PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๗


เถรี
12-05-2014, 13:06
ถาม : ผมอยากทราบว่า ถือศีล ๘ สามารถดูทีวี ดูหนัง ดูละคร ฟังเพลง เล่นเกมส์ได้ไหมครับ ?
ตอบ : เด็ก ๘ ขวบถามหรืออย่างไร ? ไม่รู้เลยหรือว่าศีล ๘ ห้ามเรื่องพวกนี้ทั้งหมด ?

เถรี
12-05-2014, 13:07
ถาม : เนื่องด้วยผมมีความสงสัยในพระวินัยในบางข้อ สมัยที่ผมบวชเกิดอารมณ์ฟุ้งซ่าน ไปหยิบก้นบุหรี่ที่เขาทิ้งไว้แล้ว รู้ว่าไม่มีเจ้าของ คิดเล่น ๆ ว่าจะขโมย อย่างนี้ศีลผมจะขาดไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีเจ้าของ แล้วไปขโมยใครล่ะ ? เขาเรียกว่าไม่มีอะไรจะทำ ไปฟุ้งซ่านหานรก..!

เถรี
12-05-2014, 13:09
ถาม : ตอนนั้นอารมณ์ใจผมเลวมาก ตอนนอนครึ่งหลับครึ่งตื่นทำน้ำอสุจิให้เคลื่อน วันรุ่งขึ้นผมเข้าปริวาสกรรมโดยไม่ได้บอกใครเลย คิดว่าเข้าปริวาสก็ถือว่าสงฆ์ทั้งหลายรับทราบอยู่แล้ว อย่างนี้จะมีผลสมบูรณ์ ในการแก้อาบัติไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มี...เพราะต้องแจ้งแก่คณะสงฆ์ก่อน แล้วคณะสงฆ์จึงจัดปริวาสกรรมให้ แต่ถ้าเราถือว่าวัดที่เราไปเข้าปริวาสเป็นคณะสงฆ์ก็มีผลเหมือนกัน เพียงแต่ว่าทางวัดต้นสังกัดตนเองจะรับรู้และยอมไหม ?

เถรี
12-05-2014, 13:11
ถาม : เรื่องการปลงอาบัติ ถ้าเราสึกมาแล้วจำได้ว่ามีอาบัติบางตัวที่เราพลาดไปยังไม่ได้ปลง เราเป็นฆราวาสไปขอปลงกับพระภิกษุจะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ต้องลองดู เผื่อว่าท่านจะรับ อาบัติเขาปลงกันระหว่างพระเท่านั้น เณรยังไม่ได้เลย

ถาม : ถ้าเราปลงอาบัติแล้วแต่ใช้วิธีคิดรวมว่าอาบัติที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจก็ดี ก่อนสึกจะมีผลไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าอาบัติหนักปลงไม่ได้ ถ้าอาบัติเบาท่านใช้คำว่า สัมพะหุลา นานาวัตถุกาโย ก็รวมทั้งหมดอยู่แล้ว

เถรี
12-05-2014, 13:12
ถาม : สมมุติว่าไปที่วัด เห็นคนถวายสังฆทานมีพระพุทธรูปเป็นประธาน ผมเอาเงินหยอดตู้ คิดว่าได้ถวายแบบเขาแล้วจะได้บุญเหมือนอย่างเขาทุกประการไหมครับ ? คือไม่ได้ยกไปถวายครับหยอดตู้อย่างเดียว
ตอบ : อาจได้บุญมากกว่า ถ้าคนที่ยกไปถวายเกิดโมโหขึ้นมาว่าทำไมชุดสังฆทานหนักแท้ ก็แปลว่ากำลังใจของคนถวายนั้นตก เนื่องจากว่าจิตมัวหมอง แต่ตัวเราเองไปหยอดตู้สบาย ๆ ตั้งใจถวายเป็นสังฆทานอาจจะได้บุญมากกว่าด้วย เพราะใจเราไม่ได้ตกอย่างเขา

เถรี
12-05-2014, 13:14
ถาม : กราบเรียนถามถึงความเป็นมาของยาครูพม่าและอานุภาพครับ ?
ตอบ : อยากรู้ไปทำอะไร..! ส่วนใหญ่แล้วทางพม่าจะมีวิชาการเกี่ยวกับการหลอมปรอท ทำปรอทสำเร็จ วัตถุว่านยาหลายอย่างที่รวบรวมมา เมื่อเหลือจากการหลอมปรอทแล้ว เขาเชื่อว่าเป็นยาที่สามารถรักษาสารพัดโรคได้ ส่วนใหญ่แล้วส่วนที่เหลือเขาจะปั้นเป็นรูปเจดีย์เล็ก ๆ แล้วปิดทองเอาไว้บูชามากกว่า แต่ถ้ามีคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยไปขอ ท่านก็อาจจะแบ่งให้ปันให้

คราวนี้ในเรื่องของยาครูพม่าจริง ๆ ต้องบอกว่ามีน้อยกว่าน้อย เพราะว่าคนที่สำเร็จปรอทในปัจจุบันไม่ใช่ว่าจะมีมากมาย อาตมาเองก็เพิ่งเจอมาแค่ ๓ - ๔ รายเท่านั้น ฉะนั้น..ถ้ามีใครเอายาครูพม่ามา แล้วก็บอกว่ามาจากพม่าอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องดูที่มาให้ชัด ๆ ไม่อย่างนั้นก็ฟันธงไปเลยว่าของปลอม..!

เถรี
12-05-2014, 19:47
ถาม : บุคคลในโลกนี้แล้ว ส่วนใหญ่กำลังใจยังไม่เข้มแข็งพอ เมื่อได้มาอ่านหนังสือหรือเห็นรูปพระอาจารย์ในอินเตอร์เน็ตเกิดมีความเลื่อมใส แต่ไม่สามารถมาพบเจอด้วยตัวเองได้ เนื่องจากอาจจะอยู่ไกล หรือต้องประกอบอาชีพการงาน ทำให้ปลีกตัวมาพบเจอได้ยาก อยากจะฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและระลึกถึง พระอาจารย์มีหลักเกณฑ์อย่างไรบ้างกับการฝากตัวเป็นศิษย์ครับ?
ตอบ : หลักเกณฑ์ข้อที่ ๑ ต้องรู้จักกัน ข้อที่ ๒ ต้องเคยได้ยินเขาพูดถึงแล้วเลื่อมใส ข้อที่ ๓ ต้องยึดแนวทางไปปฏิบัติจริง ๆ

เถรี
12-05-2014, 19:48
ถาม : ตะกรุดมหาสะท้อนจะต้องทำด้วยวัสดุมีค่า ที่มีน้ำหนักอย่างต่ำ ๑ บาท เช่น แผ่นเงินหนัก ๑ บาท เป็นต้น จึงจะมีผล แต่ถ้ามานำหลอมเป็นชนวนจัดทำวัตถุมงคลใหม่ ทำไมถึงมีผลมหาสะท้อนไปได้อีกเยอะหลาย ๆ องค์ครับ ? (พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน รุ่น ๑ ที่มีชนวนตะกรุดมหาสะท้อน)
ตอบ : จริง ๆ ก็มีคำตอบอยู่แล้วนะ ก็เพราะว่าพระไม่ใช่ตะกรุด..! ในเมื่อพระไม่ใช่ตะกรุดก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหนัก ๑ บาท

เถรี
12-05-2014, 19:50
ถาม : หากความตั้งใจเดิมของผม อยากจะค่อย ๆ สะสมเงินในธนาคารตั้งใจจะสร้างวิหารทานในตอนชรา เช่น สร้างวัด เป็นต้น แต่ผมสามารถเปลี่ยนใจที่จะนำเงินเหล่านั้นมาทำวิหารทานในตอนนี้ได้ไหมครับ ? เพราะคิดเเล้วว่ายุ่งยาก และไม่รู้จะตายก่อนหรือไม่ และหากกระทำดังกล่าวจะมีโทษประการใดหรือไม่ ?
ตอบ : มีโทษมาก เขาอาจจะส่งไปพระนิพพาน..! การที่เราตั้งใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ถ้าลงมือทำเลยถือว่าไม่ประมาท แต่ถ้าไปคิดว่าอีก ๕ ปี ๑๐ ข้างหน้าจะทำ ถ้าเกิดเราตายเสียก่อนจะไม่ได้ทำสิ่งนั้น ฉะนั้น..ถ้าเร่งทำเสียก่อนถือว่าเป็นผู้มีปัญญา ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต

เถรี
12-05-2014, 19:54
ถาม : เนื่องจากพบว่าข้อมูลคำสอนเรื่องอาชีพผู้พิพากษาซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการตัดสินคดีและลงโทษผู้กระทำผิดตามกฎหมาย มีคำสอนออกเป็น ๒ แนวทาง แนวทางหนึ่งอธิบายว่า แม้จะตัดสินคดีลงโทษผู้อื่น เช่น ปรับ จำคุก หรือในคดีแพ่งพิพากษาให้ใช้ค่าเสียหาย ก็ไม่เป็นบาป เพราะกระทำตามหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติ

ส่วนอีกแนวทางหนึ่งอธิบายว่า แม้จะทำตามหน้าที่ แต่เป็นหน้าที่ตามกฎหมาย ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับกฎแห่งกรรม ดังนั้น..การตัดสินคดีลงโทษผู้อื่น เช่น ปรับ จำคุก หรือในคดีแพ่งพิพากษาให้ใช้ค่าเสียหาย ย่อมเป็นการสร้างบาปอกุศล และแนวทางนี้ยังยกเรื่องพระเตมีย์ชาดกมาอ้างอิงด้วย จึงขอเรียนสอบถามพระอาจารย์ว่า คำสอนที่ถูกต้อง ควรเป็นเช่นไร ?

ตอบ : ทั้ง ๒ แนวทางที่ว่ามาถูกทั้งหมด ขึ้นอยู่กับการวางกำลังใจของตน ถ้าวางกำลังใจแบบภรรยาของพรานกุกุกฏมิตรซึ่งเป็นพระโสดาบัน สามีที่เป็นพรานก็บอก “แม่อีหนูส่งบ่วงเชือกมา แม่อีหนูส่งแหลนมา” ซึ่งตนเองจะไปล่าสัตว์ ภรรยาของพรานกุกุกฏมิตรซึ่งเป็นพระโสดาบันก็ส่งทุกสิ่งทุกอย่างให้ตามที่สามีบอก พระท่านไปเห็นเข้าก็แปลกใจว่า ทำไมพระโสดาบันยังสนับสนุนการฆ่าสัตว์อยู่ ไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกให้ไปถามตรงกับเธอเอง

เมื่อไปถามเข้า เธอตอบว่า เธอเป็นภรรยา มีหน้าที่ทำตามคำสั่งสามี สามีให้ส่งบ่วงเชือกก็ส่งให้ ให้ส่งแหลนก็ส่งให้ แต่ไม่รับรู้ว่าสามีจะไปทำอะไร ฉะนั้น..เรื่องของการพิพากษา ถ้าหากว่าเราตัดกำลังใจได้แบบนั้น ก็คือเราทำตามหน้าที่ ว่าไปตามข้อเท็จจริง เมื่อพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่แล้วก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ถือว่ามีบาป เนื่องจากว่าไม่ได้โกรธ ไม่ได้เคืองแค้นแล้วจะไปตัดสินในลักษณะกลั่นแกล้งลงโทษ

แต่ถ้าหากว่าตัดกำลังใจไม่ได้ คิดอยู่เสมอว่าเราไปลงโทษเขา เราไปทำให้เขาลำบาก ทำให้เขาเดือดร้อน จิตใจของตัวเองก็เศร้าหมอง ถึงเวลาก็ต้องรับโทษตามนั้นเพราะใจเศร้าหมองไปแล้ว ฉะนั้น..ที่ถามมาทั้ง ๒ แนวทาง ขึ้นอยู่กับว่าเราวางกำลังใจถูกหรือไม่ ถ้าวางกำลังใจถูกก็ไม่บาป ถ้าวางกำลังใจผิดก็เจอบาปไปเต็ม ๆ

เถรี
13-05-2014, 11:24
ถาม : ในการขอพรพระคำข้าว ให้ใช้ดอกกุหลาบ ๓ สี อย่างละ ๑๐ ดอก โดยมีสีขาวสีเหลือง และสีแดง แต่ในกรณีที่กุหลาบสีเหลืองหายาก ถ้าใช้สีอื่นทดแทนจะให้ผลเสมอกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าพระ พรหมหรือเทวดา ท่านว่าอย่างไรให้ทำอย่างนั้น ถ้านอกเหนือจากคำสั่งจะไม่มีผลเลย

เถรี
13-05-2014, 11:25
ถาม : สถานที่สัปปายะ มีผลต่อการปฏิบัติไหมคะ ? แล้วถ้าเราอยู่ในสถานที่ที่ไม่สัปปายะจะทำให้การปฏิบัติของเราล่าช้าจริงหรือไม่คะ ?
ตอบ : ใคร ๆ เขาก็รู้ว่าสถานที่สัปปายะมีส่วนหนุนเสริมในการปฏิบัติอย่างยิ่ง สถานที่ ๆ ไม่เป็นสัปปายะเหมาะสำหรับบุคคลที่กำลังใจมั่นคงแล้วเท่านั้น ไม่อย่างนั้นโอกาสที่จะปฏิบัติให้มีผลก็น้อย

เถรี
13-05-2014, 11:25
ถาม : มีคนบอกว่าการที่เราเล่นเฟซบุ๊กหรืออินสตราแกรม แล้ววุ่นวายอยู่กับการเปลี่ยนรูปตนเองหรืออวดภาพตนเอง นั่นเป็นเพราะเราหลงในรูปซึ่งเป็นขันธ์ ๕ จริงอย่างเขาว่าหรือไม่คะ ?
ตอบ : ไม่ใช่เขาว่า อาตมาว่าเอง คำถามนี้ไม่ต้องตอบ

เถรี
13-05-2014, 11:26
ถาม : การที่เราพยายามดูแลรูปร่างของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายเพื่อให้หุ่นฟิต เฟิร์มหรือมีกล้ามแผงหน้าอก เราจะรู้ได้อย่างไรว่านั่นเป็นเพราะเราต้องการให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นโรคภัยง่าย ๆ หรือเป็นเพราะว่าเราหลงในขันธ์ ๕ อยากมีร่างกายที่สวยงาม ?
ตอบ : ถ้าตัวเองทำเพื่ออะไรยังไม่รู้ ก็ไปเกิดใหม่ซะ..!

เถรี
13-05-2014, 11:28
ถาม : ท่านที่ปฏิบัติเพื่อละกิเลส โดยเข้าไปสู่ป่า ปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา แต่ไม่มีโอกาสได้ทำทานในส่วนของปัจจัย เป็นเพราะท่านตัดใจเรื่องทานโดยเอาแค่ศีล สมาธิ ปัญญาเท่านั้นหรือคะ ถึงทำใจอยู่ในป่าได้ ?
ตอบ : ไปถามท่านเอง เรื่องของทานไม่ใช่เรื่องของทรัพย์สินสิ่งของอย่างเดียว แม้กระทั่งการละความโกรธก็จัดเป็นอภัยทานเช่นกัน บุคคลก่อนที่จะก้าวมาถึงเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา ต้องให้ทานมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว เพราะว่าการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นไปตามลำดับกำลังใจ

ถ้าเป็นบารมีต้นให้ทานได้ รักษาศีลจะบอกว่าไม่ไหว ถ้าเป็นบารมีกลางให้ทานได้ รักษาศีลได้ แต่ให้ภาวนาจะบอกว่าไม่ไหวเช่นกัน ต้องเป็นปรมัตถบารมีเท่านั้นจึงจะสามารถที่จะให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาได้ ดังนั้น..ถ้าใครอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญาแปลว่าทำทานมาจนนับไม่ถ้วนแล้ว สามารถที่จะปฏิบัติเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา โดยไม่ต้องมีทานอีกก็ได้

เถรี
13-05-2014, 11:46
ถาม : เวลาที่เรากราบพระ เราควรวางกำลังใจอย่างไรดีคะ จึงจะได้อานิสงส์สูงสุด ?
ตอบ : สาธุ..ขอให้ถูกรางวัลที่ ๑..! ก็ตั้งใจว่าท่านอยู่บนพระนิพพาน เรากราบท่านก็คือเราอยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านก็คือเราอยู่บนพระนิพพาน..ก็จบ

ถาม : เวลาพระอาจารย์เดินทางไปกราบพระตามวัดต่าง ๆ พระอาจารย์อธิษฐานว่าอย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : เหมือนกัน สาธุขอให้ถูกรางวัลที่ ๑..!

ถาม : เวลาพระอาจารย์เดินทางไปกราบพระพุทธรูปสำคัญ ๆ หรือว่าพระประธาน พระอาจารย์สวดบทสวดมนต์ใดถวายบ้างเจ้าค่ะ ?
ตอบ : อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ เป็นหลัก ถ้ามีเวลามากก็เพิ่มพระคาถาเงินล้านเข้าไปด้วย

เถรี
13-05-2014, 11:46
ถาม : หากเดินทางไปจังหวัดขอนแก่น ขอเมตตาพระอาจารย์แนะนำครูบาอาจารย์ที่เราควรไปกราบแล้วเรามั่นใจว่าท่านสอนถูก
ตอบ : อาตมาไม่ใช่ตราประทับที่จะไปรับรองใคร เพราะฉะนั้น..ให้ไปเสี่ยงดวงกันเอาเอง ไม่ใช่มักง่ายมาถาม ยกเว้นว่าถ้าเผลอบอกไปก็ช่วยไม่ได้..!

เถรี
13-05-2014, 11:48
ในเรื่องของคำถามพื้นฐาน อย่างเช่นว่าศีล ๘ หรือว่าเรื่องของความเป็นสัปปายะคือเหมาะสมกับสถานที่ เป็นเรื่องมักง่ายมากที่มาถาม ข้อมูลมีท่วมโลกอยู่แล้ว แต่ไม่ได้คิดจะไปค้นคว้ากัน เขาเรียกว่าอาศัยความมักง่าย พอใกล้ก็ถาม ถ้าหากว่าเจ้าตัวมาถามใกล้ ๆ จะได้รางวัล จะ "เป่ายัน" รอบพิเศษให้..!

เถรี
14-05-2014, 11:13
ถาม : กรณีที่เขาสมาทานศีล ๘ โดยที่ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง ?
ตอบ : ถ้าไม่รู้ว่ามีอะไร ก็แปลว่าไม่ได้ตั้งใจที่จะละเว้น ไม่ได้ตั้งใจที่จะละเว้นอานิสงส์ก็ไม่มี ศีล ๘ ก็คือศีล ๕ บวกไปอีก ๔ ข้อ อ้าว...เป็น ๘ ได้อย่างไร ? คือ ข้อที่ ๑ เว้นจาการฆ่าสัตว์หรือทำร้ายสัตว์ให้ลำบากโดยเจตนา ข้อที่ ๒ เว้นจากการลักขโมยหรือหยิบฉวยสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้

ข้อที่ ๓ เว้นจากการสัมผัสระหว่างเพศ คนที่เคร่งครัดจริง ๆ สมัยก่อนเขาแยกตัวไปนอนต่างหากเลย อย่างเช่นว่าไปนอนถืออุโบสถศีลที่วัด หรือหลายบ้านก็แยกไปนอนในห้องพระสักคนหนึ่ง ข้อที่ ๔ คืองดเว้นจากการโกหกเช่นกัน แต่ถ้าจะให้ดีก็ให้เว้นจากการพูดคำหยาบ เว้นจากการพูดส่อเสียด และเว้นการพูดเพ้อเจ้อที่ไร้ประโยชน์ด้วย ข้อที่ ๕ เว้นจากสุรายาเสพติดทั้งปวง

ข้อที่ ๖ เว้นจากการกินอาหารหลังเที่ยงไปแล้ว เพื่อที่จะไม่ต้องมาวิตกกังวลว่า จะต้องเตรียมอาหารอีกมื้อหนึ่ง ขณะเดียวกันร่างกายที่เว้นจากอาหาร เลือดลมเดินคล่องตัว การภาวนาก็จะได้ผลดียิ่งขึ้น ข้อที่ ๗ บวกกับข้อที่ ๘ รวมเป็น ๑ ข้อ ก็คือเว้นจากการดูการละเล่น ขับร้อง ฟ้อนรำ ประโคมดนตรี เว้นจากการตกแต่งร่างกาย หรือว่าประดับด้วยเครื่องประดับที่มีค่า เว้นจากของหอมเครื่องย้อมเครื่องทาทั้งหมด ข้อที่ ๘ จริง ๆ เป็นศีลข้อที่ ๙ ของสามเณร ก็คือเว้นจากที่นอนสูง ที่นอนใหญ่ ที่ภายในยัดด้วยนุ่นและสำลี

ถ้าอยู่ในสถานที่ซึ่งไม่แน่ใจว่าคนมีความเข้าใจหรือเปล่า ก็ควรที่จะแปลให้ญาติโยมเขาฟังด้วย เมื่อช่วงประมาณ ๒ อาทิตย์ที่ผ่านมา มีคณะญาติโยมจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตไปทำบุญที่วัดท่าขนุน เมื่อสมาทานศีลอาตมาก็แปลศีลให้ฟังด้วย เพราะมั่นใจว่าที่สมาทานส่วนใหญ่ไม่รู้หรอกว่าศีลจริง ๆ เป็นอย่างไร เรียกว่าทำตามพิธีกรรมเท่านั้น

ศีลเป็นพื้นฐานของสมาธิและปัญญา ถ้าศีลไม่ทรงตัว สมาธิจะไม่เกิด การที่เราระมัดระวังรักษาศีลอยู่ทุกอิริยาบถ ก็คือการฝึกสมาธินั่นเอง ขณะเดียวกันถ้าไม่มีสมาธิ ก็จะไม่มีสิ่งที่จะมายับยั้งชั่งใจของตัวเองในการที่จะละเมิดศีล ดังนั้น...การรักษาศีลสร้างสมาธิให้เกิด เมื่อสมาธิเกิดจะมาช่วยระงับยับยั้งใจของตนเองในการรักษาศีลอีกทีหนึ่ง

เถรี
14-05-2014, 11:15
เมื่อมีศีล มีสมาธิ ถ้าสมาธิทรงตัวถึงระดับหนึ่ง ปัญญาก็จะเกิดขึ้น จะเห็นช่องทางว่า ควรจะทำอย่างไรแนวทางการปฏิบัติของตนจึงจะเจริญก้าวหน้าไปเรื่อย เมื่อถึงเวลาแล้วปัญญาก็จะคุมศีลให้ละเอียดยิ่งขึ้นไป ศีลยิ่งละเอียดสมาธิก็ยิ่งทรงตัว สมาธิยิ่งทรงตัวปัญญาก็ยิ่งเกิด ท้ายสุดก็จะเกิดความเบื่อหน่าย ไม่อยากมีร่างกายนี้ ไม่อยากเกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้ ถ้าจิตใจปล่อยวางได้จริง ๆ ไม่ยึดติดกับสิ่งทั้งปวง ก็สามารถที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์ไปสู่พระนิพพานได้

ปัจจุบันมีหลายรายแสดงความรู้แบบเพี้ยน ๆ อยู่ตามเว็บพระพุทธศาสนาต่าง ๆ โดยเฉพาะเว็บพลังจิต อธิบายในลักษณะว่าพระโสดาบันรักษาศีล พระอนาคามีเจริญสมาธิ พระอรหันต์เจริญปัญญา แสดงว่าเข้าใจผิด เป็นมิจฉาทิฐิเต็ม ๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นกัลยาณชนหรือพระอริยเจ้าก็ตาม ต้องปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาทั้งนั้น ขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ย่อมไม่สามารถเข้าถึงความดีระดับสูงได้

ในเรื่องของการปฏิบัติเป็นเรื่องที่น่ากลัว น่ากลัวตรงที่ว่าหลงผิดได้ง่าย การหลงผิดนั้นส่วนใหญ่แล้วหลงผิดเพราะว่าเข้าถึงธรรมส่วนใดส่วนหนึ่ง แล้วไปยึดมั่นถือมั่นว่านั่นคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเรา เหมือนอย่างกับว่าตนเองมีแสงสว่างเท่าหิ่งห้อย แล้วก็เที่ยวบอกกล่าวว่าพระอาทิตย์สว่างแค่นี้ เท่ากับเป็นการกล่าวตู่พระพุทธเจ้า มีแต่จะสร้างโทษให้เกิดกับตัวเองมากขึ้น

แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็เป็นเรื่องที่ตักเตือนกันได้ยาก เพราะว่าบุคคลมักจะมีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตนเองรู้เห็น ถ้าไม่สามารถชี้แจงแสดงเหตุได้อย่างถ่องแท้จริง ๆ มักจะไม่ยอมรับ แล้วกลายเป็นถกเถียงกัน วิวาทะกัน ในเมื่อเกิดวิวาทะขึ้นมา รัก โลภ โกรธ หลงต่าง ๆ ก็ประดังประเดเข้ามา กว่าจะรู้ตัวก็ไหลตามกิเลสไปไกลแล้ว ดังนั้น..เรื่องการปฏิบัติธรรมะ ถ้าไม่ใช่ธรรมสากัจฉา คืออยู่ในลักษณะที่สนทนาธรรมเพื่อหวังความเจริญแล้ว ก็ไม่ควรที่จะเอาไปคุยข่มทับถมกัน

เถรี
14-05-2014, 11:18
อย่างเมื่อตอนบ่ายมีโยมถามว่า “ไม่เข้าใจว่าทำไมปฏิบัติธรรมแล้วต้องปิดจริยาตัวเอง ?” อาตมาบอกไปว่า สมมุติว่าคุณรักษาศีล ๘ แล้วไม่กินอาหารเย็น พอมีคนชักชวนก็บอกว่า “ไม่กินหรอก เรารักษาศีล ๘” ถ้าคนนั้นเข้าใจก็ดีไป แต่ถ้าเขาไม่เข้าใจ พูดปรามาสมาคำเดียวโทษใหญ่ก็จะเกิดกับเขา แต่ถ้าเราอ้อม ๆ เลี่ยง ๆ ไปว่าระยะนี้ไม่กินข้าวเย็น น้ำหนักมากแล้ว คนจะให้การยอมรับมากกว่า

ดังนั้น..เรื่องของการปฏิบัติธรรม ยิ่งปฏิบัติไปก็จะยิ่งมีปัญญา จะรู้ว่าต้องทำอย่างไรที่เราจะอยู่ในโลกได้โดยที่ไม่ติดอยู่กับโลก ท้ายสุดก็สามารถทำตัวเหมือนน้ำกลิ้งบนใบบัวใบบอน ก็คือแม้จะอยู่กับใบบัวใบบอนก็ไม่ได้ติดกับใบบัวใบบอนทั้งหลายเหล่านั้น เพื่อนชวนกินเหล้าก็ไม่จำเป็นต้องไปบอกว่าเราไม่กินเพราะรักษาศีล แต่อาจจะบอกว่าแพ้แอลกอฮอล์ กินไม่ได้ก็ว่าไป

โลกเรากลัวคนดี ปัจจุบันนี้แกะดำมีมาก ถ้าแกะดำหลุดไปอยู่ในฝูงแกะขาวก็ไม่มีอันตราย แต่ถ้าเราไปเป็นแกะขาวอยู่ในฝูงแกะดำก็เตรียมตัวเดือดร้อนได้ มีโยมอยู่คนหนึ่ง ปัจจุบันนี้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ แต่ว่านาน ๆ ก็โทรมาหาอาตมาทีหนึ่ง เพราะเขาบอกว่าปฏิบัติธรรมในศาสนาพุทธแล้วอยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้ เนื่องจากว่าในที่ทำงาน ทุกคนต่างก็อยู่ในลักษณะเหมือนกับรังแกเขา แต่ความจริงแล้วเขาเข้าใจผิด ทำงานอยู่ผู้บังคับบัญชาถามเรื่องงานก็ไม่พูด เพราะกลัวว่าจะผิดกรรมบถ ๑๐ ลองคิดดูว่าคนประเภทนี้จะเจริญในศาสนาไหนได้บ้าง ?

เขาเรียกว่าเถรตรงจนเกินไป ถ้าเป็นในบาลีเขาบอกว่าปฏิบัติในมูคปฏิปทา คือทำตัวเป็นคนใบ้ ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสแล้วว่าไม่มีประโยชน์ เพราะแม้ปากเราจะไม่พูด แต่ใจของเราก็คิดปรุงแต่งฟุ้งซ่านไปต่าง ๆ นานา ฉะนั้น...ระมัดระวังไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวบางคนอาจต้องเปลี่ยนศาสนาอีก ต้องบอกว่าบุคคลที่กล่าวถึง เป็นคนที่เอาจริงเอาจังและทุ่มเท คนทั้งหลายเหล่านี้ถ้าปฏิบัติธรรมจะได้ผลเร็ว แต่เนื่องจากปัญญาน้อยไปนิดหนึ่ง จึงโดนมารชักจูงจนหลงทางไปได้ ทำให้เข้าใจว่าสิ่งที่ปฏิบัติอยู่ทำให้ตนเองเดือดร้อน ก็เลยไปหาศาสนาใหม่

คาดว่าถ้ากุศลไม่ส่งคงจะหลงไปนานอีกหลายกัป ต้องบอกว่าเขายังไม่รู้จักการที่จะพลิกแพลงในการปฏิบัติธรรม ในเมื่อพลิกแพลงไม่เป็น ถึงเวลาไปชนตอเข้าก็คิดว่าไปต่อไม่ได้แล้ว ทั้ง ๆ ที่เดินอ้อมหน่อยเดียวก็พ้นตอไปแล้ว

เถรี
16-05-2014, 19:32
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครจะไปบวชที่วัดท่าขนุน จะหวังให้พระอุปัชฌาย์อาจารย์บอกทีละคำ..ไม่ต้องหวัง ท่องไม่ได้ก็คือไม่ต้องบวช คนเก่ง ๆ หลายคน ตอนท่องจำท่องได้ พอจะเข้าไปบวชแล้วประหม่า..ลืมหมด ท่านไม่เคยชิน เข้าไปถึงเห็นแต่พระเหลืองไปหมด นึกไม่ออกว่าจะพูดอะไร จะว่าอะไร"

ถาม : ผมก็เป็นเหมือนกันครับ ต้องแก้อย่างไร ? (ประหม่า)
ตอบ : ไปตายซะ..! เพราะเราไปปรุงแต่งล่วงหน้า แค่อย่าไปคิดล่วงหน้า สมาธิจดจ่ออยู่กับปัจจุบันของเราก็จบแล้ว ส่วนใหญ่แล้วจะไปคิดโน่นคิดนี่ พอคิดแล้วก็ลืมเรื่องตรงหน้า แม้กระทั่งพระกำลังให้ศีลอยู่ก็เหมือนกัน พอให้ ๆ ไปแล้วให้ผิด ก็แปลว่าไปคิดเรื่องอื่น ถ้าใจจดจ่ออยู่กับการให้ศีลตรงหน้าจะไม่ผิด

เดี๋ยวนี้น้อยรายที่บวชแล้วจะอยู่นาน เพราะส่วนใหญ่จะมีงานมีการอยู่ แต่ยังดีที่วัดท่าขนุนมีพระบวชแล้วที่อยู่นาน แต่ว่าปัจจุบันพระพรรษามากมีน้อย พออายุกาลพรรษาเกิน ๕ ขึ้นไปเขาก็มักจะมาขอไปเป็นเจ้าอาวาส ปีนี้ก็ขอไป ๒ รูป คือพระปลัดคมสันต์ ธมฺมรโส กับท่านฐิติ ฐิติโก ท่านปลัดคมสันต์ไปอยู่ที่วังน้ำเขียว สำนักสงฆ์ป่าโพธิ์เฉลิมพระเกียรติ ส่วนท่านฐิติอยู่ที่สีคิ้ว ไปแข่งกับคุณสรพงศ์ ชื่อสำนักสงฆ์สุธรรมาราม ถามว่าเอาชื่อใครมาตั้ง เขาบอกว่าชื่ออาจารย์ครับ..!

ที่วัดก็เลยจะลำบากอยู่เรื่องหนึ่ง คือพระที่รู้งาน ใช้งานได้ มักจะโดนขอตัวไปหมด ก็ต้องมาเริ่มฝึกพระใหม่ ก็กลายเป็นว่าฝึกใหม่อยู่เรื่อย ๆ ที่วัดปฏิบัติตามพระวินัย คือบวชแล้วถ้ายังไม่ได้ ๕ พรรษา พระอุปัชฌาย์อาจารย์ยังไม่ให้นิสัยมุตตกะ คือยังไม่พ้นจากการสั่งสอน จะยังไม่ให้ไปอยู่ที่อื่น ต้องกัดฟันทนอยู่ไปก่อน ก็แปลว่าถ้าจะไปอยู่ที่อื่นต้องให้พรรษาอย่างน้อยพ้น ๕ ไป พระอาจารย์พิจารณาแล้วว่าสมควรจะให้ไปได้ มีหลายรายที่ใจร้อน พอไม่ให้ไปก็แอบหนีไป โดนขึ้นบัญชีหนังหมาไว้หมดแล้ว ประเภทนี้โซเซกลับมาก็ไม่รับคืน

จนกระทั่งมีรายหนึ่งไปไม่รอด เพราะว่าออกไปเป็นเจ้าอาวาส รับผิดชอบตั้งแต่พรรษาแรก ท้ายสุดก็เลยต้องลาสึก จะกลับมาบวชใหม่ทางวัดก็ไม่รับ ก็เลยคิดสั้นผูกคอตายไปเรียบร้อยแล้ว ต้องบอกว่า “ทำตัวเอง” เพราะว่าอาตมาตักเตือนทุกอย่างแล้ว ส่วนใหญ่พระที่ออกไปอยู่ข้างนอกก่อนที่ครูบาอาจารย์จะอนุญาตมักจะอยู่ไม่ไหว เพราะว่าทนแรงเสียดทานไม่ได้ กำลังใจยังไม่เพียงพอ ก็มักจะสึกหาลาเพศกันไป ๒ - ๓ ปีที่ผ่านมาก็มีไปปีละรูป ๒ รูป โดนขึ้นบัญชีบุคคลไม่เป็นที่ปรารถนาของวัดไป เพราะว่าในเมื่อครูบาอาจารย์บอกแล้วไม่ฟังกัน ก็ไม่สมควรที่จะอยู่ร่วมกัน

เถรี
16-05-2014, 20:47
ถาม : น้องสาวเพิ่งเสีย เขานับถือศาสนาคริสต์ ...(ไม่ชัด)..?
ตอบ : คนตายแล้วไม่มีศาสนาหรอกจ้ะ เขาไปที่เดียวกันหมด ถึงเวลาแล้วก็เป็นภพภูมิเดียวกัน ว่าตัวเองจะอยู่ในภพไหน ภูมิไหน คราวนี้ถ้าตัวเองสร้างบุญมาน้อย โดยเฉพาะอยู่ต่างศาสนา พอถึงเวลาเห็นคนมีบุญก็วิ่งไปหา ตอนเป็นมนุษย์อาจจะประเภทหยิ่ง ได้รับคำสอนผิด ๆ ว่าไปยุ่งกับศาสนาอื่นไม่ได้ เดี๋ยวจะตกนรก ตอนตายแล้วเห็นฉลาดกันทุกคน

เพราะว่าความดีที่เขาทำเหมือนกับแสงไฟในความมืด ยิ่งถ้าใครมีบุญสมาธิภาวนา จะสว่างเป็นมากเป็นพิเศษ ก็เหมือนอย่างกับว่าเรามองดูคนก็รู้ว่าคนนี้รวย ก็จะวิ่งไปหา เพียงแต่ว่าวิ่งไปหาก็จริง แต่ว่าบางคนไม่รู้เรื่องเลย บางครั้งโดนกวนทั้งคืน ได้แต่สงสัยว่าทำไมตัวเองนอนไม่หลับ เจ้าพวกนั้นมาทีเป็นพันเป็นหมื่น ถ้าเห็นจริง ๆ อาจจะช็อกตายไปเลย

ผีจะโง่ตอนเป็นคนเท่านั้น ตอนเป็นผีแล้วฉลาดทุกตัว เพราะรู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี ตอนเป็นคนอาจจะเป็นมิจฉาทิฐิ มืดบอดไม่เอาอะไรเลย ตอนเป็นผีนี่เห็นรู้จักความดีกันทั้งนั้น ยกเว้นอย่างเดียวว่าบางคนเขามีฤทธิ์มีอำนาจ ปกครองเขตบางเขตอยู่ ก็อาจจะมืดบอด ไม่อยากให้คนอื่นไปยุ่งกับตัวเอง ไปนึกถึงหมา..เขาจะมีเขตของเขาอยู่ พอคนอื่นเข้ามาก็แฮ่ใส่ ลักษณะเดียวกันเลย

เถรี
20-05-2014, 14:36
ถาม : การสั่งเหล้าผิดไหมคะ ?
ตอบ : สั่งนี่แปลว่าสั่งมาขายใช่ไหม หรือว่าลูกค้าสั่งแล้วเราไปส่งเขา หรือว่าประเภทเรารับใบสั่งแล้วก็เอาเหล้าไปส่ง ?

ถาม : สั่งซื้อค่ะ
ตอบ : สั่งซื้อก็สั่งไปเถอะ ไม่เป็นไร เราไม่ได้บังคับให้เขากิน เขามาซื้อต่อไปเอง แต่จริง ๆ แล้วพระท่านบอกว่าเป็นมิจฉาวณิชชา คืออาชีพที่ไม่ควรทำ เพราะคนที่เข้าใจผิดเขาจะว่าเอาได้ เขาจะคิดว่าเราสนับสนุนให้คนกิน การสั่งเหล้า สั่งเบียร์มาจำหน่าย จะขายก็ขายไป ส่วนเขาจะเอาไปทำอะไรเราอย่าไปรับรู้ก็แล้วกัน หรือไม่ก็ตั้งใจว่าเราขายให้เขาไปทำยา ส่วนเขาจะเอาไปทำอะไรเราไม่รับรู้

ถาม : แล้วการขายหวยละคะ ?
ตอบ : อบายมุขจ้ะ ศีลไม่ผิดแต่ผิดธรรม หนักกว่าอีก การพนันทุกประเภทเป็นอบายมุข อบาย คือทางต่ำ มุขะ คือปากทาง หน้าด่าน หนทางที่พาไปสู่ความตกต่ำ บางทีเราก็สงสัยอย่างลาสเวกัสหรือมาเก๊า เจ้าของบ่อนรวยเอา ๆ แล้วเจ้าของบ่อนได้เล่นที่ไหนเล่า เขาเปิดให้คนอื่นเล่น

ในชีวิตอาตมาเล่นไพ่เก้าเป็น ดรัมมี่เป็น ไฮโลเป็น รู้จักโบกไหม ? โบกลักษณะเหมือนกับกำถั่ว แต่ว่าส่วนใหญ่ใช้เม็ดมะขามหรือเม็ดน้อยหน่า เสร็จแล้วเทลงไปในกระบอกไม้ไผ่ทั้งกำ เขย่า ๆ คว่ำลง ลูกค้าก็แทงไป จะออกหนึ่ง ออกสอง ออกสาม หรือสี่ แล้วเขาก็นับแจงทีละ ๔ เม็ด เขาจะเขี่ยออกมาทีละ ๔ เหลือเศษเท่าไรก็จะเป็น ๑ เป็น ๒ เป็น ๓ หรือสี่ โบราณเขาใช้หอยเบี้ยเล็กมาเล่นกัน คำที่เขาว่า แจงสี่เบี้ย ก็คือพวกเล่นโบกนี่แหละ เพราะว่าถึงเวลาเขาจะเขี่ยทีละ ๔ แล้วเหลือเศษเท่าไรก็เป็นเลขที่ลูกค้าแทงถูก ความจริงมีแค่ ๔ ประตูไม่น่ารวยนะ แต่กินกันหมดเนื้อหมดตัว เพราะโอกาสออก ๔ มีน้อยมาก แค่ ๔ ประตูกินกันหมดเนื้อหมดตัวได้ คราวนี้รู้หรือยังว่าแจงสี่เบี้ยมาจากเล่นการพนันโบกนี่เอง

เถรี
20-05-2014, 14:37
ถาม : ตัดต้นไม้ใหญ่ ต้องหาที่ใหม่ให้เทวดาไหมคะ ?
ตอบ : ควรจะทำให้เขา อยู่ ๆไปรื้อบ้านเขา ก็ต้องหาบ้านไปคืนให้เขา

เถรี
20-05-2014, 14:42
พระอาจารย์กล่าวว่า "การเลี้ยงลูกเราต้องตัดใจให้ได้ ถ้าตัดใจไม่ได้เขาก็จะทำอะไรไม่เป็นสักที ต้องเลี้ยงแบบฝรั่ง อย่าไปป้อนข้าว ให้วางไว้ ถ้าไม่กินหมดเวลาก็เก็บ ๒ มื้อเท่านั้นแหละ เดี๋ยวก็ตะกายไปกินเอง บางคนป้อนเช้า ป้อนกลางวัน ป้อนเย็น ลูกไม่กินแม่นั่งร้องไห้ ส่วนฝรั่งลูกไม่กินแม่ดีใจ ไม่ต้องเสียเวลาจัดให้ ถ้าเรียกไม่มาก็ไปไกล ๆ เลย ปล่อยเขาเถอะ ไม่มีอะไรเสียหรอก เดี๋ยวเขาไม่มีที่ไปเขาก็กลับมาเอง

เด็กฝรั่งตัวเล็กกว่านี้อีก พ่อกับแม่เขาเดินไปข้างหน้า ลูกหยุด เรียกให้ตามมาก็ไม่ตาม เขาเดินหนีเลย ลูกก็ต้องวิ่งตามไปเอง"

เถรี
20-05-2014, 14:43
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทหารตำรวจที่ผ่านการฝึกมาค่อนข้างเข้มงวด จะกลายเป็นบุคลิกเฉพาะ ซึ่งถ้าคนที่ไม่ได้ผ่านการฝึกมา ทำอย่างไรก็ไม่เหมือน ดังนั้น..เวลาคนปลอมตัวเป็นทหารตำรวจ ถ้าไม่ใช่ทหารตำรวจเก่าจริง ๆ บุคลิกไม่ให้หรอก"

เถรี
20-05-2014, 14:45
พระอาจารย์เล่าว่า "ตัดยอดบัญชีศาลาวัดท่าขนุนเดือนนี้ ๒๑ ล้านกว่าบาทแล้ว ยังแค่ที่เห็นนั่นแหละ เพราะว่าพอโครงสร้างเสร็จเหลือเรื่องของรายละเอียด งานจะช้า อย่างเช่นฉาบตกแต่งเสา ประเภทฉาบผนังนี่ครึ่งค่อนวันได้เป็นแถบ แต่แต่งเสานี่บางที ๒ วันไม่ได้ต้นหนึ่ง"

เถรี
21-05-2014, 14:53
ถาม : สัมปะติจฉามิ กับสัมปฏิจฉามิ ในคาถาเงินล้าน ?
ตอบ : ตัวเดียวกัน

ถาม : ที่เขียนให้ถูก ต้องเป็น ?
ตอบ : ฏ. ที่เขียนมานั้นผิดหมด คาถาเขาไม่ให้สงสัย ต่อให้ผิดอย่างไรก็ให้ตั้งใจว่าคาถา ถ้าหากว่าสงสัยแล้วจะไม่ขลัง

เถรี
21-05-2014, 15:03
ถาม : ป่วยเป็นโรค.... จะมีโอกาสหายไหมคะ ?
ตอบ : มีโอกาสหายไหม ? คงต้องถามหมอ อย่าไปกังวลใจ ตั้งหน้าตั้งตาทำความดีของเราไป ถ้าเราเครียดโรคภัยมักจะซ้ำเติม ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปเลย อาตมาเป็นมาลาเรีย ๓๐ กว่าปีแล้ว อยากเป็นก็เป็นไป รักษาได้ก็รักษา รักษาไม่ได้ก็ช่างมัน นี่ไม่ได้กินยาเกี่ยวกับมาลาเรียมา ๓ ปีกว่าแล้ว สุขภาพดีขึ้นเยอะเลย ตอนกินยามาลาเรีย ยาเล่นเอาปางตาย เพราะฉะนั้น..ทำไม่รู้ไม่ชี้ อยู่กับโรคไปเรื่อย ๆ ในเมื่อไล่ไม่ไปก็อยู่เป็นเพื่อนกัน

เถรี
21-05-2014, 15:11
ถาม : เห็นพระอาจารย์จะไปทิเบต แล้วไม่ค่อยมีแบงก์ย่อย ดิฉันก็เลยไปค้นมาค่ะ
ตอบ : ที่ต้องหาธนบัตรใบเล็ก ๆ เวลาไปต่างประเทศ เพราะว่าเจอประสบการณ์ตรง มีใบละร้อยดอลลาร์ ไปซื้อของที่ไหนเขาก็ไม่ขายให้ จนป่านนี้ใบละ ๕๐๐ ยูโรของอาตมายังใช้ไม่ได้เลย เพราะตามแหล่งเที่ยวเขากลัวใบใหญ่ ๆ ถ้าพลาดแล้วเสียเยอะ ตอนนี้เวลาไปต่างประเทศก็ใบละ ๑ ดอลลาร์ ใช้ง่ายที่สุด เต็มที่ไม่เกิน ๕ ดอลลาร์ ๕ ยูโร ถ้าเอาใบใหญ่ ๆ ไปแล้ว นอกจากไม่ทอนแล้ว เขายังไม่รับอีกต่างหาก

ไปเที่ยวยุโรป ๓-๔ ประเทศ ตอนไปมีเงิน ๑,๒๐๐ กว่ายูโร กลับมา ๑,๗๐๐ กว่ายูโร ใช้ไปเรื่อยเปื่อย มาได้อย่างไรก็ไม่รู้ เพื่อนเขาก็ถาม ไม่แลกเงินหรือ ? บอกว่าไม่แลกแล้ว มีเท่าไรใช้แค่นั้น ปรากฏว่าใช้มากกว่าเขาอีกนะ ไปไล่แจกขอทาน กลับมามีเยอะกว่าเดิม รู้อย่างนี้ใช้เยอะกว่านั้นก็ดี โดยเฉพาะชอบไปเดินตามพวกยิปซี ไล่แจกเงิน

อาตมาจะเข้าทิเบต หนังสืออนุญาตการไปเที่ยวทิเบตออกยากมากเลย ของภูฏานที่ออกยากเพราะว่าเขาจำกัดคน แต่ของทิเบตออกยากเพราะว่าทางการจีนกลัวว่าพระจะไปปลุกระดมให้ทิเบตแยกประเทศ ขออยู่เป็นเดือนกว่าจะได้ ไม่ได้เกี่ยวกับวีซ่านะ ต้องเป็นหนังสืออนุญาตเข้าทิเบตต่างหาก เป็น Tibet Entry Permit ต้องทำต่างหาก ถ้าไม่มีไม่ได้เข้า

คราวก่อนที่ไปเซี่ยงไฮ้ปักกิ่งก็เหมือนกัน ปกติวีซ่าจีนเขาจะให้ ๑ เดือน ของพระโดนตัดเหลือ ๑๕ วัน เขากลัวจะไปเผยแพร่ลัทธิบ้า ๆ บอ ๆ ประเภทฝ่าหลุนกงอะไรพวกนั้น อุตส่าห์ลงไว้ชัด ๆ แล้วว่าเป็นนักท่องเที่ยว เขาก็ไม่ฟัง

เถรี
21-05-2014, 15:27
ถาม : หนูควรอธิษฐานอย่างไรคะ ?
ตอบ : อธิษฐานอย่างไร อะไร ๆ ก็เอาพระนิพพานไว้ก่อน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า พระนิพพานเหมือนยอดเขาสูงสุด ก่อนจะถึงยอดสูงสุด เราผ่านไปตามระยะทาง มีอะไรอยู่ก็ได้ทั้งนั้น

เถรี
21-05-2014, 15:30
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้วัดท่าขนุนส่งเรียนปริญญาเอก ๕ ปริญญาโท ๙ ปริญญาตรี ๖ ไม่ต้องพูดถึงระดับประถม มัธยมนะ สรุปว่าแค่เงินเดือนพระ แม่ชี ที่เรียนแต่ละเดือนก็เป็นแสนแล้ว"

เถรี
21-05-2014, 15:32
พระอาจารย์พูดถึงหนังสือตาที่สามว่า "เล่มนี้อาตมาอ่านจบตั้งแต่อยู่ชั้นป.๒ ขอบคุณที่ซื้อมาให้ รู้สึกจะเป็นเล่มที่ ๓ - ๔ ที่มีในครอบครอง เขาเขียนว่าพิมพ์ครั้งแรกปี ๒๕๓๒ แต่อาตมาอ่านประมาณ ๒๕๑๐ ได้ ลงในหนังสือปาจารยาสาร เป็นตอน ๆ อ่านจบตั้งแต่ชั้น ป.๒ แล้ว เคยเปลี่ยนชื่อไปตอนหนึ่ง เป็น โอม มณี ปัทเมหุม แต่ขายดีสู้ชื่อตาที่สามไม่ได้ ก็เลยเปลี่ยนชื่อกลับมาใหม่อีกที

คนเขียนคือ ล็อบซัง รัมปา เขาอยากจะไปฝึกหัดเป็นพระลามะ แต่ว่าพระผู้ใหญ่ตรวจดูแล้วว่า เขาเหมาะที่จะเป็นสายหมอยามากกว่า เขารู้สึกผิดหวังในชีวิตมาก เพราะว่าทุกอย่างที่ฝึกมาเป็นทางสายอิทธิฤทธิ์อภิญญา แต่ว่าตอนหลังดาไลลามะต้องอาศัยเขา เพราะว่าช่วงนั้นพวกฝรั่งกับพวกจีนบีบบังคับทิเบตมาก พวกอังกฤษยึดอินเดีย แล้วจะมายึดทิเบต ส่วนจีนตั้งท่าจะมายึดทิเบต ดาไลลามะก็เลยต้องอาศัยล็อบซัง รัมปา ช่วยดูว่าแต่ละคนที่มา มีความคิดชั่วร้ายอะไรอยู่ในใจหรือเปล่า จะได้เจรจาได้ถูกต้อง ไปหามาอ่านบ้างนะ สนุกดี"

เถรี
22-05-2014, 13:24
ถาม : เวลาเราฝันว่าไปไหนมาไหน เราออกไปจริง ๆ หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ความฝันประกอบด้วย ธาตุวิปริต กรรมนิมิต จิตนิวรณ์ เทพสังหรณ์ ต้องพิจารณาด้วยว่าตอนนั้นเกิดจากอะไร ถ้ากินมากท้องไส้ไม่ดี อาหารไม่ย่อยก็ธาตุวิปริตจึงฝันส่งเดช กรรมนิมิต ความดีความชั่วที่ทำมาแสดงเหตุให้รู้ อยู่ ๆ เห็นไฟลุกท่วมเลย นี่กำลังจะเดือดร้อนแล้ว จิตนิวรณ์ ส่วนใหญ่ก็เก็บความฟุ้งซ่านตอนกลางวันไปฝันตอนกลางคืน เทพสังหรณ์ก็ต้องรอโน่น หลังตี ๒ พอสภาพจิตของเราเริ่มนิ่ง สงบแล้ว มีอะไรที่ท่านสงเคราะห์ได้ก็จะบอกมา ก็จะฝันแล้วแม่น

ช่วงกลางวันส่วนใหญ่แล้วสภาพจิตของเราจะฟุ้งซ่านอยู่ตลอด ถ้าไม่ใช่คนที่ภาวนาจนชินจะเสียหายไปเลย ถ้าคนที่ภาวนาจนชินนี่นิมิตเกิดได้ง่าย

ถาม : ช่วงกลางวัน บางทีท่านก็สงเคราะห์ แต่เรากลับคิดว่าฟุ้งซ่านไปเอง เพราะเห็นแทรกขึ้นมาแวบเดียว ?
ตอบ : ท่านบอกให้แล้ว แต่เราไม่ได้ระวัง

เถรี
22-05-2014, 13:29
พระอาจารย์เล่าว่า "ปลายปีที่แล้วฉวยโอกาสที่ทองลง อาตมาปล้นเงินวัดไปซื้อทอง ติดลบไป ๔ ล้านกว่าบาท แล้วเพิ่งจะมาคืนทุนตอนทำบัญชีเสร็จเมื่อวันที่ ๗ นี่เอง เพราะว่าออกกิจนิมนต์กี่งานจะเทลงบัญชีซื้อทองหมด ไม่อย่างนั้นก็ไม่พอ บัญชีวัตถุมงคล ประมูลวัตถุมงคลในเว็บ แล้วก็ที่ญาติโยมถวายตอนต้นเดือนลักษณะนี้ รวมทั้งออกกิจนิมนต์กี่งาน เทลงไปหมด เพิ่งจะคืนทุน เดี๋ยวมีกำไรแล้วค่อยเป็นหนี้ต่อ ช่วงนี้ทองขึ้น ปล่อยเขาขึ้นไปก่อน เดี๋ยวหล่นลงมาเมื่อไรค่อยกวาดอีกรอบ ต้องรีบหาเงินเข้าบัญชีก่อน

ระยะนี้ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับงานสร้างศาลาร้อยปีหลวงปู่สายอยู่ในช่วงเร่งรัด เหล็กล็อตสุดท้ายต้องซื้อ เหล็กแต่ละล็อตเป็นล้าน ไม่ต้องห่วง ตอนนี้ช่างกำลังเตรียมเรื่องกระเบื้องปูพื้น ลองเดาดูสิต้องใช้กระเบื้องปูพื้นกี่ตารางเมตร ? ตึกกว้าง ๑ ไร่ ๓ ชั้น เท่ากับชั้นละ ๑,๖๐๐ ตารางเมตร ต้องใช้ ๔,๘๐๐ ตารางเมตร..! แล้วก็ระบบไฟช่างกำลังคำนวณอยู่ โดยเฉพาะดวงไฟอาคารนี่ให้ติด ๑ ช่วงเสา หรือ ๑ ช่องเพดานต่อ ๖ ชุด นั่นก็อีกหลายล้าน ยังไม่ได้นับเรื่องอื่นเลยนะ เอาแค่นี้ก่อน

ไปตรวจงานสร้างโรงเรียนเทศบาล เพราะว่าเป็นคณะกรรมการ ต้องคอยไปอนุมัติงบประมาณให้เขา ไปเห็นอาคารโรงเรียนแล้วมาเปรียบกับศาลาที่วัดแล้ว อาคารเรียนของเขาเหลือนิดเดียว

เมื่อวันก่อนให้ช่างทุบตึก ทำแล้วไม่ถูกใจ ทุบไอ้ที่ทำออก เจาะช่องหน้าต่างใหม่ สั่งให้เขาเพิ่มประตูบานหนึ่ง เขาดันตัดหน้าต่างออกไปด้วย ความยาว ๘ เมตร ใส่ประตูลงไปแค่เมตรกว่า ๆ ๑.๒๐ เมตรเท่านั้นเอง ที่เหลืออีก ๖ เมตรกว่าทึบไปเลย ก็เลยให้เขาทุบตึก เจาะช่องใหม่ ใส่หน้าต่างใหม่ จากที่ ๘ ช่องก็เหลือแค่ ๖ ช่อง

ถึงได้เชื่อว่าตึกของเราแข็งแรง เพราะใช้เวลาทุบอยู่ ๓ วัน เนื่องจากว่าอิฐที่ก่อเป็นอิฐแดงก้อนใหญ่พิเศษ ความยาวประมาณ ๑ ศอก แล้วไม่ได้ก่อตามยาว แต่ก่อตามขวาง กำแพงก็เลยหนาประมาณ ๑ ศอก สรุปว่าช่องหน้าต่างหน่อยเดียว ช่างใช้เวลาทั้งตัดทั้งทุบอยู่ ๓ วัน คุยกับพระท่านตอนฉันเพลว่า ผมมั่นใจแล้วว่าตึกของเราแข็งแรง เพราะว่าทุบนี่ไม่ค่อยจะกระดิกเลย พระท่านบอกว่าฟังเสียงทุบ ไม่มีเสียงโปร่ง เสียงหัก เสียงแตกอะไรเลย ทุบตึง ๆ ๆ ให้เขาเอาตัวตัดไฟเบอร์ที่เรียกว่าลูกหมู กรีดตัดเป็นช่อง ตัดเสร็จแล้วก็ทุบออก แต่คราวนี้ที่เขากรีด ก็จะกรีดเข้าไปได้ข้างหนึ่ง ๔ นิ้ว แล้วเราคิดดูว่า ๑ ศอก เข้าไปข้างละ ๔ นิ้ว แล้วตรงกลางจะทำอย่างไร ก็ต้องทุบออกให้ได้

เป็นอะไรที่สนุกสนานกับชีวิตมาก หมดไป ๒๑ ล้านกว่าบาทแล้วยังมีแต่โครงสร้างอยู่เลย ไปนึกถึงหมู่เรือนไทยข้างบนแล้วสยอง ดูท่าต้องเปลี่ยนจากไม้มาเป็นคอนกรีต เรือนไทยคอนกรีตถ้าช่างฝีมือดี ๆ ก็จะทำได้สวย ถ้าฝีมือไม่ดีก็จะออกมาตลก ๆ เพราะจะแข็ง ๆ ถ้าใช้ไม้ก็แพงกว่าคอนกรีตหลายเท่า"

เถรี
22-05-2014, 13:33
"ตอนนี้รับเงินเท่าไรก็ไม่ค่อยจะพอใช้ เพราะว่าค่าแรงช่างเดือนหนึ่งเขาเบิก ๕๐๐,๐๐๐ บาทเป็นปกติอยู่แล้ว สมัยก่อนช่างที่ค่าแรง ๒๐๐, ๒๕๐, ๓๐๐ บาท นี่สุดยอดฝีมือเลย ระดับเป็นเจ้าของกิจการเองได้ สมัยนี้ค่าแรง ๓๐๐ บาท มานั่งคุ้ยแคะแกะเกา ทางเราต้องมาสอนงานทุกอย่าง เพราะค่าแรงขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท

ไปนึกถึงประเทศจีนสมัยที่ยังเป็นคอมมิวนิสต์อยู่ ไปเมืองจีนห่างกัน ๑๐ ปี ของราคาเท่าเดิม อย่างเช่นว่า บะหมี่ชามหนึ่งประมาณ ๑.๕ หยวน อีกสิบปีให้หลังไปกินก็เท่านั้นแหละ แต่สมัยนี้ไม่ได้แล้ว ก็เลยคิดว่าบ้านเราจะหันไปใช้ระบบอย่างนั้นบ้างดีไหม สามารถแช่แข็งระบบของประเทศเอาไว้ได้ แบบเดียวกับทุกวันนี้พม่าแช่แข็งเงินดอลลาร์ อเมริกาอยากไปบอยคอตเขาดีนัก เพราะฉะนั้น..ถ้าจะเอาดอลลาร์ไปแลกเงินตามธนาคาร ๑ ดอลลาร์จะแลกได้ประมาณ ๕ จั๊ต แต่ ๑ บาทไทยแลกได้ ๒๗ จั๊ต เขาก็เลยไปแลกในตลาดมืดกัน เพราะแลกได้เป็นพัน

แต่ของพม่านี่ถ้าจับได้เขาประหารเลยนะ คุณต้องเสี่ยงชีวิตเอาเอง แล้วเงินพม่ามี ๒ แบบ เป็นเงินที่เขาให้แลกโดยตรงกับชาวต่างชาติ กับเป็นเงินที่คนพม่าใช้ทั่วไป เงินที่ให้แลกโดยตรงกับชาวต่างชาติ ไม่สามารถไปซื้อของที่อื่นได้นอกจากตามแหล่งเที่ยว ถ้าอยากแลกเงินที่ใช้ได้ทุกแห่งก็ต้องพึ่งบริการตลาดมืด ถามว่าแลกตลาดมืดได้ที่ไหน ? ไม่ยากหรอก ถ้าหน้าตาเหมือนนักท่องเที่ยวไปเดิน ๆ เกะกะอยู่แถวพระเจดีย์อยู่พักเดียว จะมีคนมาสะกิดถาม “แลกเงินไหม ?” ตำรวจจับไม่ได้หรอก

อาตมาเคยแลกแล้ว พอตกลงกับเขาว่าจะแลก เขากวักมือเรียกแท็กซี่เลย พาขึ้นแท็กซี่วิ่งไปยันไหนก็ไม่รู้ แล้วก็ถามว่าจะแลกเท่าไร แท็กซี่ก็ขับวนไป เขาก็จะโทรศัพท์บอกให้เพื่อนเตรียมเงินเท่านั้นไว้ พอส่งเงินให้เรา เขาลงจากรถ แท็กซี่วิ่งพาเราส่งกลับคืนที่เดิม ตำรวจที่ไหนจะไปจับได้

สมัยอาตมาไปใหม่ ๆ ๑ ดอลลาร์เขาให้ ๕ จั๊ต แต่ในตลาดมืดให้ตั้ง ๓๐๐ กว่าจั๊ต มาระยะหลังนี่ได้ประมาณ ๑,๐๕๐ จั๊ต แปลกอยู่อย่าง พวกเราไม่ชอบดอลลาร์ใบใหญ่ เพราะใช้ยาก แต่พวกตลาดมืดเขาชอบ ถ้าเราแลกใบละ ๑, ๕ ,๑๐ ดอลลาร์จะได้อัตราหนึ่ง แต่ถ้า ๕๐ ดอลลาร์หรือ ๑๐๐ ดอลลาร์จะได้อีกอัตราหนึ่ง จะให้มากกว่า ก็อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ต้องถือเงินเยอะ

พม่าเขาจะมีกฎหมายให้เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ นักการทูต ผู้ที่ลงทะเบียนขายของที่ระลึกแก่ชาวต่างชาติ โรงแรม เขาจะมีสิทธิ์ถือดอลลาร์ได้ นอกนั้นถ้าผิดหูผิดตาเข้ามาก็ติดคุกหัวโต หรือไม่ก็โดนประหารเลย"

เถรี
22-05-2014, 13:36
"อาตมาไปดูพระหยกไว้องค์หนึ่ง ราคา ๘,๐๐๐ ดอลลาร์ ต้องตัดสินใจไม่ซื้อ เป็นหยกสีม่วงอ่อน ใสปิ๊งไม่มีตำหนิเลย อย่างกับหล่อขึ้นมาจากเรซิ่น ต่อบาทเดียวก็ไม่ลด วนไปดูสามรอบสี่รอบ ท้ายสุดไม่เอา ถ้าเงินส่วนตัวมีเยอะขนาดนั้นถึงจะซื้อ คราวนี้ไม่ใช่เงินส่วนตัว เป็นเงินสงฆ์ เงินสงฆ์เอาไปทำอะไรส่งเดชไม่ได้ ซื้อมาของต้องเป็นส่วนตัวของเรา ถ้าเงินส่วนตัวไม่ได้มีมากมายขนาดนั้นนี่ไม่กล้าซื้อหรอก

๘,๐๐๐ ดอลลาร์ซื้อพระพุทธรูปองค์หนึ่ง หน้าตักน่าจะถึง ๗ นิ้ว แต่ยอมรับว่าเป็นหยกที่สวยไม่มีตำหนิจริง ๆ เพียงแต่ว่าหยกของเขา ถ้าไม่ใช่สีเขียวที่เรียกว่า "หยกจักรพรรดิ" หรือว่าเป็นสีขาวทึบที่เขาเรียกว่า "หยกไขมันแพะ" ราคาจะถูก องค์นั้นถ้าเป็นสีเขียวแล้วไร้ตำหนิขนาดนั้นคิดว่าหลายล้านดอลลาร์

ตอนครูบาน้อยมา พาแกไปไหว้พระแก้วมรกต แกไปยืนมอง ๆ แกเคยขายพวกอัญมณี “อาจารย์...ไม่ใช่มรกตหรอก น่าจะเป็นหยกมากกว่า” “ผมก็ว่าใช่ แต่คุณลองคิดดู ถ้าหยกจักรพรรดิใหญ่ขนาดนั้นแล้วไม่มีตำหนิเลย ราคาเท่าไรก็ประเมินไม่ถูก“ อย่าลืมว่าพระแก้วมรกตหน้าตักเกือบ ๑๖ นิ้ว ต่อให้เป็นหยก ถ้าไม่มีตำหนิเลยแล้วหน้าตักขนาดนั้นนี่ ประเมินราคากันไม่ถูกหรอก"

เถรี
22-05-2014, 13:39
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนแผ่นดินไหวมีใครรู้สึกบ้างไหม ? ทองผาภูมิมีต้นมะม่วงใหญ่ล้มไปต้นหนึ่ง ตรงหมวดการทางที่พระเดินบิณฑบาต ล้มปิดทางมิดเลย ต้องเดินอ้อมหนี ไม่ได้เกี่ยวกับแผ่นดินไหวหรอก แต่ล้มเวลาเดียวกันพอดี บิณฑบาตเสร็จมาเขาบอกว่าแผ่นดินไหวที่เชียงราย

ที่ขำที่สุดก็คือคลิปที่เขาส่งมาให้ดู วัดร่องคือที่ครูบาหน่อแก้วฟ้านิมนต์อาตมาไปพุทธาภิเษกเมื่อไม่นานนี้ สามเณรเขากำลังทำวัตรกันอยู่ คราวนี้เขามีกล้องวงจรปิดก็เลยติดภาพมา พอสั่นคึก ๆ ก็มีเสียงบอก "แผ่นดินไหว" แล้วสามเณรคู่หนึ่งลุกพรวดขึ้นวิ่งแน่บ ที่เหลือก็เผ่นตามเกลี้ยงเลย ยังโชคดีที่วิ่งออกไป เพราะว่าอีกไม่กี่นาทีบอร์ดก็ล้มทับตรงนั้นพอดีเลย ไม่รู้เป็นบอร์ดหรือเป็นป้ายที่เขาติดไว้ ต้องบอกว่าธรรมชาติเตือนคุณแล้วนะ

ที่อันตรายที่สุดคือทองผาภูมิ มีรอยเลื่อนด่านเจดีย์สามองค์ รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ ส่วนทองผาภูมิมีรอยเลื่อนบ่องาม กับรอยเลื่อนอะไรก็ไม่รู้ ขนาบทองผาภูมิ ๒ ฝั่งเลย เท่ากับว่าทองผาภูมิเป็นแผ่นดินลอย ๆ อยู่เฉย ๆ เพียงแต่เขาบอกว่ารอยเลื่อนไม่ใหญ่มาก กว้างไม่เกิน ๓ กิโลเมตรเท่านั้น แสดงว่ามีใหญ่กว่านั้น ๓ กิโลเมตรนี่เรือเดินสมุทรร่วงลงไปได้ทั้งลำ หรือว่าเป็นรอยแตกยาว ๆ ๓ กิโลเมตร เราก็ไม่เข้าใจ แบบที่เขาว่ามาไม่มีความเข้าใจ เนื่องจากเป็นเรื่องของธรณีวิทยา แต่มั่นใจอยู่อย่างเดียวว่า ถ้าศาลาใหม่สร้างเสร็จ ต่อให้เขื่อนแตกก็เอาอยู่ ทดสอบคุณภาพแล้ว สั่งเหล็กแต่ละล็อตนี่หลายล้าน นี่ล็อตที่ ๖ กำลังจะสั่งอยู่

ความดีความชั่วที่พวกเราทำเขาไม่ได้ไปไหน เขาสะสมเป็นพลังงานที่น่ากลัว ถึงขนาดทำให้ดินฟ้าอากาศวิปริตแปรปรวนไปหมด คราวนี้พลังของทางรัก โลภ โกรธ หลง มีแต่มากขึ้น ๆ ขณะที่พลังความดีมีน้อย แม้ว่าจะมีกำลังสูง ก็คานไม่ค่อยจะอยู่ ในเมื่อไม่ค่อยจะอยู่ ดินฟ้าอากาศก็แปรปรวนไปหมด คนที่ตั้งใจทำดี ถ้ากำลังน้อยก็ทรงตัวได้ยาก เพราะว่ากำลังอีกฝ่ายมีกำลังมากกว่า คอยแต่จะดึงให้เอนเอียงไป"

เถรี
22-05-2014, 13:41
"ส่วนใหญ่แล้วเรื่องของภัยธรรมชาติเกิดจากกรรมเก่าของเขา แต่ว่าดูหนังสือพิมพ์แล้ว ชี้ให้พระท่านดูบ้านหลังหนึ่ง ยังสร้างไม่ทันจะเสร็จ พังพาบลงกับพื้นทั้งหลังเลย บอกกับพระท่านว่า ถ้าผมเป็นเจ้าของบ้านนี่ ผมฟ้องบริษัทก่อสร้างแน่นอน เพราะว่าบ้านต่อให้สร้างแย่อย่างไร ถ้าถูกตามหลักวิชาการแล้วเสาต้องเหลือ นี่พังพาบลงกับพื้นหมดเลย แสดงว่าวัสดุไม่ได้คุณภาพ การคำนวณไม่ได้เรื่อง ใครเป็นวิศวกรก็ติดคุกหัวโตไปเลย"

เถรี
23-05-2014, 18:30
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนวันพฤหัสบดีเป็นสีน้ำเงิน วันศุกร์สีม่วง วันเสาร์สีดำ สมัยนี้วันพฤหัสบดีสีแสด วันศุกร์สีฟ้า วันเสาร์สีม่วง ทำไมมั่ว ๆ ต่างกับโบราณก็ไม่รู้ แล้วอาตมาก็ไม่รู้ด้วยเขาเปลี่ยนกันตอนไหน ตำราพิชัยสงครามเขาก็คล้ายคลึงกัน ตำราพิชัยสงครามเขาว่า

รวิสิทธิด้วย.....................อาภรณ์ (รวิก็คือพระอาทิตย์ วันอาทิตย์)
แดงพิจิตรอลงกรณ์.............ก่องแก้ว
ทรงแสงธนูศร...................ลีลาศ
เสด็จสู่สงครามแผ้ว..............ผ่องพ้น ไพรี"

เถรี
23-05-2014, 18:32
พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็ก ๆ เขาเรียกว่า กุมาร, กุมารี รากศัพท์กุ มาจากกุธาตุ ในความเกลียด มาระ คือ ผู้ฆ่า ดังนั้น กุมาระ คือ ผู้ฆ่าซึ่งความเกลียด เพราะฉะนั้น..เด็กจะน่ารักทุกคน"

เถรี
23-05-2014, 18:41
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้เนปาลเศรษฐกิจไม่ดี เพราะฉะนั้นเขาจะง้อนักท่องเที่ยวเป็นพิเศษ เกิดจากกบฏเหมา ยึดประเทศได้แล้วบริหารไม่เป็น กบฏพวกนี้นิยมลัทธิเหมา"

ถาม : ลัทธิเหมา ?
ตอบ : ก็คือลักษณะออกไปทางนิยมลัทธิคอมมิวนิสต์จีน เขาไปโค่นล้มระบอบกษัตริย์ลง แล้วก็ดันโค่นสำเร็จเสียด้วย แต่บริหารประเทศไม่เป็น จึงถอยหลังเข้าคลองไปเรื่อย ต้องอาศัยเงินต่างประเทศจากนักท่องเที่ยว

ถาม : ระบบนี้ทำได้จริงในปัจจุบันไหมคะ ?
ตอบ : ระบบนี้คิดได้แต่ทำไม่ได้ เพราะคนเราสร้างบารมีมาไม่เท่ากัน จะให้มีทุกอย่างเท่ากันนั้น เป็นไปไม่ได้หรอก

ถาม : อย่างนี้ต้องเป็นยุคพระศรีอาริย์ ?
ตอบ : ต้องเป็นยุคอย่างนั้น ไม่ใช่ยุคอย่างของเรา ยุคของเราประเภทดีชั่วมั่วไปหมด ดีก็ดีไม่ทั่ว ชั่วก็ชั่วไม่หมด ครึ่ง ๆ กลาง ๆ สะเทินน้ำสะเทินบกอย่างไรก็ไม่รู้ แต่จริง ๆ แล้วในยุคของพวกเราเป็นยุคที่ต้องบอกว่าสนุกมาก ขึ้นอยู่กับว่าเราตัดสินใจถูกหรือผิด ถ้าเราตัดสินใจถูก มีศีลมีธรรมก็เป็นอันว่ารอด ถ้าเราตัดสินใจผิด ไม่เอาเรื่องศีลเรื่องธรรมเลยก็ยาว เพราะฉะนั้น..ชีวิตยุคของพวกเรานี่แหละ จะเป็นยุคที่มันกับชีวิตมาก ให้ไปประเภทสบาย ๆ นี่เซ็งตายเลย

ขนาดให้อาตมานั่งเครื่องบินไปลงทิเบตยังไม่เอา ขอขับรถเข้าทางเนปาล ๕-๖ วันกว่าจะถึง เรื่องแบบนี้ฝังรากอยู่ในใจมาตั้งแต่สมัยเด็ก อยากตะลอน ๆ ไปเรื่อย คราวนี้ชีวิตพระก็ไม่ค่อยอยู่กับที่กับทาง ค่อยถูกใจหน่อย เมื่อสมัยออกจากทหารใหม่ ๆ วางแผนไว้ว่าจะแบกเป้เดินไปเรื่อย ๆ ค่ำไหนนอนนั่น ใครมีงานให้ทำก็ทำ ได้เงินหน่อยก็ไปต่อ ปรากฏว่ายังไม่ทันจะทำตามที่วางแผนไว้เลย มาบวชเสียก่อน ก็เลยกลายเป็นมาแบกย่ามธุดงค์แทน

เถรี
23-05-2014, 18:51
พระอาจารย์เล่าว่า "วันที่ ๑๙ เมษายน บวงสรวงงานประจำปีของวัดพุทธบริษัท นึกถึงเรื่องการเดินทางไปทิเบต จึงขอหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ เพราะว่าเคยเกิดเป็นลูกท่านที่นั่นหลายชาติ ขอท่านว่าอย่าให้หนาวมาก เพราะถ้าหนาวมากมาลาเรียอาจจะกำเริบ งานกร่อยแน่นอน ท่านถามว่า “แล้วจะเอาฝนเลยไหม ?” ตอนนี้ตรวจสอบอุณหภูมิดูท่าฝนจะมาจริง ๆ คือฤดูนี้จริง ๆ ไม่ใช่ฤดูฝน แต่ฝนมาแล้ว

ตอนนี้น้องเล็กเขาเริ่มจับเคล็ดได้แล้วว่า ถ้าอยู่ ๆ อาตมาเงียบไปเฉย ๆ แปลว่ากำลังทะเลาะกับผีอยู่ พอนาน ๆ เข้าคนที่ไปด้วยชักสังเกตเป็น

บางท่านก็จี้ ๆ ออกแนวตลก อย่างพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ นั่นสุดยอดนักรบเลย คุยไปคุยมากลายเป็นตลกไปได้ ท่านเองไม่ได้อยากรบ พวกแขกจาม เป็นพวกอิสลามที่อยู่ทางตอนใต้ของเวียดนาม บุกมาถล่มอาณาจักรขอมเสียราบเป็นหน้ากลอง พระเจ้าชัยวรมันท่านก็เหมือนกับว่า ในเมื่อไม่มีหน้าที่กูก็นั่งดู พอไม่มีคนมีฝีมือที่จะสู้แล้วท่านถึงออกหน้า ใช้เวลา ๔ ปี ตีคืนมาหมดยังไม่พอ ยึดประเทศของเขามาด้วย"

เถรี
23-05-2014, 19:00
ถาม : ถูกบังคับให้ไป...... จะเป็นกรรมเราหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ให้คิดว่าเราทำตามหน้าที่ ทำตามระเบียบของเขา ทำเสร็จแล้วอย่าไปคิดต่อ คิดเมื่อไรเราก็จะเดือดร้อน เพราะคิดแล้วใจเราจะหมอง นึกว่าเราทำตามหน้าที่ไป เสร็จแล้วก็ตัดแค่นั้นเลย แบบเดียวกับภรรยาของพรานกุกุกฏมิตร

ภรรยาของพรานกุกุกฏมิตรเป็นพระโสดาบัน แต่สามีเป็นนายพราน ถึงเวลา “แม่อีหนู..ส่งบ่วงมา” “แม่อีหนู..เอาแหลนมา” ท่านก็ส่งให้ พระไปเห็นก็งง พระโสดาบันทำไมสนับสนุนการฆ่าสัตว์ ? จึงไปฟ้องพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ให้ไปถามเขาก่อนว่าเขาคิดอย่างไร ภรรยาของพรานกุกุกฏมิตรบอกว่า เป็นภรรยามีหน้าที่ทำตามสามี สามีให้ส่งอะไรก็ส่งให้ ส่วนสามีเอาไปทำอะไรไม่รับรู้ ท่านตัดอารมณ์แค่นั้น เพราะฉะนั้น..ของเราเอง ในเมื่อหน่วยงานเขาต้องการอย่างนั้น เราทำเสร็จแล้วก็พยายามตัดให้ได้ ถ้าไปคิดแล้วใจจะหมองเอง

เถรี
23-05-2014, 19:02
พระอาจารย์เล่าว่า "ปีนี้ทุนการศึกษาระดับประถมและมัธยมให้ ๗ โรงเรียน ๑๔๔ ทุน อย่าถามว่ากี่แสน เฉพาะทุนระดับอุดมศึกษาอย่างเดียว ๒๔๐,๐๐๐ บาท โรงเรียนไหนได้รายชื่อแล้วให้ส่งมาก่อน จะได้ทยอยทำไป อย่างน้อย ๆ แหกขี้ตาขึ้นมาตี ๒ ตี ๓ ทำได้สักโรงเรียนสองโรงเรียนก็ยังดี ไม่อย่างนั้นกลับไปวันที่ ๑๒ เช้าวันที่ ๑๓ จะแจกทุนแล้ว ทำไม่ทันหรอก

วันที่ ๑๔ มีเวลาทำงานครึ่งวัน ก็ต้องเตรียมตัวเดินทางไปทิเบต ตอนนี้ชักจะเชื่อที่คุณมงคลเขาบอกแล้วว่า พออาตมาไปไหนก็เสียของหมด ไปยุโรปหน้าร้อนแท้ ๆ หิมะดันตกให้ดูเฉยเลย แต่ขอโทษ..เหงื่อท่วมเลย อากาศติดลบแท้ ๆ ต้องถอดผ้าออกไปชั้นหนึ่ง"

เถรี
25-05-2014, 17:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "โรคคนแก่ของอาตมามีเพิ่มมาอีกโรคหนึ่ง คือ อาการคัน ทายาทั่วไปก็ไม่หาย หมอบอกว่าเป็นโรควัยทอง พอวัยทองแล้วฮอร์โมนหมด ผิวจะแห้งเป็นจุด ๆ บางจุดก็เป็นปื้นใหญ่ ๆ บางจุดก็เป็นจุดเล็ก ๆ ปรากฏว่าพอทายาแก้คันสำหรับวัยทองของหมอแล้วหายเลย แสดงว่าเป็นวัยทองอย่างแท้จริง จำไว้ว่าอย่าให้ถึงอายุ ๕๕ ปีนะ แต่หมอบอกว่าบางคนเป็นตั้งแต่อายุ ๓๕ ปี ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย จะไปปรากฏชัดเมื่อหลัง ๔๐ ปีไปแล้ว"

ถาม : เกี่ยวกับพวกนอนไม่หลับด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : นอนไม่หลับเป็นเรื่องปกติ ยิ่งแก่ยิ่งนอนน้อย ธรรมชาติเขาบอกว่าให้ถ่างตาดูโลกไว้ให้มาก ๆ หน่อย เพราะเหลืออายุน้อยแล้ว วัยร่ำวัยรวยมาถึง (วัยทอง) ฉะนั้น..ต่อไปถ้าใครมาแหกตาว่าหลวงพ่อยังแข็งแรง ไม่ต้องมาพูดเลย คนแก่ชัด ๆ แล้ว..!

เถรี
25-05-2014, 17:28
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนผลไม้ที่ดังมาก ๆ เลย คือลิ้นจี่ตรอกจันทน์ ส้มบางมด ทุเรียนเมืองนนท์ แล้วสมัยนี้มีลิ้นจี่ตรอกจันทน์ไหม ? ส้มบางมดก็ไม่มี เดี๋ยวนี้ทุเรียนเมืองนนท์ราคาเป็นพันเป็นหมื่น มีเงิน ๕,๐๐๐ ไม่รู้ว่าจะซื้อได้หรือเปล่า ?

อาตมาเป็นคนไม่ชอบกินทุเรียนนะ แต่ชิมทุเรียนเมืองนนท์แล้วยอมรับว่าอร่อยจริง ๆ ตอนนั้นคุณลำพูภรรยาของคุณผดุงเกียรติ ขำภักดี นิมนต์ไปที่บ้าน แม่ของคุณผดุงเกียรติอายุจะ ๘๐ ปีอยู่แล้ว ปีนต้นทุเรียนไปเก็บมาให้ เขาบอกว่าต้นนี้อร่อยที่สุด เอามาถวายพระอาจารย์หน่อย

แสดงว่าคนสมัยก่อนเขาแข็งแรง ทำงานกันทั้งวัน ให้อยู่เฉย ๆ ไม่อยู่หรอก ทำนั่นทำนี่ไปเรื่อย พอชิมทุเรียนเมืองนนท์เข้าไป โอ้...อร่อยเว้ย ก่อนหน้านี้อาตมาว่าทุเรียนรสชาติไม่เอาไหน สมัยเด็ก ๆ ก็ไม่ชอบเพราะกลิ่นแรง

ไปนึกถึงหลวงปู่รูปหนึ่งสายหลวงปู่มั่น ท่านไม่รู้จักทุเรียน เพราะว่าทางอีสานไม่มี วันนั้นโยมจอดรถใส่บาตร น่าจะเป็นพวกกรุงเทพฯ พอโยมไปได้พักหนึ่ง กลิ่นทุเรียนออก..ท่านก็คิดว่าอะไรเหม็นอย่างนี้วะ ? ค้นไปค้นมาเจอ ขนุนเน่าดันเอามาใส่บาตร ว่าแล้วก็โยนทิ้งข้างทางไป เณรมารู้ทีหลัง น้ำตาแทบเล็ด อยากจะฉันทุเรียน หลวงปู่ไม่รู้จัก นึกว่าขนุนเน่าเอาโยนทิ้งไป"

เถรี
25-05-2014, 17:34
พระอาจารย์กล่าวถึงมีดจ่าตุ่มว่า "มีดพวกนี้อย่าไปวางทิ้งนะ หายแน่นอน มีดแฮนด์เมดฝรั่งซื้อกันเล่มละ ๔๐๐-๕๐๐ ดอล์ลาร์ คุณซื้อไปแล้วไปสั่งทำปลอกหนังสักหน่อย แล้วเอาไปขายเพื่อนต่อราคาแพงกว่านี้ก็ได้ มีอุปทูตของฝรั่งเศสไปบ้านเพื่อนคนไทย เดินวนเข้าวนออก ๗ - ๘ รอบ เพื่อนสงสัยว่าวนทำอะไร ที่แท้วนไปดูมีดจ่าตุ่มที่หลังตู้ เห็นแล้วชอบจริง ๆ ท่านบอกว่าทางด้านยุโรปอเมริกา มีดแฮนด์เมดราคาแพงจัด ท้ายสุดพอท่านต้องสลับตัวไปประเทศอื่น ก่อนเดินทางกลับขอซื้อมีดเล่มนั้น ปรากฏว่าเพื่อนคนไทยให้ฟรี ดีใจแทบตาย"

เถรี
25-05-2014, 17:35
พระอาจารย์กล่าวแนะนำสูตรยารักษาศีรษะล้านว่า "ไปถากเอาเปลือกต้นแคมาสัก ๔-๕ ชิ้น แช่กับน้ำซาวข้าวทิ้งไว้ ๓ คืน เหม็นตลบเลยแหละ แล้วทาหัวล้านบ่อย ๆ ผมจะงอก ถ้าไปทาที่ทำงานเพื่อนคงไม่เดินใกล้ นี่ถ้าคุณไม่พูดถึงอาตมาก็ลืมไปแล้วนะตำรานี้"

เถรี
25-05-2014, 17:36
พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กญี่ปุ่นกับเด็กฝรั่งจะมีเงินค่าขนมเป็นรายอาทิตย์ให้ พ่อแม่จะให้อย่างเป็นทางการเลย เหมือนเป็นเงินเดือนแต่เป็นค่าขนม ถ้าอยากได้มากกว่านั้นต้องทำงาน ช่วยงาน แล้วถึงจะให้ ถ้าเด็กเขาอยากจะใช้เงินมากกว่านั้นก็ต้องทำงานเพิ่ม ถ้าเงินขาดมือต่อไปก็จะรู้จักระมัดระวัง แล้วจะมีวินัยในการใช้เงินไปเอง"

เถรี
25-05-2014, 18:18
ถาม : เส้นลายมือขาดเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ลายมือขาดเขาบอกว่า ในหลักการเป็นคนใจร้อนใจเร็ว ทำอะไรไม่ค่อยคิด ค่อยมาแก้ปัญหาทีหลัง

ลายมืออาตมาไม่ขาดหรอก แต่ต่อยคนไม่เคยได้ซ้ำเลย แปลกมากเลย ไม่เคยหาเรื่องเขาก่อนด้วยนะ คือทุกครั้งที่มีเรื่องเขามาหาถึงบ้าน ในเมื่ออยากได้เรื่องอาตมาก็จัดให้ เสร็จสรรพเรียบร้อยต้องแบกเขาไปส่งถึงบ้านด้วย สงสารพ่อเขา แก่มากแล้ว น่าจะใกล้ ๖๐ ปีแล้ว ผมขาวแล้ว เห็นอาตมาแบกลูกชายไปเคาะประตู แกทำหน้าไม่ถูก อาตมาบอกว่า "ดูแลดี ๆ หน่อย ถ้าเจอคนอื่นอาจจะถึงตายไปแล้ว" คนเป็นพ่อเจอเขาหามลูกมาส่ง แล้วบอกอย่างนี้จะคิดอย่างไร ?

แปลกมาก..แต่ละคนที่โดนไป กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีกันหมด มีครอบครัว มีลูกมีเมียกันหมด เขาคงรู้ว่าซ่าในยุทธจักรนี้ไม่รุ่งแน่เลย ส่วนใหญ่แล้วพระครูแสงเป็นคนหามา ตอนเย็น ๆ เขาชอบไปเมากรึ่มอยู่ปากซอย พอขว้างแก้วขว้างขวด เดี๋ยวก็มาแล้ว ๓ คน ๕ คน

พวกเด็ก ๆ ก็วิ่งมา "พี่ ๆ น้องพี่โดนรุมอีกแล้ว รีบไปดูเร็ว" ส่วนใหญ่อาตมาไปในลักษณะห้ามทัพ ทิ้งตูมเดียวจบเลย ที่เหลือเลิกกันหมด ครั้งนั้น ๕ คน อาตมาใส่คนหนึ่งตูมกระเด็นตกน้ำ หันไปหาคนที่ ๒ เพิ่งง้างหมัด เจ้านั่นตะโกนว่า"พี่ ๆ ผมมาห้าม" "กูเห็นมึงสาวอยู่เหย็ง ๆ บอกมาได้ว่าห้าม" แต่อาตมาก็หยุดแค่นั้น ลงไปลากคนที่สลบอยู่ในน้ำขึ้นมา ไม่อย่างนั้นจมน้ำตายไปแล้ว พวกนี้เอาตัวรอดเก่ง เห็นใส่อยู่เหย็ง ๆ บอกหน้าตาเฉยว่าผมมาห้าม..!

พระครูแสงตอนเข้ากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ ไปมีเรื่องกับเจ้าถิ่น ต่อยกันตั้งแต่บ่ายโมงจนถึงเกือบ ๔ โมงเย็น ต่อยกันจนหมดแรง ต่างคนต่างนั่งหอบแฮ่ก ๆ พอมีแรงก็โดดใส่กันต่อ พวกเราประเภทเด็กบ้านนอก ถึงเวลาไม่พอใจใครก็เดี่ยวกันตัวต่อตัว ไปเจอประเภทมาเป็นหมู่ก็ไม่ชิน

พอตาแสงเอาเขาไม่ลงก็โกรธ เริ่มไปฝึกเพาะกายอยู่ ๓ ปีค่อยไปเอาคืน อัดเขาจนเละเลย ซ้อมอยู่ ๓ ปี มั่นใจแล้วกลับไปลุยกันใหม่ ภาษิตจีนว่าลูกผู้ชายล้างแค้น ๑๐ ปีก็ยังไม่สาย คราวแรกนั้นเละพอกัน แต่ท่านถือว่าโดนเขารุม กลับไปใหม่เอาอาตมาไปด้วย ท่านเล่นเฉพาะคู่กัดเท่านั้น ถ้าใครรุมค่อยให้อาตมาช่วย ปรากฏว่าไม่มีใครกล้ารุม

ช่วงนั้นหนังสือเพาะกายประเภท Body Building เต็มบ้านไปหมด มีแต่รูปอาร์โนลด์ (Arnold Schwarzenegger) ที่ได้ชายงามจักรวาล ๓ ปีซ้อน ส่วนอีกคนคือ หลุยส์ เฟอร์ริกโน (Louis Ferrigno) ที่เล่นหนังโทรทัศน์เป็น Hulk ตัวยักษ์เขียว ๆ นึกว่าจะวัดรอยเท้าอาร์โนลด์ได้ เพราะอายุน้อยกว่า แต่ทำไม่สำเร็จ ของอาร์โนลด์ร่างกายทุกส่วนสมบูรณ์หมด กล้ามแขนตั้ง ๓๗ นิ้ว ใหญ่กว่าเอวของอาตมาอีก..!

เถรี
25-05-2014, 18:30
ถาม : เวลาเราไปวัด พระท่านให้ของวัดกับเรา ท่านก็คิดว่าเป็นของท่าน เราไม่กล้าเอา ?
ตอบ : อย่าแตะได้เป็นดีที่สุด เพราะว่าพระสมัยนี้ก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องนี้ บางทีก็ให้ไปเรื่อยเปื่อย ของสงฆ์ต้องพระสงฆ์ทั้งวัดมีความเห็นร่วมกันว่าให้ได้ ถึงจะให้ได้ ถ้าไปอาศัยอำนาจเจ้าอาวาสคนเดียว หรือเป็นเจ้าของคนเดียวแล้วไปให้ ระวังเถอะ..จะพาโยมซวยไปด้วย..!

เถรี
25-05-2014, 18:31
ถาม : พระกริ่ง ถ้าเราเอาไปเขย่า จะเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย ?
ตอบ : เราแค่พกติดตัว ก็อย่าเอาไปเขย่าสิ

ถาม : ถ้าเราเอาพระติดตัวใส่กระเป๋าไปจะเป็นการปรามาสหรือไม่คะ ?
ตอบ : ติดตัวไปด้วยความเคารพ อย่างเช่นว่าแขวนคอไป เหน็บกระเป๋าเสื้อไปไม่เป็นไรหรอก ถ้าประเภทไปทำหัวหกก้นขวิดก็ต้องดูว่าอะไรสมควร อะไรไม่สมควร อาตมาเองยังพกพระกริ่งพิชัยสงครามเลย ถ้าเป็นการปรามาสก็แสดงว่าปรามาสอยู่ทุกวัน ถ้าใส่ไว้ในกระเป๋าถือต้องระวังอย่าให้คนอื่นข้ามก็แล้วกัน บางทีเราวางกระเป๋าไว้คนเดินข้ามเฉยเลย ของเราไม่เป็นโทษหรอก แต่เขาจะเป็น

เถรี
27-05-2014, 14:54
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานเป่ายันต์งวดนี้มีแต่ "นักร้อง" กับ "นักดิ้น" เต็มไปหมด แสดงว่าคนที่โดนไสยศาสตร์หรือสิ่งไม่ดีมามีมาก ทั้งดิ้นทั้งร้อง คราวหน้าทิดโอหาทางว่า ตอนเขาดิ้นร้องให้เอามือถือถ่ายคลิปไว้เลย ไม่อย่างนั้นตอนถ่ายทอดสดลากสายไปถ่ายพวกนี้ไม่ได้ อาตมาขอกับท้าวมหาราชท่านว่า ถ้าสิ่งที่แฝงมาถ้าไม่ได้มีเจตนาดี ต่อให้เป็นเทวดาเป็นอะไร เอาออกให้หมด"

ถาม : เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิก็ทรงขันธ์ไม่ได้หรือครับ ?
ตอบ : คำว่ามิจฉาทิฐิไม่ได้แปลว่าท่านไม่มีหิริโอตัปปะหรือไม่มีศีล หากแต่มีความเห็นผิด ไม่สนใจในเรื่องของการทำบุญกุศลต่อ ถ้าลักษณะอย่างนั้นบุญเก่าหมดนี่เจ๊งเลย

เถรี
27-05-2014, 15:00
ถาม : แบบที่หนึ่ง ฟังกรรมฐานแล้วดับไปเลย ตื่นขึ้นมาอีกทีลืมไปว่าเรื่องอะไร ?
ตอบ : สติขาด

ถาม : แบบที่สอง ระหว่างฟังไปเรื่อย ๆ ไม่ได้หลับ จิตจดจ่อไปเรื่อย นึกย้อนกลับไปไม่ได้ แต่ทำไมเรารู้สึกว่าแบบนี้ดีกว่า ?
ตอบ : แบบแรกหลบไปนอน แบบที่สองก็ทำงานตลอด ยังมีแบบที่สามอีก

ถาม : คือ ?
ตอบ : ฟังไป ๆ ทำไมไม่จบสักที ทำไมวันนี้นานเหลือเกิน ลืมตาขึ้นมาเสียงหายวับไปเลย เกินเวลาไปเป็นชั่วโมง ๆ แล้วที่เราฟังอยู่นี่คืออะไร ? เนื้อหาไม่ขาดเลย ต่อเป็นเรื่องเดียวกัน ไปลองดู..อาตมาเจอมาหลายทีแล้ว

ถาม : กำลังระหว่างสองแบบ อย่างไหนดีกว่ากัน ?
ตอบ : คนละอย่างกัน อย่างหนึ่งเพาะกำลัง อีกอย่างใช้กำลัง อย่างแรกคือพละ อย่างที่สองคืออินทรีย์

เถรี
27-05-2014, 15:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "บางทีพระเราอยู่กับวัดนานเกินไป ไม่รู้ว่าโลกข้างนอกไปถึงไหนกันแล้ว ฉันแล้วยังจะเลือกอีก รู้บ้างหรือเปล่าว่าชาวบ้านเขาเดือดร้อนแค่ไหน ข้าวถุงกระจิ๊ดหนึ่ง กับข้าวถุงเล็ก น้ำอีกแก้วหนึ่ง ๖๐ บาท เขาให้มาแล้วยังเลือกอีก เดี๋ยวก็โบ๊ะให้..! ส่วนใหญ่อยู่ไปนาน ๆ แล้วลืม ลืมว่ากินเพื่ออยู่ ไม่ใช่กินเอาอร่อย

สมัยก่อนตอนเป็นฆราวาสอาตมาก็ชอบกิน ตอนนั้นหูฉลามนายเก๊าถ้วยละ ๖๐๐ บาท ก็ไปลองชิมกับเขา ไม่เห็นจะได้เรื่องเลย ซูเปอร์ราดหน้าจานละ ๖๐ บาท โอ้.. ๖๐ บาท สมัยนั้นค่าแรงขั้นต่ำเพิ่งจะ ๕๔ บาทเอง ไปลองชิมดูก็แค่นั้น เพียงแต่ใส่หมูชิ้นเกือบครึ่งฝ่ามือ ๗-๘ ชิ้นก็จะเต็มจานอยู่แล้ว จะไปเอาเส้นเอาผักที่ไหนมา ?

ที่ชอบใจคือบะหมี่จับกัง ชามละ ๑๐ บาท ประมาณก๋วยเตี๋ยว ๗-๘ ชาม ตอนนี้ใส่กะละมังแล้วใช่ไหม ? ก็ชามโตเท่ากะละมังใบเล็กนั่นแหละ"

เถรี
27-05-2014, 15:06
ถาม : ทำกรรมฐานแล้วเห็นพระพุทธเจ้า พอไปเล่าให้คนอื่นฟังเขาก็ว่าเราบ้า ?
ตอบ : สภาพจิตพอจะเริ่มเป็นสมาธิ เราจะเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้ คราวนี้เราต้องรู้จักระมัดระวัง รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร เรารู้แค่ไหน เราควรพูดได้แค่ไหน ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะหาว่าบ้า ฉะนั้น..นี่ไม่ใช่เรื่องที่ไปเที่ยวเล่าให้ใครเขาฟังได้ สภาพจิตเหมือนกับน้ำนิ่ง น้ำนิ่งจะสะท้อนภาพรอบข้างออกมาได้ เป็นเรื่องปกติ แต่ว่าคนทั่ว ๆ ไปเขาไม่ค่อยได้เจอกัน เราก็เลยผิดปกติ

เถรี
27-05-2014, 15:11
ถาม : เดินลมหายใจติดขัด จะทำอย่างไรดี ?
ตอบ : ก่อนจับลมหายใจให้หายใจยาว ๆ ๒-๓ ครั้งก่อน ระบายลมหยาบทิ้งให้หมด ไม่อย่างนั้นลมเริ่มละเอียด ของหยาบค้ำอยู่ เสียดกันไปเสียดกันมาบางทีก็เจ็บมาก

ถาม : หายใจไม่ออก อึดอัดไปหมด ?
ตอบ : ต่อไปเริ่มใหม่ ก่อนเริ่มกรรมฐานให้หายใจยาว ๆ ก่อน

เถรี
27-05-2014, 15:14
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาเคยไปงานแต่งที่ปัตตานีมาครั้งหนึ่งแล้ว จ่ายค่ารถไป ๔ รูป ๒,๘๐๐ บาท เขาถวายมา ๓๐๐ บาท เงิน ๓๐๐ บาทนี่เขาถวายมากที่สุดเท่าที่เคยถวายพระแล้ว แต่เขาลืมไปว่าพวกอาตมาเดินทางมาไกลขนาดไหน ยังโชคดีที่ครั้งนั้นไปรถไฟ ถ้าไปรถยนต์ส่วนตัวคงหมดถึง ๕,๐๐๐-๖,๐๐๐ บาท ตรงจุดนี้ทำให้อาตมาต้องคิดเผื่อเวลานิมนต์พระมา ถ้าท่านมาไกล ก็จะมีค่าเดินทางให้ต่างหาก"

เถรี
28-05-2014, 10:25
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยอาตมายังเด็ก บ้านอยู่ใกล้หมู่บ้านลาวโซ่ง คนลาวโซ่งแทบไม่มีหัวหงอกเลย ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร มารู้ทีหลังว่าเขาใช้น้ำมันมะพร้าวชะโลมศีรษะทุกวัน ก็ดีอยู่อย่างว่า สมัยนั้นเด็ก ๆ มักจะเป็นเหา แต่ลูก ๆ ลาวโซ่งไม่มีใครเป็นเหา เล่นเอาน้ำมันมะพร้าวชะโลมศีรษะทุกวัน เหาอยู่ไม่ได้

สมัยนั้นเขาใช้ใบน้อยหน่า เอาใบน้อยหน่าตำ ๆ ให้แหลก เอาน้ำมันก๊าดใส่ลงไปสัก ๒ ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันแล้วโปะหัวขยี้ให้ทั่ว เหม็นเขียวอย่าบอกใครเลย แต่ก็ได้ผลนะ ถ้าไม่อยากเหม็นต้องโกนหัวเลย สมัยเด็ก ๆ อาตมาก็นอนอยู่กับพี่สาว น้องสาว เวลาติดเหาก็ติดกันหมดเลย ผู้หญิง ผู้ชายเป็นหมด จนกระทั่งแม่ขี้เกียจตำใบน้อยหน่าให้ จึงจับโกนหัวทุกคน หรือไม่ก็ต้องซื้อหวีเสนียดมาสาง

หวีเสนียดเป็นหวีที่ถี่มาก ๆ สาง ๆ ถึงเอาไข่เหาออกได้ ไม่ได้ต้องการตัวเหาหรอก เอาไข่ออกก่อน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเกิดเป็นตัวใหม่ ไข่เหาจะติดปลายผม เป็นเม็ดเล็ก ๆ ถ้าบ้านไหนเลี้ยงลิงไปก้มหัวให้ลิง เดี๋ยวลิงก็เก็บเกลี้ยง ลิงเก่งจริง ๆ สายตาดีมาก ถึงเวลาก็ควาน ๆ จับทั้งตัวจับทั้งไข่ใส่ปากเคี้ยวหมด แต่ไม่ทันใจ เลยใช้วิธีเด็ดขาด ก็คือโกน แต่แล้วไม่นานก็ติดอีก เพราะเพื่อนที่โรงเรียนเป็นกันแทบทั้งนั้น

ถ้าทนกลิ่นใบน้อยหน่าผสมน้ำมันก๊าดได้ก็พอกหัวไป ถ้าทนไม่ได้ก็ต้องยอมโกน สมัยนั้นโกนแล้วดูดีกว่า เพราะว่าเด็กผู้หญิงสมัยนั้นตัดผมทรงกะลาครอบ เอาขันครอบไปแล้ว ตัดเสมอหู ข้างหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยมเลย

สมัยนี้ไม่มีเหาแล้วใช่ไหม ? ก็เลยไม่ต้องทดสอบยาสูตรนี้ ใบน้อยหน่ากำมือใหญ่ ๆ เลย กับน้ำมันก๊าด ๒ ช้อนโต๊ะ ตำให้ละเอียด คลุกให้เข้ากันดี แล้วพอกหัวละเลงให้ทั่ว คนยังจะเหม็นตายเลย แล้วเหาจะอยู่ได้อย่างไร ? โยมแม่ของอาตมาโกนหัวเก่งมาก ๆ สุดยอดเลย เด็กเกิดใหม่ ๆ หัวนิ่ม ๆ ยังโกนได้ แล้วมีดโกนสมัยก่อนก็ไม่ใช่มีดโกนกันบาดเหมือนสมัยนี้ เป็นมีดที่ตัวด้ามกับใบเป็นอันเดียวกัน แล้วเป็นทองเหลือง ถึงเวลาต้องไปสะบัดลับกับสายหนัง ไม่มีบาดหัวเด็กเลย โกนได้อย่างไรก็ไม่รู้ สุดยอดจริง ๆ"

เถรี
28-05-2014, 11:17
พระอาจารย์เล่าว่า "ก่อนวันเป่ายันต์ที่ผ่านมา พอจัดของเสร็จ ตอนเย็นพระท่านถามว่าบูชาวัตถุมงคลเลยได้ไหม ? อาตมาก็นึกว่า เออ..ปกติวันงานนี่พระไม่มีสิทธิ์เบียดโยมเข้าไปบูชาเลย พออนุญาตว่าได้ พระท่านก็กวาดพระพุทธรูปไปกันเกือบหมด ความจริงท่านอยู่กับวัด ขอไปคนละองค์สององค์อาตมาก็ไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว แต่ท่านอยากจะบูชาเป็นของส่วนตัว เพราะจะได้ให้คนอื่นได้"

เถรี
28-05-2014, 11:38
พระอาจารย์เล่าว่า "วันนั้นกำลังจะขึ้นเครื่องบินที่เขมร มีโยมคนหนึ่งถ้าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดิน ก็ต้องเป็นกัปตัน แกรี ๆ รอ ๆ มอง ๆ อาตมาอยู่ ท้ายสุดไปดึงเอาแอร์โอสเตสที่พูดภาษาไทยได้บ้างไม่ได้บ้าง มา บอกว่าแกมีคดีอย่างนั้นอย่างนี้อยู่ จะรอดหรือไม่รอด แล้วต้องแก้ไขอย่างไร ?

เขาเห็นอาตมาเป็นหมอดูไปแล้ว ก็เลยดูลายมือให้ ว่าไปเรื่อยเปื่อย ปรากฏว่าพอเสร็จสรรพเรียบร้อย ใกล้ถึงเวลาขึ้นเครื่อง ก็ตาลีตาเหลือกผ่านเครื่องตรวจเข้าไป ลืมอาราธนาพระ เครื่องตรวจร้องดังสนั่นเลย ทุกครั้งไม่เคยดัง พอดังขึ้น อาตมารู้ตัว ก็ให้เขาตรวจ รับประกันว่าหาไม่เจอหรอก

เมื่องานสัปดาห์หนังสือไปกับพวกทิดตู่ พอเดินผ่านเครื่องเสร็จอาตมาก็ล้วงมีดจ่าตุ่มให้ทิดตู่ดู ...(หัวเราะ)... ทำไมเดินผ่านแล้วไม่ดัง ? เป็นอะไรที่สนุกดี ส่วนใหญ่แล้วเครื่องตรวจจะมารยาทดี เจอพระแล้วไม่ค่อยร้อง เจอฆราวาสแล้วโวยวายเสียไม่มี ขนาดกรรไกรตัดเล็บน้องเล็กยังโดนยึดเลย พอผ่านไปแล้วอาตมาก็หยิบมีดให้ดู ประเภทพกมีดขึ้นเครื่องเป็นปกติ ปลอดภัยไร้กังวล"

เถรี
29-05-2014, 18:32
"ที่พระท่านไม่ให้พกมีด เพื่อป้องกันไม่ให้ยึดถือเป็นที่พึ่ง อย่างเช่นว่าเราพกมีดไปเดินธุดงค์ เกิดอันตรายเราก็นึกถึงมีด ไม่ได้นึกถึงพระ กลายเป็นยึดมีดเป็นที่พึ่ง ไม่ได้ยึดพระเป็นที่พึ่ง ฉะนั้น..เรื่องของธุดงค์สมัยก่อน มีดโกนท่านยังไม่ให้เอาไปเลย เพราะมีดโกนสมัยก่อนตัวกับด้ามเป็นชิ้นเดียวกัน ใช้เป็นอาวุธได้

"หลวงพ่อขี้เสือ" ท่านทำเสือตายไปตัวหนึ่ง ถึงเวลาท่านปักกลดเสร็จ ด้วยความที่ท่านกลัว ท่านก็เอาดุ้นไม้สะแกซุกไว้ในกลดด้วย เวลาดึก ๆ เสือมาวนรอบกลด วนไปวนมาก็ยื่นหน้ามาดม

หลวงพ่อขี้เสือทนไม่ไหว คว้าดุ้นสะแกได้ก็หวดเสียเต็มที่เลย..เสือตาย..! รุ่งเช้าพระอาจารย์ต้องส่งกลับ บอกว่า ถ้าคุณไม่กลับพวกเราก็ตายหมด เป็นพระแล้วศีลขาด จะพาซวยทั้งคณะ ตอนหลังท่านเป็นนักธุดงค์ที่เก่งมาก ใครจะออกธุดงค์ต้องไปขึ้นครูกับท่าน เพราะของท่านขึ้นครูด้วยเสือตัวหนึ่ง ลืมถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า จริง ๆ แล้วท่านอยู่วัดไหน ท่านเล่าให้ฟัง อาตมาก็ฟังสนุกจนลืมถาม รู้แต่ว่าสมัยก่อนพระทางอยุธยา ก่อนออกธุดงค์จะไปขึ้นครูกับหลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ

ครูบาอาจารย์พอรับขึ้นครูแล้วก็จะคอยตามดูลูกศิษย์ แบบเดียวกับหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่าปักกลดภาวนาไปเรื่อย เพิ่งจะหัวค่ำไม่ทันไรเลย เสือ ๓ ตัวลงมาเล่นน้ำปล้ำกันตึงตังโครมครามที่ลำห้วยใกล้ ๆ กลด ฟังไปฟังมารำคาญ เปิดกลดออกมานั่งดู ท้ายสุดเสือ ๓ ตัวค่อย ๆ เดินขึ้นบกมา กลายเป็นหลวงปู่ปาน หลวงปู่จง หลวงปู่จาด ท่านถามหลวงพ่อฤๅษีว่า "เอ็งไม่กลัวเสือหรือ ? " "กลัวครับ แต่เสือบ้าที่ไหนจะเล่นน้ำ ?" เสือเป็นสัตว์ตระกูลแมว กลัวน้ำจะตาย กลางคืนดันมาเล่นน้ำกันตูมตาม ถ้ากลางวันร้อน ๆ ก็ว่าไปอย่าง รู้ว่าไม่ใช่เสือแน่ หลวงปู่จาด วัดบางกระเบา หลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ไม่มีอะไรจะทำ แปลงเป็นเสือไปหลอกลูกศิษย์กัน"

เถรี
29-05-2014, 18:36
พระอาจารย์กล่าวถามโยมว่า "มีคนไหนเกิดมาเจอมะละกอที่ลูกใหญ่สุด ๆ บ้างไหม ? จะถามว่าลูกโตแค่ไหน ? อาตมาไปธุดงค์เจอมะละกอลูกหนึ่งโตเกือบเต็มหาบ ก็คือเดินเข้าป่าไปเรื่อย ๆ กะว่าวันนี้อดละวะ ไม่กินก็ได้ ปรากฏว่าเจอชาวบ้านหาบมะละกอเดินสวนมา ข้างหนึ่งเป็นมะละกอลูกหนึ่งใหญ่เกือบเต็มหาบ ส่วนอีกข้างหนึ่งเป็นเครื่องมือทำส้มตำ แกเจอพระก็นิมนต์ ทำส้มตำเลี้ยงเพล อร่อยดีเหมือนกัน แปลกใจอยู่อย่างเดียวว่ากลางป่าอย่างนั้น แกจะไปขายส้มตำให้ใคร หรือเจตนามาเลี้ยงพระอย่างเดียว ?

ถ้าถามว่าเข้าป่าไปลึกแค่ไหน ? ต้องบอกว่าเดินพ้นถนนดินที่ป่าไม้ใช้โฟร์วีลวิ่ง เข้าไปประมาณ ๔ ชั่วโมง เดินอย่างช้า ๆ ก็ต้องได้ ๑๔-๑๕ กิโลเมตร ไปเจอแม่ค้าส้มตำอยู่กลางป่า แต่อาตมาไม่รังเกียจหรอก ขอให้มีคนเลี้ยงก็พอ ไปนึกถึงที่หลวงพ่อฤๅษีท่านถามว่า "บ้านอยู่ไหนจ๊ะ ? " ถามแบบนั้นแล้วอด อาตมาจึงไม่ถามเด็ดขาด ก้มหน้าก้มตาฉันอย่างเดียว มีให้กินก็กิน อย่าไปสงสัย

ฉันไปก็นึกถึงที่หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังว่า เชิญท้าวเวสสุวรรณมาพบครั้งแรก ท้าวเวสสุวรรณถามว่าอยากได้อะไร คราวนี้ท่านเองก็ไม่มีอะไรที่อยากได้ แต่อยากทดสอบเทวานุภาพ เลยบอกว่าอยากได้ผักบุ้งต้มจิ้มน้ำปลาพริก ปรากฏว่ารุ่งเช้ามีโยมเอามาถวายจริง ๆ ผักบุ้งยอดหนึ่งขดมาในชามดินเผา ท่านบอกว่าชามโตเกือบเท่ากะละมัง แต่ผักบุ้งยอดนั้นปล้องโตจนเอาแขนสอดเข้าไปได้

ท่านบอกว่าฉันไม่หมด เหลือแล้วตากแห้งไว้ อ่างดินเผาก็เก็บไว้เป็นที่ระลึก แต่ปรากฏว่าสูญหายไปตอนสงคราม แสดงว่าของอีกที่หนึ่งใหญ่ ๆ ทั้งนั้นเลย ไม่ใช่เล็ก ๆ "

เถรี
29-05-2014, 18:38
"ถ้าใครไปวัดพระธาตุศรีจอมทอง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ให้เข้าไปในศาลาที่เป็นพิพิธภัณฑ์ จะมีข้าวสารของชาวลับแลอยู่เม็ดหนึ่ง ไปดูได้ โตเกือบเท่ากล้วยหอม..! แบบนั้นเจอเข้าไปเม็ดเดียวก็พอเลย นั่นยังเป็นข้าวสารอยู่นะ ถ้าหุงสุกแล้วจะเป็นอย่างไร ? ไม่รู้ตอนนี้เขาปิดทองมิดไปแล้วหรือยัง ?

ถ้าเป็นข้าวเปลือกจะขอซื้อมาปลูก แล้วต้องบังคับคนรดน้ำให้ถือศีล ๕ ตลอด ๔ เดือน พอตกรวงเมื่อไรก็ขยายพันธุ์ ยังดีที่รวงข้าวมีเกสรตัวผู้อยู่ในตัว ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จะขยายพันธุ์อย่างไร พวกเราไม่ใช่เด็กบ้านนอก ไม่รู้ว่าข้าวตกรวงกลิ่นหอมแบบไหน ยิ่งตอนที่ข้าวสุกใหม่ ๆ นะ แหม...ยื่นจมูกตามหาเลย

เคยได้กลิ่นฟางตากแห้งแล้วเปียกน้ำใหม่ ๆ ไหม ? ข้าวตกรวงหอมกว่านั้นอีก ถึงเวลาก็ต้องไปรับขวัญแม่โพสพ พอต้นข้าวสูงได้สักศอก ก็ทำพิธีรับขวัญแม่โพสพ ไปแต่งตัวให้ท่าน ถ้าไม่มีใคร ก็แม่บ้านเป็นคนทำ ส่วนใหญ่จะมีเครื่องมือในการผัดหน้าทาแป้ง แต่งตัว ผ้าสไบ"

เถรี
29-05-2014, 18:43
ถาม : พระปัจเจกพุทธเจ้าที่อยู่บนพระนิพพาน จะเห็นมี... ?
ตอบ : ที่พระนิพพาน ถ้าจำเป็นต้องการมีอะไรก็จะมี ถ้าหมดความจำเป็นก็จะไม่มี เพราะเป็นสถานที่ที่มีความสมบูรณ์พร้อม ขึ้นอยู่กับความต้องการ ถ้าเราอยากเห็น ขึ้นไปท่านก็ทำให้เห็น

เถรี
29-05-2014, 19:29
ถาม : (เรื่องน้องสาวที่เพิ่งเสีย)
ตอบ : สำหรับโยม..น้องสาวเพิ่งตาย ยังไม่ถือว่าห่างกันเท่าไร คนจีนเขาว่า “หัวหงอกส่งหัวดำ” ก็คือพ่อแม่อยู่แต่ลูกตาย คราวนี้ความตายไม่ได้มีนิมิต ไม่ได้มีเครื่องหมาย นึกจะมาก็มา แต่ถ้าดูในพระไตรปิฎกที่เขากล่าวถึงครอบครัวชาวนาว่าออกไปไถนากัน ปรากฏว่าลูกชายโดนงูกัดตาย สามีก็ฝากคนส่งข่าวกลับบ้าน บอกว่าตอนกลางวันเอาอาหารมาส่งส่วนเดียวก็พอ แล้วเอากิ่งไม้ปิดศพไว้ ตัวเองก็ไถนาต่อ คนเป็นแม่กับลูกสะใภ้มาถึง พอรู้ก็ทำหน้าที่ทำงานของตนเองตามปกติ

จนกระทั่งพระไปเห็นเข้าทนไม่ได้ก็เลยถาม คนเป็นพ่อก็บอกว่า “ตอนที่เขามาเกิดก็ไม่ได้ขอให้เขามา ในเมื่อเขาจะไปก็ต้องแล้วแต่เขา” คนเป็นแม่ก็บอกลักษณะนั้น คนเป็นลูกสะใภ้ก็บอกลักษณะนั้น พระอัศจรรย์ใจมากว่าคนทั้งครอบครัวเข้าถึงธรรมเหมือน ๆ กัน เห็นสภาพความเป็นจริงของคนเหมือนกัน มาเกิดแล้วต้องตาย พอทำงานเสร็จ ตอนค่ำก็ไปเก็บฟืนมาฌาปนกิจ เผาศพแล้วก็เอากระดูกไปลอยน้ำ

ถ้าเราเห็นว่าธรรมดาของทุกคน สัตว์ทุกตัว เกิดมาแล้วตายแน่ ๆ แต่เรามีโอกาสเห็นคนเกิดมากกว่าคนตาย เพราะคนเกิดใช้เวลา ๙-๑๐ เดือนเท่านั้น แต่คนเกิดมากว่าจะตายบางทีหลายสิบปี แต่ถ้าดูตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า “สัตว์โลกมาเกิดเท่าไรตายหมดเท่านั้น” แปลว่าไม่มีใครรอด แล้วแต่ว่าเป็นวาระของใคร

ถ้าอย่างในนิทานเซน เถ้าแก่ใหญ่เขาเปิดร้าน ขอให้ท่านอาจารย์เซนเขียนคำมงคลให้เพื่อจะติดหน้าร้าน ท่านอาจารย์เซนก็เขียนว่า “พ่อตาย ลูกตาย หลานตาย” เถ้าแก่โกรธอย่าบอกใครเลย งานมงคลแท้ ๆ ทำไมมาแช่งกันแบบนี้ ? ท่านบอกไม่ได้แช่ง นี่แหละคือความเป็นจริงที่เป็นมงคลที่สุด ถ้าหลานท่านตายก่อนลูก ท่านจะเสียใจขนาดไหน ถ้าลูกตายก่อนตัวท่าน ท่านจะเสียใจขนาดไหน แต่ถ้าตัวท่านตายแล้วลูกค่อยตาย แล้วหลานค่อยตาย ทุกอย่างเป็นไปตามลักษณะของอายุขัย ก็แปลว่าเป็นโดยธรรมชาติ กว่าจะเข้าใจได้แทบจะตีกันตาย

เถรี
29-05-2014, 19:42
ถาม : เขาทำพิธีศพแบบศาสนาคริสต์ ?
ตอบ : จะทำแบบไหนไม่เป็นไร เราทำบุญส่งให้เขาก็แล้วกัน เมื่อเช้าบอกกับโยมว่า คนตายไม่มีศาสนาหรอก ถึงเวลาตายกลายเป็นผี เขาจะดูว่าใครมีความดี คนมีความดีมาก มีกำลังบุญมาก ก็เหมือนแสงสว่างในที่มืด พอสว่างขึ้นมาเขาก็อยากจะอยู่ในที่สว่างแบบนั้น ก็มักจะมุ่งเข้าไปหา แต่ว่าน้อยคนที่จะรู้ได้ว่าผีเขามา หรือบางทีขนาดตั้งใจทำบุญให้ แต่อุทิศไม่เป็นก็ไม่ถึงเขา

อย่างเช่นบางคนไปขึ้นบท “อิมินา ปุญญะกัมเมนะ อุปัชฌายา คุณุตะรา อาจาริยูปะการา จะ..” ไล่ไปเรื่อย ให้พระอุปัชฌาย์ ให้อาจารย์ ไปไม่ถึงคนตายเสียที เพราะว่าโลกอื่นเขาตรงไปตรงมา ต้องให้เขาถึงจะได้ ถ้าไม่ให้เขาก็ไม่มีสิทธิ์ ถึงได้กลายเป็นว่าเวลาตายแล้วมักจะฉลาด ตอนมีชีวิตอยู่บางทีถือศาสนาอื่น ถือขนาดว่าเหยียบย่างเข้าศาสนสถานของอีกศาสนาหนึ่งถือว่าต้องลงนรก แต่พอตายแล้วเริ่มฉลาด รู้ว่าใครดี ใครมีบุญ ตอนเป็นผีฉลาดกว่าก็วิ่งไปหา

ถาม : ตอนเขาตายอยู่โรงพยาบาลค่ะ เป็นมาลาเรียลงกระเพาะ ตอนเราโทรไปเสียงนี้เหี่ยวเลยค่ะ โทรไปบอกให้เขาพุทโธ
ตอบ : ต้องบอกว่าเขาพ้นทุกข์แล้ว ตอนนี้ที่ต้องตะเกียกตะกายลำบากต่อ ก็คือพวกเราที่ยังอยู่นี่แหละ

เถรี
29-05-2014, 19:44
ถาม : ...(ไม่ชัด)...
ตอบ : ศาสนาคริสต์ก็ดีเพราะเขาก็มีการให้ทาน มีการปฏิบัติธรรมเหมือนกัน อย่างที่ไปยุโรป เขาไม่มีศีล แต่ว่าพวกนกเป็ด พวกหงส์ เต็มแม่น้ำไปหมด ไม่มีใครยุ่ง แล้วใครอย่าไปแตะเชียวนะ แจ้งตำรวจจับข้อหาทารุณสัตว์ให้ยุ่งไปหมด นั่นเท่ากับเขามีศีลโดยอัตโนมัติ เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้มาสมาทานศีลอย่างเราเท่านั้น ดู ๆ แล้วน่าทึ่งดี นี่ถ้าเป็นบ้านเราโดนกินหมด..ไม่เหลือหรอก

นกเป็ดเต็มไปหมดเลย ถึงเวลานอนอยู่ข้างฝั่งไม่กลัวคน ตอนแรกอาตมาก็คิดว่าคนเลี้ยง เขาบอกไม่ใช่หรอก อยู่ตามธรรมชาติ เป็นพวกเป็ดป่า หงส์ป่า

เถรี
29-05-2014, 19:48
โบราณของเราเก่ง เพราะว่ากรรม ๓ หมวด ๑๒ ประเภท มีอยู่กรรมหนึ่งเขาเรียกอาสันนกรรม คือ กรรมก่อนตาย ก่อนตายจิตเกาะอะไรจะไปที่นั่น คราวนี้โบราณของเรามีการบอกทางคนตาย ให้เกาะพุทโธ เกาะพระอรหัง คราวนี้พอจิตเกาะความดีได้ก็ไปดีก่อน ถ้าถามว่าความชั่วเคยทำมาเยอะแยะ ? นั่นส่วนชั่ว เขาไปรับความดีก่อน อย่างเช่นว่าเคยฝากเงินไว้สักร้อยสองร้อยบาท ไปใช้เงินก่อน พอใช้เสร็จค่อยไปใช้หนี้สามสิบล้านนั่นค่อยว่ากันทีหลัง

คราวนี้ส่วนใหญ่ท่านทั้งหลายเหล่านี้ขึ้นไปข้างบนแล้วฉลาด ก็เริ่มหาทางต่อบุญ เราอ่านประวัติหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ จะเห็นว่าเทวดามาขอฟังธรรมบ้าง ขอทำบุญบ้าง เขาต่อบุญ ต้องบอกว่าโบราณเราเก่ง เขามีการบอกทางให้กับคนใกล้ตาย ลักษณะคล้าย ๆ กับทิเบต แต่ทิเบตเขาจะสอนเลยว่าก่อนตายจะรู้สึกอย่างไร จะเห็นอะไรบ้าง ตอนช่วงไหนควรจะทำจิตอย่างไร ทิเบตเขาสอนละเอียดกว่า

เถรี
30-05-2014, 09:41
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าใครเคยกินผลไม้ที่สุกคาต้น ต่อไปกินอะไรก็ไม่อร่อย ผลไม้ในตลาดรสชาติไม่เอาอ่าวเลย เพราะว่าของที่มาจากต้น ส่วนใหญ่จะได้ความสด ลองไปกินพวกเงาะที่อยู่กับต้นดูนะ แล้วลองไปกินที่ตลาด ชิมดูจะไม่เอาไหนเลย คนสมัยก่อนเขาสังเกตจากสัตว์ ถ้าสัตว์รุมกินผลไม้ต้นไหน แปลว่าอร่อย แล้วก็เอามาปลูก คัดเลือกพันธุ์ ขยายพันธุ์ กลายเป็นสายพันธุ์ต้นไม้บ้านไป ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้าก็เป็นไม้ป่าทั้งนั้น

อาตมาธุดงค์ไปเจอลูกมะพูด บางคนก็เรียกแอปเปิ้ลเมืองไทย สุกเหลืองอร่ามเต็มต้นเลย ไม่มีใครกิน จึงเก็บที่ตก ๆ มาชิม เจ้าประคุณเอ๋ย..เปรี้ยวจนเหงื่อหยด เปรี้ยวจนลิงเมิน ไม่อย่างนั้นปกติพวกลิง ค่าง กระรอก กระแต กินกันกระจายแล้ว สุกแล้วแต่เปรี้ยวกว่ากินมะนาวอีก ไปเจอต้นที่ไม่หวาน แล้วคิดว่าตัวเองโชคดี สุกเต็มต้นทำไมไม่มีใครกิน เจอไปเต็ม ๆ

วันก่อนไปวัดท่าซุง เจอร้านค้าเปิดใหม่อยู่กลางทาง ชื่อร้านลุงมงคล เลยแวะเข้าไปดู ปรากฏว่ามีของที่ไม่รู้จักคือฟักข้าวกวน ปกติเคยแต่จิ้มน้ำพริก เคยแต่แกงส้ม นี่ฟักข้าวกวน เลยซื้อมาหนึ่งกล่อง ลองชิมดู รสชาติเข้าท่าดี...

ระยะหลังนี้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน เขาวิจัยเรื่องฟักข้าวว่ามีสารป้องกันอนุมูลอิสระสูงมาก ๆ เอาไว้ฟื้นฟูร่างกายหรือป้องกันมะเร็งได้ โบราณเขากินกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว คนรุ่นใหม่เพิ่งจะรู้จัก สมัยอาตมาเด็ก ๆ เอาไว้เป็นเป้าปืน เพราะฟักข้าวเวลาสุกลูกประมาณสองกำปั้น สีส้มแปร๊ดเลย กำลังสุกจะสีเหลือง ๆ อยู่ในใบเขียว ๆ เป็นเป้าเด่นเอาไว้ซ้อมมือ ยิงตูมกระจาย..!

สมัยก่อนตามหัวไร่ชายนาจะมีเถาฟักข้าว เถาขี้กา บอระเพ็ด เถาวัลย์เปรียง รางจืด เดินไปที่ไหนก็มี สมัยนี้กลายเป็นของแพงไปหมด"

เถรี
30-05-2014, 09:41
:4672615:เก็บตกเดือนพฤษภาคมปี ๕๗ หมดแล้วค่ะ:4672615:

ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน