PDA

View Full Version : เก็บตกงานฉลองบ้านวิริยบารมี วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖


เถรี
04-04-2013, 19:58
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระนาคปรกลอยองค์ ฉลอง ๒,๖๐๐ ปี พุทธชยันตี (นาคไทย ๙ เศียร) รุ่นนี้ ตอนทำพุทธาภิเษกได้ขออนุญาตกับพระท่านว่า พระกริ่งพิชัยสงครามทั้ง ๒ รุ่น ตอนนี้ราคาองค์ละหลายหมื่น ญาติโยมหลายท่านอยากบูชาแต่กำลังไม่ถึง กราบขออนุญาตสร้างรุ่นใหม่

พระท่านตรัสว่า “เอาพระนาคปรกรุ่นนี้ไปใช้แทนก็แล้วกัน” ก็เลยกลายเป็นว่ารุ่นใหม่ไม่ได้สร้าง แต่เอารุ่นนี้ไปแทนได้ ยอดที่สร้างก็ไม่ได้มากมายนัก ตอนนี้ที่เหลืออยู่ก็มีเนื้อชุบทอง ๒ ซ.ม. (๑,๐๐๐ องค์) กับเนื้อเงินแท้ ๒ ซ.ม.(๓๐๐ องค์) เท่านั้น"

เถรี
04-04-2013, 20:03
พระอาจารย์เล่าว่า "ที่อาตมาไปสอนพระนิสิต เรื่องของปัจจัยไม่ใช่จุดมุ่งหมาย ปกติแล้วที่ไปสอนเพราะตั้งเจตนาไว้ว่า จะไปเตือนสติพระนักเรียน ว่า อย่าให้ลืมความเป็นพระของตน เพราะฉะนั้น..อาตมาจะเป็นพระอาจารย์ที่เขาค่อนข้างจะเบื่อขี้หน้า พอถึงเวลาก็จะไปกระตุกต่อมจริยธรรมให้รู้ตัวขึ้นมาทีหนึ่ง เขาก็จะกินไม่เป็นสุข อยู่ไม่เป็นสุขไปพักใหญ่ พอเริ่มทำใจให้หน้าด้านได้ อาตมาก็ไปกระตุกซ้ำอีกแล้ว

ฉะนั้น..ที่ยอมรับเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย จุดมุ่งหมายจริง ๆ ก็คือเพื่อที่จะไปบอกกับพวกเขาว่า ถ้าคุณเป็นพระนักปฏิบัติจริง ๆ การเรียนไม่มีอะไรยากเลย เพราะถ้าสมาธิทรงตัว เราฟังอะไรครั้งเดียวก็เข้าใจแล้ว

จะว่าไปแล้วอาตมาพื้นฐานการเรียนทางโลกน้อยมาก จบแค่ชั้น ม.ศ.๓ (มัธยมศึกษาปีที่ ๓) เท่านั้น ถึงจะไปเรียนวิชาทหารมา วิชาพวกนั้นก็สอนแต่ให้ฆ่าอย่างเดียว แต่ปัจจุบันนี้เรียนปริญญาเอกอยู่เพื่อนทั้งห้องต้องมาพึ่ง ก็เพราะว่าในส่วนที่อาตมาฟังแล้วเข้าใจ และรู้ว่าอาจารย์ท่านต้องการอย่างไร

อย่างเมื่อล่าสุด ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระราชวรเวที ถ้าวันนี้ไม่มีอะไรผิดพลาดท่านจะมาเป็นประธานในการเจริญพุทธมนต์ ท่านเป็นพระนักปฏิบัติกรรมฐานที่สุดยอดมาก และอาตมาก็เป็นคู่ปรับท่านมาตั้งแต่สมัยเรียนประกาศนียบัตร เรียนปริญญาตรี เรียนปริญญาโท พอถึงปริญญาโทท่านเลิก ท่านไม่ยอมให้อาตมาเป็นคู่ปรับด้วย เพราะว่าท่านเจ้าคุณอาจารย์ท่านลงได้บรรยายธรรมเมื่อไร ท่านจะหลับตาว่าไปเรื่อย สองชั่วโมงก็แล้ว สามชั่วโมงก็แล้ว สี่ชั่วโมงก็แล้ว ลักษณะอย่างนั้นต้องเป็นบุคคลที่ทรงฌานเท่านั้น ถ้าทรงฌานไม่ได้ก็ไม่สามารถที่จะลำดับความ แล้วบรรยายได้มากขนาดนั้นได้"

เถรี
04-04-2013, 20:06
"อาตมาเองนั่งฟังท่านตั้งแต่ ๖ โมงเย็นจนถึง ๔ ทุ่ม ก็มานั่งคิดว่าตามกำหนดการเขาให้เราฟังแค่ ๓ ทุ่ม ถ้าเป็นอย่างนี้ พรุ่งนี้ตี ๓ ต้องตื่น แล้วพระที่ไม่เคยชินท่านจะตื่นไม่ไหว ก็เลยสะกิดเข่า ท่านก็ลืมตาดู เห็นอาตมาทำท่าว่า “ขอเวลานอกครับ” ชี้ให้ท่านดูนาฬิกา ท่านหันไปดูแล้วพูดว่า “อ้อ..เวลาก็พอสมควรแล้ว อย่างนั้นคืนนี้เอาแค่นี้ก่อนนะ”

พอออกมาข้างนอก เพื่อน ๆ เฮกันมากเลย เพราะอาตมาเป็นแค่นักเรียนระดับประกาศนียบัตร แต่บังอาจไปเล่นรองเจ้าคณะภาคเสียแล้ว ปริญญาตรีก็เจออย่างนั้นตลอด ๔ ปี คือต้องคอยสะกิดท่าน พอปริญญาโทท่านเห็นหน้าอาตมาท่านจำได้ จำได้ว่าถ้าขืนยาวเลยเวลาท่านโดนแน่ ท่านก็เลยตั้งเวลาของท่าน ก็คือท่านก็หลับตาบรรยายของท่านไปเรื่อย พอถึงเวลา ๒ ทุ่มครึ่งตรงท่านลืมตาบอกว่า “เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้”

ลักษณะนั้นจำไว้เลยนะว่า ต้องคล่องตัวในสมาธิขนาดทรงฌานตั้งเวลาได้ เพราะท่านนั่งหลับตาบรรยาย ไม่อย่างนั้นแล้วจะไม่เลิกตรงเวลาขนาดนั้น"

เถรี
04-04-2013, 20:16
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระผู้ใหญ่ เราต้องเห็นใจว่า ถ้าท่านมีงานหลวงที่สำคัญกว่า ท่านต้องไปที่นั้น อย่างหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ อาตมาไปนิมนต์ท่าน เพื่อไปเจริญพุทธมนต์ฉันเพล ในงานทำบุญ ๘๐ ปีหลวงพ่อพระเทพเมธากร อดีตเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ท่านดูแล้วก็บอกว่า “ฉันเพลใช่ไหม ? ” กราบเรียนว่าใช่ครับ ท่านบอกว่า “ผมมีสวดมนต์เย็นที่พระบรมมหาราชวัง ผมกลับทัน..จะไปให้” ลักษณะถ้ามีที่สำคัญกว่าแล้วท่านไปงานเราไม่ทัน ท่านก็จะไม่ไป

แบบเดียวกับที่อาตมาแนะนำบรรดาพระผู้ใหญ่ทางด้านกาญจนบุรีว่า "นี่คือท่านเจ้าคุณพระภาวนากิจวิมล หรือท่านเจ้าคุณอนันต์ วัดท่าซุง อาจารย์ของผมเอง" พระผู้ใหญ่ท่านก็มักบอกว่า “ทำไมไม่นิมนต์ท่านมางานวัดท่าขนุนบ้าง” อาตมากราบเรียนท่านว่า “ด้วยฝีตีนของคนขับรถอาตมา ที่เขาเรียกว่าบินแข่งนรก ยังใช้เวลา ๕ ชั่วโมงกว่าจะถึงวัดท่าซุง แล้วคนที่ไม่ได้ขับเร็วขนาดนั้นจะใช้เวลากี่ชั่วโมง สมมติว่าออกจากวัดท่าซุงตีห้า จะไปถึงท่าขนุนเลยเพล ไม่ต้องรับประทานกันหรอก เพราะฉะนั้น..อย่าให้ท่านต้องมาเสี่ยงชีวิตเพราะงานของผมเลย จึงไม่ได้นิมนต์”

มีคนเขาสงสัยว่าลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุง เวลาบวงสรวงก็เปิดเทปหลวงพ่อวัดท่าซุง ทำไมพระอาจารย์เล็กบรรเลงเองอยู่เรื่อยเลย ปัญหานี้ปกติเขาถามแล้ว อาตมาก็ตอบเป็นการส่วนตัวไป แต่เพื่อที่จะไม่ให้โยมเสียเวลามาถามอีกก็ขอบอกว่า

เมื่ออาตมาไปอยู่ที่เกาะพระฤๅษีปีแรก ทำบวงสรวง พอทันทีที่จะกดปุ่มเดินเครื่องซาวน์อะเบาท์ เพื่ออาศัยเสียงหลวงพ่อท่านบวงสรวง ก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อจริง ๆ ได้ยินเสียงท่านดังเต็มหูเลยว่า “เอ็งใช้ข้าจนตายแล้วยังจะใช้ต่ออีกหรือ ?” สงสัยว่าหลวงพ่อท่านคงจะบอกทุกคนแหละ แต่คนอื่นเขาแกล้งไม่ได้ยิน บังเอิญอาตมาได้ยิน จึงกราบเรียนถามท่านว่า “เวลาบวงสรวงต้องทำอย่างไรบ้างครับ ?” หลวงพ่อท่านก็บอกวิธีการให้ อาตมาซักรายละเอียดเลยโดนด่า สรุปว่าทำตามที่ท่านบอกเท่านั้น..ห้ามถาม เพราะฉะนั้น..จงเลิกสงสัย

มีพระเกจิอาจารย์และญาติโยมหลายต่อหลายท่านถามว่า “เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ถือว่าเป็นพระรุ่นใหม่ ยังหนุ่มอยู่แท้ ๆ ทำไมเสกวัตถุมงคลได้ขลังขนาดนี้ ?” อาตมาบอกกับทุกรายเลยว่าไม่ได้เสกเอง ถึงเวลาอาตมาจะกราบขอบารมีพระท่านช่วยสงเคราะห์ กราบเรียนพระท่านว่า “เคยสงเคราะห์หลวงพ่อวัดท่าซุงเท่าไร ผมก็ขอแค่นั้นครับ” ขอนิดเดียว..อาตมาเป็นคนไม่โลภมาก ไม่ขอเยอะหรอก

วิธีการนี้พวกเราจะเอาไปใช้บ้างก็ได้ แต่ว่าขอยืนยันว่าอย่างน้อย ๆ เราต้องมีต้นทุนพอ คำว่ามีต้นทุนพอก็คือเวลาพระ หรือว่าหลวงปู่ หลวงพ่อท่านใช้งานอะไรเรา โปรดทำให้สำเร็จด้วย ถ้าทำให้สำเร็จอยู่บ่อย ๆ เดี๋ยวต้นทุนของเราจะพอเอง พอต้นทุนพอ ถ้าอยากให้ท่านสงเคราะห์อะไรท่านก็จะสงเคราะห์ให้"

เถรี
04-04-2013, 20:22
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อพระครูสิริบุญโสภิต เจ้าอาวาสวัดใหม่ยายนุ้ย มีโครงการจะซื้อที่ดินเพื่อขยายถนนซอยให้กว้างกว่านี้ เนื่องจากทั้งวัดทั้งโรงเรียนก็อยู่ในซอยนี้ เมื่อรู้ว่าอาตมามาทำบ้านวิริยบารมีอยู่ที่นี่ หลวงพ่อท่านก็ขอซื้อที่หน้าบ้านเพื่อขยายซอย อาตมากราบเรียนท่านว่า “ถ้าหลวงพ่อทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม ผมไม่คิดสตางค์ ขอถวายเลยครับ”

แล้วร่นรั้วให้ ๑ เมตร กับ ๕๐ ซ.ม.เลย ปรากฏว่าอีกบ้านหนึ่งขายให้แค่ ๕๐ ซ.ม. ไม่ใช่ถวายนะ เขาขาย..หลวงพ่อท่านเห็นว่าไม่พอที่จะทำให้รถหลีกกันได้ ท่านก็เลยไม่รู้ว่าจะซื้อไปทำไม

เราก็ต้องมาดูว่า ในเรื่องของบุคคลที่มีจิตเสียสละเพื่อส่วนรวม ต้องเป็นกำลังใจระดับพระโพธิสัตว์กันเลย ถ้าสำหรับบุคคลที่ปรารถนาในพระโพธิญาณแล้ว การเสียสละเพื่อส่วนรวมนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องกระทำกันเป็นปกติ ท่านที่ไม่ได้มีกำลังใจมาทางด้านนี้ ท่านไม่เสียสละก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติของท่าน"

เถรี
04-04-2013, 20:31
พระอาจารย์เล่าว่า "ที่วัดท่าขนุนตอนนี้บริษัทรับเหมากำลังเจาะเสาเข็มกันอยู่ อาตมาเองก็เพิ่งทำพิธีลงเสาเอกไปเมื่อวันที่ ๒๗ ที่ผ่านมา แต่เป็นที่น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง ก็คือพวกคนงาน ถึงเวลาก็ลงไปกวาดเหรียญเงิน เหรียญทอง เหรียญในหลวง แก้วแหวนอะไรต่าง ๆ ไปคนละหอบสองหอบ อาตมาก็ไม่รู้จะบอกเขาไปทำไม ว่าสิ่งที่ตัวเขาเองทำนั้นจะเดือดร้อนสาหัสทีหลัง

ญาติโยมจำนวนมากยังไม่ทราบว่า การที่เข้าวัดเข้าวา แล้วนำเอาสิ่งต่าง ๆ ไปนั้นเป็นหนี้สงฆ์ คำว่า "หนี้สงฆ์" ถ้าเราไม่รู้โทษก็จะไม่รู้สึกว่าหนัก ขอบอกว่าหนี้สงฆ์จะมากจะน้อย เขาปรับโทษอเวจีอย่างเดียว เพียงแต่ว่าจะอยู่นาน อยู่เร็วกว่ากันเท่าไร ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนหนี้สงฆ์ที่เราเป็นอยู่ การเป็นหนี้สงฆ์ถ้าไม่ได้ชำระหนี้ บุญทั้งหมดที่ทำมาเป็นหมันหมด เพราะว่าเขาจะเอาลงไปปิ้งเล่นที่อเวจีก่อน..!

อาตมาสงสารพวกคนงานชุดนั้น แต่รู้ว่าบอกไปก็ไร้ประโยชน์ ถ้าบอกไปจะเป็นโทษหนักกับเขาอีก เพราะกลายเป็นว่ารู้แล้วยังขืนทำ ถ้าไม่บอกก็ให้เขาทำ ๆ ของเขาไป โทษยังไม่หนักเท่านั้น เขาอาจจะได้ทอง ได้เงินไปขายเพื่อยังชีพ สร้างความสุขสบายให้แก่ตัวเองก็ได้แค่พักเดียว พอถึงเวลาความเดือดร้อนมาถึงจะแก้ตัวก็ไม่ทันแล้ว เพราะส่วนใหญ่ไปรู้เอาตอนตาย

ในเมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเราเองที่พอจะรู้ ก็พยายามแนะนำลูกหลานญาติโยมของตนเองให้เข้าใจในเรื่องของการเป็นหนี้สงฆ์ คนโบราณสมัยก่อนจิตใจละเอียดมาก บรรดารุ่นปู่ย่าตายาย เวลาจะไปวัด จะบอกลูกหลานให้หยิบดินที่บ้านก้อนหนึ่งใส่หาบไปด้วย พอไปถึงก็ไปโยนไว้ในวัด เพราะเขาถือว่าการเดินเข้าวัด ทำให้มีเศษดินจากวัดติดเท้าไป ในเมื่อเศษดินจากวัดติดเท้าไปเท่ากับว่าเป็นหนี้สงฆ์

คนโบราณที่ใจละเอียดก็เลยใช้วิธีชำระหนี้สงฆ์โดยการเอาดินจากบ้านก้อนหนึ่ง จะก้อนเล็กก้อนใหญ่ก็อยู่ที่ลูกหลานจะหยิบให้ ใส่หาบที่เอาภัตตาหารไปถวายพระ ถึงเวลาก็เอาไปโยนไว้ในวัด ถือว่าใช้หนี้กันไป แล้วอีกส่วนหนึ่งที่โบราณท่านทำอยู่เป็นประจำ ก็คือการขนทรายเข้าวัด เขาก็ถือว่าการติดหนี้สงฆ์นั้น แต่ละปีจะทำการใช้หนี้ด้วยการขนทรายเข้าวัด สมัยก่อนทรายไม่ได้ซื้อหากันง่ายอย่างในสมัยนี้ อยากได้ทรายต้องไปงมเอาในแม่น้ำ ต้องดำน้ำลงไปตักขึ้นมาทีละถังครึ่งถัง แล้วแต่ว่าใครจะสามารถตักได้เท่าไร"

เถรี
04-04-2013, 20:35
"อย่างสมัยหลวงปู่ปาน วัดบางนมโคทำการก่อสร้าง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า หลวงปู่ปานต้องดำงมทรายเอง ตัวดำเป็นเหนี่ยงเลย เด็กสมัยนี้ไม่รู้จักว่า "เหนี่ยง" หน้าตาเป็นอย่างไร แมลงเหนี่ยงเป็นแมลงชนิดหนึ่ง บางคนเรียกว่าแมลงตับเต่า เอามาคั่วเกลือกินอร่อยดี ดำจนขึ้นเงา เพราะฉะนั้น..สมัยก่อนอะไรที่ดำ ๆ เขาจะไม่บอกว่าดำเหมือนอีกา เขาจะบอกว่าดำเป็นเหนี่ยง ท่านบอกว่า “หลวงปู่ปานนี่ดำทรายทุกวัน ตัวดำเป็นเหนี่ยงเลย” ว่าอย่างนั้น

แสดงว่าสมัยก่อนที่เราจะซื้อจะหาทรายกันเพราะมีเครื่องดูดนั้น คนโบราณเขาใช้วิธีดำไปตักทรายกัน แล้วก็เอาใส่หาบ หาบไปวัด ไปก่อเจดีย์ทรายถวายเป็นพุทธบูชา แล้วอีกประการหนึ่งที่สำคัญก็คือ ได้ชำระหนี้สงฆ์ที่ตนเองติดหนี้เอาไว้ เนื่องจากว่าเข้าวัดเข้าวาแล้ว ได้เหยียบย่ำเอาดินทรายติดเท้าไป มาระยะหลัง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านแนะนำว่า ถ้าอยากจะชำระหนี้สงฆ์ให้สร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก ถ้าสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอกแล้วไม่ปิดทอง ชำระหนี้ได้เฉพาะเจ้าภาพคนเดียว แต่ถ้าปิดทองด้วย ชำระได้ทั้งคณะ จะกี่ร้อยกี่พันคนก็ได้ถ้าร่วมกันทำ

ญาติโยมส่วนใหญ่เข้าวัดแล้วไม่มีความรู้ เพราะว่ารุ่นพ่อรุ่นแม่ก็ไม่รู้ ไม่ได้อบรมมา รุ่นเราก็ไม่รู้ ถึงเวลาจึงไม่ได้อบรมต่อ ลูกหลานก็ยิ่งไม่รู้หนักเข้าไปอีก ฉะนั้น..ถึงเวลาเข้าวัดแล้ว ชอบใจอะไรก็หยิบไปเรื่อย เห็นดอกไม้สวยเด็ดดอกไม้ เห็นผลไม้สุกเก็บผลไม้ เป็นต้น สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นทำให้เราเป็นหนี้สงฆ์ทั้งนั้น และโดยเฉพาะบรรดาลูกหลานที่เป็นพระยิ่งไม่เข้าใจ ก็ยิ่งมีการแสดงออกที่ทำให้พ่อแม่เป็นหนี้สงฆ์หนักขึ้นไปอีก ก็คือญาติโยมเขาถวายอะไรมา ก็ขนกลับบ้านไปให้พ่อแม่"

เถรี
05-04-2013, 12:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าญาติโยมได้ยินตอนอาตมากล่าวถึงในหลวงเมื่อตอนเป่ายันต์ฯ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๖ ว่า ในหลวงของเราไม่ได้ต้องการให้คนไปร้อง "ทรงพระเจริญ" หรอก แต่ที่ออกมหาสมาคมที่พระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา เพราะพระองค์ท่านต้องการกำลังใจของคนหมู่มากไปรวมกัน เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจโลก และท่านแก้ปัญหาด้วยการช่วยประเทศสหรัฐอเมริกา

ถ้าเศรษฐกิจอเมริกาดีขึ้น ยุโรปก็จะดี ถ้ายุโรปอเมริกาดีขึ้น ทั้งโลกก็จะดีขึ้น อาตมาคาดว่าน่าจะเป็นทรัพยากรธรรมชาติบางอย่างจะปรากฏขึ้นที่อเมริกา ตอนนี้มีข่าวหลุดออกมาว่าอเมริกาพบบ่อน้ำมันยักษ์ อีก ๕ ปีจะแซงซาอุฯ โปรดทราบว่าเป็นฝีพระหัตถ์ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เต็ม ๆ พระองค์ท่านไม่ได้ต้องการให้โฆษณา แต่อาตมาถวายการรับใช้ฟรี..! เป็นเรื่องที่ปิดทองหลังพระชนิดที่พวกเราก็ไม่รู้กัน

ตอนแรกอาตมาก็สงสัยว่า ทำไมพระองค์ท่านไม่ให้เมืองไทยเป็นอย่างนั้น ปรากฏว่าพระองค์ท่านแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ในเมื่อเศรษฐกิจโลกจะพังเพราะอเมริกา ก็ต้องแก้ที่อเมริกาไม่ใช่แก้ที่ประเทศไทย ถ้าแก้ที่ประเทศไทยก็ดีแค่เอเชียกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้น ในเมื่อเป็นดังนั้นก็ต้องแก้ที่อเมริกา ทั้งโลกจะได้ดีขึ้น เราจะได้เห็นว่ากำลังใจของพระโพธิสัตว์นั้นท่านไม่มีประเทศ ไม่มีเชื้อชาติ มีแต่เพื่อนร่วมทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย เท่านั้น

ดังนั้น..อะไรที่พอจะช่วยเหลือกันได้ พระองค์ท่านก็ช่วย ขอให้ทราบว่าเราทุกคนที่ร่วมกันส่งกำลังใจถวายพระพรในหลวงนั้น พระองค์ท่านรวมกำลังใจทั้งหมด ไปเปิดทรัพย์ใต้ดินเพื่อที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจโลก ฉะนั้น..จงภูมิใจว่าเราเป็นส่วนหนึ่งในจำนวนนั้น ที่ได้ทำให้เศรษฐกิจโลกดีขึ้น แม้ว่ากำลังใจจะห่วยไปหน่อยก็ตาม..!"

เถรี
05-04-2013, 12:23
"แต่อาตมาเป็นห่วงอเมริกาว่า ถ้าทรัพยากรขึ้นลักษณะนี้ คนอเมริกาก็จะฟุ่มเฟือยไม่ดูหน้าดูหลังกันต่อไป ซึ่งจะกลายเป็นนิสัยที่ไม่ดีติดตัวไปอีกหลายชั่วคน ถ้าเกิดอะไรที่จะทำให้ประเทศชาติตนเองมีปัญหา เกรงว่าคนที่เคยสบายแล้วจะไม่ยอมลำบาก ในเมื่อสบายแล้วไม่ยอมลำบาก การจะออกกฎหมายอะไรมาเพื่อบังคับใช้กับคนหมู่มากก็จะไม่เกิดผล และจะเป็นตัวถ่วงให้โลกล่มจมต่อไป

ดังนั้น..ในงานเป่ายันต์ฯ แต่ละงานที่อาตมาบอกว่า กำลังใจของเราที่ไปรวมกันจำนวนมาก ๆ ในจุด ๆ หนึ่ง พรหมเทวดาท่านต้องการจะเอากำลังที่รวบรวมได้ในส่วนนี้ ไปเพื่อประคับประคองประเทศชาติของเรา ถ้าอะไรที่หนักก็จะทำให้เบา ถ้าอะไรที่เบาก็จะได้แก้ไขให้ลุล่วงผ่านไปได้"

เถรี
05-04-2013, 12:32
พระอาจารย์กล่าวว่า "ประเทศเขมรที่เราเคยเห็นว่าล้าหลังสุดกู่ปลายตะโกน เป็นทุ่งสังหาร มีแต่สงครามมาตลอดระยะเวลายาวนาน ตอนนี้เขาจะแซงหน้าเราไปแล้ว เขมรโฆษณาประกาศใช้โทรศัพท์ 4G ตั้งแต่เมษายน ๒๕๕๕ แล้ว ลาวเริ่ม 4G ไปเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ ประเทศไทยเรา 3G ยังปั้นไม่เป็นตัวเลย

เห็นหรือยังว่าการที่บ้านเราเมืองเรา มัวแต่แบ่งแยกสามัคคีกันอยู่ ทำให้บ้านเราเมืองเราล้าหลังขนาดไหน ? การที่เราคอยคัดค้าน คอยตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลเป็นของดี เพื่อที่ทุกอย่างจะได้โปร่งใส การพัฒนาบ้านเมืองจะได้เป็นไปโดยเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ไม่ใช่หลับหูหลับตาค้านทุกเรื่อง ลักษณะอย่างนั้นเขาเรียกว่า มือไม่พายแล้วเอาปากราน้ำ..! ประเทศชาติแทนที่จะก้าวไปข้างหน้าก็ไม่ต้องทันใครเสียที

สนามบินสุวรรณภูมิประกาศสร้างตั้งแต่อาตมายังไม่เกิด มาสำเร็จตอนอาตมาอายุ ๔๗ ปี เราจะเห็นได้ว่าบ้านเราจริง ๆ แล้ว คนที่ทำร้ายประเทศชาติบ้านเมืองจริง ๆ ส่วนใหญ่คือนักการเมืองไม่กี่คน ดังนั้น..บุคคลที่น่าสงสารที่สุดในบ้านเราก็คือในหลวง ในหลวงที่พยายามประคับประคองทุกคน ในหลวงที่ไม่เคยเห็นว่านี่เป็นเสื้อเหลือง นี่เป็นเสื้อแดง ในหลวงไม่เคยเห็นว่านี่เป็นคนไทย นี่เป็นคนอิสลาม

ในหลวงเห็นทุกคนเป็นพสกนิกรที่พระองค์จะต้องให้การสงเคราะห์เสมอหน้ากัน เมื่อเห็นแบบอย่างที่ในหลวงทรงทำมาตลอด ๖๐ กว่าปี แล้วทำไมคนอื่น ๆ ถึงไม่เลียนแบบแล้วทำตามบ้าง ? ถ้าเรายังมีการรังเกียจผู้อื่นอยู่ ไม่ว่าจะโดยเชื้อชาติ โดยศาสนา โดยสีเสื้อ โดยแบ่งพรรคแบ่งพวกอะไรก็ตาม แปลว่าเราเข้าไม่ถึงการปฏิบัติธรรมที่แท้จริง ยังมีตัวกู ของกูอยู่เต็ม ๆ

ที่ภาษาฝรั่งเขาเรียกว่า Ego คือยึดอัตตา เอาตัวเองเป็นใหญ่ ความคิดของเราต้องถูก ของคนอื่นใช้ไม่ได้ การสามัคคีปรองดองในประเทศชาติต้องทำตามที่กูต้องการเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นเมื่อไรจะปรองดองกันได้ ถ้าไม่ทำตามที่เขาต้องการก็แปลว่าปรองดองกันไม่ได้"

เถรี
05-04-2013, 12:38
"การปรองดองก็คือต่างคนต่างยอมลดทิฐิ อะไรที่เสียสละเพื่อส่วนรวมได้ต้องยอมเสียสละ ประเทศชาติบ้านเมืองของเราตั้งแต่มีประวัติศาสตร์ชัดเจนจากสุโขทัยมา ๗๐๐ กว่าปี แม้ว่าจะมีการเสียกรุงให้กับประเทศอื่นบ้าง แต่เราก็สามารถรวมประเทศเป็นปึกแผ่นแน่นหนาขึ้นมาได้ แล้วมีบุคคลแค่ไม่กี่คน ทำให้การแตกแยกร้าวลึกจนไม่สามารถประสานกันได้ในระยะเวลาไม่กี่เดือน เราลองคิดดูซิว่า..พวกเราเป็นคนที่โดนจูงจมูกง่ายขนาดนั้นเลยหรือ ?

เรารับฟังข่าวสารต่าง ๆ โดยไม่ได้ใช้สติปัญญาพิจารณาเลยหรือว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง ? แม้กระทั่งพระพุทธเจ้ายังตรัสถึงกาลามสูตรหรือเกสปุตตสูตรว่าอย่าเชื่อโดยเขาลือสืบ ๆ กันมา แม้กระทั่งอย่าเชื่อเพราะสมณะนี้เป็นครูของเรา เราได้ทำตนสมกับที่เป็นพุทธศาสนิกชนหรือยัง ? หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอกาลิโก เหมาะแก่การใช้ในทุกสมัย ทุกที่ทุกทาง ถ้าตราบใดที่เราหันไปทางไหนแล้วยังติดขัดอยู่ แปลว่าเรายังไม่สามารถจะปรับใช้หลักธรรมของพระพุทธเจ้าได้อย่างคล่องตัว ก็แปลว่าเรายังไม่เข้าถึงธรรมอย่างแท้จริง

ดังนั้น..ในส่วนที่อยากจะบอกพวกเราก็คือว่า ในหลวงทรงพระชราภาพเหลือเกินแล้ว กายสังขารของพระองค์ท่านไม่สามารถที่จะทนต่อความลำบากตรากตรำได้แล้ว ความหวังในชีวิตของพระองค์ท่านก็คือเห็นคนไทยทุกคนรักใคร่สามัคคีกัน มีความเจริญรุ่งเรืองทัดเทียมนานาอารยประเทศ สิ่งนี้พระองค์ท่านจะได้เห็นภายในพระชนม์นี้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับพวกเรา

รู้ตัวแล้วรีบทำ ทำได้แล้วนำไปบอกต่อ ให้คนรอบข้างของเราได้ทำในสิ่งเดียวกัน ก็คือทำความดีให้เป็นความดีอย่างแท้จริง ไม่ใช่ถามว่าความดีคืออะไรแล้วตอบไม่ได้ ความดีอย่างแท้จริงคือการดีตามหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดีด้วยกาย ดีด้วยวาจา ดีด้วยใจ น้อมนำพระบรมราโชวาทที่พระองค์ท่านให้ไว้ในวาระต่าง ๆ มาปฏิบัติตาม แล้วเราจะเป็นพสกนิกรที่ดี เป็นผู้ที่ยังประเทศชาติของเราให้เจริญรุ่งเรือง ทันให้พระองค์ได้เห็นในพระชนม์ชีพนี้ ว่าประเทศของเราสามารถพัฒนาไปได้อย่างที่พระองค์ใฝ่ฝันและปรารถนาเอาไว้"

เถรี
05-04-2013, 12:46
"เรามีโอกาสทำความดีถวายในหลวงน้อยมากแล้ว พระองค์ท่านจะอยู่ยงดำรงขันธ์ไปได้นานเท่าไร ก็ขึ้นอยู่กับกำลังพระทัยที่จะอยู่เพื่อดูความสำเร็จของลูก ๆ ทั้ง ๖๐ กว่าล้านคน ปัจจุบันลูก ๆ ทะเลาะเบาะแว้งกัน คนเป็นพ่อเหนื่อยใจที่สุด เมื่อไรจะยอมลดละทิฐิ รักใคร่สามัคคีกัน ช่วยกันพัฒนาประเทศชาติอย่างจริง ๆ จัง ๆ เสียที อย่าทำให้ความหวังของพระองค์ท่านต้องสูญเปล่า

สิ่งที่ทรงทำด้วยความเหนื่อยยากมาตลอด ๖๐ กว่าปี ขอให้พระองค์ท่านได้ทันเห็นความสำเร็จ อาตมาไม่ได้คิดที่จะพูดในเรื่องที่ทำให้พวกเราต้องลำบากใจ ต้องเครียด แต่อย่างที่บอกว่า ในหลวงทำทุกอย่างเพื่อคนทั้งโลก และเพื่อสรรพสัตว์อีกหลายภพ หลายภูมิ เรามองไม่เห็นก็เอาเฉพาะที่พระองค์ท่านทำให้กับประเทศไทย

ปัจจุบันนี้บุคคลที่ไม่หวังดี ไม่ปรารถนาดี โจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์กันมาก ว่าพระองค์ท่านสร้างภาพ แม้กระทั่งฝรั่งก็บอกว่าในหลวงทรงยืนอยู่ในสถานะผู้นำราชวงศ์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เพราะเขาอ้างถึงทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่มีอยู่ทั่วประเทศไทย แต่อาตมาอยากจะบอกว่าประเทศไทยทั้งประเทศเคยเป็นของในหลวงมาก่อน แล้วพระองค์ท่านแบ่งสันปันส่วนให้กับประชากรทุกคน โฉนดที่ดินต้องโดยพระบรมราชานุญาตทุกใบ ในเมื่อพระองค์ท่านอนุญาตให้ออกโฉนดได้ ก็แปลว่าพระองค์ท่านเฉือนทรัพย์สมบัติตนเองทั้งประเทศ แบ่งปันให้กับทุกผู้คน

ฝรั่งเขาบอกว่าเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย เป็นราชวงศ์ที่รวยที่สุดในโลกนั้น พระองค์ท่านก็นำเอาสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมาพัฒนาประเทศ ที่ ๆ เป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ค่าเช่าถูกสุด ๆ อาตมาเคยได้ยินมาว่าไร่ละบาทบ้าง ๓ บาทบ้าง ๕ บาทบ้าง ถ้าเป็นเรามีที่ดิน จะยอมให้เขาเช่าในราคาแค่นี้หรือไม่ ? แล้วเราก็ไปฟังแต่คนที่ไม่หวังดี ไม่ปรารถนาดี ต้องบอกว่าฉลาดแบบโง่ ๆ จับแพะชนแกะไปเรื่อย แล้วเราก็หน้ามืดตามัว ไม่ได้ใช้ปัญญา เชื่อแล้วก็คล้อยตามเขาไป ว่าในหลวงทรงสร้างภาพ ทำเป็นคนดี แต่จริง ๆ แล้วกอบโกยความร่ำรวยใส่พระองค์มาตลอด

ถ้าพระองค์ต้องการจะกอบโกยไม่ต้องเสียเวลาหรอก แค่บอกคำเดียว มีคนที่พร้อมที่จะมอบกายถวายชีวิตให้นับจำนวนไม่ถ้วน"

เถรี
09-04-2013, 20:29
"ในเมื่อเป็นดังนั้น สิ่งต่าง ๆ ที่เราได้ยินได้ฟังมา ใช้สติยั้งคิด ใช้ปัญญาไตร่ตรอง แล้วพิจารณาดูว่าคนพูดนั้นหวังดีปรารถนาดีต่อประเทศชาติเราจริงหรือไม่ ? มีใครสามารถสร้างภาพตัวเองได้ยาวนานขนาดนี้ ยอมเหนื่อยยากทุ่มเทกำลังกายกำลังใจมาตลอด ๖๐ กว่าปี จนป่านนี้ยังเกษียณอายุไม่ได้ ถ้าเป็นเราจะทนสร้างภาพได้นานขนาดนั้นหรือไม่ ? แค่ใช้ปัญญาที่มีเพียงเล็กน้อยตรองดู ก็จะรู้ว่าความจริงคืออะไร คนพูดหวังดี ปรารถนาดีต่อประเทศชาติจริงหรือไม่ ?

ปัจจุบันสื่อต่าง ๆ ไปได้เร็วมาก โดยเฉพาะสื่อทางอินเตอร์เน็ต บรรดาโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ทำให้เรื่องทั้งหลายแพร่ออกไปเร็ว สิ่งที่เรารับเข้ามาแล้วส่งต่อไป โปรดยั้งคิดแล้วพิจารณาด้วยว่า เรากำลังสุมฟืนสุมไฟเผาประเทศชาติตัวเองอยู่หรือเปล่า ? สิ่งใดพิจารณาแล้วถ้ารู้ว่าเหลวไหลไร้ประโยชน์ จะใช้วิธีเดียวกับอาตมาก็ได้ คือดีดลงถังขยะแล้วลบทิ้งถาวรไปเลย ไม่ใช่มาถึงเราก็ส่งต่อไปด้วยความมันในอารมณ์ ที่ได้รู้ว่าเรารู้เป็นคนแรก ๆ แล้วส่งต่อให้คนอื่น กลายเป็นกระจายเชื้อไฟหนักเข้าไปอีก เท่ากับตัวเราเองที่ช่วยกันสุมฟืนสุมไฟ เผาประเทศของเราจนร้อนรนอยู่ไม่ติดกันจนทุกวันนี้

ถ้าไม่ออกทางกายก็ออกทางวาจา ไม่ออกทางวาจา ใจเราก็คิด ในหลวงทรงให้เราอดทน...ทนด้วยกาย อดกลั้น..กลั้นด้วยวาจาที่จะพูดในสิ่งที่ไม่ดี ให้เราอดออม..ถนอมกำลังใจของเราเอาไว้ เก็บเอาไว้สู้กับกิเลส เก็บเอาไว้สู้กับความชั่ว เก็บเอาไว้ต่อสู้กับการดำเนินชีวิต พระองค์ท่านนำเอาหลักธรรมทางพุทธศาสนามาสอนพวกเราอยู่ตลอดเวลา แต่พระองค์ท่านดัดแปลงจนเราแทบจะไม่เห็นเค้าว่ามาจากหลักธรรมในพุทธศาสนา เพื่อให้พวกเรารับได้ง่ายขึ้น ไม่อย่างนั้นส่งยามา เราเห็นว่าเป็นยาก็ไม่กินแล้ว ขนาดพระองค์ท่านส่งขนมที่เป็นยารักษาโรคมาให้ เรายังไม่ค่อยอยากจะกินเลย

พระองค์ท่านสอนเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ก็คือหลักสันโดษดี ๆ นี่เอง สันโดษไม่ได้แปลว่าจน ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามที่ได้มา ยถาพลสันโดษ ยินดีตามกำลังที่หาได้ ถ้าหาได้เป็นพันเป็นหมื่นล้านก็หาไปสิ ยถาสารุปปสันโดษ ยินดีตามฐานะของตน ถ้ามีเงินเป็นพัน ๆ ล้านจะขี่เบนซ์ ขี่บีเอ็มก็ไม่มีใครเขาว่าอะไร"

เถรี
09-04-2013, 20:39
"ในเมื่ออยู่ในลักษณะนั้นก็ขอให้เข้าใจว่า หลักธรรมของพระพุทธเจ้านั้นเหมาะสมกับทุกกาล ทุกสมัย แต่ต้องปรับใช้ให้เป็น ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เสมอภาคเท่ากัน เพราะแต่ละคนสร้างความดีความชั่วมาไม่เท่ากัน ดังนั้น..คนที่มีมากต้องรู้จักแบ่งเฉลี่ยให้กับคนที่มีน้อย คนที่มีน้อยก็ต้องรู้จักขวนขวายให้กับตัวเอง ไม่ใช่รอแต่แบมือขอคนอื่นเขา ถ้าเราทำอย่างนี้ เราจะลดช่องว่างระหว่างฐานะของบุคคลในประเทศชาติให้เหลือน้อยที่สุดได้

แต่ถ้าเรามัวแต่โวยวายอยู่ว่าคนรวยเอาเปรียบเรา ประเทศเราอยู่ในมือของคนรวยแค่ไม่กี่กลุ่มเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นร้องแรกแหกกระเฌอไปก็ไร้ประโยชน์ รัฐบาลปัจจุบันกระจายรายได้ออกไปสู่ชนบท เรามัวแต่ไปคิดว่าชนบทชาวไร่ชาวนาโง่..ไม่ใช่แล้ว เราจะเห็นคุณย่าคุณยายนั่งอยู่ในนาแต่เล่นโน้ตบุ๊คแล้ว บางคนก็ถือแทบเล็ต ไม่รู้ถือให้ลูกให้หลานหรือเล่นเอง เพราะฉะนั้น..คนต่างจังหวัดปัจจุบันไม่ใช่คนโง่ เขารับสื่ออย่างมีสติมากกว่าเรา และคนต่างจังหวัดรักใครรักจริง ในเมื่อเขารักใครรักจริง เวลารักในหลวงก็รักจริง ๆ รักแบบไม่มีข้อแม้ ใครทำความดีให้กับเขา วิสัยของคนต่างจังหวัดคือต้องทดแทน

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น รัฐบาลไหนสามารถกุมใจชาวบ้าน ทำดีกับชาวบ้านได้ ชาวบ้านก็จะรักและเลือกพรรคนั้นมาเป็นรัฐบาลต่อไป เคล็ดลับจริง ๆ มีอยู่แค่นี้เอง แต่หลายสิบรัฐบาลที่ผ่านมา มักจะทำเพื่อพวกพ้องและตัวกู ในเมื่อมีรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งเข้าใจถึงความต้องการของประชาชน กระจายรายได้ไปสู่ประชาชน ทำให้คนจำนวนหนึ่งเห็นว่าตนเองกำลังจะสูญเสียอำนาจในมือไป เพราะชาวบ้านรู้เท่าทันมากขึ้นเรื่อย ๆ ชาวบ้านมีรายได้เป็นของตัวเอง ไม่ต้องไปพึ่งพวกนายทุนต่าง ๆ แล้ว เขาก็หาทางล้มล้างรัฐบาลเหล่านั้นเสีย ทำให้ประเทศเราก้าวไปข้างหน้าไม่ได้ กดหัวชาวนาให้จนดักดานอยู่เหมือนเดิม จะได้ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ได้

เรื่องพวกนี้เราต้องมีสายตาที่มองเห็นด้วยว่าเกิดขึ้นจากสาเหตุอะไร ว่าไปแล้วก็อย่างที่นักเทศน์บางท่านบอกว่า สาเหตุที่บ้านเมืองวุ่นวายกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะ “แย่งอาหารกันกิน แย่งถิ่นกันอยู่ แย่งคู่กันสวาท แย่งอำนาจกันปกครอง” มีกันอยู่แค่นี้เอง ในเมื่อเป็นดังนี้ เราก็เห็นอยู่ว่าต้นเหตุมีแค่ไม่เท่าไร แก้ที่ต้นเหตุเสียทุกอย่างก็จบ

เห็นว่ารัฐบาลไหนเขาสร้างความเจริญให้กับประเทศชาติ ทำความเจริญให้กับคนหมู่มาก ถ้าเราไม่ได้ผลประโยชน์นั้น ก็หัดรู้จักใช้หลักธรรมของพระพุทธเจ้า ก็คือมุทิตา พลอยยินดีเมื่อเห็นชาวบ้านเขาอยู่ดีมีสุขบ้าง ถ้าสามารถทำได้อย่างนั้นเราเองก็พัฒนาตัวของเราเอง มีสภาพจิตที่สูงขึ้น มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมมากขึ้น ประเทศชาติของเราก็จะสงบร่มเย็นมากกว่าที่เป็นในปัจจุบันนี้หลายเท่า"

เถรี
09-04-2013, 20:45
"อาตมาอยากให้วันเวลาเหล่านั้นมาถึงเร็วที่สุด ให้ทันในหลวงได้เห็น เชื่อว่าถ้าพวกเราทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน เรื่องเหล่านี้ก็ไม่เกินความหวัง สามารถที่จะเป็นไปได้ แต่ถ้าเรายังแบ่งแยกกันอยู่ ยังยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกู ตราบนั้นเราก็ยังมีพรรค ยังมีพวก ยังมีสีเสื้อ ประเทศของเราก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ แล้วท้ายสุดเราก็อาจจะเป็นเต่าตัวสุดท้ายที่ก้าวไม่ทันใครเลยในโลกนี้

ปัจจุบันเรารั้งท้ายของอาเซียนแล้ว การศึกษาก็แทบจะรั้งท้ายของโลกแล้ว มหาวิทยาลัยชื่อดังอย่างจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ ถ้าไปจัดอยู่ในอันดับโลก ก็แทบจะไม่ติดอยู่ในมหาวิทยาลัยที่ผลิตบัณฑิตซึ่งมีคุณภาพเลย เราจะเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายเหล่านี้สามารถที่จะทำให้ดีกว่านี้ได้ เพียงแต่เราต้องร่วมแรงร่วมใจ สามัคคีปรองดองกันอย่างแท้จริงเท่านั้น ไม้ไผ่อันเดียวใครก็หักได้ ถ้าไม้ไผ่ทั้งกำน้อยคนที่หักได้

ฝากให้กับญาติโยมทั้งหลายไปตรองดูว่า สิ่งที่อาตมาพูดมาในวันนี้ บางทีอาจจะมีการตำหนิ ว่ากล่าว กระทบกระเทือนไปถึงพรรคการเมืองบ้าง ตัวบุคคลบ้าง ที่เราอาจจะยึดถือว่าเป็นพรรคเดียวกัน เป็นพวกเดียวกันกับของเรา แต่ขอให้ตรองดูว่าเราควรจะเห็นแก่พรรค ควรจะเห็นแก่พวก หรือควรจะเห็นแก่ส่วนรวมดี ถ้าเรารู้จักกล้าคัดค้านในสิ่งที่ผิด รู้จักสนับสนุนในสิ่งที่ถูก อาตมาเชื่อว่าการก้าวขึ้นเป็นประเทศที่มีความเจริญเป็นอันดับแรก ๆ ของโลก ไม่ใช่สิ่งไกลเกินหวัง เพราะทรัพยากรธรรมชาติของเรามีมหาศาล

เพียงแต่ว่าตัวบุคคลยังไม่สามารถที่จะลดละกิเลสส่วนตัวให้น้อยลงกว่าในปัจจุบันได้ ทำให้ทรัพยากรไม่สามารถจะขึ้นมา เพราะถ้าขึ้นมาจะไม่ใช่สมบัติของประเทศชาติ จะไม่ใช่สมบัติของคนไทยทุกคน แต่จะเป็นสมบัติของคนที่มีอำนาจแค่ไม่กี่คน ถ้าทรัพยากรธรรมชาติของบ้านเราขึ้นมาพร้อม ๆ กัน อาตมาเชื่อว่ามูลค่าสามารถซื้อโลกใบนี้ได้สบาย ๆ แต่ขึ้นไม่ได้ เพราะคนเรายังไม่ดีพอ คนเรายังไม่ดีพอเพราะการพัฒนากาย วาจา ใจยังไม่เพียงพอ

ดังนั้น..เราควรที่จะพัฒนาตัวเราก่อน ถ้าตัวเราดี คนรอบข้างเห็นประโยชน์แล้วทำตาม คนรอบข้างก็จะดีไปด้วย ถ้าบ้านเราดี บ้านอื่น ๆ พัฒนาตาม หมู่บ้านนั้นก็จะไปดีด้วย หลาย ๆ หมู่บ้านช่วยกันทำ ตำบลนั้นก็จะดี หลาย ๆ ตำบลช่วยกันทำอำเภอนั้นก็ดี หลาย ๆ อำเภอช่วยกันทำจังหวัดนั้นก็จะดี หลาย ๆ จังหวัดช่วยกันทำ ประเทศไทยเราก็จะเจริญรุ่งเรือง

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องที่ไม่เกินวิสัย เริ่มจากตัวเราในวันนี้ ตั้งเวลาไปเลยว่า ๓ ปี ๕ ปี ๑๐ ปีเราจะพัฒนาตนเองไปสู่จุดไหน แล้วทำให้ได้ เมื่อเวลานั้นถ้าเราทุกคนมีกาย วาจา ใจ ที่ได้รับการพัฒนาแล้วตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ตามพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อาตมามั่นใจ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ว่า ชีวิตนี้เราจะได้เห็นความเจริญอย่างคาดไม่ถึงของประเทศไทย"

เถรี
14-04-2013, 12:58
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อสักครู่มีโยมท่านหนึ่งถามว่า “โง่ในขันธ์ ๕ คืออะไร ?” อาตมาตอบว่า “แปลว่าจงโง่ต่อไป..!” โง่ในขันธ์ ๕ คือการยึดร่างกาย ถ้ายึดของตัวเองก็โง่ ๑ ชั้น ถ้ายึดลูกยึดเมียก็โง่ ๒ ชั้น โง่ ๓ ชั้น จะมากขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะว่าจริง ๆ แล้ว ร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นของเรา เป็นเพียงธาตุ ๔ คือดิน น้ำ ไฟ ลม ที่ประกอบกันขึ้นมา ให้เราที่เป็นจิตได้อาศัยชั่วคราว

เหมือนกับเราได้รถมาคันหนึ่ง เราก็ขับรถคันนั้น แต่เราไปยึดว่ารถคันนั้นเป็นของเรา ในเมื่อเป็นดังนั้นก็โดนอวิชชา คือความไม่รู้ปิดบังไว้ เขาถึงได้กล่าวว่าโง่ ซึ่งความจริงร่างกายก็เหมือนกับรถยนต์ ถึงเวลาร่างกายพังก็เหมือนกับรถพัง เราที่ทำความดีความชั่วไว้ ก็ต้องไปใช้รถคันใหม่ตามบุญตามกรรมที่ตัวเองทำมา

ถ้าสร้างความดีไว้มาก ก็ได้กายมนุษย์ที่มีความสุข ได้กายเทวดา กายนางฟ้า กายพรหม เช่นนี้ถือว่าได้รถดี ๆ มีคุณภาพ ขับขี่ได้อย่างสบายใจ ถ้าสร้างความชั่วเอาไว้มาก ก็ไปเกิดเป็นมนุษย์ที่ลำบากยากจน เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรกก็ถือว่าขาดทุน ก็แปลว่าได้รถพัง ๆ นอกจากยี่ห้อไม่ดีแล้วคุณภาพยังใช้ไม่ได้อีกด้วย

แต่ถ้าเราสามารถทิ้งรถไปเลยโดยไม่ต้องใช้อีก ก็จะเป็นเรื่องที่น่าโมทนาเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่น้อยคนที่ตัดละร่างกายนี้ได้จริง ๆ เพราะว่าในปัจจุบันแค่ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรายังดูกันไม่ออก แล้วก็ยังยึดเพิ่มมาอีก ว่านั่นสามีเรา นี่ภรรยาเรา นั่นลูกเรา นี่หลานเรา ก็เลยกลายเป็นความโง่หลายชั้นขึ้นไปเรื่อย ๆ ดังนั้นท่านที่ถามตอนนี้ก็คงจะเข้าใจแล้วว่าคำว่าโง่ในขันธ์ ๕ คืออะไร"

เถรี
14-04-2013, 13:02
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของการทำบุญบ้านนั้น อันดับแรกก็คือตัวคนทำได้ซึ่งบุญกุศลนั้นไป อันดับต่อไปก็คือมีการอุทิศให้แก่เจ้าที่เจ้าทางทั้งหลายที่รักษาบ้าน เมื่อท่านได้รับบุญกุศลนั้นไป มีความสุขมากขึ้น มีศักดานุภาพมากขึ้น ท่านก็สามารถที่จะดูแลสงเคราะห์ให้เราได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น

อันดับต่อไป คือ ญาติโยมทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว รอซึ่งส่วนกุศลจากเรา ถ้าเราทำบุญแล้วได้อุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไป โดยเฉพาะในเรื่องของบุญกุศลนั้น ถ้าไม่อนุญาตเขาก็ไม่สามารถที่จะโมทนาและรับสิทธิ์ในความเป็นเจ้าของได้ ดังนั้น..ถ้าเราไม่ได้เอ่ยอุทิศให้แก่ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไป บางทีเขาก็ได้แต่รออยู่ หลายรายก็ร้องไห้คร่ำครวญไปเลย ว่าทำไมถึงไม่อุทิศให้แก่เขาเสียที ส่วนใหญ่แล้วอาตมาเคยใช้คำพูดว่า "ตอนเป็นคนบางทีก็โง่ ไม่รู้ว่าความดีเป็นอย่างไร แต่พอตายแล้วเห็นฉลาดทุกคน" แต่ว่าตอนนั้นก็ไม่ทันแล้ว เพราะว่าถึงเวลาตายแล้วโอกาสทำความดีก็มีน้อย ส่วนใหญ่ก็ต้องรอคนอื่นเขาทำแล้วไปโมทนา บางทีรอแล้วรออีกเขาไม่เอ่ยถึงให้โมทนาเสียที ก็ไม่รู้ว่าจะโมทนาได้อย่างไร"

เถรี
14-04-2013, 13:06
"หลายท่านก็อุทิศส่วนกุศลทุกครั้ง แต่ไปขึ้น "อิมินา ปุญญะกัมเมนะ ผลบุญที่ข้าพเจ้าได้กระทำนี้ อุปัชฌายา คุณุตตะรา ให้แก่พระอุปัชฌาย์ผู้มีพระคุณเหนืออื่นใด อาจะริยูปะการา จะ แด่ท่านครูบาอาจารย์ที่ให้การอุปการะ มาตาปิตา จะ ญาตะกา ให้แก่บิดามารดาและญาติทั้งหลาย..." กว่าจะไปถึง บางทีไม่ได้เอ่ยถึงก็เป็นอันว่าอดไป

ดังนั้น..ถ้าสามารถอุทิศส่วนกุศลเป็นภาษาไทยได้ ให้ว่าไปตรง ๆ เลย ว่าเราทำบุญครั้งนี้จะอุทิศเจาะจงให้กับผู้ใด ถ้าออกชื่อออกนามสกุลได้ ก็ออกชื่อออกนามสกุลไปเลย ถ้าทำให้แก่บุคคลที่เราไม่มั่นใจก็ตั้งใจว่า เราเห็นผู้ใดก็ตั้งใจตรงให้แก่ผู้นั้น ได้ยินเสียงผู้ใดก็ตั้งใจตรงว่าให้เจ้าของเสียงนั้น ได้เฉพาะกลิ่นก็ให้ตั้งใจตรงว่าให้เจ้าของกลิ่นนั้น เขาก็จะโมทนาได้

เนื่องจากในเรื่องของผีนั้น ถ้าความสามารถไม่มากพอ ศักดานุภาพมีน้อยเพราะสร้างสมบุญกุศลไว้น้อย โอกาสที่จะปรากฏให้เราเห็นชัดเจนนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ บางรายก็มาแต่เสียง บางรายก็มาแต่กลิ่น ท่านที่จะปรากฏกายให้เห็นชัดเจน ต้องใช้ความสามารถทั้งหมดดึงเอาดิน น้ำ ลม ไฟรอบข้าง มารวมกันเป็นกายหยาบให้เราเห็น บางท่านก็ทำได้แค่เห็นแวบ ๆ เท่านั้น ท่านใดที่มาประเภทเดินเข้ามาเห็นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งเลย โปรดทราบว่านั่นผีระดับด็อกเตอร์ทั้งนั้น..!"

เถรี
14-04-2013, 13:09
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลายคนมีนิสัยอย่างนี้ เวลาทำอะไรที่ไม่ดีมาก็อายพระ แสดงว่าหิริโอตัปปะยังดีอยู่ รอจนกระทั่งตัวเองคิดว่าดีแล้วถึงมา โห..! เวรกรรมจริง ๆ ตอนชั่วกว่าจะตะกายขึ้นมาดีก็แทบตายเลย

ขอย้ำว่าพระไม่ได้ดูว่าใครทำอะไรชั่ว แต่ดูว่าจะช่วยให้คนดีขึ้นได้อย่างไร เพราะฉะนั้น..สิ่งที่พระมองกับสิ่งที่เราคิดเป็นคนละเรื่องกัน ถึงได้เคยบอกพวกเราว่า “ตอนชั่ว ๆ ให้รีบมาหา พระท่านจะได้ช่วยได้ ถ้าดีแล้วมา...จะมาทำไม ?”"

เถรี
14-04-2013, 13:11
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า วัตถุมงคลยิ่งสร้างด้วยวัสดุมีราคามากเท่าไร เทวดาที่รักษาก็ต้องมีอานุภาพมากขึ้นเท่านั้น อาจจะเป็นเพราะต้องดูแลรักษาของแพงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?"

เถรี
14-04-2013, 13:14
ถาม : มีคนที่เขาจะมาปฏิบัติธรรม แล้วสามีถามว่าคุณมีทุกข์อะไรถึงต้องไปปฏิบัติธรรม แล้วตอบไม่ถูก ?
ตอบ : ก็บอกไปว่า “เพราะมีแกเป็นผัว..!” มีอะไรก็ว่าไปตรง ๆ

ถาม : มีแบบเบา ๆ กว่านี้หน่อยไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ได้..ต้องหมัดเดียวอยู่...อย่าเสียเวลาไปต่อยหลายที..!

เถรี
14-04-2013, 13:20
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของยศ เรื่องของตำแหน่ง เป็นยศช้างขุนนางพระก็จริง แต่เมื่อได้รับมาแล้วก็ต้องเรียกตามนั้น โดยเฉพาะพวกพระครูสัญญาบัตรที่ในหลวงพระราชทานให้ ถ้าไม่เรียกตามนั้นถือว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเลย

ฉะนั้น..ไม่ใช่เรื่องของการบ้ายศบ้าเห่อหรอก แค่ว่ากันไปตามสมมุติ ในเมื่อทางโลกเขาสมมุติให้มียศ เรารับมาก็ให้มีสติรู้ตัวไว้ บาลีท่านว่า ยะโส ลัทธา นะ มัชเชยยะ บุคคลได้ยศแล้วไม่พึงเมา แรก ๆ เขิน เดี๋ยวก็หน้าด้าน เอ๊ย..ไม่ใช่ เดี๋ยวก็ชินไปเอง ...(หัวเราะ)..."

เถรี
14-04-2013, 13:31
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก ที่หน้าวัดท่าขนุนนั้น พระครูวิโรจน์ฯ ท่านบอกงบฯ สามล้านบาทก็อยู่ อาตมาจ่ายไปสิบสองล้านบาทแล้ว ยังเหลือการปูกระเบื้องข้างบนและมุงหลังคาศาลา ๔ ทิศ ตอนแรกศาลา ๔ ทิศกะว่าจะเอาไว้เป็นที่นั่งพักร้อน แต่ดูไปดูมาแล้ว คิดว่าเอาหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ไปตั้งไว้เลยดีไหม ? พอถึงเวลาเขาไหว้หลวงพ่อสมเด็จองค์ใหญ่แล้วเขาจะได้วนไหว้ครูบาอาจารย์ต่อไปเลย

ครูบาอาจารย์ของหลวงปู่สาย ก็คือหลวงปู่เดิม วัดหนองโพ ครูบาอาจารย์หลวงพ่อฤๅษีคือหลวงปู่ปาน ฉะนั้น..ก็คงจะต้องหล่อรูปหลวงปู่เดิม หลวงปู่ปาน และหลวงพ่อฤๅษีขึ้นมาจะได้ครบ ๔ ทิศพอดี เอาครูบาอาจารย์ไว้หน้า หลวงปู่เดิมอยู่ซ้าย หลวงปู่ปานอยู่ขวา หลวงพ่อฤๅษีกับหลวงปู่สายอยู่ข้างหลัง รูปหล่อหลวงปู่สายมีอยู่แล้วไม่ต้องทำเพิ่ม"

เถรี
14-04-2013, 13:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "ผู้ที่ตั้งอยู่ในความนุ่มนวล ตั้งอยู่ในความอ่อนโยนต้องประกอบไปด้วยอปจายนมัย คือรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนกับผู้อื่นเขา ไปไหนก็เป็นผู้ที่ไม่กระด้าง มักเป็นผู้ยิ้มก่อน ทักก่อน ไหว้ก่อนเสมอ แต่อาตมาเองเพิ่งจะหน้าแตกกับฝรั่งมา เดินจากการดูงานที่ปากซอยเข้าวัด ฝรั่งเขาเดินสวนมา อาตมาทัก “Hello” เขาก็ “สวัสดีครับ” เสียหมาเลย จะชวนคุยเสียหน่อยมาสวัสดีครับ เล่นเอาหมดอารมณ์เลย

จะว่าไปแล้วฝรั่งเขาไปประเทศไหน เขาพยายามศึกษาขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมของประเทศนั้น ๆ มาแล้วเขาก็ยกมือไหว้อย่างนี้ อาตมาดูก็รู้สึกดี อย่างน้องเมย์ รักชนก ที่ไปแข่งแบดมินตันได้รองแชมป์ออลอิงแลนด์มา ฝรั่งเขาชมว่าเป็นนักกีฬาที่อ่อนน้อมน่ารักมาก เพราะไหว้คนดูทุกครั้ง แล้วเขาก็รู้ว่าการไหว้คือการแสดงออกซึ่งความอ่อนน้อม ลักษณะให้เกียรติคนดู คือไหว้ขอบคุณหลังจากที่แข่งเสร็จแล้ว ขอบคุณที่อุตส่าห์มาดู ทำให้ต่างชาติเขาซึมซับวัฒนธรรมไปด้วย แล้วอีกอย่างหนึ่งน้องเมย์เขายังเด็กอยู่มาก เพิ่งอายุ ๑๗ ปี ยังมีโอกาสพัฒนาฝีมือได้อีกมาก"

เถรี
15-04-2013, 09:12
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนตอนบิณฑบาต โยมคนหนึ่งเป็นลูกศิษย์เก่าแก่ของหลวงปู่สาย ถามว่า “วันนี้พระอาจารย์อยู่วัดหรือเปล่า ?” อาตมาบอกว่า “อยู่..แต่มีบวชพระนะ ถ้าโยมจะไปให้ไปหลัง ๙ โมง” ปรากฏว่า ๙ โมงกว่า ๆ โยมเขาก็มาเอาซองปัจจัยมา ๔ ซอง ขอร่วมสร้างศาลาด้วย พอโมทนาเสร็จสรรพเขากลับไป

คนที่วัดจึงรายงานว่า เขามาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว พอดีอาจารย์พักอยู่ ไม่ได้พบ บอกให้เขาฝากไว้ก็ไม่ยอมฝาก สรุปว่าดีที่ป้าไม่ตายเสียก่อน ยังมีโอกาสได้ทำ ถ้าป้าตายก่อนพระขาดทุน ป้าตั้งใจทำก็ได้บุญไปแล้ว

บางคนยังยึดติดตัวบุคคลอยู่มาก โดยเฉพาะเรื่องศรัทธาเป็นเรื่องแปลก ถ้าเราดูในพระไตรปิฏกจะชัดที่สุดตรงพระสีวลี เทวดาที่เป็นเพื่อนร่วมกองบุญของพระสีวลีในชาติที่ท่านเป็นคนตัดฟืน แล้วเอารวงผึ้งสดมาร่วมปิดกองบุญให้ชาวบ้านเอาชนะพระราชา เทวดาลงมาทำบุญกับพระสิวลี แต่ไม่สนใจพระพุทธเจ้าเลย คนนั้นก็ “พระผู้เป็นเจ้าของเราอยู่นี่” คนนี้ก็ “พระผู้เป็นเจ้าของเราอยู่นี่” พระพุทธเจ้านั่งอยู่ไม่แลเลย

พระสีวลีรับไทยธรรมข้าวปลาอาหารเสร็จก็น้อมถวายพระพุทธเจ้า แล้วก็แจกคณะสงฆ์ ได้ครบ ๕๐๐ ท่านพอดี คราวนี้เห็นหรือยังว่าศรัทธานั้นเฉพาะเจาะจงขนาดไหน

ถ้าครูบาอาจารย์หลายท่านศึกษาพระไตรปิฏก จะเห็นว่าอย่างพระมหากัจจายนะมาจากกรุงอุชเชนี พาพระภิกษุติดตาม ๒๐๐ รูป พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสสรรเสริญว่าพระมหากัจจายนะเป็นผู้ใหญ่ มีความรู้ อบรมลูกศิษย์ได้ดี ทำให้ผู้คนเลื่อมใสศรัทธา ติดตามบวชเป็นจำนวนมาก

พอพระอุรุเวลกัสสปะพาบริวาร ๕๐๐ มา พระพุทธเจ้าก็ตรัสสรรเสริญว่าท่านมีความสามารถ ท่านไม่ได้หวงลูกศิษย์เลย ใครเก่งท่านก็บอกให้รู้ ชาวบ้านจะได้ไปทำบุญ เพราะบางทีก็ร่วมสายบุญกับท่านมา ได้ยินเกิดศรัทธาเลื่อมใสก็จะได้ไปหา"

เถรี
15-04-2013, 09:33
"เมื่อเป็นดังนั้นเราจะเห็นว่า บุคคลที่หมดกิเลสจริง ๆ คิดคนละอย่างกับเรา สิ่งที่บุคคลที่หมดกิเลสคิดก็คือ ทำอย่างไรจะเสริมสร้างความดีให้แก่ผู้อื่น ทำอย่างไรจะให้พระศาสนาแผ่กว้างไกลออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่คนที่มีกิเลสจะไปคิดว่า ทั้งหมดจะต้องมารวมศูนย์อยู่ที่ตัวเราเอง ฉะนั้น..แม้ว่าจะเป็นศิษย์เป็นอาจารย์กัน แต่เขาก็ไม่ได้ส่งเสริมกัน เพราะเกรงว่าเสริมแล้วลูกศิษย์จะไปใหญ่กว่าหรือมีคนศรัทธาเลื่อมใสมากกว่า ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็ทำให้ในเรื่องของพระศาสนาเราไม่ค่อยจะกว้างไกล

อย่างที่อาตมาทำก็คือวัดไหนเขาเดือดร้อนก็นำเอากฐินไปช่วย อย่างน้อย ๆ เราช่วยไม่ได้มาก ก็เอาปีละวัดสองวัดก็ยังดี ถ้าทุกท่านที่มีกำลังทำลักษณะนี้ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน อย่างที่พูดไปเมื่อเช้าก็คือ “บุคคลที่มีมากก็เฉลี่ยให้ผู้ที่มีน้อย บุคคลที่มีน้อยก็พยายามขวนขวายเพื่อตัวเองบ้าง” ทุกอย่างก็จะไปได้ดี การพระศาสนาก็จะเจริญรุ่งเรือง

ดูอย่างพระครูเอกของเรา ท่านเองก็ยังยืนไม่เต็มสองขาเลย เอากฐินเงินล้านไปช่วยตุ๊ป้อสิงห์แล้ว ในเรื่องอย่างนี้เราจะเห็นได้ชัดว่า คนที่ทำเพื่อส่วนรวมจะคิดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง ถ้าคนที่ทำเพื่อตัวเองจะคิดอีกอย่างหนึ่ง ทำอีกอย่างหนึ่ง คนที่ทำเพื่อส่วนรวมจะกระจายออก คนที่ทำเพื่อตัวเองก็จะรวบเข้า

จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องปกติ กำลังของใครแค่ไหนก็คิดแค่นั้น พูดแค่นั้น ทำแค่นั้น เพียงแต่ว่าเรื่องปกติแบบนี้ สำหรับท่านที่กำลังใจดีแล้ว อาจจะแค่เห็นแล้วแสดงธรรมสังเวชเฉย ๆ ท่านที่กำลังไม่ดีก็อาจจะสร้างเวรสร้างกรรม ด้วยการเอ่ยปากตำหนิว่าเขาไปอีก ก็เลยกลายเป็นแทนที่คนอื่นจะลงต่ำ ก็กลายเป็นโดดลงไปกับเขาด้วย

ทั้งสติ ทั้งสมาธิต้องเท่าทัน จะได้ระมัดระวังรักษาตัวเองเอาไว้ได้ ไม่เช่นนั้นแล้วเราก็จะเผลอโดดลงไปกับเขาด้วย"

เถรี
15-04-2013, 09:39
"ถ้าอ่านหนังสือเรื่องเพชรพระอุมา แงซายไม่ค่อยนอนตอนกลางคืน ขนาดรพินทร์ย่องไปแงซายก็ยังรู้ตัวทุกที แอบเตะแงซายก็กันทัน รพินทร์เขาถามว่า “ทำไมไม่หลับไม่นอนบ้างวะ ?” แงซายบอกว่า “หลวงพ่อพระธุดงค์บอกว่า เจ้าจงตื่นขณะที่โลกหลับ” แงซายของเราตีความธรรมะพระพุทธเจ้าเหลือสลึงเดียว เลยไม่ยอมนอน

แทนที่เราเองมีวิชชา มีปัญญาเอาตัวรอดจากกระแสโลก ไม่โดนอวิชชาบดบังจนมืดบอดเหมือนกับบุคคลอื่น ไปตีความว่ากลางคืนให้ตื่น แบบเดียวกับสิงคาลมาณพที่ไปไหว้ทิศ พ่อสอนไว้ก่อนตายว่าจงไหว้ทิศทั้งหก ก็ไปไหว้ซ้าย ไหว้ขวา ไหว้หน้า ไหว้หลัง ไหว้บน ไหว้ล่างทุกวัน พระพุทธเจ้าเดินไปเห็นว่าเคร่งครัดดี ในเมื่อเคร่งครัดดีจึงตรัสสอนว่า การไหว้ทิศตามที่พ่อสอนนั้นเป็นการดี เพราะทำตามคำสั่งของพ่อ เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวที แต่ถ้าเป็นตถาคต ตถาคตจะไหว้ทิศอย่างนี้ แล้วพระองค์ท่านก็บอกให้ว่า ทิศเบื้องบนคือสมณชีพราหมณ์ ทิศเบื้องล่างคือข้าทาสบริวาร ทิศเบื้องขวาคือครูบาอาจารย์ ทิศเบื้องซ้ายมิตรสหาย ทิศเบื้องหน้าคือบิดามารดา ทิศเบื้องหลังคือบุตรภรรยา

เราเห็นได้ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าจริง ๆ นั้น ประยุกต์เข้ากับยุคสมัย ไม่คัดค้านใคร คล้อยตามเขาแล้วนำเสนอในสิ่งที่ดีกว่า พระองค์ท่านไปสอนชฎิล ๓ พี่น้องก็เหมือนกัน ชฎิล ๓ พี่น้องท่านบูชาไฟ พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสสรรเสริญการบูชาไฟเป็นของดี แต่ถ้าตถาคตจะบูชาไฟอย่างนี้ แล้วท่านก็บอกว่า ราคัคคินา โทสัคคินา โมหัคคินา ราคะเป็นไฟ โทสะเป็นไฟ โมหะเป็นไฟ เป็นไฟเผาผลาญให้ร้อน ร้อนด้วยอะไร ร้อนทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ถ้าใครดับได้ก็เย็นสบาย พอชฎิล ๓ พี่น้องส่งกำลังใจตามคล้อยตามพระธรรมก็บรรลุมรรคผล

ฉะนั้น..พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้คัดค้าน พระองค์ท่านอยู่ท่ามกลางความเชื่อที่สุดโต่ง ๒ ด้าน เขาเชื่อว่าทรมานตนแล้วจะบรรลุ กับเชื่อว่าเสพสุขให้เต็มที่จนเบื่อไปเองแล้วจะหลุดพ้นได้ ในเมื่อพระองค์ท่านไปเสนอแนวทางใหม่ ถ้าไปค้านเขาตรง ๆ คนที่เชื่อฝังหัวว่าต้องอย่างนั้นก็จะไม่ยอมรับ ในเมื่อพระองค์ท่านไม่ค้าน แถมชมว่าของเขาดี เขาก็มีกำลังใจ และรู้สึกว่าพระองค์ท่านเป็นพวกเดียวกัน คราวนี้พูดอะไรเขาก็จะฟัง แล้วคนสมัยนั้นปัญญาเขามาก ในเมื่อพูดแล้วฟัง คิดตามไปก็ได้มรรคได้ผลกันไป ก็เลยทำให้ศาสนาพุทธแผ่กระจายได้กว้างขวางรวดเร็วมาก"

เถรี
16-04-2013, 11:54
ถาม : ป่าที่เมืองไทยมีที่ไหนที่เหมาะแก่การปฏิบัติบ้างครับ ?
ตอบ : ป่าสอยดาว ป่าภูกระดึง ที่เหมาะมาก ๆ อีกแห่งหนึ่งก็ป่าน้ำหนาว ป่าสอยดาวอยู่จันทบุรี ป่าน้ำหนาวอยู่เพชรบูรณ์ ส่วนภูกระดึงคงไม่ต้องบอก ไปกันจนปรุแล้ว ที่ภูเขียวก่อนหน้านี้ก็เหมาะมาก ๆ

ตอนนี้ป่าเริ่มลดน้อยถอยลง สมัยก่อนมีกระทั่งตัวเบื้อ สมัยนี้ไม่รู้ว่ายังเหลืออยู่หรือเปล่า ? ตัวเบื้อเป็นมนุษย์ประเภทหนึ่ง แต่มีชีวิตอยู่คล้าย ๆ สัตว์เดรัจฉาน ก็คืออยู่กับป่า กินกับป่า ลักษณะเด่นก็คือไม่มีหัวเข่า ถ้าหกล้มต้องตะกายหาต้นไม้ เกาะแล้วสาวตัวเองให้ยืนถึงวิ่งต่อได้ เพราะขาพับไม่มี

สมัยก่อนชาวบ้านเขาล่ามากินด้วยนะ เอาตัวผู้มาย่างกิน เอาตัวเมียมาทำเมีย เราเห็นเขาเป็นสัตว์ แต่จริง ๆ แล้วเป็นคนดี ๆ นี่เอง พวกนี้ถ้าเจอพระธุดงค์เขาจะมาขอพวกเกลือ แต่ถ้าเจอชาวบ้านจะวิ่งหนี เพราะเขารู้ว่าขืนอยู่ตายแน่ เขาอยู่ในป่าแล้วขาดเกลือ ก็จะมาขอ แรก ๆ ก็คงไม่ได้เจตนาจะมาขอหรอก พอมาใกล้พระท่านก็เมตตา มีอะไรก็ส่งให้ คราวนี้พอกินเกลือเข้าไปแล้วชอบก็ติดใจ เราจะเห็นว่ารส ก็ทำให้ยึดติดได้

ถาม : ตอนนี้ยังมีไหมคะ ?
ตอบ : ไม่แน่หรอก..บางทีอยู่ลึก ๆ ก็มี ผีเสื้อห้วยที่บางคนเรียกว่า กองกอยก็ยังมีอยู่ คุณโจ๋ย บางจากไปถ่ายทำสารคดี บอกว่าพวกนี้เร็วจนถ่ายรูปไม่ทัน ขนาดตั้งกล้องดักไว้ พอกล้องลั่นเขาโดดหนีเร็วขนาดกล้องจับภาพไม่ทัน เห็นแต่ปลายเท้านิดเดียว

เถรี
16-04-2013, 11:57
"คุณโจ๋ยเป็นคนลุยร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ไม่ตายก็บุญโขแล้ว โดนวัวกระทิงหลอก พาไปให้ต่อหลุมต่อยแทบปางตาย โดนต่อหลุมต่อยหนีจนไม่มีปัญญาจะหนี ในที่สุดลากสังขารโซเซกลับที่พักได้ คว้ายาพาราฯ มากำหนึ่งใส่ปาก กรอกบรั่นดีตามไปครึ่งขวด แล้วก็นอนซม ปรากฏว่าหาย โดนต่อต่อยจนนับไม่ถ้วน คนเราโดนทีเดียวก็แย่แล้ว

คุณโจ๋ยไปตามถ่ายรูปกระทิง กระทิงก็ฉลาด พาหลอกไปเรื่อย ๆ เสร็จแล้วก็ยืนนิ่งให้ถ่าย ที่ไหนได้พอได้จังหวะกระทิงกระทืบหลุมต่อ แล้วก็วิ่งหนีเลย ปล่อยให้ต่อฮือออกมาเจอคนแทน ไอ้ตัวนี้แสบมาก อะไรจะหลอกคนได้ปานนั้น

จริง ๆ แล้วจะว่าไปสัตว์มีความคิดเหมือนคนทุกอย่าง อาตมาเองเคยนิมิตเห็นตัวเองเป็นสัตว์นี่รู้เลย ความคิดเหมือนคนทุกอย่าง โกรธได้ เกลียดได้ รักได้หมด เพียงแต่ว่าพูดภาษาคนไม่ได้เท่านั้นเอง"

เถรี
16-04-2013, 11:59
ถาม : ในชาดกต่าง ๆ ที่เขาบอกว่าคนและสัตว์สามารถคุยกันได้ เป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ในเรื่องของสัตว์ เขามีภาษาเสียง ภาษากาย และภาษาใจ ส่วนใหญ่เราพยายามเข้าใจภาษาเสียงกับภาษากายของเขา ภาษาใจเราไม่เข้าใจ ในเมื่อเป็นอย่างนั้นเราก็เลยสื่อกับเขาได้ไม่เต็มที่ ที่เขาบอกว่าสมัยโบราณที่สัตว์พูดได้นั้น จริง ๆ แล้วไม่ใช่สัตว์พูดได้หรอก สัตว์พูดตามปกติ แต่คนเข้าใจเขาได้ สมัยนี้กำลังใจของเรามืดขึ้นมาเยอะ ก็เลยทำให้เราไม่เข้าใจเขาเหมือนเมื่อก่อน

เถรี
16-04-2013, 12:36
ถาม : เคยลองคุยให้เขาข้ามฝั่งมาฝั่งที่ผมอยู่จะได้ให้อาหาร ปรากฏว่าสัตว์เขาข้ามมาจริง ๆ ครับ
ตอบ : สัตว์ฉลาดกว่าเราจึงเข้าใจเราได้ ถึงเวลาเขาว่าเรากลับไม่เข้าใจเขา อย่างหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านว่าช้างรู้ภาษาทุกตัว อาตมาก็สงสัยว่าจะจริงหรือ ? พอเจอเข้าปรากฏว่าเขารู้ภาษาจริง ๆ

ตอนอาตมาธุดงค์อยู่ในป่า พวกช้างเขาหากินเต็มห้วย อาตมาเองไม่ไปก็ไม่ได้ สองฝั่งข้าง ๆ รกหมดออกไม่ได้ ต้องไปตามห้วย ถ้ารอช้างก็ไม่รู้ว่าเขาจะหากินอีกนานเท่าไร ก็เลยพูดว่า “ช้างจ๋า..ขอไปหน่อยจ้ะ” ช้างทั้งหมดหยุดกึก หันมามอง พอเห็นเป็นพระเขาก็ทำตัวลีบติดข้างห้วยให้อาตมาเดินไป อาตมาก็เดินตะแคงข้างมองไป “มึงอย่าขยับนะ..ขยับเมื่อไรกูวิ่งก่อนเลย..!”

อีกครั้งหนึ่งก็ซื้ออ้อยใส่รถไป กะว่าเจอช้างที่ไหนก็จะเลี้ยง ปรากฏว่าผ่านตรงพุถ่องเขามีช้าง ๓ เชือก กำลังเดินตามกันอยู่ เขาเลิกรับนักท่องเที่ยวแล้ว กำลังจะกลับที่พัก อาตมาก็ให้คนขับชะลอรถ แล้วตะโกนบอกเขาซึ่งอยู่คนละฝั่งถนนกันว่า “ขอเลี้ยงช้างหน่อยได้ไหม ? มีอ้อยมาครึ่งคันรถ” พอได้ยินว่ามีอ้อยมาครึ่งคันรถ ช้างหยุดกึกแล้วข้ามมาเองเลย ไม่ต้องรอให้เจ้าของบังคับเลย คราวนี้ก็เอาอ้อยเลี้ยงกันสนุกสนาน

ปรากฏว่าช้างเชือกหนึ่งพยายามเอางวงล้วงเข้าไปในรถ เจ้าของกระทุ้งด้วยด้ามขอช้างก็ไม่ฟัง อาตมาก็สงสัยว่าอะไร พอเปิดฝาท้าย..ช้างล้วงเอาแตงแคนตาลูปออกมา อาตมาซื้อแคนตาลูปไป ๒ ลูกจากร้านของเจียไต๋ กลิ่นหอมมาก คราวนี้จะทำอย่างไร ? ช้างมี ๓ ตัวแตงแคนตาลูปมีแค่ ๒ ลูก ผ่าแล้วก็ได้ ๔ ชิ้น ไม่รู้จะแบ่งอย่างไรให้ลงตัว เอ็งเอาไปคนละซีกก็แล้วกัน อีกซีกหนึ่งคืนพระมา..!

เวลาเห็นเขากินแล้วก็สงสารเขา ช้างเป็นสัตว์ใหญ่ ต้องการอาหารมาก กินทีหนึ่งประมาณ ๒๐๐ - ๓๐๐ กิโลกรัม บางทีอาตมาซื้อสับปะรด ๒๐๐ กว่าลูก เต็มรถกระบะเลย เอาไปเลี้ยงเขา คราวนี้ช้างมีจำนวนมาก ลองนับ ๆ ดูได้ตัวหนึ่งประมาณ ๑๐ กว่าลูกเท่านั้น แล้วจะไปพอยาไส้อะไร บางตัวกินไปน้ำตาไหลไป นาน ๆ ถึงจะได้กินของอร่อยแบบนี้ที

ถ้ามะละกอที่วัดท่าขนุนออกมาก ๆ แกงเลี้ยงพระเลี้ยงเณรไม่ไหวก็เก็บใส่รถเอาไปเลี้ยงช้าง แล้วช้างฉลาดมากเลย เขาจะเหยียบมะละกอให้แตกก่อนแล้วสะบัดเมล็ดทิ้งค่อยกิน เพราะเมล็ดมะละกอขม เขาเหยียบแตกกร๊อบเลย แล้วเอางวงจับสะบัด ๆ เมล็ดร่วงหมดแล้วค่อยกิน มะละกอดิบ ๆ นี่แหละ จะดิบจะสุกขอให้ทีเถอะ..เขากินได้หมด...

เถรี
16-04-2013, 12:42
ถาม : ชาวลับแลบรรลุธรรมได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าชาวลับแลที่เป็นมนุษย์ เขาบรรลุธรรมได้ แต่พวกกองกอยอยู่ในภพอสุรกายก็มี ในภพของเดียรัจฉานก็มี บรรลุธรรมไม่ได้ คือภพภูมิต่ำเกินไป ก็เลยทำให้ความมืดบอดมีมาก ไม่สามารถเข้าถึงธรรมได้ พูดง่าย ๆ ก็คือไม่มีศีลรองรับ ในเมื่อไม่มีศีลเป็นพื้นฐานรองรับ การก้าวไปสู่ธรรมมะที่แท้จริงก็ไม่มี

ถาม : แล้วที่เขาบอกว่าผีกองกอยเป็นพระเจ้าจักรพรรดิที่หวงสมบัติจริงหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..เป็นบริวารของนางพันธุมวดี โดนปุโรหิตมันตรัยสาป ..(หัวเราะ).. ไปอ่านในเพชรพระอุมาสิ เขาอธิบายไว้ชัดเลย พออาณาจักรพันธุมวดีล่มสลาย พวกชาวบ้านก็โดนปุโรหิตมันตรัยสาปกลายเป็นผีกองกอยหมด กรุณาอย่าเชื่อตามนี้นะ..!

เถรี
05-06-2013, 19:42
ถาม : คนที่ใช้ทิพจักขุญาณในการเป็นหมอดูเพื่อสงเคราะห์คน ควรปฏิบัติตัวอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : อันดับแรก..กำหนดราคาให้แน่ชัด อันดับสอง..รักษาศีลสมาธิและทิพจักขุญาณให้ทรงตัว อันดับที่สาม..อย่าปล่อยให้ลูกค้าซักถามต่อหน้า ถ้าเขาอยากรู้อะไรให้เขียนถามมา แล้วเราก็เขียนตอบไป อย่าเจอหน้ากัน ถ้าให้ลูกค้าซักถามต่อหน้าแล้วสมาธิเราไม่ทรงตัวจริง ๆ เดี๋ยวอารมณ์เสีย พอจิตใจขุ่นมัวแล้วสิ่งที่เรารู้จะผิดพลาด

เถรี
05-06-2013, 19:53
ถาม : การรับมือกับอากาศร้อน ?
ตอบ : กินของเย็น คนจีนเขามีน้ำจับเลี้ยง หรือถ้าไม่กลัวไข้จับก็กินแตงโมสักชิ้นใหญ่ ๆ คราวนี้เดินตากแดดยิ้มได้เลย เพราะข้างในร่างกายเย็นแล้วนี่ ไม่เดือดร้อนแล้ว ลองดูได้

ถาม : หากเราไม่สนใจในร่างกาย จะระงับเวทนาได้หรือไม่ ?
ตอบ : ระงับไม่ได้ แต่ทำไม่รู้ไม่ชี้ได้ ร่างกายก็คงเจออาการปกติแต่ทำไม่รับรู้มัน ร้อนก็ทำเป็นไม่ร้อน หนาวก็ทำเป็นไม่หนาว อย่าถามว่าทำได้หรือเปล่า...อาตมาเคยทำให้ทิดตู่ดูตอนสมัยเป็นเณร อาตมาโดนบุ้งคันซะจนตัวเป็นคางคกเลย เขาสงสัยว่าทำไมอาตมาไม่เกา อาตมาก็บอกว่าอย่าไปสนใจมันสิ ทำไม่รู้ไม่ชี้ก็หมดเรื่อง

ตอนนั้นบุ้งขึ้นไปกินต้นประดู่ส้ม หรือที่บางคนเรียกว่าประดู่เลือด แล้วทิ้งขนไว้เต็มเลย เวลาลมพัดมาถูกก็คัน เราอยู่กับมันมาหลายปีไม่มีปัญหา ปรากฏว่าครั้งนั้นคุณจิรา ลิ่วเฉลิมวงศ์ ไปอยู่ปฏิบัติธรรม ถ้ารู้สึกนามสกุลคุ้น ๆ เขาบอกว่าญาติ ๆ กันนั้นแหละ ปรากฏว่าคุณจิราแกเป็นภูมิแพ้อยู่ พอไปโดนขนบุ้งเข้าแกบวมแบบหายใจไม่ออก จะตายเอา

เราก็ว่าถึงเวลาจัดการแล้ว ซึ่งไม่มีใครกล้าก็ต้องปีนขึ้นไปตัดเอง คราวนี้บุ้งทั้งดง เราโดนตั้งแต่หัวถึงเท้า ตัดเสร็จลงมานี่เห่อไปทั้งตัว หนังเป็นตุ่มซ้อนตุ่มหนาไปทั้งตัว หัวหูปิดหมด ตอนนั้นทิดตู่เป็นเณรเขาก็สงสัย “หลวงพี่ครับ ทำไมไม่เกา ?” “ถ้าเกาก็ตายสิ ก็ต้องทำไม่รู้ไม่ชี้ไป”

เถรี
05-06-2013, 19:57
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เราต้องเห็นก่อน พอเห็นแล้วจะเกิดความอยาก แล้วจะทำเอง ตอนแรกให้เห็นก่อนเหมือนกับเห็นเงาในน้ำ ตอนนี้เราล้วงมือไปน้ำแตกกระจายหมดเพราะยังเป็นเงาในน้ำ พยายามรวบรวมเอาไว้ เดี๋ยวพอเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาก็จับได้ต้องได้เอง ก็แปลว่าเราต้องใช้สติ สมาธิ ปัญญาของเราให้มากกว่านี้ ซักซ้อมให้เข้มข้นกว่านี้

ถาม : ช่วงนี้กำลังศึกษาคำสอนของหลวงพ่อชาอยู่ค่ะ
ตอบ : ท่านบอกว่าให้รักษากำลังใจตัวเองเหมือนแมงมุม แมงมุมชักใยออกไปทุกทิศทุกทางแล้วก็นิ่งอยู่ตรงกลาง เวลาอะไรกระทบตรงไหนมันก็รู้ สุดยอดเลย ท่านเปรียบแล้วเห็นชัดดี จริง ๆ แล้วถ้าใจเรานิ่งกิเลสอะไรมากระทบก็รู้

เถรี
05-06-2013, 20:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่อ่านภาษาอีสานเป็นภาษากลางได้นี่สุดยอดเลยนะ โดยเฉพาะลูกศิษย์หลวงปู่คำคะนิง หลวงปู่คำคะนิงเทศน์เป็นภาษาลาวพวน แล้วเขาแปลภาษาลาวพวนเป็นภาษาลาวอีสาน จากนั้นเขาแปลจากลาวอีสานมาเป็นไทยกลาง เพราะฉะนั้นประวัติหลวงปู่คำคะนิงก็เลยเพี้ยนจากที่หลวงพ่อท่านเล่าในหนังสือประวัติหลวงปู่ปาน

หลวงพ่อท่านเล่าในสมัยหลวงปู่ปานว่า หลวงปู่คำคะนิงเป็นพระอยู่แล้ว แต่คราวนี้ท่านอยู่ป่าจนจีวรกระรุ่งกระริ่งไม่เหมือนพระ ผมเผ้ายาวเฟื้อยเลย ท่านยังบอกเลยว่า “พระอยู่ที่ผมหรือ ? พระอยู่ที่จีวรหรือ ?” แล้วท่านก็คืนรูปกลายเป็นพระห่มจีวรเหลืองอร่าม เอาไม้มาวาง ๆ ก็นั่งเป็นเก้าอี้ได้

แต่ในประวัติที่ลูกศิษย์เขียนออกมายังเป็นชีปะขาวอยู่ แล้วข้ามไปให้เจ้ามหาชีวิตบวชให้ที่เวียงจันทน์ ไม่รู้ว่ามีการต่อเติมในระหว่างที่แปลจากภาษาหนึ่งเป็นภาษาหนึ่งเพื่อเป็นการยอเกียรติให้กับครูบาอาจารย์ตัวเองหรือเปล่า ว่าได้บวชจากเจ้ามหาชีวิต ถ้าเป็นพวกเราก็เหมือนกับเป็นนาคหลวง ได้รับพระราชทานกัณฑ์บวชจากในหลวง ฉะนั้น..พอแปลข้ามไปข้ามมาหลายภาษาก็อาจจะมีการตกหล่นต่อเติมกันได้"

เถรี
05-06-2013, 20:11
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เรากำลังยังไม่พอ ไม่ทันจะจับก็โดนกิเลสลากไปซะไกลลิบแล้ว แต่ท่านที่กำลังพอท่านหยุดมันทัน พอหยุดแล้วก็มาพิจารณาดู เห็นความไร้สาระและมีแต่โทษ ท่านก็วาง ฉะนั้น..เราเองกำลังไม่พอก็ไม่รู้ว่าจะจับอย่างไร

สมัยที่อยู่วัดท่าซุง หลวงพี่สามารถเป็นคนที่ทิพจักขุญาณดี ดูนั่นดูนี่แล้วมาวิพากษ์วิจารณ์กัน ท่านก็เล่าให้ฟัง “เมื่อคืนผมไปหน้าวัด พวกนั้นทำไสยศาสตร์มาอีกแล้ว เสกตะปูพุ่งมาอย่างกับธนูเลย” เราก็ถามว่าแล้วเป็นอย่างไร ท่านว่า “เทวดาโผล่พรวดมาจากไหนไม่รู้ เอาพระขรรค์ค่อย ๆ เคาะที่ละตัว ๆ หล่นหมดเลย”

“กูเพิ่งจะรู้ว่าความเร็วระดับนั้นยังช้ากว่าท่านตั้งเยอะ เราลองคิดดูสิว่า จิตของเราที่เร็วจนกั้นกิเลสได้ต้องเร็วขนาดไหน” ลองดูพี่เขาวิเคราะห์นะ ความเร็วต้องขนาดไหนถึงรู้เท่าทันกิเลสแล้วกันมันทัน ? นั่นเทวดาท่านกันไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์มาเร็วขนาดนั้นแต่กลายเป็นช้าของเทวดา ฉะนั้นสภาพจิตของเราที่จะกันกิเลสให้ได้ก็ต้องฝึกหัดให้ได้อย่างเทวดาที่ป้องกันไสยศาสตร์ เอาพระขรรค์ไล่เคาะทีละดอก

อยู่ที่รู้ ถ้ารู้ก็สามารถที่จะป้องกันได้ทัน แต่คราวนี้ความเร็วที่จะรับรู้ได้นั้นเร็วแค่ไหน ที่เห็นต่อหน้าต่อตาเลยก็คือหลวงปู่มหาอำพัน ตอนนั้นท่านป่วย ช่วงก่อนจะมรณภาพไม่นาน ท่านเป็นห่วงงานที่โบสถ์วัดสนามรัตนาวาส ท่านอุตส่าห์สร้างแล้วก็ประดับหินอ่อนตั้งแต่พื้นยันเพดานเลย ท่านไปตรวจงานไม่ได้

คราวนี้มีโยมเขาถวายนาฬิกาประดับมุกเรือนใหญ่แบบตั้งพื้นมา ท่านก็เลยบอกลูกศิษย์ให้เอาไป “ตั้งไว้ตรงกลางด้านประตูโบสถ์ ตรงข้ามกับพระประธานนะ จัดให้ตรงกลางพอดีเลย” ปรากฏว่าลูกศิษย์หายไป วันรุ่งขึ้นมาบอกว่า “เอาไปแล้วครับ แต่ว่าพระครูเจ้าอาวาสท่านบอกว่าตั้งตรงนั้นมองไม่ถนัด ถ้าจะมองต้องกลับหลังมาดู ก็เลยย้ายไปตั้งข้างพระประธานแทน”

หลวงปู่ท่านหลุดออกมา พูดเสียงแข็งว่า “อะไรนะ ทำอย่างนั้นได้อย่างไร” เสร็จแล้วท่านก็ยกมือไหว้ “เออ แล้วแต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ท่านเถอะ” เห็นชัด ๆ เลยว่าจริง ๆ แล้วพระอรหันต์รัก โลภ โกรธ หลงไม่ได้ไปไหนหรอก อยู่ครบถ้วน แต่ท่านรู้เท่าทันแล้วก็ปล่อยวาง เร็วขนาดนั้นจริง ๆ

นั่นแสดงว่าอารมณ์กระทบเกิด แต่ท่านกองลงทันทีเลย เราทำอย่างนั้นได้ไหม ? ถึงได้เห็นว่ามหัศจรรย์มากเลย เรื่องนี้คนอื่นอาจจะเห็นเป็นธรรมดา ๆ แต่สำหรับเรา “ชีวิตนี้จะทำได้อย่างนี้ไหม ?”

เถรี
05-06-2013, 20:18
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ทุกอย่างที่หลวงปู่หลวงพ่อท่านทำให้เราดูถือว่าเป็นการสอนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นบางคนคิดว่าเราอยู่กับหลวงปู่หลวงพ่อจะว่าไปแล้วก็ไม่นาน แล้วทำไมได้อะไรมากมายมหาศาล ก็บอกกับแต่ละคนว่า “ถ้าคุณมัวแต่รอให้ครูบาอาจารย์สอน คุณจะไม่ได้อะไร ทุกอย่างที่ท่านคิด ท่านพูด ท่านทำ เป็นการสอนอยู่ในตัวแล้ว เราจะรู้จักเก็บเอามาหรือเปล่าเท่านั้นเอง”

ถาม : แล้วที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านดุล่ะคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ทำ ใครจะไปเอาอยู่ ลูกศิษย์แต่ละคนปล่อยออกไปก็โจรดี ๆ นี่เอง

เถรี
05-06-2013, 20:25
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงนี้ที่วัดให้คุณลูกปุ๊กคอยเอาสตางค์หยอดหลุมเสาเข็ม ตอนแรกเขาถามว่าหยอดทำไม อาตมาตอบไปเล่น ๆ ว่า “หยอดเพราะมี” ตอนหลังก็เลยบอกว่าซื้อที่ เขาฟังแล้วเข้าใจ เห็นต่อหน้าต่อตาเลยนะ เหรียญที่เราโปรยไปหายไปเลย แต่บางรายที่เขาไม่ใจร้ายมากนักเขาก็หล่นอยู่ให้เห็น พวกที่อยากได้มาก โปรยลงไปนี่หายต่อหน้าต่อตาเลย จนกระทั่งคุณลูกเขาสงสัยว่าเรายังไม่ได้ใส่ เขาไปใส่ซ้ำก็หายอีก"

ถาม : เขาจะเอาไปทำอะไรครับ ?
ตอบ : เขายึดมั่นว่าเป็นของเขา ในเมื่อเราไปตรงนั้นก็ต้องมีอะไรตอบแทนเขา

ถาม : เขาตายแล้วยังยึดอยู่หรือครับ ?
ตอบ : โห..ยึดกันไม่เลิกหรอก ยึดกันชั่วฟ้าดินสลายนั้นแหละ โปรยลงไปหลุมละ ๙ เหรียญ ลงปุ๊บหายวับเลย หลุมลึก ๔-๕ เมตรกว้างครึ่งเมตร อย่างไรมองเห็นแน่ถ้าเราโปรยลงไป
หายไปต่อหน้าต่อตาเลย

ถาม : ใช้เหรียญอะไรโปรยครับ ?
ตอบ : ก็ใช้เหรียญในหลวง ๒๕๐๕ มีตราแผ่นดินอยู่ เอาไปขู่พวกเขา พอดีคุณลูกเขาสะสมไว้เยอะ ก็บอกให้เอามา คราวนี้ทุ่มทุนสร้างหน่อย

ถาม : ในเมื่อเขาอยู่วัด มีแต่การสร้างบุญกุศล การสวดมนต์ทำวัตรขนาดนั้นเขายังไปในที่ดีไม่ได้อีกหรือครับ ?
ตอบ : อย่าว่าแต่อยู่ใกล้ศาลาเลย ต่อให้อยู่ที่ลำโพงธรรมะก็เถอะ บางทีต้องใช้คำว่า "ความมืดบอดหนามาก" ต้องค่อย ๆ ขัด ค่อย ๆ เกลาไปไม่รู้อีกนานเท่าไร ในเมื่อเสียเวลาที่จะรบราฆ่าฟันก็ให้ ๆ เขาไป

จริง ๆ แล้วโบราณเวลาเขาไปเช่าที่ หรือไปอยู่ที่ใหม่ เขาจะจัดพานเล็ก ๆ ใส่หมากพลู ๑ คำ ใส่เหรียญสตางค์ ๑ บาท แล้วเอาไปไว้ที่มุมบ้านหรือมุมที่ บอกกับเจ้าที่ว่า นี่เป็นค่าเช่าสถานที่นี้ ขออยู่เป็นระยะเวลาเท่านี้ ๆ ขอให้ช่วยให้อยู่เย็นเป็นสุข ค้าขายดี ทำมาค้าขึ้นอะไรก็ว่าไป แล้วก็จัดอย่างนั้นให้เขาทุกปี เวลาลามา ก็เอาสตางค์ไปถวายเป็นสังฆทาน เราจะใส่มากกว่า ๑ บาทก็ได้ แต่โบราณเขาใส่แค่นั้น เพราะสมัยก่อนบาทหนึ่งนี่เยอะมากเลยนะ

เถรี
05-06-2013, 20:38
ถาม : การถวายสังฆทานควรหันพระพุทธรูปเข้าหาเราหรือหันออกดีคะ ?
ตอบ : อยู่ที่ใจเราชอบ ถ้าทำแล้วใจเราสบายจะหันทางด้านไหนก็ตามใจเราเถอะ

ถาม : ตอนที่ยกพระหันเข้าให้โยม แล้วโยมเขาหันออกมานั่น เขามีความเชื่อกันเช่นไรอยู่หรือไม่คะ ?
ตอบ : ก็เขาสบายใจที่จะทำอย่างนั้น ในเรื่องของบุญมีความหมายหนึ่งว่าสบายใจ ในเมื่อเขาสบายใจก็เกิดบุญแล้ว ความดี ความงาม ความสุข ความสบายใจ ฉะนั้น..ทำบุญก็คือทำแล้วเกิดความดี เกิดความงาม เกิดความสุข เกิดความสบายใจ

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่เป็นไร ก็ปล่อยเขาไปตามใจของเขา ถ้าเราเอามาใส่ใจ ใจเราเองจะหมอง ฉะนั้นบางอย่างก็ต้องวางลงบนหัวคนอื่นบ้าง (หัวเราะ) เอ๊ะ..นี่ตกลงเราสอนถูกหรือเปล่า ? ในเมื่อเขารับไม่ได้ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรก็วางลงบนหัวมัน ก็คือช่างมัน เอาไว้มีโอกาสเมื่อไรแล้วค่อยไปแนะนำกันอีกที

เถรี
05-06-2013, 20:46
ถาม : การมีวัตถุมงคลไว้มาก ๆ เราควรเก็บไว้ให้ลูกหลานเรา หรือควรนำไปถวายพระหรือร่วมบุญอื่น ๆ ?
ตอบ : สำคัญตรงที่ว่าเห็นว่า ไม่มีอะไรเป็นของเรา ถ้าเห็นตรงนี้ได้ อะไรก็ดีทั้งนั้น

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ก็แล้วแต่เรา ถ้าเห็นว่าเป็นของดีจริง ๆ ก็เหลือให้ลูกหลานสักส่วนหนึ่ง ที่เหลือก็เอาเข้ากองบุญการกุศลไป

ถาม : จะบอกลูกอย่างไรว่าวัตถุมงคลนี้เป็นของดี ให้เขาเห็นคุณค่า ?
ตอบ : ใช้วิธีถ่ายทอดส่งต่อ อธิบายให้ลูกเข้าใจ ให้เขาเห็นความสำคัญ อาจจะยกอิทธิปาฏิหาริย์อะไรบางอย่างมาประกอบบ้างก็ได้ หรือไม่ก็รอจนเขามีประสบการณ์เอง แต่การรอจนเขามีประสบการณ์เองนี่เด็กรุ่นใหม่คงจะยาก

เด็กรุ่นใหม่นิยมรอยสักมากเลย แต่ไม่แขวนพระ อาตมาเห็นแล้วก็ เออ..เข้าท่าดี แบบนั้นถ้าชอบแล้วถือขึ้นนี่ใช้ได้เลยนะ ถ้าใครอยากรู้ว่าสักแล้วของขึ้นเป็นอย่างไรให้ไปงานไหว้ครูหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระที่นครปฐม ที่นั่นเวลาไหว้ครู ต้องเอาทหารเป็นกองร้อยมาช่วยกันจับคน ไม่อย่างนั้นเวลาของขึ้นแล้วจะเอาไม่อยู่

หลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงครามท่านเป็นสมเด็จพระราชาคณะรูปเดียวที่มีรอยสักติดตัวอยู่ มีพระเถระฝ่ายปกครองบางรูปไปตำหนิพระที่ท่านสักอักขระเต็มตัว ท่านบอกว่าคนเห็นแล้วน่ากลัวมากกว่าน่าเลื่อมใส ไปขอหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านออกเป็นคำสั่งห้ามพระสักได้ไหม ? หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านบอกว่า “บ้านเราเมืองเราคงความเป็นชาติไทยมาได้ก็เพราะของพวกนี้ ลูกผู้ชายควรที่จะมีอักขระเลขยันต์ติดตัวไว้เป็นที่พึ่งทางใจบ้าง เขาชอบของเขาอย่างนั้นเราจะไปสั่งห้ามได้อย่างไร ?"

เถรี
06-06-2013, 10:40
ถาม : แล้วพระอาจารย์ได้ไปสักบ้างไหมครับ ?
ตอบ : อาตมาเองไม่ได้ใส่ใจตรงจุดนั้น เพราะว่าใครชอบอะไรก็ตามขอให้ทำจริง ๆ จะเกิดผล ตอนที่เรียนทหารอยู่มีเพื่อนคนหนึ่ง ทุกวันนี้ยังเป็นจ่าอาวุโสอยู่เลย ยังไม่ได้เป็นนายร้อย เรียนนักเรียนนายสิบมาด้วยกัน วันก่อนก็โทรมา คุยซะหูชาเลย

ตอนนั้นอาตมาตื่นขึ้นมาภาวนาตอนตี ๓ สุรสิทธิ์ก็ตื่นขึ้นมาภาวนาตอนตี ๓ เห็นเขาเสกเป่าคาถาบทนั้นแล้วก็เสกลูบยันต์ตรงนั้น คาถาบทนี้ลูบรอยสักตรงนี้ ปลุกทั้งตัวที่สักไว้ แล้วของขึ้นจริง ๆ

ปกติทหารจะเล่นแผลง ๆ มีอะไรสนุกสนานเฮฮาอยู่ทุกวัน มีอยู่อย่างหนึ่งก็คือประเภทกระโดดข้ามเพื่อน เวลากระโดดข้ามไปแล้วต้องไปยืนโก้งโค้งให้เขากระโดดข้ามบ้าง สลับกันไปทั้งกองร้อย เป็นการออกกำลังด้วย เป็นการเล่นด้วย สุรสิทธิ์เจออย่างนั้นทีไร รุ่งขึ้นจะไข้จับลุกไม่ขึ้นทุกที เพราะว่าไปข้ามของที่เขาถือ เห็นชัด ๆ เลยว่าคนที่เชื่อมั่นศรัทธาจะถือของขึ้น

ตอนที่เขาโทรมา เขาบอกว่าไม่รู้หรอกว่าเป็นอาตมา เขาค้นหาชื่อตัวเองในกูเกิ้ล ปรากฏว่าไปติดหนังสือกระโถนข้างธรรมมาสน์ เขียนถึงสิบตรีสุรสิทธิ์ ด่านบางภูมิ ก็สงสัยว่าใครเอ่ยถึง ไปดูชื่อผู้เขียนเป็นพระเล็ก เขาก็สงสัยว่าเพื่อนของเราก็มีไอ้เล็กอยู่คนเดียว เขาก็พยายามเสาะหาจนได้เบอร์โทรวัดท่าขนุนแล้วโทรมาถามว่าใช่ไหม ? อาตมาต้องบอกว่าใช่

ถามเขาว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง คุยกันไปเรื่อย เขาก็บอกว่าเขามีลูกชายคนหนึ่ง ลูกสาวคนหนึ่ง ตอนนี้ลูกชายเรียนปริญญาโท ลูกสาวกำลังจะจบปริญญาตรี ตัวเองก็ใกล้เกษียณแล้ว ไปอยู่ค่ายพระเจ้าตาก จังหวัดตาก บอกว่าผ่านมาให้แวะบ้าง ผ่านไป ๒ - ๓ ครั้งยังไม่ได้แวะสักที

เถรี
06-06-2013, 11:55
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ :ถ้าเป็นสมัยนี้หลวงปู่มหาอำพันต้องได้เป็นพระอุปัชฌาย์วิสามัญ แต่หลวงปู่นอกจากจะไม่ดิ้นรนอะไรแล้ว ท่านยังอยู่จนเกือบ ๓๐ พรรษา สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) ถึงได้ตั้งให้เป็นอาจารย์คู่สวด พูดง่าย ๆ ก็คือท่านก็สวดมนต์ไหว้พระ ปฏิบัติของท่านไปเรื่อย จนกระทั่งความดีปรากฏบังไม่อยู่แล้ว บรรดานาคไปสมัครบวชท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็บอกว่า “ให้ไปหามหาอำพันเขานะ เขาสอนนาคได้ดี” พ่อนาคเขาก็ไปหาหลวงปู่

อาตมาเคยเห็นหลวงปู่สอนนาคแล้ว...ท่านเน้นอักขระทีละคำเลย ออกเสียงผิดไม่ได้ “พ่อเราเป็นพญาหงส์ทอง ถึงเวลาต้องร้องแบบหงส์ จะร้องแบบกาไม่ได้” เพราะฉะนั้น..อักขระทุกคำต้องชัดถ้อยชัดคำ อัชชะตัคเคทานิ เถโร, มัยหัง ภาโร, อะหัมปิ เถรัสสะ ภาโร อย่าออกเสียงเป็นพาโลเป็นอันขาด มัยหัง ภาโร ภาระ คือตัวข้าพเจ้านั้น อะหัมปิ เถรัสสะ ภาโร ถือว่าเป็นภาระของพระเถระ คือไปมอบตัวให้ท่านสั่งสอน

แต่ถ้า มัยหัง พาโล ข้าพเจ้าเป็นไอ้โง่ อะหัมปิ เถรัสสะ พาโล พระเถระท่านก็เป็นไอ้โง่ด้วย ออกเสียงผิดนี่ความหมายไปคนละโลกเลย ไปเจอหลวงปู่มหาอำพันสอนนาคก็เรียบร้อย กว่าจะหลุดออกมาได้แต่ละคนนี่แทบจะเลิกบวชไปเลย

เถรี
06-06-2013, 12:10
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในระดับสมเด็จพระราชาคณะหรือรองสมเด็จพระราชาคณะ ถ้าจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง อย่าให้มีเรื่องมัวหมองเป็นอันขาด มีเมื่อไรเท่ากับเปิดโอกาสให้คนอื่นเลื่อยขาเก้าอี้ได้ เดี๋ยวพอถึงเวลาถ้ามีคนมีคุณสมบัติตีคู่กันมา เรื่องนี้จะกลายเป็นตัวถ่วงเลย คราวนี้ไล่เพื่อนไม่ทันแล้ว กลายเป็นคุณสมบัติของเพื่อนดีกว่า เพราะไม่เคยมัวหมองตรงนี้

รับประกันว่าพวกเราคงไม่ใช่คุณบุญชัย เบญจรงคกุล เขารับคนที่เคยบริหารบริษัทเจ๊งมาแล้ว อีกคนหนึ่งบริหารประสบความสำเร็จมาตลอดกลับไม่เอา เอาคนทำบริษัทเจ๊งมาแล้ว อีกคนเขาก็รับไม่ได้นะสิ คุณสมบัติเหนือกว่ากันตั้งเยอะทำไมเขาไม่เอา ได้รับคำอธิบายมาว่า “คนที่เคยทำบริษัทเจ๊งมาแล้วเขามีประสบการณ์ ต่อไปเขาจะรู้วิธีแก้ไข แต่คนยังไม่มีประสบการณ์แล้วมาทำให้ผมเจ๊ง ผมก็แย่นะสิ”

สรุปว่าควรจะเลือกหาคนที่มัวหมองที่สุดขึ้นไปใช่ไหม ? ...(หัวเราะ)... อ้าว..อย่าลืมนะ ออกญาพระกลาโหมก่อนจะขึ้นครองราชย์สมบัตินี่โดนต่อต้านสุดชีวิตเลย เขาถือว่าเป็นขบถต่อแผ่นดิน
ออกหลวงนายฤทธิ์อย่างไรก็ไม่ยอม ออกญาพระกลาโหมบอกว่า “ออกหลวง ต้องคนอย่างข้าพเจ้าจึงขึ้นไปเป็นเจ้าชีวิตได้ เพราะข้าพเจ้าเป็นคนชั่ว ย่อมรู้ว่าคนชั่วคิดอย่างไร อย่างท่านขึ้นไปไม่ได้หรอก ไม่ทันคนชั่วมัน”

ออกหลวงนายฤทธิ์จนด้วยเหตุผลก็ต้องยอมเขา บอกว่าจะฆ่าก็ฆ่า ออกญาพระกลาโหมบอกว่า “ไม่ฆ่าหรอก จะปล่อยไป ขออย่างเดียว ถ้ามีศึกเสือเหนือใต้มาประชิดบ้านเมือง ขอให้มาช่วยกัน”

เถรี
06-06-2013, 12:27
ถาม : แล้วออกญาพระกลาโหมนี่ตอนหลังท่านเป็นใครคะ ?
ตอบ : ชื่อพระเจ้าปราสาททอง ออกหลวงนายฤทธิ์ก็เป็นประเภทนักเลงแท้ เขาบอกว่า “ถ้าเรื่องส่วนตัวชองท่านผมไม่ช่วย แต่ถ้าเรื่องของชาติบ้านเมืองบอกมาได้” เขาแยกส่วนตัวกับส่วนรวมออก ประเภทว่า "ไม่ชอบขี้หน้าเอ็ง แต่ถ้าชาติอื่นมาตีบอกได้ เดี๋ยวจะไปช่วยกันตี”

สมัยก่อนคำสั่ง ความเห็น ความต้องการของพระเจ้าแผ่นดินคือกฎหมาย แม้กระทั่งพระพุทธเจ้าก็ยังตรัสกับพระภิกษุไว้ ภิกขเว..อนุชานามิ ราชานัง อะนุวัตติตุนติ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุโลมให้คล้อยตามพระราชา คือคล้อยตามกฎหมายบ้านเมือง แปลว่าพระพุทธเจ้าสั่งให้พระอยู่ภายใต้กฎหมายบ้านเมืองแต่แรกแล้ว

เราต้องไปนึกว่าคนเป็นพระเจ้าแผ่นดิน สมัยก่อนไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ ต้องระงับรัก โลภ โกรธ หลงของตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่อย่างนั้นแล้วอยู่ไม่ได้ เพราะถ้าปกครองแล้วไพร่ฟ้าประชากรเดือดร้อน ท้ายสุดจะลุกฮือขึ้นก่อกบฏ ฉะนั้น..บุคคลที่จะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า อย่างน้อยต้องเคยปฏิบัติเนกขัมมะบารมีอย่างอ่อนมา ไม่อย่างนั้นห้ามใจตัวเองจากความต้องการเต็มที่ไม่ได้หรอก เพราะขนาดชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ บอกแล้วว่าความคิด ความต้องการ ความเห็นคือกฎหมาย ก็ต้องพยายามห้ามตัวเองเอาไว้ให้อยู่ในกรอบให้ได้ ไม่เช่นนั้นถ้าชาวบ้านไม่สนับสนุนก็อยู่ไม่ได้