PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖


เถรี
28-08-2013, 09:18
ถาม : คนที่ทำหน้าที่เป็นไวยาวัจมัย นำเงินญาติโยมไปทำบุญ เช่นซื้อของถวายพระ ถวายวัด โดยที่ไวยาวัจมัยไม่ได้ออกเงินทอง แต่ช่วยให้บุญนั้นสำเร็จลงได้ ไม่ทราบว่าไวยาวัจมัยผู้นั้นจะได้อานิสงส์ในส่วนของบุญทานหรือไม่ ? หรือได้เฉพาะในส่วนของไวยาวัจมัย ไม่ได้เกี่ยวกับทาน ? แล้วบุญที่แท้จริงไวยาวัจมัยได้ออกมาในรูปแบบไหนครับ ?
ตอบ : ไวยาวัจมัยเป็นคำขยายกิริยา ไม่ใช่ประธาน ถ้าทำหน้าที่ประธานต้องใช้คำว่าไวยาวัจกร บุคคลที่เป็นไวยาวัจกรคือบุคคลที่ทำหน้าที่นำบุญให้คนอื่นเขา ถ้าตัวเองไม่มีส่วนร่วมในบุญนั้นด้วย ได้แต่ทำหน้าที่เฉย ๆ จะได้อานิสงส์ในการช่วยเหลืองานบุญคนอื่นให้สำเร็จ ที่เรียกว่าไวยาวัจมัยอย่างเดียว

คนประเภทนี้ถ้าเกิดใหม่จะเกิดมาจนแต่เพื่อนมาก แต่ถ้าท่านทำเองด้วย ช่วยงานคนอื่นด้วย เกิดมารวยด้วย เพื่อนมากด้วย แต่ถ้าทำเองไม่ชวนคนอื่น เกิดใหม่รวยแต่เพื่อนไม่มี เพราะฉะนั้น..เลือกเอาก็แล้วกันว่าจะทำแบบไหน

เถรี
28-08-2013, 19:08
ถาม : ถ้ามัคคนายกเอาบาตรมาตั้งให้ญาติโยมใส่เงินเวลาพระเทศน์ ถามว่าเงินที่ได้จากการใส่บาตรพระที่เทศน์นั้น จะเป็นของพระที่เทศน์หรือเป็นของวัด ? เนื่องจากที่วัดของโยม เงินนั้นได้มาเท่าไรก็ตาม มัคนายกจะถวายพระเทศน์แค่ ๑๐๐ บาท ส่วนที่เหลือหักเข้าค่าน้ำ-ค่าไฟหมด โดยที่พระก็ไม่ได้เต็มใจ
ตอบ : จริง ๆ แล้วเขาถวายบูชากัณฑ์เทศน์ ถ้าโดยปกติแล้วเขาถือว่าเป็นสิทธิ์ของพระผู้ที่เทศน์นั้น แต่โดยปกติอีกเหมือนกันว่าพระผู้ที่เทศน์นั้นได้มาในฐานะของความเป็นพระ ดังนั้นอย่าไปคิดว่าเป็นเงินส่วนตัว ให้คิดว่าเป็นเงินสงฆ์ไว้เสมอ

แต่คราวนี้ว่าการคิดเป็นเงินสงฆ์นั้นต้องแบ่งส่วนหนึ่งลงเพื่อสงฆ์ อย่างเช่นว่าในส่วนของภัตตาหารพระ เพื่อที่จะได้เป็นส่วนของสังฆทานไป อีกส่วนหนึ่งลงช่วยการก่อสร้างหรือว่าซ่อมแซมวัดอะไรก็ได้ เพื่อที่จะได้ส่วนของวิหารทานด้วย แล้วอีกส่วนหนึ่งค่อยเอาไปใช้ในกิจการของตนเอง

แต่ถ้าตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้ ก็คือ ให้ใช้ในส่วนที่จำเป็นเท่านั้น เช่น เป็นค่ารถ ค่ายา ค่ารักษาพยาบาล ค่าอาหารการกิน เป็นต้น ส่วนที่เหลือก็ควรจะผลักเข้ากองบุญการกุศลเพื่อเพิ่มอานิสงส์ให้กับผู้ถวาย แต่คราวนี้ว่ามัคนายกเก่ง ก็เลยบีบคอบังคับพระ คุณเทศน์ไปก็ถือว่าได้ร้อยเดียวแล้วกัน ที่เหลือเดี๋ยวผมจัดการเอง จะว่าไปแล้วก็ใช้ได้ แต่วัดนี้ต่อไปพระจะน้อยลงเรื่อย ๆ

ถาม : แล้วถ้าตอนถวายพระเทศน์ คนถวายเขาคิดว่าถวายเป็นสังฆทานละครับ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าอย่าคิดว่าเป็นของส่วนตัว ได้มาเพราะเป็นพระ ให้ถือว่าเป็นเงินสงฆ์ไว้เสมอ

เถรี
28-08-2013, 19:11
ถาม : มีพระที่วัดป่วยเป็นไข้เลือดออกในช่วงเข้าพรรษา หมอไม่ให้กลับวัดจนกว่าจะหาย พระรูปนั้นจึงโทรศัพท์มาขอสัตตาหะ ถามว่าการทำแบบนี้ถูกต้องหรือไม่ครับ เพราะพระท่านกลัวจะขาดพรรษา ?
ตอบ : ไม่สมควร...โทรไปบอกหลวงพ่อเจ้าอาวาสให้ส่งพระสงฆ์ในวัดอย่างน้อย ๔ รูป ไปให้ท่านบอกสัตตาหะให้เป็นทางการไปเลย ไม่อย่างนั้นแล้วเดี๋ยวประเภทงานจริงงานไม่จริง ป่วยแกล้งป่วยจริงก็ไม่รู้ โทรลาไปเรื่อย แล้วจะเป็นตัวอย่างไม่ดีให้กับคนอื่นเขา ทำให้ยากเข้าไว้จะได้ไม่กล้าเบี้ยว

เถรี
28-08-2013, 19:13
ถาม : มีพระรูปหนึ่งบอกว่า การที่ญาติโยมบอกให้พระภิกษุทำความสะอาดตรงจุดนั้น หรือทำนั่นทำนี่ตามที่ญาติโยมบอก เป็นการผิดศีลข้อที่ว่าเอาใจโยม ประจบคฤหัสถ์ หนูสงสัยว่าพระรูปนี้ท่านพูดถูกต้องหรือไม่ ? เพราะถ้าโยมไม่บอกให้พระทำ วัดก็สกปรกอยู่อย่างนั้น แล้วท่านก็จะใช้ข้ออ้างนี้ต่อว่าพระไปทั่ว ถ้าไปทำอะไรตามที่โยมบอก
ตอบ : อันตรายมาก...เรื่องพระผิดศีลไม่เท่ากับโยมใช้พระ โยมคนนั้นเตรียมตัวเฮงได้เลย การที่พระจะผิดศีลข้อประจบคฤหัสถ์นั้นก็คือยอมตัวให้เขาใช้ เพื่อที่เขาจะได้พอใจ แต่อันนี้ท่านไม่ได้พอใจ ท่านบอกว่าโดนบังคับใช้ ดังนั้น..โดยสถานะแบบที่ว่ามานี่พระไม่ผิดศีลหรอก แต่โยมเฮงแน่ ๆ ข้อหาใช้พระ อย่าเผลอไปเกิดใหม่ก็แล้วกัน

เถรี
28-08-2013, 19:21
ถาม : ถ้าโจทย์และจำเลยขออโหสิกรรมให้กันทั้ง ๒ ฝ่าย ถามว่าทำไมต่อไปยังมีปัญหาเกิดขึ้นอีก ทั้ง ๆ ที่ขออโหสิกรรมแล้ว กรรมไม่ดีต่อกันก็น่าจะหมดลงไปแล้ว ?
ตอบ : ผลของกรรมหมด ไม่ใช่กรรมที่ไม่ดีต่อกันหมดลง ตราบใดที่ยังไม่ตายแล้วยังเหม็นขี้หน้ากันอยู่ ก็จะทำกรรมใหม่ไปเรื่อย แต่ที่ทำมาตั้งแต่ต้นจนจบนั้นสูญไปแล้ว เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่กัน เกลียดขี้หน้ากันมากี่ชาติ อยู่ ๆ จะให้มารักกันย่อมเป็นไปไม่ได้

ถาม : แต่กรรมที่เคยทำกันมาก่อน ๆ ก็จบไป ณ จุดนั้น ?
ตอบ : กรรมเดิมจบไป กรรมใหม่ก็เริ่มต้นใหม่ เดี๋ยวไม่มีอะไรทำก็เบื่อแย่..!

เถรี
28-08-2013, 19:30
ถาม : ถ้าพระต้องสังฆาทิเสสเป็นระยะเวลานาน ถ้าจะไปเข้าปริวาสไม่ถึงวันที่ตนเองทำผิด (และปกปิดไว้) เช่น ต้องเข้าปริวาส ๑ เดือนแต่อยู่แค่ ๑๐ วัน เพราะมีกิจอย่างอื่น ถ้าพระรูปนั้นจะเก็บแค่ ๑๐ วันก่อนแล้วค่อยมาเก็บอีกทีหลังจะได้ไหมคะ ?
ตอบ : เข้าไปเรื่อย ๆ แต่อย่าเก็บมานัต เพราะว่ายังไม่ใช่มานัตตารหาบุคคล คือบุคคลที่ควรแก่มานัต ฉะนั้น..เข้าแล้วก็บวกไปเรื่อย จนกว่าจะได้วันเวลาเท่าจำนวนที่ตัวเองปกปิดไว้ แล้วก็บวกไปอีก ๖ วัน ๖ คืน หลังจากนั้นก็ไปเก็บมานัตได้

ถาม : ไม่ต้องเก็บติดต่อกันก็ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ปกติควรจะติดต่อกัน แต่คราวนี้เขาใช้คำว่าจำเป็น ถ้าจำเป็นก็ต้องใช้วิธีนี้แหละ

เถรี
28-08-2013, 19:33
ถาม : การที่เรารักษาความดีเป็นระยะเวลานาน ๆ จนเห็นในความดีนั้นอย่างชัดเจน เห็น..รับรู้..แล้วเกิดอาการไม่หวั่นไหวว่าคนอื่นจะพูดว่าอย่างไร มีความมั่นใจ ไม่ประมาท เหมือนมีความดีนั้นเป็นเครื่องรองรับเราอยู่ตลอด ตรงนี้เป็นสักกายทิฐิ หรือเป็นการปฏิบัติที่ทำไปถึงจุดหนึ่งแล้วลงอารมณ์นี้คะ ?
ตอบ : ต้องระมัดระวังว่า ถ้าเผลอจะเป็นทั้งสักกายทิฐิ เป็นทั้งมานะ เป็นทั้งสีลัพพตุปาทาน สักกายทิฐิถ้าเผลอจะกลายเป็นว่า “กูดีกว่า” เพราะฉะนั้น..ในเมื่อมีคำว่ากว่า มานะย่อมมาแน่ ๆ และจะกลายเป็นว่าสิ่งที่กูทำดีกว่าคนอื่น เขาเรียกว่ายึดมั่นในหลักการปฏิบัติของตนเองว่าดีกว่า ภาษาบาลีเรียกว่าสีลัพพตุปาทาน เพราะฉะนั้น..โปรดอย่าประมาท ให้คิดอยู่เสมอว่า ตราบใดที่ยังไม่อยู่บนพระนิพพาน ตราบนั้นยังไม่ดีแน่

เถรี
28-08-2013, 19:36
ถาม : เรื่องผ้ายันต์เกราะเพชรและผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงคราม ถ้าหากเราเลี้ยงกุมารทองหรือพราย เราจะบูชาพกพาหรือนำผ้ายันต์ติดสถานที่อาศัย จะมีผลอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็มีผลว่ากุมารทองหรือพรายไปอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้..!

ถาม : อยู่ไม่ได้เลยหรือครับ ?
ตอบ : แสงสว่างกับความมืด ถ้าสว่างแล้วมืดจะอยู่อย่างไร ? เพราะตรงกันข้าม ถ้าเสียดายอยากเลี้ยงพรายหรือกุมารทองก็เอาผ้ายันต์ให้คนอื่นเขาไป

เถรี
29-08-2013, 19:22
ถาม : เหรียญในหลวงที่มีตราแผ่นดิน ๒๕๐๕ ไว้ใช้ซื้อที่กับเจ้าที่ได้ แล้วเหรียญในหลวงหลังตราครุฑปี ๒๕๑๗ ใช้ซื้อที่กับเจ้าที่ได้เหมือนกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้ามีจำนวนมากตามที่เขาต้องการซื้อได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าเขาบอกว่าตารางวาละแปดแสนห้า ก็หาไปให้เขาแล้วกัน รับรองว่าซื้อได้ ไปเอาความรู้ประเภทนี้มาจากไหนวะ ?

เถรี
29-08-2013, 19:29
ถาม : หลังจากนั่งสมาธิในทุก ๆ ครั้งไประยะหนึ่งแล้ว รู้สึกว่าตัวเองเข้าไปอยู่ที่หนึ่ง ไม่มืด ไม่สว่าง คล้าย ๆ กับว่าหายไปจากโลกนี้ แต่ยังพอได้ยินเสียงภายนอกอยู่ไกล ๆ แต่ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด อยากกราบเรียนถามว่า ลักษณะอย่างนี้คือสภาวะอะไร ? และควรจะปฏิบัติต่อไปอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าอย่างต่ำก็ประมาณอุปจารฌาน ก็คือจิตเริ่มใกล้จะเป็นฌาน ถ้าอย่างสูงก็เป็นปฐมฌาน เหตุที่กล้าฟันธงอย่างนี้เพราะว่ายังได้ยิน ยังเห็นอยู่เป็นปกติ แต่ว่าไม่รำคาญ ซึ่งเป็นอาการของอุปจารฌานหรือปฐมฌานเท่านั้น

ถาม : แล้วควรจะปฏิบัติต่อไปอย่างไรครับ ?
ตอบ : ภาวนาต่อไปเรื่อย ๆ จะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน เรามีหน้าที่ทำ ส่วนผลจะเกิดอย่างไรก็ช่าง

ถาม : หลายคนพอมาถึงจุดนี้สงสัยเลยเลิกทำ ?
ตอบ : เลิกเลยไม่เป็นไร แต่ถ้าทำต่อไปแล้วอยากได้ตรงนี้จะไม่ได้อีก เพราะว่าใจไม่นิ่งแล้ว ตัวอยากเป็นอุทธัจจะกุกุจจะ ความฟุ้งซ่าน

เถรี
29-08-2013, 19:37
ถาม : หากผมเปิดเสียงของหลวงพ่อ หรือพระอาจารย์ หรือท่านอื่น ๆ เช่น ท่านจิตโต เป็นต้น หลายครั้งก็ฟังได้ตลอดจนจบ แต่บางครั้งเกิดการวูบเหมือนขาดสติ ทำให้ไม่ได้ยินเสียง จะต้องประคองใจอย่างไรบ้างครับ ? คือผมจับลมหายใจไปด้วยพยายามฟังไปด้วย แต่บางครั้งผมจะฟังไปภาวนาไป เลยทำให้ไม่ได้ฟัง แต่เอาใจไปจดจ่อที่คำภาวนาแทน อาการวูบไป หรือเสียงหายไปจะต้องมีวิธีแก้อย่างไร ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วการฟังธรรมให้ตั้งกำลังใจที่อุปจารสมาธิ น้อมจิตฟังตามไป ตรงจุดใดที่เราคิดว่าทำได้ ให้ตัดสินใจเดี๋ยวนั้นว่าเราจะทำอย่างนั้น ถ้าอย่างนี้จะเกิดประโยชน์มาก การฟังแล้วภาวนาไปด้วยถือว่าดี แต่ว่าเป็นการอาศัยเสียงที่ฟังนั้นโยงจิตตนเองให้เป็นสมาธิ ถ้าไม่ใช่บุคคลที่คล่องตัวระดับฌานใช้งาน จะไม่สามารถตัดสินใจหรือคิดอะไรตามหลักธรรมนั้นได้ เพราะว่าสมาธิยังดำเนินไปตามปกติของเขาอยู่

ดังนั้น..ควรจะเลือกเอาว่าจะทำแบบไหน ถ้าหากว่าโดยปกติธรรมดาก็คือ เข้าสมาธิให้เต็มที่ก่อน แล้วคลายลงมาเป็นอุปจารฌานหรืออุปจารสมาธิ แล้วค่อยฟัง จะได้กำลังในการที่จะนำมาตัดกิเลสหรือตัดสินใจอีกด้วย

ถาม : แล้วการที่ฟังไป ภาวนาไป จะถือว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยหรือไม่ ?
ตอบ : จะเรียกว่าปรามาสก็ไม่ใช่ อย่าคิดมาก เพียงแต่ว่าถ้าจะเอาผลจริง ๆ ตอนช่วงนั้นสภาพจิตพอเป็นสมาธิ ถ้าหยาบหน่อยก็เหมือนกับหายไปเฉย ๆ ตอนนั้นคำเทศน์ก็จะขาดประโยชน์ไป แล้วถึงรู้อยู่ ถ้าสมาธิไม่คล่องตัว ก็ตัดสินใจอะไรไม่ได้ สักแต่ได้ยินไปเฉย ๆ

ถาม : แล้วสมาธิระดับที่พูดถึง กับสมาธิที่เวลาเราเรียนหนังสือแล้วตั้งใจฟังครูสอนนี่ ยังหยาบกว่าไหมคะ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าระดับเดียวกัน เพียงแต่ว่าถ้าเราเข้าสมาธิก่อน เราจะมีกำลังสมาธิหนุนอยู่ สภาพจิตจะจดจ่อแน่วแน่ได้มากกว่า แล้วถ้าจะตัดสินใจอะไร กำลังสมาธิจะช่วยให้ตัดสินใจได้เด็ดขาดกว่ามาก

เถรี
29-08-2013, 19:40
ถาม : เนื่องจากศาลพระภูมิที่บ้านรวมถึงศาลตายาย ได้ตั้งอยู่ในทิศตะวันตกค่อนมาทางเหนือของตัวบ้าน ซึ่งได้อ่านมาจากคำสอนของหลวงพ่อฤๅษีฯ ว่า ทิศตะวันตกเป็นทิศที่ไม่ควรตั้งศาลพระภูมิ เนื่องจากเป็นทิศของอากาศเทวดา แต่ศาลนี้ตั้งมานานมาก ประมาณว่าเกินสามสิบปี และที่บ้านก็อยู่เป็นปกติสุขดี จึงขอกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า จำเป็นต้องย้ายตำแหน่งของศาลหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้าอยู่มา ๓๐ กว่าปีแล้วก็คงไม่จำเป็นแล้ว จงอยู่ต่อไปเถอะ ยกเว้นว่าหนักใจก็โยกย้ายเสียให้ถูก

เถรี
29-08-2013, 19:44
ถาม : ถ้าผมเปิดร้านรับจ้างปั้นพระ หล่อพระ สร้างวัตถุมงคล ที่ไม่ได้เข้าพิธีพุทธาภิเษกจะเป็นบาปหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ทำมาหากินตามปกติ ทำด้วยความเคารพก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าประเภทตั้งร้านวางแบกับดิน ให้คนเดินข้ามไปข้ามมาอย่างนั้นก็สาหัสหน่อย ไม่ได้เข้าพิธีพุทธาภิเษกก็ไม่มีปัญหา แทบจะไม่มีโรงงานไหนเอาไปเข้าพุทธาภิเษกหรอก

ถาม : ถ้าเกิดว่าไม่ได้ไปวางแบกับดิน ทำด้วยความเคารพก็ไม่เป็นไร ?
ตอบ : ควรจะหาที่ตั้งให้เหมาะสม เราจะเห็นว่าโบราณเขาตั้งพระ อย่างน้อยก็ต้องมีตั่ง

ถาม : ถ้าผมเปิดร้านรับจ้างปั้นพระ หล่อพระ สร้างวัตถุมงคล มีบางครั้งที่นำวัตถุมงคลบางรุ่นเข้าพิธีพุทธาภิเษก แล้วจำหน่ายในราคาเดิมก่อนพุทธาภิเษกอย่างนี้ จะเป็นบาปหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ได้ทำความผิดอะไรก็ไม่ถือว่าบาป ถือว่าช่วยให้คนที่รับไปได้วัตถุมงคลที่สามารถคุ้มครองตัวเองได้อย่างแท้จริงอีกด้วย

ถาม : ถ้าผมเปิดร้านรับจ้างปั้นพระ หล่อพระ สร้างวัตถุมงคล ที่ไม่ได้เข้าพิธีพุทธาภิเษก ผู้ซื้อเอานำพระไปตกแต่งร้านผับ ร้านบาร์ ร้านคาสิโน สถานอบายมุข ผมจะมีส่วนบาปหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้บอกให้เขาเอาไปตกแต่งไม่เป็นไร คนไปเอาก็โดนเองอยู่ฝ่ายเดียว แต่ถ้าบอกว่า “ต้องพระจากร้านผมนี่ แต่งแล้วเท่สุด ๆ” ก็แปลว่าต่างคนต่างโดนไปด้วยกัน

เถรี
29-08-2013, 19:49
ถาม : ถ้าเขาใส่ซองปัจจัยร่วมบวชพระ หรือร่วมเป็นเจ้าภาพบวชพระ แล้วเราเอาปัจจัยนั้นไปจ่ายค่าอาหาร ค่าน้ำ ให้กับแขกที่มาร่วมงานจะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ปรับโทษเท่าย้ายเจดีย์

ถาม : ก็เป็นเรื่องของงานบวชเหมือนกันนี่ครับ ?
ตอบ : ทำกี่ครั้งก็ย้ายเท่านั้นครั้ง เขาตั้งใจบวชพระไม่ได้ตั้งใจเลี้ยงคน..! ฉะนั้น..เอาให้ชัดเจน ถ้าเขาบอกว่าเงินช่วยงาน ให้เราทำอะไรก็ได้ แต่ถ้าเขาบอกว่าเงินบวชพระ อย่าเอาไปใช้ผิดงานเป็นอันขาด

ถาม : แล้วเงินบวชพระส่วนนี้ควรจะถวายให้กับพระใหม่ กับวัด กับพระอุปัชฌาย์พระคู่สวดอย่างนี้หรือครับ ?
ตอบ : อะไรที่เกี่ยวข้องกับการบวชทำไปเถอะ แต่ว่าอย่าให้หลุดไปจากการบวช

ถาม : โต๊ะจีนนี่ไม่เกี่ยวใช่ไหมครับ ?
ตอบ : บอกแล้วว่าบวชพระ ไม่ได้เลี้ยงคน

ถาม : ถ้าเงินเหลือจากเครื่องบริขาร เหลือจากการถวายพระอุปัชฌาย์ พระคู่สวดแล้ว เอาไปทำบุญร่วมบวชกับพระอาจารย์ได้ไหมครับ หรือเอาไปถวายสังฆทาน ถวายเพลได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าจะให้ตรงก็ไปร่วมบวชพระรูปอื่น

ถาม : พอสึกแล้ว เงินทั้งหมดที่ได้มาตอนบวชไปถวายพระที่มาร่วมพิธีสึกให้ถูกไหม ? หรือว่าถวายกับพระที่ดูแลได้ไหม? และถวายเป็นค่าน้ำค่าไฟได้ไหมครับ ?
ตอบ : ทำอะไรก็ได้ที่เป็นกองบุญการกุศล จะถวายพระก็ถวายอย่างน้อย ๔ รูป

เถรี
29-08-2013, 19:52
ถาม : ได้ฟังพระท่านบอกว่าจิตเดิมแท้ของเราอยู่ที่พระนิพพาน แต่ก็ไม่รู้..ยังมีอวิชชาอยู่ จึงทำให้เรามาหลงติดขันธ์ ๕ แล้วเวียนว่ายตายเกิด จริง ๆ แล้วจิตเดิมแท้ตั้งแต่แรกอยู่บนพระนิพพานหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าอยู่แล้วเสือกทะลึ่งมาเกิดทำไมวะ ? เขาบอกหรือเปล่าว่าวัดไหน ? ถ้าบอกอาตมาจะได้ย้ายวัดไปอยู่ด้วย ไปพระนิพพานง่ายดี

ถาม : แล้วจริง ๆ เป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : สภาพจิตเดิมแท้กำลังสูงสุดไม่เกินอาภัสราพรหม แปลว่าความสะอาดเท่ากับฌานที่ ๒ ละเอียด ไม่เกินนั้น แต่ว่าพอโดนกิเลสท่วมทับไปก็เสื่อมสูญไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งท้ายสุดกระทั่งอุปจารสมาธิก็ไม่มี

เถรี
29-08-2013, 20:12
ถาม : ทำไมที่โต๊ะบวงสรวงต้องมีข้าวตอกดอกไม้ ?
ตอบ : เพราะเงินเหลือ ...(หัวเราะ)... การบูชาด้วยข้าวตอกดอกไม้ เขาถือว่าเป็นการบูชาด้วยสิ่งที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าเป็นวัตถุทาน ในเมื่อมีก็แสดงว่าเราเองพยายามสรรหาสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มาด้วยความพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แสดงออกซึ่งความเคารพในพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง คนรุ่นใหม่ ๆ ที่ไม่รู้ ถ้าใส่ไปเยอะ ๆ หน่อยถึงเวลายังทำข้าวตอกน้ำกะทิได้

ถาม : แล้วทำไมต้องเป็น ๕ กระทงด้วยคะ ?
ตอบ : ต้องการจะใส่เยอะกว่านั้นแต่พื้นที่ไม่พอ สมัยก่อนเขานิยมว่าขัน ๕ เลียนแบบมาจากขันธ์ ๕ คืออัตภาพร่างกายของเรา เป็นปริศนาธรรมส่วนหนึ่งจะไม่ให้เราลืมความจริงว่าร่างกายของเราไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เพราะฉะนั้น..ทำอะไรเขาจึงเกี่ยวโยงถึงขันธ์ ๕ แม้กระทั่งจัดเครื่องบูชาก็จัด ๕ อย่าง แล้วก็เรียกตรง ๆ เลยว่าขันธ์ ๕ เมื่อเป็นดังนั้นเขาก็มักจะจัด ๕ ชุด มาสมัยนี้ก็จัดไปเรื่อย ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

เถรี
29-08-2013, 20:20
ถาม : ลูกสาวเริ่มเป็นสาวแล้ว และมีแฟน วัน ๆ เอาแต่คุยโทรศัพท์ พระอาจารย์มีวิธีแก้ไขปัญหาอย่างไรบ้าง ?
ตอบ : ซื้อโทรศัพท์ให้เขาสัก ๕ เครื่อง ดูว่าจะคุยไหวไหม ? เรื่องของวัยรุ่น ถ้าพ่อแม่ไม่เข้มงวดตั้งแต่แรก แล้วจะไปจำกัดตอนเป็นวัยรุ่น ไม่สำเร็จสักราย ขนาดเข้มงวดตั้งแต่แรก เขายังตะแบงข้างไปเลย เป็นทุกคนแหละ ตัวเองก็เป็นมาก่อน อย่าไปว่าลูกเลย สมัยก่อนอาตมาเองไม่มีโทรศัพท์มือถือ ตี ๓ วิ่งไปหยอดตู้โทรหาสาว แม่ก็ต้องทำใจ อะไรเตือนได้ก็เตือน อะไรบอกได้บอก ถ้าทั้งบอกทั้งเตือนแล้วเขาไม่ฟังก็ตัวใครตัวมัน..!

ถาม : กลัววันหนึ่งจะอุ้มหลานกลับมานะสิครับ ?
ตอบ : ไม่เป็นไร..ก็ช่วยเลี้ยงต่อไป พอหลานโตเป็นวัยรุ่นเดี๋ยวก็ทำอย่างนี้กับแม่ตัวเองอีก เรื่องของวัยรุ่นก็ต้องดูในมัทนพาธา
ความรักเหมือนโคถึก......กำลังคึกผิว์ขังไว้
ก็โลดจากคอกไป........บ่ยอมอยู่ ณ ที่ขัง
ถึงหากจะผูกไว้.............ก็ดึงไปด้วยกำลัง
ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง..............บ่หวนคิดถึงเจ็บกาย

สิ่งที่เราพูดเป็นเรื่องของเหตุผล แต่สิ่งที่ลูกหลานทำเป็นเรื่องของอารมณ์ คนละคลองกัน ไปกันไม่ค่อยได้หรอก ยกเว้นว่าบุญเก่าเขาดี รู้จักรับฟังผู้ใหญ่ ตั้งสติ ระงับยับยั้งใจได้ ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไป ไม่อย่างนั้นก็เตลิดทุกราย เราก็เคยเป็นจะไปโทษใครวะ ? อาตมาเองเคยโดนสาวหนีตามถึงบ้าน..เครียดเลย..! กว่าจะกล่อมให้กลับบ้านได้นี่น้ำลายแห้ง...

เถรี
29-08-2013, 20:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของพระพุทธศาสนา ถ้านั่งรออยู่ในวัดอย่างเดียวไปไม่รอดหรอก เจ๊งแน่นอน ก็เลยต้องใช้วิธีเดินออกจากวัดไป ในเมื่อโรงเรียนเทศบาลเขาขาดครูที่ชำนาญการเฉพาะ แล้ววัดท่าขนุนมี ก็ส่งไปเลย คราวนี้อาตมาเป็นกรรมการการศึกษาอยู่แล้ว และนายกเทศมนตรีซึ่งจะเป็นคนอนุมัติเงินเดือนตำแหน่ง ก็เป็นลูกศิษย์วัดอยู่แล้ว ก็งานง่ายเลย ถึงเวลาก็..ช่วยจัดการให้หน่อย.. เอาพระเอาชีไปสอนได้

เสียดายพระในวัดจบเมืองนอกกันมา พอให้เรียนปริญญาเอกต่อก็ไม่เรียน บอกว่าที่มาบวชเพราะเบื่อเรียน ถ้าอย่างนั้นช่วยไปสอนเด็กก็แล้วกัน

ถ้าเราวางพื้นฐานแนวทางให้เด็ก ๆ เอาไว้ เด็กก็จะคุ้นชินกับพระกับวัด ไม่ใช่ถึงเวลาเข้าวัดแล้วเขิน ทำอะไรไม่ถูก อาตมาบอกกับพระและแม่ชีว่า ให้เขาท่องคำอาราธนาศีล อาราธนาธรรม อาราธนาพระปริตร แบบท่องสูตรคูณเลย ให้ท่องทุกเย็นก่อนเลิกเรียน ท่องให้ฝังหัวไปเลย ไปอยู่ที่ไหนจะได้เป็นงาน นี่เป็นนโยบายเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ไม่ใช่นโยบายของโรงเรียน

พอถึงเวลาแล้วตัวเองเป็นพุทธศาสนิกชน เข้าวัดกันไปเป็นร้อยแต่ไม่มีใครอาราธนาศีลเป็นก็แย่ ต่อไปก็ให้เด็ก ๆ รุ่นนี้แหละ อยู่ ป.๓ - ป.๕ ถึงเวลาให้นำปู่ย่าตายายให้ได้อายเสียบ้าง"

เถรี
29-08-2013, 20:37
พระอาจารย์กล่าวให้โอวาทกับพนักงาน ThaiPBS ที่มาถวายเทียนพรรษาจากทูลกระหม่อมอุบลรัตน์ฯ ว่า...

"ในความเป็นจริงแล้ว พวกเราทุกคนรู้อยู่ว่าต้องทำอะไร เพียงแต่ว่าการกระทำของเรา บางทีเราก็ไหลตามความต้องการของผู้ใหญ่มากเกินไป ในความเป็นสื่อมวลชน โดยเฉพาะสื่อสาธารณะ ต้องยึดหลักการไว้ก่อน ถ้าหลักการของเขามีไว้ว่าอย่างไร ก็ว่าไปตามวิสัยทัศน์ พันธกิจ ของหน่วยงาน ไม่อย่างนั้นแล้วสิ่งที่เราทำมา จะมีบางส่วนที่ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก แต่ว่าเป็นไปเพื่อเอาใจคนแค่บางคนเท่านั้น

ถ้าเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นในวงการไหนก็ตาม ความเสื่อมจะมาถึงวงการนั้น ที่ความเสื่อมมาถึงวงการนั้นก็เพราะว่า เมื่อเราไม่ยึดหลักการก็ต้องลอยตามกระแส คราวนี้การลอยตามกระแสของเรา ไม่ใช่แต่เราคนเดียว แต่หมายถึงประเทศชาติบ้านเมืองด้วย เพราะว่าเราเป็นสื่อกระแสหลัก

ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็เลยอยากให้การทำงานของพวกเราทุกคน ทำอย่างไรที่จะมีความมุ่งมั่นยึดหลักการที่ถูกต้อง ไม่คล้อยตามความต้องการของผู้มีอำนาจเขา ถึงจะเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็นสื่อมวลชนเพื่อมวลชนจริง ๆ ไม่อย่างนั้นแล้วจะกลายเป็นว่า เพื่อบุคคลที่มีอำนาจแค่ไม่กี่คน ในเมื่อไม่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม แต่เราเอาภาษีอากรส่วนรวมเขามาใช้ ก็จะกลายเป็นเหมือนกับอกตัญญูไป

ดังนั้น..การทำงานของเราทั้งหลายก็ให้ยึดหลักเอาไว้ว่า ปณิธานหรือว่าความต้องการแรกเริ่มของการก่อตั้งองค์การขึ้นมา เราตั้งใจจะทำอะไรเพื่ออะไร ถึงเวลาแล้วก็ให้รักษาและเดินตามแนวทางนั้น ถ้าเราจะทำเพื่อบุคคล ก็ให้ทำเพื่อบุคคลที่คนทั้งประเทศรักและเคารพ อย่างเช่นทำเพื่อในหลวง เป็นต้น แต่ว่าไม่ใช่ทำเพื่อบุคคลที่มีอำนาจ ชี้เป็นชี้ตายแก่เราได้ ถ้าเราไม่มีความกล้าหาญพอที่จะต่อต้านอำนาจของเขาทั้งหลายเหล่านั้น ประเทศชาติก็จะเจริญได้ยาก

ทำอย่างไรเราถึงจะเป็นที่เชื่อถือของคนทั้งประเทศ ให้เขารู้สึกว่าถ้าเป็นไทยพีบีเอสแล้ว ข่าวที่ออกมา สิ่งที่นำเสนอต่อมวลชน จะต้องเป็นความจริง จะต้องเป็นประโยชน์ต่อคนทั้งหมด"

เถรี
29-08-2013, 20:40
"เรื่องเหล่านี้จริง ๆ แล้วพวกเรารู้กันทุกคน แต่ว่าเมื่อมาขอโอวาท ก็อยู่ในลักษณะย้ำเตือนเฉย ๆ ว่า จุดมุ่งหมายที่เราทำอยู่ ให้ตั้งเป้าให้แม่น แล้วเดินให้ตรงเป้า ไม่อย่างนั้นแล้วสิ่งที่เราทำมาทั้งหมด จะไม่สามารถเป็นผลงานที่อวดคนอื่นเขาได้ เพราะว่าปัจจุบันนี้ สื่อกระแสหลักของเราหลายต่อหลายอย่าง มีการเลือกข้างอย่างชัดเจน ในเมื่อมีการเลือกข้าง การนำเสนอก็ไม่ตรงไปตรงมา แต่จะนำเสนอในมุมมองของตน แล้วการนำเสนอในมุมมองของตน ความรัก ชอบ เกลียดชัง ก็จะเป็นไปตามกิเลสเฉพาะตน

ทำอย่างไรที่เราจะลบความรัก ชอบ เกลียดชังเหล่านั้นออกไป ไม่เอาความคิดส่วนตัวแทรกเข้าไปในงาน แล้วนำเสนอสิ่งที่เราเห็นตามที่เป็นอยู่จริง

นี่ก็คือข้อคิดที่อยากจะฝากพวกเราเอาไว้ พวกเราทุกคนมีส่วนสำคัญต่อองค์กรทั้งหมด องค์กรทั้งหมดก็คือเครื่องจักร เราเป็นเฟืองหรือส่วนหนึ่งของเครื่องจักรนั้น ๆ ถ้าการกระทำของเราติดขัด ไม่ได้ทุ่มเทอย่างเต็มที่ ก็อาจจะกลายเป็นตัวถ่วงขององค์กรไป เราจึงควรจะทุ่มเทให้เต็มที่ในหน้าที่การงานที่เรารับผิดชอบ ต้องใช้คำว่า เมื่อเราทำเต็มที่แล้ว เราก็สามารถตอบตัวเองได้โดยไม่ต้องละอายใคร ไม่ว่าใครเขาจะตั้งคำถามแบบไหน เราสามารถชี้แจงเขาได้เต็มปากเต็มคำทั้งหมด ไปไหนก็แหงนหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ถึงเวลาก็สามารถที่จะเชิดหน้า ยืดอกต่อสังคมได้ เพราะตัวเราที่เป็นผู้ใหญ่ เป็นปู่ย่าตายาย เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่เป็นน้อง เราได้ทำหน้าที่ของเราเพื่อมวลชนอย่างแท้จริง เอาแค่นี้แหละ เยอะมากเดี๋ยวกลายเป็นด่าไปอีก..!

เอาไว้มีโอกาสแล้วค่อยไปคุยกันที่ทำงานของเรา ขอให้มีความสุขความเจริญกันทุก ๆ คน โมทนาด้วยที่เป็นผู้แทนของทูลกระหม่อมฯ อัญเชิญเทียนพรรษามาถวาย"

เถรี
30-08-2013, 09:14
พระอาจารย์กล่าวว่า "สำหรับทูลกระหม่อมอุบลรัตน์ฯ ใช้คำว่า ประทาน ถ้าเป็นในหลวง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามมกุฎราชกุมารี ใช้คำว่าพระราชทาน"

เถรี
08-09-2013, 11:52
ถาม : ขณะที่เราเห็นคนอื่นทุกข์ เราเห็นสภาพแล้วเราก็รู้สึกว่าทุกข์ แล้วก็ย้อนมาที่ตัวเรา ว่าเราไม่อยากจะเกิดมาเป็นแบบนี้อีก แล้วก็ร้องไห้ อารมณ์แบบนี้เป็นอะไรคะ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าปีติในธรรมจ้ะ ก็คือในส่วนที่เข้าถึงได้ยาก เห็นได้ยาก ทำใจได้ยาก ตอนนี้เราเข้าถึงแล้ว เห็นแล้ว ทำใจได้แล้ว จะเกิดปีติคือเป็นสุขขึ้นมา เป็นสุขในธรรม ถามว่าปีติแล้วทำไมต้องร้องไห้ด้วย ? อรรถกถาจารย์ท่านเปรียบเอาไว้ว่า เหมือนกับพ่อแม่ทิ้งลูกเอาไว้บ้านนาน ๆ ตัวเองอาจจะไปทำไร่ทำนาแต่เช้าจนมืดค่ำ หรือไปค้าขายในตลาด กว่าจะกลับมาก็ค่ำก็มืด ตอนกลับมาลูกเห็นหน้าพ่อแม่ กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ บางคนก็ร้องไห้โฮเลย

นั่นดีใจใช่หรือไม่ ? ใช่...แล้วร้องไห้ทำไม ? ก็ลักษณะเดียวกัน ในส่วนจิตของเราต้องการความสงบ อย่าลืมว่าจิตของเราทุกคนพื้นฐานมีความสงบมาในระดับของฌานที่ ๒ พอเราเข้าถึงความสงบในตรงนั้น เหมือนกับคุ้นเคยในสิ่งที่หายไปนาน จึงเกิดปีติขึ้นมา นั่งร้องไห้น้ำตาไหลไปเอง

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : แบบเดียวกันจ้ะ ก็คือในส่วนที่เราเห็นว่ามีความสุขจริง ๆ เป็นความทุกข์ทั้งหมด แต่ชาวบ้านเขานิยมอย่างนั้นเพราะว่าเกิดปีติในใจขึ้นมา คราวนี้ปีติของเขาเกิดจากสิ่งที่กระตุ้นภายนอก อาจจะเป็นแสงสีเสียงอะไรก็ตาม แล้วก็เกิดความสุขขึ้นมาชั่วคราว เป็นความสุขที่ไม่ยั่งยืน เดี๋ยวก็ทุกข์ใหม่

แต่ความสุขในการปฏิบัติธรรม เป็นความสุขที่ยั่งยืนกว่า ในเมื่อเราเห็นตรงจุดนั้นก็เกิดปีติขึ้นมาใหม่ ต่อไปถ้าเกิดขึ้นนี่ต้องปล่อยให้ร้องเต็มที่ไปเลย อย่าไปกลั้นไว้ ถ้าปล่อยให้หายไปเพราะอายเขาหรืออะไรก็ตาม เวลาอารมณ์ใจถึงตรงนั้นก็จะเป็นอยู่ตลอด ต้องร้องไห้บ่อย ๆ แต่ถ้าหากเราปล่อยให้เต็มที่ ก้าวข้ามไปทีเดียวจะจบเลย

ถาม : ถ้าเราเห็นแล้วข้ามอารมณ์นี้ไป ?
ตอบ : ถ้าข้ามไปได้จะเห็นเป็นปกติว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ประกอบด้วยความทุกข์ ไม่ได้ถอยหลัง..แต่ว่าก้าวข้ามอารมณ์นั้นไปแล้ว แล้วเราก็เข้าไปสู่ตัวอุเบกขาในสมาธิ จะกลายเป็นฌานไป ไม่มีปีติแล้ว

เถรี
08-09-2013, 12:00
ถาม : ...(ไม่ชัด)...ดำเนินตามนั้นหรือ ?
ตอบ : คือจริง ๆ ถ้าเราดูจะดำเนินตามนั้นทั้งหมด แต่คราวนี้เรายังแยกแยะไม่ออก เรายังไม่รู้ถึงสติ ธัมมวิจยะ จริง ๆ เริ่มที่สติก่อน พอเรามองเห็นก็เกิดธัมมวิจยะ ก็คือแยกแยะดู แล้วในที่สุดก็เห็นว่าจริงของเขา ทุกอย่างมีแต่ความทุกข์ ไม่มีความสุข

ถาม : ...(ไม่ชัด)...เป็นเรื่องของการวาง ?
ตอบ : ตัวสุดท้ายจ้ะ เป็นตัวอุเบกขา

ถาม : แสดงว่าเกิดขึ้นเร็วมาก ?
ตอบ : เร็วมาก ทั้ง ๗ ตัวจะเกิดขึ้นเร็วมากเลย บางทีเราก็ยังไม่รู้เลยว่า วิริยะหรือความเพียรที่เราพิจารณาดูนั้นเป็นอย่างไร ถ้าทุกอย่างพร้อมเกิดขึ้นวูบเดียวเอง แต่เราต้องดูว่ากว่าจะพร้อมใช้เวลากี่ปี ?

ถาม : เกิดขึ้นเฉพาะเรื่อง ?
ตอบ : จะค่อย ๆ เกิดขึ้นเฉพาะแต่ละเรื่อง จะค่อย ๆ สั่งสมมา ๆ จนถึงระดับแล้วก็จะเกิดขึ้นเอง ถ้าไม่มีการสั่งสม ไม่มีการเริ่มต้นมา โอกาสที่จะเกิดขึ้นอย่างนั้นน้อยมาก ยกเว้นว่าสร้างบารมีมาสมบูรณ์บริบูรณ์มาตั้งแต่อดีตแล้ว พอมากระทบกับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ทุกอย่างก็พร้อมสมบูรณ์ อย่างนั้นก็สามารถที่จะเกิดได้ แต่ว่าในยุคของเรานี้มีน้อยยิ่งกว่าน้อย

เถรี
08-09-2013, 12:19
ถาม : อุเบกขามีหลายอารมณ์ ?
ตอบ : เอาเป็นว่าอุเบกขามีหลายระดับ ระดับแรกก็คือเป็นอุเบกขาในสมาธิ ก็คือตัวเอกัคตารมณ์ ถ้าอุเบกขาในสมาธิ ก็แค่สามารถที่จะดับกิเลสได้ชั่วคราว ถึงเวลาถ้าสมาธิคลายกิเลสก็จะเกิดใหม่ แต่ถ้าเป็นอุเบกขาที่สามารถปล่อยวางตัดขาดได้จริง ๆ จะเป็นอุเบกขาที่เป็นตัวปล่อยวางจากการเกิดปัญญา รู้เห็นปล่อยวางเพราะเห็นความเป็นจริง เมื่อปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริง ไม่ไปแตะต้อง ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับต้นเหตุที่เกิดทุกข์ ทุกข์ทั้งหลายก็ไม่เกิดกับเรา

มีหลายส่วนอยู่ด้วยกัน แรก ๆ เราก็เอาอุเบกขาในฌานไว้ก่อน สามารถมีกำลังกดกิเลสอยู่ได้ ก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ เพราะก่อนหน้านี้กิเลสลากเราไปเรื่อยตลอดเวลา

ถาม : การคิดจนเป็นฌานสมาธิ ?
ตอบ : จะค่อย ๆ สะสมมาเอง ต่อให้เราค่อย ๆ คิด ท้ายสุดก็จะเป็นฌานเอง เพราะว่าจิตจะดิ่งเป็นสมาธิไปทีละน้อย ๆ ไม่อย่างนั้นคิดอยู่อย่างเดียวไม่ได้หรอก ต้องมีกำลังสมาธิมาช่วย

ถาม : การกระทบใจ ?
ตอบ : จะกระทบใจ จะกระทบกาย จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนอื่นหรืออะไรก็ตาม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สามารถที่จะรับในส่วนของข้อธรรมต่าง ๆ น้อมเข้ามาพิจารณา โดยเฉพาะเปรียบเทียบกับตัวเอง แล้วในที่สุด ถ้าปัญญาถึง สภาพจิตจะบอกเราเองว่าเราไม่เอาอีกแล้ว

เถรี
08-09-2013, 14:48
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนมีคนบอกว่า มีเพชรจักรพรรดิที่รับมาจากมือหลวงพ่อวัดท่าซุงเอง ใครไม่รู้เอามาลงโฆษณาขายในเฟซบุ๊ก ซึ่งความจริงเพชรจักรพรรดิที่จำหน่ายยังไม่พอเลย แล้วหลวงพ่อท่านจะเอาที่ไหนมาแจก เห็นแบบของเขาแล้ว มีตั้งหลายแบบที่อาตมาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนในชีวิต อาตมาเป็นคนจำหน่ายเอง ทำไมจะไม่รู้ว่าใช่หรือไม่ใช่

พวกในเว็บถึงเวลาก็อ้างไปเรื่อยเปื่อย บอกว่ารับมาจากมือหลวงพ่อวัดท่าซุง ขนาดเพชรเขาพระงามบูชายังมีไม่พอให้บูชาเลย ถ้ารับมาจากมือหลวงพ่อแปลว่าท่านต้องไปแจก ซึ่งเป็นไปไม่ได้ แล้วใครก็ตามที่บูชาแล้ว ประเภทเอาไปส่งให้หลวงพ่อส่งให้รับกับมืออีก มีหวังโดนไม้เท้าแทน..!"

เถรี
08-09-2013, 15:27
"ตอนช่วงที่หลวงพ่อวัดท่าซุงใกล้จะมรณภาพ หลวงพี่วิรัชเปิดคลังจำหน่ายวัตถุมงคล ของเก่าทุกอย่างไม่เหลือ โดยเฉพาะลูกแก้วมณีรัตนะรุ่นแรก (แบบกลีบมะเฟือง)

ปกติหลวงพ่อวัดท่าซุงจะให้เก็บวัตถุมงคลทุกอย่างเอาไว้ส่วนหนึ่ง ทุกรุ่นจะต้องมีเก็บไว้ แต่พอถึงเวลาหลวงพ่อใกล้จะมรณภาพ หลวงพี่วิรัชก็เริ่มจำหน่ายของเก่า พอหลวงพ่อมรณภาพไม่นาน ของทุกอย่างก็ขึ้นราคา ขึ้นราคาเป็น ๒ เท่า ๔ เท่า ๘ เท่า ท้ายสุดก็ ๑๖ เท่า

หลวงพี่วิรัชท่านมีเมตตา ท่านกลัวว่าถ้ารอจนหลวงพ่อมรณภาพแล้วขึ้นราคาตามนั้น คนหลายคนจะไม่ได้ เพราะฉะนั้น..สมเด็จคำข้าว สมเด็จหางหมาก ราคาแรกเริ่มองค์ละ ๑๐ บาท มีบางคนบูชาที ๔๐,๐๐๐-๕๐,๐๐๐ องค์..! แล้วก็ขึ้นเป็น ๑๐๐ บาททันทีเลย หลังจากหลวงพ่อมรณภาพก็เป็น ๒๐๐ บาท ๔๐๐ บาท ๘๐๐ บาท ๑,๖๐๐ บาท

ของบางอย่างฟังอย่างเดียวไม่ได้ ต้องคิดบ้าง ถ้าอยู่ในเหตุการณ์ก็จะรู้ว่าเป็นไปได้หรือว่าเป็นไปไม่ได้ แล้วก็ไม่ต้องไปว่าเขา เพราะว่าบางทีเขาก็ไปรับประวัตินี้มาจากคนที่ขายให้อีกทีหนึ่ง"

เถรี
08-09-2013, 15:39
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : หลวงพี่วิรัชท่านออกจากวัดตัวเปล่า พอออกมาแล้ว ด้วยวิสัยของหลวงพี่วิรัช ก็จะไม่ไปยุ่งกับทางวัดท่าซุง เพราะฉะนั้น..เรื่องถือวิสาสะไปค้นคลังนี่เป็นไปไม่ได้

ทางวัดบอกให้หลวงพี่วิรัชกลับวัด แต่หลวงพี่วิรัชไม่ยอมกลับ เพราะทางคณะสงฆ์ตกลงกันว่า ถ้าใครออกจากวัดเกินกำหนด แปลว่าต้องพ้นวัดไปเลย หลวงพี่อนันต์บอกว่า แต่ผมอนุญาตให้กลับ หลวงพี่วิรัชบอกว่าจะเกิดปัญหาอยู่ ๒ ทาง ทางแรกก็คือคนอื่นจะสงสัยว่าทำไมผมกลับได้ ทางที่สองท่านบอกว่า ถ้าผมกลับ..ผมตอบคำถามพระเล็กไม่ได้ นั่นคือน้ำใจนักกีฬาของหลวงพี่วิรัช เพราะถ้าท่านกลับ แล้วอาตมาไม่กลับ ท่านก็ละอายใจ จึงยอมแบกระเบียบ ยอมลำบากไปด้วยกัน

ท่านเองไม่รู้หรอกว่าอาตมาไม่เคยคิดจะกลับไป แต่ท่านก็เผื่อเอาไว้ เพราะฉะนั้น..ถ้ากลับก็คือกลับด้วยกัน เพราะกติกาตกลงกันในคณะสงฆ์แล้วว่า ถ้าไปเกินกำหนดก็ถือว่าพ้นวัดแล้ว ส่วนพี่ยงยุทธไม่คิดมากขนาดนั้นด้วยซ้ำ แต่ท้ายสุดก็อยู่ไม่ได้..ต้องสึกไป

พวกเราเห็นความจริงจังจริงใจของหลวงพี่วิรัชขนาดไหน เขาเปิดทางกว้างขนาดนั้นให้กลับ ท่านยังไม่กลับเลย ท่านบอกว่าท่านตอบคำถามพระเล็กไม่ได้ ทั้งที่อาตมาเองไม่ใช่คนช่างถามสักหน่อย

แม้แต่วัตถุมงคลของวัดท่าขนุน อาตมาถึงได้บอกว่า รับมาจากไหน ? รับมาจากใคร ? ถ้าเป็นไปได้ให้ทำประวัติไว้นิดหนึ่ง เหมือนโยมเมื่อครู่ เขาจะเขียนติดไว้หมดเลย ว่ารับมาจากใคร รับมาเมื่อไร ในงานไหน ต่อไปกระดาษก็จะเก่าไปเรื่อย ๆ พอถึงเวลา ๓๐ - ๔๐ ปีให้หลัง อาตมามรณภาพไปแล้ว กระดาษเก่าได้ที่ พิสูจน์ความเก่าได้ คนมาดูก็จะรู้ที่มา

เถรี
08-09-2013, 16:00
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนพวกเขตการศึกษาขั้นพื้นฐาน รองผู้อำนวยการท่านขึ้นมาขอข้าวสารอาหารแห้งไปแจกพวกที่โดนน้ำท่วม เพราะวัดและโรงเรียนแถวนั้นจมน้ำหมด สงสารพวกครูอาจารย์ที่นั่น

รองผอ.มาถึงก็ไม่ดูตาม้าตาเรือ “พระคุณเจ้าครับ ถึงเวลาที่ท่านจะต้องช่วยเหลือประชาชนแล้วครับ” อาตมาบอกไปว่า “โคตรเตี่_มึ_สิ..! กูช่วยอยู่ประจำ แถวนั้นอย่างน้อยก็เอาของไปแจกให้ปีละ ๒ ครั้ง คุณเองที่เพิ่งจะโผล่หน้ามา ชาตินี้อาตมาเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก” เงียบเป็นเป่าสากไปเลย พวกประเภทชอบคิดว่าพระอยู่เฉย ๆ ไม่เคยทำอะไร

เขาไม่รู้หรอกว่าวัดท่าขนุนช่วยเขาแต่ละปีเท่าไร ข้าวของที่เอาไปทั้งหมดอาตมาไม่เคยเก็บไว้เฉย ๆ พวกบรรดาผู้ที่เดือดร้อนตามป่าตามเขาลึก ๆ แม้กระทั่งวัดวาอาราม หน่วยราชการต้องพึ่งวัดท่าขนุนทั้งนั้น วัดบางแห่งต้องมาตีฆ้องร้องป่าวขอรับบริจาคในตลาดกันเป็นวัน ๆ กว่าจะได้ข้าวสารอาหารแห้งมาหน่อยหนึ่ง อาตมาบอกว่า "พวกเอ็งเอารถไปขนที่วัดท่าขนุนเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปป่าวประกาศ.." ไม่อย่างนั้นเดินกันเป็นวัน ๆ กว่าจะได้มาหน่อยหนึ่ง วัดท่าขนุนบิณฑบาตแต่ละวันข้าวของจะท่วมวัดตาย..!

ถ้าแจกให้ทหารตำรวจตามหน่วยต่าง ๆ แล้วเหลือมาก ก็จะส่งเข้าเรือนจำ แต่ว่าน่าสลดใจที่ไม่ค่อยถึงมือผู้ต้องขัง ถ้าจะให้ถึงผู้ต้องขังเราต้องไปนั่งเฝ้าเอง..!"

เถรี
08-09-2013, 17:22
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปกติแล้วช่วงที่หมดฝน อยากจะให้ลองอยู่เต็นท์กัน แต่คราวที่แล้วไม่ได้อยู่เต็นท์เพราะอากาศหนาว ตอนช่วงนี้ทองผาภูมิเป็นหน้าฝนก็จริง แต่คนไม่ชินกับอากาศจะหนาว เพราะอากาศอยู่ระหว่าง ๒๑ - ๒๓ องศาเซลเซียส เชื่อไหมว่ามาถึงที่บ้านวิริยบารมี ได้เหยียบพื้นแห้ง ๆ แล้วดีใจอย่าบอกใครเลย เพราะว่าเดินลุยน้ำกันอยู่ทุกวัน เท้าจะเปื่อยตาย คนที่ไม่เคยเห็นแดดมาครึ่งค่อนเดือน พอมาเห็นแดดเข้าแทบจะกระโดดเลย เพราะที่โน่นเสื้อผ้าตากเท่าไรก็ไม่แห้งเสียที"

ถาม : กางเต็นท์จะให้นอนตรงไหน ?
ตอบ : ลานธรรม จะนอนตรงไหนก็ได้เพราะกว้างขนาดนั้น หรือจะลงไปนอนในป่าก็ไม่ได้ว่าอะไร กลัวแต่เวลาหนาว ๆ แล้วงูจะมาหาที่อุ่น ๆ นอน ถึงเวลาจะมาซุกอยู่ด้วย แต่ไม่เห็นเขาทำอะไร เพราะอาตมาเคยโดนงูมานอนอยู่บนอกหลายที พอถึงเวลาก็ว่าอะไรหนัก ๆ พอคลำดู โอ้โห...อย่างกับขวดเบียร์เลย ต้องค่อย ๆ แตะให้รู้ตัว แล้วก็ดึงลงช้า ๆ ถ้าเราไม่กลัวแล้วไม่ไปเคลื่อนไหวพรวดพราด งูก็ไม่กัดหรอก

โดยเฉพาะงู ถ้าอยู่ในที่หนาว ๆ แทบจะเคลื่อนไหวไม่ได้ เพราะว่าหนาวจนแข็ง งูเป็นสัตว์เลือดเย็น อุณหภูมิร่างกายจะเท่ากับข้างนอก จึงต้องหาที่อุ่น ๆ จะได้ไม่ทรมานมาก แล้วที่อุ่นทีไรก็คนทุกทีแหละ..!

ถ้าเราดูพวกหนังสารคดีจะเห็นพวกกิ้งก่าอีกัวน่า ถึงเวลาก็เกาะบนโขดหินเป็นร้อยเป็นพัน เขาไปอาบแดดกัน รอให้ตัวอุ่นพอที่จะเคลื่อนไหวได้ระดับหนึ่ง สัตว์เลือดเย็นจะต้องอาศัยแดดถึงจะไปได้ ดูแล้วน่าสงสารมาก บางทีเดินธุดงค์ในป่าเช้า ๆ เจองูนอนยาวเหยียด เกล็ดมีน้ำค้างเกาะเลย สงสารเหมือนกัน ต้องรออีกนานกว่าแดดจะมาถึง

เถรี
08-09-2013, 19:20
พระอาจารย์กล่าวว่า "เคยมีจดหมายจากเจ้าคณะอำเภอมาถึงอาตมาที่เป็นเจ้าอาวาส เลขานุการใช้คำขึ้นต้นว่า "กราบเรียน" ลงท้าย "ด้วยความเคารพอย่างสูง" เดี๋ยวอาตมาก็บ้องหูร่วงเลย..! ท่านเป็นเจ้านายของอาตมา แต่เลขาฯ ดันพิมพ์มาอย่างนั้น เจ้านายกราบเรียนลูกน้องด้วยความเคารพอย่างสูงหรือ ?"

ถาม : ต้องใช้อะไรคะ ?
ตอบ : จริง ๆ ก็คือใช้ เรียนและขอแสดงความนับถือ

เถรี
08-09-2013, 19:36
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีการถวายช็อกโกแลตกันบ่อย ๆ อาตมาเห็นแล้วก็ขำ ๆ คงเกิดจากพระธรรมยุต ท่านฉันของพวกนี้ช่วงหลังเพล พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ฉันน้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำตาล เนยใส เนยข้น แต่พระธรรมยุตท่านไม่ฉันนมข้น เพราะท่านถือว่ามีส่วนผสมของแป้ง แต่ท่านฉันเนยข้นแทน ก็คือชีส หั่นเป็นชิ้น ๆ และมีการหั่นพริกใส่ แล้วก็เสียบไม้จิ้มฟันไว้ ถึงเวลาก็ฉันกันคนละชิ้นสองชิ้น เขาถือว่าชีสเป็นเนยข้น แล้วพริกเป็นส่วนของเภสัช คือเป็นยาด้วยผล..จึงฉันได้

พวกช็อกโกแลตเป็นส่วนผลของต้นโคคา อาตมาก็ไม่แน่ใจในวิธีการผลิต แต่ในเมื่อมีโยมถวายแล้วท่านไม่รังเกียจรับไว้ เขาก็ถวายช็อกโกแล็ตแก่พระไปด้วย ระวังไว้อย่างเดียวว่าอย่าเอาพวกช็อกโกแลตที่มีไส้ เพราะว่าบางทีเขาก็ผสมถั่วลงไป ส่วนอาตมาไม่ฉันช็อกโกแลตมาตั้งแต่แรก ถวายมาเมื่อไรก็ถือว่าเป็นลาภปากของพระเณรที่วัด แต่กำชับไว้แล้วว่าอย่างไรก็ต้องก่อนเพล เพราะถ้าหลังเพลไปถ้าเจอประเภทผสมถั่วมาแล้วจะเซ็ง เพราะถั่วเป็นอาหาร ฉันหลังเพลไม่ได้"

ถาม : น้ำเต้าหู้กินได้หรือคะ แต่เคยไปอ่านเจอว่าห้ามกิน ?
ตอบ : ฆราวาสมีปัญญาจะกินไปกี่ปีบก็ได้ เขาห้ามพระ พระมีศีลห้ามเอาไว้ว่า สิ่งที่เป็นอาหารถึงทำเป็นปานะก็ไม่ควร คราวนี้ถั่วเป็นอาหาร เขาห้ามเฉพาะพระ ปนกันมั่วไปหมด ฆราวาสไม่ได้ห้าม มีปัญญาก็ว่าไปได้เลย

ถาม : อย่างนี้ศีลแปดก็ได้หรือคะ ?
ตอบ : ศีล ๘ ไม่ได้ละเอียดเท่าศีลพระ ศีลพระเขามีรายละเอียดเยอะ เพราะว่าศีลพระนอกจากพระปาติโมกข์ ๒๒๗ ข้อแล้ว ยังมีศีลนอกพระปาติโมกข์ เรียกว่าอภิสมาจาร จะให้รายละเอียดไว้เยอะมาก พระต้องระมัดระวังอย่างสูง ถ้าพลาดคนจะตำหนิเอาได้

เถรี
08-09-2013, 19:44
แบบเดียวกับสมัยที่อยู่วัดท่าซุง พอทำงานหนัก พระบางรูปหิวขึ้นมา ถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า “หลวงพ่อครับ ไอศกรีมฉันได้ไหมครับ ?” หลวงพ่อบอกว่า ถ้าส่วนผสมเป็นแค่นมแค่เนยก็ฉันได้ ไม่ใช่ว่าเอาอย่างอื่นใส่ไปด้วยนะ แต่ท่านบอกว่า “ข้าขอร้องเถอะ ถ้าไม่ถึงขนาดจะตายห่าจริง ๆ แกอย่าไปแดกเลย มันน่าเกลียด..!” ชาวบ้านที่เขาไม่เข้าใจเขาจะด่าเอา

ตอนไปยุโรป พรรคพวกเขาก็ซื้อไอศกรีมฉันกันเกินครึ่ง อาตมาไปเดินหาที่ถ่ายรูปแทน เขาอยากฉันก็ฉันไปเถอะ ไหวไหม ? ไอศกรีม ๒ ลูก ๘๐ บาท..!

ถาม : แล้วพระท่านรู้วิธีทำหรือคะ ?
ตอบ : ไม่รู้วิธีทำ หลวงพ่อบอกว่าถ้าเป็นแค่นมแค่เนยก็ฉันได้ ถ้ามีส่วนอื่นผสมฉันไม่ได้ แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ..กันไว้ก่อนดีกว่า ไม่ใช่พอทำกันจนชิน ถึงเวลาตอนบ่ายพระก็ถือไอศกรีมดูดกันคนละแท่ง น่าเกลียดตายชัก..!

เถรี
10-09-2013, 10:00
พระอาจารย์เล่าว่า "ที่วัดท่าขนุนป่าไผ่ตกขุยแล้วตาย อาตมาจึงให้ปลูกต้นไม้เพิ่มเติม แล้วทำโครงการร่วมกับทางโรงเรียนทองผาภูมิวิทยา เอาเด็กมาปลูกต้นไม้ ปรากฏว่าพระที่วัดท่านโทรศัพท์มาบอกว่า แม่ชีที่วัดให้คนไปปลูกข้าวโพดเสียเยอะแยะ ท่านไม่รู้ว่าจะไปปลูกต้นไม้ตรงไหน เพราะพื้นที่หายไปแล้ว อาตมาก็บอกว่าปลูกไปสิ..จะเป็นอะไร ต้นไม้ที่เราปลูกเป็นต้นไม้ใหญ่ยืนต้น ส่วนข้าวโพด ๓ - ๔ เดือนก็เก็บแล้ว ต้นก็โดนถอนทิ้งหมด ไม้ใหญ่ของเรา ๓ - ๔ เดือนรากยังไม่ทันจะเดินดีเลย

ก็ปลูกตรงนั้นแหละ แทรกลงไปในแปลงข้าวโพด ถึงเวลาเก็บข้าวโพด ต้นไม้ใหญ่ก็ขึ้นต่อ ถ้าไม่แน่ใจให้เขาหว่านถั่วเขียวอีกรอบก็ได้ เพราะซากต้นถั่วจะกลายเป็นปุ๋ยอย่างดี พระที่วัดท่านไม่เคยเป็นลูกชาวไร่ก็เลยไม่รู้

อาตมาถึงได้บอกว่า ภูมิใจในความเป็นบ้านนอกของตัวเอง รู้เห็นอะไรเยอะกว่าชาวบ้านชาวเมืองเขา"

เถรี
10-09-2013, 10:06
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกบวบหอมบวบเหลี่ยมที่เขาปลูกเอาไว้ ถ้าลูกไหนเอามาทำอาหารแล้วมีรสขมมาก ให้ทราบว่าโดนงูเลื้อยผ่าน เป็นเรื่องแปลกมากเลย งูเลื้อยผ่านบวบลูกไหน บวบลูกนั้นจะขม ลองกิน ๆ ดู ถึงเวลาเจอประเภทบวบหอมผัดไข่ บวบเหลี่ยมผัดไข่ ถ้ารสขม ๆ ให้รู้เลยโดนงูเลื้อยผ่านมา ตรงที่โดนงูเลื้อยกระทบ ที่บริเวณนั้นจะขม ไม่ถึงขนาดต้องขมทั้งลูกนะ แต่บริเวณที่โดนจะขม แปลกดี ตอนเด็ก ๆ คอยสังเกตก็เลยรู้ ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้"

เถรี
10-09-2013, 10:14
ถาม : บายศรีที่ใช้ในพิธีบวงสรวงทิ้งขยะได้ไหมคะ ?
ตอบ : ลอยน้ำไป ของไหว้พระเอาไปทิ้งขยะได้..ฮ่วย..! ไม่มีจริง ๆ ก็ทิ้งไว้โคนไม้ใหญ่

ถาม : บางทีหนูภาวนาแล้วออกไป คิดแค่ว่าจะไปกราบพระ แต่ไม่ได้เจาะจงว่าพระท่านไหน บางทีก็ถามท่าน บางทีท่านก็บอกกล่าวแนะนำหนู การที่ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นพระท่านไหนองค์ไหน อย่างนี้เรียกว่าเป็นการไปเปะปะหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ก็ถ้าท่านสงเคราะห์ก็แล้วแต่ท่าน

เถรี
10-09-2013, 10:18
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนมาทำวัตรพระผู้ใหญ่ แล้วฝนตกหนัก แท็กซี่บอกว่า "ทำไมตกได้ตกดี ทีบ้านผมภาคอีสานไม่เห็นจะตกบ้างเลย" อาตมาก็เลยบอกกับแท็กซี่ว่า โปรดจำไว้ว่าคนโบราณเก่ง สมัยก่อนเขาตั้งบ้านตั้งเมือง เขาต้องหาพื้นที่ซึ่งฝนฟ้าบริบูรณ์ เพราะว่าสำคัญที่สุดคือ ต้องปลูกข้าวเพื่อเลี้ยงไพร่ฟ้าประชากรได้ แล้วโบราณเขาตั้งที่กรุงเทพฯ เพราะว่าฝนบริบูรณ์ทั้งปี

ถ้าสงสัยว่าเขาปลูกข้าวกันด้วยหรือ ? ก็บอกว่าสนามหลวงคือนาข้าวของพระเจ้าแผ่นดิน ก็เลยกลายเป็นว่าที่ซึ่งฝนฟ้าบริบูรณ์ แทนที่จะได้ปลูกข้าวก็ดันมาสร้างตึกกัน เพราะฉะนั้น..โยมไม่ต้องบ่นหรอก ฝนฟ้ายังคงเป็นธรรมชาติตกทั้งปี ฝนยังคงตกทั้งปี แต่คนเลิกปลูกข้าว แทนที่จะปลูกผักผลไม้ เล่นมาปลูกตึก มาขับแท็กซี่กัน แล้วจะบ่นทำไมเล่า..?!"

เถรี
10-09-2013, 10:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตั้งแต่อาตมาเป็นเจ้าอาวาสมา ปีนี้เป็นปีแรกที่วัดไม่มีเณร สามเณรพอบวชแล้ว เริ่มโตเป็นหนุ่มก็สึกกันหมด ปีนี้ส่งจำนวนพระให้เขา ๔๖ รูป มีหลายรูปที่ไปจำพรรษาที่เกาะพระฤๅษีกับวัดพุทธบริษัท ไม่อย่างนั้นอยู่ด้วยกันมาก ๆ ก็แย่ เพราะว่าหลวงปู่สายท่านสร้างกุฏิไว้มีแค่ ๔๐ ห้อง พระอยู่กันทีหนึ่ง ๔๐ - ๕๐ กว่ารูป ที่นอนไม่มี ท่านที่ทนลำบากหน่อยก็นอนศาลา แต่จริง ๆ อาตมาชอบนอนในศาลามากกว่า เพราะโล่งดี แต่ท่านอื่นเขาต้องการความเป็นส่วนตัว ต้องมีห้องเฉพาะของตัวเอง"

เถรี
10-09-2013, 10:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนสิงหาคมนี้นอกจากมีงานทำบุญวันแม่แล้ว อาตมายังรับเป็นเจ้าภาพอบรมพระนวกะ ประจำปี ๒๕๕๖ ด้วย บรรดาผู้บังคับบัญชาพอเห็นก็ถาม “เป็นเจ้าภาพอีกแล้วหรือ ? ” เรียนท่านไปว่า “ครับ” “คนอื่นเขาไม่รับหรือ ? ” “เขารับไม่ไหวครับ” ผู้บังคับบัญชาก็ว่า “เออดี..นึกเสียว่าเขาเอาบุญมาให้เรา” “ใช่ครับ..ถ้าไม่นึกอย่างนั้นผมก็ไม่รับเหมือนกัน”

เพราะว่าการเป็นเจ้าภาพอบรมพระนวกะ วัดเราถวายค่ารถให้ทุกท่านที่มา แล้วพระท่าน ๔๐๐ กว่ารูป พระผู้ใหญ่อีกต่างหาก วิทยากรอีก รอบหนึ่งจ่าย ๔๐๐,๐๐๐-๕๐๐,๐๐๐ บาท เป็นอย่างต่ำ

ก่อนหน้านี้เขามีข้อตกลงกันว่า ในคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิมีอยู่ ๑๐ ตำบล แต่ละปีให้เจ้าคณะตำบลหมุนเวียนกัน เป็นเจ้าภาพในเขตตำบลตัวเองตำบลละครั้ง ก็จะเจอ ๑๐ ปี ๑ ครั้ง แต่พอมาระยะหลัง บางตำบลอยู่ไกลมากเลย อย่างตำบลชะแลเขต ๒ คลิตี้อยู่ห่างจากตัวอำเภอ ๘๗ กิโลเมตร หรือไม่ก็ตำบลปิล็อก ขึ้นเขาไป ๗๐ กิโลเมตร อย่างที่ไม่ไกลนักก็ลิ่นถิ่น พอเดินทางสะดวกก็ ๔๐ กิโลเมตร จึงไม่ค่อยมีใครอยากจะไปกัน พอไม่ค่อยอยากจะไปก็เลยมาเอาวัดที่สะดวก ๆ หน่อย ที่รับเป็นประจำอยู่แค่วัดเขื่อนวชิราลงกรณ วัดปรังกาสี วัดท่าขนุน วัดโชคผาสุกิจ ๔ วัดนี้รับไปเถอะ..!

แต่คราวนี้วัดของอาตมารับปี ๒๕๕๔ พอมาปี ๒๕๕๕ วัดสะพานลาวรับไป พอมาปีนี้กลับมาวัดท่าขนุนอีกแล้ว เพราะวัดปรังกาสีท่านรับเป็นเจ้าภาพสอบพระนวกะ ในเมื่อท่านเป็นเจ้าภาพสนามสอบตั้ง ๔ วัน พระไปอยู่ไปกินกัน ๔ วัน ค่าใช้จ่ายมหาศาล ก็ว่ากันหลายหมื่น ท่านก็เลยบอกว่า “อาจารย์เล็กช่วยหน่อยได้ไหม ?” “ได้เลย..มาเถอะ” ต่อไปคงกลายเป็นว่า ไป ๆ มา ๆ ท่านอื่นก็ปัดมาทางนี้หมด กลายเป็นว่าวัดปรังกาสีรับสอบพระนวกะเป็นขาประจำ วัดท่าขนุนอาจจะต้องรับจัดอบรมพระนวกะเป็นขาประจำหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?"

เถรี
10-09-2013, 10:30
"ทาง ททท.จังหวัดกาญจนบุรี เอาการตามประทีป ๑๐,๐๐๐ ดวง ของวัดท่าขนุนไปลง กลายเป็นว่าพวกเราแห่กันเข้าไปดู จากสถิติของเขามีคนอยู่ ๑๔,๐๐๐ คน ตอนนี้กระโดดไป ๑๖,๐๐๐ คน แสดงว่าเข้าไปพักเดียว ๒,๐๐๐ กว่าคน ตอนนี้สำนักงานการท่องเที่ยวกาญจนบุรี กำหนดให้วัดท่าขนุนเป็น ๑ ใน ๙ วัด ของการเดินสายทำบุญ ๙ วัดของจังหวัดกาญจนบุรี

คราวนี้อำเภอไทรโยค ทองผาภูมิ กับสังขละบุรี มีอำเภอละ ๑ วัดเท่านั้น ที่ไทรโยคก็คือวัดสุนันทาวราราม ของหลวงพ่อมิตซูโอะที่เพิ่งสึกไป ทองผาภูมิคือวัดท่าขนุน สังขละบุรีคือวัดวังก์วิเวการาม ของหลวงพ่ออุตตมะ คาดว่าของไทรโยคน่าจะโดนถอดออก พอไม่มีหลวงพ่อมิตซูโอะแล้ว เขาน่าจะเอาวัดป่าหลวงตามหาบัวญาณสัมปันโนขึ้นไปแทน เพราะว่าเป็นวัดที่มีการเลี้ยงเสือ ฝรั่งเรียก Tiger Temple ส่วนอีก ๖ วัดกระจุกอยู่ในเขตอำเภอเมืองทั้งหมด แล้วมีวัดเหนือ วัดใต้ วัดทุ่งลาดหญ้า เป็นต้น

อาตมาบอกกับพระเณรในวัดว่า การขึ้นที่สูงนั้นไม่ยากหรอก แต่ขึ้นสูงแล้วรักษาระดับนั้นยากมาก เขายิ่งยกย่องวัดเราเป็นที่รู้จักมากเท่าไร พวกเราก็จะเหนื่อยกันมากเท่านั้น เพราะต้องทำทุกอย่างเพื่อประคองสถานะ ให้สมกับที่เขายกย่องเรา"

เถรี
10-09-2013, 16:36
ถาม : หนูมีรุ่นพี่คนหนึ่งชื่อจี ทำงานอยู่ที่ประเทศนอร์เวย์ เขาเป็นตัวแทนชาวพุทธที่นั่น ครั้งล่าสุดเพิ่งได้รับเป็นตัวแทนรับมอบพระไตรปิฎก ที่นอร์เวย์เขามีการจัดกิจกรรมให้ศาสนาต่าง ๆ มานั่งเสวนากัน เรื่องคำสอนของแต่ละศาสนา เอาคำสอนของแต่ละศาสนามาแชร์กัน ล่าสุดพี่เขามีคำถามที่หนูตอบไม่ได้มาถาม จึงอยากกราบขอความเมตตาช่วยชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ คำถามมีอยู่ว่า "ท่านมีความเห็นกับคำกล่าวที่ว่า..พระเจ้ามีความสำคัญต่อกระบวนการสร้างสันติภาพ..อย่างไร ?"
ตอบ : สันติภาพ คือ ภาวะการเข้าถึงความสงบ พระเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกถึง เพื่อให้ทุกคนทำความดี เมื่อทุกคนเข้าถึงความดี ก็จะเกิดความสงบขึ้น ดังนั้น..พระเจ้าและคำสอนของพระเจ้า จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นวัตถุดิบ (Input) ในกระบวนการแห่งสันติภาพ

ถาม : และในฐานะชาวพุทธ เรามีกระบวนการสร้างสันติภาพในแนวพุทธอย่างไร ?
ตอบ : กระบวนการสร้างสันติภาพในแนวพุทธคือ การศึกษาและปฏิบัติในไตรสิกขา

เมื่อเรามีศีลสิกขา (การศึกษาและปฏิบัติในศีล) จะทำให้เรามีกายและวาจาที่เรียบร้อย ไม่เบียดเบียนใคร สันติภาพก็จะเกิดขึ้นส่วนหนึ่ง

เมื่อเรามีจิตตสิกขา (การศึกษาและปฏิบัติในสมาธิ) ก็จะควบคุมใจไม่ให้คิดชั่ว ซึ่งจะช่วยให้เราไม่พูดชั่ว ไม่ทำชั่ว สันติภาพก็จะเกิดขึ้นอีกส่วนหนึ่ง

เมื่อเราศึกษาและปฏิบัติในปัญญาสิกขา (การศึกษาและปฏิบัติในปัญญา) ก็จะทำให้เราเห็นจริงว่า ทุกชีวิตล้วนแต่รักสุข เกลียดทุกข์ เป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย เช่นกัน เราจึงไม่ควรเบียดเบียนผู้อื่นแม้ด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ กระบวนการแห่งสันติภาพก็จะเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง

เถรี
11-09-2013, 14:48
ถาม : ผมฟังซีดีหลวงพ่อวัดท่าซุง มีบางอารมณ์ที่เคลิ้ม ๆ เหมือนจะหลับแต่ไม่หลับครับ ?
ตอบ : ลักษณะนั้นสภาพจิตกำลังจะทรงเป็นฌาน แต่สติตามไม่ทัน ถ้าเราสามารถก้าวข้ามไปได้ หลังจากนั้นจะเริ่มเป็นปฐมฌาน

ถาม : พอเราถึงจุดหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าเราควรภาวนาต่อ หรือควรจะหยุดภาวนา ?
ตอบ : ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ก็กำหนดคำภาวนาต่อไป ถ้าจะหยุด ถึงเวลาจะหยุดเอง หรือว่าหายไปเอง ไม่ใช่เราไปบังคับให้หยุด

ถ้าหยุดก็ให้ตามดูเฉย ๆ ว่าตอนนี้เป็นอย่างไร แล้วสมาธิจะสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ

ถาม : เวลาถึงฌานหนึ่ง ภาพพระจะยังไม่สว่างใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นฌาน ๑ จริง ๆ ภาพของพระจะสว่างแต่ไม่ได้สว่างมาก แต่ถ้าเป็นสีขาวก็ลักษณะขาวเฉย ๆ

ถาม : เป็นแบบขาวขุ่นหรือขาวใสครับ ?
ตอบ : ขาวแบบผ้าขาวหรือกระดาษสีขาว จะเรียกว่าขาวขุ่นก็ได้ ถ้าขาวใสจะเป็นอีกระดับหนึ่ง สมาธิต้องสูงกว่านี้

ถาม : แล้วลงรายละเอียดอย่างไรครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องสนใจ ถ้าไปสนใจรายละเอียดจะไม่ก้าวหน้าไปไหน ถึงเวลาถ้าเราไม่สนใจ ความชัดเจนจะมีขึ้นเอง ถ้าไปมัวสนใจก็ติดอยู่แค่นั้นแหละ ไม่ได้ไปไหน

ถาม : หมายถึงเราไม่ต้องไปพยายามมองรายละเอียดเลย ?
ตอบ : ไม่ต้องไปมองรายละเอียด ให้รู้ว่าภาพรวมเป็นอย่างไรก็พอ

เถรี
11-09-2013, 14:51
ถาม : เวลานึกภาพองค์พระให้อยู่ตรงกลางของกาย ควรอยู่เหนือสะดือหรือตรงไหนครับ ?
ตอบ : เรากำหนดไว้ตรงไหนของร่างกายก็ได้ เพียงแต่ว่าการกำหนดไว้ตรงจุดกึ่งกลางกาย ตรงที่สุดของลมหายใจ เพื่อให้เป็นไปตามลมหายใจเข้าออก ช่วยให้เรากำหนดได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น แต่ถ้าเรามีความคล่องตัวแล้ว จะเอาไว้ส่วนไหนของร่างกายก็ได้

ถาม : ความจริงแค่เพื่อความสะดวกเท่านั้น ?
ตอบ : ใช่..เพื่อความสะดวก เพราะว่าเราควบกับลมหายใจเข้าออก ถ้าไม่ได้ควบกับลมหายใจเข้าออก เราจะกำหนดไว้ตรงไหนก็ได้

เถรี
11-09-2013, 14:55
ถาม : ถ้าคนที่ปฏิบัติในคาถาเงินล้าน ติดอยู่ในขณิกสมาธิหรืออุปจารสมาธิ จะได้ผลหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เท่าที่ดูมา พอเริ่มเป็นอุปจารสมาธิ ถ้าทำต่อเนื่องจริง ๆ ไม่เกิน ๒ เดือนจะได้ผล เพียงแต่ว่าการทำต่อเนื่องของเรา อย่าทำเพราะอยากได้ ถ้าทำเพราะอยากได้ ความฟุ้งซ่านจากความอยากจะตัดไปเกือบหมด พูดง่าย ๆ คือเรามีหน้าที่ทำ ผลจะเกิดหรือไม่เกิดก็ช่าง ถ้าทำใจอย่างนี้จะได้เร็ว

เถรี
11-09-2013, 15:00
ถาม : ทำไมเสาร์ห้าต้องอยู่เดือนธันวาคม ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจเลยว่าเสาร์ห้าจะอยู่เดือนธันวาคม เสาร์ห้าอาจจะมีเดือนไหนก็ได้ เป็นเรื่องปกติตามรอบของจันทรคติ แต่จากประสบการณ์ที่อาตมาเจอมาก็คือ มักจะอยู่ในช่วงที่บ้านเมืองกำลังคับขันอันตรายทุกครั้ง ก็เลยกลายเป็นว่า พอมีเสาร์ห้าพระ หรือพรหม หรือเทวดา หรือครูบาอาจารย์ ท่านจะใช้โอกาสนั้นในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น..การกล่าวถึงวันเสาร์ห้าของอาตมาจึงไม่ค่อยเหมือนคนอื่น

เถรี
11-09-2013, 15:07
ถาม : น้ำที่ใช้สรงพระบรมสารีริกธาตุของปีก่อนและปีนี้นำมารวมกันได้หรือไม่ ?
ตอบ : ได้..จะกี่ปีก็รวมกันได้

เถรี
11-09-2013, 15:29
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้อาตมากำลังผลิตตะกรุดกำลังแม่พระธรณีอยู่ ตอนแรกว่าจะมักง่ายทำเป็นแผ่นเดียว ปรากฏว่าต้นตำรับท่านไม่ยอม มีประท้วงด้วย..! อย่างไรก็ต้องใช้ ๗ แผ่น แล้วก็ให้ทำเป็นเนื้อเงินกับเนื้อทองคำด้วย แต่ให้แค่อย่างละ ๑๐๘ ชุดเท่านั้น ถึงเวลาไปแย่งกันเองก็แล้วกัน กะว่าจะให้เสร็จก่อนงานทอดกฐิน พูดง่าย ๆ ว่าให้ร่วมทำบุญกฐินของวัดท่าขนุน

คราวนี้ก่อนกฐินจะมีงานอยู่ ๓ งาน คืองานหล่อสมเด็จองค์ปฐมทองคำ วัดสระพัง เขาหล่อสมเด็จองค์ปฐมทองคำ ๗ องค์

ถัดไปก็งานหล่อพระอุบาลีเถระ วัดไร่แตงทอง อาจารย์สายชลท่านล็อกคออาตมาติดมาตั้งแต่สมัยเพิ่งจะเรียน ปปส.มาด้วยกัน อย่างไรก็ต้องไปวัดเขาให้ได้

ถัดไปก็วันที่ ๘ กันยายน งานหล่อสมเด็จองค์ปฐม ๒๘ องค์ วัดตะเคียนงาม เจอไป ๓ งานน่าจะพอ เสก ๓ งานยังไม่พอก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว ปกติไม่เคยเสกนาน เขียนเสร็จเสกในตัวก็ใช้ได้เลย

ไม่ใช่ตะกรุดเป็นทองหรือเงินเฉย ๆ เท่านั้น ลูกคั่นกลม ๆ นั่นก็ยังเป็นทองหรือเงินแท้ด้วย อย่าเพิ่งตกใจ ราคาไม่แพงหรอก ก็บอกเขาแล้วว่าไม่ได้ทำเอากำไร เป็นการทำตามคำสั่ง ในเมื่อสั่งให้ทำก็ทำ แล้วจริง ๆ ของอาตมาเอง ถ้าเงินมาเยอะก็เหนื่อยมาก กะว่าเนื้อเงินชุดละ ๑,๐๐๐ บาท ทองคำชุดละ ๕,๐๐๐ บาท จะพยายามไม่ให้เกินนั้น

ตะกรุดเล็ก ๆ ๗ ดอก ให้เขารีดบาง ๆ บอกให้รีดบางเป็นกระดาษเลย รู้สึกว่าลูกคั่นจะหนักกว่าเยอะ ตัวตะกรุดเองไม่หนักเท่าไรหรอก แล้วมีมือถักไหม ๗ สีของเราเองอยู่ ไม่ต้องไปจ้างเขาถักให้ ไม่ได้ถักยาว ๆ นะ ถักเรียงเป็นพวง เอาไว้แขวนหน้ารถก็ได้ แต่อย่าให้เขารู้ว่าเป็นทองคำแท้ ถ้าเขารู้ว่าเป็นทองคำแท้โดนปล้นแน่เลย..!

ตอนแรกว่าจะทำเป็นดอกเดียว ลักษณะเป็นตะกรุดลูกอม สายเมืองกาญจน์ก็ต้องตะกรุดลูกอมโลกธาตุ หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว แต่ปรากฏว่าต้นตำรับท่านไม่ยอม ของท่านต้อง ๗ ดอก ลำบากคนทำ ต้องม้วนกันมือหงิกเลย"

เถรี
11-09-2013, 15:45
ถาม : การทำกุมารทองที่ส่วนใหญ่เขาจะเอาวิญญาณผีมาทำ รู้สึกว่ามีพระรูปหนึ่งท่านช่วยให้กุมารทองจากผีนั้นกลายเป็นเทวดา ?
ตอบ : หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม จ.นครปฐม ไปเปิดหาดูในอินเตอร์เน็ต ท่านมรณภาพนานแล้ว หลวงปู่แย้ม ลูกศิษย์สายตรงก็อายุ ๘๐ กว่าปีจะ ๙๐ ปีแล้ว สรุปว่ารุ่นคุณเกิดไม่ทันหรอก

ถาม : ท่านทำบุญให้หรืออุทิศให้ครับ ?
ตอบ : ไม่ได้ถามท่าน ท่านใช้คำว่า "ข้าเสกให้เป็นเทวดาหมดแล้ว"

เถรี
11-09-2013, 19:39
ถาม : ขอความเมตตาให้ช่วยอธิบาย ทุกข์กับทุกขสัจจะครับ
ตอบ : ทำไมต้องไปอธิบายด้วย ? อะไรที่ต้องทนเป็นทุกข์ทั้งหมด เอาง่าย ๆ แค่นั้น เรื่องพวกนี้เราไม่จำเป็นต้องไปรู้ เพราะว่าการรู้เป็นหน้าที่ของคนที่จะเป็นพระพุทธเจ้าไปสอนเขา ให้เรารู้ว่าความทุกข์เป็นอย่างไรแล้วก็เลิกสร้างสาเหตุของความทุกข์ไม่ให้เกิดแก่เราก็พอ

ถึงเวลาก็มัวแต่ไปหาอยู่ว่าทุกข์กับทุกขสัจจะเป็นอย่างไร ทุกขสัจจะคือความทุกข์ที่เป็นจริง เป็นจริงอย่างไร ? คืออยู่กับเราจริง ๆ เวลาความทุกข์ทั่วไปปรากฏขึ้น นั่นแหละคือทุกขสัจจะ อันหนึ่งคือความทุกข์ที่ปรากฏขึ้นกับเรา อีกอย่างหนึ่งเป็นความจริงในทุกข์ที่ปรากฏขึ้นกับเรา ก็มาพร้อมกันนั่นแหละ มัวแต่ไปหาข้ออธิบายอยู่ก็พอดีไม่ต้องทำอะไรกัน

บุคคลที่มีวิสัยจะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าต้องรู้ทุกเรื่อง เพราะฉะนั้น..เรื่องที่เราไม่ต้องเรียน ท่านก็ต้องเรียนเสียแทบเป็นแทบตาย ของเราอยากลำบากแบบนั้นหรือ ?

เถรี
11-09-2013, 20:08
ถาม : ตะกรุดกำลังแม่พระธรณีมีอานุภาพอย่างไรครับ ?
ตอบ : มีอานุภาพคือทำให้คนแย่งกันจอง..! ตะกรุดกำลังแม่พระแม่ธรณีจริง ๆ เป็นมหาเสน่ห์ แต่คราวนี้ท่านบอกว่าอยู่ที่ไหนก็จะปลอดภัย ยายผีป่าให้คำจำกัดความว่า "ตราบใดที่ตีนยังติดพื้นอยู่ก็จะปลอดภัย" อาตมาบอกว่า "ถ้าเอ็งขับรถก็เอาตีนแตะถนนไว้ด้วยแล้วกัน..!"

เถรี
11-09-2013, 20:18
พระอาจารย์กล่าวว่า "การพิมพ์หนังสือแต่ละครั้งหมดเงินไปเป็นแสนบาทเหมือนกัน แต่นึกถึงกำลังใจของโยมที่อ่านหนังสือแล้วต้องยอมลงทุน แบบเดียวกับที่ท่านอาจารย์ดร. มนตรา อ่านเสร็จแล้วปีติมาก อดไม่ได้ เขียนลงในบล็อกเลย ถ้าอ่านแล้วมีประโยชน์สักคนหนึ่งก็ถือว่าคุ้มแล้ว โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ๆ อะไรที่เป็นเนื้อหาธรรมะหลัก ๆ เขาไม่ค่อยอยากได้ ต้องเอาประเภทสอดแทรกไปทีละนิดหน่อย รู้สึกว่าจะได้ผลมากกว่า

สำหรับเว็บวัดท่าขนุน เพื่อน ๆ ที่เรียนกันอยู่ตั้งแต่ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอกมักจะเข้าไปดูกันแล้วก็บอกว่า “อาจารย์เล็ก ผมจ้างทำเว็บให้วัดผมบ้างได้ไหม ?” อาตมาบอกว่า “เว็บวัดท่าขนุนผมเองไม่ได้ไปทำหรอก โยมเขาทำให้” เขาบอกว่าเว็บน่าสนใจตรงที่มีข้อมูลใหม่อยู่ทุกวัน อาตมาบอกว่านั่นขึ้นอยู่กับความขยันของเขา และเว็บของเรามีผู้รับผิดชอบแต่ละห้องต่าง ๆ กันไป แต่ละคนก็จะต้องหาเนื้อหามาลงในห้องของตัวเอง

เขาบอกว่าเว็บของวัดอื่น ๆ ส่วนใหญ่มีหน้าเดียว ทั้งปีทั้งชาติไม่ได้เปลี่ยนไปไหนเลย เข้าไปแล้วไม่มีอะไรใหม่ก็เลยเบื่อ เว็บวัดท่าขนุนต่อให้ไม่มีอะไร กระทู้ทำบุญก็ยังเปลี่ยนใหม่อยู่เรื่อย

ขอให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลเว็บทุกท่านได้โปรดทราบว่า เว็บวัดท่าขนุนได้รับคำชมเชยจากเพื่อนฝูงของอาตมาเป็นอย่างสูง เขาบอกว่าไม่เคยเห็นเว็บที่ไหน active ขนาดนี้ มีข้อมูลใหม่ทุกวัน ความจริงก็เป็นลีลาในการเรียกแขกอย่างหนึ่ง ค่อย ๆ ลงทีละนิด ลงเยอะอ่านทีเดียวหมดก็ไม่มีอะไรใหม่ อยากจะอ่านต่อเนื่องก็ต้องเข้าเว็บทุกวัน

ปรากฏว่าโยมที่ไม่ได้เข้าเว็บวันเดียว ตะกรุดกำลังแม่พระธรณี ๓ เนื้อหมดไปแล้ว ตอนแรกอาตมาจะมักง่าย ทำแบบวัดหนองบ้านเก่า คือเขียนอักขระ ๗ ตัวอยู่ในตะกรุดดอกเดียว ปรากฏว่าโดน "ชยันโต ฯ" มา ท่านบอกว่า ทำอะไรให้เหมือนต้นฉบับเขาบ้างได้ไหม ? ก็ในเมื่อเขาจองกันกระจาย คนมาทีหลังไม่ทัน ลงสำรองไว้เยอะแยะ ก็เลยต้องใช้วิธีเลี่ยงบาลี ทำแค่ ๑๐๘ ดอกตามคำสั่ง ก็เอาเป็นเนื้อละ ๑๐๘ ดอกแล้วกัน นับอย่างไรก็ไม่เกิน ๑๐๘ หรอก

จะว่าไปแล้วเรื่องของผี เรื่องของเทวดา จริง ๆ จะว่าตรงไปตรงมาก็ใช่ จะว่าพลิกแพลงได้ก็ใช่ ขึ้นอยู่กับเราเหมือนกัน เจ้าอ้อย(ศัลยา) ถูกผีตามมาทวงชีวิต บอกว่าสัญญาว่าจะอยู่แค่ ๑๘ ปีเท่านั้น ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว อาตมาก็เลยบอกว่ายังไม่ถึง ผียืนยันว่าถึง อาตมาถามว่าถึงอย่างไร ? เขียนให้ผีดูว่านี่เลขอะไร นี่สิบ (๑๐) ใช่ไหม ? "ใช่" นี่แปด (๘) ใช่ไหม ? "ใช่" รวมแล้วสิบแปด (๑๐๘) ต้องเท่านี้ ตกลงว่าผีสู้ไม่ได้สะบัดหน้าหนีไปเลย ตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ยังไม่เห็นมาอีกเลย..!"

เถรี
12-09-2013, 19:39
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่อาวุโสว่า "โยมทั้งหลายไม่ต้องทำอะไรมากนะจ๊ะ เราอายุมากแล้ว ค่อย ๆ ฝึกค่อย ๆ หัดอย่างคนอื่นก็ทำไม่ไหวแล้ว นึกถึงพระอย่างเดียว ถ้าตายเมื่อไรขอไปอยู่กับท่าน เอาแค่นั้นพอ ไม่ต้องคิดอะไรมาก นึกถึงภาพพระไว้ จะชัดหรือไม่ชัดอย่างไรก็ช่าง ขอให้นึกได้เท่านั้น

ตั้งใจนึกถึงพระพร้อมกับลมหายเข้าออก ให้ได้สักครั้งละ ๓ นาที ๕ ที ตั้งเป้าไว้ว่า ถ้าชีวิตของเราสิ้นไป ไม่ว่าจะเป็นเพราะหมดอายุขัยก็ดี หรือว่าได้รับอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ ก็ดี เราขออยู่กับพระอย่างเดียว เรื่องอื่นไม่ต้องเสียเวลา ปล่อยให้รุ่นใหม่ ๆ เขาฝึกกันไป"

เถรี
12-09-2013, 19:46
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเคยพูดเล่น ๆ ว่า ถ้าต้องเกิดใหม่จะเลิกทำบุญ เพราะทำไว้จนได้เยอะเหลือเกิน โต๊ะฉันยาว ๓ เมตรครึ่ง อาตมานั่งหัวโต๊ะ จะไปเอื้อมถึงท้ายได้อย่างไร กับข้าววางจนไม่มีที่จะวาง เกิดจากนิสัยตัวเองที่ชอบทำบุญทีเดียว ถ้าโยมนั่งตรงนี้นาน ๆ จะสังเกตเห็น โยมบางคนถวายสังฆทาน ๑ ชุด ๒ ชุด ๓ ชุด ๔ ชุด ๕ ชุด ถวายไปเรื่อยชุดละ ๑๐๐ บาท ถ้าเป็นอาตมาก็เทตูมเดียวหมดไปเลย กลายเป็นว่าถึงเวลาจะได้อะไรก็จะได้เยอะ มาทีเดียวเลย ไม่ใช่ค่อย ๆ มาทีละน้อย

โยมที่ไปปฏิบัติธรรม พอพระออกบิณฑบาตก็เหมือนกัน ถึงเวลาออกไปใส่บาตร โยมซื้อมังคุดถุงหนึ่งประมาณหนึ่งกิโลกรัม โยมก็ใส่พระรูปละ๑ ผล ศิษย์วัดก็เก็บจนเซ็ง ถ้าเป็นอาตมาก็ใส่ลงไปทีเดียวทั้งถุง เออ..นิสัยทำบุญแบบนี้แหละ ที่ถึงเวลาได้รับก็ไม่เหมือนกัน พวกทำบุญตูมเดียวอาจจะได้รางวัลที่ ๑ ประเภทมังคุดทีละผลก็อาจจะได้เลขท้าย ๒ ตัวไปเรื่อย ๆ"

เถรี
12-09-2013, 20:01
ถาม : หลวงพ่อธรรมจักร วัดธรรมามูล ชาวบ้านเขาบูชาด้วยอะไรครับ ?
ตอบ : ข้าวต้มมัด

ถาม : ไส้กล้วย ไส้เผือกอะไรก็ไม่ต่างกันใช่ไหมครับ ?
ตอบ : อะไรก็ตาม..ขอให้เป็นข้าวต้มมัด คนแถวชัยนาท อุทัยธานี เขาจะเคารพหลวงพ่อธรรมจักร วัดธรรมามูลเป็นพิเศษ เพราะว่าปาฏิหาริย์ท่านมาก คนขออะไรก็มักจะสำเร็จ

อาตมานี่แทบตายเพราะหลวงพ่อธรรมจักรมาแล้ว มีอยู่ปีหนึ่งหลวงพ่อธรรมจักรมาเข้าฝันว่า ใครที่มีลูกชายคนหัวปี คือมีลูกคนโตเป็นผู้ชายนั่นแหละ ให้เอาข้าวต้มมัด ๘๐ มัดไปถวายพระ อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร ไม่อย่างนั้นแล้วลูกจะตาย อาตมาบิณฑบาตไปครึ่งทาง บ้านที่ ๑ ออกมาใส่ข้าวต้มมัด ๑ ตะกร้า ๘๐ มัด อาตมาก็หิ้วถูลู่ถูกังไป บ้านที่ ๒ โผล่ออกมา ข้าวต้มมัดอีก ๑ ตะกร้า พอเห็นเข้าก็ "ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ..เดี๋ยวโยมเอาไปถวายที่วัดเอง" เห็นพระหิ้วไม่ไหวแล้ว

อีกปีหนึ่งคนที่เกิดปีมะ กับคนที่เกิดวันศุกร์ ให้ไปขอเงินคนอื่นให้ได้ ๒๙ บาท แล้วเอาไปถวายพระเป็นสังฆทาน อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร โอ้..กลายเป็นขอทานกันทั้งเมือง มีข้อแม้ด้วยนะ ขอได้บ้านละบาทเดียว ไม่ใช่บ้านหนึ่งมี ๒๐ คน ขอ ๒๐ บาท..ไม่ใช่ ขอได้บ้านละบาทเดียว

ดูวิธีการของท่านแล้วสุดยอดจริง ๆ อันดับแรก..คนที่กลัวตาย จะได้นึกถึงบุญกุศลไว้ อันดับที่ ๒ ต้องลดมานะตัวเองไปขอคนอื่นเขา อันดับที่ ๓ ได้ถวายสังฆทาน ท่านสามารถทำให้คนทำบุญได้เยอะขนาดนั้น แล้วก็มีผลตามที่ท่านบอกด้วย อาตมาไม่ได้อยู่แถวนั้นมา ๒๐ ปี ก็ไม่รู้ว่าหลวงพ่อธรรมจักรท่านบอกอะไรชาวบ้านอีก แต่เวลามีเลือกตั้ง สส. สจ. อะไรก็ตาม เขาไปเริ่มขบวนแห่ที่วัดหลวงพ่อธรรมจักรกันทั้งหมด กราบขอพรหลวงพ่อธรรมจักร ถวายพวงมาลัย จุดประทัด เสร็จสรรพเรียบร้อยค่อยแห่ออกจากวัดไปหาเสียง อาตมาก็ได้แต่คิดว่า แล้วหลวงพ่อจะให้ใครเป็น ? เล่นมาขอกันทุกคน แต่เป็นได้คนเดียว..!

เถรี
12-09-2013, 20:09
อาตมามีโอกาสผ่านไปก็แวะไปกราบท่าน หลวงพ่อธรรมจักรเป็นพระพุทธรูปยืน สูงเกือบ ๒ เมตร ตามประวัติท่านบอกว่าลอยน้ำมา แล้วคนก็อัญเชิญท่านขึ้นที่วัดธรรมามูล ปรากฏว่าพอปีถัดมา คนก็สังเกตว่าท่านหายไปไหน มัวแต่ไปตามทางด้านอื่น ปรากฏว่าท่านกลับมาที่ในโบสถ์ตอนไหนก็ไม่รู้ แต่ที่ชัดที่สุดคือมีสาหร่ายติดอยู่ที่ฐานพระ เขาก็เลยเหมาว่าท่านอยากเล่นน้ำ เลยหนีลงไปเล่นน้ำมา ถึงเวลาครบรอบปีที่อัญเชิญท่านขึ้นมา ก็เลยมีพิธีอัญเชิญท่านสรงน้ำ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวท่านลงน้ำเองอีก

สมัยก่อนแถวนั้นมีหลวงพ่อผล วัดดักคะนน ท่านดังมาก คนที่ไปชัยนาทก็เลยได้แวะ ๒ ที่ ไหว้หลวงพ่อธรรมจักรเสร็จก็เลี้ยวเข้าวัดหลวงพ่อผล อยู่ใกล้ ๆ กัน พอสิ้นหลวงพ่อผลแล้ว หลวงพ่อธรรมจักรก็ยังดังเหมือนเดิม

อาตมาเองเคยติดสินบนหลวงพ่อวัดเขาพลอง หลวงพ่อโตองค์เบ้อเริ่มเลย ตรงใกล้ ๆ สวนนกชัยนาท บนท่านไว้ว่าถ้าถูกรางวัลที่ ๑ จะถวายผ้าห่ม แล้วก็ไม่เคยซื้อหวย วันดีคืนดีก็มีโยมถวายล็อตเตอรี่มา อาตมาก็บอกว่า เอ้า..ใครก็ได้ไปช่วยตรวจที มีอยู่ครั้งหนึ่งถูกเหมือนกัน แต่เป็นเลขท้าย ๒ ตัว กำลังรออยู่ว่าถ้าถูกรางวัลที่ ๑ จะได้ไปแก้บนท่านสักที

เถรี
12-09-2013, 20:11
ถาม : ถ้าผมเช่าพระพุทธรูปมาถวายพระ แล้วญาติโยมเขาเห็น เขาอยากทำบุญด้วย ก็ให้เงินมา ผมจะเอาเงินที่ได้มาไปใช้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้...เงินทั้งหมดที่รับมาอย่าให้เกินมูลค่าพระพุทธรูป เกินเมื่อไรเอ็งซวยเมื่อนั้น สมมติว่าพระพุทธรูปราคา ๒,๐๐๐ บาท รับจากคนอื่นมาได้แค่ ๑,๙๙๙.๙๙ บาท ถ้าไม่ถึง ๒,๐๐๐ บาทก็เป็นสิทธิ์ของคุณ เกินเมื่อไรเป็นของสงฆ์ทันที รีบเอาไปถวายพระเสีย จริง ๆ แล้วก็คือเป็นของกึ่งกลางสงฆ์ เพราะเขาตั้งใจถวายพระพุทธรูปแก่พระ ในเมื่อเป็นดังนั้นก็ไม่ใช่สิทธิ์ของเรา ต้องถวายพระไปด้วย

เถรี
13-09-2013, 10:09
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานวันแม่ปีนี้นิมนต์พระ ๒๙ รูป จะมีพระใหม่ที่ไม่เคยมา ๑ รูป คือ หลวงพ่อสรวง วัดเขาพระ ที่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ก่อนนี้จะนิมนต์ก็ไม่มีที่อยู่ ครั้งนี้เจอกันกลางทางก็เลยนิมนต์ท่านเลย "อย่าลืมงานผมนะครับ" ท่านอยู่ลพบุรี จริง ๆ แล้วพระปฏิบัติของพวกเราจะมีอยู่ทั่ว ๆ ไป เพียงแต่ว่าเราจะรู้จักท่านหรือไม่ หรือว่าท่านจะยอมแสดงตัวหรือไม่ หลายต่อหลายรายที่ปฏิเสธสุดใจขาดดิ้น ไม่ยอมยุ่งกับชาวบ้าน

ส่วนใหญ่แล้วพระที่มาในสายปฏิบัติ ถ้าเป็นไปได้จะไม่ยุ่งกับชาวบ้าน ต่างคนต่างอยู่จะดีที่สุด แต่ถ้าจำเป็นขึ้นมา เป็นงานที่พระท่านมอบหมายให้ เป็นงานที่ครูบาอาจารย์ท่านมอบหมายให้ เป็นงานที่พรหมเทวดา หรือท่านที่ไม่เห็นตัว อาราธนาขอให้ช่วยทำ หรือว่าเป็นเวรเป็นกรรมที่เคยสร้างไว้ตั้งแต่อดีต ถึงเวลาแล้วต้องมาทำ เรื่องแบบนี้หนีไม่ได้หรอก หนีแค่ไหนก็โดน"

เถรี
13-09-2013, 11:17
ถาม : จิตเป็นโมหะ คือลักษณะอาการเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ในบาลีเขาใช้คำว่า เซื่องซึม น่าจะอยู่ในลักษณะของคนใจลอย ใจลอยค่อนข้างจะขาดสติ ในเมื่อขาดสติ หาทางไปไม่ได้ ถือว่าจัดอยู่ในโมหะ คือความหลง ไปไม่เป็น ไปไม่ถูก

ถาม : อย่างเช่นเชื่อคำพูดอะไรบางอย่างที่ไม่เป็นจริง ?
ตอบ : อันนั้นจะเรียกว่าหลงไม่ได้ ต้องเรียกว่าปัญญาไม่ถึง ถือมงคลตื่นข่าว โมหะจริง ๆ ควรจะอยู่ในลักษณะกำลังใจที่มีรัก โลภ โกรธ หลง ครองอยู่มากกว่า แต่เท่าที่ได้ฟังเขาอธิบายมาคือ สภาพจิตเซื่องซึม งุนงง เลยสรุปลงไปว่าขาดสติ

ถาม : มีสติอยู่แล้วไม่มีปัญญา เป็นไปได้หรือครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วสติกับปัญญาเป็นของคู่กัน จะมากจะน้อยต้องมีอยู่ เพียงแต่ว่าถ้าสติเกินปัญญาก็จะจด ๆ จ้อง ๆ ไม่กล้าทำอะไร ถ้าปัญญาเกินสติ ก็จะโฉ่งฉ่างบุ่มบ่าม แล้วก็พลาดได้ง่าย ในอินทรีย์ ๕ พละ ๕ จึงต้องไปพร้อม ๆ กัน คือต้องเท่า ๆ กัน อย่างไหนมากกว่าหรือน้อยกว่า จะเกิดอาการอย่างที่ว่ามา

ที่บอกว่าถ้ามีสติแต่ไม่มีปัญญาเลย เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ก็ใช่..เพียงแต่ว่ามีมากมีน้อย

เถรี
13-09-2013, 13:15
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานในหลวงเสด็จแปรพระราชฐานไปพระราชวังไกลกังวล พร้อม ๆ กับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ช่วงนี้ที่ไกลกังวลอากาศน่าจะไม่ดีนัก มรสุมกำลังเข้า แต่ก็ไม่แน่ว่าด้วยพระบารมี ไปถึงฟ้าอาจจะเปิด อากาศดีไปเลยก็ได้ เมื่อวานทหารเรือยิงสลุตรับ โดยธรรมเนียมก็คือ ถ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินต้องยิงสลุต ๒๑ นัด

ความจริงก็ต้องบอกว่า การแสดงความเคารพบางอย่างทำให้คนที่ไม่เข้าใจ เข้าใจผิดได้ อย่างสมัยก่อนเวลาเรือปืนฝรั่งเข้ามา เขามาในนามของพระเจ้าแผ่นดิน เราก็ต้องยิงปืนรับ กลายเป็นว่าเขาคิดว่ายิงเขา จึงใส่คืนมา เลยรบกันเละ..! พอ ๆ กับเวลาเราไปอินเดีย เนปาล ทิเบต พวกถือธรรมเนียมเก่า ๆ เขาชอบใจจะแลบลิ้นให้ คนไทยก็ไม่เคยชิน อยู่ ๆ มาแลบลิ้นใส่หน้าตูทำไมวะ ?

ถ้าเราอ่านในพุทธประวัติ อุปกาชีวก ได้พบพระพุทธเจ้าเป็นคนแรกแต่ว่าไม่ได้ฟังธรรม เพราะว่าตั้งใจจะสึกไปแต่งงานกับโยมที่พาไปรักษาโรคเบาหวาน เอ๊ะ...เรื่องเดียวกันหรือเปล่านะ ?

อุปกาชีวกกำลังจะไปแต่งงานกับลูกสาวของเพื่อน เจอพระพุทธเจ้าที่เพิ่งออกจากการเสวยวิมุติสุขใหม่ ๆ เป็นคนแรกเลยที่ได้เจอ แต่ไม่ได้ประโยชน์จากตรงนั้น ท่านเดินทางผ่านไป พระพุทธเจ้ากำลังจะเสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน พระองค์ท่านเสด็จมาปรากฏว่าฉัพพรรณรังสีแผ่ออกมาด้วย อุปกาชีวกเห็นแล้วก็แปลกใจ นึกว่าไฟไหม้ป่า เพราะเห็นประกายพุ่งแปลบปลาบไปหมด แต่แปลกใจว่าไม่มีควัน เลยเข้าไปดู ปรากฏว่าเป็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาพร้อมฉัพพรรณรังสี เห็นเข้าก็เกิดความทึ่งมาก

อุปกาชีวกถามว่า ท่านนับถือใครเป็นศาสดา ? พระพุทธเจ้าตรัสว่าท่านไม่ได้นับถือใครเป็นศาสดา เพราะท่านเป็นสยมภู คือผู้รู้ด้วยตนเอง บาลีบอกว่าอุปกาชีวกไม่เชื่อ เลยสั่นศีรษะแลบลิ้นให้แล้วเดินจากไป แต่ถ้าไปดูแขกในปัจจุบัน ถ้าใช่คือสั่นหัว ถ้าไม่ใช่คือพยักหน้า แลบลิ้นคือแสดงความเคารพ คราวนี้อุปกาชีวกไม่ได้ประโยชน์ตรงนั้น เพราะว่าจะรีบกลับไปแต่งงาน แต่อุปกาชีวะสอบถามว่า ถ้าต่อไปจะไปหาพระพุทธเจ้า จะไปหาได้ที่ไหน ท่านบอกว่าให้ไปหานักบวชที่เรียกว่าอนันตชินะ แปลว่าผู้ชนะโดยไม่มีประมาณ"

เถรี
13-09-2013, 13:28
"อุปกาชีวกไปแต่งงานกับลูกสาวเพื่อน ได้ลูกมา ๑ คน โดนเมียด่าอยู่ทุกวัน ด้วยความที่ตัวเองเป็นนักบวช ไม่เคยทำมาหากิน จึงทำมาหากินไม่เป็น ได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่กับบ้าน เมียก็ต้องทำงานงก ๆ ทั้งวัน ถึงเวลาลูกซนก็ด่าลูกกระทบผัว "ไอ้ลูกปริพาชกขี้เกียจ วัน ๆ เอาแต่นั่งกินแล้วนอน ไม่รู้จักทำงานทำการอะไร"

ต้องบอกว่าวาระของบุญเข้ามาถึง ทุกวันทนได้ วันนั้นอุปกาชีวกทนไม่ได้ บอกว่า "เราเป็นผู้ที่ไม่มีอะไร แต่ตอนนี้เราได้ข่าวว่า เพื่อนที่เรารู้จักคือพระสมณะโคดม เราไปหาเพื่อนของเราก็ได้" ที่มั่นใจว่าเป็นสมณะโคดมเท่านั้น เพราะศาสดาอื่นไม่เคยได้ยินว่ามีฉัพพรรณรังสี ว่าแล้วอุปกาชีวกก็คว้าไม้เท้าได้เดินลงเรือนไปเลย ถามข่าวคราวแล้ว ได้ยินว่าพระสมณโคดมอยู่ที่เชตวันมหาวิหาร ก็ตรงดิ่งไปเลย

พอไปถึงปรากฏว่าเจอพระอานนท์ แสดงว่าอุปกาชีวก ตั้งแต่เจอพระพุทธเจ้าจนกระทั่งไปหาพระองค์อีกครั้ง ระยะเวลาเกิน ๒๐ ปี เพราะพระอานนท์ไปอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าในพรรษาที่ ๒๐ กว่า มิน่า..อยู่จนลูกโต โดนด่าทุกวันยังอุตส่าห์ทนอยู่ได้

พระอานนท์สอบถามว่ามาหาใคร ? อุปกาชีวกบอกว่า มาหาพระอนันตชินะ พระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยพระญาณว่า เช้านี้อุปกาชีวกจะมา จึงสั่งพระอานนท์ไว้ก่อนว่า ถ้ามีคนมาถามหาพระชื่ออนันตชินะ ให้พามาหาเรา พออุปกาชีวกเจอพระพุทธเจ้าก็จำได้ บอกว่าองค์นี้แหละที่เจอกันในราวป่าตอนนั้น ก็เล่าให้ฟังว่าไปแต่งงาน ตอนนี้ชีวิตรักขมมาก มีลูกโตแล้วก็จริง แต่เมียด่าอยู่ทุกวัน

พระพุทธเจ้าท่านเลยเทศน์อนุปุพพิกถาให้ฟัง เป็นเนื้อหาการเทศน์ที่กล่าวถึงเรื่อง อานิสงส์ของทาน การรักษาศีล การทำความดีเบื้องต้นแล้วไปสวรรค์ แล้วท้ายที่สุดวกกลับมาเรื่องความน่าเบื่อหน่ายของการครองเรือน ในที่สุดก็วิธีการที่ออกจากการครองเรือน อุปกาชีวกได้ฟังแล้วเลื่อมใส ขอบวช แล้วตั้งใจปฏิบัติธรรม ไม่นานก็ได้บรรลุอรหัตผล

ต้องบอกว่ายังเป็นโชคดีของท่านที่เลี้ยวไปทัน ถ้าพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปก่อนก็จบเลย เจอเป็นคนแรกแต่ไม่ได้อะไร เสียของเปล่า ดังนั้น..เราจะเห็นได้ว่า ในเรื่องของวาระบุญวาระกรรม วาระการบรรลุมรรคผล ต้องรอระยะการสั่งสมไประยะหนึ่ง จนกระทั่งเขาใช้คำว่ามีอินทรีย์หรืออุปนิสัยแก่กล้าพอแล้ว เมื่อรับธรรมเข้าไปถึงจะเกิดผล เหมือนดอกบัวที่ชูช่อพ้นน้ำ พอเจอแสงอาทิตย์จึงจะบานได้ อุปกาชีวกเจอพระพุทธเจ้าเป็นคนแรกหลังตรัสรู้ แต่ต้องรออีกกว่า ๒๐ ปี กว่าจะได้ฟังธรรมแล้วเลื่อมใสไปปฏิบัติจนบรรลุมรรคผล

ความจริงท่านชื่อ อุปกะ แต่ท่านเป็นอาชีวก บาลีเลยเอาสองตัวมาเชื่อมกัน อุปกะ + อาชีวก = อุปกาชีวก"

เถรี
13-09-2013, 17:24
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลักธรรมของพระพุทธเจ้าตรัสว่า อัปปิจฉตา...ทำให้มักน้อย สันตุฏฐิตา..ปฏิบัติไปแล้วจะเกิดความสันโดษ ยินดีตามมีตามได้ ไม่โลภมาก สัลเลขตา...ปฏิบัติแล้วขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของเราให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ปวิเวกตา...ชักนำให้ออกจากหมู่ เพราะถ้าคลุกคลีกับหมู่คณะ โอกาสปฏิบัติธรรมแล้วจะเกิดความก้าวหน้าก็มีน้อย "

เถรี
13-09-2013, 17:29
พระอาจารย์เล่าว่า "ไปอ่านผลงานวิจัยของฝรั่ง เขาบอกว่าถ้าคนเราโกรธน้อย ร่างกายจะทรุดโทรมช้า มานึกถึงภาษาบาลีที่ใช้คำว่า ไฟโทสะจะเผาผลาญร่างกายให้ทรุดโทรมเร็ว เออ..ตรงกัน งานวิจัยของฝรั่งในที่สุดก็มาลงในพระไตรปิฎก คนที่สามารถรักษากำลังใจของตัวเองได้ ร่างกายจะโทรมช้า แต่ว่าแก่เหมือนคนอื่นนั่นแหละ เปลือกนอกหลอกหน่อยเดียวเอง

พยายามรักษาอารมณ์ปฏิบัติไว้ กิเลสหน้าตาเป็นอย่างไรเรารู้หมด แต่ว่าเราคุมมันได้ไหม ? ส่วนใหญ่ที่เราคุมไม่ได้เพราะ ๑. สติ ไม่พอที่จะยับยั้ง ๒. สมาธิ กำลังไม่พอที่จะหยุด ๓. ปัญญา หาวิธีการไม่เจอว่าจะจัดการอย่างไร ?

เรื่องพวกนี้ต้องพยายามเน้น ระดับของเราต้องเน้นที่สมาธิ ถ้าสมาธิทรงตัว สติจะมี แล้วปัญญาจะเกิด สมาธิเหมือนกับแกนกลาง สติกับปัญญาเหมือนลูกตุ้มตาชั่ง ถึงเวลาก็ชั่งน้ำหนักว่าสถานการณ์อย่างนี้จะจัดการอย่างไร ?"

เถรี
13-09-2013, 19:44
ถาม : สมาธิแก่กล้า จำเป็นไหมว่าสติต้องแก่กล้าด้วย ?
ตอบ : ต้องไปด้วยกัน ปัจจุบันอาตมายืนยันเลยว่าบางสายปฏิบัติผิด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะเขาบอกให้ใช้เฉพาะอุปจารสมาธิหรือขณิกสมาธิเท่านั้น ท่านใช้คำว่า เมื่อเรากำหนดจดจ่อต่อเนื่องนานไป ๆ เหมือนเราสะสมงาทีละเมล็ด นานไปก็มีเมล็ดงามากพอ ที่จะคั้นเอาน้ำมันไปใช้งานได้

อาตมาเองฟังแล้วมานั่งเซ็ง ก็ตูมีงาทั้งเกวียนแล้วทำไมต้องมาเก็บทีละเมล็ด ? เขาบอกว่าไม่ได้ อินทรีย์ ๕ ต้องเสมอกัน ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ต้องเสมอกัน ถ้าไม่เสมอกันไม่สามารถจะใช้งานได้ อ๋อ..นี่ลอกพระไตรปิฎกมาเป๊ะ ๆ เลย

ในเมื่อผมมีสมาธิอยู่แค่นี้ ทำไมไม่ปรับศรัทธา สติ วิริยะ ปัญญา ให้ขึ้นมาเท่ากัน ทำไมทะลึ่งให้ลดสมาธิลงไป ? คนเราใส่เกราะอยู่ดี ๆ จะให้ถอดเกราะ ทิ้งอาวุธขึ้นไปต่อยกับไมค์ ไทสัน มือเปล่า ก็มีหวังตายฟรี ฉะนั้น..อาตมายืนยันว่า ถ้าปฏิบัติแบบนี้ ชาตินี้ไม่ต้องหาคนได้มรรคผลหรอก ถ้าเป็นพื้นฐานขั้นแรกจะได้ เพราะคนกำหนดสติจดจ่อต่อเนื่องอยู่กับปัจจุบันธรรมเฉพาะหน้า สติที่ดำเนินไปเฉพาะหน้าจะไม่ไปวุ่นวายกับกิเลส แต่ถ้าเผลอหลุดเมื่อไร เป็นโดนกิเลสตีหงายท้องทุกราย

ก็เลยกลายเป็นว่าปัจจุบันนี้ เขาทำได้หน่อยหนึ่ง แล้วไปแนะนำอย่างนั้น พอสมาธิเริ่มสูงเขาให้กำหนดตัวรู้ กำหนดรูปนั่ง กำหนดรูปยืน กลายเป็นดึงสมาธิย้อนกลับมา คนขึ้นบันไดแล้วก็โดนลากกลับมาอยู่ขั้นแรกทุกทีเลย แล้วเมื่อไรจะถึงจุดหมายเสียที

ถาม : ผู้ได้สมาธิแก่กล้าแล้วต้องมาเจริญสติให้มากขึ้น ?
ตอบ : ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ว่าจริง ๆ แล้วสมาธิขนาดนั้น สติต้องมีเต็มที่อยู่แล้ว ถ้าไม่มีศรัทธา ก็ไม่ปฏิบัติ วิริยะมีไหม ? ถ้าไม่มีก็ไปไม่ถึงขั้นนั้น เหลืออย่างเดียวคือปัญญา ว่าจะจัดการอย่างไร ?

เถรี
13-09-2013, 19:52
ถาม : เขาบอกว่า "วิริยะต้องสมดุลกับสมาธิ ถ้าสมาธิมีมากจะเกียจคร้าน" ผมไม่เข้าใจครับ ?
ตอบ : การที่เรานั่งเฉย ๆ เขาเห็นว่าเกียจคร้าน แต่จริง ๆ แล้ว เขาทำไม่ได้เองก็เลยอธิบายมาแบบนั้น ถ้าทำเองจะเห็นว่าในระยะที่สมาธิดำเนินไป ข้างในจะตัดรัก โลภ โกรธ หลง ไปโดยอัตโนมัติ แต่เขาเห็นว่าเรานั่งเฉย ๆ เขาเลยบอกว่าต้องไปนับ ๑ ใหม่ ต้องอย่างนั้นถึงจะขยัน

ถาม : ผมก็งง เพราะว่าพอเข้าสมาธิแล้วก็มีความขยัน ไม่เห็นจะลดละเลย ?
ตอบ : ถ้าไม่ขยันใครจะไปนั่ง ? แต่คราวนี้เขายืนยันว่าทำให้เกียจคร้าน ทำให้เซื่องซึม อาตมาก็ว่าเข้าสมาธิแล้วสภาพจิตสดชื่น แหลมคม ว่องไวกว่าปกติ อะไรที่เข้ามารู้ทันหมด จะว่าอย่างนั้นก็ตามใจเขาเถอะ

ถ้าเราไปว่าเขา ก็เท่ากับเราไปโจมตีสายการปฏิบัติของเขา อาตมาเลยมีความเห็นว่า สายการปฏิบัติทุกสาย ถ้าเอาคนเข้าวัดได้ก็ใช้ได้ คนเข้าวัดก็คือคนที่ขาดที่พึ่งทางใจ เหมือนกับคนหิว ถึงเวลาต้องการอาหาร อาหารจะรสชาติเฮงซวยอย่างไรก็ขอให้ได้กินเถอะ พออิ่มขึ้นมา ต่อไปเขารู้ว่าอาหารรสไม่ถูกปาก เดี๋ยวเขาก็ไปหาร้านที่ถูกใจเขาเอง ฉะนั้น..อันดับแรกให้เอาคนเข้าวัดได้ก่อน เพียงแต่ว่าใครไปสายโน้นก็เดินไกลหน่อย

เถรี
13-09-2013, 20:37
ถาม : ในการเจริญเมตตา มีการบริกรรมแผ่ไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย มีหญิง มีชาย มีพระอริยเจ้า มีมนุษย์ เทวดา พรหม มีโอปาติกกะ ทำอย่างนั้นได้หรือครับ ?
ตอบ : จริง ๆ ควรจะเป็นทั้งหมดพร้อมกัน แต่ว่าบางอาจารย์ท่านแนะนำให้แผ่ไปทีละอย่าง ก็ดีเหมือนกัน อย่างเช่นว่า ให้ผู้หญิง ให้ผู้ชาย ให้พรหม ให้เทวดา แต่อาตมาถนัดให้ทีเดียวหมด เวลาเรากำหนดใจแผ่เมตตาไปถึงระดับหนึ่ง จะเหมือนกับตัวเราโตเต็มแผ่นดินแผ่นฟ้า กระแสเมตตาที่แผ่ออกไป ถึงทุกภพทุกภูมิได้ง่ายมาก ขนาดโลกเราเหมือนลูกอะไรเล็ก ๆ นิดเดียวอยู่ใต้ตัวเรา กำหนดจิตคลุมได้ทั้งโลกเลย ต้องทำลักษณะอย่างนั้น

สภาพจิตของเรามีอยู่ส่วนหนึ่ง คือ มโนมยา สำเร็จด้วยใจ ตั้งใจอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เพียงแต่ความคล่องตัวต่างกันเท่านั้นเอง การแผ่เมตตาเบื้องบนถึงพรหมชั้น ๑๖ เบื้องล่างถึงอเวจีมหานรก เบื้องขวางเป็นโลกธาตุที่ประมาณไม่ได้ ฉะนั้น..จะว่าไปแล้วไม่มีข้อจำกัด

ถาม : ในขณะแผ่เมตตาต้องเป็นฌานไหนครับ ?
ตอบ : จะเป็นฌานไหนก็ได้ ขอให้ได้สักฌานกำลังก็พอแล้ว แต่ถ้าไม่ถึงฌาน เป็นแค่ขณิกสมาธิหรืออุปจารสมาธิ ยังทำไม่ได้แบบนั้น

ถาม : ผมเข้าใจว่าต้องบริกรรมไปเรื่อย ๆ พอแนบแน่นแล้วค่อยแผ่ ?
ตอบ : มีอยู่ ๒ อย่างด้วยกัน คือกำหนดแผ่ไปเรื่อย ๆ แล้วสมาธิจะทรงตัวมากขึ้น ๆ กับอีกอย่างหนึ่งคือเข้าสมาธิให้ทรงตัวไปเลย แล้วค่อยแผ่ออกไป ท่านที่คล่องตัวแค่คิดก็เป็นแล้ว

เถรี
13-09-2013, 20:52
ถาม : มีปัจจัยอะไรที่เกื้อหนุนให้เราเข้าถึงสภาพจิตคนหนึ่ง เช่น เขาอยู่ใกล้ ๆ ทำให้ใจอยู่ในระดับรู้ได้ดี แต่ว่าจะมีตอนหนึ่งก่อนที่จะนำอธิษฐาน ...(ไม่ชัด) ?
ตอบ : เกิดจากคำอธิษฐานที่ว่า "เหตุใดที่จะพึงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้ารู้เหตุนั้นได้โดยไม่ต้องกำหนดจิต" พอเราไปเปิดเครื่องรับแล้วสัญญาณเข้ามา เราก็รับได้

ถาม : ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าหนูจะเปิดบ้าง ว่างวดหน้าหวยออกอะไร ?
ตอบ : สบาย...ลองดูได้เลย ทุกอย่างต้องมีเหตุปัจจัยรองรับ ไม่มีไม่ได้ การปฏิบัติตามสายหลวงพ่อวัดท่าซุงจะมีคำอธิษฐานอยู่ว่า "ขอให้ข้าพเจ้ารู้ได้โดยชัดเจนแจ่มใส โดยไม่ต้องกำหนดจิตแม้แต่ประการใด" คราวนี้รู้หรือยังว่าเพราะอะไร ? บางอย่างเกิดขึ้นแล้วเราก็ไม่รู้ว่ารู้ได้อย่างไร แต่ความจริงเราตั้งใจจะรู้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราลืมความตั้งใจนั้นไป

เถรี
13-09-2013, 20:59
ถาม : จิตที่เป็นอสังขตธาตุ คืออะไร ?
ตอบ : คือสภาพจิตที่ไม่ปรุงแต่งอีกแล้ว เรียกว่าอสังขตธาตุ ต้องบอกว่าเป็นธาตุที่อยู่ตัวแล้ว

ตามที่เขาว่ามาก็คือว่ากำลังใจของพระในระดับนั้น การปรุงแต่งไปในรัก โลภ โกรธ หลง ไม่มีแล้ว การยินดียินร้ายไม่มีแล้ว กลายเป็นสภาพจิตที่ปราศจากการปรุงแต่ง เรียกว่าอสังขตธาตุก็ชัดเลย

ถาม : มีเครื่องหมายอันใดที่บรรลุมรรคผล ?
ตอบ : ถ้าบรรลุจริง ๆ จะมีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกคือ ญาณ เครื่องรู้จะบังเกิดขึ้นกับตนเอง รู้ว่าชาตินี้สิ้นสุดลงแล้ว พรหมจรรย์ของเราจบแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือพระท่านจะเสด็จมาให้คำพยากรณ์เอง ส่วนใหญ่ประเภทหลังนี้มาในสายของอภิญญา ๖ หรือปฏิสัมภิทาญาณ พระจะเสด็จมาบอกเอง เพราะท่านรับได้ชัดเจน ส่วนสุกขวิปัสสโกหรือเตวิชโช จะเกิดญาณคือเครื่องรู้ว่าเราไปถึงระดับไหนแล้ว

เถรี
14-09-2013, 18:08
ถาม : ขอคำแนะนำในการปฎิบัติ ?
ตอบ : ไม่มีอะไร ทำให้จริงก็แล้วกัน ส่วนใหญ่แล้วพวกเรารู้กันทุกคน แต่ทำยังไม่จริง ทุ่มเทไปเลย ประเภทถ้าไม่ได้ก็ให้ตายไปเลย แล้วจะสำเร็จ แต่ส่วนใหญ่พวกเรายังทำไม่จริง ยังประเภทชักเข้าชักออก ต้องถามว่า ๒๔ ชั่วโมง เราภาวนากี่ชั่วโมง ? เอาแค่นี้ก็รู้แล้ว

เถรี
14-09-2013, 18:14
มีพระมากราบขอขมาหลวงพ่อช่วงเข้าพรรษา "ภาษาพระเขาเรียกว่าทำวัตร จริง ๆ ก็คือสมัยก่อนนั้นช่วงเข้าพรรษาประมาณครึ่งเดือนแรก พระที่ท่านจำพรรษาอยู่ในที่ต่าง ๆ จะไปกราบรายงานตัวต่อครูบาอาจารย์ ว่าตอนนี้ตนเองไปอยู่ที่ไหน มีความสุขความทุกข์อย่างไร ครูบาอาจารย์ท่านจะได้รับรู้เอาไว้ ถ้ามีอะไรที่ต้องการให้ช่วยเหลือ จะได้รู้ว่าท่านไปอยู่ที่ใด

ส่วนลักษณะของการยืน สมัยก่อนเขาถือว่าการเคารพมากคือการยืนแสดงความเคารพ ถ้าเราอ่านในพระไตรปิฎกจะเห็นว่า พรหมหรือเทวดามาถวายความเคารพพระพุทธเจ้า "ยืนอยู่ในส่วนที่ควรข้างหนึ่ง" สมัยก่อนแสดงความเคารพด้วยการยืนไหว้"

เถรี
14-09-2013, 18:51
ถาม : ผมอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรแต่เขาไม่รับ เขาจะขอจองเวรผมต่อไป จะให้ผมทุกข์ทรมานอยู่จนสิ้นอายุขัย ถ้าเป็นอย่างนี้ ผมจะทำอะไรได้บ้าง ?
ตอบ : กิน นอน ภาวนา ไม่ต้องไปสนใจ เขาจะทำอะไรเรื่องของเขา คุณจะไปเดือดร้อนอะไร ถ้าเขาจะทำเราได้แปลว่าช่วงนั้นกุศลของเราขาดช่วงลง ทำให้อกุศลแทรกได้ ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เราก็ตั้งหน้าตั้งตาสร้างกุศลใหญ่ โดยเฉพาะการภาวนาให้ต่อเนื่องไว้ ดูว่าชาตินี้เขาจะมีปัญญามาไหม ? ถ้ามาได้ก็ภาวนาต่อ รอชาติถัด ๆ ไป แน่จริงเอ็งไปทวงให้ได้ก็แล้วกัน..!

