เถรี
17-03-2014, 19:13
ให้ทุกคนขยับนั่งในท่าที่สบายของตัวเอง ตั้งกายให้ตรง เพื่อที่ลมหายใจเข้าออกของเราจะได้เดินสะดวก กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจของเรา หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา ถ้าเผลอสติไปคิดถึงเรื่องอื่นเมื่อไร เมื่อรู้ตัวก็ให้ดึงความรู้สึกของเรากลับมาที่ลมหายใจเข้าออกเสียใหม่
คำภาวนานั้นเราจะใช้แบบใดก็ได้ที่ถนัดมาแต่ดั้งเดิม จะเป็นพุทโธ สัมมาอะระหัง นะมะพะธะ พองหนอยุบหนอ หรือว่าตัวบทพระคาถาใด ๆ ที่เราชอบใจ ก็ให้ใช้อย่างนั้น อย่าเปลี่ยน..เพราะว่าการเปลี่ยนคำภาวนา ทำให้สภาพจิตต้องมาทำความคุ้นชินเสียใหม่ บางทีใจก็จะไม่ค่อยยอมสงบเหมือนการใช้คำภาวนาอย่างเดิม
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ซึ่งเมื่อครู่นี้ได้กล่าวถึงการปฏิบัติธรรมของบุคคลที่เป็นพระอรหันต์แล้ว คือพระอนุรุทธเถระ ว่าท่านถือเนสัชชิก ก็คือนั่งโดยไม่นอนเลยตลอดระยะเวลา ๕๕ ปี นอกจากเป็นความไม่ประมาท พิจารณาธรรมเพื่อความอยู่สุขเฉพาะของตนแล้ว ยังแสดงออกซึ่งฉันทะอย่างแรงกล้า
เครื่องมือที่จะช่วยให้เกิดความสำเร็จในการปฏิบัติธรรมหรือว่าในการทำสิ่งอื่น ๆ ทุกประการก็ตาม คืออิทธิบาท ๔ ซึ่งประกอบไปด้วย ฉันทะ ยินดีและพอใจที่จะทำอย่างนั้น
ในปัจจุบันนี้ญาติโยมหลายต่อหลายท่าน มีฉันทะเกินพอ แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วเอาไปใช้ผิด อย่างเช่น นั่งเล่นไลน์กันทีเป็นวัน ๆ หรือไม่ก็ดูหนังสนุก ๆ ได้เป็นวัน ๆ อ่านหนังสือที่ตนชอบใจได้เป็นวัน ๆ บางทีสว่างไม่รู้ตัวก็มี เมื่อเป็นเช่นนั้นแสดงว่าตัวฉันทะ คือความพอใจที่จะกระทำของเรานั้นความจริงเพียงพออย่างเหลือเฟือแล้ว เพียงแต่ว่าต้องเราน้อมนำเอาฉันทะนี้มาใช้ในการปฏิบัติธรรมเท่านั้น
คราวนี้..การที่เราจะเปลี่ยนความยินดี ความพอใจจากสิ่งที่ให้ความบันเทิงแก่ตนเองในด้านอื่น ๆ มาเป็นการปฏิบัติธรรมด้วยความมุ่งมั่นในระดับเดียวกันนั้น เราต้องเห็นประโยชน์เสียก่อน
เราจะเห็นได้ว่าหลักธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ป้องกันเราไม่ให้ตกลงสู่อบายภูมิ คือถ้าเราเป็นผู้มีทาน มีศีล มีภาวนาทรงตัว เราสามารถที่จะปิดอบายภูมิได้ชั่วคราว แต่ถ้าการภาวนาของเราเข้าสู่ระดับปัญญา รู้แจ้งในเบื้องต้น ตั้งแต่ทรงความเป็นพระโสดาบันขึ้นไป เราก็จะปิดอบายภูมิได้อย่างถาวร ก็แปลว่าการเกิดในนรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน จะไม่มีสำหรับเรา
คำภาวนานั้นเราจะใช้แบบใดก็ได้ที่ถนัดมาแต่ดั้งเดิม จะเป็นพุทโธ สัมมาอะระหัง นะมะพะธะ พองหนอยุบหนอ หรือว่าตัวบทพระคาถาใด ๆ ที่เราชอบใจ ก็ให้ใช้อย่างนั้น อย่าเปลี่ยน..เพราะว่าการเปลี่ยนคำภาวนา ทำให้สภาพจิตต้องมาทำความคุ้นชินเสียใหม่ บางทีใจก็จะไม่ค่อยยอมสงบเหมือนการใช้คำภาวนาอย่างเดิม
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ซึ่งเมื่อครู่นี้ได้กล่าวถึงการปฏิบัติธรรมของบุคคลที่เป็นพระอรหันต์แล้ว คือพระอนุรุทธเถระ ว่าท่านถือเนสัชชิก ก็คือนั่งโดยไม่นอนเลยตลอดระยะเวลา ๕๕ ปี นอกจากเป็นความไม่ประมาท พิจารณาธรรมเพื่อความอยู่สุขเฉพาะของตนแล้ว ยังแสดงออกซึ่งฉันทะอย่างแรงกล้า
เครื่องมือที่จะช่วยให้เกิดความสำเร็จในการปฏิบัติธรรมหรือว่าในการทำสิ่งอื่น ๆ ทุกประการก็ตาม คืออิทธิบาท ๔ ซึ่งประกอบไปด้วย ฉันทะ ยินดีและพอใจที่จะทำอย่างนั้น
ในปัจจุบันนี้ญาติโยมหลายต่อหลายท่าน มีฉันทะเกินพอ แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วเอาไปใช้ผิด อย่างเช่น นั่งเล่นไลน์กันทีเป็นวัน ๆ หรือไม่ก็ดูหนังสนุก ๆ ได้เป็นวัน ๆ อ่านหนังสือที่ตนชอบใจได้เป็นวัน ๆ บางทีสว่างไม่รู้ตัวก็มี เมื่อเป็นเช่นนั้นแสดงว่าตัวฉันทะ คือความพอใจที่จะกระทำของเรานั้นความจริงเพียงพออย่างเหลือเฟือแล้ว เพียงแต่ว่าต้องเราน้อมนำเอาฉันทะนี้มาใช้ในการปฏิบัติธรรมเท่านั้น
คราวนี้..การที่เราจะเปลี่ยนความยินดี ความพอใจจากสิ่งที่ให้ความบันเทิงแก่ตนเองในด้านอื่น ๆ มาเป็นการปฏิบัติธรรมด้วยความมุ่งมั่นในระดับเดียวกันนั้น เราต้องเห็นประโยชน์เสียก่อน
เราจะเห็นได้ว่าหลักธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ป้องกันเราไม่ให้ตกลงสู่อบายภูมิ คือถ้าเราเป็นผู้มีทาน มีศีล มีภาวนาทรงตัว เราสามารถที่จะปิดอบายภูมิได้ชั่วคราว แต่ถ้าการภาวนาของเราเข้าสู่ระดับปัญญา รู้แจ้งในเบื้องต้น ตั้งแต่ทรงความเป็นพระโสดาบันขึ้นไป เราก็จะปิดอบายภูมิได้อย่างถาวร ก็แปลว่าการเกิดในนรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน จะไม่มีสำหรับเรา