PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๖


เถรี
15-04-2013, 21:03
ถาม : กระผมอยากทราบว่าภพภูมิเบื้องข้าง ที่เรียกว่าหมื่นโลกธาตุคืออะไรครับ ? และจากที่เคยได้ยินว่าภพมนุษย์มีหลายทวีป มีทวีปใดบ้างครับ ? และแต่ละทวีปมีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ? บุพกรรมของการเกิดที่นั่นเป็นอย่างไร ? และทวีปของเราที่เรียกชมพูทวีปนั้น ดีกว่าทวีปอื่น ๆ อย่างไรครับ ?
ตอบ : ภพเบื้องข้างหมายถึงดวงดาวทั้งหมด พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีอยู่แสนโกฏิจักรวาล แต่ละจักรวาลประกอบด้วยดวงดาวใหญ่น้อยมากน้อยไม่เท่ากัน ท่านกล่าวไว้ว่าแต่ละดวงดาวที่มีมนุษย์อยู่นั้น เกิดจากกำลังความดีที่ทำไว้ไม่เท่ากัน บางดวงดาวก็ยังต้องลำบาก ก็คือยังทำมาหากินเป็นปกติ บางดวงดาวเทคโนโลยีสูง ต้องการอะไรแค่กดปุ่มก็ได้แล้ว บางดวงดาวก็มีความเป็นทิพย์กึ่งเทวดา ต้องการข้าวปลาอาหารแค่นึกก็เกิดขึ้นเอง

ส่วนทวีปเท่าที่ปรากฏ มีกล่าวถึงอุตรกุรุทวีป อมรโคยานทวีป ปุพพวิเทหทวีป เป็นต้น ส่วนชมพูทวีปดีกว่าที่อื่นตรงที่เป็นมงคลจักรวาล เป็นทวีปที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาตรัสรู้แห่งเดียวเท่านั้น ฉะนั้น..อย่างนี้จะเรียกว่าดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?

ถาม : แล้วบุพกรรมในการเกิดของแต่ละทวีป ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ก็เรื่องของทาน ศีล ภาวนาเหมือนกัน ความดีของเขายังไม่เพียงพอจะเป็นเทวดา แต่ก็ดีเกินกว่าจะมาอยู่ร่วมกับพวกเรา เพราะว่าบางแห่งบางดวงดาวกฎหมายของเขาคือศีล ๕ บางดวงดาวกฎหมายของเขาคือกรรมบถ ๑๐ เขาจึงดีเกินกว่าจะมาอยู่ร่วมกับเรา

การทำความดีความชั่วของเขาก็ไปนรกสวรรค์เหมือนกัน ถ้าเข้าถึงการหลุดพ้นก็ไปพระนิพพานได้เหมือนกัน แต่ยากมาก..เพราะบางที่มีความสุขจนบอกว่าทุกข์ก็มองไม่เห็น จะบอกว่าไม่เที่ยงอายุขัยของเขาก็หลายหมื่นปี เป็นต้น

เถรี
15-04-2013, 21:05
ถาม : เคยอ่านเจอว่ามีพระวินัยห้ามมิให้พระสงฆ์แสดงธรรรมแก่ผู้ที่มีกิริยาไม่เคารพในธรรม หรือแสดงธรรมไปพร้อมกับพระสงฆ์ หากพระสงฆ์ให้พรด้วยบทสรรเสริญหรือบทพุทธคุณต่าง ๆ แล้วเราสวดไปพร้อมกับพระ จะทำให้พระท่านเข้าข่ายผิดพระวินัยหรือไม่เจ้าคะ ?
ตอบ : ในเรื่องพระภิกษุแสดงธรรมพร้อมกันแล้วต้องอาบัตินั้น ไม่ได้แปลว่าสวดมนต์พร้อมกับชาวบ้าน แต่หมายถึงพระแย่งกันสอนชาวบ้าน ดังนั้น..การสนทนาธรรมกับญาติโยม ถ้าไม่ใช่เขาถามเฉพาะเจาะจงขึ้นมา ก็จะมีพระหนึ่งรูปที่คุยกับโยมอยู่ ถ้าถามเจาะจงขึ้นมา รูปที่กำลังสนทนาอยู่ต้องหยุด รอท่านอื่นตอบคำถามเสร็จแล้วจึงว่าต่อได้

ไม่ใช่ว่าสวดมนต์พร้อมกันแล้วโดนอาบัติ เพราะว่าการสวดมนต์ทำวัตรต้องสวดพร้อมกันอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นวัดท่าขนุนโดนอาบัติทุกวันเป็นแน่แท้

ถาม : ในฐานะที่เป็นโยมควรปฏิบัติตัวอย่างไร ?
ตอบ : อย่าไปสอนพระก็พอ..!

เถรี
15-04-2013, 21:06
ถาม : ถ้ามีคนถามหาเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนควรทำอย่างไรคะ ?
ก.ให้ไปถามพระอาจารย์เล็ก
ข.ตอบว่าไม่ทราบจ้ะ
ค.มองซ้ายมองขวาแล้วหาตัวช่วย
ง.ถูกทุกข้อ

ตอบ : ให้คนถามมาถามอาตมาใกล้ ๆ หน่อย จะได้คำตอบที่ชัดมากเลย..! เขาเรียกว่ากินอิ่มเกินไปจนไม่มีอะไรจะทำ

เถรี
18-04-2013, 08:52
ถาม : ถ้ามีชาวพุทธมาถวายสังฆทานในขณะที่พระทุกรูปในวัดกำลังทำพิธีบวชพระ ควรทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : รอจนกว่าพระจะบวชเสร็จ ถ้ารอไม่ไหวไปถวายที่วัดอื่นก่อน เพราะสังฆกรรมเป็นสิ่งที่พระทั้งวัดต้องมีความเห็นร่วมกันว่าตกลงหรือไม่ตกลง อย่างเช่นจะรับบุคคลนี้เข้าเป็นอุปสัมบัน
หรือไม่ ? เพราะฉะนั้น..พระไม่สามารถที่จะปลีกตัวมารับสังฆทานได้อยู่แล้ว แม้กระทั่งพระที่ป่วยก็ต้องมอบฉันทะให้กับเพื่อนพระไป เพื่อที่จะบอกว่าถ้าเพื่อนพระมีความเห็นอย่างไรเราก็มีความเห็นตามนั้น

ถาม : ในพระวินัยมีไหมครับที่พระทำสังฆกรรมอยู่เกิดเหตุฉุกละหุก หยุดได้ ?
ตอบ : เขาจะระบุเอาไว้เฉพาะเรื่องการแสดงปาฏิโมกข์ แต่การแสดงปาฏิโมกข์ก็ไม่ใช่ว่าจะหยุด แต่ให้สวดย่อได้ เขาเรียกว่า ชักสุตบท อย่างเช่น น้ำท่วม ไฟไหม้ อาคารที่กำลังทำสังฆกรรมพังลงมา สัตว์ร้ายเข้ามาในบริเวณนั้น เช่น เสือหรืองูเข้ามา พระราชาเสด็จต้องวางมือเข้าไปต้อนรับ หรือภิกษุเกิดผีเข้าในบริเวณนั้นก็ต้องหยุดก่อนเพื่อที่จะไปช่วยพยาบาล

ถาม : ผมสงสัยครับ ภิกษุสวดปาฏิโมกข์อยู่ในโบสถ์ผียังเข้าหรือครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เป็นผีระดับด็อกเตอร์ ยิ่งกว่าโบสถ์เขาก็เข้าได้

เถรี
18-04-2013, 09:03
ถาม : บุพการีกับกตัญญูกตเวที ทำไมถึงจัดเป็นบุคคลหายากคะ ?
ตอบ : คนทั่วไปที่ทำประโยชน์โดยไม่หวังผลตอบแทน คิดว่ามีมากไหม ? ถ้ามีไม่มากก็หายาก บุคคลที่เขารู้ว่าเขาทำความดีกับเราแล้วพยายามหาทางตอบแทนเขาให้ได้ ก็ยิ่งหายากเข้าไปใหญ่
ดังนั้น..บุรพการีหรือบุพการี คือผู้ที่ตั้งใจทำคุณแก่เราโดยไม่หวังผลตอบแทน กับกตัญญูกตเวที คือบุคคลที่รู้คุณแล้วพยายามแทนคุณท่าน ทั้งสองอย่างจึงเป็นบุคคลที่หาได้ยาก

เถรี
18-04-2013, 09:20
ถาม : เนื่องจากผมไม่เข้าใจเรื่องการสวดมนต์ไปพร้อมกับการกำหนดลมหายใจและการนับลูกประคำ ไม่ทราบจะปรึกษาใคร ก็เลยนึกเอาเองว่า สวดไป ๑ จบก็เลื่อนนับลูกประคำไป ๑ ลูก
โดยกระผมหลับตาสวดไปเรื่อย ๆ ใจก็จดจ่อไปที่ลูกประคำ แต่ก็ไม่ได้ผลเรื่องลมหายใจ ปรากฏว่ามีดวงแก้วสว่างใส ๆ เกิดขึ้นในขณะที่สวด จึงดูดวงแก้วนั้นไปด้วยพร้อมกับสวดต่อไป พอสมาธิไม่นิ่ง ดวงแก้วนั้นก็หายไปครับ จึงขอกราบเรียนถามว่าการสวดมนต์ให้ตามลมหายใจเข้าออก หมายความว่าให้สวดตามปกติ แล้วให้กำหนดเรื่อย ๆ ว่าตอนนี้หายใจออกหายใจเข้า ถูกต้องไหมครับ ?
ตอบ : ถูก..จริง ๆ คือใช้คำสวดนั้นเป็นคำภาวนา

ถาม : การนับลูกประคำเพื่อทราบว่าเราสวดบทนั้น ๆ ไปกี่จบ แล้วถูกต้องหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถูกส่วนเดียว อีกอย่างหนึ่งเป็นการปฏิบัติในอิริยาบถและสัมปชัญญะในมหาสติปัฏฐานสูตร รับรู้อาการเคลื่อนไหวของตัวเราไปด้วย

ถาม : การนับนิ้วหรือครับ ?
ตอบ : การนับลูกประคำนั่นแหละ มือเราดึงลูกประคำมาอย่างไร ลูกประคำสัมผัสมือเราอย่างไร ให้กำหนดรู้โดยตลอด

เถรี
18-04-2013, 09:42
ถาม : พระรูปหล่อรัชกาลที่ ๕ ควรหันหน้าไปทางทิศใด และถ้าหันหน้าไปทางทิศตะวันตกมีผลอย่างไร ?
ตอบ : หันหน้าไปทางทิศที่เราไหว้สะดวก ส่วนจะไปหันหน้าไปทางทิศไหน ถ้าถือแบบตามหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านให้หันหน้าพระพุทธรูปไปทางเหนือหรือตะวันออก เราก็ยึดถือนั่นเป็นหลักก็แล้วกัน เพราะรัชกาลที่ ๕ ปัจจุบันก็ถือว่าท่านเป็นพระเหมือนกัน

ถาม : แล้วถ้าไม่สามารถหันหน้าไปทางทิศเหนือหรือตะวันออกได้จริง ๆ ?
ตอบ : ลองบูชาไปสักระยะ เดี๋ยวก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น..!

เถรี
18-04-2013, 09:50
ถาม : บวชชีโดยที่พ่อแม่ไม่อยากให้บวช บาปหรือไม่ ?
ตอบ : การบวชชีถือว่าทำความดี อย่างน้อยก็รักษาศีลแปด ถามว่าบาปไหม ? ความดีไม่มีชั่ว เพราะฉะนั้น..ก็ไม่บาป แต่การที่เราขัดใจบิดามารดาออกไปลักษณะนั้น ถ้าเกิดสึกขึ้นมาก็จะเข้าบ้านไม่ได้

ถาม : บวชพระนี่ต้องขอก่อนใช่ไหมครับ ?
ตอบ : บวชพระบวชเณรต้องขอก่อน ถ้าพ่อแม่ไม่อนุญาตก็บวชไม่ได้

ถาม : แต่ถ้าพ่อแม่ไม่เห็นด้วยหรือเป็นมิจฉาทิฐิ ?
ตอบ : ถ้าเป็นมิจฉาทิฐิ หาผู้อาวุโสสุดในบ้านที่เป็นสัมมาทิฐิแล้วขออนุญาตท่าน ถ้าคนในบ้านเป็นมิจฉาทิฐิทั้งหมด เราค่อยตัดสินใจด้วยตนเอง

เถรี
18-04-2013, 10:11
ถาม : ถ้าเรามีมวลสารไม่มาก แต่ต้องการขยายมวลสารนั้นเพิ่มให้เหมือนกับการขยายน้ำมนต์หรือน้ำมันชาตรีจะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..ปัจจุบันเขาก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้น เพราะบางวัดสร้างพระเป็นหมื่น ๆ องค์ เอามวลสารเยอะอย่างไรก็ไม่พออยู่แล้ว ส่วนใหญ่เขาก็ใช้หยิบมือหนึ่ง ผสมกับอย่างอื่น เป็นตัน

ถาม : ถ้ามวลสารเป็นผงหรือโลหะก็ใช้วิธีนี้เหมือนกัน ?
ตอบ : เหมือนกัน..ถ้าโลหะก็ผสมแล้วไปหลอม ถ้าเป็นผงก็ผสมลงไปกวน

เถรี
19-04-2013, 20:58
ถาม : แป้งเจิมที่เข้าพิธีรับยันต์เกราะเพชรมาแล้ว ถ้าแป้งเจิมนั้นแห้ง เวลาเติมน้ำมนต์เพื่อละลาย จำเป็นต้องเป็นน้ำมนต์ที่เข้าพิธีรับยันต์เกราะเพชรไหมครับ ?
ตอบ : น้ำมนต์อะไรก็ได้

ถาม : ถ้าน้ำมนต์หมด ใช้น้ำเปล่าได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าหมดท่าจริง ๆ เสกเองก็ได้ ให้ขอบารมีพระ ว่าอิติปิโสสักหนึ่งจบแล้วก็ผสมไปเลย

เถรี
19-04-2013, 21:01
ถาม : หลังจากหมดอานิสงส์กฐินแล้ว การรักษาผ้าครองจะเหมือนการรักษาผ้าครองภายในเวลาเข้าพรรษาหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เหมือนกันทุกประการ

ถาม : ต้องรักษาผ้าครองก่อนอรุณเหมือนเดิม ?
ตอบ : พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าสว่างแล้วจะเก็บงำผ้าครองให้มิดชิด ก็ต้องอยู่ในสถานที่ซึ่งคุ้มได้ด้วยดาล ก็คือมีประตูที่ใส่กุญแจได้ เวลายามค่ำคืนก็ต้องอยู่ใกล้ตัว ไม่เกินระยะเอื้อมถึง เพื่อป้องกันโดนขโมย

ถาม : สมัยก่อนหาผ้ายาก ?
ตอบ : ไม่ใช่แค่หายาก แต่แขกขโมยกันเป็นปกติ แม้กระทั่งทุกวันนี้ ลองไปขึ้นรถไฟแขกดู เผลอแวบเดียวของก็หายแล้ว ขนาดเขาเอาโซ่ผูกหมาล่ามกระเป๋าติดข้อมือยังเหลือแต่โซ่เลย..!

เถรี
19-04-2013, 21:17
ถาม : ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นผลของกรรมทั้งดีและร้ายในอดีต แล้วจะมีช่องว่างให้เราทำกรรมใหม่ในปัจจุบัน ที่เป็นการตัดสินใจของเราเองอย่างสมบูรณ์ ซึ่งไม่ใช่ผลของกรรมในอดีตบ้างไหมคะ ?
ตอบ : มีเต็มร้อย..แต่จังหวะนั้นมีน้อย ต้องรอจังหวะที่วาระบุญวาระกรรมขาดช่วงลงพอดี ซึ่งถ้าไม่ใช่บุคคลที่ฝึกในยถากัมมุตาญาณมาจนคล่องตัวจะไม่รู้ถึงจังหวะนี้

ถาม : ถ้าเกิดไม่ทราบในยถากัมมุตาญาณจะทำอย่างไรครับ หรือทำดีไว้ก่อน ?
ตอบ : ละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใส

ถาม : สาเหตุที่ถามเพราะคุณพ่อชอบบอกว่า ที่เป็นอย่างนั้นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์กำหนดไว้หมดแล้ว เราเป็นเหมือนตัวละครเล่นตามบทไป แม้กระทั่งความคิดที่จะทำดีหรือทำชั่ว ก็เพราะผลของกรรมเก่ากำหนดให้ทำอย่างนั้น ก็เลยอยากจะหาผู้มีความรู้มาอธิบายว่า กรรมเราเองเราน่าจะเป็นคนกำหนด แต่ไม่แน่ใจว่าเราเล่นตามบทที่กำหนด กรรมเขากำหนดไว้อย่างเดียว หรือเราในปัจจุบันมีโอกาสเขียนบทใหม่ ๆ ให้กับตัวเอง เพื่อกำหนดผลต่อไปบ้างไหม ?
ตอบ : เขียนบทเองได้เลย ไม่มีปัญหา ถ้าเขียนบทได้ยาวนานพอผลดีก็จะเกิดกับเราเอง แต่เท่าที่ฟังมาอย่าเอาคำตอบนี้ไปเถียงพ่อให้เสียเวลา ท่านไม่ฟังหรอก

ถาม : เราสามารถที่จะเลือกทำได้ ไม่ใช่กรรมกำหนดอย่างเดียว ?
ตอบ : ทำได้..อาตมาเองฝืนกรรมมาหลายยกแล้ว ถ้าไม่ฝืนป่านนี้ก็มีหลานแล้ว ไม่ใช่แค่มีลูกเฉย ๆ..!

เถรี
19-04-2013, 21:31
ถาม : ห้องของผมในปัจจุบันถูกกำหนดให้นอนหันศีรษะไปทางทิศตะวันตก จะมีวิธีแก้ไขการนอนให้เป็นมงคลทั้ง ๆ ที่ต้องหันศีรษะไปทางทิศตะวันตกได้อย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : อาตมานอนหันศีรษะทิศตะวันตกมาตลอด..!

ถาม : ไม่เป็นไรหรือครับ ?
ตอบ : ก็หิ้งพระหันหน้าตะวันออก แปลว่าหิ้งพระอยู่ตะวันตก ถ้าหันหัวไปตะวันออก ก็หันเท้าเข้าหาพระ..ใช่ไหม ? ฉะนั้น..ต้องถือพระเป็นใหญ่ หันตะวันตกไปเลย
ถ้าโบราณเขาจะหันทิศใต้ ก็คือไม่ขวางเส้นแรงแม่เหล็กโลก แสดงว่าโบราณเขามีความรู้อยู่ แต่ถ้ากำลังใจของเราทรงตัวแล้ว ทิศไหนก็หันไปเถอะ

ถาม : ทิศไหนไม่เกี่ยว ?
ตอบ : คนทั่วไปที่หากำลังใจไม่ได้ หรือกำลังใจไม่ได้เกาะความดีเป็นปกติก็จะมีผลบ้าง ถ้าคนที่กำลังใจทรงตัวแล้ว หันทิศไหนก็หันไปได้เลย

เถรี
19-04-2013, 21:37
ถาม : การหันหน้าพระพุทธรูปหรือการตั้งศาลพระภูมิ หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ควรใช้ทิศตามดวงอาทิตย์หรือตามเข็มทิศคะ ?
ตอบ : หันหน้าศาลไปทางไหนก็ได้ที่เราบูชาถนัด ขอให้ตัวศาลอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้าน ถ้าไม่ได้ให้ใช้ทิศเหนือ ถ้าไม่ได้ให้ใช้ทิศตะวันออก สามทิศนี้เท่านั้น ทิศอื่นห้าม

ถาม : บางปีหรือบางเดือนพระอาทิตย์จะเปลี่ยนมุม ควรจะใช้ทิศตามดวงอาทิตย์หรือตามเข็มทิศคะ ?
ตอบ : ถ้าสับสนในชีวิตมากนักก็ย้ายตามดวงอาทิตย์ไปเลย..!

เถรี
22-04-2013, 10:41
ถาม : ผู้ต้องการบรรลุธรรม จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องอ่านพระไตรปิฎกให้จบก่อนอย่างน้อย ๑ จบเพื่อให้รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรที่เป็นใบไม้ในกำมือ เพื่อการบรรลุธรรมไว้บ้าง หรือความรู้ในพระไตรปิฎกจะสามารถรู้เองได้โดยไม่ต้องอ่าน ถ้าเราปฏิบัติถึงขั้นแล้วครับ ?
ตอบ : ถ้าเราทำจริง ๆ แค่หัวข้อธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งก็พอแล้ว อ่านพระไตรปิฎกดีไม่ดีก็พาฟุ้งด้วย แต่ถ้าเรามีพื้นฐานเก่าที่เป็นอภิญญาหรือปฏิสัมภิทาญาณมา ถ้าปฏิบัติถึงที่สุดจะเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกโดยอัตโนมัติ คนก็สงสัยว่าจะทรงพระไตรปิฎกอย่างไรโดยไม่ได้เรียน อยากจะบอกว่าในความเป็นทิพย์ช่วงนั้น สามารถบอกทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่เราได้ และโดยเฉพาะพระไตรปิฎกทั้งหมด กล่าวไม่ได้พ้นไปจากขันธ์ ๕ นี้เลย ดังนั้น..ถ้ารู้ในเรื่องร่างกายนี้ทะลุปรุโปร่งเมื่อไร ก็เท่ากับทรงพระไตรปิฎกนั่นเอง

ถาม : ก็คือไม่จำเป็นต้องอ่านให้จบ แต่ปฏิบัติไปเถอะ ?
ตอบ : เอาหัวข้อธรรมใดธรรมหนึ่งที่เราชอบและตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติให้เกิดผลก็พอแล้ว

เถรี
22-04-2013, 10:43
ถาม : ตัวเลข ๘๔,๐๐๐ และ ๕๐๐ มีความพิเศษอย่างไรในสามโลกบ้างครับ นอกจากจำนวนพระธรรมขันธ์ในพระไตรปิฎก เพราะเห็นตัวเลขต่าง ๆ นี้มากมาย โดยเฉพาะคำว่าห้าร้อยชาติ บริวารต่าง ๆ ?
ตอบ : มีความพิเศษตรงที่ ๕๐๐ มีความสำคัญมากกว่า ๑ และ ๘๔,๐๐๐ มีความสำคัญมากกว่า ๕๐๐...!

ถาม : แล้วทำไมต้องโจร ๕๐๐ บริวาร ๕๐๐ ?
ตอบ : เหมือนสมัยนี้ที่ทำไมต้องเลข ๙ เพราะเขาถือมงคลอย่างนั้น ก็ต้องจัดไปตามนั้น

ถาม : ไม่ได้มีพิเศษไปกว่านี้ ?
ตอบ : มี..บางจังหวะก็ถูกหวยได้..!

เถรี
22-04-2013, 13:20
ถาม : พรุ่งนี้ผมจะเข้าวัดท่าซุงเตรียมตัวบวช ท่านมีคำแนะนำอะไรไหมครับ ?
ตอบ : เอาอย่างที่หลวงปู่มหาอำพันแนะนำวันที่อาตมาไปลาบวช บอกว่า ถ้าบวชน้อยเอาให้ได้พระโสดาบัน ถ้าบวชมากก็เอาพระนิพพานไปเลย

ถาม : ผมจะไปบวชพราหมณ์ก่อน ไม่รู้จะได้บวชพระเมื่อไรครับ ?
ตอบ : อย่างไรก็ได้ ไม่ว่าจะพระหรือว่าฆราวาสโอกาสเข้าพระนิพพานมีเหมือนกัน เป็นผู้ตั้งใจปฏิบัติเขาเรียกพระโยคาวจร คือผู้เดินอยู่บนเส้นทางของการพ้นทุกข์ แต่เป็นพระบวชใหม่นี่เขาเรียกสมมติสงฆ์ ยังไม่เรียกว่าพระหรอก โยมได้เปรียบกว่าตั้งเยอะ แต่ถ้าเป็นภาคเหนือเขาเรียกเณรว่าพระ เรียกพระว่าตุ๊ สับสนดีจังเลย

เถรี
22-04-2013, 13:25
เรื่องของการไปอยู่วัด ปฏิบัติที่วัด อย่าไปตั้งความหวังไว้สูงว่าทุกอย่างต้องดี เกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุที่ ๑ ก็คือ ไม่ว่าสถานที่จะดีแค่ไหน ครูบาอาจารย์ดีแค่ไหน แต่คนที่อยู่ในที่นั่นก็ยังเป็น “คน” ในเมื่อยังเป็น “คน” อยู่ โอกาสที่ “คน” กับ “คน” จะกระทบกระทั่งกันก็เป็นเรื่องปกติ ถ้าเราไปตั้งความหวังเอาไว้สูง คิดว่าทุกคนจะต้องดีกับเราหมดอย่างกับเป็นพระอรหันต์ ก็ฝันไปเถอะ..!

ประการที่ ๒ ก็คือ บุคคลที่ตั้งใจปฏิบัติจริง มักจะเจอการทดสอบหนัก ๆ แล้วการทดสอบก็มาในแง่ของรัก โลภ โกรธ หลง ดังนั้น..จะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม ต้องระมัดระวังตัวอยู่เสมอ ทำอย่างไรที่จะให้ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราสามารถเอามาพัฒนา กาย วาจา ใจ ของเราให้ดีกว่าปัจจุบันให้ได้ ถ้าทำอย่างนั้นได้ ก็แปลว่าเราจะมีแต่ความก้าวหน้าส่วนเดียว ถือคติง่าย ๆ แบบอาตมาตั้งแต่แรกคือ ใครวางก่อนก็สบายก่อน ใครไม่วางก็ช่างหัวมัน เชิญแบกไปเถอะ..!

ใหม่ ๆ ไปอยู่วัด อาตมายังเป็นวัยรุ่น ขนาดตอนบวชอายุ ๒๗ เจอบางคนก็ยังเรียกว่าเณรอยู่เลย ตอนนี้ ๕๔ ปี ค่อยดูเป็นพระขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ตอนนั้นหน้าตาไม่ให้ บุคลิกไม่ให้ แต่ดันเป็นคนไม่ค่อยชอบพูด เอาแต่ภาวนาอย่างเดียว คนอื่นเขาก็ยิ่งหมั่นไส้

เถรี
22-04-2013, 13:40
จำได้ว่าปฏิบัติทุ่มเทกับหลวงพ่อจริง ๆ ตอนอายุ ๑๖ ปี ก็คือปี ๒๕๑๘ มาเริ่มพูดกับมนุษย์มนาตอนอายุ ๒๕ ปี เวลา ๙ ปีเต็ม ๆ ที่ไม่ค่อยพูด เพราะมีความสุขอยู่กับการภาวนา คอยระมัดระวังรักษาอารมณ์ตัวเองไม่ให้เสีย ก็เลยกลายเป็นเหมือนหยิ่ง ไม่ยอมพูดกับใคร

แต่คราวนี้ช่วงก่อนหน้านั้นประมาณ ๑ ปี เริ่มเป็นครูสอนมโนมยิทธิ ครูเลิกสอนก็นั่งเงียบ ลูกศิษย์เขาสงสัยอะไรก็ไม่กล้าถาม แล้วไปถามคนอื่น คำตอบมาเข้าหูพอดี ฟังก็รู้ว่าไม่ใช่ ก็เลยมาคิดว่า เอ..แล้วเราจะทำอย่างไร ? เราจำเป็นต้องพูดแล้ว ถ้าไม่พูดเดี๋ยวพวกไม่รู้จริงจะพาลูกศิษย์เข้ารกเข้าพงหมด

เห็นพวกพี่ป้าน้าอาเขาจับกลุ่มคุยกันอยู่ ก็เลยไปนั่งร่วมวงกับเขาดื้อ ๆ “ขออนุญาตผมคุยด้วยได้ไหมครับ ?” เล่นเอาเขาแตกตื่นกันหมดทั้งวงเลย โดยเฉพาะป้าน้อย (กานดา) แกประเภทเป็นคนพูดอะไรไม่เกรงใจใครอยู่แล้ว “แหม...ไอ้หนู ป้าคิดว่าชีวิตนี้เอ็งจะไม่พูดกับใครแล้ว” ตั้งแต่นั้นมาก็ค่อย ๆ หัดพูด คำว่าหัดพูดก็คือ ต้องตั้งสติระมัดระวังไว้ว่า สิ่งที่เราพูดควรจะเป็นประโยชน์กับผู้อื่นเขา ไม่อย่างนั้นจะเป็นวาจาไร้ประโยชน์

ก็เลยเป็นอะไรที่ตลกมาก ใครที่เคยพบอาตมาตอนก่อนอายุ ๒๕ ปี เขาไม่เชื่อหรอกว่าปัจจุบันนี้จะมานั่งพูดได้ทั้งวัน สมัยนั้นเอาแต่นั่งอมลิ้นมากกว่า

เถรี
22-04-2013, 15:06
พระอาจารย์กล่าวว่า "สงกรานต์ แปลว่า ก้าวผ่าน ก้าวล่วง เป็นช่วงที่พระอาทิตย์ก้าวพ้นจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ สงกรานต์เป็นภาษาสันสกฤต พอมาถึงเมืองไทย ภาคกลางยังใช้สงกรานต์อยู่ แต่ภาคเหนือเรียกสังขาร ได้ยินว่าลาวก็เรียกสังขารเหมือนกัน เพราะฉะนั้น..บ้านเราประกวดนางสงกรานต์ บ้านอื่นเขาประกวดนางสังขาร บางทีภาษาข้ามกันไปข้ามกันมาตามวัฒนธรรม แล้วเราก็ไม่เข้าใจว่ามีต้นเหตุมาจากอะไร

อย่างขนมจีน ไม่ใช่ภาษาจีนด้วย แล้วก็ไม่ใช่ของจีนด้วย ขนมจีนมาจากภาษามอญ แม่บอกลูกว่า “คะนอมจีน (ขนมเสร็จแล้ว) มาเอาไปเลี้ยงเพื่อนคนไทย ” คะนอมจีนคือขนมเสร็จแล้ว คนไทยก็ดันไปจำว่าไอ้นี่เรียกว่าขนมจีน มอญเขาเรียกขนมว่าคะนอมมาตลอด เราไปเรียกตามเขา

พอกันกับคำว่า กลิ่นทะแม่ง ทะแม่งก็เป็นภาษามอญ แปลว่าปลาร้า เพราะฉะนั้นกลิ่นทะแม่งก็คือกลิ่นปลาร้า ภาษาข้ามไปข้ามมาจนงงไปหมด

อย่างพม่าเขาเรียกพี่ชายเขาเรียก โก เหมือนกัน ตกลงจีนเลียนแบบพม่า หรือพม่าไปเลียนแบบจีนกันแน่ ?"

เถรี
22-04-2013, 15:14
ถาม : ทำไมพระโพธิสัตว์จึงใช้คำว่าสัตว์ ?
ตอบ : พระโพธิสัตว์ทุกรูปก็คือผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า โพธิ-สัตตะ คือ สัตว์ผู้รู้ บางคนรับไม่ได้กับคำว่า สัตว์ เขาก็เลยเขียนตามแบบภาษาบาลีใช้ ต.เต่า ๒ ตัวซ้อนกัน แต่ถ้าอ่านในหนังสือเกี่ยวกับธรรมะเก่า ๆ จะเห็นเขาเรียกว่า มหาสัตว์ คือสัตว์ผู้ยิ่งใหญ่ อย่างนั้นจะชัด

ถาม : อย่างเป็นแค่บริวาร จะเป็นโพธิสัตว์หรือเปล่า ?
ตอบ : อย่างอาตมาก็เหมือนกัน จะเรียกว่าบำเพ็ญพุทธภูมิ ก็เป็นพุทธภูมิแบบตกกระไดพลอยโจน ก็คือตามหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมาเรื่อย ๆ ตามไปตามมาอีท่าไหนก็ไม่รู้ ตั้ง ๑๐ กว่าอสงไขยกัป ปกติบำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้า ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปก็เป็นได้ระดับหนึ่งแล้วใช่ไหม ? ๘ อสงไขยกับแสนมหากัปก็เป็นอีกระดับหนึ่ง ตามหลวงพ่อมาเสีย ๑๐ กว่าอสงไขยกัปเข้าไปแล้ว เขาเรียกว่าตกกระไดพลอยโจน ไม่มีอะไรหรอก

ถาม : ถ้าประสงค์จะลาพุทธภูมิก็ได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ประสงค์จะลาก็เชิญเลยจ้ะ ไม่มีใครเขาห้ามเราหรอก คือการลาพุทธภูมิ ถ้าเกิดว่าลากันอย่างเป็นรูปธรรมจริง ๆ เขาให้ใช้ดอกบัวขาว ๕ ดอก เทียนขาว ๕ เล่ม และธูป ๕ ดอก เอาไปบูชาพระหน้าหิ้งพระหรือพระประธานที่ไหนก็ได้

จุดธูปเทียนบูชาท่าน แล้วก็ถวายดอกบัวขาวทั้ง ๕ ดอก ตั้งใจว่า ที่ข้าพระพุทธเจ้าปรารถนาพระโพธิญาณมาในอดีตชาติใดภพใดก็ตาม บัดนี้ข้าพเจ้าขอละซึ่งความปรารถนาอันนั้น และขอปฏิบัติตามธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เพื่อเข้าสู่พระนิพพานในชาตินี้ อันนี้เขาเรียกว่าลากันอย่างเป็นรูปธรรมเลย

หรือถ้าท่านใดได้มโนมยิทธิหรือได้อภิญญา ก็ขึ้นไปลาพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานโดยตรงเลย ถ้าลาแล้วยังไม่มั่นใจ ก็มาทำพิธีแบบข้างล่างนี่อีกทีหนึ่ง บัวขาว ๕ เทียนขาว ๕ และธูป ๕ ธูปไม่ต้องขาวนะ ธูปธรรมดาก็ได้

เถรี
22-04-2013, 15:27
พระโพธิสัตว์เป็นผู้มุ่งขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสาร สิ่งที่ท่านทำเป็นการทำเพื่อคนอื่น ในเมื่อทำเพื่อคนอื่นโดยเฉพาะคนจำนวนมาก ก็เลยต้องศึกษาอะไรให้รู้มากที่สุด เพื่อที่จะได้สอนได้ทุกคน ในเมื่อเป็นดังนั้น ความรู้แต่ละขั้นกว่าจะได้ต้องย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก คนอื่นทำ ๑ - ๓ ครั้งอาจจะผ่านเลย ท่านต้องว่าเป็นร้อยเป็นพัน เป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง ฟัง ๆ ดูแล้วแปลก ๆ

พระโพธิสัตว์มักจะมีปัญญาฉลาดมาก แต่ตอนทำอะไรสักชิ้นหนึ่ง เหมือนกับทดลองแล้วทดลองอีก ทำวิจัยแล้ววิจัยอีก จนกระทั่งมั่นใจจริง ๆ ว่าไม่มีแง่มุมไหนลอดผ่านไปได้แล้ว ท่านถึงยอมวางมือ ก็เลยกลายเป็นช้ากว่าคนอื่น

เราเดินขึ้นบันไดมา บางทีไม่ได้นับหรอกว่าบันไดมีกี่ขั้น แต่พระโพธิสัตว์ท่านต้องรู้ว่าบันไดนั้นทำด้วยอะไร กว้างยาวเท่าไร ใช้วิธีไหนสร้างขึ้นมา ประกอบด้วยวัสดุอะไรบ้าง เพื่อที่ท่านจะได้ทำบันไดให้คนอื่นเขาเดิน ยากกว่ากันขนาดนั้น

การปรารถนาพระโพธิญาณไม่ใช่ของแปลก เพราะว่าพุทธประเพณีอย่างหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะต้องแสดงก็คือการเปิดโลก ให้สรรพสัตว์ทั้งหลายเบื้องบน ตั้งแต่พระนิพพาน เบื้องล่างยันอเวจี เห็นตลอดถึงกันหมด ทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นได้เห็นว่า นี่คือผู้ที่เลิศที่สุด ไม่มีใครยิ่งไปกว่า แล้วก็เลยเกิดความปรารถนาลึก ๆ ในใจว่า ถ้าเราเป็นอย่างนั้นได้ก็ดี

ตรงจุดนี้แหละที่เป็นจุดเริ่มต้นของการปรารถนาพระโพธิญาณของสรรพสัตว์ทุกรูปทุกนาม มดแดงแมงน้อยอะไรก็มีสิทธิ์ทั้งนั้น คราวนี้ก็บำเพ็ญบารมีไปเถอะ ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป นี่แค่หลักสูตรตอนสอบ ส่วนตอนเรียนนั่นต่างหาก ไม่ได้นับ บาลีเขาบอกว่า จิตติตัง สัตตะ สังเขยยัง นวะสัง เขยยะ วาจะกัง คิดว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้านี่ ๗ อสงไขย พูดว่าเราจะทำเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้านี่อีก ๙ อสงไขย แล้วตั้งตาตั้งตาทำเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป รวมแล้ว ๒๐ กับเศษ ๑ ไม่เห็นต้นไม่เห็นปลายเลย ถ้ากำลังใจไม่แน่วแน่จริง ๆ ก็ถอยกันหมด

เถรี
23-04-2013, 13:41
ถาม : ที่ท่านบอกว่าทำอานาปานสติมาก ๆ ทำแล้วบางทีก็สว่าง บางทีก็เป็นโพรง ?
ตอบ : จ้ะ..แล้วก็จะเย็นบอกไม่ถูก บางทีรู้สึกตัวเราเหมือนกับเป็นเปลือกบาง ๆ ชั้นเดียว แล้วเราก็นั่งไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาว ยิ้มได้คนเดียว นั่นใกล้บ้าแล้ว..!

ถาม : เหมือนกับรู้อยู่แค่ตรงนี้
ตอบ : รักษาความรู้สึกของเราให้อยู่ตรงนั้น อย่าให้หลุดไปไหนก็ใช้ได้แล้ว ไม่ว่าเราจะยืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม กิน คิด พูด ทำอะไรก็ตาม รักษาความรู้สึกตรงนั้นเอาไว้ให้ได้ก็พอ ถ้าเรารักษาเอาไว้ได้ จะสังเกตว่าจิตใจสงบมาก สิ่งที่มากระทบกระทั่งเรามีน้อย แต่ถ้าเราหลุดออกมาจากตรงนั้นเมื่อไรเป็นได้เรื่อง กิเลสมากันฟ้าถล่มดินทลาย เพราะฉะนั้น..ทำได้เมื่อไร ให้รักษาความรู้สึกตรงนั้นไว้ แบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่ง นึกถึงตรงนั้นไว้ตลอดเวลา ไม่ต้องมากหรอกแค่นิดเดียว ความรู้สึกหน่อยเดียว นอกนั้นเราจะทำอะไรก็ทำไป เหมือนกับเราเหลือบตามองตลอดเวลา แต่ไม่ใช่ เป็นความรู้สึกที่นึกถึงตรงนั้น

ถาม : เหมือนกับว่าอยากอยู่อย่างนั้น จะได้ไม่ทุกข์ ?
ตอบ : อยู่อย่างนั้นแหละ จิตที่อยู่กับปัจจุบัน ไม่ไปอดีต ไม่ไปอนาคต ไม่มีการปรุงแต่ง เราจะมีความทุกข์เฉพาะกายสังขารนี้เท่านั้น ก็คือร่างกายมีสภาวทุกข์อย่างไร มีนิพัทธทุกข์อย่างไร มีปกิณกทุกข์อย่างไรก็เรื่องของร่างกาย แต่สภาพจิตของเราเป็นสุขอยู่กับอารมณ์เฉพาะหน้าของเรา แล้วถ้าเรามีปัญญามากกว่านั้นนิดหนึ่ง ว่านี่แค่ก้าวแรกเท่านั้นเอง ยังไม่ทันจะขึ้นอนุบาล ๑ เลย เรายังมีความสุขอย่างนี้ แล้วบุคคลที่ท่านทรงฌานได้จริง ๆ กดกิเลสดับสนิทเลย ท่านจะสุขจะเย็นขนาดไหน ?

แล้วพระโสดาบันที่ท่านมั่นใจว่าตนเองพ้นอบายภูมิ จะมีความสุขขนาดไหน ? แล้วอย่างนั้นพระสกิทาคามี พระอนาคามีเป็นอย่างไร ? พระอรหันต์เป็นอย่างไร ? แล้วพระพุทธเจ้าที่ท่านเป็นสุดยอดพระอรหันต์จะมีความสุขแค่ไหน ? ถ้าเราคิดอย่างนี้ได้ เราจะเกิดความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระอริยเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจเลย

นั่นแหละคือก้าวแรกของความเป็นพระโสดาบัน คือเคารพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยความจริงใจ ไม่ล่วงล้ำก้ำเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ เป็นการเคารพในคุณความดีของท่านจริง ๆ ไม่ใช่เคารพตัวบุคคลหรือวัตถุ นั่นคือก้าวแรกของความเป็นพระโสดาบัน เพราะฉะนั้น..เราจะเห็นว่าถ้าทำถูกจริง ๆ แล้วง่ายมากเลย แต่ถ้าทำผิดก็คลำไปเถอะ พระโสดาบันนี่ไกลเหลือเกิน แต่ถ้าทำถูกนี่ใกล้นิดเดียว

ให้ไปประคับประคองรักษาตรงนี้เอาไว้ แล้วก็ระมัดระวังศีลทุกสิกขาบทของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เราไม่ทำให้ศีลขาด แล้วก็อย่าไปยุให้คนอื่นทำ เราไม่ยุให้คนอื่นทำ ถ้าเห็นคนอื่นทำแล้วก็อย่าไปยินดีด้วย ถ้าสามารถทำอย่างนี้ได้ คำว่าพระโสดาบันไม่ไปไหนหรอก อยู่ใกล้ ๆนี่เอง

เถรี
23-04-2013, 13:47
ถาม : ถ้ากล่าวปรามาสพระสงฆ์ที่ยังไม่ได้บรรลุ กับกล่าวปรามาสบุคคลที่เป็นอริยบุคคล ?
ตอบ : สาหัสพอกัน พระจะเป็นสมมติสงฆ์หรือพระอริยสงฆ์ก็ตาม เป็นบุคคลที่มีศีลมากกว่าเราตั้งกี่เท่า เอา ๕ ไปเทียบกับ ๒๒๗ ก็เหมือนกับเอาไม้จิ้มฟันไปงัดไม้ซุงชัด ๆ พูดง่าย ๆ ว่าหาเรื่องเดือดร้อนเอง

โบราณมีอยู่คำหนึ่งที่เหมาะสมที่สุด แต่คนมักจะคิดว่าเป็นการช่างหัวมัน ก็คือคำว่า "ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์" เพราะถ้าไปแตะผิดนี่โทษมหันต์ แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่เราทำจะเป็นคุณอนันต์ ในเมื่อเป็นดังนั้นท่านก็เลยชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ เราไม่ไปยุ่งด้วยหรอก คิดก็บาปกรรมแล้ว อย่าไปพูด อย่าไปทำให้บาปหนักขึ้นอีกเลย ยกเว้นว่าสิ่งที่เราเห็นนั้นเป็นความจริงแท้แน่นอน ว่าเป็นความเสื่อมทรามของตัวท่าน ว่าเป็นการทำลายพระศาสนา ถ้าจะว่ากล่าวก็ให้ใช้ตามหลักสาราณียธรรม ๖

หลักสาราณียธรรมพระพุทธเจ้าท่านกล่าวไว้ว่า จะคิดก็คิดต่อท่านด้วยเมตตา จะพูดก็พูดต่อท่านด้วยเมตตา จะทำก็ทำต่อท่านด้วยเมตตา ถ้าเราทำอย่างนี้ได้ โทษที่เกิดขึ้นก็จะไม่มี เพราะว่าจิตไม่ได้มุ่งร้าย ไม่ได้เกิดโทสะ ไม่ได้เกิดวิหิงสาวิตก แต่ถ้าเราทำใจอย่างนี้ไม่ได้ โทษจะเกิดแก่ตัวเองมาก พระจะเป็นพระสมมติสงฆ์ หรือพระอริยสงฆ์ก็ตาม เหมือนกับไฟฟ้าเป็นหมื่นเป็นแสนโวลต์ มีคุณอนันต์แต่ก็มีโทษมหันต์ แตะผิดเมื่อไรโดนช็อตเกรียมทันที..!

เถรี
23-04-2013, 13:52
ถาม : ถ้าเขาติฉินนินทาผู้ที่เป็นพระอรหันต์ ?
ตอบ : ปล่อยเขาเถอะ กว่าเขาจะรู้ก็ตอนตายแล้ว

ถาม : แต่ก็เป็นโทษ ?
ตอบ : เป็นจ้ะ...เพราะฉะนั้น..บุคคลที่เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ยังพอทน บุคคลที่เป็นพระอรหันต์เขาต้องปรับให้ตายภายใน ๗ วัน เพราะถ้าอยู่แล้วคนอื่นไปแตะเข้า เดี๋ยวเฮงไม่รู้ตัว

ถ้าอยู่ในเพศของความเป็นพระเป็นเณรจะอยู่ได้ เพราะว่าเป็นอุดมเพศ คือเพศอันสูง ที่คนให้ความเคารพอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นฆราวาสเพื่อนไม่รู้ มาถึงก็ตบหลังป้าบ “เป็นอย่างไรบ้าง..?!” กลายเป็นทำร้ายพระอริยเจ้าโดยไม่รู้ตัวแล้ว ซวยอย่าบอกใครเลย เรื่องพวกนี้จึงต้องระวังให้หนัก...

เถรี
23-04-2013, 13:58
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเป็นห่วงญาติโยมหลายคน พอรู้ความจริงว่าการทำบุญในพระพุทธศาสนามีอานิสงส์สูง ก็มักจะทิ้งขนบธรรมเนียมประเพณีเดิม ๆ ของตนมาแล้วก็มาทำบุญ ซึ่งบางทีผู้ใหญ่เขารับไม่ได้ อาตมาเองสมัยที่เป็นฆราวาสรู้ว่าเรื่องนี้ดีแค่ไหนก็ตาม ไม่ว่าจะตรุษจีน สารทจีน เช็งเม้งอะไรก็ไปกับเขา พอทำทางนั้นเสร็จแล้วค่อยมาแอบถวายสังฆทานของเรา แค่นี้ก็จบแล้ว ไม่ต้องไปขัดกับใคร"

เถรี
23-04-2013, 14:15
ถาม : ที่วัดท่าขนุนต้องอยู่นานเท่าไรถึงจะได้บวชคะ ?
ตอบ : แค่ท่องขานนาคได้ก็พอ ถ้าไปวันนั้นท่องขานนาคได้ก็ได้บวชแล้ว ที่วัดบวชง่าย แต่ถ้าพลาดเมื่อไรก็โดนไล่ออกเลย..!

ถาม : แล้วทำไมหลวงพ่อฤๅษีฯ ต้องตั้งกฎไว้ว่าอย่างน้อย ๓ เดือนถึงบวชได้ครับ ?
ตอบ : หลวงพ่อฤๅษีฯ ไม่ได้ตั้งกฎไว้ ๓ เดือน หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านตั้งกฎว่า บุคคลที่เข้ามาบวชวัดท่าซุงต้องฝึกมโนมยิทธิได้คล่องตัว เพื่อให้เขารู้เสียบ้างว่าทำดีแล้วจะได้อะไร ทำชั่วแล้วจะได้อะไร แล้วถ้าเขาอยากจะชั่วอีกก็เชิญ..! ท่านตั้งกฎไว้แค่นั้นแหละ ไม่มี ๓ เดือนหรอก ถ้ามี ๓ เดือนแสดงว่าเป็นกฎใหม่ที่เพิ่งตั้งขึ้นมา

อาตมาเองตอนนั้นเป็นคนที่เสียสละมากที่สุด คือไปอยู่วัดเสีย ๓๗ วัน แต่จะไปฝึกมโนมยิทธิกับแมวที่ไหน เพราะตัวเองเป็นครูฝึกอยู่ จะไปฝึกการขานนาคหรืออะไร ๒ วันก็ได้หมดแล้ว สรุปก็เลยอยู่วัดนั่งท่อง ๗ ตำนาน ๑๒ ตำนานไปเรื่อย ๓๐ กว่าวันท่องเสียเกลี้ยงไม่มีอะไรเหลือเลย บวชวันนั้นก็ออกงานสวดกับเขาได้เลย

ยังขำ ๆ ว่า ตอนนั้นหลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ท่านยังเป็นพระอนันต์เฉย ๆ ยังไม่ได้เป็นพระครูปลัดด้วย ไปถึงก็กราบท่าน “หลวงพี่ครับ ช่วยออกใบรับรองการบวชให้ผมหน่อยครับ ว่าผมผ่านการฝึกมโนมยิทธิแล้ว” หลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ท่านหัวเราะ “แกจะเอาไปทำซากอะไร ใคร ๆ ก็รู้ว่าแกเป็นครูฝึกมโนฯ” เพราะฉะนั้น..ท่านมีระเบียบไว้ แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่ารุ่นหลังการฝึกมโนมยิทธิมันอาจจะไม่ชัดเจน เนื่องจากว่าถ้าคนฝึกไม่เก่ง บางทีก็ไม่สามารถระบุได้ว่าลูกศิษย์ได้จริงหรือเปล่า ก็เลยใช้วิธีอยู่วัดนานหน่อยดีกว่า

นี่ยังดีนะ ถ้าพระป่าสายหลวงปู่มั่นที่ตั้งใจบวชตลอดชีวิตนี่ท่านให้อยู่วัดก่อน ๒ ปี เป็นตาผ้าขาว แต่ถือศีล ๒๒๗ ข้อ พูดง่าย ๆ ก็คือถ้าพลาดอะไรให้พลาดตอนนั้น เพราะพลาดตอนเป็นพระโทษจะหนัก คราวนี้ ๒ ปีผ่านไป ความเคยชินกับศีลมีแล้ว คุณถึงบวชได้

เถรี
24-04-2013, 09:07
ถาม : หลวงตาวัชรชัยอยู่ก่อนบวช ๒ ปีหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าเอาจริง ๆ หลวงตาวัชรชัย ๘ ปี อาตมาเองก็ ๒ ปี ก็คือ ระหว่างที่เราอยู่ปฏิบัติรับใช้หลวงพ่อนั่นแหละ คือการฝึกตัวตนของเราเอง อาตมาเองอยากจะอยู่นานกว่านั้น แต่หลวงพ่อท่านออกปากขอบวชให้ท่านเสียก่อน ก็เลยบวช ตามความคิดจริง ๆ คิดว่าถ้าทำตัวเป็นพระอริยเจ้าได้ บวชเข้าไปคนเขาจะได้ไหว้ได้เต็มที่ บวชแล้วไม่ต้องอายใคร แต่ปรากฏว่าทำเท่าไรไม่ได้สักที หลวงพ่อท่านคงรำคาญจึงลากไปบวชเสียก่อน

เถรี
24-04-2013, 09:12
ถาม : การฝึกมโนมยิทธิ เราต้องฝึกกับครูหรือเปล่าคะ ถึงจะไปได้ไกล ?
ตอบ : ใช้ความพยายามของตัวเอง อย่าไปตั้งความหวังกับครู อาตมาเองไปฝึกมโนมยิทธิครั้งแรกปี ๒๕๒๑ หลายคนยังไม่ได้เกิดกระมัง ? ปรากฏว่าครูฝึกตรงหน้าบอกอะไรอาตมาไม่รู้เรื่องเลย
“สว่างไหม?” “มืดครับ”
“เห็นอะไรไหม?” “ไม่เห็นครับ”
“เห็นภาพพระไหม?” “ไม่เห็นอะไรเลยครับ”

ตอนนั้นทั้งบ้านสายลมมีอยู่แค่ ๗ คนที่ไปฝึก ได้ยินเสียงครูฝึกข้างหลัง จำได้ว่าเป็นเสียงป้าชอ ป้าชอบอกว่า “เธอสามารถนึกถึงภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง ที่เธอรักเธอชอบได้ไหม?” โอ๊ย..สบาย อาตมาจับภาพพระเป็นกสิณมาตั้ง ๓ ปี ทำไมจะนึกไม่ออก รายละเอียดมีเท่าไรบอกได้หมดเลย เพราะฉะนั้น..สำคัญอยู่ตรงคำพูดของครูนิดเดียวเอง ถ้าครูใช้คำพูดผิด ลูกศิษย์อย่างอาตมาก็เจ๊ง

แบบเดียวกับอาตมาพาแม่ไปฝึกกรรมฐานที่วัดท่าซุง ให้ครูพรรณีเป็นคนดูแล ครูพรรณีเดินหัวเราะออกมาจากห้องฝึกกรรมฐาน “ท่านเล็กสอนแม่อย่างไร ? ถามแม่ว่าทุกข์หรือเปล่า แม่บอกว่าไม่ทุกข์” อาตมาได้ยินก็หัวเราะบ้าง “ครูกลับไปถามแม่ใหม่ ครูใช้คำพูดผิด ให้ถามแม่ว่าเกิดมาลำบากไหม แกอธิบายได้ ๓ วัน ๓ คืน เพราะแกเกิดมาลำบาก ไปบอกว่าทุกข์คนแก่ไม่รู้เรื่องหรอก” เห็นหรือยังว่าคำพูดสำคัญแค่ไหน ? ใช้คำพูดผิดนิดเดียวเท่านั้นเองพังเลย

เพราะฉะนั้น..ก็อย่างที่โยมว่านั่นแหละ บางทีไปเจอคู่ปรับที่ใช้คำพูดได้ถูกต้องพอดี เราก็ไปได้คล่องตัวเลย ถ้าไม่ได้ก็ต้องเพียรพยายามด้วยตัวเอง

เถรี
24-04-2013, 09:17
ถาม : เขาได้กันหมด แต่ทำไมเราไม่ได้ ?
ตอบ : สำหรับมโนมยิทธิ ปอกกล้วยเข้าปากยังยากกว่าตั้งเยอะ เรานึกถึงบ้านได้ไหมตอนนี้ ? เรานึกถึงบ้านแล้วรู้สึกไหมว่ารูปร่างหน้าตาบ้านเป็นอย่างไร ? นึกถึงพ่อเรา นึกถึงแม่เรา นึกถึงพี่น้องเรา นึกได้ทั้งหมดใช่ไหม ? มโนมยิทธิคือลักษณะอย่างนั้นแหละ ถามว่าใช่ตาเห็นไหม ? ไม่ใช่หรอก แล้วทำไมถึงชัดล่ะ ?

เขาถึงได้ใช้คำว่า “มโน” คือห้วงนึก หรือใจที่นึกถึง เพราะฉะนั้น..ใครนึกอย่างนี้ได้ ใช้มโนมยิทธิได้ทุกคน เพียงแต่ว่าเรามาเปลี่ยนนึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เรารักเราชอบมากที่สุด

ในขณะเดียวกัน ทำตัวเป็นเด็กว่าง่าย ๆ อย่าไปดื้อ พอเขาบอกยกจิตขึ้นไปกราบพระจุฬามณี เรานึกเดี๋ยวนั้นเลยว่าตรงหน้าเราตอนนี้คือพระจุฬามณี ยกจิตขึ้นไปกราบท่านปู่พระอินทร์ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ให้เรานึกเดี๋ยวนั้นเลยว่าตรงหน้าเราคือบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ยกจิตขึ้นไปกราบพระบนนิพพาน ให้เรานึกเดี๋ยวนั้นเลยว่าตรงหน้าเราคือพระบนนิพพาน แรก ๆ เห็นไม่เห็นก็ช่างมัน ไม่เกี่ยว ให้มั่นใจว่ามีอยู่ตรงนั้น ในเมื่อเรามั่นใจว่ามีอยู่ตรงนั้น

คราวนี้ครูฝึกถามรายละเอียด อย่างเช่นว่าบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ มีลักษณะเป็นอย่างไร เราบอกไปเลย รู้สึกอย่างไรให้บอกตามนั้น จะเหมือนกับก้อนหิน เหมือนอย่างกับแท่น เหมือนอะไรก็ว่าไปตามนั้น อยู่ที่เรา พระจุฬามณีหน้าตาเป็นอย่างไร เรารู้สึกอย่างไรบอกไปตามนั้น คราวนี้ถ้าถูกครูฝึกจะรับรองให้ พอรับรองให้ ความตื่นเต้นของเราจะค่อย ๆ ลดน้อยลง เออ...เราก็รู้ถูกเหมือนกันนี่

จิตจะค่อย ๆ นิ่งขึ้นเรื่อย พอจิตค่อย ๆ นิ่งขึ้นเรื่อย ความชัดเจนจะมีมากขึ้น บางทีอยู่ ๆ สว่างวาบขึ้นมา เห็นรายละเอียดหมดจนเราตกใจ ว่าชัดขนาดนี้เชียวหรือ ?

เถรี
24-04-2013, 09:43
แรก ๆ ไม่เห็นหรอก ซ้อมไปเรื่อย ๆ ให้มั่นใจว่าตรงหน้าเราคือสิ่งนั้นก่อน เพราะสภาพจิตของเราไม่มีอะไรขวางได้ ในเมื่อสภาพจิตของเราไม่มีอะไรขวางได้ เรานึกถึงอะไรก็จะไปอยู่ตรงนั้น ในเมื่อนึกถึงอะไรก็ไปอยู่ตรงนั้น เขาบอกเรายกจิตไปไหนเราก็นึกถึงที่นั่น บอกว่าไปบ้านเรานึกถึงบ้าน ไปวัดท่าซุงก็นึกถึงวัดท่าซุง ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เรานึกถึงดาวดึงส์

ครูฝึกถามรายละเอียด ต่อให้มีหลายคนแล้วเขาตอบไม่เหมือนเรา ไม่ต้องสนใจ ตอบแบบที่เรามั่นใจ เพราะว่าสวรรค์ชั้นหนึ่ง ถ้าเปรียบแบบโลกมนุษย์ก็เหมือนเอาเข่งใหญ่ ๆ ใบหนึ่งมา แล้วก็เอาถั่วเม็ดหนึ่งหย่อนลงไปในเข่ง นั่นสวรรค์ชั้นหนึ่งกับมนุษย์ทั้งโลกนะ เราลองนึกถึงกรุงเทพฯ สิ ถ้าหากบอกว่ามากรุงเทพฯ คนหนึ่งลงอนุสาวรีย์ชัยฯ อีกคนไปลงทางด้านซังฮี้ อีกคนไปบางนา แล้วจะเห็นเหมือนกันไหม ? นั่นกรุงเทพฯ หรือเปล่า ? แล้วสวรรค์ชั้นหนึ่งใหญ่กว่าตั้งเท่าไร ?

เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องไปสนใจว่าคนอื่นเป็นอย่างไร ตอบแต่ของเรา และอย่ากลัวผิด ถ้ากลัวผิดเมื่อไร เอ๊ะ...ไม่น่าจะเป็นอย่างนี้ เอ๊ะ...น่าจะเป็นอย่างนั้น เจ๊งทุกราย เราต้องมั่นใจเลย ความรู้สึกแรกว่าอย่างไรให้ตอบไปตามนั้น พอซ้อมบ่อย ๆ เข้า เดี๋ยวความคล่องตัวเกิดขึ้น ความชัดเจนก็จะมีเอง

เถรี
24-04-2013, 12:11
ถาม : เวลารู้ เหมือนกับรู้ข้างใน ?
ตอบ : เป็นความรู้ข้างใน ความรู้สึกที่วูบขึ้นมาแม้แต่เพียงไม่ถึงวินาที เราอธิบายได้เป็นหน้ากระดาษ เพราะรายละเอียดทุกอย่างจะมาพร้อมหมด ก็แค่นั้นเอง เหมือนกับเรียนหนังสือนั่นแหละ เรียนมาชั้นเดียวกันก็คุยกันรู้เรื่อง ถ้าเรียนมาคนละชั้นก็คุยกันไม่รู้เรื่องหรอก

ถาม : นอนกลางวัน นอนหลับแล้วหลุดออกไป ?
ตอบ : ก็ไม่มีอะไร ถ้านักปฏิบัติพื้นฐานเดิมเคยมีมาตามวิชชา ๓ หรืออภิญญา ๖ ปฏิบัติไปจนกำลังเพียงพอก็จะหลุดออกไปเป็นปกติ คราวนี้เราก็แค่ควบคุมว่าจะไปไหน ก็ให้ตั้งเป้าไว้เลย อย่างเช่นว่าเรานอนภาวนา ตั้งใจว่าถ้าเราหลุดออกไป เราจะไปกราบพระที่จุฬามณี ถ้าเราหลุดออกไป เราจะไปกราบพระที่พระนิพพาน แล้วเราก็ลืมเสีย ภาวนาของเราไป นั่นเป็นการจองตั๋ว ในเมื่อมีตั๋วแล้ว เดี๋ยวรถมาก็พาเราไปถึงที่เอง

ให้ตั้งใจไว้ว่าเราจะไปไหน หลังจากนั้นถ้าคล่องตัวมาก ๆ เดี๋ยวก็จะบังคับได้เอง แรก ๆ บังคับไม่ได้หรอก ออกได้ก็เปะปะไปเรื่อย พอไม่รู้จะไปไหนถึงเวลาก็กลับเอง

ถาม : เห็นเป็นดวงขาว ๆ ลอยออกไปไกล ?
ตอบ : จะเป็นอย่างไรก็ช่างมันเถอะจ้ะ จะไปไกลแค่ไหนก็แค่ตามดู เพราะว่าไม่มีอะไรที่เรารักเราห่วงกว่าร่างกายนี้แล้ว เผลอเมื่อไรเดี๋ยวก็กลับเอง เพราะฉะนั้น..ไปเลย ไปได้ไกลเท่าไรก็ไปเลย ไม่ต้องกลัวว่าไปแล้วกลับไม่ได้ วูบเดียวก็กลับแล้ว

เถรี
24-04-2013, 12:26
ถาม : การไปแบบมโนมยิทธิเหมือนจิตจะออกนอกหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : การส่งจิตออกนอกที่ส่งไปในลักษณะปรุงแต่งเรื่องอื่นทำให้เกิดทุกข์ แต่การส่งจิตออกนอกในลักษณะของมโนมยิทธิ เป็นการส่งไปโดยมีฌานสมาบัติคุมอยู่ ในเมื่อมีฌานสมาบัติคุมอยู่ สภาพจิตจะไม่ถูกปรุงแต่งไปในเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลง แต่โอกาสพลาดก็มีตรงที่ว่า สิ่งต่าง ๆ ที่เรารู้เราเห็น อาจจะเป็นการทดสอบกำลังใจของเรา ก็มีจุดเสียเหมือนกัน แต่อยู่ในลักษณะแลกกัน ลงทุนน้อยได้กำไรมาก

เพราะถ้าเราเห็นได้ชัดเจนว่าสภาพจิตที่ออกไป ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราเลย ถ้าเห็นชัดในจุดนี้จะเกิดความเบื่อหน่าย หมดอยากในร่างกายของตนเอง ในเมื่อหมดอยากในร่างกายของตนเองแล้ว เรื่องของคนอื่นก็ไม่สนใจไปด้วย ในเมื่อคนอื่นสัตว์อื่นไม่สนใจไปด้วย เราก็เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือไม่ต้องการการเกิดแล้ว ไปพระนิพพานดีกว่า

เป็นการลงทุนนิดเดียวแล้วได้ผลมหาศาล แต่คนจะใช้มโนมยิทธิขอยืนยันว่าต้องมีปัญญามาก ๆ ถ้าปัญญาไม่พอ สติไม่พอ โดนหลอกหัวทิ่มทุกราย มัวแต่ไปสนุกสนานเฮฮา เดี๋ยวก็โดนเขาหลอกกลายเป็นหมอดูไปเท่านั้นเอง อาตมาก็เป็นมาเองแล้ว

ถาม : แล้วอย่างหนูต้องทำอีกนานไหมคะ ?
ตอบ : ซ้อมไปเรื่อย ๆ เอาใจเกาะพระเกาะนิพพานไว้เป็นหลัก เรื่องอื่นมาก็ไม่ใส่ใจ พอถึงเวลาขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพาน ตายเมื่อไรก็ขออยู่กับพระองค์ท่านที่นี่ เอาแค่นั้นเป็นหลัก
วัน ๆ หนึ่งประคองกำลังใจของเราให้อยู่กับพระนิพพานให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จดจำไว้ว่าอารมณ์ที่ว่างจากรัก โลภ โกรธ หลงนั้นเป็นอย่างไร แล้วก็ประคับประคองรักษาเอาไว้ สภาพจิตที่ชินกับความบริสุทธิ์ไปนาน ๆ พวกกิเลสที่เป็นสิ่งสกปรกจะเกาะไม่ได้ เดี๋ยวก็หลุดพ้นไปเอง

มโนมยิทธิจริง ๆ ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านต้องการก็คือ เรารู้จักพระนิพพาน เราไปพระนิพพานได้ เราเข้าถึงอารมณ์พระนิพพานได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น ถึงเวลาเราก็รู้ว่าเราควรจะเลือกอะไรที่ดีที่สุดสำหรับเรา

เถรี
24-04-2013, 13:03
ถาม : เราเห็นพระพุทธเจ้า เราไม่มั่นใจว่าองค์จริงหรือองค์ปลอม ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ เรามั่นใจของเราก็ใช้ได้ จะเป็นองค์จริงองค์ปลอมก็ช่างเถอะ ขอให้มาก็เหมาว่าใช่ทั้งนั้น เพราะว่ากำลังใจของเรามุ่งตรงต่อพระพุทธเจ้า ต่อให้บุคคลนั้นที่มาไม่ใช่พระพุทธเจ้าก็เรื่องของเขา แต่เราว่าใช่

แบบเดียวกับพระอุปคุตกราบพญามาร หลังจากทรมานพญามารจนละพยศจนยอมรับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งแล้ว พระอุปคุตท่านเกิดหลังพุทธกาล ๓๐๐ กว่าปี ท่านบอกว่าท่านไม่เคยเห็นกายเนื้อของพระพุทธเจ้า เห็นแต่ธรรมกายหรือกายทิพย์เท่านั้น ก็คือกายพระวิสุทธิเทพ ก็เลยขอร้องพญามารที่ได้เห็นกายเนื้อ เพราะว่าผจญกันมาตั้งแต่แรก ว่าช่วยเนรมิตกายเนื้อของพระพุทธเจ้าให้ดูหน่อยได้ไหม ?