เถรี
14-09-2013, 18:52
ถาม : ทุกครั้งที่ผมประพฤติสุภาพเรียบร้อยอ่อนน้อม ผมจะโดนรังแกกลั่นแกล้ง ?
ตอบ : จงสุภาพอ่อนน้อมต่อไป ถ้าเขาตบหน้าข้างซ้าย ก็ยื่นหน้าข้างขวาให้ตบ ถ้าไม่พอก็นอนลง..เชิญเลยพี่..กระทืบซ้ำได้เลย เป็นการฝึกเมตตาบารมีและขันติบารมีของเราด้วย ดูว่าเราอดทนอดกลั้นได้แค่ไหน คุณลองไปอ่านขันติวาทีดาบสในพระไตรปิฎกดู แล้วจะรู้ว่าท่านอดทนแค่ไหน

เถรี
14-09-2013, 18:52
ถาม : มีวิธีลดอายุขัยไหมครับ ?
ตอบ : มี..กินเยอะ ๆ เขาว่ากินมากจะตายเร็ว ฝรั่งบอกว่า You are what you eat. ภาษิตจีนบอกว่า โรคภัยเข้าทางปาก แต่เภทภัยออกจากปาก จงระวังปากให้ดี

เถรี
14-09-2013, 18:55
ถาม : สมี แปลว่าอะไร ?
ตอบ : สมี แปลว่า พระที่ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระด้วยเรื่องของผู้หญิง

ถาม : สมีคำ แปลว่าอะไร ?
ตอบ : ก็แปลว่า นายคำผู้ต้องอาบัติ ขาดจากความเป็นพระด้วยเรื่องของผู้หญิง

เถรี
14-09-2013, 18:58
พระอาจารย์กล่าวว่า "หนังสืออดีตที่ผ่านพ้นตอนที่ ๒ มี ๒๐ เรื่อง ตอนที่ ๑ เอาไปให้ท่านอาจารย์ ดร. มนตรา ท่านก็เลยเกิดแรงบันดาลใจ เขียนชมลูกศิษย์ของท่านไว้ในบล็อกส่วนตัวจนเลิศลอย เวลาคนอื่นเขียนถึงเรา อาตมาชอบอ่าน ไม่ได้ชอบอ่านที่เขายอเรา แต่อยากรู้ว่าคนอื่นมองอาตมาในแง่มุมแบบไหน

โบราณเขาบอกว่าคนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ ลองนึกดูว่าหนังที่ห่อหุ้มตัวเรา ย่อมไม่มีทางใหญ่กว่าเสื่อได้..ใช่ไหม ? เพราะตัวเรานอนอยู่บนเสื่อยังเหลือตั้งเยอะแยะ หนังเราต่อให้คลี่ออกมาทั้งตัวก็ไม่มีทางใหญ่กว่าผื่นเสื่อ ท่านจึงเตือนให้รู้ว่า ถึงมีคนรัก ก็มีคนเกลียด แล้วคนที่เกลียดก็มักจะมากกว่าด้วย คือเป็นการเตือนใจให้เราทำความดีอยู่เสมอ ไม่อย่างนั้นคนเกลียดมากขึ้นแล้วจะอยู่ลำบาก"

เถรี
14-09-2013, 19:31
ถาม : ที่วัดท่าซุงมีหมาทรงฌานได้ ไม่ทราบว่าที่วัดท่าขนุนมีหมาทรงฌานได้แบบเจ้าทหารหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ค่อยได้อยู่เลยไม่ได้สังเกต สุนัขที่ท่าขนุนทรงฌานได้อย่างหนึ่ง คือถ้าได้ยินเสียงเจ้าอาวาสจะหนีสุดชีวิต..! จำขึ้นใจเลย โดยเฉพาะหมานี่แปลก ตรงไหนที่ห้ามมักจะไป คนอื่นเขาก็ไม่ตีจริง ๆ จัง ๆ แต่อาตมาตีจริง ๆ เพราะถือว่าถ้าเราเมตตาเขา เราต้องสอนให้เขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร

ไม่อย่างนั้นจะเหมือนไอ้ดอกรัก โดดขึ้นสำรับพระแล้วฉี่รด ทำเครื่องหมายไว้เลย แบบนั้นโทษหมาไม่ได้..ต้องโทษคน โอ๋จนเสียหมา ทำขนาดนั้นยังไม่ตีให้รู้จักจำ อาตมาตีกระจายเลย มุดหนีเข้าใต้เตียง อาตมาก็มุดเข้าตามไปตี คนอื่นกลัวไอ้ดอกรักเพราะดุมาก อาตมาไม่กลัวก็ตีไปเรื่อย ทดสอบว่าตัวเองเหนียวจริงหรือเปล่า ท้ายสุดไอ้ดอกรักทนเจ็บไม่ได้ก็ต้องหนี หลังจากนั้นมาพอได้ยินเสียงอาตมา จะเผ่นแนบเลย..!

ตอนอาจารย์สมพงษ์ยังอยู่ ไปเตะไอ้ดอกรักแล้วโดนกัดเหวอะเลย แม่ชีวราภรณ์บอกว่า " โอ๊ย..อาจารย์โดนกัดเข้าอย่างนี้ ยังออกเหรียญรุ่น ๑ ไม่ได้หรอก อาจารย์เล็กโดนกัดอยู่ทั้งวันยังไม่เห็นจะเข้าเลย" ปากอย่างนี้จะไม่ได้อยู่วัด เจ้าอาวาสโดนกัดยังไปซ้ำเติมอีก..!

ปีนี้เฉพาะตึกประจวบดีตึกเดียวมีลูกหมา ๔๐ กว่าตัว พวกสัตว์จะมีลูกมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอาหาร อาหารมากจะมีลูกมาก หมาครอกหนึ่งมี ๖ ตัว ๘ ตัว ไม่มีน้อย ๆ เลย ทำให้พระต้องลำบาก อดตาหลับขับตานอนไปกับลูกหมา เพราะว่าร้องทั้งคืน นมแม่มีไม่พอกิน พระต้องเดือดร้อนมาชงนมให้ลูกหมากิน

ไปนึกถึงที่วัดไร่ขิง เจ้าคุณรวมท่านใช้ให้พระใหม่ไปติดป้ายว่า ห้ามเอาหมาแมวมาปล่อยวัด พระใหม่ไปถึงก็ติดป้ายว่า "ผู้ใดเอาหมาแมวมาปล่อยวัด ตกนรก ๕๐๐ ชาติ" ท่านเจ้าคุณบอก "มึงรีบเอาลงเลย" ถามว่าใครจะช่วยจัดการได้บ้าง พระใหม่อีกรูปหนึ่งยกมือ แต่งเป็นกลอนด้วยนะ “ที่นี่มีมากแล้วทั้งแมวหมา โยมไม่ต้องจัดหามาถวาย ที่ต้องการคืออิฐหินดินและทราย ปูนก็ได้ไม้ก็ดีสีก็เอา” สรุปแล้วได้วัสดุก่อสร้างมาเยอะเลย

เถรี
14-09-2013, 19:59
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของครู โบราณถือว่าเป็นหลักชัยหลักหนึ่งของชีวิต พ่อแม่ให้ชีวิตเรามา สั่งสอนเราให้เอาตัวรอดในเบื้องต้น แต่ครูบาอาจารย์ให้วิชาความรู้ที่จะคุ้มครองตัวเรา คุ้มครองครอบครัว ช่วยในการทำมาหากินและช่วยป้องกันประเทศชาติ

ดังนั้นสมัยก่อนครูนี้สำคัญที่สุด เขาถึงได้มีการไหว้ครูเพื่อรำลึกถึงพระคุณของครูบาอาจารย์ ถ้าพวกเราเคยศึกษาคาถา จะมีพระคาถาอยู่บทหนึ่งเรียกว่าโองการมหาทมื่น โอม..กูจะอ่านโองการมหาทมื่น กูจะโยนตัวกูขึ้นไปเป็นกง ไม้ไร่ก็แหลกเป็นผุยผงไปทั่วทั้งสกลชมภู เมื่อกูเอ่ยถึงครูกู ใครจักสู้กูก็มิได้ ครูกูจึงให้กูว่าพระคาถา..ฯลฯ ชัดไหม ? ความมั่นใจในคุณครูบาอาจารย์ที่ปกเกศปกเกล้า ที่อบรมสั่งสอนตัวเองมา ทำให้เกิดความศรัทธาและเชื่อมั่นถึงขนาดนั้น ว่าถ้าเอ่ยถึงครูเมื่อไรก็ไม่มีใครสู้ได้

ถ้าเราไปดูในวรรณคดีไทยเรื่องต่าง ๆ จะเห็นว่าเขาเอ่ยถึงครูด้วยความภาคภูมิใจ ด้วยความเคารพจริง ๆ อย่างแสนตรีเพชรกล้า ถือว่าเป็นยอดทหารเอกของล้านนา บอกกับพลายงามว่า พระครูผู้บอกวิทยา ชื่อว่าศรีแก้วฟ้ากล้าแข็ง สถิตยังเขาคำถ้ำวัวแดง ทุกหนแห่งเลื่องลือนับถือจริง เอ่ยถึงครูด้วยความเคารพศรัทธาและภาคภูมิใจสุด ๆ ว่าที่ตัวเองเก่งกาจมาได้ทุกวันนี้ ก็ด้วยฝีมือของครูที่ได้อบรมมา"

เถรี
14-09-2013, 20:12
"ถ้าไปดูเรื่องของไกรทอง ไกรทองอย่างเก่งก็สูงไม่เกิน ๔ ศอก ก็วาหนึ่งใช่ไหม ? ชาละวันเป็นไอ้เข้ยักษ์ยาวตั้ง ๙ วา ๑๘ เมตรนะจ๊ะ เรือหางยาวยังสั้นกว่าเลย ถ้าไม่มีความเชื่อมั่นในวิชาความรู้ที่ครูบาอาจารย์ถ่ายทอดมาใครจะไปกล้า แต่ไกรทองไปลอยแพ เสกคาถาเรียกชาละวันขึ้นมา เป็นเรากล้าไหม ? อยู่ห่างฝั่งสัก ๑๐๐ เมตรดีกว่า เรื่องอะไรจะลงไปอยู่กลางน้ำ ไกรทองมองเห็นตะเข้ใหญ่ รุกไล่โบกหางวางร่า บนฝั่งทะลึ่งทะลั่งเป็นโกลา ก็รู้ว่ากุมภาชะลาวัน รู้ว่าตัวแสบมาแล้ว กินหมอตะเข้ไปเป็นสิบแล้ว

ไกรทองแทนที่จะกลัว ไม่ได้กลัวเลย จ้องชะงักยักคอหัวร่อคิก ถกผ้าขยิกขยิกไม่มีพรั่น โอมอ่านโองการอาจารย์พลัน เป่ากระฉอกระลอกลั่นประจักษ์ตา ความมั่นใจทำให้จิตเกิดสมาธิเกิดพลัง เสกคาถาก็เห็นผลทันตาเลย คราวนี้โดนชาละวันเกยแพล่ม ตัวเองจมน้ำ..เสร็จเขาแน่ ๆ ปรากฏว่าไกรทองไม่หนี ถ้าหนีก็ตาย..ลักษณะเดียวกับคนถือดาบถืออาวุธ ถ้าหันหน้าสู้โอกาสรอดยังมี แต่ถ้าวิ่งหนีโอกาสตายเกินร้อย..!

เขาบอกว่า ไกรทองเข้าชิดติดชนัก อยู่ห่างไม่ได้ อยู่ห่างจระเข้ได้เปรียบ แต่พอเข้าใกล้ตัวเองถือหอกยาวกลับเสียเปรียบ ไกรทองเข้าชิดติดชนัก จมน้ำสำลักไม่ยักหนี ทิ้งชนักควักมีดกรีดกุมภีล์ เชื่อดีต่อสู้ไม่รู้รา

เชื่อดี คือเชื่อในความรู้ที่ครูบาอาจารย์สอนมา เชื่อในความสามารถที่ตนเองฝึกฝนมา เชื่อในคุณความดีของครูบาอาจารย์ว่าปกป้องคุ้มครองตัวเองได้ ตรงนี้ไปตรงกับเวสารัชชกรณธรรม ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า ธรรมที่ทำให้คนกล้า มีศรัทธา ศีล วิริยะรัมภะ พาหุสัจจะ สติ ปัญญา

แต่ว่าตัวศรัทธา คือความเชื่อมั่น ท่านบอกว่าความเชื่อมั่นประกอบไปด้วยความเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย ว่าพระรัตนตรัยดีจริง เป็นที่พึ่งกำจัดทุกข์กำจัดภัยได้จริง ๆ เชื่อมั่นในคุณครูบาอาจารย์ เชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเชื่อมั่นในตัวเอง"

เถรี
14-09-2013, 20:18
"สรุปว่าเรื่องของครูบาอาจารย์ ในสมัยก่อนเขาถือว่าเป็นหนึ่งในสรณะ (ที่พึ่งที่ระลึก) ในชีวิต ถึงเวลาจะใช้วัตถุมงคลก็นึกถึงครูบาอาจารย์ก่อน อย่างพวกเรา ถึงเวลาก็นึกถึงหลวงปู่หลวงพ่อก่อน คราวนี้คนสมัยโบราณ เวลาเขาเชื่อเขาเชื่อแบบเต็มร้อย ที่เชื่อแบบเต็มร้อยเพราะว่า สมัยก่อนสภาพจิตของเขากิเลสไม่ได้มากเหมือนสมัยนี้ สมัยก่อนความต้องการพื้นฐานก็คืออาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เท่านั้นเอง ไม่ต้องมีอินเตอร์เน็ต มือถือ รถยนต์

สมัยนี้กิเลสท่วมทับมากขึ้น ความเชื่อถือที่กำลังใจยึดจึงน้อยลง เหมือนน้ำประปา โดนต่อแยกไปหลาย ๆ ท่อ ก็ไหลเบาลง แต่สมัยก่อนท่อต่อท่อแยกไม่ค่อยมีก็ไหลแรง แบบเดียวกับขุนแผนสมัยเด็ก ยังเป็นพลายแก้วอยู่ อยากจะเรียนวิชา ในเมื่ออยากจะเรียนวิชาก็ไปหาแม่คือนางทองประศรี พระสงฆ์องค์ใดวิชาดี แม่จงพาลูกนี้ไปฝากท่าน ให้เป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ อธิษฐานบวชลูกเป็นเณรไว้ นางทองประศรีก็ดีใจ อยู่ ๆ ลูกจะบวช

ครานั้นนางทองประศรีผู้มารดา ได้ฟังลูกว่าหาขัดไม่ อันสมภารที่ชำนาญในทางใน ท่านขรัววัดส้มใหญ่แลดีครัน วัดส้มใหญ่ปัจจุบันอยู่ตรงบ้านหนองขาว เขตอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เจ้าคิดนี้ดีแล้วแก้วแม่อา แม่จะพาไปฝากขรัวบุญท่าน จะได้รู้การณรงค์คงกระพัน ให้เหมือนกันสืบต่อพ่อขุนไกร ชัดไหม ? เรียนต้องได้ เรียนต้องสำเร็จ เหมือนสมัยนี้เรียนต้องจบ ส่งลูกไปเรียนต้องได้แน่นอน มั่นใจขนาดนั้นเลย

แสดงว่าสมัยก่อนใครไปเรียนต้องสำเร็จ สมัยนี้เราเคยชินว่าเรียนแล้วต้องจบปริญญา อาจจะมีติดยา รีไทร์ ท้องก่อนแต่งบ้าง แต่ส่วนใหญ่จบ แต่สมัยโน้นไปเรียนเรื่องของอภิญญาต้องสำเร็จ พ่อแม่มั่นใจขนาดนั้น ในเมื่อมีความมั่นใจ มีความเชื่อมั่นขนาดนั้น ทุกอย่างที่เป็นของยากในสมัยนี้ ก็เป็นของง่ายในสมัยโน้น จึงเลือกครูเลือกอาจารย์ได้เลยว่าท่านไหนเก่งก็ไปเรียน"

เถรี
15-09-2013, 19:02
"สมัยอาตมาเด็ก ๆ หลวงปู่หลวงพ่อที่เก่งกล้าสามารถมีอยู่รอบบ้านเลย บ้านอยู่แถวกำแพงแสน ก็ต้องหลวงปู่อินทร์ วัดสระพัง ขยับมาหน่อยก็หลวงปู่แตง วัดดอนยอ หลวงปู่เต๋ วัดสามง่าม ขยับไปอีกนิด หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา หมดยุคนี้แล้วก็ต้อง หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ หมดรุ่นนี้แล้วก็เป็น หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม นี่แค่นครปฐมอย่างเดียวนะ ก่อนหน้านี้อีกตั้งเท่าไร

หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก หลวงพ่อบุญ วัดกลางบางแก้ว รุ่นอาตมาทันหลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว ตอนเรียนอยู่ ป.๕ - ป.๖ ยังมีใบโฆษณาพระของท่านส่งไปที่โรงเรียน ให้ทำบุญบูชาวัตถุมงคล เพื่อที่จะทำพิพิธภัณฑ์หลวงปู่บุญ ตอนนั้นองค์ละ ๑๐ บาท เด็กอย่างอาตมาเห็นว่าแพงเป็นบ้าเลย สมัยนี้ไปดูสิ ไม่มีเป็นหมื่นเป็นแสนจะบูชาได้ไหม ?

ขยับไปสุพรรณบุรีมีใคร หลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก ดุสุด ๆ ดุชนิดที่ใครตะโกนว่าหลวงพ่อแดงมาแล้วนี่ เด็กแสบเด็กซนแค่ไหนก็วิ่งหนีกระจายเลย หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ รอบบ้านรอบวัดเลยนี่ ๒ จังหวัด ออกมาทางกาญจนบุรี ก็มีหลวงพ่อสอน วัดทุ่งลาดหญ้า หลวงพ่อนารถ วัดศรีโลหะฯ

ถ้ารุ่นเก่าจริงเก่งจริงของกาญจนบุรีก็ต้อง หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว หลวงปู่ยิ้มนี่นอกจากรัชกาลที่ ๕ เสด็จไปถึงวัดแล้ว เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ยังฝากองค์เป็นลูกศิษย์ หลวงปู่ยิ้มมีลูกศิษย์ลูกหาดังระเบิดอย่าง หลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้ หลวงปู่ดี วัดเหนือ หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ ครูบาอาจารย์แต่ละคน ลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง แล้วหลวงปู่ที่ท่านเป็นผู้ผลิตครูบาอาจารย์จะโด่งดังขนาดไหน ?

สมัยนั้นใครไปเรียนวิชากับหลวงปู่ยิ้ม ท่านทดสอบเลย เอาเทียนไปคนละต้น ไปนั่งภาวนาเพ่งไส้เทียนให้ขาด ถ้าไส้เทียนไม่ขาด ไม่ต้องมาขอเรียน แปลว่าอย่างน้อย ๆ ต้องมีพื้นฐานกสิณ ถ้าไม่ใช้พลังจิตก็ต้องประเภทใช้กสิณไฟเผาเลย เพราะถ้าไม่มีพื้นฐาน วิชาที่ท่านถ่ายทอดไปก็ไม่มีผล พระปิดตาหลวงปู่ยิ้มจึงเป็นหนึ่งในเบญจภาคีพระปิดตาเนื้อผง"

เถรี
15-09-2013, 19:09
"ถัดจากหลวงปู่ยิ้มมาก็รุ่นหลวงปู่เหรียญ หลวงปู่เปลี่ยน หลวงปู่ดี หลวงปู่ใจ นี่เป็นรุ่นลูกศิษย์ รุ่นเก่าของทางนครปฐมก็มีหลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ หลวงปู่ทา วัดพะเนียงแตก ท่านมีลูกศิษย์คือหลวงปู่แช่ม วัดตาก้อง

หลวงปู่ทา วัดพะเนียงแตก เขาขอให้หลวงปู่แช่มช่วยดูแลกิจการคณะสงฆ์ ท่านรับภาระปกครองสงฆ์ไม่ไหว..แก่แล้ว ไปขอให้หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ที่เป็นลูกศิษย์ ช่วยดูแลแทนที หลวงพ่อแช่มพอได้ข่าวว่าหลวงปู่ทาจะมา ก็เอากาน้ำชามา ขัด ๆ ถู ๆ เสก ๆ เป่า ๆ ต้มน้ำชารอไว้ หลวงปู่ทาเดินจากวัดพะเนียงแตกฝ่าทุ่งไปถึง ก็นิมนต์ขึ้นมานั่งพัก กราบพระอุปัชฌาอาจารย์ ถวายน้ำร้อนน้ำชา

หลวงปู่ทาฉันเสร็จก็เดินกลับ ลืมว่าตัวเองจะมาทำอะไร..ต้องอย่างนั้น เรียนวิชามาต้องเล่นครูได้ ล่อนะจังงังเข้าไป ครูทำอะไรไม่ถูก กลับไปถึงวัดนึกขึ้นมาได้ "ไอ้แช่มเล่นกูเสียแล้ว" สอนวิชาไปแท้ ๆ เอามาสอยครูเสียเอง เราจะเห็นว่าขนาดครูสอนมา เอามาเล่นครูกลับยังไหว..!"

เถรี
15-09-2013, 19:30
พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่เกาะพระฤๅษี ทางเหมืองสองท่อลงทุนปักเสาไฟฟ้าเข้าไปเอง เขาลงทุนปักเสาเดินสายไฟลงหม้อแปลงเอง หมดไปหลายสิบล้านบาท การไฟฟ้ามีหน้าที่ขายไฟให้อย่างเดียว ฉะนั้น..ไฟห้ามดับเด็ดขาด ถ้าไฟที่นั่นดับ การไฟฟ้าจะโดนปรับเป็นนาที เขาทำสัญญากันไว้

สมัยอาตมาอยู่ที่เกาะพระฤๅษีสบายใจมาก ขนาดต้นไม้ใหญ่ล้มทับสายไฟขาด ๓ เส้น กระชากเสาหักล้มไป ๕ ต้น ใช้เวลาครึ่งค่อนวันก็เปลี่ยนเสร็จแล้ว ถ้าเป็นที่อื่นไม่มีทางเสร็จ เป็นวัน ๆ ก็ไม่เสร็จ แต่ที่นั่นต้องเสร็จ ถ้าไม่เสร็จโดนปรับเป็นนาที มีสรรพกำลังเท่าไร ต้องระดมกันมาหมดเลย งานที่ยากเย็นแสนเข็ญ ทำที่อื่นอาจใช้เวลา ๓ วันเสร็จ ที่นั่นครึ่งวันก็เสร็จแล้ว

แต่มีเรื่องแปลกอยู่อย่างคือสภาพการรู้ของจิต อาตมานอนหลับอยู่ ไฟฟ้าช็อต..หม้อแปลงระเบิดบึ้ม..! ทั้ง ๆ ที่หลับอยู่ก็รู้ว่าช็อตตรงไหน ใกล้ไกลเท่าไร เดินไปดูได้เลย ตรงตามที่รู้เลย พอหม้อแปลงระเบิด ไฟดับหมดทั้งเกาะ อาตมาก็คว้าไฟฉายไปดูว่าจริงหรือเปล่า อีก ๒๐ กว่านาทีรถวิ่งมาถึงแล้ว แก้ตรงนั้นแหละ หลับอยู่เฉย ๆ ก็เห็นภาพชัด ๆ เลยว่าช็อตตรงไหน อย่างที่โยมเมื่อเช้าถามว่า เอาเหตุปัจจัยอะไรมารู้ เพราะตัวเองไม่ได้ตั้งใจอยากรู้สักหน่อย ?

อาตมาบอกว่าเกิดจากคำอธิษฐานกรรมฐานของพวกเราที่ว่า "ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้เหตุนั้น โดยไม่ต้องกำหนดจิตแม้แต่ประการใด" ก็ตัวเองไปอธิษฐานเอาไว้ทุกครั้งที่สมาทานพระกรรมฐาน ถึงเวลาสภาพจิตจึงทำงานเอง"

เถรี
15-09-2013, 19:44
ถาม : พุทธมณฑลถือเป็นที่ธรณีสงฆ์ไหมครับ ?
ตอบ : เป็น...เป็นศาสนสมบัติกลาง ดูแลโดยสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ

ถาม : วิสุงคามสีมาจะได้ทุกวัดไหมครับ ?
ตอบ : วิสุงคามสีมา ขึ้นอยู่กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทาน ถ้าพระองค์พระราชทานให้ ต่อให้เป็นศาสนสมบัติกลางก็มีได้

ถาม : เฉพาะโบสถ์หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เฉพาะบริเวณที่ปักเขตไว้ว่าพระราชทานให้กว้างยาวเท่าไร ไม่ใช่เฉพาะเสมา บางทีพระราชทานให้กว้าง ๑๐ วา ยาว ๒๐ วา แต่ตัวโบสถ์กว้างแค่ ๒ วาครึ่งเอง

ถาม : ได้ทุกวัดหรือเปล่า ?
ตอบ : ทุกวัดจะขอไป จะช้าจะเร็วก็ต้องได้

ถาม : ถนนผ่ากลางวัด ?
ตอบ : ถนนผ่ากลางวัด ถ้าที่ตั้งวัดอยู่ด้านไหน อีกที่หนึ่งจะกลายเป็นที่ธรณีสงฆ์โดยอัตโนมัติ ต่อให้ถนนมาทีหลังก็เถอะ อย่างเช่น ที่มี ๒๐ ไร่เป็นที่ตั้งวัด แล้วอยู่ ๆ เขาตัดถนนผ่ากลางไป ตัวอาคารอยู่ด้านไหน ด้านนั้นจะเป็นที่ตั้งวัด อีกที่หนึ่งจะกลายเป็นธรณีสงฆ์ไปเลย ที่ธรณีสงฆ์จะอยู่มุมไหนของโลกก็ได้ แต่จะขึ้นอยู่กับวัดนั้น

ถาม : ไม่จำเป็นต้องติดกับวัด ?
ตอบ :ไม่จำเป็นต้องติดกับวัด อยู่ที่ไหนก็ได้

ถาม : แล้ววัดพระแก้วเป็นวิสุงคามสีมา ?
ตอบ : วัดพระแก้วไม่ได้อยู่ในที่พระราชทาน แต่เป็นที่ซึ่งพระองค์ท่านตั้งใจสร้างถวายพระแก้วอยู่แล้ว

เถรี
15-09-2013, 19:51
ถาม : ถ้าเวลาเราภาวนาแล้วจับภาพพระ ถ้าภาพพระแต่ละครั้งไม่เหมือนกันเลย จะถูกไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเราตั้งใจจับภาพ พระท่านจะมาแบบไหนก็จับไปเถอะ

ถาม : ถ้าภาพพระเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าถึงฌานไหน ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นแก้วใสทั้งองค์ก็เป็นฌาน ๔

เถรี
15-09-2013, 19:53
ถาม : บวชในพรรษาผิดไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ผิด

ถาม : บวชได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : บวชได้..สึกได้ ไม่มีปัญหา แต่สมัยก่อนเขาไม่นิยมสึกกลางพรรษา เพราะเขาถือว่าแค่ ๓ เดือน ถ้าทนอยู่ไม่ได้ จะไปทำมาหากินอะไรไหว สมัยก่อนใครแหกพรรษานี่ไม่มีใครคบเลย ไปขอลูกสาวบ้านไหนเขาก็ไม่ให้ แต่สมัยนี้เขาไม่ถือหรอก จะบวชตอนไหนสึกตอนไหนก็ได้

เถรี
15-09-2013, 20:06
ถาม : ภาพพระกับดวงปฐมมรรคนี่เราควรจับอย่างเดียวหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ?
ตอบ : ภาพพระนี่เลยดวงปฐมมรรคไปเยอะแล้ว

ถาม : ไม่ต้องสนใจดวงปฐมมรรค ?
ตอบ : ถ้าจับภาพพระได้ก็จับภาพพระเป็นหลักเลย ภาพพระนี่ถ้านับแล้วเป็นกายที่ ๑๘ ไม่ใช่ดวงปฐมมรรค เป็นประเภทจบแล้ว ไม่ใช่เริ่มต้นใหม่

ถาม : แล้วเอาภาพพระไว้ที่ไหน ?
ตอบ : ถ้ามีความคล่องตัว จะเอาไว้ที่ไหนก็ได้ ถ้าความเคยชินของเราอยู่ที่ศูนย์กลางกาย ก็เอาไว้ที่ศูนย์กลางกาย

เถรี
16-09-2013, 19:44
ถาม : ทำไมเขาชอบอยู่ระหว่างความขัดแย้งตลอดเลย ไปที่ไหนก็เป็นแบบนั้น ?
ตอบ : บอกเขาว่าสร้างบุญไว้ดี ที่ว่าอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง ก็คือทั้งสองฝ่ายจะดึงเราเป็นพวกด้วย ในเมื่อเป็นอย่างนั้นคือเราทำบุญไว้ดี ใครเห็นก็อยากเอาเราไปเป็นพวก พยายามเอาหลักธรรมของพระพุทธเจ้าไปใช้แก้ไขความขัดแย้ง โดยเฉพาะตัวขันติ ความอดทน พยายามมองให้เห็นปัญหา ชี้ให้เห็นโทษ และหาหนทางที่เป็นประโยชน์ที่สุดแก่ผู้อื่น แล้วเขาจะทำตามเอง

ถ้าเราชี้ให้เขาเห็นโทษไม่ได้ แล้วบอกทางที่เป็นประโยชน์ไม่ได้ เขาก็จะขัดแย้งกันไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น..เราเป็นพวกเขาได้ทั้ง ๒ ฝ่าย พยายามชี้ให้เขาเห็นโทษ ทะเลาะกันไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร สามัคคีกันไว้ดีกว่า มีงานการอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน ให้เสร็จเร็วขึ้น ให้สะดวกและง่ายขึ้น ความสามัคคีในหน่วยงานเมื่อเป็นไปด้วยดี ภาพพจน์ของหน่วยงานและตัวบุคคลก็จะดีขึ้นไปด้วย

เถรี
16-09-2013, 19:50
ถาม : มีตาทิพย์ เห็นภาพพระได้ แต่อย่างหนึ่งหนูสงสัยก็คือ เรื่องหวยไม่แม่น ?
ตอบ : เพราะโลภ..! ถ้าเอาตัวเองเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสีย สภาพจิตจะโดนย้อมไปด้วยกิเลส การรู้เห็นจะผิดพลาด หรือไม่ก็เป็นการทดสอบเราว่าโลภหรือไม่ ? แล้วเราก็สอบตก..!

ถ้าอยากจะเล่นหวยให้แม่น ให้คนอื่นไปเล่นแทน ถ้าเราเล่นเมื่อไร ผลได้ผลเสียจะทำให้จิตของเราไม่นิ่ง ถึงเวลาอยากได้เท่านั้น อยากได้เท่านี้ก็ตั้งใจดู แล้วพลาด ฉะนั้น..บอกแม่ให้เล่น พอถูกแล้วแบ่งให้หนูครึ่งหนึ่งก็แล้วกัน คราวนี้จะโดนแม่ด่า เพราะพาแม่เสียไปด้วย..!

ปัญหาพวกนี้ อาตมาทำมาเองแล้วทั้งนั้น ถึงขนาดดูรางวัลที่ ๑ สมัยนั้นมีเลข ๗ ตัว ดูครบ ๗ ตัวเลยแต่หาซื้อไม่ได้ พอตัดเลขท้าย ๓ ตัวมาเล่น ดันออก ๒ ตัว ตัด ๒ ตัวมาเล่นดันออก ๑ ตัว ตัด ๑ ตัวมาเล่น กลับไม่ออกเลย เสร็จเขาทุกวิธีแล้ว ถึงได้ตอบปัญหานี้ได้ แต่ถ้าบอกคนอื่นโดยที่ตัวเองไม่เล่น ออกเป๊ะเลยทุกที บังเอิญอาตมาขี้สงสัยว่าบอกคนอื่นทำไมจึงถูก ? ดูให้ตัวเองทำไมไม่ถูก ? อ๋อ..สังเกตใจตัวเองว่าไม่สะอาดจริง ตัวโลภขึ้นหน้ามาแล้ว

เถรี
16-09-2013, 20:05
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนสมัยก่อนถึงเป็นฆราวาส เขาก็มีวิชาความรู้ติดตัวทั้งนั้น จะเห็นว่าหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์หลายท่าน ก็ไปเรียนกับครูที่เป็นฆราวาส ถึงเวลาไหว้ครูก็ต้องน้อมนึกถึงบุญที่ท่านช่วยสั่งสอนมาให้ สมัยก่อนเขายึดมั่นจริง ๆ ทุกอย่างถึงได้ขลัง สมัยนี้เขาไม่ค่อยจะยึดกัน"

เถรี
16-09-2013, 20:11
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาอาตมาไม่มีโทรศัพท์ รู้สึกมีความสุขมาก ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรคอยเรียก เดี๋ยวนี้เวลาเจ้านายหรือเพื่อน ๆ โทรมาชักจะชิน ตอนแรก ๆ เวลาน้องเล็กรับ เขาจำได้ว่าเบอร์พระ แต่ทำไมเสียงผู้หญิงรับ ?

อดีตเจ้าอาวาสวัดถ้ำมังกรทองโดนอธิกรณ์ เพราะไปไหนกับผู้หญิงสองต่อสอง ในที่สุดก็โดนปลดออกจากตำแหน่ง บรรดาเพื่อนก็ว่า "เฮ้ย..แล้วอาจารย์เล็กทำไมไม่โดนวะ ?" เพราะไปไหนกับน้องเล็ก ๒ คนบ่อยไป อาตมาบอกว่า "มึงก็ดูความประพฤติของเขาสิ เขาไปไหนกลางค่ำกลางคืน ดึกดื่นก็ออกจากวัด ผมออกเฉพาะกลางวัน เลิกงานแล้วก็กลับเลย ไม่เคยเถลไถลไปแวะที่ไหน"

สมัยอาจารย์สมพงษ์เป็นเจ้าอาวาส เวลาไปไหนชอบแวะนั่นแวะนี่ นิสัยของอาตมาพองานเสร็จจะตรงดิ่งกลับเลย คือกลับไปให้ทันทำวัตรเย็น อาจารย์สมพงษ์ไปด้วย ๒ ครั้ง..เข็ดเลย ไม่ไปด้วยอีกแล้ว แกชอบแวะหลายที่ เป็นประเภทไม่ค่ำหาทางกลับวัดไม่เจอ ส่วนอาตมาหมดธุระก็กลับวัดทันที จึงกลายเป็นคนละเรื่องกัน เจ้านายท่านมีตา เห็นอยู่ว่าใครทำอะไร"

เถรี
16-09-2013, 20:22
ถาม : พระเอามีดแทงคนแล้วไม่ตาย เป็นแผลบาดทะยักแล้วเขารักษาไม่ดี จนเสียชีวิตลง ?
ตอบ : ถ้าตายเพราะบาดแผลโดนอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระ เพราะเจตนาฆ่าเขาแต่แรกแล้ว สัมฤทธิ์ผลตามเจตนา แม้จะช้าหน่อย ก็ขาดความเป็นพระ

ถาม : แต่ที่ นาย ก. ใช้ให้ฆ่า นาย ข. ไม่ผิดใช่ไหมครับ เพราะคนละคนกัน ?
ตอบ : ถ้าใช้โดยกำหนดเวลา ถ้าเขาไปฆ่าผิดเวลา คนสั่งก็ไม่ผิด สมมติว่าเราเป็นพระ แล้วสั่งว่าคืนนี้แกไปฆ่านาย ก. เวลาสองทุ่มให้ได้นะ ปรากฏว่านาย ข. ไปฆ่านาย ก. วันพรุ่งนี้ ถ้าเป็นพระไม่ต้องอาบัติปาราชิก เพราะถือว่าทำคนละเวลากับที่สั่ง พระวินัยจะละเอียดมาก แต่ถ้าเป็นทางโลกก็เรียบร้อย คุณเป็นคนสั่ง จะทำเวลาไหนก็โดน..!

เถรี
17-09-2013, 19:56
ถาม : ถ้าฟังคนอื่นภาวนาคาถาสะหัสสะเนตโต ๕ นาที กับท่องเอง ๕ นาที อย่างไหนจะได้ผลกว่ากัน ?
ตอบ : ดูคนอื่นกินข้าวกับตัวเองกิน อย่างไหนดีกว่ากันเล่า ? ต้องกินเองใช่ไหม ? เพราะฉะนั้น..ไปกินเองจ้ะ ประเภทเดียวกับเปิดเทปคาถาเงินล้านในบ้านแล้วเมื่อไรจะรวยสักที ต่อให้เปิดจนตายก็เหมือนเดิม ต้องภาวนาเอง

ไปนึกถึงหลวงพี่สมาน ท่านเป็นเด็กชาวเขา หากินกับป่า ท่านเล่าให้ฟังว่า ตอนเป็นฆราวาสไปตีผึ้ง ผึ้งหลวงตัวใหญ่ประมาณครึ่งนิ้วก้อย โดนเข้าไปแต่ละตัวเป็นเรื่องเลย แกก็เที่ยวหาคาถาหัวใจหมี ถ้าได้มาภาวนาแล้วผึ้งจะไม่ต่อย แกก็ภาวนาอยู่โคนต้น แล้วให้เพื่อนปีนขึ้นไปตี รับรองตัวเองไม่โดนแน่เพราะอยู่โคนต้น..!

เถรี
18-09-2013, 10:24
มีโยมที่เป็นศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงด้วยกันมาทำบุญ พระอาจารย์จึงกล่าวขึ้นว่า "นึกถึงสมัยวิ่งรับใช้หลวงพ่ออยู่ด้วยกัน ยังหนุ่มแน่นแข็งแรงกันดี ตอนนี้กลายเป็นแต่ละคนลูก ๆ โตกันหมดแล้ว อาตมาเองไม่รู้รอดมาได้อย่างไร ไม่ได้คิดจะบวช ตั้งใจจะบวชแค่ ๗ วันยังอยู่เรื่อยเปื่อยมาได้ ขนาดก่อนบวชยังเรียนถามหลวงพ่อ ถามแล้วถามอีกว่าตกลงจะเอากี่วัน กลัวจะบวชนาน ...(หัวเราะ)...

ตอนนั้นมาพิจารณาดูว่า ตัวเองก็อายุพอสมควร ๒๗ ปีเข้าไปแล้ว แม่เรียกร้องให้บวชมาทุกปี ก็บวชให้ท่านไม่ได้สักที แล้วอยู่ ๆ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านขอให้บวชให้ท่านสักหน่อย ก็มาคิดว่า โอกาสอย่างนี้ไม่เคยมีมาก่อน แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ เสียดายชีวิตฆราวาส รู้สึกว่าเป็นฆราวาสเราก็ปฏิบัติได้ ถ้าไปเป็นพระแล้วจะเสี่ยงนรกมาก..! ตอนนั้นความคิดของตัวเองคือ ต้องปฏิบัติให้ได้อย่างน้อยเป็นพระโสดาบันก่อน หรือถ้าจะเอาปลอดภัยก็เป็นพระอนาคามีไปเลย แล้วค่อยไปบวช บวชเข้าไปแล้วให้โยมเขาไหว้ได้เต็มมือไปเลย

แต่ปรากฏว่าเป้าหมายที่หวังเอาไว้นั้น ไม่ใช่เป้าหมายในชีวิตของฆราวาส ทำเท่าไรก็ไม่ถึงสักที คราวนี้หลวงพ่อท่านไปบนพระเอาไว้ เนื่องจากตอนนั้นภายในวัดพวกไสยศาสตร์ระบาดมาก ฝ่ายที่รับเคราะห์ก็เป็นบรรดาสารพัดหมา ท่านเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วลงมาจากข้างบน เพื่อมาถวายการรับใช้หลวงพ่อ ในเมื่อเขามีน้ำจิต หลวงพ่อก็มีน้ำใจ เห็นว่าเขามาอยู่วัดแล้วตายแทนพระแทนเณรได้ ท่านก็เลยบวชพระให้พวกเขา

ท่านบอกว่าจะบวชพระให้เขา ๓ รูปด้วยกัน อาตมาก็ไปชวนเพื่อนคนอื่นบวช เขาก็ปฏิเสธกันหมด ไปได้ลุงพุฒิคนเดียว แกชื่อพุฒิจริง ๆ นะ อายุมากกว่าก็เลยเรียกลุงพุฒิจนติดปาก ตอนนั้นลุงพุฒิอายุ ๔๐ กว่าปีแล้ว อาตมา ๒๗ ปีเรียกแกเป็นลุงก็ไม่น่าเกลียดเท่าไหรอก

มากราบเรียนหลวงพ่อว่า “ตกลงผมจะบวชให้ครับ แต่ว่าผมหาได้แค่อีกคนเดียว ยังขาดอยู่คนหนึ่ง” ท่านบอกว่า “เฮ้ย..ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น คนของข้าไม่เคยขาด” แล้วก็จริง ๆ จาก ๒ คนโด่เด่ พรวดเดียวกลายเป็น ๓๖ คน ต้องการ ๓ คนกลายเป็น ๓ โหลไปเลย แล้วก็หมดเกลี้ยง สูญพันธุ์ เหลืออาตมาโด่เด่อยู่คนเดียว"

เถรี
18-09-2013, 10:27
"ใหม่ ๆ อาตมาก็อยากสึก แต่ต้องบอกว่าเป็นความเมตตาของหลวงปู่ขนมจีน ท่านเล่นอาตมาตั้งแต่ภายใน ๗ วันแรกเลย พอโดนเข้าก็เลยคิดว่า คนตายไปเป็นร้อย ๆ ปีแล้วยังมาเป็นตัวเป็นตนได้อีก เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มาก พอกราบขอขมาท่านเสร็จสรรพถึงได้ขอกับท่าน อาตมาเป็นคนหน้าด้าน ก็ว่า “หลวงปู่เล่นผมเป็นคนแรก ผมก็ถือว่าผมเป็นลูกคนโต ขอหลวงปู่โปรดเมตตาสงเคราะห์ให้หน่อย ว่าอารมณ์ความเป็นพระอริยเจ้าเป็นอย่างไร ถ้าหลวงปู่สามารถสงเคราะห์ได้ เมื่อผมทำถึง ผมจะได้รู้ว่าถึงแล้ว”

ท่านไม่ได้ปฏิเสธสักคำ ท่านถามว่าจะเอานานเท่าไร ก็กราบเรียนท่านไปว่า “ถ้าเป็นไปได้ขอ ๓ เดือนเลยครับ ผมจะได้บวชเอาพรรษาไปเลย” หลวงปู่ท่านบอกว่า “ได้” พอสิ้นคำที่ท่านบอกว่าได้ อาตมาคิดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว สภาพจิตรู้รอบขนาดนั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิด แยกแยะออกอย่างละเอียดยิบภายในพริบตาเดียวว่า ถ้าเราคิดอย่างไรจะเป็นรัก คิดอย่างไรจะเป็นโลภ คิดอย่างไรจะเป็นโกรธ คิดอย่างไรจะเป็นหลง เห็นโทษตลอดทั้งหมดเลย

ในเมื่อรู้ ก็เลยไม่ทำ จึงทำให้เห็นว่าถ้าเราดับเหตุได้ ทุกอย่างก็ดับหมด แล้วก็เลยเข้าใจว่าจริง ๆ พระอรหันต์นั้นท่านก็มีกิเลสเหมือนกับเราเต็มเพียบเลย เพียงแต่ว่าท่านไม่สร้างเหตุ กิเลสจึงกำเริบไม่ได้ แล้วบุคคลที่สติสัมปชัญญะสมบูรณ์พร้อมถึงขนาดไม่สร้างเหตุอะไรเลย ต้องระดับนั้นเท่านั้น ระดับอื่นเดี๋ยวก็เผลอ พอครบ ๓ เดือนอาตมาก็เป็นหมาเหมือนเดิม ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นได้ ท่านให้ได้จริง ๆ..!"

เถรี
18-09-2013, 12:20
ถาม : จริง ๆ ไม่ต้องอยู่ในเพศพระก็ได้นี่คะ ?
ตอบ : เป้าหมายนั้นไม่ใช่เป้าหมายของฆราวาสแล้ว มาตอนที่หลังจากรับกฐินแล้วลากลับบ้าน สิ่งที่พี่น้องญาติโยมเขาปฏิบัติกับอาตมา รู้สึกว่าไม่ใช่เราคนเดิม ก็เลยเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า "นี่ไม่ใช่บ้านของเรา อยู่ไม่ได้แล้ว..!" รู้สึกร้อนไปหมด อยู่บ้านได้สิบกว่านาทีเท่านั้น ก็ขอตัวหนีไปนอนกับหลวงปู่มหาอำพันที่วัดเทพศิรินทร์ฯ แทน ตั้งแต่นั้นมาความคิดจะกลับบ้านไม่มีอีกเลย บอกตัวเองเลยว่า "นี่ไม่ใช่บ้านของเราแล้ว" ในเมื่อไม่ใช่บ้านของเราแล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปไหน ต้องลากถูลู่ถูกังบวชไปเรื่อย ๆ

พระใหม่ท่านสงสัยว่า นอกจากไปกิจนิมนต์หรือธุระแล้ว ไม่เคยกลับบ้านเลยหรือ ? อาตมาบอกว่า ไม่รู้ว่าจะกลับไปทำไม มีญาติโยมเขาขอร้องให้ไปร่วมงานตรุษจีน ไปได้ ๒ ครั้ง ครั้งที่ ๓ ก็ไม่ไปแล้ว เพราะเวลาไปเขาถวายเงินแต๊ะเอียกันมา คนนั้นให้ คนนี้ให้ เหมือนอย่างกับว่าเจตนาไปเอาเงิน คนอื่นเขาเต็มใจให้ก็จริง แต่ความรู้สึกของอาตมา ถ้าไปก็แฝงไว้ด้วยความโลภที่ว่า เจตนาไปเอาเงิน ฉะนั้น..ไม่ไปเสียก็หมดเรื่อง

ตั้งแต่นั้นมาเรื่องของญาติของโยม พิธีกรรม ถ้าไม่ใช่สำคัญจริง ๆ ประเภทพ่อตายแม่ตายนี่ไม่ต้องมาชวนไปบ้าน ไม่ไปหรอก บรรดาหลาน ๆ แต่งงานก็นิมนต์หลวงน้า นิมนต์หลวงตา ไม่ต้องนิมนต์หรอก..กูไม่ไป รู้สึกว่าไม่มีอะไรเป็นของเรา ไม่รู้จะไปทำไม คนไหนที่อาตมาไปทำธุระพอดี แล้วไปงานของเขาได้ เขาก็หน้าบานเป็นจานเชิง หารู้ไม่ว่าอาตมาไปทำธุระ ไม่ได้ตั้งใจมางานเขา แต่ไหน ๆ ผ่านเฉียดไปแล้ว ก็แวะสักหน่อย..แค่นั้นเอง

เถรี
18-09-2013, 14:02
ถาม : พระพักตร์ของพระองค์ ๑๐ ?
ตอบ : พระพักตร์ของพระองค์ที่ ๑๐ ท่านเหมือนกับหลวงพ่อพระพุทธลีลาที่พุทธมณฑล เหมือนอย่างนั้นเลย ลองไปดูให้ดี ๆ ไม่ว่าจะลักษณะของหน้าผาก จมูก ปาก มาอย่างนั้นเลย

ถาม : แล้วรูปบูชาท่านที่วัดท่าซุง ?
ตอบ : ไม่รู้..คนปั้นที่วัดท่าซุงคือช่างประเสริฐ ช่างเสริฐตอนแรกปั้นหน้าพระเป็นหน้าตัวเองตลอด ช่วงแรกที่ช่างประเสริฐปั้นพระคือที่ศาลาหลวงพ่อ ๔ องค์ ไปดูพระประธานองค์ใหญ่ในศาลาตรงหัวอาสน์สงฆ์ นั่นหน้าช่างเสริฐเองเลย จนกระทั่งหลวงพ่อท่านต้องบอกวิธีว่า ให้จุดธูปขอพระท่านสงเคราะห์ ขอให้มือปั้นไปได้ ถึงได้กลายเป็นแบบพระชำระหนี้สงฆ์แบบวัดท่าซุง ไม่อย่างนั้นแล้วช่างปั้นพระเกือบทุกคน จะเคยชินกับการปั้นแล้วเผลอออกมาเป็นใบหน้าตัวเอง จัดเป็น “ตัวกู ของกู” ที่ฝังอยู่ลึกมาก ลึกขนาดตัวเองก็ไม่รู้ว่าปั้นสวยเป็นที่พอใจก็คือสวยแบบหน้าของตัวเอง

เถรี
18-09-2013, 17:59
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องอดีตที่ผ่านพ้นยังมีโครงเรื่องที่อยากเขียนอีกตั้งเยอะ ที่มอง ๆ ไว้ก็อย่างเรื่องลูกกรอก เรื่องปรอทสำเร็จ เพราะว่าไปเจอหลังจากออกจากวัดท่าซุงแล้ว โดยเฉพาะลูกกรอกให้หวยแม่นด้วย ออกตรงเป๊ะเลย ลูกกรอกตัวนั้นแปลกมาก อายุ ๒๐ กว่าปี ปกติเขาจะไม่อยู่นานขนาดนั้น แต่ว่ารายนี้เป็นหลานคุณพนม เป็นลูกของพี่สาวคุณพนม เขาบอกว่าพี่สาวเขาท้องแปลกมาก เดี๋ยวก็ท้องโต เดี๋ยวก็ท้องยุบ บางวันก็ต้องใส่ชุดคลุมท้องเบ้อเร่อ บางวันก็นุ่งกางเกงยีนส์ฟิต ๆ ไปเต้นรำได้เลย

ลักษณะของลูกกรอกจะเป็นอย่างนั้น ถ้าเขายังอยู่จะท้องโต แต่ถ้าเขาไปเที่ยวท้องจะยุบ พอคลอดออกมาตัวนิดเดียวเท่านิ้วก้อยเอง หรือบางทีก็ตั้งท้องเป็นปี อยู่ที่อารมณ์ว่าอยากจะออกมาเมื่อไร ปกติแล้วอายุไม่เท่าไร"

ถาม : ทำไมเขาถึงอยู่นานขนาดนั้น ?
ตอบ : เขาจะมีอายุจำกัด อาจจะเป็นเพราะว่าเจ้าของทำอะไรไม่เป็น ในเมื่อไม่ได้ใช้เขา งานไม่ได้ทำสักที งานไม่จบก็เลยไปไม่ได้

พอคุณพนมรู้จักลูกกรอก ช่วงระยะไล่ ๆ กันคนอื่นก็รู้เข้าเช่นกัน เพราะว่าแกไปร้านอาหารแล้วก็ทำเหมือนกับอยู่ที่บ้าน ก็คือสั่งอาหารเผื่อลูกกรอกชุดหนึ่ง เจ้าของร้านดันรู้ เดินมาถามว่า "เลี้ยงลูกกรอกใช่ไหม ?" คราวนี้ก็ตกใจว่าเขารู้ คุณพนมเขาเคยได้ยินมาว่า ถ้าเขารู้เดี๋ยวเขาเรียกไป เขาก็เลยรีบพาพี่สาวเขา เอาลูกกรอกใส่พานมาให้อาตมา บอกว่าให้ช่วยทำให้หน่อย พอจัดการเสร็จสรรพเรียบร้อยอาตมาบอกว่า “ไหน..ลองดูหน่อยซิ..เก่งจริงหรือเปล่า ? เอาหวยมา ๒ ตัว” ปรากฏว่าถูกจริง ๆ

ปกติไม่กี่ปีเขาก็ไปแล้ว นี่อยู่มา ๒๐ กว่าปีเพราะแม่ไม่ได้ใช้งานเลย มีอยู่อย่างเดียวก็คือเรียกกินข้าว

ถาม : ลูกกรอกคืออะไรคะ ?
ตอบ : จริง ๆ ลูกกรอกเป็นโอปปาติกะนั่นแหละ กึ่งผีกึ่งเทวดา ส่วนใหญ่มาสงเคราะห์พ่อแม่ญาติโยมของตัวเอง สมัยโบราณใครมีลูกกรอกก็สบาย "ลูกกรอก..วันนี้แม่จะไปค้าขาย ไปทางไหนขายได้ดี ช่วยพาไปทางนั้นด้วย" ถึงเวลาผลักเรือออกจากท่าพาไปเองเลย เรือหันหัวไปทางไหนก็แจวไปทางนั้นแหละ ข้าวของมีเท่าไรก็ขายเกลี้ยง

เถรี
18-09-2013, 18:26
ถาม : พระพุทธเจ้ามีพระเกตุโมลีแหลม ๆ จริง ๆ หรือครับ ?
ตอบ : ไม่มี...ช่างปั้นพระรุ่นหลังเขาใส่ไปแทนพระปัญญาของท่าน เวลาปั้นแล้วอยากจะแสดงออกซึ่งพระบริสุทธิคุณ กรุณาธิคุณ และปัญญาธิคุณของท่าน คราวนี้พยายามปั้นลักษณะของพระองค์ท่านออกมา สวยที่สุดเท่าที่ตัวเองนึกแล้ว แต่ไม่รู้จะเอาอะไรแทนปัญญาได้ เพราะปัญญาเป็นนามธรรม ท้ายสุดก็เอาตามพระบาลีที่ว่ามีพระเกตุมาลา ก็เลยสมมติปั้นขึ้นมาเป็นเปลว

เถรี
18-09-2013, 18:27
ถาม : ถ้าสมเด็จองค์ปฐมท่านคลุม หลวงพ่อท่านจะดำ แต่ถ้าสมเด็จองค์ปัจจุบันคลุมหลวงพ่อท่านจะขาว ?
ตอบ : ถ้าคนที่ถ่ายรูปไว้จะรู้ เพราะว่าแต่ละรูปสีสันหลวงพ่อท่านจะไม่เหมือนกัน

เถรี
18-09-2013, 18:44
ถาม : พระอาจารย์ลาพุทธภูมิมากี่ปีแล้วครับ ?
ตอบ : ลาตั้งแต่ก่อนบวช ลาก็เหมือนกับไม่ได้ลา ท่านบอกให้ทำงานไปก่อน เหมือนอย่างกับว่า "แน่จริงเอ็งก็ไปพระนิพพานได้ ไม่แน่จริงก็ต่อไปก็แล้วกัน"

เถรี
18-09-2013, 19:23
ถาม : การที่สัตว์บางชนิดสูญพันธุ์ไปแล้ว แสดงว่าเราไม่ต้องไปใช้กรรมเกิดเป็นสัตว์ชนิดนั้นแล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่การเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานมีอยู่ ๒ อย่างคือ ตั้งใจจะไปเกิดเป็นสัตว์ชนิดนั้น ซึ่งน้อยคนจะเป็น อีกอย่างหนึ่งเคยฆ่าสัตว์ชนิดนั้นมา แล้วต้องไปชดใช้กรรม ด้วยการไปเกิดเป็นสัตว์ชนิดนั้นให้คนอื่นเขาฆ่า ในเมื่อไม่มีแล้ว ฆ่าไม่ได้ก็ไม่ต้องเกิด ก็ต้องปิดโปรโมชั่นไปโดยปริยาย ส่วนญี่ปุ่นที่ฆ่าจนกระทั่งน้ำทั้งอ่าวแดงหมดไม่ต้องห่วง นั่นรอรอบต่อไป ถึงเวลาโลกฟื้นใหม่ มีใหม่ก็โดนแน่..!

เถรี
18-09-2013, 19:45
ถาม : หน แปลว่า เจ้าคณะหนกลางหรือครับ ?
ตอบ :หน เป็นคณะปกครองที่ใหญ่ที่สุด เป็นการปกครองในส่วนกลาง จะแบ่งออกเป็น ๕ หนด้วยกัน คือ หนกลาง หนเหนือ หนตะวันออก หนใต้ และคณะธรรมยุติ ในหนหนึ่งจะประกอบไปด้วย ๕ - ๖ ภาคแล้วแต่ว่าใหญ่หรือเล็ก แต่ละภาคจะมี ๒ - ๓ - ๔ จังหวัด แล้วแต่จังหวัดใหญ่เล็ก จากภาคลงไปก็จะเป็นจังหวัด เป็นอำเภอ เป็นตำบล เป็นวัด

ตั้งแต่ภาคลงไปเขาถือเป็นการปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค ถ้าหนกับมหาเถรสมาคมจะเป็นการปกครองส่วนกลาง ส่วนกลางจะคุมส่วนภูมิภาคอีกที หนเปรียบกับสมัยก่อนก็เป็นมณฑล มณฑลหนึ่งก็มีหลายจังหวัด อย่างสมัยก่อนก็มีมณฑลลาวเฉียง มณฑลลาวพวน ของมหานิกายมี ๔ หน ๑๘ ภาคด้วยกัน

เถรี
19-09-2013, 06:12
ถาม : พระอรหันต์จี้กง ?
ตอบ : จะว่าไปแล้วท่านจี้กงก็เหมือนกับหลวงพ่อขี้วัวของเรา ถึงเวลาท่านก็เอะอะเฮฮาไปเรื่อยเพราะต้องการปิดจริยาตัวเอง คนเห็นคิดว่าท่านบ้า ๆ บอ ๆ จะได้ไม่ไปยุ่งกับท่าน ไม่อย่างนั้นแล้วคนแห่ไปกวนตายเลย

คราวนี้เมื่อท่านต้องการปิดจริยาตัวเอง ท่านก็ทำอะไรเหมือนอย่างกับหลุด ๆ ไม่ค่อยจะถือศีลอะไรหนักหนา แบบสมัยก่อนหลวงปู่จ้อย วัดบางช้างเหนือ แบกไหน้ำตาลเมาซดไปเรื่อย เอาเข้าจริง ๆ เทออกมาเป็นน้ำชา ฉันน้ำชาเสร็จสรรพเรียบร้อยที่เหลือติดก้นถ้วยกลายเป็นน้ำตาลเมา เอากับท่านสิ แล้วพระแบบนั้นใครจะไปทำอะไรท่านได้

เถรี
19-09-2013, 06:14
ถาม : ช่วงเข้าพรรษาพระอาจารย์มารับสังฆทานที่นี่ได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้ามีเหตุจำเป็นไปได้ แต่ให้ไปได้ไม่เกิน ๗ วัน ภาษาบาลีเขาเรียกว่า สัตตาหะกรณียะ จะมีระบุไว้ว่า ถ้าพ่อป่วย แม่ป่วย ครูบาอาจารย์ป่วยไปเพื่อรักษาพยาบาลได้ สหธรรมิกที่อยู่ต่างวัดจะสึกไปเพื่อห้ามปรามได้ วัดพังไปหาทัพสัมภาระมาซ่อมวัดไปได้ ได้รับกิจนิมนต์ไปเจริญศรัทธาไปได้ ของอาตมาอยู่ในข้อนี้

จะว่าไปแล้วเรื่องการจำพรรษาเริ่มจากศาสนาเชนเขาก่อน ศาสนาเชนที่มีนักบวชแก้ผ้าเกิดก่อนศาสนาพุทธ เขาถือว่าถ้ายังมีเสื้อผ้าอยู่แสดงว่ายังมีกิเลส แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าปัจจุบันนี้ไปดูให้ไปดูที่เมืองฤๅษีเกศ เขายังมีนักบวชศาสนานี้อยู่มาก แต่ละคนจะได้รับการฝึกมาอย่างอุกฤษฏ์เลย ต้องบอกว่าถ้าออกมาต้องไม่ทำให้ขายหน้าครูบาอาจารย์ของเขา

ไปนึกถึงในทักขิณาวิภังคสูตร ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า ให้ทานแก่นักบวชนอกพุทธศาสนาที่ระงับกามราคะได้ มีผลเป็นแสนเท่า นั่นก็คือนักบวชพวกนี้ เขาเป็นนักบวชแก้ผ้าก็จริง แต่เขาทรงฌานระงับกามราคะได้เป็นปกติเลย เขาจะไม่หวั่นไหว ไม่ตื่นเต้นอะไรกับใคร เดินไปตามปกติของเขา คนอื่นจะเห็นเป็นของแปลกหรือไม่แปลก จะเคารพไม่เคารพไม่รู้ เขาก็เฉย ๆ อาตมาก็ว่า เออ..ให้ทานกับคนที่มีศีลสมบูรณ์มีอานิสงส์มากกว่าให้ทานกับคนที่มีศีลแล้วศีลบกพร่อง ๑๐๐ เท่า

แต่ปรากฏว่าให้ทานกับนักบวชนอกศาสนาที่ระงับกามราคะได้มีผลเป็นแสนเท่า เรื่องอภิญญาสมาบัติของเขาเป็นเรื่องปกติเลย เคยมีคลิปวีดีโออันหนึ่งที่เขาถ่ายสถานที่ แล้วไปติดโยคีกำลังเหาะพอดีเลย เขาอุตส่าห์หลบไปหลังเสาแล้ว คนถ่ายคลิปดันถ่ายติดพอดี อาตมาเองก็ยังเสียว ๆ อยู่ เป็นโรคหวาดระแวงไม่รู้เมื่อไรจะโดนออกคลิปบ้าง

เถรี
19-09-2013, 12:20
ถาม : นักบวชเชนเขาทำอรูปฌานได้ไหมครับ ?
ตอบ : เขาทำได้เป็นปกติ อรูปฌานสำหรับเขาก็เป็นหลักสูตรท้าย ๆ ประเภทเตรียมจบปริญญาแล้ว

ถาม : การที่เรามั่นใจว่าทำได้ เป็นเพราะมีของเก่า ?
ตอบ : ความที่มีของเก่าอยู่ ทำให้เกิดความมั่นใจ แต่อย่าเชื่อเฉย ๆ ต้องไปทบทวนด้วย เชื่อเฉย ๆ ไม่ยอมทวนของเก่าก็ไม่ได้สักที เชื่ออย่างเดียวไม่ได้ ต้องซักซ้อมไว้ด้วย พอซักซ้อมเคยชินแล้วของเก่าก็คืนมาเอง เหมือนอย่างกับมีเงินอยู่ในเซฟอยู่แล้ว จำรหัสได้ก็เปิดเอาเงินมาใช้ได้

เถรี
19-09-2013, 20:02
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมามีโครงการทำหนังสือสวดมนต์เป็นบาลีโรมัน แต่ยังไม่มีเวลาตรวจทานต้นฉบับ แล้วก็จะแปลพระธรรมเทศนาเป็นภาษาอังกฤษ แต่ก็ไม่มีเวลาทำ งานบางอย่างนอกจากมีเวลาแล้ว ยังต้องมีทีมงานด้วย

ข้อธรรมบางอย่างแค่แปลเป็นภาษาอังกฤษอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเข้าใจว่าความหมายของธรรมะนั้นเป็นอย่างไร แล้วก็แปลให้ใกล้เคียงที่สุด แปลตรง ๆ เป็นสากกะเบือไม่ได้หรอก...ไม่ได้ความ ภาษาอังกฤษอธิบายธรรมะยากมาก เคยลองดูแล้ว แค่คำว่า “ทุกข์” คำเดียวเหนื่อยลิ้นห้อยเลย ไปบอกว่า Suffering เขาไม่เข้าใจหรอก จะถือว่าเป็นความลำบากเฉย ๆ ก็ได้ แบบเดียวกับเรื่องกรรม อธิบายยากมาก จะบอกว่าเป็นการกระทำ แล้วทำไมยังมีกรรมดี ยังมีกรรมชั่ว ท้ายสุดอธิบายกันเป็นชั่วโมงได้แค่คำเดียว"

ถาม : น่าจะใช้ทับศัพท์ไปก่อนนะคะ
ตอบ : พอเราทับศัพท์ ด้วยความที่เขาไม่ใช่พุทธศาสนิกชนก็ไม่ชิน เขาจะไม่เข้าใจ จริง ๆ แล้วควรจะเป็นตำราภาษาอังกฤษ แต่ทับศัพท์แล้วมีวงเล็บคำอธิบาย ไปนึกถึงพวกชาวต่างชาติที่ศึกษาพุทธศาสนาในยุคแรก ๆ เขาต้องไปอยู่ในประเทศอินเดียหรือลังกา เรียนอักขรานุกรมจนหมดแล้วก็เขียนกลับมาเป็นภาษาของตัวเอง ต้องใช้ความพยายามกันทั้งชีวิตเลย กว่าจะเรียนภาษาถึงขนาดใช้เขียนข้อธรรมได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ทีมงานปัจจุบันนั้นมีอยู่ แต่การเข้าถึงธรรมของทีมงานยังไม่พร้อม

เถรี
19-09-2013, 20:08
ถาม : แม่ของบ้านนี้เขาไปดูดวงมาว่า ที่บ้านมีใครมาสิงอยู่ในศาลพระภูมิ จะทำอย่างไรดีคะ ? เหมือนกับว่าเมื่อก่อนเขาเคยรุ่งเรือง ตอนนี้ตกจนไม่เหลืออะไรค่ะ ?
ตอบ : ถ้าไปดูดวงอย่างนั้นก็จะเจอแบบนี้ไปเรื่อย ๆ อนาถบิณฑิกเศรษฐีกินข้าวมธุปายาสทุกมื้อ ตอนหลังต้องไปกินข้าวต้มผสมน้ำผักดอง วาระของคนเรามี พอถึงเวลากรรมไม่ดีเข้าเราก็โดน แต่ถ้าเวลามั่นคงกับความดีไว้เดี๋ยวก็กลับคืนมาดีตามเดิม เพราะว่าเราไม่ได้สร้างกรรมอย่างเดียว บุญเราก็ทำ พอถึงเวลาวาระกรรมผ่าน วาระบุญให้ผลก็ดีเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าตอนนี้วิ่งไปพึ่งเขา ก็เปะปะโทษฟ้าโทษดินไปเรื่อยเปื่อย บางทีของดี ๆ อยู่ในบ้านแท้ ๆ เขาว่าไม่ดีก็เอาออกไป อย่าดันทะลึ่งไปหาหมอดูอีก..!

เถรี
19-09-2013, 20:11
ถาม : ผู้หญิงที่บวชเป็นพระ ทำไมถึงถือศีลมากกว่าพระผู้ชายครับ ?
ตอบ : ศีลพระส่วนใหญ่ตั้งขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้ชาวบ้านนินทาพระ คราวนี้ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง ผู้หญิงจะโดนนินทามากกว่า ก็เลยต้องมีศีลเยอะกว่า ศีลของผู้ชาย ๒๒๗ ข้อก็พอป้องกันได้ ศีลของผู้หญิงต้องมีถึง ๓๑๑ ข้อ จริง ๆ ก็คือกันชาวบ้านตกนรก เพราะเขาชอบนินทาพระกัน

เถรี
19-09-2013, 20:17
ถาม : การบริจาคร่างกายทีละส่วน ค่อย ๆ ทำไปทุกปี ?
ตอบ : คุณต้องคิดว่าความตายอาจจะมาถึงเราได้ทุกขณะ เราบริจาคครั้งนี้อาจจะอยู่ไม่ถึงครั้งหน้า เพราะฉะนั้น..ให้ไปทีเดียวทั้งตัวเลย

เถรี
19-09-2013, 20:33
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทุกศาสนาจะกล่าวถึงเรื่องของเทพกับมาร ก็แปลว่าบุคคลแรกเริ่มจะมีความรู้เหมือน ๆ กัน แต่พอถ่ายทอดไปนาน ๆก็อาจจะมีผิดเพี้ยนไปบ้าง อย่างของศาสนาคริสต์ก็จะมีเทวดากับซาตาน ของศาสนาอิสลาม ก็มีพระเจ้ากับไซตอน ของไทยเราก็พระพุทธเจ้ากับพญามารมาผจญ ของทางด้านมหายานไม่ต้องพูดถึงเลย เราไม่ลงนรกใครจะลงนรก มหายานเขามาแบบพระโพธิสัตว์"

ถาม : ปลายพระศาสนาเรื่องเหล่านี้จะไม่เป็นที่ยอมรับ ?
ตอบ : การยอมรับหรือไม่ยอมรับอยู่ที่ตัวบุคคล ส่วนการมีอยู่ คงอยู่ เป็นไป เป็นเรื่องของความจริง เราไม่ยอมรับความจริง ก็ไม่ได้แปลว่าความจริงไม่ได้อยู่ตรงนั้น

เถรี
20-09-2013, 08:05
ถาม : ผมกับเพื่อน ๆ รวมเงินกันเป็นกองกลาง เพื่อนำไปทำบุญวัดต่าง ๆ ด้วยกัน จะถามว่าเพื่อน ๆ ทุกคนจะได้อานิสงส์เหมือนกันหรือเปล่า ?
ตอบ : อานิสงส์เหมือนกันแต่อาจจะได้ไม่เท่ากัน คำว่าอานิสงส์เหมือนกันคือ เขาทำบุญแบบไหนทุกคนก็ได้บุญแบบนั้น เหตุที่ได้ไม่เท่ากันคือ แต่ละคนบางทีอาจจะออกเงินมากน้อยไม่เท่ากัน

ถาม : มาจากเรื่องที่คนในกลุ่มบางคนไม่มีโอกาสทำบุญ แต่ผมผ่านวัดทุกวัน ได้หยอดตู้ทุกวัน เลยอยากให้เขาได้ทำบุญด้วย
ตอบ : ถ้าสถานะแค่นั้นเราจะได้บุญมากกว่าเขา เราไปได้ตัวบุญในเวยยาวัจมัย ที่ช่วยให้งานบุญของคนอื่นสำเร็จด้วย ขณะที่คนอื่นเขาอาจจะได้แค่ทานมัย คือได้ทำทาน ในลักษณะนั้นเราได้เพิ่มมาอีกอย่างหนึ่ง

ถาม : ถ้าเอามารวมกันแล้วแบ่งกันไปตามวัดต่าง ๆ ใกล้บ้าน ของแต่ละคนก็ได้ด้วยหรือครับ ?
ตอบ : แรกเริ่มได้เท่ากัน หลังจากนั้นก็ดูเหตุการณ์พิเศษ อย่างเช่น ถ้าเราเป็นคนนำบุญเขาให้สำเร็จ เราก็ได้เวยยาวัจมัยเพิ่มขึ้นมา หรือถ้าเราออกเงินมากกว่าเราก็ได้มากกว่าคนอื่นเขา แต่พื้นฐานได้เท่ากัน

ถาม : แล้วถ้าเงินหมดไปแล้วครึ่งหนึ่ง เราเอาเงินส่วนตัวเติมไป โดยที่ตั้งใจให้เป็นกองกลาง เพื่อนำไปทำบุญต่อ อย่างนี้เพื่อน ๆ ยังจะได้ด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เขาได้ส่วนของเขา บอกแล้วว่าพื้นฐานได้เท่ากัน แต่เราได้เพิ่มส่วนที่เติมมา

เถรี
20-09-2013, 08:55
พระอาจารย์กล่าวถึงผู้ที่ติดของหวานว่า "พวกเรากินของหวานมากไป ถ้าหยุดได้จะเป็นคุณแก่ตัว ทรมานแค่ ๓ วันแรกเท่านั้นแหละ เราต้องเข้มแข็งพอที่จะสู้ ไม่อย่างนั้นพอร่างกายเรียกร้องเราก็มืออ่อนตีนอ่อนยอมแพ้ อย่างนั้นก็แพ้ทั้งชาติแหละ..!"

เถรี
20-09-2013, 08:57
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเองสร้างเวรสร้างกรรมไว้เยอะ ถึงเวลาจึงไม่มีหมอที่มารักษาแล้วทำให้ไม่เจ็บ คราวนี้ญาติโยมหาหมอมา ถ้าไม่รักษาเขาก็บอกว่า “เห็นไหม ที่ไม่หายเพราะไม่ยอมรักษา” เพราะฉะนั้นใครมาก็ให้เขารักษาไป อาตมาก็ทนเจ็บเอา เอายาอะไรมาก็กิน กินให้หมด ให้รู้ ๆ ไปว่ารักษาได้หรือไม่ได้ โยมเขาจะได้ว่าอะไรไม่ได้"

เถรี
20-09-2013, 09:46
ถาม : นั่งสมาธิสักพักหนึ่ง พิจารณาผม ขน ฟัน หนังแล้ว ตัวโยกแต่ก็กำหนดรู้ว่าตัวโยกหนอ พอสักพักหนึ่งโยกมากขึ้น ก็หลุดแล้วออก ?
ตอบ : ปล่อยให้โยกเต็มที่ ตึงตังโครมครามไปเลย พอเต็มที่แล้วสมาธิจะทรงตัวแนบแน่น ก้าวพ้นตรงนั้นไป ไม่อย่างนั้นแล้วเราไปห้ามให้หยุด ถึงเวลาอารมณ์ใจทรงตัวระดับนั้นก็จะโยกอีก ปล่อยให้เป็นเต็มที่ทีเดียวแล้วจะเลิก

ถาม : โยกแล้วล้มเลยนะครับ
ตอบ : ถ้ามัวแต่กลัวล้มอยู่ก็อย่าไปปฏิบัติ การปฏิบัตินี่แม้แต่ตายเขาก็ยอม

ถาม : บางครั้งถ้านั่งสมาธิแล้วไม่สงบ เปลี่ยนไปสวดมนต์ให้จิตสงบขึ้นได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..ถ้าสภาพจิตไม่สงบ เราภาวนาอย่างไรก็ไม่ยอมลง มีวิธีไหนที่ทำให้สงบลงได้ให้ทำวิธีนั้น ไม่ได้จำกัดตายตัว

ถาม : ก็คือปล่อยให้ไปตามกิริยาอย่างนั้น ?
ตอบ : ปล่อยให้เต็มที่ไปเลย ถ้ามีคนรอบข้างบอกเขาด้วยว่า ถ้ามีเสียงตึงตังโครมครามไม่ต้องตกใจ เป็นอาการปกติ ถ้าเรารู้จักสังเกตจะเห็นว่า จริง ๆ แล้วจิตจะนิ่งสงบมาก เป็นแค่อาการของร่างกายที่ดิ้น

เถรี
20-09-2013, 12:55
ถาม : มีคดีความ แล้วเขาส่งคนมาจะทำร้าย ?
ตอบ : อย่าไปคิดว่าคาดว่า เรื่องของคดีความต้องเอาหลักฐานข้อเท็จจริงมาสู้กัน ไม่ใช่เราคิดว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

อายุจนป่านนี้แล้ว ถ้าเขาช่วยฆ่าให้ตายก็ขอบคุณเขาเถอะ อาตมาเองหาที่ตาย เสี่ยงทุกเรื่อง แต่ไม่ตายสักเรื่อง ยังเซ็งอยู่จนป่านนี้ ถ้ามีใครช่วยฆ่าให้ตายจะขอบคุณเป็นอย่างยิ่งเลย ถ้ามัวแต่กลัวนั่นกลัวนี่อยู่แล้วในชีวิตจะทำอะไรได้สักกี่อย่าง

เถรี
20-09-2013, 12:57
ถาม : หนูไม่เห็นว่าผีจะกลัวพระเลย ?
ตอบ : ผีที่เราเห็นว่ากลัวพระ คือผีชั้นต่ำทั่ว ๆ ไป ส่วนผีที่เราเห็นว่าไม่กลัวพระ ส่วนใหญ่ไม่ใช่ผีจริง ๆ ส่วนใหญ่เป็นเทวดาแกล้งเป็นผี ถ้าประเภทหลังนี่คาถากี่บทก็ไม่มีประโยชน์หรอก เขาท่องได้เยอะกว่าเราอีก

เถรี
20-09-2013, 12:58
พระอาจารย์กล่าวว่า "เพื่อน ๆ เขาสงสัยว่าอาตมาจดตามที่อาจารย์สอนตั้งแต่เช้ายันเย็นได้อย่างไร จะไปอธิบายว่าเป็นผลจากสมาธิพวกนั้นก็ไม่รู้เรื่องหรอก ก็เลยบอกว่า “กูไม่อยากสอบตก” อธิบายง่ายที่สุดแค่นั้นแหละพอ ของบางอย่างพูดไปก็ไร้ประโยชน์ อะไรที่ทำให้เขาเข้าใจง่าย ๆ ได้ก็เอาแค่นั้นแหละ"

เถรี
20-09-2013, 13:09
พระอาจารย์เล่าว่า "มีอยู่วันหนึ่งนั่งรถไปสอนหนังสือที่วัดใต้ ไปถึงแถวแยกชุกโดนประมาณ ๗ โมงกว่าเกือบ ๘ โมง เห็นโยมผู้ชายคนหนึ่ง ถือเครื่องช่วยเดินแบบคอก ค่อย ๆ เดินทีละก้าว ๆ ไม่มีลูกไม่มีหลานหรอก ไปคนเดียว เดินไปเรื่อย ๆ เขามีความพยายามดี ถ้าคนมุ่งมั่นขนาดนั้นทำอะไรก็สำเร็จ จะตั้งใจกายภาพบำบัดหรือซ้อมหัดเดิน ถ้าทำแบบนั้นทุกวันเดี๋ยวก็แข็งแรงพอเดินเองได้

ส่วนใหญ่คนเราพอป่วยแล้ว พอที่จะกายภาพบำบัดหรือว่าออกกำลังตัวเองได้ แต่ก็ไม่ได้ทำ กล้ามเนื้อเลยอ่อนแรงไปเรื่อย ๆ อย่างโยมคนนั้นดูแล้วยังชื่นใจว่า เขากำลังใจเข้มแข็งดี เดินก๊อก ๆ อยู่ข้างถนนคนเดียว ถึงเวลาก็ยกเครื่องช่วยเดินค้ำไปข้างหน้า แล้วก็ลากขาตามไป ค้ำอีกแล้วก็ลากขาตามไปอีก

ไปนึกถึงสมัยอาตมากายภาพบำบัดมือตัวเองอยู่ ๔ เดือนกว่าจึงจะกำมือได้ตามปกติ ตอนนั้นไปโดนหมากัดในฝ่ามือเดียว ๑๑ เขี้ยว ป่นเป็นแป้งเลย เหลือนิ้วโป้งกระดิกได้นิ้วเดียว ต้องค่อย ๆ กำจนกระทั่งสามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติ ใช้เวลา ๔ เดือน แรก ๆ เหมือนกับไฟช็อต พอกำแล้วแปลบปลาบไปหมด เพราะว่ากระทบพวกเส้นประสาทเส้นเอ็น หมากัดเขาก็ไม่ได้สนใจว่าจะโดนอะไรบ้าง งับแหลกหมด ๑๑ เขี้ยวในฝ่ามือเดียว"

ถาม : ทำไมถึงโดนกัด ?
ตอบ : จำเป็นต้องให้กัดเพราะเขากัดที่อื่นไม่เข้า ได้แค่นอกข้อมือกับนอกข้อเท้า ตอนนั้นไปทายาให้หมาเพราะเป็นขี้เรื้อน หมาตัวนี้ดุมาก กัดทุกคน กัดกระทั่งหลวงพ่อวัดท่าซุง เห็นเป็นขี้เรื้อน สงสารก็เลยผสมยาทาให้ แรก ๆ ก็ให้ทา แต่พอเริ่มร้อนดิ้นจะหนีอาตมาก็ล็อกมันไว้ เจ้านี่ถ้าใครล็อกเขาคิดว่าทำร้าย..ก็กัด อาตมาก็ทายาไป เอ็งมีปัญญากัดก็กัดไป ทาไปเรื่อย

คราวนี้วิชาของหลวงพ่อวัดท่าซุงมีจุดอ่อน คือข้อมือข้อเท้าลงมาจะกันไม่ได้ ครั้งนั้นเห็นชัดเลย เพราะแถวแขนที่โดนกัดก็เป็นแค่รอยขูดนูน ๆ แต่ในมือนี่ ๑๑ รูพรุนหมดเลย เพราะฉะนั้น..จำไว้ว่ามือกับเท้าอย่าแหย่เข้าไปหา ถ้าจะกัดต้องยื่นหัวเข้าไปให้หมากัดก่อน..! ก็ที่อื่นเหนียวแต่นอกข้อไม่เหนียวนี่..!

เถรี
20-09-2013, 13:10
:4672615:เก็บตกเดือนสิงหาคมปี ๕๖ หมดแล้วค่ะ:4672615:

ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน