เถรี
25-01-2013, 07:55
ขอให้ทุกคนขยับตัวนั่งในท่าที่สบายของเรา ตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้เฉพาะหน้า เอาความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา จะกำหนดลมหายใจเป็นฐานเดียว ๓ ฐาน ๗ ฐานก็ได้ ตามความเคยชินที่ฝึกมาก่อน แม้กระทั่งคำภาวนาก็ใช้คำภาวนาที่เราถนัด ที่เราชำนาญมาก่อน เพื่อที่สภาพจิตซึ่งเคยชินแล้วจะได้ดำเนินเป็นสมาธิได้ง่าย
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานต้นเดือนมกราคมรับปีใหม่เป็นวันสุดท้าย สำหรับในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น สิ่งที่สำคัญก็คือความอดทน ความพากเพียร และการใช้ปัญญา
ความอดทนนั้นจำเป็นสำหรับการปฏิบัติธรรมทุกระดับชั้น ถ้าไม่มีขันติ คือความอดทนที่พอเพียง ก็มักจะท้อถอยเสียก่อน เนื่องจากว่าการปฏิบัติธรรมในระยะแรก ๆ เปรียบไปแล้วก็เหมือนกับการว่ายทวนน้ำ หรือการปีนภูเขา ซึ่งต้องใช้การทุ่มเททั้งความพยายามและเรี่ยวแรงอย่างมหาศาล ถ้าความอดทนของเราไม่เพียงพอ การปฏิบัติก็ไม่ได้ผล เพราะเราจะท้อถอย หรือเลิกไปเสียก่อน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ในโอวาทปาฏิโมกข์ ประโยคแรกเลยก็คือ ขันตี ปรมัง ตโป ตีติกขา ขันตินี้เป็นเครื่องประดับอย่างยิ่งของผู้ตั้งใจบำเพ็ญตบะ พูดง่าย ๆ ก็คือว่าผู้ใดก็ตามที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ต้องมีขันติ คือความอดทน อดกลั้น อดออมอย่างพร้อมมูล ไม่เช่นนั้นแล้วการปฏิบัติก็จะไม่เกิดผล ท่านที่ปฏิบัติแล้วยังไม่ได้ในส่วนที่ตนเองปรารถนา ก็ขอให้รู้ว่าเราอาจจะบกพร่องตรงขันติบารมีนี่เอง
ข้อที่สองคือความพากเพียร การปฏิบัติธรรมทุกอย่าง ต้องอาศัยความเพียรพยายามโดยไม่ท้อถอย เพียรพยายามในลักษณะของการฝนทั่งให้เป็นเข็ม ถ้าใครเคยเห็นเขาตีเหล็ก สิ่งที่รองชิ้นงานอยู่ ถูกเขาเอาค้อนฟาดลงไปอยู่ตลอดเวลานั่นคือทั่งเหล็ก ซึ่งจะเป็นชิ้นเหล็กที่ใหญ่โตมาก ถ้าเราจะฝนทั่งนั้นจนกระทั่งเล็กเท่ากับเข็ม ก็ต้องใช้ความพากเพียรและระยะเวลาที่ยาวนาน โบราณท่านถึงได้เปรียบเอาไว้ว่า ความพยายามของเราต้องให้ได้ในระดับฝนทั่งให้เป็นเข็ม ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานทุกอย่าง
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานต้นเดือนมกราคมรับปีใหม่เป็นวันสุดท้าย สำหรับในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น สิ่งที่สำคัญก็คือความอดทน ความพากเพียร และการใช้ปัญญา
ความอดทนนั้นจำเป็นสำหรับการปฏิบัติธรรมทุกระดับชั้น ถ้าไม่มีขันติ คือความอดทนที่พอเพียง ก็มักจะท้อถอยเสียก่อน เนื่องจากว่าการปฏิบัติธรรมในระยะแรก ๆ เปรียบไปแล้วก็เหมือนกับการว่ายทวนน้ำ หรือการปีนภูเขา ซึ่งต้องใช้การทุ่มเททั้งความพยายามและเรี่ยวแรงอย่างมหาศาล ถ้าความอดทนของเราไม่เพียงพอ การปฏิบัติก็ไม่ได้ผล เพราะเราจะท้อถอย หรือเลิกไปเสียก่อน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ในโอวาทปาฏิโมกข์ ประโยคแรกเลยก็คือ ขันตี ปรมัง ตโป ตีติกขา ขันตินี้เป็นเครื่องประดับอย่างยิ่งของผู้ตั้งใจบำเพ็ญตบะ พูดง่าย ๆ ก็คือว่าผู้ใดก็ตามที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ต้องมีขันติ คือความอดทน อดกลั้น อดออมอย่างพร้อมมูล ไม่เช่นนั้นแล้วการปฏิบัติก็จะไม่เกิดผล ท่านที่ปฏิบัติแล้วยังไม่ได้ในส่วนที่ตนเองปรารถนา ก็ขอให้รู้ว่าเราอาจจะบกพร่องตรงขันติบารมีนี่เอง
ข้อที่สองคือความพากเพียร การปฏิบัติธรรมทุกอย่าง ต้องอาศัยความเพียรพยายามโดยไม่ท้อถอย เพียรพยายามในลักษณะของการฝนทั่งให้เป็นเข็ม ถ้าใครเคยเห็นเขาตีเหล็ก สิ่งที่รองชิ้นงานอยู่ ถูกเขาเอาค้อนฟาดลงไปอยู่ตลอดเวลานั่นคือทั่งเหล็ก ซึ่งจะเป็นชิ้นเหล็กที่ใหญ่โตมาก ถ้าเราจะฝนทั่งนั้นจนกระทั่งเล็กเท่ากับเข็ม ก็ต้องใช้ความพากเพียรและระยะเวลาที่ยาวนาน โบราณท่านถึงได้เปรียบเอาไว้ว่า ความพยายามของเราต้องให้ได้ในระดับฝนทั่งให้เป็นเข็ม ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานทุกอย่าง