เถรี
27-06-2013, 09:59
ขอให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตนเอง อย่าลืมตั้งกายให้ตรง กำหนดสติของเราให้อยู่เฉพาะหน้า เอาความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ตามที่เราถนัดมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นการปฏิบัติธรรมต้นเดือนวันที่สองของพวกเรา ในการปฏิบัติธรรมของพวกเรานั้น ส่วนที่สำคัญที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ชัดเจนเลยก็คือ ศีล สมาธิ และปัญญา เราจึงต้องทบทวนศีลทุกสิกขาบทของเราว่าบริสุทธิ์บริบูรณ์หรือไม่ ? ให้ดูว่าวันนี้มีศีลข้อใดของเราบกพร่องบ้าง ถ้าพบเห็นความบกพร่องก็แล้วให้ตั้งใจว่า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะมีศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์
หลังจากนั้นก็ดูลมหายใจเข้าออกของเราพร้อมกับคำภาวนา การภาวนานั้น..เราอย่าไปบังคับลมหายใจของตน ให้ปล่อยเป็นไปตามธรรมชาติ แค่เอาความรู้สึกแนบชิดติดกับลมหายใจเข้าไป แนบชิดติดกับลมหายใจออกมาเท่านั้น ยกเว้นบางท่านที่มีความเคยชินกับสมาธิแล้ว เมื่อเริ่มนึกถึงลมหายใจ สภาพจิตก็จะก้าวข้ามไปสู่ระดับสมาธิที่ตนเองเคยชิน จะทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าบังคับลมหายใจของตน
เมื่อดูลมหายใจของเรา จนกระทั่งสภาพจิตทรงตัวเต็มที่สูงสุดเท่าที่เราทำได้ สภาพจิตก็ไม่สามารถที่จะดำเนินต่อไปได้ จะค่อย ๆ คลายออกมาสู่อารมณ์ปกติโดยอัตโนมัติ ตรงจุดนี้เราต้องใช้ปัญญาในการพิจารณา พิจารณาให้เห็นร่างกายของเราว่ามีความไม่เที่ยงอย่างไร เป็นทุกข์อย่างไร ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราอย่างไร เพื่อให้จิตของเราเกิดการเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ถอนออกจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายนี้
สำหรับพวกเราทั้งหลายในยุคนี้ ต้องบอกว่าการที่จะถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายยากกว่าคนยุคก่อนมากเหลือเกิน เมื่อประมาณครึ่งเดือนที่ผ่านมา อาตมภาพฝันกลางวันว่าได้พบเพื่อนเก่า เห็นตนเองกำลังเดินทางอยู่ เพื่อนเก่ามานั่งอยู่ข้าง ๆ แสดงท่าทีเห็นอกเห็นใจ บอกว่า "สงสารท่านเหลือเกิน ในสิ่งที่ท่านพยายามจะสั่งสอนคนในปัจจุบันนี้ ไม่ง่ายเหมือนสมัยที่ท่านปฏิบัติอยู่กับหลวงพ่อของท่านหรอกนะ ในสมัยนั้นหลวงพ่อของท่านบอกว่า ถ้าเราอยู่ตัวคนเดียวมีแค่ขันธ์ ๕ ถ้าแต่งงานมีสามีหรือภรรยาก็มีขันธ์ ๑๐ ถ้าหากมีลูกคนที่ ๑ ก็เพิ่มเป็นขันธ์ ๑๕ มีคนที่ ๒ ก็เพิ่มเป็นขันธ์ ๒๐ แต่ในสมัยนี้ต่อให้พวกเขาอยู่ตัวคนเดียว ผมก็เพิ่มให้ไปไม่รู้กี่ขันธ์ต่อกี่ขันธ์แล้ว"
ก็เลยถามเพื่อนเก่าไปว่า "มีอะไรบ้างที่คุณเพิ่มมา ? พอบอกได้ไหม ?" เขาบอกว่า "บอกได้ บอกไปเขาก็ไม่สามารถที่จะตัดจะละได้" ก็ถามว่ามีอะไรบ้าง ? เขาบอกว่า มี website , มี e-mail , มี facebook , มี skype , มี instragram พวกนี้เป็นต้น username หนึ่งก็คือตัวตนหนึ่งของเรา ก็แปลว่าถ้าเรามีสิ่งทั้งหลายนี้ใช้งานอยู่อย่างหนึ่ง เราก็เพิ่มขันธ์มาอีก ๕ สองอย่างเราก็เพิ่มขันธ์มาเป็น ๑๐ เพราะเราไปยึดว่านั่นเป็นเราเป็นของเรา..!
ถ้าผู้อื่นมาโพสต์ข้อความที่ไม่ถูกต้องไม่ถูกใจ เราก็โกรธเขา ถ้าโพสต์ข้อความที่เห็นด้วยเราก็พลอยดีใจ ก็แปลว่ามีสภาพความยินดียินร้ายเช่นเดียวกับตัวตนของตนเอง การขึ้น status ครั้งหนึ่งก็ดี การโพสต์ข้อความครั้งหนึ่งก็ดี การกด like ครั้งหนี่งก็ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่แสดงออกถึงตัวตนของเราทั้งสิ้น ดังนั้น..เพื่อนเก่าถึงได้บอกว่า "ผมไม่ได้ห่วงไม่ได้กังวลเลยว่าท่านจะเอาคนหลุดพ้นไปได้ เพราะกว่าท่านจะงุ่มง่ามตามมาทัน ผมก็ครอบซ้ำไปอีกหลายชั้นแล้ว..!"
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นการปฏิบัติธรรมต้นเดือนวันที่สองของพวกเรา ในการปฏิบัติธรรมของพวกเรานั้น ส่วนที่สำคัญที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ชัดเจนเลยก็คือ ศีล สมาธิ และปัญญา เราจึงต้องทบทวนศีลทุกสิกขาบทของเราว่าบริสุทธิ์บริบูรณ์หรือไม่ ? ให้ดูว่าวันนี้มีศีลข้อใดของเราบกพร่องบ้าง ถ้าพบเห็นความบกพร่องก็แล้วให้ตั้งใจว่า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะมีศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์
หลังจากนั้นก็ดูลมหายใจเข้าออกของเราพร้อมกับคำภาวนา การภาวนานั้น..เราอย่าไปบังคับลมหายใจของตน ให้ปล่อยเป็นไปตามธรรมชาติ แค่เอาความรู้สึกแนบชิดติดกับลมหายใจเข้าไป แนบชิดติดกับลมหายใจออกมาเท่านั้น ยกเว้นบางท่านที่มีความเคยชินกับสมาธิแล้ว เมื่อเริ่มนึกถึงลมหายใจ สภาพจิตก็จะก้าวข้ามไปสู่ระดับสมาธิที่ตนเองเคยชิน จะทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าบังคับลมหายใจของตน
เมื่อดูลมหายใจของเรา จนกระทั่งสภาพจิตทรงตัวเต็มที่สูงสุดเท่าที่เราทำได้ สภาพจิตก็ไม่สามารถที่จะดำเนินต่อไปได้ จะค่อย ๆ คลายออกมาสู่อารมณ์ปกติโดยอัตโนมัติ ตรงจุดนี้เราต้องใช้ปัญญาในการพิจารณา พิจารณาให้เห็นร่างกายของเราว่ามีความไม่เที่ยงอย่างไร เป็นทุกข์อย่างไร ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราอย่างไร เพื่อให้จิตของเราเกิดการเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ถอนออกจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายนี้
สำหรับพวกเราทั้งหลายในยุคนี้ ต้องบอกว่าการที่จะถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายยากกว่าคนยุคก่อนมากเหลือเกิน เมื่อประมาณครึ่งเดือนที่ผ่านมา อาตมภาพฝันกลางวันว่าได้พบเพื่อนเก่า เห็นตนเองกำลังเดินทางอยู่ เพื่อนเก่ามานั่งอยู่ข้าง ๆ แสดงท่าทีเห็นอกเห็นใจ บอกว่า "สงสารท่านเหลือเกิน ในสิ่งที่ท่านพยายามจะสั่งสอนคนในปัจจุบันนี้ ไม่ง่ายเหมือนสมัยที่ท่านปฏิบัติอยู่กับหลวงพ่อของท่านหรอกนะ ในสมัยนั้นหลวงพ่อของท่านบอกว่า ถ้าเราอยู่ตัวคนเดียวมีแค่ขันธ์ ๕ ถ้าแต่งงานมีสามีหรือภรรยาก็มีขันธ์ ๑๐ ถ้าหากมีลูกคนที่ ๑ ก็เพิ่มเป็นขันธ์ ๑๕ มีคนที่ ๒ ก็เพิ่มเป็นขันธ์ ๒๐ แต่ในสมัยนี้ต่อให้พวกเขาอยู่ตัวคนเดียว ผมก็เพิ่มให้ไปไม่รู้กี่ขันธ์ต่อกี่ขันธ์แล้ว"
ก็เลยถามเพื่อนเก่าไปว่า "มีอะไรบ้างที่คุณเพิ่มมา ? พอบอกได้ไหม ?" เขาบอกว่า "บอกได้ บอกไปเขาก็ไม่สามารถที่จะตัดจะละได้" ก็ถามว่ามีอะไรบ้าง ? เขาบอกว่า มี website , มี e-mail , มี facebook , มี skype , มี instragram พวกนี้เป็นต้น username หนึ่งก็คือตัวตนหนึ่งของเรา ก็แปลว่าถ้าเรามีสิ่งทั้งหลายนี้ใช้งานอยู่อย่างหนึ่ง เราก็เพิ่มขันธ์มาอีก ๕ สองอย่างเราก็เพิ่มขันธ์มาเป็น ๑๐ เพราะเราไปยึดว่านั่นเป็นเราเป็นของเรา..!
ถ้าผู้อื่นมาโพสต์ข้อความที่ไม่ถูกต้องไม่ถูกใจ เราก็โกรธเขา ถ้าโพสต์ข้อความที่เห็นด้วยเราก็พลอยดีใจ ก็แปลว่ามีสภาพความยินดียินร้ายเช่นเดียวกับตัวตนของตนเอง การขึ้น status ครั้งหนึ่งก็ดี การโพสต์ข้อความครั้งหนึ่งก็ดี การกด like ครั้งหนี่งก็ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่แสดงออกถึงตัวตนของเราทั้งสิ้น ดังนั้น..เพื่อนเก่าถึงได้บอกว่า "ผมไม่ได้ห่วงไม่ได้กังวลเลยว่าท่านจะเอาคนหลุดพ้นไปได้ เพราะกว่าท่านจะงุ่มง่ามตามมาทัน ผมก็ครอบซ้ำไปอีกหลายชั้นแล้ว..!"