PDA

View Full Version : ซัวสะเดย..เนียงลออ ตอนที่ ๓


สุธรรม
13-02-2014, 13:00
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20563&stc=1&d=1392271703
ไปสวดมนต์ไหว้พระและนั่งกรรมฐานในห้องพระ


วันศุกร์ที่ ๒๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๕


ตื่นขึ้นมาตอนตีหนึ่งครึ่ง เพราะเสียงฟ้าร้องและสายฟ้าแลบที่สว่างจ้าเข้าตา ลุกขึ้นมาภาวนาตามปกติ พักใหญ่ฝนก็ร่วงกราวลงจากฟ้า แต่ตกแบบฝนไล่ช้างแค่ไม่กี่นาที แล้วพรำต่ออีกหน่อยก็ขาดเม็ด แต่ฟ้ายังแลบแปลบปลาบไม่น่าไว้ใจ...

ภาวนาจนครบชุดก็ลุกไปเข้าห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัวแล้วสรงน้ำ ถึงเขาจะมีเครื่องทำน้ำอุ่น แต่อาตมาโดนน้ำอุ่นแล้วมักจะคัน จึงต้องเปิดน้ำเย็นราดขาให้ประสาทร่างกายรู้ตัวก่อน แล้วจึงสรงน้ำตามปกติ แต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อย ก็เปิดประตูออกไปยังห้องพระที่อีกฝั่งหนึ่ง เปิดไฟ เปิดประตูหน้าต่างรับลมฝนที่เย็นสดชื่น ไม่ต้องใช้เครื่องปรับอากาศให้เปลืองไฟ...

สุธรรม
14-02-2014, 05:07
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20568&stc=1&d=1392329725
ทิวทัศน์กรุงพนมเปญยามเช้ามืด ถ่ายจากหลังห้องพัก

กราบพระสวดมนต์ยังไม่ทันเสร็จ เสียงลิฟท์ก็เคลื่อนตัวขึ้นมา อีกพักหนึ่งแม่ป๋อมก็เข้ามาสวดมนต์แล้วนั่งสมาธิด้วย ขานี้ตื่นเช้าแล้วต้องหางานทำ ขืนนอนต่ออาจจะยาวจนสายไปเลย อาตมาปล่อยคุณแม่ทำกิจกรรมไปคนเดียว ตัวเองออกมาเดินดูทิวทัศน์กรุงพนมเปญในมุมสูง เวลามืดค่ำมีแต่แสงไฟแบบนี้ ก็ดูสวยไปอีกแบบ จึงถ่ายรูปเอาไว้หลายรูป...

จนเกือบตีห้าก็เก็บข้าวของลงกระเป๋า ร้องบอกแม่ป๋อมว่าอย่าเพลินจนเลยเวลา แล้วลงลิฟท์ไปก่อน เมื่อเปิดประตูออกมาที่ชั้นสอง น้องเล็กกำลังสะพายกระเป๋าส่วนตัวเดินลงบันไดมาพอดี อาตมาถามถึงป้ามอย พี่มุกดากับลูกปุ๊ก อีกฝ่ายบอกว่ากำลังเก็บข้าวของกันอยู่ แล้วพากันลงบันไดไปยังชั้นล่าง เจอพี่วิไลรออยู่กับนายลอน บอกว่ารถพร้อมแล้ว...

สุธรรม
15-02-2014, 02:45
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20570&stc=1&d=1392407609
เช้า ๆ แบบนี้ฝ่าไฟแดงได้..!

เมื่อทุกคนลงมาครบ พี่วิไลก็ต้อนให้ขึ้นรถ บอกนายลอนให้ออกรถเลย อาตมาถามหาพี่ปราณี “โอ๊ย..งานเยอะขนาดนี้เจ๊เขาไปด้วยไม่ได้หรอก นี่ยังดีที่ยอมให้วิไลไปด้วยนะคะ ตอนแรกเจ๊เขากะจะให้หลวงพี่กับคณะบินไปกันเอง แล้วให้อารี (ผู้ประสานงาน) ไปรอรับที่สนามบินเสียมเรียบ ถ้าวิไลไม่ประท้วงว่าทำกับแขกแบบนี้ได้อย่างไร ก็ไม่ได้ไปด้วยหรอก..”

หูฟังพี่วิไลก็จริง แต่ตาของอาตมาก็ดูนายลอนที่ฝ่าสัญญาณไฟแดงทุกสี่แยก พอทักท้วงเข้าอีกฝ่ายบอกว่า “เช้า ๆ อย่างนี้ไม่ค่อยมีรถ ฝ่าได้..ไม่เป็นไร..!” เออ..วันไหนไปเจอคนที่คิดแบบเดียวกันก็สวัสดีเท่านั้น ถึงท่านเจ้าของอาณาจักรจะรับรองเรื่องความปลอดภัย แต่นายทำแบบนี้ คงทำให้ท่านเหนื่อยกับการดูแลคณะของอาตมาขึ้นอีกหลายเท่า...

สุธรรม
16-02-2014, 17:27
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20571&stc=1&d=1392546951
พี่วิไลพามากินก๋วยเตี๋ยวญวนที่ร้านนี้

เลี้ยวเข้าสนามบิน นายลอนเสียบบัตรที่เอามาจากไหนก็ไม่รู้ พอเครื่องกั้นเปิดก็ขับเข้าไปด้านใน พวกเรามาเช้าจนเกินไป ลานจอดรถแทบจะไม่มีรถเลย เมื่อหิ้วกระเป๋าลงจากรถ แทนที่พี่วิไลจะพาเข้าไปยังสนามบิน กลับพาเดินไปทางซ้ายมือ บอกว่าร้านอาหารอยู่ทางนั้น...

เดินจนสุดสนามบินก็มุดเข้าประตูเล็กข้างกำแพง ข้างในกว้างขวางใหญ่โต ร้านอาหารตั้งอยู่ใกล้ ๆ สระน้ำ ที่อีกฝั่งของสระน้ำเป็นร้านขายของที่ระลึกซึ่งปิดเงียบอยู่ ร้านนี้เป็นร้านอาหารญวน ชื่อภาษาอังกฤษว่า PHO 24 ข้างใต้เขียนว่า Vietnamese Pho Noodle ที่ประตูกระจกเขียนเป็นอักษรขอมปนกับตัวเลขอารบิกว่า “เบิกโรง 06.00 – 12.00” อาตมาเองก็เพิ่งจะรู้ว่า คำว่าเปิดร้านขแมร์เขาว่าเบิกโรง..!

สุธรรม
17-02-2014, 03:34
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20575&stc=1&d=1392583385
ชามแค่นี้ราคา ๑๖๕ บาท..!

ปล่อยให้พี่วิไลพาทุกคนเข้าร้านไปก่อน อาตมาเดินตามป้ายห้องน้ำไปด้านหลังร้าน เจอห้องน้ำแถวยาวเหยียดแต่ปิดหมด เหลือที่เปิดไว้แค่สองห้องก็โทรมสิ้นดี จึงอั้นเอาไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยไปปล่อยในสนามบินก็ได้ ถ่ายรูปกระถางดอกไม้ในสระน้ำที่ออกดอกสะพรั่ง แต่พอเล็งดูดี ๆ ถึงเห็นว่าเป็นต้นไม้จริงแต่ดอกไม้ปลอม ฮ่วย..หลอกคนแก่เสียได้..!

เข้าไปในร้านอาหาร แม่ป๋อมกับลูกปุ๊กกำลังโซ้ย “เฝอ” กันใหญ่ ขณะที่ป้ามอย พี่วิไล พี่มุกดาและน้องเล็ก ยังยืนรออาหารอยู่ตรงแท่นขาย พักหนึ่งพนักงานของร้านก็ยกเอาผักมาวางให้หนึ่งจาน แล้วอีกคนก็ยกก๋วยเตี๋ยวญวนชามใหญ่มากับตะเกียบและช้อน อาตมารับไว้ขณะที่พี่วิไลส่งเสียงดังคับร้านมาว่า “กิน “ผักกะออม” เป็นหรือเปล่าหลวงพี่..อร่อยนะ..”

ฮ่า..ฮ่า..ที่แท้เขมรเรียกว่า “ผักกะออม” แต่อีสานบ้านเฮาเอิ้นว่า “ผักกะแยง” ครับ แค่สามนาทีอาตมาก็กวาด “เฝอ” ที่มีเส้นนิดเดียว กับเนื้อไก่ฉีกเส้น (ถ้าเป็นเนื้อหมาก็สุดยอด..!) โปะหน้าด้วยหอมหัวใหญ่ซอยขยุ้มเบ้อเริ่ม ลงท้องจนเรียบวุธ เหลือแค่ก้าน “ผักกะออม” แข็ง ๆ ๒ เส้น กับเปลือกมะนาวซีกหนึ่งไว้ให้ดูต่างหน้า..!

โชคดีที่อิ่มแล้วถึงเห็นที่ป้ายเล็ก ๆ บนโต๊ะ เขียนภาษาขอมว่า “โฝ พิเสสะ” คู่กับภาษาอังกฤษว่า Special Noodle Soup 5.5 Dollars อ๊ากกกกกกก..! ขอคายคืนได้ไหมวะ ? ก๋วยเตี๋ยวชามหนึ่งราคาตั้ง ๑๖๕ บาท ถึงเป็นชามพิเศษก็เถอะ ขูดเลือดขูดเนื้อกันชัด ๆ..!

สุธรรม
18-02-2014, 02:56
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20580&stc=1&d=1392667520
ยืนรอพี่วิไลไปตรวจตั๋วให้

ยิ่งมองป้ายภาษาขอมที่เขียนว่า “เพลินรส” คู่กับภาษาอังกฤษว่า Enjoy Eating ก็ยิ่งหมดอารมณ์ที่จะฉันต่ออย่างสิ้นเชิง พอชี้ราคาให้ดูทุกคนก็พากันอึ้งกิมกี่ พี่วิไลหัวเราะหน้าระรื่นบอกว่า “ราคานี้แหละ..” โอ้..พระเจ้า แค่กินก๋วยเตี๋ยวคนละชาม ทำเงินตกไว้เป็นพัน..! ใครที่คิดว่าเงินเขมรเล็กกว่าเงินไทยมาก แล้วคิดไปเที่ยวก็โปรดระวังเอาไว้ด้วย...

ถอยทัพออกมาแบบพ่ายยับเยิน ถ้าจ่ายเองจะเจ็บใจกว่านี้อีก เดินเซ็งเข้าไปยังสนามบิน ที่นี่ไม่มีการ X-Ray กระเป๋าก่อน เขาให้เข้าไปตรวจตั๋วได้เลย ถึงจะมีแท่นตรวจตั๋วหลายแท่น แต่ที่คนเข้าแถวยาวมีแต่แท่นของ Cambodia Angkor Air ที่ไปเสียมเรียบเท่านั้น...

ได้ตั๋วมาแล้วพี่วิไลส่งให้พวกเราคนละใบ บอกว่าให้เข้าไปข้างในกันก่อน ตัวเองจะไปขอเงินคืน อาตมาถามว่าเงินอะไร ? พี่เขาบอกว่าคนเขมรจะได้คืนภาษีคนละ ๑ ดอลลาร์ เวรกรรม..ทีก๋วยเตี๋ยวชามละ ๕.๕ ดอลลาร์ไม่ว่าอะไรสักคำ แต่จะไปเอาภาษีคืน ๑ ดอลลาร์ ตูละเง็ง..!

สุธรรม
21-02-2014, 10:17
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20582&stc=1&d=1392953161
“Knife..Knife” "ก็นี่ไง ?" ฮ่วย..นึกว่าภาษาไทย..!

อาตมาเดินนำเข้าไปก่อน เจ้าหน้าที่ผิวกาแฟใส่นมเอาปากกาขีดที่ตั๋วเครื่องบินแล้วปล่อยให้เดินขึ้นบันไดเตี้ย ๆ ไปด้านบน เลี้ยวขวาแล้วเลี้ยวซ้ายก็มาติดอยู่ตรงหน้าเครื่อง X-Ray อาตมาส่งกระเป๋าให้เจ้าหน้าที่แต่โดยดี พลางอาราธนาบารมีพระคลุมตัวเองไว้ก่อน...

จะไม่ให้อาราธนาบารมีพระอย่างไรเล่า ? ก็อาตมาไปไหนเล่นพก “มีดหมอชาตรี” ของหลวงพ่อวัดท่าซุงติดตัวไปด้วย วันไหนนึกครึ้มใจขึ้นมาก็แถม “มีดจ่าตุ่ม” ที่เข้าพิธีโสฬสอีกเล่ม ซึ่งแบบหลังนี้เป็นอาวุธชัด ๆ ขืนให้เครื่องตรวจเจอก็มีหวัง “ยาว” แน่..!

ผ่านตลอดไม่มีปัญหา แต่คณะที่ตามมาไม่แคล้วคลาดแบบนั้น เพราะเจ้าหน้าที่คุมเครื่อง X-Ray ร้องว่า “Knife..Knife” ที่แท้น้องเล็กเผลอปล่อยให้มีมีดพับติดกระเป๋ามาด้วย จึงต้องสละด้วยการเอาไปหย่อนลงในกล่องแต่โดยดี ถ้าเป็นมีดจ่าตุ่มอย่าหวังเลยว่าคุณเธอจะยินยอม คงต้องขอโหลดเข้าท้องเครื่องแทนเป็นแน่แท้...

สุธรรม
22-02-2014, 02:28
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20583&stc=1&d=1393011446
ขนาดของเครื่องบินเล็กจนไม่น่าไว้วางใจเลย

พี่วิไลเฮงกว่านั้นอีก พกยาสีฟันมาหลอดใหญ่ไปหน่อย โดนยึดเสียนี่..หวังว่าคงไม่ไปฟ้องท่านสมเด็จเดโชฯ นะ ไม่อย่างนั้นสายการบินนี้อาจจะถูกสั่งให้เลิกบินไปเลย ส่วนคนอื่น ๆ ผ่านได้สบายไม่มีปัญหา อาตมารีบมุดเข้าห้องน้ำไปก่อน ที่ประตูเขียนภาษาขอมว่า “ปุรุสะ” เอาไว้อย่างชัดเจน ถึงไม่มีรูปก็อ่านออกว่า “บุรุษ” ซึ่งก็คือห้องน้ำชายนั่นเอง...

ออกมาเข้าแถวยืนรอนั่งรอกันให้เกะกะไปหมด เพราะประตูทางออกขึ้นเครื่องยังไม่เปิด เวลาขึ้นเครื่องก็ไม่ได้ระบุไว้ในตั๋วเครื่องบิน คงต้องรอให้เขามีอารมณ์ก่อนถึงจะไปได้กระมัง ? รออยู่นานทีเดียวกว่าพนักงานจะมาเปิดประตู พวกเราส่งบัตรขึ้นเครื่องให้ตรวจ เจ้าหน้าที่เอาเครื่องอ่านบาร์โค้ดยิงปิ๊ด..ปิ๊ด แล้วปล่อยให้ผ่านไปได้...

ไหลตามกันออกไปยังนอกอาคารสนามบิน ต้องย่ำต๊อกตรงไปยังเครื่องบินที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก เป็นเครื่องสองใบพัดดูแล้วสีสันคล้าย ๆ กับเครื่องของการบินไทย มีภาษาอังกฤษติดไว้ว่า Cambodia Angkor Air สภาพของเครื่องเล็กจนไม่น่าไว้วางใจเลย...

สุธรรม
23-02-2014, 05:20
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20584&stc=1&d=1393108205
ไม่กินก็เสียของเปล่า..ว่าแล้วก็ฟาดโลด..!

อาตมากับแม่ป๋อมถ่ายรูปพวกเรากับเครื่องบิน บรรดานักท่องเที่ยวฝรั่งเห็นเข้าก็ทำตามกันใหญ่ ถ้าสนามบินนี้เป็นความลับทางทหาร ห้ามถ่ายรูปเหมือนกับพม่า อย่างน้อยพวกเราก็คงไม่ได้ติดคุกอยู่คณะเดียว เพราะมีฝรั่งร่วมชะตากรรมเป็นโขยงเลย...

อาตมาได้ที่นั่งหมายเลข 09D แต่ก็ต้องขึ้นทางบันไดหลังเหมือนกับทุกคน เก็บกระเป๋าบนช่องเก็บของ แล้วเข้าที่นั่งของตนเอง จัดการรัดเข็มขัดเรียบร้อย พนักงานบริการสาวบนเครื่องที่หน้าตาเป็นอาหมวยชัด ๆ ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน ต้อนผู้โดยสารไปเข้าที่หมดแล้ว ก็สาธิตวิธีการใช้เครื่องช่วยชีวิตฉุกเฉิน...

กัปตันนำเครื่องเข้าสู่ทางวิ่ง เมื่อความเร็วได้ที่ก็พานกเหล็กทะยานสู่ท้องฟ้า ฝ่าหมู่เมฆขึ้นไปจนเครื่องวัดระดับอัตโนมัติแจ้งว่า ๑๕,๐๐๐ ฟุต ก็ตั้งลำบินตรงไปยังเสียมเรียบ พนักงานบริการแจกอาหารกล่อง ถ้าไม่กินก็เสียของเปล่า พวกเราจึงกวาดเรียบในไม่กี่นาที...

สุธรรม
24-02-2014, 02:46
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20585&stc=1&d=1393185318
สนามบินสั้นแค่นี้เอง มิน่า..ถึงใช้เครื่องบินเล็กนิดเดียว

ที่กล่องอาหารมีภาษาขอมเขียนว่า “เขมะปูซา อังคอร์ แอร์” แต่ที่รายการอาหารกลับเขียนว่า “กัมพุชา อังคอร์ แอร์” ตกลงว่าเป็นสายการบินเดียวกันหรือเปล่าหว่า ? ในรายการอาหารมี Khong Lobsters ด้วย น่าเสียดายที่ไม่มีให้ชิม ไม่รู้ว่าใช่กุ้งก้ามกรามแม่น้ำโขงหรือเปล่า ?

มองออกไปทางนอกหน้าต่าง เห็นแหล่งน้ำกว้างใหญ่ไพศาล น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของทะเลสาบเขมร สักครู่หมู่เมฆหนาทึบก็บดบังสายตา ไม่ได้เห็นทิวทัศน์แต่ก็ทดแทนด้วยความรู้สึกของ “เซียนเหยียบเมฆ” ดังบาลีที่ว่า อากาเส ยนฺติ อิทฺธิยา (ผู้มีฤทธิ์ย่อมไปได้ในอากาศ)...

พนักงานเก็บกล่องอาหารยังไม่ทันเสร็จดี เครื่องบินก็เริ่มลดระดับลงแล้ว เมื่อเห็นทางวิ่งของสนามบินก็ใจแป้ว เพราะสนามบินค่อนข้างเล็ก ทางวิ่งจึงสั้นนิดเดียว อาตมาส่งกำลังใจถึงเจ้าที่ซึ่งดูแลสนามบินเสียมเรียบ ขอให้ช่วยดูแลความปลอดภัยให้ด้วย เครื่องกระแทกพื้นแล้วลดความเร็ว จนหันหัวกลับไปยังอาคารสนามบินค่อยหายใจโล่งอกหน่อย...

สุธรรม
25-02-2014, 02:00
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20588&stc=1&d=1393268947
อากาสยานฐานอันตรชาติเสียมราบ ? (อันตร = ในระหว่าง)

ขาขึ้นเดินไปขึ้นเครื่อง ขาลงก็เดินเข้าสนามบินอีกเช่นกัน พวกเราลงทางบันไดท้ายเครื่องตามเคย ตรงไปยังหมู่อาคารสนามบินหลังคาสีส้ม ที่หน้าตาเหมือนอาคารทรงไทย หลังที่อยู่ใกล้กับหอบังคับการบิน มีป้ายอยู่บนหลังคาว่า SIEM REAP INTERNATIONAL AIRPORT...

เข้าสู่ตัวอาคารได้อาตมาก็มองหาห้องน้ำก่อนเพื่อน ทุกคนมีใจเดียวกัน เมื่อเห็นป้ายก็กรูกันเข้าไปทำธุระส่วนตัว ใครมาช้าต้องยืนรอไปก่อน เสร็จธุระออกมากันครบแล้ว พี่วิไลก็พาเดินออกมาทางด้านหน้าสนามบิน ที่มีป้ายภาษาขอมว่า “อากาสยานฐานอันตรชาติเสียมราบ”..?

ไทยเราออกเสียงว่าเสียมราฐ (เมืองสยาม) เขมรออกเสียงว่าเสียมเรียบ (สยามแพ้) แต่ภาษาขอมเองดันเขียนว่าเสียมราบ ตกลงว่าบ้านนี้เมืองนี้เขาเอาอะไรเป็นมาตรฐานก็ไม่รู้ ? “อารี..ทางนี้..” เสียงพี่วิไลตะโกน ทำให้อาตมาต้องเลิกนินทาคนเขมรในใจไปโดยปริยาย...

สุธรรม
26-02-2014, 03:23
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20598&stc=1&d=1393360406
รถตู้เล็ก ๆ แบบนี้บ้านเราหาดูยาก

ผู้ประสานงานของเราคือคุณอารี เป็นสาวหน้าตาเหมือนหมวย แต่ผิวสีน้ำผึ้งค้างปีออกไปทางแนว “เจ๊กดำ” ใส่เสื้อยืดสีดำกางเกงสีเนื้อ มีเสื้อแขนยาวสีขาวสวมทับอีกตัว พร้อมกับผ้าพันคอสลับสีผืนเท่าผ้าสไบ ท่าทางคล่องแคล่วปราดเปรียวทีเดียว มากับสุภาพบุรุษอีกสองคน...

คนแรกรูปร่างล่ำสันสูงใหญ่ค่อนไปทางอ้วน ใส่ชุดซาฟารีสีเทาอ่อน มีวิทยุสื่อสารเหน็บเอวมาด้วย ชื่อคุณปัญญา ทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกัน อีกคนตัวเล็กล่ำดำสั้น สูงประมาณป้ามอยเท่านั้น ใส่เสื้อเชิร์ตแขนยาวสีเนื้อ มีตราการท่องเที่ยวกัมพูชาปักติดที่ไหล่ทั้งสองข้าง สวมกางเกงสีดำ สีตรงกันข้ามกับคุณอารีทั้งชุด แต่มีหมวกลายพรางสุดเท่ครอบหัวมาด้วย ชื่อคุณแสง สาคร ทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ให้กับคณะของเรา...

คุณอารีพูดไทยได้คล่อง แต่ถ้าศัพท์ลึก ๆ ก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน ส่วนคุณแสงนั้นพูดน้ำไหลไฟดับ สมกับเป็นมัคคุเทศก์มืออาชีพจริง ๆ แนะนำตัวกันเสร็จแล้วก็ช่วยพวกเราหิ้วกระเป๋า ตรงไปยังรถตู้ Toyota Liteace สีขาว มีพลขับรูปร่างผอมสูง ใส่เสื้อยืดคอปกสีดำลายเขียว กางเกงสีกากี ติดเครื่องรถรอพวกเราอยู่แล้ว...

สุธรรม
27-02-2014, 02:46
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20621&stc=1&d=1393444612
เพิ่งออกจากสนามบินก็โดนไล่ให้จอดชิดข้างทางไปตาม ๆ กัน


คุณปัญญานั่งคู่กับพลขับที่ไม่ได้แนะนำตัว มารู้ทีหลังว่าชื่อคุณราญ คุณแสงนั่งข้างคุณปัญญา หันหน้ามาหาพวกเรา อาตมานั่งเบาะแถวหน้าสุดคนเดียวทั้งแถว ที่เหลืออีก ๗ คนทั้งคุณอารียัดเข้าไปในเบาะที่เหลือ พลขับพารถออกได้ค่อนข้างนิ่มทีเดียว แต่เพิ่งเลี้ยวขวาออกจากสนามบินไปได้หน่อยเดียว ก็โดนตำรวจจราจรที่แต่งตัวเหมือนกับเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์บ้านเรา โบกไล่ให้จอดชิดขอบทาง...

อาตมาสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น คุณแสงก็อธิบายว่า “หลบขบวนรถของของรัฐมนตรีต่างประเทศที่มาประชุมอาเสียนครับ” ASEAN คุณแสงแกออกเสียงว่า “อาเสียน” อย่างชัดเจน ทำเอาคนฟังอย่างอาตมาไปไม่เป็นเหมือนกัน เพราะออกเสียงไม่ถูก ฮ่า..!

มัคคุเทศก์ของเราบรรยายว่า เพื่อต้อนรับการเข้าสู่ AEC (ประชาคมอาเสียน) ในปี ๒๕๕๘ ทางรัฐบาลกัมพูชาได้อนุมัติงบประมาณ ๒,๕๐๐ ล้านดอลลาร์ ให้สร้างสนามบินเสียมเรียบขึ้นมาใหม่ ห่างจากสนามบินเดิมแห่งนี้ไปอีก ๔๕ ก.ม. ได้ยินแล้วเศร้าใจ บ้านเรามัวแต่ทำอะไรกันอยู่ก็ไม่รู้ ? รอบบ้านเขาแซงหน้ากันไปหมดแล้ว...

สุธรรม
28-02-2014, 02:46
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20623&stc=1&d=1393530955
คณะของผู้ยิ่งใหญ่ที่มาประชุม "อาเสียน" วิ่งผ่านป้ายโฆษณากลางถนน

มีรถตู้ที่บ้านเราเรียกว่า “รุ่นหัวจรวด” เปิดไฟวิ่งนำมาก่อน ๒ คัน แล้ว “ฉลามบก” สีน้ำเงินคาดขาวก็เปิดไฟวาบ ๆ วิ่งไล่ตามมา ต่อด้วยรถยนต์ยี่ห้อดาวสามแฉกที่บ้านเรานิยม และรถตรวจการณ์ยอดนิยมของเขมรคือ Lexus หลายคัน ปิดท้ายด้วยหัวจรวดอีกหนึ่งคัน...

นับตั้งแต่จอดหลบลงข้างทาง จนกระทั่งรถขบวนคันสุดท้ายผ่านไปเข้าสนามบิน กินเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง พอจราจรโบกมือให้ไปได้ คุณราญก็นำรถตู้วิ่งยาวไปตามถนนที่มีแค่สองช่องทางแต่สภาพดีมาก สองข้างทางกำลังปรับพื้นเพื่อขยายการจราจรเป็นสี่ช่องทาง...

สุธรรม
01-03-2014, 03:11
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20624&stc=1&d=1393618914
"รูปของข้าพเจ้าเอง" เอ..ใครหว่า ?

บ้านนี้เมืองนี้เขาติดตั้งป้ายโฆษณาแบบเอื้อเฟื้อมาก โดยทำฐานขนาดมหึมาคร่อมถนนเป็นระยะไป ใครที่ซื้อพื้นที่ไว้ก็มาติดตั้งป้ายกันเอาเอง ทำให้อ่านได้ง่ายเพราะป้ายอยู่กลางถนน ไม่ต้องเหลียวจนคอเคล็ดเพื่อดูข้างทางแบบบ้านเรา...

วิ่งมาไกลทีเดียวจึงมาเจอวงเวียนที่มีรูปปั้นคนนั่งสมาธิ มีฉัตร ๗ ชั้นขนาดใหญ่อีกด้วย ถามดูว่าเป็นรูปปั้นของใคร “รูปของข้าพเจ้าเอง” เสียงที่ตอบมาไม่ใช่คุณแสง แต่เป็นจอมคนแห่งกัมโพชที่ย่องตามมาทรงเฉลย คุณแสงตอบมาก็เป็นคำตอบเดียวกัน...

สุธรรม
02-03-2014, 02:44
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20625&stc=1&d=1393703636
คนที่ยืนรอแลกเงินอยู่ทางขวาสุดคือคุณอารี

ในเมื่อรถวิ่งชิดขวา คุณราญจึงต้องนำรถวนขวา เข้าสู่ถนนที่เจริญมาก ๆ สายหนึ่ง มีสิ่งก่อสร้างใหม่ ๆ มากมาย แต่ละหลังสวยงามทันสมัย ดูจากป้ายแล้วส่วนใหญ่เป็นโรงแรมทั้งนั้น โอ้..พระเจ้า โรงแรมระดับสี่ดาวอยู่บนถนนเดียวกันเป็นร้อย ๆ หลังแบบนี้ นักท่องเที่ยวจะต้องมากขนาดไหนหนอ ? ร้านอาหารทั้งประเภทขึ้นเหลาและแบกับดินเต็มไปหมด...

วิ่งมาติดไฟแดงที่สี่แยก พี่วิไลบอกว่าขอแวะแลกเงินก่อน อาตมาเห็นธนาคาร CAB (Cambodia Asia Bank) ตรงข้างสี่แยก นึกว่าพี่เขาจะแลกเงินที่นี่ แต่พอไฟเขียวคุณราญกลับเลี้ยวขวา ตรงไปเกือบอีกสี่แยกหนึ่งถึงจอดรถ คุณอารีเปิดประตูวิ่งปราดลงไปไม่รอใครเลย...

“พวกเราไม่ต้องแลกเงินหรอก งานนี้พี่เหมาจ่ายเอง” พี่วิไลบอก อาตมาจึงถึงบางอ้อ ว่าทำไมผู้ประสานงานถึงได้ไม่รอใครเลย เห็นคุณอารีตรงไปยังตึกแถวห้องที่อยู่ใกล้กับร้านถ่ายรูป จัดแจงควักดอลลาร์ออกมาแลก มีป้ายภาษาอังกฤษว่า Huy Keang Exchange น่าจะเป็นร้านคนจีนชื่อ “ฮุ่ยเกียง” แต่ภาษาขอมดันเขียนเป็น “หุยคัง” อ่านแล้วปวดตับดีเว้ย..!

สุธรรม
03-03-2014, 09:27
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20627&stc=1&d=1393814274
แวะซื้อน้ำดื่มที่ "หาง" นี้

รออยู่พักใหญ่คุณอารีก็หอบธนบัตรเขมรมาตั้งใหญ่ พี่วิไลส่งใบละ ๑,๐๐๐ เรียลใหม่เอี่ยมให้อาตมา ๑ ปึก บอกว่า “ถวายหลวงพี่เอาไว้ใช้ที่นี่” เงินเขมรคิดเป็นเงินไทยได้ง่ายมาก แค่ตัดศูนย์ออก ๒ ตัวก็เป็นเงินไทยแล้ว แปลว่า ๑๐๐,๐๐๐ เรียลที่พี่เขาถวายมา เท่ากับ ๑,๐๐๐ บาทของไทยนั่นเอง...

คุณราญกลับรถวิ่งย้อนมาทางเก่า แล้วจอดชิดขวาหน้าร้านขายของเบ็ดเตล็ดแห่งหนึ่ง ป้ายภาษาขอมที่หน้ากันสาดเขียนว่า “หางศีวะลาน” อาตมาเดาว่าน่าจะชื่อ “ห้างศิวลึงค์” แต่ภาษาขอมไม่มีเสียงตรง จึงเขียนเพี้ยนไปทุกแห่ง คุณอารีกับคุณปัญญาลงไปหาซื้อน้ำดื่ม แล้วหอบมาขึ้นรถคนละโหล อาตมาถามหาน้ำร้อน เพราะแม่ป๋อมพกกระบอกน้ำร้อนมาเผื่ออาตมาด้วย คุณอารีฉวยกระบอกน้ำวิ่งไปพักเดียว ก็ได้น้ำร้อนกลับมา ช่างคล่องตัวดีจริง ๆ...

มาเลี้ยวขวาตรงธนาคาร CAB ตามเดิม วิ่งตรงไปบนถนนที่สองข้างทางมีต้นไม้ใหญ่ค่อนข้างมาก คุณแสงบอกว่ากำลังเข้าสู่เขตพื้นที่มรดกโลก ซึ่งองค์การ UNESCO ประกาศให้พื้นที่ ๓๕๐ ตารางกิโลเมตรบริเวณนี้เป็นเขตมรดกโลก ประกอบไปด้วยปราสาทหินน้อยใหญ่ ทั้งที่บูรณะจนสมบูรณ์แล้ว กำลังบูรณะและที่ผุพังจมดินรวม ๑,๕๐๐ แห่ง..!

สุธรรม
04-03-2014, 01:41
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20631&stc=1&d=1393872712
จะซื้อตั๋วยังต้องถ่ายรูปอีก

ยิ่งวิ่งไปต้นไม้ก็ยิ่งมาก บางช่วงยังเป็นป่าดงดิบสมบูรณ์ ไม่นานก็มาถึงบริเวณลานจอดรถกว้างขวาง มีรถนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด คุณแสงให้พวกเราลงจากรถ แล้วพาตรงไปยังที่ขายบัตร ซึ่งเป็นระบบบัตรเดียวเที่ยวทุกที่ ถ้าเที่ยววันเดียวคิดคนละ ๒๐ ดอลลาร์ ถ้าสามวันคิดคนละ ๔๐ ดอลลาร์ ใช้บัตรนี้เข้าชมปราสาทหินได้ทุกแห่ง รวมค่ากล้องถ่ายรูปและวีดิโอเอาไว้แล้วด้วย...

พี่วิไลควักกระเป๋าจ่ายค่าบัตรชนิดเที่ยววันเดียว (One Day Pass) ให้กับพวกเราทุกคน เจ้าหน้าที่จัดให้พวกเราเข้าแถว เดินเข้าไปยังช่องรับบัตร จัดท่าให้ยืนตะแคงข้างกับช่องทางเดิน ชี้ให้มองกล้องถ่ายรูป ครู่ต่อมาก็ส่งบัตรที่มีรูปของแต่ละคนพิมพ์ติดไว้ให้คนละใบ ตรงช่องสัญชาติ (Nationality) เขาใส่หมายเลขหนังสือเดินทางเอาไว้แทน...

ได้บัตรกันแล้วก็กลับมาขึ้นรถ คุณราญพาตรงไปตามทางที่มุ่งสู่ปราสาทนครวัด โดยคุณแสงให้ข้อมูลว่า ช่วงเช้าควรไปเที่ยวปราสาทนครวัดเสียก่อน ช่วงเที่ยงถึงบ่ายแดดร้อนมาก เราค่อยไปปราสาทตาพรหมที่มีต้นไม้มาก ไม่ค่อยร้อนเหมือนกับปราสาทนครวัด...

สุธรรม
05-03-2014, 02:46
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20633&stc=1&d=1393963041
คูเมืองรอบปราสาทนครวัด

ไม่เชื่อมัคคุเทศก์แล้วจะเชื่อใคร ก็ต้องไปตามโปรแกรมที่เขาจัดให้ สองข้างทางเป็นป่าทึบสมบูรณ์ มีรถบัสวิ่งนำอยู่หลายคัน ส่วนนักท่องเที่ยวฝรั่งมีทั้งไปด้วยรถสามล้อ รถมอเตอร์ไซค์ ที่มากที่สุดคือรถจักรยานที่เช่ามา ขี่ตามกันเป็นทิวแถว เห็นแล้วอยากขี่แบบนั้นบ้าง...

ถนนพาตรงมาถึงสามแยกใหญ่ ก่อนสามแยกทางขวามือเป็นคูเมืองของปราสาทนครวัด ซึ่งคุณแสงให้ข้อมูลว่าคูเมืองนี้ด้านกว้างยาวถึง ๑,๓๐๐ เมตร ส่วนด้านยาว ๑,๕๐๐ เมตร นครวัดจัดเป็นศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างขึ้นประมาณ พ.ศ. ๑๖๕๐ ในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ใช้เวลาในการสร้างประมาณ ๔๐ ปี มีพื้นที่รวม ๒๐๐,๐๐๐ ตารางเมตร...

สุธรรม
06-03-2014, 02:04
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20639&stc=1&d=1394046909
คุณแสงให้รวมพลเพื่อฟังบรรยายก่อน

คุณราญเลี้ยวขวาไปตามถนนเลียบคูเมือง ตรงไปยังทางเข้าด้านหน้า ซึ่งเห็นสะพานทอดยาวข้ามคูเมืองไปยังตัวปราสาท ขณะนี้มีคนเดินกันยุบยับไปหมด แต่เลี้ยวไปจอดที่ลานจอดรถด้านซ้ายมือ ตรงข้ามกับตัวปราสาท ที่ตอนนี้รถจอดแน่นไปหมดแล้ว...

บรรดาสาว ๆ ขอไปเข้าห้องน้ำกันก่อน อาตมาจึงถ่ายรูปคูเมือง สะพานหิน และเศียรพญานาค (เห็นชัดว่าแกะขึ้นมาใหม่) ตลอดจนบริเวณรอบ ๆ ที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว รอจนทุกคนมาครบแล้ว คุณแสงจึงเรียกรวมพล จัดการบรรยายต่อว่า...

สุธรรม
07-03-2014, 16:31
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20640&stc=1&d=1394185290
หินทุกก้อนต้องเจาะรูเพื่อเสียบลิ่มไม้ จะได้ผูกเชือกให้ช้างลาก

พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ สร้างปราสาทนครวัด เพื่อถวายบูชาต่อพระวิษณุ ต้องใช้ช่างแกะสลักประมาณ ๕,๐๐๐ คน ช้างนับหมื่นเชือกและคนงานอีกนับแสน ในการตัดและขนหินมาจากเทือกเขาพนมกุเลน ที่อยู่ห่างออกไปกว่า ๕๐ กิโลเมตร มาแกะสลักและประกอบขึ้นมาเป็นปราสาท พลางชี้ให้ดูหินที่ปูพื้นสะพาน ทุกก้อนจะมีรูกลม ๆ สองรูทั้งด้านหัวและท้ายของก้อนหิน แล้วถามว่ามีใครรู้บ้างว่ารูนี้ใช้ทำอะไร ?

มัคคุเทศก์เฉลยเองว่า เป็นรูที่เจาะขึ้นมา เพื่อตอกไม้ลิ่มลงไป แล้วเอาเชือกผูกไม้นั้น โยงไปให้ช้างลาก เพื่อขนย้ายหินมายังที่นี้ เฉพาะปราสาทนครวัดแค่หลังเดียว ต้องใช้หินในการสร้างถึง ๖๐๐,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร โอ้..แม่เจ้า..แล้วใช้เวลาขนหินกันกี่ปีละนี่ ?

สุธรรม
08-03-2014, 04:59
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20641&stc=1&d=1394230214
เช้านี้นักท่องเที่ยวเป็นคนไทยไปเกือบครึ่ง

จบการบรรยายช่วงนี้ คุณแสงก็พาพวกเราเดินเข้าไปยังตัวปราสาท พลางบรรยายต่อว่า สะพานหินที่เราเดินอยู่นี้เขาซ่อมขึ้นมาใหม่ โดยใช้อิฐเรียงด้านล่าง แล้วเอาหินเก่าซ้อนไว้ด้านบน ทางด้านซ้ายมือของสะพานมีคนงานดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำ ๓ – ๔ คน กำลังตอกหลักไม้เพื่อเป็นที่ยึดนั่งร้านในการซ่อมแซม พวกเราเดินหลีกทั้งฝรั่งทั้งไทยเข้าไปยังโกปุระ (คุณแสงออกเสียงอย่างนี้จริง ๆ) ซึ่งก็คือซุ้มประตู ผ่านคณะคนไทยที่ถ่ายรูปกันเสียงเจี๊ยวจ๊าวไปหมด...

เมื่อผ่านเข้าประตูของโกปุระเข้าไป เป็นระเบียงยาวซึ่งรายล้อมแทนกำแพงชั้นนอก แผ่นหินสึกกร่อนด้วยรอยเท้านักท่องเที่ยวนับจำนวนไม่ถ้วน มีซุ้มลักษณะโกปุระทั้งซ้ายขวา คุณแสงบอกว่า ซุ้มใหญ่นี้สำหรับพระมหากษัตริย์เสด็จเข้าสู่ตัวปราสาท ซุ้มขนาดเล็กกว่าสองข้างสำหรับเสนาบดี แสดงว่าต้องตามเสด็จมาจนถึงโกปุระใหญ่ตรงกลาง แล้วจึงแยกขบวนเดินตามระเบียงไปทางซ้ายขวา เพื่อเข้าสู่ปราสาททางซุ้มเล็กตามฐานะของตน...

สุธรรม
09-03-2014, 03:09
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20642&stc=1&d=1394310020
เทวรูปพระนารายณ์ ๘ กร ที่ดูสมบูรณ์เกินกว่าที่จะเป็นของเก่า

ซุ้มเล็กทางด้านซ้ายเป็นเทวรูปที่พระหัตถ์หักไปแล้วทั้งสองข้าง นักโบราณคดีบางท่านสันนิษฐานว่า เป็นพระรูปของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ เอง ส่วนซุ้มเล็กทางขวาเป็นเทวรูปที่ทั้งพระเศียรและพระหัตถ์หักหายไปนั้น มีผู้เอาผ้านุ่งสีแดงมานุ่งให้ ซ้ำยังห่มผ้าสไบสีเหลืองอีกด้วย อาตมาดูแล้วเดาเอาเองว่า น่าจะเป็นพระมเหสีของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒...

ซุ้มใหญ่ตรงกลางประดิษฐานเทวรูปพระนารายณ์ ๘ กร ขนาดใหญ่สูงประมาณ ๕ เมตร มีฉัตร ๓ ชั้นสีทองขนาดใหญ่กั้นให้ด้วย น่าจะเป็นของที่สร้างขึ้นมาใหม่ เพราะสมบูรณ์เกินกว่าที่จะเป็นของเก่า กระนั้นนักท่องเที่ยวทุกคนก็ยังคงแวะสักการะ อาตมาควักเงินหยอดตู้ทำบุญไป ๓,๐๐๐ เรียล ถือว่าร่วมบูรณะปราสาทนครวัดก็แล้วกัน...

สุธรรม
10-03-2014, 03:02
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20643&stc=1&d=1394396008
แต่ละนางโดนคนมือซนลูบจนลื่นไปเลย

เห็นทุกคนเข้าไปสักการะองค์พระนารายณ์ อาตมาจึงใช้เวลาไปถ่ายรูปนางอัปสราที่ยืนร่ายรำอยู่ทั้งสองข้างซุ้มประตู แต่ละนางโดนนักท่องเที่ยวมือซนลูบจนลื่นขึ้นเงา ถ้าเป็นคนขี้จั๊กจี้หน่อย อาจจะแจกมะเหงกให้คนลูบไปนานแล้ว ยังดีที่เป็นหินแกะสลัก จึงทนมือมาได้จนถึงวันนี้...

สุธรรม
11-03-2014, 02:34
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20644&stc=1&d=1394480726
ตัดสินใจไม่ดูรูปพวกนี้ก็ขาดทุนพอแรงอยู่แล้ว อย่าถึงกับมองตูเป็นไอ้โง่สิวะ..!

ความจริงรอบระเบียงคดที่เปรียบเสมือนกำแพงเขาสัตตบริภัณฑ์ ซึ่งรายล้อมเขาพระสุเมรุคือปรางค์ปราสาทตรงกลางเอาไว้นั้น มีภาพสลักสวยงามอยู่มากมาย ทั้งภาพการรบที่ทุ่งกุรุเกษตรในเรื่องมหาภารตยุทธ ภาพขบวนทัพของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ภาพการตัดสินความดีและความชั่วของพระยายมราช และทีเด็ดอยู่ที่ภาพการกวนเกษียรสมุทร เป็นต้น

แต่อาตมาตัดสินใจว่า ถ้าขืนเดินรอบระเบียงคดเพื่อชมภาพเหล่านี้ กว่าจะครบก็คงขาลากไปตาม ๆ กัน และอากาศก็คงร้อนจนตับแตกเมื่อเข้าไปชมปรางค์ปราสาทข้างใน ตลอดจนนักท่องเที่ยวก็คงจะมากขึ้นไปอีกหลายเท่า จึงให้คุณแสงนำเข้าไปข้างในเลยทีเดียว โดยทำเป็นไม่เห็นสีหน้าของมัคคุเทศก์ ซึ่งบรรยายไม่ถูกว่าเสียดายแทน หรือเห็นอาตมาเป็นไอ้โง่กันแน่ ?!!

สุธรรม
12-03-2014, 03:39
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20645&stc=1&d=1394571037
การขุดค้นเพื่อศึกษาทางโบราณคดียังมีอยู่เรื่อย ๆ

ด้วยฝีมือการออกแบบที่ชาญฉลาดของวิศวกรโบราณ ทำให้พวกเราที่เดินผ่านโกปุระของระเบียงชั้นนอกเข้าไป ไม่รู้สึกตัวกันเลยว่ากำลังเดินสูงขึ้นไปทุกที เมื่อลงจากพื้นไม้ที่เขาปูทับเอาไว้ เพื่อไม่ให้ธรณีของซุ้มประตูสึกหรอแล้ว ตรงกลางเป็นทางเดินที่สร้างจากหิน มีขอบกั้นเป็นลำตัวมหึมายาวเหยียดของพญานาค ซึ่งตัวทางซ้ายค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ตัวทางขวาพังเป็นท่อน ๆ ลงไปกองกับพื้น แต่เขาก็พยายามจัดเรียงให้เป็นขอบทางเช่นเดิม...

สองข้างทางต่ำลงไปเป็นเมตรคือพื้นดินที่เป็นสนามกว้างขวางใหญ่โต มีตัวอาคารที่น่าจะเป็นอโรคยาศาลา (สถานพยาบาล) อยู่ด้านละหลัง ทางขวามือมีนักโบราณคดีหลายคน มาตั้งกองขุดหลุมเพื่อศึกษาปราสาทนครวัด แม้จะขุดตามจุดต่าง ๆ หลายจุด แต่ก็จำกัดการขุดแค่หลุมเล็ก ๆ เท่านั้น เผื่อว่าจะพบอะไรที่พอจะไขความลับของปราสาทนครวัดให้มากกว่านี้...

สุธรรม
13-03-2014, 02:59
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20646&stc=1&d=1394655005
ใส่แว่นกันแดดเข้าไปแล้วเหมือนกันหมด

รอบสนามบางส่วนเป็นดงไม้ค่อนข้างรกทึบ มีต้นตาลขึ้นอยู่ด้วยหลายต้น แต่ไม่ได้บดบังทัศนวิสัยเขาจึงเหลือเอาไว้ มีนักท่องเที่ยวลุยลงไปดูการขุดค้น และชมตัวอาคาร ตลอดจนหามุมถ่ายรูปกันหลายกลุ่ม คุณแสงพาคณะของเราลงบันไดหินไม่กี่ขั้นทางด้านซ้าย ที่ทั้งสองฝั่งเป็นเศียรพญานาคกำลังแผ่พังพาน ลงไปยังพื้นที่อันเป็นจุดสวยที่สุดในการถ่ายรูปปราสาทนครวัด...

ข้างล่างเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ ช่วงฤดูฝนที่มีน้ำมาก จะเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวพากันมาถ่ายรูป เพื่อที่จะได้รูปปราสาทนครวัดกลับหัวอยู่ในสระน้ำ อาตมาถ่ายรูปให้กับป้ามอยบริเวณเศียรพญานาค แม่ป๋อม พี่มุกดา น้องเล็กและลูกปุ๊ก เห็นเข้าก็เฮละโลเข้ามาขอถ่ายด้วย...

สุธรรม
14-03-2014, 02:32
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20647&stc=1&d=1394739815
รูปหมู่มุมที่สวยที่สุด แต่..ช่วงนี้ในสระแทบจะไม่มีน้ำ

เมื่อลงไปด้านล่างแล้ว ตรงใต้ต้นตาลใกล้ ๆ มีม้าพื้นเมืองตัวเล็กที่เรียกว่าม้าแกลบอยู่ ๑ ตัว คงจะเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวทำท่าขี่เพื่อถ่ายรูปเท่านั้น เพราะถ้าจะให้ขี่เพื่อชมตัวปราสาทจะต้องมีมากกว่านี้ มัคคุเทศก์ของเราชี้จุดที่สวยที่สุดให้ถ่ายรูปกัน ลูกปุ๊กรีบวิ่งเข้าไปเป็นดาราหน้ากล้อง มีแม่ป๋อมเป็น “ยายกล้อง” ให้ แต่แดดเริ่มแรงและเป็นการถ่ายภาพย้อนแสง ไม่รู้ว่าจะออกมาได้เรื่องหรือเปล่า ?

อาตมาส่งกล้องให้คุณแสงช่วยถ่ายรูป พี่วิไล พี่มุกดา ป้ามอย แม่ป๋อม น้องเล็ก และลูกปุ๊กมาร่วมถ่ายรูปหมู่ด้วยกัน ส่วนคุณอารีกับคุณปัญญาไม่ว่าจะเรียกอย่างไรก็ไม่ยอมมาร่วมวง เมื่อเสร็จแล้วพวกเราต้องรีบหลบให้นักท่องเที่ยวอื่น ๆ ได้ถ่ายรูปมุมนี้กันบ้าง...

สุธรรม
15-03-2014, 14:03
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20648&stc=1&d=1394867721
สระน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ตอนนี้แห้งผาก

เมื่อเดินกลับขึ้นไปบนสะพานหิน มองลงไปเห็นนักท่องเที่ยวอื่น ๆ เป็นจำนวนมาก กำลังรุมอยู่แถวร้านขายของใต้ต้นจามจุรีขนาดใหญ่ ที่นอกจากร่มรื่นแล้ว ยังอยู่ติดกับกำแพงระเบียงคดชั้นนอก จึงตั้งร้านขายของกันได้โดยไม่เกิดทัศนียภาพอุจาด ส่วนใหญ่ไปซื้อหาน้ำดื่มกัน แต่ของพวกเรามีคุณปัญญาหิ้วน้ำขวดเป็นโหลเดินตามมาอยู่แล้ว จึงเดินผ่านไม้กระดานที่ปูทับโกปุระชั้นในเข้าไป โดยไม่ต้องไปซื้อหาเหมือนคนอื่นเขา...

ด้านในของสองข้างซุ้มประตู เป็นสระน้ำสร้างจากหินขนาดไม่ใหญ่มากนัก คุณแสงบอกว่าเป็นที่สระสรงขององค์กษัตริย์ หน้าฝนมีน้ำขังอยู่เหมือนกัน แต่เนื่องจากชาวบ้านถือว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ จึงมักจะมาตักเอาไปใช้กันจนหมด ประกอบกับน้ำสามารถซึมลงในระหว่างก้อนหินได้ ตอนนี้จึงกลายเป็นแห้งผากทั้งสองสระ...

สุธรรม
16-03-2014, 03:23
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20649&stc=1&d=1394915728
"ภาพร่าง" ที่ยังแกะไม่เสร็จ

บรรยายเสร็จคุณแสงก็พาเลี้ยวซ้ายไปตามระเบียงคดชั้นใน ซึ่งมีภาพแกะสลักในลักษณะ “ภาพร่าง” คือยังแกะไม่ลึกนัก และมีพระพุทธรูปซึ่งส่วนใหญ่เป็นพระนาคปรกประดิษฐานอยู่เป็นระยะ มัคคุเทศก์มืออาชีพบอกว่า เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เมื่อพระองค์ครองราชย์แล้ว ได้ดัดแปลงปราสาทนครวัดจากเทวสถานมาเป็นพุทธสถาน ที่สร้างพระพุทธรูปนาคปรกเพราะเชื่อกันว่า ต้นเชื้อสายของชาวเขมรสืบเค้ามาจากนางนาค...

“ตอนเปลี่ยนมาเป็นพุทธสถาน พระองค์ท่านไม่กลัวพวกฮินดูเขาประท้วงบ้างหรือ ?” อาตมาถามจอมคนแห่งกัมโพชต้นตำรับการเปลี่ยนแปลงที่ตามมาไม่ห่าง “สมบูรณาญาสิทธิราชย์ขนานแท้ ไม่มีใครเสี่ยงกับการ “หัวขาด” ข้าพเจ้าจึงกล้าเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะยึดหลักว่า เอาธรรมะที่เป็นแก่นสาร มีประโยชน์อย่างแท้จริงมาให้แก่ประชาชน ไม่ได้บีบคั้นให้พวกเขาต้องทำตาม แต่เขาเห็นประโยชน์จึงคล้อยตามมาเองต่างหาก แล้วผู้ใดจะมาประท้วง..?” อือม์..จริงแฮะ...

สุธรรม
17-03-2014, 10:43
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20650&stc=1&d=1395028483
พระพุทธรูปถูกทุบทำลายโดยฝีมือของ "เขมรแดง"

ระเบียงคดช่วงนี้ยาวด้านละ ๓๗๐ เมตร ที่น่าสลดใจก็คือพระพุทธรูปทุกองค์โดนทุบจนเศียรหักหมด คุณแสงว่าเป็นฝีมือของพวก “เขมรแดง” สมัยครองเมืองผู้นำเขมรแดงสั่งให้ทุบทำลายรูปเคารพในพระพุทธศาสนาทิ้ง พวกเราเดินผ่านช่องประตูไปช่องแล้วช่องเล่า ทุกช่องมีแต่พระพุทธรูปไร้พระเศียร หลายองค์แม้แต่เศียรนาคก็ถูกทุบทิ้งไปด้วย บางองค์เหลือแต่เพียงฐานพระเท่านั้น...

“พระองค์รู้สึกอย่างไร เมื่อเห็นพระพุทธรูปถูกทุบทำลายเช่นนี้ ?” อาตมา “แหย่เสือ” ด้วยคำถามที่ค่อนข้างจะไม่สมควร “เห็นชัดว่าสรรพสิ่งไม่เที่ยงแท้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป สมกับพระพุทธพจน์อย่างแท้จริง” คำตอบเล่นเอาอาตมา “เหวอ” ไปเหมือนกัน แบบนี้แปลว่า..? “มิบังควร..ท่านก็ทราบดีว่าการพยากรณ์เป็นเรื่องของพระพุทธองค์เท่านั้น” เล่นปิดปากกันเลยนี่หว่า..!

สุธรรม
18-03-2014, 00:47
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20651&stc=1&d=1395079175
มองด้านหลังหลงดีใจว่ายังมีองค์พระที่สวยสมบูรณ์

เดินผ่านช่อง “หน้าต่าง” ที่มองเห็นองค์ปราสาทข้างใน อาตมาติดใจลูกกรงหินที่ช่างกลึงเขาใส่รายละเอียดได้เหมือนกับกลึงไม้ เลยถ่ายรูปไปดูไป จนเหลือบไปเห็นพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ดูสมบูรณ์ทั้งองค์แบบไม่น่าเป็นไปได้ แทบจะวิ่งเข้าไปด้วยความดีใจ...

แต่พออ้อมองค์พระไปถึงด้านหน้า ก็เห็นว่าถูกทุบเศียรหักไปเช่นกัน พวกเราเดินวนขวาตามระเบียงคด จึงเป็นการเดินมาทางด้านหลังของพระพุทธรูปทุกองค์ เมื่อเห็นเศียรนาคสมบูรณ์สวยงาม จึงคิดว่าองค์พระสวยสมบูรณ์ไปด้วย “อนิจฺจา วต สงฺขาราฯ” จอมคนแห่งกัมโพชแกล้งบังสุกุลเฉยเลย มันน่าจับบวชนัก..!...

สุธรรม
19-03-2014, 02:37
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20652&stc=1&d=1395172160
ต้องแลกบัตรเพื่อเข้าชมปรางค์ปราสาทองค์กลาง

เดินห่อเหี่ยววนมาจนถึงซุ้มประตูตรงกลางของระเบียงคดด้านหลัง คุณแสงพาเข้าไปด้านในซึ่งเป็นที่ตั้งองค์ปราสาท โอ้แม่เจ้า..นักท่องเที่ยวหลายร้อยคน มีทั้งที่นั่งพิงกำแพงระเบียงคดนั่งพักเพื่อหลบแดด บ้างก็เข้าแถวรับบัตรเพื่อขึ้นไปชมองค์ปราสาทที่เปรียบเหมือนเขาพระสุเมรุ ผู้ที่ได้บัตรคล้องคอแล้วกำลังปีนบันไดสูงชันขึ้นไปเป็นแถว...

พวกเราแสดงบัตรท่องเที่ยวเพื่อรับบัตรคล้องคอ พอถึงอาตมาเจ้าหน้าที่บอกว่าพระไม่ต้องใช้ แสดงว่าจีวรเป็นบัตรเบ่งที่ดีที่สุด แล้วปีนบันไดตามกันขึ้นไป ด้วยความสูงตั้ง ๗๐ เมตรและบันไดที่ชันมาก ทำเอาอาตมาปีนไประแวงไป เกรงว่าถ้าพลาดจะร่วงตุ้บตั้บลงมาให้ขายหน้าเขา...

สุธรรม
20-03-2014, 02:41
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20653&stc=1&d=1395258780
มีชันกว่านี้ไหม ? (เอารูปขาลงมาให้ดูแทนขาขึ้น)

“ข้าพเจ้าขอรับรองว่าปลอดภัย..” แบบนี้ตูแกล้งปีนไปเต้นระบำไปด้วยดีไหม ? จอมคนแห่งกัมโพชชี้ไปที่นักท่องเที่ยว ทั้งที่กำลังปีนขึ้นและปีนลง พลางตรัสหน้าตาเฉยว่า “ถ้าท่านไม่กลัวว่าจะดังไปทั่วโลกก็นิมนต์เต้นตามสบาย..” ฮ่วย..จะสร้างให้เตี้ยหน่อยก็ไม่ได้ แก่กว่านี้คงปีนขึ้นมาไม่ไหว แต่ข้างบนนี้ลมแรงดีเหลือเกิน ให้ความรู้สึกเหมือนว่ากำลังปีนเขาพระสุเมรุหลักโลก เพื่อตะกายขึ้นไปให้ถึงสรวงสวรรค์จริง ๆ...

เนื่องจากองค์ปราสาทที่เราปีนขึ้นมา เป็นองค์ปราสาทบริวาร ๑ ใน ๔ องค์ ที่เปรียบเหมือนมหาทวีปทั้งสี่ที่รายล้อมเขาพระสุเมรุ เมื่อสุดบันไดแล้วจึงต้องเดินเข้าไปตามระเบียงคดเพื่อชมสถานที่ด้านใน อาตมามัวแต่หยุดถ่ายรูประเบียงคดชั้นนอกและชั้นกลาง โดยสอดกล้องผ่านช่อง “หน้าต่าง” ออกไป หันมาอีกทีทั้งคณะก็เข้าไปถึงปราสาทองค์กลางกันหมดแล้ว...

สุธรรม
21-03-2014, 04:52
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20654&stc=1&d=1395353103
สิงเสานานไปหน่อย โผล่ออกมาเลยเหี่ยวไปตาม ๆ กัน..!

เมื่อเห็นดังนั้นอาตมาจึงเรียกทุกคนให้ออกมายืนตรงย่อมุมของระเบียงปราสาท แล้ว จัดการถ่ายรูป “นางหิน” ประจำเสาเอาไว้ จะเรียก “นางไม้” ก็ไม่ได้ เพราะปราสาททั้งหลังมีแต่หิน เสร็จแล้วอาตมาก็ข้ามไปยังปราสาทตรงกลางบ้าง ตรงกลางด้านในองค์ปราสาทที่มีลูกกรงไม้เสริมกั้นเอาไว้ มีพระพุทธรูปยืนที่สมบูรณ์มาก ๆ อยู่ ๑ องค์...

สังเกตจากขนาดแล้ว คาดว่าจะเป็นพระอัฏฐารสที่นิยมสร้างในความสูง ๑๘ ศอก คุณแสงบอกว่าที่พระองค์นี้เหลือสมบูรณ์อยู่ เพราะไม่มีใครปีนขึ้นไปทุบได้สูงขนาดนั้น ด้านล่างที่เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องสวยสมบูรณ์ ๒ องค์นั้นยกมาจากที่อื่น ส่วนองค์พระนอนตรงกลางเป็นของที่นี่ แต่ก็โดนทุบจนพระนาสิกหลุดหายไปแล้วเช่นกัน...

สุธรรม
23-03-2014, 19:45
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20656&stc=1&d=1395579459
พระพุทธรูปยืนยังสวยสมบูรณ์ แต่พระนอนนาสิกหายไปแล้ว

อาตมากราบพระด้วยความชื่นใจ จอมคนแห่งกัมโพชก็กราบด้วยเช่นกัน จัดการหยอดตู้บริจาคไป ๒,๐๐๐ เรียล แล้วเดินวนรอบปรางค์มาจนถึงมุมเปิดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีที่พอให้ทุกคนมารวมกันเพื่อถ่ายรูปได้ อาตมาจัดการถ่ายรูปตรงนี้ให้...

คุณปัญญาส่งน้ำอัดลมกระป๋องสีน้ำเงินมาให้อาตมา ๑ กระป๋อง พร้อมกับแจกแก่คนอื่น ๆ ในคณะ ซึ่งมีทั้งน้ำเปล่าและน้ำอัดลม แต่ตัวเองกลับฟาดเครื่องดื่มประเภทชูกำลังเสียนี่ น้ำทุกชนิดเป็นของไทยทั้งนั้น ได้กันครบทุกคนแล้ว คุณแสงก็พาเดินกลับลงมาทางบันไดตามเดิม สวนทางกับนักท่องเที่ยวที่กำลังปีนขึ้นมา ต้องหลบหลีกกันทุลักทุเล เพราะทั้งคนขึ้นคนลงก็กลัวพลาดตกลงไปเหมือนกัน...

สุธรรม
24-03-2014, 02:11
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20657&stc=1&d=1395602630
เจอบันไดแบบนี้เข้า ทำเอาอิจฉา "ผี" ขึ้นมาทันใด

ลงมาถึงชั้นล่างก็ถูก “ยึดบัตร” คืน อาตมาเห็นนักท่องเที่ยวจับกลุ่มกันอยู่ไม่ไกลจากบันไดขึ้นองค์ปราสาท คิดว่าเขาไปหลบแดดกัน แต่พอดูดี ๆ จึงเห็นว่ามีคนแต่งตัวเป็นนางฟ้าเขมร (อัปสรา) และนางกินรีให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพด้วย ไม่ต้องถามก็รู้ว่าถ้าถ่ายคู่ด้วยมีหวังเสียเงินแน่ ๆ แม่ป๋อมจัดการเก็บภาพแล้วเดินแกมวิ่งตามพวกเรามา...

กลับออกมาที่ระเบียงคดชั้นกลาง คุณแสงพาวนขวาเพื่อชมพระพุทธรูปที่เหลือของอีกด้าน อาตมาถ่ายรูปพระพุทธรูปหลายต่อหลายองค์ ที่น่าจะยกมาจากที่อื่นประดิษฐานไว้รวมกัน เลือกถ่ายเฉพาะองค์ที่สวยสมบูรณ์เท่านั้น จนบรรจบครบรอบที่ทางเข้าก็เดินสวนกลุ่มนักท่องเที่ยวออกมา รู้สึกขาอ่อนหน่อย ๆ เพราะทุกธรณีของระเบียงคด เขาทำพื้นไม้เป็นบันไดให้เดินข้าม เจอไปหลายสิบธรณี เท่ากับขึ้นบันไดไปเป็นร้อย ๆ ขั้นทีเดียว มีที่เดินสบายใจเฉิบอยู่คนเดียวก็เจ้าของที่นั่นแหละ เออ..ตูไม่เป็น “ผี” บ้างก็แล้วไป...

สุธรรม
25-03-2014, 02:29
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20658&stc=1&d=1395690112
เมื่อไม่มีใครเกะกะก็ต้องรีบถ่ายรูปเอาไว้ก่อน

อาตมาออกจากซุ้มโกปุระด้านซ้ายสุด (ถ้าหันหน้าเข้าหาปราสาทคือด้านขวา) เดินลงไปในสนามหญ้า กลับหลังมาถ่ายรูปตัวปราสาทเอาไว้ แล้วเดินเลาะข้างสะพานหินมาขึ้นบันได เพื่อสมทบกับคณะที่บนสะพาน ช่วงนี้นักท่องเที่ยวเข้าไปในปราสาทชั้นในกันหมด อาตมาจึงให้ทุกคนจับกลุ่มเพื่อถ่ายรูปหมู่ เมื่อผู้ร่วมคณะส่วนใหญ่เป็นหญิง จึงมีการจัดผมจัดเผ้ากันก่อน กว่าจะได้ถ่ายรูปอาตมาก็ต้องรอจนโดนแดดเผาหน้าดำไปเลย...

เมื่อถ่ายภาพคนอื่นแล้ว แม่ป๋อมก็จัดการถ่ายภาพของอาตมาบ้าง จากนั้นอาตมาหันไปถ่ายภาพให้ลูกปุ๊ก พี่วิไลเอาโทรศัพท์ถ่ายอาตมาอีกที คราวนี้ใครเป็นใครก็ไม่รู้ ถ่ายกันให้มั่วไปหมด เสร็จแล้วพี่วิไลพาเดินไปหาพ่อหนุ่มเสื้อดำที่มีหมวกสานครอบหัว ยืนอยู่ใต้ต้นตาลข้างสะพานหิน ข้างตัวมีกระบอกไม้ไผ่แขวนอยู่ ๔ – ๕ กระบอก มีป้ายเล็ก ๆ เขียนไว้ด้วยว่า Palm Juice...

สุธรรม
26-03-2014, 08:40
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20660&stc=1&d=1395798845
พี่วิไลกำลังหาทางเอามะพร้าวไปขายที่เกาะสมุย

“ฉันน้ำตาลสดไหมหลวงพี่ ? วิไลซื้อถวาย..” ไม่เอาเว้ย..อายุมากขึ้นทุกวัน ไม่รู้ว่าเบาหวานจะถามหาเมื่อไร พอเห็นพวกเรารุมเข้าไป พ่อหนุ่มขแมร์ก็โฆษณาชวนให้ซื้อน้ำตาลสดยกใหญ่ แถมยังส่งงวงตาลมาให้ดูเป็นตัวอย่างด้วย ส่วนคุณแสงบรรยายว่าเขา “ปาดตาล” กันอย่างไร

“ทำไมปล่อยเขา “เอาน้ำตาลไปขายที่เพชรบุรี” เสียเล่า ?” จอมคนแห่งกัมโพชถาม ไม่เคยได้ยินเขาว่าขัดขันขัดจอกยังได้ประโยชน์ แต่ขัดคอคนอาจจะโดนเตะบ้างหรืออย่างไร ? ขืนไปบอกว่าอาตมาปีนมาหลายร้อยต้นแล้ว แถมยังเอาเปลือกตะเคียนเผาไฟใส่ลงไปด้วย ปล่อยทิ้งไว้ครึ่งวันก็เอามาขายให้ผู้ใหญ่พร้อมปลาปิ้ง แล้วต้องคอยหิ้วปีกคนเมากลับไปส่งบ้าน ลูกหลานของท่านที่กำลัง “น้ำลายแตกฟอง” ก็คงเฉาเป็นผักบุ้งโดนน้ำร้อนเท่านั้นเอง...

สุธรรม
27-03-2014, 02:45
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=20662&stc=1&d=1395863926
สามล้อเขมรรอรับผู้โดยสาร อีกหนึ่งทางเลือกในการเที่ยวนครวัด

เดินผ่านระเบียงคดชั้นนอก ข้ามคูเมืองออกมา ไม่รู้ว่าใครคิดค่าชมสถานที่เพิ่มเติม เพราะอยู่ ๆ ลมก็พัดแรง ตีเอาหมวกของพี่มุกดาปลิวลงน้ำไปเลย..! เดือดร้อนบรรดาคนงานซ่อมสะพานที่ดำผุดดำว่ายอยู่ ต้องตะกายไปเก็บมาคืนให้ “ออคุณเจริญ (ขอบคุณมาก)” อาตมาส่งภาษาขแมร์ที่ยังพอจำได้ คนงานยกมือไหว้แล้วมุดน้ำดำกลับไปหาพรรคพวกของเขา...

ข้ามถนนออกมาถึงลานจอดรถ คุณแสงต้อนพวกเราขึ้นรถ อาตมาแวะถ่ายรูป “สามล้อเขมร” ก่อน แล้วค่อยขึ้นรถทีหลัง คุณราญนำรถออกตรงไปข้างหน้า อาตมาไม่เห็นคุณปัญญากับคุณอารีขึ้นรถมาด้วย เมื่อถามหาพี่วิไลตอบว่า “ให้ไปเตรียมอาหารเพลไว้ถวายหลวงพี่นั่นแหละ..” เออ..ถ้าอย่างนั้นก็ไปเถอะ...