PDA

View Full Version : ซัวสะเดย..เนียงลออ ตอนที่ ๕


สุธรรม
18-04-2014, 05:02
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20850&stc=1&d=1397773146
ทางเข้าปราสาทตาพรหมจากโกปุระด้านตะวันออก

ย้อนกลับเส้นทางเดิมทุกประการ จึงผ่านปราสาทแปรรูป ตลอดจนสระสรงที่อาตมาต้องหัวเราะในใจอีกครั้ง ทำเอาจอมคนแห่งกัมโพชไม่ยอมเอ่ยโอษฐ์อะไรเลย เมื่อถึงสามแยกคุณราญไม่ได้พาเลี้ยวซ้ายไปทางเดิม หากแต่วิ่งตรงไป เห็นรถโมบายยูนิตคันเดิมวิ่งนำหน้าเราไปอีกแล้ว ไปได้หน่อยเดียวรถของเราเลี้ยวขวา มาจอดตรงซุ้มประตู (โกปุระ) ขนาดใหญ่ที่ปรักหักพังไปบางส่วน คุณแสงต้อนพวกเราให้ลงกันที่นี่...

คุณราญขับรถแยกไปอีกด้าน บอกว่าจะไปรอทางประตูใหญ่ทิศตะวันตกที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แปลว่าเรามาลงที่ประตูทิศตะวันออก ? “ถ้าเป็นปราสาทที่ตั้งพระบรมศพขององค์กษัตริย์ จะหันหน้าไปทิศตะวันตก แต่ปราสาทนี้ข้าพเจ้าสร้างเพื่อเป็นวัดในทางพระพุทธศาสนา ที่มัคคุเทศก์นำมาเข้าทางนี้ถือว่าถูกต้องแล้ว” เสียง “มัคคุเทศก์เถื่อน” บรรยายไขข้อข้องใจ อ้าว..หลังนี้พระองค์ท่านสร้างเองหรอกหรือ ?

สุธรรม
19-04-2014, 01:52
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20873&stc=1&d=1397848137
หยุดฟังมัคคุเทศก์ "ตัวจริง" บรรยายก่อนเข้าชมปราสาทตาพรหม

คุณแสงพาพวกเราเดินผ่านโกปุระเข้าไปด้านใน ซึ่งพื้นที่แทบจะเป็นป่าสมบูรณ์ และเกือบจะไม่มีนักท่องเที่ยวมาเข้าทางด้านนี้เลย ทางเดินเป็นดินอัดแน่น สูงเป็นแนวขึ้นมาจากพื้นป่ารอบด้านเกือบฟุต มีต้นไม้ใหญ่บางต้นขึ้นล้ำมาอยู่บนแนวทางเดิน มัคคุเทศก์เรียกให้พวกเราหยุดรวมตัวกันใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง แล้วบรรยายให้ความรู้ตามหน้าที่ก่อน...

“นี่คือปราสาทตาพรหม (Ta Prohm) “เขาเล่าว่า” คนแรกที่มาพบปราสาทนี้เมื่อครั้งปรักหักพังอยู่ เป็นพรานล่าสัตว์ชื่อตาพรหม จึงได้ตั้งชื่อไว้เป็นที่ระลึก สร้างโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เพื่ออุทิศส่วนกุศลถวายแก่พระนางชัยราชจุฑามณีผู้เป็นพระราชมารดา เป็นปราสาทที่มีสิ่งของมีค่ามากที่สุด ขนาดพื้นทางเดินยังปูด้วยแผ่นทองคำเลย..!”

สุธรรม
23-04-2014, 16:42
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20890&stc=1&d=1398247212
มาเล่นจ๊ะเอ๋กันก่อน

“แล้วแผ่นทองคำตอนนี้ไปอยู่ที่ไหนคะ ?” ลูกปุ๊กเกิดสงสัยขึ้นมา ทำเอามัคคุเทศก์ตีหน้าพิกล เพราะไม่นึกว่าจะเจอคำถามแบบนี้ “หมดไปตั้งแต่ก่อนปราสาทจะพังแล้วครับ ข้าศึกมาตีบ้านปล้นเมือง ขนไปหมด ทิ้งตัวปราสาทจนรกเป็นป่า แต่เมื่อเดือนก่อนเขาเพิ่งขุดได้มงกุฎทองคำองค์หนึ่ง ตอนนี้เอาไปแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ครับ”

ขืนบรรยายต่ออาจจะเจอคำถามที่ตอบไม่ถูก คุณแสงจึงปล่อยพวกเราให้เดินเข้าไปยังตัวปราสาท ซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลไม่น้อยเลย เมื่อเข้าใกล้เขตตัวปราสาท อาตมาเห็นต้นไม้ต้นหนึ่ง มีช่องว่างอยู่กลางต้น เหมือนกับต้นไม้สองต้นขึ้นเบียดกันจนเป็นต้นเดียว หันมาเจอน้องเล็กเดินอยู่ใกล้ ๆ จึงให้เดินอ้อมไปโผล่หน้าตรงช่องว่าง แล้วอาตมาช่วยถ่ายรูปให้...

สุธรรม
24-04-2014, 07:05
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20901&stc=1&d=1398299013
ปราสาทตาพรหมเหมือนกับสร้างอยู่กลางป่า เพราะมีต้นไม้เยอะมาก

ป้ามอยกับลูกปุ๊กเอาอย่างบ้าง แต่คนถ่ายกลายเป็นแม่ป๋อม ส่วนพี่มุกดาเห็นต้นไม้ขนาดขาอ่อน ลำต้นเอนราวสี่สิบองศา จึงตะกายขึ้นไปนั่งให้ถ่ายรูป แถมยังชวนพี่วิไลให้ขึ้นไปด้วย “ไม่เอาหรอก วิไลตัวใหญ่ เดี๋ยวต้นไม้เขาหัก..” เล่นเอาคนชวนทำท่า “เซ็งเป็ด”...

เดินตามกันไปยังฐานหินของสิ่งก่อสร้าง ซึ่งหลังคาและข้างฝาพังหมดแล้ว เหลือแต่ฐานที่เขาทำบันไดไม้ให้เดินขึ้นไป ซ้ำยังมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่บนฐานหลายต้น จากตรงนี้สามารถเดินไปยังซุ้มหินยาวเหยียด แต่ดูโย้เย้จวนพัง ที่เป็นทั้งกำแพงและทางเดินไปในตัว...

สุธรรม
25-04-2014, 14:30
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20912&stc=1&d=1398412135
ตอนแรกก็คนเดียว ทำไปทำมากลายเป็นทั้งคณะ

นักท่องเที่ยวอื่นผลุบเข้าไปในซุ้มทางเดินกันหมด อาตมาเห็นต้นสะปุง (Spung) ซึ่งเป็นต้นไม้ใหญ่คล้ายต้นสำโรงของบ้านเราต้นหนึ่ง มีขนาดใหญ่มาก ตรงโคนผุเป็นรอยเว้า ใหญ่จนคนเข้าไปนั่งได้หลายคน จึงขอให้แม่ป๋อมช่วยถ่ายรูปให้ด้วย ลูกปุ๊กกับพี่มุกดาเห็นเข้าก็มุดเข้าไปให้ถ่ายรูปบ้าง ท้ายสุดทั้งคณะก็เข้าไปนั่งหน้าสลอนถ่ายรูปกันครบทุกคน...

ถ่ายรูปหมู่กันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เดินตามคุณแสงเข้าไปสู่ตัวปราสาทชั้นใน อาตมาอยากจะเดินเข้าทางซุ้มทางซ้ายมือ แล้วเดินเลาะมาตามทางเดินที่เป็นระเบียง แต่เขาไม่ได้ยกพื้นไม้ไว้ แสดงว่าไม่ได้ใช้เป็นทางเข้าเป็นแน่ จึงต้องขึ้นสะพานไม้ไปกับคณะ ข้างบนซุ้มทางเข้าตรงนี้มีพวกหญ้ามอสและตะไคร่ขึ้นหนา ขนาดหน้าแล้งอย่างนี้ยังเป็นสีเขียวอยู่เลย...