พญามารก็บอกว่าได้ แต่ขออย่างเดียวว่า ถ้าท่านเนรมิตกายเป็นพระพุทธเจ้าแล้วอย่าไหว้ท่าน เพราะโทษใหญ่จะเกิดแก่ท่าน พระอุปคุตก็รับปาก พญามารเดินหลบไปหลังภูเขา กลับออกมากลายเป็นพระพุทธเจ้าพร้อมกับฉัพพรรณรังสี มีอัครสาวกซ้ายขวา พร้อมกับพระสงฆ์บริวารเป็นหมื่นเป็นแสน

เห็นหรือยังว่าคน ๆ เดียวเนรมิตได้เยอะขนาดนั้น พระอุปคุตพร้อมด้วยหมู่สงฆ์ และพระเจ้าอโศกมหาราชกับบริวารทั้งหมดเห็นก็คุกเข่ากราบ พญามารตกใจคืนร่างเดิม “พระคุณเจ้าไหนรับปากแล้วว่าอย่ากราบ ทำไมถึงกราบ เกิดโทษใหญ่แก่ข้าพเจ้าแล้ว” พระอุปคุตบอกว่าไม่เกิดโทษหรอก เพราะใจของท่านมุ่งตรงต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้กราบพญามาร

ลักษณะของเราก็เหมือนกัน ท่านจะมาเป็นใครก็ช่าง เรานึกถึงพระเรากราบก็แล้วกัน พูดง่าย ๆว่าใครเขามาก็ช่าง ใจเรามุ่งตรงเป้าเดิม ในเมื่อใจของเรามุ่งตรงเป้าเดิม โอกาสพลาดมีน้อยมาก มัวแต่ระแวงอยู่ก็ไม่ได้อะไร ถึงบอกว่านักปฏิบัติต้องมีปัญญา ทำอย่างไรถึงจะเลือกในสิ่งที่ทำให้กาย วาจา ใจของเราเจริญขึ้นไปเรื่อย ๆ

เถรี
24-04-2013, 13:12
ถาม : กษัตริย์ไทยต้องไปเป็นพระสยามเทวาธิราชทุกพระองค์หรือคะ ?
ตอบ : ไม่เพียงเท่านั้น เชื้อพระวงศ์หรือบุคคลผู้ทำคุณประโยชน์ต่อประเทศไทยมาก ๆ ถึงเวลาก็ต้องไปเป็นพระสยามเทวาธิราชเช่นกัน เพราะฉะนั้น..พระสยามเทวาธิราชไม่ได้มีพระองค์เดียวนะ มีเป็นร้อย ๆ เลย แต่ใช้ชื่อว่าพระสยามเทวาธิราชเหมือนกัน เพราะว่าสมัยรัชกาลที่ ๔ ท่านสถาปนาขึ้นมา หล่อรูปขึ้นมาแทน

เถรี
24-04-2013, 13:19
ถาม : เป็นไปได้ไหมคะ ที่ดวงจิตอยู่ข้างบน แล้วตัวลงมาเกิดข้างล่าง ?
ตอบ : เป็นไปไม่ได้จ้ะ ในเรื่องของจิต ถ้าอยู่ที่ไหนก็คือที่นั่นเลย ยกเว้นอยู่อย่างเดียวว่า ถ้ามีภาระหน้าที่ก็ไปปฏิบัติหน้าที่นั้น ๆ แต่ถ้าในความเป็นทิพย์ ท่านสามารถแยกจิตทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกันได้ แต่ไม่ใช่แบ่งภาคไปเกิด ถ้าไปเกิดคือต้องไปทั้งหมด

เราเคยชินกับอวตารของฮินดูก็เลยไปคิดว่าแบ่งภาคไปเกิดแล้วตัวจริงยังอยู่...ไม่ใช่ ปกติของท่านถ้าอยู่ในเขตของความเป็นทิพย์ เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม เป็นพระบนนิพพาน ท่านสามารถแยกจิตไปทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกันได้ แต่ถ้าท่านที่ไปเกิด ต้องไปทั้งหมด

บาลีเขาว่า จิตตัง เอกะจะรัง อะสะรีรัง คูหาสะยัง คำว่า จิตตัง เอกะจะรัง คือ จิตเดียวเที่ยวไป แต่ถ้าจะทำงานหลาย ๆ อย่างก็แยกไปทำ ท่านที่ไม่มีความชำนาญก็แยกได้น้อยหน่อย ท่านที่ชำนาญก็แยกได้เยอะหน่อย พระสมัยก่อนนั่งคุยอยู่ตรงนี้ อีกร่างหนึ่งบิณฑบาตไปโน่น แล้วก็ทำให้ลูกศิษย์ทะเลาะกันอยู่เรื่อย คนนั้นก็ “เฮ้ย..หลวงพ่ออยู่วัด..ข้าเห็นอยู่” รายนี้ก็ “ข้าใส่บาตรมากับมือเลย” เถียงกันตาย

ถาม : ทำแบบนั้นยากค่ะ
ตอบ : ไม่ได้ยากของท่าน ในพระไตรปิฎก พระจุลปันถกแยกที ๑,๐๐๐ องค์ ทำงานคนละอย่าง องค์นี้กวาดวัด องค์นั้นถูศาลา องค์นั้นย้อมผ้า เสร็จเร็วดี

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ท่านใช้คำว่าแยกกายในออกไปเหมือนถอดไส้หญ้าปล้อง เป็นอีกตัวหนึ่งเลย เหมือนตัวจริงทุกอย่าง ทำงานคนละอย่างกันด้วย คนนั้นก็ไปจัดอาสนะ คนนี้ก็ไปตั้งน้ำใช้น้ำฉัน องค์นั้นไปตามประทีป งานเพียบ เป็นสมัยนี้ต้องไปสมัครงานคนละบริษัท รับค่าแรงทีเดียว ๑,๐๐๐ รายซ้อนกัน เอาให้รวยในเดือนเดียวเลย

เถรี
24-04-2013, 14:33
ถาม : ตอนที่เราเห็นภาพ ได้ยินเสียง แสดงว่าอยู่ที่อุปจารสมาธิหรือคะ ?
ตอบ : ถ้าสภาพจิตของเราเริ่มเข้าสู่อุปจารสมาธิ จะได้เห็นภาพได้ยินเสียงต่าง ๆ เป็นปกติ ถ้าเราไม่ใส่ใจ จดจ่ออยู่เฉพาะหน้า ก็จะชัดขึ้นเรื่อย ๆ แต่ถ้าเราไปใส่ใจตั้งใจฟัง จะหายไปเลย เพราะสมาธิของเราเคลื่อนจากจุดที่รับฟังได้พอดี

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเปรียบเทียบว่า เหมือนกับยืดคอเลยช่องหรือก้มต่ำเกินไป ก็ไม่สามารถจะรู้เห็นได้ ทำไม่รู้ไม่ชี้ไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวเขานินทาอะไรก็ได้ยินหมดแหละ

เถรี
24-04-2013, 14:42
ถาม : จริง ๆ อยากรู้จิตผู้อื่น แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่าให้ดูจิตตัวเอง ?
ตอบ : เจโตปริยญาณเขาให้ดูจิตตัวเอง ดูจิตคนอื่นไม่ค่อยมีประโยชน์ ยกเว้นคนเป็นครูบาอาจารย์ ดูของคนอื่นเพื่อแก้ไขให้เขา โดยปกติแล้วเจโตปริยญาณเขาให้ดูจิตตัวเอง จิตใจตอนนี้มีความชั่วอะไรอยู่หรือเปล่า ? ถ้ามีก็ขับไล่ออกไป ระมัดระวังไว้อย่าให้เข้ามา จิตใจของเรามีความดีอยู่หรือเปล่า ? ถ้ายังไม่มีก็สร้างให้มีขึ้นมา ถ้ามีแล้วก็ทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่ใช่ครูไม่ใช่อาจารย์ ไม่ต้องเสียเวลาไปดูคนอื่นหรอก

ถาม : ถ้าอดีตเคยได้อภิญญามา ?
ตอบ : วิสัยเดิมมาอย่างไรก็ไปอย่างนั้น

ถาม : เปลี่ยนไม่ได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่เปลี่ยนไม่ได้ แต่ยินดีพอใจแค่นั้น ที่เรารู้สึกว่าอยากจะได้อย่างนั้นอย่างนี้ แสดงว่าวิสัยเดิมมาอย่างนั้น แบบที่ภาษิตทางเหนือเขาบอกว่า "ทางหนู..หนูไต่ ทางไหน่...ไหน่เตียว" หนูก็ไปตามทางที่ตนไป กระรอกกระแตก็ไปตามทางของตนเอง ในเมื่อเราชอบอย่างนั้น ก็ไปของเราเอง ไม่ต้องไปบังคับหรอก พอถึงเวลาถ้าเราชอบอย่างนั้นจริง ๆ แสดงว่าวิสัยเดิมของเราเป็นอย่างนั้นแหละ แต่ปัจจุบันนี้ที่ยังได้ไม่เต็มที่เพราะยังอยากอยู่ นักปฏิบัติถ้าอยากจะไม่ได้ มักจะมาตอนหมดอยากแล้ว

ถาม : เป็นเพราะเรายึดติดกับอดีตหรือเปล่า ?
ตอบ : ยึดไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก กองไว้ตรงนั้นแหละ อดีตเลยมาแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ปัจจุบันสำคัญที่สุด อย่าลืมว่าไม่ว่าจะเรื่องของศีล ของธรรม ของกฎหมายบ้านเมือง เขาถือปัจจุบันเป็นใหญ่ ถ้าทำผิดก็ติดคุกชาตินี้ ไม่ใช่ไปติดคุกชาติหน้า

ไม่ว่าจะความสัมพันธ์ใด ๆ ก็ตาม ความสำคัญใด ๆ ก็ตาม ฟังให้ดี ๆ นะ เคยเป็นนั่นเป็นนี่ เคยเป็นอย่างนั้นอย่างนี้กับผู้ใดมา ถึงปัจจุบันถือว่าทิ้งไปได้เลย เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ถ้ามัวไปดูอดีตอยู่ก็ไม่ไปไหนหรอก ติดอยู่แค่นั้น แทนที่จะหลุดได้กลับไปฟื้นความสัมพันธ์กลับคืนมา กลายเป็นผูกพันกันมากขึ้น ในเมื่อทั้งผูกทั้งพันก็ไม่ต้องไปไหนหรอก ติดอยู่แค่นั้นแหละ

เถรี
24-04-2013, 14:54
ถาม : ถ้าช่วยคนให้เขาพ้นทุกข์ ?
ตอบ : ขึ้นฝั่งให้ได้แล้วจะช่วยใครก็ช่วย ถ้ายังขึ้นฝั่งไม่ได้มัวแต่ไปช่วย เดี๋ยวก็จมน้ำตายไปด้วย ทางฝ่ายนั้นเขาถึงได้ว่าเราเป็นหินยาน ยานเล็ก ๆ ไปได้คนเดียว ของเขามหายาน เขาก็จะเอาไปเยอะ ๆ จมตายไปกี่ชาติแล้วก็ไม่รู้ ?

เถรี
24-04-2013, 14:55
ถาม : ถ้าเราผิดคำมั่นสัญญากับครูบาอาจารย์ ?
ตอบ : ครูบาอาจารย์ท่านจะมาถือสาหาความอะไรกับเราเล่า ? รู้ว่าผิดก็เริ่มต้นใหม่ ถ้ารู้ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งดีก็ตั้งหน้าตั้งตาทำใหม่ ถ้าสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งดี เราผิดสัญญาก็ถือเป็นการเอาตัวรอดอย่างหนึ่ง

เถรี
24-04-2013, 14:57
ถาม : ระหว่างที่เรายังมีกายหยาบอยู่ เราสามารถปฏิบัติเพื่อกายในให้ดีได้ไหม ?
ตอบ : ไม่ใช่ทำได้ไหม ต้องทำอย่างนั้นแหละ เรายกจิตของเราขึ้นไปได้ขนาดไหน กายในก็เปลี่ยนไปตามนั้น เป็นเรื่องที่ต้องทำเลย ไม่ใช่รอ อย่างรอไปข้างบนแล้วค่อยทำ ถ้าเกิดไม่ได้ขึ้นแล้วเมื่อไรจะได้ทำ ต้องทำในชาติที่เป็นมนุษย์นี่แหละจ้ะ เอาปัจจุบันเป็นใหญ่

วิสุทธิเทพเขาเรียกว่าเทวดาผู้บริสุทธิ์ ก็คือผู้ที่อยู่บนพระนิพพาน ก็มีพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ หรือพระปัจเจกพุทธเจ้าที่เข้านิพพานไปแล้ว แต่ว่าส่วนใหญ่พวกเราตั้งใจนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ก็ถือว่านึกถึงสูงสุดไปเลย เหมาทีเดียวหมด

เถรี
24-04-2013, 20:17
ถาม : ถ้าเราเคารพศรัทธาสมเด็จองค์ปฐม แปลว่าเราเกิดทันสมัยท่านหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องทันก็ได้จ้ะ ถ้าเกิดมาตั้งแต่สมัยนั้น แล้วเหลือรอดมาถึงสมัยนี้ ก็สมควรตายจริง ๆ เพราะนานจนนับไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าผ่านไป ๓ ล้านกว่าพระองค์ ไม่ใช่ ๓ ล้านกว่ากัป แต่ละพระองค์นี่ ๒๐ - ๓๐ มหากัปทั้งนั้น ในเมื่อเกิดมาได้นานขนาดนั้น อะไรจะฉลาดจนหาทางไปไม่เจอเชียวหรือ ? ฉะนั้น..ถ้าใครบอกว่าเกิดมาตั้งแต่สมัยสมเด็จองค์ปฐม อาตมาเลิกคบเลยนะ คนฉลาดเกินไปแบบนี้ ไม่คบด้วยหรอก

เถรี
24-04-2013, 20:36
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงพ่อพระธรรมเสนานี อดีตเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ตอนนี้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ท่านเป็นคนตรงไปตรงมา โตมาในสายปกครองด้วยฝีมือจริง ๆ

ปีแรกที่อาตมาไปกราบหลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศฯ หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านก็เรียกขึ้นไปนั่งบนแท่นกับท่าน เพื่อสอบถามว่าไปอยู่ที่ไหน ? เป็นอย่างไร ? สบายดีหรือเปล่า ? หลวงพ่อพระธรรมเสนานีเดินเข้ามาถึงมองเห็นก็ “ไอ้ห่านั่นขึ้นไปกวนท่านได้อย่างไรวะ ?” หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศหันมา “เจ้าคุณ..ผมเรียกท่านขึ้นมาเอง” หลวงพ่อพระธรรมเสนานีเลยตีหน้าไม่ถูก

พอถึงเวลาทำวัตรรวม ท่านก็บอก “เจ้าคุณ..นั่งที่นั่นแหละ อาวุโสมากแล้วไม่ต้องกราบหรอก” พรรคพวกก็เลยหันไปแซว “เป็นอย่างไร พูดผิดจังหวะทีเดียวท่านไม่ให้กราบเลย” พรรคพวกเล่นพูดแบบนี้ ทำเอาท่านตีหน้าประหลาด ๆ

เห็นหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ท่านปฏิบัติต่อพระผู้ใหญ่ที่อายุกาลพรรษามากแล้ว เห็นความนุ่มนวลและถ่อมตนของท่านจริง ๆ หลายท่านที่อายุมากแต่พรรษาก็ไม่เท่าท่าน แต่ท่านยกให้ในฐานะพระผู้เฒ่า “อย่ากราบเลย ขึ้นมานั่งข้างบนเถอะ” พูดง่าย ๆ คือท่านยกให้ว่า วัยวุฒิ คุณวุฒิ คุณธรรมของท่านมากแล้ว ไม่ต้องกราบหรอก ให้เด็ก ๆ กราบก็พอ

หลวงพ่อพระพรหมดิลก ปัจจุบันเป็นเจ้าคณะกรุงเทพมหานครก็เหมือนกัน ตอนท่านเป็นเจ้าคณะภาคใหม่ ๆ พระผู้ใหญ่ในเขตปกครองไปกราบทำวัตร ท่านก็ให้พระผู้ใหญ่ไปกราบรูปหล่อหลวงพ่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์แทน ตัวท่านเองไปนั่งกลาง ๆ รับกราบพระผู้น้อยก็พอ เล่นเอาพระผู้ใหญ่ทำอะไรไม่ถูก"

เถรี
24-04-2013, 20:47
ถาม : (ถามเรื่องไสยศาสตร์)
ตอบ : ต้องบอกว่าพอสมาธิเราทรงตัว เขาทำอะไรไม่ได้หรอก เพียงแต่ว่าอย่าเผลอ อย่างน้อย ๆ ต้องมีวัตถุมงคลติดตัวแล้วอาราธนาไว้ทุกวัน สมาธิเรายิ่งทรงตัวมากเท่าไร เขาก็ยิ่งหมดสิทธิ์มากเท่านั้น แต่ช่วงอกุศลกรรมที่เปิดนั้นมีอยู่ ถ้าเผลอก็พลาดได้ ก็คือถ้าเขาไม่จ้องเฉ่งเรา ก็คงไม่โผล่มานานขนาดนั้นหรอก แต่ทำเท่าไรก็ทำไม่ได้ ก็เลยเบื่อไปเอง เห็นไหม..การเป็นคนดีนี่แหละที่ทำให้เขาระลึกถึงเราได้นาน ๆ..!

สำคัญที่สุดก็คือตัวเราคุ้มครองตัวเราเอง ถ้าสมาธิเราไม่ทรงตัว ก็ต้องอาศัยวัตถุมงคลช่วย ถ้าสมาธิเราทรงตัวก็รักษาตัวเองได้เลย พวกไสยศาสตร์กำลังใจเขาขาดตัวอุเบกขา เพราะจิตมักจะมุ่งร้ายคนอื่น ในเมื่อขาดตัวอุเบกขา สมาธิเขาจะไม่ทรงตัวจริง ๆ แค่ได้เป็นพัก ๆ ได้ชั่วครั้งชั่วคราว เพราะฉะนั้น..ถ้าสมาธิเราทรงตัวได้ เขาทำอะไรเราไม่ได้หรอก เพียงแต่ว่าอย่าเผลอแล้วกัน ส่วนใหญ่พวกเราไปเผลอตอนไหน ? ตอนกำลังกิน ตอนนอนใกล้จะหลับ ตอนเข้าห้องน้ำห้องส้วม

สมัยก่อนเวลาจะไปเล่นงานพวกหนังเหนียว เขาก็อาศัยจังหวะพวกนี้แหละ ตอนกำลังกิน ตอนกำลังเข้าห้องน้ำห้องส้วม เขาถือว่าทวารเปิด ก็คืออ้าปากตั้งใจจะรับข้าวเข้าไป ก็กลายเป็นว่าอะไรมาก็ต้องรับเข้าไปด้วย หรือไม่ก็ตอนนอนเคลิ้ม ๆ ใกล้จะหลับ ถ้าสมาธิไม่ทรงตัวสติจะขาด มักโดนตอนนั้นแหละ เพราะฉะนั้น..ให้ภาวนาไว้เป็นปกติ ถึงเวลาเช้าขึ้นมาก็อาราธนาบารมีพระให้ท่านช่วยสงเคราะห์ นึกถึงภาพพระคลุมตัวเราเอาไว้ อันตรายใด ๆ ก็ทำอะไรไม่ได้

เถรี
24-04-2013, 20:54
พระอาจารย์เล่าว่า "หนุ่ม ๆ สมัยก่อนเข้าวัดบวชเรียน ต้องเรียกว่าเพื่อเตรียมมีครอบครัว เข้าไปศึกษาวิชาการต่าง ๆ พวกประเภทความรู้คาถาอาคม เอาไว้ปกป้องตัวเองและครอบครัว เพื่อจะได้จัดการกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้ผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ แล้วก็ฝึกความอดทนอดกลั้น สร้างวุฒิภาวะ จากที่ทำอะไรตามใจได้ทุกอย่าง พอเข้าไปเป็นพระ โดนตีอยู่ในกรอบศีล ๒๒๗ ข้อ กระดิกไม่ได้เลย บีบคั้นตัวเองมาก ถ้าคุณสามารถอดทนอดกลั้นได้เป็นพรรษา ก็แปลว่าวุฒิภาวะมีมากพอที่จะเป็นหัวหน้าครอบครัวได้

เขาถึงบอกให้บวชเสียก่อนเบียด โบราณเราทำอะไรมีวัตถุประสงค์ทุกอย่าง ส่วนใหญ่พวกเราคิดไม่ค่อยถึงกัน ถึงเวลาไปศึกษาคาถาอาคม ทำน้ำมนต์ให้เมียคลอดลูกง่าย เสกกล้วย เสกดอกบัว

เดี๋ยวนี้บางคนบวชนานแค่ไหน ? บวชสึกไปที่บ้านยังเก็บโต๊ะไม่เสร็จเลย บอกว่าบวช ๓ วัน วันแรกที่บวชก็บวชตอนเย็น พอรุ่งขึ้นกลับไปเลี้ยงเพลฉลองพระที่บ้าน มะรืนสึกกลับไป เขายังเก็บโต๊ะไม่เสร็จเลย บอกมาได้ว่าบวช ๓ วัน..!"

เถรี
24-04-2013, 21:00
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานข่าวออกว่าในหลวงเป็นห่วงเรื่องปัญหาภัยแล้ง ถ้าออกจากโรงพยาบาลเมื่อไร จะรีบไปคิดโครงการมาช่วย ได้ยินแล้วอาตมากลืนน้ำลายไม่ลงเลย"

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่ใช่ไม่มี แต่พวกนี้ส่วนใหญ่แล้วรักตัวเองเกินไป ในเมื่อรักตัวเองเกินไป ก็ไม่กล้าจะขยับไปทำอะไร เพราะกลัวกระทบแล้วจะรักษาสถานภาพไว้ไม่ได้ ที่ได้เห็นได้ยินกับหูกับตาตัวเอง คือมีอยู่ครั้งหนึ่ง ในหลวงพระราชทานพระราชดำริ ถามข้าราชการที่เดินตามเป็นพรวนว่า “ช่วยทำวิจัยหน่อยสิ ว่าต้นไม้แต่ละชนิดที่ใบกว้าง ใบแคบ ใบใหญ่ ใบเล็ก คายออกซิเจนและดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างละประมาณกี่เปอร์เซ็นต์”

เขาตอบชื่นใจมาก “ทำไม่ได้หรอกครับ เพราะว่าหลากหลายจนเกินไป” ในหลวงท่านดุนะ แต่ท่านดุแบบผู้ดี ท่านดุว่า “ที่บอกว่าทำไม่ได้ ลองทำแล้วหรือยัง ? ” ถ้าเป็นอาตมาลองได้รับพระราชดำริอย่างนั้น เป็นตายอย่างไรก็ต้องทุ่มสุดชีวิตแล้ว แต่เขาพูดเต็มปากเต็มคำเลยว่าทำไม่ได้หรอกครับ เพราะหลากหลายจนเกินไป แล้วจะให้ในหลวงท่านตั้งความหวังไว้กับใคร นอกจากพระองค์ทำเอง

จะเห็นว่า ถ้าคนไทยแต่ละคนคิดว่าเราจะทำประโยชน์ได้มากที่สุดแก่ส่วนรวม....จบเลย

วันก่อนคุยกับหลวงพี่วิรัชที่วัดเขาแร่ เกี่ยวกับปรัชญาการดำเนินชีวิต อาตมาบอกกับหลวงพี่วิรัชว่า "ผมไม่มีปรัชญาการดำเนินชีวิตกับใครเขาหรอกครับ ผมคิดแค่ว่า มีชีวิตอยู่ก็เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่เขาให้มากที่สุด ตายเมื่อไรก็จบ ไม่เห็นจะต้องไปมีปรัชญาหรู ๆ อะไรเลย"

แบบเดียวกับท่านอาจารย์ ผศ.ดร.สุรพล สุยะพรหม มีคนถามท่านว่า “ยุทธศาสตร์การศึกษาของท่านอาจารย์คืออะไรครับ?” ท่านอาจารย์ ผศ.ดร.สุรพลตอบว่า “ถามถึงยุทธศาสตร์ของผม แน่ใจหรือ?” “แน่ใจครับ” “เรียนให้จบ เรียนให้รู้ แค่นั้นแหละ ที่เหลือเป็นยุทธวิธี ทำอย่างไรให้รู้ได้ก็จบ” เจอท่านอาจารย์ตอบเข้าเต็ม ๆ อาตมาก็ว่าใช่ ๆ เหมือนกำปั้นทุบดิน ไม่ต้องไปวางโครงการอะไรหรูหรามาก เรียนให้จบแล้วมีความรู้แค่นั้นแหละพอ ที่เหลือก็คือจะทำอย่างไรจะให้จบไปแล้วมีความรู้ก็ใช้ได้แล้ว

เถรี
24-04-2013, 21:05
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของจริตนิสัย มีอยู่ ๒ จริตก็คือ พุทธิจริตกับโทสจริต ความประพฤติเหมือนกันเกือบทุกอย่าง เพียงแต่พุทธิจริตประกอบไปด้วยความฉลาด ไม่ใช่ใจร้อนใจเร็วเฉย ๆ ในเมื่อตัวเองฉลาด ทำอะไรก็ง่ายไปหมด คนอื่นทำช้า พวกนี้ก็แสดงออกลักษณะว่าใจร้อน รอไม่ได้

แต่ถ้าเป็นโทสจริตมักจะเร็วแล้วพลาด พุทธิจริตเร็วแล้วไม่ค่อยพลาด กวาดบ้านก็เหมือนกัน อย่ากวาดเสียดีกว่า พวกโทสจริตหรือพุทธิจริตลากพรวด ๆ ไปเลย ให้คนมากวาดซ้ำได้อีก ๒ รอบ"

เถรี
25-04-2013, 20:40
ถาม : ถ้าเราถือศีลแปดแต่แต่งหน้า ?
ตอบ : ถ้าจะผิดศีลจริง ๆ เขาหมายเอาว่า แต่งแล้วไปยั่วเพศตรงข้าม ถ้าสังคมเป็นอย่างนั้นก็แต่งให้เขาหน่อย พูดง่าย ๆ ก็คือแต่งหน้าอย่างคนมีสติ ในเมื่อเราไม่ได้มีเจตนาแต่งหน้าไปยั่วเพศตรงข้ามให้เขามารักมาชอบเรา อยู่ในสังคมเขาต้องการอย่างนั้น ก็ทำให้เขาหน่อย แล้วก็ให้รู้ตัวด้วยว่านี่เราไม่สวยจริง ถ้าสวยจริงก็ไม่ต้องแต่ง ถ้าลักษณะอย่างนั้นก็แต่งไปเถอะ

เรื่องของศีล ถ้าเราสามารถปรับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสังคมได้ แล้วจะอยู่อย่างมีความสุขด้วย ให้พยายามปรับหน่อย อย่าให้ศีลเสีย แต่ขณะเดียวกันถึงเวลาก็ต้องไปกับเขาได้ อย่างเช่น ถ้าเราถือศีล ๘ ไม่ได้กินข้าวเย็น เขาชวนเรา เราก็บอกว่าระยะนี้อ้วนมากแล้ว ถ้าจะเลี้ยงเปลี่ยนเป็นน้ำสักแก้วดีกว่า ดีกว่าไปบอกว่าฉันไม่กินกับแกหรอก ฉันถือศีล ๘ คนเขาจะมองเป็นสัตว์ประหลาดไป

การถือศีลต้องถืออย่างคนมีปัญญา ถ้าตรงไปตรงมา โบราณเรียกว่าตรงแบบสากกะเบือ ลักษณะอย่างนั้นจะเอาตัวไม่รอด เป็นโทษแก่คนอื่นด้วย เพราะถึงเวลาเขาก็เอาไปพูดไปนินทากัน กลายเป็นว่า กาย วาจา ใจ ของเราที่เป็นผู้ปฏิบัติธรรมแท้ ๆ ยังเป็นทุกข์เป็นโทษให้แก่คนอื่นได้ ฉะนั้น..ให้พยายามลด แม้ว่าวางก่อนสบายก่อนก็จริง แต่พยายามอย่าไปวางใส่หัวคนอื่นเขา ส่วนใหญ่พวกเราไปวางใส่หัวคนอื่นเขา

เถรี
25-04-2013, 20:46
ถาม : ไม่ได้อยากแต่งแต่ก็จำเป็นต้องแต่ง
ตอบ : พูดง่าย ๆ ก็คือ แต่งให้ชาวบ้านเขาพอทนดูเราได้ หรือไม่ก็แต่งแล้วก็ปลงอสุภกรรมฐานไปเลย

อาตมาเองไม่ชินกับคนแต่งหน้ามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะว่าสมัยก่อนเป็นโรคภูมิแพ้ พอได้กลิ่นพวกเครื่องสำอางหรือน้ำหอมแล้วจะจาม บรรดาคนที่ไปด้วยกันก็จะรู้ พอถึงเวลาก็จะไม่แต่งไป ก็เลยไม่ชิน พอเห็นคนแต่งหน้ามา บางทีรู้สึกเหมือนเขาใส่หน้ากากมา ไม่จริงใจหรืออย่างไรบอกไม่ถูก

ถาม : แล้วทาแป้งได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าพระป่วยยังทาแป้งได้เลย สมมติว่าเป็นผื่นคัน

ถาม : ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับเจตนา บอกแล้วให้แต่งอย่างมีสติ เพราะถ้าสวยจริงก็ไม่ต้องแต่ง นี่ไม่สวยจริงเลยต้องแต่ง หรือไม่ก็เอาอย่างหลวงตาวัชรชัยท่านว่า “มึงไม่เคยเห็นเขาแต่งหน้าศพใช่ไหม?”
หลวงตาท่านว่าทีหนึ่งนี่ลูกศิษย์เหี่ยวหมดเลย นึกเสียว่ากำลังแต่งหน้าศพอยู่ก็แล้วกัน เดี๋ยวก็ตายแล้ว

เถรี
25-04-2013, 20:49
ถาม : ครูบาอาจารย์ที่...(ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง งานใหญ่แค่ไหนก็ไม่ท้อ วิ่งใส่อย่างเดียว

ถาม : ถึงเวลาบริวารจะมา ?
ตอบ : โดยเฉพาะเรื่องบริวารจะมากเป็นพิเศษ ต่อให้ไม่มากเท่าองค์นั้นองค์นี้ แต่ก็มากกว่าแถว ๆ นั้น สมมติเขตนั้นเขาเข้าวัดเป็นหลักร้อย ของท่านก็จะเป็นหลักพันหลักหมื่น บริวารจะมาก

เถรี
25-04-2013, 20:56
ถาม : ทำอย่างไรจะทำงานได้และภาวนาได้ด้วย ?
ตอบ : สติ..อย่างที่แนะนำคนเมื่อเช้า พอเราภาวนาจนกำลังใจทรงตัวแล้ว ให้เอาสติประคับประคองเอาไว้ พอประคองไว้แล้วก็แบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งอยู่ตรงนั้น ที่เหลือก็ทำงานไป ซ้อมบ่อย ๆ เดี๋ยวก็คล่องตัวเอง แม้กระทั่งคุยกันอย่างนี้ก็ทรงสมาธิได้

ถาม : สติตามไม่ค่อยทันค่ะ
ตอบ : ซักซ้อมสิจ๊ะ เดี๋ยวก็ทันเอง รู้ปัญหาแปลว่าแก้ได้ ถ้ารู้ปัญหาแล้วแก้ไม่ได้มีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกคือไม่ตั้งใจแก้ อย่างที่ ๒ คือฉลาดน้อยเกินไป

ถาม : ภาวนาเวลาขับรถ แล้วว่างโล่งไปเฉย ๆ พอจับความว่างนั้นก็ไม่รับรู้อาการรอบข้าง ?
ตอบ : อย่างนั้นอันตรายนะจ๊ะ ใจต้องจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้า ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วเดี๋ยวจะกลายเป็นแยกใจทำอะไรหลาย ๆ อย่างด้วยกัน ความเคยชินพอเห็นปุ๊บ ในอดีตเราเคยจับในลักษณะของอากาสกสิณ หรืออากาสานัญจายตนฌานมา เดี๋ยวว่างโล่งไปไม่รับรู้อะไรเลย ก็ชนกระจายอยู่ตรงนั้นเอง

ถาม : มันหลุด
ตอบ : ไม่ได้หลุด แต่เข้าสู่สภาวะสมาธิที่ลึกแล้วไม่สามารถบังคับร่างกายได้ เพราะว่าในอดีตเราเคยทำอย่างนั้นมา พอเห็นปุ๊บจำได้ อย่างของอาตมา ถ้าเห็นกอไผ่เขียว ๆ แล้วมีแสงแดดลอดออกมาเป็นสาย ๆ เมื่อไร เดี๋ยวกลับไปไหนก็ไม่รู้..หลายชาติเลย เป็นความเคยชิน

ถาม : ก็แบ่งได้
ตอบ : แบ่งได้ แต่แรก ๆ ไม่ได้ ไปหมดเลย พอไปหมดเลย คราวนี้จะไปบังคับรถอย่างไร กำลังขับอยู่ ขนาดร้อยเปอร์เซ็นต์ยังเกิดอุบัติเหตุมาเสียเยอะต่อเยอะแล้ว แล้วอยู่ ๆ เหลือนิดเดียวหรือไม่เหลือเลยจะไหวหรือ ?

เถรี
26-04-2013, 08:51
ถาม : อยากมาทำบุญ แต่เกิดอาการป่วยปัจจุบันทันด่วน ?
ตอบ : เขาเรียกว่าขันธมาร ร่างกายของตนเองคอยขวางไม่ให้ทำความดี

ถาม : ต้องแก้อย่างไรคะ ?
ตอบ : ต้องดื้อไป ถึงตายก็จะไป ถ้าอย่างนั้นบ่อย ๆ พอเขารู้ว่าขวางไม่ได้ก็จะเลิก เจ้าพวกนี้กลัวคนหน้าด้าน ถ้าหน้าด้านตื๊อเข้าไป เมื่อรู้ว่าขวางไม่อยู่เขาก็เลิก ไม่รู้จะขวางทำไม เสียเวลา เขาก็ไปหาทางอื่นแทน

ถาม : ใจเผลอคิดปรามาสครูบาอาจารย์อยู่บ่อย ๆ เป็นโทษไหมคะ ?
ตอบ : นั่นเป็นใจคิด เราก็ขอขมาไปเรื่อย ๆ เจ้าพวกนี้ต้องการจะกวนเราให้ขุ่น ก็คือถ้าใจเราไปพะวักพะวนตรงนั้น การปฏิบัติก็จะไม่ก้าวหน้า เพราะฉะนั้น..เราไม่ต้องไปใส่ใจหรอก คิดว่าถ้าสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เราไม่ทำเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว แต่ในเมื่อโดนชักนำด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรม ถึงได้คิดอย่างนี้ พูดอย่างนี้ ทำอย่างนี้ เราก็ตั้งใจขอขมาพระ ขอบ่อย ๆ พวกนี้พอรู้ว่าทำให้เราสะเทือนไม่ได้ก็เลิก เขาต้องการจะกวนน้ำให้ขุ่น ในเมื่อกวนแล้วไม่ขุ่นก็ไม่รู้ว่าจะกวนไปทำไม ?

เถรี
26-04-2013, 08:54
ถาม : มีคนที่เรารู้จัก เขาคิดถึงเรา เราจะรับรู้ได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าความคิดต่อความคิดมาชนกันพอดี ก็จะรู้เห็นกันได้ แต่คราวนี้เรื่องของการรู้เห็น เราจะถือเป็นประมาณไม่ได้ เพราะบางอย่างก็ใช่ บางอย่างก็เป็นการทดสอบกัน อาตมาเคยบอกอยู่บ่อย ๆ ว่า เราเห็นเขาไล่ยิงไล่ฟันกันมา เราก็ลากมีดลากปืนไปช่วย เขาจะกระทืบตาย เพราะเขากำลังถ่ายหนังกันอยู่..!

