PDA

View Full Version : เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๗


เถรี
29-06-2014, 22:09
ให้ทุกคนนั่งตัวตรง กำหนดความรู้สึกไว้ที่ลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้า.. ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก.. ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจออกมา จะกำหนดการกระทบสามฐาน เจ็ดฐาน หรือรู้ตลอดกองลมก็ได้ตามความถนัดของเรา ให้ใช้คำภาวนาที่เราเคยชินมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๗ ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา อาตมาเองก็ป่วยหนัก ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ญาติโยมทั้งหลายจะได้เห็นว่า อาการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นจะมีแก่เราเป็นปกติ

สภาพร่างกายของเรานี้เหมือนกับเสือร้าย เราเลี้ยงเสือเอาไว้ เผลอเมื่อไรเสือก็กัดเรา ทำร้ายเรา อย่างน้อย ๆ ร่างกายนี้ก็เรียกร้องอาหารวันละ ๓ มื้อบ้าง ๒ มื้อบ้าง หิวต้องหาให้เขากิน กระหายต้องหาให้เขาดื่ม ปวดอุจจาระ ปัสสาวะต้องพาไปเข้าห้องน้ำห้องส้วม ร้อนต้องหาเครื่องมือมาบรรเทาให้ เย็นเกินไปก็ต้องหาเครื่องมือช่วยให้อบอุ่น เจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องรักษาพยาบาล

เถรี
29-06-2014, 22:10
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นความทุกข์ทั้งสิ้น ไม่มีใครหลีกเลี่ยงพ้น จะเห็นได้ว่าแม้แต่ในยุคสมัยนี้ที่การแพทย์เจริญก้าวหน้ามาก ๆ แล้วก็ตาม เด็ก ๆ พอเกิดขึ้นมา แพทย์ก็จะกำหนดไว้แล้วว่าวันใด เดือนใด ปีใด จะต้องไปหยอดวัคซีน ไปฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก โปลิโอ เป็นต้น ซึ่งเด็กตัวเล็ก ๆ ยังไม่ทันจะรู้ภาษา ก็ต้องไปเจ็บตัวให้หมอฉีดยาเสียแล้ว

บางท่านถึงขนาดพาลูกไปตัดต่อมทอนซิลออกตั้งแต่เด็ก เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเป็นไข้ ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจผิด ต่อมทอนซิลเหมือนกับทหารยาม เมื่อมีศัตรูบุกรุกก็ต่อต้านไว้ เมื่อต่อต้านไม่ไหวก็แสดงออกด้วยอาการเป็นไข้ เราไปเอาทหารยามออก ถ้าข้าศึกบุกเข้ามามาก ๆ อาการก็จะหนักไปเลยทีเดียว ซึ่งเรียกว่ารู้ตัวเมื่อสายไปแล้ว อาจจะรักษาไม่ทันก็ได้ ดังนั้น..ถ้าหากเป็นรุ่นอาตมา โตขึ้นมาเล็กน้อย ก็ต้องมีการฉีดวัคซีนกันวัณโรค มีการปลูกฝีกันฝีดาษ

เถรี
30-06-2014, 08:25
เราจะได้เห็นว่า แม้การแพทย์ของเราจะรู้เท่าทันโรคภัยไข้เจ็บ สามารถหาวัคซีน หายามาป้องกันเอาไว้ก็ตาม เชื้อโรคก็ยังพัฒนาไปอยู่เสมอ ดังนั้นในปัจจุบันของเราก็จะมีไข้หวัดนก ไข้หวัดหมู ไข้หวัดมรณะ โรคซาร์ ไวรัสอีโบล่า ไวรัสเมอร์ส เป็นต้น ซึ่งทำลายชีวิตผู้คนไปครั้งละมาก ๆ

เมื่อทุกคนเห็นดังนี้ ก็จะรู้ได้ว่าการดำรงชีวิตของเรานั้น อยู่ท่ามกลางอันตรายอยู่ตลอดเวลา อาจจะถึงแก่ชีวิตลงไปเมื่อไรก็ไม่รู้ เพราะเราเกิดมาเมื่อใด ก็จะพบแต่อาการโรคภัยไข้เจ็บที่น่ากลัว น่ารังเกียจเช่นนี้ ตั้งแต่เล็กจนโต ซึ่งก็ไม่แน่ว่าเราจะเอาตัวรอดไปได้สักกี่ครั้ง ถ้าหากไปเจอโรคภัยไข้เจ็บแบบใหม่ที่เชื้อแรง ก็อาจจะเป็นหนึ่งในจำนวนผู้เสียชีวิตสังเวยโรคแบบใหม่นั้นไป

ดังนั้น..การดำรงชีวิตอยู่ของเรา เหมือนกับเดินอยู่บนคมหอกคมดาบ เหมือนกับต่อสู้ฝ่าฟันอยู่ในหมู่ข้าศึกที่รายล้อมอยู่ พลาดเมื่อไร ตายเมื่อนั้น เกิดมากี่ชาติก็เป็นเช่นนี้ ทุกคนควรจะถามว่า ตัวเราเองยังต้องการการเกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ เต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บอย่างนี้อีกหรือไม่ ? ถ้าหากว่าเราไม่ต้องการเกิด เราควรจะไปที่ใด ? ซึ่งก็มีที่เดียวที่ปราศจากความทุกข์โดยสิ้นเชิง นั่นคือพระนิพพาน

เถรี
30-06-2014, 08:30
ถ้าทุกท่านต้องการจะไปพระนิพพาน อันดับแรกต้องมีศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล หรือถ้าจะให้ดีกว่านั้น ถ้าสามารถพัฒนาขึ้นไปเป็นการรักษากรรมบถ ๑๐ ได้ก็จะยิ่งดี หลังจากนั้นก็ต้องทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง และมีปัญญารู้อยู่เสมอว่า เราต้องตายแน่นอน ความตายจะมาถึงเราเมื่อไรก็ตาม เราพร้อมที่จะไปพระนิพพาน

การที่พวกเราจะไปพระนิพพาน ก็ต้องยึดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เพราะว่าพระองค์ท่านสถิตอยู่ ณ พระนิพพาน ถ้าอย่างนั้นเราจึงควรนึกถึงรูปพุทธนิมิตองค์ใดองค์หนึ่งที่เรารักเราชอบ ว่านั่นเป็นภาพแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน ตั้งใจว่าหากเราสิ้นอายุขัยตายลงไปก็ดี เจ็บไข้ได้ป่วยตายลงไปก็ดี เกิดอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ ตายลงไปก็ดี เราขอไปอยู่กับองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระนิพพานแห่งเดียวเท่านั้น

เมื่อมาถึงตรงจุดนี้แล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายกำหนดดู กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกของตนเองควบไปด้วย ถ้ายังมีลมหายอยู่ให้กำหนดรู้ลมหายใจ ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ ให้กำหนดรู้คำภาวนาไปด้วย ถ้าคำภาวนาขาดหายไป ลมหายใจหมดไป ก็กำหนดรู้อยู่เฉย ๆ ว่าเป็นเช่นนั้น อย่าดิ้นรนให้เป็นอย่างนั้นและอย่าไปหายใจใหม่ ถ้าเราสามารถวางกำลังใจนิ่ง ๆ ตามดูตามรู้อย่างเดียวได้ สภาพจิตก็จะดำเนินไปสู่สมาธิที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป

ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๗

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าอ่อน)