สุธรรม
26-04-2014, 02:10
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20924&stc=1&d=1398454089
มุมที่เห็นจนคุ้นตาของปราสาทตาพรหม

ผ่านเข้าไปชั้นในแล้ว อาตมาเห็นว่าแสงแดดตรงนี้กำลังดี จึงให้ป้ามอย น้องเล็กกับลูกปุ๊กหยุดถ่ายรูปกันก่อน ส่วนคนอื่นเดินกันไปไกลแล้ว พอเลี้ยวซ้ายตามไปได้หน่อยเดียวก็เจอกับมุมคุ้นตา คือช่วงมุมของกำแพงระเบียงทางเดิน ซึ่งมีต้นสะปุงใหญ่ขึ้นอยู่ตรงหัวมุมพอดี...

รากต้นสะปุง ๖ – ๗ เส้นนี้ น่าจะคล้ายกับต้นโพธิ์ คือสามารถงอกเป็นต้นใหม่ได้ เพราะเจ้ารากเส้นซ้ายสุดยืดลงมาถึงพื้นดิน แล้วเลื้อยตามพื้นไปไม่ไกลนัก จากนั้นยืดกลับขึ้นไปบนระเบียงอีก ดูท่าเตรียมแตกยอดเป็นต้นใหม่ แต่..ถูกตัดด้วนเอาไว้แค่นั้นเอง...

สุธรรม
27-04-2014, 02:23
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20936&stc=1&d=1398541334
หัดใช้หัวคิดซะบ้าง..!

เขาจัดเวทีไม้เล็ก ๆ กั้นเชือกเอาไว้ เพื่อให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปกันโดยเฉพาะ ใครมาก็ต้องถ่ายรูปกันตรงจุดนี้ เพื่อรักษากำลังใจของคนตั้งเวที พวกเราจึงรอคิวเพื่อถ่ายรูปกันบ้าง พอนักท่องเที่ยวฝรั่งถ่ายรูปกันหมดแล้ว ก็เฮละโลเข้าไปทันที ใช้หลักการตีโฉบฉวย (Raid) แบบของทหาร เข้าเร็วออกเร็ว ทำลายเป้าหมายแล้วไม่ยึดพื้นที่ จะได้ไม่เสียเวลาของคนอื่นเขา...

จากนั้นเดินไปตามทางที่เขาทำเป็นสะพานไม้กว้างประมาณ ๔ ฟุต ลัดเลาะไปตามจุดที่เขากำหนดไว้ เพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวเดินออกนอกลู่นอกทาง ซึ่งอาจจะสร้างความเสียหายให้ กับตัวปราสาท (ที่เสียอยู่แล้ว) ยิ่งขึ้น อาตมาชี้ให้แม่ป๋อมดูป้ายเล็ก ๆ ที่เขาตั้งไว้ตรงเถาวัลย์ขนาดใหญ่ ซึ่งเลื้อยทอดข้ามสะพานมา เขียนภาษาอังกฤษไว้ว่า MIND YOUR HEAD พลางแปลแบบเพราะพริ้งว่า “โปรดระวังศีรษะ” ป้ามอยที่ได้ยินหันขวับกลับมาบอกว่า “เขาแปลว่า..หัดใช้หัวคิดซะบ้าง..ของแข็งขนาดนี้อย่าเดินไปโหม่งเข้า..!” ดูท่าว่าป้าจะแปลได้ถึงแก่นมากกว่านะนี่...

สุธรรม
28-04-2014, 03:00
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20945&stc=1&d=1398629983
ไหน ๆ ก็เดินข้ามแล้ว ขอถ่ายรูปเอาไว้หน่อย

ในกำแพงปราสาทนี่ก็คือป่าดี ๆ นี่เอง มีแต่ต้นไม้ใหญ่เล็กเต็มไปหมด มีชิ้นส่วนของปราสาทหินที่ปรักหักพังกองอยู่เป็นจุด ๆ ส่วนที่ซ่อมแซมแล้วมีนักท่องเที่ยวหยุดชมและถ่ายรูปกันเป็นระยะไป คุณแสงพาเดินขึ้นบันไดไม้ข้ามกำแพงเตี้ย ๆ ข้างต้นไม้ใหญ่ เพื่อพาไปดูจุดที่เขาตั้งกองซ่อมแซมกันอยู่ อาตมาถึงฉวยโอกาสถ่ายรูปหมู่ให้กับคณะตรงสะพานนี้เอง...

จุดที่ทางการตั้งกองซ่อมแซมกันอยู่ น่าจะเป็นบริเวณตัวปรางค์หลักของปราสาทตาพรหม เพราะเห็นมีเสาเรียงเป็นตับเลย เขาตั้งนั่งร้านเหล็กเพื่อช่วยค้ำยันเอาไว้ จึงกลายเป็นเกะกะจนเดินเข้าไปไม่ได้ (เขาไม่ให้เข้าอยู่แล้ว) คุณแสงชี้ให้ดูมุมทางขวามือที่ไม่ไกลนัก บอกว่าพวกเขาขุดมงกุฎทองคำได้ตรงจุดนี้แหละ อาตมาจึงถ่ายรูปพื้นดินเปล่า ๆ เอาไว้ด้วย...

สุธรรม
29-04-2014, 05:07
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20949&stc=1&d=1398723952
นักประวัติศาสตร์เขาว่าพระองค์ทุ่มเทสร้างปราสาทจน "ทรงพระเจ๊ง" จริงหรือไม่ ?

“มงกุฎทองคำเป็นเพียงหนึ่งในของมีค่าที่ข้าพเจ้าถวายเป็นพุทธบูชา เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่พระมารดา ความจริงมีเครื่องทองอีกหลายร้อยกิโลกรัม เพชรพลอย ไข่มุกและผ้าไหมอีกเป็นจำนวนมาก” จอมคนแห่งกัมโพชในฐานะ “ผู้เชี่ยวชาญเรื่องปราสาทตาพรหม” เอ่ยโอษฐ์ขึ้น ถ้าไม่พูดอาตมาก็ลืมไปแล้วว่ามีพ่อเจ้าประคุณมาด้วย...

“นักประวัติศาสตร์เขมรเขาว่า เป็นเพราะพระองค์ใช้จ่ายในการสร้างปราสาทนี้อย่างฟุ่มเฟือย จึงทำให้อาณาจักรขอมต้องล่มสลายในเวลาต่อมา ไม่ทราบว่าเป็นความจริงหรือไม่ ?”

สุธรรม
30-04-2014, 02:37
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20975&stc=1&d=1398801382
ที่ "ทะเลาะกับผี" ก็ทะเลาะไป ที่ถ่ายรูปก็ถ่ายไป

อดีตมหาราชแห่งกัมโพชยักพระอังสา “ภาษิตจีนเขาว่า เอาจิตใจคนต่ำช้ามาประเมินวิญญูชน ตนเองกำลังใจไม่ถึง ไม่กล้าทุ่มเททำบุญกุศล กลับมาสันนิษฐานส่งเดช ทุกอย่างต้องก้าวไปสู่ความเสื่อม ถึงข้าพเจ้าไม่สร้างปราสาทหลังนี้ อาณาจักรกัมโพชก็ต้องเสื่อมสลายอยู่ดี..”