ถามว่าเราเห็นจริงไหม ? ก็จริง..เห็นเขาไล่ยิงกันมา แล้วเรื่องที่เราเห็นจริงไหม ? ไม่จริง..เพราะเป็นเรื่องในหนังที่เขาแสดงกัน เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของทิพจักขุญาณ ยิ่งชัดเจนมากเท่าไรยิ่งต้องระมัดระวังตัวอย่างสูงมากเท่านั้น เพราะว่าเวลาเขาหลอกเรา เขาจะหลอกได้เนียนมาก เขาจะบอกความจริงถึง ๘๐ - ๙๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วเขาหลอกเราเอาไว้นิดเดียว คราวนี้ถ้าเราทบทวนแล้วเห็นว่าถูกมาตลอด เราก็จะไปเชื่อเลย แต่ความจริงตอนท้ายนิดเดียวนั่นแหละผิด

เคยไปอ่านบันทึกของพระที่เขาไปอยู่ปฏิบัติธรรมด้วยแล้วเกิดวิปลาส ต้องเอาเข้าโรงพยาบาล เขาบันทึกว่า “วันนี้พระท่านมาบอกว่า ระยะของมรรคผลมาถึงแล้ว ให้เร่งการปฏิบัติให้มากเข้าไว้ นักปฏิบัติที่ดีต้องกินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ยิ่งทุ่มเทการปฏิบัติมากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น” มีผิดไหม ? ผิดตอนท้ายนิดเดียวเอง การปฏิบัติต้องพอเหมาะพอดี ไม่ใช่ยิ่งทุ่มเท่าไรก็ดีเท่านั้น พอบอกให้ทุ่มเท่าไรดีเท่านั้น พระรูปนี้ก็เลยไม่กินไม่นอนอยู่ ๒ เดือนเต็ม ๆ

นั่นถ้าไม่ใช่ทรงฌานได้ แค่อดข้าวอดน้ำก็อดตายแล้ว ท่านเอาแต่เดินจงกรมภาวนาทั้งวันทั้งคืน ไม่กินไม่นอนอยู่ ๒ เดือนเต็ม ๆ ถ้าไม่ได้สมาธิระดับนั้นนี่แย่เลย แต่คราวนี้ร่างกายเรามีขีดจำกัด ท้ายสุดก็ไม่ไหว เกิดอาการที่ว่าสติแตก กรรมฐานแตก ต้องหามเข้าโรงพยาบาลไป

เถรี
26-04-2013, 08:59
เพราะฉะนั้น..ของพวกนี้ยิ่งรู้เห็นชัดเจนเท่าไร ยิ่งต้องระมัดระวังที่สุด การทดสอบแต่ละอย่างมาเนียนมาก ๆ จนกระทั่งอาตมาอยากจะบอกว่า ความชั่วกับความดีขี่คอกันมา หน้าตาเหมือนเราเปี๊ยบเลย สำคัญอยู่ก้าวสุดท้ายเท่านั้น ว่าอันหนึ่งพาขึ้น อันหนึ่งพาลง เราจึงต้องมีศีลเป็นกรอบ ถ้าหลุดจากกรอบของศีลหรือกรรมบถ ๑๐ เราไม่ไปด้วย อย่างไรก็ไม่หลงไกลเกิน แต่ถ้าหลุดแล้วยังไปตามก็ไกลไปเรื่อย

ช่วงนั้นเขาก็โดนหลอกให้ไปหาวัตถุชิ้นนั้นชิ้นนี้ มีพลังงานอย่างนั้นอย่างนี้ เอามาพกไว้เต็มไปหมด จนกระทั่งตอนจะเอาเขาเข้าโรงพยาบาลก็ยังเถียงอีกว่าเราไม่รู้จริง ไม่รู้ว่าของเหล่านี้มีพลัง พอดีพระครูปลัดปรีชาอยู่ด้วย เขย่าตัวถามว่า “พระอยู่ที่ไหน ? เอาพระไปไว้ไหนหมด ? ตอนนี้ไปเอาอะไรมาพกเสียเต็มไปหมด ?” ขนาดนั้นก็ยังไม่ได้สตินะ เขาหลอกได้ไกลขนาดนั้น เพราะว่าตัวเองรู้เองก็มั่นใจว่าใช่

อย่าลืมว่าแม้กระทั่งวิทยาศาสตร์เขาก็ยอมรับว่าสสารทุกอย่าง แกนกลางคือพลังงาน เพราะฉะนั้น..คุณจะหยิบจะจับอะไรมามีพลังทั้งนั้น แต่ตอนนั้นเขาจะโดนเน้นว่า ชนิดนี้มีพลังเป็นพิเศษช่วยเรื่องนั้น ชนิดนั้นมีพลังเป็นพิเศษช่วยเรื่องนี้ แล้วก็เที่ยวไปไล่หา เวลาที่จะปฏิบัติก็ไม่มี นั่นขนาดเพื่อนพระจับตัวเขย่าถามเลยนะ ว่าพระอยู่ที่ไหน เอาไปทิ้งไว้ไหนหมด เอาแต่ของพวกนี้มา เขาก็ยังไม่รู้ตัว

ท้ายสุดก็เลยต้องส่งเข้าโรงพยาบาลให้หมอจัดการ แต่ก็อย่างว่าแหละ หมอทำอะไรไม่ได้ ขนาดย้ำกับหมอแล้วว่าระมัดระวังให้ดี เผลอเมื่อไรเขาหนีแน่ หมอก็หัวเราะ “ผมยังไม่เคยเจอคนไข้เก่งกว่าหมอเลยครับ ประตูตั้ง ๔ ชั้นแล้วรั้วสูง ๖ เมตร ดูว่าเขาจะไปอย่างไร” ปรากฏว่าไม่ถึง ๒ ชั่วโมงก็ไปแล้ว

ก็เขาไม่ต้องไปอย่างนั้น อยากเดินออกรูไหนก็ไป เขาอยู่กับวัดขังตัวเองอยู่ในโบสถ์ พี่น้องพังประตูโบสถ์เข้าไป เขาเดินทะลุออกข้างฝาเฉยเลย แล้วใครจะไปทำอะไรเขาได้..!

เถรี
26-04-2013, 09:05
ถาม : แล้วทำอย่างไร ?
ตอบ : ต้องอาตมาจับเอง คนอื่นจับไม่ได้ แต่บอกกับพี่น้องเขาแล้ว ว่าจับให้ครั้งเดียวนะ ถ้าหมอไม่สามารถจัดการได้ก็ไม่ต้องมาโทษอาตมา อาตมาไม่ยุ่งกับกรรมของใคร จับให้ครั้งเดียว ครั้งเดียวก็ยุ่งกับเขาเยอะพอแล้ว

พอเขาเดินทะลุโบสถ์ออกไป พี่ชายวิ่งมาทางประตูไล่ตามไป ปรากฏว่าเขาลืมของ พี่ชายเขาบอกว่าเห็นเขาเดินสวนมา เห็นว่าเขาเดินไม่เร็ว แต่วูบผ่านตัวไปตอนไหนก็ไม่รู้ เพราะเสื้อผ้าเขากระพือตามไปเลย เพิ่งจะรู้ว่าเดินเร็วขนาดนั้น จากเดิมที่พี่ชายเขาไม่เชื่อเรื่องอย่างนี้ กลายเป็นเชื่อไปเลย เพราะเห็นอยู่คาตา

ถาม : เขาได้อภิญญาหรือมีวิชาคะ ?
ตอบ : เป็นอภิญญา..ท่านทั้งหลายเหล่านี้กำลังใจเข้มข้นมาก ถ้าปฏิบัติถูกทางจะหลุดพ้นได้เร็ว ก็เลยโดนหลอกให้ผิดทาง จะได้ไม่ต้องพ้นเสียที

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เขาเรียกว่ามาร เรื่องของมารถ้าตาดี ๆ จะเห็นเป็นตัวเป็นตน ตาไม่ดีจะคิดว่าเป็นความรู้สึกในใจของเรา ในชีวิตก็ไม่คิดว่าจะต้องไปรบราฆ่าฟันกับบุคคลประเภทนั้น ขอบอกว่าทีเดียวพอ เรื่องการปะทะกำลังภายในกันแบบนั้นไม่สนุกหรอก มีแต่เสียกับเสียด้วยกัน เพราะถ้าเราเผลอสติเมื่อไรก็จะกลายเป็นโทสะ ก็คือกิเลสเกิดขึ้นมาจริง ๆ ขาดทุนยับเยินเลย

เถรี
26-04-2013, 20:35
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัจจุบันนี้ฝรั่งเขาชื่นชมประเทศไทยว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งใน ๒ ประเทศในโลกที่สามารถเพิ่มจำนวนเกษตรกรได้ ประเทศอื่นมีแต่เกษตรกรทิ้งไปทำงานภาคอุตสาหกรรมหมด โดยเฉพาะเรื่องการจำนำข้าว จำนำยาง จำนำปาล์มน้ำมัน โครงการพวกนี้พอราคาแน่นอน ทำให้เขากล้าทำ เพราะเห็นว่าจะมีกำไรเท่าไร ในเมื่อคนของเราย้อนกลับสู่ภาคการเกษตร อย่างน้อย ๆ ก็เป็นแหล่งอาหารของโลกเขาได้ แต่ละคนล้วนแล้วแต่คิดว่าทำอะไรก็ได้ขอให้ได้เงินมา แต่ลืมอยู่อย่างหนึ่งว่า ถ้าได้เงินมาแต่ไม่มีอาหารให้ซื้อแล้วจะกินอะไร

ไปนึกถึงที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้ว่า ถ้าใครมีที่อย่าไปขายเสียหมด อย่างน้อย ๆ ปลูกอะไรที่กินได้ทิ้ง ๆ ไว้บ้าง ถึงเวลาคนอื่นเขาลำบาก เราก็ยังมีกิน โดยเฉพาะดูจากการกระทบกระทั่งของเกาหลีเหนือ ที่อยู่ ๆ ก็อาละวาดฟาดหัวฟาดหางขึ้นมาแบบไม่มีเหตุไม่มีผล ต้องบอกว่าผู้นำเขาอยู่ในระดับที่สติสัมปชัญญะน้อย อาจจะก่อสงครามใหญ่ขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ แล้วถ้าก่อสงครามใหญ่ขึ้นมาเมื่อไร ต่างฝ่ายต่างก็มีคนถือหาง มีคนหนุนหลัง เรื่องก็จะจบยาก

ถ้าอยู่ในสภาวะอย่างนั้น คนมัวแต่รบกัน ไม่มีเวลาทำมาหากิน เรื่องข้าวปลาอาหารจะกลายเป็นของสำคัญ ต้องนึกถึงที่ท่านหม่อมเจ้าสิทธิพร บิดาของสหกรณ์ไทย ท่านบอกว่า เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง เพราะถ้าลำบากขึ้นมาจริง ๆ เงินทองกินไม่ได้ ข้าวปลาอาหารยังกินได้ ก็ได้แต่เอาใจช่วยว่าอย่าให้สถานการณ์หนักนัก เพราะบ้านเราอยู่ในเอเชีย ก็ถือว่าใกล้เหตุการณ์ แล้วอีกอย่าง ถ้ามีการใช้นิวเคลียร์กัน ถ้าลมพัดถูกทิศไม่กี่ชั่วโมงรังสีก็มาถึงแล้ว

ไม่เป็นไรหรอก อย่างไรพระท่านก็บอกแล้ว ไม่มีพระกริ่งพิชัยสงครามก็เอาพระนาคปรกรุ่นนี้ (พระนาคปรกลอยองค์ฉลอง ๒,๖๐๐ ปี พุทธชยันตี นาคไทย ๙ เศียร) ไปแทน อยากจะรบก็รบกันไป ถ้าใครมีเนื้อทองคำต้องมีความสามารถคุ้มครองพระได้ด้วย ปกติมีแต่ให้พระคุ้มครองใช่ไหม ? ถ้าเนื้อทองคำโดยเฉพาะหน้าตัก ๒ เซนติเมตรต้องมีความสามารถคุ้มครองพระด้วย

เรื่องของวัตถุมงคลจริง ๆ แล้วแค่องค์เดียวก็พอ แต่คราวนี้อันดับแรกก็คือได้ทำบุญ อันดับต่อไปก็คืออย่างน้อย ๆ ให้รู้ว่ารุ่นนี้เราก็มี เลยบูชากันไปเรื่อย"

เถรี
26-04-2013, 20:59
ถาม : เป็นผู้รับเหมาพวกวัสดุ เขากำลังประมูล ?
ตอบ : ไปจุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางตรงนั้น บอกเขาว่างานตรงนี้เราขอ แล้วจะถวายสังฆทานให้ อย่างไรก็ขอให้สำเร็จนะจ๊ะ บรรดาเจ้าที่เทวดาเขาอยากได้สังฆทานยิ่งกว่าอะไรอีก บอกเขาเลยว่าช่วยหน่อย งานตรงนี้เราขอ แล้วเดี๋ยวจะถวายสังฆทานให้

เถรี
28-04-2013, 19:57
ถาม : การแผ่เมตตา..(ไม่ได้ยิน).. ?
ตอบ : แผ่เมตตากับอุทิศส่วนกุศลเป็นคนละเรื่องกัน แผ่เมตตา คือ เราตั้งความหวังดีปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอให้เขาล่วงพ้นจากกองทุกข์ มีแต่ความสุข ส่วนอุทิศส่วนกุศลก็คือเราทำความดีอะไรมา ก็แบ่งปันให้แก่ผู้อื่นเขา

แผ่เมตตาเหมือนกับเขาหิวมา เราให้ร่มเงาแก่เขา ถึงแม้ว่าจะร่มเย็นก็จริง แต่ท้องเขายังหิวอยู่ ส่วนอุทิศส่วนกุศลเหมือนกับเราแบ่งอาหารให้เขา เขาได้กินอิ่มก็มีความสุข ดังนั้น..ต้องคิดให้ถูก พูดให้ถูก ทำให้ถูก ไม่อย่างนั้นใช้คำพูดแบบนี้ เดี๋ยวผีก็นั่งตาปริบ ๆ ไม่ได้อะไร

ถาม : อุทิศส่วนกุศลอย่างไร ?
ตอบ : ให้เราตั้งใจว่า ผลบุญทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจวบจนบัดนี้ ขออุทิศให้แก่ใครก็ว่าไปเลย ถ้าตามแบบของหลวงพ่อวัดท่าซุงก็ให้เจ้ากรรมนายเวรก่อน ต่อมาก็ให้เทวดาทั้งหลาย โดยเฉพาะพระยายมราช แล้วก็ให้แก่ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว

เถรี
28-04-2013, 20:00
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อเดือนก่อนนอนหลับ พอรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็ยังภาวนาอยู่ แต่รู้ตัวว่าตอนนี้ไม่ได้ใช้จมูกหายใจ แต่กำลังหายใจทางท้องอยู่ ก็เลยภาวนาไปเรื่อย ๆ ดูการหายใจทางท้องไปเรื่อย ๆ ประมาณ ๒ ชั่วโมงดันปวดปัสสาวะ จึงต้องลุกไปเข้าห้องน้ำ เลยเปลี่ยนมาใช้จมูกหายใจ

ตอนนั้นก็มานั่งคิด ๆ ว่า เออ...ความจริงการหายใจทางท้องก็สบายดีนะ ไม่ต้องใช้จมูกหายใจ ครูบาอาจารย์สมัยก่อนท่านดำน้ำลงไปจารตะกรุดใต้น้ำ ท่านก็ใช้วิธีอย่างนี้ พอไม่ต้องใช้จมูกหายใจ ก็ไม่ต้องไปเสียเวลาหาออกซิเจนจากที่อื่น นึกไปนึกมา ถ้าอาตมาขืนดำน้ำไปจารตะกรุดแล้วต่างคนต่างอยากได้ อาตมาคงเป็นลมตายใต้น้ำ เพราะฉะนั้น..อย่าไปยุ่งเลยก็ดีแล้ว..!"

เถรี
28-04-2013, 20:39
ถาม : คุณแม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ?
ตอบ : ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอ บอกว่าการรักษาทุกอย่างแล้วแต่หมอจะตัดสินใจ เพราะไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องเซ็นรับรองให้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอย่าไปตัดสินใจแทนหมอ ว่าจะต้องทำอะไรในขั้นตอนไหน เพราะว่าถ้าตัดสินใจผิดมีสิทธิ์เดี้ยง..!

บางคนหายใจอยู่ได้ด้วยเครื่อง จิตออกไปตั้งนานเนกาเลแล้ว บางคนไม่หายใจแล้ว แต่จิตก็ยังอยู่ในร่างกาย คำว่าไม่หายใจจริง ๆ เขายังหายใจอยู่ แต่ด้วยวิธีอื่นที่ไม่ใช่ปอด ดังนั้น..ถ้าเราตัดสินใจผิดมีสิทธิ์ทำอนันตริยกรรมโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่รู้รายละเอียดมากถึงขนาดนั้น ต้องปล่อยให้เป็นงานของหมอเขา บอกหมอว่าเห็นสมควรจะรักษาอย่างไร หรือจะหยุดการรักษาอย่างไรแล้วแต่การวินิจฉัยหมอ เรายอมรับทุกอย่าง

เถรี
28-04-2013, 20:40
ถาม : หนูมีหนังสือการปฏิบัติ ที่ได้ยินได้ฟังมาแล้วทำให้เกิดความไม่มั่นใจ ไม่แน่ใจที่จะทำลายเพราะกลัวจะเป็นการทำลายพระธรรม แต่ขณะเดียวกันก็ไม่กล้าที่จะเอาไปแจกจ่ายเผยแพร่ต่อ ?
ตอบ : ใส่ลังดี ๆ ไว้ ที่ไหนมีสิ่งก่อสร้างที่ปิดมิดชิด เช่น พระพุทธรูปองค์ใหญ่หรือฐานพระ เราก็บรรจุไปเลย เสียดายว่าวัดท่าขนุนบรรจุไปจนเกลี้ยงแล้ว ไม่มีที่เหลือให้

เถรี
28-04-2013, 20:47
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปกติความเคยชินของพวกเรา ก็คิดว่าพระพุทธรูปทุกองค์มีเทวดารักษาใช่ไหม ? พระพุทธรูปองค์เมื่อครู่ (ที่ถวายสังฆทาน) มีนางฟ้ารักษา เขาโผล่หน้ามาให้เห็น ก็เลยงง ๆ เหมือนกัน"

เถรี
28-04-2013, 21:00
ถาม : เวลาหลับตานอน จะเห็นแสงตอนกลางวันเป็นสีแดงฉาน สักพักจะเห็นเป็นดวงอาทิตย์สีแดงฉานใหญ่มากเลย เล็กบ้างใหญ่บ้าง ติดอยู่ตรงนี้ค่ะ ?
ตอบ : นอกจากจับลมหายใจเข้าออกเคยฝึกอย่างอื่นมาบ้างไหม ? ต่อไปให้จับลมหายใจเข้าออกพร้อมกับนึกถึงภาพสีแดง นึกไปเรื่อย ๆ ถ้าภาพนั้นค่อย ๆ เปลี่ยนสี เราก็ไม่ต้องไปใส่ใจ เรามีหน้าที่จับภาพไป ภาพนั้นจะจางลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งใสขึ้น

เราต้องรักษาความใสให้อยู่ได้ตลอดเวลา ถ้าใสได้ตลอดเวลาเมื่อไร ให้เราลองอธิษฐานดูว่า ขอให้ใหญ่ได้ไหม ? เล็กได้ไหม ? ลองอธิษฐานขอให้ใหญ่ขึ้น ขอให้เล็กลง ขอให้หายไป ขอให้กลับมา แต่ต้องรอให้ใสก่อน อย่าไปบังคับให้ใส เรามีหน้าที่ภาวนาแล้วนึกถึงเฉย ๆ น่าจะเป็นของเก่าที่เราเคยทำได้ ต่อไปถ้ามาอีกเราก็จับต่อไปเลย

ถาม : อย่างอื่นที่เข้ามามากมายละคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ เอาแค่อย่างเดียวก่อน จนกระทั่งใสเต็มที่แล้ว ลองอธิษฐานให้ใหญ่ ให้เล็ก ให้หาย ให้กลับมา ถ้าทำได้คล่องตัวแล้วค่อยมาถามใหม่

เถรี
28-04-2013, 21:11
ถาม : มีอยู่วันหนึ่งผมตื่นเช้าขึ้นมา มีความรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขเหลือเกินครับ อิ่มใจ สบายใจ รู้หมดเลยว่าศีล ๕ ข้อมีอะไรบ้าง ขอบเขตของศีลอยู่ที่ไหน ปฏิบัติอย่างไรศีลจะบกพร่องหรือขาดหรือว่าสมบูรณ์ เบาสบายใจเรื่องศีลอย่างบอกไม่ถูก เวลามีคนพูดอะไรถามอะไรไม่ว่าเรื่องไหน คำตอบจะเกิดขึ้นเองโดยไม่ทันจะคิดเลย ไม่ทราบว่าความรู้สึกอันนี้เกิดจากอะไรครับ ?
ตอบ : อาตมาเคยบอกว่าหลายคนเปะปะทำถูก แล้วก็หาไม่เจอว่าตัวเองทำถูกเพราะอะไร กลายเป็นว่าผลดีเกิดขึ้นตรงหน้าแต่หาเหตุไม่เจอ ถ้าเป็นลักษณะนี้ต้องบอกว่าอีกนาน..!

เราต้องนึกย้อนทวนไปว่าก่อนหน้านั้นเราคิดอะไร ทำอะไร พูดอะไร ภาวนาอย่างไร อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหน จึงทำให้อารมณ์ใจอย่างนี้เกิดขึ้น แล้วก็ย้อนกลับไปคิดแบบนั้น ทำแบบนั้น พูดแบบนั้น อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบนั้น เรื่องอย่างนี้ก็จะเกิดขึ้นใหม่ แต่ถ้าเราไม่สามารถจะนึกย้อนกลับไปได้ว่า เราทำอะไรมาผลนี้จึงเกิด ก็แปลว่าต้องรอกินผลจนเกลี้ยง แล้วก็เปะปะไปทำถูกเข้าอีกครั้งหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่านานเท่าไร แล้วก็ต้องไปย้อนดูอีกทีว่าเกิดจากอะไร

ถาม : ตอนนี้ความรู้สึกนั้นหายไปหมดแล้วครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่เรื่องแปลก..เป็นทุกคน คือถ้าเราหาเหตุไม่เป็น เราก็สร้างผลให้เกิดไม่ได้ ตอนนี้ถึงเรามั่วไปสร้างเหตุได้ถูกแล้วผลเกิด เราก็รักษาผลไว้ไม่ได้ แต่ดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เหมือนกับเราเคยกินอาหารรสอร่อยแล้ว เราจำรสอาหารนั้นได้ ต่อไปก็จะพยายามตะเกียกตะกายที่จะหารสอาหารนั้นมากินให้ได้อีก

บอกได้อย่างเดียวว่าสภาพนี้คือ การที่ศีล สมาธิ ปัญญา ทรงตัวในระดับหนึ่ง จึงทำให้เกิดความคล่องตัวขึ้นมา มีสติรู้รอบว่าควรจะคิด จะพูด จะทำอย่างไร ถึงจะอยู่ในกรอบของศีล สามารถรักษาศีลได้โดยไม่บกพร่อง มีสติไม่ยุให้คนอื่นทำศีลขาด ไม่ยินดีเมื่อผู้อื่นทำศีลขาด จะเรียกว่าเป็นสีลานุสติเต็มระดับก็ได้ แต่ว่ายังเต็มไม่จริงหรอก ถ้าเต็มจริงต้องบรรลุมรรคผลไปแล้ว..!

เถรี
29-04-2013, 09:27
ถาม : ผมปฏิบัติโดยดูลมหายใจควบกับคำภาวนาว่าพุทโธ หลับตานึกถึงภาพพระได้บ้างไม่ได้บ้าง ทำไปไม่นานรู้สึกว่าพอแล้ว ก็ถอนกำลังใจออกมานึกถึงคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เป็นคำพูดที่ฟังมาหรือว่าหนังสือที่อ่านมา พิจารณาแล้วก็สรุปทุกครั้งว่าคุณสมบัติของพระโสดาบันมีอะไรบ้าง เมื่อพิจารณาว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ผมมีครบ ตายเมื่อไรจะไปพระนิพพาน แล้วก็หลับ หรือไม่ก็ไปทำงาน ทำแบบนี้เรื่อยมา

แล้วก็เกิดเหตุว่า ผมไปผ่าตัดเล็บขบ ตอนหมอทำผมก็ดูลมหายใจ ภาวนา นึกถึงภาพพระ นึกถึงภาพของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเหมือนเดิม หมอก็ฉีดยาชาให้ ความรู้สึกบอกผมว่า ตอนนี้เข็มเข้าไปในเนื้อเท่าไร ยาชาวิ่งถึงไหน หมอดึงเข็มออกตอนไหน ฉีดไป ๕ เข็ม รู้สึกภายนอกว่าชา แต่ภายในไม่ชาเลยครับ ตอนหมอผ่าผมก็เจ็บ รู้สึกหมดเลยว่าหมอทำอะไร มีดกรีดตรงไหน หมอดึงเล็บออกอย่างไร หมอถามว่าเจ็บได้อย่างไร อัดยาชามากขนาดนี้ ผมก็ไม่ทราบจริง ๆ ครับว่าเจ็บได้อย่างไร เพราะตอนนั้นความรู้สึกชัดเหลือเกิน ล่าสุดไปถอนฟันมาก็เจ็บอย่างนี้ เจ็บมากจริง ๆ ทั้งสองครั้ง มีทางไหมครับที่พอถึงสถานการณ์แบบนี้แล้วจะหนีการเจ็บปวดโดยแยกจิตกับกายออกไปชั่วคราว ?

ตอบ : ลักษณะอย่างนี้คืออาการที่สติสมบูรณ์พร้อม แต่เป็นการสมบูรณ์เพราะเหตุฉุกเฉิน แปลว่าสิ่งที่เราทำมาตั้งแต่ต้นค่อย ๆ สั่งสมตัวมา เมื่อสั่งสมตัวมาถึงระดับหนึ่ง พอเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น เราจะรู้ว่าจริง ๆ แล้ว ต้นทุนของเราเพียงพอ แต่คราวนี้ต้นทุนเราเพียงพอกับการมีสติอยู่กับปัจจุบัน แต่การมีสติอยู่กับปัจจุบัน เราดันเอาไปอยู่กับร่างกายที่หมอกำลังทำการรักษาอยู่ ก็เลยสาหัสอย่างที่ว่ามา เพราะถ้าสติสมบูรณ์พร้อม การรับรู้ของประสาทร่างกายจะรู้ครบทุกส่วน

ถ้าเราอ่านในพระไตรปิฎก บางตอนอย่างเช่นกล่าวถึงประวัติพระอนุรุทธเถระว่า เมื่อกินขนมที่เทวดาทำ รสก็ซาบซ่านไปยังประสาทรับรสทั้ง ๗ พันเส้น คนทั่วไปรับไม่ได้ถึงขนาดนั้น ในเมื่อคนทั่วไปรับไม่ได้ถึงขนาดนั้น เราก็ไม่รู้ว่าคนที่ประสาทหรือสติสมบูรณ์พร้อมเป็นอย่างไร เอาแค่คำว่า สับปะรด สัปปตะหรือสัตตะ มาจากคำว่า ๗ สับปะรดมี ๗ รส คือ เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม จืด ขม เผ็ด เราอาจจะคิดว่าสับปะรดเผ็ดด้วยหรือ ? รสเผ็ดก็คือกรดที่กัดลิ้นเรา แค่ ๗ รสเรายังแยกไม่ออกเลย ก็ไม่ต้องไปพูดถึงว่าจะแยกประสาทเพื่อรับรู้ถึง ๗ พันอย่าง

ในเมื่อเป็นดังนั้น เราต้องใช้วิธีภาวนาให้สภาพจิตของเราเคยชินกับการที่สมาธิทรงตัวในระดับสูง เมื่อสมาธิทรงตัวในระดับสูง จิตกับประสาทจะเริ่มแยกออกจากกัน ไม่รับรู้อาการของร่างกาย บางทีหมอทำเสร็จเรายังสงสัยว่าเสร็จแล้วหรือ บางทีเข้าสมาธิลึก เวลาเหมือนผ่านไปพักเดียว แต่จริง ๆ แล้วข้างนอกอาจจะผ่านไปหลายชั่วโมง ฉะนั้น..เราต้องกลับไปซักซ้อมในอานาปานสติ ดูลมหายใจเข้าออกให้สมาธิทรงตัวมากกว่านี้ แล้วจะหลีกเลี่ยงอาการแบบนี้ได้

เถรี
29-04-2013, 09:32
ขอยืนยันว่าสิ่งที่ทำมาจริง ๆ ใช้ได้แล้ว เพียงแต่ใช้ผิดเท่านั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยืนยันได้ว่า สิ่งที่เราทำมาทีละเล็กทีละน้อย เมื่อถึงเวลามีเหตุฉุกเฉินขึ้นมา สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจะรวมตัวกันมา ทำให้เราเห็นชัดเจนว่าต้นทุนเรามีเท่าไร หรือว่าสิ่งที่เราเพียรพยายามทำมาในระยะเวลายาวนาน แม้ว่าจะทำเล็กทำน้อย รวมแล้วได้เท่าไร

ฉะนั้น..นักปฏิบัติเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ หรือเกิดเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นมา จะรู้ต้นทุนของตัวเอง นักปฏิบัติที่แท้จริงก็เลยไม่ค่อยกลัวเรื่องเจ็บเรื่องตาย เพราะมั่นใจแล้วว่าตัวเองมีต้นทุนเท่าไร สำคัญอยู่ตรงที่ว่าถึงเวลาแล้วเอาใจเกาะพระนิพพานได้หรือไม่เท่านั้น

ตอนแรกก็แปลกใจ ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า พระอรหันต์ไม่ใช่ตอไม้นะ พระอรหันต์ความรู้ท่านละเอียดกว่าแกหลายเท่า เวลาเจ็บ ท่านเจ็บมากกว่าหลายเท่า เพราะความรู้สึกท่านละเอียด ท่านจึงรับรู้ได้ชัดเจนกว่า เพียงแต่ว่าท่านแยกจิตกับประสาทออกจากกัน ก็เลยสักแต่ว่าดูสักแต่ว่ารู้เท่านั้น ไม่ได้ไปใส่ใจกับความเจ็บปวดนั้น

เถรี
29-04-2013, 09:39
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระโยคาวจรคือฆราวาสที่ปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าพระแล้ว ขนาดพระสงฆ์ที่บวชเข้ามาท่านยังเรียกแค่สมมติสงฆ์ ยังไม่ใช่พระเลย พระโยคาวจร แปลว่า ผู้ที่เดินอยู่บนเส้นทางของการปฏิบัติธรรม"

เถรี
29-04-2013, 09:48
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับการต่อต้านและหนุนเสริมของสมุนไพรต่าง ๆ เห็นว่าอะไรดีก็จับยัดปนกันหมด การที่เราเอาสารพัดอย่างใส่รวม ๆ กันโดยคิดว่าทั้งหมดมีข้อดี ไม่แน่หรอก พวกคนจีนระดับเซียนที่วางยาพิษกัน เขาเอาของธรรมดา ๆ ให้กิน แต่พอกินปนกันเข้าไปแล้ว ก็กลายเป็นพิษ

ฉะนั้น..พวกที่เอาสารพัดอย่างยัดมาแล้ว จะมีปัญหาทีหลัง บอกให้ก็ได้ว่า อย่างเช่น ถ้าเรากินหอมหัวใหญ่ วันนั้นอย่าไปกินน้ำผึ้งตามลงไป หรือถ้ากินลูกพลับ ก็อย่าไปกินเนื้อปูทะเล ไม่อย่างนั้นสาหัสแน่ ของที่ดูแล้วไม่มีโทษอะไรเลย แต่ถ้าไปกิน ๒ อย่างรวมกัน ๓ อย่างรวมกัน จะกลายเป็นพิษขึ้นมา หมอสมัยใหม่รู้ว่าอาหารเป็นพิษ แต่เขาไม่รู้ว่าเป็นพิษเพราะอะไร เมื่ออาหารเหล่านี้ลงไปถึงก็ไปหักล้างกันเอง โดยมีร่างกายของเราเป็นสนามประลองยุทธ์ ถ้าร่างกายไม่แข็งแรงก็หมอบกระแต

ขนาดน้ำสกัดจากผลไม้หรือผักหลายอย่าง อาตมาฉันลงไปยังคันแทบตาย เพราะบางอย่างลงไปเสริมกันแล้วไปหนุนให้ธาตุลมกำเริบ ต้องออกตามผิวหนัง ออกไม่ทันก็ดันอยู่ข้างในก็เลยคัน ที่เราเรียกกันว่าลมพิษนั่นแหละ"

เถรี
02-05-2013, 09:50
ถาม : หนูคิดว่าจริง ๆ แล้วศีลไม่ได้แบ่งเป็นข้อ ๆ แต่อะไรก็ตามที่ทำให้กิเลสเจริญ นั่นคือละเมิดศีล ใช่หรือเปล่า ?
ตอบ : ศีลก็คือเครื่องมือในการป้องกันกิเลสเบื้องต้น ถ้าเราห้ามใจของเราไม่ให้ละเมิดศีลได้ เราก็จะหักห้ามในเรื่องอื่นได้ คราวนี้ในเมื่อเราห้ามใจไม่ได้ ก็แปลว่าทุกอย่างที่เราทำคือการละเมิดศีล

เถรี
02-05-2013, 10:13
พระอาจารย์กล่าวว่า "การอ่านเป็นการเรียนรู้โลกนี้ในทางลัดที่สุด ไม่ต้องเสียเวลาไปลงทุนลงแรงศึกษามาก คนเขียนใช้ประสบการณ์ทั้งชีวิตเขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง สมมติคนเขียนนั้นอายุ ๔๐ ปี นั่นคือประสบการณ์ชีวิตตลอด ๔๐ ปีที่เขียนหนังสือเล่มนั้นมา แล้วชีวิตเรามี ๔๐ ปีกี่ครั้งเราถึงจะเอาประสบการณ์ให้เท่ากับเขาได้ ก็มีอยู่ทางเดียวก็คือ เรียนลัด โดยศึกษาประสบการณ์คนอื่น

การอ่านเป็นการพัฒนาทั้งสมองและจิตใจของเรา หนังสือดี ๆ สามารถยกระดับจิตวิญญาณของคนได้ ลองหาหนังสือเรื่อง โจนาธาน ลิฟวิงสตัน นางนวล ของ ริชาร์ด บาค ให้เด็ก ๆ อ่านสิ ถ้าไม่เอาปรัชญาทางศาสนาที่สนุก ๆ แบบโจนาธาน ก็เอาแค่หนังสือชุดบ้านเล็กในป่าใหญ่ ให้เด็ก ๆ อ่านจะได้รู้ว่าการมองโลกในแง่งามจริง ๆ คืออะไร"

เถรี
02-05-2013, 10:44
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงพ่อวัดท่าซุง สมัยก่อนบวชท่านเป็นเรือตรีทหารเรืออยู่ วันนั้นหลวงสุวิชานแพทย์ เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือกับเสด็จในกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน เสนาบดีทหารเรือ นิมนต์หลวงปู่ปานไปเทศน์ให้ทหารฟัง หลวงปู่ปานก็เทศน์เรื่องผีเรื่องเทวดา แล้วท่านก็รู้ว่าคนนี้ไม่เชื่อหรอก ท่านก็เลยถามว่าใครไม่เชื่อเรื่องนี้บ้าง ปรากฏว่าพ่อ ๓ ทหารเสือยกมือสุดแขนเลย (หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเป็นหลานของพลเรือตรีหลวงสุวิชานแพทย์)

ท่านเจ้ากรมแพทย์ หลวงสุวิชานฯ คำรามว่า "กูขังมึงแน่" เสด็จในกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ตรัสว่า "ใจเย็น ๆ ฟังเหตุผลเขาก่อน" ถามว่ามีเหตุผลอะไรที่ไม่เชื่อ หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า "ไม่เคยเห็นครับ"

หลวงปู่ปานท่านก็เลยให้คาถาบทหนึ่งให้ไปภาวนา ทุกคนหลับตาภาวนาคาถาบทนี้ เดี๋ยวได้เห็นผี ปรากฏว่าไม่น่าเชื่อ ทหารเรือทั้งหอประชุม ภาวนาคาถาหลวงปู่ปานเห็นผีทุกคน หลวงพ่อท่านบอกว่า "แหม..แต่ละตัว สวยสะบัดเลยว่ะ ถ้าผีแบบนี้ข้าไม่กลัวหรอก"

หลวงปู่เลยถามว่าใครอยากฝึกวิชาอย่างนี้ไหม ? สามคนเลยมองหน้ากัน ถ้าไม่มีบารมีหลวงปู่คุ้มหัว ติดคุกแน่งานนี้ เลยบอกว่า "อยากฝึกครับ" "ถ้าอยากฝึกก็ต้องบวช" สามคนมองหน้ากันเสร็จ บวชไม่บวช สรุปแล้วบวชดีกว่าติดคุก เลยบอกหลวงปู่ท่านว่าจะบวช

เสด็จในกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ท่านเป็นเสนาบดีทหารเรือ สมัยนี้ก็คงเป็นผบ.ทร. บอกว่า "ถ้าแกบวชได้ ๑ พรรษา เอาไปเลย ๑ ชั้นยศ" ไม่ใช่ ๑ ขั้นนะ แต่เป็น ๑ ชั้นยศ ตอนนี้เป็นเรือตรี บวช ๑ พรรษาได้เรือโท ถ้าบวชได้ ๒ พรรษาได้เรือเอก มาเซ็นรับเงินเดือนได้ทุกเดือน

ท่านมั่นใจว่าไอ้ลิง ๓ ตัวทนอยู่ได้ ๗ วันก็เก่งมากแล้ว ปรากฏว่าบวชอยู่ ๗ วัน ทรงฌานได้หมดเลย ก็เลยเซ็นรับเงินเดือนกันเพลิดเพลินเจริญใจ พอเซ็นรับเงินเดือนเรือเอกไปได้พักหนึ่ง ก็ละอายใจ ว่าเราเองก็ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้ทางการเลย แล้วมารับเงินเดือนเปล่า ๆ เลยทำเรื่องลาออกจากราชการ เพราะตั้งใจบวชยาวแล้ว"

เถรี
04-05-2013, 20:24
ถาม : ทำไมเราถึงจะรู้ว่าปรารถนาพุทธภูมิ ?
ตอบ : ถ้าทำเพื่อคนอื่นมากกว่าก็เป็นพุทธภูมิ ประเภทเห็นคนอื่นลำบากไม่ได้ ต้องแถเข้าไปช่วยนั่นแหละ..ใช่เลย ห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเอง เห็นคนอื่นลำบากก็อยากจะช่วยเขา ไม่เคยนึกถึงความยากลำบากของตัวเอง

เถรี
04-05-2013, 20:26
ถาม : ญาณต้องทำทีละอย่างหรือคะ ?
ตอบ : ถ้ามีความคล่องตัวสามารถทำหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน แต่ส่วนใหญ่ที่เจอมักจะถนัดอย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างอื่นอาจจะได้นิดหน่อย แต่จะมีอย่างหนึ่งที่ตัวเองถนัดและชำนาญกว่าเพื่อน เช่น บางคนถนัดเจโตปริยญาณ บางคนถนัดปุพเพนิวาสนุสติญาณ เป็นต้น ปัจจุบันนี้จะหาคนถนัดทุกอย่างมีน้อยมากเลย เท่าที่เจอมามักจะเก่งเรื่องเดียว

ถาม : ขึ้นอยู่กับครูบาอาจารย์สอนหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..ขึ้นอยู่กับที่เราฝึกมา สิ่งไหนที่เราเริ่มต้นไว้มาก สิ่งนั้นเราจะชำนาญมากกว่า ถ้าอยากจะให้ดีเท่ากันก็ต้องซักซ้อมให้มากหน่อย

เถรี
04-05-2013, 20:29
ถาม : ถ้าโมทนาบุญคนอื่น เราจะได้รับบุญนั้นทันทีไหมคะ ?
ตอบ : การโมทนาผลบุญแล้วส่งผล เจ้าของต้องได้รับผลนั้นก่อน คนที่โมทนาจึงจะได้รับ ตราบใดผลนั้นยังไม่เกิดกับของเจ้าตัวผู้ทำ ตราบนั้นผู้ที่โมทนาก็ยังไม่ได้รับผล

สงสัยไหมว่าผีโมทนาบุญของเราแล้วมักจะได้ดีไปเลย ? เพราะสภาพจิตของเราตอนนั้นเสวยอานุภาพของบุญอยู่ในระดับนั้นอยู่แล้ว พอเขาโมทนาก็ได้เท่ากับเราในตอนนั้น เขาก็ไปเลย ส่วนเราต้องรอก่อน ตายเมื่อไรก็จะได้เมื่อนั้น

ถาม : แล้วอย่างเวลาทำบุญ อยากรู้ว่ามีสัญญาณอะไรบางอย่าง..?
ตอบ : แค่คิดก็เป็นบุญแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจน เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วทามิ เจตนาก็จัดว่าเป็นบุญแล้ว แต่ถ้าเจตนาแล้วยังไม่ได้ทำดันตายก่อน เราได้บุญแต่พระขาดทุน เพราะยังไม่ได้ทำ เพียงแต่คิด แม้ระลึกถึงการบริจาคให้ทานยังจัดเป็นจาคานุสติ เป็นกรรมฐานใหญ่อีกกองหนึ่งต่างหากเลย

เถรี
04-05-2013, 20:35
ถาม : การแผ่เมตตาต้องแผ่ให้ตนเองก่อนหรือคนอื่นก่อนคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วเรามักจะให้คนอื่นก่อน การแผ่เมตตาให้ตนเองคือการนึกถึงด้วยความรัก ความปรารถนาดี ต่อเราเองว่า ตัวเราเองตั้งใจที่จะปฏิบัติในสิ่งที่ดี ๆ ทั้งหลายเหล่านี้ เพราะว่าเรารักตัวเอง ไม่อยากให้ตัวเองตกอยู่ในกองทุกข์ ต้องการให้ตัวเองก้าวสู่ภพภูมิที่มีแต่ความสุข เหมือนการตั้งเจตนาเอาไว้ว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้่เราจะทำและทำแน่ ๆ เป็นการตอกย้ำกับตัวเอง

ดังนั้น..การแผ่เมตตาให้กับตัวเองเป็นการซักซ้อมการหวังดีปรารถนาดีต่อตัวเราว่า ถ้าเรารักและสงสารอยากสงเคราะห์คนอื่น ก็ต้องให้เท่าเทียมกับตัวเราที่รักตนเองนั่นเอง

เถรี
04-05-2013, 21:12
ถาม : การทำบุญหรือทำความดีจะได้ทันทีในชาตินั้นหรือไม่ ?
ตอบ : การทำบุญแล้วจะให้เป็นครุกรรมฝ่ายกุศลที่ส่งผลในชาตินี้ ประการแรก...หาโอกาสทำบุญกับพระที่ออกนิโรธสมาบัติ กำลังบุญที่ทำกับผู้ที่บริสุทธิ์ระดับนั้น ส่วนมากจะส่งผลเร็วทันที ประการที่สอง...สร้างฌานสมาบัติให้เกิดแก่ตัวเอง ยิ่งได้อภิญญาสมาบัติยิ่งดี ถ้าเป็นอย่างนั้นเราต้องการอะไรสามารถจะเนรมิตด้วยตนเอง ประการที่สาม...ช้านิดหนึ่ง แต่ให้ทำบุญกุศลต่อเนื่องกันไประยะเวลาหนึ่ง อาจจะเป็น ๕ ปีหรือ ๑๐ ปี ถ้าทำได้ต่อเนื่องยาวนานพอ ผลบุญนั้นก็ส่งผลให้ในชาตินี้ได้

อย่าลืมว่าสิ่งที่ส่งผลในปัจจุบันคือสิ่งที่เราทำไว้ในอดีต ถ้าเราทำในปัจจุบันตอนนี้ เลื่อนไปอีกหนึ่งนาทีหรือสองนาทีตรงนี้ก็เป็นอดีตไปแล้ว ดังนั้น..ถ้าเราทำปัจจุบันนี้ให้ดีต่อเนื่องยาวนานพอ ถึงเวลาผลบุญตรงนี้ที่เป็นอดีตกลับมาส่งผลเมื่อไร เราก็จะได้รับแต่สิ่งที่ดี ๆ ตลอดไป

ดังนั้น..วิธีที่สามดูน่าจะเหมาะที่สุด ก็คืออดทนทำความดีไปก่อน เพราะสมัยนี้พระเข้านิโรธสมาบัติก็ไม่ได้มาประกาศบอกเรา เรื่องอภิญญาจะฝึกให้ได้เต็มที่ก็ลำบาก เพราะฉะนั้น..ตั้งหน้าตั้งตาทำความดีให้สม่ำเสมอ เรื่องศีลก็ได้ สมาธิก็ได้ ปัญญาก็ได้ เลือกทำเอา

เถรี
04-05-2013, 21:21
ถาม : แล้วเราจะทราบได้อย่างไรคะว่าพระเข้านิโรธสมาบัติ ?
ตอบ : มีสองอย่าง อย่างแรกท่านบอกแก่คณะสงฆ์ไว้ พระที่เข้านิโรธสมาบัติจะไม่ได้ทำกิจต่าง ๆ ร่วมกับคณะสงฆ์ จึงเป็นระเบียบที่บังคับไว้ว่า อย่างน้อย ๆ ต้องบอกให้เพื่อนพระรูปใดรูปหนึ่งรู้ไว้ ถ้าเข้าสังฆกรรมจะได้มีผู้รับมอบฉันทะ พูดง่าย ๆ ว่าออกสิทธิ์ออกเสียงแทนท่าน ดังนั้น..ต้องรอว่ามีใครประกาศบอกชัด ๆ เราจะได้ทำบุญกับท่าน แต่ส่วนใหญ่สมัยนี้แห่กันไปมืดฟ้ามัวดิน แทนที่จะได้คนเดียว ประเภทรวยวันนั้นเลย ก็เฉลี่ย ๆ กันไป

ประการที่สองสร้างทิพจักขุญาณให้เกิดและคล่องตัว จะได้รู้ว่าใครทำอะไรได้ขนาดไหน แต่ส่วนใหญ่ถ้าถึงระดับเข้านิโรธสมาบัติ กำลังของท่านจะสูงกว่าเรา ถ้าท่านตั้งใจปิดจริง ๆ เราก็ไม่ได้เห็นหรอก

เถรี
07-05-2013, 21:44
ถาม : ลูกที่เกิดมาสบายแสดงว่าเขาต้องมีบารมีดี ?
ตอบ : เด็กบางคนเกิดมาก็ต้องลำบากก่อน พอเขาเคยชินกับความลำบาก ต่อไปทุกอย่างจะสบาย เด็กที่เกิดมาแล้วสบาย อยู่ ๆ ไปพบกับความลำบากเข้าจะเอาตัวไม่รอด อาตมาถึงภูมิใจกับความเป็นเด็กบ้านนอกของตนเอง เมื่อลำบากมาทุกรูปแบบ จึงไม่มีอะไรลำบากสำหรับอาตมาอีกเลย

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : นั่นแหละ..บารมีเยอะต้องลำบาก ไม่อย่างนั้นก็ไม่สมกับที่สร้างบารมีมา..!

เถรี
07-05-2013, 21:48
ถาม : ถ้าเราแผ่เมตตาให้เจ้าที่เจ้าทางดูแลลูกของเรา ?
ตอบ : ต่อไปเปลี่ยนเป็นอุทิศส่วนกุศล ตั้งใจว่าผลบุญทั้งหมดที่เราทำมา ขอให้เจ้าที่เจ้าทางทั้งหลายที่รักษาขอบเขตบริเวณนี้ จะเป็นอากาศเทวดา รุกขเทวดา ภุมมเทวดาก็ดี หรือจะเป็นสัมภเวสี เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานก็ดี ขอให้โมทนาให้ส่วนกุศลที่เราอุทิศให้ ประโยชน์ความสุขใดที่เราจะได้รับขอให้เธอได้รับด้วย และก็ฝากให้เขาดูแลเรื่องความสะดวกปลอดภัยให้แก่ลูกของเราด้วย

ถาม : บางทีก็ฝากบ้านกับพระภูมิเจ้าที่
ตอบ : ถือว่าเป็นภาระที่พระภูมิเจ้าที่รับผิดชอบ เราให้ความเคารพท่าน หน้าที่ของท่านคือดูแลบริเวณนั้น

ถาม : ยังไม่เคยเห็นท่านเลยค่ะ
ตอบ : จะไปยากอะไร จุดธูปบอกท่าน คืนนี้ขอพบหน่อย ช่วยแสดงให้เห็นชัด ๆ ด้วย..!

เถรี
07-05-2013, 21:51
ถาม : ปกติตอนท่านมาแล้วเราเห็นคือสภาพจิตต้องนิ่ง ?
ตอบ : กำลังใจต้องอยู่ที่อุปจารสมาธิ อย่างเช่นตอนเคลิ้ม ๆ ใกล้หลับหรือตอนตื่นใหม่ ๆ สภาพจิตจะอยู่ในขั้นอุปจารสมาธิจึงเห็นได้ หรือไม่ก็ต้องรอว่าถ้าท่านอยากติดต่อกับเราจริง ๆ ท่านก็จะปรับมาให้อยู่ในระดับเดียวกับจิตเราตอนนั้น เราก็จะเห็นได้

ถาม : บางทีเราได้ยินแต่ไม่เห็น ?
ตอบ : ได้ยินก็ดีแล้ว

ถาม : ตอนที่เราได้ยินเสียงกับตอนได้เห็น สภาพจิตเราเท่ากันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เท่ากัน..แต่ว่าท่านตั้งใจให้ได้ยินเท่านั้น

เถรี
07-05-2013, 21:52
ถาม : ตอนทำสมาธิใจภาวนาไม่สงบเลยค่ะ ทีนี้ถ้าเราถนัดท่องพุทโธ ?
ตอบ : ถนัดแบบไหนให้ทำแบบนั้น เพราะสภาพจิตเราเคยชินแล้วจะยอมรับได้ง่ายขึ้น พออารมณ์ใจเริ่มทรงตัวแล้วเราค่อยเปลี่ยนไปภาวนาอย่างอื่น เช่น ถ้าเราภาวนาพุทโธจนชิน กำลังใจเราทรงตัวแล้วค่อยไปว่าอิติปิโส ๑๐๘ จบ เสร็จแล้วค่อยไปว่าคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบ พอว่าอย่างนั้นจบเราก็ย้อนเข้าหาพุทโธตามเดิม

เถรี
08-05-2013, 11:42
ถาม : ถ้าเราภาวนาแล้วควรทำอย่างไรต่อ ?
ตอบ : ทำเฉย ๆ รู้ว่าตอนนี้คำภาวนาหายไปลมหายใจหายไป สภาพจิตของเราตอนนั้นคิดอย่างไร เป็นอย่างไร เรามีหน้าที่รู้อย่างเดียว อย่าไปอยากให้หายใจใหม่หรืออย่าไปอยากให้ภาวนาใหม่ ขณะเดียวกันก็อย่าอยากให้เป็นอย่างนั้น มีหน้าที่รับรู้ไว้เฉย ๆ แล้วสภาพจิตจะเป็นไปตามสภาพของเขาเอง ก็คือเข้าสู่สมาธิระดับลึกยิ่งขึ้น แต่ถ้าเราไปไขว่คว้าหาคำภาวนาหรือหาลมหายใจ เท่ากับเราถอยหลังกลับ

ขณะเดียวกันถ้าเราอยากผลักดันให้ไปข้างหน้า อยากให้ไปดีกว่านี้ก็จะกลายเป็นฟุ้งซ่านไป ฉะนั้น..รับรู้ไว้เฉย ๆ ว่าตอนนี้เป็นอย่างนี้ จะเป็นอย่างไรก็เป็นไป เรามีหน้าที่ดูและรับรู้เท่านั้น

เถรี
08-05-2013, 11:46
ถาม : เวลาที่มีคนมาขอส่วนบุญ เราไม่รู้ว่าเขาเกี่ยวข้องกับเราหรือเปล่า ?
ตอบ : ต้องเคยมีส่วนเนื่องกันมา หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านใช้คำว่า "เสวยสุขอยู่ก็ดี เสวยทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี" เขาจะได้มีโอกาสโมทนา

ถาม : ถ้าไม่ใช่ญาติ กลัวว่าเขาจะไม่ได้ ?
ตอบ : บุคคลทื่รองรับความดีเราได้ ก็คือบุคคลที่อยู่ในภูมิระดับต่ำกว่าเรา ประเภทสูงกว่าหรือเท่ากับเรา เราให้ท่าน ท่านยินดีด้วย แต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์

ถาม : ถ้าเราอุทิศส่วนกุศลให้ครูบาอาจารย์ ?
ตอบ : ให้ไปท่านรับอยู่แล้ว แบบเดียวกับที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเปรียบเทียบว่า เหมือนกับการไปเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่แล้วซื้อข้าวของมาฝาก พ่อแม่ก็ไม่ได้ยินดีกับข้าวของนั้นอะไรหรอก เพราะท่านมีเหลือเฟือแล้ว แต่ท่านดีใจที่ลูกยังคิดถึงท่าน เราเอาข้าวของมาฝาก ผู้ใหญ่จะรักเอ็นดูเรา ถึงเวลาเรามีอะไรไม่เกินวิสัย ท่านก็จะสงเคราะห์ให้

การระลึกถึงครูบาอาจารย์เป็นกตัญญูกติเวทิตา ขณะเดียวกันการระลึกถึงพระรัตนตรัยก็เป็นการปฏิบัติบูชา

เถรี
08-05-2013, 11:53
ถาม : คุยกับเพื่อนทางธรรมด้วยกัน เขาจะชอบบอกว่าช่างสงสัย ครูบาอาจารย์ก็จะบอกว่าวิจิกิจฉาเยอะ ?
ตอบ : ถ้าเข้ามาปฏิบัติ ตัววิจิกิจฉาน้อยแล้ว วิจิกิจฉาจริง ๆ คือความลังเลสงสัยในคุณพระรัตนตรัย การที่สงสัยหาคำตอบไม่ได้แล้วถามคนอื่นถือเป็นเรื่องปกติ แต่วิจิกิจฉาคือสงสัยลังเลในความดีแล้วก็ไม่ปฏิบัติเสียที เพราะฉะนั้น..ไปตีความคำว่าวิจิกิจฉาเสียใหม่

เถรี
08-05-2013, 12:01
ถาม : เวลาเราสวดมนต์ต้องอาราธนาศีลห้าหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าเรารู้ว่าศีลคืออะไรแล้ว เราตั้งใจรักษาก็ไม่ต้องเสียเวลาอาราธนา การอาราธนาศีลจริง ๆ ก็คือการขอให้พระท่านบอกว่าศีลมีอะไรบ้าง ในเมื่อเรารู้ว่าศีลมีอะไรบ้าง ก็ไม่ต้องอาราธนา ให้ตั้งใจทำไปเลย

ถาม : กลัวว่าถ้าไม่อาราธนาศีลแล้วศีลจะไม่ครบ ?
ตอบ : ศีลอยู่ที่การงดเว้น ถ้าไม่งดเว้นแต่ไม่ผิดศีลก็ยังไม่มีอานิสงส์เลย เพราะเจตนาไม่มี ดังนั้น..เรารู้อยู่แล้วว่าศีลมีอะไรบ้าง ไม่ละเมิดศีลทั้งหลายเหล่านั้นก็แปลว่าเรามีศีลครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว

เถรี
08-05-2013, 12:09
ถาม : ถ้าเราสอนลูกให้รักษาศีลห้า ?
ตอบ : เล่นกับเขาสนุก ๆ เช่น ถ้าลูกตั้งใจท่องปาณาติปาตา เวรมณีฯ ได้ก็ชมว่าเก่งจังเลย ลองดูซิเก่งกว่าน้องดีแลนด์ได้ไหม ต่อไปท่อง อทินนาทานา เวรมณีฯ บอกเขาไปว่าถ้าเขาท่องแล้วเขาจะเก่งกว่าเพื่อนในห้อง เพราะเพื่อนในห้องยังท่องไม่ได้เลย เดี๋ยวลูกก็ตั้งใจทำเอง

หลังจากนั้นเราก็ค่อยอธิบายความหมายทีละนิดทีละหน่อย ว่าแต่ละข้อหมายถึงอะไร ต้องทำอย่างไร ถ้าลูกทำผิดก็อย่าไปดุเขา บอกว่า ถ้าลูกยังเป็นลูกที่แม่รักอยู่ ต่อไปอย่าทำอย่างนี้นะ เพราะจะเกิดโทษแก่ตัวเองอย่างนี้ ๆ แล้วถ้าลูกจะต้องตกไปอยู่ในที่ไม่ดี แม่ก็อยู่ด้วยไม่ได้ แล้วลูกจะอยู่กับใคร เห็นไหม..เรื่องหลอกเด็กง่ายจะตายไป

เถรี
08-05-2013, 12:15
ถาม : ถ้าอุทิศส่วนกุศลให้เขาบ่อย ๆ เขาจะมาหาบ่อยขึ้นหรือเปล่า ?
ตอบ : จะว่าอย่างนั้นก็ได้ เพราะไม่ว่าคนหรือสัตว์ พอตายไปแล้วจึงจะฉลาด ตอนนั้นก็เริ่มรู้ว่าอะไรคือความดี อะไรคือความชั่ว ที่ไหนที่มีคนทำบุญทำกุศล ตรงจุดนั้นจะสว่าง เขาจะเห็นได้ชัดเลย เขาก็จะไปเสาะหาดูว่า เขามีส่วนร่วมในบุญกุศลนั้นหรือเปล่า

ฉะนั้น..จะเรียกว่าทำให้เขามาเยอะขึ้นก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ท่านทั้งหลายที่ได้รับความดีส่วนนี้ พอสบายขึ้นแล้วมักจะกตัญญู รู้ว่าได้ดีเพราะเรา ถึงเวลาพอขอให้ท่านสงเคราะห์อะไรก็ได้ แต่ส่วนใหญ่เราก็ให้ไปเฉย ๆ ไม่ได้คิดจะขออะไร

เถรี
08-05-2013, 20:49
ถาม : ลูกเขามองไม่เห็นผี จะบอกเขาอย่างไร ?
ตอบ : บอกว่าเป็นเรื่องปกติ ผีมีอยู่ทั่วไป สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีอะไรน่ากลัว เราเป็นคนรวยเขาเป็นคนจน เขามาเพื่อขอแบ่งปันความดีจากเรา คนรวยไม่ควรจะกลัวคนจนที่มาขอ หน้าที่ของเราก็คือแบ่งปันให้เขา ถึงเวลามีอะไรที่ไม่เกินวิสัยก็ขอให้เขาช่วยสงเคราะห์

อาตมาไปธุดงค์ ป่าบางแห่งพวกนี้มีอยู่เต็มมาก พออุทิศส่วนกุศลให้เขามาเต็มไปหมด ถึงเวลาก็ขอให้เขาช่วยดูแลรักษาให้ ปรากฏว่าเขายืนซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ยาวเป็นกิโลเมตรเลย ถ้าเป็นคนก็เป็นกองทัพเลย ถ้าคนทั่วไปมาเห็นได้คงช็อกตาย ดีอยู่อย่างคือ ถ้าเขารับปากเราก็ปลอดภัยแน่นอน

อาตมาเป็นคนตื่นไม่เป็นเวลา บางทีก็ห้าทุ่ม-เที่ยงคืน หรือตีหนึ่งตีสอง ตื่นขึ้นมาก็เดินไปด้วย ภาวนาไปด้วย แปลกตรงที่ว่าถึงมืดแค่ไหนก็จะมองเห็นทางไปเรื่อย จะไปทางไหนก็มีทางให้ไป พอไม่มั่นใจลังเลเมื่อไร เขาจะมายืนกวักมือ แล้วเราก็ไปตามนั้นแหละ แปลกที่เสือสางช้างม้างูเงี้ยวเขี้ยวขอก็ไม่มี เดินไปได้เรื่อย ๆ

บางแห่งไม่เคยไปเลย ตั้งใจกำหนดนึกถึงเขา ก็เห็นเขามายืนโบกมือให้ไปทางนั้นทางนี้ พอเดินเข้าไปใกล้ ตรงนั้นอาจจะกลายเป็นก้อนหินหรือตอไม้ แต่อาตมาทำไมเห็นเป็นคนยืนอยู่ก็ไม่รู้ ?

ถาม : แล้วถ้าคนไม่เห็นเขาจะดลใจให้ไปทางนั้นได้ไหม ?
ตอบ : ได้

เถรี
08-05-2013, 21:03
ถาม : การที่เราไม่เห็นเขา แสดงว่า...?
ตอบ : กำลังใจของเราไม่ตรงร่อง ก็เลยไม่เห็นเขา การเห็นผู้อื่นได้เกิดจากสองอย่างด้วยกัน อย่างแรกคือเราปรับกำลังใจไปตรงกับเขา อย่างที่สองคือเขาปรับมาตรงกับเรา

การที่เราปรับตรงกับเขา ด้วยความที่เราไม่เคยชินก็จะยาก นาน ๆ จะตรงสักครั้งหนึ่ง ต้องผ่านการฝึกปรือมาสักระยะหนึ่งจนคล่องตัวแล้ว จึงปรับให้ตรงกับเขาได้ ส่วนที่ไหนที่เขากำลังสูงหน่อย เขาสามารถปรับมาตรงกับเราได้ ถ้าเขามาปรับมาจะชัดกว่า ถ้าเราปรับไปไม่ค่อยชัดหรอก ดังนั้น..การไม่เห็นก็เป็นเรื่องปกติ

เถรี
08-05-2013, 21:33
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อ ๔-๕ วันที่ผ่านมา มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งหนีไปอยู่วัด เขาไม่เคยไปมาก่อน หาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตแล้วนั่งรถไป กว่าจะไปถึงวัดก็ ๘ ชั่วโมง ไปขออยู่วัดเลย

อาตมาบอกว่าไม่ได้ ต้องให้พ่อแม่อนุญาตก่อน เขาก็โทรศัพท์กลับบ้าน อาตมาก็ทำวัตรเย็นไป พอทำวัตรเสร็จเขาบอกว่า "ป๊าอนุญาตให้อยู่วัดแล้ว" ถามว่าอนุญาตอย่างไร "ป๊าบอกว่าจะไปตายโหงตายห่าที่ไหนก็ไป..!"

วันรุ่งขึ้นพ่อ อา และพี่สาวมา อาตมาบอกเขาว่าไม่เห็นด้วยแต่แรกแล้ว เพราะออกมาในลักษณะนี้ทำให้คนอื่นเขาไม่เข้าใจ มองศาสนาในแง่ร้ายไปเลย ส่วนเด็กเขายืนยันว่า เขาอยากจะเร่งทำความดีไว้ ถ้าตายเสียก่อนเขาก็ยังไม่ได้ทำ แต่พ่อแม่ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ พูดกันคนละภาษาก็เลยไม่รู้เรื่องกันสักที ต้องให้น้องเล็กไปคุยด้วย บอกเขาว่าทำแบบนี้โลกช้ำธรรมเสีย

เขาก็ยืนยันว่า ไม่อยากเสียอารมณ์ใจอย่างนี้ไปอีก ก็คือพอทำมาถึงระดับนี้ อยู่ ๆ กำลังใจหล่นลงไปก็เสียดายมาก แล้วเมื่อไรจะตั้งกำลังใจได้ระดับนี้อีก เขาก็เลยทิ้งเรื่องการเรียนไป เขาเรียนเอแบคแล้วขอไปอยู่วัดแทน น้องเล็กบอกว่า เรื่องกำลังใจตกยังต้องเจออีกนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ใช่ว่ากำลังใจดีแล้วมาขออยู่วัด ดีไม่ดีจะตกตอนอยู่วัดนี่แหละ เพราะสถานที่ดีไม่ได้หมายความว่าคนที่อยู่ในวัดจะดีด้วย คนเมื่อไรก็เป็นคน การกระทบกระทั่งกันย่อมมีอยู่

ท้ายสุดพ่อก็รับปากว่าสงกรานต์จะพามาทำบุญที่วัด เขาพยายามจะให้พ่อเข้าวัดทำบุญด้วย พ่อเขาก็บอกว่าต้องทำมาหากิน จะให้เอาแต่ทำบุญย่อมเป็นไปไม่ได้ นั่งเถียงกันอยู่ตรงนั้นแหละ ท้ายสุดอาตมาตั้งใจจะทำพาวเวอร์พอยต์สำหรับประชุมกรรมการวัด ก็เลยไม่ต้องทำ ให้พ่อแม่ลูกเถียงกันจนหมดวัน ท้ายสุดเขาก็ต้องยอมกลับบ้าน"

เถรี
08-05-2013, 21:34
พ่อเขาก็มาถาม "หลวงพ่อมีอะไรให้ผมต้องทำบุญไหม ?" เพราะลูกเขาบอกว่าพ่อไม่ทำบุญเลย "หลวงพ่อกำลังสร้างศาลา ต้องการเงินทำบุญเท่าไรจึงพอ ?" อาตมาบอกว่า "เอาไว้รู้จักกันมากกว่านี้ก่อน ถ้าคุณไม่เปลี่ยนใจแล้วค่อยมาทำ" เขามากระซิบบอกว่า ส่วนใหญ่ไปที่อื่นแล้ว เขามักจะเรียกร้องให้ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ ทำเท่านั้นทำเท่านี้ เพิ่งจะมาเจอที่นี่แหละ ขอทำบุญแล้วยังไล่กลับอีก

อาตมาบอกเขาว่า "ให้ดูไปนาน ๆ ยังมีเวลาอีกมาก ถ้าเห็นว่าถูกใจแล้วค่อยมาทำบุญทีหลัง"

เถรี
13-05-2013, 09:11
ถาม : เราสวดมนต์ทุกวันกับนั่งสมาธิอย่างไหนจะดีกว่าคะ ?
ตอบ : ถ้าสวดมนต์เป็นก็คือนั่งสมาธินั่นแหละ แต่เป็นสมาธิขณะที่เราทำอย่างอื่นด้วย ส่วนการนั่งสมาธิถ้าไม่ใช่คล่องตัวจริง ๆ ยังสู้สวดมนต์แล้วทรงสมาธิไม่ได้ เพราะว่าการที่เราทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วทรงสมาธิได้ กับการที่เรานั่งสมาธิเฉย ๆ ความสำเร็จและความสามารถเป็นคนละระดับกัน

นั่งเฉย ๆ ได้สมาธิ ถ้าขยับอาจจะหลุดไปเลย แต่ถ้าเราทำอย่างอื่นแล้วทรงสมาธิได้ สมาธิก็จะอยู่กับเราได้นาน ฉะนั้น..ถ้าเราสวดมนต์ยาว ๆ จนทรงสมาธิทรงตัวได้ ต่อไปก็ทำอย่างอื่นไปด้วยได้

ถาม : เวลาสวดแล้วจิตสงบมั่นคงดีค่ะ
ตอบ : การสวดมนต์ถ้าเราทำเป็นถึงพระนิพพานได้ อันดับแรกก็คือสมาธิขั้นต้นต้องได้แน่นอน ถ้าสมาธิไม่ทรงตัวเราจะสวดผิด อันดับที่สองถ้าตั้งใจที่จะทรงฌาน ใช้คำสวดทั้งหมดเป็นคำภาวนา เท่ากับว่าเราภาวนาโดยใช้คาถาทั้งบท แต่เป็นคำภาวนาที่ยาวหน่อย จนกระทั่งสมาธิสามารถทรงตัวได้ตามที่ต้องการ

อันดับต่อไปถ้าจะทำทิพจักขุญาณ เวลาสวดมนต์ให้นึกถึงคำสวดมาเป็นคำ ๆ ถ้าเห็นตัวหนังสือได้ชัดเท่าไร เราก็จะเห็นผีเห็นเทวดาได้ชัดเท่านั้น ท้ายสุดถ้ายกจิตขึ้นพระนิพพานได้ ให้ยกจิตขึ้นไปสวดถวายพระพุทธเจ้าข้างบนเลย ตายตอนนั้นก็อยู่บนพระนิพพานเลย เพราะฉะนั้น..อย่าไปคิดว่าแค่สวดมนต์ สำคัญว่าเราทำได้แค่ไหน ถ้าเราทำเป็น ประยุกต์ใช้เป็น แค่สวดมนต์ไปพระนิพพานได้สบาย

ถาม : สวดมนต์บทใดก็ได้ ?
ตอบ : อะไรก็ได้ ยิ่งสวดเยอะยิ่งดี อย่างน้อยขณะที่เราสวดอยู่ เราก็ทำความชั่วไม่ได้ ทำความชั่วทางกายไม่ได้ เพราะนั่งอยู่ตรงนั้นต่อหน้าพระ ทำความชั่วทางวาจาไม่ได้ เพราะปากต้องสวดมนต์ อย่างเก่งก็นึกแช่งคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง เป็นเพียงความชั่วทางใจเล็ก ๆ เท่านั้น

เถรี
13-05-2013, 09:13
พระอาจารย์กล่าวกับพ่อแม่ของเด็กว่า "พาเด็ก ๆ มาวัดได้ มาที่นี่ได้ แต่อย่าให้เขารำคาญ เพราะเดี๋ยวเขาจะไม่มาอีก ฉะนั้น..ถ้าจะชวนเด็กมา ต้องมีวิธีหลอกล่อเขาด้วย"

เถรี
13-05-2013, 09:23
ถาม : อารมณ์ระดับของพระอริยเจ้าเราสามารถรู้ได้ไหมคะ ?
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ จ้ะ ทำถึงแค่ไหนก็รู้ได้แค่นั้น แต่บางคนเขาเข้าใจผิด อย่างเช่นว่าถึงความเป็นพระโสดาบันละเอียด แต่คิดว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ก็มี เพราะไม่เคยชินกับอารมณ์นี้ พอเข้าไปถึงก็ โอ้..ทำไมถึงสุขอย่างนี้ ทำไมเบาสบายอย่างนี้ คิดว่าเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ที่ไหนได้เป็นตั้งพระโสดาบัน..!

