เถรี
26-08-2014, 08:45
ให้ทุกคนขยับนั่งในท่าที่ถนัดและสบายของตัวเอง ตั้งกายให้ตรง เอาความรู้สึกทั้งหมดของเราจับอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น พุทโธ นะมะพะธะ สัมมาอรหัง พองหนอ-ยุบหนอ ตลอดจนตัวบทพระคาถาใด ๆ ที่เราเคยใช้จนกระทั่งขึ้นใจแล้ว ให้ใช้คำภาวนาเดิม เพราะว่าการเปลี่ยนคำภาวนาบ่อย ๆ สภาพจิตไม่เคยชิน ก็จะทำให้สมาธิทรงตัวได้ยาก
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ เมื่อครู่นี้ที่ได้ปรารภกันถึงในเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ถ้าท่านทั้งหลายปฏิบัติไปแล้ว หมั่นพินิจพิจารณาให้เห็นสภาพความเป็นจริงของร่างกาย อย่างที่บอกกล่าววิธีการไปแล้วตั้งแต่วันก่อนโน้น จนกระทั่งเห็นว่าสภาพร่างกายนี้จริง ๆ แล้วไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา สักแต่ว่าประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้เราได้อาศัยอยู่ชั่วคราว
ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ทุกข์ของการเกิด ทุกข์ของการแก่ ทุกข์ของการเจ็บ ทุกข์ของการตาย ทุกข์ของการพลัดพลาดจากของรักของชอบใจ ทุกข์ของการปรารถนาไม่สมหวัง ทุกข์ของการกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ เป็นต้น
ดังนั้น..ในเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บนั้น ก็คือทุกข์ของการเจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งมีปกติธรรมดาเกิดขึ้นกับร่างกายนี้ ในเมื่อธรรมดาของร่างกายเป็นเช่นนี้ ถ้าหากว่า สติ สมาธิ ปัญญา ของเราสมบูรณ์พร้อม สภาพจิตก็จะยอมรับ ว่าธรรมดาของร่างกายเป็นเช่นนี้ ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ก็รักษาไปตามหน้าที่ โดยที่จิตใจไม่ได้ไปดิ้นรนกระวนกระวายอยู่กับอาการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น ๆ
ถ้าบางท่านกระทำไป จนถึงขนาดไม่เห็นความดีของร่างกายนี้เลย มีสภาพจิตจดจ่อแน่วแน่อยู่กับพระนิพพานแห่งเดียว อาจจะมีความยินดีเสียด้วยซ้ำไป ที่ร่างกายเจ็บได้ป่วยขึ้นมา เพราะว่า อันดับแรก..ได้เห็นทุกข์อย่างชัดเจน ว่าร่างกายของเรานี้มีแต่ความทุกข์จริง ๆ อันดับที่สอง..ได้เห็นธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า สภาพร่างกายของเราเกิดมาต้องเป็นเช่นนี้ และลำดับสุดท้าย...ถ้าอาการเจ็บไข้ได้ป่วยมีมากจนร่างกายทนไม่ไหว แตกดับลงไป เจ้าของร่างก็จะได้ไปอยู่ที่พระนิพพานตามที่ตนเองต้องการ
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ เมื่อครู่นี้ที่ได้ปรารภกันถึงในเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ถ้าท่านทั้งหลายปฏิบัติไปแล้ว หมั่นพินิจพิจารณาให้เห็นสภาพความเป็นจริงของร่างกาย อย่างที่บอกกล่าววิธีการไปแล้วตั้งแต่วันก่อนโน้น จนกระทั่งเห็นว่าสภาพร่างกายนี้จริง ๆ แล้วไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา สักแต่ว่าประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้เราได้อาศัยอยู่ชั่วคราว
ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ทุกข์ของการเกิด ทุกข์ของการแก่ ทุกข์ของการเจ็บ ทุกข์ของการตาย ทุกข์ของการพลัดพลาดจากของรักของชอบใจ ทุกข์ของการปรารถนาไม่สมหวัง ทุกข์ของการกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ เป็นต้น
ดังนั้น..ในเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บนั้น ก็คือทุกข์ของการเจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งมีปกติธรรมดาเกิดขึ้นกับร่างกายนี้ ในเมื่อธรรมดาของร่างกายเป็นเช่นนี้ ถ้าหากว่า สติ สมาธิ ปัญญา ของเราสมบูรณ์พร้อม สภาพจิตก็จะยอมรับ ว่าธรรมดาของร่างกายเป็นเช่นนี้ ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ก็รักษาไปตามหน้าที่ โดยที่จิตใจไม่ได้ไปดิ้นรนกระวนกระวายอยู่กับอาการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น ๆ
ถ้าบางท่านกระทำไป จนถึงขนาดไม่เห็นความดีของร่างกายนี้เลย มีสภาพจิตจดจ่อแน่วแน่อยู่กับพระนิพพานแห่งเดียว อาจจะมีความยินดีเสียด้วยซ้ำไป ที่ร่างกายเจ็บได้ป่วยขึ้นมา เพราะว่า อันดับแรก..ได้เห็นทุกข์อย่างชัดเจน ว่าร่างกายของเรานี้มีแต่ความทุกข์จริง ๆ อันดับที่สอง..ได้เห็นธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า สภาพร่างกายของเราเกิดมาต้องเป็นเช่นนี้ และลำดับสุดท้าย...ถ้าอาการเจ็บไข้ได้ป่วยมีมากจนร่างกายทนไม่ไหว แตกดับลงไป เจ้าของร่างก็จะได้ไปอยู่ที่พระนิพพานตามที่ตนเองต้องการ