ทุกคนปล่อยให้อาตมา “ทะเลาะกับผี” ไปคนเดียว ฉวยโอกาสนั่งพัก ร้องขอน้ำดื่มที่คุณปัญญาหิ้วมาด้วย บางคนก็ถ่ายรูปกับเศษซากปรักหักพัง อาตมาหันมาถ่ายรูปหมู่ให้พี่วิไล น้องเล็ก ลูกปุ๊กและคุณอารี แล้วนั่งเป็นแบบให้แม่ป๋อมถ่ายบ้าง...

สุธรรม
01-05-2014, 02:13
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20991&stc=1&d=1398886385
ถึงจะจัดเรียงกลับมาเป็นระเบียงได้เหมือนเดิม แต่รูปก็หมดไปแล้ว

ได้ยินเสียง “แคว้กๆ” คุ้นหูดังลั่นมาตั้งนาน พยายามมองหาเจ้าของเสียงก็ไม่เห็น จน “ผี” ต้องชี้ให้ดู ฮ่วย..มิน่าว่าเสียงคุ้นหูนัก ที่แท้ก็นกแก้วโม่งทั้งฝูง ตัวสีเขียวกลมกลืนกับยอดไม้ ถ้าไม่ขยับก็ยากที่จะมองเห็น สมัยที่อยู่ชายแดนตาพระยา อาตมาเคยเห็นจับฝูงกันเป็นพัน ๆ ตัว บินพร้อม ๆ กันเป็นแพดูมืดฟ้ามัวดิน ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังจะพอมีเหลืออยู่หรือเปล่า ?

มัคคุเทศก์ประจำคณะปล่อยให้พวกเราพักเหนื่อยพอสมควร แล้วพาเดินเลาะไปตามระเบียงที่ซ่อมเสร็จแล้ว แม้จะดูสวยสมบูรณ์แข็งแรง แต่รูปตามผนังโดนสกัดทิ้งหมด เหลือเพียงเค้าอยู่ราง ๆ เท่านั้น พลางอธิบายว่า เมื่อกษัตริย์พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ถ้านับถือคนละศาสนา ก็มักจะมีผู้คอยเอาใจ ด้วยการทำลายรูปเคารพนอกศาสนาเสียหมด บางพระองค์ก็สั่งการให้ทำลายเองเลย ปราสาทตาพรหมเป็นปราสาทที่มีร่องรอยของการทำลายมากที่สุด ระเบียงนี้กว่าจะเรียงหินขึ้นมาจนสมบูรณ์อย่างนี้ได้ ใช้เวลาอยู่ตั้งหลายปี...

สุธรรม
02-05-2014, 02:28
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21006&stc=1&d=1398973678
ให้ถ่ายรูปข้างล่างเท่านั้น ห้ามปีน..!

เท่ากับว่าตอนนี้พวกเรามาอยู่ตรงชายขอบของพื้นที่ทำงาน มีป้ายภาษาอังกฤษเล็ก ๆ ปักไว้ว่า NO ENTER:WORK AREA จึงได้แต่ถ่ายรูปกันอยู่ตรงระเบียง พอนักท่องเที่ยวฝรั่งมารวมตัวกันมากขึ้น คุณแสงก็พาพวกเรา “ถอนตัว” เดินมาตรงมุมยอดฮิตอีกมุมหนึ่ง ที่มีต้นสะปุง ปล่อยรากเส้นใหญ่เลื้อยขดเป็นพญานาคลงมา เพื่อให้ถ่ายรูปกันที่นี่ อาตมาถ่ายรูปนั่งร้านเหล็กที่เขาค้ำยันเพื่อรับน้ำหนักต้นสะปุงแล้ว จึงเห็นป้าย DO NOT CLIMB แสดงว่ามีคนปีนกันบ่อยแน่ ๆ ถึงต้องมีป้ายห้ามไว้อย่างนี้...

ลงจากเวทีถ่ายรูปแล้ว พวกเราเดินไปตามสะพานไม้ อาตมาเห็นต้นไม้ใหญ่หลายต้น ที่มีรากค้ำยันสูงลิบ จึงลงจากสะพานไม้ไปถ่ายรูป ทำเอาทุกคนตามลงมากันหมด ทางด้านนี้มีนักท่องเที่ยวน้อย เพราะพวกเขาไม่ค่อย “ออกนอกลู่นอกทาง” กัน อาตมาเข้าไปยืนในระหว่างพูรากที่สูงท่วมหัว แล้วส่งกล้องให้แม่ป๋อมช่วยถ่ายรูป แต่ป้ามอยชิงใช้ Iphone ถ่ายไปก่อนแล้ว...

สุธรรม
03-05-2014, 02:05
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21019&stc=1&d=1399058698
พวก "นอกคอก" มักจะได้รูปที่คนอื่นไม่ได้เสมอ

คนโน้นขอถ่ายมุมโน้น คนนี้ขอถ่ายมุมนี้ พี่มุกดาลงทุนมุดรูรากไม้ที่มีช่องว่างอยู่ให้ถ่ายรูปด้วย แล้วคุณแสงจัดการถ่ายรูปหมู่ทั้งคณะให้ ซึ่งก็เหมือนเดิมคือ คุณปัญญากับคุณอารีเผ่นอ้าวไปเสียไกล ไม่รู้ว่าว่ากลัวกล้องหรืออย่างไร ?

กลับขึ้นมา “อยู่กับร่องกับรอย” บนสะพานไม้ เดินเลียบกำแพงไปได้ไม่ไกลนัก ก็มีแม่ชี เอ..? ใช่หรือเปล่าหว่า ? เพราะคุณยายเธอโกนหัว ใส่เสื้อแขนยาวสีขาว แต่นุ่งผ้าถุงสีแดงลายพร้อย นั่งเฝ้าช่องทางข้างกำแพง ซึ่งมีพระพุทธรูปนาคปรกเก่า ๆ องค์ไม่ใหญ่นักตั้งอยู่ พอเห็นพวกเรามา ก็กุลีกุจอจุดธูปทั้งกำส่งให้ พลางชักชวนให้ไหว้พระพุทธรูป พี่วิไลหย่อนใบละ ๑,๐๐๐ เรียลลงในถาดใบเล็ก รับธูปมาไหว้พระ อธิษฐานอะไรก็ไม่รู้ ?

สุธรรม
04-05-2014, 02:31
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21030&stc=1&d=1399146673
คุณยายแม่ชีรวบรัดหาลูกค้าแบบ "ปิดการขาย"

“พี่สาวท่านขอให้กิจการเจริญรุ่งเรือง แต่คงสมหวังยากสักหน่อย เพราะปีหน้าจะเกิดความวุ่นวายขึ้นในประเทศนี้ ประกอบกับมีพวกไร้ฝีมือแต่อยากร่ำรวย เปิดร้านตัดเสื้อผ้าแข่งขันกันมากมาย ทำให้ต้องลดราคาเพื่อแย่งชิงลูกค้ากัน สถานการณ์หนักพอสมควรทีเดียว” อ้าว..ทรงเปลี่ยนจากมัคคุเทศก์มาเป็นหมอดูซะแล้ว หา “เหวย” ได้หลายทางนะนี่..!

อาตมาเองปล่อยวางจนชินเสียแล้ว อย่างที่เคยบอกกับทุกคนไว้ว่า ถ้าไม่ใช่มาล้มทับตีนดิ้นพราด ๆ อยู่ตรงหน้า ทำให้เดินหนีไม่ได้ อาตมาก็ไม่ยุ่งกับกรรมของใครหรอก จึงรับข้อมูลจากโหราจารย์กิตติมศักดิ์ไว้เฉย ๆ พอพี่วิไลไหว้พระเสร็จ ก็พากันเดินตามคุณแสงไปยังมุมยอดฮิตอีกมุมหนึ่ง เป็นมุมที่มีต้นไทรใหญ่ทิ้งรากลงมามากมาย โอบซุ้มประตูข้างล่างเอาไว้...

