PDA

View Full Version : มิงกะละบาร์ เมียนมาร์ ตอนที่ ๒


คิมหันต์
27-12-2012, 14:54
ไข้จับตั้งแต่ตีสอง ภาวนาจนถึงตีสี่ เสียงตีเกราะให้สัญญาณว่าพระจะออกบิณฑบาตดังขึ้น จึงลุกไปสรงน้ำ อากาศที่นี่ไม่หนาวเท่าไร กลับมาสวดมนต์ – ทำวัตร แล้วภาวนาต่อจนหกโมงครึ่ง

แม่ออกคำฮังมาแต่เช้า แต่พ่อออกดำผู้เป็นเขยยังไม่เห็นหน้า ท่านสุมังคะละนิมนต์ฉันเช้า ยังไม่ทันจะเรียบร้อย รถยนต์ที่พ่อออกสุจินต์ส่งมารับก็มาถึง จึงต้องรีบอิ่ม

ท่านนาวินเขียนหนังสือรับรองให้ท่านวิน ท่านไก่ และท่านน้อย ว่าเป็นคนหนองบัวไปบวชฝั่งไทยจริง ๆ ท่านวินกลายเป็นท่านญาณะ ท่านไก่เป็นท่านอาลอก๊ะ ท่านน้อยเป็นท่านจันทะ ท่านสุมังคะละเซ็นรับรองและประทับตราวัด เท่านี้ก็พร้อมที่จะเดินทางได้

ร่ำลาทุกคนแล้วออกมาในตลาด พ่อออกสุจินต์รออยู่แล้ว ผู้เฒ่าโดดขึ้นรถมาด้วย ตรงไปยังบ้านของโกเต็ง อาตมารวบของไม่กี่กระสอบโยนขึ้นรถ คิดว่าออกได้แล้ว ที่ไหนได้..โยมที่ไปด้วยยังไม่ได้แลกเงิน..!

คิมหันต์
27-12-2012, 14:57
พ่อออกสุจินต์เดือดดาลจนแทบกระโดดโลดเต้น บอกให้เตรียมตัวให้พร้อมจะได้ไปแต่เช้า หนอยแน่..เงินยังไม่ได้แลก..! พ่อออกทั้งบ่น ทั้งด่า ทั้งสั่งสอน จนกระบุงโกยไม่ไหว แต่สุดท้ายก็เหนื่อยเปล่า เพราะทุกคนทำเป็นหูทวนลม..!

กว่าจะออกรถได้ตกสองโมงครึ่ง (เวลาพม่า) ท่านผู้เฒ่าชักไม่แน่ใจว่าโยมจะพาพระซวยไปด้วยหรือเปล่า..? เลยติดรถไปส่งจนถึงชองโส่ง นอกจากพาผ่านด่านทั้งด่านยูวาติ๊ด และด่านชองโส่งแล้ว ยังติดต่อเช่าเรือให้ด้วยในราคาสามหมื่นจั๊ต

นอกจากพระ ๕ รูปและโยมสามคน ที่ต้องเฉลี่ยจ่ายคนละประมาณสี่พันจั๊ตแล้ว พ่อออกยังฝากครอบครัว ๔ คนแม่ลูกที่ไม่มีเงินจ่ายค่าเรือไปด้วย ขอพระช่วยสงเคราะห์ปากท้องของทั้งสี่ชีวิต จากนั้นนั่งยอง ๆ ริมน้ำกราบลา “ไหว้สาครูบา..ข้าน้อยวิ่งเต้นช่วยได้เต็มกำลังเท่านี้ ขอฝากวัดหนองบัวให้ครูบาดูแลด้วย...”

เรือยังออกไม่ได้เพราะหัวเทียนบอด แทนที่จะซื้อใหม่ มันดันปล้ำจนติด แล้วเข็นเรือให้ออกจากท่า ต้องค่อย ๆ ไป เพราะน้ำตื้นวิ่งเร็วไม่ได้

คิมหันต์
03-01-2013, 20:45
สิบโมงครึ่งมาถึงด่านมอญ นายท้ายขึ้นไปจ่ายค่าผ่านทาง พวกเราเห็นว่าคงจะไปไม่ทันเพล จึงขึ้นไปเพื่อฉันเพลที่นี่เลย แต่หน้านี้เรือมาน้อย ซ้ำยังห่างจากชองโส่งไม่ไกล เขาจึงไม่ได้เตรียมอาหารไว้ แต่นายด่านบริการสุดใจขาดดิ้น ใช้คนให้ไปเอาอาหารจากด่านรถที่อยู่ไม่ไกลมาให้

บริการดีแต่คิดแพงจัง พวกฟาดซะ ๒๖๐ บาท เงินพม่าไม่เอาซะด้วย อาตมาเลยให้กวาดอาหารที่เหลือใส่ถุง ไปให้โยมตกยากทั้งสี่เป็นมื้อเย็น ไหน ๆ ก็จ่ายแพงแล้วต้องเอาให้คุ้ม เรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทาง ต้องคลานไปแบบระมัดระวังเหมือนเดิมเพราะน้ำตื้น

ผ่านตอม่อของทางรถไฟสายมรณะ ซึ่งเหลือแต่ตอโด่เด่ ตัวสะพานตกลงไปจมน้ำอยู่ครึ่งหนึ่ง พอถึงแก่งอันตราย นายท้ายถอยเอาท้ายเรือไป บอกว่าปลอดภัยกว่า แต่อาตมาเห็นว่าอันตรายมากกว่า ถ้าพลาดใบพัดเรือกระทบหินมีหวังพังยับเยินแน่ ๆ..!

มีทหารผมยาว ๒ นาย เรียกให้หยุด ขออาศัยเรือไปด้วย..ย่อมได้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ถอยหลังลงอีก ๒ แก่ง เรือก็เกยตื้น ทั้งพระทั้งโยมต้องช่วยกันลงไปเข็นถึงสองจุดใหญ่ ๆ พอถอยพ้นแก่งถัดไปแล้ว นายท้ายขอหยุดเติมน้ำมัน ทีนี้ก็เป็นเรื่อง..! สตาร์ทเท่าไรเครื่องก็เงียบฉี่ อาตมาขอบารมีพระและหลวงปู่ปานให้โปรดช่วยสงเคราะห์ด้วย

คิมหันต์
03-01-2013, 20:50
คราวนี้เครื่องติดและไปได้เร็วขึ้น เนื่องจากพ้นเขตน้ำตื้นแล้ว เวลาเที่ยงเศษแดดร้อนแทบหัวแตก มาถึงด่านแมตะบูย ทหารขอลงไปเข้าเวร ที่แท้เขาเป็นนายด่านที่นี่ เลยสบายไป..ไม่ต้องจ่ายค่าผ่านทาง ถามหาหัวเทียนเรือก็มีด้วย ดีไปหมด

แต่นายท้ายไม่ดีด้วย เห็นเครื่องยังติดดีจะไม่ยอมเสียเงิน อาตมาจึงคลายกำลังใจลง เสียงท่อไอเสียระเบิดปังใหญ่ แล้วเครื่องก็ดับเงียบฉี่..! คราวนี้ซ่อมเท่าไรก็ไม่ยอมติด สมน้ำหน้ามัน...ต้องยอมเสียเงินซื้อหัวเทียนใหม่จนได้..! แต่คนขายก็ไม่รู้ราคา คนซื้อก็ไม่แน่ใจ เลยเอาไปใช้ก่อน แล้วค่อยกลับมาจ่ายให้ทีหลัง

จัดการเปลี่ยนหัวเทียนจนเรียบร้อย ทีนี้ไปฉลุยเลย น้ำลึกขึ้น ทำความเร็วได้สม่ำเสมอ บ่ายโมงกว่ามาถึงบ้านปงคอ ทั้งต้นเรือทั้งนายท้ายขอกินข้าวก่อน เติมพลังเสร็จสรรพพอดีพระเจ้าทำธุระส่วนตัวเสร็จเช่นกัน คราวนี้ไปยาวเลยลูกพี่..!

ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า ที่เรือฝ่าผิวน้ำและแดดจ้าไปตลอด จากตะวันตรงหัวก็เริ่มบ่ายคล้อย ที่นั่งคับแคบจำกัด ทำให้ปวดระบมไปหมด โดยเฉพาะตรงก้น ต้องขยับเปลี่ยนท่านั่งอยู่เรื่อย จนมาถูกหน่วยทหารลาดตระเวนเรียกเก็บค่านักเลงอีกรอบ

ฟ้ามัวลงตามลำดับ ถึงบ้านมิยันตองตอนห้าโมงครึ่ง เกือบจะมืดสนิทแล้ว คณะของเราขึ้นพักค้างคืนที่หมู่แพ เมื่อจัดการสรงน้ำเสร็จ มีโยมเอาน้ำตาลปึกกับน้ำชาถวาย ญาติโยมที่ตามมากินอาหารค่ำ แล้วพักผ่อนตามอัธยาศัยด้วยอ่อนใจกันเต็มที

คลิกเพื่ออ่านตอนต่อไป (http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3631)