PDA

View Full Version : เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๗


เถรี
13-04-2014, 15:28
ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตัวเอง จะนั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิชั้นเดียว สองชั้น หรือนั่งห้อยขา อย่างไรก็ได้ตามถนัดของเรา เอาความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมด ไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมด ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ตามที่เราถนัดหรือชอบมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ เมื่อครู่นี้ได้กล่าวถึงว่า ในแต่ละวันพวกเราใช้กำลังไปในกิจวัตรประจำวันของเรา จนกระทั่งถึงเวลา กำลังที่จะเหลือไว้สู้กิเลสก็ไม่มี ดังนั้น..ตอนนี้ก็เท่ากับว่าเรามาฟื้นกำลังของเราใหม่ แต่ว่าให้ทุกคนเข้าใจว่า สภาพของเรายังอยู่ในลักษณะของการหาเช้ากินค่ำ หรือที่โบราณเรียกว่า ตำข้าวสารกรอกหม้อ เพราะว่าเรายังไม่สามารถที่จะรักษากำลังใจให้ทรงตัวอย่างแท้จริงได้

ดังนั้น..โอกาสที่จะพลาด สมาธิตก จิตตก กรรมฐานตก จะมีมาก ขอให้ลืมความผิดพลาดนั้นเสีย แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติใหม่ ต้องเอาอย่างที่นักปราชญ์ท่านว่า บุคคลที่ไม่เคยทำผิดเลยนั้นไม่มี แต่สำคัญที่ว่าเมื่อตัวรู้แล้วให้รู้จักทำถูก เพื่อเป็นการแก้ไขตัวเองด้วย ไม่เช่นนั้นเราจะมีความผิดอยู่ส่วนเดียว

ในการที่เรามาปฏิบัติสมาธิภาวนา เป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดในช่วงที่ผ่านมาของเรา และเป็นการฟื้นฟูกำลังใจในการที่จะต่อสู้กับรัก โลภ โกรธ หลง ในเมื่อเราประกาศตัวเป็นผู้ปรารถนาพระนิพพาน ก็อย่าทำตัวเป็นคนอ่อนแอแพ้พ่ายกิเลส มีแต่ต้องทุ่มเท ทำอย่างจริงจัง ทำแบบเอาชีวิตเข้าแลก เหมือนกับที่ครูบาอาจารย์สายอีสานท่านบอกว่า “ความดีอยู่ฟากตาย” ก็คือต้องเอาชีวิตเข้าไปแลก ถึงจะได้ความดีนั้นมา หรือว่าต้องก้าวผ่านความเป็นความตายไปได้ ถึงจะเข้าถึงความดีนั้น ๆ ความดีนั้นโดยหลัก ๆ แล้ว องค์พระประทีปแก้วแนะนำเราเอาไว้ ก็คือในเรื่องของศีล สมาธิ และปัญญา

ดังนั้น..ให้ทุกท่านตั้งใจว่า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ศีลทุกสิกขาบทของเราบริสุทธิ์บริบูรณ์โดยสิ้นเชิง เราจะตั้งหน้าตั้งตาประคับประคองรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ จะไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง จะไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล จะไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล

เถรี
15-04-2014, 14:31
ในส่วนของสมาธิ ให้พยายามเอาสติสัมปชัญญะ คือความรู้ตัวทั่วพร้อมของเรา อยู่กับลมหายใจเข้าออกเป็นหลัก ถ้ารู้ตัวว่าเราเผลอสติคิดถึงเรื่องอื่น ให้รีบดึงเข้ามาหาลมหายใจเข้าออกทันที แรก ๆ ก็จะเหน็ดเหนื่อย เพราะว่าสภาพจิตเคยเป็นอิสระ นึกจะไปแสวงหา รัก โลภ โกรธ หลง อย่างไรก็ได้ตามใจชอบ แล้วโดนมาตีกรอบด้วยศีล ด้วยสมาธิ ก็จะดิ้นรนมาก เราก็ต้องเหน็ดเหนื่อยในการต่อสู้มาก

ยิ่งใครเคยทำสมาธิได้แล้วทิ้งไป กลับมาทำใหม่จะยากเป็นพิเศษ เพราะว่าสภาพจิตที่โดนกดอยู่ด้วยอำนาจสมาธินั้น กิเลสไม่ยินดี ไม่ชอบใจ เพราะกำเริบไม่ได้ ก็จะดิ้นรนไม่ยอมให้อำนาจของสมาธิมีกำลังครอบงำได้ ผู้ที่ทำสมาธิได้แล้ว มีอารมณ์ทรงตัวแล้ว ทอดทิ้งไปให้กิเลสท่วมทับ จนกระทั่งกำลังสมาธิสูญสลายไปหมด ต้องมาเริ่มต้นใหม่ จะลำบากเป็นพิเศษ แต่ก็ต้องต่อสู้ ของที่เคยทำมาได้แล้ว เราทำได้อีกอย่างแน่นอน แม้ว่าจะลำบากเพียงไรก็ต้องทำได้

ถ้าสมาธิทรงตัว กิเลสคือ รัก โลภ โกรธ หลง จะโดนอำนาจสมาธิกดดับลงชั่วคราว ความสุขเย็นกาย เย็นใจอย่างบอกไม่ถูกจะปรากฏขึ้น เพราะว่ารัก โลภ โกรธ หลง ก็คือไฟ บาลีกล่าวว่า ราคัคคิ ไฟคือราคะ โทสัคคิ ไฟคือโทสะ โมหัคคิ ไฟคือโมหะ ไฟทั้งหลายเหล่านี้ เผาผลาญเราอยู่ตลอดเวลา

เมื่ออำนาจสมาธิมีกำลังสูงกว่า กดไฟกิเลสให้ดับลงได้ คนที่โดนไฟเผาอยู่ตลอดเวลา เมื่อไฟดับลง มีความสุขสบายอย่างไร เราไม่สามารถที่จะอธิบายเป็นภาษามนุษย์ได้ เราก็จะเห็นว่าแค่กำลังสมาธิเบื้องต้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เรายังเข้าถึงความสุขขนาดนี้ บุคคลที่ทรงสมาธิเบื้องสูงขึ้นไปก็ดี ผู้ที่ก้าวเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่โสดาบัน สกทาคามี อนาคามีก็ดี ตลอดจนกระทั่งผู้ที่หมดกิเลสโดยสิ้นเชิง คือพระอรหันต์นั้น ท่านจะมีความสุขยิ่งกว่านี้กี่ร้อยกี่พันเท่า ?

เถรี
17-04-2014, 17:50
ถ้ากำลังปัญญาของเราเห็นเช่นนี้ ก็จะมีความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแน่นแฟ้นและจริงใจ มีความปรารถนาในพระนิพพานเป็นปกติ เราก็แค่มาทบทวนศีลทุกสิกขาบทของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล

เมื่อเราทวนศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว ก็จงอย่าลืมว่า เรามีความตายเป็นปกติ ขึ้นชื่อว่าเกิดมาจะไม่ตายนั้นไม่มี ในเมื่อตายแล้วต้องเกิดใหม่ก็ประสบกับความทุกข์เช่นนี้อีก เราไม่ต้องการ เราขอไปพระนิพพาน ซึ่งเป็นสถานที่พ้นจากความทุกข์แห่งเดียวเท่านั้น

เมื่อสภาพจิตของเรามีที่ยึดเกาะสุดท้ายคือพระนิพพานแล้ว ก็ให้ทุกท่านดูลมหายใจเป็นหลัก ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ให้กำหนดดู กำหนดรู้ลมหายใจ ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ กำหนดคำภาวนาไปด้วย ถ้าลมหายใจเบาลงหรือว่าหายไป คำภาวนาขาดหายไป ให้ทำใจรับรู้ว่าสภาพตอนนี้เป็นเช่นนั้น อย่าไปดิ้นรนอยากหายใจ และอย่าพยายามที่จะไม่หายใจ ทำใจสบาย ๆ ว่าเรามีหน้าที่ภาวนา อะไรจะเกิดขึ้นก็ช่าง ถ้าตายแล้วเราขอไปพระนิพพานที่เดียว ให้ทุกคนรักษากำลังใจเอาไว้ดังนี้ จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)