PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๖


เถรี
11-01-2013, 20:50
ถาม : กระผมอยากบริจาคอวัยวะทุกอย่างที่ใช้ได้และร่างกาย แต่พอแจ้งกับแม่ว่าจะทำการบริจาค แม่มักจะห้ามไม่ให้บริจาค แล้วไม่คุยเรื่องนี้ด้วยทุกครั้งที่กระผมพยายามจะพูด ถ้าจะไปบริจาคเลยโดยไม่แจ้งให้ท่านทราบ แล้วค่อยกลับมาเล่าให้ท่านทราบภายหลัง กระผมจะมีบาปที่ทำกับแม่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าทำโง่ ๆ แบบนั้นก็บาป..! ไปบริจาคแล้วอย่าบอกกับท่านก็หมดเรื่อง

ถาม : การบริจาคเลือดเป็นประจำ ได้บุญเหมือนกับการบริจาคอวัยวะ และร่างกายหรือไม่ครับ ?
ตอบ : การบริจาคเลือดถือว่าเป็นทานตัดชีวิตอย่างหนึ่ง ส่วนอานิสงส์การบริจาคอวัยวะอื่น ๆ จะต่างกันไป อย่างเช่น บริจาคดวงตา เกิดชาติใหม่ก็จะมีสายตาดี แต่บางคนกลัวว่าเกิดใหม่แล้วจะตาบอด
การบริจาคเลือดเป็นทานสละชีวิตเพราะตัดชีวิตของเราเองแบ่งให้กับผู้อื่นเขาไป อานิสงส์เหล่านี้ถ้าไม่ได้ทำบุญอื่นเลย จะส่งผลให้อย่างน้อยเข้าถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

เถรี
11-01-2013, 20:53
ถาม : ถ้าการทำบุญทุกครั้งเราปรารถนาพระนิพพานอย่างเดียว อานิสงส์อื่น ๆ จะยังคงได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ปรารถนาพระนิพพานอย่างเดียว แล้วจะเอาอย่างอื่นทำไมอีก..!? เขาเรียกว่าถามแบบหัวมังกุท้ายมังกร

เถรี
11-01-2013, 20:55
ถาม : กระผมได้เคยนำเหรียญที่เป็นรูปฆราวาสอย่างเดียวไม่มีรูปพระพุทธเจ้าอยู่เลย ไปเข้าพิธีพุทธาภิเษกในวันเสาร์ ๕ ของทางวัดท่าขนุน ไม่ทราบว่าเหรียญที่มีแต่รูปฆราวาสอย่างเดียว จะมีบารมีพุทธคุณขององค์พระพุทธเจ้าคุ้มครองผู้ที่นำเหรียญติดตัวหรือห้อยคอหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าเอาเข้าพิธีแล้วอัญเชิญพระท่านมาเสก ก็เป็นพุทธคุณอยู่แล้ว

เถรี
11-01-2013, 20:59
ถาม : ตอนที่กำลังสวดมนต์ บ่อยครั้งที่ทำนองของการสวดมนต์เปลี่ยนไปเอง คือเปลี่ยนไปอีกทำนองที่เราไม่คุ้น หลังที่รู้ตัวว่าทำนองเปลี่ยนไปก็บังคับให้กลับมาทำนองเดิมแต่ทำไม่ได้ อยากทราบมีทางแก้ไขอย่างไรครับ ? และสาเหตุคืออะไร ?
ตอบ : ตั้งสติให้ดีกว่านั้น ถ้าสติไม่พอทำนองก็เพี้ยน หรือไม่อีกอย่างหนึ่งที่อาตมาเคยโดนมา กำลังสวดมนต์อยู่ ๆ ก็กลายเป็นทำนองภาคเหนือ สงสัยจึงลืมตาขึ้นมา ปรากฏว่าหลวงปู่ครูบาธรรมชัยมายืนยิ้มอยู่ข้าง ๆ ถ้าลักษณะอย่างนั้น แปลว่าท่านแสดงให้รู้ว่าท่านมา

เถรี
11-01-2013, 21:12
ถาม : เตรียมจะสร้างบ้าน วางหน้าบ้านไว้ทิศเหนือ หลังบ้านไว้ทิศใต้ ด้านข้างไว้ทิศตะวันออกและตะวันตก ยกพื้นสูงแบบบ้านสมัยก่อน เมื่อเทียบกับการสร้างบ้านของคนโบราณ วางตำแหน่งบ้านตามนี้ถูกหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ภาษิตจีนเขาเรียกว่าถอดกางเกงผายลม ถามเสียยาวยืดโดยไม่มีความจำเป็น..! เอาหน้าบ้านไว้ทิศเหนือ หลังบ้านไว้ทิศใต้ ถ้าข้างบ้านไม่เป็นทิศตะวันออกหรือตะวันตก แล้วจะอยู่ทิศไหนได้..!?

สรุปว่าโบราณนิยมหันหน้าบ้านไว้ทิศเหนือหรือทิศใต้ เพราะถ้าหันทิศตะวันออกหรือตะวันตกแล้ว แดดจะเข้าทั้งเช้าและบ่าย แต่การหันทิศเหนือหรือทิศใต้นั้นให้ดูทิศให้ดี บ้านเราทิศเหนือจะรับลมหนาว เพราะฉะนั้นหน้าต่างควรจะหันหลังให้ทิศเหนือ เปิดรับลมทางด้านทิศใต้ แต่เจอหลายที่หน้าต่างเปิดรับลมทิศเหนือแล้วหันหลังทิศใต้ กลายเป็นฤดูร้อนลมไม่เข้าบ้าน แต่ฤดูหนาวลมเข้าเต็มที่เลย

ถาม : เตรียมการไว้จะลงเสาเอกในวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ถูกต้องหรือไม่ครับ ?
ตอบ : สรุปว่าไปเปิดตำราดูเถอะ

ถาม : จะบรรจุตะกรุดโสฬสที่ประมูลจากเว็บวัดท่าขนุนด้วย ควรอธิษฐานขออย่างไรและวางตะกรุดส่วนใดของเสาเอกครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นไปได้เอาไว้บนยอดเสา..! อยากจะบรรจุก็บรรจุลงไปพร้อมกับเทปูนไปเลย ที่บ้านวิริยบารมีก็ใส่ตะกรุดลงไปพร้อมกันอยู่แล้ว

ถาม : ถ้าจะสร้างรั้วบ้าน ถนนปูนเข้าไปในเขตบ้าน และอาคารชั้นเดียวไว้เก็บของต่าง ๆ ก่อนจะถึงพิธีลงเสาเอกของบ้าน ทำได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ปัญหานี้ตอบไม่ได้เพราะไม่มีแผนที่ให้ดู บางอย่างควรทำก็ทำไปก่อน ที่เหลือค่อยรอหลังจากลงเสาเอกหรือรอให้บ้านเสร็จ

เถรี
11-01-2013, 21:18
ถาม : มีดหมอสร้างตามตำราวิชาเนื้อทองมหาสัตตโลหะ สายสำนักเขาอ้อ ตำราวิชามีดหมอวัดประดู่ทรงธรรม ตำราวิชามีดหมอหลวงพ่อเดิม ตำราวิชามีดหมอหลวงปู่ศุข และตำราวิชาวชิระโลหะสร้างดาบฟ้าฟื้นของขุนแผน กรรมวิธีการสร้างแตกต่างกันอย่างไร ? อานุภาพเฉพาะมวลสารอย่างไหนเหนือกว่ากันครับ ?
ตอบ : ตำราของขุนแผนเขาสร้างตามตำรามหาศาสตราคม ไปเอาตำราวชิระโลหะมาจากไหน ? ถ้าอยากจะรู้ว่าต่างกันอย่างไร เอาของทั้งหมดมาถวายอาตมา แล้วจะบอกให้..! ถ้าไม่มีก็เปรียบเทียบไม่ได้

เถรี
11-01-2013, 21:24
ถาม : ตอนที่กระผมไม่สบายเป็นไข้หวัด กินยารักษาตัวอยู่ บังเอิญไปพบหลวงพ่อที่ท่านกำลังป่วยเป็นไข้หวัดเหมือนกัน แต่ท่านยังไม่มียาสำหรับฉันเพื่อรักษา กระผมจึงถวายยาที่ตนเองกำลังใช้อยู่ให้ท่านไป เนื่องจากหาที่ซื้อใหม่ไม่ได้ อย่างนี้ถือเป็น "ทาสทาน" ด้วยหรือไม่ โดยที่ไม่ได้มีเจตนาที่จะถวายของที่เหลือใช้แก่ท่านครับ ?
ตอบ : จะเป็นทาสทานหรือไม่ ไม่ต้องไปสนใจ สนใจที่ว่าเราได้มีโอกาสถวายหรือเปล่า ? ไม่ว่าจะเป็นของดีกว่าที่เรากินเราใช้ ของที่เสมอกัน หรือของที่ต่ำกว่าก็ตาม สำคัญว่าเราสละออกได้หรือไม่ ? เรื่องของอานิสงส์จะมาอย่างไรก็ช่างเถอะ เพราะถ้าตอนหลังเราไปถวายของที่ดีกว่าที่เรากินเราใช้ ก็จะทดแทนกันไปเอง

เถรี
11-01-2013, 21:25
ถาม : ภิกษุได้สมาทานธุดงค์ข้อมีการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร จะต้องไม่พึงยินดีภัต ๑๔ ชนิด มีสังฆภัตเป็นต้น ถ้าเขามานิมนต์ให้ไปฉันด้วยคำว่า "ไปฉันเช้าหรือฉันเพลเท่านั้น" แต่ไม่ได้บอกว่า "ไปรับสังฆทานด้วย" แต่เมื่อไปถึงบ้านโยมแล้ว มีการกล่าวคำถวายสังฆทานด้วย พอโยมกล่าวคำถวายสังฆทานเสร็จ เมื่อภิกษุรับว่า "สาธุ" ก็ดี ไม่รับว่าสาธุก็ดี ธุดงค์ข้อนี้จะขาดหรือไม่ครับ ?

ตอบ : ถ้ารับก็ขาดไปเลย แต่ถ้าจะรักษาไม่ให้ธุดงควัตรขาดเลย ก็อาจจะชีวิตขาดแทนเพราะอดฉัน..! เลือกเอาแล้วกันว่าจะรักษาอะไร

เถรี
11-01-2013, 21:32
ถาม : เวลานั่งรถโดยสารจะหลับตาสวดพระคาถามงกุฏพระพุทธเจ้า พร้อมกับนับเม็ดประคำไปด้วย เมื่อสวดไปเรื่อย ๆ มีความรู้สึกว่าทุกอย่างเงียบ เหลือแต่ที่เรากำลังสวดอยู่ สักพักเดียวเหมือนหลับไป แล้วไม่มีความรู้สึกใด ๆ เลย แต่พอใกล้ถึงปลายทางที่จะลง ก็รู้สึกตัวขึ้นมาก่อนทุกครั้ง แต่สังเกตดูว่าเราก็ยังคงสวดของเราไปเรื่อย ๆ มือก็ยังนับเม็ดประคำไปเรื่อย ๆ เป็นเพราะอะไรครับ ?
ตอบ : สติขาด..ในเมื่อสติขาดก็เลยตามสมาธิไม่ทัน ทั้ง ๆ ที่สมาธิยังดำเนินไปตามปกติอย่างนั้น จนกระทั่งสติคืนมา สมาธิยังทำหน้าที่อยู่ เมื่อเรารับรู้ก็เลยรู้สึกว่าทำไมเรายังทำหน้าที่นั้นอยู่ โดยที่เราไม่รู้สึกอะไรเลย

วิธีแก้ไข..ให้เอาใจจดจ่ออยู่กับลมหายใจและคำภาวนาเฉพาะหน้า เอาให้แนบชิดติดกันไปเลย ถ้าเผลอก็จะเป็นอย่างนี้อีก

เถรี
11-01-2013, 21:32
ถาม : กระผมเคยกระทำการย้ายเจดีย์มาหลายรอบเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อยากทราบว่ากระผมจะมีวิธีแก้ไขความผิดที่แล้วมาได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ย้ายที่วัดไหนก็ไปย้ายคืนซะ..!

เถรี
13-01-2013, 20:19
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "ภาราหะเว ปัญจักขันธา ขันธ์ ๕ นี้เป็นภาระยิ่งหนอ นอกจากภาระเลี้ยงดูตัวเอง บริหารตนเอง ดูแลรักษาตนเองแล้ว ยังต้องมีคู่ครอง ยังต้องมีลูก ยังต้องมีหลาน เยอะแยะไปหมด ตอนอยู่ตัวคนเดียวไม่อาบน้ำ ๓ - ๔ วันก็ยังเฉย ๆ ตอนอยู่กับเขา เย็นไม่อาบน้ำก็โดนดึงหูยานแล้ว ตอนเช้าขี้เกียจจะนอนเลื้อยตื่นสัก ๑๐ โมงก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ไม่ได้ ต้องรีบแหกขี้ตาตื่นขึ้นมาเตรียมอาหารเผื่อเขาด้วย แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว"

เถรี
13-01-2013, 20:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครอยากจะไหว้พระเขี้ยวแก้วก็ไปวัดในวันมาฆบูชา วิสาขบูชา อาสาฬหบูชา ถ้าศาลาใหม่วัดท่าขนุนสร้างเสร็จ จะตั้งถาวรให้เข้าไปไหว้ได้ทุกวัน ให้เขาเริ่มรื้อศาลาแล้ว จะลงเสาเอกวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๖ นี้ หลังงานเป่ายันต์ ๑๑ วัน

พอลงเสาเอกแล้วคราวนี้ก็แล้วแต่ช่าง ทำไปเรื่อย ๆ ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง อย่าทำเร็วเดี๋ยวอาตมาหาเงินไม่ทัน เพราะว่าตอนที่ทำแบบเมื่อเกือบ ๓ ปีก่อน ประเมินราคามา ๔๐ ล้านบาท ของเกือบ ๓ ปีขึ้นราคาไปเยอะ อาตมามัวแต่ทำพระชำระหนี้สงฆ์กับสมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่ ก็เลยต้องรอมาจนป่านนี้ ระยะนี้ไม่อยากทำงานหลายอย่างพร้อมกัน เหนื่อยตอนหาเงินมาจ่ายค่าก่อสร้าง"

เถรี
13-01-2013, 20:55
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเป็นพ่อแม่ ไม่เคยมองเห็นลูกตัวเองโตเลย นึกถึงสมัยก่อน ถ้าอาตมามีโอกาสลากลับบ้านก็จะไปนอนตักแม่ แม่จับหัวคลำไปคลำมาก็พูดว่า “ยังจำได้ว่าเห็นนอนดิ้น ๆ อยู่ ยังคลานไม่ได้เลย ทำไมโตขนาดนี้แล้ว ?” อาตมาบอกแม่ว่า “แม่..ตอนนี้ลูกแม่เป็นนายทหาร มีลูกน้องบานตะเกียงแล้ว แม่ยังเห็นเป็นเด็กอยู่อีก”

ความรักของพ่อของแม่เป็นความรักที่บริสุทธิ์ มีความปรารถนาดีต่อลูกอย่างเดียว จึงเป็นความรักเดียวกันกับความรักของพระอริยเจ้า ความรักของพระอริยเจ้าก็คือรักอย่างไม่มีข้อแม้ รักทุกคนโดยเสมอหน้ากัน ปรารถนาให้ทุกคนล่วงพ้นจากความทุกข์ มีแต่ความสุขเสมอกัน พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสอย่างเต็มปากเต็มคำว่า พระองค์รักราหุลเท่าใดก็รักเทวทัตเท่านั้น ถ้าคนที่ทำไม่ถึงจุดนี้จะไม่เข้าใจอย่างเด็ดขาดว่าเป็นไปได้อย่างไร คนหนึ่งเป็นลูกชายคนเดียว อีกคนหนึ่งเป็นศัตรู แต่สำหรับพระองค์ท่าน ไม่ได้เห็นว่าเป็นลูก ไม่ได้เห็นว่าเป็นศัตรู นั่นเป็นสิ่งที่ทางโลกเขาสมมติกันพระองค์ท่านเห็นว่าเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทุกคน

ในเมื่อเป็นดังนั้น ความรักของพระอริยเจ้ากับความรักของพ่อแม่ จึงเป็นความรักที่เหมือนกัน เขาถึงได้บอกว่าพ่อแม่คือพระอรหันต์ของลูก เพราะความรักของพ่อแม่ก็คือความรักแบบเดียวกับพระอรหันต์ แต่ปรากฏว่าพระอรหันต์ในบ้านจำนวนมากในปัจจุบันนี้ ไปลดคุณค่าของตัวเองลง รักลูกโดยมีข้อแม้ ถ้ารักลูกโดยมีข้อแม้แสดงว่ากำลังใจตกมาก ไม่ใช่พระอรหันต์แล้ว เพราะฉะนั้น..ห้ามรักลูกโดยมีข้อแม้ ต้องเป็นอัปปมัญญา (ไม่มีประมาณ) สงเคราะห์ได้แค่ไหนก็สงเคราะห์ สงเคราะห์ไปเต็มที่แล้วเอาดีไม่ได้ก็ปล่อยวาง แต่ถึงปล่อยวางก็ยังประกอบไปด้วยเมตตากรุณา เมื่อมีโอกาสก็พร้อมที่จะสงเคราะห์ใหม่ในทันที

คำว่ารักในความรู้สึกของบุคคลทั่ว ๆ ไป กับคำว่ารักในความรู้สึกของพระอริยเจ้า ห่างกัน ๘๔,๐๐๐ ลี้ยังว่าน้อยไปเลย ความรักของคนทั่ว ๆ ไปคือความรักที่มีเงื่อนไข มีข้อแม้ทั้งหมด พอถึงเวลาไม่ได้อย่างเงื่อนไข ไม่ได้อย่างข้อแม้ก็ทะเลาะกันบ้านแตก แต่ความรักของพระอริยเจ้าท่านไม่ทะเลาะกับใครหรอก คำว่ารักคนละความหมายกัน บางอย่างท่านถึงได้บอกว่า เมื่อเข้าถึงแล้วเป็นปัจจัตตัง ปัจจะ กับ อัตตะ ก็คือเฉพาะตน คนอื่นอธิบายให้เข้าใจไม่ได้ ต้องเข้าถึงเองถึงจะซาบซึ้งว่าแปลว่าอะไร

แบบเดียวกับพระปัจเจกพุทธเจ้า ปัจจะ กับ เอกะ เป็นปัจเจกะ อันนั้นเฉพาะหนึ่งเดียวจริง ๆ"

เถรี
13-01-2013, 21:04
ถาม : คำสอนของเหลาจื๊อกับขงจื๊อต่างก็เป็นปรมัตถธรรม ?
ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ...คำสอนของขงจื๊อส่วนใหญ่เป็นจริยธรรม คือเรื่องที่คนทั่ว ๆ ไปควรปฏิบัติ ส่วนคำสอนเหลาจื๊อเป็นการเข้าถึงธรรมชาติโดยส่วนหนึ่ง พูดง่าย ๆ ว่าเห็นทุกอย่างในความเป็นธรรมชาติแท้ ถือว่าเข้าถึงปรมัตถธรรมเหมือนกัน แต่ไม่เข้าถึงที่สุด แต่ขนาดเข้าไม่ถึงที่สุด คัมภีร์เต๋าเต็กเก็งที่ท่านเขียนสั้นนิดเดียว ทำเอาคนศึกษามาจนป่านนี้แล้วยังไม่ทะลุเสียที

เหลาจื๊อมีประวัติการเกิดที่พิสดาร อยู่ในท้องแม่ตั้ง ๘๐ ปี พอฤดูหนาวบ้านก็อบอุ่น ดอกไม้บานสะพรั่งรอบบ้าน ฤดูร้อนอากาศก็เย็นสบาย มวลหมู่แมลงนกกามาบินล้อมเต็มบ้านไปหมด แม่ออกไปทางไหนก็มีแต่ความรื่นรมย์ ไม่มีความลำบากในการตั้งท้องเลย สามารถทำงานทำการทุกอย่างได้เหมือนคนปกติ ตอนที่คลอดก็คลอดแปลก ๆ แม่ไปชมสวน เห็นดอกไม้สวยอยากได้ เอื้อมมือไปเด็ด รู้สึกว่าสีข้างขาดแควก แล้วลูกก็หล่นลงมา พอหล่นลงมาหน้าตาก็เท่าคนอายุ ๘๐ ปี หนวดเคราขาวแล้ว แม่ยังสาวพริ้งอยู่เลย ตั้งท้องมา ๘๐ ปี ที่เขาเรียกเหลาจื๊อ = ตาเฒ่า

เรื่องของศาสดาต้องมีเรื่องอัศจรรย์ ไม่อย่างนั้นแล้วคนส่วนใหญ่ที่ยึดติดกับเรื่องของปาฏิหาริย์ เรื่องของคุณวิเศษจะไม่เชื่อ คราวนี้ท่านเองก็คงระอาใจ สิ่งที่ท่านรู้ลึกซึ้งเหลือเกิน อธิบายให้คนทั่ว ๆ ไปแล้วเหมือนกับดีดพิณให้กระบือฟัง ท้ายสุดท่านก็เลยตัดสินใจเดินทางออกนอกด่าน ก็คือออกนอกกำแพงใหญ่ ถ้าเป็นสมัยก่อนก็คือไปพ้นเขตความเจริญ คราวนี้นายด่านเสียดายความรู้ท่าน ตอนที่พักอยู่ที่ด่าน จึงขอให้ช่วยเขียนความรู้ของท่านไว้เป็นที่ระลึกสักชุดหนึ่ง ท่านจึงเขียนเต๋าเต็กเก็ง (คัมภีร์แห่งเต๋า) ท่านเขียนใส่ไม้ไผ่ ที่เขาเรียกว่าเต็กเก็งก็คือคัมภีร์ไม้ไผ่

ถ้ามาสายของเหลาจื๊อนี่จะเข้าถึงปรมัตถธรรมได้อย่างลึกซึ้ง แต่ถ้าสายของขงจื๊อส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของคุณธรรม ก็คือพื้นฐานที่มนุษย์ควรจะมีควรจะเป็น จนกระทั่งทุกวันนี้ยังฝังลึกอยู่ในครอบครัวจีนอยู่ตลอดเวลา อย่างเรื่องความกตัญญู จะว่าไปแล้วท่านก็อยู่ร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้า เกิดทันพุทธกาลเหมือนกัน แต่ที่น่าสงสารก็คือพวกฝรั่ง ศาสดาต่าง ๆ อยู่ตะวันออกหมดเลย ไม่มีตะวันตกสักท่านเดียว แม้แต่ศาสนาคริสต์ที่แพร่หลายทางตะวันตก พระเยซูก็เกิดที่อิสราเอล ตะวันออกกลางพอดีเลย

เถรี
13-01-2013, 21:15
ถาม : เรื่องโลกแตก ?
ตอบ : อาตมายืนยันว่าโลกไม่แตกหรอก แต่เรื่องภัยพิบัติต่าง ๆ เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้น เพราะคนเราถึงวาระสร้างกรรมมา กรรมนั้น ๆ ก็จะสนอง เรื่องภัยพิบัติมีแน่ แต่เรื่องโลกแตกนี่อาจจะร้าว ๆ บ้าง แต่ไม่แตกแน่นอน

เถรี
13-01-2013, 21:35
ถาม : วัดท่าขนุนอยู่ในส่วนที่ทัพไทยไปรบพม่าที่ท่าดินแดง ?
ตอบ : เป็นที่ตั้งค่ายเลย เป็นที่ตั้งค่ายของรัชกาลที่ ๑ กับสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยังเป็นที่ตั้งค่ายเชลยศึกที่ทหารญี่ปุ่นคุมมาสร้างทางรถไฟสายมรณะ พูดง่าย ๆ ว่าท่าขนุนเป็นที่สำคัญสุด ๆ

ท่านเจ้าคุณพระราชสารสุธี เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ฝ่ายธรรมยุติ ท่านปรารภว่า "ทำไมอาจารย์เล็กไม่เลื่อนพระใหญ่ไปข้างหลังสัก ๑๐ - ๒๐ เมตร ให้พระใหญ่อยู่ข้างหลัง แล้วพระชำระหนี้สงฆ์อยู่ด้านหน้า ๒ ข้างนี่จะเด่นมาก ๆ เลย" อาตมากราบเรียนท่านว่า "ผมก็อยากจะเลื่อนไปข้างหลังครับ แต่จะไปทับทางรถไฟสายมรณะเสียหมด ผมต้องการที่จะเปิดทางรถไฟสายมรณะตรงนั้นเป็นแหล่งเที่ยว ถึงเวลาก็ซื้อรางรถไฟเก่า ๆ กับตู้มาตั้งไว้สัก ๒ ตู้ก็ยังดี ให้คนเขาได้มาเห็นกัน"

ด้านหน้าอาตมาถมทางรถไฟไปแล้ว ๔๐ - ๕๐ เมตร ถ้าเลื่อนพระใหญ่ถอยไปอีกก็หายไปเป็น ๑๐๐ เมตร ตอนนี้ทางรถไฟสายมรณะช่วงบนก็เหลืออยู่แค่ตรงวัดท่าขนุนเท่านั้นแหละ เพราะว่าที่อื่นเขาไถทิ้งเพื่อทำไร่ไปหมดแล้ว

ถาม : ตรงที่ป่าช้าหรือครับ ?
ตอบ : ก่อนป่าช้าตัดข้ามถนนมา เฉียง ๆ อยู่ด้านหลังสมเด็จองค์ใหญ่ แล้วก็วิ่งเฉียดเขาวัดท่าขนุนไป แต่ด้านที่เฉียดภูเขาโดนเขาไถทิ้ง กลายเป็นไร่ยางพาราไปแล้ว เหลือแต่ส่วนที่อยู่ในดงไผ่ของวัดท่าขนุน

อาตมาตั้งใจว่าจะบูรณะขึ้นมา เพราะว่าปีนี้ดินฟ้าอากาศอำนวย ป่าไผ่วัดท่าขนุนตกขุยหมดเลย แปลว่าจะตายเกลี้ยงยกป่า อาตมาสามารถรื้อเอาทางรถไฟออกมาได้ โดยที่ชาวบ้านไม่ด่า ไม่อย่างนั้นอยู่ ๆ ไปฟันป่าทิ้งเดี๋ยวเป็นเรื่อง เวลารื้อออกมาเสร็จสรรพเรียบร้อย ตอนปรับแต่งคงต้องฝังท่อบางช่วงเพื่อให้น้ำไหลผ่านได้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวน้ำจะขังเป็นแอ่ง

พอฝังท่อเสร็จก็ต้องไปหาซื้อเหล็กรางรถไฟเก่า ๆ กับไม้หมอน จ้างเขาประกอบ ซื้อตู้รถไฟเก่า ๆ มาตั้ง ให้นักท่องเที่ยวไปตั้งท่าถ่ายรูปกัน

เถรี
13-01-2013, 21:50
ถาม : สงครามพม่าครั้งนั้น ผมก็รบด้วย ?
ตอบ : อาตมาอยากจะบอกว่า อาตมาก็รบด้วย ตอนนั้นอาตมาเป็นทัพหน้าเข้าไปซุ่มตีพม่า พอพม่าข้ามเขากำลังจะลงมา ก็ตีกระหนาบขึ้นไป คือไม่ให้เขาลงมาถึงที่ราบ ในเมื่อไม่ให้ลงมาถึงที่ราบ พวกที่ดาหน้ามา ต่อให้มาพร้อม ๆ กันก็ได้แค่ ๑๐ - ๒๐ คน พวกข้างหลังก็ไปอัดเบียดกันอยู่

พอข้างล่างบุกขึ้นไป ข้าง ๆ กระหน่ำออกมา ก็ต้องแตกฮือกันไป พวกที่แตกออกข้างทางนี่ซวยที่สุด เพราะฝังขวากไว้หมดแล้ว ถึงเวลาโดนขวากก็กองอยู่ตรงนั้นแหละ ตามไปฟันหัวทีละคน เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องแปลกใจหรอกว่าทำไมอาตมาป่วยอยู่อย่างนี้ ไปกวาดกองหน้ามาหมดเกลี้ยงมาแล้ว ไม่เหลือสักรายเลย ผลัดกันรุกผลัดกันรับ ฟาดกันอยู่ ๓ วัน พวกเราอาศัยชำนาญพื้นที่มากกว่า และทหารมอญ ทหารกะเหรี่ยงเข้าข้างเรา เขาเห็นว่าพม่าเป็นฝ่ายมารุกราน

จากนั้นมาก็มีการตั้งนายด่านกะเหรี่ยง นายด่านมอญ ๗ เมืองด้วยกัน ตลอดลำน้ำแควใหญ่แควน้อย เพื่อป้องกันการรุกรานของพม่า เมืองด่านเก่า ๆ มี เมืองสิงห์ เมืองลุ่มสุ่ม เมืองท่าตะกั่ว เมืองไทรโยค เมืองท่าขนุน เมืองทองผาภูมิ พวกนี้อยู่สองฝั่งแม่น้ำแควน้อย ส่วนเมืองท่ากระดานอยู่ฝั่งแม่น้ำแควใหญ่ จะมีหน้าที่ส่งส่วยให้ทางกรุงเทพฯ ก็คือมีข้าวของอะไรที่เป็นของดีในพื้นที่ อย่างพวกของป่า บางแห่งก็เป็นทองคำเลย

อย่างเขตเมืองท่าขนุนนี่เป็นแหล่งทองคำ เขาถึงได้เรียกว่าทองผาภูมิ เพราะว่ามีแหล่งทองคำด้วย เพิ่งจะมาเปลี่ยนแปลงเมื่อสมัยรัชกาลที่ ๖ ไม่อย่างนั้นแล้วทางด้านกะเหรี่ยงแถวด่านเจดีย์ ๓ องค์นี่มีตำแหน่งเป็นคุณพระ พระศรีสุวรรณคีรี เป็นกะเหรี่ยง ได้รับพระราชทานพระแก้วจากในหลวงรัชกาลที่ ๕ ด้วย ทุกวันนี้เขาเก็บไว้ที่วัดสะเนพ่อง ถึงเวลาก็มีการจัดงานฉลอง ก็ถือว่าเป็นของมงคลใหญ่ ได้รับพระราชทานจากเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน

เถรี
13-01-2013, 21:58
เมืองสิงห์ในปัจจุบันก็คือปราสาทเมืองสิงห์ บางทีเขาเรียกบ้านวังสิงห์ เมืองท่าตะกั่วปัจจุบันเป็นแค่หมู่บ้าน เมืองลุ่มสุ่มเป็นตำบล เมืองไทรโยคเป็นอำเภอ เมืองท่าขนุนเป็นอำเภอ เมืองท่ากระดานปัจจุบันเป็นตำบลอยู่ในเขตอำเภอศรีสวัสดิ์ เหตุที่ทางด้านแควน้อยมีเมืองหน้าด่านมากกว่าทางด้านแควใหญ่ เพราะว่าเป็นเส้นทางเดินทัพที่สะดวก จึงต้องตั้งด่านสกัดเป็นระยะ ๆ ทางด้านแควใหญ่เดินทางลำบากก็เอาด่านเมืองท่ากระดานไปเมืองเดียว

เมืองนี้เป็นต้นตำรับพระกรุท่ากระดาน เกศคดสนิมแดง อาตมายังมีพระกรุท่ากระดานของหลวงปู่สายอยู่ ๗ - ๘ องค์ ยังคำนวณไม่ได้เลยว่าราคาเท่าไร เพราะในพื้นที่เขาให้กันราคา ๓๐,๐๐๐ - ๔๐,๐๐๐ บาท อาตมาก็อมเงียบ แต่ครั้งก่อนความลับแตก ทิดวุฒิ ลูกโยมเตือน ลูกศิษย์เก่าแก่วัดท่าขนุน เอาตะกรุดไป ๒ ชุด อาตมาบอกว่าแม่ชีตั้งราคาไว้ ๓๐,๐๐๐ บาท เขาบอกว่า ๓๐,๐๐๐ บาทก็จะเอา จึงให้ไปจ่ายเงินกับแม่ชี แล้วมาเอาตะกรุดที่อาตมา

ปรากฏว่าแม่ชีเห็นว่าเป็นลูกศิษย์เก่าแก่ จึงลดให้เหลือชุดละ ๒๐,๐๐๐ บาท เป็นตะกรุดตำราหลวงปู่เดิม วัดหนองโพ หลวงปู่สายท่านจารแล้วท่านถักเชือกเอง คนในพื้นที่จะหวงกันมาก

เถรี
13-01-2013, 22:16
ถาม : ตอนนี้พม่าเขามาป่วนเรา ?
ตอบ : ตอนนี้ก็เรื่องของเขาสิ อาตมาไปกวนเขามาเยอะแล้ว ไปป่วนในบ้านในเมืองเขามา ๖ ปีเต็ม ๆ ป่วนจนเวียนหัวอยู่ทุกวันนี้ อ่านดูในบันทึกเที่ยวเมืองพม่าก็ได้ พวกชาวบ้านยังทึ่งเลย "คราวที่แล้วอาจารย์เพิ่งจะโดนยิง..มาอีกแล้ว" ก็พวกนั้นยิงแล้วอาตมาไม่ตายนี่หว่า จะไม่มาได้อย่างไร ถ้ายิงแล้วตายก็มาไม่ได้ เขาไม่นึกว่าโดนไปขนาดนั้นแล้วยังกล้ามา

ไปนึกถึงไกรทองรบกับชาละวัน "ไกรทองเข้าชิดติดชนัก จมน้ำสำลักไม่ยักหนี ทิ้งชนักควักมีดกรีดกุมภีร์ เชื่อดีต่อสู้ไม่รู้รา" คำว่า "เชื่อดี" คือรู้ว่าตัวเองมีดี ตรงที่มีวิชาที่ครูบาอาจารย์ประสิทธิ์ประสาทมา จระเข้กัดไม่เข้า ไม่ตายอยู่แล้ว..ไม่หนีหรอก

จระเข้ตัวใหญ่ตั้งหลายวา พอเข้าใกล้จะแทงด้วยชนักก็ไม่ถนัด เพราะด้ามยาว จึงโยนชนักทิ้งแล้วเอามีดแทงจนชาละวันเลือดอาบไปทั้งตัว ชาละวันจะทำอะไรก็ไม่ถนัด เจอคาถาไกรทองผูกปากไว้ อ้าปากไม่ออก

ของอาตมาเชื่อว่าบารมีพระ บารมีครูบาอาจารย์คุ้มได้แน่ ถึงโดนขนาดไหนก็ไปอีก ทำเอาชาวบ้านเขาทึ่งกันไปหมด เพิ่งโดนไล่ยิงไปไม่กี่วัน กลับมาอีกแล้ว

ถาม : ได้อภิญญาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : คาถาเป็นเบื้องต้นของอภิญญา ถ้าคนเล่นคาถาขึ้นก็เล่นอภิญญาได้

ถาม : ต้องได้สมาธิเป็นอย่างน้อย ?
ตอบ : อุปจารสมาธิขึ้นไปคาถาก็ได้ผลแล้ว เพียงแต่ต้องมั่นใจ ถ้าความมั่นใจลดลงเมื่อไรก็คือวิชาเสื่อม ถ้ายิ่งทรงฌานได้อำนาจคาถาก็ยิ่งมาก ลองไปศึกษาประวัติของครูบาอาจารย์ที่เป็นฆราวาสของสายวัดเขาอ้อดูสิ แต่ละท่านทรงฌานทั้งนั้น ประเภทบางคนหันมามองนี่กระเด็นเลย ความรู้สึกของคนโดนมองเหมือนกับโดนฟ้าผ่า ก็คือเขาภาวนาจนเป็นปกติ พลังส่งออกก็เป็นปกติ มีคนไม่รู้เรื่องดันเข้าไปบริเวณที่เขาฝึกวิชาอยู่ แค่หันมามองนี่ปลิวเลย..!

เถรี
14-01-2013, 20:53
ถาม : คาถาต้องใช้สมาธิ ?
ตอบ : คาถาอาคมทุกอย่างต้องมีสมาธิเป็นพื้นฐาน ถ้าไม่มีสมาธิเป็นพื้นฐาน สักแต่ว่าท่อง ๆ ไปก็ไม่อาจสำเร็จประโยชน์ได้

ถาม : ผมไปอ่านเจอว่าพระคาถาเงินล้านให้ท่องวันละ ๑๐๘ จบแล้ววางจิตไว้ที่ศูนย์กลางกาย แล้วคนที่ได้ขณิกสมาธิจะได้ผลไหมครับ ?
ตอบ : ได้ผลหมดทั้งนั้น ขอให้ทำจริง ๆ และสม่ำเสมอ ถ้าทำจริงและสม่ำเสมอ ต่อให้เป็นขณิกสมาธิก็มีผล แต่ถ้าสมาธิยิ่งสูงผลก็ยิ่งมาก

ถาม : ถ้าเป็นขณิกสมาธิจะเห็นผลทันทีไหมครับ ?
ตอบ : ทำต่อเนื่องกันระยะหนึ่ง ๒ เดือนก็รู้เรื่องแล้ว เพียงแต่ตัดตัวอยากออกไปให้หมด อย่าทำเพราะอยากรวย แต่ให้ทำเพราะคิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด เป็นสิ่งที่หลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ท่านให้มา หน้าที่ของเราก็คือต้องรักษาไว้อย่างดี ด้วยการท่องบ่นภาวนาไว้ประจำ เราก็ว่าของเราไปเรื่อย ก่อนจะภาวนาอยากรวยก็ไม่เป็นไร ไม่ผิดปกติ แต่ตอนภาวนาต้องลืมตัวนี้ให้ได้ มีหน้าที่ภาวนาอย่างเดียว ผลจะเกิดหรือไม่เกิดก็แล้วแต่ เราว่าของเราไปเรื่อย ใช้เป็นคำภาวนาควบลมหายใจเข้าออกเลย

ถาม : เวลาที่เรามองภาพนิมิต ความอยากจะอยู่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจจดจ่อที่นิมิต ความอยากต่าง ๆ ก็ไม่มี แต่ถ้าหลุดออกมาเมื่อไรก็อยากใหม่

ถาม : ที่บอกว่าถ้าใช้พระคาถาเงินล้านเป็นฌานได้ ก็จะเป็นผลดี แต่ทีนี้ขณะที่เราจับภาพนิมิตกับท่องคำภาวนาไปเรื่อย ๆ จิตก็จะเป็นอุปจารสมาธิหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ทำไป...เข้าถึงแล้วก็จะรู้เอง ถ้าเริ่มเป็นฌานจะรู้ลมหายใจและคำภาวนาโดยอัตโนมัติ ต่อให้ทำอะไรอยู่ก็รู้ได้ ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าเริ่มทรงฌานแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาบังคับก็จะภาวนาเอง รู้ลมหายใจเอง

เถรี
14-01-2013, 21:04
ถาม : ผมบูชาลูกแก้วของหลวงพ่อวัดท่าซุงมา จะใช้ควบกับคาถาเงินล้านอย่างไร ?
ตอบ : นึกถึงพระ นึกถึงหลวงพ่อวัดท่าซุง นึกถึงลูกแก้ว ขอให้ท่านสงเคราะห์แล้วเราก็ภาวนาคาถาเงินล้านไป มีของเหล่านี้ช่วย ผลทั้งหลายจะเกิดเร็วขึ้น ถ้าไม่มีเราก็ต้องว่าเองสักประมาณ ๒ เดือน แต่ต้องเป็นคนช่างสังเกต แรก ๆ เงินเกินมาเราไม่ค่อยรู้หรอก จะไปสังหรณ์ใจตอนที่จำได้ว่าเรามีเงินเท่าไร ซื้อของไปตั้งเยอะตั้งแยะแล้วเงินยังอยู่เท่าเดิม ตอนนั้นจะเริ่มรู้สึกว่าแปลก ๆ แล้ว

อย่างอาตมาเอาเงินไปฝากธนาคาร พนักงานธนาคารชอบถามว่าใครนับเงินเพราะผิดทุกที อาตมาก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นคุณมานับก็แล้วกัน เขาก็มานับเงินที่วัดแล้วก็เอาไป จดตัวเลขไว้เรียบร้อย เดี๋ยวสักพักโทรศัพท์มา เสียงอ่อยเลย “อาจารย์ครับ...เงินเกินมา ๓,๐๐๐ บาท เดี๋ยวผมเอาเข้าบัญชีเลยนะครับ” “เออ..คราวนี้เอ็งนับเองใช่ไหม ?” ไม่อย่างนั้นอาตมานับเองทีไร เขามองหน้ากันแล้วหัวเราะว่าอาตมานับผิดทุกที

เถรี
14-01-2013, 21:06
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเสียดายอยู่อย่างหนึ่งว่า เอาวัตถุมงคลของเก่าออกในเว็บแล้วคนไม่รู้จักกัน อย่างสมเด็จวัดพลับ ออกในเว็บราคาไม่ได้ครึ่งของท้องตลาด เขายังไม่รู้จักของกันเลย อาตมารู้สึกดีใจมากที่ไม่มีใครเอา เพราะจะได้บูชาต่อ ก็เลยคิดว่ากระทู้ต่อไปคงเอาของที่เขารู้จักเป็นหลัก

แต่คนที่เขารู้จัก อย่างพระมเหศวร ขนาดอาตมาบอกชัด ๆ ว่าสภาพ ๘๐% ยังโดดคว้าหมับเลย สมเด็จจิตรลดาคิดทองแท่งตั้ง ๒๐ บาท ก็คว้าไปทันทีเลย"

เถรี
14-01-2013, 21:16
ถาม : เวลาที่เราจับภาพนิมิตอยู่แล้ววูบไป ไม่รู้ว่าหลับหรือรู้สึกตัวครับ ?
ตอบ : ถ้าสมาธิเริ่มทรงตัวจนเป็นฌาน แต่สติหยาบไปหน่อย สภาพจิตก็จะพลัดลงมา อาการจะวูบเหมือนคนตกจากที่สูง ก็แปลว่าใกล้จะดีแล้ว ให้เอาสติจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออก แนบชิดสนิทติดตามไปเลย ถ้าเผลอหลุดเมื่อไรเดี๋ยวก็เป็นอีก แต่ถ้าก้าวข้ามไปได้ทีเดียวจะไม่เป็นอีกเลย เพราะสภาพจิตชินแล้ว กระโดดข้ามไปเป็นฌานเลย

ถาม : คือเรารู้ตัวก็ดึงกลับมา ?
ตอบ : รู้ตัวก็เริ่มต้นใหม่ ตามลมหายใจไป ให้สังเกตว่า ทันทีที่เราหลุดจากลมหายใจเมื่อไรก็จะวูบ

ถาม : เราดึงกลับมาใหม่ก็คือเราถอยหลัง ?
ตอบ : เท่ากับเราถอยหลัง ก็เริ่มต้นใหม่ แค่พักเดียวเอง ถอยมาตั้งหลักแล้วก็ไปต่อ

ถาม : เวลาจิตเข้าสู่ฌานลึก การภาวนายังคงอยู่ต่อใช่ไหมครับ ?
ตอบ : มีเป็นปกติ แต่จะรู้ลมอัตโนมัติ ลมหายใจละเอียดลง สนใจอยู่แต่กับลมหายใจ ไม่สนใจเรื่องภายนอก เรื่องภายนอกถ้ามีอะไรน่าสนใจก็จะส่งความคิดความรู้สึกไปสนใจหน่อยหนึ่ง แล้วกลับมาอยู่กับลมหายใจใหม่

เถรี
14-01-2013, 21:27
พระอาจารย์กล่าวกับเด็กวัยรุ่นที่กำลังเรียนว่า "การเรียนไม่มีอะไรยากหรอก ถ้าที่ผ่านมาไม่รู้เรื่องก็ทิ้งไปเลย เปิดเทอมใหม่ตั้งต้นใหม่ แล้วเริ่มให้ความสนใจกับวิชาใหม่ก็จะเข้าใจเอง การเรียนอย่าทิ้งช่วง ถ้าทิ้งช่วง ขาดเรียน โดดเรียน ต่อไปจะลำบาก เพราะต่อไม่ติด ถ้าต่อไม่ติดเมื่อไรต้องรีบถามอาจารย์ โดยเฉพาะถ้าเราขาดเรียน มีเอกสาร มีการบ้านอะไรต้องรีบติดต่อเพื่อนแล้วหามาศึกษา หามาทำไว้

หลวงพ่อเองไม่ได้เรียนเก่งกว่าคนอื่นเขาหรอก เพียงแต่ว่าให้ความสนใจ โดยเฉพาะหลวงพ่อเหมือนเป็นตัวแทนของห้อง ต้องทำสรุปคำสอนของอาจารย์แต่ละชั่วโมงแจกให้เพื่อน ก็เท่ากับว่าได้ทบทวนอยู่ตลอดเวลา ที่ได้เกียรตินิยมอันดับ ๑ ของประเทศมา ไม่ได้เก่งหรอก แต่ว่าทบทวนอยู่ตลอด

ช่วงนี้เป็นช่วงวิกฤต พอเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าการเรียนมีเยอะแยะไปหมด แต่เราพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้ เพราะเพื่อนส่วนใหญ่เขาก็เป็นอย่างนี้ เราพลิกวิกฤตเป็นโอกาสคือมาเร่งตัวเองในเรื่องการเรียน จะแซงเพื่อนได้สบายเลย ที่แล้ว ๆ มาก็ช่างหัวมัน เรามาเริ่มต้นสนใจใหม่ ใครจะว่าอะไรปล่อยเขา เขาจะว่าเราบ้าเรียนก็ช่าง เรียนจบออกมาทำงานแล้ว คราวนี้จะเที่ยวเท่าไรจะกินเท่าไรค่อยไป เราต้องรู้หน้าที่ตัวเองว่าตอนนี้ควรจะทำอะไร"

เถรี
14-01-2013, 21:37
"ปกติกระแสโลกไปทางนั้นอยู่แล้ว สิ่งต่าง ๆ ที่มาดึงดูดความสนใจมีมาก ถ้าวัยรุ่นตามพวกนี้ไม่ทัน คุยกับเพื่อนก็ไม่รู้เรื่อง แต่เราเองก็ต้องมีเวลา อย่างเช่นว่าอย่านอนดึก ถ้านอนดึกแล้วรุ่งขึ้นเรียนไม่รู้เรื่องหรอก แย่ที่สุด ๔ ทุ่มก็ให้นอนได้แล้ว ตื่นเช้ามาตี ๕ ทวนสิ่งที่เรียนมาสักหน่อย กินอาหารเสร็จ ไปโรงเรียนพร้อมลุยเลย

ตอนอาตมาเรียนอยู่ พอถึงเวลาเข้าห้องอาจารย์จะถามว่า "อาทิตย์ที่แล้วผมสอนไปถึงไหน ?" จึงต้องอ่านทวนอยู่ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวอาจารย์ถามแล้วตอบไม่ได้ ก็เท่ากับว่าได้ทวนความรู้อยู่ทุกวัน อาจารย์พูด จับจุดให้ได้ว่าท่านสอนเรื่องอะไร หัวข้อใหญ่คืออะไร หัวข้อย่อยคืออะไร ถ้าได้แค่นี้พอแล้ว คำพูดอื่น ๆ เราไปอธิบายเองได้

พอถึงเวลาก็จดตามไป อาตมามีแต่เศษกระดาษ โดยเฉพาะกระดาษใช้แล้วหน้าหนึ่ง จดไปเรื่อย อาจารย์พูดเร็วก็เขียนเร็ว พูดช้าก็เขียนช้า เสร็จแล้วมาลอกลงสมุด เท่ากับได้ทวนอีกรอบหนึ่ง อย่าทิ้งนานนะ..ถ้าทิ้งนานจะลืม แล้วบางทีมานั่งแคะลายมือตัวเองยังอ่านไม่ออกเลย พอลอกลงสมุด คราวนี้อ่านง่ายแล้ว ก่อนเข้าห้องเรียนก็อ่านทวนสักรอบหนึ่ง จะได้รู้ว่าอาจารย์ท่านสอนไปถึงไหนแล้ว

วันก่อนสอบวิชาสถิติ ทำเสร็จเพื่อนเอาไปลอกกัน ยังขำเพื่อนเลย “เฮ้ย...ไปกินกาแฟกันก่อน มารยาทในการลอกต้องใจเย็น ๆ อย่าไปเร่งเขา ให้เขาทำเสร็จก่อน” เพื่อนแต่ละคนสุดยอดจริง ๆ จริงของเขา ถ้ามาเร่งเดี๋ยวก็โดนเตะเพราะยังไม่เสร็จ พอทำเสร็จคราวนี้สุมหัวกันเป็นกระจุกเลย

พออาจารย์ออกไปห้องน้ำ “เฮ้ย ๆ ฉายขึ้นจอไปเลย” จะได้ลอกพร้อม ๆ กัน คนหนึ่งก็คอยดูต้นทาง อาจารย์ออกจากห้องน้ำหรือยัง ดูแล้วอย่างกับเด็ก ๆ ทั้ง ๆ ที่แต่ละคนอายุ ๕๐ - ๖๐ ปีแล้ว สมกับที่เรียนปริญญาเอก เพราะสามารถสรุปได้ว่าคนลอกที่ดีจะต้องทำอย่างไร"

เถรี
15-01-2013, 21:37
ถาม : บูชาท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ไว้ที่บ้าน เอาไว้ที่ไหนดีคะ ?
ตอบ : ไว้ที่ไหนก็ได้จ้ะ ให้อยู่สูงหน่อย

ถาม : ที่บ้านมีศาลพระภูมิเจ้าที่ด้วย
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ ท่านเป็นนายใหญ่ของพระภูมิเลย ไหว้ท่านก็นึกถึงเจ้าที่ด้วย ท้าวมหาราชเป็นเจ้านายของพระภูมิ กว่าจะถึงพระภูมิเจ้าที่ยังต้องลงไปอีก ๓ ชั้น

ถาม : ควรบูชาท่านอย่างไรคะ ?
ตอบ :การบูชาท่านก็กราบไหว้ตามปกติ ถ้าอยากให้รู้สึกว่าเราได้ทำการบูชาท่านจริง ๆ วันพระใหญ่ก็ถวายผลไม้หรือน้ำสะอาดสักครั้งหนึ่ง เวลาเราทำบุญสังฆทานก็อุทิศส่วนกุศลให้ท่าน มีอะไรที่ไม่เกินวิสัยขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์เราด้วย

ถาม : อุทิศแบบเจาะจงเลยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : จะอุทิศเจาะจงเป็นท่านเลยก็ได้ หรือจะอุทิศให้เทพเจ้าทั้งหลายที่ปกปักรักษาข้าพเจ้าก็ได้

เถรี
15-01-2013, 21:43
ถาม : ถ้าเราจะอุทิศส่วนบุญให้พ่อแม่เลยได้ไหมครับ ?
ตอบ : บอกให้ท่านโมทนาดีกว่า ได้ตรง ๆ เลย

ถามว่าการอุทิศให้มีผลไหม ? เคยมีตัวอย่าง คนไทยไปลักลอบทำประมงในเขมร แล้วโดนจับไปขังคุกอยู่ ๒ - ๓ ปีกว่าจะปล่อยกลับมาได้ ตอนที่เรือของเขมรไล่ยิงเอา ต่างคนต่างก็โดดน้ำหนี คนที่รอดกลับมาเมืองไทยได้ก็นึกว่าเพื่อนตายแล้ว จึงมาบอกกับครอบครัวว่าเพื่อนตายแล้ว ทางครอบครัวก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้

หลังจากออกจากคุก กลับมาถึงบ้านแล้ว เขาบอกว่าวันที่ทางบ้านทำบุญแล้วอุทิศไปให้ อยู่ ๆ เขาก็อิ่มขึ้นมาเฉย ๆ ทั้งที่ในคุกอด ๆ อยาก ๆ จะว่าไปแล้วแสดงว่าก็มีผลเหมือนกันนะ เพียงแต่ว่าไม่ใช่ลักษณะของผลโดยตรงเหมือนกับเทวดา ที่เขาโมทนาแล้วก็ได้ดีไปเลย

ถ้าเอาแน่ ๆ ก็บอกให้ท่านโมทนาดีกว่า ได้ตรง ๆ ไปเลย ลักษณะอย่างนั้นถ้ากำลังใจไม่ได้คิดถึงทางบ้าน และทางบ้านไม่ได้อุทิศไป ก็พอดีไม่ต้องเจอกัน เขาคงคิดถึงทางบ้านเต็มที่แล้ว กลายเป็นว่าคลื่นต่อกันได้พอดี ยกเว้นอย่างหนึ่งคือบุญการบวช ถ้าบุญบวชพระบวชเณร พ่อแม่ไม่รู้หรือไม่โมทนาก็ยังได้บุญ เพราะว่าเราเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านโดยตรง ส่วนบุญอื่นต้องโมทนาถึงจะได้

เถรี
15-01-2013, 21:50
ถาม : ถ้าเราอุทิศส่วนกุศลให้เขา เขายังไม่ได้รับบุญ แล้วถ้าเขาตายไป เขาจะได้บุญกุศลนั้นไหมครับ ?
ตอบ : เอาอย่างคุณลุงที่ไปลงในเว็บ ที่บอกว่าทุกวันให้ตั้งใจโมทนาบุญที่คนอื่นเขาทำ

อย่างตอนที่คุณลุงขึ้นไปบนสวรรค์ แล้วเทวดาเขาให้กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล เทลงมาเป็นประกายคลุมลงมาทั้งโลกเลย ใครที่ตั้งใจรับก็จะได้ไป ใครที่ไม่ตั้งใจรับก็สูญเปล่า ท่านพบมาเองจึงบอกว่า ตื่นเช้าขึ้นมาให้ตั้งใจโมทนาความดีที่คนอื่นเขาทำทั้งหมด เท่ากับเราเปิดกำลังใจรับเลย ถ้าทำอย่างนั้นแล้วจะได้แน่ ๆ กำลังใจของเราน้อมนึกถึงว่า วันนี้คนอื่นเขาทำความดีเท่าไร เราขอโมทนาด้วย แล้วสิ่งที่เราทำทั้งหมดก็ขออุทิศให้กับเขาทั้งหลายด้วย

พูดง่าย ๆ ก็คือเราก็อุทิศส่วนกุศลด้วย แล้วก็โมทนาเองด้วย ไม่อย่างนั้นก็กลายเป็นสูญเปล่าไปเฉย ๆ เหมือนกับส่งอาหารไปแล้วไม่มีใครกิน หมดสภาพไปเฉย ๆ

ถาม : อย่างนี้ก็ได้กำไรเพียบเลยสิครับ
ตอบ : กำไรก็คือกำไร แต่ต้องวางกำลังใจให้ถูก อย่างที่บอกว่า โมทนาเป็นการพลอยยินดีในความดีของคนอื่น ไม่ใช่ว่ากูจะเอาของมึง ถ้าวางกำลังใจประเภทกูจะเอาของมึงนั่นผิด เขาส่งให้ทางประตู แต่ไปรับทางหน้าต่างแล้วจะไปได้รับอะไร

เถรี
15-01-2013, 22:09
พระอาจารย์เล่าว่า "มีโยมจะมาช่วยตั้งกองทุนอาหารหมา อาตมาไล่เตลิดไปแล้ว บอกว่าไม่ต้องเลย หมาวัดท่าขนุนไม่ได้อด เลือกกินอีกต่างหาก อาหารเหลือเฟือ แต่ถ้าไม่อร่อยหมาไม่กินเลย นึกถึงสมัยเด็ก ๆ อาตมาเลี้ยงหมา อย่างเก่งก็ได้กินน้ำข้าวเท่านั้น ที่เหลือไปหากินเอาเอง ไล่จับตุ่น จับแย้ จับกิ้งก่ากินเอง ก็เห็นแข็งแรงดีออก

แต่สัญชาตญาณเขาสุดยอดเลย บางทีตั้งใจแกล้งเขา ตอนตรุษจีนกินไก่แล้วเหลือกระดูกขาไก่ ยกให้หมาดูแล้วขว้างเข้าไปในดงหญ้าคา หมาวิ่งพรวดเข้าไปไม่ถึง ๑ นาทีเอาออกมากินแล้ว สมัยนี้โยนเลยหัวไปคืบเดียวยังหาไม่เจอ สมรรถภาพของหมาเสื่อมลงขนาดนั้น ต้องปล่อยลักษณะอย่างที่อาตมาเลี้ยง แบบนั้นอยู่ในสถานการณ์ไหนก็เอาตัวรอดได้

หนังสือ Survival ที่เขาแปลเป็นไทยว่าต้องรอด เนื้อเรื่องกล่าวถึงว่าแผ่นดินไหวแล้วถล่มลงทะเลไป ตัวเองไปติดอยู่บนเกาะ กว่าจะข้ามมาทางด้านแผ่นดินใหญ่ได้ก็หลายเดือน ปรากฏว่ามาเจอหมาจับกลุ่มกันล่าสัตว์ หมากลับคืนสัญชาตญาณป่าแล้ว มาเจอคนก็จะกินคน พอตัวเองเดินอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของกรุงโตเกียว อยู่ ๆ เสือก็โผล่ออกมา เสือหลุดจากสวนสัตว์มา เจออะไรก็จับกินไปเรื่อย คราวนี้ไม่มีคนให้กินก็กินสัตว์ อยู่ ๆ มาเจอคนเข้าก็จะกินคนแล้ว

สัญชาตญาณของสัตว์จะมีความเป็นสัตว์ป่าอยู่เยอะ พอถึงเวลาตามความเคยชินก็จะออกล่า เราจะสังเกตว่า ที่หมากัดคน ถ้ายิ่งร้องเอะอะเอ็ดตะโรหมาจะยิ่งกัด เพราะว่าเป็นสัญชาตญาณในการล่าของเขา สัตว์ที่โดนล่าก็จะต้องร้องอย่างนี้"

ถาม : เป็นกรรมหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เป็น...แต่น้อย เพราะว่าเขาอยู่ในภพภูมิที่มืดบอดกว่า เมื่ออยู่ในภพภูมิที่มืดบอดกว่า สิ่งที่เขาทำกรรมก็น้อยกว่า ถ้าอย่างเราทำบาปจะหนักกว่ามาก

เถรี
16-01-2013, 11:30
พระอาจารย์กล่าวถึงการสร้างพระพุทธรูปทองคำว่า "ช่างเขาประเมินมาว่า ต้องใช้ทองประมาณ ๔๐ กิโลกรัม ตอนนี้ได้มาแล้วประมาณ ๒ กิโลกรัม เหลืออีก ๓๘ กิโลกรัม ไม่ได้กลัวเลย..เพราะว่าเหลือเวลาอีกตั้ง ๖ ปี..อีก ๖ ปีข้างหน้าจะหล่อพระฉลองอายุ ๖๐ ปี จึงเตรียมการตั้งแต่ตอนนี้"

เถรี
16-01-2013, 12:00
พระอาจารย์กล่าวว่า "โดยประเพณีนิยมแล้วในงานศพ ถ้าผู้ตายอาวุโสกว่าเราต้องแต่งชุดขาว ถ้าผู้ตายเด็กกว่าเราถึงแต่งชุดดำ แต่ในปัจจุบันนี้แต่งดำกันให้มั่วไปหมด กลายเป็นว่าคนตายอายุ ๘๕ ปี คนไปงานศพอายุ ๒๐ ปีก็แต่งดำไป มีอยู่อย่างเดียวคนที่จะแต่งดำได้ต้องอาวุโสด้วยฐานะ อย่างเช่นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ตัวอย่างสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จไปงานของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ โดยพระยศสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สูงกว่าจึงแต่งดำ ถ้ายศต่ำกว่าท่านต้องแต่งขาว คนสมัยใหม่ไม่ค่อยรู้ธรรมเนียม เอะอะก็แต่งดำกันหมด

ถ้าคนตายอาวุโสกว่าเราต้องแต่งขาว ถ้าคนตายเด็กกว่าเราแต่งดำ จำไว้แม่น ๆ "

ถาม : เคยเห็นรัชกาลที่ ๖ ไปงานสมเด็จพระพันปีหลวง พระองค์แต่งขาว ?
ตอบ : แบบนั้นพระองค์ท่านยกย่องให้ แบบเดียวกับในหลวงเสด็จงานสมเด็จย่า พระองค์ท่านก็แต่งขาว เพราะแม้สมเด็จย่าพระยศจะต่ำกว่า แต่พระองค์ท่านยกย่องให้ในฐานะของแม่

เถรี
16-01-2013, 12:11
ถาม : ทำไมเป่ายันต์เกราะเพชร จึงเป็นเสาร์ ๕ ทำไมถึงไม่เป็นวันอังคาร ?
ตอบ : ในเรื่องของวันเวลาที่โบราณาจารย์ท่านกำหนดมาตามสายครูบาอาจารย์นั้น ท่านศึกษาทางโหราศาสตร์อย่างลึกซึ้ง แล้วก็รู้ว่าในวันนั้นเวลานั้น กำลังของดวงดาวที่ส่งลงมาจะแรงที่สุด ในเมื่อเป็นอย่างนั้นท่านก็จะเอาประโยชน์ตรงจุดนั้น จึงต้องเลือกวันที่เหมาะกับงาน

ไปนึกถึงปราสาทหินเขาพนมรุ้ง พอถึงวันเวลาแล้วพระอาทิตย์จะส่องแสงตรงทุกช่องพอดี กำลังที่ว่าก็จะมาในลักษณะอย่างนั้น ถ้าไม่ได้วันนั้นก็จะเอียงไปบ้าง ส่องไม่ได้ทุกประตู เรื่องอย่างนี้โบราณเขาเก่งกว่าเราเยอะ เพราะว่าเขาศึกษาทางจิตมามาก รู้โดยความเป็นทิพย์ ซึ่งแม่นกว่าตำรา

แต่ปฏิทินมายานี่คนรุ่นใหม่มั่วเอานะ ตกลงโลกแตกไปหรือยัง ?

ถาม : จริง ๆ เป็นเรื่องหลอกหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ต้องถามคนมายา มายาภาษาบาลีแปลว่าหลอกลวง จะได้รู้ว่าคนเราที่กลัวตายนั้นกลัวตายจริง ๆ คนที่กลัวตายอย่างมีสติ อย่างเช่นว่าเตรียมตัวรับมือก็ดี ตั้งหน้าตั้งตาประกอบกองบุญการกุศลก็ดี อย่างนี้ถือว่ามีสติ แต่หลายคนไปปล้นไปจี้ ปล้นธนาคารเอาเงินไปกินไปเที่ยวก่อนโลกแตก ๗ วัน นั่นไร้สติ คิดว่าโลกจะแตกแล้วก็เลยรีบทำ

เถรี
16-01-2013, 12:18
สมัยอาตมาเรียนมัธยมอยู่ตอนปี ๒๕๑๘ อาตมาอายุ ๑๖ ปี เขามีคำร่ำลือว่าอีก ๑๐ วันโลกจะแตก เพื่อน ๆ ในห้องลาออกไปแต่งงานกันหลายคู่ กลัวว่าโลกแตกแล้วจะไม่ได้แต่ง สรุปแล้วพอหลังจาก ๑๐ วันโลกไม่แตก อาตมายังคงเรียนหนังสือต่อ แต่เพื่อนเขาต้องไปเลี้ยงลูกแล้ว จะบอกว่าสมน้ำหน้าดีไหม ?

เรื่องพวกนี้แสดงให้เห็นว่าคนเราขาดหลักธรรมมาก พระพุทธเจ้าท่านตรัสแล้ว มา อิติ กิรายะ อย่าเชื่อเพราะเขาลือกัน แม้กระทั่ง มา ตักกะเหตุ ขนาดตรองแล้วเข้ากับตรรกะหรือทฤษฎีต่าง ๆ ยังเชื่อไม่ได้เลย เพราะถ้าคนเอาข้อพิสูจน์มายืนยันได้ว่าทฤษฎีนี้ไม่ถูก ตั้งทฤษฎีใหม่ขึ้นมานี่ก็เจ๊งแล้ว

ดังนั้น..สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ทุกอย่างเป็นสัจธรรมที่ไม่สามารถที่จะเถียงได้ คราวนี้เราไปเชื่อคำร่ำลือก็ไปกันใหญ่ แต่ว่าคนที่เชื่อคำร่ำลือแล้วตั้งหน้าตั้งตาประกอบกองบุญการกุศล คิดว่าใกล้วาระสุดท้ายของชีวิตแล้วเราต้องทำกำลังใจให้ดีที่สุด ถึงเวลาจะได้ไปให้ไกลที่สุด ถือว่าเชื่ออย่างมีสติ แต่พวกไปทำผิดทำพลาด ถือว่าสิ้นสติ..!

เถรี
16-01-2013, 12:29
ถาม : ถวายสังฆทานให้แม่ แม่เขาเสียมาครบปีแล้ว ไม่ทราบว่าแม่จะได้รับหรือเปล่า ?
ตอบ : ผู้ตายได้รับไม่ได้รับไม่เป็นไรหรอก เราเองให้ได้ทำไว้ก่อน เพราะว่าคนทำต้องได้เอง ถ้าฝันถึงท่านบ่อยนี่ได้แน่จ้ะ พวกที่มาในฝันได้แสดงว่าไม่ลำบากหรอก พวกที่ลำบากจะมาไม่ได้

เถรี
16-01-2013, 12:32
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "เคยอ่านเรื่องสาวฝรั่งเศสไม่มีวันอ้วนไหม ? สาวฝรั่งเศสไม่ดื่มกาแฟ ไม่ดื่มน้ำหวาน ไม่ดื่มโค้ก สาวฝรั่งเศสดื่มแต่น้ำเปล่า เครื่องดื่มที่ว่ามาเป็นตัวอ้วนดีนักแล ดื่มแล้วไม่อิ่ม ลองเปลี่ยนนิสัยมาดื่มน้ำเปล่าดูสิ แล้วจะรักษาหุ่นได้อย่างหลวงพ่อบ้าง หลวงพ่อก็ถนัดแต่น้ำเปล่า

สาวฝรั่งเศสเขาไม่อ้วนเพราะว่าแม้กระทั่งตามออฟฟิศเขาก็เตรียมน้ำเปล่าไว้ให้ มีทั้งใส่คูลเลอร์ ตามโต๊ะก็ตั้งน้ำแร่โต๊ะละขวด โรงอาหารก็มีน้ำแร่โต๊ะละขวด ขวดขนาดลิตรครึ่ง ถ้าหมดก็เบิกเพิ่มได้ เพราะฉะนั้น..ตามออฟฟิศของเขาก็เลยไม่มีของพวกนี้ขาย ไม่มีน้ำหวาน ไม่มีโค้ก ไม่มีเป๊ปซี่ ไม่มีกาแฟ"

เถรี
16-01-2013, 12:52
ถาม : มีคนอยากจะศึกษาว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างไร ทำไมถึงตรัสห้ามผู้หญิงบวช ?
ตอบ : ท่านบอกว่าถ้าพระธรรมวินัยนี้มีผู้หญิงเข้ามาบวช ศาสนาจะตั้งอยู่ไม่ครบ ๕,๐๐๐ ปี คุณลองนึกถึงทุกวันนี้ว่าขนาดผู้หญิงอยู่นอกวัด ยังมีเรื่องมีราวฉาวโฉ่ไม่รู้ตั้งเท่าไร แล้วภิกษุณีนี่ท่านบังคับเลยว่าต้องอยู่ในอารามที่มีผู้ชายคือภิกษุ เพียงแต่ให้กันเขตไว้ต่างหาก เพราะสมัยก่อนอยู่แต่ในอารามที่มีแต่ผู้หญิงแล้วโดนเขาข่มขืน จึงต้องมีภิกษุคอยป้องกันให้ แต่แบ่งเขตให้อยู่ต่างหาก คราวนี้กลายเป็นว่าน้ำมันกับไฟใกล้กัน โอกาสเสียหายมีเยอะ เพราะสมัยหลัง ๆ ไม่ใช่พระอริยเจ้า ส่วนใหญ่เป็นปุถุชน พระพุทธเจ้าท่านไม่ต้องการที่จะให้เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นมา ถึงได้สั่งห้ามไว้

ถาม : สามเณรีกับสิกขมานาต่างกันมากน้อยแค่ไหน ?
ตอบ : สามเณรีบวชเป็นเณรผู้หญิง ถือศีล ๑๐ ข้อ ส่วนสิกขมานาเป็นผู้หญิงเตรียมบวช ถือศีลแค่ ๖ ข้อ ถึงแค่ข้อวิกาลโภชนา แต่สิกขมานาให้ถือศีล ๖ อยู่ ๒ ปี ถ้าภายใน ๒ ปีศีลขาด ให้เริ่มต้นนับ ๑ ใหม่

ถาม : สามเณรีต้องถือสิกขมานาก่อนหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ต้อง...บวชเป็นสามเณรีเลย ถ้าอายุครบ ๒๐ ปี ก็บวชเป็นภิกษุณีต่อไปได้เลย

เถรี
16-01-2013, 13:17
ถาม : สังฆาทิเสสที่บอกว่า ภิกษุห้ามถูกต้องจับกายหญิง แล้วถ้าผู้หญิงถูกตัวพระ ?
ตอบ : ไม่เป็นไร..แต่เราต้องระมัดระวังตัวเองว่ามีจิตยินดีหรือเปล่า ? ถ้าเขาจับตัวแล้วเรายินดีในสัมผัสนั้นก็ซวยไปด้วย

ถาม : ถ้าเป็นผู้ชายจับผู้ชายด้วยกัน ?
ตอบ : โดนอาบัติเหมือนกัน ท่านใช้คำว่า กายสังสัคคัง มีกายอันสัมผัสกัน ต่อให้พระกับพระ ถึงไม่ถูกตัวกันก็ห้ามนอนใต้ผ้าห่มเดียวกัน พระวินัยห้ามไว้ชัดเลย โดนอาบัติทุกกฎ

พระพุทธเจ้าท่านรู้ยิ่งกว่ารู้ ถึงได้ห้ามไว้รอบคอบขนาดนั้น เพราะถ้าไม่ห้าม สมัยนี้พวกชอบผู้ชายด้วยกันมีเยอะ ของพระจึงห้ามถูกต้องเนื้อตัวกันทั้ง ๆ ที่เป็นผู้ชาย ต่อให้ไม่ถูกเนื้อตัวกัน นอนใต้ผ้าห่มเดียวกันก็ไม่ได้ สั่งห้ามขาดเลย

ถาม : ที่มุงที่บังเดียวกันได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าที่มุงที่บังเดียวกันต้องแยกส่วน ก็คือเป็นพระด้วยกันไม่เป็นไร แต่ต้องมีเขตของตัวเอง เรียกว่า ติจีวรวิปปวาส เขตที่อยู่ที่ปราศจากไตรจีวรของตัวเอง

ถาม : พวกจีวรที่ให้อยู่ในเขตหัตถบาส ?
ตอบ : หนุนหัวสิครับ รักษาจีวรง่ายจะตาย เอาหนุนหัวไปเลย

ถาม : ภิกษุที่มีกำหนัดถูกจับต้องภิกษุ ผิดอาบัติทุกกฎหรือครับ ?
ตอบ : ภิกษุก็ผู้ชาย อย่าลืมว่าจับต้องกายผู้ชายโดนอาบัติทุกกฎ ถ้าจับต้องกายบัณเฑาะว์ โดนสังฆาทิเสส ซวยหนักเข้าไปอีก ขาดความเป็นพระเลย ไปเห็นเขากระตุ้งกระติ้งแล้วไปลูบ ๆ คลำ ๆ เข้าก็เป็นเรื่อง..!

เถรี
18-01-2013, 12:18
พระอาจารย์กล่าวว่า "เขาว่าคนรวยจริงมักจะไม่อวดรวย แต่คนไม่เคยรวยมักจะอวดรวย เขาใช้คำว่า "มะพร้าวตื่นดก ยาจกตื่นมี" เขาว่าได้แสบมาก คนทั้งหลายเหล่านี้ขาดความมั่นใจในตนเอง ก็เลยต้องเอาเครื่องประดับมาช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ ทำให้กลายเป็นเป็นประเภทตู้เพชรตู้ทองเคลื่อนที่

มีอยู่รายหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดเขาใส่สร้อยคอทองคำหนัก ๑๗ บาท โดนกระชากแล้วสร้อยเหนียวดึงไม่ขาด ตัวเองก็เลยหัวฟาดพื้นเป็นอัมพาตไปเลย การแต่งตัวอวดร่ำอวดรวย สมัยนี้เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำอย่างเด็ดขาด

สมัยก่อนยายของอาตมามีแหวนปลอกมีด เป็นทองคำเกลี้ยง ๆ เหมือนโลหะรัดปลอกมีด เขาก็เลยเรียกว่าแหวนปลอกมีด ยายจะใส่ติดนิ้วไว้ อาตมาถามยายว่าทำไมต้องใส่ ยายว่า “ถ้าเผื่อข้าตายแล้วคนเห็นว่ามีแหวนทองอยู่ ก็ยังคิดที่จะช่วยทำศพให้” แหม..ยายคิดรอบคอบมากเลย ของตัวเองมีเท่าไร ๆ ให้ลูกให้หลานหมด ส่วนตัวเองมีแหวนปลอกมีดติดนิ้วไว้วงเดียว"

เถรี
18-01-2013, 12:27
ถาม : มีสวรรค์ชั้นไหนที่เทวดาบนนั้นอายุ ๗๐,๐๐๐ ปีบ้างคะ ?
ตอบ : แค่ชั้นแรกก็เกินแล้ว..อย่าลืมว่าเทวดาชั้นจาตุมหาราชเขาอายุ ๒๐๐ ปีทิพย์ วันหนึ่งของเขาเท่ากับ ๕๐ ปีมนุษย์ เดือนหนึ่งของเขาปาไปกี่ปีของเราแล้ว ? ปีหนึ่งของเขาตั้งเท่าไรแล้ว ? ลองคูณออกมาดูสิ เกิน ๗๐,๐๐๐ ปีไปตั้งเยอะ ๗๐,๐๐๐ ปีมนุษย์นี่น้อยเกินไป

เถรี
18-01-2013, 12:34
ถาม : ศีลข้อสามในศีลแปด เป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ห่างผู้หญิง ๓ วาได้จะดี ใกล้กว่านั้นไม่ได้ ใกล้กว่านั้นเดี๋ยวเผลอแตะ..! จริง ๆ แล้ว อพฺรหฺมจริยา หมายถึงการที่เราทรงอารมณ์ภาวนาอยู่โดยที่ไม่ส่งใจออกนอกเลย เขาจึงเรียกว่า จริยาอย่างพรหม เพราะพรหมท่านทรงฌานอยู่ตลอดเวลา ในเมื่อทรงฌานอยู่ตลอดเวลา กามราคะก็เกิดไม่ได้ เขาถึงได้เรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์ เพราะฉะนั้น..ถ้าตั้งใจจะเอาอพฺรหฺมจริยาจริง ๆ ก็แปลว่าต้องไม่หลุดจากฌานเลย

ถาม : แล้วที่เขาไปถืออุโบสถศีล ?
ตอบ : สมัยก่อนถ้าเขาถืออุโบสถศีลก็คือไปนอนที่วัดเลย เว้นจากเรื่องพวกนี้โดยตรง ปัจจุบันนี้จะมีขาประจำอยู่ที่วัดท่าขนุนประมาณ ๓๐ คน วันพระก็จะไปนอนค้างที่วัดเลย

ถาม : แล้วนึกถึงกามสัญญา ?
ตอบ : เรื่องนึกถึงหรือจิตประหวัดถึงเขาเรียกว่า กามสัญญา นับเป็นเรื่องปกติ แต่กายวาจาต้องงดเว้นให้ได้ ไม่ไปพูดจาเกี้ยวเขา ไม่ไปแตะต้องเขาอะไรแบบนั้น

ถาม : ห่าง ๓ วาหรือครับ ?
ตอบ : ๓ วา ตาก็ไม่มอง ปากก็ห้ามพูด อกจะแตกตาย..!

ถาม : อย่างนี้ต้องปฏิบัติในศีล สมาธิ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีสมาธิจะตัดตัวนี้ยาก ถ้าจะตัดกามราคะ อย่างน้อยสมาธิต้องทรงตัว

ถาม : ถ้าไปล่วงศีลข้อนี้ใจก็เศร้าหมอง ?
ตอบ : เศร้าหมองก็เป็นเรื่องปกติ เพราะเรายังห้ามความคิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ถ้าทรงฌานอยู่ความคิดไปในกามก็ไม่มี อยู่กับการภาวนา หลุดออกมาแล้วค่อยฟุ้งใหม่ ตอนที่ทรงฌานอยู่ก็เอาตัวรอดไว้ก่อน ถ้าไม่มีสมาธิส่วนใหญ่แล้วพระเณรอยู่ไม่ได้หรอก

เถรี
18-01-2013, 12:48
ถาม : พระอนาคามีท่านก้าวล่วงกามราคะหมดแล้ว แต่ก็ไม่น่าจะไปเสวยกรรมที่สวรรค์ ?
ตอบ : เหมือนกับคนไม่กินอาหารแล้วเข้าไปนั่งในร้านอาหาร ไม่จำเป็นต้องสั่งอาหารก็ได้นี่นา สมัยนี้เขาเข้าไปนั่งทำการบ้านในร้านแม็กโดนัลด์กันเยอะแยะไป

ภูมิเทวดาก็มีพระอนาคามี อากาศเทวดา ๖ ชั้นที่เป็นฉกามาพจร คือผู้ที่เกี่ยวข้องอยู่กับกามก็มีพระอนาคามีตั้งมากมาย บางท่านตั้งใจไปอยู่ที่นั่นเลย หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยถาม ท่านบอกว่าเพื่อนอยู่ที่นี่ ก่อนตายนึกว่าอยากจะไปอยู่กับเพื่อนแค่นั้น เจตจำนงสุดท้ายก่อนอสัญกรรม

พระอรหันต์ท่านลงมาร้านอาหารเยอะแยะไป ท่านมาทำงานแล้วก็กลับ

เถรี
18-01-2013, 12:51
ถาม : นางไม้จัดอยู่ในกลุ่มเทวดาหรือเปรต ?
ตอบ : รุกขเทวดา

ถาม : ผีปลวกละครับ ?
ตอบ : จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันนั่นแหละ

ถาม : ผีกองกอย ?
ตอบ : จัดอยู่ในกลุ่มของอสุรกาย ทางด้านภาคเหนือก็มีผีเสื้อห้วย ชอบหากินอยู่ตามป่า ตามเขา ตามลำห้วย

เถรี
18-01-2013, 13:00
ถาม : เสือสมิงเกิดจากอะไร ?
ตอบ : เสือสมิงมี ๒ อย่าง อย่างหนึ่งก็คือวิญญาณคนที่ถูกเสือกินเข้าสิงเสือตัวนั้น อีกประเภทเกิดจากวิชาที่เขาฝึก พวกหัวใจเสือสมิง ฯลฯ แล้วกลายเป็นเสือ แต่วิชาที่ฝึกนี้ถ้ายังไม่ฆ่าคน สามารถแก้คืนได้ ถ้าฆ่าคนแล้วต้องเป็นเสือไปเรื่อย สมัยก่อนทางปักษ์ใต้เขาฝึกกันเยอะ ทางด้านเขมรก็เยอะ ทางปักษ์ใต้เขาจะมีพวกบรรดาตาหลวงต่าง ๆ เขาจะมีฝึกพวกวิชานี้ จนกระทั่งคนเขาเคารพนับถือ พอตายแล้วเขาก็ยกให้เป็นเจ้าที่เป็นเทพารักษ์

มีอยู่รายหนึ่งฝึกแล้วรู้ว่าตัวเองต้องกลายเป็นเสือ ก็ไปปลูกกระต๊อบที่ท้ายสวนยาง ให้ลูกสาวเอาอาหารไปส่ง คราวนี้ครั้งสุดท้ายลูกสาวไปเรียก แกเปิดประตูยื่นมือออกมาเป็นเล็บเสือ ลูกสาวเลยวิ่งหนีไปเลย ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ไปส่งข้าวอีก

ถาม : แล้วพวกนี้เขาไม่รู้ว่าฝึกแล้วจะกลายเป็นแบบนี้ ?
ตอบ : เขารู้

ถาม : รู้แล้วจะฝึกทำไม ?
ตอบ : เขาชอบ แบบเดียวกับพวกรู้ว่าบุหรี่ไม่ดีแล้วไปสูบ ก็เขาชอบวิชาการพวกนั้น พวกนี้มีอะไรเขาศึกษาหมด เหมือนพวกเล่นพระเครื่อง เล่นแสตมป์ เขาชอบของเขา เราเห็นว่าเหลวไหลไร้สาระ แต่เขาชอบเขาก็ทำ

จริง ๆ แล้วท่านทั้งหลายเหล่านี้ใฝ่รู้เสียด้วยซ้ำ รู้อยู่ว่าฝึกแล้วอาจจะเกิดโทษบางอย่างได้ แต่ก็มีความมั่นใจในตัวเอง มั่นใจว่าตัวเองทำได้ ก็น่าจะหักห้ามใจตัวเองไม่ให้ฆ่าคนได้ ทางด้านเหนือของเราเมื่อหลายปีก่อนมีครูบาเสือดำ ฝึกประเภทนี้จนกระทั่งแปลงเป็นเสือดำตัวใหญ่ได้ แต่ช่วงขึ้น ๑๔ - ๑๕ ค่ำ และแรม ๑ ค่ำ จะกลายเป็นเสือ เพราะฉะนั้นช่วง ๑๓ ค่ำท่านจะเข้าไปอยู่ในป่าในถ้ำ พอพ้นวาระนั้นแล้วถึงกลับเข้ามาวัด

เถรี
18-01-2013, 14:07
ถาม : จะแก้คืนได้ไหมครับ ?
ตอบ : ก็น่าจะมีวิธีนะ แต่ว่าเขาชอบ แล้วเขาจะไปแก้ทำไม ? อย่าลืมว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าไม่มั่นใจตัวเองก็ไม่ฝึก ในเมื่อฝึกแล้วมั่นใจว่าควบคุมตัวเองได้ ยกเว้นกรรมเก่าบางอย่างมาพอดี ทำให้ไปฆ่าคนเข้าก็หมดสิทธิ์แก้คืน

ทางด้านเขมรเขามีเคล็ดในการแก้พวกเสือสมิงจากวิชาพวกนี้ว่า ถ้ายังไม่ได้ฆ่าคนให้ตีด้วยไม้คานก็จะกลับเป็นคน แต่ใครจะกล้าไปตีเสือด้วยไม้คานละ ? คือไปเจอพวกใจถึงที่ไปหาของป่า คราวนี้ตัวเองมีแต่มีดเหน็บ ก็สลัดของทิ้งแล้วเอาไม้คานตี ปรากฏว่าเสือกลายเป็นคน เขาก็เลยได้เคล็ดว่าต้องตีด้วยไม้คาน

ถาม : ถ้าตีด้วยไม้คานเขาจะกลับคืนร่าง ไม่เป็นเสือต่อไปหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าของขึ้นเดี๋ยวก็กลายเป็นเสืออีก ก็คืออย่างน้อยช่วยให้คืนเป็นคนได้บ้าง

ถาม : เป็นเพราะอำนาจสมาธิหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : น่าจะเป็นอภิญญาเสียด้วยซ้ำไป คือเปลี่ยนการจัดเรียงโมเลกุลในร่างคนให้เป็นการจัดเรียงโมเลกุลแบบเสือ เพียงแต่การเปลี่ยนนั้นเปลี่ยนด้วยอำนาจจิต

เถรี
18-01-2013, 14:33
พระอาจารย์พูดถึงปฏิทิน AIA ปีนี้ว่า "ท่านอาจารย์จักรพันธ์เอาแบบจากหน้าปกหนังสือประวัติหลวงปู่ปานมา แล้วก็วาดรูปหลวงปู่ตามนั้น แต่รูปหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านมีแบบให้วาด คือท่านอาจารย์จักรพันธ์มากราบหลวงพ่อขอดูตัวจริง แล้วก็ถ่ายรูปไป เอาภาพตัวจริงในความจำกับรูปถ่ายไปวาด ที่ขำก็คือแม่ของท่านอาจารย์จักรพันธ์มาเห็น “พระองค์นี้ยังอยู่อีกหรือ ?” ท่านอาจารย์จักรพันธ์บอกว่า "อยู่ครับ..ลูกศิษย์เยอะด้วย" แม่ท่านบอกว่า “พระหนุ่ม รูปหล่อ ปากหวานอย่างนี้ ส่วนใหญ่ไม่รอด โดนสาวเอาไปกินหมด ท่านอยู่มาได้อย่างไรก็ไม่รู้ ?”

ท่านอาจารย์จักรพันธ์เพิ่งไปซ่อมรูปหลวงปู่หลวงพ่อที่วัดท่าซุงเมื่อไม่นานมานี้ ไปซ่อมสี เคลือบน้ำยาทับ แล้วก็ใส่กรอบใหม่ให้ เพราะว่ารูปหลวงปู่หลวงพ่อเขาติดไฟล้อมไว้ คราวนี้เปิดไฟทุกวัน ๆ ก็เท่ากับโดนแดดทุกวัน สีก็ซีดหมดสภาพ ยังดีว่าจิตรกรเก่ง ซ่อมแล้วออกมาเหมือนใหม่เลย

ในช่วงแรกท่านอาจารย์จักรพันธ์ยังไม่เคยวาดรูปพระสงฆ์ ก็วาดรูปหลวงปู่ปานเป็นรูปแรก แล้วก็รูปหลวงพ่อฤๅษี จะสังเกตว่ารูปที่วาดรุ่นแรกจะไม่มีลายเซ็น แต่คนเขาดูจะรู้ว่านี่ฝีมือท่านอาจารย์จักรพันธ์ พอมาวาดรูปหลวงปู่หลวงพ่อองค์อื่นหลังจากนั้นก็จะมีลายเซ็น มีวันที่ให้รู้ว่าวาดเสร็จเมื่อไร"

เถรี
18-01-2013, 14:41
ถาม : ทำไมใช้คำว่า "อภิญญาสมาบัติ" ?
ตอบ : อภิญญาก็คือความรู้ที่ยิ่งกว่า สมาบัติก็คือการเข้าถึง การเข้าถึงความรู้ที่ยิ่งกว่าปกติ

ถาม : อย่างบางท่านได้สมาบัติ คือทำปฐมฌานให้คล่องแล้วตั้งกำหนดเวลา ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นเขาเรียกว่า ปฐมสมาบัติ แต่อภิญญาต้องแสดงฤทธิ์ได้ ถ้าไม่มีสมาบัติเป็นพื้นฐาน อภิญญาก็ไม่เกิด ก็คืออภิญญาทุกอย่างต้องมีพื้นฐานมาจากฌาน โดยเฉพาะต้องเป็นฌาน ๔ ด้วย เขาก็เลยใช้คำว่าอภิญญาสมาบัติ

ถาม : ต้องถึงวสีหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องถึงวสีก็ได้ แต่ช้าหน่อย อธิษฐาน ๓ - ๔ รอบก็ได้ แต่ขอให้ทำได้ก็แล้วกัน ถ้าถึงวสีนี่เป็นประเภทกันกิเลสทัน เพราะว่าทันทีที่รู้ตัวกิเลสจะกำเริบแล้ว ก็เข้าอภิญญาสมาบัติ กดกิเลสให้เงียบสนิทไว้

ถาม : ฌานสี่ต้องภาวนาทั้งวันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าคนทำได้ต่อให้นั่งคุยกันเขาก็ทรงฌานสี่ได้ นั่งภาวนาทั้งวันนั่นเด็กหัดใหม่ คือทำอะไรอยู่ก็ตาม กิเลสไม่สามารถจะเกิดได้เหมือนกับทรงฌาน ๔ เพราะฉะนั้น..เขาถึงได้เรียกว่าฌานใช้งาน

เถรี
18-01-2013, 14:43
ถาม : คำว่ารูปขันธ์ คือ ?
ตอบ : ร่างกายของเรานี่แหละ ทุกอย่าง คน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของ สามารถจับได้ต้องได้เป็นรูปธรรม บางคนก็เรียกว่ารูป แต่คำว่ารูปขันธ์คือกองรวมแห่งรูป

ถาม : ทำไมเขาเรียกว่า "ขันธ์" ?
ตอบ : เกิดจากการรวมตัวของดิน น้ำ ไฟ ลม ขันธะแปลว่ารวม , รวมหมู่ เมื่อดิน น้ำ ลม ไฟ ประชุมรวมหมู่ขึ้นมาเป็นวัตถุธาตุชิ้นนั้น ๆ จึงเรียกว่ารูปขันธ์ มัวแต่ไปวิเคราะห์รากศัพท์อยู่ ก็ไม่ต้องทำมาหากินกันพอดี ให้ฟังรู้เรื่องก็พอ

ถาม : แปลว่าสัตว์ที่เกิดต้องมีการปรุงแต่ง ?
ตอบ : ต้องมี..ถ้าไม่มีไม่มาเกิดหรอก โดยเฉพาะการปรุงแต่งของอวิชชา ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม หรือกุศลกรรม

ถาม : การเกิดตามสภาพภูมิประเทศต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องกรรมไหมครับ ?
ตอบ : นั่นเขาเรียกว่า อุตุนิยาม เกิดจากผลกรรมที่ทำมา แล้วขณะเดียวกันก็เกิดจากเจตจำนงของตนก็ได้ เกิดจากงานที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำก็ได้ จัดว่าอยู่ในเจตจำนงเหมือนกัน จึงต้องไปลงตรงนั้น

เถรี
18-01-2013, 21:20
ถาม : เดิมผมติดนิสัยนั่งหลังค่อม อย่างหลวงปู่ทวดในรูป ?
ตอบ : ไอ้นี่โทษหลวงปู่..! หลวงปู่เป็นพระแก่อายุ ๙๐ กว่าปี ท่านไม่มีกำลังก็นั่งหลังค่อมเป็นธรรมดาของคนแก่ ตัวเองอายุเพิ่งจะ ๒๐ ปี นั่งไม่ดีเองแล้วไปโทษหลวงปู่...

ถาม : ผมเพิ่งจะฝึกนั่งหลังตรง ก็ยังฝืน ๆ อยู่ ถ้านั่งจนชินแล้ว จะเลิกพะวงเรื่องหลังใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้านั่งจนเคยชินแล้วก็จะไม่นึกถึง

ถาม : แล้วต้องทำนานแค่ไหน ?
ตอบ : อยู่ที่เราว่าเราฝึกหัดอย่างไร อย่างอาตมานั่งเมื่อไรก็ต้องเคยชินแบบนี้ นึกถึงหลวงปู่พูล วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม ท่านอายุ ๙๐ กว่าปียังนั่งตัวตรงเป๊ะ นั่นคือฝึกมาถูกต้องตามแบบฝึกเลย ท่านเป็นอมตะเถราจารย์ของนครปฐม ดังช้าที่สุด..มาดังตอนอายุ ๙๐ ปี แต่ดังแล้วไม่ยอมดับกับใคร เมื่อท่านมรณภาพเขาไล่ตั้งแต่วันมรณภาพ อายุมรณภาพ เวลามรณภาพ ทุกอย่างออกเป็นหวยหมด ลูกศิษย์รวยกันไม่รู้เรื่อง

ถาม : เห็นพระวัดท่าขนุนนั่งคุกเข่าท่าเทพบุตรได้นานเหลือเกิน ไม่ทราบว่ามีวิธีให้นั่งได้นาน ๆ อย่างไร ?
ตอบ : ทำบ่อย ๆ เท่านั้นเอง พระเขาบังคับอยู่แล้ว การทำวัตรเช้าเย็น เริ่มตั้งแต่โยโสฯ ไป ถ้ายังขอขมาไม่เสร็จก็ต้องนั่งคุกเข่าอยู่ท่านั้นแหละ ในเมื่อวิธีการสวดเขาบังคับอยู่ในตัว ก็เท่ากับฝึกอยู่ทุกวัน ทุกอย่างอยู่ที่การฝึก สำคัญที่จะเพียรพยายามจริงหรือเปล่า ?

เถรี
18-01-2013, 21:29
ถาม : ถ้าเป็นผู้ชายมีนม ยังบวชได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร ก็มีกันทุกคนด้วย แม้กระทั่งอาตมาก็มี ไม่มีแล้วจะบวชได้อย่างไรเพราะไม่ครบ ๓๒ เว้นแต่ว่าถ้ามีเยอะไปหน่อยก็ต้องระวังผู้หญิงเขาอิจฉา..!

ถาม : แล้วถ้าผู้ชายนิสัยผู้หญิง ?
ตอบ : บวชได้...เขาไม่ได้ห้าม ขอให้คำนำหน้าเป็นนายก็ใช้ได้ แต่อย่าไปเดินบิดสะโพกให้คนอื่นเขาดู

ถาม : ถ้าบวชที่ท่าขนุน ท่านจะกำหนดพระอุปัชฌาย์ให้เองใช่ไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าจะบวชเมื่อไร ถ้าบวชช่วงเข้าพรรษาพระอุปัชฌาย์ก็มักจะเป็นเจ้าคณะจังหวัด ถ้าบวชวาระอื่น ๆ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเจ้าคณะตำบลแถว ๆ นั้น

ถาม : ถ้าบวชเป็นการส่วนตัว เสียเท่าไรครับ ?
ตอบ : เตรียมไว้ประมาณ ๒๐,๐๐๐ บาท สำหรับพระอุปัชฌาย์ อาจารย์คู่สวด อะไรทำนองนั้น แต่บวช ๑๐ คนก็ประมาณ ๒๐,๐๐๐ บาท เพราะมีแค่ผ้าไตรกับบาตรที่เพิ่มเข้ามา อาตมาจึงนิยมจัดอุปสมบทหมู่ เพราะว่าบวชหมู่ได้กำไร พระอุปัชฌาย์อาจารย์ก็ชุดเดิมไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ถ้าอยากดังบวชเองคนเดียวก็เอาเลย จ่ายกันหูตูบ..!

เถรี
18-01-2013, 22:03
ถาม : พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ชาติที่จะตรัสรู้บุญบารมีทุกอย่างจะมารวมตัวกันใช่ไหมครับ แล้วอกุศลกรรมในอดีตที่ระหว่างท่านบำเพ็ญบารมีจะมารวมเหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : คำถามนี้ตอบไม่ได้ เพราะบอกว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ อาตมาเกิดไม่ทันตั้งเยอะ..!

ถ้าจะดูอย่างพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันก็ไปอ่านในพุทธวงศ์ จะได้รู้ว่าที่พระองค์ท่านโดนไปแต่ละอย่างนั้น เกิดจากการที่พระองค์ท่านทำอะไรไว้บ้าง ไปอ่านพระไตรปิฎกดู อยู่ในอรรถกถาพุทธวงศ์ ขุททกนิกายตอนท้าย ๆ ของสุตตันตปิฎก เอาฉบับของมหามกุฏฯ ก็ได้ จะมีจริยาปิฎกกับพุทธวงศ์ จะได้รู้ว่ามหาโพธิสัตว์ก่อนที่จะมาอนุเคราะห์สงเคราะห์คนได้นั้น ท่านต้องเจอมาสาหัสขนาดไหน

เป็นที่น่าอัศจรรย์คือท่านไม่ท้อเลย โดนเท่าไรไม่มีหยุด สิ่งนี้น่าจะเป็นเพราะท่านมีหลักธรรมประจำใจ เพราะว่าแม้จะเป็นพระโพธิสัตว์ก็ตาม แต่เป้าหมายของท่านก็คือทำดีเพื่อส่วนรวม และพยายามสอนคนอื่นให้ดีด้วย แสดงว่าพระองค์ท่านต้องมีหลักธรรมเป็นปกติที่ยึดถืออยู่ในใจอยู่แล้ว โดยเฉพาะแต่ละชาติ เกิดมาแล้วต้องสร้างบารมีอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่แล้ว ก็เลยกลายเป็นหลักธรรมที่พระองค์ท่านนำไปสั่งสอนคนหมู่มากได้ ในเมื่อมีหลักธรรมอยู่ในใจ ท่านมั่่นใจในความดีของท่าน โดนเท่าไรจึงไม่ถอย ฉะนั้น..เราเองจะทำอะไรต้องมั่นใจในความดีเหมือนกัน

มั่นใจในความดีกับถือดี คนละเรื่องเลยนะ ดีเหมือนกัน..แต่ถือดีคือเอาดีไว้อวด มั่นใจในความดีคือสิ่งที่เราทำถูกต้องแล้ว เราก็ตั้งหน้าตั้งตาทำ โบราณเขามีเชื่อดีอีกอย่าง เชื่อดี ก็คือเชื่อความดี เชื่อความรู้ เชื่อคุณครูบาอาจารย์ เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชื่อพระรัตนตรัย ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ปกป้องคุ้มครองเราได้ ฉะนั้น..คนที่เชื่อดีก็ไม่ค่อยกลัวอะไรเพราะมีดี อย่างพวกเรายึดถือวัตถุมงคลก็เป็นการเชื่อดีอย่างหนึ่ง เคารพครูบาอาจารย์ยึดท่านเป็นสรณะในชีวิตก็เป็นการเชื่อดีอีกอย่างหนึ่ง อย่างที่สำคัญที่สุดก็คือปฏิบัติธรรมให้เกิดผล ก็เชื่อดีอีกอย่างหนึ่ง

ชักจะว่าไปได้เรื่อย ๆ เหมือนกับท่านอาจารย์พลตรีเฉลิมชัย เสียงใหญ่ เฉพาะคำว่า "พอ" คำเดียว ท่านกว้านมาซะเยอะเลย

พอมี...พอได้...พอเป็น
พอเย็น..พออยู่..พอไหว
พอพ้น...พอตน...พอใจ
พอใหญ่..พอยอ..พอแล้ว
..จบ..

เถรี
20-01-2013, 12:27
ถาม : พระที่เข้านิโรธกรรม..?
ตอบ : ส่วนใหญ่ถ้าตามแนวของหลวงปู่ครูบาศรีวิชัย อย่างน้อย ๆ ก็เข้า ๗ วัน ถ้าเป็นนิโรธสมาบัติจริง ๆ ต่ำสุด ๗ วัน สูงสุดไม่เกิน ๔๙ วัน แต่ส่วนใหญ่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดเอาไว้ปานกลาง ก็คืออย่าให้เกิน ๑๕ วัน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวร่างกายขาดอาหารมาก จะฟื้นตัวช้า

โยคีที่อินเดียมีเยอะแยะที่อยู่ด้วยธรรมปีติ อยู่กันทั้งปีทั้งชาติ บางรายก็อยู่มาหลาย ๑๐ ปี บางรายปีหนึ่งออกมาจากถ้ำมาหาลูกศิษย์ครั้งหนึ่ง เขาเอาข้าวของมาถวายสักการะเต็มหน้าถ้ำไปหมด ท่านก็ไปเดินมอง หยิบขนมปังกรอบสักชิ้นมาใส่ปากแล้วก็ไป อีกปีค่อยออกมาใหม่ กรณีนี้ไม่ใช่นิโรธสมาบัติ แต่อยู่ด้วยกำลังของฌานสมาบัติ อยู่ด้วยธรรมปีติ ร่างกายเขาดึงเอาดินน้ำลมไฟรอบข้างเข้าไปเสริมเอง ไม่ต้องเสียเวลากิน

ถาม : แล้วมีองค์ใดบ้างที่เข้านิโรธสมาบัติ ?
ตอบ : องค์ที่เข้านิโรธสมาบัติท้ายสุดที่พวกเราไปเห่อคือ หลวงปู่ชุ่ม วัดวังมุย พระที่เข้านิโรธสมาบัติมีระเบียบอยู่ว่า จะต้องบอกเพื่อนพระให้ทราบเอาไว้ ให้คณะสงฆ์รู้ว่าท่านทำอะไร จะได้ไม่เรียกใช้งาน ฉะนั้น..จะไปเข้าเงียบ ๆ คนเดียวไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ต้องบอกใครสักคน

ถาม : สมัยหลวงปู่ปานมีใครบ้างไหมคะ ?
ตอบ : สมัยหลวงปู่ปานมีหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา สมัยของเราก็มีหลวงพ่อเกษม วัดสุสานไตรลักษณ์ ส่วนอาตมาถนัดพิโรธสมาบัติ เป็นที่เลื่องลือมาก เผลอเมื่อไรโดน..!

เถรี
20-01-2013, 12:37
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานตอนไปงานศพท่านเจ้าคุณพระราชปริยัติโมลี อาตมาเอารายงานการปฏิบัติงานของสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดกาญจนบุรีแห่งที่ ๒๓ (วัดท่าขนุน) ไปถวายท่านเจ้าคุณพระราชวรเวที รองเจ้าคณะภาค ๑๔ ด้วย

งานสุดท้ายก็คือสวดมนต์ข้ามปี พอท่านเปิดดูรูปแล้วว่า "คนไปเยอะนี่..เฉพาะแถวนั้นหรือ ?" จึงกราบเรียนท่านว่า เป็นคนพื้นที่และคนกรุงเทพฯ ประมาณอย่างละครึ่ง ท่านว่าอยู่ไกลขนาดนั้นไม่นึกว่าคนจะเยอะ คือในเขตภาค ๑๔ นั้น วัดที่เป็นสำนักปฏิบัติธรรมต้องส่งรายงานทั้งหมด ไม่รู้ว่าเขตภาคอื่นเขาจะส่งกันหรือเปล่า เพราะว่ารองภาคฯ ท่านได้รับแต่งตั้งจากเจ้าคณะภาค ให้รับผิดชอบงานด้านการปฏิบัติธรรมโดยตรง

เอาไว้งานฉลองบ้านวิริยบารมี อาตมาจะนิมนต์ท่านมา ท่านเป็นพระปฏิบัติที่ต้องบอกว่าได้ระดับทีเดียว ถ้าให้ท่านบรรยายธรรมนี่ นั่งลงเมื่อไรก็ ๓ - ๔ ชั่วโมง ท่านว่าของท่านว่าไปได้เรื่อย ๆ

ระดับรองเจ้าคณะภาคสนใจเรื่องการปฏิบัติเป็นเรื่องที่น่าปลื้มใจมาก ทางภาค ๑๖ ท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธิมุนี วัดดุสิดาราม นี่ก็สุดยอดนักปฏิบัติเหมือนกัน ท่านแม่นบาลีมาก โดยเฉพาะพระไตรปิฎก พอยกพระไตรปิฎกขึ้นมา ท่านจะบอกเล่ม บอกข้อ บอกหน้าได้เลย แอบจดไปเปิดดู ตรงทุกที อาตมาว่าตัวเองหัวคอมพิวเตอร์แล้วนะ ปรากฏว่าของท่าน Ram เยอะกว่า..!

เถรี
20-01-2013, 12:43
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนหลวงปู่ธรรมชัยนำผ้าไตรกฐินไปถวายหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเอาเทินศีรษะไป ก็คือเอาศีรษะเป็นพาน ตอนท่านเทินไปถวายน่ารักเชียว เรียกว่าน้อมถวายด้วยเศียรเกล้าจริง ๆ เพราะว่าต้องยื่นไปทั้งหัว ลองนึกถึงหลวงปู่อายุ ๗๐ ปีแล้ว เอาของใส่หัวไปถวายหลวงพ่อ นึกถึงทีไรก็ปลื้มใจทุกที"

เถรี
20-01-2013, 12:46
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนวาดรูปมักจะเผลอวาดหน้าของตัวเองลงไปโดยไม่รู้ตัว คือความเป็นตัวกูของกูที่ฝังลึกอยู่ในใจ ถ้าไม่ใช่บุคคลที่เรียกว่ามีสติสมบูรณ์จริง ๆ อย่างไรก็จะต้องเผลอติดหน้าตัวเองลงไป ทั้ง ๆ ที่ไม่ต้องดูหน้าตัวเองเป็นแบบ วาดไปเถอะ...จะหลุดหน้าตัวเองออกมาเอง

ผู้หญิงกับผู้ชายที่รักกันชอบกัน..แต่งงานกัน ที่เขาบอกว่าคนที่เป็นเนื้อคู่มักจะหน้าตาคล้าย ๆ กัน..ไม่ใช่หรอก นั่นคือการหลงตัวเอง เห็นหน้าตัวเองแล้วชอบไม่รู้ตัว คือเห็นคนที่คล้ายตัวเอง ไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังแสดงออกด้วยการหลงตัวเองอยู่

เห็นแล้วรักแล้วชอบ มั่นใจว่าเป็นเนื้อคู่..ที่ไหนได้ ที่แท้เห็นหน้าตัวเองแล้วชอบ ฉะนั้น..เดี๋ยวหนูไปเจอคนหน้าเหมือนเมื่อไรก็ชอบเอง ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น"

เถรี
20-01-2013, 20:59
มีโยมมาถวายสังฆทานอุทิศให้แม่ โดยนำรูปแม่มาด้วย พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมเอารูปแม่ตอนสาวพริ้งมาเลย แต่ตอนที่แม่มาโมทนานี่แก่งั่ก แม่ตายตอนอายุ ๗๑ ปี แสดงว่าตอนที่มานี่คงจะ ๗๑ ปี เล่นเอาอาตมาต้องเหลือบมองดูรูป ๒ ที ว่าใช่หรือเปล่า ส่วนใหญ่เขาจะแสดงภาพช่วงสุดท้ายให้ เพราะลูกหลานเขาจะคุ้นเคย แต่ลูกหลานดันเอาภาพอีกสมัยหนึ่งมา

เมื่อหลายปีก่อน ตอนอยู่บ้านอนุสาวรีย์ มีโยม ๒ คนเป็นเพื่อนกัน คนหนึ่งมาทำบุญให้พ่อ อีกคนหนึ่งมาทำบุญให้ผัว อาตมาก็ถามว่า "เฮ้ย...ลูกอายุเท่านี้ ทำไมพ่อแกแก่ขนาดนี้วะ ?" อีกคนร้อง "ว้าย..นั่นผัวหนูค่ะ" สรุปว่าได้ผัวแก่..แกยอมสารภาพเอง..!

โลกอื่นดีอยู่อย่างหนึ่งคือเขาไม่หลอกกัน แต่บางทีก็ทำให้เราเข้าใจผิดหลงทางได้ง่าย ๆ ถ้าถามอะไรเขาก็บอกตรง ๆ ไม่โกหก เป็นเรื่องที่น่าสลดใจว่ามีแต่โลกมนุษย์เราเท่านั้นที่โกหก

ส่วนใหญ่คนที่ตายไป ถ้าเราทำบุญแล้วนึกถึงท่าน ถ้ามาได้อยู่ในที่ไม่ลำบาก เขาก็มักจะมาโมทนา ที่ว่าไม่ลำบากอย่างแรกคือเป็นสัมภเวสี สัมภเวสียังไม่ได้เวลาไปรับความดีความชั่ว เพราะอายุความเป็นมนุษย์ยังไม่หมด ถ้าลูกหลานรู้จักทำบุญให้ก็สบาย มีความสุขคล้าย ๆ กับเทวดานางฟ้า รอเวลาหมดอายุจากมนุษย์ซึ่งก็นิดเดียวของที่นั่น สมมติว่าเหลือเวลามนุษย์อีก ๕๐ ปี ก็วันเดียวของที่นั่น แต่ถ้าอดข้าววันหนึ่งก็ลำบากนะ ถ้าลูกหลานไม่ทำบุญให้ก็ลำบาก

อีกประเภทคืออสุรกาย แต่ว่ามีอสุรกายจำพวกหนึ่งคือนิรยอสุรกาย โมทนาไม่ได้ เพราะว่าอยู่ในโลกันตนรก...

พวกที่ได้แน่ ๆ คือปรทัตตูปชีวีเปรต พวกนี้จ้องคอยโอกาสเลย เห็นญาติทำบุญเป็นวิ่งใส่ ถ้าญาติลืมอุทิศส่วนกุศล หรือไม่ทำบุญเสียที ก็ร้องไห้คร่ำครวญ บางทีก็ดังถึงหูคนทั่วไปด้วย..!"

เถรี
20-01-2013, 21:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ที่ต้องจ่ายแน่ ๆ ก็คือค่าเทคอนกรีตหน้าสมเด็จองค์ปฐม อาตมาสั่งเขาเทหนาเท่ากับถนนมาตรฐานเลย กะว่าให้สิบแปดล้อขึ้นไปขย่มได้ ๗ พันกว่าตารางเมตร คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ ๖ ล้านบาท ถ้าใครที่ปฏิบัติธรรมแล้วบูชาพระชัยวัฒน์ชุดกรรมการไป ก็แปลว่าเป็นเจ้าภาพเทคอนกรีตรอบสมเด็จองค์ปฐมไปเต็ม ๆ เลย

สมัยที่หลวงพ่อท่านเทคอนกรีตหน้าวิหาร ๑๐๐ เมตร ลูกศิษย์ถามถึงอานิสงส์ หลวงพ่อก็ไม่ทราบ ต้องกราบทูลถามพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านตรัสว่า "ชีวิตจะได้ไม่เสื่อมไม่ทรุด" ก็มีคอนกรีตหนาปานนั้นคอยรองรับอยู่แล้ว

ทิดกวางเขาเรียกว่า "งานสัมภเวสี" ก็คือ พวกงานจรที่มาโดยไม่ได้คิดถึง เขาบอกบรรดาเพื่อน ๆ ทิดทั้งหลายว่า "เฮ้ย ๆ หลวงพ่อมีงานสัมภเวสีอีกแล้ว ถ้าเอ็งไม่ได้ไปวัดอาทิตย์หนึ่ง เดี๋ยวก็จำวัดไม่ได้อีกหรอก"

เถรี
20-01-2013, 21:15
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ต่อไปตัวเองกำลังกิน ๆ อยู่ ก็คงมีคนแย่งจานข้าวไปซึ่ง ๆ หน้า หลวงปู่ครูบาพรหมจักร วัดพระพุทธบาทตากผ้า ท่านไปธุดงค์แล้ววาระกรรมเข้ามา กว่าท่านจะเดินทะลุป่าไปถึงหมู่บ้านก็เลยเที่ยงไปแล้ว ท่านก็เลยอดข้าว วันที่ ๑ ผ่านไปก็ไม่เป็นไร เดินทางต่อ ไปค้างคืนกลางป่า วันที่ ๒ เดินไปไม่ไกล เจอหมู่บ้านก็คิดว่าตัวเองฉันมื้อเดียว เดี๋ยวไปอีกหมู่บ้านหนึ่งแล้วค่อยบิณฑบาต ปรากฏว่าเดินยันค่ำก็ยังไม่เจอหมู่บ้าน

วันที่ ๓ เดินไปหน่อยเจอหมู่บ้าน คราวนี้บิณฑบาตตั้งแต่เช้าเลย ปรากฏว่าบิณฑบาตเสร็จ ปูผ้าลง เพิ่งเปิบข้าวเข้าปากคำเดียว มีช้างตกมันหลุดวิ่งมา ท่านก็ต้องลุกเผ่นออกจากทาง เพื่อให้ช้างวิ่งผ่านไป คราวนี้พระธุดงค์ท่านถือการฉันอาสนะเดียว ในเมื่อฉันไปคำหนึ่งแล้วลุกขึ้นก็แปลว่าอด ๓ วันได้ฉัน ๑ คำ วันที่ ๔ กว่าไปถึงบ้านโยมก็เพลกว่า ๆ โยมเห็นพระอดมาก็สงสาร ลุกขึ้นหุงข้าวต้มแกงเป็นการใหญ่ ปรากฏว่าหลวงปู่เป็นลม..! ฟื้นขึ้นมาเลยเที่ยงก็เลยอดต่อไป โอ้โห...กรรมอะไรจะดุเดือดปานนั้น สรุปว่ากว่าจะได้ฉัน โน่น..วันที่ ๖ เวลาวาระกรรมเข้าได้นี่เขาใส่ไม่เลี้ยงเลย

หลวงปู่ครูบาธรรมชัยไปภาวนาในป่าช้า ช้างตกมันหลุดปลอกมาเหมือนกัน ไปวน ๆ อยู่แถว ๆ หลวงปู่ ชาวบ้านก็ไม่กล้าเอาอาหารเข้าไปถวาย ช้างวนอยู่แถวนั้น ๗ วัน ใครมาโดนไล่กระจายหมด พอวันที่ ๘ ช้างก็ไป ชาวบ้านถึงเอาอาหารมาถวายหลวงปู่ได้ ท่านอดมา ๗ วันเต็ม ๆ

ชาวบ้านถามว่า "หลวงปู่ทำกรรมอะไรไว้ครับ ?" ท่านบอกชาติก่อนเคยไปตกปลอกมันเอาไว้ คือช้างตัวนั้นในอดีตก็เป็นช้าง หลวงปู่เห็นว่าตกมันก็เอาโซ่ล่ามไว้ ให้อดอาหารอยู่ ๗ วันจนกระทั่งหายตกมัน ปรากฏว่ามาชาตินั้นท่านบวชพระแล้ว ไอ้นั่นยังเป็นช้างอยู่ ถึงเวลาก็มาเอาคืน ๗ วันเหมือนกัน

เรื่องของวาระกรรม ถ้าไม่เนื่องกันมาก็ไม่เจออย่างนี้ ท้ายสุดก็ต้องเจอจนได้ หลวงปู่ครูบาพรหมจักรนั้นท่านสาหัสจริง ๆ กว่าจะได้ฉันที ๕ - ๖ วัน แล้วมีการมาล่อให้อยากด้วยนะ ให้ฉันได้ไปคำหนึ่ง คนอดข้าวมา ๓ วันได้ไปคำหนึ่งแล้วอดต่ออีก ๒ วันนี่สาหัสเลย..!

เถรี
20-01-2013, 21:24
ไปนึกถึงพระธรรมบทที่พระเถระรูปหนึ่งในชีวิตได้ฉันอิ่มครั้งเดียว แม่ของท่านเป็นขอทาน ทันทีที่จุติเข้าท้องแม่ คณะขอทานไม่มีใครขอได้เลย อดไปตาม ๆ กัน หัวหน้าขอทานเขาฉลาด เขาจึงแบ่งคนเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มไหนที่แม่ท่านไปด้วยอดตลอด เขาก็แบ่งครึ่งไปเรื่อย ๆ จนท้ายสุดแม่ของท่านขอทานใครไม่ได้เลย หัวหน้าขอทานจึงให้อยู่เฉย ๆ แล้วคนอื่นเอามาเลี้ยง

พอคลอดออกมาแม่ก็พยายามเลี้ยงดู โตพอหากินเองได้ แม่ก็เอาถ้วยแตกใส่มือ ให้ไปหากินเอง เพราะถ้าอยู่ด้วยกันต่อไปจะทำให้หมู่คณะเขาเดือดร้อนมาก ท่านก็ไปรออยู่แถวบ้านเศรษฐี รอเวลาเขาเอาเศษอาหารมาทิ้ง แต่ก็เป็นเรื่องแปลก ถ้าเขาทิ้งเป็นชิ้นใหญ่ ๆ จะมองไม่เห็น ถ้าเขาล้างถ้วยล้างชามแล้วสาดไว้เป็นเม็ดข้าวจะเห็น แล้วก็เก็บกินได้ไม่เกิน ๗ เม็ด..!

พอเก็บกินไปถึงเม็ดที่ ๗ ก็จะมีหมามาไล่ มีคนมาไล่ทุกครั้ง ท่านอยู่ด้วยแรงกรรรมจริง ๆ กรรมที่เคยทำให้พระปัจเจกพุทธเจ้าอด อยู่ด้วยแรงกรรมจริง ๆ กินแค่นั้นแต่อยู่ได้ จนกระทั่งไปพบพระสารีบุตร พระสารีบุตรก็เมตตาบวชให้เพราะสงสาร ปรากฏว่าบิณฑบาตมาไม่มีใครใส่บาตรเลย

พอถึงเวลาบิณฑบาตท่านเดินตามหลัง เขาใส่บาตรจากข้างหน้า มาถึงท่านอาหารก็หมด พระอุปัชฌาย์ก็ให้เดินหน้า ชาวบ้านก็นึกได้ว่าวันก่อนใส่จากข้างหน้ามาไม่ถึงพระข้างหลัง อาหารหมดก่อน วันนี้ก็เลยใส่จากข้างหลังมา แต่ไม่ถึงข้างหน้าก็หมดอีก พอพระอุปัชฌาย์ให้ท่านยืนอยู่ตรงกลาง ชาวบ้านเห็นว่าวันก่อนใส่หัวไม่ถึงท้าย ใส่ท้ายไม่ถึงหัว วันนี้เลยใส่หัวท้ายพร้อมกัน มาถึงตรงกลางอาหารหมดอีก..!

กรรมของท่านสาหัสจริง ๆ จนกระทั่งพระสารีบุตรท่านสงสาร ไปบิณฑบาตมาถวายเอง พอวางบาตรลง ท่านก็มองไม่เห็นอาหาร เห็นเป็นบาตรเปล่า ๆ พระสารีบุตรเห็นว่าแรงกรรมหนักขนาดนั้น จึงเอามือจับบาตรไว้ให้ท่านล้วงอาหาร พอพระสารีบุตรจับบาตรท่านถึงได้เห็นอาหาร ตกลงในชีวิตได้กินอิ่มครั้งนั้นแหละ พอกินอิ่มร่างกายสบายขึ้นมา ก็เลยพิจารณาว่า ตั้งแต่เราเกิดมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งมาบวชแล้ว ก็มีแต่ความทุกข์ความยากมาตลอด ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีความทุกข์เช่นนี้จะไม่มีสำหรับเราอีกแล้ว

ตัดใจได้วันนั้นก็ไปพระนิพพานวันนั้น ถ้าเป็นคนทั่ว ๆ ไปก็คิดว่าท่านกินอิ่มจนท้องแตกตาย แต่ความจริงในชีวิตได้กินอิ่มครั้งนั้นครั้งเดียวจริง ๆ

เถรี
20-01-2013, 21:26
เป็นเรื่องที่ทำให้เราเห็นว่า เรื่องกรรมต่าง ๆ ที่ส่งผลนั้นน่ากลัวมาก ถึงวาระเขาส่งผลของเขาเต็มที่ ถ้าเราทำไว้มาก ถึงเวลาผลกรรมส่งมาก็หนักหนาสาหัส แล้วแรงกรรมบันดาลก็สุดยอดจริง ๆ ไม่ได้กินมาเนิ่นนานปานนั้น ก็ยังอุตส่าห์อยู่มา ๒๐ กว่าปี กินข้าววันละ ๗ เม็ดท่านก็อยู่ได้ เป็นเราไหวไหม ?

รู้สึกว่าท่านจะแกล้งพระปัจเจกพระพุทธเจ้าไม่ให้ฉันอาหาร เอาของสกปรกใส่ปนลงไปยังไม่พอ เวลาเขาใส่บาตรแล้วบอกให้ท่านเอาไปถวายพระคุณเจ้ายังที่อยู่ ก็แอบกินเอง กินเหลือก็เททิ้ง แรงกรรมก็เลยสาหัส นั่นตกนรกมาแล้วนะ เศษกรรมยังล่อเสียอ่วมอรทัยไปเลย

เถรี
23-01-2013, 08:56
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนดูข่าว เมิ่งเพ่ยเจี๋ย สาวจีนอายุ ๒๐ ปี เรียนมหาวิทยาลัย ดูแล หลิวฟางอิง แม่บุญธรรมที่เป็นอัมพาตมา ๑๐ กว่าปีแล้ว แม่แท้ ๆ ยกเมิ่งเพ่ยเจี๋ยให้เป็นลูกบุญธรรมของหลิวฟางอิงตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบ แล้วแม่แท้ ๆ ก็ตาย พอไปอยู่กับแม่บุญธรรมได้ ๓ ปี หลิวฟางอิงก็เป็นอัมพาต พ่อบุญธรรมก็ทิ้งหลิวฟางอิงและลูกเลี้ยงไป เมิ่งเพ่ยเจี๋ยจึงต้องคอยดูแลแม่บุญธรรมมาตลอด เรียนหนังสือไปดูแลไป ตอนเช้าอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ป้อนข้าวให้เสร็จสรรพเรียบร้อย แล้วก็วิ่งไปโรงเรียน พักเที่ยงก็วิ่งกลับมาเปลี่ยนผ้าอ้อม ป้อนข้าวเสร็จก็วิ่งไปเรียนหนังสือต่อ

พอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ปรากฏว่ามหาวิทยาลัยห่างจากที่พัก ๑๐๐ กว่ากิโลเมตร ก็ต้องใช้วิธีแบกแม่บุญธรรมไปเช่าบ้านอยู่ใกล้ ๆ แล้วก็คอยดูแลอยู่ จนกระทั่งเพื่อน ๆ รู้ เลยเอาเรื่องไปลงอินเตอร์เน็ต เขาโหวตให้ว่าเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุด คำว่าสวยคือน้ำใจดี มีการส่งเป็นฟอร์เวิร์ดเมล์ต่อ ๆ กันมา

หลิวฟางอิงบอกว่า ฉันมีโอกาสดูแลเขาอยู่ ๓ ปี แต่เขาดูแลฉันมา ๑๐ กว่าปีแล้ว วัน ๆ เมิ่งเพ่ยเจี๋ยช่วยแม่ออกกำลัง จับแม่ลุกนั่ง หวังว่าแม่จะหาย จนตัวเองผอมกะหร่องเลย"

เถรี
23-01-2013, 09:46
ถาม : การที่เดินไปด้วยแล้วกำหนดก้าวย่างหนอ เดินย่างหนอ อารมณ์จะเป็นฌานได้หรือครับ ?
ตอบ : กี่สิบอารมณ์ก็เป็นได้ สำคัญว่าเรามีความคล่องตัวหรือเปล่า

ถาม : ถ้าไม่มีความคล่องตัว ?
ตอบ : ถ้าไม่มีความคล่องตัวก้าวยังไม่ออกเลย พออารมณ์ใจเริ่มทรงตัว จิตกับประสาทร่างกายเริ่มแยกออกจากกัน ก็จะเดินไม่ได้

ถาม : ถ้าคนที่ฝึกใหม่ ก็ไม่ควรไปฝึกเพิ่ม ?
ตอบ : ต้องเอาของเดิมเป็นหลักไว้ก่อน หลังจากนั้นค่อยซักซ้อมของใหม่

เถรี
23-01-2013, 09:58
ถาม : เวลาพระท่านทำน้ำมนต์ ท่านใช้สมาธิอย่างไร ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าสายการปฏิบัติของท่านทำมาอย่างไร

ถาม : ต้องใช้กสิณน้ำโดยเฉพาะหรือครับ ?
ตอบ : ใครได้สมาธิก็ใช้สมาธิ ใครได้กสิณก็ใช้กสิณ แต่สายวัดท่าซุงท่านให้ขอบารมีพระแทน

เถรี
23-01-2013, 10:27
ถาม : เวลาเจริญอานาปานสติแล้วเดินเตโชกสิณ ท่านบอกว่าจะต้องทรงกรรมฐานอานาปานสติไว้ด้วยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เตโชกสิณเริ่มจากไม่มีอะไรเลยก็ได้ เพราะว่าการภาวนาก็ต้องควบกับลมหายใจอยู่แล้ว ต่อให้ไปเริ่มต้นนับ ๑ ในอานาปานสติ ถึงเวลาถ้าอุคหนิมิตเกิดก็คือเริ่มได้สมาธิแล้ว

ถาม : จะทำอรูปฌาน ก็ต้องเพิกปฏิภาคนิมิตตอนถึงฌานสี่แล้วค่อยพิจารณาหรือครับ ?
ตอบ : ตั้งภาพกสิณขึ้นมาก่อน แค่อุปจารสมาธิก็พอแล้ว อย่าไปเพิกภาพเลยทีเดียว ไม่อย่างนั้นจะพิจารณาไม่ได้ พอภาพชัดเจนแจ่มใสแล้วค่อยเพิกภาพกสิณนั้นเสีย แล้วพิจารณาไปเรื่อย ๆ กำลังสมาธิจะดิ่งลึกลงไป พอเข้าไปถึงฌาน ๔ ก็เท่ากับว่าสำเร็จอรูปฌานชั้นนั้น

ถาม : การเพิกนิมิต ?
ตอบ : นิมิตที่จะใช้ในอรูปฌานต้องเป็นนิมิตในกสิณทั้ง ๘ กองเท่านั้น คนที่มีความสามารถสูง ๆ ถึงจะทำกองที่ ๙ คือ อาโลกกสิณได้ แต่อากาสกสิณเก่งแค่ไหนก็ทำไม่ได้ เพราะอากาสกสิณมีสภาพคล้ายคลึงกับอากาสานัญจายตนฌานอยู่แล้ว

เถรี
23-01-2013, 10:36
ถาม : พระธุดงค์ที่ไปนั่งกรรมฐานตอนกลางคืน เขาบอกว่าจะมีแร่ที่มีพลังงานมาส่งเสริมการปฏิบัติ จริงหรือเปล่า ?
ตอบ : สรุปง่าย ๆ ว่าความกลัวช่วยส่งเสริมมากที่สุด อย่างอื่นยังเป็นรอง สถานที่สัปปายะเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้านั้นตรัสไว้อยู่แล้ว คือสถานที่ซึ่งเหมาะสมกับแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน ถ้าคนไหนเหมาะสมกับสถานที่อย่างไร ได้ไปสถานที่นั้นก็จะหนุนเสริมการปฏิบัติได้ดี

เถรี
23-01-2013, 11:30
ถาม : ในภาวะปกติ ถ้าเราเข้าใจว่าเรากลัวอะไร...?
ตอบ : สรุปทุกอย่างว่าเรากลัวตาย ถ้าแก้ตัวกลัวตายได้ก็เลิกกลัวทุกอย่าง ดูตอนข่าวลือโลกแตกที่ผ่านมาก็พอ

ถาม : แสดงว่าเขาไม่ศรัทธาคำสอนพระพุทธเจ้า ?
ตอบ : บางคนศรัทธาอยู่ แต่ความกลัวตายมีมากกว่าเลยไปบดบังสติปัญญา ในเมื่อสติปัญญาโดนบดบังก็ไหลไปตามกระแสข่าวลือ ก็ที่พระครูปลัดปรีชาอุตส่าห์เตรียมไฟแช็ก เตรียมถ่าน เตรียมเทียนไขไว้ในเป้ แล้วมาถามว่าอาจารย์เตรียมไว้บ้างหรือเปล่า ? อาจารย์ไม่ได้เตรียมอะไรเลย

พระครูปลัดบอกว่าที่น่ากลัวไม่ใช่โลกแตก แต่เป็นพายุสุริยะ ถ้าวูบมาได้ความร้อนระดับนั้นก็ประเภททีเดียวสุกเลย อาตมาบอกว่า "อ๋อ..อย่างนั้นยิ่งไม่น่ากลัวใหญ่ ตายแบบไม่รู้ตัวจะต้องไปกลัวอะไร" สรุปแล้วคนกล้าตายครั้งเดียว คนกลัวนี่ตายหลายครั้ง กลัวแล้วกลัวอีก

เถรี
23-01-2013, 11:44
ถาม : ช่วงหมดลมหายใจมีระยะเวลาให้คิดพิจารณาว่าจะไปไหนใช่หรือไม่ ?
ตอบ : ต้องได้รับการฝึกมามากพอ ถ้าไม่ได้รับการฝึกมามากพอ สภาพจิตไม่มีที่เกาะ เคว้งคว้างไปไม่ถูก ก็จะโดนแรงกรรมที่เป็นอาสันนกรรมดึงไปได้ แต่ถ้าได้รับการฝึกมามากพอ มีเป้าหมายที่แน่นอน สภาพจิตก็จะไปตามนั้น ช่วงหมดลมหายใจแล้วสภาพจิตยังรับรู้อยู่

ถาม : น่าฝึกลองตาย
ตอบ : ต้องลองตาย

ถาม : ถ้าไม่ถึงอายุขัยเราก็ลองได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ถึงอายุขัยหรอกแต่ถ้าอุปฆาตกรรมมา ไปยาวเลย อาตมาเคยตั้งใจดูว่าตายแล้วจิตจะออกไปตอนไหน ปรากฏว่าใจจดจ่อมากไม่กลับไปไหนเลย อยู่อย่างนั้นแหละ ทั้ง ๆ ที่ร่างหมดลมไปตั้งหลายชั่วโมงก็อยู่แค่นั้น ไปจ้องมากคงจะอาย กลัวเราจะรู้ว่าไปอย่างไร

ช่วงนั้นอาการไข้กำเริบมาก รู้สึกเหมือนกับไฟธาตุหมด เย็นจากมือจากเท้า เย็นเข้ามา ๆ พอความเย็นลามมาถึงตัวถึงอกก็รู้ว่าไม่รอดแน่แล้ว จึงตั้งใจดูว่าจะตายอย่างไร คราวนี้พอความเย็นมากขึ้น ๆ เกิดเกิดนิมิตหลอนเหมือนกับจมน้ำ เพราะว่าพอรู้สึกเย็นก็เหมือนกับว่าตัวเราจมน้ำ พอน้ำท่วมจมูกมิดคือตอนที่ร่างกายหยุดหายใจแล้ว ก็คอยดูว่าจะไปอย่างไร

ความรู้สึกเหมือนกับว่าดิ่งลง ๆ จนกระทั่งกระทบพื้น เหมือนกับจมจนกระทั่งถึงก้นแม่น้ำ แล้วค่อย ๆ ลอยขึ้น ๆ พอจมูกพ้นน้ำ ร่างกายก็กระตุกเฮือกหายใจเอง คราวนี้พอประสาทร่างกายกลับคืนมาสมบูรณ์ ลืมตามาดูนาฬิกาเกือบตีห้า ตอนเริ่มเป็นดูนาฬิกาอยู่ที่ห้าทุ่มกว่า ตั้งใจดูว่าจะไปตอนไหน

ตอนช่วงที่อยู่ในน้ำก็รู้สึกตลอด ไปตอนที่แตะพื้นรู้สึกมากที่สุดเลย เหมือนกับโคลนเละ ๆ เย็น ๆ เย็นเจี๊ยบเลย ลองตายดูได้จ้ะ ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก

ทางด้านสายทิเบตมีการฝึกลองตาย เขาใช้เชือกรัดคอตัวเองแล้วก็โยงกับขา เหยียดออกไปให้รัดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ แต่บางคนหดกลับมาไม่ทัน เลย ตายจริง ๆ เขาจะฝึกดูว่าสภาพจิตมีการกลัวตายไหม ระหว่างนั้นมีความมั่นคงต่อสิ่งที่ตนเองฝึกปรือมาหรือเปล่า เขาเลยผูกล่ามกับขาตัวเองในลักษณะงอเข่าแล้วค่อย ๆ เหยียดออกไป เชือกที่รัดคอไว้ก็ตึงขึ้นเรื่อย ๆ ที่เขาผูกก็คือเล่นผูกอ้อมไปด้านหลัง ไม่มีโอกาสที่จะช่วยแกะได้ เรียกว่าฝึกกันอย่างเอาชีวิตเข้าแลก

เถรี
23-01-2013, 11:49
มีโยมนำพระเครื่องมาถวาย พระอาจารย์กล่าวว่า "พระทางเหนือเวลาทำพระเครื่องแต่ละองค์ไม่ได้คิดจะให้เข้าชุดกันเลย ใหญ่บ้างเล็กบ้าง ยิ่งถ้าไปเจอพระเปิมแต่ละองค์ ๓ นิ้วมือเลย คำว่า "เปิม" ภาษาเหนือก็บอกอยู่แล้ว ถ้าไม่ใหญ่ก็ไม่เปิม

คนโบราณเขาไม่แขวนพระ เขาว่าพระเป็นของสูง ต้องอยู่ในวัด ก็เลยใช้พวกเครื่องรางแทน มายุคปัจจุบันค่านิยมเปลี่ยน ยิ่งแขวนเยอะยิ่งดี มีลุงคนหนึ่งที่แขวนจตุคามฯ คนเดียว ๓๐๐ องค์ แสดงว่าแข็งแรงมาก ถึงแบกน้ำหนักขนาดนั้นไหว

อาตมามีจตุคามฯ อยู่ ๒ องค์ที่ตั้งใจเลี่ยมทองสวิสเก็บไว้เลยเพราะแบบสวยมาก แต่ว่าตั้งแต่ปี ๕๐ นี่เลี่ยมทองไปสี่หมื่นกว่า ๆ ลองคิดดูว่าราคาทองปัจจุบันนี่เท่าไร เดี๋ยวไว้เอาลงตอนเปิดกระทู้ใหม่ก็แล้วกัน

อาตมารบกวนท่านจตุคามรามเทพตั้งแต่ท่านยังไม่ดัง จนกระทั่งท่านดัง จนกระทั่งคนเลิกเห่อ อาตมาก็ยังคงกวนท่านอยู่เป็นปกติ ด้วยความที่ใคร ๆ ก็โหนกระแสท่าน วัดแทบทุกวัดในประเทศไทยต้องสร้าง หน่วยราชการหลายหน่วยก็สร้าง จตุคามฯ ก็เลยออกมาน่าจะเกินพันรุ่น ปริมาณที่ออกมารวม ๆ แล้วน่าจะเกินจำนวนประชากรในประเทศไทย เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องแปลกใจหรอกว่าทำไมถึงได้ราคาตกปานนั้น

ตอนที่รุ่นหลักเมืองปี ๓๐ ราคาขึ้นเป็นล้าน พอคุณเชษฐ์เอาไปปล่อยได้แค่ครึ่งเดียวเอง แบบเดียวกับรุ่นเจดีย์ราย ราคาหลายหมื่น ของอาตมาเอาออกหน้าตาเฉยในราคาไม่กี่พัน ตอนนั้นพ่อปู่ขุนพันธ์ท่านเป็นประธานบูรณะเจดีย์รอบพระธาตุเมืองนคร เมื่อท่านบอกบุญมา อาตมาไม่รังเกียจก็ทำอยู่แล้ว ช่วงนั้นจะมีวัตถุมงคลของท่านแทบทุกรุ่น งานศพพ่อปู่ขุนพันธ์นี่คนไปกันหลายหมื่น ตั้งใจไปรับวัตถุมงคลอย่างเดียวก็มาก"

เถรี
23-01-2013, 11:53
พระอาจารย์กล่าวว่า "เท่าที่ผ่านมาที่นิตยสาร Forbes เขาประกาศมหาเศรษฐีติดระดับโลก ส่วนใหญ่แล้วเป็นพวกอสังหาริมทรัพย์กับพวกหุ้น คนที่จะถือเงินสดทีเจ็ดแปดหมื่นล้านนี่คงจะยาก ไม่อย่างนั้นพิมพ์เงินมาครึ่งโลกก็คงไม่พอให้เขาถือหรอก

ที่น่ากลัวมากคือคุณเฉลียว อยู่วิทยา เจ้าพ่อกระทิงแดง และคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี สรุปว่าบ้านเรากินของมึนเมากับของชูกำลังจนเจ้าของรวยติดระดับโลกไปเลย ดู ๆ แล้วน่ากลัวมาก ตอนนี้บ้านเรา เบียร์สิงห์ เบียร์ช้าง ไฮเนเก้น คิริน กำลังแย่งกันทำตลาด ก็แสดงว่าโอกาสที่ตลาดบ้านเราจะโตยังมีอีกมาก ต่างประเทศเขามองเห็นเขาถึงได้กล้ามาลงทุน

ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับพระเลย เพราะแปลว่าคนไทยพร้อมที่จะเมาอยู่ตลอดเวลา ที่เขาบอกว่า "วันไหน ๆ พี่ไทยก็เมา" กิจการพวกนี้พอโตขึ้น ๆ เขาใช้วิธีแตกบริษัทลูกออกไป เพื่อจะขยายกิจการเพิ่มขึ้น ถ้าเป็นกิจการมหาชนก็คือควักกระเป๋าคนอื่นมาลงทุน เขาซื้อหุ้นเรา เราก็มีเงินมาลงทุน"

เถรี
23-01-2013, 11:57
มีโยมนำพระบูชาหลวงพ่อไหลมาเทมามาถวาย พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่เขาเขียนว่า "หลวงพ่อเงินไหลมาเทมา" จริง ๆ แล้วหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเรียกว่า “หลวงพ่อไหลมาเทมา” แปลว่าเอาทุกอย่าง แต่อันนี้เอาเงินอย่างเดียว ถ้าเป็นทองมาไม่เอา..ว่าอย่างนั้นเถอะ"

เถรี
23-01-2013, 11:58
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีคำถามว่าปีใหม่จริง ๆ แล้ว ควรที่จะยินดีหรือควรที่จะเสียใจ ? เพราะแก่ขึ้นอีกปีหนึ่งก็เท่ากับอายุลดน้อยถอยไปปีหนึ่ง แปลว่าที่เราฉลองปีใหม่ก็คือฉลองที่อายุหมดไปปีหนึ่ง ต้องเป็นคนที่เข้าถึงธรรมเท่านั้นที่จะทำใจสนุกสนานได้ เพราะดีใจที่ใกล้ตายแล้ว"

เถรี
23-01-2013, 12:03
พิธีการกราบขอขมาพระอาจารย์เนื่องในโอกาสวันปีใหม่ "อาตมาถือว่าเป็นตัวแทนของพระรัตนตรัย รับการขอขมาเนื่องในวาระดิถีขึ้นปีใหม่จากญาติโยมทุกท่าน จะว่าไปแล้ว ปีใหม่ ๒๕๕๖ เป็นปีที่บ้านเราเมืองเรากำลังจะพลิกฟื้นขึ้นมาสู่ความดี แต่เราต้องคิดด้วยว่า การที่ประเทศชาติของเราตกต่ำมาเป็นระยะเวลาหลายปี อยู่ ๆ จะให้ดีทีเดียวนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ในช่วงที่จะค่อยพลิกฟื้นคืนมาก็เหมือนกับการไต่ขึ้นที่สูง ย่อมต้องมีความยากลำบากอยู่บ้าง ซึ่งต้องอาศัยความอดทน อดกลั้น และความรักใคร่สามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จึงจะช่วยนำพาประเทศชาติของเรา ให้ก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างที่ทุกคนต้องการ

การที่ท่านทั้งหลายได้มาตั้งใจขอขมาพระรัตนตรัยในช่วงวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ก็ถือว่าเราเริ่มต้นปีใหม่ เริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยการกระทำในสิ่งที่เป็นความดี ความงาม ขณะเดียวกัน..ท่านทั้งหลายจำนวนมากด้วยกัน ก็ยังได้ประกอบกรรมความดี อย่างเช่น การสวดมนต์ข้ามปี โดยเฉพาะเพื่ออุทิศถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ก็แปลว่าสิ่งทั้งหลายที่เราทำความดีนั้น จะเป็นบุญเป็นกุศลในการส่งเสริมอุดหนุน ประคับประคองประเทศชาติของเราให้ก้าวขึ้นไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง สมดังที่เราปรารถนาทุก ๆ ประการ

ท้ายสุดนี้อาตมภาพในฐานะตัวแทน ก็ขออ้างคุณศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะเป็นประธาน มีกุศลบารมีที่ท่านทั้งหลายได้ร่วมกันเสริมสร้างมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้เป็นที่สุด จงมารวมกันเป็นตบะเดชะ พลวปัจจัย ดลบันดาลให้ทุกท่านไม่ว่าจะประกอบกิจการงานใดก็ตาม ให้ประสบแต่ความสำเร็จ มีความเจริญรุ่งเรือง แม้ปรารถนาสิ่งใดที่เป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรมวินัยแล้วไซร้

ขอบารมีคุณพระศรีรัตนตรัยได้โปรดดลบันดาลให้ท่านทั้งหลาย ประสบความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงทุกประการ มีความสมหวังในสิ่งที่ปรารถนาอันเป็นไปโดยชอบทุกท่านทุกคนด้วยเทอญ"

เถรี
23-01-2013, 12:05
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลายคนเวลาทำบุญแล้วกลัวจะไม่ได้บุญ อย่างไปซื้ออาหารในตลาดถวายพระกลัวจะไม่ได้บุญเลยทำเอง จำไว้เลยว่าทำเองนั่นแหละจะไม่ได้บุญ เพราะทำไปทำมาเหนื่อยขึ้นมาก็โมโห บุญลดลงอีก อะไรที่ทำแล้วสบายใจที่สุดให้ทำอย่างนั้น กำลังใจของเราทรงตัวบุญจะได้มากหน่อย ประเภทยกไปยกมาแถมบ่นอีกว่าทำไมหนักอย่างนี้ อารมณ์ไม่ดีขึ้นมาบุญกลับลดลงอีก"

เถรี
23-01-2013, 12:08
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการหล่อพระพุทธรูปทองคำ เมื่อวานกำลังนั่งรับสังฆทานอยู่ ท่านทำภาพให้เห็นลักษณะเหมือนกับพระพุทธรูปไม่มีพระเกตุมาลา ก็เลยกำหนดใจถามว่าหมายความว่าอย่างไร ? ท่านบอกว่าถ้าหล่อพระลักษณะนี้เราจะได้สร้างเครื่องทรงถวายด้วย ถ้าเอาลักษณะอย่างนั้นจะเสร็จเร็วเลย ไม่ต้องใช้ทองคำถึง ๔๐ กิโลกรัม

ตอนแรกตั้งใจจะหล่อเป็นแบบพระพุทธชินราชก็คือสมเด็จองค์ปฐมปางพระพุทธชินราช หน้าตัก ๑๐ นิ้ว ต้องใช้ทองคำประมาณ ๔๐ กิโลกรัม แต่ถ้าเป็นทรงอย่างที่ท่านว่ามาหน้าตัก ๑๐ นิ้ว ใช้ทองไม่กี่กิโลกรัมหรอก อย่างเก่งก็ ๑๐ กว่ากิโลกรัมเท่านั้น แล้วเราค่อยไปสร้างเครื่องทรงถวายทีหลัง ตีเสียว่าถ้าอายุ ๖๐ ปีสร้างองค์ท่าน แล้วอายุ ๗๒ ปี ถ้าตะกายอยู่ไปถึง ก็สร้างเครื่องทรงถวายท่านอีกรอบ

อาตมารู้จักช่างที่สร้างเครื่องทรงถวายพระแก้วมรกตด้วย เดี๋ยวจะลองถามดูว่าจะเอากี่สิบล้าน ความภูมิใจชีวิตของเขาก็คือได้รับความไว้วางพระราชหฤทัย สร้างเครื่องทรงถวายพระแก้วมรกต แต่อาตมาดู ๆ แล้วพระทรงเครื่องถ้าจะเอาสวย ต้องทรงเครื่องฤดูร้อน แต่ถ้าจะเอาแพงต้องฤดูหนาว แต่ไม่เป็นไร..เป้าหมายยังไม่เปลี่ยน เดี๋ยว ๖๐ ปีแล้วค่อยสร้าง หาช่างปั้นหุ่นฝีมือดี ๆ ก่อน ตอนนี้ช่างปรัชญ์ค่าตัวแพง หุ่นละหนึ่งแสนบาท..!"

เถรี
25-01-2013, 08:53
ถาม : วงสมาธิกับขอบเขตในการแผ่เมตตา อันเดียวกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อันเดียวกัน มีกำลังสมาธิแค่ไหนก็ไปได้แค่นั้น

ถาม : เราควรจะให้ใหญ่สุดเท่าที่จะใหญ่ได้ ?
ตอบ : ไปจนกระทั่งทุกภพทุกภูมิได้จะดีมาก ซ้อมไว้บ่อย ๆ เดี๋ยวก็ทำได้เอง

เถรี
25-01-2013, 09:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "การปฏิบัติธรรมช่วงมาฆบูชามีการอุปสมบทหมู่ ตอนแรกจะมีการฉลองพระพุทธพลังจิตทองคำด้วย แต่ช่างเขากลัวว่าถ้าเร่งทำแล้ว เกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมาจะแก้ไขไม่ทัน ฉะนั้น..จึงขอเลื่อนการฉลองพระพุทธพลังจิตทองคำไปเป็นวิสาขบูชาแทน แปลว่าตามรายการลงไว้ว่ามีการฉลองพระ ก็เป็นงานทำบุญวันมาฆบูชาเฉย ๆ

สำหรับปีใหม่ปกติอาตมาจะอัญเชิญพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วมาให้พวกเราได้สักการะกันที่บ้านวิริยบารมี แต่ปีนี้เชิญมาได้แต่ผอบ ท่านกลับไปนอนที่วัดเรียบร้อยแล้ว อุตส่าห์ห่อมาอย่างดิบดี ใส่กล่องแถมยังมีพลาสติกกันกระแทกมาด้วย สงสัยอากาศกรุงเทพฯ จะร้อน ท่านจึงหนีกลับไปนอนที่วัด เพราะฉะนั้น..ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปใครจะสักการะท่านก็ไปตอนวันวิสาขะฯ มาฆะฯ หรืออาสาฬหะฯ นะจ๊ะ

ถ้าศาลาใหม่สร้างเสร็จ อาตมาจะอัญเชิญไปจะตั้งไว้ ให้เข้าไปถวายสักการบูชาได้ทุกวัน ตอนนี้บอกกับช่างเขาว่า ถ้าพร้อมเมื่อไรให้เริ่มลงมือรื้อศาลาได้เลย จะวางศิลาฤกษ์วันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๖ หลังจากงานเป่ายันต์เกราะเพชรแล้ว ๑๑ วัน ก็แปลว่ามีเวลา ๑๐ วันหลังงานเป่ายันต์ฯ ให้เตรียมงาน

ศาลาการเปรียญเก่านั้น เสาทุกต้นส่วนที่เป็นปูนหมดสภาพแล้ว สนิมขึ้นดันปูนแตกหมดแล้ว ภาษาช่างเขาเรียกว่าเสาระเบิด ส่วนด้านบนปลวกกินไส้ตรงกลางเสาหมดแล้ว วันดีคืนดีหน้าฝนกำลังทำวัตรกันอยู่ แมลงเม่าก็บินพรูจากต้นเสามาเป็นทางเลย ถ้าไม่สร้างใหม่วันดีคืนดีศาลาทรุดลงไปเดี๋ยวจะเดือดร้อนกันใหญ่ ตอนทำจะขยายพื้นที่จากศาลาหลังเดิมให้คลุมหอฉันเก่าไปด้วย ศาลาหลังใหม่จะมีพื้นที่กว้าง ๔๐ เมตร ยาว ๔๐ เมตร คือ ๑ ไร่พอดี ทำเป็น ๒ ชั้น ชั้นล่างสูง ๘ เมตร เขาจะทำหลอกตาดูข้างนอกเหมือนกับเป็น ๒ ชั้นแต่เป็นชั้นเดียว ส่วนชั้นกลางจะเป็นที่ปฏิบัติธรรม ชั้นบนสุดที่เป็นดาดฟ้าจะตั้งหมู่เรือนไทยไว้เป็นชั้นที่ ๓

เมื่อ ๒ ปีก่อนไปสืบถามราคามา เขาบอกว่าพื้นที่ ๑ ไร่ ถ้าจะทำหมู่เรือนไทย ให้เตรียมงบฯ ไว้เลย ต่ำสุด ๒๐ ล้านบาท ตอนนี้อาตมากำลังคิดว่าถ้าไม้ราคาแพง เรือนไทยเราก็ทำเป็นคอนกรีต ถึงเวลาแล้วทาสีให้ดูเป็นไม้ก็ได้ เดี๋ยวนี้สีแบบไม้มี หรือไม่ก็ทำเป็นเรือนไทยแบบคอนกรีตนั่นแหละ หลังคาทรงไทยก็ทำได้ ราคาถูกกว่าไม้ตั้งเยอะ"

เถรี
25-01-2013, 09:16
โยมกำลังตัดฝ้ายเตรียมทำไส้ผางประทีป แก้ออกมาแล้วพันกันยุ่งไปหมด พระอาจารย์กล่าวว่า "เคยได้ยินสำนวนโบราณที่เขาบอกว่า ลิงแก้แหไหม ? ประเภทยิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่ง หาหัวหาท้ายไม่เจอ พันกันมั่วไปหมด เราต้องตัดไล่ไปเรื่อย ๆ ถ้าไปแก้อย่างนั้นก็มั่วอยู่แค่นั้นแหละ

"ลิงแก้แห" กับ "ลิงติดตัง" ก็พอ ๆ กัน ลิงแก้แหนี่ยิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่ง ท้ายสุดก็พันตัวเองนัวเนียไปหมด ลิงติดตังนี่ก็ยิ่งแกะก็ยิ่งติด

“ตัง” เป็นน้ำมันจากต้นไม้ ยางต้นไม้ที่เขาเจาะมา แล้วเอามาเคี่ยวจนเหนียว เสร็จแล้วก็เอาไปป้ายไว้ดักนก เขาเอาทาก้านไม้เอาไว้ ลักษณะประมาณตะเกียบยาวกว่านิดหน่อย แล้วก็เอาไปเสียบไว้ตามต้นไม้ เวลานกมาเกาะก็ติด พอขาติดอยู่จะขยับปีกบิน ปีกก็ติดไปด้วย คนก็ขึ้นไปแกะ ปรากฏว่าลิงก็มาติดอยู่ด้วย พอติดแล้วลิงแข็งแรงกว่าก็ดึงมือออกได้ คราวนี้พอมือขวาแกะก็ติด มือซ้ายแกะก็ติด เท้าแกะก็ติดให้ยุ่งไปหมด"

เถรี
25-01-2013, 10:24
ถาม : หลักฮวงจุ้ยที่ทำให้คนเจริญรุ่งเรือง ?
ตอบ : เกิดจากกรรมเก่า...ถ้ากรรมเก่าทำไว้ดีก็ได้ฮวงจุ้ยดี ถ้ากรรมเก่าทำไว้เฮงซวยก็ได้ฮวงจุ้ยไม่ดี

เถรี
25-01-2013, 18:39
ถาม : ได้สูตรยาน้ำหัวไชเท้าแล้วอาการดีขึ้นมากเลย
ตอบ : ต่อไปจำไว้ แพ้ยาเมื่อไรก็ต้มหัวไชเท้ากิน แล้วก็ไม่ใช่ไปกินส่งเดชเรื่อยเปื่อยนะ ของทุกอย่างต้องพอดี ไม่ใช่เห็นว่ากินแล้วหาย ไปกินมาก ๆ เข้าเดี๋ยวเป็นเรื่องอีก
ของที่น่ากลัวที่สุดก็คือถั่วงอก อย่าไปกินถั่วงอกดิบเป็นอันขาด เพราะเป็นตัวทำลายวิตามินและสารอาหารในร่างกายได้เด็ดขาดที่สุดแล้ว กินไปมาก ๆ เดี๋ยวจะหมดสภาพไปโดยไม่รู้สาเหตุ

เถรี
25-01-2013, 18:40
ถาม : ผมไปหล่อพระที่วัดแห่งหนึ่ง ทางวัดจัดให้บูชาแท่งทองราคาต่าง ๆ กัน มีแท่งทองเหลืองราคา ๒,๙๙๙ บาท พวกผมรวมเงินกันแล้วไม่ถึง แต่กรรมการเขาเห็นว่าเป็นเงินที่รวมกันมาหลายคน เขาจึงอนุญาตให้ทำบุญนำแท่งทองเหลืองนั้นไปหล่อพระได้ กรณีนี้พวกผมจะเป็นหนี้สงฆ์ไหมครับ ?
ตอบ : ติดตรงไหนล่ะ ? ถ้าไปขโมยเขามาสิถึงจะติด..!

เถรี
25-01-2013, 18:43
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของเจ็บไข้ได้ป่วยจริง ๆ แล้วเป็นธรรมดาของร่างกาย ความเจ็บป่วยมีคุณมหาศาลตรงที่ทำให้เราไม่ประมาทในชีวิต ระลึกรู้อยู่เสมอว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา บังคับบัญชาไม่ได้ ท้ายที่สุดคือเห็นว่าความตายอยู่ใกล้นิดเดียว ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ยิ่งเจ็บป่วยก็ต้องยิ่งระมัดระวังรักษากำลังใจให้ดี โดยเฉพาะใช้วัดตัวเองว่าสิ่งที่ทำมา ทำไปถึงไหนแล้ว

นักปฏิบัติถ้ามีอุบัติเหตุหนัก ๆ หรือเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ จะเห็นกำลังใจตัวเองชัดมาก ถึงเวลานั้นจะรู้ว่าต้นทุนของตัวเองเพียงพอหรือไม่ ถ้ายังไม่พอก็เร่งสุดชีวิตได้แล้ว ถ้าพอแล้วก็อย่าประมาท เร่งสั่งสมให้มากยิ่ง ๆ ขึ้นไป

ตั้งแต่อาตมาไม่ฉันยามา ๒ ปี รู้สึกว่าการเจ็บป่วยน้อยลงไปมาก แสดงว่าก่อนหน้านี้ป่วยเพราะยาเสียส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะปัจจุบันร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกันเหลือเลย ตอนช่วงที่เขาเอาไปทดลองยารักษามาลาเรียตัวใหม่อยู่ตัวหนึ่ง คำเตือนระบุไว้ว่ายาตัวนี้จะไปกดภูมิคุ้มกันร่างกาย จะยินดีรักษาหรือไม่ ? ปัจจุบันนี้หมอเขาตรวจแล้วบอกว่าอาการใกล้เคียงกับคนเป็นเอดส์ คือไม่มีภูมิคุ้มกันเลย

ฉะนั้น..ถ้าอยู่ใกล้คนที่เป็นโรคที่สามารถระบาดได้จะติดทันที ใครเอาหวัดมาฝากนี่อาตมารับด้วยความยินดี..มาถึงก็ได้เลย โบราณเขาเก่งจริง ๆ เขาเรียกว่า “ยา” ยาคือการอุดรูรั่ว แสดงว่าร่างกายรั่ว เจ็บไข้ได้ป่วยเลยต้องยาให้ดี"

เถรี
25-01-2013, 18:55
ถาม : คนที่หาซื้อของมาถวายสังฆทานเอง กับคนที่มาถึงก็แค่ยกถังกับพระพุทธรูปที่เรามีไว้ให้แล้ว ผลจะต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : สำคัญอยู่ที่เราตั้งใจ

ถาม : แต่บางทีใช้ของที่เขาเตรียมไว้ก็ไม่รู้ว่าในถังมีอะไรบ้าง ?
ตอบ : ไม่จำเป็นต้องรู้ ก็ได้แบบไม่รู้ ไม่เปิดดูก็ไม่รู้สักทีว่าตัวเองได้อะไรมา ขอให้ได้ถวาย ไม่ได้สำคัญตรงที่ได้ถวายอะไร ต่อให้เป็นทาสทานก็ยังมีผลอยู่

ถาม : แล้วอย่างคนที่เข้าครัวทำกับข้าวมาทำบุญเอง กับคนที่ซื้อมาทำบุญครับ ?
ตอบ : คนที่ซื้อมาน่าจะได้เปรียบกว่า อารมณ์ใจไม่ขึ้น ๆ ลง ๆ เข้าครัวทำเองแล้วเหนื่อย เกิดโมโหขึ้นมาก็บุญหายไปเยอะแล้ว สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านยังอยู่ ท่านแนะนำเสมอว่า ถ้าตั้งใจจะทำบุญบ้านก็ดี จัดงานทำบุญใหญ่อะไรก็ดี ให้หาคนมาเป็นแม่งานรับผิดชอบแทน อย่าลงไปคลุกงานด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นถ้าใจหมองบุญก็ลด

สมมติว่าเราจะทำบุญวันเกิด นิมนต์พระ ๙ รูปมาเจริญพุทธมนต์แล้วถวายภัตตาหารที่บ้าน มัวแต่ไปชี้นิ้วสั่งการอยู่ อันไหนไม่ถูกใจเดี๋ยวก็ได้ด่า กำลังใจจะตก ท่านก็เลยบอกว่าให้หาคนมาเป็นแม่งานรับผิดชอบแทน ตัวเราก็นั่งรักษาอารมณ์ไว้

เถรี
25-01-2013, 18:59
ถาม : รักษาอารมณ์ใจให้ดี ยากมาก
ตอบ : ยากมาก ของมีง่ายกว่าทำของง่ายเถอะ อย่างในเรื่องขุนช้างขุนแผน

“ครานั้นจึ่งนางทองประศรี.......เรียกข้าด่ามี่อยู่ไจ่ไจ่
อ้ายโม่งอีมาช้าอยู่ไย............มึงเอาขันใบใหญ่ไปใส่น้ำ
ขมิ้นดินสองพองเอาไว้ไหน......เมื่อวานกูใส่ไว้ในถ้ำ
มึงอาบน้ำลูกยาทาขมิ้นตำ.......ระน้ำร่ำรดหมดเหงื่อไคล”

นั่นบวชลูกชายนะ ด่าลูกน้องไปเท่าไรก็ไม่รู้ ถ้าไม่ได้มาปลื้มตอนเห็นลูกครองผ้าเหลืองนี่ รับรองไว้ว่าบุญหายไปเยอะเลย

เถรี
25-01-2013, 19:05
ถาม : ถ้าลูกบวช แล้วบุพการีได้บุญโดยไม่ต้องโมทนาหรือครับ
ตอบ : ไปเป็นบุพการีเอง..ถึงเวลาลูกบวชดูซิว่าได้จริงไหม ? ไม่อย่างนั้นยืนยันไปก็เท่านั้นเอง

เด็กรุ่นหลังได้เรียนขุนช้างขุนแผนหรือเปล่าไม่รู้ ? อาตมาเรียนพลายแก้วบวชเณรมาตั้งแต่ ป.๔

จะกล่าวถึงพลายแก้วแววไว......เมื่อบิดาบรรลัยแม่พาหนี
ไปอาศัยอยู่กาญจนบุรี.............กับนางทองประศรีผู้มารดา
อยู่มาจนเจ้าจำเริญวัย..............อายุนั้นได้ถึงสิบห้า
ไม่วายคิดถึงพ่อที่มรณา...........แต่นึกตรึกตรามากว่าปี
อยากจะเป็นทหารชาญชัย.........ให้เหมือนพ่อขุนไกรที่เป็นผี ฯลฯ

ขุนไกรเก่งแค่ไหนก็ตาย เพราะว่าไม่สามารถที่จะขัดรับสั่งเจ้าเหนือหัวได้

จึงอ้อนวอนมารดาได้ปรานี..........ลูกนี้จักใคร่รู้วิชาการ
พระสงฆ์องค์ใดวิชาดี.................แม่จงพาลูกนี้ไปฝากท่าน
ให้เป็นอุปัชฌาย์อาจารย์.............อธิษฐานบวชลูกเป็นเณรไว้

ตั้งใจบวชไปเรียน สมัยก่อนเขาถึงได้ใช้คำว่าบวชเรียน

เถรี
25-01-2013, 19:08
ครานั้นทองประศรีผู้มารดา............ได้ฟังลูกว่าหาขัดไม่
อันสมภารที่ชำนาญในทางใน........ท่านขรัววัดส้มใหญ่แหละดีครัน

วัดส้มใหญ่อยู่แถวหนองขาว แสดงว่าบ้านท่านอยู่แถว ๆ นั้นแหละ หลวงตาบุญ วัดส้มใหญ่

เจ้าคิดนี้ดีแล้วแก้วแม่อา...........แม่จะพาไปฝากขรัวบุญท่าน
จะได้รู้การณรงค์คงกระพัน...........ให้เหมือนกันสืบต่อพ่อขุนไกร

แสดงว่าสมัยเก่าคนที่ฝึกอภิญญาเป็นเรื่องปกติ ส่งลูกไปเรียนต้องสำเร็จแน่นอน บอกเลยนะว่าถ้าไปหาอาจารย์คนนี้รับรองทำได้แน่เหมือนพ่อเลย ต้องบอกว่าสภาพจิตและเรื่องของสภาพสังคมเขายังเอื้อกันอยู่ ไม่มีใครไปรบกวนให้เสียสมาธิ ยกเว้นนางพิมจะไปถวายผ้าสไบติดกัณฑ์เทศน์..!

เถรี
25-01-2013, 19:15
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนนี้สมเด็จองค์ปฐมทองคำเขาขอบูชาไปแล้ว ถ้าอาตมาจะสร้างลูกแก้วจักรพรรดิก็ต้องไปยืมเขากลับมา เพราะว่าสมเด็จองค์ปฐมองค์นั้นอาตมาอาราธนาลูกแก้วจักรพรรดิหลวงปู่ทวดใส่ไว้ ยังขำ ๆ ก็คือมีคนไปอธิษฐานขอใช้อานุภาพแก้วจักรพรรดิ แต่หลวงปู่ท่านบอกให้ไปเอาที่อาตมา ท่านยืนยันว่าให้มาแล้วจริง ๆ เพราะไปเห็นเขาแล้ว เขาไม่ได้ทำในลักษณะที่ว่าสมกับเป็นแก้วคู่บารมีหลวงปู่ เขาอยู่ในลักษณะต้อนคนไปซื้อวัตถุมงคลมากกว่า

อาตมาเห็นแล้วก็นั่งเซ็ง สถานที่สำคัญออกปานนั้น ครูบาอาจารย์สำคัญออกปานนั้น ของวิเศษอย่างนั้น มีสักอย่างหนึ่งก็ทำให้วัดดังแล้วดังอีกได้ ดันไปเน้นด้านการจำหน่ายวัตถุมงคล ก็เลยไปขอหลวงปู่ท่าน บอกว่า “ในเมื่อเขาไม่รู้คุณค่าก็ขอผมเถอะครับ” ท่านก็ตกลง คราวนี้จะเอาไปอย่างไร ทั้งเนื้อทั้งตัวมีสมเด็จองค์ปฐมทองคำอยู่องค์หนึ่ง จึงอาราธนาอานุภาพลูกแก้วใส่สมเด็จองค์ปฐม

ต่อไปถ้าจะสร้างลูกแก้วจักรพรรดิต้องไปยืมเขา แต่ไม่เป็นไรหรอก ไปเอาลูกที่วัดเขาวงได้ เพราะลูกแก้วของวัดเขาวงอาตมายังพกอยู่ เพียงแต่ว่าของวัดเขาวงยังเหลือหรือเปล่าเท่านั้นแหละ"

เถรี
05-02-2013, 19:43
ถาม : หนูบูชาธงพิชัยสงครามไปไว้บ้านที่หาดใหญ่ บ้านพังตลอด น้ำท่วมด้วยค่ะ ?
ตอบ : เกี่ยวอะไรกับพระเล่า ? ประเภทนี่แหละจะเป็นมิจฉาทิฐิเอาง่าย ๆ เอาพระเข้าบ้านแล้วได้จังหวะบ้านพังพอดี ก็โทษว่าเอาพระไปอยู่แล้วบ้านพัง..!

เถรี
05-02-2013, 19:45
ถาม : บางครั้งเราภาวนา อยู่ ๆ ทำไมเหมือนโลกหยุดไปเฉย ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เคลื่อนไหว ?
ตอบ : สมาธิเข้าสู่ขั้นที่ละเอียดกว่าเดิม

ถาม : จะเป็นฌานหรือไม่ครับ ?
ตอบ : จะเป็นหรือไม่เป็นต้องไปสังเกตเอง แต่เป็นการก้าวเข้าไปสู่ขั้นที่ละเอียดกว่าเดิม

เถรี
05-02-2013, 19:47
ถาม : ทำสมาธิอย่างไรให้มีสติ ?
ตอบ: ทำอย่างไรก็ได้ ให้สมาธิอยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้าตอนนั้น

ถาม : ถ้าเราส่งจิตออกนอกไป แล้วเรารู้ทันดึงกลับมาใช่ไหมครับ ?
ตอบ: ได้อยู่...แต่ก็เสียท่าเขาไปเยอะแล้ว

เถรี
05-02-2013, 19:52
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีหลายคำถามที่นอกจากกำกวมแล้วยังต้องใช้เวลาอธิบายมาก อย่างเช่น เขาถามว่าการเลือกเสาเอกจะเลือกอย่างไร ? ลักษณะคำถามนี้แบ่งได้ ๒ อย่าง ก็คือควรจะเลือกเสาต้นไหนเป็นเสาเอกของบ้านนั้น ? ซึ่งเราต้องไปเปิดตำราดูว่าเราปรารถนาอะไร ต้องการเรื่องอำนาจ เรื่องของบริวาร เรื่องของลาภยศ ต้องการเรื่องของทรัพย์สินเงินทอง เขาจะมีอยู่ว่าทิศไหนของเสาเอกให้ผลอย่างไร

ส่วนอีกวิธีหนึ่งของคำถามนี้ ก็คือจะเลือกเสาแบบไหนมาทำเสาเอก ? ซึ่งลักษณะของสมัยก่อนเป็นเสาไม้ ลักษณะการเลือกเสาไม้ของสมัยก่อนนั้น เขาจะเลือกเสาที่ไม่มีตาไม้อยู่ในระดับต่ำ อย่างน้อย ๆ ต้องให้ตาไม้สูงระดับเอวขึ้นไป

เขาให้คำว่า "หมูสี เป็ดไซ้ ไก่ตอด" หมูสีก็คือหมูมาเอาสีข้างถูต้นเสา ถ้าตาไม้อยู่บริเวณนั้นเขาถือว่าไม่ดี ถ้าเป็ดไซ้ก็คือเมื่อถึงเวลาฝังเสาลงไปแล้วตาไม้อยู่ระดับเสมอพื้นดิน ถ้าไก่ตอด ก็คือในระดับที่ไก่จิกถึงก็สูงจากพื้นประมาณคืบเศษ ๆ ถ้าตาไม้อยู่บริเวณนั้นเขาถือว่าไม่ดีจะทำให้เดือดร้อน

ดังนั้น..คำถามบางคำถาม เป็นคำถามที่ยาวเกินกว่าจะอธิบายความได้ ขณะเดียวกันบางทีลักษณะของคำถามก็ถามเกินความจำเป็น"

เถรี
05-02-2013, 19:54
"ส่วนใหญ่แล้วตำราการปลูกบ้านของแต่ละชาติจะมีการถือเคล็ดที่ไม่เหมือนกัน แต่ส่วนหนึ่งที่คล้าย ๆ กันก็คืออย่าไปปลูกเรือนคร่อมตอ อย่าไปปลูกเรือนคร่อมบ่อน้ำเก่า ซึ่งลักษณะการถือตรงนี้คล้าย ๆ กันไปหมด ส่วนจะเอาทิศไหนทางไหนก็ต้องดูเรื่องของทางน้ำทางลมด้วย

โบราณเราส่วนใหญ่แล้วคล้อยตามธรรมชาติ ในเมื่อคล้อยตามธรรมชาติ โอกาสที่จะเดือดร้อนเพราะธรรมชาติก็มีน้อย แต่สมัยใหม่มักจะปลูกไปเรื่อยเปื่อย ถ้าไม่ได้ดูเรื่องของทางน้ำทางลมหรือทิศทางของแสง ถึงเวลาก็อาจจะเดือดร้อนกว่าที่คิด

ส่วนแต่ละทิศที่เราเลือก หรือเสาเอกที่เราเลือก จะมีผลตามตำราอย่างไรก็คงต้องตามใจเจ้าของบ้าน ปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ต้องตามใจผู้นอน ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่นะพอได้ แต่ผูกอู่ไม่ต้องตามใจผู้นอนหรอก ให้มีนอนก็พอ เด็ก ๆ เลือกมากไม่ได้หรอก เลือกมากเดี๋ยวโดนไม้..!"

เถรี
05-02-2013, 19:56
พระอาจารย์กล่าวว่า "เข้ามาถวายสังฆทานพร้อม ๆ กันได้ อาตมายิ่งเป็นหวัดหายใจไม่ค่อยจะออกอยู่แล้ว ต้องมาให้พรทีละชุดก็ตายพอดี ทำอะไรไม่ค่อยจะใช้ปัญญากันเลย สมัยก่อนไปกราบหลวงพ่อเกษมที่สุสานไตรลักษณ์ ก็เจอลูกศิษย์ฉลาดที่จะทำอาจารย์ตายเร็ว

วันเกิดหลวงพ่อเกษมเขากั้นให้เข้าทีละคน ถ้าเป็นอาตมาก็ปล่อยให้พรวดเดียวเข้าไปเต็มห้อง กราบเสร็จแล้วก็ไล่ออกมา ใครเขาจะไปว่าอะไร เพราะรู้ ๆ อยู่ ปรากฏว่าเขากั้นให้เข้าทีละคน แถวข้างนอกยาวเกือบ ๓ กิโลเมตร แล้วเมื่อไรหลวงพ่อท่านจะได้พัก พอเขาเห็นอาตมาเป็นพระ เขาก็บอกให้โยมหยุดก่อน ให้พระเข้าก่อน อาตมาบอกว่าไม่ต้องหรอก ว่าแล้วก็กราบตรงข้างนอกนั่นแหละ เสร็จแล้วก็กลับเลย

เวลาจะทำอะไรก็ให้ดูด้วย ถ้าทำบุญแบบไม่ได้ใช้ปัญญาประกอบ บางทีก็สร้างกรรมให้ตนเองแบบไม่รู้ตัว คนไปก็หวังจะไปกราบหลวงพ่อกันทุกคน ถ้าปล่อยพรวดเดียวเข้าไปเต็มห้อง อย่างน้อย ๆ ก็ได้ ๒๐ - ๓๐ คน กราบเสร็จแล้วขอร้องให้เขาออก คนข้างนอกยังอีกหลายพันคน เขาก็รู้ภาษาอยู่แล้ว นี่กั้นให้เข้าไปทีละคน หลวงพ่อจะได้สบายไม่ต้องรับแขกมาก แต่ลืมนึกถึงเวลาว่าเจอไปทั้งวันแล้วท่านจะเป็นอย่างไร"

เถรี
05-02-2013, 19:58
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องหลักคำสอน ปัจจุบันนี้ดีตรงที่ว่า การค้นข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตทำได้ง่าย แต่กระนั้นก็ดี บางรายก็เคารพครูบาอาจารย์แบบไม่ลืมหูลืมตา ต่อให้เขายกพระพุทธวจนะจากพระไตรปิฏกมา ก็พยายามจะค้าน กลายเป็นทะเลาะเบาะแว้งกันไป เพราะฉะนั้น..เราต้องทำตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า “อย่ากล่าววาจาอันเป็นเหตุให้เถียงกัน”

เถรี
05-02-2013, 20:07
มีโยมเอาวัตถุมงคลมาถวาย พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "อันนี้ตะกรุดหลวงปู่สาย ทำจากฝาบาตรแล้วอุดผงวิเศษ สมัยโบราณเขาหาวัสดุยาก บรรดาตะกรุดหรือแผ่นยันต์ก็เลยใช้ตะกั่วถ้ำชา ก็คือตัวหุ้มป้านน้ำชา เอาตะกั่วมาหุ้มนวมแล้วก็เอาป้านน้ำชาใส่ไว้เพื่อรักษาความร้อน เขาเลยเรียกตะกั่วถ้ำชา เอาตะกั่วถ้ำชามาทุบ ตีแผ่ รีดเป็นแผ่น แล้วก็ทำเป็นตะกรุด หรือง่าย ๆ เลยก็คือถ้าบาตรชำรุดก็เอาฝาบาตรมาทำตะกรุด โดยเฉพาะตรงขอบ ตัดมาแล้วจะม้วนได้ง่าย"

เถรี
05-02-2013, 20:51
ถาม : ตัดไม้ใหญ่ แล้วนำกิ่งมาตั้งไว้ในศาล ?
ตอบ : ขอให้ตั้งปลายขึ้นฟ้าเท่านั้น เขาก็อยู่ได้แล้ว

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ได้....เพราะไม่ใช่ศาลพระภูมิ เขาสร้างให้รุกขเทวดา จึงอยู่ทิศนั้นได้ หน้าตาก็ศาลพระภูมิดี ๆ นี่เอง เพราะเล่นยกศาลพระภูมิไปตั้ง ต้องไปดูที่ศาลา ๒ ไร่ด้านบน ตอนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านทำศาลา ๒ ไร่ ท่านให้ตัดต้นทองกวาวออกไปเยอะ ท่านต้องตั้งศาลไว้ข้างบนเรียงเป็นตับเลย ต้นหนึ่งก็หลังหนึ่ง

ถาม : ไม้ที่ตัดต้องกิ่งขนาดไหนครับ ?
ตอบ :สักประมาณท่อนแขน ยาวประมาณคืบหนึ่งก็ได้ ตั้งหันปลายขึ้น เขาจะได้เอาวิมานไปแปะต่อได้

ถาม : ปกติต้นไม้จะมีรุกขเทวดาทุกต้นไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม้มีแก่นสูงตั้งแต่คืบหนึ่งขึ้นไปมีรุกขเทวดาทั้งนั้น ยกเว้นพวกไม้ที่ขึ้นส่งเดช เช่นขึ้นตามกำแพง ถอนทิ้งได้เลย..ไม่เป็นอะไร เทวดาเขาไม่อยู่ให้เสียเวลาหรอก เขารู้ว่าเดี๋ยวก็โดนรื้อ แต่อย่าลืมว่าหันปลายขึ้น ถ้าหันโคนขึ้นเขาก็หมดสิทธิ์

เถรี
05-02-2013, 20:59
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : แบบเดียวกับที่เสาตกน้ำมันนั่นแหละ พอถึงเวลาเสาล้ม วิมานเขาก็สลายตัว เขาก็ต้องตามไปเรื่อย ตามไปด้วยความหวังว่าคนจะตั้งเสาขึ้น พอถึงเวลาตั้งเสาขึ้นก็เอาวิมานไปแปะต่อได้ เขาก็แสดงอาการให้รู้ด้วยการตกน้ำมัน แต่ที่แปลกที่สุดก็คือพระนาคปรกที่แกะจากไม้สารคาม อาตมาบูชามาจากพม่า ปีรุ่งขึ้นน้ำมันตกนองพื้นเลย

ถาม : เกิดจากอะไรครับ ?
ตอบ : ท่านคงจะบอกให้รู้ว่า จะใช้อะไรท่านก็ใช้เถอะ น้ำมันตกท่วมพื้นเลย ตอนแรกไม่ได้สังเกต ว่าจะยกท่านออกจากกล่องกระจกที่พื้นเป็นกำมะหยี่ ปรากฏว่าดูดติดกำมะหยี่ อาตมาก็ลองไปแตะดูว่าทำไมเปียก ๆ เอาขึ้นมาดมเป็นกลิ่นน้ำมันไม้สารคาม น้ำมันตกท่วมพื้นเลย องค์ท่านก็เลยติดกับกำมะหยี่ องค์ที่หน้าตักเป็นคืบ ทำจากไม้จันทน์ ถวายหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศไปแล้ว องค์ไม้สารคามนี้ยังเก็บอยู่ ท่านตกน้ำมันได้ดุเดือดดีแท้

ถาม : แล้วถ้าจะตั้งศาลพระภูมิด้วยกันเลยได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีแล้วอยากจะสร้างก็สร้างให้ถูกทิศ คือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

เถรี
06-02-2013, 09:48
ถาม : ศาลที่ตั้งให้รุกขเทวดาต้องมีทิศไหมครับ ?
ตอบ : ต้นเดิมอยู่ตรงไหนก็ใกล้ตรงนั้นแหละ ขืนไปไกลเดี๋ยวท่านขี้เกียจตาม แล้วจะมากวนเราแทน

เสาตกน้ำมันต้องไปขอดูเรือนของลุงเฉลิม คงทอง ลุงเฉลิมเป็นคริสต์นะ แต่คริสต์กลุ่มนี้นับถือหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค แล้วก็ต่อมาถึงหลวงพ่อวัดท่าซุงด้วย

ตอนที่หลวงปู่ปานสิ้นแล้ว มีบ้านอยู่หลังหนึ่งสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง เสาตกน้ำมันทุกต้น แม้กระทั่งเสาที่เขาปักไว้กลางลานบ้านก็ตกน้ำมัน เจ้าของบ้านก็อยู่ไม่ได้ คนไปขอซื้อบ้านก็อยู่ไม่ได้ ลุงเฉลิมเห็นว่าขายถูกมาก อยากได้ ก็ไปปรึกษาหลวงพ่อวัดท่าซุง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ให้เอาพานดอกไม้ธูปเทียนพร้อมกับพวกของหอมไปจุดธูปบอกกล่าว ว่าขออนุญาตซื้อเรือนหลังนี้ ถึงเวลาก็จะทำการบูชาให้สมกับเกียรติของท่าน

ลุงเฉลิมก็ทำตาม ผลปรากฏว่าลุงเดินขึ้นบันไดเรือนเกือบจะหงายหลังลงมา เขาบอกผู้ชายตัวใหญ่เบ้อเริ่ม นุ่งแดงใส่แดงนั่งหัวค้ำหลังคาอยู่ พอลุงถือพานดอกไม้ธูปเทียนเข้าไป ท่านบอกว่า “เออ..ถ้าทำอย่างนี้ก็อยู่ด้วยกันได้” ลุงเฉลิมก็ถามว่าให้ทำอย่างไร ท่านบอกว่าให้ถอนเสาเรือนทุกต้น แล้วทำเครื่องหมายไว้ด้วยว่าด้านไหนหันขึ้น แม้กระทั่งเสาที่ลานบ้านก็ให้เอาไปด้วย ลุงเฉลิมก็เอาไปแล้วปลูกเป็นเรือนขึ้นมา ราคาสมัยนั้นไม่กี่สตางค์เอง เจ็ดแปดพันบาทท่านบอกว่าใหญ่เป็นศาลาเลย

พอสร้างเป็นบ้านขึ้นมาเขาก็มาเข้าฝัน บอกว่าทุกวันพระให้ถวายไข่ต้ม ๑ ฟอง มีอะไรจะให้เขาช่วยก็บอก ครอบครัวคุณเฉลิมอยู่ดำเนินสะดวก ปลูกพวกผัก เป็นสวนผักของคนจีน ถึงเวลาผักชนิดไหนจะราคาดีในปีนั้นท่านก็จะมาบอก ลุงเฉลิมก็ขายร่ำรวยอยู่คนเดียว พรรคพวกมีอะไรเดือดร้อนวิ่งมาหาลุงเฉลิม ลุงเฉลิมพาไปวัดท่าซุงหมด ตกลงพวกนั้นเป็นคริสต์แต่ชื่อ เข้าวัดแขวนพระกันหมด

อาตมาเจอลุงเฉลิมหลายที ตอนแรกก็นึกว่าจะแก่มากเพราะว่ารุ่นไล่ ๆ กับหลวงพ่อ ปรากฏด้วยความที่แกทำไร่ทำนา จึงแข็งแรงมาก ก็เลยดูเหมือนกับคนไม่แก่ ถ้าลุงเฉลิมไปกราบหลวงพ่อทำบุญอะไรเสร็จ ก็จะมาหาป้านนทาที่ตึกริมน้ำ อาตมาเป็นเวรหน้าห้องหลวงพ่ออยู่ ก็เลยได้เจอกันบ่อย

เถรี
06-02-2013, 10:00
ถาม : ลุงเสียแล้วยังครับ ?
ตอบ : ได้ยินว่าตายแล้วนะ ลุงเฉลิมตายแล้ว ลุงสมบูรณ์ เวสารัชชานนท์ตายแล้ว พวกลูกศิษย์รุ่นเก่า ๆ ไปกันเยอะแล้ว ลุงสมบูรณ์ตายแบบนั่งกรรมฐานเลย ตายคากรรมฐาน

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านแนะนำว่า เสาตกน้ำมันให้ถอนตะปูออกให้หมด เว้นไว้แต่ที่ตีไม้ฝาติดกับเสา ให้เจิมด้วยแป้งหอมน้ำมันหอม ถ้ามีทองจะปิดทองด้วยก็ได้ ถึงเวลาให้นิมนต์ไปทำบุญเลี้ยงพระสัก ๗ รูป ๙ รูป แล้วอุทิศส่วนกุศลให้เขา ท่านบอกว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้กตัญญู ส่วนใหญ่ชอบบอกหวย พอถึงเวลาเขาได้ดีจากเราก็ตอบแทนมาก ส่วนใหญ่ชอบบอกหวย แต่มีหลายรายเป็นยามเฝ้าบ้านที่โหดมาก ขโมยขึ้นบ้านนี่ตีจนบอบช้ำไปเลย

ขโมยเห็นผัวเมียออกไปขายของกันทุกวัน พายเรือไปกว่าจะกลับก็ค่ำมืดทุกที พอซุ่มดูจนมั่นใจแล้วก็งัดบ้าน ก่อนที่จะงัดบ้านก็เดินดูรอบบ้านเห็นหน้าต่างเปิดแง้มอยู่ ก็คิดว่าไม่ต้องงัด ไปเอาไม้กระทู้ เด็กสมัยนี้รู้จักไม้กระทู้ไหม ? เป็นไม้ไผ่ที่ตัดให้เหลือก้านไว้หน่อยไว้เดินเหยียบได้

เอาไม้กระทู้มาพาดหน้าต่างแล้วก็ปีนขึ้นไป ปรากฏว่ามีสาวโผล่มาจากหน้าต่าง บอกว่า "ทำไมพี่มาช้าจัง หนูรออยู่ตั้งนาน” ขโมยก็คิดว่าสบายล่ะงานนี้ ปรากฏว่าปีนอยู่เขาเห็นว่าปีนไม่ทันใจ จึงเอื้อมมือช่วยจับแขนแล้วดึงพรวดขึ้นไปเลย ขโมยยังไม่สังหรณ์ใจอีกว่าผู้หญิงอะไรลากผู้ชายลอยขึ้นไปทั้งตัว ปรากฏว่าโดนซ้อมซะอานเลย ประเภทตบปลิวติดข้างฝาแล้วซ้ำ โดนซะน่วม ถ้าโดดหน้าต่างหนีไม่ทันมีหวังคงล่อปางตายจริง ๆ ตั้งแต่นั้นมาไม่มีใครกล้าเข้าบ้านนั้นอีกเลย

เขาบอกว่าเจ้าที่แรง ความจริงไม่ใช่เจ้าที่แต่เป็นรุกขเทวดา ถ้าเป็นเราเจอผู้หญิงหิ้วเลยไปทั้งตัวนี่ดิ้นสุดชีวิตแล้ว ไม่เอาด้วยแล้ว บ้านรวยแค่ไหนก็ไม่ปล้นแล้ว ผิดปกติชัด ๆ ปกติผู้หญิงเขาเรี่ยวแรงน้อย ผู้ชายหนัก ๖๐-๗๐ กิโลกรัม โดนหิ้วติดมือไปยังไม่ระแวงอีก จะว่าไปแล้วพวกนี้เขาสะกดได้ ทำให้คนไม่ระแวง อาตมาโดนผีหลอกทีไรไปสงสัยหลังจากที่เขาไปแล้วทุกที ตอนอยู่ตรงหน้าเหมือนอย่างกับเขาบังไม่ให้เราสงสัย คิดแต่ด้านดีกับตัวเองไว้ก่อน

เถรี
06-02-2013, 10:19
ถาม : ในบทสวดมนต์ที่ลงท้ายด้วยเครื่องหมายไปยาลน้อย หมายความว่าอะไรครับ ?
ตอบ : แปลว่าจริง ๆ แล้วมีเนื้อหามากกว่านั้น แต่เป็นเนื้อหาที่ซ้ำกับข้างบน เขาเลยตัดออกเหลือแค่นั้น เพราะว่าตัดออกแล้วไม่เสียความ คือพระพุทธเจ้าเวลาท่านสอนท่านจะสอนละเอียด ท่านจะย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก คนรุ่นหลังอ่านจนเหนื่อย หรือไม่ก็ขี้เกียจพิมพ์ก็เลยใส่ไปยาลน้อยไว้

บางที่ก็ไปยาลน้อยแล้วก็มีตัว ป คำว่า “เปฯ” ก็มาจากเปยยาลนั่นแหละ เพราะว่าเป็นเสียง เอย ออกเสียงสระไอไม้มลายครึ่งหนึ่ง ออกเสียงเอยครึ่งหนึ่ง ก็เลยเป็นไปยาล

เถรี
06-02-2013, 10:30
ถาม : มีช่วงไหนที่ท่านห่างจากการอ่านจากหนังสือไหมครับ ?
ตอบ : ช่วงเป็นทหาร ตอนที่อยู่กองโรงเรียน ๖ เดือน แทบไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะว่าเช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้า ถ้าไม่อยู่ในห้องเรียนก็อยู่ในสนามฝึก

ถาม : ตอนฝึกสมาธิแรก ๆ อ่านหนังสือด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ต้องเอาตำราเป็นหลัก เพราะว่าไม่มีครูสอน อาตมาเปิดจนเปื่อยเป็นเล่ม ๆ เลย เทปของหลวงพ่อวัดท่าซุงที่ฟังประจำ ๆ มีอยู่ประมาณ ๑๕๐ ม้วน ฟังจนยืดฟังไม่ได้ ก็ยัดเข้าตู้เย็น เอาออกมาฟังใหม่ได้อีกรอบสองรอบ ก็ต้องยัดเข้าไปใหม่จนหมดสภาพ ต้องกัดฟันควักกระเป๋าไปซื้อใหม่ จนกระทั่งทุกวันนี้พระที่วัดสงสัยว่า เวลานั่งกรรมฐานฟังเสียงหลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่ ก่อนจบนิดหนึ่งอาตมาจะลุกขึ้นไปเปิดไฟ เขาสงสัยว่ารู้ได้อย่างไรว่าจะจบ อาตมาฟังจนจำได้ทุกคำแล้ว จะให้เทศน์แทนตามนั้นทุกคำก็ยังไหว

ม้วนที่ใครที่คิดจะปฏิบัติแล้วคิดว่าครอบคลุมจริง ๆ จะอยู่ในธุดงค์และปฏิปทาปฏิบัติ ม้วน ๒ และอยู่ในพรหมวิหาร ๔ ไปลองฟังดู

เถรี
06-02-2013, 11:26
ถาม : .......แม่ย่านาง ?
ตอบ : ถ้าครูบาอาจารย์ท่านรู้ ท่านเจิมแล้วท่านขอเทวดารักษาให้ บางทีก็เป็นพ่อปู่นายไม่ใช่แม่ย่านาง แต่เรียกแม่ย่านางกันจนชิน

ถาม : ถ้าไม่เชิญท่าน ท่านจะมาหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้าไม่เชิญท่านก็ไม่มาหรอก เสียเวลาท่าน คนที่จะเชิญท่านก็ต้องให้ท่านเกรงใจบ้างนะ ถ้าไม่มีที่ให้เกรงใจ อยู่ ๆ ไปเชิญอาจจะได้อะไรมาแทนก็ไม่รู้

ทางปักษ์ใต้จำไม่ไว้ว่าวัดอะไร อยู่แถว ๆ ชุมพร หลวงพ่อท่านเก่งมาก ท่านไปพลีต้นตะเคียนมาทำเรือแข่ง พอถึงเวลาพ้นฤดูกาลแข่งเรือก็ขึ้นคานไว้ เชื่อไหมว่าพอใกล้ถึงฤดูแข่งเรือ เรือจะเลื่อนจากคานลงน้ำเอง พวกชาวบ้านพอเห็นแม่ย่านางลงน้ำก็รู้ เตรียมฝึกซ้อมได้แล้ว อะไรจะเก่งปานนั้น เลื่อนจากคานลงน้ำเอง เรือลำใหญ่มหึมาขนาดนั้นลงเงียบกริบเลย ขนาดคนช่วยกันแบกกันหามยังเอะอะเอ็ดตะโรลั่น อันนี้ท่านไปเองไปเงียบกริบเลย มารู้ก็ตอนลอยลำในน้ำแล้ว

ถ้าเห็นเรือลอยอยู่ท่าน้ำหน้าวัดเมื่อไรก็รู้ได้ว่าเตรียมซ้อม ครองแชมป์จนกระทั่งไม่รู้ว่าจะเอาถ้วยไปไว้ที่ไหน ยังโชคดีว่าสมัยนั้นไม่มีการตระเวนแข่งเหมือนสมัยนี้ ถ้าสมัยนั้นมีพวกรถพ่วงแบบสมัยนี้ คงประเภทคว้าแชมป์ทั่วประเทศ เพราะอันนั้นไม่ใช่กำลังคนเฉย ๆ กำลังคนอย่างเดียวไม่พอ ยังมีแม่ย่านางช่วยอีกด้วย

เถรี
06-02-2013, 11:29
วัดไร่ขิงก็เพิ่งแข่งเรือไป ส่วนใหญ่จะแข่งวันออกพรรษาหรือวันตักบาตรเทโวฯ แล้วตั้งแต่ท่านเจ้าคุณแย้ม (พระราชวิริยาลังการ) ท่านขึ้นเป็นเจ้าอาวาสนี่ เรือแข่งวัดไร่ขิงกวาดแชมป์แทบทุกปี คนก็บอกว่าน้ำเลี้ยงดี ก็คือเขาไปลือว่าวัดไร่ขิงที่ฝึกซ้อมได้ถึงเพราะว่ารวย แต่ความจริงไม่ใช่หรอก อยู่ที่ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมากกว่า

สมัยก่อนของพวกนี้ก็มักจะอยู่กับวัดกับวา แล้วหลวงปู่หลวงพ่อเจ้าอาวาสก็มักจะเป็นที่เคารพรักและเกรงใจของชาวบ้าน ถึงเวลารู้ว่าใครมีความสามารถ ใครแข็งแรง ก็ขอแรงกันมาได้ แล้ววัดส่วนมากก็มีท่าน้ำวัดของตัวเอง ยิ่งท่าน้ำคอนกรีตก็ยิ่งดีใหญ่เลย พอน้ำขึ้นก็ถือพายไปนั่งเรียงกัน ๒๐ ฝีพาย ๓๐ ฝีพาย ซ้อมตามจังหวะ พายท่าน้ำให้ไปให้ได้..! แล้วจะไปอย่างไรล่ะ ? ก็ต้องโหมแรงกันเต็มที่ พอเวลาซ้อมท่านั้นจนชิน ถึงเวลาเร่งก็เข้าเส้นชัยได้

ยังดีว่าสมัยนี้มีแค่แข่งเข้าเส้นชัย สมัยก่อนเขามีชิงธงด้วย ธงปักอยู่ คนที่อยู่หัวเรือต้องคล่องตัวจริง ๆ เพราะบางคนนี่ใช้เท้าหนีบหัวเรือแล้วเอื้อมไปคว้า ถ้าพลาดก็ตกน้ำหายไปเลย

เถรี
08-02-2013, 11:52
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้เจ้ากรรมนายเวรมาในรูปนกปรอดสวนตัวหนึ่ง ทุกครั้งที่อาตมานอนพักได้ประมาณสัก ๑๕ - ๒๐ นาที นกตัวนี้จะมาเคาะหน้าต่างจนตื่นทุกครั้งเลย อาตมากำลังคิดว่า วันดีคืนดีจะเอามาปิ้งซะ..!

นกตัวนี้อยากเข้าห้องจริง ๆ จะต้องมาเคาะทุกครั้ง ตอนแรกก็ดูว่าหน้าต่างห้องน้ำที่อาตมาง้างเปิดขึ้นไปมีที่เกาะ นกก็เลยเคาะได้ อาตมาอุตส่าห์ดึงหน้าต่างห้องน้ำลงมาไม่ให้เกาะ ก็ยังใช้วิธีบินแล้วเคาะ มุ่งมั่นมาก ตอนแรกพูดไปไม่มีใครเชื่อหรอก ต้องเอาพยานไปดูว่านกมาเคาะอย่างไร ต้องบอกว่าเวรกรรมที่ทำเอาไว้ ถึงเวลาก็ตามสนองเอาจนได้"

เถรี
08-02-2013, 11:55
ถาม : ถ้าเป็นวิบากกรรมอย่างไรเราก็ต้องรับ ถ้าสมมติรับมาระดับหนึ่งแล้ว เราอยากจะช่วยแม่กับพ่อบ้าง อยากขอคำแนะนำค่ะ ?
ตอบ : ไม่เห็นต้องแนะนำเลย อยากช่วยก็ลุยไปเลยเท่านั้นเอง เพียงแต่ว่าเตรียมรับแรงกระทบให้ดี ๆ ก็พอ

ถาม : จะทำอย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : ก็ไม่เห็นต้องทำอย่างไรนี่ ท่านลำบากด้านไหนเราก็ช่วยจากด้านนั้น

เถรี
08-02-2013, 11:56
ถาม : เวลาพระไปปลุกเสกมาก ๆ พออายุมากแล้วจะมีอาการเป็นโรคหัวใจ ?
ตอบ : ไม่ต้องพระหรอก..ทุกคนก็เป็น พออายุมากแล้วอย่างน้อยต้องเป็นโรคหัวใจโต ส่วนใหญ่พระที่ท่านทำพุทธาภิเษก ส่วนมากคนไปใช้ท่านหัวไม่วางหางไม่เว้น เวลาพักผ่อนไม่มี ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการปลุกเสกเลย เกี่ยวกับการที่ท่านไม่มีเวลาพัก อาตมายังบ่น ๆ อยู่ว่าอยากได้เวลาวันละสัก ๓๐ ชั่วโมงจึงจะพอทำงาน ทุกวันนี้เวลามีไม่พอทำงาน

เถรี
08-02-2013, 11:58
ถาม : ท่านที่เป็นพระอริยบุคคล จะเป็นโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมเมื่อตอนอายุมากไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เป็น....อัลไซเมอร์เกิดจากสมองเสื่อมส่วนหนึ่ง และสติไม่มั่นคงส่วนหนึ่ง บุคคลที่ฝึกกรรมฐานอยู่ ความเสื่อมของสมองจะมีน้อยและสติมั่นคง ดังนั้นจะไม่มีปรากฏการณ์อัลไซเมอร์

ถาม : สมองช้าลงไหมครับ ?
ตอบ : ช้าลงได้..ทำอะไรช้าได้ แต่ว่ายังจำทุกอย่างได้เป็นปกติ ในเรื่องธรรมะที่ละเอียดกว่าท่านยังเข้าถึงได้ ดังนั้นพวกส่วนหยาบจึงเป็นเรื่องง่ายของท่าน

เถรี
08-02-2013, 12:01
ถาม : อย่างคนที่จะบรรลุอรหันต์ ถ้าไม่บวชเป็นพระแล้วจะตายภายใน ๗ วัน อย่างถ้าบวชเป็นเณรหรือบวชในนิกายอื่นเช่นมหายาน ?
ตอบ : ขอให้เป็นพระภิกษุสงฆ์ก็แล้วกัน เพราะว่าพระอยู่ในเพศสูงที่เขาให้ความเคารพ คนเขาไม่ล่วงเกินอยู่แล้ว ถ้าเราเป็นฆราวาสอยู่ คนที่ไม่รู้เป็นประเภทเพื่อนกันมาตบหัวเล่น ไอ้นั่นก็ซวยไปตลอดชาติและอีกหลาย ๆ ชาติ เมื่อเป็นดังนั้น ถ้าเป็นฆราวาสอยู่จึงจำเป็นต้องตัดให้ตายไปเลย จะได้ไม่ไปเป็นโทษกับผู้อื่น

ถาม : ถ้าเป็นผู้หญิง ?
ตอบ : ถ้าเป็นผู้หญิงก็ตัดใจเถอะ..ไปดีกว่า

ถาม : บวชเป็นแม่ชีละครับ ?
ตอบ : แม่ชีก็ยังนับเป็นฆราวาส

เถรี
08-02-2013, 12:04
ถาม : คนต่างชาติเขาให้เหล้า เขาไม่รู้เรื่องศีล เขาจะเป็นบาปไหมครับ ?
ตอบ : การให้เหล้าไม่มีบาปและไม่มีบุญ เป็นทานที่ไม่มีอานิสงส์ ปกติแล้วการให้จะได้บุญ แต่การให้เหล้าเป็นการให้ของที่เป็นโทษกับบุคคลอื่น แต่ไม่ได้บังคับให้บุคคลอื่นกิน ก็เลยกลายเป็นทานที่ไม่มีอานิสงส์ เสียของไปเปล่า ๆ

พระอานนท์เคยทูลถามพระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ท่านเล่าประวัติพระเวสสันดร พระเวสสันดรท่านให้ทานทุกอย่างแก่บุคคลที่ต้องการ ท้ายสุดท่านก็ให้เหล้ากับพวกนักเลงเหล้า พระอานนท์จึงถามถึงเรื่องนี้ ว่ามีประโยชน์มีโทษอย่างไร พระองค์ท่านตรัสว่าแค่ให้สิ่งที่เขาชอบใจเท่านั้น เพราะพวกนักเลงเหล้าให้อย่างอื่นเขาก็ไม่ชอบใจ แต่ว่าเป็นทานที่ไม่มีผลานิสงส์อะไร ให้ไปเปล่า ๆ เฉย ๆ

เถรี
08-02-2013, 12:09
ถาม : ถ้ามีคนเอาข้าวหมากมาถวายพระ พระท่านฉันได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..ข้าวหมากเป็นกึ่งแอลกอฮอล์ ยังไม่ใช่เหล้า ฉันเข้าไปทำให้หลับ พวกประสาทเครียด ๆ กินข้าวหมากแล้วดี อย่างอาตมาไม่แตะเลยเพราะรังเกียจกลิ่น ว่ากันตามสภาพความเป็นจริงแล้ว ก็นับเป็นขนมชนิดหนึ่ง ยังกินได้อยู่

ถาม : อย่างพวกคนต่างชาติเขาไม่รู้เรื่องศีล เขาเอาเหล้ามาถวายพระ ?
ตอบ : ก็รับไว้ แต่อย่าไปฉันแล้วกัน

ถาม : แล้วจะมีคุณมีโทษกับเขาหรือเปล่า ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าอานิสงส์ไม่มี ยิ่งเขาทำโดยไม่รู้ ก็เป็นกตัตตากรรม กรรมที่ไม่ได้เจตนา ยกเว้นว่าพระได้รับมาก็ เอ้า..ชนแก้ว..!

ถาม : บางคนเอาแกะ เอาแพะมาถวาย ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าท่านสั่งห้ามไว้เลย เรื่องของการรับแพะ แกะ วัว ควาย ทาสหญิง ทาสชาย ท่านไม่ให้รับ เพราะสร้างภาระให้กับพระภิกษุจนไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม

ถาม : การห้ามพระเก็บอาหารไว้ ?
ตอบ : กลัวว่าพระจะไปทำกินเอง เพราะว่ามีศีลห้ามอยู่ในข้อที่ไม่ให้พระทำกินเอง กลัวว่าท่านที่มีฝีมือทำครัวดี ๆ ท่านจะทำตามใจปากตนเอง

เถรี
08-02-2013, 12:20
ถาม : แล้วถ้าเขาไม่ประเคนก็ผิดหรือครับ ?
ตอบ : พอพ้นมือเราไปก็พ้นแล้ว อย่างเช่นว่าให้ศิษย์วัดไป ถ้าเขาไม่ประเคนใหม่เราก็ไม่มีสิทธิ์ทำเป็นอาหาร แม่ชีเอาไปถ้าเขาไม่ประเคนใหม่พระก็อด แล้วที่ขำที่สุดคือฝรั่งเขาไม่รู้หรอกว่าประเคนคืออะไร เพราะฉะนั้น..ถ้าเขาส่งอาหารมาให้รีบรับไว้

สมัยก่อนหลวงพี่สมาน สมานจิตฺโต ไปอเมริกากับหลวงพ่อวัดท่าซุง ฝรั่งเอาอาหารมาเสิร์ฟแทนที่ท่านจะรีบรับก็รอเขาวาง พอเขาวางไปสามจานสี่จาน ไปเรียกให้เขาประเคนเขาก็ไม่รับรู้ด้วยแล้ว หลวงพ่อท่านว่า "ต่อไปถ้าโง่อย่างนั้นก็อย่าแด..เลย เขายกมาก็รีบรับไว้ ไม่ใช่ไปรอให้เขาวาง" เขาจะเสิร์ฟด้วยการวาง แค่เราชิงรับเสียก่อนก็หมดเรื่อง

หรือไม่ก็อย่างอาตมาที่จับผ้าปูโต๊ะไว้ เขาก็วางไปสิ เวลาไปฉันตามบ้านเขาจะเอาผ้าพลาสติกใหญ่ ๆ มาปูให้ อาตมาจะคว้าไว้มุมหนึ่งก่อนทุกที มีปัญญาก็วางไป พอโยมจะประเคนก็บอกว่าไม่ต้องแล้ว โยมก็ยังงง ๆ เขย่ามือให้ดูเขาถึงเห็นว่าอาตมาจับมุมผ้าไว้เป็นการรับประเคนแล้ว

ถาม : แล้วถ้าฉันที่บ้านโยม โยมเขาประเคนทั้งจานชาม ถือว่าเขาถวายจานชามด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : โดยเจตนาเขาถวายแต่อาหาร ไปตีเหมาโหลอย่างนั้นเดี๋ยวเจออาบัติปาราชิก..! ยกเว้นเขาบอกว่าถวายทั้งหมดเลยเจ้าค่ะ ถ้าอย่างนั้นก็หอบกลับวัดได้ เอาไปได้ ไม่ใช่ถึงเวลาฉันเสร็จก็เก็บช้อนเก็บชามกลับ แบบนั้นมีหวังขาดความเป็นพระไม่รู้ตัว..!

เถรี
08-02-2013, 20:22
ถาม : เวลาตั้งใจจะภาวนา แล้วนิ่งไปเลย ภาวนาไม่ออก ?
ตอบ: สมาธิทรงตัวแล้ว ในเมื่อสมาธิทรงตัวความละเอียดของจิตมีมาก อยู่เหนือการปรุงแต่ง ภาวนาไม่ได้ เราก็แค่รับรู้ไว้เฉย ๆ ไม่ต้องไปดิ้นรน

ถาม : หนูก็กลับมาภาวนาใหม่ ?
ตอบ : นั่นเท่ากับถอยหลังไปนับหนึ่งใหม่

ถาม : หนูไปอ่านเจอวิกขัมภนวิมุตติ แล้วสงสัย ?
ตอบ: ต้องสงสัยอยู่แล้วเพราะเป็นอารมณ์การละกิเลส ดังนั้นตอนนี้สงสัยไว้ก่อน ไว้ทำถึงก็หายเอง ไม่ว่าจะเป็น ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ นิสสรณวิมุตติ อันนั้นเป็นเรื่องของท่านที่ทรงฌานทรงสมาบัติขึ้นไป

เถรี
08-02-2013, 20:24
ถาม : เวลาตั้งจิตภาวนา อารมณ์ข้างในเหมือนเป็นอย่างไรไม่รู้ ?
ตอบ : ต้องสังเกตเอง บางทีการเข้าถึงสมาธิแต่ละระดับ จะมีอาการแสดงออกแปลก ๆ ทางร่างกายเหมือนกัน ถ้าเป็นมาก ๆ บางทีรู้สึกเหมือนกับแข็งไปทั้งตัว

ถาม : แล้วอารมณ์ไหนดีกว่า ?
ตอบ : อารมณ์ไหนก็ได้ ที่กิเลสกินเราไม่ได้

ถาม : เราต้องให้อยู่อย่างนั้น ?
ตอบ : พยายามรักษาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ เพื่อให้ใจผ่องใส พอคลายออกมาก็รีบคิดในเรื่องของวิปัสสนา ไม่อย่างนั้นกิเลสจะเอาไปกินหมด

เถรี
08-02-2013, 20:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนไทยมักจะเคยชินกับการที่หมารักเจ้าของคนเดียว แต่ฝรั่งจะฝึกหมาให้เห็นทุกคนที่ถือเชือกจูงเขาเป็นเจ้านาย บางทีเราจะรู้สึกว่าเราเลี้ยงหมามาแท้ ๆ พอคนอื่นจูงไปก็ยึดคนอื่นเป็นเจ้านายเลย ก็เขาไปฝึกเอาไว้อย่างนั้น ถึงเวลาจะมอบให้คนอื่น เจ้าของเดิมจะส่งเชือกจูงให้ คนนั้นก็รับไป เขาก็รู้ว่าต่อไปต้องไปดูแลรับใช้คนนั้นแทน

คนไทยรับไม่ค่อยได้ตรงจุดนี้ คนไทยถนัดเลี้ยงหมาแล้วหมารักเรา เราเป็นเจ้าของคนเดียว ก็เลยกลายเป็นตัวกูของกูแรงกว่า แต่ส่วนหนึ่งที่น่าสงสารก็คือ คนจำนวนมากรักหมาตอนเป็นลูกหมา พอเลี้ยงโต ความเป็นลูกหมาหมดไป ตัวเองก็พลอยหมดรักไปด้วย แต่หมายังรักเราเท่าเดิม กลายเป็นว่า หมาบางตัวโดนเจ้านายทิ้ง

ที่วัดท่าขนุนมีหมาประเภทตกสวรรค์อย่างนี้อยู่หลายตัวแล้ว สมัยอยู่ที่เกาะพระฤๅษี กลุ่มพวกไอ้ส้มเป็นหมากรุงเทพฯ เคยอยู่ดีกินดี นอนห้องแอร์ กินอาหารกระป๋อง พอไปอยู่ที่นั้นเหลือแต่ข้าวคลุก อย่างเก่งก็คลุกปลากระป๋อง"

เถรี
10-02-2013, 10:17
ถาม : รู้กรรมของผู้อื่น ?
ตอบ : มัวแต่ไปดูกรรมคนอื่น..เหนื่อยเปล่า ถ้าจะดูต้องดูตัวเอง ทำดีได้ดีอย่างไร ทำชั่วได้ชั่วอย่างไร แล้วเลือกทำแต่ที่ดี ๆ ถ้าทำดีต่อเนื่องยาวนานได้ต่อไปผลดีจะให้ผลแก่เราเอง

ยถากัมมุตาญาณ เขาให้ดู ให้กลัว ให้เข็ด จะได้หาทางหนี มุญจิตุกัมยตาญาณ เป็นวิปัสสนาญาณตัวหนึ่ง แปลตามบาลีออกมาเป็นภาษาไทยยาก ๆ ว่า ปรีชาคำนึงซึ่งการหาทางหนี

เถรี
10-02-2013, 10:22
พระอาจารย์กล่าวว่า "การเลี้ยงลูกต้องหัดลูกให้ลำบากให้มากที่สุด ไม่อย่างนั้นถ้าขาดเราแล้วลูกจะอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าลูกไม่ชอบใจหน่อยเดียวแม่ก็รีบหาที่เรียนใหม่ให้ อย่างนั้นลูกจะไม่มีภูมิต้านทานเลย ลูกจะไม่รู้ว่าโลกนี้โหดร้ายอย่างไร ขาดเราสักคนลูกก็ตายเปล่า ต้องให้เขาเจอแรงกดดันมาก ๆ ชนิดหัวหงอกตั้งแต่อายุยังไม่ ๒๐ แล้วจะแกร่งเอง..!

น่าจะเป็นนักร้องฝรั่งคนหนึ่ง มีคุณแม่ที่ฝึกลูกชนิดที่คนอื่นรู้คงหัวใจวายตาย ลูกอายุ ๔ ขวบแม่ทิ้งไว้ห่างบ้าน ๒ ไมล์ ให้หาทางกลับบ้านเอง แล้วทุกวันนี้เขาก็เป็นคนประเภทแข็งแกร่งสุด ๆ เพราะคุณแม่ฝึกไว้ดี อายุ ๘ ขวบพาปีนยอดเขาที่ติดอันดับโลก จำไม่ได้ว่าเขาชื่ออะไร แต่จำได้ว่าตอนนี้เขาเป็นเจ้าของบริษัทที่เปิดกว้างมาก ๆ คนงานชอบทำงานด้วย เพราะแนวคิดของเขาก็คือ ถ้าคุณสามารถสร้างความเจริญให้บริษัทได้ คุณจะแหกคอกอย่างไรก็ทำไป

ไม่ห้ามลูกดื่มบรั่นดี แก้วใหญ่ ๆ ไปเลยลูก เมาหัวทิ่มตื่นขึ้นมาปวดหัวแทบระเบิด นั่นแหละ..จำไว้ต่อไปอย่าดื่มเพราะจะเป็นอย่างนี้ ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ดื่มอีกเลย โดนเองแล้วเข็ด เป็นคุณแม่ที่แสบไส้จริง ๆ พูดง่าย ๆ ว่าญาติพี่น้องไม่มีใครอยากฝากลูกให้เลี้ยง กลัวตัวเองหัวใจวายตาย..!

กลัวสะพานแขวนใช่ไหม แม่พาไปเอง จูงเดินไปถึงกลางทาง ปล่อยให้เดินเอง แล้วแม่ก็ไปเลย พอเด็กเจออย่างนั้นเข้าก็ต้องหายกลัวไปโดยปริยาย เห็นผู้ใหญ่ไปได้ก็ต้องไป"

เถรี
10-02-2013, 10:24
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทางโลกกับทางธรรมมักจะไม่ค่อยไปด้วยกัน ทางธรรมสามารถมองทางโลกเพื่อที่จะสอนตัวเองได้ แต่ทางโลกถ้าไม่เอาทางธรรมเลยมักจะไปไม่รอด"

เถรี
10-02-2013, 10:34
:4672615: เก็บตกเดือนมกราคม ปี ๕๖ จบแล้วค่ะ :4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน