท้ายสุดคิดแล้วก็เป็น ไม่ต้องเสียเวลาไปอธิษฐาน

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ถ้าไม่มีกำลังของฌานก็ต้องเป็นอุปจารสมาธิอย่างต่ำ แต่ว่าพวกอภิญญานี่ต้องเป็นกำลังฌานสี่ทั้งนั้น

เถรี
23-10-2014, 05:12
ถาม : ในขณะที่อยู่ในอรูปฌาน ทำไมจึงรู้สึกว่าร่างกายไม่มี ?
ตอบ : ความรู้สึกของเราไม่จับอยู่ที่ร่างกาย แต่ไปจับอยู่ที่ความว่าง หรือความไม่มีอะไรเลยแม้แต่น้อยหนึ่ง ก็เลยพลอยรู้สึกเหมือนกับไม่มีตัวตนไปด้วย เพราะว่าตัวตนนี่เขาถือเป็นรูป ในเมื่อรูปในส่วนที่ละเอียดคือรูปในกองกสิณ รูปในสมาธิเรายังไม่เอา รูปอย่างอื่นเลยพลอยไม่เอาไปด้วย

ถาม : ในรูปฌานเหมือนกับมีรูปอยู่ คราวนี้ถ้าอรูปฌาน
ตอบ : ถ้าจับเรื่องกสิณจะเห็นชัด เพราะว่าเราต้องอาศัยรูปกสิณเป็นนิมิต เมื่อถึงเวลาไปจับอรูปฌานก็ต้องทิ้งรูปกสิณที่เป็นนิมิตนั่นเสียก่อน ไปจับความไม่มีอะไรของอากาศ ไปจับความว่างของวิญญาณที่ว่าแม้อากาศจะว่างก็จริง แต่ความรู้สึกของเรายังครอบคลุมได้อยู่ ฉะนั้น..ความรู้สึกคือวิญญาณของเรากว้างไกลกว่า ก็ไปยินดีตรงนั้นแทน

ท้ายที่สุดกระทั่งอะไรสักอย่างหนึ่งก็ไม่เอา ก็เลยกลายเป็นว่าสภาพจิตของเราในเมื่อไม่ยินดีในรูปอยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้สนใจร่างกายไปด้วย ความรู้สึกก็เลยเหมือนกับไม่มีร่างกายไปด้วย

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ถ้าจะนับจริงก็คือว่าในฌานช่วงแรก ๆ ยังมีความรู้สึกชัดเจนอยู่ แต่ว่าไม่ได้ไปใส่ใจเท่านั้น จนกระทั่งพอถึงฌานสี่ขึ้นไป ความรู้สึกจะรวมอยู่จุดใดจุดหนึ่งเฉพาะ สว่างไสวอยู่ตรงนั้น ถ้าตอนนั้นนี่จะลืมหมดทุกอย่างเลย อยู่กับความสงบ ความเยือกเย็น ความสว่างนั้นเท่านั้น ถ้าไม่ได้คิดถึงร่างกาย ไม่ได้ให้ความสนใจร่างกายก็คือไม่มีร่างกายนี้ เพราะว่าสภาพจิตไม่เอาในส่วนภายนอก

เถรี
23-10-2014, 12:01
ถาม : ที่เขาบอกว่าบุคคลผู้ประกอบด้วยเหตุ ๓ กับบุคคลผู้ประกอบด้วยเหตุ ๒ ต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : เราใช้คำว่าเหตุนี่หมายถึงอะไร ?

ถาม : ถ้าเป็นเหตุ ๓ คืออโลภะ อโทสะ อโมหะ กับเหตุ ๒ คือ อโลภะ กับ อโทสะ
ตอบ : แล้วคำถามคือว่า...?

ถาม : จะต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็เห็นชัดเจนอยู่ตรงตัวสุดท้ายว่า ถ้าเป็นบุคคลที่ประกอบไปด้วยเหตุ ๓ จะมีปัญญามากกว่า เพราะว่าเหตุ ๒ ตัวโมหะละไม่ได้ โมหะเป็นตัวบดบังปัญญาที่ชัดเจนที่สุด อาจจะเป็นว่าถึงคุณไม่มีความโลภ ถึงคุณไม่มีความโกรธ แต่ว่าคุณยังมีความหลงติด ยังยึดติดอยู่ เรื่องอย่างนี้จะสังเกตได้ง่ายถ้าปฏิบัติไปถึง ต้องอาศัยตัวปัญญาเป็นเครื่องสังเกต ถ้าประกอบไปด้วยปัญญาชัดเจน มีความแคล่วคล่อง มีความแกล้วกล้า ไม่ได้ไปหลงยึดติดอะไรง่าย ๆ ถ้าอย่างนั้นต้องบอกว่าเหตุ ๓ เข้าถึงมรรคเที่ยงแท้แน่นอนกว่า

ถาม : ปัญญาในการทำงานหรือเปล่า ?
ตอบ : นั่นเขาเรียกว่าปัญญาทางโลก เป็นปาริหาริกปัญญา ปัญญาทางธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นเนปักกปัญญา เป็นปัญญาในการประพฤติปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจากวัฏสงสารโดยเฉพาะ

ถาม : ปัญญาทางโลกนี่เกิดจากอำนาจของโลภะหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เกิดจากการสั่งสมมา จะว่าไปแล้วก็มาจากโมหะ เพราะว่าเรายังเกิดอยู่แสดงว่ายังมีโมหะอยู่เต็ม ๆ หลังจากเกิดมา สภาพจิตได้รับการย้อมขึ้นมา รัก โลภ โกรธ หลงอื่น ๆ ก็จะตามมาอีกมากมาย

เถรี
23-10-2014, 12:07
ถาม : ในโลกมนุษย์มีบุคคลที่ไม่สมประกอบ แล้วในเทวดามีบุคคลไม่สมประกอบไหมครับ ?
ตอบ : ในเรื่องของกายเทวดานั้น เป็นไปตามบุญก็ถือว่าสมบูรณ์บริบูรณ์ เพียงแต่ว่าบุญนั้นมากน้อยต่างกัน สภาพของขันธ์ก็เลยเสื่อมลงช้าเร็วกว่ากัน ฉะนั้น..ในส่วนของขันธ์ท่านสมบูรณ์บริบูรณ์ตามบุญของท่านอยู่แล้ว แต่ว่าในส่วนของปัญญานั้นต่างไปตามการอบรมมา ถ้าไม่เคยชินกับ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็มักจะหลงระเริงอยู่กับทิพยสมบัติจนโงหัวไม่ขึ้น ไม่มีประเภทพิการขาดตกบกพร่องเหมือนกับมนุษย์เรา มนุษย์เราเศษกรรมยังตามได้มาก ส่วนเทวดาเศษกรรมตามท่านตอนนั้นไม่ได้ แต่กรรมรออยู่ ถ้าท่านพ้นจากเขตนั้นเมื่อไรค่อยตามสนองใหม่

ถาม : หมายถึงว่าเวลาเป็นเทวดานี่อกุศลไม่ส่งผล ?
ตอบ : หยุดให้ผลชั่วคราว หมดบุญเมื่อไรค่อยว่ากันใหม่

เถรี
23-10-2014, 12:10
ถาม : ตอนที่เกิดสงครามระหว่างอสูรกับเทวดา เป็นเพราะอกุศลกรรมหรือเปล่า ?
ตอบ : จะบอกว่าเป็นวิบากก็ส่วนหนึ่ง เพราะเกิดจากโทสะ พวกบรรดาอสูรเขานึกถึงได้เมื่อไรก็โกรธเมื่อนั้น เลยไปทวงคืน เพราะเขาเคยเป็นใหญ่มาก่อน

ถาม : เวลาโกรธจะจุติเลยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ใช่..แต่คราวนี้ในส่วนอสูรนั้นคือว่านึกถึงเมื่อไรก็สวรรค์เคยเป็นของเรา เราต้องไปเอาคืน เรื่อง รัก โลภ โกรธ หลง ยังมีทั้งนั้นแหละ แต่ว่ามีมากมีน้อยต่างกัน ถ้าเป็นเทวดาในกามาวจรก็ยังเสวยผลใน รัก โลภ โกรธ หลง อยู่เต็ม ๆ แต่ว่าท่านที่สั่งสมบุญ สั่งสมบารมีมาก็เป็นไปตามวาสนาบารมีของตน รัก โลภ โกรธ หลง ก็น้อยลงไปตามลำดับ หลายท่านก็เป็นพระอริยเจ้าไปเลย

เถรี
23-10-2014, 12:14
ถาม : เทวดาข้ามไปฝั่งพรหมได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าท่านที่มีพื้นฐานการทรงฌานมาก่อน แต่ตอนตายไม่ได้เข้าฌานตาย หากว่าพ้นจากเขตเทวดาจะไปเป็นพรหมตามกำลังที่ตนเองเคยทำได้ แต่ว่าโดยทั่ว ๆ ไปแล้ว ถ้าเจ้าของไม่อนุญาตจะเข้าไปไม่ได้ ชั้นสูงกว่าลงมาชั้นต่ำกว่าได้ ชั้นต่ำกว่าจะขึ้นไปต้องได้รับอนุญาตก่อน เหมือนกับว่ากำลังของตัวเองมีแค่นั้น เราสามารถกระโดดข้ามรั้วได้ ๑.๕๐ เมตร ถ้ารั้วสูงกว่านั้นก็ไปไม่ได้ ต้องรอเจ้าของรั้วพาดบันไดมาให้

ถาม : แล้วเทวดาชั้นดาวดึงส์ไปยามาก็... ?
ตอบ : ทุกเขตของเขาจะมีในลักษณะตามกำลังบุญของตนอยู่ ฉะนั้น..ท่านที่ระดับสูงกว่าสามารถไปไหนก็ได้ แต่ถ้าต่ำกว่าจะขึ้นขั้นสูงกว่าต้องรอเขาอนุญาต

ถาม : แล้วเทวดาไปชั้นอรูปพรหมได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่รู้ว่าจะไปทำไม เพราะกำลังของตัวเองไม่ได้ทำมาอย่างนั้น จึงหาประตูไม่เจอ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเองท่านก็ไม่ไปให้เสียเวลาหรอก มีแต่พวกเราไปฟุ้งซ่านคิดแทนท่าน ถ้าอยากรู้ อยากเห็น อาศัยความเป็นทิพย์ท่านก็สามารถที่จะรู้เห็นได้เลย จึงไม่ต้องเสียเวลาไป แต่ถ้าเป็นชั้นที่สูงกว่าตนเอง ความละเอียดของเขามีกว่ามาก ชั้นที่ต่ำกว่าก็ไม่สามารถที่จะรู้เห็นได้ ต้องรอชั้นที่สูงกว่าท่านแสดงให้ ถ้าเป็นสมัยนี้คงประเภทโทรศัพท์หรือโทรทัศน์ ที่เป็นคนละคลื่นหรือคนละช่องกัน

เถรี
23-10-2014, 13:24
ถาม : มโนมยิทธิไปด้วยกายหรือใจ ?
ตอบ : ถ้าไปแบบเต็มกำลังจริง ๆ เหมือนกับเอาตัวนี้ไปเลย แต่ว่าไม่ใช่ตัว..ยังเป็นแค่ใจ แต่การรับรู้ทุกอย่างชัดเจนเหมือนกับเอาตัวจริงไป เพียงแต่ว่าสุดยอดของมโนยิทธิอย่างพระจูฬปันถก ท่านถอดออกมาเหมือนตัวจริง อย่างลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษีลิงดำที่ทำได้ เวลาถอดกายในไป ถ้าไม่ใช่พวกอภิญญาจะไม่เห็นกัน แต่ว่าหลวงพ่อพระจูฬปันถกนี่ ท่านสามารถแสดงให้คนทั่วไปเห็นท่านได้ เห็นเป็นกายหยาบ ท่านถึงได้เป็นเอตทัคคะคือสุดยอดในด้านนี้

อย่างเวลาขึ้นไปข้างบน ไปกราบพระหรือว่ากราบพ่อแม่ครูบาอาจารย์จำนวนมากมาย ถ้ามัวแต่กราบทีละคนก็พอดีแหละ สิ้นชีวิตเสียก่อนไม่รู้จะกราบครบหรือเปล่า ก็ต้องใช้วิธีแยกกราบทีเดียวพร้อมกัน จะเป็นพันเป็นหมื่นกายก็ได้ในความเป็นทิพย์ แต่คราวนี้ว่าพระจูฬปันถกท่านทำเป็นกายหยาบได้เลย บาลีบอกว่าลักษณะเหมือนกับเหมือนชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง

ถาม : แต่ละคนสามารถทำหน้าที่คนละอย่าง ?
ตอบ : สามารถทำคนละอย่างได้ด้วย

ถาม : ทำอย่างไร ?
ตอบ : ในความเป็นทิพย์ลักษณะอย่างนั้นท่านอธิษฐานไว้ ว่าแต่ละกายจะให้ทำอะไรบ้าง ต้องมีการตั้งใจไว้ก่อน

ถาม : ถ้าเป็นพันกายไม่อธิษฐานเป็นพันครั้งหรือครับ ?
ตอบ : ในความเป็นทิพย์แค่นึกก็เป็นแล้ว

ถาม : ตำราเขาบอกว่าเนรมิตกายอื่นนอกจากกายนี้ ?
ตอบ : สภาพจิตก็คืออารมณ์ที่ควบคุม เหมือนกับแบ่งการควบคุมเป็นหลาย ๆ ส่วน คล้ายกับถึงเวลาก็ต่อสายแยก ให้ไฟฟ้าไปในสายเส้นโน้นบ้างเส้นนี้บ้าง แต่ว่าตัวควบคุมใหญ่ก็คือคัตเอาท์

เถรี
23-10-2014, 19:15
ถาม : มีผู้หญิงคนหนึ่งมาติดพันเรา และเขาก็มีครอบครัวด้วย ผมเลยปฏิบัติไม่ค่อยได้ ไม่รู้จะทำอย่างไร บางครั้งผมพยายามจะลืมเขาแต่ก็ลืมไม่ได้ครับ ?
ตอบ : วาระกรรมที่เข้ามา บางทีก็มีการผูกกรรมกันชั่วคราว ต้องตั้งใจทำสมาธิให้ได้ เพราะว่าการที่จะตัดใจ การที่หักห้ามใจตัวเอง ต้องมีกำลังของสมาธิช่วย ถ้ากำลังสมาธิทรงตัวจะตัดได้ชั่วคราว พอพ้นวาระไปเขาก็จะไม่มีอิทธิพลกับเราอีก แต่ถ้ายังไม่พ้นวาระ จำต้องอาศัยกำลังสมาธิช่วยอย่างมาก

ถาม : เราก็พยายามจะตัดใจ ?
ตอบ : นั่นแหละ..ทุกอย่างลงตรงสมาธิอย่างเดียว ถ้าสมาธิทรงตัวก็สามารถถอนตัวออกมาได้ง่าย ตัดใจได้ง่าย ถ้าสมาธิไม่พอ กำลังที่จะถอนตัวไม่มี ก็จะติดหล่มไปเรื่อย เพราะฉะนั้น..พยายามทำสมาธิกลับมาให้ได้

ถาม : บางครั้งก็ใช้วิธีแผ่เมตตาบ้างก็ได้ชั่วคราว ขอบารมีพระบ้าง ก็ได้ระยะหนึ่ง พอเขาคุยกับเรา ก็ไม่ได้อีก ?
ตอบ : จะเอายั่งยืนจริง ๆ ต้องกำลังของเราเอง เพราะฉะนั้น..ให้เอาสมาธิคืนมาให้ได้

ถาม : พอเจอเรื่องพวกนี้จอดเลยครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องสงสัย ฤๅษียังฌานเสื่อม กำลังเหาะผ่านอุทยานแท้ ๆ เห็นสาวสรรกำนัลในกำลังเล่นน้ำอยู่ มัวไปสนใจด้านโน้นสมาธิคลาย..ร่วงเลย

เถรี
23-10-2014, 19:18
ถาม : เวลาสมาธิเสื่อม ต้องพิจารณาว่า..?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับการระงับยับยั้งของแต่ละคน ถ้าสามารถระงับยับยั้งได้ก็ไม่ล่วงศีลล่วงธรรม ถ้าระงับยับยั้งไม่ได้ กำลังกิเลสที่ตีกลับมานี่หนักกว่าเดิมหลายเท่า เพราะว่าเก็บกดมานาน ในเมื่อเป็นลักษณะอย่างนั้นก็จะอยู่ในลักษณะเดียวกับบรรดาอาจารย์ต่าง ๆ ที่เป็นข่าวเป็นคราวกัน

เห็นว่าวันก่อนเพิ่งจะตายใช่ไหม ? ตายเร็วจัง จะว่าไปอายุ ๖๐ ก็มากแล้วนะ แต่ประเภทยังรู้จักกันหลัด ๆ เลยไปเสียแล้ว ใหม่ ๆ ท่านไปกราบหลวงพ่อวัดท่าซุง พวกเราเห็นบริวารท่านไปกันมาก ก็เลยถามหลวงพ่อท่านว่า "องค์นี่ถึงระดับไหนครับ ?" หลวงพ่อท่านหัวเราะแล้วบอกว่า “อาจารย์ทรงได้แค่ฌาน ๒ ลูกศิษย์ฌาน ๔ ตั้งหลายคน” แสดงว่าลูกศิษย์เก่งกว่า

เถรี
23-10-2014, 19:20
ถาม : พอแจ้งพระนิพพานแล้ว ก็เอาพระนิพพานครอบกายของเราไว้ ?
ตอบ : พระที่ท่านทำถึงพระนิพพาน ไม่มีท่านใดทิ้งพระนิพพาน ต้องยึดพระนิพพานเป็นหลักอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น..กำลังสมาธิมีเท่าไรก็อาศัยเกาะพระนิพพาน ไม่อย่างนั้นจะไปเกาะสมาธิแทน กลายเป็นยึดรูปราคะอรูปราคะไป แต่ถ้าเกาะพระนิพพานก็เป็นอุปสมานุสติ ก็ถือว่าเกาะในส่วนที่ถูกต้อง แต่ว่าท้ายสุดก็ต้องปล่อยอยู่ดี ตอนท้ายสุดอย่าเพิ่งไปพูดถึงเลย

ถาม : แล้วที่บอกว่าต้องพิจารณาก่อน ?
ตอบ : ในส่วนของบุคคลที่ไม่ชำนาญต้องพิจารณาก่อน ถ้าท่านที่ชำนาญนี่แค่คิดก็รู้รอบ ท่านก็เข้ายาวไปเลย

เถรี
23-10-2014, 19:23
ถาม : ถ้าเคยได้มรรคผลในฌานอะไร ผลสมาบัติก็ได้แค่ฌานนั้นหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระโสดาบันขึ้นไปก็ตั้งแต่ปฐมฌานละเอียด ซึ่งจะต่ำกว่านั้นไม่ได้ อย่างเช่นถ้าปฐมฌานของเราหยาบ ก็ไม่สามารถที่จะเป็นพระโสดาบันได้ เพราะกำลังไม่พอในการตัดกิเลส ดังนั้น..ต้องบอกว่าเริ่มนับต่ำสุดกันแค่นั้น แต่ถ้าใครมีต้นทุนของฌานสี่หรือว่าสมาบัติแปดก็ถือว่ามีเงินเยอะ ลงทุนได้

ถาม : แล้วการเข้าสมาบัติแปดในเนวสัญญาฯ เอามาพิจารณาเป็นวิปัสสนาญาณได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถึงเวลาก็ต้องคลายออกมาพิจารณาวิปัสสนาญาณแทน เนวสัญญานาสัญญายตนะนั้นเปรียบไปแล้วคล้าย ๆ กับสังขารุเปกขาญาณ แต่สังขารุเปกขาญาณนั้นวางเฉยเพราะปัญญารู้แจ้งเห็นจริงว่าเป็นทุกข์เป็นโทษอย่างไร ส่วนเนวสัญญานาสัญญาตยนะนั้น วางเฉยเพราะกำลังสมาธิกดไว้

เถรี
23-10-2014, 19:35
ถาม : พิจารณาไตรลักษณ์ ?
ตอบ : ต้องพิจารณาเป็นปกติอยู่แล้ว อยู่ในลักษณะที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายได้ ในเมื่อยึดถือมั่นหมายไม่ได้ก็ไม่เอาเสียเลย ถ้าลำพังปฏิบัติตามแบบปฏิบัติของนักบวชนอกพุทธศาสนา ของท่านก็แค่ไม่ใส่ใจเท่านั้น แต่คราวนี้ว่าพุทธศาสนาของเรามีต่อยอดด้วยวิปัสสนาญาณ จึงไปได้ไกลกว่า

ถาม : เนวสัญญาฯ จะพิจารณาอย่างไร ?
ตอบ : เขาใช้คำว่ามีสัญญาเหมือนไม่มี ก็คือรู้สึกก็ไม่รู้สึก สนใจก็ไม่สนใจ แต่ถ้าจะพิจารณาวิปัสสนาญาณ อย่างน้อยต้องลดลงมาในส่วนของรูปฌาน ไม่อย่างนั้นแล้วจะพิจารณาไม่ได้

เถรี
23-10-2014, 19:42
ถาม : เหตุแห่งธรรมทั้งหลายทั้งปวงมีไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีแล้วจะมาได้อย่างไรล่ะ ? ถ้าหากว่าเหตุแห่งธรรมทั้งหลายทั้งปวงจริง ๆ มาจากอวิชชา คือความไม่รู้ อย่าลืมว่าคำว่าธรรมก็คือธรรมชาติ ถ้าเราต้องการรู้ในส่วนของธรรมที่ดี ก็ต้องสร้างปัญญาให้เกิด ถ้าในส่วนที่ไม่ดีนี่อวิชชาครอบงำหมดทุกอย่างอยู่แล้ว ก็เลยกลายเป็นว่าในส่วนของปัญญานี่จะต้องลำบาก เหมือนกับว่าจะต้องฝ่าฝันผ่านความมืดมาตลอด จนกว่าที่จะทะลุผ่านไปได้ แต่ว่าตัวอวิชชาจริง ๆ ครอบงำอยู่ตั้งแต่ต้น

ดังนั้น..ถ้าแยกธรรมของเป็นกุศลธรรมกับอกุศลธรรมก็จะง่าย ก็กลายเป็นว่าอวิชชาครอบงำในอกุศลธรรมทั้งหมด ส่วนวิชชาซึ่งก็คือปัญญาก็จะเป็นตัวครอบงำในกุศลธรรมทั้งหมดเหมือนกัน

ถาม : ฝ่ายกุศลธรรมอย่างที่เราขวนขวายทำบุญโดยที่ไม่รู้ก็มีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เราจะทำโดยรู้หรือไม่รู้ ถึงเวลากุศลก็ส่งผลให้ ในเมื่อกุศลแปลว่าส่วนของความฉลาด ส่งผลมาแล้วเกิดความสุข ความสบาย ก็จะเกิดปัญญาในลักษณะโลกิยปัญญาขึ้นมาก่อน ว่าสิ่งนี้ดีกับเรา เราควรทำต่อ จนกระทั่งพอสั่งสมไป ๆ ปัญญามากขึ้น เริ่มก้าวเข้าสู่ระดับโลกุตระก็จะรู้ว่าส่วนไหนควรละ ส่วนไหนควรเลือกไว้ แล้วท้ายที่สุดปัญญามาเต็มที่ ก็ปล่อยวางได้ทั้งหมด

ถาม : แล้วเหตุแห่งพระนิพพาน ?
ตอบ : พระนิพพานอยู่นอกเหตุเหนือผล คือไม่สามารถที่จะอธิบายได้

เถรี
23-10-2014, 19:53
ถาม : งาช้างเป็นวัตถุอนามาสไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เป็น

ถาม : เพราะ ?
ตอบ : ไม่ได้เป็นอัญมณี แต่ว่าวัสดุบางอย่าง เช่น กล่องเข็มของพระ ท่านห้ามทำด้วยงาช้าง เพราะว่าบางคนจะหาว่าไปสนับสนุนเขาให้ฆ่าช้าง เป็นเภทนกปาจิตตีย์ ก็คือต้องทุบทิ้งก่อนถึงจะแสดงอาบัติตก ปัจจุบันนี้ทาง คสช.ขอให้คณะสงฆ์ออกคำสั่ง ห้ามพระภิกษุสามเณรทำวัตถุมงคลด้วยอวัยวะของสัตว์ป่าสงวน หรือสัตว์ป่าคุ้มครอง ไม่เป็นไรหรอก..ห้ามก็ห้ามไปเถอะ เพราะรู้สึกว่าห้ามมาแต่ละอย่าง ไม่ค่อยจะได้ผลทั้งนั้นแหละ

ถาม : แต่ถ้าอัญมณีเป็นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เป็น....เงิน ทอง สิ่งที่ใช้แทนเงินทอง แก้วมณี ข้าวเปลือกหรือผลไม้ที่เกิดอยู่กับที่ อาวุธทุกชนิด เครื่องประโคม (ดนตรี) ทุกชนิด แล้วก็เครื่องจับสัตว์ทุกชนิด สมัยก่อนข้าวเปลือกเขาถือเป็นทรัพย์อย่างหนึ่ง เอาไปแลกของกันได้ ส่วนผลไม้ที่เกิดอยู่กับที่ เขากลัวว่าจะตั้งใจขโมยก็เลยห้ามจับ ข้าวเปลือกจะใช้แลกอะไรก็ได้ เพราะคนต้องกินข้าวนี่

ถาม : พวกนี้ปรับปาจิตตีย์หรือครับ ?
ตอบ : ปรับทุกกฎก่อน แล้วดูว่ามีห้ามในส่วนอื่นอีกหรือไม่ ?

เถรี
23-10-2014, 19:59
ถาม : ภพหรือที่เกิด ?
ตอบ : ในส่วนของภพเกิดจากตัวตัณหา ในเมื่อตัณหาคือความอยาก ก็เกิดอุปาทานยึดมั่น พอยึดมั่น ที่ ๆ ยึดก็คือภพ ภพก็คือสถานที่เกิด ถ้าไม่ยึดก็ไม่เกิด ต้องบอกตัณหาเป็นอดีตเหตุ เรื่องของภพเป็นปัจจุบันผล คราวนี้ในเมื่อเกิดความอยากขึ้นมา ก็ไปยึดมั่นถือมั่น พอยึดมั่นถือมั่นต้องมีที่ให้ยึด..ใช่ไหม ก็ตรงที่ยึดนั่นแหละที่ทำให้เกิด

ถาม : แดนสวรรค์ก็เป็นดินแดนที่ดี บุคคลไปเกิดตามที่กรรม ถ้าอย่างนั้นแล้วดินแดนนั้นก็เป็นกรรมของเขาหรือครับ ?
ตอบ : เป็นไปตามวาระ ถ้าไม่มีคนทำดี แดนเหล่านั้นก็ไม่มี ถ้ามีคนทำดีระดับนั้น แดนเหล่านั้นก็เกิดขึ้นเพื่อรองรับ ต้องบอกว่าจริง ๆ แล้วพวกเราเก่งนะ สร้างภพภูมิต่าง ๆ ขึ้นมาเองทั้งนั้นเลย

ถาม : อย่างมีช่วงหนึ่งที่แดนสุทธาวาสพรหมไม่มี ?
ตอบ : ถ้าโลกว่างเว้นจากหลักธรรม พระอริยเจ้าไม่ปรากฏ สุทธาวาสพรหมก็ไม่รู้จะไปรองรับอะไร โดยเฉพาะพระระดับอนาคามี ตอนนั้นโลกคงเฉาน่าดูเลย ถึงได้ว่าพอปรากฏพระอริยเจ้าขึ้นนี่ พรหมเทวดาท่านตื่นเต้น โมทนาสาธุการสะท้านสะเทือนไปเป็นหมื่นโลกธาตุเลย

เถรี
23-10-2014, 20:03
ถาม : เวลาขอให้พระพุทธเจ้าช่วยหรือขอให้เทวดาช่วย ขอได้ไหมครับ ?
ตอบ : ใครก็สามารถขอได้ ถ้าขอด้วยความเคารพ แต่เพียงแต่ว่าการขอต้องมีต้นทุนเพียงพอ ถ้าเราไม่มีต้นทุนเป็นเหตุรองรับเพียงพอ ผลก็ไม่เกิด อย่างที่เคยเปรียบเทียบไว้ว่า เรามีน้ำอยู่หน่อยเดียว เติมเท่าไรก็ไม่เต็มขันเสียที อย่างนั้นขอเท่าไรก็ไม่ได้ผล ถ้าอย่างน้อยเรามีน้ำเกือบเต็มขัน ก็แปลว่าเราสร้างเหตุรองรับไว้เพียงพอ ถ้าอย่างนี้ขอแล้วจะได้

เถรี
23-10-2014, 20:05
ถาม : ก่อนพระพุทธเจ้าปรินิพพานแสดงนิมิตให้พระอานนท์หลายครั้ง ?
ตอบ : พระอานนท์ท่านติดตามใกล้ชิดอยู่ ถึงเวลาแล้วเป็นคนที่ควรจะรู้ อาจจะเป็นเพราะว่าพระอานนท์ท่านละเอียดที่สุด ช่างสังเกตที่สุด แต่ถึงจะช่างสังเกตขนาดนั้น ต้องบอกว่าวาระกรรมมาถึงจริง ๆ แสดงเท่าไรท่านก็ไม่ได้ใส่ใจ ขนาดเปรียบเทียบให้ฟังชัด ๆ ว่า เกวียนที่เก่าคร่ำคร่า จวนหมดสภาพ ยากแก่การซ่อม ควรจะซ่อมดี หรือควรที่จะเปลี่ยนเกวียนใหม่ดี ท่านยังกราบทูลว่าเปลี่ยนเกวียนใหม่ดีกว่า ก็เรียบร้อย จริง ๆ แล้วจะโทษพระอานนท์ไม่ได้หรอก ต้องบอกว่าวาระเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะว่ากรรมบางอย่างก็ทำให้เขลาได้ชั่วครู่เหมือนกัน

แบบที่อาตมาโง่ตลอด ไม่ได้คิดว่าพระท่านจะเป็นพระองค์ที่ ๑๐ นั่งเถียงกันอยู่นั่นแหละ ขนาดท่านบอกชัดเจนขนาดนั้นแล้วก็ยังไม่เชื่อ ต้องบอกว่าตอนช่วงนั้นนี่อาตมาโง่ได้ที่จริง ๆ

ถาม : ผู้ที่ขอได้ต้องมีต้นทุนบารมีมาก่อน ?
ตอบ : ถ้าลำพังไม่ได้สร้างไว้ขอให้ตายผลก็ไม่เกิด สร้างเหตุไว้เพียงพอขอก็ได้ เราสังเกตได้ง่ายว่าบางคนบนพระบนเทวดา ทำไมสำเร็จได้ง่าย ? ขณะเดียวกันบางคนบนทั่วประเทศไทยก็ไม่สำเร็จสักที ก็เพราะมีต้นทุนไม่พอ

เถรี
23-10-2014, 20:12
ถาม : เวลาเราจับลมควบคู่กับคำภาวนา แล้วทีนี้ไปดูที่ลม คำภาวนาจะอยู่คำสุดท้ายตลอด ไม่ว่าออกหรือเข้า ?
ตอบ : อยู่ตรงไหนก็ได้..ไม่เป็นไร

ถาม : แล้วเมื่อไรที่เราจะต้องเพิ่มคำภาวนาไป ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าเรายินดีในคำภาวนานั้นนั้นหรือไม่ ? ถ้ายังยินดีของเก่าอยู่ก็ขอใช้ไปเรื่อย ๆ ถ้ารู้สึกว่าไม่ค่อยอยากได้แล้วค่อยหาของใหม่

เถรี
23-10-2014, 20:15
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนนั้นโยมเขาชวนไปดูของทนสิทธิ์อย่างหนึ่งที่สุราษฎร์ธานี เขาเรียกว่าไข่นกออก อาตมาก็แปลกใจว่าขลังตรงไหน ? เขาบอกว่าไฟไหม้ป่าแล้วเหลือต้นไม้เขียวอยู่ต้นเดียว ก็สงสัยว่ามีอะไร จึงปีนขึ้นไปดู มีรังนกออกอยู่ แล้วของนี้อยู่ในรังนก เขาก็เลยเก็บมาติดตัวไว้

เขาบอกว่าลักษณะเหมือนกับเป็นไข่นก แต่ว่าวาว ๆ เหมือนกับเป็นหินไปแล้ว เสร็จแล้วก็ไม่รู้ว่าทำอีท่าไหน ไปฝากพระที่ท่านอยู่เกาะสมุยไว้ เขาก็เลยชวนอาตมาไปเกาะสมุย บอกไปดูกันหน่อย อาตมาก็อยากรู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไรก็เลยไป ปรากฏว่าพระท่านเข้ากรุงเทพฯ มา นั่งรถฝ่าฝนไปทั้งคืน ไม่ได้เห็น ถ้าเป็นสมัยนี้มีโทรศัพท์แทบทุกคน โทรถามก่อนก็ไม่ต้องไปไกลถึงขนาดนั้น"

เถรี
23-10-2014, 20:18
ถาม : ...เป็นวิปัสสนาหรือเปล่า ?
ตอบ : เป็นวิปัสสนาเลย คือระลึกถึงความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา จะว่าไปแล้วในส่วนแรก ๆ จะเป็นสัญญาคือความจำ แต่พอทบทวนมากเข้า ๆ พอสภาพจิตยอมรับก็จะเป็นปัญญา ถ้าเป็นปัญญาเมื่อไรก็เป็นวิปัสสนาญาณแท้ เพราะคำว่าวิปัสสนานี้ระบุชัดเลยว่าเห็นแจ้ง เห็นอย่างวิเศษ

ถาม : ต้องบริกรรมด้วย ?
ตอบ : ไม่ต้อง..บริกรรมเป็นแค่สมถะเท่านั้น ไม่ใช่วิปัสสนา ต้องพิจารณาจนใจยอมรับถึงเป็นวิปัสสนา ถ้าดูใครไม่ได้ก็ดูตัวเอง ก่อนหน้านี้เราเป็นเด็กเล็ก แล้วเป็นเด็กโต แล้วมาเป็นหนุ่มสาว มาถึงปัจจุบันนี้จะเห็นการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ถ้าไปบริกรรมว่า “ไม่เที่ยง ไม่เที่ยง” นั่นเป็นแค่สมถะเฉย ๆ

เถรี
24-10-2014, 17:30
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ปกติอาตมาเป็นคนกลัวเข็มมาตั้งแต่เด็ก ที่กลัวเข็มฉีดยาเพราะว่าลุงหมอที่มาฉีดยาให้ตอนเด็ก ๆ แกเป็นทหารเสนารักษ์เก่า เกษียณแล้วก็มาเปิดร้านหมอ ไม่รู้ครูบาอาจารย์ที่ไหนสอนแกฉีดยา แกจะจิ้มก้นอาตมาแล้วกดยาทีเดียวหมดเข็มเลย ก็จะบวมเป็นก้อน เจ็บจนเดินตูดปัดไปเป็นอาทิตย์ ๆ ดังนั้น..อาตมาจึงเกลียดเข็มเข้าไส้ ก็เลยกลายเป็นคนกลัวเข็มมาตั้งแต่เด็ก

มาหายกลัวเข็มตอนเป็นทหาร ก็ยังไม่หายดีหรอก แต่กลัวเสียหน้า ก่อนนั้นพอเห็นเข็มแล้วร่างกายจะตัดระบบ เป็นลมไปเองเลย คราวนี้พอเป็นทหารแล้วเป็นลม ก็ขายหน้าเขา จึงต้องบอกตัวเองว่า “อย่าเป็นลม..อย่าเป็นลม” ถึงเวลาหมอฉีดยาเสร็จเดินออกมาก็รีบหาที่นั่งก่อน ถ้าเดินต่อแล้วเป็นลมขึ้นมา ล้มลงไปจะขายหน้าเขา เพิ่งรู้ตั้งแต่ตอนนั้นว่าร่างกายของเราจริง ๆ แล้วตั้งระบบได้ อยู่ที่ว่าเราจะตั้งระบบอย่างไร ระบบร่างกายที่ตัดเร็วก็เพื่อที่จะรักษาร่างกายของตัวเองเอาไว้

อย่างเช่น ได้รับบาดเจ็บหนัก ๆ แล้วจะช็อก เวลาช็อก ชีพจรจะเต้นช้า เลือดก็ไหลช้า ก็เป็นการรักษาและป้องกันตัวเองอย่างหนึ่งเพื่อไม่ให้ตายง่าย ๆ คราวนี้พอตัดเร็วเกินไป ยังไม่ทันไรก็เป็นลมเสียก่อนแล้ว อาตมาไปเข้าใจว่าร่างกายตั้งระบบได้ ก็ตอนที่เลิกกลัวเข็มไปเอง ดังนั้น..ญาติโยมบางคน ถ้ากลัวอะไรก็ให้บอกร่างกายตัวเองว่าเลิกกลัวได้แล้ว กลัวตุ๊กแกก็เดินหน้าเข้าหาตุ๊กแกเลย

สมัยที่ไปอยู่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ มีโยมผู้ชายคนหนึ่งตัวใหญ่มาก ปรากฏว่ากลางคืนไปนอนกอดเข่าอยู่กลางสนามหญ้า ถามว่าทำไม ? เขาบอกว่า "บนศาลามีตุ๊กแก" ทำอย่างกับว่าอยู่กลางสนามแล้วตุ๊กแกไปไม่ได้ รุ่นของอาตมานี่เอาจิ้งจกตุ๊กแกใส่กระเป๋า ไปโยนใส่เพื่อนผู้หญิงกัน ปรากฏว่าไปเจอเพื่อนผู้หญิงที่เป็นเด็กชาวบ้านด้วยกัน แล้วจะมีสักกี่คนที่กลัว โยนใส่เขา เขาก็คว้าหมับแล้วขว้างคืนมา สรุปว่าความซวยตกอยู่กับจิ้งจกตุ๊กแกเอง

ดังนั้น..ถ้าใครกลัวเข็มให้สั่งตัวเองว่าเลิกกลัวได้แล้ว ตั้งระบบใหม่ร่างกายก็จะค่อย ๆ ชินไปเอง ต่อไปก็จะเลิกกลัวไปโดยปริยาย"

เถรี
24-10-2014, 17:36
"ตอนเด็ก ๆ ที่โดนฉีดยาบ่อยจนกลัวเข็ม เพราะว่าเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นประจำ มารู้ตอนโตแล้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “แกเป็นทหารมาทุกชาติ ฆ่าเขามาทุกชาติ เศษกรรมปาณาติบาตจะทำให้ป่วยบ่อย ให้ไปปล่อยสัตว์ที่เขาจะฆ่า อย่างเช่นปลาในตลาด เดือนละตัวสองตัว ให้ทำเป็นประจำแล้วจะบรรเทากรรมตรงนี้ได้”

อาตมาทำครั้งแรกวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๙ แล้วก็ปล่อยติดต่อกันมาทุกเดือนจนบัดนี้ เพิ่งจะมีปีนี้ที่รู้สึกว่าอาการป่วยห่างไป คำว่าห่างคือมีเวลาให้หายใจบ้าง ก็น่าดูเหมือนกันนะ เกือบ ๓๐ ปีกว่ากรรมจะยอมถอยให้หน่อย ตอนแรกก็ไม่ยอมปล่อย เพราะว่าการปล่อยชีวิตสัตว์เป็นการต่ออายุ อาตมาไม่ต้องการจะอยู่ แล้วจะปล่อยไปทำไม ? หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ”แกอย่าเพิ่งเข้าใจผิด การปล่อยชีวิตสัตว์จะเป็นการต่ออายุต่อเมื่อเรามีอุปฆาตกรรม”

อุปฆาตกรรม คือ กรรมเก่าที่เคยฆ่าคน ฆ่าสัตว์ใหญ่ในอดีตตามมาทัน อาจจะทำให้เราถึงแก่ชีวิต ถ้าอย่างนั้นจะเป็นการต่อชีวิตของเรา แต่ถ้าไม่มีกรรมเก่าเข้ามา การปล่อยชีวิตเขาให้รอด ให้ได้รับความสุข ความสะดวกสบาย ต่อไปทำอะไรก็จะสะดวกสบายไปด้วย อาตมารู้สึกว่าระยะหลังทำอะไรก็สะดวกขึ้น มีคนช่วยงานมากขึ้น งานบางอย่างไม่น่าจะมีคนช่วย อยู่ ๆ ก็มีมาพอดี สรุปว่าปล่อยชีวิตสัตว์มาจนนับจำนวนไม่ถ้วน เพราะถ้าจะไปปล่อยทีละตัวสองตัว ก็เห็นตัวอื่นรอชะตากรรมเดียวกันอยู่ พอไปจึงมักจะเหมาหมดตลาดเลย

ถ้าเอาคำของหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นเกณฑ์ว่าเป็นทหารมาทุกชาติ ก็น่าจะใช่ เพราะว่าชาตินี้จริง ๆ ไม่ได้คิดจะไปเป็นทหารก็ยังต้องไปเป็น เป็นไปทำไมวะ ? เคยดูย้อนหลังไปก็สารพัด แต่ละชาติ ทำดีแค่ไหนก็เสมอตัว พลาดเมื่อไรก็หิ้วหัวมาได้เลย ความจริงน่าจะลองเกิดอีกสักชาติ ว่าตัวเองจะต้องเป็นทหารอีกหรือเปล่า ? จะได้หายสงสัย

ความหมายของคำว่าทหารคือคนหนุ่ม ดังนั้น..จะอ่อนแอไม่ได้ ต้องแข็งแรงอยู่เสมอ ไปนึกถึงพลเอกอิสรพงศ์ หนุนภักดี ท่านว่า “ไอ้น้องโว้ย..พี่เหนื่อยฉิบหา..เลย ขอนอนหน่อยเถอะ” อยู่ต่อหน้าลูกน้องทำเป็นเก่ง ลับหลังเข้าที่พักนายทหารได้ แผ่หลาสี่สลึงเลย"

เถรี
24-10-2014, 17:44
ถาม : เวลาเราไปทำบุญที่วัด แล้วเราพยายามชำระหนี้สงฆ์ตลอดเวลา ?
ตอบ : ถ้าคิดจะให้หมดเลย ต้องร่วมสร้างพระชำระหนี้สงฆ์กับเขา ไม่อย่างนั้นต้องชดใช้ตามราคาปัจจุบัน ถ้าไปเอาของแพงมาก็ใช้ไม่หมดสักที เพราะเขาคิดตามราคาปัจจุบัน

เถรี
24-10-2014, 17:45
พระอาจารย์กล่าวสอนโยมที่เป็นพ่อแม่ว่า "ถ้าเด็ก ๆ เขาสงสัยต้องตอบเขานะจ๊ะ เป็นช่วงที่เขาพัฒนาตัวเอง ไม่ใช่ว่าเขาถามมาก ๆ แล้วไปดุเขา จะทำให้เขาหยุดการพัฒนา ช่วงอายุนี้เด็ก ๆ จะเป็น "เจ้าหนูจำไม" ทุกคน"

เถรี
24-10-2014, 17:56
ถาม : ระหว่างการที่เราทำบุญกับวัดในประเทศไทยกับวัดในต่างประเทศ โดยส่งเงินไปเพื่อช่วยเหลือพระพุทธศาสนา จะมีข้อดีข้อเสียต่างอย่างไรครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ความตั้งใจ ถ้าตั้งเจตนาถูกอย่างไรก็ได้บุญ อย่างเช่นว่าตั้งใจทำเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา เราตั้งกำลังใจถูก ไม่อย่างนั้นแล้วก็ต้องเลือกเนื้อนาบุญ ในเมื่อตั้งกำลังใจถูก เนื้อนาบุญก็ไม่จำเป็น เพราะผู้รับเป็นเพียงตัวแทนเท่านั้น แต่ถ้าวางกำลังใจไม่ถูก ก็ต้องดูว่าผู้รับมีความสะอาดของใจเท่าไร

ดังนั้น..จะทำที่ไหนไม่สำคัญ อยู่ที่วางกำลังใจถูกหรือไม่ ? ถ้าทำด้วยเจตนาต้องการลด ละ เลิก ความโลภ ทำด้วยเจตนาเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา จะทำที่ไหนก็ได้

เถรี
24-10-2014, 18:04
ถาม : เวลาทำงาน เราต้องพิจารณาคนให้ถูก บางคนเราต้องส่งเสริมเขาเพราะเขาทำงานดี ส่วนบางคนมีความรู้ความสามารถ แต่ไม่ได้ทำงานเพื่อให้ผลงานสำเร็จ แล้วเราไปกีดกันเขา อย่างนี้ถือว่าเป็นกรรมไหมครับ ที่เราไปดึงอีกคนขึ้นมาทำงาน ?
ตอบ : การทำทุกอย่างถือว่าเป็นกรรมอยู่แล้ว แต่ว่าจะเป็นกุศลกรรม..การกระทำที่ประกอบด้วยความฉลาด อกุศลกรรม..การกระทำที่ประกอบด้วยความไม่ฉลาด ในเรื่องของการเป็นผู้ใหญ่ ถ้าพิจารณาความดีความชอบ พิจารณาเรื่องหน้าที่การงาน ต้องไม่ประกอบไปด้วยอคติ ๔ คือ ไม่ลำเอียงเพราะรัก เห็นแก่พวกแก่พ้อง ไม่ลำเอียงเพราะกลัว ไอ้นี่เส้นใหญ่เดี๋ยวนายจะเล่นงานเรา ไม่ลำเอียงเพราะหลง เข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

เถรี
28-10-2014, 11:58
ถาม : ลูกไม่กินเนื้อสัตว์ แล้วขาดสารอาหารจนเจ็บป่วย จะทำอย่างไรให้เขากิน เพราะป่วยตลอดเลยค่ะ ?
ตอบ : เรื่องป่วยเป็นเรื่องปกติจ้ะ ถ้ามีโอกาสก็ให้เขาปล่อยพวกสัตว์ที่เขาจะฆ่า อย่างปลาหรืออะไรก็ได้ เดือนละตัวสองตัว ก็จะบรรเทาตรงนี้ได้

ถาม : ปล่อยปลาหรือคะ ?
ตอบ : เอาที่เขาฆ่าจริง ๆ นะ ไปในตลาดเลย อย่าไปเอาตามที่เขาเอามาให้เราปล่อย เรียกว่าแลกชีวิตกัน ปล่อยไปเรื่อย ๆ ถ้าลูกป่วยเราก็ไปปล่อยแทนลูก ส่วนเรื่องจะไม่กินเนื้อสัตว์อะไร เรื่องปกติ ปล่อยเขาเถอะ หาพวกโปรตีนเกษตรหรือไม่ก็ถั่วให้เขากินแทน

ถาม : เขาไม่ยอมให้เข้าปากเลยค่ะ ?
ตอบ : ให้กินพวกนมถั่วเหลืองแทนก็ได้ เรียกว่าไปกังวลแทนลูก ไม่เป็นไร..ถ้าลูกเขารู้ว่าร่างกายขาด เดี๋ยวเขาก็ตะกายหาเอง

เถรี
28-10-2014, 12:22
ถาม : นิยามคำว่าพระนิพพาน ?
ตอบ : พูดไม่ได้ เกิดจากใจ

ถาม : อย่างนี้พระนิพพานก็ไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้สิคะ ?
ตอบ : เกิดจากปัญญา ถ้าปัญญารู้แจ้งเมื่อไรก็จะเห็น ถึงได้บอกว่า ต่อให้บุคคลที่เป็นสุกขวิปัสสโกก็จะรู้ว่ามีพระนิพพานจริง

ถาม : ทั้งหลายทั้งมวลที่เราติดอยู่เพื่ออาศัยเข้าพระนิพพาน ก็เพื่อให้เราเข้าใจว่าเราติดอยู่ตรงนี้ ?
ตอบ : อาศัยสมมติเป็นทางเพื่อเดินไปสู่วิมุตติ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า

รูปสดับสุรศัพท์พร้อม......................คำขาน
พอกล่าวว่าพระนิพพาน..................สุขแท้
เป็นศิวาลัยสถาน.............................เลอเลิศ
หายากหากเปรียบแม้....................ว่าด้าว แดนใด

สรุปแค่นั้นแหละ ไม่รู้ว่าจะเปรียบอย่างไร

เถรี
28-10-2014, 12:25
ถาม : สงสัยว่าทำไมโบราณจึงชอบเปรียบพระนิพพานกับศิวาลัย ?
ตอบ : สมัยก่อนคนคิดว่าเป็นเทวดาดีที่สุด ไม่สามารถที่จะหาที่เปรียบได้ยิ่งกว่านั้น แต่ความจริงพระนิพพานเป็นอนาลัย อนาลโย ไม่มีซึ่งความอาลัย ก็คงเหมือนกับหลวงปู่บุดดา ในชีวิตหลวงปู่บุดดาเห็นโบสถ์วัดพระแก้วใหญ่ที่สุด พอท่านไปเจอศาลา ๑๒ ไร่ "อู้หู..ใหญ่กว่าโบสถ์วัดพระแก้วอีกน้อ.." ท่านไม่รู้ว่าจะเปรียบกับอะไร ท่านเห็นโบสถ์วัดพระแก้วใหญ่ที่สุด ท่านก็เอาโบสถ์วัดพระแก้วมาเปรียบ

เปรียบกับที่สุดที่เรารู้จัก ถึงได้บอกว่ามนุษย์เรามักจะยึดติดกับสมมติ รูป ๑ ใบ ถ้าให้เด็กดู เด็กจะคิดอย่างหนึ่ง แต่ถ้าผู้ใหญ่ดูจะคิดอีกอย่างหนึ่ง เพราะผ่านสมมติมาเยอะแล้ว

ถาม : ที่โบราณเขาเรียกพระนิพพานว่าเมืองแก้ว แสดงว่าการรู้เห็นเป็นสาธารณะมีมาแต่โบราณแล้ว ?
ตอบ : แต่ไหน ๆ มาเขาก็รู้ มีรุ่นเรานี่แหละที่ค่อนข้างจะหูหนวกตาบอด..!

เถรี
28-10-2014, 12:33
ถาม : ความรู้ของพระพุทธองค์ไม่เหมือนกับความรู้ทางโลก ?
ตอบ : เป็นความรู้ทางโลกกับรู้ทางธรรม

ถาม : จริง ๆ แล้วรู้ทางโลกก็เป็นสัญญาล้วน ๆ นี่คะ แม้แต่ที่เราเรียกว่าเข้าใจก็ไม่ได้เข้าใจ ?
ตอบ : ท่านจัดเป็นปัญญาเหมือนกัน แต่เป็นปัญญาทางโลก ความรู้ลักษณะสัญชาตญาณที่ติดตามข้ามชาติข้ามภพมา ท่านเรียก สหชาติกปัญญา ปัญญาที่มาพร้อมกับการเกิด ที่เรามาเรียนรู้เพิ่มเติมศึกษาเพิ่มเติมในปัจจุบัน เขาเรียก ปาริหาริกปัญญา ส่วนปัญญาในการหาทางพ้นทุกข์ เขาเรียก เนปักกปัญญา เป็นปัญญาเหมือนกัน แต่เป็นปัญญาระดับไหนก็เท่านั้น

ถาม : บางทีเวลาเราเข้าห้องน้ำห้องส้วม เราก็นั่งนึกภาพว่าไอ้ตัวนี้ก็ถุงขี้นะ แต่ความเข้าใจก็เหมือนไม่ได้เข้าใจจริง เพียงแต่ว่าตอนนี้เรานึกออกเท่านั้นเอง ?
ตอบ : ค่อย ๆ สะสมไป ถ้าวันไหนยอมรับจริงจะสว่างไปสามโลกเลย เวลาเรายอมรับจริง ๆ จะไม่กลับกลอกอีก จะไม่ย้อนมาเบื่อ ๆ อยาก ๆ ขาดแล้วขาดเลย ยอมรับอย่างแท้จริง

เถรี
28-10-2014, 16:09
ถาม : สอุปาทิเสสนิพพาน ยังมีลมหายใจอยู่ไหมครับ ?
ตอบ : เขาบอกว่าบรรลุแล้วยังทรงสังขารอยู่ได้ ส่วนอนุปาทิเสสนิพพาน บรรลุแล้วไปเลย

เถรี
28-10-2014, 16:47
พระอาจารย์กล่าวว่า "สำหรับแม่ชี ใช้คำว่า "ทนไปวัน ๆ" ถ้าเราคิดทีละวันก็ไม่นาน เดี๋ยวก็หมดวันแล้ว แต่ถ้าช่วงไหนที่ใจอยากสึกนะ วันหนึ่งเหมือนเป็นปีเลย หลวงพ่อโดนมาเองแล้ว

ตอนบวชไม่ได้คิดจะบวชนาน ไม่ได้ตั้งใจบวชด้วยซ้ำไป ด้วยความที่ไปฝึกมโนมยิทธิได้ตั้งแต่อายุเพิ่งจะ ๑๙ ปี กลัวมาก เพราะไปดูนรกแล้วเห็นบรรดานักบวชตกนรก มากมายมหาศาลจนประมาณไม่ถูก พอแม่บอกจะให้บวช เป็นตายก็ไม่บวช กลัวจะลงนรก ท่านขอมาปีแล้วปีเล่าก็ไม่บวช พูดถึงเรื่องบวชเมื่อไรก็ "ไม่เอาหรอกแม่ กลัวตกนรก"

ปีที่บวชนั้น หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ท่านต้องการพระบวชแก้บนสามรูป จะบวชให้ท่านได้ไหม โดยปกติของหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้ว ถ้าได้ก็คือได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ต้องตอบให้ชัดไปเลย แต่ปรากฏว่าวันนั้นไม่ชัด กราบเรียนท่านไปว่า "ขอผมคิดดูก่อนครับ" ปกติถ้าตอบอย่างนี้โดนแน่ ๆ เลย แต่วันนั้นไม่โดน ท่านบอกว่า "ไม่เป็นไรลูก..รอหลวงพ่อกลับจากนิวซีแลนด์ก่อนก็ได้"

ตอนไปนิวซีแลนด์ก็ไปส่งท่าน รู้กำหนดกลับแน่นอนว่าวันไหน ช่วงนั้นก็มาคิดว่า ความจริงเราเองอยากบวชมานาน แต่กลัวนรก แม่ก็อยากจะให้บวช แต่ไม่ได้บวชให้ท่านสักทีหนึ่ง มานึกดูว่าสมัยนี้ศีลพระมีไม่ถึง ๒๒๗ ข้อตามพระปาฏิโมกข์แล้ว เพราะว่าศีลเกี่ยวกับภิกษุณีก็ดี ศีลเกี่ยวกับการที่พระต้องทำสิ่งของเครื่องใช้ก็ดี สมัยนี้ไม่มีแล้ว ภิกษุณีไม่มีแล้ว การทำสิ่งของเครื่องใช้ โยมก็ซื้อมาถวายเอง ก็ในเมื่อมีกำไรตั้งเยอะแยะอย่างนี้แล้ว ถ้าบวชแล้วยังไม่รอดนรกก็ให้ลงไปเลย..!

เมื่อตัดสินใจได้ วันที่หลวงพ่อท่านกลับ ก็ไปรับท่านที่สนามบินดอนเมือง พอท่านลงมาในห้องพักก็มากราบเท้าท่าน เรียนว่า "กระผมเต็มใจบวช แต่หลวงพ่อจะเอากี่วันครับ ?" ท่านก็หัวเราะ "บวชแก้บนใครเขาเอานานกัน แค่ ๗ วันก็พอลูก" กราบเรียนว่า "ถ้าอย่างนั้นผมยินดีบวช แล้วจะให้ผมไปอยู่วัดวันไหนครับ ?" ท่านบอกว่า "ถ้าพร้อมก็ไปได้เลย" อาตมาโดดขึ้นรถไปกับหลวงพ่อตอนนั้นเลย ไปอยู่วัดท่าซุง

ตามปกติแล้วก่อนหน้านี้ไปวัดก็ไม่เคยเกิน ๔ วัน ก็คือจะไปก่อนงาน ๒ วัน เพื่อไปช่วยเตรียมงาน วันงาน ๑ วัน เก็บงาน ๑ วัน ค่อยกลับบ้าน ทุกครั้งไปไม่เกิน ๔ วัน งวดนี้พอเกิน ๔ วัน แม่ตามไปถึงวัด หอบเครื่องบวชไปครบชุดเลย แม่เขารู้ ไปถึงก็ไปถวายหลวงพ่อวัดท่าซุง บอกว่า "ดิฉันขอบวชลูกชายเจ้าค่ะ" หลวงพ่อบอกว่า "โยมตั้งใจเสียใหม่ นาคเขาสมัครบวชมาตั้งสามสิบกว่าคน อย่าไปตั้งใจบวชลูกชายคนเดียว เพราะได้บุญน้อย ให้ตั้งใจว่าเราเป็นเจ้าภาพบวชทุกคนเลย" แม่ก็ตั้งใจอธิษฐานใหม่ ขอบวชพระทุกรูปในงานนี้ อาตมาคิดว่าบวชแค่ ๗ วันก็สึก"

เถรี
28-10-2014, 17:06
"ด้วยความที่ไม่อยากให้มีกังวล ก่อนที่จะไปรับหลวงพ่อที่สนามบินดอนเมือง ก็จัดการเบื้องหลังเรียบร้อยแล้ว เงินเก็บโอนให้น้องสาวคนละครึ่งแบ่งกัน เพราะส่งเขาเรียนปีสุดท้ายอยู่ ข้าวของทุกอย่างก็บอกกับพี่สุรกานต์ว่า จะใช้อะไรเอาไปได้เลย ถ้าบวชแล้วสึกออกมาก็จะหาใหม่เอง

ไปกราบลาญาติผู้ใหญ่ บรรดาน้า ๆ เขาบอกว่า "เอ็งแน่ใจแล้วนะว่าจะบวช พระอรหันต์มีเมียไปคนหนึ่งแล้ว" ก่อนหน้านี้พี่ประสิทธิ์เขาตั้งใจอยู่อย่างเดียวว่า ชีวิตนี้ต้องบวชพระแล้วเป็นพระอรหันต์ให้ได้ ทีนี้พอพี่ประสิทธิ์ไปถามหลวงพ่อวัดท่าซุง ดันไปถามจังหวะอยู่กลางบ้านสายลมที่คนเป็นร้อยเป็นพันเลย ไปถึงก็ถามว่า "หลวงพ่อครับ..ถ้าผมบวชจะได้เป็นพระอรหันต์ไหม ?" เวลาหลวงพ่อวัดท่าซุงตั้งใจจะเฉ่งใคร ท่านใส่ไม่เลี้ยงอยู่แล้ว ท่านว่า "โคตรแม่มึงบวชเอง แล้วกูจะรู้ได้อย่างไร..!"

ความจริงท่านตอบตรงเป๊ะเลยนะ เพราะเรื่องการพยากรณ์ขึ้นอยู่กับกำลังใจตอนนั้น ถ้ากำลังใจเปลี่ยน คำพยากรณ์ก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย แต่พี่ประสิทธิ์เขาไปตีความว่า ถึงบวชไปก็ไม่ได้อะไร ก็เลยไปแต่งงานมีลูกมีเมีย พออาตมาไปลาบวช บรรดาน้า ๆ ทั้งหลายเขาถึงได้ว่าเอา โดยเฉพาะเพื่อน ไม่มีใครเชื่อแม้แต่คนเดียว เพราะสมัยนั้นเวลาไปวัดท่าซุงก็จะพาบรรดาน้อง ๆ ผู้หญิงไปด้วย ๗-๘ คนเป็นประจำ

ครั้งที่ไปด้วยกันมากที่สุด จำได้ว่าไปเชียงใหม่ เหมารถทัวร์คุณสมชาย เย็นทรวง ครึ่งคัน อาตมาเป็นหัวหน้าคณะ พาเขาไปทำบุญกัน เพราะช่วงนั้นบรรดาน้อง ๆ เพิ่งเรียนจบ ยังไม่มีงานทำบ้าง กำลังเรียนอยู่บ้าง จะไปวัดแล้วไม่มีใครพาไป เขาก็ไม่สามารถจะไปได้ อาตมาคิดแค่ว่าสงเคราะห์ให้เขาได้ทำบุญ แต่พอเพื่อนเห็นแบบนั้นก็ตีราคาว่า ไอ้หน้าอย่างนี้บวชไม่ได้หรอก

พอไปกราบลาหลวงปู่มหาอำพัน หลวงปู่ท่านให้กำลังใจ ท่านบอกว่า "ถ้าบวชน้อยก็เอาให้ถึงพระโสดาบัน ถ้าบวชนานเอาให้เป็นพระอรหันต์ไปเลยนะคุณ"

เถรี
28-10-2014, 18:18
"พอไปเป็นนาคอยู่วัดก็มีเรื่องตลกที่หัวเราะไม่ออก อาตมาเข้าใจว่าวัดท่าซุงเป็นมหานิกาย ก็เลยท่องคำขอบรรพชาอุปสมบทแบบอุกาสะสำหรับมหานิกายไป พอไปสมัครเป็นนาค หลวงพี่บัญชาที่เป็นเจ้าหน้าที่รับสมัคร บอกว่า "เฮ้ย...วัดเราบวชแบบเอสาหัง" อาตมาก็เลยต้องยืมหนังสือมนต์พิธีไปท่องวิธีบวชแบบเอสาหัง สองวันท่องได้เสร็จสรรพ มีคนมาสมัครมากขึ้น ๆ จากไม่มีเลยกลายเป็น ๓๖ รูป ท่านก็บอกใหม่ว่า "บวชนาคหมู่ ให้ใช้เอเต มะยัง ภันเต" สรุปว่าอาตมาท่องขานนาคได้ทุกรูปแบบเลย

ด้วยความที่เป็นคนความจำแม่น แล้วดันไปอยู่วัดเสียตั้งแต่แรก ท่องขานนาคสองวันก็ได้หมดแล้ว ไม่รู้จะทำอะไรก็เลยท่องบทสวดมนต์เจ็ดตำนาน-สิบสองตำนาน ความจริงในเจ็ดตำนานและสิบสองตำนานมีพระอภิธรรม ๗ บท ที่อาตมาสามารถสวดได้ตั้งแต่ตอนงานศพพ่อแล้ว ตอนนั้นอาตมาอายุ ๑๖ ปี งานศพพ่อเขาสวดพระอภิธรรม ๗ วัน วันละ ๓ จบ อาตมาฟังแค่วันที่ ๓-๔ ก็จำได้หมดแล้ว เพราะฉะนั้นวันที่ ๕-๖-๗ ก็เท่ากับว่าทวนซ้ำ

เวลาพระสวด ด้วยความที่เป็นเด็กวัยรุ่น ปากคันก็สวดตาม หลวงตาท่านก็ถาม "ไอ้หนู..เคยบวชหรือ ?" "ไม่เคยหรอกครับ" "แล้วไปหัดที่ไหนมา หลวงตาสอนให้อีก..เอาไหม ?" เพราะว่าสนิทกับหลวงตาเจ้าอาวาส บางคนเรียกหลวงพ่อ แต่คนทั้งตลาดเรียกหลวงตากันหมด เพราะว่าท่านบวชตอนอายุมาก ประมาณ ๔๐ ปีแล้วถึงบวช ท่านชื่อแหวน พวกเราเรียกว่าหลวงตาแหวน

หลานของหลวงตาที่เป็นผู้หญิงชื่อ ขวัญตา อ่ำเย็น เป็นคู่แข่งเรื่องเรียนมาตั้งแต่ชั้น ป.๒-ป.๗ เป็นผู้หญิงเก่ง คะแนนจะไล่บี้กันมาตลอด จนกระทั่งมาอยู่ชั้น ป.๕-๖ ของเขาคะแนนรูดไปเลย พอขึ้นมัธยมก็ออกทะเลหายไปเลย อาจจะเป็นเพราะว่าเริ่มโตเป็นสาว มีอะไรที่น่าสนใจมากกว่าการเรียน

พอมาท่องสวดมนต์ ควรจะไล่สวดตั้งแต่นะโมฯ แต่อาตมาชอบใจมังคลสูตร ที่ขึ้น อเสวนา จ พาลานังฯ ก็เลยตั้งใจท่องบทนี้ก่อน วิธีท่องจะมีเคล็ดลับก็คือ เขียนเลขกำกับไว้ อย่างเช่น บรรทัดที่ ๑ และ ๒ ก็เขียนกำกับเลข ๑ บรรทัดที่ ๓ และ ๔ ก็เขียนกำกับเลข ๒ ไล่ไปเรื่อย แบ่งเป็นช่วง ๆ พอตั้งใจท่องบรรทัดที่ ๑,๒ ก็จะอ่านบรรทัด ๓,๔ ไปด้วย พอถึงเวลาจำบรรทัดที่ ๑ และ ๒ ได้ บรรทัด ๓,๔ ก็ได้เกือบหมดแล้ว ๕,๖ ก็เริ่มคล่องปากแล้ว ท่องลักษณะนี้จะได้เร็วมาก

ตกลงว่าอาตมาเป็นนาคอยู่วัด ๓๗ วัน ว่าเสียจนไม่มีเหลือ ท่องจนหมดเล่มเลย พระสูตรยาว ๆ อย่าง อาทิตตปริยายสูตร ธัมมจักกัปปวัตนสูตร อนัตตลักขณสูตร ท่องได้หมดเลย เพราะฉะนั้น..บวชพระไม่ทันจะ ๗ วัน เขามีกิจนิมนต์ อาตมาเป็นพระใหม่ ไปนั่งห้อยท้ายอยู่ พอหัวแถวขึ้นอะไรมาก็รับได้หมด จนกระทั่งหลวงน้ามีชัยหันมามองท้ายแถว สงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร พระเพิ่งบวชแต่ท่องได้หมด แม่นอีกด้วย"

เถรี
28-10-2014, 19:46
"อาตมาจะสึกตามที่ตั้งใจไว้ คือ บวช ๗ วัน ถือเป็นการสร้างชีวิตใหม่ของตัวเอง แต่ว่าในช่วงนั้นอาตมาขึ้นไปช่วยงานหลวงตาวัชรชัยที่ศาลานวราชบพิตร หลวงตามีหน้าที่รับคนเข้าพักและจำหน่ายวัตถุมงคล บางทีคนมาขอที่พักด้วย มาบูชาวัตถุมงคลด้วย ท่านแบ่งภาคไม่ได้ก็ขึ้นไปช่วยกัน จะมีโอกาสพบหลวงพ่อวัดท่าซุงเฉพาะช่วงบ่ายที่ท่านขึ้นไปรับสังฆทาน

วันนั้นหลวงพ่อท่านก็บอกว่า "พระเว้ย...ไปช่วยจัดที่ด้านหลังโบสถ์ เยื้อง ๆ ตึกธัมมวิโมกข์หน่อย" กราบเรียนถามว่า "เพื่ออะไรครับ ?" ท่านบอกว่า "จัดที่บูชาสักที่หนึ่ง จัดเป็นโต๊ะหมู่ เอากระถางธูปเชิงเทียนอะไรให้พร้อม หลวงพ่อขนมจีนท่านเป็นเจ้าอาวาสรูปที่ ๒ ของวัดท่าซุง ท่านมีหน้าที่ดูแลพวกแกอยู่ ท่านบอกว่าช่วยตั้งที่บูชาให้เป็นทางการ ท่านจะได้ทำหน้าที่ได้เต็มที่หน่อย"

ก็เลยไปหาโต๊ะหมู่ได้ชุดหนึ่ง กระถางธูปเชิงเทียนเก่ามากสนิมขึ้นดำปี๋เลย ก็ต้องไปเอาบรัสโซจากป้าศุมาค่อย ๆ ขัด ขัดไปขัดมา ไม่เงาสักที อาตมาปากคันเลยออกปากว่า "ถ้าวันนี้ผมขัดขึ้นครบ ๗ ตัวจะว่าอย่างไร ?" สมัยนั้นสลากกินแบ่งเป็นเลข ๗ ตัวนะ ไม่ใช่ ๖ ตัวอย่างตอนนี้ หลวงตาวัชรชัยอยู่ใกล้ ๆ รู้ว่าไม่เหมาะไม่ควรก็ดุว่า "ไอ้นี่ทะลึ่งละ..!"

ด้วยความที่ปฏิบัติมา ความรู้สึกตัวเองจะไวมาก จึงสังเกตเห็นว่า มีความรู้สึกหนึ่งผุดขึ้นว่า "เราไม่ควรที่จะอยู่วัดนี้แล้ว" ความรู้สึกบอกตัวเองอย่างนั้น ตอนทำงานอยู่ก็ไม่กระไรนะ พอตั้งที่บูชาอะไรเสร็จสรรพ กราบไหว้แล้วกลับกุฏิ ความรู้สึกยิ่งมากขึ้น ๆ ทุกที จนกระทั่งเหมือนกับจะรับไม่ไหว พอทำวัตรค่ำเสร็จ อยากจะออกไปจากวัดเดี๋ยวนั้นเลย ไปที่ไหนก็ได้ ไปให้ไกล ๆ เลย เพราะรู้สึกว่าวัดนี้เราไม่สมควรที่จะอยู่แล้ว

จนกระทั่งท้ายสุดภาวนาก็ไม่ได้ นอนก็ไม่หลับ ไม่รู้ว่าทำอย่างไรก็วิ่งในกุฏิ วิ่งภาวนา เรื่องวิ่งภาวนานี่ถนัดตั้งแต่ตอนเป็นทหารแล้ว วิ่งภาวนาไปเรื่อย ไม่รู้เหมือนกันว่าผ่านไปกี่ชั่วโมง รู้แต่ว่าหมดแรงพับไปเลย พอตื่นเช้าขึ้นมา ความรู้สึกก็เกิดขึ้นมาใหม่อีก เดินบิณฑบาตก็รู้สึกอีก ความรู้สึกก็คือวันนี้ต้องไปให้พ้นจากวัดให้ได้

ที่วัดท่าซุงทำวัตรกันสาย คือ ทำวัตร ๘ โมงครึ่ง หลังฉันเช้าเสร็จ หลวงตาวัชรชัยเห็นเดินหน้าดำคร่ำเครียดมาก็ถาม "เฮ้ย...เป็นไรวะ ?" ก็เล่าให้ฟังว่าความรู้สึกเป็นตั้งแต่เมื่อวานตอนนั้น หลวงตาบอกว่า "สงสัยหลวงปู่จะเล่นงานแกแล้ว เดี๋ยวทำวัตรเสร็จให้ไปขอพานดอกไม้ธูปเทียนจากป้าศุ รีบไปกราบขอขมาหลวงปู่เสียก่อน"

เถรี
29-10-2014, 09:17
"ในเมื่อรุ่นพี่แนะนำ อาตมาก็ทำตาม พอทำวัตรเช้าเสร็จก็ไปที่ตึกเป๊ปซี่ บ้านป้าศุสมัยก่อนมีป้ายเป๊ปซี่ติดอยู่ เขาก็เลยเรียกแบบนั้น ป้าศุทำพานธูปเทียนแพให้ พอไปกราบขอขมาเสร็จ ความรู้สึกที่เหมือนจะอกระเบิดตาย อย่างไรก็จะต้องออกจากวัดให้ได้หายวับไปเลย เหมือนกับว่าของอะไรหนัก ๆ ที่แบกอยู่หล่นหายไปเลย เกิดความรู้สึกทึ่งว่าเป็นไปได้ขนาดนี้เลยหรือ ?

จึงน้อมใจนึกถึงหลวงปู่ขนมจีนว่า "หลวงปู่เล่นงานผมเป็นคนแรก ผมก็ถือว่าผมเป็นลูกคนโตก็แล้วกัน หลวงปู่สามารถแสดงให้ผมรู้ได้ไหมว่า อารมณ์พระอรหันต์จริง ๆ นั้นเป็นอย่างไร ? ถ้าผมทำไปถึงเมื่อไร ผมจะได้รู้ว่าตัวเองทำมาถึงแล้ว" ท่านบอกว่า "ได้..แกจะเอากี่วัน ?" กราบเรียนไปว่า "ถ้าหลวงปู่ทำได้ ผมขอสักสามเดือนเลยครับ จะได้บวชเอาพรรษาไปเลย" ท่านก็ตกลง

ทันทีที่ท่านตกลง ตอนนั้นอาตมานึกว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ความรู้ตัวทั่วพร้อม มีสติทุกอิริยาบถ ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจจะหยุดอยู่แค่นั้น เพราะรู้เลยว่าคิดอย่างนี้จะดี ถ้าคิดอย่างนี้จะไม่ดี ถ้าคิดแบบนี้กิเลสจะเกิดได้ ก็ตัดไปตั้งแต่ต้นเหตุเลย กิเลสจึงไม่สามารถที่จะเกิดได้ โอ้โห...มีความสุขอย่าบอกใครเลย ตลอดระยะเวลาสามเดือนคิดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว พอวันที่ ๙๑ ก็เป็นหมาเหมือนเดิม จึงเหมือนกับว่าได้ไปกินอาหารของสุดยอดพ่อครัวมาแล้ว อย่างไรเสียชาตินี้ก็ต้องทำกินเองให้ได้ ก็เลยกัดฟันอยู่ต่อ

พออยู่ต่อมา อารมณ์ใจอยากสึกก็มีมาบ้างเป็นระยะ ๆ ตอนนั้นไม่ทราบว่าพรรษาที่สามหรือพรรษาที่สี่ หลวงพี่วิรัชมาคุยด้วย หลวงพี่วิรัชเป็นพระที่แปลกมาก ท่านไม่เรียกหลวงพี่ ไม่เรียกท่านเหมือนคนอื่น ท่านจะขึ้นต้นด้วยคำว่า "พระ" เช่น พระตี๋ พระชลอ เป็นต้น ท่านบอกว่า "พระเล็ก..ขอลายมือให้ผมหน่อยได้ไหม ?" "หลวงพี่จะเอาไปทำอะไรครับ ?" "ผมเคยหัดดูลายมือมา เก็บสถิติเอาไว้เยอะ จึงอยากได้" ก็เลยให้ท่านพิมพ์ลายมือไป

หลวงพี่วิรัชไปดูลายมือให้คืนนั้น พอรุ่งขึ้นท่านมาบอกว่า วันนั้นเดือนนั้นปีนั้น พระเล็กจะต้องสึก "จริงหรือหลวงพี่ ?" "ผมดูมาแล้วเป็นพันเลย ยังไม่เคยพลาดสักคน" พร้อมเปิดสถิติให้ดู ท่านดูหมอตั้งแต่ยังอยู่อเมริกา "ถ้าพลาดล่ะ ?" "ผมยอมเผาตำราทิ้ง..!" อาตมาเป็นคนรั้น อะไรที่ใครบอกว่าทำไม่ได้ก็จะทำให้ได้ ก็เลยดื้ออยู่ เพราะดื้ออยู่ก็เลยทำให้อยู่ได้ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นอยากจะสึกใจจะขาด คิดอยู่อย่างเดียวว่าอย่างไรก็ต้องอยู่ให้ได้ จะต้องดูหลวงพี่วิรัชเผาตำราให้ได้ ดื้อสู้จนพ้น แล้วก็แปลก..เหมือนวาระกรรมจะอยู่แค่ตรงนั้น พอพ้นมาแล้วก็ไม่มีอะไร"

เถรี
29-10-2014, 09:23
"อาตมาเองตั้งกำลังใจเอาไว้อยู่แล้วว่า ถ้าอยู่ไม่ได้ก็สึก เป็นคนที่พร้อมจะไปได้ทุกเวลา เนื่องจากว่าไม่กลัวลำบาก คนเคยลำบากมาก่อน ไปไหนก็ไม่ลำบากไปกว่านั้นหรอก

ช่วงที่อยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านก็ถามว่าจะเรียนหนังสือไหม ? กราบเรียนหลวงพ่อไปว่า "จะเรียนไปทำไมละครับ ? เสียเวลาปฏิบัติเปล่า ๆ" ท่านบอกว่า "เรียนเอาไว้เป็นไม้กันหมาก็ดี พระปริยัติมักจะดูถูกว่าพระปฏิบัตินั้นโง่" อาตมาได้ยินก็คิดว่า "เรียนก็เรียน" ก็ไปถามรุ่นพี่ว่าพระท่านเรียนอะไรกันบ้าง ท่านบอกว่าต้องสอบนักธรรมชั้นนวกภูมิ ต้องสอบนักธรรมชั้นตรี นักธรรมชั้นโท นักธรรมชั้นเอก มีหนังสืออะไรบ้างก็ไปค้นหนังสือมาอ่านเอง แล้วก็ไปลงชื่อสอบร่วมกับเขาในจังหวัด

ปีแรกสอบนวกะและนักธรรมชั้นตรีได้ เพราะว่านวกะสอบในพรรษา นักธรรมตรีสอบหลังลอยกระทง ได้ประกาศนียบัตรมาสองใบ ปีที่สองว่าจะสอบนักธรรมชั้นโท พอดีหลวงปู่มหาอำพันท่านป่วย ก็ลามาดูแลหลวงปู่มหาอำพัน ลาอย่างชนิดที่ลาบ่อยจนเกินเหตุ

ปกติแล้วสำหรับวัดท่าซุง หลวงพ่อท่านอนุญาตว่า ให้ลาได้เดือนละไม่เกิน ๑๐ วัน ถ้าไม่ได้ลา ๒ เดือนขึ้นไป ให้ลาได้ ๑๕ วัน อาตมากลับมาถึงก็ลาใหม่ กลับมาถึงก็ลาใหม่ ไม่รู้หรอกว่าคณะกรรมการสงฆ์เขาจ้องเล่นงานอยู่ ปรากฏว่าวันหนึ่งเขียนใบลาทีเดียว ๑๕ วันเลย กะจะลักไก่ เพราะที่วัดท่าซุงต้องบอกขออนุญาตลาด้วยวาจาพร้อมกับส่งใบลา แล้วต้องไปลงสมุดลาด้วยว่าไปวันไหน..กลับวันไหน

ทันทีที่ส่งใบลา หลวงพ่อท่านฉีกแคว่ก..! ส่งคืนให้ ท่านบอกว่า "ไปเขียนมาใหม่ให้ถูกต้อง" อาตมานี่เหงื่อหยดติ๋งเลย ท่านไม่ได้อ่านสักตัวแต่บอกให้เขียนใหม่ให้ถูกต้อง เพราะท่านอนุญาตให้ลาได้ครั้งละไม่เกิน ๑๐ วัน อาตมาตะบันไป ๑๕ วัน ต้องวิ่งไปหายางลบ ลบเสร็จแก้ตัวเลขใหม่ พอกลับมาก็โดนกรรมการสงฆ์เรียกสอบเลย เพราะลาเกินกำหนด แล้วลงมติว่าผิดระเบียบของวัด ให้ขับออกจากวัดไป

หลังจากทำเรื่องรายงานขึ้นไป ปรากฏว่าหลวงพ่อท่านแทงลงมาว่า "การไปดูแลครูบาอาจารย์ถือว่าเป็นความกตัญญู ไม่ใช่ความผิด เนื่องจากลามากเกินไปให้ตัดวันลาเสีย จากที่ลาได้เดือนละ ๑๐ วัน ให้ลาแค่เดือนละ ๗ วันก็พอ" อาตมาก็เลยเป็นคนเดียวในวัด ที่ลาได้แค่เดือนละ ๗ วัน ไม่เหมือนคนอื่นเขา"

เถรี
29-10-2014, 10:08
"พรรษาที่ ๒ อาตมาไม่ได้สอบนักธรรมชั้นโท อาจจะเป็นเพราะว่ากรรมการสงฆ์ตั้งใจจะไล่ออกอยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้ส่งชื่อไปสอบ จึงไปลงชื่อสอบเอาพรรษาที่ ๓ และ ๔ ได้นักธรรมชั้นโทและนักธรรมชั้นเอก เวลาสอบทำข้อสอบแค่พักเดียว ไม่เคยเกิน ๑๕ นาที

ตอนนั้นสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) วัดพิชยญาติการาม ท่านเพิ่งจะเป็นเจ้าคุณราชปริยัติโมลี ท่านแอบไปดูสถิติการสอบของแต่ละจังหวัดมา เพื่อหาคนเก่ง ๆ มาเข้าโรงเรียน อาตมาก็ไม่รู้ว่าท่านแอบไปดูผลสอบของอาตมา แล้วท่านก็มาชวนไปเรียน นั่งเกลี้ยกล่อมอยู่เป็นครึ่งวัน จะให้ไปให้ได้ พอหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านออกมาฉันเพล ก็กราบเรียนหลวงพ่อว่า "เจ้าคุณสมศักดิ์ท่านมาชวนให้ไปเรียนครับหลวงพ่อ" "แกอยากเรียนไหม ? ถ้าไม่ชอบวัดพิชัยญาติก็ให้บอก จะส่งไปให้วัดพรรคพวกที่กรุงเทพฯ ก็ได้ มีอีกหลายที่" กราบเรียนหลวงพ่อว่า "ผมรู้ตัวว่าถ้าผมห่างหลวงพ่อ ผมเลวแน่ ๆ ขออนุญาตไม่ไปครับ" รู้ว่าคุมตัวเองไม่อยู่ เดี๋ยวเตลิดเปิดเปิง

ก่อนหน้านี้ท่านที่วิ่งเต้นเป็นมือเป็นเท้าให้หลวงพ่อวัดท่าซุงก็จะมี มหาชุบ มหาวิจิตร มหาดำ (ท่านเจ้าคุณมหาสันติ) หลวงพี่ชุบท่านเป็นเจ้าคุณก่อนใครเพื่อนเลย พวกเราก็แซวท่านเล่น "หลวงพี่...ทำไมติดนายพลก่อนคนอื่นในรุ่น ?" ท่านบอกว่า "มันเสือกมาวิ่งเต้นกันกูไม่ให้เป็น กูก็เลยทำให้พวกมันรู้ว่า คนอย่างกูถ้าจะเอาแล้วกูต้องได้..!" นี่..นิสัยลูกหลวงพ่อขนานแท้เลย ทุกวันนี้ท่านก็เป็นแค่เจ้าคุณศรี น่าจะถึง ๓๐ ปีแล้วนะ ไม่เคยขยับเลย เพราะว่าท่านไม่ได้อยากได้ แต่คนดันไปกีดกันท่าน ท่านก็เลยทำให้เขารู้ว่า ถ้าท่านจะเอาแล้วต้องได้ อาตมาเองก็นิสัยแบบนี้แหละ ถ้าไปเรียนต่อ เดี๋ยวก็ต้องไปฆ่าแกงกับเขา เพราะฉะนั้น..ไม่ไปดีกว่า

หลังจากไปเป็นเจ้าคณะตำบลที่ทองผาภูมิแล้ว มีหลักสูตร ปปส. ขึ้นมา ซึ่งก็คือหลักสูตรของท่านเจ้าคุณสมศักดิ์ หรือท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุทธชินวงศ์ปัจจุบันนี่แหละ วันเปิดหลักสูตรท่านไป พอเห็นหน้าอาตมาท่านหัวเราะ กล่าวว่า "ท้ายสุดต้องมาเป็นลูกศิษย์ผมจนได้" พอจบนักธรรมเอกพรรษาที่ ๔ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเมตตาบอกว่า "ความรู้พอคุ้มตัวได้แล้ว ถ้าจะออกธุดงค์ก็ได้นะ"

อาตมาเองตั้งใจว่า จะเอาตามแบบโบราณ คือ อยู่กับครูบาอาจารย์ ศึกษาความรู้ให้ครบ ๕ พรรษาก่อน จึงจะออกจากวัดไปที่อื่น ช่วงก่อน ๕ พรรษานั้น อาตมาไม่เคยไปที่ไหนเลย นอกจากงานของหลวงปู่มหาอำพันและงานของหลวงปู่ครูบาธรรมชัย ที่ถือท่านเป็นครูบาอาจารย์มาตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้ว ไปอยู่สองที่เพราะคุ้นเคยกัน ที่อื่นก็ไม่กล้าไป กลัวไปทำผิดทำพลาดแล้วขายหน้าครูบาอาจารย์"

เถรี
29-10-2014, 12:09
"พอหลวงพ่อวัดท่าซุงเปิดทางให้ จำได้ว่าจะออกธุดงค์ครั้งแรก บรรดาพระพี่พระน้องขอตามไป ๘-๑๐ รูป แต่พอท่านรู้ว่าจะไปป่าแม่สาน ก็ถอนตัวกันเกลี้ยงเลย เหลืออาตมาอยู่คนเดียว อาตมาเองก็นิสัยไม่เหมือนใคร มีคติประจำใจว่า ขึ้นหน้าไปตายอย่างคนกล้า ดีกว่าถอยหลังมาตายอย่างคนขลาด เหลือคนเดียวก็ไป

ทุกครั้งที่ไปธุดงค์ หลวงพ่อก็จะสะกิดตรงนั้นตรงนี้ให้รู้ว่า ท่านก็รู้ว่าเราไปที่ไหนมา การไปไหนแล้วลาครูบาอาจารย์ดีตรงที่ว่า เมื่อเวลามีอะไรเกิดขึ้นท่านจะได้ช่วยสงเคราะห์ได้ อย่างที่หลวงพ่อท่านเคยเล่าให้ฟังว่า เวลาพระที่อยุธยาออกธุดงค์ ต้องไปขึ้นครูกรรมฐานกับหลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ ท่านบอกว่าหลวงพ่อขันเก่งแค่ไหนท่านก็ไม่รู้ รู้ว่าวันหนึ่งกำลังนั่งคุยกับท่าน อยู่ ๆ หลวงพ่อขันก็หยุดคุยเฉย ๆ แล้วก็กลั้นใจเอามือตบกระดานศาลา

หลวงพ่อถามว่าทำอะไร ? หลวงพ่อขันบอกว่า ลูกศิษย์ที่ธุดงค์ในป่าจะโดนควายป่าขวิด จึงต้องช่วยหน่อย ตัวหลวงพ่อขันอยู่ที่วัดในอยุธยา ส่วนลูกศิษย์อยู่ในป่า ท่านรู้ว่าลูกศิษย์จะโดนควายป่าขวิด หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็รอ จนกระทั่งพระที่ออกธุดงค์ท่านกลับมา พอได้ข่าวว่าพระท่านกลับวัดแล้ว หลวงพ่อท่านก็ไปถาม เพราะว่าท่านจดวันเดือนปีเอาไว้ ไปถามว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้น พระที่ไปธุดงค์ท่านบอกว่าไปเจอควายป่า มันตั้งท่าวิ่งใส่แล้ว ตอนนั้นไม่รู้จะทำอย่างไร นึกอยู่อย่างเดียวว่า ถ้าครูบาอาจารย์ไม่ช่วยก็ตายแน่ อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยงลงมากลางวง ควายป่าตกใจ หนีเตลิดหมดเลย ท่านตบกระดานศาลาที่วัดนกกระจาบ แล้วฟ้าไปผ่าในป่า ฉะนั้น..เวลาไปไหนควรที่จะบอกลาครูบาอาจารย์ เพื่อที่ท่านจะได้รู้ว่าเราไปอยู่ที่ไหน ถ้าเกิดอันตรายขึ้น ท่านจะได้ช่วยปกป้องคุ้มครองรักษา

เวลาอาตมาไปธุดงค์มักจะไปสถานที่ซึ่งหลวงพ่อท่านพูดถึง เพราะอาตมาเกิดความสงสัย อย่างท่านบอกว่าตรงนั้นมีภูเขาทอง ตรงนี้มีแร่ยูเรเนียม ไปดูมาหมด ตอนที่ไปดูแร่ยูเรเนียมมากลับมา ถึงช่วงเช้าเตรียมรับหลวงพ่อขึ้นตึก ท่านบอกว่า "เดี๋ยว..ยืนคุยกันก่อน แกไปดูยูเรเนียมมาใช่ไหม ?" "ครับ" "อยู่ตรงไหนวะ ?" ก็อธิบายให้ท่านฟัง ท่านก็ "เอ้อ..ใช่ ข้าก็กลัวเหมือนกันว่าจะรู้ผิด แกไปดูก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง แกไปไหนแกพกกล้องถ่ายรูปไปด้วย แกมีหลักฐาน ข้าเองบอกแต่ปากเปล่า ๆ ไม่มีหลักฐาน บางทีคนเขาไม่เชื่อหรอก"

เถรี
29-10-2014, 16:58
"เวลาอยู่วัดอาตมาก็ทุ่มเทให้กับวัดจริง ๆ เลิกงานก็เอาแต่ภาวนา ที่วัดท่าซุงมีธรรมเนียมบางอย่าง ก็คือพระใหม่ที่บวชเข้าไป จะต้องหาพระเก่าเป็นหลัก และเกาะกันเป็นกลุ่ม ๆ เหมือนกับว่าชอบใจพระเก่ารูปไหนก็เกาะรูปนั้น อาตมาเองเอาแต่ภาวนา ไม่เกาะใครเสียที แถมก็ยังเอาแต่ลา ไม่รู้ว่าโดนหมั่นไส้เอาท่าไหน คงจะโดนปูนหมายหัวไว้ ยังไม่ทันจะขึ้นพรรษาที่สองเลย ก็มีคำสั่งจากคณะกรรมการสงฆ์ให้ไปเป็นหน้าห้องของหลวงพ่อวัดท่าซุง

ท่านตั้งใจจะส่งอาตมาไปตาย..! เพราะบรรดาพระเก่าที่อยู่หน้าห้องหลวงพ่อ ส่วนใหญ่กระเด็นหมด ไม่มีใครอยู่ได้ ไล่มาตั้งแต่หลวงพี่โอ หลวงน้ามีชัย หลวงน้าอมร หลวงพี่ชัยวัฒน์ กระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง เหมือนอย่างกับว่าในเมื่อคุณไม่เกาะใคร ก็ไปให้หลวงพ่อฟันหัวซะ..! แต่บังเอิญอาตมาทำงานตรงไปตรงมา แล้วหลวงพ่อท่านชอบใจ

อีกอย่างหนึ่งก็คือ อาตมาเป็นคนที่โดนด่าแล้วไม่ยุบ หน้าค่อนข้างจะด้าน คิดอยู่อย่างเดียวว่า หลวงพ่อด่าเพราะเราทำผิด ถ้าเราแก้ไขเราจะไม่ผิดอีก เป็นคนประเภทนี้ก็เลยกำลังใจไม่ตก ไม่เหมือนคนอื่น ถ้าโดนหลวงพ่อด่า เขาอยู่ไม่ได้แล้ว เขาจะต้องขอลาไปอยู่ที่อื่นเลย แล้วหาคนใหม่มาแทน

โดยเฉพาะที่เห็นคาตาเลย คือหลวงพี่บัญชา ตอนนั้นปี ๒๕๒๘ หลวงพ่อบอกให้ญาติโยมสี่คนจัดกระทงรับพระเคราะห์ ท่านบอกว่าเคราะห์ไม่ดีให้ไปจัดกระทงมา วันแรกก็ ๔ กระทง วันที่สอง ๑๑ กระทง วันที่สาม ๑๒๘ กระทง เร็วจริง ๆ นะ คนที่ท่านไม่ได้บอกก็อยากมาลอยเคราะห์ด้วย พอจำนวนเยอะก็จดชื่อไม่ทัน หลวงพ่อจะออกรับแขกตอนบ่ายโมงแล้ว หลวงพี่บัญชาก็ถามรายชื่อแล้วเขี่ยเอาเลย

พอตอนทำสะเดาะเคราะห์ ท้าวมหาราชจะมาอยู่ในพิธีด้วย ท่านก็จะชี้บอกหลวงพ่อว่า หมายเลขที่เท่านั้น ชื่อนั้น ต้องทำอะไรพิเศษต่างหาก หลวงพ่อท่านบอกว่า ท้าวมหาราชบอกว่ามีสี่คนที่ต้องสะเดาะเคราะห์พิเศษ ให้ไปปล่อยไก่คนละสองตัว แล้วก็อ่านหมายเลขที่ ๑ ชื่อนี้ หมายเลขที่ ๒๐ ชื่อนี้ พอไปถึง "หมายเลข... โคตรแม่งใครเขียนวะ..! อ่านไม่ออกเลย" หลวงพี่บัญชาหน้าซีดจนเขียว จะขาดใจตายตรงนั้น นั่น..โดนด่าแค่นั้นนะ

พอเลิกรับแขกสี่โมงเย็น หลวงพ่อท่านเดินผ่านเพื่อลงไปขึ้นรถกลับที่พัก ท่านก็แวะมาคุยด้วย "เออ..บัญชา วันนี้วัตถุมงคลจำหน่ายเป็นอย่างไรบ้างวะ ?" "จำหน่ายดีครับ คนบูชากันเยอะ" "เออ..ดีแล้วลูก ทำหน้าที่ให้ดี" แล้วท่านก็ไป ถ้าไม่พูดประโยคนั้น คืนนั้นหลวงพี่บัญชาผูกคอตายแน่นอน แต่อาตมาไม่ใช่ อาตมาหน้าด้าน คิดอยู่อย่างเดียวว่า ไม่มีพ่อที่ไหนฆ่าลูกหรอก ถ้าท่านด่าแปลว่าเราผิด ถ้าอยากได้ดีต้องรีบแก้ไข ก็เลยทนอยู่มา กลายเป็นคนที่อยู่หน้าห้องหลวงพ่อได้นานที่สุด ก็คืออยู่ตั้งแต่ไม่เข้าพรรษาที่สอง จนกระทั่งหลวงพ่อมรณภาพ ไม่ได้เปลี่ยนเลย ทั้ง ๆ ที่เขาตั้งใจส่งให้ไปตายแท้ ๆ"

เถรี
29-10-2014, 17:29
"พอสิ้นหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้ว ในวัดเขาเกาะกันเป็นกลุ่ม ๆ อยู่ ก็เลยมีคนคิดว่าตัวเองเหมาะสมที่จะเป็นเจ้าอาวาส จึงมีการประลองกำลังกันขึ้นมา อาตมาต้องกางปีกป้องหลวงพี่อนันต์ ซึ่งปัจจุบันก็คือ หลวงพ่อท่านเจ้าคุณอนันต์เอาไว้

พอออกจากโบสถ์มานี่ อาตมาโดนเขาทุบหลัง แถมด่าใส่หูมาว่า "ไอ้ห่..มึงชกผิดฟอร์มนี่หว่า" ปกติอาตมาเป็นคนฟัดหลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ประจำ แต่งานนั้นไปปกป้องท่านไว้ ปกติแล้วคนผิดอาตมาไม่คบ งานนั้นที่ต้องรักษาเอาไว้ ต้อง ให้เหตุผลท่านไปว่า "พวกเราจะเตะตูดกันเองในระหว่างลูกพ่อดี หรือจะให้คนอื่นมาขี่คอดี ?" หลวงพี่ท่านนั้นก็บอกว่า "ก็เตะตูดกันเองสิวะ" "นั่นแหละ..ผมถึงได้ต้องรักษาหลวงพี่อนันต์เอาไว้ เพราะถ้าพวกเราเอาท่านออก ไม่ให้เป็นเจ้าอาวาส ในจังหวัดเขาจ้องอยากได้วัดท่าซุงอยู่แล้ว เพราะเป็นวัดใหญ่ มีผลประโยชน์มาก เขาจะอ้างว่าพวกเราทะเลาะเบาะแว้ง ปกครองกันเองไม่ได้ แล้วส่งคนของเขาเข้ามา ถ้าคนของเขาเข้ามา ก็มาขี่คอพวกเรา"

คืนนั้นยังมีการล่ารายชื่อกันอีก จะปลดหลวงพี่อนันต์ออกจากเจ้าอาวาส แต่ปรากฏว่าบัญชีรายชื่อเขาจะให้อาตมาเซ็นเป็นคนแรก เพราะช่วงสี่พรรษาสุดท้าย อาตมาทำงานแบบไม่กลัวเปลืองตัว ชนกับบรรดาทุจริตจนกระทั่งเขาพังไป ๓-๔ ราย หลวงพ่อก็เลยเรียกใช้อยู่คนเดียว ทำให้บรรดาพี่ ๆ น้อง ๆ จำนวนหนึ่งเขาเห็นดีเห็นงามด้วย กลายเป็นว่าถ้าอาตมาบอกซ้ายหันขวาหัน พระเกือบทั้งวัดจะหันมาหมด

บุคคลที่มาล่ารายชื่อคือท่านตี๋ ซึ่งบวชพรรษาเดียวกันแต่คนละรุ่น ถือรายชื่อมาถึง "หลวงเฮีย..เซ็นหน่อยสิ เขาจะเอาพี่นันต์ออกจากตำแหน่งว่ะ" อาตมาดูรายชื่อยังไม่มีใครเซ็นสักคน ก็มองทะลุตั้งแต่ต้นยันปลายเลย ด้วยความสนิทกันมาตั้งแต่ฆราวาส จึงบอกท่านว่า "ไอ้ตี๋..มึงรู้หรือเปล่าว่าเขาหลอกใช้มึง งานนี้ถ้ามึงทำสำเร็จ มึงก็แค่เสมอตัว แต่ถ้ามึงทำไม่สำเร็จ มึงเป็นหมาอยู่คนเดียว เพราะเขาถือว่ามึงเป็นคนนำ มึงเชื่อไหมว่าถ้ากูไม่เซ็นเสียคน ในวัดจะไม่มีพระรูปไหนเซ็นเลย" อาตี๋ก็นั่งตาปริบ ๆ "มึงไปลองได้เลย"

แกหายไปประมาณชั่วโมงกว่า กลับมา ขยำกระดาษขว้างลงพื้น "ไอ้ห่..พระมันหลอกกันขนาดนี้เลยหรือวะ ?" "มึงเชื่อกูหรือยัง ?" อาตมาโทรหาหลวงพี่อนันต์ตอนนั้นเลย "ผมอยู่ไม่ได้แล้วครับ ตราบใดที่ผมอยู่ เขาต้องการผมไปเป็นพวก เขาก็จะเล่นหลวงพี่ไม่เลิก วัดจะไม่สงบ ถ้าผมไปเสีย กำลังของสองฝ่ายใกล้เคียงกัน ทำอะไรกันไม่ได้ ก็จะจบลงไปเอง"

อาตมาก็เลยออกจากวัดตั้งแต่วันนั้นเลย ตอนแรกท่านไม่อนุญาตให้ออกไป ท่านบอกว่า "คุณไปสักเดือนหนึ่งก็แล้วกัน ค่อยกลับมา" "ไม่หรอกครับ ผมไปแล้วไปเลย ไม่ค่อยชอบเดินย้อนรอยเดิม" ท่านบอกว่า "คุณไปแล้วใครจะช่วยผม ?" "พรรคพวกมีตั้งเยอะตั้งแยะครับ ผมไปสักคนเขาไม่มีความหวัง เขาก็เลิกไปเอง" "แล้วจะให้ผมแจ้งกับคณะสงฆ์อย่างไร ?" "บอกไปว่า ผมทำผิดอะไรก็ได้ ใส่ข้อหาให้หนัก ๆ ไปเลย บอกว่าขับผมออกจากวัดไปแล้ว" พอวางหูเสร็จ อาตมาก็ไปเลย จากวันนั้นถึงวันนี้ นอกจากไปกราบหลวงพ่อแล้ว ก็ไม่ได้ไปสุงสิงหรือเสวนากับใครเลย"

เถรี
30-10-2014, 08:46
"เรื่องนี้อาตมาพูดมา ให้โยมแยกให้ออกนะว่าอาตมายังเคารพหลวงพ่อ หลวงพี่ ทุกรูปในวัดท่าซุงอยู่เป็นปกติ เพราะในความเป็นพระของท่าน ศีลของท่านไม่ได้บกพร่องเลย แต่การที่ชิงดีชิงเด่นกัน เป็นเรื่องของกิเลสในใจแต่ละคน ซึ่งอาตมาถือว่าใครวางได้ก่อนก็สบายก่อน กิเลสในใจกับเรื่องศีลของพระ เป็นคนละเรื่องกันนะ ต้องแยกให้ออก

ให้สังเกตว่า อาตมาไปจะกราบท่านได้เต็มมือทุกรูป ยังเคารพกราบไหว้ท่านตามปกติ แต่เรื่องกิเลสนี่ตัวใครตัวมัน ใครวางได้ก็สบายก่อน อาตมาเคยบ่นกับหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า "ความจริงผมอยากจะโทษหลวงพ่อนะ ?" ท่านว่า "ทำไมวะ ?" "หลวงพ่อเคยมีแม่มาก ลูกแต่ละแม่ก็ชิงดีชิงเด่นกัน จนกระทั่งมาเป็นพระแล้ว ยังไม่ค่อยจะนึกถึงสภาพความเป็นพระเลย ยังชิงดีชิงเด่นกันอยู่เหมือนเดิม" โชคดีที่หลวงพ่อไปก่อนแล้ว ถ้ายังเป็น ๆ อยู่มีหวังโดนแน่..!

อาตมาออกจากวัดมา คนที่ไม่เข้าใจและรักอาตมา ก็ด่าหลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์กระจายเลย ส่วนคนที่ไม่ชอบหน้าอาตมาก็ด่าตามหลังอาตมาไป เป็นอะไรที่สนุกมาก จะได้รู้ว่าเรายังแบกอะไรอยู่บ้าง ถ้าเราไม่แบกก็ให้เขาด่า ๆ ไป ต้องบอกว่า หลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ท่านเป็นผู้เสียสละ เพราะคนชอบหน้าอาตมามีเยอะ ก็เลยด่าท่านเสียจมดิน..!

ทุกวันนี้เวลาลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงไปรวมกันหลาย ๆ รูป คุยเรื่องความหลังกันเมื่อไรก็เฮกันไม่จบ เพราะบางทีบางเรื่องแต่ก่อน คุยกันในวัดไม่จบจริง ๆ ต่างคนต่างเก่ง ถึงขนาดเคยปิดห้องจะตีกันมาแล้ว ดันประชุมพระเกือบสามสิบรูป แล้วยัดกันอยู่ในห้องเดียว คุยกันไม่รู้เรื่อง คนนี้ก็จะเดินออกคนนั้นก็จะเดินออก หลวงตาวัชรชัยโดดขวางประตูเลย "ใครออกผมอัด..! ต้องคุยกันให้จบก่อน"

เถรี
30-10-2014, 08:49
"จากที่เล่ามาทำให้เห็นความน่ากลัวของอนุสัย คือ กิเลสที่นองเนื่องในสันดาน ข้ามชาติข้ามภพมาชาติแล้วชาติเล่า ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือนักบวช ไม่ได้ละไม่ได้เว้นเลย อะไรที่กิเลสพอจะจูงจมูกเรา ก็ร้อยรัดให้เราติดอยู่กับวัฏสงสาร ทุกเล่ห์ทุกรูปแบบ คนที่ไม่รู้ไปด่าท่าน หรือว่าคนที่ไม่รู้มาด่าอาตมา จากเสมอตัวนี่แทบไม่มีเลย ไม่ต้องพูดถึงกำไรเลย มีแต่ขาดทุนล้วน ๆ..!

อันดับแรก..ในสภาพของความเป็นพระ ศีลท่านมากกว่าเราอยู่แล้ว ต่อให้ศีลท่านขาดทั้ง ๕ ข้อ ท่านก็ยังเหลือตั้ง ๒๒๒ ข้อ..! คนเรามักจะลืมตรงนี้ อันดับต่อไป..เป็นการทำตนให้ห่างจากมรรคผลไปโดยปริยาย เพราะขาดความเคารพในพระรัตนตรัย โบราณเขาเก่ง เขาถึงบอกว่า ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ ปล่อยให้ท่านไปจัดการกันเอง เราอย่าไปยุ่งด้วย"

เถรี
30-10-2014, 09:00
พระอาจารย์กล่าวถึงมีดหมอเพชราวุธที่จะออกให้บูชาปี ๒๕๕๘ ว่า "กติกาในการจอง ๑ username ต่อ ๑ เล่ม เท่านั้น ห้ามจองเผื่อคนอื่นเด็ดขาด จองหน้าเว็บอย่างเดียว ฝากจองทางโทรศัพท์ก็ไม่ได้ ยังไม่มี username ให้รีบสมัครตั้งแต่บัดนี้ แต่ถ้าสมัครหลาย username เพื่อเอาไว้จอง ตรวจพบจะโดนตัดสิทธิ์ไปเลย เดี๋ยวปีหน้ามีดหมอถึงจะออก ต้องมีประกาศล่วงหน้าก่อนสามวันไหม..ว่าจะเปิดกระทู้เวลาไหน ? ถ้าจองมาเกิน ใครโอนเงินก่อนก็ได้ก่อน ขืนเป็นแบบนี้ผู้รับจองโดนฆ่าตายแน่..!"

เถรี
30-10-2014, 09:02
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ทางคณะสงฆ์ให้ส่งบัญชีรายรับรายจ่ายประจำปีของวัดตอนสิ้นเดือนกันยายน ท่านเจ้าคณะภาค ๑๔ รูปใหม่ คือ หลวงพ่อพระเทพสุธี วัดนิมมานรดี ท่านให้ส่งบัญชีตามปีงบประมาณของราชการ ปกติให้ส่ง ๑ มกราคม - ๓๑ ธันวาคมของทุกปี ปีนี้ท่านให้ส่ง ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗

บัญชีที่วัดติดลบ ๓๗ ล้านบาทเศษ ตัวเลขแดงโร่ อาตมาบอกกับกรรมการวัดว่า "ไม่ต้องกังวล อาตมาไม่รบกวนพวกคุณหรอก อาตมาพ่อรวย ขาดเท่าไรไปเอาจากพ่อได้" จนป่านนี้กรรมการวัดยังสงสัยเลยว่า พ่อของหลวงพ่อเล็กเป็นเศรษฐีอยู่บ้านไหน ?"

เถรี
30-10-2014, 09:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "รู้ไหมว่าที่บ้านสมัยก่อนเขาเลี้ยงหมาดุ ๆ นอกจากเอาไว้กันขโมยแล้ว ยังเป็นการทดสอบความสามารถของว่าที่ลูกเขยด้วย ว่าจะฝ่าเขี้ยวหมาเข้าไปหาลูกสาวบ้านนั้นได้หรือเปล่า ? ใครใช้คาถาเมตตาได้ผล ใครหนังเหนียวประเภทยืนให้หมากัดไปจนเหนื่อยเดี๋ยวก็เลิกไปเอง หรือใครจะใช้คาถาหัวใจราชสีห์ เดินเข้าไปหมาร้องเอ๋งวิ่งหนีหมดทั้งฝูง ถ้าใครสามารถเข้าไปโดยที่หมาไม่ยุ่งไม่วอแวด้วย ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม ว่าที่พ่อตาก็ต้องพิจารณาแล้ว ว่าคนนี้สามารถที่จะดูแลคุ้มครองรักษาลูกสาวของตนได้

เมื่อวานมีข่าวว่า โจรเอาไก่ย่างคลุกยาให้หมาพิทบูลกิน เพื่อนหมาตายไปสองตัว แต่พิทบูลตัวนี้นอกจากไม่ตายแล้ว ยังฟัดโจรจนกระจายเลย เจ้าของกลับมาเอาส่งโรงพยาบาล ล้างท้องไม่ทัน"

เถรี
30-10-2014, 09:15
ถาม : หนุมานของหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ ?
ตอบ : หลวงพ่อสุ่น วัดศาลากุน ที่นนทบุรี ไม่ใช่หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ จังหวัดสุพรรณบุรี

ถาม : หนุมานมีคุณด้านไหนคะ ?
ตอบ : หนุมานสมัยก่อนท่านเอาเคล็ดว่าเป็นผู้ไม่ตาย ทำอะไรก็สำเร็จ ลองไปอ่านรามเกียรติ์ตั้งแต่ต้นจนจบดูว่า มีเรื่องไหนที่หนุมานอาสาแล้วไม่สำเร็จบ้าง สำเร็จทุกเรื่อง ต่อให้โดนทำร้ายหนักแค่ไหน ถ้าถึงแก่ชีวิต ลมพัดมาก็ฟื้นใหม่ เขาก็เลยเอาเคล็ดตรงที่เป็นผู้ไม่ตายและทำอะไรสำเร็จ มาสร้างหนุมาน

สมัยก่อนจะมีหลวงพ่อสุ่น วัดศาลากุน หนุมานของท่านจะเอาดีจริง ๆ ต้องแกะจากรากพุดซ้อน หลวงพ่อสุ่นจะปลูกต้นพุดซ้อน ตอนเช้า ๆ เสกน้ำล้างหน้าและรดไปด้วย พอถึงเวลาจะทำการพลี ก็คือทำพิธีขอกับต้นไม้ เอาเฉพาะรากที่ชอนไปทิศตะวันออก ขุดมาตากแห้งแล้วให้ลูกศิษย์แกะเป็นรูปลิง ตอนหลังต้นพุดก็ไม่ใช่ว่าจะปลูกโตได้เร็วทันใจ จึงกลายเป็นมาแกะด้วยงา

แล้วก็มีของหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว จังหวัดฉะเชิงเทรา สร้างลิงจับหลัก เพราะลิงของท่านจะถือกระบอง และหลวงพ่อเชย วัดบางกระสอบ จังหวัดสมุทรปราการ ท่านสร้างเป็นองคต รุ่นหลังก็ต้องหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จังหวัดระยอง ของท่านหล่อเป็นโลหะ แล้วก็มาของหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม ท่านสร้างเป็นลูกอมหนุมานครองเมือง

เถรี
30-10-2014, 09:20
พระอาจารย์กล่าวว่า "โบราณเขามีมหาอำนาจพระยาครุฑ เอาไว้ปกครองคน ถ้าเป็นผู้นำคนก็ควรที่จะมีไว้ ของสายเราก็พระหลวงปู่ปานพิมพ์ขี่ครุฑไปเลย"

เถรี
30-10-2014, 09:21
:4672615:เก็บตกเดือนตุลาคมปี ๕๗ หมดแล้วค่ะ:4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน

สุธรรม
12-12-2016, 02:06
ไม่มี ร. เรือตัวหลังแน่นอนมั่นใจสุด ๆ

:onion_you: ส้นตี..แน่ะครับมั่นใจสุด ๆ เอ็งเคยเห็นหนังสือสุทธิของท่านหรือวะ ?