PDA

View Full Version : เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗


เถรี
27-05-2014, 15:27
ขอให้ทุกคนขยับนั่งในท่าที่สบายของตน กำหนดความรู้สึกทั้งหมดไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าออกยาว ๆ สัก ๒ – ๓ ครั้งเพื่อระบายลมหยาบให้หมด หลังจากนั้นก็ปล่อยให้การหายใจเป็นไปโดยธรรมชาติ เพียงแต่เอาความรู้สึกกำหนดรู้ตามลมหายใจของเราไปด้วย หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมออกมา จะกำหนดการกระทบฐานเดียว สามฐาน เจ็ดฐาน หรือกำหนดรู้ตลอดกองลมก็ได้ จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ตามที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ วันนี้อยากให้ทุกท่านทบทวนว่า การปฏิบัติธรรมของเราที่ผ่านมานั้น หาความก้าวหน้าไม่ได้หรือไม่สามารถรักษาระดับเอาไว้ได้ เป็นเพราะเราขาดการปฏิบัติอย่างไร ?

ลองนึกไปถึงตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมา ทันทีที่รู้สึกตัว เรานึกถึงภาพพระพร้อมกับลมหายใจเข้าออกได้หรือไม่ ? เรามีการทบทวนศีลทุกสิกขาบทของเราหรือไม่ ? เราได้ตั้งกำลังใจไว้หรือไม่ว่า ถ้าหากว่าวันนี้ชีวิตของเราสิ้นสุดลง เราจะไปที่ไหน ?

ระหว่างที่เราอาบน้ำแต่งตัวก็ดี เตรียมข้าวปลาอาหารก็ดี เรามีความรู้สึกว่า การกระทำอย่างนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตหรือเปล่า ? ถ้าเป็นการกระทำครั้งสุดท้ายในชีวิต แล้วเราตายลงไปตอนนี้ เราคิดว่าเราจะไปที่ไหน ? ระหว่างที่เดินทางไปทำงาน ไม่ว่าจะอยู่บนรถไฟก็ดี รถเมล์ก็ดี รถแท็กซี่หรือรถส่วนตัวก็ตาม เรากำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกของเราได้หรือไม่ ? เรากำหนดภาพพระของเราได้หรือไม่ ? จิตของเราเกาะพระนิพพานเป็นปกติหรือไม่ ?

ระหว่างที่ทำงานอยู่ เรามีความรู้ตัวทั่วพร้อมหรือไม่ ? คิดบ้างหรือไม่ว่า ถ้าเราทำงานครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย เราควรจะทุ่มเทให้เต็มที่ เพื่อให้ผลงานนั้นออกมาให้ดีที่สุด ถ้าเราตายลงไป จะได้เป็นการจากไปอย่างสง่างามที่สุด เพราะเราทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้กับการงานอย่างเต็มที่แล้ว ถึงอยู่คนเขาก็เกรงใจ ถึงไปคนเขาก็คิดถึง

เถรี
29-05-2014, 18:22
ในระหว่างที่พักกินอาหารกลางวัน เรามีเวลาเกาะลมหายใจเข้าออกบ้างหรือไม่ ? เราเห็นทุกข์เห็นโทษของร่างกายที่เรียกร้องอาหารอย่างน้อยวันละ ๓ มื้อบ้างหรือไม่ ? เห็นความทุกข์ที่กินเสร็จแล้วต้องไปทำความสะอาด แปรงฟัน เข้าห้องน้ำ หรือไม่ ?

เมื่อถึงเวลากลับเข้ามาทำงานใหม่ เรารู้สึกหรือไม่ว่างานที่เราทำนั้นเราต้องทำให้ดีที่สุด บุคคลที่มีเวลาน้อย ชีวิตจะตายลงไปเมื่อไรก็ไม่รู้แน่ เราต้องทุ่มเทสร้างผลงานให้ดีที่สุด ฝากชื่อไว้กับโลกนี้ว่าไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้นำหลักธรรมมาประยุกต์ใช้ในการทำงาน ถึงตายลงไปแหงนหน้าก็ไม่อายฟ้า ก้มหน้าก็ไม่อายดิน

เมื่อเลิกงานเดินทางกลับบ้าน เราคิดบ้างหรือไม่ว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิต เราจะไปไหน ? กลับถึงบ้านไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดบ้าน ซักเสื้อผ้า หุงข้าว อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าก็ตาม แม้กระทั่งกำลังกินอาหารอยู่ เรานึกรู้ถึงลมหายใจเข้าออกหรือคำภาวนาได้หรือไม่ ? สามารถกำหนดภาพพระไว้ได้หรือไม่ ?

ก่อนนอนเรามีเวลาทบทวนศีลทุกสิกขาบทของเรา ว่ามีข้อบกพร่องตรงที่ใดบ้างหรือไม่ ? ถ้าจุดใดบกพร่อง ให้ตั้งใจว่าตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ ถ้าเราหมดอายุขัยตายลงไป หรือเกิดอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ ตายลงไปในคืนนี้ เราขอไปอยู่ที่พระนิพพานแห่งเดียว เราสามารถกำหนดกำลังใจได้อย่างนี้หรือไม่ ? เมื่อนอนลงก่อนที่จะหลับ เราจับลมหายใจเข้าออก จับภาพพระ หรือเกาะพระนิพพานได้หรือไม่ ?

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราสามารถทำได้พร้อมกับการทำหน้าที่ในชีวิตประจำวัน ไม่มีอะไรขัดขวางกันเลย ทุกอย่างจะหนุนเสริมกันไปหมด ถ้าเรามีสติอยู่เฉพาะหน้า งานการทุกอย่างก็จะออกมาดีเลิศ ถ้ากำลังใจของเราเกาะความดีใน ศีล สมาธิ ปัญญา เกาะพระพุทธเจ้า เกาะพระนิพพานไว้ เราก็ไม่ต้องกระทบกระทั่งกับใคร

ถ้าเป้าหมายในการดำเนินชีวิตเราชัดเจน ก็คือทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ตายลงไปเมื่อไรเราขอไปอยู่ที่พระนิพพานแห่งเดียว ก็นับว่าท่านทั้งหลายไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ปฏิบัติธรรมแล้วน้อมนำไปใช้ในชีวิตประจำวันของตน ลำดับต่อไปขอให้ทุกคนตั้งใจภาวนาหรือพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าอ่อน)