เถรี
10-07-2014, 14:40
ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตน ตั้งกายให้ตรง กำหนดสติ คือความรู้สึกทั้งหมดของเราอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ ที่เราถนัดมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ เมื่อครู่นี้ได้กล่าวถึงการที่พระฉันนะท่านว่ายากสอนยาก จนพระพุทธเจ้าก่อนจะปรินิพพาน ต้องสั่งให้คณะสงฆ์ลงพรหมทัณฑ์ ต้องเรียกว่าเพื่อดัดนิสัย และยังโชคดีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นสัพพัญญู พระองค์ท่านรู้จริงว่า ถ้าสั่งลงโทษอย่างนั้นแล้ว พระฉันนะจะได้สำนึก แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม จนบรรลุอรหัตผล
ที่กล่าวในเรื่องนี้ก็เพราะว่า จะให้พวกเราทุกคนได้สำรวจตัวเองดูว่า ในการปฏิบัติธรรมของเรานั้น เราได้หลุดพ้นจากสังโยชน์ หรือว่าโดนสังโยชน์ร้อยรัดอยู่ จนไม่สามารถที่จะหลุดรอดไปไหนได้ สังโยชน์ที่เราจะพึงพิจารณาอยู่เสมอ ๆ เอาแค่ ๓ ข้อใหญ่ ๆ ก็คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และ สีลัพพตปรามาส
สมัยที่ยังอยู่ที่วัดท่าซุง พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงสั่งให้พระทุกรูป เขียนสังโยชน์ ๑๐ ติดไว้ที่หัวเตียง พิจารณาอยู่ทุกวัน ว่าเรายังมีสังโยชน์ตัวไหนที่ร้อยรัดเราอยู่ เมื่อทบทวนทุกวัน รู้จุดบกพร่องของตนเอง จะได้แก้ไขได้ คราวนี้สังโยชน์ ๑๐ อาจจะมากเกินกำลังของญาติโยมทั้งหลาย จึงขอกล่าวแค่สังโยชน์ ๓ เท่านั้น
สักกายทิฏฐินั้นเป็นตัวหนึ่งที่ทำให้เราถือตัวถือตน และถ้าหากว่าถือตัวมาก ๆ ก็จะมีการแบกมานะ ซึ่งเป็นสังโยชน์ใหญ่เพิ่มเข้าไปอีกตัวหนึ่งด้วย ความถือตัวถือตนในที่นี้ก็คือว่า เราดีกว่าเขา แต่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสแค่ว่า เราดีกว่าเขา การถือว่าเราเสมอเขา เราดีเท่าเขา ก็เป็นสังโยชน์เครื่องร้อยรัดเช่นกัน ในขณะเดียวกัน เราด้อยกว่าเขา เราสู้เขาไม่ได้ ก็เป็นสังโยชน์เช่นกัน เนื่องจากว่าเป็นการยึดถือ โดยเอาตัวตนของตนเป็นศูนย์กลางเหมือน ๆ กัน
เมื่อเป็นเช่นนั้นทุกท่านก็ต้องพินิจพิจารณาดูว่า ตั้งแต่เราปฏิบัติธรรมมา เราสามารถละพยศ ลดมานะลงไปได้เท่าไร
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ เมื่อครู่นี้ได้กล่าวถึงการที่พระฉันนะท่านว่ายากสอนยาก จนพระพุทธเจ้าก่อนจะปรินิพพาน ต้องสั่งให้คณะสงฆ์ลงพรหมทัณฑ์ ต้องเรียกว่าเพื่อดัดนิสัย และยังโชคดีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นสัพพัญญู พระองค์ท่านรู้จริงว่า ถ้าสั่งลงโทษอย่างนั้นแล้ว พระฉันนะจะได้สำนึก แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม จนบรรลุอรหัตผล
ที่กล่าวในเรื่องนี้ก็เพราะว่า จะให้พวกเราทุกคนได้สำรวจตัวเองดูว่า ในการปฏิบัติธรรมของเรานั้น เราได้หลุดพ้นจากสังโยชน์ หรือว่าโดนสังโยชน์ร้อยรัดอยู่ จนไม่สามารถที่จะหลุดรอดไปไหนได้ สังโยชน์ที่เราจะพึงพิจารณาอยู่เสมอ ๆ เอาแค่ ๓ ข้อใหญ่ ๆ ก็คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และ สีลัพพตปรามาส
สมัยที่ยังอยู่ที่วัดท่าซุง พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงสั่งให้พระทุกรูป เขียนสังโยชน์ ๑๐ ติดไว้ที่หัวเตียง พิจารณาอยู่ทุกวัน ว่าเรายังมีสังโยชน์ตัวไหนที่ร้อยรัดเราอยู่ เมื่อทบทวนทุกวัน รู้จุดบกพร่องของตนเอง จะได้แก้ไขได้ คราวนี้สังโยชน์ ๑๐ อาจจะมากเกินกำลังของญาติโยมทั้งหลาย จึงขอกล่าวแค่สังโยชน์ ๓ เท่านั้น
สักกายทิฏฐินั้นเป็นตัวหนึ่งที่ทำให้เราถือตัวถือตน และถ้าหากว่าถือตัวมาก ๆ ก็จะมีการแบกมานะ ซึ่งเป็นสังโยชน์ใหญ่เพิ่มเข้าไปอีกตัวหนึ่งด้วย ความถือตัวถือตนในที่นี้ก็คือว่า เราดีกว่าเขา แต่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสแค่ว่า เราดีกว่าเขา การถือว่าเราเสมอเขา เราดีเท่าเขา ก็เป็นสังโยชน์เครื่องร้อยรัดเช่นกัน ในขณะเดียวกัน เราด้อยกว่าเขา เราสู้เขาไม่ได้ ก็เป็นสังโยชน์เช่นกัน เนื่องจากว่าเป็นการยึดถือ โดยเอาตัวตนของตนเป็นศูนย์กลางเหมือน ๆ กัน
เมื่อเป็นเช่นนั้นทุกท่านก็ต้องพินิจพิจารณาดูว่า ตั้งแต่เราปฏิบัติธรรมมา เราสามารถละพยศ ลดมานะลงไปได้เท่าไร