สุธรรม
05-05-2014, 02:42
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21041&stc=1&d=1399233771
ปราสาทแห่งนี้เป็นฉากภาพยนตร์มาหลายเรื่องแล้ว

“มุมนี้ดังระดับโลกเลยนะครับ เพราะมีฝรั่งมาถ่ายหนังหลายเรื่อง ทั้ง Tomb Rider และ Indiana Jones” คุณแสงบรรยายขณะที่พวกเราผลัดกันเข้าไปจองมุมเพื่อถ่ายรูป อาตมาที่ไม่ได้ดูหนังมาเกือบ ๓๐ ปีแล้ว จึงไม่รู้ว่า “อินเดียหน้าโจร” นั้น สนุกอย่างไร ?

บริเวณใกล้ ๆ นี้ยังมีมุมที่จัดไว้ถ่ายรูปกับต้นไม้อีกหลายแห่ง พวกเราก็เข้าไปจับจองถ่ายเสียทุกแห่ง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเขาจะว่ามาไม่ถึง รู้สึกว่าปราสาทตาพรหมนี้ตั้งอกตั้งใจขายต้นไม้เอาจริง ๆ ของที่ทำลายปราสาทแท้ ๆ กลับพลิกวิกฤตเป็นโอกาส เอามาเป็นจุดขายได้อีกด้วย...

สุธรรม
06-05-2014, 02:25
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21052&stc=1&d=1399319142
หลงยุคมาได้อย่างไรกันพ่อคุณเอ๊ย..!

ถ่ายรูปกันจนไม่มีอะไรจะถ่ายแล้ว มัคคุเทศก์ตัวจริงก็พาพวกเราเดินผ่านเข้าประตูอีกชั้นหนึ่ง พลางบอกว่าตรงนี้มีปริศนาที่คนโบราณทิ้งเอาไว้ให้ พลางชี้ให้ดูภาพสลักที่เสาข้างประตู แล้วถามว่า “มีใครรู้บ้างครับ ว่ารูปนี้เป็นตัวอะไร ?” อาตมาชะโงกเข้าไปดูรูปสลักที่มีนั่งร้านตั้งอยู่ใกล้ ๆ เฮ้ย..กิ้งก่าโบราณมีครีบที่เรียกว่า Stegosaurus นี่หว่า..! สมัยนั้นยังมีอยู่อีกหรือวะ ?!!

“นั่นนะสิครับ เพราะนักโบราณชีวศาสตร์เขาว่าสัตว์ชนิดนี้สูญพันธุ์ไปตั้ง ๖๕ ล้านปีมาแล้ว ปราสาทหลังนี้เพิ่งสร้างขึ้นเมื่อแปดร้อยกว่าปีนี้เอง แล้วช่างสลักไปเอาตัวอย่างรูปนี้มาจากไหน ? เขาเห็นตัวจริงมาหรืออย่างไร ? ยังเป็นปริศนาที่นักวิชาการขบไม่แตกมาจนทุกวันนี้”...

สุธรรม
07-05-2014, 02:58
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21063&stc=1&d=1399407538
เล่นหัวแบบหนึ่ง ตัวแบบหนึ่ง เหมือนสมัยญี่ปุ่นลอกแบบรถเลย

อาตมาหันไปหา “มัคคุเทศก์เถื่อน” อีกฝ่ายสรวลหึ..หึ..พลางตรัส “หน้าตาเฉย” ว่า “ช่างเขาเห็นกิ้งก่ายักษ์ชนิดนี้มาจริง ๆ..!” เฮ้ย..ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเขียนตำรากันใหม่หมดเลยนะ “ไม่ต้องเขียนใหม่ ท่านเองก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องยาก ช่างสลักเขา “เจาะเวลาหาอดีต” ได้ ก็ย่อมต้องเห็นสัตว์ชนิดนี้ได้อยู่แล้ว”...

ฮ่วย..ปริศนาโลกแตกของนักวิชาการ พอเฉลยออกมาแล้วหมดราคาเลย จริงสินะ..บรรดานายช่างต้องทุ่มเทสมาธิอยู่กับงาน ใครที่มี “ของเก่า” มาก่อน พอสมาธิทรงตัว ความเป็นทิพย์ก็เกิดขึ้นเอง อยากจะรู้เห็นอะไรในอดีตหรืออนาคตก็ย่อมได้อยู่แล้ว...

แสดงว่าช่างคนนี้ตั้งใจทิ้งภาพนี้เอาไว้ ให้คนรุ่นหลังปวดกะโหลกเล่น เพราะนอกจากจะสลักให้ลำตัวเป็นเจ้ากิ้งก่าหลังครีบ Stegosaurus แล้ว ยังสลักส่วนหัวเป็น Triceratops ไอ้แรดสามเขาจอมบุกอีกด้วย เล่น two in one แบบนี้ นักโบราณชีวศาสตร์คง “ปวดหมอง” ขนาดหนัก เพราะไม่รู้ว่าจะไปหาโครงกระดูกแบบนี้มาจากไหน ?

สุธรรม
08-05-2014, 02:33
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21075&stc=1&d=1399492420
นี่ก็เอาพญาครุฑมาทำเป็นพังพานพญานาค

คุณปัญญาส่งน้ำมาให้อาตมาแก้ “ปวดหมอง” โดยที่ไม่รู้ว่าพวกที่ต้อง “ปวดหมอง” นั้นเป็นคนอื่น อาตมาได้คำตอบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉันน้ำแล้วคุณแสงพาเดินไปตามซุ้มระเบียงคด ผ่านพระพุทธรูปปางสมาธิแกะสลักจากหินสีดำ ๆ องค์ไม่ใหญ่นัก ทุกคนหยุดไหว้พระแล้วเดินต่อไป สวนทางกับฝรั่งหลายคณะที่เข้ามาทางประตูตะวันตก...

เดินพ้นประตูออกมาก็เป็นลานกว้างบริเวณซุ้มประตูตะวันตก พื้นที่ตรงกลางเป็นรูปพญานาคสลักจากหินยาวเหยียดขนาบสองข้างทางเดิน แต่พังพานพญานาคกลายเป็นรูปนารายณ์ทรงครุฑไปเสียนี่ เพียงแต่ว่าพังพานข้างหนึ่งหักหายไป เหลือแต่ตัวนาคโล้น ๆ ด้านข้างมีแผ่นป้ายนิทรรศการ แสดงภาพก่อนและหลังการบูรณะสะพานนาคนี้เอาไว้ด้วย...

สุธรรม
09-05-2014, 02:23
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21086&stc=1&d=1399578247
ถ้ามีเวลาน่าจะให้เขาวาดรูปกับตัวปราสาทสักใบ

บริเวณข้างกำแพงที่พวกเราเดินออกมา มีต้นไม้ใหญ่เอนประมาณ ๕๐ องศาทับกำแพงอยู่ต้นหนึ่ง ที่ไม่ไกลเป็นต้นสะปุงใหญ่อีกต้น ซึ่งมีจุดเด่นพิเศษอยู่ที่มีรากโผล่ออกมา ลักษณะเหมือนครกขนาดใหญ่ อาตมาจึงยกเอาป้ายชื่อต้นไม้เสียบไว้ในครกนั้นแล้วถ่ายรูปซะเลย...

บนสะพานไม้ที่เป็นทางเดินช่วงนี้ มีคนเอารูปวาดมาวางขายอยู่ด้วย น่าจะเป็นตัวจิตรกรมาวางขายเอง เพราะเห็นมีสีและพู่กันอยู่ด้วย ฝีมือการวาดทิวทัศน์ไม่เลวเลยทีเดียว แถมยังมีกลองรำมะนาหนังงูเหลือมหลายใบ พร้อมซออู้ ๒ คันกับซอด้วงอีก ๑ คัน แต่ซออู้ของเขากะลามะพร้าวเล็กจนน่าเวทนา ดูแล้วตอนแรกคิดว่าซอด้วงเสียอีก...

สุธรรม
10-05-2014, 01:16
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21109&stc=1&d=1399660612
ไม่รู้ว่าบ้านพักหรืออาคารของหน่วยราชการ

พวกเราเดินออกมาตามทางเดินที่ตัดตรงผ่านป่า มีอาคารในระหว่างทางอยู่หลังหนึ่ง หน้าตาเหมือนกับบ้านพัก อาจจะเป็นบ้านพักของบรรดาช่างที่มาบูรณะปราสาทก็เป็นได้ พอลงจากสะพานไม้มาบนทางดิน ซึ่งพาตรงไปยังทางออกด้านตะวันตก ก็เจอนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด มีทั้งที่เดินออกแบบพวกเรา แต่ส่วนใหญ่แล้วเดินเข้ามากันทั้งนั้น...

เสียงกลองรำมะนาหนังงูเหลือมดังอยู่เป็นระยะ เมื่อเดินเข้าไปใกล้เขาก็ยื่นมาเสนอขายให้ในราคาไม่แพง ถ้าไม่ใช่เอากลับยากแล้วก็น่าซื้ออยู่เหมือนกัน เพราะทางบ้านเราหนังงูเหลือมกลายเป็นของผิดกฎหมายไปเสียแล้ว แต่เมื่อนึกถึงการขนกลับแล้วก็ต้องปฏิเสธไป...

สุธรรม
11-05-2014, 03:04
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21111&stc=1&d=1399753553
ขนาดถ่ายรูปบางคนยังตั้งท่าเตรียมวิ่งไปซื้อไอศกรีมเลย..!

อาตมาเห็นต้นมะเดื่อใหญ่มีสีเขียนเป็นเลขอารบิก ๐๐๑ ลำต้นเอนกำลังดี มีตะพักวางเท้าอย่างเหมาะเจาะ จึงเข้าไปยืนบนตะพักให้แม่ป๋อมถ่ายรูป แล้วรีบตามหลังคณะของเราที่เดินห่างออกไป แม่ป๋อมฉวยโอกาสถ่าย “เบื้องหลัง” ของทั้งคณะเอาไว้ด้วย...

โผล่ออกมาที่ซุ้มโกปุระที่เป็นพรหมพักตร์ขนาดมหึมาทางด้านตะวันตก ตรงนี้เป็นลานจอดรถขนาดใหญ่ มีร้านขายของที่ระลึกและคนที่หอบของเดินขายเต็มไปหมด อาตมาเรียกให้ทุกคนมารวมกลุ่มถ่ายรูปกันหน้าซุ้มโกปุระก่อน เสร็จแล้วจึงปล่อยกองทัพผู้หิวโหยรี่เข้าไปล้อมรถขายไอศกรีมยี่ห้อเนสเลย์ สั่งซื้อมากินกันอุตลุด ด้วยมีข้ออ้างว่า “ใช้พลังงานไปมาก” ใครจะเอาอะไรมาเสนอขายก็ไม่สนใจทั้งสิ้น...

สุธรรม
12-05-2014, 02:39
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21123&stc=1&d=1399838456
ถ้วยแค่นี้เจอเข้าไป ๑ ดอลลาร์ ราคาโหดได้ใจจริง ๆ..!

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทางบริษัทเนสเลย์เอารถไอศกรีมวิ่งมาจากเมืองไทย หรือว่าเป็นการขายในแหล่งท่องเที่ยวที่ “โขก” ราคานักท่องเที่ยวเป็นปกติก็ไม่รู้ ? ไอศกรีมถ้วยละ ๑๒ บาทของเมืองไทย มาถึงที่นี่กลายเป็นถ้วยละ ๑ ดอลลาร์ อาตมาจึงฉากหลบออกมาถ่ายรูปเบื้องหลังของ “น้องผู้หิวโหย” แทน โดยมีแม่ป๋อมถ่าย “เบื้องหน้า” แต่เป็น “เบื้องหลัง” ของพนักงานขาย ส่วนน้องเล็กที่เห็นราคาก็อิ่มแล้ว หนีไปนั่งรออยู่บนรถตู้คนเดียว...

มีการแย่งกันจ่ายระหว่างเจ้าภาพอย่างพี่วิไลกับป้ามอย สุดท้ายไม่รู้ว่าใครเป็นคนที่จ่ายกันแน่ เพราะอาตมาเดินแยกออกมาขึ้นรถเสียก่อน รู้แต่ว่าใบละ ๕ ดอลลาร์บินหายไปอีกใบหนึ่งแล้ว เมื่อทุกคนขึ้นรถเรียบร้อย คุณราญก็นำรถวิ่งไปตามถนน ผ่านพื้นที่ป่าขึ้นไปทางทิศเหนือ โดยมีรถโมบายยูนิตคันเดิมวิ่งนำหน้าไปอีกตามเคย...

สุธรรม
13-05-2014, 02:47
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21136&stc=1&d=1399925357
ปราสาทตาแก้ว สร้างมาแปดร้อยกว่าปีแล้วยังไม่เสร็จ..!

พอเลี้ยวซ้ายมือ คุณแสงก็ชี้ให้ดูปราสาทหลังใหญ่ที่อยู่ทางด้านขวาของถนน บอกว่า “นั่นคือปราสาทตาแก้ว (Ta Keo) สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๕ เป็นการทดลองสร้างปราสาทด้วยหินทรายเป็นครั้งแรก นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า อาจจะเป็นเพราะช่างยังขาดความชำนาญ หรือหินทรายแข็งเกินไป จึงทำให้ผ่านไปสามรัชกาลก็ยังสร้างไม่เสร็จ ต้องปล่อยทิ้งไว้แค่ที่เห็นนี่แหละครับ”

“จริงอย่างที่มัคคุเทศก์เขาว่าหรือไม่ ?” อาตมาถาม “มัคคุเทศก์เถื่อน” ที่ตามมาด้วย “ก็มีส่วนจริงอยู่บ้าง แต่ที่จริงกว่านั้นก็คือ ในสมัยต่อมามีศึกมาประชิดติดเมือง ต้องเกณฑ์คนออกไปรบ จึงไม่มีแรงงานเหลือไว้ทำการก่อสร้าง” แม้จะเห็นว่ามีนักท่องเที่ยวทั้งเดินทั้งปีนป่ายให้ขวักไขว่ไปหมดก็ตาม แต่เมื่อสร้างยังไม่เสร็จก็รอให้เขาสร้างเสร็จแล้วค่อยมาดูกันดีกว่า..!

สุธรรม
25-05-2014, 02:45
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21173&stc=1&d=1400962072
บริเวณ "สนามหลวง" ของนครธม เอาไว้ "จอด" ช้าง

คุณราญพารถเลี้ยวไปไม่ไกลก็เลี้ยวซ้ายอีกที ผ่านปราสาทหินหลังไม่ใหญ่นักที่มีอยู่ทั้งซ้ายขวา มุ่งตรงไปยังลานกว้างมหึมา ที่มี “ซาก” ปราสาทหินขนาดใหญ่โตมโหฬารอยู่ตรงหน้า เมื่อพวกเราลงรถมาพร้อมหน้ากันแล้ว มัคคุเทศก์ตัวจริงก็ผายมือต้อนรับ...

“ยินดีต้อนรับสู่นครธม มหานครแห่งอาณาจักรกัมโพช ดินแดนแห่งปราสาทหินที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งสร้างโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ มหาราชแห่งกัมพูชา” อาตมาหันไปมอง “ผู้ถูกพาดพิง” อีกฝ่ายยืนแย้มพระสรวลเฉยเสีย ปล่อยให้คุณแสง “โม้” ต่อไปโดยไม่ขัดคอ...

สุธรรม
26-05-2014, 02:40
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21174&stc=1&d=1401048181
นครธมมีพื้นที่ ๕,๖๒๕ ไร่ นี่เป็นเพียงทางเข้าเท่านั้น..!

“นครธมมีความหมายว่ามหานคร เมืองใหญ่ หรือเมืองหลวง พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงมีพระราชดำริที่จะขยายอาณาจักรขอมให้ยิ่งใหญ่มากขึ้น จึงได้ย้ายราชธานีจากยโสธรปุระ มาสร้างนครธมขึ้นเป็นราชธานีแทน เมื่อกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๗...

นครธมมีคูเมืองกว้าง ๘๐ เมตร ยาวด้านละ ๓ กิโลเมตร รวมพื้นที่ทั้งหมด ๙ ตารางกิโลเมตร หรือ ๕,๖๒๕ ไร่ ล้อมรอบด้วยกำแพงศิลาสูงถึง ๗ เมตร ประกอบไปด้วยปราสาทราชวังต่าง ๆ มากมาย บริเวณลานกว้างที่ทุกท่านเห็นคือสนามหลวง เป็นที่รวมพลยามเกิดศึกสงคราม หรือเป็นที่พักช้างม้าในยามที่เจ้าประเทศราชหรือเจ้าเมืองต่าง ๆ มาเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน..”

สุธรรม
27-05-2014, 03:20
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21195&stc=1&d=1401136988
หลังเล็กไกล ๆ นั้นเป็นที่พักรอการแสดงของนางอัปสรา

“ปราสาทขนาดเล็กที่เรียงรายอยู่ทั้งสองข้างทางที่เราเข้ามาด้านละ ๖ หลังนั้น เป็นที่พักของบรรดา “อัปสรา” ที่มาเตรียมการแสดงถวายพระเจ้าแผ่นดินหรือแขกบ้านแขกเมือง ซึ่งเป็นการแสดงในยามค่ำคืน จึงมีการตามประทีปโคมไฟงดงามมาก..”

“มีข้อมูลอะไรที่พระองค์จะเพิ่มเติมอีกหรือไม่ ?” อาตมาถาม “มัคคุเทศก์เถื่อน” ซึ่งสรวล หึ..หึ.. อย่างพระทัยเย็นตามปกติวิสัย “มีนั้นมีอยู่ แต่ถ้าท่านเอาไปเผยแพร่ต่อ อาจจะถูกนักวิชาการ “ด่าจมดิน” โทษฐานที่ไปคัดค้านความคิดเห็นของพวกเขา..”

สุธรรม
28-05-2014, 07:06
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21237&stc=1&d=1401236952
ตั้งใจสร้างเป็น "นครธรรม" ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

“รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม ส่วนใครจะรับฟังจะด่าว่านั่นเป็นเรื่องที่ไม่ควรนำมาใส่ใจ จะทรงแถลงเรื่องอะไรก็ว่าไปได้เลย..” อดีตมหาราชแย้มพระสรวล “มีเล็กน้อยเกี่ยวกับชื่อนครธม ซึ่งไม่ได้แปลว่านครใหญ่ “ธม” มาจาก “ธรรม” เขียนเป็นบาลีว่า “ธมฺม” หมายถึงพระนครแห่งธรรม เพราะข้าพเจ้าตั้งใจสร้างให้เป็นเมืองพระพุทธศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรขอม”

นับว่าได้ “เปิดหูเปิดตา” อย่างแท้จริง “นครธม” ที่แท้ไม่ใช่ภาษาเขมรคำว่า “ธม” ที่แปลว่า “ใหญ่” หากแต่เป็น “นครธรรม” นั่นเอง เอ๊ะ..ชักจะเป็นภาษาไทยมากเกินไปหรือเปล่านี่ ? “แล้วท่านว่าใช่ภาษาไทยไหมเล่า ?” ก็ฟังเป็นภาษาไทยชัด ๆ นี่นา ยังจะเป็นภาษาอื่นได้อีกหรือ ?

สุธรรม
29-05-2014, 02:12
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21240&stc=1&d=1401305750
บ้านเกิดของพระองค์ท่านอยู่แถวนี้ ตกใจจริง ๆ นะนี่..!

“ถูกแล้ว ตระกูลของข้าพเจ้าสืบเชื้อสายมาจาก “ไชยา” ของอาณาจักรศรีวิชัย ทางตอนใต้ของประเทศไทยในปัจจุบัน ถึงได้ใช้คำว่า “ไชยาวรมัน” ต่อท้ายนามเป็นที่ระลึกถึงต้นเค้าเหล่ากออย่างไรเล่า” เว้ย..ชักจะไกลไปหน่อยละมั้ง ? เรื่องแบบนี้ต้องค้นคว้าทางวิชาการจนหัวหงอกเชียวนะ กว่าจะตั้งทฤษฎีที่สมเหตุสมผลขึ้นมาได้ แล้วพอแถลงไปมีหวังโดนคนคัดค้าน “ด่าจมดิน” อย่างที่พระองค์ท่านว่ามาจริง ๆ นั่นแหละ...

“จริงอย่างที่ว่า แต่ท่านบอกว่าอยากจะหาม จึงขอเพิ่มอีกหน่อยก็แล้วกัน เพื่อความเชื่อมั่นยิ่งขึ้นว่า ปราสาท “บายอน” หรือ “บายน” นั้น ที่จริงมาจากคำว่า “บรรยงก์” เพราะข้าพเจ้าตั้งใจสร้างเป็นปราสาทที่ประทับขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยเฉพาะ” ตูจะเป็นลม..มองพระวรกายสูงใหญ่ล่ำสัน ผิวคล้ำแบบอัศจรรย์ใจ นี่ก็ผิวคนสยาม (ดำ) ชัด ๆ..!

สุธรรม
30-05-2014, 02:27
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21281&stc=1&d=1401393029
"นางพญาครุฑ" เพิ่งจะหาพรรคพวกเจอ..!

กำลังคิดว่าตัวเองเริ่ม “เพ้อเจ้อ” ใหญ่แล้ว ก็พอดีมัคคุเทศก์ตัวจริงชักชวนทุกคน ให้เดินตรงไปยังฐานหินทรายขนาดใหญ่ตรงหน้า ซึ่งสูงขึ้นไปประมาณ ๒ เมตร มีบันไดไม้เสริมให้ขึ้นไปด้านบนได้ รอบฐานแกะสลักเป็นรูป “ครุฑอัด” เรียงรายแบกแท่นอยู่โดยรอบ...

พี่วิไลที่เห็นว่าตัวเองใหญ่โตพอฟัดพอเหวี่ยงกับพญาครุฑ จึงไปยืนทำท่าเลียนแบบแบกฐานศิลาบ้าง ให้พวกเราที่เฮฮาชอบใจได้ถ่ายรูปกัน ทำเอาคุณแสงยิ้มเห็นฟันขาวสว่างโร่บนใบหน้าดำ ๆ เพราะไม่คิดว่า “เจ้านาย” จะขี้เล่นขนาดนี้...

สุธรรม
01-06-2014, 19:07
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21326&stc=1&d=1401625879
ทางเดินพญานาคที่ปรักหักพังหมดแล้ว

พวกเราตามคุณแสงขึ้นไปบนฐานหินทราย ตรงหน้ามีบันไดอีกชั้นหนึ่ง มีสิงห์แกะสลักอยู่ข้างบันไดสองตัว ทางซ้ายเป็นของเก่าแก่คร่ำคร่า หน้าตาแตกบิ่นลบเลือนไปมากแล้ว ตัวทางขวาแกะใหม่เอี่ยมแล้วยกมาตั้งคู่กัน แสดงว่าของเก่าถ้าไม่ชำรุดจนเกินแก้ ก็น่าจะสูญหายไปแล้ว...

คณะของเราเดินขึ้นบันไดสิงห์ไปด้านบน มองออกไปทางซ้ายขวาเป็นชั้นลด แกะสลักเป็นพญานาคแผ่พังพาน มีทั้งที่ขดเป็นกรอบลดต่ำลงไปเท่ากับพื้นฐานหินทรายชั้นแรก และที่ผงาดยาวเหยียดตรงแน่วไกลลิบลิ่วออกไปเป็นทางเดินทั้งสองฝั่ง แต่ส่วนมากพังพานจะปรักหักพังหมดแล้ว ลำตัวก็ขาดเป็นท่อน ๆ แต่เขาเอามาเรียงเป็นรูปเดิม ถ้าสร้างใหม่ ๆ คงสวยงามยิ่งใหญ่เป็นที่สุด...

สุธรรม
02-06-2014, 01:16
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21348&stc=1&d=1401648094
ซุ้มโกปุระที่ตอนสร้างใหม่ ๆ ปูพื้นด้วยทองคำ..!

มัคคุเทศก์มืออาชีพพาพวกเราลงจากบันไดไม้ตรงหน้าซุ้มโกปุระขนาดใหญ่ หลบแดดร้อนยามบ่ายเข้าไปในเงาไม้ด้านซ้ายมือ แล้วบรรยายว่า...

“ฐานสูงทั้งสองชั้นที่เดินขึ้นมานั้น เป็นฐานพลับพลาที่ประทับของบรรดาเจ้าประเทศราช เจ้าเมือง หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มารอเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตให้เข้าเฝ้าได้ ก็จะเดินเข้าไปทางซุ้มโกปุระที่เห็นอยู่นี้ พลับพลาที่ประทับนั้นทำด้วยไม้ จึงผุพังไปหมดแล้ว เหลือแต่ฐานพลับพลาทั้งสองชั้น สมัยนั้นพื้นที่บนฐานตลอดจนทางเดินเข้าสู่โกปุระ ปูด้วยแผ่นทองคำทั้งสิ้น..” พวกเรานึกเห็นภาพความยิ่งใหญ่ ร่ำรวยอลังการ ได้อย่างชัดเจนเลย...

สุธรรม
03-06-2014, 02:25
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21349&stc=1&d=1401738547
ฐานด้านหลังเอาไว้กันช้าง ประตูข้างหน้าเอาไว้กันคน

อาตมาหันไปถ่ายรูปฐานพักที่เดินลงมา กลายเป็นถ่ายสวนกับแม่ป๋อมที่อยู่ข้างบน อีกฝ่ายหัวเราะชอบใจ แปลว่าอาตมาโดนเก็บ “เบื้องหลัง” ไปอีกแล้ว คุณแสงพาเดินเข้าซุ้มโกปุระ ที่สร้างใหญ่โตเสียเปล่า แต่ทางเข้าแคบจนแทบจะเดินสวนกันไม่ได้ อุตส่าห์ทำจนใหญ่โตทั้งทีทำไมไม่ทำทางเข้าให้ใหญ่หน่อยวะ ?

“นี่เป็นการป้องกันอย่างหนึ่ง ถ้าทำทางเข้าใหญ่โต ถึงเวลาข้าศึกยกมาตีเมือง จะกรูกันเข้ามาโดยง่าย แล้วถ้าใหญ่มากจนช้างม้าเข้ามาได้ ก็ยิ่งจะเสียบ้านเสียเมืองเร็วขึ้น ฐานพลับพลาด้านหน้าเป็นอุบายในการกันไม่ให้ใช้ช้างหรือม้าเข้ามาพังประตูเมือง ซุ้มประตูด้านในจะช่วยกันทหารไม่ให้กรูกันเข้าไปได้ทีละมาก ๆ..” เฮ้อ..ท้ายสุดก็ต้องพึ่งบริการ “มัคคุเทศก์เถื่อน” ตามเคย...

สุธรรม
04-06-2014, 01:49
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21372&stc=1&d=1401822820
ภายในซุ้มโกปุระด้านใน

ด้านในของซุ้มโกปุระเป็นลานกว้างสะอาดสะอ้าน อาตมาจึงให้ทุกคนมารวมกลุ่มกัน ถ่ายรูปหมู่ไว้เป็นที่ระลึก โดยที่คุณแสง คุณอารี หลบไปตามเคย ส่วนคุณปัญญาที่หิ้วน้ำตามมาไม่ทัน จึงไม่ได้ถ่ายรูปด้วย เสร็จแล้วมัคคุเทศก์มืออาชีพก็ชี้ไปทางขวามือ “นั่นเป็น “สระสรง” หนึ่งในสี่แห่งของนครธม ใช้เป็นทั้งแหล่งน้ำดื่มและน้ำใช้ภายในเมืองแห่งนี้...”

จากนั้นตรงไปยังซุ้มนิทรรศการที่ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มีแผนผังแสดงว่าภายในนครธม ประกอบไปด้วยปราสาทหรือสิ่งก่อสร้างอะไรบ้าง แต่ละหลังเรียกว่าอะไร ตั้งอยู่ตรงไหน ถึงคุณแสงไม่บอกอาตมาก็ดูออก เพราะอ่านได้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาขอม จึงเห็นว่าภายในกำแพงชั้นนี้ มี “สระสรง” ขนาดเล็กรวม ๓ สระ ขนาดใหญ่อีก ๑ สระ ถึงถูกข้าศึกล้อมอยู่เป็นปีก็ไม่น่าจะขาดแคลนน้ำกินน้ำใช้ นับว่าเป็นการสร้างบ้านแปลงเมืองที่รอบคอบมากทีเดียว...

สุธรรม
05-06-2014, 02:17
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21413&stc=1&d=1401910878
"พิมานอากาศ" ปราสาทสำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

เมื่อเดินอ้อมป้ายนิทรรศการออกมา ที่ว่างตรงหน้าเป็นปราสาทหินที่มีฐานลดหลั่นขึ้นไป ๓ ชั้น แต่ละชั้นสอบแคบลง จนถึงชั้นบนสุดเป็นระเบียงล้อมรอบตัวปราสาท ที่หักพังจนเหลือเพียงฐานและซุ้มประตูเท่านั้น คุณแสงบรรยายว่า...

“ปราสาทหลังนี้ชื่อว่าพิมานอากาศ (Phimeanakas) เป็นปราสาทหลังเดียวที่ก่อสร้างด้วยหินทราย แต่มีฐานเป็นศิลาแลงซ้อนกัน ๓ ชั้น เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า สูงราว ๑๒ เมตร กว้าง ๒๘ เมตร ยาว ๓๕ เมตร เอาไว้ใช้ในพิธีบรมราชาภิเษก (ขึ้นครองราชย์) ของพระมหากษัตริย์...”

สุธรรม
06-06-2014, 02:38
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21414&stc=1&d=1401998556
ขาขึ้นปีนชึ้นไป แต่ขาลงให้ถอยหลังลง

พวกเราเดินมาจนถึงหน้าบันไดที่ค่อนข้างจะผุพัง มัคคุเทศก์พาเดินอ้อมไปทางขวามือ ผ่านก้อนศิลาแลงระเกะระกะ ไปตามทางที่มีร่องรอยการเดินจนเป็นแนวเห็นได้ชัด จึงเห็นว่าด้านนี้มีบันไดศิลาค่อนข้างสูงชันประมาณ ๓๐ – ๔๐ ขั้น และยังมีการทำบันไดไม้เล็ก ๆ ชิดด้านขวาของบันไดศิลา เพื่อให้นักท่องเที่ยวปีนขึ้นไปชมด้านบนได้อีกด้วย...

“ปราสาทหลังนี้มีบันไดขึ้นลงทั้ง ๔ ด้าน ด้านหน้าเป็นทางเสด็จขึ้นขององค์กษัตริย์ ด้านซ้ายเป็นของข้าราชการต่าง ๆ ด้านขวาที่ทุกท่านเห็นอยู่นี้ เป็นทางขึ้นของพราหมณ์ปุโรหิต ส่วนด้านหลังเป็นทางในการเสด็จลง จะเห็นว่าบันไดค่อนข้างสูงและชันมาก เพื่อให้รู้สึกว่าได้ขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งเปรียบเหมือนองค์เทพบนฟ้า ในระหว่างพิธีนั้นต้องปีนขึ้นตรง ๆ และถอยหลังลงมา ห้ามหันหลังลงอย่างเด็ดขาด..”

สุธรรม
07-06-2014, 02:41
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21441&stc=1&d=1402085114
พิมานอากาศชันจนปีนไม่ไหว มาดูหลังใหม่กันดีกว่า

พวกเราเห็นบันไดชันลิบก็ท้อกันหมดแล้ว อาตมาจึงต้องตามใจเสียงส่วนมาก ด้วยการไม่ขึ้นไปถ่ายรูปด้านบน รู้สึกว่าขาดทุนอยู่เหมือนกัน เพราะอุตส่าห์มาถึงทั้งทีกลับไม่ได้ขึ้นไปดูข้างบนเสียนี่ แต่เมื่อเห็นหน้าทุกคนที่เดินกันมาตั้งแต่เช้า ก็ต้องยอมขาดทุนแต่โดยดี...

ตามมัคคุเทศก์อ้อมปราสาทพิมานอากาศด้านหลัง ตรงไปยังแนวกำแพงศิลาที่ผุพัง มีมอสส์และตะไคร่ขึ้นเขียวเป็นแห่ง ๆ ผ่านช่องว่างซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นประตูเก่า หรือว่ากำแพงช่วงนี้พังทลายลงไปหมดแล้ว เห็นท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นจนเหมือนป่าธรรมชาติ และกองศิลาระเกะระกะ มีปราสาทหินขนาดใหญ่หลังหนึ่ง ซึ่งเหลือแต่ฐานยกระดับสามชั้น มีบันไดไม้ประมาณ ๒๕ ขั้น สร้างซ้อนทับบันไดเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปยังชั้นแรก ด้านบนปรักหักพังจนเหลือเพียงซุ้มระเบียงบางส่วนเท่านั้น...

สุธรรม
08-06-2014, 02:26
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21467&stc=1&d=1402170648
ปราสาทแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์องค์ใหญ่ที่สุดในกัมพูชา

“ที่ท่านเห็นอยู่นี้คือด้านหลังของปราสาทบาปวน (Baphuon) เป็นปราสาทหินขนาดใหญ่ กว้างถึง ๑๐๐ เมตร ยาว ๑๒๐ เมตร ถ้าท่านเข้าจากทางด้านหน้าซึ่งเป็นทิศตะวันออก จะต้องเดินไปตามทางที่เป็นสะพานหินยาวเหยียด เพื่อขึ้นบันไดไปสู่ซุ้มโกปุระข้างบน ซึ่งด้านบนสุดนั้นเป็นที่ประดิษฐานศิวลึงค์ทองคำ คำนวณจากฐานที่เหลืออยู่ ศิวลึงค์องค์นี้มีน้ำหนักถึงหนึ่งตัน..!

แม้ว่าท่านจะไม่ได้ขึ้นจากทางด้านหน้า ไม่ได้เห็นความสวยงามอลังการของปราสาท แต่ด้านหลังนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์องค์ใหญ่ที่สุดในกัมพูชา ไม่ทราบว่าทุกท่านเห็นองค์พระกันไหมครับ ?” มัคคุเทศก์ถามขณะที่พวกเรามองหน้ากันเลิ่กลั่ก พระพุทธรูปองค์ใหญ่ขนาดนั้น ทำไมไม่มีใครเห็นเลยสักคนเดียว..??

สุธรรม
09-06-2014, 03:12
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21489&stc=1&d=1402259815
พอจะเห็นพระนอนหรือยัง ?

คุณแสงยิ้มแบบสมคะเนว่า ถ้าพวกเราไม่ใช่รู้ลึกเรื่องของปราสาทหินกันจริง ๆ ก็จะต้องออกท่าทางกันแบบนี้แหละ แล้วชี้ให้ดูฐานชั้นที่สองของตัวปราสาทอีกครั้ง...

“ดูดี ๆ นะครับ ถ้าฐานชั้นแรกคือฐานพระพุทธไสยาสน์ องค์พระก็คือชั้นที่สองทั้งชั้นนั่นเอง ตรงที่ผมชี้ก็คือพระพักตร์ของพระพุทธไสยาสน์เลยครับ..”

โอ้..มายบุ๊ดด้า..เพิ่งจะเห็นว่า อิฐกระดำกระด่างที่เรียงอยู่ของชั้นสองทั้งชั้น ถึงแม้จะมีตัวอาคารมุงแฝกเพิ่มขึ้นมาเกะกะอยู่หลังหนึ่ง ก็ยังมองเห็นพระพุทธรูปองค์มหึมา ที่กำลังบรรทมสีหไสยาสน์ เต็มไปทั้งชั้นสองของตัวปราสาท..! โดยเฉพาะพระนาสิกที่เห็นชัดเจนมาก...

สุธรรม
10-06-2014, 03:04
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21510&stc=1&d=1402345738
ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

“ในเมื่อมีศิวลึงค์ทองคำ ก็แปลว่าเป็นปราสาทที่สร้างบูชาพระศิวะ แล้วเหตุใดจึงได้สร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ไว้ด้านล่าง มิแปลว่าศาสนาพราหมณ์เหนือกว่าศาสนาพุทธหรือ ?”

“อ๋อ..แต่แรกปราสาทบาปวนนี้ สร้างเพื่อบูชาพระศิวะจริง ๆ ครับ แต่เมื่อองค์กษัตริย์ที่นับถือศาสนาพุทธขึ้นครองราชย์ ก็ทำการรื้อเทวรูปและศิวลึงค์ออก แล้วปรับฐานเป็นพระพุทธไสยาสน์แทน..” มัคคุเทศก์ของเราเฉลย อือม์..หากินง่ายดีเหมือนกัน แต่ “ผู้หากิน” ก็ทำไม่รู้ไม่ชี้เสียอีก คง “ทรงพระขี้เกียจ” ที่จะอธิบายความเพิ่มเติม...

สุธรรม
11-06-2014, 17:19
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=21532&stc=1&d=1402483494
ดูใกล้ ๆ อีกที

เนื่องจากพวกเราไร้แรงบินกันถ้วนหน้า จึงไม่ได้ขึ้นไปบนปราสาท เพื่อวนออกไปดูความงดงามอลังการทางด้านหน้า ได้แต่ถ่ายรูปแล้วนั่งพัก คุณปัญญาเอาน้ำดื่มมาแจก ได้น้ำได้ท่าเข้าไปค่อยมีเรี่ยวมีแรง หามุมถ่ายรูปกับต้นไม้ใบหญ้าแถวรอบ ๆ ไปก่อน...

เมื่อพักผ่อนกันพอสมควรแล้ว คุณแสงก็พาเดินไปทางขวามือ อ้อมหลบก้อนหินที่เกะกะไปหมดออกไปทางซุ้มประตูบานหนึ่งของกำแพง ทะลุออกมายังป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นสูงสล้าง ถ้าไม่ใช่ยังมีก้อนหินอยู่เต็มไปหมด ก็ต้องคิดว่าเป็นป่าธรรมชาติไปแล้ว...