ถาม : หมายความว่าเราต้องฝึกสมาธิให้เยอะ ?
ตอบ : ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องครบจ้ะ อย่างเดียวไปไม่รอด มีศีลเป็นพื้นฐาน มีสมาธิช่วยในการยับยั้งและตัดกิเลส มีปัญญารู้เห็นตามสภาพความเป็นจริงแล้วปล่อยวางได้ ต้องมีให้ครบ

เถรี
13-05-2013, 09:27
ถาม : พระอริยเจ้ามีเยอะไหมคะ ?
ตอบ : เยอะจ้ะ..บางทีเดินชนกันตายไปหลายรูป แต่เราก็ยังไม่รู้จัก..!

ถาม : เราไม่ทราบว่าท่านไหนเป็น จะได้ทำบุญด้วย ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจจ้ะ ทำบุญกับใครก็ได้ ตั้งใจเป็นสังฆทานหรือไม่ถ้าสมาธิดี ๆ ก็ใช้วิธีตั้งใจน้อมจิตน้อมใจกราบท่าน แต่นึกถึงพระรัตนตรัยแทน ถ้าตั้งใจกราบท่านด้วยความเคารพนอบน้อมในพระรัตนตรัยจริง ๆ ต่อให้ท่านตั้งใจปิดอย่างไรก็ตาม จะปิดกระแสเย็นไม่ได้ จะรู้สึกว่าท่านมีความเย็นที่ชวนให้เราชิดใกล้อยู่ตลอดเวลา ถ้าอย่างนั้นก็มั่นใจได้ว่าท่านต้องเป็นพระอริยเจ้าระดับใดระดับหนึ่งแน่ ๆ

เถรี
13-05-2013, 09:36
ถาม : ถ้าเราฝันถึงพระอริยเจ้า อย่างนี้หมายความว่าอะไรคะ ?
ตอบ : หมายความว่าฝัน..! จะเอาอะไรมากมาย ถ้าเราสามารถฝันถึงสิ่งที่ดีได้ ก็แปลว่ากำลังใจของเราอยู่ในด้านดีมากกว่า ถ้ากำลังใจของเราอยู่ในด้านไม่ดี จะไม่ฝันถึงสิ่งดี ๆ หรอก นับแล้วก็คือกำลังใจของเราทรงตัวอยู่ในด้านดีระดับที่น่าพอใจ

เถรี
13-05-2013, 09:47
ถาม : เมื่อก่อนจะนั่งไปแล้วมีปีติ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีค่ะ ?
ตอบ : เดี๋ยวนี้แย่ลง ไม่ปีติเลยใช่ไหม ? ..(หัวเราะ).. ส่วนใหญ่คนเราจะเข้าใจผิด อยากจะบอกว่าปีติเป็นแค่เด็กชั้นประถม พอเราทำไป ๆ สภาพจิตเคยชินกับความดีก็จะก้าวข้ามปีติไป ถ้าก้าวข้ามปีติไปแปลว่าเราทรงฌานในความดีนั้นได้

ในเมื่อทรงฌานในความดีนั้นได้ เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าความดีนั้นยังมีอยู่ ไม่ได้ถดถอยไปไหน ? ก็ให้ดูว่าเรายังยินดีในการทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาเป็นปกติหรือเปล่า ? ถ้าเรายังยินดีที่จะให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาเป็นปกติ ก็แปลว่ากำลังใจเราก้าวข้ามความดีจากปีติไปเป็นฌานแล้ว

เราทำอะไรก็เลยรู้สึกเฉย ๆ ไม่มีปีติอีก ไม่ได้หมายความว่ากำลังใจลดลง หากแต่ก้าวสูงไปจากเดิม ถ้าอยากจะปีติอีกก็ต้องลดกำลังใจลงมา ซึ่งถ้าไม่คล่องตัว ลดไม่เป็นก็ไม่เจอหรอก

ฉะนั้น..คนที่ทำบุญไปนาน ๆ แรก ๆ มีปีติ หลังจากนั้นก็ตายด้าน เฉย ๆ ไป ไม่ใช่กำลังใจแย่นะจ๊ะ กำลังใจดีขึ้น แต่เราไม่รู้ว่ากำลังใจดีขึ้น ก็ไปคิดว่า เอ..เราเลวลงหรือเปล่า ? ทำไมตอนนี้ทำบุญไม่มีความปีติเลย ? นั่นกลายเป็นฌานไปแล้วจ้ะ เป็นฌานก้าวข้ามปีติไปแล้ว แต่พิจารณาง่าย ๆ ว่าเรายังยินดีทำสิ่งนั้นเป็นปกติ ถึงเวลามีบุญมีกุศลที่ไหน เราก็เต็มใจทำ ถึงเวลาเราก็รักษาศีล เจริญภาวนาได้ ก็แปลว่าเราทรงฌานในความดีได้

เถรี
13-05-2013, 09:52
ถาม : บางทีนึกว่าเราเข้ามาทางธรรมช้าไป กว่าที่จะได้เจอครูบาอาจารย์ ?
ตอบ : ไม่ต้องเสียดาย แต่ละคนมีวาระของตัวเอง ถ้ามัวแต่เสียดายอยู่ คิดหรือว่าถ้าเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วเราจะอยู่ได้แบบนี้ ? อาจจะประเภททะเลาะกันบ้านแตกไปตั้งนานแล้วก็ได้ ฉะนั้น..จะมาเร็วมาช้า ไม่ใช่สาระสำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่า เมื่อมาพบความดีแล้ว เราไขว่คว้าเอาไว้ได้หรือเปล่า ?

ถาม : กว่าเราจะเจอครูบาอาจารย์ได้ก็ไปหลายที่ ?
ตอบ : แรก ๆ เราก็ต้องตะเกียกตะกายไว้ก่อน หิวมากจะเข้าร้านอาหารที่ไหนก็ได้ พอกิน ๆ ไปเริ่มอิ่ม รู้ว่ารสอาหารไม่ถูกใจค่อยเปลี่ยนร้านไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็เจอที่ถูกใจไปเอง

เถรี
13-05-2013, 09:58
ถาม : บางทีเจอครูบาอาจารย์ที่ถูกใจ แต่ท่านก็ละสังขารไปแล้ว ?
ตอบ : เราก็อย่าไปละสังขารตามท่านสิ คนตายความดีไม่ได้ตาย ในเมื่อความดีไม่ได้ตาย เราก็ยึดตามหลักปฏิบัติของท่าน ตั้งหน้าตั้งตาทำตามท่าน อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า โย ธัมมัง ปัสสะติ โสมัง ปัสสะติ ถ้าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นจะเห็นเรา เพราะถ้าเราไม่ได้ยึดมั่นและปฏิบัติตามคำสอนของท่าน ก็เท่ากับไม่เห็นท่าน ถ้าเรายึดมั่นแล้วปฏิบัติตามคำสอนของท่านด้วยความเคารพและจริงจัง ก็เท่ากับอยู่กับท่านตลอดเวลา

ฉะนั้น...ครูบาอาจารย์จะยุคไหนสมัยไหนก็ไม่เป็นไรหรอก ถ้ายึดถือท่านเป็นครูบาอาจารย์ ระลึกถึงแล้วปฏิบัติตามท่านก็ใช้ได้เหมือนกัน

ถาม : แสดงว่าเรามีความเกี่ยวเนื่องกับท่าน ?
ตอบ : ต้องเคยมี ถ้าไม่มีก็ไม่ตามกันมา

ถาม : เคยเหมือนเห็นหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมา แต่ก็ไม่แน่ใจว่าท่านมาจริงหรือเปล่า ?
ตอบ : สมัยนี้ไม่ต้องรอให้ท่านมา ไปซื้อซีดีมาสักแผ่นแล้วมานั่งดูเสียให้พอ เห็นชัดแจ๋วเลย..!

เถรี
14-05-2013, 13:27
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : แสดงว่าจิตเริ่มมีมุทิตาในพรหมวิหารแล้ว สมัยที่อาตมาฝึกเรื่องพวกนี้อยู่ สภาพจิตตอนนั้นเห็นใครเขาได้รับความดี ก็รู้สึกยินดีกับเขาไปหมด ขนาดเดินบิณฑบาต ก้มหน้าก้มตาเดินไปภาวนาไป ได้ยินเสียงรถ เออ..เขาทำบุญไว้ดีจังเลยนะ มีรถขี่ น่ายินดีมากเลย พลอยดีใจกับเขาไปด้วย

ใครยังไม่เคยฝึกไปลองฝึกดู ถ้าทำสำเร็จก็เหมือนกับคนบ้าดี ๆ นี่เอง เจอใครก็ยิ้มกับเขาได้หมด ไม่มีใครยิ้มกับพื้นก็ยังเอา อยู่บ้านไม่มีใครจะยิ้มด้วย ก็ยิ้มกับจิ้งจกตุ๊กแกได้หมด ลองทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน สวนกระแสเขาก็หาว่าบ้าดี ๆ นี่เอง..!

เถรี
14-05-2013, 13:37
ถาม : คนที่ตัดสินใจทิ้งทุกอย่างไปบวช โดยที่ปล่อยพ่อแม่ไว้ข้างหลัง และท่านไม่เต็มใจด้วย ท่านชราภาพเกินกว่าที่จะดูแลตัวเองได้ การตัดสินใจแบบนี้จะเป็นการอกตัญญูไหมครับ ? หรือการสร้างบุญให้ท่านหลังความตายเป็นสิ่งที่คุ้มค่ามากกว่า ?
ตอบ : ไม่น่าจะบวชได้นะ เพราะว่าการบวชพ่อแม่ต้องอนุญาต เพราะฉะนั้น..ประเด็นอื่นจึงไม่ต้องตอบ ตอนจะบวชพระคู่สวดท่านถามว่า อนุญาโตสิ มาตาปิตูหิ มารดาบิดาอนุญาตแล้วหรือ ? แล้วเราจะไป "อามะ ภัณเต" อนุญาตแล้วครับได้อย่างไร ?

เถรี
14-05-2013, 13:42
ถาม : คนที่ปรารถนาพุทธภูมิ เวลาเห็นคนอื่นทำงาน รู้สึกขัดตา ขัดหู ไม่ได้ดั่งใจ เลยลงมือทำเสียเองให้หมดเรื่อง ถ้ามีความคิดแบบนี้สมควรจะปรารถนาพุทธภูมิต่อไปหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ทำถูกแล้ว เพราะพุทธภูมิต้องสงเคราะห์คนหมู่มาก ในเมื่อเขาทำไม่ไหว เราทำเองแทนเขาก็ถูกต้องทุกประการ เพียงแต่ต้องทนขี้รำคาญหน่อย และงานก็มากขึ้น

ถาม : ถ้าจะบอกว่านิสัยแบบนี้เป็นนิสัยละเอียด ทำงานร่วมกับคนอื่นไม่ได้ ?
ตอบ : ทนเห็นคนโง่ไม่ได้..! ไม่ใช่ทำงานร่วมกับเขาไม่ได้ ในเมื่อทนเห็นคนโง่ไม่ได้ ก็ต้องสงเคราะห์คนโง่ด้วยการทำแทน

เถรี
14-05-2013, 13:45
ถาม : มีวิธีปิดหูปิดตา ไม่ให้รับรู้หรือมองเห็นพวกผีไหมครับ ผมรำคาญมากเลย ?
ตอบ : มี

ถาม : ทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ไปเป็นผีเสียเอง..!

ถาม : ผมช่วยแล้วรู้สึกหนัก ๆ ?
ตอบ : ก็หัดปฏิเสธไปบ้างสิ ไม่ใช่ช่วยไปหมด รู้ว่าตัวเองไม่ไหวแล้วยังช่วย นี่เป็นนิสัยพุทธภูมิแท้ ๆ เลย เชื่อเถอะ..เดี๋ยวก็ต้องกลับไปช่วยอีกจนได้ เพราะรู้สึกผิดว่าเราช่วยได้แต่ทำไมไม่ช่วย

เถรี
14-05-2013, 13:50
ถาม : สัมภเวสีที่มาเกาะตามร่างกาย ?
ตอบ : พวกที่มาเกาะมีน้อยมาก ส่วนใหญ่แล้วพวกที่เป็นเจ้ากรรมนายเวร ขี่คอเรามาแบบในโทรทัศน์นั้นมีน้อย พวกนี้จะเป็นพวกที่โดนบังคับใช้มา เพื่อที่จะครอบงำเราอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งก็คือ พวกที่เขาเกาะติดตามเรามาเพราะต้องการทวงถาม หรือมีกรรมบางอย่างที่เนื่องกันมา ซึ่งมีน้อยมาก เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วเรามีเทวดาประจำตัว มีกุศลผลบุญที่ทำเอาไว้ มีครูบาอาจารย์คุ้มครองอยู่ ถ้าไม่ใช่ประเภทดวงตก สมาธิตก จิตตก หรือเคราะห์หนักจริง ๆ พวกนี้เกาะไม่ได้หรอก

ถาม : พวกที่เข้ามาแทรกแซง ?
ตอบ : ยาก...อย่างดีก็แค่กลั่นแกล้งให้เราเจ็บไข้ได้ป่วย หรือทำอะไรให้ลำบากเท่านั้น เรื่องของการที่เราจะโดนครอบงำ ถ้าไม่ได้อยู่ในสภาวะเจ็บไข้ได้ป่วย หรือสภาพจิตเศร้าหมองอ่อนแอจริง ๆ แล้วแทบจะทำอะไรเราไม่ได้

เถรี
14-05-2013, 20:36
ถาม : คนในสมัยพุทธกาลที่ทรงกำลังใจดี อยากทราบว่าปัจจุบันนี้ถ้าทรงกำลังใจอย่างนั้นแล้ว ถ้ามีภาระหน้าที่ ท่านต่าง ๆ จะออกบวชเลยหรือรอจนกว่าพระพุทธเจ้าจะเอ่ย ?
ตอบ : ใครจะไปตัดสินใจแทนได้เล่า ?

ถาม : สมัยปัจจุบันมีไหมครับ ?
ตอบ : มีทุกรูปแบบ ที่วัดท่าขนุนเมื่อสองสามวันก่อน อาตมาเพิ่งไล่กลับบ้านไป เขาหนีจากบ้านจะมาอยู่วัด อาตมาขี้เกียจมีปัญหา พวกที่หนีพ่อแม่ไปบวช ถึงเวลาเขาไม่ได้ด่าลูก แต่เขาด่าพระ..!

ปัญหาที่คุณถามต้องดูตัวอย่างพระเจ้ามหานามะ พระเจ้ามหานามะเป็นกษัตริย์ของตระกูลศากยะเหมือนกัน ฟังเทศน์พระพุทธเจ้าแล้วบรรลุอนาคามี ปกติพระอนาคามีเป็นผู้ไม่ครองบ้านเรือน ก็คือออกบวช แต่คราวนี้ในตระกูลของตัวเอง มีน้องชายก็คือพระอนุรุทธ ท่านบอกกับพระอนุรุทธว่า ใคร ๆ ในตระกูลศากยะของเราออกบวชตามพระพุทธเจ้ากันมาก เจ้าจะบวชหรือจะให้พี่บวช ?

พระอนุรุทธบอกว่า "การเป็นนักบวชนั้นลำบาก น้องทนไม่ได้หรอก พี่ไปบวชเถอะ" พระเจ้ามหานามะตรัสว่า "ถ้าอย่างนั้นเจ้าจงเป็นกษัตริย์แทนเรา" แล้วก็บรรยายให้ฟังว่ากษัตริย์ต้องทำอะไรบ้าง แค่พูดถึงการทำนาอย่างเดียว พระอนุรุทธบอกว่า " พี่อยู่ครองราชย์ไปเถอะ ผมไปบวชดีกว่า.."

สรุปลงตรงที่ว่า พระเจ้ามหานามะท่านเป็นถึงพระอนาคามีแล้ว ยังต้องทนครองราชย์ต่อไปเพื่อเสียสละให้น้องไปบวช ฉะนั้น..ถ้าเราเองไม่ถึงขนาดนั้นก็ทนอยู่ไปเถอะ หาจังหวะดี ๆ แล้วค่อยไป ไปแบบที่แหงนหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ใครก็นินทาเราไม่ได้

เถรี
14-05-2013, 20:40
ถาม : พระท่านจะมาบิณฑบาตตอน ๑๐-๑๑ โมง หนูควรใส่บาตรไหมคะ ?
ตอบ : ควรไหม ? ถ้ามีโอกาสก็ใส่ แสดงว่าท่านไม่รู้ระเบียบ เจ้าคณะกรุงเทพมหานครออกคำสั่งมาเป็น ๑๐ ปีแล้ว ว่าห้ามพระบิณฑบาตเกิน ๘ โมงครึ่ง งานนั้นถ้าพระวินยาธิการเจอก็โดนคว้าไปเลย พระวินยาธิการคือตำรวจพระ

ถาม : แล้วหนูควรทำไหมคะ ?
ตอบ : มีโอกาสก็ทำจ้ะ ของเรา..เราฉวยเอาโอกาสตรงหน้า

ถาม : แล้วไม่เป็นการสนับสนุนให้ท่านทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ หรือคะ
ตอบ : มีโอกาสก็กระซิบบอกท่านว่า ระเบียบของทางเจ้าคณะ กทม. ห้ามบิณฑบาตเกิน ๘ โมงครึ่ง หลวงพ่อระวังเจอพระวินยาธิการเขาจับไปสอบสวนหรือจับสึก บางทีท่านก็ไม่รู้จริง ๆ

เถรี
14-05-2013, 20:46
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการปฏิบัติธรรมต้องอยู่ในลักษณะโลกไม่ช้ำ ธรรมไม่เสีย ถ้าคิดจะทิ้งเรื่องทางโลกไป ก็ให้ดูความเหมาะสมหน่อย

มีอยู่คู่หนึ่ง ไปวัดทีไรไปแบบฟ้าถล่มดินทลายทุกที อาตมาก็ต้องมาตามล้างตามเช็ดให้เขาทุกงาน แต่ก็ยังดี..อย่างน้อย ๆ เขาก็เข้าวัด คนล่าสุดอาตมาเพิ่งบอกกับพ่อเขาไปว่า ยังดีที่ลูกยังเข้าวัด ทางวัดจำเป็นต้องให้พักก่อน เพราะว่าพ้นจากนี้ไป ถ้าเขาไม่โทรกลับบ้าน แล้วโยมจะไปหาเขาที่ไหน ?"

เถรี
14-05-2013, 20:48
ถาม : เราจะดูจากไหนว่ากรรมฐานกองนั้นเหมาะกับเรา ทำแล้วได้ดี ?
ตอบ : ดูความชอบ ถ้าชอบแล้วตั้งใจทำจะได้ดี ง่ายนิดเดียว แค่นั่งอ่านไปเรื่อย

ถาม : ถ้าเราขอบารมีพระท่าน ?
ตอบ : ชอบหัวข้อไหนขึ้นมาก็คว้าไปทำแล้วจะได้ดี ถ้ามีความชอบแสดงว่าของเก่ามีอยู่ ทำก็จะได้ผลเร็วกว่า แต่ถ้าทำไปเรื่อยเปื่อย บางอย่างเท่ากับเริ่มต้นใหม่ ก็ช้าหน่อย

เถรี
14-05-2013, 21:23
ถาม : การสร้างพระองค์โตไปไว้ที่วัด จำเป็นไหมคะ ?
ตอบ : ถามว่าจำเป็นไหม ? ถ้าคนตายลำบากนี่จำเป็นมาก แต่ต่อให้สบายแล้วเขาก็ยังอยากได้บุญส่วนนี้ เพราะว่าเรื่องของพระพุทธรูปสร้างไป ถ้าใครได้บุญกุศลส่วนนั้นจะมีรัศมีกายสว่างมาก ในภพอื่น โลกอื่น เขาวัดกันที่รัศมีกายว่าใครมีศักดานุภาพมากกว่า ยิ่งสว่างมากก็ยิ่งมีอานุภาพมาก

ถาม : เราสามารถที่จะทำได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าทำได้โดยไม่ลำบากก็ทำ ไม่ต้องเยอะหรอก ใหญ่สุดสักขนาดหน้าตักประมาณสามสิบนิ้วก็พอ ขืนสร้างมากกว่านี้เดี๋ยวหมดเงินมาก พระพุทธเจ้าไม่มีประมาณอยู่แล้ว พุทโธ อัปปมาโณ จะองค์เล็กองค์ใหญ่อานิสงส์ก็มหาศาล

ถาม : จำเป็นไหมคะที่ต้องตั้งเจตนาวัดใดวัดหนึ่ง ?
ตอบ : ไม่ต้อง...ไว้ที่ไหนก็ได้ เพียงแต่ไปบอกทางวัดก่อนว่าจะถวายพระพุทธรูป ให้ท่านเตรียมสถานที่ ๆ เหมาะสมไว้ให้

เถรี
14-05-2013, 21:36
ถาม : ไทยรบกับพม่าที่ทุ่งลาดหญ้า ไทยหลอกพม่าหรือเปล่า ?
ตอบ : พม่าเขาเจตนาจะตีไทยให้ได้ ไทยเราก็ได้รับบทเรียนแล้วว่า ที่อยุธยาแตกเพราะมัวแต่ตั้งรับอยู่ในเมือง จึงต้องออกไปรบกันข้างนอก ต่อให้แพ้ก็แปลว่ายังไม่เสียเมือง ท้ายที่สุดตรงจุดที่เห็นว่าเหมาะที่สุดก็คือที่ทุ่งลาดหญ้า

ถาม : ที่ทุ่งลาดหญ้ามี...(ไม่ชัด)..
ตอบ : จำไม่ได้แล้วเพราะนาน จำได้แต่ว่าเมื่อหลายปีก่อนเคยไปช่วยเขาอยู่ประมาณ ๒๐๐ กว่าคน เจ้าของบ้านเขาเดือดร้อนจนอยู่แถวนั้นไม่ได้ เขาไปขอให้ช่วยหน่อยก็เลยไปดู ปรากฏว่าเป็นกองทัพจากศึกทุ่งลาดหญ้า ทั้ง ๒๐๐ กว่าคนนี้ได้รับคำสั่งว่าให้ไปตาย จะยอมอาสาไหม ? เขาก็ยอม

คำว่าให้ไปตาย ก็คือไปรบเพื่อยั่วให้ทหารพม่าไล่ตาม จนกระทั่งถลำเข้ามาในวงล้อม ก็แปลว่าทั้งหมดนั้นตั้งใจไปตายตั้งแต่แรก เขาก็เลยรบลักษณะที่เรียกว่าถวายชีวิต ในเมื่อเจอกำลังรบในลักษณะอย่างนั้นทหารพม่าจึงสูญเสียมาก กองทัพใหญ่เกิดโทสะก็ไล่เข้ามาเรื่อย กระทั่งถลำเข้ามาในวงล้อมของไทย

อาตมาก็เลยให้เขาไปเลี้ยงพระ ๙ รูป ถวายสังฆทานมีพระพุทธรูป อุทิศส่วนกุศลให้ท่านทั้งหลายเหล่านี้โดยเฉพาะ เรื่องถึงได้สงบ ไม่อย่างนั้นบ้านนั้นไม่มีใครอยู่ได้ วันดีคืนดีเขาก็ออกมารบกันอีโหล่งโฉ่งเฉ่งอยู่ตรงนั้น..!

เถรี
14-05-2013, 21:40
ถาม : ทำไมเขายังไม่ไปเกิด ?
ตอบ : เวลาของเขาแค่ ๓ - ๔ วันเอง เพราะ ๕๐ ปีของเราเท่ากับ ๑ วันของเขา สองร้อยกว่าปีเพิ่งจะไม่กี่วัน

ถาม : เขาอยู่ในสภาพผีหรือเทวดา ?
ตอบ : ก็ผีนั่นแหละ เป็นสัมภเวสีอยู่ตรงนั้นแหละ เหตุที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่าแรงกรรมฉุดอยู่ เนื่องจากจิตที่มุ่งต่อหน้าที่ ไม่ยอมปลดตัวเองออกมา ก็เลยไปไหนไม่ได้ จึงติดอยู่แค่นั้น ท่านทั้งหลายเหล่านี้เสียสละมาก ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไปตายยังเต็มใจไป

ถาม : ไม่เท่ากับฆ่าตัวตายหรือครับ ?
ตอบ :คนละอย่างกัน..นี่เขาตายเพื่อรักษาหน้าที่ รักษาชาติบ้านเมืองให้เรา

เถรี
15-05-2013, 12:17
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ :ถ้าใครอยู่ที่สูงกว่าจะสอนที่ต่ำกว่าได้ทั้งหมด ในเมื่อสอนที่ต่ำกว่าได้ทั้งหมด ถ้าท่านไปถึงระดับนั้นแล้วก็สอนได้ทั้งนั้น แม้แต่ท่านปู่พระอินทร์หรือว่าท่านปู่ท้าวสหัมบดีพรหมก็ถามได้ยันอารมณ์พระอรหันต์เลย เพราะถ้านับแล้วก็คือท่านเป็นพระอรหัตมรรค แต่ที่ท่านยั้งเอาไว้เพราะว่าต้องรอให้พ้นวาระหน้าที่แล้วถึงไป ถ้าไม่รอท่านไปนานแล้ว รอให้หมดวาระการอยู่ในตำแหน่ง เหมือนอย่างเรียนจบแล้ว รอวันรับปริญญาบัตรเท่านั้น

ฉะนั้น..ท่านอยู่ลักษณะของพระอรหัตมรรคก็จริง แต่ท่านบอกว่าถามได้ยันพระอรหัตผลเลย..!

เถรี
15-05-2013, 13:34
ถาม : พอดีย้ายบ้านแล้วมีคนทำของเข้า ?
ตอบ : ถ้าหาธงมหาพิชัยสงครามหรือยันต์เกราะเพชรของวัดท่าซุงรุ่นเก่าได้ ก็เอานั่นแหละไปใช้ ถ้าไม่ได้ก็เอายันต์เกราะเพชรของตรงนี้แหละไปติดไว้ แล้วอาราธนาทุกวัน พวกนี้เราอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไรเขาหรอก เขาทำอะไรมาเดี๋ยวก็ย้อนกลับไปเอง ดูของเก่าวัดท่าซุงก่อนนะจ๊ะ เอาครูบาอาจารย์ของอาตมาก่อน ถ้าหาไม่ได้จริง ๆ แล้วค่อยเอาที่นี่ไป

ถาม : ต้องแก้ไขอย่างไรคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องหรอกจ้ะ เพราะถ้ามียันต์เกราะเพชรหรือธงมหาพิชัยสงคราม แล้วอาราธนาทุกวัน เขาทำอะไรเราจะย้อนคืนไปหลายเท่า วัตถุมงคลเหล่านี้เป็นศัตรูกับเรื่องของไสยศาสตร์โดยตรงเลย

เถรี
15-05-2013, 13:40
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อภัยให้เขาเถอะ คนที่เขาทำลักษณะอย่างนั้นเขาต้องลงที่ต่ำแน่ ๆ แทนที่จะโกรธเขาก็สงสารเขาเถอะ ถ้าหาทางช่วยเขาได้ก็ช่วย อาตมาไปอยู่ที่อื่น รูปหล่อหลวงปู่ปานกับหลวงพ่อวัดท่าซุงจะเก็บไว้ในห้องตัวเอง เพราะถ้าไว้ข้างนอก พวกปากเสียจะเดือดร้อนอีกเยอะ เนื่องจากหลวงพ่อวัดท่าซุงมีอะไรท่านก็ว่าตรง ๆ คนที่เขาเชื่อก็ได้กำไร คนที่ไม่เชื่อแค่เสมอตัว แต่คนไม่เชื่อแล้วปรามาสด้วยจะขาดทุนเยอะ

ฉะนั้น...ตัวเราไม่ควรจะเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่นเขาด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ก็เลยต้องหาทางช่วยเขาด้วยการเก็บไว้ในห้องของตัวเอง อย่าให้คนอื่นเห็น คุณลองดูซิว่าไปวัดท่าขนุนเห็นรูปหลวงปู่ปานหรือหลวงพ่อวัดท่าซุงไหมเล่า ? ไม่มีหรอก..ขืนเอาไปเดี๋ยวพวกนั้นซวยกันอีกเยอะ

เถรี
15-05-2013, 13:44
หลังจากมีเด็กมาขอพรวันเกิด พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กอยู่ในช่วงเจริญขึ้น คนแก่อยู่ในช่วงเสื่อมลง คราวนี้การเจริญขึ้น คนที่มีปัญญาเขาเห็นว่าจริง ๆ กำลังก้าวไปหาความเสื่อม เพราะฉะนั้น..บางทีแล้วการปฏิบัติดูจะสวนทางกับคนทั่ว ๆ ไป เขาเห็นว่าเป็นความดี ความงาม ความเจริญ แต่เราเห็นว่ากำลังก้าวไปสู่ความเสื่อม

ฝรั่งเขาถึงบอกว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เน้นในเรื่องของความทุกข์ ทำให้คนไม่อยากจะมาปฏิบัติ อะไร ๆ ก็ทุกข์ ได้ยินแล้วเศร้าหมอง เขาว่าเป็นศาสนาที่มองโลกในแง่ร้าย..!"

เถรี
15-05-2013, 14:33
ถาม : อานาปานสติเป็นพื้นฐานกรรมฐาน ถ้าเป็นกสิณจะต้องมีอานาปานสติหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีแล้วคุณจะทรงกสิณได้อย่างไร ? คำภาวนา "ปฐวีกสิณัง อาโปกสิณัง" ทุกอย่างต้องควบลมหายใจเข้าออกหมด ถ้าไม่ควบลมหายใจเข้าออก สมาธิจะไม่ทรงตัว ภาพกสิณก็ตั้งมั่นไม่ได้ พูดง่าย ๆ ว่ากรรมฐานอะไรก็ตาม ถ้าทิ้งลมหายใจเข้าออกอย่างเก่งก็ทรงตัวได้พักเดียว ถ้าไม่มีตัวสมาธิคอยช่วย การจะเข้าถึงที่สุดของกรรมฐานกองนั้นก็ไม่มี สมาธิจะเกิดได้ด้วยการดูลมหายใจเข้าออกเป็นหลัก

ถาม : ในอานาปานสติ ภายในคืออะไร ภายนอกคืออะไร ?
ตอบ : ภายในคือลมหายใจของเราเอง ภายนอกก็คือร่างกายนี้ หรือถ้ามีปัญญามากพอก็ดูเกินร่างกายนี้ไปที่ร่างกายคนอื่นก็ได้ แต่การที่เราจะไปดูร่างกายคนอื่น ส่วนใหญ่เป็นการส่งจิตออกนอก แล้วฟุ้งซ่านได้ง่าย เขาก็เลยเน้นว่ากายในคือลมหายใจเข้าออกเป็นหลัก แล้วกายภายนอกก็คือกายตัวเอง

ถาม : เป็นกายอย่างอื่นไม่ได้ ?
ตอบ :เป็นกายอย่างอื่นได้ แต่ส่งไกลไปเดี๋ยวคุมไม่อยู่

ถาม : อิริยาบถภายในคืออะไร ภายนอกคืออะไร ?
ตอบ : อิริยาบถภายในก็คือตัวสติที่ควบคุม แล้วภายนอกก็คืออาการเคลื่อนไหวของร่างกาย

เถรี
15-05-2013, 14:38
ถาม : คุณพ่อคงอยู่ได้อีกไม่กี่เดือน จิตสุดท้ายก่อนที่เขาจะตาย เราจะช่วยเขาได้อย่างไรบ้างให้เขาไปสู่ภพภูมิที่ดี ?
ตอบ : เปิดพวกเสียงสวดมนต์หรือเสียงเทศน์ให้ฟังทุกวัน เขาจะได้ชิน ถ้าไม่ใช้เสียงสวดมนต์ก็ใช้เสียงเทศน์หลวงปู่หลวงพ่อท่านไหนก็ได้ ให้ใจเกาะอยู่กับพระ ถ้ามีเสียงพวกนี้แล้วใจเขาจะเกาะพระเอง บอกให้เขาตั้งใจฟังหรือถ้าสวดตามได้ก็สวดไปเลย

ถาม : เขานั่งสมาธิเป็นปกติ
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นไม่น่าห่วงหรอก ที่น่าห่วงคือพวกเราเอง

ถาม : หมอบอกว่าอยู่ได้ไม่เกิน ๖ เดือน
ตอบ : ไม่จริงหรอก มีแต่อยู่นานกว่านั้น เมื่อครู่คุณน้าคนหนึ่งเขามาบอกว่า หมอเขาบอกว่าน้าอีกคนหนึ่งจะอยู่ได้ไม่เกิน ๓ เดือน อาตมาเถียงว่าเกิน หมอเขาคำนวณตามหลักวิชาการ แต่พระเราว่าไปตามกรรม

เถรี
15-05-2013, 14:49
ถาม : ปฏิกูลบรรพภายในคืออะไร ?
ตอบ : ความสกปรกที่เราเห็นอยู่ มีทั้งข้างในร่างกายและข้างนอกร่างกาย ที่ไหลออกมาก็คือข้างนอก ที่ยังไม่ได้ออกมาก็คือข้างใน อย่างพวกเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง กระทั่งอุจจาระปัสสาวะที่อยู่ข้างในก็ได้

ถาม : ถ้าเป็นอสุภะ ภายในคืออะไร ?
ตอบ : พวกนั้นจะเห็นว่าสภาพของศพคนอื่น กับสภาพของตัวเราไม่ช้าก็จะเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นภายในก็คือตัวเราเอง ภายนอกก็คือศพนั้นแหละ

ถาม : แต่ละอย่างคนละแบบเลย
ตอบ : ต้องทำเอง ถ้าไม่ทำแล้วจะไม่เข้าใจ สิ่งที่ท่านบอก พอถึงเวลาทำไป ๆ แล้วจะอ๋อ...ที่แท้อย่างนี้ ถ้าขาดตรงจุดนี้บางทีว่าไปก็ไม่ใช่

เถรี
15-05-2013, 15:00
ถาม : เวทนาภายในกับภายนอกเล่าครับ ?
ตอบ : เวทนาภายในจริง ๆ ก็เอาความรู้สึกคืออารมณ์ของเรา เวทนาภายนอกก็คืออาการที่เกิดกับร่างกาย อาการที่เกิดกับร่างกายเป็นส่วนหนึ่ง ความรู้สึกภายในใจเราเป็นอีกส่วนหนึ่ง ถ้าความรู้สึกไปเสพเสวยเมื่อไรจะเป็นเวทนาภายใน ถ้าความรู้สึกไม่เสพเสวย อาการนั้นจะเป็นเวทนาภายนอก คือสักแต่ว่าเกิดกับร่างกายเท่านั้น

ถาม : อย่างนี้สิ่งที่มากระทบกับผิวหนัง ?
ตอบ : ไม่ต้องอย่างนั้นก็ได้ ความเจ็บปวดในร่างกายก็ได้ ถ้าใจเรายังไม่ไปรับก็ยังเป็นภายนอก ถ้ารับเข้ามาเมื่อไรเป็นภายใน

ถาม : ส่วนใหญ่เป็นภายในทั้งนั้น
ตอบ : แทบทั้งนั้น รับไปเต็ม ๆ

ถาม : มิน่าล่ะ ขั้นตอนในมหาสติจึงยาก
ตอบ : ถึงได้บอกว่าหลักการปฏิบัติในพระพุทธศาสนา มหาสติปัฏฐานสูตรกับอภิธรรมยากมาก เพราะไม่ได้สอนบุคคลทั่วไป สอนเฉพาะคน เพราะว่าชาวกัมมาสะธัมมะสมัยนั้นปัญญาสูงมาก
ขนาดนกที่เลี้ยงไว้ยังฝึกกรรมฐานเลย แล้วคนจะขนาดไหน ?

ถาม : ถ้าแบ่งเป็นปัญจทวารกับปฐมทวาร ?
ตอบ : จะแบ่งอย่างนั้นก็ได้ แต่คราวนี้ว่าในแต่อย่างที่แตกต่างไม่เหมือนกัน ความเป็นภายในกับภายนอกก็ไม่เหมือนกัน

เถรี
15-05-2013, 15:12
ถาม : แล้วจิตในจิต แยกภายนอกภายในอย่างไรครับ ?
ตอบ : อันหนึ่งก็คือสภาพจิตแท้จริงของเราที่เป็นภายใน อารมณ์ที่เกิดขึ้นกับจิต ภาษานักธรรมเขาเรียกว่าชวนะ เป็นภายนอก ถ้าเอาตามสายหลวงปู่มั่นท่านใช้คำว่าจิตกับใจ ก็คือตัวผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรับรู้
คราวนี้ท่านใช้คำเดียวกัน เป็นอาการของจิตที่เคลื่อนไปรับรู้ในสิ่งต่าง ๆ กับสภาพตัวจิตที่แท้จริง ถึงได้บอกว่าตัวเรา ตัวผู้รู้ กับสิ่งที่รับรู้เวลามาสัมผัส เขาเรียกว่าชวนะ การเคลื่อนไปของจิต มีภายในภายนอก

ถาม : จิตที่รับรู้ภายในคือธรรมารมณ์ ?
ตอบ : สภาพจิตที่เป็นตัวตนจริง ๆ ก็คือภายใน ธรรมารมณ์ต่าง ๆ เป็นภายนอก

ถาม : หมายถึงภวังคจิต ?
ตอบ : จะเรียกว่าภวังคจิตก็ไม่ใช่ หากแต่คือตัวรับรู้ ตัวรับรู้เป็นภายใน สิ่งที่เข้ามาให้รู้เป็นภายนอก

ถาม : จิตไปรับรู้อารมณ์ตลอด ?
ตอบ : รับไปตลอด ถ้าเราไม่ได้ฝึกให้มั่นคงพอ กำลังของจิตก็จะหมดไปเพราะว่าเสพเสวยสิ่งต่าง ๆ เข้าไปเรื่อย ๆ ก็เลยทำให้เราไม่มีกำลังพอที่จะสู้กับกิเลส ก็เลยจำเป็นที่เราจะต้องรู้จักยับยั้ง หยุดสภาพจิตของเรา เพื่อที่จะรักษากำลังของเราไว้

เถรี
15-05-2013, 21:28
พระอาจารย์กล่าวว่า "พ่อแม่รักลูกมีความเป็นตัวกูของกูอยู่เต็ม ๆ เลย คือนอกจากจะลูกของกูแล้ว ลูกก็คือเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง จะว่าไปแล้วก็คือแบบจำลองของตัวเอง ในเมื่อเหมือนตัวเองก็เลยรัก"

เถรี
15-05-2013, 21:32
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเราบางวาระเป็นช่วงทดสอบกำลังใจ คราวนี้ช่วงทดสอบจะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เลี้ยวผิดก็ไปยาวเลย พลาดไปนานเลย เพราะฉะนั้น..ของบางอย่างความหวังดี ปรารถนาดีของเราก็อาจจะไปผิดจังหวะ ผิดเวลา ก็ทำให้คนอื่นเขาเข้าใจผิดได้

ขณะเดียวกันก็จะมีการดลใจจากสิ่งภายนอก คือบรรดากิเลสมารต่าง ๆ ด้วย ในเมื่อรวมกันเข้าไปก็จะกลายเป็นเตลิดเปิดเปิงกันไปใหญ่โต นักปฏิบัติต้องระมัดระวังอยู่เสมอในเรื่องของการทดสอบ มารจะใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัวในการทดสอบเรา โดยเฉพาะคนที่จะสร้างความสะเทือนใจให้เราได้มากที่สุด ก็คือคนที่เรารักมากที่สุด

ฉะนั้น..ต้องระวังให้ดี เรื่องทั้งหลายเหล่านี้พอเกิดขึ้น ก็สำคัญตรงที่ว่าเราได้แก้ไขเต็มความสามารถแล้วหรือยัง ? บางอย่างแก้ไม่ได้เพราะต่างคนต่างถือทิฐิ ถ้ายอมลด ละ ทิฐิของตัวเองลง ลักษณะเหมือนกับไปง้อเขาก่อน ไปขอโทษเขา ก็น่าจะทำให้อะไร ๆ ดีขึ้นมาได้"

เถรี
15-05-2013, 21:39
ถาม : อนาคตเขาจะดีได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..คนเคยตรงแล้ว เดี๋ยวก็เลี้ยวกลับมาเอง ตอนช่วงนี้เขาอาจจะมีเรื่องครอบครัวเข้ามาด้วยก็เตลิดไปหน่อย พอถึงเวลาทุกข์ใจหาทางไม่ออก ก็เคยรู้ว่าทางด้านนี้ดี เดี๋ยวเขาก็เลี้ยวกลับมา ถึงเวลาเขากลับมาเอง ไม่ต้องไปกังวล จะช้าจะเร็วก็ต้องมา อะไรที่เคยดีอยู่แล้วพอถึงเวลาคิดถึงก็มาใหม่เอง กลัวอยู่อย่างเดียว..พอเลี้ยวกลับมาแล้วจะรู้ตัวว่าไม่น่าเสียเวลาไปนานขนาดนี้เลย

ถ้าคนเราขาดการทดสอบ ขาดประสบการณ์จะไม่โต ในเมื่อโต มีประสบการณ์ก็แปลว่าโดนจนจุกแล้ว ไม่ต้องไปกังวลหรอก เราเอาตัวเราก่อน เราคิดว่าเวลาเราน้อยแล้ว ตะกายไปให้เต็มที่เลย ถ้าคิดกันอย่างคนประมาทก็คือลูกอายุยังน้อยอยู่ เดี๋ยวเขาก็มาเอง เราเองไม่มีเวลาแล้ว เราต้องประกันความเสี่ยงให้ตัวเองก่อน ลูกหลานหลวงพ่อวัดท่าซุงถึงไปก็ไปไม่ไกลหรอก เดี๋ยวก็กลับมา

เถรี
15-05-2013, 21:46
ความรู้จักมักคุ้นก่อให้เกิดความผูกพัน ในเมื่อทั้งผูกทั้งพันก็แปลว่าดิ้นหลุดได้ยาก จึงต้องระมัดระวังให้ดี มีสติอยู่เสมอ ไม่อย่างนั้นจะเอาตัวไม่รอด มารเขามีสารพัดวิธี ที่จะดึงเราให้จมอยู่กับห้วงวัฏสงสาร เขารู้ว่าแต่ละคนมีจุดอ่อนที่ไหน เขาก็จะจิ้มตรงนั้นแหละ

เพราะฉะนั้น..ทำความดีหนีความชั่วไปเรื่อย ๆ ทำไปถึงที่สุดแม้กระทั่งดีก็ต้องปล่อย กลายเป็นว่า “รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ ไม่เอาทั้งดีทั้งชั่วแล้วจึงจบได้” ถ้าถามว่าในเมื่อดีก็เกาะไม่ได้ ชั่วก็เกาะไม่ได้ ไม่ต้องทำความดีไม่ได้หรือ ? ก็ต้องบอกว่าความดีต้องทำ เพื่อความไม่ประมาท เพราะกำลังความดีจะส่งเราหนีห่างจากความชั่วไป แต่พอหนีถึงจุด ๆ หนึ่งแล้ว ก็จะสุดกำลังของความดี

ถ้าถึงเวลานั้นดีเราก็เกาะไม่ได้ แต่ยังต้องทำความดีไว้เพื่อเป็นเนตติ คือเป็นแบบอย่างกับคนอื่นเขา เขาเรียกว่ายังคิดเผื่อผู้อื่นที่มาทีหลัง

เถรี
15-05-2013, 21:48
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงเกรงใจนะ แต่คนที่เอาหนังสือธรรมะก็ดี หนังสือสวดมนต์ก็ดีมาถวาย อยากถามว่าตัวเองได้อ่านหรือสวดแล้วหรือยัง ? ..(หัวเราะ).. ต้องให้เกิดประโยชน์กับเราให้มากที่สุดก่อน พอเราเห็นประโยชน์อันนั้นแล้วค่อยเอาไปให้คนอื่น ไม่อย่างนั้นถึงเวลาเขาถามว่าดีอย่างไร แล้วเราตอบไม่ได้ ขายหน้าตายเลย"

เถรี
17-05-2013, 20:46
ถาม : ขอคำแนะนำในการทำกำลังใจพุทธภูมิให้บารมีให้เต็มครับ
ตอบ : อันดับแรก..เล่นสมาธิให้เต็มที่เลย ถ้าไม่ได้สมาบัติ ๘ ก็ต้องเอาฌาน ๔ ให้ได้ อันดับสอง..ในส่วนของสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทานหรือการสร้างพระพุทธรูป มีใครเขาทำที่ไหนเมื่อไรร่วมกับเขาทันที หรือถ้าคิดว่ากำลังทรัพย์พอ กำลังคนพอก็เริ่มทำเองเลย

สุดท้ายก็คือตัวปัญญาของเรา ที่จะต้องพินิจพิจารณาให้เห็นความเป็นจริงในชีวิตอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะดูในลักษณะของอริยสัจ ในลักษณะของไตรลักษณ์ หรือวิปัสสนาญาณ ๙ ต้องทำให้คล่องตัว เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าไม่คล่องตัว เราก็ไม่สามารถที่จะบอกต่อ สอนต่อได้ จะว่าไปแล้วเป็นงานมหาศาลเลย แต่ก็ไม่เกินความสามารถหรอก ขอให้ทำจริงเท่านั้น

เถรี
17-05-2013, 21:02
มีผู้นำหนังสือพระเครื่องไปถวายพระอาจารย์ ท่านดูไปแล้วเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยต่าง ๆ ให้ฟัง "ตอนพระครูแสงท่านศึกษาเรื่องพระเครื่องแทบเป็นแทบตาย ท่านบ่น ๆ มาเข้าหูอาตมา อาตมามองแล้วก็จำ พอถึงเวลาเจ้าตัวลืมแล้วแต่อาตมายังจำได้ แค่เห็นรูปเห็นเหรียญก็แยกวัดแยกพิมพ์ได้แล้ว

แม้กระทั่งเรื่องคาถาอาคม อักขระเลขยันต์จริง ๆ ก็เริ่มที่พระครูแสงทั้งนั้นแหละ ท่านหัดลบผง ทำผงปถมัง ผงมหาราช ผงอิทธิเจ ผงตรีนิสิงเห ขึ้น พินทุเอกัง สุมังพันธัง นะกุเอกัง สุมังพันธัง ฯลฯ ว่าไปเรื่อย ๒๐ ปีให้หลังไปถามท่านลืมหมดแล้ว แต่ยังอยู่ในหัวอาตมาเลย ท่านไม่นึกหรอกว่าที่ท่านว่าไปเรื่อย ๆ แล้วเข้าหู อาตมาได้ยินแล้วจะจำได้ขนาดนั้น เพราะสมัยฆราวาสนอนอยู่ห้องเดียวกัน

การเล่นพระเครื่องนั้นเซียนเขาแยกง่าย ๆ ว่าก่อน พ.ศ.๒๕๐๐ กับหลัง พ.ศ.๒๕๐๐ ถ้าหลังพ.ศ. ๒๕๐๐ นี่เขาถือว่าเป็นพระเครื่องรุ่นใหม่ รูปนี้เป็นเหรียญหล่อหลวงพ่อวัดบ้านแหลม สมัยก่อนชาวบ้านเขาเรียกว่า “คุณพ่อวัดบ้านแหลม”

เหรียญหล่อของเก่าจุดตายจะอยู่ตรงขอบเหรียญ เพราะว่าใช้เลื่อยฉลุ ฉะนั้น..จะมีรอยเลื่อยอยู่ ถ้าเป็นพระบูชาดูที่ฐาน ถ้าเป็นของเก่า รอยตะไบจะเป็นแนวตรง ถ้าเป็นของรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ใช้หินเจียรหมุน รอยจะโค้ง สายตาต้องดีพอ โค้งก็โค้งนิดเดียว เพราะขอบพระไม่กว้าง ฉะนั้น..ที่แนวตรงเลยกับโค้งจะต่างกัน แค่เราพลิกขึ้นมาก็จะเห็น

เหรียญมหาสมณุตตมาภิเษกของกรมสมเด็จพระปวเรศฯ นี่บางคนเรียกว่าเหรียญบาตรน้ำมนต์ เพราะท่านตั้งใจให้เป็นเหรียญทำน้ำมนต์เลย จะเป็นเหรียญที่ใหญ่มาก เป็นที่ระลึกงานมหาสมณุตตมาภิเษกของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์ วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ร.ศ.๑๑๐ ก็ พ.ศ.๒๔๓๕ เพราะว่า พ.ศ.๒๓๒๕ เป็น ร.ศ.๑ เราก็เอาจำนวน ร.ศ.บวก ๒๓๒๕ เข้าไป"

เถรี
17-05-2013, 21:04
"รูปนี้เหรียญหลวงปู่จิต วัดสัตตนารถปริวัตร ถ้าถัดจากรุ่นท่านก็คือท่านเจ้าคุณพระธรรมเสนานี (เงิน) ที่ท่านเจอพระองค์ที่ ๑๐ ท่านเป็นรุ่นอาจารย์ของหลวงปู่เงิน วัดสัตตนารถปริวัตรแต่ก่อนนี่อยู่บนเนินเขาที่ราชบุรี เขานั้นเดิมชื่อเขาศัตรูพินาศ เพราะว่าไทยรบชนะพม่าที่นั้น คราวนี้พอเรียกไปนาน ๆ ชื่อกร่อนเหลือสัตตุนารถ คนเขาว่าไม่มีความหมายก็เลยเรียกใหม่เป็นสัตตนารถ

คราวนี้พอรัชกาลที่ ๕ ท่านจะไปสร้างวังที่นั้น เห็นว่ามีวัดเก่าอยู่ท่านก็เลยใช้การผาติกรรมโดยการลงมาสร้างวัดข้างล่าง เพื่อถวายให้เป็นสมบัติพุทธศาสนา ลักษณะว่าผาติกรรมแลกเปลี่ยนเพื่อที่จะเอาที่ยอดเขานั้นไปสร้างวัง เพราะฉะนั้น..วัดที่ลงมาสร้างข้างล่างก็เลยเรียกว่าวัดสัตตนารถปริวัตร ก็คือแลกเปลี่ยนกับเขาสัตตนารถ ปริวัตรคือแลกเปลี่ยนกัน สับเปลี่ยนกัน

พระกริ่งปวเรศรุ่น ๒ หรือพระกริ่งในหลวง ๕ รอบ หลวงพ่อฤๅษีเสก หลวงพ่อฤๅษีท่านไม่เคยเสกพระกริ่งเลยนอกจากรุ่นนี้ ตอนนี้ปลอมกันระเบิดเถิดเทิง ใต้ฐานบรรจุเส้นพระเจ้า (พระเกศาในหลวง) อาตมาพกติดตัวตั้งหลายปีเพิ่งให้เขาแลกบูชาไปตอนสร้างพระทองคำนี่แหละ คนรู้จักของนี่ประเภทลงเว็บเขาเห็นปุ๊บก็คว้าปั๊บเลย"

เถรี
17-05-2013, 21:09
ถาม : วัตถุมงคลต่าง ๆ นี่ต้องเข้าพิธีพุทธาภิเษกไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระเครื่องต้องเข้า เพราะว่าพระเครื่องเราพกติดตัวเป็นการตัดเคราะห์ ถ้าเป็นพระบูชาไม่ต้องก็ได้ เพราะพระบูชาส่วนใหญ่เราบูชาไว้อยู่กับบ้าน

เถรี
17-05-2013, 21:13
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องขุนโจรคู่บัลลังก์ นอกจากจะเป็นการปลอมประวัติศาสตร์ ที่เขาเอาคนจริงกับคนปลอมมาใส่รวมกันแล้ว เขาแสดงให้เห็นชัดอยู่อย่างหนึ่งคือความเปลี่ยนแปลงของบุคคลที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมบังคับ ตัวเองเป็นคนดีมากเลย แต่คนอื่นนึกถึงแต่ผลประโยชน์ ทำดีแค่ไหนท้ายสุดก็โดนเขาขายทิ้ง ก็เลยต้องค่อย ๆ เปลี่ยนแนวความคิดของตัวเองไป กำลังจะดูว่าท้ายสุดแล้วเขาจะรักษาอุดมการณ์ไว้ได้ไหม อย่าลืมว่าแม้ว่าแนวความคิดเปลี่ยน แนวทางการปฏิบัติเปลี่ยน แต่ท้ายสุดเป้าหมายเปลี่ยนไหม ? ต้องการรู้แค่นี้

ลักษณะแบบเดียวกับที่เราปฏิบัติธรรม ถ้าเราปฏิบัติแบบทื่อ ๆ ตรง ๆ บางทีก็ไปไม่ถึงไหนหรอก เพราะว่าสารพัดอุปสรรคจะเกิดขึ้น แบบเดียวกับที่ว่าเรารักษาศีล ๘ พอเพื่อนถามว่าทำไมไม่กินข้าวเย็น เราบอกว่ารักษาศีล ๘ เขาก็มองเราเป็นสัตว์ประหลาด แต่ถ้าบอกว่ากำลังลดความอ้วนอยู่ ก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาของเขา เขาจะเข้าใจแล้วรับได้ง่ายกว่า

ฉะนั้น..จึงต้องมีการพลิกเพลง เพื่อที่จะให้อยู่ในสังคมได้โดยที่กระทบกระทั่งกันให้น้อยที่สุด ขณะเดียวกันการปฏิบัติของเราก็ให้มีความก้าวหน้ามากขึ้น จึงต้องการจะดูว่าในเมื่อคุณเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนวิธีการปฏิบัติ แต่เป้าหมายของคุณยังเหมือนเดิมหรือเปล่า อาตมาจะรออ่านให้ถึงตอนจบ"

เถรี
17-05-2013, 21:16
ถาม : เปลี่ยนอย่างไรไม่ให้ผิดสัจจะ ?
ตอบ : เปลี่ยนอย่างไรก็ได้ แต่ให้เราประสบความสำเร็จเหมือนเดิม เพราะบางทีเราเพิ่งจะเข้าใจว่าความตั้งใจเดิมใช้ไม่ได้ ไม่ถูกต้อง เราก็ต้องเปลี่ยนให้ถูก แบบเดียวกับบางคนตั้งอธิษฐานบารมีไว้

อย่างเช่น ตั้งความปรารถนาพระโพธิญาณ แล้วเห็นว่ากลายเป็นความเนิ่นช้า เพราะระยะเวลาอีกยาวนาน ไม่เห็นต้นเห็นปลายเลย ลาดีกว่า ก็เปลี่ยนความตั้งใจใหม่ได้ เปลี่ยนเป้าหมายใหม่ได้ ถ้าจะไม่ให้เสียสัจจะก็คือเปลี่ยนจากสิ่งที่ไม่ถูกมาให้ถูก ถือว่าไม่เสียสัจจะ เขาเรียกว่ามีปัญญา แต่ถ้าเปลี่ยนจากสิ่งที่ถูกไปผิดนี่เสียสัจจะแน่ ๆ

เถรี
17-05-2013, 21:20
ถาม : จริตหรืออัชฌาสัยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ?
ตอบ : คำว่าจริตอย่างหนึ่ง อัชฌาสัยอย่างหนึ่ง จริตคือความชอบพอเฉพาะตัว อัชฌาสัยคือแนวทางที่ตนเองยึดถือปฏิบัติ ในเมื่อเรามาคนละอย่างกันจะให้เหมือนกันย่อมเป็นไปไม่ได้

วันก่อนบอกไปแล้วว่า บางคนเดินขึ้นบันไดมามีกี่ขั้นยังไม่รู้เลย แต่บางคนบันไดมีกี่ขั้น กว้างยาวเท่าไร ทำด้วยวัสดุอะไรเขาต้องรู้ เพื่อที่จะสร้างบันได้ให้คนอื่นใช้ แค่นี้ก็ไม่เหมือนกันแล้ว บางคนแค่รู้ว่าบันไดกี่ขั้นก็พอใจแล้ว แต่บางคนต้องไปดูลงรายละเอียดว่าสร้างด้วยวัสดุอะไร แต่ละขั้นทำไมไม่เหมือนกัน ทำไมบันไดขั้นที่ ๑ ของชั้นที่ ๒ เป็นไม้ตะแบก แต่ขั้นที่ ๓ เป็นไม้ชิงชัน ก็ต้องไปติดตามดูรายละเอียด

จริตนิสัยที่สร้างมาไม่เหมือนกัน ความชอบพอต่างกัน แนวทางปฏิบัติและสิ่งที่ประสบความสำเร็จช้าเร็วก็เลยต่างกันไปด้วย

เถรี
17-05-2013, 21:38
ถาม : เวลาสงสัยบางอย่างจะนึกถึงหลวงพ่อฤๅษี บางทีก็เห็นภาพมาลาง ๆ โดยไม่รู้ว่าจินตนาการไปเองหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจหรอกจ้ะ นึกได้ก็ใช้ได้แล้ว เพราะว่าใจเราที่นึกไป นึกถึงพระก็ได้พุทธานุสติ นึกถึงหลวงปู่หลวงพ่อก็ได้สังฆานุสติ นึกถึงท่านปู่ท่านย่าก็ได้เทวตานุสติ

ถาม : แล้วทำไมเวลาเห็นพระข้างบนถึงเห็นไม่ชัด ?
ตอบ : อาตมาไปกราบพระนี่สูงไม่เคยถึงเข่าท่านสักที จะมองดูหน้าคงยากหน่อย ถ้าเห็นไม่ชัดแสดงว่าจิตยังหยาบไปหน่อย วิปัสสนาญาณต้องพิจารณาให้ละเอียดกว่านี้

ถาม : เราไม่เห็นหน้าท่าน แล้วคุยกับท่านได้ด้วยหรือครับ ?
ตอบ : ในความเป็นทิพย์แค่วินาทีเดียวมีคำตอบเสร็จสรรพ มาแบบเขียนได้หลายหน้ากระดาษเลย

เถรี
17-05-2013, 21:44
ถาม : เวลาเราฟังเทปธรรมะ จะบอกว่าเราคือจิต แต่ที่เพิ่งได้ยินมาว่า เราคือผู้รู้อยู่ระหว่างจิตกับกาย จริง ๆ แล้วผู้รู้คือเรา ? ?
ตอบ : ผู้รู้นั้นแหละคือจิตดั้งเดิมของเรา ส่วนสิ่งที่เขาไปรับรู้นั้นเป็นอาการเคลื่อนไปของจิต ภาษาอภิธรรมเขาเรียกว่า ชวนะ เขาถึงได้บอกว่าจิตมีตั้ง ๘๙ ดวง มี ๑๒๑ ดวง แต่จริง ๆ นั่นเป็นการทำงานของจิต ฉะนั้น..เราไปดูบาลีที่เขาบอกว่า จิตตัง เอกะจะรัง อะสะรีรัง คูหาสะยัง ฯลฯ จิตเดียวเที่ยวไป

ถาม : จิตเราก็ไม่ข้องแวะกับธาตุทั้งสี่ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : จำเป็นที่จะต้องควบคุมให้สภาพร่างกายที่เกิดจากธาตุ ๔ นี้ทำงานทำการต่าง ๆ ตามที่เราต้องการ แต่การควบคุมต้องมีสติสัมปชัญญะรู้อยู่เสมอว่านั่นไม่ใช่ของเรา เป็นเพียงสมบัติที่เรายืมโลกมาใช้ชั่วคราวเท่านั้น ไม่อย่างนั้นถ้าเผลอจะไปยึด ถ้ายึดเมื่อไรก็ติดอยู่ตรงนั้น

เถรี
17-05-2013, 21:56
ถาม : ทำไมพระอรหันต์ถึงอยู่ในร่างของฆราวาสไม่ได้ ?
ตอบ : การอยู่ของท่านมีโทษมากกว่าประโยชน์ คนที่ไม่รู้ว่าท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ขนาดนั้น ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ แม้แต่นิดเดียวก็เกิดโทษมหันต์แล้ว ดูอย่างนางขุชชุตตราที่ไปล้อเลียนพระปัจเจกพุทธเจ้าว่าเป็นคนหลังค่อม แล้วทำท่าให้เพื่อนดู ไปเกิดเป็นเป็นคนหลังค่อม ๕๐๐ ชาติ และยังขอให้เพื่อนที่เป็นภิกษุณีอรหันต์ส่งกระเช้าเครื่องแต่งตัวให้ จึงต้องกลายเป็นคนรับใช้เขา ๕๐๐ ชาติ

นางสิริมาด่าภิกษุณีอรหันต์ที่บ้วนน้ำหมากมาเปื้อนผ้าตัวเองว่าหญิงแพศยา ตัวเองต้องไปเป็นโสเภณีอยู่ ๕๐๐ ชาติ เพราะฉะนั้น..การอยู่ที่มีโทษมากกว่าประโยชน์จึงต้องตัดให้ตายไปเลย

เขาไม่เชื่อว่าคนด้วยกันแล้วจะต่างกัน แต่ถ้าอยู่ในเพศนักบวชที่เป็นที่ยอมรับว่าเป็นอุดมเพศ คือเพศอันสูง คนให้ความเคารพอยู่ โอกาสที่คนจะล่วงเกินหนัก ๆ แบบนั้นไม่มี ก็เป็นอันว่าอยู่ได้ ไม่อย่างนั้นโดนตัดหมด แล้วที่บอกว่าอยู่ไม่เกิน ๗ วันนี่เห็นอยู่ไม่เกินวันสักที

ไฟฟ้าเป็นหมื่นโวลต์ แตะปุ๊บตายปั๊บ ฉะนั้น..สิ่งที่มีคุณอนันต์ก็มีโทษมหันต์ ใช้ประโยชน์ได้ งานการทุกอย่างก็เป็นไปได้ดีเพราะไฟฟ้า แต่ถ้าเผลอไปโดนสายเปลือย ๆ เข้าก็คาที่เลย..!

ถาม : ใครเป็นผู้ตัดให้ท่านตายคะ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าวาระบุญวาระกรรมตัด ร่างกายไม่สามารถรองรับความบริสุทธิ์ขนาดนั้น ได้ก็เลยต้องตาย

เถรี
17-05-2013, 22:00
ถาม : บางท่านทราบว่าจะอยู่ได้ไม่นาน แต่ก็รั้งอยู่ได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้...แต่ถ้าทำถึงขนาดนั้นแล้วไม่มีใครอยากอยู่หรอก มีท่านแม่จันทนา วีระผล ท่านพิจารณาไปเรื่อย ๆ กำลังใจถึงระดับเกิดความเป็นทิพย์ รู้ว่าก้าวเลยตรงนี้ไปเราก็อยู่ได้ไม่เกิน ๗ วัน แต่ถ้ารั้งเอาไว้แต่เพียงนี้จะอยู่ได้อีก ๑๒ ปี ท่านเห็นว่า ๑๒ ปีมีแต่ความทุกข์ แล้วงานที่ตัวเองจะต้องรับผิดชอบก็ไม่มี ท่านก็ตัดใจไปวันนั้นเลย

ต้องบอกว่าอย่างพวกเราทนลำบากไปอีกเป็นร้อยปีแล้วได้พระโสดาบันก็เหลือที่จะคุ้ม เพราะฉะนั้น..บุคคลที่เข้าถึงความเป็นพระอรหัตมรรคจนถึงพระอรหัตผลนี่ เอาอะไรไปแลกท่านก็ไม่ยอมหรอก ไปได้ไปก่อน ประกันความเสี่ยงไว้ดีกว่า

ถาม : แล้วอย่างแม่ชีที่ปฏิบัติจนได้ จะอยู่ต่อไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เหลือจ้ะ เพราะแม่ชีก็ถือว่าเป็นฆราวาส ถือศีล ๘ เท่ากัน

เถรี
18-05-2013, 09:04
ถาม : เด็กน้อยอายุ ๗ ขวบที่ได้ญาณ ๘ ตั้งแต่เกิด เป็นเพราะอะไรเขาถึงได้มา เทียบกับคนอื่น ฝึกมาตั้งนานแต่ก็ยังไม่ได้ ?
ตอบ : ของเก่ามี เหมือนอย่างกับเราจะซื้อของชิ้นหนึ่ง จำนวนเงินต้องเพียงพอ เด็กคนนั้นต้นทุนพอมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว เกิดมาชาติใหม่สามารถใช้ต้นทุนตัวเองได้เลย แต่คนอื่นสะสมมายังไม่พอก็ต้องตะเกียกตะกายหาเพิ่มไปก่อน

ถาม : เด็กโตขึ้นแล้วญาณนั้นจะเสื่อมไหมครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วจะเสื่อม ที่เสื่อมเพราะว่าเผลอไปรับเอารัก โลภ โกรธ หลงเข้ามา ยิ่งอายุมากขึ้น ความอยากได้ใคร่มีก็มากขึ้นตามไปด้วย สภาพความผ่องใสของจิตก็ลดน้อยลงไปเรื่อย แต่จริง ๆ ถ้าตั้งใจปฏิบัติขัดถูพักเดียวก็คืนมา แต่ส่วนใหญ่ไปเข้าใจว่าเสื่อมแล้ว ก็เลยตามเลยปล่อยทิ้งไปเฉย ๆ

เถรี
18-05-2013, 09:13
ถาม : ครูบาอาจารย์ที่ไปพระนิพพานแล้ว ท่านยังมาช่วยเหลือบริวารได้ไหมคะ ?
ตอบ : ในความเป็นจริงแล้วได้ แต่ส่วนใหญ่คนทั่ว ๆ ไปเขาไม่เชื่อ เขาถือว่าไปพระนิพพานแล้วก็จบกัน ไม่มีอะไรเหลือ มีหลายคนเคยบอกกับอาตมาว่า “ไปพระนิพพานแล้วไม่มีอะไรทำก็เบื่อแย่สิ” คนไม่เคยไปนี่ก็เดาไปเรื่อย

ถาม : ส่วนใหญ่เขาสอนกันมาแบบนั้น ว่าเข้าพระนิพพานก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของโลกมนุษย์แล้ว
ตอบ : ในอรรถกถาจารย์เขาบอกไว้ชัดว่า บุคคลที่พ้นคุกไปแล้วสามารถกลับมาเยี่ยมคนในคุกเมื่อไรก็ได้ แต่บุคคลในคุกต่างหากที่ออกไปไหนไม่ได้จนกว่าจะหลุดพ้น ก็เลยกลายเป็นว่าความเชื่อกับความจริงเป็นคนละอย่างกัน

ส่วนใหญ่ก็เข้าใจว่าพระนิพพานสูญ ตายแล้วไม่มีอะไร วันก่อนโยมก็ไปถามว่าพระนิพพานมีจริงหรือ ? อาตมาก็บอกกับโยมว่า “เสียเวลาที่จะคุยเรื่องอย่างนี้ ตราบใดที่โยมยังเป็นปลา แล้วอาตมาเป็นเต่า คุยกันไม่รู้เรื่องหรอก เพราะคนหนึ่งอยู่ในน้ำ คนหนึ่งอยู่บนบก จนกว่าโยมจะยอมเป็นเต่าอย่างอาตมา หรืออาตมากลับไปเป็นปลาอย่างโยมจึงจะคุยภาษาเดียวกันได้” ของอย่างนี้ต้องทำเอง ถึงเอง ถึงจะรู้เห็นเอง เราไปยืนยันอย่างไรก็ตาม เขาก็ยังสงสัยอยู่นั่นแหละ เสียเวลาไปคุยด้วย

ถาม : แสดงว่าครูบาอาจารย์ที่ไปพระนิพพาน ท่านก็ยังสงเคราะห์บริวารได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ท่านจะคอยดูอยู่ด้วยความเมตตากรุณาที่มีประจำใจ ถ้าสามารถที่จะช่วยเหลือให้เราเดินตรงทางได้ก็พยายามช่วยขนาบ แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับความพยายามของเราเองด้วย ไม่ใช่ว่าท่านช่วยดึงเราไปพระนิพพานได้ ท่านแค่พยายามตะล่อมเราตรงทางเท่านั้น ถ้าไปไกลมากก็ต้องพยายามดึงหน่อย ออกไปโน่นแล้วจะทำอย่างไรให้โค้งกลับมาเส้นทางเดิมได้

เถรี
18-05-2013, 09:42
ถาม : ปัญญาวิมุตติกับเจโตวิมุตติต่างกันอย่างไรคะ ?
ตอบ : ปัญญาวิมุตติใช้การพิจารณาจนสภาพจิตยอมรับ ระหว่างการพิจารณาสมาธิจะค่อย ๆ ดิ่งลึกทรงตัวไปตามลำดับ พอถึงระดับที่ใช้งานได้ก็จะตัดกิเลสตรงส่วนนั้นไปเลย ส่วนเจโตวิมุตติเป็นการใช้กำลังใจข่มกิเลส ถ้าข่มอยู่ในระยะที่ยาวนานพอ กิเลสไม่สามารถจะเกิดได้ ก็ดับลงไปได้เหมือนกัน เหมือนเราเอาหินทับหญ้าไว้นาน ๆ หญ้าก็ตายไปเอง

แต่ทั้งสองอย่างนี้ถ้าทำอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะช้า ปัญญาวิมุตติเหมือนอย่างกับคนมีอาวุธคมกล้าอยู่ในมือแต่กำลังน้อย จะยกอาวุธขึ้นตัดฟันอะไรก็ลำบาก ส่วนคนที่เป็นเจโตวิมุตติเป็นคนที่กำลังมากแต่ไม่มีอาวุธอยู่ในมือ ดังนั้น..ทั้งสองอย่างควรจะทำร่วมกัน ก็คือภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัว แล้วก็คลายออกมาพิจารณา ถ้าพิจารณาจนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัวแล้ว จะย้อนกลับไปภาวนาโดยอัตโนมัติ ทำสลับไปสลับมาอย่างนี้จะได้เร็วกว่า

ถาม : เหมือนกับสมถะกับวิปัสสนา ?
ตอบ : เจโตวิมุตตินั่นสมถะเต็ม ๆ เลย ปัญญาวิมุตตินั่นแหละวิปัสสนา

ถาม : เพื่อนบางคนรู้ว่าเรานิ่ง เขาก็ดูถูกว่าอยู่แต่สมถะแล้วไม่ไปไหนต่อ
ตอบ : บอกเขาว่า “ไม่ถึงไหนก็ช่างมัน ขอให้ฉันไม่โกรธเวลาแกปากเสียก็พอ” เรื่องอย่างนี้ถ้าเพื่อนไม่สนิทนี่โกรธกันเลยนะ

เถรี
18-05-2013, 09:51
ถาม : ปฏิสัมภิทาญาณเป็นอย่างไรคะ ?
ตอบ : ปฏิสัมภิทาญาณเป็นกำลังที่ครอบคลุมได้ทั้งอภิญญา ๖ วิชชา ๓ และสุกขวิปัสสโก บุคคลอย่างน้อยต้องปฏิบัติจนถึงระดับพระอนาคามีขึ้นไป กำลังของปฏิสัมภิทาญาณ ๔ ถึงจะปรากฏขึ้น

ปฏิสัมภิทาญาณนอกจากความสามารถแบบเดียวกับอภิญญา ๖ แล้ว ยังมีความสามารถพิเศษ ๔ อย่าง คือ อรรถปฏิสัมภิทา ธัมมาปฏิสัมภิทา คือเป็นผู้รู้ทั้งเหตุและผล รู้ว่าผลที่เกิดขึ้นตรงนี้ สาวไปแล้วมาจากเหตุอะไร รู้ว่าเหตุนี้ถ้าเราทำแล้วจะเกิดผลอะไร แล้วก็ละในเหตุที่ไม่ดี ทำแต่ในเหตุที่ดีเท่านั้น ก็จะได้แต่ผลที่ดี

ปฏิภาณปฏิสัมภิทา เป็นผู้เฉลียวฉลาด สามารถที่จะแก้ไขปัญหาทุกอย่างไปโดยสะดวกง่ายดาย นิรุกติปฏิสัมภิทา มีความชำนาญในภาษาคน ภาษาสัตว์ ภาษากาย ภาษาใจทุกอย่าง ก็เลยกลายเป็นความสามารถพิเศษที่ครอบคลุมอภิญญา ๖ ไปอีกชั้นหนึ่ง พูดง่าย ๆ ว่ามีมากกว่าอภิญญา ๖ อีก ๔ อย่าง

ถาม : ในปัจจุบันนี้ยังมีท่านที่เป็นปฏิสัมภิทาอยู่ไหมคะ ?
ตอบ : มี..แต่ส่วนใหญ่อยู่ในป่า ท่านทั้งหลายเหล่านี้อยู่เมืองเมื่อไรเขาก็แตกตื่นกันหมด

ถาม : ที่ป่าทองผาภูมิมีเยอะไหมคะ ?
ตอบ : ป่าทองผาภูมิตอนนี้ไฟไหม้ ถึงมีอยู่ก็คงย้ายหนีไฟไปแล้ว..! ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะว่าบ้านเราเมืองเราตอนนี้จะหาป่าที่พระปฏิบัติอยู่จริง ๆ หาได้น้อยมากแล้ว ส่วนใหญ่ก็เหลืออยู่บริเวณวัด ตอนนี้ถ้าขึ้นเขาวัดท่าขนุน มองไปรอบ ๆ บริเวณที่มีต้นไม้ก็คือบริเวณวัดเท่านั้นแหละ นอกเขตวัดไปก็ราบเป็นหน้ากลอง

เถรี
18-05-2013, 10:00
ถาม : เขาเจตนาเผาป่าหรือคะ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เขาคิดจะปลูกนั่นปลูกนี่ โดยที่ลืมไปว่าต้นเก่าโตมานานแล้ว พอดีปีนี้ป่าไผ่วัดท่าขนุนตกขุย ก็คือออกดอก พอต้นไผ่ออกดอกจะตายหมด กะว่าเดี๋ยวคงได้โอกาสล้างป่าไผ่ออกมา ว่าจะเอาตะเคียนไปลงแทน เวลาอดข้าวจริง ๆ เรายังบิณฑบาตกับต้นไม้ได้ ..(หัวเราะ)..

ที่นั่นมีต้นไม้เกือบทุกอย่าง ช่วงทำศาลาครั้งนี้ก็โค่นไป ๔ ต้น เสียดายมากเลย ตอนทำพิธียกเสาเอกถึงได้บอกโยมว่า อย่าใส่วัตถุมงคลลงไป เพราะรับปากกับพวกเขาไว้ว่า ถ้าถึงเวลาทำศาลาเสร็จ อนุญาตให้พวกเขาเอาวิมานไปแปะเสาได้ ถามว่าไม่ใช่ต้นไม้อยู่ได้ไหม ? ได้..แต่ต้องให้เจ้าของอนุญาต คราวนี้ถ้าเราเอาวัตถุมงคลไว้ข้างล่าง เขาหมดสิทธิ์ที่จะไปแปะ ถึงได้ขอร้องไว้ว่าถ้าเป็นวัตถุมงคลอย่าเอาบรรจุลงไปในหลุมเสาเอก คนเราก็แปลก บอกว่าอย่าใส่ก็รีบใส่เลย กลัวจะไม่ได้บุญ..!

เถรี
18-05-2013, 20:30
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนประชุมกรรมการวัด ไล่รายการให้เขาดูว่า งานที่ตั้งใจทำที่วัดท่าขนุนมาจนถึงปัจจุบันนี้เหลืออยู่อีก ๒ อย่างเท่านั้น ก็คือปรับปรุงกุฏิเตชะไพบูลย์กับกุฏิประจวบดี อีก ๒ หลังให้เรียบร้อย ก็เหลือเพียงการปลูกต้นไม้ นอกนั้นดำเนินการเสร็จแล้ว และที่กำลังดำเนินการล่าสุดอยู่ก็คือการสร้างศาลาหลังใหม่

ศาลานี่ ๒ ปีก็คงไม่เรียบร้อยหรอก เพราะว่าอันดับแรกก็คือในส่วนของหมู่เรือนไทยด้านบนไม่ใช่ทำง่าย ๆ อีกอย่างบรรดาพวกมณฑปหรือบุษบกที่จะเอาไว้ตั้งพระ ซึ่งจะต้องมีรายละเอียดมาก และจะทำได้จริง ๆ ก็ต่อเมื่ออาคารส่วนนั้นเสร็จแล้ว ก็จะช้าลงไปอีก แต่ปีหน้าครบ ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย แจ้งกับกรรมการไว้ ให้บอกลูกศิษย์หลวงปู่ทั้งใหม่ทั้งเก่าแก่แค่ไหนก็เอา ช่วยกันบวชถวายหลวงปู่สัก ๑๐๐ รูป

โครงการแรกก็คือศาลาจะสร้างเป็นศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย โครงการที่ ๒ ก็คือบวชลูกศิษย์ถวายท่าน ๑๐๐ รูป โครงการที่ ๓ ก็คือสร้างวัตถุมงคลหลวงปู่สาย เพราะของเก่าจะหมดแล้ว แล้วแจ้งพวกกรรมการวัดว่าถ้ามีโครงการอะไรที่จะทำเพื่อหลวงปู่ ให้นำเสนอขึ้นมา จะได้ช่วยกันคิดว่า จะทำอะไรออกมาให้กับหลวงปู่ได้อีก เขาก็บอกว่าขอเวลากลับไปคิดก่อน

พอเลิกประชุมก็เลยบอกกับญาติโยมที่อยู่รอบข้างว่า “การที่คิดอะไรจนครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว จะไปรอให้เขาเติมอีกก็คงยาก” อาจจะสร้างสุขนิสัยที่ไม่ดีให้กับกรรมการชุดนี้ จนกระทั่งไปเสียหายเจ้าอาวาสใหม่หรือเปล่าก็ไม่รู้ กรรมการวัดท่าขนุนปัจจุบัน มีเอาไว้รับรู้รับฟังเรื่องราวของทางวัด แล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย นอกนั้นไม่ต้องทำอะไรเลย ถ้าเป็นรุ่นเก่า ๆ นี่เขายังต้องไปขวนขวาย ไปแจกซองกฐินผ้าป่าให้ยุ่งไปหมด รุ่นของอาตมาไม่ต้อง คุณเป็นกรรมการตั้งแต่แรกเริ่มมา อาตมาก็ตั้งทับไปเลย เพียงแต่ว่าจะไม่ไปรบกวนในเรื่องพวกนั้น"

เถรี
18-05-2013, 20:38
ถาม : บวชถวายหลวงปู่สาย เริ่มบวชตั้งแต่ช่วงไหนครับ ?
ตอบ : กันยายน ๒๕๕๗ กะว่าสัก ๓ - ๗ วันเท่านั้น ไม่เอามากหรอก เพราะลูกศิษย์หลวงปู่ระดับอายุ ๗๐ - ๘๐ ปีมีเยอะมาก เอาไปทรมานอดข้าวหลาย ๆ วันเดี๋ยวแย่ ตอนบวชคงต้องแบ่งสัก ๓ โบสถ์ โบสถ์วัดทองผาภูมิ วัดท่าขนุน วัดปรังกาสี โบสถ์หนึ่งสัก ๓๐ กว่ารูป

ปีถัดไปก็ครบ ๑๐๐ ปีหลวงพ่อวัดท่าซุง หลายท่านบอกว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงเกิดปี ๒๔๕๙ แต่อาตมาไปไล่ดูรายชื่อของวันเดือนปีเกิดของพี่น้องท่านแล้ว เห็นชัด ๆ ว่า ๒ - ๓ ปีต่อ ๑ คน ฉะนั้น..ไม่มีหรอกที่จะไปเกิดติดกัน ตามที่ทราบว่าตั้งแต่แรกก็คือหลวงพ่อท่านเกิดวันเสาร์ที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๘ อาตมาก็จัดงานฉลอง ๑๐๐ ปีให้ ใครเขาจัดปีไหนแล้วแต่เขา อาตมาไม่ค้าน ส่วนอาตมาจัดแล้วเขาจะค้านก็จะจัด ก็เท่ากับว่าหลวงพ่อท่านมรณภาพตอนอายุ ๗๗ ปี

เถรี
18-05-2013, 20:47
ถาม : ชาวตะวันตกเริ่มสนใจพุทธศาสนา แต่ทำไมเขาถึงไปเกิดในที่ไกลคะ ?
ตอบ : ถ้ามีให้สนใจแปลว่าไม่ไกลแล้วจ้ะ น่ากลัวอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เวลาฝรั่งเขาทำอะไรเขาจะทำจริง เพราะว่าเขาเพาะนิสัยความมุ่งมั่นมาตั้งแต่เด็ก บ้านเราไปรับแบบธรรมเนียมฝรั่งมาก็เฉพาะส่วนที่ไม่ดี ส่วนที่ดี ๆ เราไม่ได้รับมา

อย่างเด็กฝรั่งพอเริ่มต้นจับช้อนกินข้าวได้เขาก็ส่งจานให้เลย กินหรือไม่กินหรือจะละเลงให้เละไปหมดเขาก็ไม่ว่า ถึงเวลาเก็บล้าง จับอาบน้ำเปลี่ยนผ้าเรียบร้อย ไม่ถึงมื้อต่อไปไม่มีกิน คราวนี้เด็กโดนเข้าสักสองครั้งรู้แล้วว่า ถ้าไม่กินก็หิวตายชัก จึงต้องตักใส่ปากเอง เด็กเขาจึงทำอะไรได้ด้วยตัวเองตั้งแต่เล็ก ๆ รู้จักวิเคราะห์สถานการณ์แล้วว่าจะรอดหรือไม่รอด การเรียนการศึกษาของเขา เขาถึงเอาเด็กเป็นศูนย์กลางได้

ส่วนบ้านเราบางที ๗ - ๘ ขวบแล้วยังไล่ป้อนข้าวอยู่เลย แล้วจะให้เด็กของเรามาเป็นศูนย์กลาง รู้จักคิดรู้จักทำ ซึ่งเป็นไปได้ที่ไหน อีกส่วนหนึ่งเด็กของฝรั่ง พอถึงวัยทีนก็คือตั้งแต่ ๑๓ ขึ้นไป ส่วนใหญ่จะเริ่มแยกจากพ่อแม่แล้ว ไปทำงานด้วยตัวเอง ถึงเวลาสามารถที่จะอยู่ด้วยตัวเองได้ แต่งงานแต่งการได้ คราวนี้บ้านเราพอถึงเวลาอยากจะมีคู่ แต่เป็นประเภทยังขอเงินแม่ใช้ทั้ง ๒ ฝ่ายเลย ก็เจ๊งสิ..!

เถรี
18-05-2013, 20:50
ฉะนั้น..ขนบธรรมเนียมประเพณีต่างกัน แล้วเราก็ไปรับมาเฉพาะส่วนที่เราคิดว่าดี แต่จริง ๆ แล้วไม่ดี เพราะไม่เหมาะกับสภาพแวดล้อมของเรา ในเมื่อสภาพแวดล้อมของเขาเป็นอย่างนั้น พวกฝรั่งเขาเคยชินกับการทำอะไรแล้วต้องทำอย่างจริงจัง ทำให้สำเร็จ ไม่อย่างนั้นชีวิตนี้ของคุณไม่มีใครช่วย ดูมหาเศรษฐีอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์หรือว่าบิล เกตส์ เขายังบอกเลยว่าเขาจะไม่โอนเงินให้ลูกเยอะแยะหรอก เขาให้แค่พออยู่ได้เท่านั้น ที่เหลือคุณต้องการก็ไปหาเอาเอง

แต่บ้านเรามีเท่าไรเทให้หมด เด็ก ๆ เขาได้มาง่ายก็ไม่เห็นคุณค่า เมื่อไม่เห็นคุณค่าเราก็จะเจอพวกเด็กแว้นเยอะแยะไปหมด จึงทำให้สภาพสังคมของเราสับสนวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ ดังนั้น..ในเรื่องของศาสนา เมื่อคนต่างชาติมาสนใจก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะว่าเขาทำอย่างจริงจัง คนที่ทุ่มเทจริงจังก็จะเกิดผลได้ง่าย แล้วก็จะทำให้ศาสนาของเราแผ่กว้างออกไปในเขตประเทศของเขา

ฝรั่งเขาเห็นแล้วว่าความเจริญมีแต่โทษ จนกระทั่งเขาต้องย้อนกลับเข้ามาหาศาสนาซึ่งเป็นความเจริญทางจิตใจ เพราะความเจริญทางวัตถุมีแต่โทษ ความเจริญทางจิตใจสำคัญกว่า แต่บ้านเรากลับวิ่งไขว่คว้าหาความเจริญทางวัตถุ แล้วก็ละเลยในเรื่องของความเจริญทางจิตใจไป กลายเป็นงูกินหาง ไล่งับกันอยู่อย่างนี้

เถรี
18-05-2013, 21:04
ถาม : ทำไมเรื่องราวในประวัติศาสตร์แลดูแปลก ๆ ไม่รู้ว่าตัดออกหรือเปล่า ?
ตอบ : คนเราพออยู่ในอำนาจไประยะหนึ่งก็จะเกิดอาการเมา พอเมาอำนาจก็พยายามรักษาอำนาจเอาไว้ ถ้าใครมีวี่แววว่าจะทำให้ตนเองต้องสูญเสียอำนาจไป เพื่อรักษาอำนาจของตนก็จะไม่คำนึงถึงวิธีการที่ใช้ ดังนั้น..ส่วนใหญ่แล้วบุคคลที่อยู่ในบันทึกประวัติศาสตร์ เมื่อได้รับอำนาจอยู่ในมือ ถ้าไม่ใช่บุคคลที่เห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตนแล้ว ส่วนใหญ่จะเสียคนหมด

บาลีเขาบอกว่า ยโส ลทฺธา น มชฺเชยฺย บุคคลได้ยศแล้วไม่พึงเมา พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้แล้วว่า การกิน การนอน การเสพกาม การเสวยอำนาจ ถ้าไม่ใช่บุคคลที่เห็นภัยในวัฏฏสงสารจริง ๆ จะไม่เบื่อหน่ายเด็ดขาด ใครลองกินจนบอกว่าเบื่อดูสิ..รุ่งขึ้นจะกินอีกไหม ? ก็กินจนได้ การนอนก็เหมือนกัน บอกว่านอนจนเบื่อ แต่เดี๋ยวก็นอนอีกแล้ว

อีกอย่างหนึ่งก็คือ การบันทึกประวัติศาสตร์ต่าง ๆ บันทึกตามมุมมองของตนเองอย่างหนึ่ง มุมมองของตนเองไม่แน่ว่าจะถูกต้อง ขณะเดียวกันอีกอย่างหนึ่งก็คือบันทึกตามที่ผู้มีอำนาจสั่งการ ถ้าเป็นฝ่ายเราก็เขียนจนดีเลิศลอยไปเลย อีกฝ่ายหนึ่งก็เละเป็นโจ๊กไปเลย ประวัติศาสตร์ที่ไม่มีใส่สีใส่ไข่หาไม่ได้หรอก มีทั้งนั้น เพียงแต่ว่าจะซื่อตรงต่อข้อมูลเท่าไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

พูดง่าย ๆ ว่านักบันทึกประวัติศาสตร์ที่ได้รับคำชมเชยนั้น ถึงจะประเภทใส่สีตีไข่อย่างไรก็ตาม แต่แก่นแท้เนื้อเรื่องที่เป็นจริงจะไม่ทิ้ง ในเมื่อว่ากันตามเนื้อเรื่อง จะชมใครอาจจะชมเลิศลอยเกินไป จะด่าใครอาจจะด่ารุนแรงเกินไป แต่ความชัดเจนก็คือฝ่ายนั้นผิด ฝ่ายนี้ถูก ตรงนี้จะไม่ทิ้ง

เถรี
18-05-2013, 21:08
แต่ถ้านักประวัติศาสตร์ที่ดีจริง ๆ ก็ต้องดึงตัวเองออกจากเหตุการณ์ไปเลย ทำเหมือนผู้ดู แล้วก็เขียนตามที่ตนเห็นทั้งสองฝ่าย ก็จะได้ภาพที่เป็นจริงโดยปรุงแต่งน้อยที่สุด แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ สิ่งที่เห็นกับสิ่งที่ทำ บางทีก็ไม่แน่ว่าจะเป็นความจริง

ดูอย่างพระนางบูเช็กเทียน ที่จีนกลางเขาเรียกอู่เจ๋อเทียน คนนั้นก็ว่าท่านไม่ดี คนนี้ก็ว่ามักมากกามคุณ คนนั้นก็ว่าโหดเหี้ยมชั่วร้าย แต่ราชวงศ์ถังสมัยของท่านเจริญรุ่งเรืองที่สุด ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? ก็เพราะว่าตัวเองเอามุมมองของตัวเองไปมองแทน บูเช็กเทียนจากนางสนมเล็ก ๆ ก้าวขึ้นมาถึงระดับนั้น ถ้าไม่จัดการคู่แข่งอย่างเฉียบขาดใครจะไปเกรงใจ

พอก้าวขึ้นไปเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน ท่านมีแนวคิดว่า ในเมื่อฮ่องเต้ผู้ชายหาสนมมาสามพันนางเพื่อเสริมบารมี ท่านเป็นฮ่องเต้ผู้หญิงก็จะต้องมีผู้ชายสามพันนายเหมือนกัน เป็นเรื่องปกติในความรู้สึกของท่าน ส่วนคนทั่วไปไปว่าท่านมักมาก แล้วทำไมผู้ชายที่ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย จำหน้าไม่ได้ด้วยซ้ำว่านอนกับผู้หญิงคนไหน เพราะว่าตั้งสามพันกว่าคนกลับไม่โดนด่า ?

ฉะนั้น..อยู่ที่มุมมองของตัวเอง โดยที่ไม่ได้คิดถึงความเป็นจริงในตอนนั้นว่าต้องทำอย่างไร เรื่องบางอย่างต้องคิด ถ้าไม่คิดความเป็นจริงบางส่วนก็โดนปกปิดไป

เถรี
19-05-2013, 10:33
ถาม : ชอบไหลไปตามกระแสกิเลส ?
ตอบ : สติสัมปชัญญะยังไม่พอ สติต้องระลึกรู้อยู่เสมอ สัมปชัญญะต้องทราบว่าตนเองขณะนี้ทำอะไร อยู่ที่ไหน ไม่อย่างนั้นถ้าขาดเมื่อไรจะไหลไปทันที ไม่สามารถจะรักษาปณิธานความตั้งใจของตนเองไว้ได้

คราวนี้การที่จะมีสติสัมปชัญญะมั่นคงก็คือสมาธิต้องมั่นคง ถ้าสมาธิไม่มั่นคงการหยุดยั้งจะไม่มี จะมีแต่ไหลลงอย่างเดียว ให้ย้อนกลับมาว่ากันเรื่องสมาธิอีก ไม่ใช่เดินไปถึงหน้าปากซอย รถจอดช้าหน่อยด่าแล้ว สติสัมปชัญญะเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ สติสัมปชัญญะจะทรงตัวได้สมาธิต้องดี

ถาม : อย่าว่าแต่เรื่องปัจจุบัน เรื่องราวในอดีตก็เข้ามา อนาคตก็ยังแบกไว้อีก
ตอบ : ฉะนั้น..ต้องรีบหยุดให้ได้

เถรี
19-05-2013, 10:35
ถาม : เวลากลางวันเราทำงานมาเหนื่อยแล้ว เหนื่อยทั้งแรงกายแรงใจ ก่อนนอนมีเวลาปฏิบัติได้ไม่นาน ?
ตอบ : เวลาก่อนนอนเอาแค่ว่า ถ้าไม่ไหวให้กราบพระ ๓ ครั้ง นอนหงายลงไปนึกถึงพระว่า "ถ้าเราตายลงไปวันนี้ขอไปพระนิพพาน" แล้วภาวนาหลับไปเลย แต่ตื่นนอนนี่เราพักผ่อนมาเต็มที่แล้ว ภาวนาอย่างเป็นทางการสักหน่อย เอาให้ได้สัก ๒๐ นาทีหรือครึ่งชั่วโมง พอกำลังใจทรงตัวก็ตั้งใจว่า "เราจะไปทำหน้าที่การงานของเราแล้ว ถ้าหมดอายุขัยตายลงไปก็ตาม หรือเกิดอุบัติเหตุอันใดถึงแก่ชีวิตก็ตาม เราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว" แล้วก็แบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งประคับประคองภาพพระหรือคำภาวนาของเราไว้ แล้วก็ทำหน้าที่ของเราไป

ฉะนั้น..เวลาก่อนนอนอย่าไปบังคับตัวเองมาก เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ก็เหลือแต่ตื่นนอนที่ขี้เกียจไม่ได้

ถาม : กลายเป็นว่าเหนื่อยล้ามาก เวลานอนไม่ฟุ้งซ่าน กลับสงบนิ่ง
ตอบ : ถูก...แต่ถ้าไปฝืนมาก ๆ ร่างกายไม่ไหว เดี๋ยวจะไม่เอากับเราอีก เหมือนกำลังเหนื่อยมาก ๆ แล้วไปโหมทำงานต่อ พอร่างกายล้ามากวันรุ่งขึ้นก็จะทำงานไม่ไหว

เถรี
19-05-2013, 10:54
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงปู่จ้อย วัดบางช้างเหนือ ที่บางทีเขาเรียกว่าหลวงปู่เจ๊ก ถึงเวลาก็แบกไหเหล้าเมาหัวทิ่มทั้งวัน เขาส่งพระจากกรุงเทพฯ ไปสอบท่านว่าฉันเหล้าเมาผิดพระวินัย จะถอดท่าน ไปถึงหลวงปู่ท่านก็รินน้ำชาให้ แล้วถามว่า "พระเดชพระคุณมา มีธุระอะไรขอรับ" เขาก็อึก ๆ อัก ๆ ท้ายสุดก็บอกว่าจะมาดูว่าหลวงพ่อฉันเหล้าจริงหรือเปล่า ถ้าฉันเหล้าก็จะต้องถอดจากเจ้าอาวาส

หลวงปู่จ้อยท่านบอกว่า “ถ้าถอดผม พระเดชพระคุณทั้ง ๒ ท่านก็ต้องโดนถอดด้วย” เขาก็สงสัยว่าทำไมจะต้องโดนถอด หลวงปู่ก็ว่า “ท่านก็ฉันเหล้าเหมือนกัน” พอยกจอกน้ำชาขึ้นมาดม กลิ่นเหล้าทั้งนั้นเลย แต่ตอนฉันเข้าไปเป็นน้ำชา ทั้งสองท่านรู้ว่าเจอดีเข้าแล้วก็กราบลากลับเลย รู้แล้วว่าท่านแกล้งเมา

หลวงปู่จ้อยท่านดังทางตะกรุดไม้ไผ่ตัน เอาไม้ไผ่ตันมาทำตะกรุด รับประกันยิงไม่ออก แต่มีจำนวนน้อย บรรดาคนแถวบางช้างเหนือ บางช้างใต้ ได้มาก็เก็บรักษาในลักษณะเป็นมรดกตกทอดถึงลูกถึงหลาน ไม่มีหลุดไปที่อื่นเลย"

เถรี
19-05-2013, 11:38
ถาม : เราเกิดมานานแค่ไหนคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องสงสัยจ้ะ...นับชาติไม่ถ้วน อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า แต่ละชาติแค่น้ำตาไม่กี่หยด รวมกันแล้วมากกว่าน้ำในมหาสมุทรอีก บุคคลที่เกิดมาจะค่อย ๆ สร้างสมบารมีมาเรื่อย ๆ กว่าจะรู้จักคำว่าพระนิพพาน กว่าจะรู้จักศีล สมาธิ ปัญญา ครบถ้วนนี่เกิดมานับไม่ถ้วนทั้งนั้น มองเห็นแล้วจะเบื่อเอง เพราะแต่ละชาติไม่มีชาติไหนที่ไม่ทุกข์

เถรี
19-05-2013, 11:49
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนที่งานของหลวงพี่เอก พอกราบหลวงปู่ครูบาครองเสร็จท่านก็ดึงไว้ไม่ให้ถอย มานึก ๆ แล้วพระผู้เฒ่า คนรุ่นเดียวกันก็ล่วงลับไปหมด ตอนนี้ในเขตนั้นเหลือท่านองค์เดียวจริง ๆ หลวงปู่ครูบาอินต๊ะจะว่าไปแล้วท่านก็ไม่สนิท หลวงปู่ครูบาผัดมรณภาพ หลวงปู่ครูบาอ่อนมรณภาพ หลวงปู่ครูบาครองจึงเหลือองค์เดียวเลย ถ้าถามว่าท่านเหงาไหม ? ท่านก็ไม่เหงาหรอก แต่ในความรู้สึกของคนทั่ว ๆ ไปก็คือพระผู้เฒ่าไม่มีเพื่อนแล้ว ตอนมีเพื่อนท่านก็เล่นกันสนุกสนานเฮฮา

เมื่องานศพหลวงปู่ครูบาผัด หลวงปู่ครูบาอ่อนไปกราบหลวงปู่ครูบาครอง เอาสีผึ้งทาหัวเข่าปิดทองเลย ท่านบอกใบ้ให้รู้ว่าเป็นพระดีถึงขนาดที่สมควรจะปิดทองได้แล้ว"

เถรี
19-05-2013, 11:55
ถาม : ปัจจุบันนี้พระอริยเจ้าท่านมีอยู่เท่าไรคะ ?
ตอบ : เสียเวลาไปคิด ทำตัวเองให้เป็นพระอริยเจ้าถึงจะดีที่สุด เพราะว่าท่านจะมีเท่าไร หรือท่านจะเป็นพระอริยเจ้าระดับไหน ก็เหมือนกับสมบัติมหาเศรษฐี เราดูไป เรารู้ไปก็ยังเป็นของท่านอยู่ดี สำคัญที่เราต้องหาสมบัติของเราเองให้ได้

ถาม : พระโพธิสัตว์เป็นพระอริยเจ้าได้ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ได้จ้ะ ถ้าพระโพธิสัตว์ไม่ได้ละการปรารถนาพุทธภูมิ จะเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ แต่พระโพธิสัตว์ท่านสามารถปฏิบัติจนกำลังใจเทียบเท่าพระอริยเจ้าได้ ดังนั้น..พระโพธิสัตว์บางท่าน ถ้าไปขอคำสอนท่าน ท่านจะสอนลักษณะเดียวกับพระอริยเจ้า แต่จะไม่สอนเกินกำลังใจของตน

อาตมาเคยกราบขอให้หลวงปู่อ่ำ วัดโสมนัส ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่าเป็นช้างปาลิไลยกะมาเกิด ขอให้ท่านพูดถึงอารมณ์พระอริยะเจ้า ท่านบอกว่า “ฌานโลกีย์อย่างคุณ ผมพูดไปก็ผิดเสียเปล่า ๆ” อาตมากราบเรียนว่า “แค่กราบขอความรู้ไว้เป็นแนวทางการปฏิบัติเท่านั้น ถ้าหากว่ากระผมทำถึง จะได้รู้ว่าตนเองเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าจริงหรือไม่ ?”

ท่านถึงได้แสดงให้ แต่ว่าท่านจะพูดวนอยู่แค่สังโยชน์ ๕ ก็แปลว่ากำลังใจของท่านเทียบเท่าพระอนาคามี ฉะนั้น...พระอริยเจ้าจะไม่มีในพระโพธิสัตว์ ถ้ายังไม่ละความปรารถนาในพระโพธิญาณ เพราะภาระที่ตนเองตั้งใจไว้ จะทำให้จิตไม่ยอมตัดละเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้า ต่อให้กำลังใจเทียบเท่าพระอริยเจ้า ก็ไม่สามารถจะเป็นพระอริยเจ้าได้

ถาม : พระโพธิสัตว์ตัดลาจากพุทธภูมิก็เข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้าได้ ?
ตอบ : ได้..และการปฏิบัติจะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าเร็วกว่าบุคคลทั่วไป เพราะกำลังของท่านสูงมากแล้ว

เถรี
19-05-2013, 11:58
:cebollita_onion-09: เก็บตกเดือนเมษายน ปี ๕๖ จบแล้วค่ะ:cebollita_onion-09:

ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน