PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕


เถรี
13-12-2012, 12:35
ถาม : ถ้าภิกษุผู้ถือธุดงค์ในข้อที่มีการฉันในบาตรเป็นปกติ แต่โยมนิมนต์ไปฉันที่บ้าน ไม่ได้ฉันในบาตร โดยฉันในจานข้าว องค์แห่งปัตตปิณฑิกังคธุดงค์จะแตกหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ขาดไปเรียบร้อยแล้ว ต้องดูตัวอย่างหลวงพ่อชา หลวงพ่อชาฉันในบาตรเป็นวัตร ได้รับนิมนต์เข้าวังท่านก็สะพายบาตรไปด้วย บรรดาท่านเจ้าคุณฯ ก็ล้อท่านว่า "หลวงพ่อเอาบาตรมา ไม่อายในหลวงหรือ ?" หลวงพ่อตอบว่า "แล้วพวกท่านที่ไม่รักษาวัตรปฏิบัติ ไม่อายพระพุทธเจ้าบ้างหรือ ?"

สรุปว่า..ขาดไปเรียบร้อยแล้วจ้ะ

เถรี
13-12-2012, 12:42
ถาม : ถ้าเราต้องการยันต์หรือตะกรุด เช่น ตะกรุดมหาสะท้อน หรือยันต์ทำน้ำมนต์ ก็เขียนยันต์นั้นลงที่แผ่นเงินตามน้ำหนักและขนาด แล้วเข้าพุทธาภิเษกที่วัด จะใช้ได้เหมือนที่หลวงพ่อทำหรือเปล่าครับ ? และต้องสวดมนต์อะไรเพิ่มเติมหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เขียนเสร็จแล้วเสกด้วยอิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ๑๐๘ จบ นะมะพะธะอีก ๑๐๘ จบ ส่วนจะใช้ได้หรือไม่อยู่ที่สมาธิของตัวคุณเอง ถ้าสมาธิห่วยก็ใช้ได้น้อยหน่อย

ยันต์ทำน้ำมนต์ตอนกำลังเขียนต้องเสก เสร็จแล้วถึงปลุกอีกที ต้องทั้งปลุกทั้งเสก ไม่ใช่เขียนเฉย ๆ แล้วจะใช้งานได้

เถรี
13-12-2012, 12:48
ถาม : มีพระที่วัดผมจะลาสิกขา ก่อนจะลาสิกขาท่านได้บอกว่าจะถวายจีวรของท่านให้ผม ตอนที่ท่านยังไม่ได้ลาสิกขาท่านก็ยังไม่ได้ถวายจีวรให้ผม พอลาสิกขาไปแล้วก็ได้ถวายจีวรให้ผมมา จีวรผืนนี้เป็นของสงฆ์หรือว่าเป็นของส่วนตัวครับ ?
ตอบ : ท่านถวายเรามา เรามีจีวรอยู่แล้ว ก็ถือว่าเป็นอติเรกจีวร คือ ของที่ได้เกินมา ถ้าต้องการใช้ให้ทำวิกัปเป็นสองเจ้าของร่วมกับท่านอื่น แล้วทำพินทุเพื่อเป็นเครื่องหมาย ถ้าไม่ต้องการใช้ก็สละให้กองกลางเป็นของสงฆ์ไป ไม่อย่างนั้นถ้าเกิน ๑๐ วันจะโดนอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์

เถรี
13-12-2012, 12:53
ถาม : เวลากวาดใบไม้ มีอารมณ์ประมาณว่า เราเฝ้าดูร่างกายเรากวาด รู้สึกไม่เบื่อ ไม่ร้อน มีความสุขกับการกวาดใบไม้ แบบนี้ถือว่าเป็นสมาธิไหมครับ ?
ตอบ : เป็นสมาธินิดหนึ่ง เพราะถ้าเข้าสมาธิเยอะจะกวาดไม่ได้

ถาม : เวลานอนสมาธิ เราเฝ้าดูร่างกายหายใจ ประมาณว่าคุณหายใจไป ภาวนาพุทโธไป ไม่ต้องคิดเรื่องอื่น แบบนี้เป็นวิธีที่ถูกไหมครับ ?
ตอบ : เกือบถูก

ถาม : แล้วที่ถูกเป็นอย่างไรคะ ?
ตอบ : จะภาวนาก็ภาวนา จะดูร่างกายก็ดูร่างกายไป อย่าเพิ่งทำงานหลายอย่างพร้อมกัน ถ้าสนใจหลายอย่างสมาธิจะเคลื่อนได้ ต้องซักซ้อมจนคล่องตัวก่อน แล้วจะรู้เรื่องหลาย ๆ อย่างพร้อมกันได้ ที่ถามมาแสดงว่าสมาธิเริ่มจะดีแล้ว

เถรี
13-12-2012, 13:02
ถาม : ถ้าเรารับยันต์แล้ว ข้อห้ามคือห้ามดื่มสุราและของมึนเมา อยากทราบว่าน้ำดื่มเพื่อสุขภาพ ประเภทฟรุตไซเดอร์ต่าง ๆ จะเป็นข้อห้ามด้วยหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้ามีแอลกอฮอล์ก็ห้าม ถ้าไม่มีแอลกอฮอล์ก็ไม่ห้าม

ถาม : ยาน้ำสมุนไพรโสมต่าง ๆ ที่ผ่านการสกัดด้วยเหล้า แล้วสรรพคุณเป็นยารักษาโรค ไม่ทราบว่าดื่มได้หรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าเป็นยาต้องกินตามสูตรเขา อย่างเช่น ๑ ถ้วยตะไลก่อนอาหาร ๓๐ นาที ประมาณนั้น ไม่ใช่ว่ากันเช้ายันเย็น..!

ถาม : น้ำผลไม้ที่ผ่านการหมัก พอดื่มไปรู้สึกมึน ๆ ก็เลยเกรงว่า ดื่มแล้วยันต์จะหาย แต่ก็ได้เผลอดื่มไปแล้ว..?
ตอบ : ถ้ามีแอลกอฮอล์ยันต์ก็หายไปแล้วเหมือนกัน..!

เถรี
13-12-2012, 13:15
ถาม : มีอยู่วันหนึ่งผมตั้งใจว่าตี ๕ จะลุกขึ้นมานั่งสมาธิ เลยตั้งนาฬิกาให้ปลุกตอนตี ๕ พอใกล้จะถึงเวลา ผมก็ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกในขณะที่นอนอยู่ ก็เลยตื่นขึ้นมา แต่ปรากฏว่าไม่มีเสียงปลุกเลย ก็เลยเอื้อมมือไปหยิบนาฬิกามาดู ทันใดนั้นนาฬิกาก็ปลุกทันที เสียงนาฬิกาที่ได้ยินก่อนนั้นเป็นนิมิตหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นชาวบ้านทั่วไปเขาบอกว่า "หูแว่ว" แต่จริง ๆ แล้ว นักภาวนาถ้ามีความคล่องตัว สามารถตั้งได้ว่าจะตื่นเวลาไหน ไม่ต้องง้อนาฬิกาปลุกก็ได้ ใกล้เวลาก็จะตื่นเอง

ถาม : อธิษฐานขอให้เจ้าที่เจ้าทางช่วยปลุกก็ได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ก็ได้...แต่ต้องดูด้วยว่าท่านเกรงใจเราหรือเปล่า ? ถ้าท่านเกรงใจเราท่านก็ค่อย ๆ ปลุก ถ้าไม่เกรงใจท่านก็ค่อย ๆ ถีบ..! จำไว้ว่าจะให้ท่านช่วย เราต้องลุกขึ้นมาทำความดี ไม่ใช่เรื่องอะไรก็จะให้ท่านคอยปลุก

เถรี
13-12-2012, 13:29
ถาม : สมัยตอนที่บวชเณรอยู่ จำไม่ได้ว่าใครสอนให้ถวายข้าวพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทวดาและหนูน้อยกุมารครับ แล้วก็ลากินต่อตอนนั้นเลย และอธิษฐานขอให้หายป่วยหายไข้ อย่างนี้จะมีอานิสงส์อย่างไรครับ ?
ตอบ : อานิสงส์อย่างแรกก็คืออิ่ม อย่างที่สองได้ทำตามที่เขาสอนไว้ อย่างต่อไปก็ดูว่าป่วยหรือเปล่า ? ถ้าป่วยแล้วหายก็แสดงว่าเป็นไปตามนั้น ถ้าไม่หายก็กินฟรี..!

จริง ๆ แล้วให้ถวายพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นหลัก จะได้อานิสงส์ในพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ ถ้าเราถวายพระรัตนตรัยแล้ว เทวดาหรือกุมารท่านก็ไม่มายุ่งด้วยแล้ว ว่าแต่..ไปเอากุมารมาจากไหน ?

เถรี
13-12-2012, 13:35
ถาม : กระผมมาทำงานที่จังหวัดยะลา (เป็นทหารครับ) แล้วแฟนอยู่ที่เชียงใหม่ ผมมีความระแวงว่าแฟนจะมีคนใหม่ เลยพูดจาดูถูกเธอไปอย่างแรง ตอนนี้เธอก็เลยหนีผมไปแล้ว บอกเลิกกับกระผม อยากกราบเรียนถามพระอาจารย์ว่าตอนนี้กระผมควรทำสติอย่างไร ?
ตอบ : จะไปยากอะไร..ก็ตั้งสติหาแฟนใหม่..!

ถาม : ที่ทำงานก็มีปัญหา มีความเครียดสูงมาก กระผมพยายามทำจิตให้สงบแล้วไม่ยอมสงบ พยายามปล่อยวาง ก็หวนคิดถึงเธอขึ้นมาอีกตลอดเวลา ?
ตอบ : ตรงไหนมีระเบิดให้เดินไปตรงนั้น แล้วจะหายคิดถึง หายฟุ้งซ่าน เวลากลัวตายขึ้นมา สมาธิจะอยู่ตรงหน้าเป๊ะเลย ไม่ขยับไปไหน ทำให้เลิกฟุ้งซ่านได้ทุกประการ..!

เถรี
13-12-2012, 13:38
ถาม : ในหนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ หน้า ๒๔ ปรากฏข้อความว่า คาถาเงินล้านสูตรพิเศษ ขอความเมตตาขยายความด้วยครับว่าพิเศษอย่างไร ?
ตอบ : คือไม่ใช่สูตรปกติ ถ้าเป็นสูตรปกติก็ไม่พิเศษ..!

เถรี
13-12-2012, 13:39
ถาม : ผมได้ยันต์ท้าวเวสสุวรรณมา จะนำไปติดไว้ตรงไหนดี ถ้าติดไว้ที่หัวเตียงนอนของผมจะดีไหมครับ ?
ตอบ : แปะหน้าผากไว้จะดีที่สุด..!

เถรี
13-12-2012, 13:45
ถาม : ไม่นานมานี้กระผมได้ขอพรพระสมเด็จคำข้าวตามวิธีที่หลวงพี่แนะนำ แต่ผมขอพรโดยไม่ได้ระบุเวลาที่จะให้ผลเกิด เพราะหลวงพ่อฤๅษีท่านสอนว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่อยู่ในอำนาจของใคร เราจะกะเกณฑ์เองไม่ได้ แบบนี้แล้วผลจะสำเร็จจากนี้อีกนานไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เกินชาตินี้กระมัง..! ต้องบอกว่าฉลาดแบบโง่ ๆ จับแพะชนแกะไปเรื่อย เรื่องที่ท่านอนุญาตให้ก็แปลว่าทำได้ แต่ดันไปคิดว่าไม่น่าจะได้
เรื่องของพระ พรหม หรือเทวดา ละเอียดกว่าเรามาก ขนาดปิดช่องแล้วท่านก็ยังหนีไปไม่รู้ตั้งเท่าไร ทีนี้เราไปเปิดตั้ง ๓๖๐ องศาก็รอไปก่อนเถอะ..!

เรื่องขอพรจากสมเด็จคำข้าวนี้ ขอบอกให้ชัดเจนว่าไม่ใช่อาตมาแนะนำ เป็นแค่ "ได้ยินมา" ว่า หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกกับญาติโยมที่บ้านสายลม แล้วเขาเล่าต่อกันมาจนถึงหูของอาตมา เป็นเรื่องที่ไม่ได้ยินมาจากปากหลวงพ่อด้วยตัวเอง ผิดพลาดอะไรขึ้นมาอาตมารับผิดชอบไม่ได้..!

เถรี
13-12-2012, 13:50
ถาม : ปกติผมเจริญพระคาถาชินบัญชรอยู่ประจำ คืนละ ๑๐ จบ แต่พอสวดไปได้ประมาณ ๔ - ๕ เดือน ก็มีเรื่องร้ายต่าง ๆ เข้ามาเยอะมาก เคยได้ยินว่าเป็นเพราะพระคาถาชินบัญชรเป็นคาถาร้อน อยากให้ท่านช่วยขยายความคำว่า 'ร้อน' ด้วยครับ ว่าเป็นอย่างไร ? และจริงหรือไม่อย่างไร ?
ตอบ : ต้องไปถามคนที่บอกว่าร้อน ในเมื่อเขาบอกว่าร้อนก็ให้เขาอธิบายด้วยว่าร้อนอย่างไร ? ไม่ใช่คนหนึ่งบอกมา แล้วเราเอาไปถามอีกคนหนึ่ง..!

เถรี
13-12-2012, 13:58
ถาม : ลูกชายวัย ๒๒ ปี จบปริญญาตรีปีนี้เองค่ะ ยังหางานทำไม่ได้ ลูกชายติดเกมส์ออนไลน์ มีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง ไม่ค่อยออกไปสังสรรค์กับเพื่อน มองอนาคตแล้วน่าเป็นห่วง พยายามดึงเขาออกมาจากการเล่นเกมส์ค่ะ ด้วยการมอบหมายให้ช่วยงานที่ร้าน ช่วยจัดของเข้าตู้แช่ (ร้านมินิมาร์ท) และช่วยขายของ พอตอนขายของก็ยกโน้ตบุ๊คมาเล่นเกมส์ด้วย เรียกว่าขายของไปเล่นเกมส์ไป ให้เงินเดือนด้วยค่ะ

พยายามสอนและทำทุกวิถีทางเพื่อจะดึงเขาออกมาจากตรงนั้น ทั้งนำธรรมมะมาสอดแทรกในการสอนเขาด้วยค่ะ ตัวโยมเองก็พยายามรักษาศีล และเจริญภาวนา แผ่เมตตาให้กับเขา และอยากจะให้เขาไปปฏิบัติธรรมบ้าง ควรจะทำอย่างไร?

ตอบ : แผ่รังสีอำมหิตแทน ไม่ทำงานก็ไม่ต้องกิน..! ถ้าขืนเล่นให้แม่เห็นอีกครั้งหนึ่ง โน้ตบุ๊คจะไปอยู่โรงจำนำ..! ลูกเรียนจบปริญญาตรีถือว่าโตกว่าควายแล้ว ถ้ายังไม่รู้ภาษาอีกก็ต้องลงมือลงไม้ให้หนัก ๆ หน่อย ไม่ใช่ไปแผ่เมตตา..!

เถรี
13-12-2012, 14:07
ถาม : จะภาวนาคาถายาว ๆ พร้อมจับลมหายใจต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : หายใจเข้า..ยาว หายใจออก..ยาว ก็คาถาว่ายาว ๆ อย่างไรล่ะ..!

การภาวนาคาถานั้นไม่มีกฎตายตัว อยู่ที่แต่ละคนถนัด บางคนสามารถภาวนายาวไปเลยก็ได้ บางคนต้องแบ่งเป็นคำ ๆ หรือแบ่งเป็นช่วง ๆ เพราะฉะนั้น..ให้ทดลองทำดูว่า แบบไหนที่เราหายใจสะดวกและคล่องตัวที่สุดก็ใช้แบบนั้น ไม่มีการจำกัดตายตัว

เถรี
13-12-2012, 14:28
ถาม : จะทำอย่างไรไม่ให้สงสัยในคำสอนหรือครูบาอาจารย์ครับ ? และถ้าเกิดความลังเลสงสัยดังกล่าว เกิดจากความฟุ้งซ่านจะมีวิธีแก้ไขอย่างไรครับ ?
ตอบ : มีสองอย่าง อย่างแรก..ไปกระโดดตึกซะ พอตกลงมาข้างล่างแล้วจะเลิกสงสัยไปตลอดชาติ..! อย่างที่สอง..อยู่กับการภาวนา ถ้าอารมณ์ใจทรงตัว ความลังเลสงสัยในการปฏิบัติก็จะไม่มี ฉะนั้น..ให้เลือกเอาว่าจะทำแบบแรกหรือแบบที่สอง..!

เถรี
14-12-2012, 11:55
ถาม : หนูมีอาชีพเกี่ยวกับการนำเสนอขายเครื่องดื่มแอลกฮอล์ ควรวางกำลังใจอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : วางกำลังใจว่าจะขายให้ได้เยอะที่สุด..!

ถาม : ไม่เป็นบาปหรือคะ ?
ตอบ : เขาถามว่าวางกำลังใจอย่างไร ก็ตอบตรงแล้วนี่

"การค้าขายสุรา ขายยาพิษ ขายอาวุธ ขายมนุษย์ ขายสัตว์ที่มีชีวิต พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นมิจฉาวณิชชา พุทธมามกะไม่ควรทำ แม้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราจะไม่ได้กินเอง ไม่ได้ฆ่าเขา แต่คนที่ไม่เข้าใจจะตำหนิเอา ถ้าท่านเป็นพระอริยเจ้าแล้วเขาด่าว่าท่าน เขาก็ลงอเวจีมหานรกไป

พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสว่าพุทธมามกะไม่ควรทำ ถ้าเรามีหน้าที่ค้าขายเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เรามีหน้าที่ขายก็ขายไป ถ้าไม่ได้บีบคอเขากรอกปากลงไป เราก็ไม่ได้สนับสนุนให้เขากิน..!"

เถรี
14-12-2012, 11:59
ถาม : ถ้าตั้งใจจะจับลมหายใจให้ได้ตลอดทั้งวัน ทำอย่างไรไม่ให้เครียดหรือหนักเกินไปครับ ?
ตอบ : ตั้งหน้าตั้งตาทำ ถ้ามัวแต่คิดอยู่ก็เครียด หลายคนไม่ประมาณตัวเอง กำลังแค่หิ่งห้อยจะไปทำแบบดวงตะวัน การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เลียนแบบและทำกันตรง ๆ สมัยก่อนอาตมาคลุกคลีตีโมงอยู่กับครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่น ท่านบอกว่า "สู้แค่ตาย" อาตมาลองสู้แล้ว..ตายจริง ๆ ตายฟรีด้วย..!

การปฏิบัติต้องรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว หาจุดที่พอเหมาะพอสมกับตนเอง ไม่ใช่คิดอยากจะทำทั้งวันก็ทำ การปฏิบัติภาวนาเหมือนกับการทำงาน ถ้าโหมหนักวันเดียวก็หมดสภาพ วันรุ่งขึ้นจะทำอะไรไม่ไหว ถ้าเป็นการปฏิบัติภาวนาก็จะฟุ้งซ่านไปหลายวัน เพราะกำลังใจไม่เอากับเราอีก

แรก ๆ ทดสอบดูก่อน ถ้าเครียดมากก็แปลว่าเกินกำลังของเรา ก็ให้ลดลงมาหน่อยหนึ่ง จากทั้งวันเราก็เอา ๒๓ ชั่วโมง ถ้า ๒๓ ชั่วโมงยังเครียดก็เอาแค่ ๒๒ ชั่วโมง ลดลงมานิดหนึ่ง

เถรี
14-12-2012, 12:01
ถาม : คนที่ทรงอภิญญา จำเป็นหรือไม่ที่ต้องสั่งสมบารมีมาก่อนถึงจะฝึกได้ ? และถ้าคนไม่เคยฝึกมาก่อน จะฝึกเอาดีในชาตินี้จะสำเร็จหรือไม่ ?
ตอบ : การจะฝึกอภิญญาสมาบัติหรือกรรมฐานใด ๆ ก็ตาม ต้องมีพื้นฐานมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว ถ้าใครจะเริ่มต้นชาตินี้ก็อีกประมาณสัก ๔ - ๕ แสนชาติ น่าจะเริ่มได้เห็นผลบ้าง..!

พวกเราที่นั่งที่นี่ทั้งหมด ต้องเคยทำมาแล้วทั้งนั้น ถ้าไม่เคยทำมาจะไม่มานั่งอย่างนี้ ป่านนี้ก็ไปหกคะเมนตีลังกาสนุกสนานอยู่ที่อื่นกันหมดแล้ว

เถรี
14-12-2012, 12:17
"ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ถ้าตั้งหน้าตั้งตาทำจริง ๆ คำถามจะไม่ค่อยมีหรอก เพราะการกระทำของเราจะได้คำตอบเป็นระยะ ๆ ไป แต่ส่วนใหญ่มักจะอ่านตำรามามาก อย่างวันนี้ที่มานั่งถาม ๆ อยู่ ก็คืออ่านตำรามามากแล้วก็จดมาถาม ตีความให้มั่วไปหมด ลักษณะที่บอกว่าคาถาชินบัญชรเป็นของร้อน แล้วร้อนอย่างไร ในเมื่อไปฟังเขาว่าร้อน ก็ไปถามคนบอกเองสิว่าร้อนแบบไหน

เรื่องของคาถาเป็นเครื่องโยงใจให้เป็นสมาธิ พอสมาธิเกิดขึ้น จิตมีกำลัง เราจะอธิษฐานให้เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ดังนั้น เรื่องของคาถาไม่ได้มีร้อนมีเย็นอะไรหรอก หลายคนเวลาปฏิบัติจะเจอการทดสอบแบบหนัก ๆ ทำให้เราเข้าใจผิดในพระรัตนตรัยไปเลย อย่างเช่น ภาวนาคาถาชินบัญชรไป ๔ - ๕ เดือน สารพัดเรื่องร้ายก็ประดังเข้ามา ทำให้เราคิดว่าเป็นผลจากคาถา

บางรายตอนสมัยยังไม่ได้เข้าวัดเข้าวา เมาหัวทิ่มบ่อ นอนตากน้ำค้างทุกคืนไม่เป็นอะไร พอเลิกกินเหล้า เข้าวัดมาภาวนา กลับป่วยเช้าป่วยเย็น ก็เลยพลอยทำให้เข้าใจผิดไปว่า เพราะว่าเข้าวัดปฏิบัติธรรมจึงป่วย ก็เลยเลิกเข้าวัด"

เถรี
14-12-2012, 12:20
"จำไว้ให้แม่น ๆ ใครก็ตามที่ทำแล้วประสบกับการทดสอบแรง ๆ แบบนี้ แปลว่าบุคคลนั้นถ้าทำต่อไปจะเกิดผลเร็วมาก เขาเกรงว่าเราจะหนีรอดไปได้ ก็เลยพยายามขัดขวางแบบรุนแรงเช่นกัน ในเมื่อขวางแรงก็ทำให้เราเข้าใจผิดได้ง่าย ถ้ากำลังใจไม่มั่นคง หลายรายหลุดวงโคจรไปเลย

พี่ชายของอาตมาเป็นตัวอย่าง ตั้งแต่วัยรุ่นมาตั้งใจอย่างเดียวว่าจะบวชปฏิบัติธรรม ดำเนินตามรอยครูบาอาจารย์ ทำทุกอย่างไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเลย ทำเพื่อพี่เพื่อน้องหมด คราวนี้ตอนที่เขาตัดสินใจจะบวช ก็ไปถามหลวงพ่อวัดท่าซุง ตอนนั้นหลวงพ่อท่านอยู่ที่บ้านสายลม คนมาก ๆ อย่างนี้แหละ เข้าไปถึงก็กราบถามด้วยความฉะฉานว่า “หลวงพ่อครับ ถ้าผมบวชจะได้เป็นพระอรหันต์ไหมครับ ?”

หลวงพ่อท่านบอกว่า “โคตรแม่มึงปฏิบัติเอง..แล้วกูจะตอบได้อย่างไร..?!” ก็คือถ้าตั้งใจปฏิบัติจะให้เป็น ทุ่มเทไปก็มีโอกาสเป็น แต่ถ้าบวชไปแล้วไม่ยอมทำอะไร จะเป็นได้อย่างไร ?"

เถรี
14-12-2012, 12:25
"หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่เกรงใจลูกศิษย์หรอก ท่านทดสอบหนัก ๆ อย่างนี้ทุกคนแหละ ปรากฏว่าพี่ชายของอาตมาตีความผิด ว่าตัวเองบวชไปก็ไม่ได้อะไร ก็เลยไปแต่งงานมีครอบครัวแทน ตั้งแต่นั้นมาก็หลุดวงโคจรไปไกล จนกระทั่งท้ายสุดเป็นมะเร็ง

ก่อนจะตายอยู่ที่โรงพยาบาล อาตมาเข้าไปไล่อารมณ์การปฏิบัติให้ จนกระทั่งไปถึงจุดที่ว่าเขาเข้าใจและเกิดความมั่นคงในอารมณ์แล้ว ก็บอกว่าให้รักษาอารมณ์ตรงนั้นไว้ หลังจากนั้นไม่กี่วันก็ตาย ถือว่ายังมีบุญอยู่"

เถรี
14-12-2012, 12:31
ถาม : ในแต่ละวัน ในแต่ละช่วงเวลา หน้าตาเราจะไม่เหมือนกันในแต่ละช่วง มีอะไรมาแทรกมาสิงหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่หรอก..อยู่ที่อารมณ์เรา อยากจะให้หน้าเหมือนกันทั้งวัน ต้องรักษาอารมณ์ใจให้มั่นคง ถ้าอารมณ์ไม่มั่นคงก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามรัก โลภ โกรธ หลง ลองไปภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัว

จะมีอยู่ช่วงใหญ่ ๆ ของนักปฏิบัติภาวนา ที่อารมณ์ใจทรงตัวแล้วไม่อยากยุ่งกับใคร มีความสุขอยู่กับการภาวนา จะเป็นใบหน้าไร้อารมณ์ พอถึงเวลาก็คนอื่นจะเบื่อขี้หน้าไปเอง อาตมานี่โดนสาว ๆ เขาต่อว่ามาเยอะแล้วว่าไร้อารมณ์ ไม่ว่าเขาจะตื่นเต้นแค่ไหนอาตมาก็ “อ๋อ...หรือ ?” โดนไปเต็ม ๆ

คราวนี้ช่วงที่อารมณ์ใจทรงตัวจะทรงตัวจริง ๆ ทั้งกลางวันกลางคืน ทั้งหลับทั้งตื่นอารมณ์ใจเท่ากันหมด คราวนี้อยู่ยาวเป็นเดือน ๆ คนรอบข้างเลยเบื่อขี้หน้าหมด เพราะกลายเป็นคนไม่รู้ร้อนรู้หนาว

เถรี
14-12-2012, 12:36
ถาม : คิดว่าสิ่งที่เจอเป็นบททดสอบทำให้เราตั้งมั่นในพระรัตนตรัยค่ะ ?
ตอบ : แปลว่าตอนนี้เราเริ่มหวั่นไหวแล้ว ตั้งหน้าตั้งตาทำไปให้มากกว่านี้ จะได้มั่นคงในพระรัตนตรัย ไม่ใช่มาลังเลสงสัย ให้ตั้งใจเลยว่าไม่มีใครที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าคุณพระศรีรัตนตรัยอีกแล้ว ไม่ว่าใครจะมาสิงใคร จะมาแทรกอย่างไรก็ตาม เรายึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง แล้วก็ภาวนาของเราไป แค่นั้นแหละ

บุคคลถ้าปฏิบัติไปแล้วเกิดความมั่นคงทางอารมณ์ คนอื่นจะพึ่งพามาก ถ้ามั่นคงมากเดี๋ยวก็มีเรือพ่วงเยอะ สมัยนี้ไม่ค่อยได้เห็นเรือพ่วงกันแล้วใช่ไหม ? เรือลำหนึ่งโยงไปอีกลำหนึ่ง มาก ๆ เข้าเรือลำที่นำก็แทบตายกว่าจะลากไปได้

แต่ในเรื่องของเรือพ่วงนั้นอัศจรรย์อยู่อย่างหนึ่ง โดยเฉพาะเรือข้าว เรือที่ลากจูงลำนิดเดียว แรก ๆ นี่เร่งเครื่องแทบตายก็ไม่ไหว แต่พอเรือเริ่มเคลื่อนที่คราวนี้แรงเฉื่อยมี ก็ไปได้เรื่อย ๆ เหมือนอย่างกับมดลากช้าง เด็กรุ่นหลัง ๆ คงไม่ได้เห็นเรือข้าวแล้ว เป็นเรือไม้หลังคาโค้ง ๆ มีกระแชงคือแผ่นที่เขาสานคลุมไว้ แต่ละลำสามารถบรรทุกข้าวได้มากพอ ๆ กับรถสิบล้อ

เถรี
14-12-2012, 12:55
สรุปว่านักปฏิบัติต้องพากเพียรพยายามอย่างสูง เพราะต้องทำในสิ่งที่ไม่เคยชิน แต่การกระทำให้อยู่ในลักษณะผ่อนสั้นผ่อนยาว ไม่ใช่เห็นช้างขี้แล้วก็ไปขี้ตามช้าง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ พอปรับได้มุมที่ตัวเองถนัดแล้วเริ่มดี คราวนี้สิ่งขวางต่าง ๆ ก็จะเข้ามา ขอให้รู้ว่านั่นเป็นสิ่งปกติ

เขายิ่งขัดขวางเรารุนแรงเท่าไร ก็แปลว่าเราใกล้มรรคผลเท่านั้น ดังนั้น..แทนที่จะถอยให้บุกต่อไปข้างหน้า อีกไม่กี่ก้าวก็จะพ้นแล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะโดนเขาหลอก ก็คือถอยมาเสียก่อน เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ค่อย ๆ ปฏิบัติไป พอมีประสบการณ์หลายครั้งเข้า เดี๋ยวก็รู้ว่าควรทำอย่างไร

พวกที่เขาขวางแรง ๆ ยังรู้ตัวง่าย พวกที่เขาขวางนิ่ม ๆ ด้วยการดึงให้ไปสนใจเรื่องอื่น อันนั้นนะยาก..ปัจจุบันแม่ชีเถรีโดนอย่างนั้นแหละ ไปอาศัยอยู่ที่วัดทางบ้าน วัดก็มอบหมายงานให้สารพัด กระทั่งเวลาหายใจยังไม่มี แล้วจะไปปฏิบัติอย่างไร ? นั่นก็คือการขวาง แต่เขาขวางอย่างมีชั้นเชิง ขวางแบบคิดว่าเรามีงานทำเต็มที่แล้ว ว่างเมื่อไรค่อยไปภาวนา แต่ปรากฏว่าเช้ายันค่ำไม่มีเวลาภาวนาเลย..!

เถรี
14-12-2012, 20:37
พระอาจารย์กล่าวกับคนที่มาถามสูตรยารักษาโรคมะเร็ง แล้วจะทำแช่ตู้เย็นไว้ใช้นาน ๆ ว่า "คนที่ใช้มะเกลือเป็นยาถ่ายพยาธิ ตาบอดมาหลายรายแล้ว มะเกลือเขาให้ตำคั้นกับกะทิ ต้องกินตอนนั้นเลย ถ้าทิ้งไว้นาน จะแปรสภาพเป็นพิษที่ทำให้ตาบอด เพราะฉะนั้น..สำหรับยารักษาโรคมะเร็ง เมื่อบอกอย่างไรให้ทำอย่างนั้น ไม่ใช่ไปแหกคอก..!"

เถรี
14-12-2012, 20:39
ถาม : เพื่อนผมสงสัยแหวนจักรพรรดิของหลวงพ่อวัดท่าซุง..?
ตอบ : มัวแต่สงสัย พวกที่ขี้สงสัยนี่แหละ..ของจริงก็เป็นปลอมได้

ถาม : ทำมาจากทองคำหรือชุบทองหรือครับ ?
ตอบ : พวกนี้ทองชุบตั้งแต่แรกแล้ว วงที่เป็นทองคำจริง ๆ ใต้ฐานจะมีลายเซ็นหลวงพ่ออยู่ ถ้าพวกท้องวงที่ง้างได้แบบนี้เป็นทองชุบทั้งนั้น

นึกถึงว่าหลวงพ่อเพิ่งจะล่วงลับดับขันธ์มา ๒๐ ปี วัตถุมงคลตอนนี้สับสนมากเลย เพราะคนสร้างประวัติขึ้นมาเองเสียเยอะ คาดว่าอีก ๒๐ ปีข้างหน้า เกิดอาตมาตายไปด้วย ก็คงไม่มีใครมานั่งยืนยันให้ เฉพาะสมเด็จคำข้าวอย่างเดียวมีแม่พิมพ์ ๑๓ ตัว เพราะฉะนั้น..ถ้าจะต่างกันถึง ๑๓ พิมพ์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่บางพิมพ์ก็เป็นที่นิยม อย่างพิมพ์แขนจุด พิมพ์ฐานจุด เกิดจากการที่เขาแกะแม่พิมพ์แล้วพลาด ตรงนั้นโดนจี้ลึกไปหน่อยหนึ่ง กลายเป็นหลุมขึ้นมา พอถึงเวลาจึงกลายเป็นเนื้อเกิน

เถรี
14-12-2012, 20:56
ถาม : พระสุกขวิปัสสโกต้องละหมดหรือครับ ?
ตอบ : ทุกคนต้องละหมด ถ้ายังมีใจยินดีอยู่ก็ไม่สามารถที่จะเป็นพระอรหันต์ได้ แต่คำว่า "สุกขวิปัสสโก" ไม่ได้แปลว่าคุณจะไม่ได้ฌาน เพียงแต่ว่าเป็นฌานที่ท่านทรงโดยไม่รู้ตัว เกิดจากการพิจารณาธรรมแล้วสมาธิทรงตัวขึ้น ถ้าทรงฌานไม่ได้ จะเป็นไม่ได้แม้กระทั่งพระโสดาบัน..!

ในเมื่อเราไม่ติดรูปแล้ว อรูปเราไม่ได้ปฏิบัติจะไปติดได้อย่างไร ในเมื่อไม่ได้ติดก็แปลว่าตัดได้

คนมักจะเข้าใจว่าสุกขวิปัสสโกไม่มีฌานไม่มีสมาบัติ เขาเข้าใจผิด ถ้ากำลังไม่พอถึงระดับปฐมฌานขึ้นไป จะตัดกิเลสไม่ได้สักอย่าง เวลาท่านพิจารณาธรรมไปเรื่อย ๆ อารมณ์ใจก็ค่อย ๆ ดิ่งลึกจนทรงตัวเป็นฌาน แต่ท่านไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีฌาน

ถาม : คนเป็นพระอนาคามีต้องทรงฌาน ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้ฌาน ๔ เป็นพระอนาคามีไม่ได้ ดังนั้น..พระสุกขวิปัสสโกถ้าตะกายถึงพระอนาคามีได้นี่สุดยอดแล้ว แสดงว่าทรงฌานระดับสูงไปตั้งนานแล้ว

เถรี
14-12-2012, 21:11
ถาม : อ่านหนังสือเจอ เลยทำให้รู้ว่าลูกศิษย์หลวงพ่อเป็นปัญญาธิกะเยอะ ก็เลยมีปัญญา ?
ตอบ : แล้วแต่วาสนาเดิมว่าใครทำมา ในเมื่อเขาทำมาทางด้านปัญญา ปัญญาก็เกิด ถ้าประเภทชอบตะเกียกตะกายด้วยตัวเองก็ต้องไปทางวิริยาธิกะ

ถาม : วิริยาธิกะจะย้ายมาเป็นปัญญาธิกะได้ไหมครับ ?
ตอบ : เดินคนละทางแล้ว อยากจะย้ายใหม่ก็เริ่มต้นใหม่ ที่คุณว่ามานี่มันสันดานมนุษย์ ไม่ใช่สันดานนักปฏิบัติธรรม หนอยแน่..จะโอนหน่วยกิตเสียแล้ว เขาให้โอนหน่วยกิตได้อย่างเดียว คือจากพุทธภูมิไปเป็นสาวก บุคคลผู้ปรารถนาพระโพธิญาณเขาไม่กลัวเหนื่อยกัน ถ้ากลัวเหนื่อยเขาไม่ปรารถนากันหรอก

ถาม : มีวิริยาธิกะพิเศษไหมครับ ?
ตอบ : นอกตำราเกินไป

ถาม : เคยได้ยินไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เคยได้ยิน วิริยาธิกะพิเศษ ถ้าจะมีก็พวกโง่เป็นพิเศษเท่านั้นแหละ..! ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัปก็แย่แล้ว ยังจะมีวิริยาธิกะพิเศษอีก

สำหรับสมเด็จองค์ปฐมท่านนั้นนอกเหตุเหนือผล ไม่ได้อยู่ใน ๓ ประเภทนี้ เพราะเริ่มหลักสูตรด้วยพระองค์ท่านเอง ในเมื่อเริ่มปฏิบัติด้วยพระองค์ท่านเองจึงยังไม่จัดเป็นหลักสูตร แรก ๆ ก็ยังไม่รู้ว่าทำไปเพราะอะไร แต่อยากทำ..ขอยืนยันว่ามีแบบนี้องค์เดียว ที่เหลือถัดจากนั้นใครจะแหกคอกขนาดไหนก็แหกไปเถอะ รับประกันว่าไม่เกิน ๑๖ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป เพราะมีหลักสูตรแล้ว

เถรี
15-12-2012, 11:30
ส่วนใหญ่แล้วการปฏิบัติธรรม พอปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่ง ก็จะโดนหลอกว่าตัวเองมีความพิเศษอย่างนั้น มีความพิเศษอย่างนี้ กลายเป็นมานะถือตัวถือตน ก็เลยไม่หลุดพ้นเสียที เคยเจอเด็กอยู่คู่หนึ่ง โดนหลอกว่าเป็นมนุษย์พิเศษ เกิดมาเพื่อกู้โลก กู้ประเทศชาติโดยเฉพาะ เพราะฉะนั้นควรจะสร้างมนุษย์พิเศษประเภทนี้ให้มาก ๆ เขาก็เลยไปมีลูกเสีย ๔ - ๕ คน หลอกได้แสบมากเลย คราวนี้มัวแต่เลี้ยงลูกอยู่ จะเอาเวลาที่ไหนไปปฏิบัติธรรม..!

ดังนั้นพวกกำลังใจดีอย่างหนึ่ง พวกสร้างบารมีมามากอย่างหนึ่ง เวลาทดสอบเขาก็ต้องทดสอบเจ็บ ๆ ถ้าฉลาดน้อย เจออะไรแล้วเชื่อเลยก็เป็นอันว่าเสร็จ ติดอยู่ตรงนั้น ไม่เป็นอันได้ไปไหนหรอก

เรื่องของข้อมูลศึกษาแต่พอสมควร แล้วก็รีบทำ..มุ่งลัดตัดตรงไป ไม่อย่างนั้นข้อมูลนั้นแหละ จะย้อนกลับมาทำอันตรายเราเอง เพราะรู้มากเกิน

พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในอลคัททูปมสูตร ที่บอกว่าภิกษุบางรูปศึกษาพระไตรปิฎกเหมือนกับจับงูข้างหาง ไปคว้าหางงู งูจะแว้งกัดเอาเมื่อไรก็ได้ จะไม่อาศัยตำราหรือไม่อาศัยพระไตรปิฎกก็ไม่ได้ อาศัยตำราอาศัยพระไตรปิฎก ก็อย่ายึดติดมากเกินไป ศึกษาแค่ส่วนที่จำเป็นแล้วเร่งรัดปฏิบัติให้เกิดผล ไม่ใช่เรียนรู้ทุกเรื่องแล้วก็ดีแต่เอาไปคุยอวดชาวบ้าน เพราะถ้าเป็นลักษณะอย่างนั้นจะเป็นการจับงูข้างหาง ตำราหรือพระไตรปิฎกจะย้อนกลับมาทำอันตรายเราทีหลัง

โบราณเขาบอกว่ารู้มากยากนาน รู้น้อยพลอยรำคาญ ก็เหลืออยู่อย่างเดียวคือต้องรู้พอดี ๆ

เถรี
15-12-2012, 11:33
พระอาจารย์กล่าวว่า "กฐินทอดได้วันสุดท้ายคือ กลางเดือน ๑๒ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า กาลกฐิน กาละ คือเวลา

เวลาสำหรับกาลกฐิน เริ่มตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ คือวันที่เขานิยมตักบาตรเทโวฯ ไปจนถึงกลางเดือน ๑๒ แค่ ๒๙ วันเท่านั้น เพราะว่าข้างแรมของเดือน ๑๑ มีแค่ ๑๔ วัน ข้างขึ้นมี ๑๕ วัน"

เถรี
15-12-2012, 11:46
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้วัดท่าขนุนบวชพระ จากนาค ๑๓ ท่าน ค่อย ๆ หลุดกระเด็นไปทีละท่านจนเหลือบวชแค่ ๑๐ ท่าน ที่น่าขายหน้าที่สุดก็คือ ฝรั่งผ่านส่วนคนไทยตก..! อย่างท่านลุคต้องเขียนเป็นภาษาอังกฤษให้ท่านท่องทีละประโยค ๆ ท่านยังท่องได้ แต่ตอนนี้แม่ชีเคิ่ลกำลังสาหัส นั่งบ่นว่าทำไมวัดท่าขนุนสวดมนต์เยอะอย่างนี้ เขียนไม่ไหว เพราะต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษประโยคต่อประโยค

อาตมามีโครงการว่าจะทำหนังสือสวดมนต์เป็นภาษาบาลีโรมัน บาลีโรมันจะเป็นหลักการออกเสียงของนักภาษาศาสตร์ทั่วโลก ถ้าพวกที่เรียนภาษาศาสตร์มาจะออกเสียงถูกทุกคน เพียงแต่ว่าตัวหนังสือจะแปลก ๆ เพราะจะไม่ตรงกับภาษาอังกฤษ ใช้ตัวภาษาอังกฤษแต่มีเครื่องหมายกำกับ อย่างตัว N แล้วมีเครื่องหมาย คล้าย ๆ คลื่นเล็ก ๆ อยู่ข้างบน ซึ่งจะอ่านเป็นตัว ญ.

บาลีโรมันได้ความประณีต ไม่อย่างนั้นจะออกเสียงผิด อย่างเช่น ถ้ามีขีดข้างบนก็จะเป็นเสียงยาว ถ้าไม่มีขีดก็จะเป็นเสียงสั้น เช่น ตัว A เป็นเสียงอะ ถ้า A มีขีดข้างบนจะเป็นเสียงอา ค่อย ๆ ตรวจสอบทีละคำ ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาทำ ถ้ามีจะค่อย ๆ ทำออกมา เผื่อฝรั่งมาจะได้สวดมนต์กับเราได้"

เถรี
15-12-2012, 12:03
ต้องบอกว่าท่านลุคเป็นคนพิเศษ ก็คือเกิดอภิญญาขึ้นเอง รู้เห็นสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ครั้งแรกอยู่ ๆ ก็หลุดไปอยู่ข้างบน แล้วไม่อยากจะลง เพราะเห็นว่าร่างกายข้างล่างคบไม่ได้ ไม่ได้สวยงามเหมือนข้างบน พอถึงเวลาแล้วไม่ลง เขาเลยบรรจงถีบลงมา..!

ของพวกนี้แปลก ถ้าได้ครั้งหนึ่งแล้วจะได้ตลอด เพราะรู้วิธีไปแล้ว เขาก็พยายามเสาะหาช่องทางของตัวเอง จนในที่สุดก็รู้ว่าเมืองไทยของเรามีหลักการปฏิบัติแบบนี้ เขาจึงมาเมืองไทย เที่ยวไล่ไปสำนักนั้นสำนักนี้ แม้กระทั่งวัดท่าซุงหรือวัดเขาวงของหลวงตา เขาก็ไปมาแล้ว ท้ายสุดไปชอบใจวัดท่าขนุน เขาก็เลยขอบวช ลุคเป็นฝรั่งที่อารมณ์ดี ค่อนข้างจะกวนอีกต่างหาก

ฝรั่งเขาจะกล้าคิดกล้าพูด บิณฑบาตอยู่ด้วยกันก็บอกให้คุณลุคเขาคอยตอบ อาตมาจะถาม พอถาม “กุฏฐัง” แกก็ตอบว่า “สรณัง คัจฉามิ” อาตมาก็ “เฮ้ย..นี่ตูออกเสียงไม่ชัดใช่ไหม ?” กุฏฐัง เขาให้ตอบ นัตถิ ภันเต ถ้า มนุสโสสิ ก็ตอบว่า อามะ ภันเต

อุตส่าห์อธิบายให้เขาฟังว่า นัตถิ ภันเต คือ No, sir. ถ้าอามะ ภันเต คือ Yes, sir. เขาบอกว่า I see. เขารู้ก่อนแล้ว ตกลงอาตมาอธิบายเสียน้ำลายเปล่า..!

เถรี
15-12-2012, 12:06
ถาม : บนเรื่องงาน ?
ตอบ : บนพระวิสุทธิเทพ รักษาศีล ๘ พร้อมเจริญกรรมฐาน ๗ วัน รีบไปจุดธูปกลางแจ้ง ๕ ดอก บอกท่านว่างานนี้ผมขอนะครับ โดยกติกาเขาเอาแค่ ๗ วัน รักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ ก็ได้ พร้อมเจริญกรรมฐาน ของเราให้เอาศีล ๘ ไปเลย จะได้มีข้ออ้างหนีเมียไปวัดได้..! ..(หัวเราะ)..

ถาม : ถ้าเราบนไปแล้วรอบหนึ่งแล้ว..ก็บนซ้ำ ?
ตอบ : ถ้าซ้ำก็เจออีก ๗ วันนะสิ..!

เถรี
15-12-2012, 12:09
ถาม : การจุดธูปตามพิธีต่าง ๆ ตามสายวัดท่าซุง ใช้กี่ดอกครับ ?
ตอบ : ปกติก็ใช้ ๕ ดอก แทนการบูชาพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ถ้าเขาไม่จำกัดเราก็ใช้ดอกเดียว จะได้ไม่เปลือง..!

ถาม : ในจำนวนที่เท่ากัน การถวายดอกบัวถือว่ามีอานิสงส์กว่าถวายดอกไม้อื่นหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าถวายเฉย ๆ ก็เหมือนกับดอกไม้อื่น แต่ถ้าถวายดอกบัวแล้วเรานึกด้วยว่า ดอกบัวเป็นดอกไม้ที่เกี่ยวข้องกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาอย่างไร ถ้าอย่างนั้นจะเป็นการยกระดับความสำคัญขึ้นมาในใจของเรา อานิสงส์ที่จะพึงได้ก็เพิ่มพุทธานุสติขึ้นมา ได้อานิสงส์มากกว่าหลายเท่า แต่ถ้าเห็นดอกบัวเป็นดอกบัว สักแต่ถวายไป ก็ได้เท่ากับดอกไม้อื่น

ถาม : เรื่องการบวงสรวงศาลพระภูมิทำเป็นพิธี หรือถวายสังฆทาน ทำเฉพาะครั้งแรกครั้งเดียว ?
ตอบ : ถวายครั้งแรกแค่ครั้งเดียว ที่เหลือจะอธิษฐานถวายเครื่องสังเวยทุกวันพระใหญ่อะไรก็ว่าไป

เถรี
15-12-2012, 12:13
ถาม : เดี๋ยวนี้มีการบอกว่ามีครูบาอาจารย์มาสอนในนิมิต เราจะรู้ได้อย่างไรว่าจริงหรือไม่จริง ?
ตอบ : เทียบกับหนังสือวิสุทธิมรรค เทียบกับพระไตรปิฏก เทียบกับตำราของหลวงพ่อวัดท่าซุง แหกคอกไปเมื่อไรก็เลิกเชื่อ เมื่อครู่โยมก็เพิ่งจะถามเรื่องวิริยาธิกะพิเศษ ขนาดเรื่องนี้ยังไม่มีในพระไตรปิฎกเลย แต่ว่าอรรถกถาพุทธวงศ์ท่านเขียนเอาไว้ เขาถึงได้แยกประเภทเอาผู้ที่ปรารถนาพระโพธิญาณมาเป็น ๓ ประเภท

แสดงว่าระดับพระพุทธเจ้ายังไม่สอนเลย เพราะทราบว่าคนจะเอาไปทะเลาะกัน อรรถกถาจารย์ท่านทราบก็อธิบายเพิ่มเติมมา พวกเราดันมีคนเก่งกว่า อธิบายเพิ่มขึ้นมาอีก

เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่ตรงกับพระไตรปิฎก ไม่ตรงกับวิสุทธิมรรค หรือไม่ตรงกับตำราหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็ละไว้ก่อนว่าอย่าเพิ่งเชื่อ ต่อให้ตรงเลยก็อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะบางทีเท่าที่เจอมา เขาบอกตรงตั้ง ๘๐ - ๙๐% แล้วมาหลอกไว้ตอนท้ายนิดเดียว ทำให้เกิดผลก่อนแล้วค่อยเชื่อ แต่ผลนั้นก็เชื่อไม่ได้ เพราะหลายครั้งเขาเป็นคนทำให้ผลนั้นเกิดเอง พอถึงเวลาเขาถอนกำลังคืน เราก็กลายเป็นหมาเหมือนเดิม..!

เถรี
15-12-2012, 12:18
ถาม : ถ้ามีเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นมา เราไม่สามารถมีสติแก้ไขได้อย่างทันท่วงที ควรจะพัฒนาอย่างไร ?
ตอบ : ทำสมาธิให้เป็นฌานใช้งานให้ได้ ไม่ว่าจะอยู่อิริยาบถไหนก็ต้องทรงสมาธิได้ ไม่อย่างนั้นถึงเวลาดีแต่นิ่งเงียบไปเฉย ๆ เราก็เอากำลังสมาธิไปทำอะไรไม่ได้

เถรี
15-12-2012, 12:24
ถาม : พระเวสสันดรท่านเป็นพุทธภูมิ ชาติสุดท้ายทำไมท่านไม่ได้ทำทานปรมัตถบารมี ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับโอกาสว่าชาตินั้นจะได้ทำอะไร บางรายปรารถนาพุทธภูมิชาติแรกก็ต้องสละสังขารเป็นอาหารคนอื่นแล้ว อยู่ที่โอกาสว่าจะได้ทำอะไร เพียงแต่ว่าทำให้จบก็แล้วกัน เหมือนกับทางโลก ถึงเวลาเขาให้เรียนระเบียบการทำวิจัยก่อน แต่เราดันไปเรียนวิชาอย่างอื่นจบก่อน แต่วิชานี้ไม่จบ ก็ต้องมาตามเก็บให้ได้

ถาม : ทานปรมัตถบารมี ไม่น่าทำเป็นชาติสุดท้าย ?
ตอบ : ก็บอกแล้ว บางคนเจอปรมัตถ์ตั้งแต่ชาติแรกที่ปรารถนาเลย ขึ้นอยู่กับโอกาสว่าจะได้ทำไหม ต่อให้คุณเรียนวิชาที่ยากที่สุดไปแล้วก็ตาม แต่ถ้าระยะเวลาเรียนไม่ครบก็จบไม่ได้ เก็บหน่วยกิตไม่ครบก็จบไม่ได้ ต้องรอจนกว่าจะครบทุกวิชา

เราจะเห็นว่าในแต่ละชาติของท่าน มีหลายชาติที่สร้างเรื่องของปรมัตถบารมี กลายเป็นว่าชาติที่ท่านเป็นสัตว์ได้ทำก่อน ชาติที่เป็นคนก็ไปทำทีหลัง จริง ๆ เรื่องของพระโพธิญาณ พระพุทธเจ้าท่านไม่เสียเวลามาสอนพวกเราหรอก เพราะเป็นธรรมที่เนิ่นช้า คือต้องเกิดมาทุกข์แล้วทุกข์อีก พออาจารย์ระยะหลังท่านทราบ ท่านก็มาขยายความ แล้วก็ไปถูกจริตกับคนจำนวนมาก ก็เลยไปทำกันใหญ่

แบบเดียวกับสุขาวดีพุทธเกษตร ซึ่งก็คือสวรรค์ชั้นดุสิต มหายานเขาไปเห็นแล้วก็เอามาสอนไปเรื่อย เพราะเขานิยมการเกิดมาช่วยคน ในเมื่อเถรวาทไม่สอน ก็เลยกลายเป็นแยกไปคนละสาย

เถรี
15-12-2012, 12:27
มีพวกนักวิชาการศาสนาหลายต่อหลายท่าน และส่วนมากด้วย ไปตีความว่าพุทธศาสนามหายานเกิดจากการปรับปรุง เพื่อที่จะได้ต่อสู้กับศาสนาฮินดู เพราะพระพุทธเจ้าของเราปรินิพพานแล้วไม่เหลืออะไรเลย แต่ของฮินดูยังมีเทวดาคอยช่วยศาสนิกชนเขาอยู่ ก็เลยต้องปรับให้เป็นพระโพธิสัตว์ อยู่เพื่อสงเคราะห์มนุษย์

ในเมื่อเขาอธิบายมา ปรากฏว่าทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผล อาตมาเองก็ไม่กล้าเถียงอาจารย์ เดี๋ยวท่านจะให้ตก..ก็ได้แต่ตั้งคำถามในเชิงแย้งว่า “เป็นไปได้ไหมครับท่านอาจารย์ ว่าท่านที่เขียนตำรามหายาน จริง ๆ แล้วท่านไปเจอสถานที่แบบนั้นมา เพราะถ้าไม่ไปเจอมา ก็ไม่สามารถที่จะอธิบายอะไรที่เป็นเหตุเป็นผล สอดคล้องกันหมด โดยที่ไม่มีข้อบกพร่องให้เราติได้เลย" ท่านอาจารย์ก็บอกว่า “นี่ก็ถือว่าเป็นทฤษฎีหนึ่ง ซึ่งเราเป็นนักวิชาการ ควรจะเปิดใจให้กว้างแล้วก็รับฟังเอาไว้”

สรุปว่าสิ่งที่มีเหตุผลที่สุดของเขาก็คือ เอาไว้สู้กับศาสนาฮินดู ส่วนความเป็นจริงจะใช่หรือไม่ใช่...ไม่สนใจ ไปเรียนหนังสืออย่าเถียงอาจารย์เป็นอันขาด ไปเถียงแบบไม่มีชั้นเชิงนี่ติด F เอาง่าย ๆ..!

เถรี
15-12-2012, 12:30
วิธีจะให้หายสงสัยคือไปดูเสียเอง ถ้ายังไปไม่ได้ก็ขวนขวายฝึกฝนให้ไปให้ได้ จะได้หายสงสัย ไปถามคนอื่นก็ไม่มีประโยชน์ พอถามเสร็จเราเอาไปคุยต่อ พอคนอื่นค้านขึ้นมา เราก็ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร ก็ไปนั่งเถียงกันเปล่า ๆ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า เราไม่ควรพูดในสิ่งที่เป็นเหตุให้เถียงกัน เพราะว่าการถกเถียงกันจำเป็นต้องพูดมาก บุคคลที่พูดมากจิตใจจะฟุ้งซ่าน บุคคลที่ฟุ้งซ่านย่อมห่างจากสมาธิ แปลว่ามีแต่เสียกับเสีย

ถ้าใครขี้สงสัยแต่ไม่สามารถไปดูได้ด้วยตัวเอง ให้หาใครก็ได้ที่ได้อภิญญาหรือได้มโนมยิทธิใหม่ ๆ พวกนี้จะคัน ขอให้ไปไหนได้ทั้งนั้น ถึงเวลาก็ใช้ให้ไปดู แต่อย่าไปใช้อย่างที่อาตมาเคยหลอกเด็ก โดนหลวงพ่อฝากด่ามา อาตมาก็อยากรู้ว่าเด็กทำได้จริงหรือเปล่า แต่คราวนี้เวลาให้เด็กไปดูเหมือนลักษณะไปหลอกใช้เขา อยากรู้ว่าตรงกันไหม ? เลยโดนหลวงพ่อฝากด่ามา..สะใจมาก ยังดีฝากมาแค่ด่า ถ้าฝากที่หนักกว่านั้นมานี่คงแย่..!

เถรี
15-12-2012, 12:35
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนตามประทีป ๑๐,๐๐๐ ดวง ถวายเป็นพุทธบูชา จะจุดไฟกันตอน ๖ โมงครึ่ง พอเวลา ๖ โมงเย็นกำลังทำวัตรฝนก็ตก ต้องกำหนดใจบอกกับพรหมบอกเทวดาท่านว่า พวกเราจะทำบุญใหญ่ ถวายประทีป ๑๐,๐๐๐ ดวงเป็นพุทธบูชา ธัมมบูชา สังฆบูชา อย่างไรก็ช่วยสงเคราะห์ให้หน่อย ท่านก็เลยหยุดให้

ของแบบนี้เราห้ามไม่ได้หรอก เพียงแต่แจกแจงว่าผลดีเป็นอย่างไร ถ้าฝนตกแล้วจะเสียอย่างไร เทวดาท่านยินดีในบุญกุศลอยู่แล้ว ท่านก็เต็มใจช่วย"

เถรี
17-12-2012, 21:15
ถาม : เปรตบางจำพวกตัวเป็นภูเขา..?
ตอบ : เขาอยู่ในเขตของความเป็นทิพย์ ไม่ใช่ภูเขาโด่เด่ทั่ว ๆ ไป ถ้าเราทำกำลังใจไม่ตรง ก็เห็นเขาไม่ได้ คำว่า ปัพพตังคเปรต แปลว่า เปรตที่มีร่างใหญ่เหมือนภูเขา บางทีก็มีเปรตที่มีลักษณะเหมือนกับชิ้นเนื้อ แต่ชิ้นเนื้อใหญ่โตมโหฬารเหมือนกับเป็นพลาญหินหรือแผ่นหินเลย

ถ้าสมาธิทรงตัวก็อยู่ด้วยกันได้ เห็นกันได้ ถ้าสมาธิไม่ทรงตัวก็ต้องเอาอย่างในพระธรรมบท พระท่านเดินทางไปต่างเมือง เจอเด็ก ๒ คนรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์พิกล นั่งอยู่ที่หน้าประตูเมือง จึงถามว่า “ไอ้หนูมาจากไหนกัน ?” เด็ก ๒ คนบอกว่า “พวกผมเป็นเปรต ตั้งใจแสดงตัวให้พระคุณท่านเห็น” พระท่านก็ถามว่าเพราะเหตุใด ?

“ขอรบกวนพระคุณว่า เข้าไปในเมืองแล้วไปหาแม่ให้กระผมด้วย แม่ไปหาอาหารในเมืองสั่งให้พวกผมรออยู่ที่นี่ ไม่ออกมาเสียที พวกผมหิวจะแย่อยู่แล้ว” พระท่านบอกว่าท่านไม่ได้มีฤทธิ์ ไม่ได้มีอภิญญา แล้วจะไปเห็นเปรตได้อย่างไร ? เด็ก ๒ คนจึงเอารากไม้อันหนึ่งให้ บอกว่าให้ถือว่านยานี้เข้าไป ถ้าตราบใดที่ถือว่านยานี้อยู่จะเห็นพวกผีพวกเปรตทุกชนิด

พระท่านก็สงสัยว่าแล้วท่านเองเห็นเด็ก ๒ คนนี้ได้อย่างไร เด็กบอกว่าเขาหิวมาก จึงต้องบันดาลให้เห็นเขาได้ เป็นอันว่าเขาปรับเข้ามาหาพระเอง

เถรี
17-12-2012, 21:18
พอพระรับว่านยามาแล้วก็ยืนงง เพราะบ้านเมืองที่ตอนแรกเห็นว่าเรียบร้อย กลายเป็นมีพวกผีพวกเปรตพลุกพล่านเต็มไปหมด เสาะหาอาหารตามกองขยะ ตามท้องร่อง ตามป่าช้า พระก็เข้าไปเดินถามว่า ใครเป็นแม่ของเด็ก ๒ คนที่นั่งที่หน้าประตูเมือง ถามไปถามมา เจอนางเปรตเข้าพอดี

นางเปรตถามว่าพระคุณเจ้าเห็นฉันด้วยหรือ ? ท่านก็บอกว่าเด็กเขาให้ว่านยามาถือก็เห็น แม่เปรตก็เลยกระชากว่านยาคืน แล้วก็วิ่งไปหาลูกตัวเอง พอว่านยาหลุดจากมือ พระท่านก็มองไม่เห็นอะไรอีก พวกผีพวกเปรตที่เห็นอยู่หายวับไปกับตา

ถ้าเราไม่ได้ปรับกำลังใจให้เท่ากับเขา หรือเขาไม่ได้ปรับกำลังใจมาหาเราก็เห็นกันไม่ได้ หรือต้องมีวัตถุบางอย่างที่เป็นสื่อ ก็คงเหมือนเราถือไฟฉายแล้วส่องในความมืด จะเห็นสิ่งต่าง ๆ ในที่มืดได้ ถ้าไม่มีวัตถุที่เป็นสื่อเราก็เห็นเขาไม่ได้

มีหลายท่านที่ซื้อพวกของเก่า เสื้อผ้าเก่า รองเท้าเก่ามา แล้วก็มีเสียง “เอาของกูคืนมา” อันนั้นมีวัตถุเป็นสื่อ..!

เถรี
17-12-2012, 21:28
ถาม : เวลาเราทำสมาธิ เกิดนิมิตอะไรขึ้น เราจะทราบได้อย่างไรว่า..?
ตอบ : จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่างมัน ให้สนใจลมหายใจของเราอย่างเดียวก็พอ ถ้าลมหายใจไม่มีให้รู้ว่าไม่มี คำภาวนาไม่มีให้รู้ว่าไม่มี นิมิตต่าง ๆ ให้ถือว่าเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่เรายิ่งไม่สนใจภาพก็จะยิ่งชัด จะกวนให้เราสนใจให้ได้

ถาม : แล้วเราจะวางกำลังใจอย่างไรคะ ?
ตอบ : รับรู้ไว้ด้วยความเคารพ แล้วก็กองไว้ตรงนั้นแหละ ยกเว้นว่าเป็นนิมิตที่ตรงกับกองกรรมฐาน เช่น เราใช้พุทธานุสติอยู่ จับภาพพระพุทธรูปเป็นนิมิต เมื่อภาพพระปรากฏก็จับภาพต่อไปเลย ถ้าไม่ตรงกับกองกรรมฐานก็ไม่ต้องไปสนใจ

เถรี
17-12-2012, 21:39
ถาม : วัตถุมงคล ถ้าอัญเชิญขึ้นคอหนึ่งองค์ กับขึ้นคอหลายองค์ แตกต่างกันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : อยู่ที่เรา...ถ้ามั่นใจองค์เดียวก็พอ อาตมาเองสมัยก่อนไม่พกสักองค์ ลุยไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แต่หลวงพ่อท่านเตือนว่าประมาทเกินไป เพราะถ้าสมาธิเราไม่ทรงตัว เผลอเมื่อไรอกุศลกรรมจะแทรกได้ แต่ถ้าเราอาราธนาพระท่านติดตัว จังหวะที่เราเผลอพระท่านยังคุ้มครองให้ อาตมาถึงต้องมาเริ่มพกวัตถุมงคลกันอีกที ไม่อย่างนั้นก่อนหน้านี้ขี้เกียจพก เพราะมั่นใจเกินร้อยแล้ว

ถาม : ถ้าวัตถุมงคลพุทธคุณต่างกัน เช่น องค์ด้านล่างเด่นทางลาภ องค์ด้านบนเด่นทาง..?
ตอบ : ถ้าพุทธคุณต่างกันก็พกไปเถอะ ถ้าครอบจักรวาลองค์เดียวก็พอ

อาตมาไปพม่านี่ปลดหมดตัวเลย เหลือแต่พระกริ่งพิชัยสงครามองค์เดียว ถ้าขืนเอาอย่างอื่นไป เดี๋ยวทหารพม่ายึดหมด อาตมาเลยเอาพระกริ่งเลี่ยมพลาสติกด้วยไปอยู่องค์เดียว ลุยไปทั่วประเทศพม่ามาหลายรอบแล้ว

เถรี
17-12-2012, 21:47
ถาม : เราจะทราบได้อย่างไรว่า นิมิตนั้นไม่หลอกเรา ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ เอาศีลเป็นหลัก ถ้าเรายังอยู่ในกรอบของศีล ๕ หรือศีล ๘ นิมิตหลอกเราอย่างไร ก็ไม่ไปไกลเกินนั้นหรอก

ถาม : ถ้านิมิตกองกรรมฐานเกิดขึ้น..?
ตอบ : เราต้องไปศึกษาว่านิมิตของกองกรรมฐานแต่ละกองเป็นอย่างไร สมมติเราภาวนาพุทโธแล้วภาพพระพุทธรูปปรากฏขึ้น ก็จับเป็นนิมิตได้ แต่ถ้ารูปพระสงฆ์มาก็ "นิมนต์ท่านรอก่อนค่ะ" ถ้าปฏิบัติในสังฆานุสติแล้วรูปพระสงฆ์มาก็จับเป็นนิมิตได้ แต่ถ้าภาพพระพุทธเสด็จมาก็นิมนต์ท่านรอก่อน นิมิตให้เอากองกรรมฐานของเราเป็นหลัก

ถ้าเรายึดศีลเป็นหลัก ยังอยู่ในกรอบของศีล หลุดอย่างไรก็หลุดไปไม่ไกลหรอก

เถรี
17-12-2012, 21:54
ถาม : จิตเรามีดวงเดียวหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : จิตจริง ๆ มีดวงเดียว เพียงแต่อาการของจิตมีมาก ทางอภิธรรมเขาก็เลยแยกไปเสียเยอะ แยกไปทีเป็นร้อย

ถาม : แล้วเราจะจับจิตอันไหนคะ ?
ตอบ : ความรู้สึกทั้งหมดของเรา...นั่นแหละจิต ไม่ใช่สมอง ไม่ใช่หัวใจ ความรู้ตัวของเราทั้งหมดนั่นแหละคือจิต แล้วจะไปจับจิตทำไม ?

ถาม : ความรู้สึกจิตอันนี้ดี เราก็ไปจับจิตอันนั้น ?
ตอบ : ถ้าความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป นั่นก็คือสภาพจิตที่วิ่งตามลมหายใจเข้าไป ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา ก็คือสภาพจิตที่ไหลตามลมหายใจออกมา อยู่แค่นี้ไม่ไปไหนก็ดีแน่ ๆ

เถรี
17-12-2012, 22:00
ถาม : ยุบพอง..?
ตอบ : เป็นได้...แต่สายพองยุบเขาให้ตัดอย่างอื่นหมด ซึ่งเป็นสายกรรมฐานที่อาตมายังไม่เห็นทางความก้าวหน้าเลย เพราะแม้กระทั่งความคิดเขาก็ตัดหมด ในเมื่อเราคิดไม่ได้แล้วเราจะไปพิจารณาธรรมอย่างไร ?

ถาม : ถ้าเราดูลมหายใจ..?
ตอบ : ปกติเขาให้ดูลมหายใจ แต่คราวนี้สายพองยุบเขาไม่เอาลมหายใจ การปฏิบัติที่ต้องการมรรคผล ต้องมีสมาธิทรงตัวอย่างน้อยปฐมฌานขึ้นไป ถ้าไม่มีสมาธิทรงตัวระดับนั้นจะตัดกิเลสไม่ได้ แต่การที่จะมีสมาธิทรงตัวได้เราต้องกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก สมาธิถึงจะทรงตัว สายพองยุบเขาไม่เอาลมหายใจเข้าออก ชาติหน้าบ่าย ๆ คงจะได้สมาธิหรอก..!

สำหรับนักปฏิบัติระยะแรกเริ่มจะรู้สึกว่าดี เพราะเราต้องบังคับตัวเองให้กำหนดรู้อาการพองยุบอยู่ตลอด แต่ถ้าสมาธิเริ่มสูงขึ้นเราจะกำหนดอาการนั้นไม่ได้ ในเมื่อกำหนดอาการนั้นไม่ได้ เขาก็ให้กำหนดตัวรู้ ถ้าเราไม่ได้ก้าวมาจากการกำหนดลมหายใจเข้าออก สมาธิไม่ทรงตัว ความละเอียดมีไม่พอ จะไปกำหนดรู้รูปนั่งรูปยืนอะไรก็ยาก

เถรี
17-12-2012, 22:07
ถาม : ทำไม...(ไม่ชัด)...?
ตอบ : ตามสายปฏิบัติทั่ว ๆ ไป พอลมหายใจหมดไป คำภาวนาหมดไป เขาให้กำหนดรู้อาการนั้นไว้เฉย ๆ เพราะสมาธิจิตละเอียดเกินการปรุงแต่งไปแล้ว แต่สายพองยุบเขาให้กำหนดว่า "รู้หนอ" การกำหนดอาการ "รู้หนอ" เป็นการลดกำลังใจลงมา ก็ต้องมารบกับกิเลสอื่น ๆ ต่อไป เท่าที่อาตมาปฏิบัติมา สายนี้ไปยากที่สุด เพราะขาดสมาธิมาช่วย

เถรี
17-12-2012, 22:08
ถาม : อะไรเข้ามาก่อนก็รับรู้หรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่...ตอนนั้นอะไรก็เข้าไม่ได้ สภาพจิตละเอียดเกินการปรุงแต่งไปแล้ว ในเมื่อเกินการปรุงแต่งไปแล้ว ลมหายใจที่ยังปรุงแต่งอยู่ คำภาวนาที่ยังปรุงแต่งอยู่ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ เพราะจิตเลยไปแล้ว เราแค่รับรู้อาการไว้เฉย ๆ ถ้าสภาพอย่างนั้นสติจะมั่นคงอยู่เฉพาะหน้า จะรู้ได้ตลอด เพราะสมาธิหนุนอยู่ แต่คราวนี้สายพองยุบไปรู้หนอโดยที่ไม่มีสมาธิหนุนอยู่ เพราะเป็นการลดสมาธิลงมาปรุงแต่ง อารมณ์นั้นจึงอยู่ได้ไม่นาน

ต้องทำให้ถึง ถ้าทำถึงแล้วจะรู้ ทำไม่ถึงพูดไปก็เท่านั้นแหละ

เถรี
17-12-2012, 22:15
ถาม : ในเรื่องของสังโยชน์ ๓ อย่างเรื่องศีลมีการเปรียบเทียบว่าตัวตายดีกว่าศีลขาด แล้วกรณีของการรู้ตัวว่าจะต้องตายนี่มีลักษณะให้ลองเทียบไหมคะ ว่าขนาดไหนถึงจะพอใช้ได้ ?
ตอบ : ทุกลมหายใจของเรานึกได้ไหมว่าเราจะต้องตายแน่ ถ้าสติรู้รอบ จะรู้อยู่ว่าเราจะต้องตายอยู่ทุกลมหายใจ เราหายใจเข้า ถ้าหยุดไว้แค่นั้นไม่หายใจออกเราก็ตาย เราหายใจออก ถ้าหยุดไว้แค่นั้นไม่หายใจเข้าเราก็ตาย ความรู้สึกกับลมหายใจจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ปัญญาจะมองเห็นเอง

ถ้าใจเราอยู่กับพระ อยู่กับความดีในกองกรรมฐาน โดยเฉพาะลมหายใจเข้าออก ก็แปลว่ากำลังใจของเราใช้ได้

เถรี
19-12-2012, 10:34
ถาม : ช่วงหลังนี้สติไม่ค่อยอยู่กับตัว ทำอย่างไรไม่ให้ฟุ้งซ่านครับ ?
ตอบ : ภาวนาอย่างเดียว ไม่ต้องคิดมาก วัน ๆ นั่งจับลมหายใจไป จริง ๆ รู้ตัวแล้วไม่แก้น่าจะโดนสักที..!

ถาม : ผมก็พยายามจับอยู่ แต่ยังฟุ้งซ่านครับ ?
ตอบ : ที่ไม่เห็นผลเพราะทำไม่ถึง ถึงเมื่อไรจะเห็นผล ของอย่างนี้ต้องค่อย ๆ สะสมตัวไปเรื่อย แรก ๆ ก็เหมือนกับน้ำหยด..ทีละหยด กว่าจะเต็มโอ่งได้ก็รอกันนาน ตอนเต็มเราก็ไม่รู้ว่าเต็มตอนไหน ช่วงสะสมแรก ๆ ทีละหยดเหมือนกับไม่ได้อะไรเลย ค่อย ๆ ทำไปเดี๋ยวก็ก้าวหน้าเอง

ถาม : บางครั้งก็รู้สึกว่าใจร้อนอยากเห็นผลครับ ?
ตอบ : ปฏิบัติธรรมต้องอย่าใจร้อน ใจร้อนไม่ได้หรอก ความใจร้อนเกิดจากนิสัยเจ้าโทสะ สติไม่พอที่จะรั้งปาก ที่สติไม่พอเพราะสมาธิไม่มีกำลัง เพราะฉะนั้น..ต้องเน้นที่สมาธิเป็นหลัก

เถรี
19-12-2012, 12:01
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระเครื่องของวัดบวรนิเวศน์วิหาร ถ้าไม่ใช่พระรุ่นเก่าไปเลย เขาไม่ค่อยเชื่อถือกัน เนื่องจากมีการทำปลอม ทำเสริม ทำเพิ่มกันกระจายเลย..! รุ่นที่ปลอมแล้วเป็นเรื่องเป็นราวมากที่สุดก็คือ พระกริ่งปวเรศรุ่น ๒ ที่สร้างฉลองในหลวง ๖๐ พรรษา เป็นพระกริ่งรุ่นเดียวที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไปเสกให้

รุ่นหลัง ๆ ที่ดังก็มีรุ่นคชวัตรนี่แหละ เพราะไม่ใช่พวกลูกศิษย์หน้าเดิม ๆ ทำ ให้คนอื่นเขาทำ ทำออกมาแล้วดัง ส่วนใหญ่ต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า ไม่ใช่พระดำริของสมเด็จพระสังฆราช ส่วนใหญ่เขาไปทำกันเอง

แม้กระทั่งพระกริ่งพิชัยสงครามของเรา เขายังเอาไปยัดลงวัดบวรฯ เลย เขาเอาไปทำจริง ๆ เพราะตอนเราสร้างพระกริ่งเสร็จแล้ว ไม่ได้เอาแบบคืนมา เขาก็เลยสร้างพระกริ่งพิชัยสงคราม แต่ว่าทำกล่องวัดบวรฯ ขาย ยังดีที่เขาไม่ชุบเงินชุบทอง ถ้าไม่อย่างนั้นเราแย่เลย เพราะเป็นแบบเดียวกัน แยกกันไม่ออก ที่เขาไม่ชุบเงินชุบทองเพราะต้นทุนสูง ได้กำไรน้อย"

เถรี
19-12-2012, 12:05
"ปีหน้าสมเด็จพระสังฆราชฯ ก็จะมีพระชนมายุ ๑๐๐ พรรษา น่าจะเป็นสมเด็จพระสังฆราชที่มีพระชนมายุยืนนานที่สุด เพราะว่าองค์ก่อน ๆ นี้แค่ ๙๐ พรรษาเศษ ๆ แต่คราวนี้เกรงว่าท่านจะอยู่ไม่ถึงวันพระราชสมภพ

จะว่าไปแล้วการแพทย์สมัยใหม่ ทำให้คนตายอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ถ้าคนตายอย่างเป็นธรรมชาติ ร่างกายจะค่อย ๆ หมดกำลัง แล้วก็ค่อย ๆ ตายไปเอง แต่ตอนนี้พอใครออกอาการก็เอาเข้าโรงพยาบาล ให้น้ำเกลือ ให้เลือด ใส่สายออกซิเจนระโยงระยางไปหมด สรุปว่าตายอย่างไม่เป็นธรรมชาติ

บางทีสภาพร่างกายไม่ไหวแล้ว แต่เครื่องมือแพทย์ค้ำอยู่ หลวงปู่หลวงพ่อที่เป็นนักปฏิบัติหลายต่อหลายท่านปฏิเสธเลย ป่วยแล้วอย่าเอาเข้าโรงพยาบาล เพราะเข้าโรงพยาบาลแล้วจะไม่ได้ตายตามปกติ"

เถรี
19-12-2012, 19:55
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครฟังฝ่ายค้านซักฟอกนายกรัฐมนตรีบ้าง ฝ่ายค้านเขาด่านายกฯ ยิ่งลักษณ์ว่าไม่มีภาวะผู้นำ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ทำไม่รู้ไม่ชี้ เขาจะด่าอย่างไรก็ด่าไป ตอบเสร็จแล้วนั่งยิ้ม ก็เลยสงสัยว่าใครไม่มีภาวะผู้นำกันแน่ ? คาดว่าถ้าคุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ ไปอีกสัก ๒ ปี จะสร้างมาตรฐานใหม่ ต่อไปพวกนักการเมืองดีแต่พูดเกิดไม่ได้หรอก เพราะท่านทำงานอย่างเดียวจริง ๆ ไม่ยอมเสียเวลาไปทะเลาะกับใคร

ในเรื่องของนโยบายต่าง ๆ ที่รัฐบาลทำ ถ้าจะหาเรื่องขุดมาด่าก็มีทุกเรื่องแหละ แต่คราวนี้จะต้องมีหลักฐานอย่างชัดเจน ไม่ใช่คิดว่า คาดว่าซ้ำยัง ไม่ใช่ตัวนโยบาย เพราะที่เขาเอามาด่ากันเป็นการรั่วไหลระดับล่าง ๆ ซึ่งมีทุกที่ รัฐบาลตามดูไม่ทั่วหรอก ทุกรัฐบาลก็เป็น

ดังนั้น..งานนี้ที่เขาออกมาก่อม็อบกัน พอดีวัดท่าขนุนจัดปฏิบัติธรรม อาตมาก็เลยบอกกับโยมไปว่า ไม่ต้องไปกังวลหรอก เพราะพวกที่ออกมาเขาออกมาแบบผิดธรรมชาติ เคยเห็นของที่เกิดมาผิดฤดูไหม ? ของที่เกิดผิดที่ ผิดฤดูกาลอยู่ไม่ได้หรอก เพราะว่าม็อบที่ออกมาไม่ได้ออกมาจริงจัง เขาออกมาด้วยการรวมหัวกันของบุคคลผู้เสียผลประโยชน์ มีทั้งพ่อค้ายาเสพติด มีทั้งพ่อค้าหวย มีทั้งพ่อค้าข้าว มีทั้งนักการเมืองอกหัก มีทั้งอำมาตย์อีแอบอะไรพวกนี้ เขาไปจ้างกันมา

ในเมื่อเทกระเป๋าจ้างกันออกมา ต่างคนก็ต่างรอลุ้น ที่น่าสงสารที่สุดก็คือ คุณเสธ.อ้าย โดนเขาหลอกให้ทำงานโดยไม่รู้ตัว"

เถรี
19-12-2012, 20:08
"พอก่อม็อบผิดจังหวะ ก็เลยพลอยทำให้การซักฟอกกร่อยไปด้วย เพราะเนื้อหาที่เตรียมมาซักฟอกต้องสอดคล้องกับม็อบ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับทั้ง ๒ ฝ่าย คราวนี้ม็อบล่มแต่เช้าเลย เนื้อหาที่เตรียมไว้จึงเปลี่ยนไม่ทัน คนอภิปรายก็อภิปรายไปเซ็งไป

ต้องรอท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์สร้างมาตรฐานใหม่ในรัฐสภาของเรา ตอนนี้ทนฟังเรื่องไร้สาระ รกหู หยาบคายไปก่อน พอนาน ๆ ไปก็จะเหลือแต่เนื้อหา การค้านต้องค้านอย่างมีหลักการ มีเหตุผล มีหลักฐาน มีประจักษ์พยานชัดเจน ถ้าอย่างนั้นถือว่าค้านอย่างมีคุณภาพ การค้านแบบด่าเอามันไม่น่าจะใช่วิสัยนักการเมือง น่าจะเป็นนักโต้วาที หรือไม่ก็แม่ค้าในตลาดมากกว่า

สมัยก่อนป๋าเปรมสร้างมาตรฐานอย่างหนึ่งก็คือ นักข่าวไม่สามารถเอาคำพูดของป๋าไปพัวพันกับเหตุการณ์ทางการเมืองได้ เพราะถามอะไรป๋าก็ “กลับบ้านเถอะลูก” ถามอะไรมาป๋าไม่ตอบ ไล่กลับบ้านอย่างเดียว

ก็เป็นตัวอย่างที่ดีให้เห็นว่า เรื่องการเมืองไม่รุนแรง ถึงเวลาเขาก็เลยตั้งฉายาให้ท่านพลเอกเปรมว่า "เตมีย์ใบ้" แต่ความจริงเป็นวิธีการรับมือกับนักข่าวที่ดีที่สุด เพราะปกติถึงเราไม่พูด นักข่าวก็ยังเอาไปเขียน แต่ป๋าเปรมพูดให้เขาเขียนไม่ได้ พูดว่ากลับบ้านเถอะลูก แล้วจะไปเขียนอะไรได้..!"

เถรี
19-12-2012, 20:18
"พอมาถึงรุ่นพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ท่านพูดว่า “ไม่มีปัญหา” ในเมื่อไม่มีปัญหาแล้วจะไปเขียนได้อย่างไร พอมาตอนนี้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ใครอยากด่าก็ด่าไป ไม่ตอบเสียอย่าง ปล่อยให้ด่าลมด่าแล้งไป

นึกถึงอักโกสกภารทวาชพราหมณ์ที่ไปด่าพระพุทธเจ้า ไม่ได้หมายความว่านายกฯ ยิ่งลักษณ์ท่านจะดีเหมือนพระพุทธเจ้า แต่อยากจะให้ดูความหมายที่พระพุทธเจ้าตอบอักโกสกภารทวาชพราหมณ์ว่า “พราหมณะ...ดูก่อนพราหมณ์ ญาติสาโลหิตมิตรสหาย ตลอดจนผู้ที่เคารพนับถือ มาเยี่ยมเยือนท่านถึงเรือนมีบ้างหรือไม่ ?”

อักโกสกภารทวาชพราหมณ์บอกว่า "มีสิ..เราไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอกนี่นา" พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า “ท่านได้จัดเอาขาทนียะโภชนียะ (ข้าวปลาอาหาร) มาต้อนรับเขาบ้างหรือไม่ ?” อักโกสกภารทวาชพราหมณ์บอกว่า ก็ต้องจัดให้ตามมารยาทเจ้าของบ้าน พระพุทธเจ้าตรัสถามต่ออีกว่า “ถ้าเขาไม่ได้รับของเหล่านั้น แล้วของเหล่านั้นจะตกเป็นของใคร ?” อักโกสกภารทวาชพราหมณ์บอกว่า “ก็ต้องเป็นของข้าพเจ้าตามเดิม”

พระพุทธเจ้าบอกว่า “นั่นแหละพราหมณะ...เวลาท่านด่าตถาคต แล้วตถาคตไม่รับ คำด่านั้นจะตกเป็นของใคร ?” อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ได้คิด ยอมกราบเลย กราบทูลว่า “ท่านสมณโคดม วาจาท่านเป็นภาษิตเหลือเกิน เหมือนหงายของที่คว่ำ เหมือนตามประทีปในความมืด”

เถรี
19-12-2012, 20:22
"คราวนี้เรามาดูว่า ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งด่าเอา ๆ แล้วนายกฯ ยิ่งลักษณ์ท่านไม่ตอบให้ชาวบ้านเขาเห็น ตกลงท้ายสุดคนด่าก็รับไปเอง ก็จะออกมาในลักษณะเดียวกัน ประเภทไม่ด่า ไม่ตอบโต้ ไม่ใช่ไม่รู้สึกนะ นึกถึงหลวงปู่พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง “หลวงปู่..เขาด่าหลวงปู่ขนาดนั้น หลวงปู่ไม่โกรธหรือ ?”

หลวงปู่ตอบว่า “โกรธสิวะ..! ข้าไม่ใช่พระอรหันต์นี่หว่า อยากมองให้มันหายวับไปตรงนั้นเสียด้วยซ้ำไป แต่จะทำอย่างไรได้ ข้าเป็นพระก็ได้แต่ยิ้มอย่างเดียว” เพราะฉะนั้น..ไม่ตอบไม่ใช่ไม่รู้สึก รู้สึกเหมือนกัน แต่อยู่ลักษณะน้ำขุ่นอยู่ใน น้ำใสอยู่นอก ซึ่งลักษณะอย่างนี้ตรงกับมารยาทในสังคมไทยแต่โบราณมา

เพราะฉะนั้น..ถ้าท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ รักษาภาพพจน์ลักษณะนี้ได้ อยู่ไปนาน ๆ คนจะรักขึ้นอีกมาก เพราะว่าปัจจุบันฝ่ายค้านเขาเสียเปรียบ ที่เสียเปรียบประการที่หนึ่งก็คือ ด่าไปเท่าไรอีกฝ่ายไม่ตอบ เสียเปรียบประการที่สอง ก็คือ ตัวเองเป็นผู้ชายแล้วไปด่าผู้หญิง หมดราคากันเลย

ถ้าฝ่ายค้านเขารู้จักประเมินตัวเอง ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใหม่ ค้านอย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่ค้านทุกเรื่อง จับผิดทุกเม็ด หยุมหยิมแค่ไหนก็เอามาหมด พูดผิดก็เอามาด่า กราบไม่แบมือก็เอามาติ"

เถรี
19-12-2012, 20:26
"ถ้าท่านนายกฯ สมัครยังอยู่ เราจะเห็นเวลาท่านตอบกระทู้ ตัวเลขนี่จะบอกเป๊ะ ๆ เลย แต่ขอโทษ..ไม่ใช่ของจริงหรอก ถามอะไรท่านสามารถยกตัวเลข ขึ้นมาตอบได้หมด พูดไปเดี๋ยวนั้น คนกำลังฟังใครจะตามไปตรวจสอบได้ ?

นั่นเป็นลีลาของนักการเมือง ทำให้ดูน่าเชื่อถือ เพราะรู้ว่าพูดไปแล้วคนเขาก็ไม่ตามไปตรวจสอบหรอก ใครจะตะกายไปดู คนไปดูก็รู้ไม่กี่คนหรอก ที่เหลือก็ไม่รู้ต่อไปอยู่ดี

นักการเมืองสมัยก่อนที่เป็นดาวเด่นเลย เริ่มจากคุณสมัคร สุนทรเวชนี่แหละ สมัยคุณสมัครตั้งพรรคประชากรไทย เขาบอกว่าส่งเสาไฟฟ้าลงสมัครก็ได้ ช่วงนั้นส.ส.กรุงเทพฯ คุณสมัครกวาดเกือบ ๑๐๐% พอถัดมาก็เป็นคุณจำลอง ศรีเมือง หลังจากคุณจำลองก็เป็นคุณทักษิณอยู่ระยะหนึ่ง
หลังจากนั้นบ้านเมืองก็แตกแยก จะหาที่เด่น ๆ โผล่ขึ้นมาเป็นความหวังของชาวบ้านเขาจริง ๆ ยังไม่ได้"

เถรี
20-12-2012, 21:22
"ตอนนี้พรรคประชาธิปัตย์กำลังอยู่ในภาวะเสียเปรียบทางการเมือง เพราะคุณอภิสิทธิ์โดนถอดยศ ดูท่าคดีต่าง ๆ ก็รัดตัวเข้ามาทุกที สนามหลัก ๆ ที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ดูดีหน่อยก็คือสนามที่กรุงเทพฯ ไม่อย่างนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็จะเหมือนอย่างคุณเนวิน เป็นพรรคเฉพาะกิจแค่ภาคใต้ หรือไม่ก็พรรคพลังชลของคุณสนธยา ที่ได้แค่จังหวัดเดียวหรือ ๒ จังหวัดทางภาคตะวันออก ถ้าเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ใหม่แล้วยังหาตัวเด่นไม่ได้ หรือว่าคุณชายสุขุมพันธุ์ยังลงสมัครต่อ ถ้าแพ้ขึ้นมาก็สาหัส..!

กลอนสุนทรภู่ท่านว่า "ทั้งโลกซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น ไม่เล็งเห็นที่ซึ่งจะพึ่งพา" ต้องบอกว่าความจริงเป็นเรื่องของใครทำใครได้ เพราะว่าทั้งหมดเกิดจากการกระทำของตัวเองนั่นแหละ การเมืองของไทยเรายังหักโค่นกันรุนแรงมาก ไปเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่ได้เกิดเท่านั้นเอง

ตอนแรกที่พรรคประชาธิปัตย์ดันคุณอภิสิทธิ์ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค ก็ถือว่าเป็นวิสัยทัศน์ที่ใช้ได้เลย ก็คือเอาคนหนุ่ม มีความรู้ ฝีปากดี มาเป็นผู้นำ แต่ถ้าฟังคุณปู่พิชัย รัตตกุล ท่านว่า "ผมให้คะแนนนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ๗๕% แต่ให้คะแนนตอนคุณอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ๖๐% ผมเป็นประชาธิปัตย์ทั้งเลือด ทั้งเนื้อ ทั้งชีวิต ใครมาทำลายพรรคประชาธิปัตย์ผมสู้แค่ตาย แต่ในเมื่อผู้นำพาพรรคตกต่ำ ผมก็ต้องวิจารณ์ตรง ๆ" คุณปู่ท่านพูดตรงดีนะ"

เถรี
20-12-2012, 21:29
"คุณปู่พิชัยบอกว่า เหตุที่พรรคประชาธิปัตย์ตกต่ำในระยะนี้ เพราะคุณอภิสิทธิ์ไม่ใช้คนเก่าคนแก่ที่มีประสบการณ์ อันนี้คนในเขามองกันเองนะ คุณปู่พิชัยบอกว่า คุณอภิสิทธิ์ใช้แต่คนรุ่นใหม่ที่อยู่รอบข้างแค่ ๒ - ๓ คนเป็นที่ปรึกษา ความเชี่ยวชาญทางการเมืองมีน้อย อ่านแนวทางการเมืองไม่ขาด ประสบการณ์ในการแก้ปัญหาไม่มี ก็เลยกลายเป็นเดินหมากจนตกหลุมตกร่องจนทุกวันนี้

ถ้าคำพูดของคุณปู่พิชัยไปเข้าถึงหูแล้วมีการปรับปรุงใหม่ ทุกอย่างน่าจะดีขึ้น เพราะพรรคประชาธิปัตย์ปัจจุบันนี้ ตัวบุคลากรที่แทบจะเป็นปูชนียบุคคลของพรรคเลย อย่างคุณปู่พิชัยก็ดี คุณชวน หลีกภัยก็ดี ยังมีอยู่ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ไม่ต้องห่วงหรอก แต่ละคนผ่านการเป็นนายกฯ มาแล้วทั้งนั้น ๒ สมัยก็มี ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็ควรที่จะเอาท่านมาเป็นประโยชน์ให้มากที่สุด ทุกท่านก็เต็มใจทำเพื่อพรรคอยู่แล้ว

พรรคเก่าที่สุดของประเทศไทย ต้องบอกว่าอยู่คู่ประชาธิปไตยของไทยมาตลอด ตกต่ำลงไป แม้แต่อาตมายังรู้สึกใจหาย เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งตอนที่คุณชวนเป็นนายกฯ ก็ยังได้พบกับท่าน ตอนนั้นไปหาเสียงที่อุทัยธานี ยังชอบใจว่าท่านเป็นนักการเมืองที่มีคุณภาพ สื่อมวลชนเขาเรียกว่า "มีดโกนอาบน้ำผึ้ง" ไม่ด่าคน แต่เชือดเฉือนด้วยวาจา แสบเสียยิ่งกว่าด่าตรง ๆ อีก เป็นการด่าแบบผู้ดี

แต่จะว่าไปแล้วนายกฯ ในยุคหลัง ๆ นี่อาตมาได้เจอแทบทุกท่าน เจอท่านนายกฯ บรรหาร ๒ ครั้ง ท่านนายกฯ ชวน ๑ ครั้ง ท่านนายกฯ สุรยุทธ์ ๑ ครั้ง ท่านนายกฯ ชวลิต ๑ ครั้ง ท่านนายกฯ ทักษิณนี่เจอมากที่สุด ๔ ครั้ง เพราะท่านนายกฯ ทักษิณออกเยี่ยมชาวบ้านเป็นว่าเล่นเลย ขนาดนัดไว้ ๕ โมงเย็นมาถึง ๑ ทุ่มก็ยังมา มาเสร็จก็ชี้ “โน่นครับ...ต้องโทษพี่บรรหาร พี่บรรหารลากผมไปดูงานที่สุพรรณฯ ไม่ยอมปล่อยผมมา" คุณบรรหารพาท่านนายกฯ ทักษิณไปที่อู่ทอง ไปดูว่าปัญหาน้ำแล้งของอำเภอเลาขวัญกับอำเภอห้วยกระเจาของจังหวัดกาญจนบุรี สามารถผันน้ำไปจากอำเภออู่ทอง ของจังหวัดสุพรรณบุรีได้"

เถรี
20-12-2012, 21:34
"ท่านนายกฯ ทักษิณเป็นคนคำนึงถึงเป้าหมายโดยไม่เอาขั้นตอน ก็เลยทำให้การทำงานมีข้อตำหนิทางกฎหมายมาก แต่ถ้าใครคำนึงถึงขั้นตอน ก็จะทำให้ไปไม่ถึงเป้าหมาย เพราะมัวแต่ต้องรายงานตามลำดับชั้น กว่าจะพิจารณาเสร็จ ชาวบ้านอดตายไปแล้ว ถ้าคุณทักษิณลดความเร็วลงสักครึ่งหนึ่ง ยังสามารถพาประเทศชาติให้เจริญได้มากกว่านี้

ที่เห็นกับตาเลย ก็คือ ชาวบ้านห้วยกระเจากับเลาขวัญมาร้องเรียน พอไปถึงคุณทักษิณชี้ให้ชาวบ้านออกไปเลย เขามีไมโครโฟนวางเป็นจุด ๆ อยู่ทั่วศาลาวัด คุณทักษิณใช้วัดเป็นที่รวมชาวบ้าน ใครมีเรื่องอะไรจะร้องเรียนหรือขอความช่วยเหลือให้พูดออกมาเลย ถ้าพูดไม่ได้ให้เขียนจดหมายน้อยมา ท่านรับรองว่าจะอ่านทุกชิ้น

ปรากฏว่าชาวบ้านจากห้วยกระเจากับเลาขวัญมาขอร้องท่านนายกฯ ทักษิณว่า ให้ช่วยแก้ปัญหาภัยแล้งหน่อย ท่านนายกฯ ทักษิณถามว่าแล้งอย่างไร ? มีแหล่งน้ำไหม ? ชาวบ้านบอกว่าเขามีแหล่งน้ำคือลำตะเพินแห่งเดียว แต่ลำตะเพินพอน้ำไหลไปแล้วไหลไปเลย เพราะไม่มีฝายไม่มีเขื่อน พอถึงหน้าแล้งจะไม่มีน้ำเหลืออยู่ ชาวบ้านเขาทำโครงการมาเรียบร้อย ว่าจะต้องสร้างฝายขนาดใหญ่กั้นลำตะเพินเป็นช่วง ๆ ถ้าสามารถกั้นชะลอน้ำได้สัก ๓ - ๔ ช่วง ก็จะทำให้มีน้ำเหลืออยู่ ฤดูแล้งก็สามารถที่จะทำนาทำไร่ได้ จะแก้ปัญหาภัยแล้งได้"

เถรี
20-12-2012, 21:38
"คุณทักษิณบอกให้ลองประเมินงบประมาณมา เขาบอกว่า ๔๐๐ ล้านบาท ชาวบ้านนี่สุดยอดเลย เขาเตรียมโครงการ ประเมินงบประมาณมาเสร็จสรรพ ท่านนายกฯ ทักษิณหันไปถาม ผอ. สำนักงบประมาณ “ผอ. มีไหม ๔๐๐ ล้าน ?” “หมดแล้วครับ เมื่อครู่เทลงสุพรรณฯ ไปแล้ว” คุณทักษิณถามว่า “งบประมาณของหน่วยงานอื่น ที่เขาขอเบิกแล้วยังไม่ได้เบิก มีพอ ๔๐๐ ล้านไหม ?” “มีครับ” “เอามาให้เขาก่อน เดี๋ยวผมหาคืนให้” จบแค่นั้นเลย..!

จากนั้นลาก ผอ. กรมชลประทาน กับ ผอ. สำนักงบประมาณไปคุยกับชาวบ้านเลย ทำอย่างนั้น ขั้นตอนอะไรไม่มีเลย กระโดดข้ามข้ามขั้นตอนไปเลย แต่งานได้ทันใจ เพราะอย่างนี้ที่ทำให้ชาวบ้านเขารักท่านนายกฯ ทักษิณมาก เพราะว่าทำงานเร็ว แก้ปัญหาได้ทันใจ ช่วงที่ท่านเป็นนายกฯ อยู่ ๔ ปีกว่า ท่านไปทั่วประเทศจริง ๆ ไปอย่างที่ว่านี่แหละ ไปที่นั่นที่นี่บ้าง ไปครั้งหนึ่ง ๓ - ๔ จังหวัด ไปกันยันค่ำมืดดึกดื่น

จะว่าไปก็เป็นเรื่องแปลกดีเหมือนกัน บรรดานายกรัฐมนตรี อย่างคุณบรรหาร บ้านใกล้เรือนเคียงอยู่แค่สุพรรณบุรีแท้ ๆ อาตมาได้เจอแค่ ๒ ครั้ง ท่านอื่น ๆ ได้เจอท่านละหนึ่งครั้ง แต่ท่านนายกฯ ทักษิณอยู่ประมาณ ๕ ปี ได้เจอตั้ง ๔ ครั้ง"

เถรี
20-12-2012, 21:42
"ช่วงที่จะต่อไฟฟ้าขึ้นวัดพุทธบริษัท ระยะทางห่างจากถนนใหญ่ประมาณ ๘๐๐ เมตร การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคทองผาภูมิประเมินราคามาว่า จะต้องปักเสา ลากสาย และลงหม้อแปลง น่าจะต้องใช้งบประมาณถึง ๓ ล้านบาท อาตมาบอกไปว่าถ้า ๓ ล้านบาท อาตมายอมซื้อเครื่องปั่นไฟดีกว่า เพราะเครื่องปั่นไฟที่เป็นเบนซินอย่างเก่งก็เครื่องละ ๓๐,๐๐๐ บาท แถมเป็นเครื่องสูบน้ำได้ด้วย ก็เลยเงียบ ๆ ไป

ปรากฏว่าประมาณปลาย ๆ ปี ๒๕๔๘ ผอ.การไฟฟ้าฯ วิ่งมา บอกว่าช่วยเซ็นอนุมัติให้ปักเสาเข้าไปที่วัดด้วย อาตมาบอกว่าไม่มีเงินทำ ท่านก็บอกว่า "ไม่ต้องใช้เงินครับ ตอนนี้ทางการไฟฟ้าฯ ทำให้ฟรี เพราะท่านนายกฯ ทักษิณมีคำสั่งว่า ก่อนสิ้นปี ๒๕๔๘ ทุกบ้านที่มีทะเบียนบ้านจะต้องมีไฟฟ้าใช้ ไม่อย่างนั้นผอ.การไฟฟ้าฯ โดนเฉ่ง..!" สรุปแล้วถึงเวลาอาตมาเสียค่าต่อไฟเข้าวัด ๓๐๐ บาท จบเลย...๓ ล้านบาทเหลือแค่ ๓๐๐ บาท..!

ทำงานอย่างนี้จะไม่ให้ชาวบ้านคิดถึงคุณทักษิณได้อย่างไร เพราะฉะนั้น..รัฐบาลไหน ๆ ก็ทำได้ แต่ทำแล้วให้ประโยชน์ตกถึงชาวบ้าน
คุณจะเป็นฝ่ายค้านขึ้นมาเป็นรัฐบาล หรือเป็นรัฐบาลลงไปเป็นฝ่ายค้านก็แล้วแต่ ถึงเวลาทำแล้วให้ประโยชน์ตกถึงชาวบ้าน ชาวบ้านเขาก็รักทั้งนั้นแหละ

ถ้าชาวบ้านเขารักเมื่อไร แสดงว่าคุณมีเกราะป้องกันชั้นดี เดี๋ยวนี้ชาวบ้านเขาติดจานดาวเทียมกันเกือบทุกบ้านแล้ว ไม่ใช่อยู่บ้านนอกคอกนาสุดกู่ปลายตะโกน ไม่รู้เรื่องอะไรเสียเมื่อไร โดยเฉพาะเดี๋ยวนี้เขาตื่นตัวทางการเมืองกันมาก มีการจับกลุ่มกันเป็นทีม อย่างที่ทองผาภูมิก็มีทีมพัฒนาท่าขนุน เขาเรียกทีมชุมชนพัฒนา ทีมรักษ์ท่าขนุน ทีมชุมชนแควน้อย ทีมชุมชนวังท่าขนุน เขาจะแบ่งออกเป็น ๔ - ๕ ชุมชน ต่างคนต่างมีหัวหน้าชุมชนบริหารกันเอง ดูว่าชุมชนของใครจะเจริญกว่า เขาแข่งกันอย่างนี้"

เถรี
20-12-2012, 22:10
ถาม : สงเคราะห์เรื่องงาน ?
ตอบ : สงเคราะห์อย่างไร ? ถ้าไม่เอางานให้บอกได้ มาบอกให้อาตมาช่วยสงเคราะห์หน่อย ไม่ได้บอกว่าให้ทำอย่างไรนี่ ?
เอาอย่างนี้ ให้ไปบนพระวิสุทธิเทพว่า ถ้าได้งานแล้วจะเจริญกรรมฐาน พร้อมรักษาศีล ๘ ทั้งหมด ๗ วัน

ถาม : บนแล้วกลัวไม่ได้ ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็จงกลัวต่อไป

ถาม : ถ้าไปขัดส้วม ?
ตอบ : ไปวัดท่าซุงก็ได้ ไปขัดส้วมที่นั่น ที่ให้ไปวัดท่าซุงเพราะส้วมมี ๓,๐๐๐ กว่าห้อง ดูว่าจะขัดไหวไหม ? ต่อไปต้องทิ้งให้พวกตกงานขัดโดยเฉพาะ ทิ้งไว้นาน ๆ ไม่ทำความสะอาดสักหนึ่งเดือน..!

เถรี
20-12-2012, 22:15
จะตำหนิโยมก็ไม่ได้ เพราะเป็นปกติของปุถุชนทั่ว ๆ ไป ถ้าเรายังไม่เคยประสบกับคุณพระรัตนตรัยที่แท้จริง ความเชื่อมั่น ความเลื่อมใสจริง ๆ ก็ยังไม่เกิด ฉะนั้น..ที่พระท่านออกธุดงค์ก็เพื่อความเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัยนี่แหละ เมื่อพระธุดงค์ออกป่า ที่พึ่งอะไรก็ไม่มี เหลืออย่างเดียวคือพึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ร้าย ไม่ว่าจะเป็นภูตผีปิศาจอะไรก็ตาม ไม่สามารถที่จะสู้คุณพระรัตนตรัยได้ กี่ครั้ง ๆ ก็สู้คุณพระรัตนตรัยไม่ได้ ก็จะทำให้ความเชื่อมั่น ความเลื่อมใส มีขึ้นไปตามลำดับ

ถ้าถึงขนาดแน่นแฟ้นไม่คลอนแคลนเมื่อไร ถึงเวลาก็จะมั่นใจว่าคุณพระศรีรัตนตรัยมีจริง สามารถช่วยเหลือเราได้จริง ก็จะยึดมั่นชนิดไม่เปลี่ยนแปรไปไหน นั่นก็คือเกิดความเคารพในคุณพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง

เถรี
20-12-2012, 22:30
ถาม : หมอผี....(ไม่ได้ยิน) ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก พวกนี้ถ้าเขาทำพระตายได้ เขาถือว่าเป็นประกาศนียบัตรของเขา ค่านิยมของเขาเป็นอย่างนั้น บางรายนิสัยอันธพาลชัด ๆ เลย

แบบเดียวกับ "ไดซะเหงี่ย" หมอผีบ้านตีนตก เดินเหล่มาแต่ไกล จนอาตมาตวาดว่า “เป็นอย่างไร ? จำพ่อมึงไม่ได้หรือ ?” เขาสะดุ้งเฮือก “อาจารย์เองหรือครับ ?” “เออ..กูเอง” ไม่ได้ยินเสียงทำเป็นจำอาตมาไม่ได้ เขาเป็นหมอผี ทำคนอื่นไว้เยอะ โดนเขาเล่นกลับ เมียโดนของ ตัวเองแก้ไม่ตก ท้ายสุดต้องมาขอให้อาตมาช่วย พอช่วยรักษาเมียแกหาย แกจำแค่ตรงนั้นแหละ พอไปเจอกันที่อีกหมู่บ้านหนึ่งแกไม่จำแล้ว ปีต่อไปเจอกันอีกหมู่บ้านหนึ่ง ตรงเข้ามาจะเฉ่งอาตมาอีก สันดานอย่างนี้น่าจะปล่อยให้โดนเสียเอง..!

เถรี
20-12-2012, 22:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้คนทองผาภูมิตายติด ๆ กัน ตั้งแต่เดือนที่แล้วถึงเดือนนี้ ๖ ศพเฉพาะฆราวาส พระมรณภาพไปอีก ๓ รูป รวมแล้ว ๙ ศพ ตอนนี้ศพยังคาวัดท่าขนุนอยู่เลย

คนเราเวลาตกน้ำแล้วมักจะรีบเปิดรถตะกายหนี ตอนเปิดรถน้ำจะทะลักเข้าไป แล้วจะดันเราออกไม่ได้ เวลารถตกน้ำต้องตั้งสติให้ดี ๆ ดูว่าด้านไหนที่ไม่จม แล้วเปิดกระจกมุดออกมาด้านนั้น อย่าไปเปิดประตูพรวดเดียว ถ้าทำอย่างนั้นน้ำจะทะลักดันเข้า เราจะออกไม่ได้ แล้วรถจะจมเร็วมาก เพราะว่าอากาศหมด แต่ถ้าเราไม่รีบเปิดประตู รถจะลอยอยู่ได้ระยะหนึ่ง

น่าจะปี ๒๕๒๖ เขาสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาตรงอุทัยธานี รถทุกคันก็เลยต้องผ่านหน้าวัดท่าซุงแทน ไม่รู้รถทัวร์ลงแพท่าไหน วิ่งเลยแพแล้วตกน้ำไปเลย ด้วยความที่คนตกใจนั่นแหละ ทุบกระจกจะตะกายออก น้ำก็ทะลักเข้าไป ตัวเองก็ตะกายไม่ออก รถก็จม สรุปว่างานนั้นเจอไป ๑๙ ศพ..!

มีโยมอยู่ครอบครัวหนึ่งรถเต็มบ้านเลย รถเก่า ๆ หมดสภาพแล้ว แต่เขาตัดใจขายไม่ได้ คันนั้นก็ใช้มา ๕ ปี คันนี้ก็ใช้มา ๘ ปี รักรถ
สรุปแล้วต้องเสียเงินต่อทะเบียนทุกปี รถไม่ได้ใช้เลย ต้องเสียเงินต่อทะเบียนปีละเป็นแสน ขนาดรถเก่า ๆ ยังตัดใจไม่ได้ แล้วจะตัดร่างกายได้ไหมนั่น ?"

เถรี
20-12-2012, 22:46
ถาม : ผมไปทำสปาที่ต่างประเทศ
ตอบ : ได้ใบอนุญาตหรือยัง ? ทำให้เรียบร้อยนะ ไปถึงใช้วิธีไหว้เจ้าที่แบบของเรา ตั้งใจขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์ให้งานการเจริญรุ่งเรือง แล้วเราจะทำบุญให้เขาไปเรื่อย ๆ

ถาม : ตั้งศาลพระภูมิ ?
ตอบ : ไม่ต้อง...เพราะบ้านเขาไม่นิยม ถ้าเราไปทำจะกลายเป็นแปลก ศาลพระภูมิฝรั่งเรียกว่า Spirit House (บ้านผี)

ถาม : เวลาบวงสรวงใช้เวลาไทยหรือเวลาบ้านเขา ?
ตอบ : ใช้เวลาบ้านเขา อย่าใช้เวลาไทยเป็นอันขาด อยู่บ้านไหนให้ใช้เวลาบ้านนั้น

เถรี
20-12-2012, 22:51
ถาม : ถ้าเกิดสงคราม ประเทศเยอรมันจะอยู่ได้ไหม คิดว่าจะไปเปิดสปาที่นั่น ?
ตอบ : จะไปกลัวอะไร ถ้าเกิดสงครามขึ้นมา ประเทศที่ปลอดภัยที่สุดน่าจะเป็นที่นั่นแหละ

ถ้าพวกเราติดตามข่าวสงครามอิรัก-คูเวต หรือไม่ก็เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธแล้วไม่สำเร็จสักที ขอให้รู้ว่าเป็นฝีมือของเขานั่นแหละ ทุกวันนี้อเมริกายังไม่รู้เลยว่าทำไมแพทริออตถึงสกัดจรวดสกั๊ดของอิรักไม่อยู่ เขาจับโยกเล่น ๆ ดูว่าจะทำได้ไหม ส่วนเกาหลีเหนือนี่โดนลูกหมั่นไส้ ยิงเมื่อไรเขาจับโยนลงน้ำหมด เกาหลีเหนือก็คงนึกว่านักวิทยาศาสตร์ของเขาแก้ไขข้อบกพร่องหมดแล้ว ทำไมยิงทีไรตกน้ำทุกที

เถรี
20-12-2012, 22:54
ถาม : พระกริ่งพิชัยสงครามมีเนื้อทองคำไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มี...พระกริ่งมีแต่เนื้อชุบเงินกับชุบทองเท่านั้น เดี๋ยวเอาไว้สร้างอีกรุ่นหนึ่งแล้วค่อยทำเนื้อทองคำแล้วกัน หนักองค์หนึ่ง ๗ - ๘ บาท ดูซิว่าจะมีปัญญาบูชากันไหม ? แล้วก็มาบ่นว่ากินแต่บะหมี่สำเร็จรูป..!

เถรี
20-12-2012, 23:00
ถาม : เมื่อก่อนทำทานแล้วจะเกิดปีติ เดี๋ยวนี้รู้สึกเฉย ๆ รู้สึกทำไปตามหน้าที่ บาปหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ผิด...ก่อนหน้านี้กำลังใจเรายังต่ำอยู่ พอเราทำก็ยังเกิดปีติ แต่พอกำลังใจของเราเคยชิน จึงสูงขึ้น ถ้าภาษาพระก็คือ ทรงฌานในจาคานุสติไปแล้ว ในเมื่อเป็นฌานขึ้นมา เกินปีติ ความสุขที่เคยมีจะหมดไป เพราะกำลังใจสูงกว่า แต่เรายังคงทำทานเป็นปกติอยู่ เพราะรู้ว่าสิ่งนั้นดี

ไม่ใช่ว่าปรามาส ไม่ใช่ว่าบาป แต่กำลังใจดีขึ้น ถ้าทำแล้วยังมีปีติทั้งปีทั้งชาติ แสดงว่ากำลังใจไม่ได้ขยับไปไหนเลย

ถาม : การที่กำลังใจเราขยับเพราะว่าเราทำมาก ?
ตอบ : เพราะทำบ่อย ๆ แล้วชิน พอชินแล้วต่อไปเหลือแค่รู้ว่าดีก็ทำ กำลังใจถัดจากนี้ก็คือ รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ ถัดไปก็คือไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ก็ผ่ากลางหลุดไปเลย

เถรี
20-12-2012, 23:05
ถาม : ผู้ที่คล่องตัวในอิทธิบาทสี่ สามารถอธิษฐานให้อยู่ยาวถึง ๑ กัป หมายความว่าอย่างไร ?
ตอบ : หมายความว่าจะอยู่นานเท่าไรก็ได้ แต่ไม่เกิน ๑ กัป

ถาม : ผู้ที่คล่องตัวในอิทธิบาทสี่ ต้องปฏิบัติอย่างไร ?
ตอบ : อย่างน้อยต้องเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ

เถรี
22-12-2012, 12:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปกติแล้วที่ดินวัด โดยพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์มีอยู่ ๓ ประเภทด้วยกัน ก็คือ ที่ตั้งวัด เป็นสถานที่ซึ่งวัดวาอารามนั้นตั้งอยู่ ประเภทที่ ๒ คือที่ธรณีสงฆ์ เป็นพื้นที่ของวัด อยู่มุมไหนของโลกก็ได้ เป็นคนละผืนกับที่ตั้งวัด และที่กัลปนา เป็นที่ซึ่งเจ้าของอุทิศเฉพาะผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นในที่ผืนนั้นให้แก่ทางวัด อย่างเช่น ปวารณาว่าที่ดิน ๒๐ ไร่ที่ปลูกข้าวนี้ ถวายสงฆ์เป็นกัลปนา ถ้าเกี่ยวข้าวได้แล้ว แล้วแต่ทางวัดว่าจะเอาข้าวไปทำอะไร แต่ที่ผืนนั้นยังเป็นของเจ้าของอยู่

ก็เลยไม่แน่ใจว่าบ้านวิริยบารมีหลังนี้ตั้งใจให้เป็นที่กัลปนาหรือเปล่า ? เขาถวายมาแต่กุญแจบ้าน ถ้าใช่จะได้เปิดให้เช่าเสีย โดยเฉพาะถ้าอยู่ใกล้ ๆ แถวนี้นะ เวลาใครขี้เกียจเดินทางก็มาเช่านอนเสาร์-อาทิตย์

เขาใช้คำว่า "กัลปนาผล" ผลที่เกิดขึ้นในที่นั้น อย่างเช่น ที่ดิน ๑ ไร่มีลำไยอยู่ ๔๐๐ กว่าต้น เวลาลำไยนี้เกิดผล ขอถวายเป็นกัลปนาให้แก่ทางวัด วัดก็ไปจัดการเอาเอง จะติดต่อให้พ่อค้ามาซื้อหรือตกลงให้เขาเก็บกันเอง อะไรก็แล้วแต่ เวลาคิดราคาท้องตลาดได้เท่าไรก็มาถวายพระ ไว้ใช้จ่ายในการบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามต่อไป"

เถรี
22-12-2012, 12:37
"เวลาเราได้ยินคำว่า "กัลปนา" ก็สงสัยว่าเกิดจากอะไร ก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่พื้นที่เป็นนา พอวัดพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี มีคดีฟ้องร้องกัน เพราะชาวบ้านอาศัยอยู่รอบวัดเต็มไปหมด ขับไล่แล้วก็ไม่ไป ผลปรากฏว่าทางวัดชนะ เพราะมีจดหมายเหตุที่ระบุไว้สมัยพระเจ้าทรงธรรมว่า ถวายที่รอบพระพุทธบาท ๑ โยชน์ (๑๖ กิโลเมตร) เป็นที่กัลปนาให้แก่ทางวัด กินแดนไปถึงวัดหลวงตาวัชรชัย วัดหลวงตาห่างแค่ ๖ กิโลเมตรเอง

จะฟ้องร้องครอบครองโดยปรปักษ์ก็ไม่ได้ เพราะมีกฎหมายระบุไว้ชัดเลยว่า ห้ามยกอายุความขึ้นฟ้องร้องกับทางวัด อันนี้กฎหมายเขารักษาวัดเต็มที่เลย ที่วัดจะทำการจำหน่ายจ่ายโอนได้ต่อเมื่อออกเป็นพระราชบัญญัติเท่านั้น เพราะฉะนั้น..กรณีที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ที่เขาจะติดคุกหัวโตกันก็เพราะเหตุนี้แหละ คือเพราะว่าเป็นที่วัด

เมื่อเป็นที่วัด จะจำหน่ายได้ก็ต้องเข้าประชุมรัฐสภา ให้อนุมัติออกมาเป็นพระราชบัญญัติ ในหลวงทรงลงพระปรมาภิไธย ถึงจะจำหน่ายจ่ายโอนได้ เขารักษาวัดเต็มที่ เพราะเขากลัวชาวบ้านจะเอาที่วัดไปกินหมด"

เถรี
22-12-2012, 18:59
"มีวัดตัวอย่างก็คือวัดดอนเจดีย์ที่สุพรรณบุรี เจ้าอาวาสคือพระครูวิบูลเจติยานุรักษ์ เป็นเพื่อนร่วมเรียนมาด้วยกันตั้งแต่ ป.บส. จนถึงปริญญาตรี พอปริญญาโทท่านจึงไปเรียนที่อื่น

ทางเทศบาลมาช่วยทำถนนในวัดให้ด้วยความหวังดี ทำถนนเสร็จสรรพวัดซวย..! เพราะถนนแบ่งพื้นที่ตั้งวัดกับพื้นที่อีกส่วนออกจากกัน จากที่ผืนเดียวกันก็เลยกลายเป็นที่ตั้งวัดกับที่ธรณีสงฆ์ แล้วเขาใช้ที่ทางด้านธรณีสงฆ์สร้างหอประชุมและอาคารอื่น ๆ ของเทศบาล ทางวัดบอกว่าเป็นที่ตั้งวัด อนุญาตให้ไม่ได้ เทศบาลดันไปค้นกฎหมายมา สรุปชี้เขตว่าถนนกั้นอยู่ ก็เลยไม่ใช่ที่ตั้งวัด เป็นคนละผืนกันไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่ถนนก็อยู่บนที่ผืนเดียวกัน เฮงจริง ๆ เลย ทำเอาพระครูวิบูลฯ โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ยังฟ้องร้องกันไม่จบเลย

บางทีความหวังดี ก็กลายเป็นความประสงค์ร้ายโดยไม่เจตนา ใครจะไปนึกว่าตั้งใจทำถนนให้วัด กลายเป็นตัดที่วัดออกเป็น ๒ ส่วน ที่ตั้งวัดกับที่ธรณีสงฆ์กลายเป็นคนละส่วนไปเลย กฎหมายเขาเอื้อให้ขนาดนี้ ก็ยังมีคนบุกรุกที่วัด โกงที่วัดเป็นประจำ

อย่างวัดประตูด่าน หลวงพ่อสมคิดเอาแทรกเตอร์ไปไถรอบเลย ไถให้เห็นชัด ๆ ว่านี่เขตวัด ไม่อย่างนั้นชาวบ้านก็ลุยไปเรื่อย ขนาดนั้นยังเหลือแค่ ๘๘ ไร่เอง เพราะว่าที่ราคาแพง ทันทีที่มีการตัดถนนข้ามไปท่าเรือน้ำลึกของทวาย ที่ดินขึ้นราคาจากไร่ละไม่กี่หมื่นเป็นไร่ละล้าน ๆ เลย คราวนี้ชาวบ้านก็บุกที่วัดกันเป็นปกติ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่มีใครอยากได้"

เถรี
22-12-2012, 19:03
"หลวงพ่อพระพรหมดิลกไปเป็นประธานฉลองพระพุทธสิหิงค์ ที่วัดบ้านห้วยน้ำขาว บ่นว่า “เล็กเอ๊ย...ทำไมลูกน้องแกแต่ละคนอยู่ไกลสุดหล้าฟ้าเขียวเลยวะ ?” กราบเรียนท่านว่า “ก่อนหน้านี้ไม่มีใครเอาครับหลวงพ่อ เขามาอยู่..พอเห็นว่าไกลก็ทิ้งกันหมด คราวนี้พอมีถนนจะตัดผ่านไปท่าเรือน้ำลึกทวายก็แย่งกันจะเอา ไม่ทันแล้วครับ ตอนนี้ลูกน้องผมกวาดวัดแถวนี้ไว้หมดแล้ว”

หลวงพ่อสมคิดยังบอกกับท่านติงลี่ว่า “เมื่อ ๖ - ๗ ปีก่อนผมนั่งรถมากับท่านอาจารย์เล็ก แล้วก็ท่านก็ชี้ทีละวัด ๆ บอกว่า..ต่อไปผมต้องไปเอากฐินมาทอดให้ทุกวัด..ผมก็ยังคิดว่าจะเป็นไปได้อย่างไร” ปรากฏว่าตอนนี้เป็นวัดสาขาของวัดท่าขนุนหมดแล้ว ต้องเอากฐินมาทอดให้ พูดตอนคนยังไม่เห็น..เขาก็ไม่เชื่อ

ต้องบอกว่าหลวงพ่อสมคิดท่านไปได้ดีตอนที่อาตมาบอกให้ตุนน้ำมันดีเซลเอาไว้บ้าง ตอนนั้นน้ำมันขึ้นราคาเป็นลิตรละ ๑๒ บาท ท่านก็ให้ลูกน้องซื้อใส่ถัง ๒๐๐ ลิตรไว้ ๒ ถัง ลูกน้องก็บอกว่า “หลวงพ่อจะตุนไปทำไม เกะกะวัดเปล่า ๆ” ปรากฏว่าน้ำมันขึ้นพรวดพราดไป ๒๐ กว่าบาท ท่านนั่งอมยิ้มอยู่คนเดียว คนอื่นเติมน้ำมันแพงช่างหัวมัน เรามีน้ำมันถูกเติมก็แล้วกัน ๔๐๐ ลิตรนี่ใช้ได้เป็นปี"

เถรี
22-12-2012, 19:06
"อาตมาไปทอดกฐินที่วัดประตูด่าน มีเงินรับมาเท่าไรก็ใส่ให้เขาไปเท่านั้น ปรากฏว่ามีโยมคนหนึ่งถวายทองคำแท่ง ๕ บาทเป็นส่วนตัว อาตมาตั้งใจจะหล่อพระอยู่แล้ว จึงรับขึ้นมาแล้วถามว่า "ทำไมถึงถวายเป็นส่วนตัว ?" เขาบอกว่าสมัยทองบาทละ ๖,๐๐๐ บาท พระอาจารย์บอกให้ซื้อเอาไว้มากหน่อย เพราะต่อไปจะขึ้นราคาเป็นเท่าตัว เขาซื้อไว้เยอะเลยแบ่งถวายมา ๕ บาท

ของบางอย่างต้องบอกว่าอยู่ที่บุญคน เพราะพูดไปมีแต่เขาสนใจอยู่คนเดียว คนอื่นไม่มีใครสนใจ แต่เห็นว่ามีคุณสายัณห์ ลี้หิรัญญพงศ์ เอาปัจจัยมาถวาย ๑ แสนบาท ถามว่าทำไม ? “ได้กำไรจากขายทองครับ พอพระอาจารย์พูดเลยไปซื้อทองไว้ พอทองขึ้นราคาเอาไปขายได้กำไร จึงเอามาถวาย ๑ แสนบาท”

ถึงบอกว่ามีคนฟังอยู่เยอะแยะ แต่มีคนที่ทำบุญด้านนี้เอาไว้ เขาจะได้ของเขาเอง ต่อให้เขาไม่ได้จากอาตมา เดี๋ยวก็เดินไปสะดุดทองที่คนทำหล่นหัวทิ่มไปเอง"

เถรี
22-12-2012, 19:16
"นึกถึงคนไปฉี่แล้วได้เงิน ๘๐,๐๐๐ บาท สมัยที่ก๋วยเตี๋ยว ๒ ชามราคา ๕ สตางค์ ตอนนั้นเขานิยมไปขุดพลอยแถวอำเภอบ่อพลอย คนนี้เขาไปดูเฉย ๆ ว่าคนอื่นขุดได้อะไรกันบ้าง ปรากฏว่าปวดฉี่ ไปยืนฉี่ตีนก็คัน ไปเตะพวกหินที่เขาโกย ๆ จากบ่อแร่ พอเตะเสร็จหินพลิกขึ้นมาเห็นแวบหนึ่ง รู้สึกว่าสีแปลก ๆ ก็เลยเก็บก้อนนั้นขึ้นมาดู เป็นหินใหญ่ประมาณลูกมังคุด ปรากฏว่าเป็นมรกต ก็คือพลอยเขียวส่องนั่นแหละ

พ่อค้าแถวปากหลุมขุดพลอยเขาตีราคาให้ ๑ แสนบาท ๑ บาทสมัยนั้นเท่ากับ ๘๐๐ บาทสมัยนี้ ตีแบบถูก ๆ เลยนะ ๑ แสนบาทก็ ๘๐ ล้านบาทแล้ว แต่เขาไม่ขาย เขาคิดว่าถ้าเอาเข้ากรุงเทพฯ น่าจะได้ราคาดีกว่า จึงเข้ากรุงเทพฯ เดี๋ยวนั้นเลย เพราะถ้าอยู่ต่ออาจจะตายได้..!

ปรากฏว่าพอมาถึงกรุงเทพฯ กลายเป็นผีถึงป่าช้า เขาตีราคาให้แค่ ๘๐,๐๐๐ บาท ก็จำเป็นต้องเอา ขืนย้อนกลับไปที่บ่อพลอย อาจจะโดนฝังอยู่ใต้บ่อแถวนั้น ที่นั่นจึงได้ชื่อว่าบ่อพลอยมาจนทุกวันนี้

คนเราถ้าสร้างบุญเอาไว้ ถึงวาระจะส่งผลอย่างไรก็ต้องได้ นั่นแค่ตั้งใจไปฉี่ ได้เงินไป ๘๐,๐๐๐ บาทสมัยนั้น"

เถรี
22-12-2012, 19:20
"ที่จันทบุรีเขาก็ขุดพลอยกัน ขุดจนถล่มทับตายไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร บ่อก็ลึกลงไป ๆ ถ้าโดนกลบอยู่ขุดขึ้นมาไม่ทันก็ตายอยู่ในนั้นแหละ ปรากฏว่ามี ๒ ผัวเมียอพยพมาจากโคราช มีลูกเล็ก ๆ เหน็บเอวมาคนหนึ่ง ตั้งใจจะมาขุดพลอย ไม่ว่าหลุมไหนก็มีเจ้าของหมดแล้ว มีลูกจ้างหมดแล้ว ตัวเองก็ไม่มีเงินที่จะไปซื้อที่เขามาขุด เพราะว่าที่นี่ ๑ คืบ หรือ ๑ ศอก ก็เป็นราคาหมด

เขาไปดูหลุมร้างที่คนอื่นทิ้งแล้ว คิดว่าอย่างไรก็ดีกว่าอดตายเปล่า ๆ โกยไปแค่ ๒ - ๓ ปุ้งกี๋ได้ทับทิมเม็ดเบ้อเร่อเลย ทุกวันนี้กลายเป็นพลอยคู่บ้านคู่เมืองของจันทบุรี น้ำหนัก ๓๐๐ กว่ากะรัต

ตอนแรกนายทุนต่างประเทศมาซื้อ แต่ปรากฏว่าคนเมืองจันท์ไม่ยอม ทับทิมจันท์ต้องอยู่กับจันทบุรี พวกพ่อค้าเขาลงขันกัน ๓๐๐ ล้านบาทซื้อขึ้นมา คนจะอดตายอพยพมา ขอเป็นลูกจ้างเขาก็ไม่มีใครจ้าง ต้องไปหาบ่อพลอยร้างขุดเอง โกยแค่ไม่กี่ปุ้งกี๋ได้ไป ๓๐๐ ล้านบาท ตอนนี้หายตื่นเต้นหรือยังก็ไม่รู้ ?"

เถรี
22-12-2012, 19:25
"เวลามีงานเขาเอาพลอยเม็ดนี้ออกมาแสดง เป็นพลอยแดงที่เขาเรียกว่าทับทิมจันท์ ต้องบอกว่าคนจันทบุรีเขารักจังหวัดของเขาจริง พวกพ่อค้าทั้งจังหวัดลงขันกันซื้อ เอาเก็บไว้เป็นสมบัติของจังหวัดจันทบุรี

ที่เมืองกาญจน์ไม่มีบ่อพลอย มีแต่นิล สมัยนี้พลอยก็ต้องไปดูที่บลูซัฟไฟร์ ตอนนี้บลูซัฟไฟร์ส่วนหนึ่งกลายเป็นสนามกอล์ฟ เพราะบ่อพลอยที่เขาขุดกลายเป็นหลุมน้ำไปโดยปริยาย ทำสนามกอล์ฟได้สบายเลย พอถึงเวลาเขาก็ออกแบบให้เป็นสนามกอล์ฟตามภูมิประเทศ อาศัยหลุมเก่า ๆ ที่ขุดพลอยนั้นแหละ

ก่อนหน้านี้จะมีงานอัญมณีและเห็ดโคนของบ่อพลอย มาตอนหลังรู้สึกว่าเขาจะจัดเป็นงานของจังหวัด อาตมาเคยไปดูอยู่เที่ยวหนึ่ง เขาเอาเศษพลอยมาทำเป็นภาพ ๘ เซียนข้ามทะเล ขาย ๔๐,๐๐๐ กว่าบาท ยังนึกเสียดายที่ตอนนั้นไม่ได้ซื้อไว้ เขาทำได้งามจริง ๆ เพราะว่าสีทั้งหมดก็คือเศษ ๆ ของพวกพลอยสารพัดสี

โดยเฉพาะน้ำทะเลน่าจะประมาณ ๒ x ๔ ฟุตได้ ตอนนั้นไม่ได้พกเงินไป ไม่นึกว่าจะเจอ กลับไปอีกทีหายไปแล้ว แสดงว่าอะไรที่เราเห็นว่าสวย คนอื่นเขาก็เห็นเหมือนกัน มาระยะหลังไปเจอแต่รูปเล็ก ๆ เพราะรูปใหญ่ราคาจะแพงมาก แล้วจะหาที่สวยอย่างนั้นก็ไม่มีอีกแล้ว"

เถรี
22-12-2012, 19:32
"เขาคงตั้งอกตั้งใจทำเหมือนกับเป็นผลงานชิ้นเดียว ออกมางามมากเลย พวกเทวดา ๘ เซียนนี่..อย่างกับวาดออกมาด้วยพู่กันจีนของจิตรกรมือหนึ่งเลย ความประณีตของเขาอยู่ตรงที่เขาเลือกสีพลอยมา อย่างคลื่นทะเลเขาก็ใช้ไพลิน มีสีเข้มสีจางเรียงไล่ระดับกันมาดูเหมือนกับคลื่นจริง ๆ เราเองคงไม่มีอารมณ์ไปไล่เฉดสีขนาดนั้น

สมัยฆราวาสไปไหนพกเงินไปเยอะเกินไม่ได้หรอก..ใช้หมด จะใช้แค่ไหนก็เอาไปแค่นั้น ตอนเป็นพระหมดอารมณ์กับข้าวของไปเยอะแล้ว แต่ของบางชิ้นก็ถูกใจจริง ๆ"

เถรี
23-12-2012, 08:34
ถาม : อาการปวดหัวครึ่งเสี้ยว หนูต้องรักษาอย่างไรคะ ?
ตอบ : ห้ามเครียด

ถาม : ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียดค่ะ ?
ตอบ : ทำกรรมฐานบ่อย ๆ จะช่วยได้เยอะเลยจ้ะ

เถรี
23-12-2012, 08:50
ถาม : ถ้ามีคนทำไสยศาสตร์เรา....(ไม่ชัด)...
ตอบ : เรื่องนี้ต้องถามคนทำ ถ้าเป็นอาตมา ขืนทำมา ๕ ปีแบบนี้ เขาหงายเก๋งไปนานแล้ว..!

ภาวนาให้กำลังใจของเราทรงตัวไว้ เอาให้ได้ปฐมฌานขึ้นไป พวกไสยศาสตร์จะเจ๊งหมด ไม่ต้องไปเสียเวลาไปแก้ให้ยาก จะมีปัญหาอยู่อย่างเดียวคือพวกไสยศาสตร์ชนิดที่กินเข้าไป เพราะที่กินเข้าไปเป็นเลือดเป็นเนื้อของเรา ซึ่งแก้ได้ยาก ให้กรอกน้ำมันชาตรีตามเข้าไป สายอื่นเขาอาจจะแก้ยาก แต่สายของเราหลวงพ่อวัดท่าซุงทำไว้ให้แล้ว กินน้ำมันชาตรี..กรอกตามเข้าไปเลย

เถรี
23-12-2012, 09:37
ถาม : หลานค่ะ มีอาการคัน เหงือกบวมมากเลย ?
ตอบ : แพ้ยาอะไรหรือเปล่า ?

ถาม : มีสเตียรอยด์สะสมในร่างกายเยอะ ?
ตอบ : ให้เอาหัวไชเท้าต้มน้ำเปล่าแล้วกิน ถ้าต้มน้ำเปล่าแล้วกินไม่ได้ ให้ทำเป็นแกงจืดก็ได้ กินน้ำแกงจืดหัวไชเท้าเข้าไปเยอะ ๆ ถ้าทำเป็นแกงจืดอย่าใส่เค็มมาก กินน้ำไปเยอะ ๆ จะล้างพวกยาในร่างกายออกมาได้ ทดสอบดู..ใครที่กินยาแก้อักเสบ เวลาฉี่ออกมาจะมีกลิ่นยา ลองกินน้ำหัวไชเท้าเข้าไปสักแก้ว จะฉี่ออกมาเป็นน้ำเปล่าเลย ฤทธิ์ของหัวไชเท้าจะเข้าไปล้างยาออกมาหมด ไปลองดูได้เลย

ถ้ากินน้ำต้มเปล่า ๆ แล้วรสชาติพิลึก จะทำเป็นแกงจืดก็ได้ เอาหัวไชเท้าสักหัวก็พอ ใส่น้ำพอประมาณ พอต้มเดือดทิ้งไว้ให้เย็น แล้วกรอกเข้าไปเลย กินได้วันละ ๓ ลิตรยิ่งดี

ถาม : กินสักกี่วันคะ ?
ตอบ : ๔ วันก็ได้ พอรู้สึกว่าโรคเก๊าท์หายเจ็บก็พอ เพราะเก๊าท์เป็นตัววัดเลย ปกติกินสัก ๒ วันก็จะดีขึ้นแล้ว เพียงแต่ว่ากินให้มากหน่อย ได้สักวันละ ๓ ลิตรเลย

เถรี
23-12-2012, 09:45
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของกำลังใจ ถ้าเรารักษาให้ทรงตัวต่อเนื่องได้นาน ๆ ความผ่องใสจะมีมาก อะไรเกิดขึ้นจะรู้ล่วงหน้าก่อน แม้จะรู้ล่วงหน้าไม่นาน รู้ล่วงหน้าสักพักก็ยังดี อย่างน้อย ๆ ก็พอที่จะป้องกันอันตรายได้

เดือนที่แล้วขากลับไปจากที่นี่ ทำเอาโชเฟอร์เครียดแทบตาย เพราะอาตมาบอกเขาว่าอย่าเบรกรถกะทันหัน จะโดนรถชนท้าย เขาก็ระวัง อาตมาบอกเขาว่าไม่ต้องระวังหรอก รถที่จะชนท้ายเป็นรถมิตซูบิชิ ปรากฏว่ามีรถมิตซูบิชิวิ่งตามอยู่เป็นชั่วโมงเลย เล่นเอาเครียดแทบตาย คันนั้นก็เหมือนตั้งหน้าตั้งตาจะตามมาชน กว่าจะแยกทางกันได้ แหม..เล่นเอาเครียด ตามมาจ่อท้ายอยู่ตลอดทาง

บางอย่างถ้าวาระกรรมที่ไม่หนักก็บอกได้ ถ้าวาระกรรมหนักก็บอกไม่ได้ ได้แต่รอให้เหตุการณ์เกิดขึ้น ถึงรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะรู้แล้วบอกไม่ได้"

เถรี
23-12-2012, 10:32
ถาม : งานเยอะจนไม่มีเวลาภาวนา ทีนี้เราก็ไม่รู้ว่าจะวัดการปฏิบัติของเราได้อย่างไร ?
ตอบ : เอานิวรณ์ ๕ เป็นหลัก ถ้านิวรณ์กินใจเราได้ถือว่าเจ๊งแล้ว

ถาม : ถ้าเราทำงานจนไม่มีเวลาคิดเรื่องรัก โลภ โกรธ หลง แต่ไปฟุ้งเรื่องการงานแทน ?
ตอบ : ถือว่าฟุ้งซ่านเหมือนกัน เอาเป็นว่าเวลาทำงานให้กำลังใจอยู่กับงาน ถ้าเวลาว่างให้รีบดึงเข้ามาหากรรมฐาน ไม่อย่างนั้นถ้าเผลอ เดี๋ยวฟุ้งแล้วจะไปยาว เพราะช่วงที่เราเผลอ เขาดึงเราไปได้แล้วจะเอาคืนยาก

ถาม : ถ้าเวลาทำงานเราก็ใช้วิธีว่าอยู่กับปัจจุบัน และเราทำงานเพื่อถวายพุทธศาสนา ตายตอนนั้นเราก็ไปพระนิพพาน เพราะเราไม่มีเวลาอื่นให้ทำแล้ว ?
ตอบ : ได้..แต่ว่าใจของเราอย่าทิ้งพระ อย่าทิ้งความดีก็พอ อย่างน้อย ๆ ทำไปแล้วแบ่งกำลังใจส่วนหนึ่งเกาะภาพพระเอาไว้

ถ้ามีเวลาให้บันทึกประจำวันไว้ด้วยนะ เราจะได้เห็นแนวคิดและพัฒนาการของตัวเอง เวลามาอ่านทวนจะจับได้ว่าเราเองออกนอกลู่นอกทางไปตอนไหน ? แล้วเลี้ยวกลับเข้ามาตอนไหน ? เพียงแต่จะต้องว่ากันตรง ๆ พูดง่าย ๆ คือว่า เป็นอย่างไรให้เขียนไปตามนั้น อย่าไปปรุงแต่งเพื่อตั้งใจให้คนอื่นอ่าน ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ใช่พัฒนาการของตัวเอง

ตอนนี้มารเขากำลังขวางเราอยู่ ไม่ให้เราทำความดี เขากลัวว่าเราจะได้ดีเร็ว เราก็ต้องพลิกแพลง

สรุปว่าแม่ไม่ต้องดูแลแล้วใช่ไหม ? นึกถึงพระครูน้อย กลับไปอยู่วัดหนองบัว แม่ก็ป่วยหนัก พอกลับมาดูแม่ แม่ก็หาย พอไปใหม่แม่ก็ป่วยอีก สรุปแล้วแม่เป็นโรคห่างลูกไม่ได้..!

เถรี
23-12-2012, 10:35
เห็นเด็ก ๆ แล้วก็นึกถึงการปฏิบัติช่วงแรก ๆ ยังไม่รู้ทิศรู้ทางมั่วไปหมดอย่างนี้แหละ เสร็จแล้วพอเขาพัฒนาขึ้นมา กลายเป็นเดินได้ พูดได้ ทำอะไรได้ ความก้าวหน้าก็มีเป็นลำดับ การปฏิบัติของเราก็เหมือนกับเด็ก ๆ นี่แหละ เริ่มมาแล้วก็ค่อย ๆ โตขึ้น เพียงแต่ว่าอย่าให้ตายนิ่ง ถ้าตายนิ่งไม่มีความก้าวหน้า ก็เหมือนเด็กที่โดนดองไว้ ไม่โตสักที ต้องพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ ถึงจะใช้ได้

เถรี
23-12-2012, 14:23
ถาม : ลูกเขาเห็นผีค่ะ ?
ตอบ : เรื่องปกติ เห็นได้ดีกว่าไม่เห็นจ้ะ คนฝึกแทบตายกว่าจะเห็นได้ เราเห็นได้ถือเป็นเรื่องปกติ ให้เราตั้งใจว่าบุญกุศลที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ มีเท่าไรขออุทิศให้เขา ให้เขาโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าใด ขอให้เขาได้รับด้วย

ส่วนใหญ่พวกนี้มาอยากได้บุญ อย่าไปคิดว่าเราไม่เคยทำ เราอาจจะเคยทำมาในชาติก่อน ๆ หรือเมื่อหลายปีที่แล้วก็ได้ เพราะเขารวมกันอยู่ไม่ได้ไปไหน

ถาม : ลูกเขากลัวค่ะ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกลูก ผีก็เหมือนกับคนจน คนจนก็แค่แต่งตัวไม่สวยเท่านั้นเอง

เถรี
23-12-2012, 14:41
ถาม : เวลาที่เราใช้มโนมยิทธิ เราจะทราบได้อย่างไรว่าเรารู้ถูกหรือเปล่า ?
ตอบ : ซ้อมกับสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ เช่น เรากำหนดใจว่าเช้านี้ออกจากบ้าน จะเจอใครก่อน ? ผู้หญิงหรือผู้ชาย ? อย่าเพิ่งไปใส่รายละเอียดมาก ถ้าทายถูก ต่อไปค่อยเพิ่มรายละเอียดว่า จะเจอผู้หญิงหรือผู้ชาย ใส่เสื้อผ้าสีอะไร ?

ถ้าถูกบ่อย ๆ ก็จำไว้ว่าเราทำกำลังใจไว้อย่างไร ? ต่อไปทำกำลังใจเท่านั้นแล้วรู้ได้ก็ถือว่าถูก ให้ซ้อมก่อนจ้ะ ไปใช้ทีเดียว เดี๋ยวออกทะเลหมด

ไปซ้อมบ่อย ๆ ไปซ้อมจนมั่นใจ แล้วใช้อารมณ์ใจแค่นั้นแหละ

เถรี
23-12-2012, 14:43
ถาม : หนูใช้มโนฯ แล้วไม่ไปไหนค่ะ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปไหนหรอกจ้ะ นึกถึงพระได้ก็ใช้ได้แล้ว

การที่เราตายแล้วจะไปดีหรือไปไม่ดี อยู่ที่ว่าใจเราเกาะอะไร ไม่ใช่ว่าถึงเวลาแล้วจะต้องไปไหน ถ้าใจเราเกาะความดีได้ ก็จะไปสุคติเองแหละ ตอนมีชีวิตอยู่ไปไม่ได้ก็ช่างเถอะ ตอนตายไปได้ก็แล้วกัน

เถรี
23-12-2012, 14:52
ถาม : ตอนนอนจะมีเสียงดัง มาหลอกให้เรากลัว...?
ตอบ : ลักษณะนี้แค่มาทดลองดูว่าเราจะกลัวไหม ?

ถาม : แต่บ่อยมากเลยค่ะ ?
ตอบ : บอกเขาว่า ถ้ามาอีกต้องให้หวยด้วยนะ ถ้ามาแค่นี้จะโกรธ..! ไม่มีอันตรายหรอกจ้ะ เขามาซ้อมกำลังใจเราเล่น กลัวเราจะไม่นึกถึงความดี

เถรี
23-12-2012, 15:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทิดป๊อปนี่เสียชาติเกิด แพ้ปากตัวเอง ภาษิตจีนเขาบอกว่า โรคภัยเข้าทางปาก เภทภัยออกจากปาก คนจีนเขาว่าอะไรเจ็บจริง ๆ

โรคภัยเข้าทางปาก ตรงกับภาษาอังกฤษที่ว่า you are what you eat คุณกินอะไรคุณก็เป็นอย่างนั้น ทีนี้คุณป๊อปเขาเป็นเบาหวาน ไม่ยอมเว้นของแสลง ให้ไปแก้ตัวใหม่..ทำยาขมิ้นชันกับหญ้าแพรก กินสามวันเว้นเจ็ดวัน เอาให้ได้สามครั้ง ๑ เดือนพอดี ระหว่างนั้นห้ามกินกะปิกับของหวาน ดูซิว่าอดของหวานเดือนหนึ่งจะตายไหม ?

ขมิ้นชันเท่าหัวแม่มือกับหญ้าแพรกหนึ่งกำมือ โขลกให้ละเอียดละลายด้วยน้ำปูนใส กรองให้ได้ถ้วยชาโดยประมาณ เยอะกว่านิดหน่อยก็ได้ กินก่อนอาหารเช้าสักครึ่งชั่วโมง กินวันละถ้วยติดกันสามวัน แล้วก็เว้นไปเจ็ดวัน แล้วก็กินสามวันอีก ทำให้ครบ ๓ ครั้ง จะได้เวลาเดือนหนึ่งพอดี ไม่ใช่พอบรรเทาลงก็กินกระจายอีกเหมือนเดิม"

เถรี
23-12-2012, 15:19
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยที่รู้จักกันใหม่ ๆ หลวงพี่จวบ วัดโพธิ์สุทธาวาส กับหลวงพี่กฤษณ์ วัดท่าพระ อาตมาจำสลับกันทุกที หุ่นท่านคล้าย ๆ กัน หลวงพ่อพระครูสุรินทร์ส่งหลวงพี่จวบไปอยู่วัดโพธิ์สุทธาวาส ไปเป็นเจ้าอาวาส เป็นไปเป็นมาขวางประโยชน์คนอื่นเยอะ เขาไม่อยากให้อยู่

คนมีรัก โลภ โกรธ หลงเต็มตัว เขาไม่สนใจหรอกว่าพระหรือโยม ถ้าไปขวางผลประโยชน์เขาเก็บหมด ต้องบอกว่าเขาได้ประโยชน์ตอนมีชีวิตอยู่ พอตายแล้วจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงตอนนั้นก็แก้ตัวไม่ทันแล้ว

จะว่าไปแล้วทางด้านสายธรรมยุติ บุคลากรที่ทันหลวงปู่มั่นล่วงลับดับขันธ์ไปเกือบหมดแล้ว แต่ด้วยความที่เขาเอื้อเฟื้อ สนับสนุนและยกย่องซึ่งกันและกัน ทำให้สายของหลวงปู่มั่นยังมั่นคงอยู่ได้ แต่ว่าสายของหลวงพ่อวัดท่าซุงเราขาดตรงจุดนี้ ก็เลยทำให้ไม่เป็นปึกแผ่น ในเมื่อไม่เป็นปึกแผ่นแน่นหนา ความที่จะเป็นที่พึ่งของญาติโยมก็ยาก

นี่ถือว่าปรารภสู่กันฟังเฉย ๆ ใครไม่เป็นปึกแผ่นก็ช่าง อาตมาก็พยายามทำของอาตมาไปเรื่อย ๆ ทุกวันนี้ขนาดไม่เป็นปึกไม่เป็นแผ่นยังวิ่งจนไม่มีเวลา โดยเฉพาะเดือนพฤศจิกายน กฐินอย่างเดียวอาตมาวิ่งแทบตาย จะอยู่ใกล้ ๆ กันหน่อยก็ไม่ได้ อยู่ไกลจนสุดหล้าฟ้าเขียว อย่างที่เจ้าคณะภาคท่านถามว่า ทำไมแต่ละคนอยู่ไกลขนาดนั้น"

เถรี
24-12-2012, 08:47
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตามอรรถกถาจารย์ท่านอธิบายไว้ว่า ถ้าเด็กไม่เคยเจอคน ไม่เคยได้ยินเสียงคนเลย เขาจะพูดเป็นภาษาบาลี ต้องบอกว่าตามธรรมชาติของคนเรา เช่น อะมะ แปลว่า ข้าแต่แม่ ก็คือเสียงอ้อแอ้ของเด็กนั่นเอง ภาษาบาลีเป็นทั้งภาษาของพรหมเทวดา เป็นทั้งภาษาที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ในการแสดงธรรม และเป็นภาษาของมนุษย์ยุคต้นกัป"

เถรี
24-12-2012, 08:52
ถาม : เวลาที่เราภาวนาให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน แล้วค่อยลดสมาธิมาพิจารณา ก็มักจะฟุ้งเรื่องอื่นไปพร้อม ๆ กัน เทียบกับเวลาที่เราเจอกิเลส แต่เราไม่มีสมาธิ ตรงไหนที่เราจะพิจารณาได้ทันกว่ากัน ?
ตอบ : ต้องมีสมาธิ เพราะสมาธิจะหยุดสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นลงก่อน แล้วเราถึงมีโอกาสดูให้ชัดเจนว่าสิ่งนั้นคืออะไร แล้วจึงจะแก้ไขไปตามเพลง

ถาม : แต่มักจะหลุดออกมาฟุ้งทุกที ?
ตอบ : ถ้าหยุดไม่ได้ก็เห็นไม่ชัด เพราะฉะนั้น..เรื่องของสมาธิจึงได้จำเป็นมาก ต้องทำให้ทรงตัวให้ได้

เถรี
24-12-2012, 09:03
ถาม : มโนกรรม วจีกรรม กายกรรม อันไหนโทษหนักกว่ากัน ?
ตอบ: ถ้าคิดด่าพระอรหันต์ในใจกับชกชาวบ้านธรรมดา มโนกรรมที่คิดด่าพระอรหันต์ย่อมหนักกว่า ขึ้นอยู่กับว่าคุณทำกรรมนั้นกับใคร

ถาม : แล้วแต่กรณีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่

เถรี
24-12-2012, 09:24
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าเอาขิงแก่ทุบให้แตกหน่อย ห่อด้วยผ้าขาวบางแล้วต้มน้ำเปล่า ต่อให้หนาวจนจะแข็งตายในหิมะ กรอกน้ำต้มขิงนี้เข้าไปยังกระดิกได้

เพียงเฉียบหมอชื่อดังของจีนโบราณ เขาทดสอบยาทุกชนิด กินพืชพันธุ์ทุกชนิดเพื่อวิเคราะห์ธาตุแล้วเอามาเป็นยา จนกระทั่งหน้าตาตัวเองกลายเป็นสีเขียวคล้ำไปหมด เพราะว่าพิษสะสมอยู่ในร่างกาย

ส่วนที่เป็นพิษบางทีก็ต้องใช้ในการขจัดพิษด้วยกัน อย่างตำรายาไทยมีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ใช้รากระย่อมฝานบาง ๆ คั่วพอแห้งแล้วต้มในลูกมะพร้าวอ่อน ใช้สักประมาณหยิบมือหนึ่ง ผ่ามะพร้าวอ่อน เปิดขึ้นมาใส่ระย่อมลงไปแล้วต้มให้เดือด กินเพื่อรักษาโรคมาลาเรียได้

ระย่อมเป็นยาพิษ แต่พอร่างกายได้รับพิษ จะรีบส่งไปที่ตับเพื่อทำลาย กลายเป็นเอาตัวยาไปเล่นงานเชื้อมาลาเรียที่หลบอยู่ในตับ ฉะนั้น..ถ้าพอเหมาะพอดี ยาพิษก็ใช้เป็นยารักษาโรคได้ แบบเดียวกับที่เขาทำเซรุ่ม ก็คือเอาพิษไปแก้พิษ"

เถรี
24-12-2012, 09:33
พระอาจารย์เล่าว่า "เรื่องของแม่นาคพระโขนงเกิดขึ้นราว ๆ รัชกาลที่ ๓ สมัยก่อนเวลาเขาเกณฑ์เลข คือบรรดาผู้ชายจะสักเลขไว้ที่ข้อมือข้อแขน บอกสังกัดกรมกองไว้ ถ้าหลวงปู่บุดดายังอยู่ไปขอดูได้ หลวงปู่บุดดาท่านก็ต้องสักเลขเหมือนกัน

เขาเกณฑ์ผู้ชายไปเป็นทหารอยู่ครึ่งปี กลับมาทำนาที่บ้านครึ่งปี ช่วงที่พ่อมากไปเป็นทหารแม่นาคท้องแล้ว กว่าจะครึ่งปีกลับมาทางด้านนี้ก็คลอดลูกตายไปเรียบร้อยแล้ว

เวลาไปขอหลวงปู่บุดดาดูสักเลข จะมีบอกว่าเป็นคนที่เท่าไร พ.ศ.ที่เท่าไร แต่ไม่ได้บอกกรมกองเหมือนสมัยเก่า สมัยเก่าถ้าหนีเกณฑ์ เวลาเขาดูแขนก็รู้ว่าสังกัดไหน หลวงปู่บุดดาท่านเป็นทหาร สมัยหนุ่ม ๆ ท่านหล่อมาก มีสาว ๆ ไปหาถึงที่ ท่านก็บอก "กลับไปเถอะ..ฉันเป็นทหารตัวเมียจ้ะ"

สมัยอาตมาอยู่ชายแดน มีพรรคพวก ๓ - ๔ คนก็สร้างวีรกรรม มีสาว ๆ มาหาก็เอาไปฝากไว้กับแม่ชีที่วัด พวกก็โห่กันทั้งกองร้อย เจอพวกนอกคอก ๓ - ๔ คนนี้ทำเสียสถาบันหมด คือทหารชายแดนไม่ค่อยได้เห็นผู้หญิงเลย บางคนบอกว่า "กูเห็นควายสวยขึ้นทุกวัน..!"

แต่ทหารจะเปลี่ยนกำลังทุก ๔ เดือน พวกผู้หญิงชาวบ้านแถวนั้นก็ต้องหาผัวใหม่ทุก ๔ เดือน เป็นความจำเป็นในการหากินอย่างหนึ่งของเขา เพราะแถวชายแดนเขาค้าของหนีภาษี ค้าของเถื่อนกัน โดยเฉพาะสินค้าที่เป็นยุทธปัจจัย ถ้าตัวเองมีผัวเป็นทหาร ถึงเวลาเวรของผัวตัวเองเมื่อไรก็ขนของผ่านด่านได้ เขาหากินกันแบบนี้ เขาก็เลยต้องเปลี่ยนผัวกันบ่อยหน่อย

ทหารเขาเปลี่ยนกำลัง ๔ เดือนครั้ง ป้องกันไปสร้างอิทธิพลในพื้นที่ ถ้าไปอยู่นาน ๆ รู้จักคนมาก เดี๋ยวจะมีอิทธิพลมาก จึงต้องเปลี่ยนกันทุก ๔ เดือน"

เถรี
24-12-2012, 09:50
มีเด็กมาขอพรให้สอบเข้าแพทย์ศิริราชได้ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "หลายคนที่ไม่ใช่เด็กเรียน คือเด็กที่ไม่ได้ทุ่มเทกับการเรียนจริง ๆ สอบเข้าแล้วต้องออกแต่กลางคันก็มี น่าเสียดายเหมือนกัน เพราะความอดทนไม่พอ เพราะฉะนั้น..เรื่องการเรียนอย่าทิ้งสมาธิ ถ้าทิ้งสมาธิแล้วจะท้อ เพราะว่ากำลังไม่พอ ถ้ามีสมาธิช่วยแล้วหนักแค่ไหนก็สู้ได้

กลับไปต้องเปลี่ยนไปนั่งกรรมฐานก่อนนอนครึ่งชั่วโมง ตื่นนอนครึ่งชั่วโมง เอากำลังไว้สู้ ภาวนาคาถาท่านปู่พระอินทร์ทั้งครึ่งชั่วโมงเลยก็ได้ สหัสสะเนตโต เทวินโท ทิพจักขุง วิโสทายิ อิกะวิติ พุทธะสังมิ โลกะวิทู ภาวนาไปเรื่อย เอาให้ทะลุปรุโปร่งแตกฉานทุกวิชาเลยก็ได้

"โลกะวิทู" ของพระพุทธเจ้านี่ท่านรู้แจ้งโลก ก็คือดวงดาวดวงนี้ Planet earth โลกคือดวงดาวอื่น ๆ ทั้งหมด โลกคือภพภูมิอื่น ๆ ทั้งหมด โลกคือสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ดังที่พระรัฐบาลเถระท่านว่า “โลกคือหมู่สัตว์ อันชรานำไป ไม่ยั่งยืน” อยู่ไม่ได้หรอก ท้ายสุดก็เก่าแก่ เสื่อมสลายตายพังหมด

“โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน” ไม่สามารถที่จะเป็นอิสระ อย่างน้อย ๆ จะต้องมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งผูกมัดอยู่ จะเป็นครอบครัว หน้าที่การงาน ทรัพย์สมบัติ แม้กระทั่งท้ายสุดก็ตัวตน ผูกมัดตนเองอยู่ หลุดพ้นไม่ได้"

เถรี
24-12-2012, 09:53
“โลกคือหมู่สัตว์ พร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา” เกิดความอยากทุกชนิด อยากมี อยากได้ อยากเป็น ไม่อยากมี ไม่อยากได้ ไม่อยากเป็น

อยากมี อยากได้ อยากเป็นก็ของดี ๆ ไม่อยากมี ไม่อยากได้ ไม่อยากเป็นก็ของไม่ดี เราเอาคำ "โลกะวิทู" มาใช้ตรงท้ายคาถา สรุปง่าย ๆ ว่ารู้ทุกเรื่อง

สิบนิ้วเท่ากัน ถ้าคนอื่นทำได้เราต้องทำได้ ถ้าคนอื่นทำได้เราต้องทำได้ดีกว่า กดดันไปหรือเปล่า ? อาตมาเองมักจะคิดอย่างนั้น ก่อนหน้าช่วงเรียนระดับประกาศนียบัตรและปริญญาตรีก็ไม่เท่าไร เพราะมีแต่พวกที่เรียนมาด้วยกันตั้งแต่แรก เราเรียนดีกว่าเขาก็ถือว่าปกติ พอมาเรียนปริญญาโท มีคนจากที่อื่นเขาเข้ามาเรียนกับเราด้วย แข่งไปแข่งมาอาตมาก็ยังได้ที่ ๑ อยู่"

เถรี
24-12-2012, 10:05
"พอมาปริญญาเอก มีคู่แข่งเยอะมาก เพราะคนที่จะมาเรียนระดับนี้ได้ ต้องมั่นใจตัวเองทั้งนั้น ตอนนี้อาตมาวิ่งไม่ใช่ประเภทนำเดี่ยวแล้ว แต่ไปเป็นหน้ากระดาน จะแซงกันได้แค่ปลายจมูกเท่านั้น

นึกว่าปริญญาเอกแล้วจะไม่มีวันทำคะแนนเต็มได้ อาตมาก็ยังอุตส่าห์ได้ แปลภาษาอังกฤษได้คะแนนเต็ม บังเอิญจริง ๆ ไม่ได้เก่งกว่าคนอื่นหรอก อาศัยสำนวนดีกว่าเท่านั้นเอง คนอื่นเขาก็แปลได้เหมือนกับอาตมานั่นแหละ เพียงแต่อาตมาสามารถอธิบายได้เหมือนกับเป็นภาษาของเรา ไม่ใช่ออกมาทั้งดุ้นแบบของเขาแล้วก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่เพื่อนหลายคนแปลจากโปรแกรมของกูเกิ้ล ออกมานี่ไม่ต้องรู้เรื่องกันเลย เพราะเล่นแปลคำต่อคำ พอมาเรียงกันแล้วไม่เป็นประโยค"

เถรี
24-12-2012, 10:09
พระอาจารย์กล่าวว่า "การเป็นลูกคนเดียวมีข้อบกพร่องมาก ปรับตัวเข้ากับสังคมยาก เพราะส่วนใหญ่อยู่บ้านพ่อแม่ดูแลดี เอาใจไม่ให้เรากระทบอะไร ภูมิคุ้มกันจะน้อย ไม่เคยน้อยใจ ไม่เคยเสียใจ ไม่เคยทะเลาะกับใครจริง ๆ จัง ๆ เพราะฉะนั้น..จะมีวุฒิภาวะทางอารมณ์จะน้อย ออกไปข้างนอกแล้วต้องระมัดระวังให้ดี

ต้องทำสมาธิมากหน่อย พอสมาธิทรงตัวจะมีสติ สติจะช่วยให้เรารู้จักยั้งคิด แล้วระงับกาย วาจา ใจของเราได้ ดูอย่างท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ที่ท่านตอบกระทู้ในสภา ใครอยากด่าก็ด่าไป มีปัญญานอกทุ่งนอกท่าอย่างไรก็ด่าไป นั่งยิ้มอย่างเดียว ถึงเวลาก็ตอบ ไม่ทะเลาะกับใคร ไม่เถียงกับใคร ต้องให้ได้อย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นต้องบอกว่ามีวุฒิภาวะทางอารมณ์มาก ขนาดเขาด่าในที่สาธารณะยังเฉย ๆ ไม่ใช่ไม่โกรธ โกรธ..แต่เก็บอาการเอาไว้ได้"

เถรี
26-12-2012, 11:41
สมัยก่อนอ่านหนังสือมหาสติปัฏฐานสูตรไม่จบสักที เพราะอ่านแล้วอยากทำเลย ต้องวางมือแล้วไปนั่งภาวนาทุกที จนกระทั่งท้ายสุดต้องบนพระ พอดีช่วงจะสอบนักธรรมเอกมาลาเรียกำเริบ ตอนนั้นหมอบอกว่าเป็นไวรัสลงตับ เขาไม่คิดว่าเป็นมาลาเรีย อาตมาก็เลยหมดสภาพ ไม่ได้อ่านหนังสือ จึงบนพระท่านว่า ถ้าสอบนักธรรมเอกได้ จะเขียนมหาสติปัฏฐานสูตรด้วยลายมือของตนเอง เพราะไม่อย่างนั้นอ่านอย่างไรก็ไม่จบ ท้ายสุดก็สอบได้ จึงต้องไปเขียนจนจบ

ยังดีที่เขียนแต่บาลี ถ้าเขียนคำแปลด้วยจะจุกมากกว่านั้นอีก เขียนแบบเต็มเลยนะ..ไม่ได้เขียนย่อ ตอนท้ายของมหาสติปัฏฐานเขาจะย่อไว้ เพราะว่าข้อความจะเหมือน ๆ กันหมด พอเหมือนกันเขาก็จะย่อ ที่เราเห็นเขียนว่า “เปฯ” ก็คือไปยาลนั่นแหละ

ถาม : แล้วเวลาเขียนไม่เป็นเหมือนตอนอ่านหรือคะ ?
ตอบ : ไม่เป็น...เพราะต้องวางกำลังใจให้อยู่ในระดับที่เขียนได้ แต่ตอนที่อ่านไม่ต้องบังคับตัวเอง เวลาอ่านพออารมณ์ทรงตัวก็ปล่อยเลย หลวงปู่ดู่ท่านเคยจุดธูปไหว้พระ พอประนมมือขึ้นมาอารมณ์ใจทรงตัว ท่านก็ปล่อยยาวเลย ลืมตาขึ้นมาธูปเหลือแต่ก้าน..! หมดไปตอนไหนก็ไม่รู้ ?

เถรี
26-12-2012, 11:54
ถาม : ในรูปนี้เป็นต้นกล้วยที่หลวงปู่อุตตมะใช้ทำประคำ ?
ตอบ : เขาเรียกกล้วยโทนหรือกล้วยแสนหวี ประคำโทนก็มาจากต้นกล้วยนี่แหละ เพราะเป็นกล้วยที่ไม่มีหน่อ เกิดด้วยเมล็ด สมัยที่อาตมาเจอใหม่ ๆ ก็แปลกใจว่ากล้วยอะไรโตเป็นโอบเลย ขนาดโอบยังไม่ค่อยจะรอบ เวลาผลออกมาเครือจะยาวมาก เรียงกันเป็นร้อย ๆ หวี เขาจึงเรียกกล้วยแสนหวี ต้นนี้ขึ้นอยู่หน้าถ้ำที่อาตมาไปพักตอนธุดงค์พอดี

เวลานอนอยู่ในถ้ำนั้นแรก ๆ อาตมาก็หวาดเสียว มีแขกมาเยี่ยมอยู่เรื่อย จริง ๆ แล้วเป็นที่อยู่ของเขา พอพระมาอยู่เขาก็มาเมียงมองว่าเมื่อไรจะไปสักที ไปแล้วเขาจะได้เข้ามาอยู่ตามเดิม ตอนที่เขามานี่ขนลุกเกรียวเลย อาตมาเหลือบไปดู “อ้าว...มาแล้ว” พอเห็นพระมองเขาก็ถอย จะว่าไปแล้วพวกผีเขามีมารยาท ที่ของเขาแท้ ๆ พระไปแย่งอยู่ เขายังอุตส่าห์ยอมอดทน

เวลาไปอยู่ที่ไหนให้ตั้งใจแผ่เมตตา บอกเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าของสถานที่ทั้งหมด ว่าเราขอมาอยู่อาศัยเพื่อปฏิบัติธรรมเพียงชั่วคราว ไม่ได้ยึดครองเป็นของส่วนตัว ถึงเวลาก็จะไป ความดีทั้งหมดที่เราทำในช่วงนั้นขอให้เขาโมทนาด้วย เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าไรขอให้เขาได้รับด้วย ถ้ามีอันตรายใด ๆ มาถึงก็ให้ช่วยคุ้มครองป้องกันให้ด้วย ถ้าเป็นอย่างนี้อยู่ที่ไหนก็สบาย ไปแล้วให้รู้จักติดสินบนบ้าง..!

เถรี
26-12-2012, 12:14
ถาม : ทำไมถึงห้ามตั้งศาลช่วงเข้าพรรษา ?
ตอบ : เขาเชื่อว่าเทวดาไปจำศีลหมดแล้ว คุณจะเชิญใครมาล่ะ ? แบบเดียวกับ "ย่าเฒ่าผาขาว" ที่ภาคเหนือ ท่านมีหน้าที่ดูแลสัตว์ป่าต่าง ๆ ตอนนั้นมี "ไอ้โทน" เป็นหมูป่าเกเร ลงมากินผัก กินข้าว กินข้าวโพดของชาวบ้าน ลุยราบเป็นไร่ ๆ เขาก็ต้องไปไล่ยิง แต่ไอ้โทนหนังเหนียวเพราะย่าเฒ่าคุ้มครอง ยิงเท่าไรก็ไม่เข้า พอยิงตูมกระเด็นล้มลงไป ลุกขึ้นมาได้ก็วิ่งไล่ขวิดคนยิง

กว่าที่ปืนแก๊บจะอัดลูกใหม่ได้ก็นาน ต้องวิ่งหนีกันอุตลุด บางคนมีปืนลูกซองดี ๆ ยิงตูมไอ้โทนกระเด็นตกห้วยไป พอโผล่ไปดู ที่ไหนได้..ไอ้โทนวิ่งสวนขึ้นมาก็ต้องเผ่นเหมือนกัน ท้ายสุดเขาไปได้ความลับมาว่า ย่าเฒ่าจะต้องไปจำศีลบนสวรรค์ทุกวันพระ ไอ้พวกระยำก็เลยแหกประเพณีชาวบ้าน ปกติเขาไม่ล่าสัตว์วันพระ เขาก็ออกล่าวันนั้น ไอ้โทนคงถึงที่ตาย โดนยิงตายวันนั้นแหละ

ปกติแล้วไอ้โทนหนังเหนียว วันนั้นเขายิงท่าไหนไม่รู้เข้ารูหูพอดี ถ้าเข้าหูก็ถึงสมองด้วย ย่าเฒ่าไม่อยู่คุ้มครอง เพราะมัวแต่ไปจำศีล

เถรี
26-12-2012, 12:17
ที่เขาต้องการกันก็คือต้นกล้วยที่ไปขึ้นอยู่บนไม้ยืนต้น คือกล้วยป่าจะมีเมล็ด เวลานกหรือกระรอกกินแล้วไปถ่ายไว้บนคาคบไม้ ถ้าไปถ่ายตรงที่ลึกหน่อยแล้วมีเศษดินอยู่บ้าง ต้นกล้วยจะงอกเป็นต้นได้ ถ้าได้อย่างนั้นเขาก็จะไปเอามา แต่ต้องไปพลีก่อน พลีก็คือทำพิธีขอ พอได้มาก็เอามาสับ ตากแห้ง เผาจนกลายเป็นขี้เถ้า แล้วเอามาเป็นส่วนผสมปั้นลูกประคำ ก่อนหน้านี้อาตมามีอยู่เม็ดหนึ่งที่หลวงพ่ออุตตมะท่านทำให้ ติดอยู่กับประคำชุดแรก โดนเขาปล้นไปพร้อมกับประคำนั้นแหละ..!

ถาม : แล้วมีอานุภาพด้านไหนครับ ?
ตอบ : ก็คงจะป้องกันอันตรายได้ทุกอย่าง เดี๋ยวต้องกลับไปค้นดู พอดีคุณหม่อมไปได้ต้นไผ่ที่ขึ้นอยู่บนกอไม้ใหญ่ แล้วท่านทำเป็นตะกรุดสะหรีกัญไชยแบบตำราเหนือ คุณหม่อมท่านถวายมาดอกหนึ่ง ท่านบอกว่าผมตีราคาหนึ่งล้านบาทนะหลวงพี่ ถ้าใครอยากได้ให้เขาบูชา อาตมาไม่ได้คิดจะให้เขาบูชาหรอก จะเอามาบรรจุด้ามพระขรรค์โสฬส ๘๔ พรรษาธรรมิกราช ต้องกลับไปค้นดูก่อน ไม่รู้ว่าเอาไปซุกไว้ที่ไหน

เถรี
26-12-2012, 12:23
มีของ ๒ - ๓ อย่างที่เก็บจนหาไม่เจอ อย่างชานหมากปรอทของหลวงปู่ละมัย คนอื่นตำไปเสกไปเท่าไรก็ไม่เป็นปรอทสักที ของอาตมา ๔ - ๕ นาทีหยิบให้ดู หลวงปู่ยังว่า “เฮ้ย..เป็นแล้วหรือ ?” บอกว่า "เป็นแล้วครับ" ก็แค่ใช้สมาธิช่วย ถ้าไม่ใช้เลยตำอีกกี่ชาติกว่าจะเป็น

ตอนนั้นอยู่ที่บ้านอนุสาวรีย์ จำได้ว่าเก็บอยู่แถวนั้น แล้วหยิบให้คนอื่นเขาดู หลุดมือตกพื้นเสียงดังปัง คนเขาสงสัยว่าหนักขนาดนั้นเลยหรือ ? ไม่ใช่ชานหมากเฉย ๆ นะ..เป็นปรอทด้วย ผสมอยู่ด้วยกัน ตำแล้วเสก ของบางอย่างเก็บ ๆ ไว้แล้วหาไม่เจอ ยังมีปิรามิดหินปรอทอีกก้อนหนึ่งไม่รู้อยู่ที่ไหน ? จำได้ว่าหลวงปู่ละมัยท่านให้บูชาตอนนั้นสี่หมื่นบาท ของอาตมาไม่ได้บูชาหรอก..ได้มาฟรี

ของหลวงปู่ละมัยถ้าอยากได้ต้องถามหลวงพี่ติงลี่ ท่านสนิทชิดเชื้อกับหลวงปู่มาก มีอะไรก็ช่วยหลวงปู่อยู่เรื่อย ขนาดมรณภาพแล้วก็ยังไปซื้อโลงแก้วถวาย

เถรี
26-12-2012, 12:26
หลวงปู่ละมัยท่านมีคู่ปรับ ท่านบอกว่าเป็นพวกคนธรรพ์หรือวิชาธร มาขโมยปรอทท่านไปเรื่อย พวกนี้ถ้าได้ของไปแล้วจะมีฤทธิ์มากขึ้น บางทีเขาปลอมตัวมาเหมือนกับลูกศิษย์ ทำท่าเหมือนจะบูชาแล้วก็ขอดูก่อน พอใส่มือให้เขาถือว่าให้แล้ว..ก็เอาไปเลย หลวงปู่ท่านบอกว่าถ้าเป็นสมัยหนุ่ม ๆ ท่านไล่ตามตีไปแล้ว สมัยนี้ได้แต่ด่าตามหลัง..!

ถาม : แล้วไม่ถือว่าขโมยหรือครับ ?
ตอบ : ก็วางใส่มือ..เขาก็ถือว่าให้ แบบเดียวกับพระอินทร์ โทณพราหมณ์เอาพระเขี้ยวแก้วซ่อนไว้ในผม พระอินทร์ถือพานแก้วมณีรออยู่ตรงมวยผม เวลาโทณพราหมณ์เอาพระเขี้ยวแก้วซุกก็เท่ากับวางใส่พาน ท่านก็อัญเชิญไปเลย ท่านไม่ได้ขโมยสักหน่อย

หลวงปู่บอกว่าท่านเอาปรอทไปต้มในน้ำพุร้อน เขายังตามไปขโมย ถ้าเป็นอาตมาจะวางกับดักไว้ เอาให้โดนหนีบดิ้นเป็นหนูอยู่ตรงนั้นแหละ แต่เป็นเรื่องแปลก ใคร ๆ ก็ได้ยินหลวงปู่บอกว่าอายุเท่านั้นปีเท่านี้ปี เป็นร้อยปีบ้าง เป็นพันปีบ้าง พออาตมาไปถามท่านตรง ๆ ท่านบอก “อย่าไปเชื่อ..ข้าอายุแค่ ๗๐ กว่าเอง” ท่านบอกกับหูเองก็เลยไม่รู้จะว่าอย่างไร เพราะไม่ตรงกับของใครเลย ท่านบอกว่าคนอื่นเขาลือกันไปอย่างนั้นเอง

เถรี
26-12-2012, 22:06
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมามีพระของหลวงปู่มุ่ย วัดป่าระกำเหนืออยู่องค์หนึ่ง เป็นพระปิดตาน้ำนมควาย เป็นเนื้อผงแต่ประสานด้วยน้ำนมควาย พระปิดตาสายใต้รับประกันเรื่องปืนได้ จะว่าไปแล้วปักษ์ใต้ซ่อนเสือซ่อนมังกรเลยนะ พระมรณภาพแล้วสังขารไม่เน่ามีเยอะมาก หลวงพ่อมุ่ย วัดป่าระกำเหนือก็องค์หนึ่ง เฉพาะนครศรีธรรมราชจังหวัดเดียว มีตั้ง ๕ - ๖ รูปที่มรณภาพแล้วไม่เน่า

เวลาทำวัตถุมงคลส่วนใหญ่บรรดาเกจิจะใช้กำลังตัวเอง ต้องเสกให้ถึงอนัตตาถึงจะใช้ได้ ถ้ากำลังตัวเองยังไม่ถึงอนัตตายังใช้ไม่ได้ คำว่าอนัตตาในที่นี้ต้องเป็นอรูปฌาน"

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ก็ต้องพิจารณาให้เห็นอนัตตาจริง ๆ แต่คราวนี้อนัตตาในความหมายของท่านเป็นแค่อรูปฌาน แทบจะทั่วประเทศไทย เกจิอาจารย์มักจะใช้กำลังตัวเอง สายหลวงพ่อวัดท่าซุงพระท่านสงเคราะห์..ไม่ต้องเหนื่อยเอง

เถรี
26-12-2012, 22:14
โยมไม่กล้ายกพระองค์ใหญ่มาถวายสังฆทานเพราะเกรงว่ายกไม่ไหว พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ทำไมไม่มีกำลังใจเลย ? คนอื่นยกไหวเราก็ต้องยกไหวสิ..ถ้ายกไม่ไหวเขาไม่วางไว้ให้ยกหรอก แสดงว่าไม่เคยได้ยินเรื่องหลวงปู่ปานยกรูปหล่อพระศรีอาริยเมตไตรยที่วัดไลย์ใช่ไหม ?

วัดไลย์ที่ลพบุรีเป็นวัดแรก ๆ ในประเทศไทยที่หล่อรูปพระศรีอาริยเมตไตรย เป็นรูปพระพุทธรูปนี่แหละ แต่ไม่มีพระเกตุมาลา เขาเอาไปฉลองกันที่วัดบางนมโค เพราะลพบุรีจะมีความผูกพันกับหลวงปู่ปานมาก เนื่องจากหลวงปู่ปานไปสร้างบันไดขึ้นวัดเขาวงพระจันทร์ ไปสร้างวัดเขาสะพานนาค เขาจึงเคารพนับถือหลวงปู่ พอสร้างพระศรีอาริยเมตไตรยก็แห่ไปวัดบางนมโค

เราอาจจะสงสัยว่าพระองค์ใหญ่ขนาดนั้นแห่มาอย่างไร ? เขามาทางเรือ ลงแม่น้ำป่าสักก็มาแม่น้ำเจ้าพระยา เข้าวัดบางนมโคได้ ตอนยกพระศรีอาริยเมตไตรยขึ้นศาลาเขาใช้คน ๘ คนช่วยกันยก แต่ปรากฏว่าตอนดึก..จะว่าดึกก็ไม่ใช่หรอก..ใกล้จะสว่างแล้ว

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านลุกขึ้นครองผ้าเตรียมเจริญกรรมฐาน พอดีตาเชิดซึ่งเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดของหลวงปู่ปานมาตาม บอกว่า “ท่านครับ ๆ ท่านใหญ่ให้มาตาม” ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์วัดหรือชาวบ้านเรียกหลวงปู่ปานว่าท่านใหญ่ก็มี เรียกหลวงพ่อใหญ่ก็มี หลวงพ่อท่านพร้อมอยู่แล้วท่านก็ไปเลย"

เถรี
26-12-2012, 22:17
"พอไปถึงหลวงปู่ปานก็บอกว่าท่านปรารถนาพระโพธิญาณมา หลวงพ่อวัดท่าซุงก็ปรารถนาพระโพธิญาณมา จึงให้มาเสี่ยงสัตย์อธิษฐานกับรูปหล่อหลวงพ่อพระศรีอาริยเมตไตรยด้วยกัน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็คิดว่า “เอ..เราจะเคยปรารถนามาหรือ ?” หลวงปู่ปานท่านก็อธิษฐานเสียงดังเลยว่า ถ้าท่านสามารถบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณได้จริง ก็ขอให้ยกพระศรีอาริยเมตไตรยขึ้น

ปรากฏว่าหลวงปู่ปานยกพระศรีอาริยเมตไตรยขึ้น ท่านบอกว่าเบาอย่างกับกระดาษ ท่านยกเหมือนไม่ได้มีน้ำหนักเลย หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็แปลกใจว่าตอนยกจากเรือขึ้นบนศาลาใช้คน ๘ คน หลวงปู่ปานก็ไม่ได้รูปร่างใหญ่โตแข็งแรงอะไร ยก ๒ มือลอยอย่างกับยกกระดาษ แล้วหลวงปู่ปานก็บอกว่า “เอ้า..แกอธิษฐานดูบ้าง”

หลวงพ่อวัดท่าซุงหน้าเหี่ยวเลย บอกว่า “จะไหวหรือครับหลวงพ่อ ?” หลวงปู่ท่านก็บอก “ไหวสิ” ท่านก็อธิษฐานพูดอ้อม ๆ แอ้ม ๆ หลวงปู่ปานไม่ยอมก็ดุเอา “อธิษฐานต้องว่าดัง ๆ จะได้แสดงว่ากำลังใจของเราเต็ม” หลวงพ่อท่านอธิษฐานว่า ถ้าท่านจะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณได้ขอให้ยกขึ้น ก็ยกขึ้นเหมือนกัน ท่านบอกว่าเบาเหมือนยกลังกระดาษใบหนึ่ง แสดงว่าเทวดาท่านช่วย"

เถรี
26-12-2012, 22:20
"จากนั้นหลวงปู่ปานก็บอกว่า "แกลองอธิษฐานดูว่าจะหมดอายุเมื่อไร ?" ท่านก็ไล่ไปเรื่อยจาก ๒๓ ๒๔ ๒๕ ๒๖ ๒๗ พอ ๒๗ ท่านบอกว่ายกวืดติดมือมาเลย หลวงปู่ปานบอกว่า "แกหมดอายุแค่ ๒๗" ในอดีตท่านสร้างกรรมไว้เยอะ เป็นแม่ทัพ เป็นทหารเข่นฆ่าข้าศึกมาทุกชาติ เกิดชาติใหม่จึงอายุสั้น หลวงปู่บอกให้หลวงพ่อไปปล่อยชีวิตสัตว์

ปรากฏว่าหลวงพ่อไม่ปล่อยหรอก จะปล่อยทำไมเพราะไม่ได้อยากอยู่ พอดูว่าหลวงพ่อท่านไม่ปล่อยแน่ หลวงปู่ปานท่านสั่งปลามาหนึ่งกาละมัง ตั้งทิ้งไว้ตรงศาลาท่าน้ำ ตอนฉันเช้าเสร็จหลวงปู่ก็บอกว่า “ข้าซื้อปลามาจากตลาด แกไปช่วยปล่อยให้ที” หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็คิดว่าอาจารย์สั่งก็ไปปล่อย พอเทลงน้ำเสร็จสรรพหลวงปู่บอกว่า “ถือว่าเป็นการต่ออายุแล้วนะ” เสร็จท่านจนได้..!

ต่อไปถ้าใครกำลังใจถึง ไปยกหลวงพ่อหยกขาวที่วัดท่าขนุนได้นะ องค์นั้นน้ำหนักตันกว่า ๆ เอง ถ้ายกแล้วตกแตกไม่เป็นไร ดูซิว่าจะทำได้ไหม ?"

เถรี
26-12-2012, 22:39
ถาม : ถ้าจิตเราปรารถนาพระนิพพาน แต่ตัดร่างกายไม่ได้ จะได้ไปพระนิพพานไหมคะ ?
ตอบ : ใกล้ ๆ ตายจะทุกข์ทรมานสาหัสเพื่อให้เราเห็นทุกข์ ถ้าตัดได้ก็ไปได้ ถ้าตัดไม่ได้ก็ทรมานอยู่เป็นปี ๆ เพราะฉะนั้น..ถ้ากลัวทรมานก่อนตายก็รีบ ๆ พิจารณาให้เห็นเสียตั้งแต่ตอนนี้

เถรี
26-12-2012, 22:53
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาจารย์ทิพากร รินไธสงค์ ท่านเป็นพุทธภูมิขนานแท้ ท่านกำลังสร้างพระใหญ่ชัยภูมิ ฆราวาสแท้ ๆ ยังทำงานใหญ่มหึมาขนาดนั้น ถ้าพระเสร็จทันก็ไม่ต้องกลัวภัยพิบัติ ท่านบอกว่า “แผ่นดินอันเป็นที่ตั้งของพระพุทธศาสนา เทวดาท่านย่อมรักษาอยู่แล้ว”

ตอนพายุนาร์กีสถล่มพม่า ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายราบหมด แต่พระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แม้แต่ยอดฉัตรยังไม่เสียหายเลย ทำให้คนไทยที่ไปช่วยเขาเห็นประโยชน์ขึ้นมา มีอยู่ช่วงหนึ่งคณะกรรมการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ของสภาผู้แทนราษฎร ประกาศให้เทศบาลและอบต.ซึ่งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ใกล้ชิดประชาชนที่สุด ให้ส่งตัวแทนไปรับพระบรมสารีริกธาตุที่สภาผู้แทนราษฎร แล้วเอาไปสร้างสถานที่บรรจุไว้ในแต่ละแห่งของตัวเอง พูดง่าย ๆ ก็คือเอาบารมีพระช่วยคุ้มครองในเรื่องของภัยพิบัติต่าง ๆ

ปรากฏว่าเทศบาลตำบลทองผาภูมิเล่นง่าย รับมาแล้วถวายวัดท่าขนุนให้ไปจัดการ อาตมาจึงบรรจุไว้ในสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก
เขาเองถ้าไม่จัดสถานที่ตั้งให้บูชาอย่างเป็นทางการ ก็จะต้องสร้างพระหรือสร้างเจดีย์บรรจุซึ่งต้องใช้งบประมาณมาก ใช้วิธีถวายวัดท่าขนุน เดี๋ยวอย่างไรพระอาจารย์เล็กท่านก็จัดการให้แน่..เล่นง่ายดี"

เถรี
27-12-2012, 21:24
ในปฐมสมโพธิกถา ปริเฉทที่ ๒๙ อันตรธานปริวรรต กล่าวถึงวาระสุดท้ายของพระพุทธศาสนาว่า พระบรมสารีริกธาตุจะเสด็จมารวมตัวกัน ปรากฏเหมือนอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาเอง ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดเป็นครั้งสุดท้าย ๗ วัน ๗ คืน หลังจากนั้นก็อันตรธานไป ถึงเวลานั้นไฟบรรลัยกัลป์ก็จะล้างโลก เพราะว่าพระบรมสารีริกธาตุเสด็จไปหมดแล้ว ไม่เหลืออะไรไว้ป้องกันแล้ว

ถาม : จะเหลือคนที่รอดไหมคะ ?
ตอบ : ๗ วันสุดท้าย ถ้าใครยังของเก่าให้เกิดขึ้นได้ก็จะอยู่รอด เพราะไฟบรรลัยกัลป์ระดับนั้น ถ้าไม่ได้คล่องตัวในกสิณโดยเฉพาะภูตกสิณ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลมจริง ๆ จะเอาไม่อยู่ ฉะนั้น..ท่านที่จะรอดก็ต้องหลบไปอยู่ตามป่าตามเขา ใช้กำลังอภิญญาสมาบัติรักษาตนเอง สามารถรักษาคุ้มครองคนได้เท่าไรก็ต้องเต็มที่ของตัวเอง ตอนไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลกหมด ถ้าไม่ได้อาศัยพวกอำนาจอภิญญาสมาบัติช่วยสงเคราะห์ ก็ไม่รู้ว่าจะไปหาอะไรมากินได้

เถรี
27-12-2012, 21:29
ตราบใดที่ยังมีพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ในแผ่นดินของเรา ตราบใดที่ยังมีฆราวาสที่ปฏิบัติธรรมหวังความหลุดพ้นอยู่ บ้านเราเมืองเราจะต้องเป็นที่ตั้งของพระพุทธศาสนาไปจนกว่าครบ ๕,๐๐๐ ปี จึงไม่ต้องไปกังวลในเรื่องของโลกแตก ส่วนเรื่องของภัยพิบัติต่าง ๆ นั้น ถ้าไม่ได้สร้างกรรมไว้สาหัสจริง ๆ อย่างไรก็ไม่ตาย

ขนาดพวกที่ติดอยู่ใต้ดินตั้งสองสามร้อยวัน เขายังขุดขึ้นมาได้เลย ที่นั่นเขาเห็นคุณค่าชีวิตของคนทุกคน ช่วยกันขุดจนกระทั่งเอาขึ้นมาได้ ก็เลยทำให้รู้ว่าการช่วยคนใต้ดินต้องทำอย่างไร ไม่อย่างนั้นปกติเขาไม่เคยได้ทดลองเลย พอหย่อนแคปซูลลงไปได้ก็ผลัดกันขึ้นมาทีละคน เราจะเห็นว่าเขามีระบบการจัดการที่ดี เพราะแบ่งสันปันส่วนกันว่าคนไหนควรจะขึ้นก่อน คนที่สภาพร่างกายที่อ่อนแอมากกว่าก็ขึ้นไปก่อน คนไหนแข็งแรงสุดก็ขึ้นคนสุดท้าย เขาไม่ได้แย่งกันขึ้นแย่งกันลง เพราะแคปซูลไปได้ทีละคนเท่านั้น

เถรี
27-12-2012, 21:33
อีกตำนานหนึ่งที่เราลืมไปแล้วโดยส่วนมาก ก็คือรัตนพิมพวงศ์ ตำนานพระแก้วมรกต เขาระบุไว้ว่า “แผ่นดินใดเป็นที่ตั้งของพระแก้วมรกต แผ่นดินนั้นจะไม่ว่างจากพระอริยเจ้า” ในเมื่อแผ่นดินไม่ว่างจากพระอริยเจ้า มีพระอริยเจ้าอยู่ที่ไหน ท่านก็สามารถที่จะยังความสุขให้กับคนหมู่มากได้

แบบเดียวกับสุปปิยปริพาชก สุปปิยปริพาชกเดินตามขบวนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปและด่าไปตลอดทาง แต่พอถึงเวลาพระท่านพัก สุปปิยปริพาชกบอกกับพรหมทัตมาณพที่เป็นลูกศิษย์ว่า ให้เข้าไปพักอยู่ใกล้ ๆ พอถามว่าทำไม ? เขาบอกว่า “สมณโคดมเป็นพระอรหันต์ อยู่ที่ไหนเทวดาก็รักษา เราไปพักใกล้ ๆ เราก็ปลอดภัยด้วย” สมควรตายจริง ๆ..! ตามด่าพระพุทธเจ้าไปตลอดทาง แต่พอพระพุทธเจ้าเข้าพักที่ไหนก็เข้าไปพักใกล้ ๆ ด้วย

เรื่องนี้ลูกศิษย์กับอาจารย์มีความเห็นไม่ตรงกัน สุปปิยปริพาชกเดินไปด่าพระพุทธเจ้าไป ส่วนพรหมทัตมาณพก็เดินไปสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้าไป ไม่รู้ว่าเป็นลูกศิษย์เป็นอาจารย์กันได้อย่างไร คนหนึ่งด่าคนหนึ่งสรรเสริญ

เถรี
27-12-2012, 21:36
สมัยก่อนบรรดาศาสดาเจ้าลัทธิต่าง ๆ เขาไม่ใช่มีคนนับถือเปล่า ๆ เขาเองมีลัทธิสารพัดสารเพตั้ง ๖๒ ลัทธิ แบ่งเป็นปุพพันตกัปปิกทิฏฐิ ๑๘ ลัทธิ อปรันตกัปปิกทิฏฐิ อีก ๔๔ ลัทธิ รวมแล้วเป็น ๖๒ ลัทธิ มีคนนับถือกันเต็มบ้านเต็มเมือง ตอนแรกอาตมาก็สงสัยว่า ลัทธิโง่ ๆ แบบนี้ทำไมมีคนนับถือกันมาก ปรากฏว่าเขาไม่ได้โง่ อาตมาโง่เอง..!

พวกปุพพันตกัปปิกทิฏฐิเขาระลึกชาติได้ แต่ละคนระลึกชาติได้ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ครึ่งกัปบ้าง หนึ่งกัปบ้าง คราวนี้การที่เขาเห็นไม่เท่ากัน ก็เลยต้องตั้งทฤษฎีการเกิดไม่เหมือนกัน จึงกลายเป็น ๑๘ ลัทธิ

ส่วนอปรันตกัปปิกทิฏฐินั้นเห็นอนาคต บางคนเห็นตัวเองเป็นอากาสานัญจายตนพรหม เป็นวิญญาณัญจายตนพรหม เป็นอากิญจัญญายตนพรหม เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนพรหม เป็นรูปพรหมชั้นต่าง ๆ ไล่ไปเรื่อย ในเมื่อเขาเห็นไม่เหมือนกัน บางคนเขาเห็นว่าเป็นเทวดา บางคนก็เห็นว่าจะลงนรก ก็ต้องตั้งลัทธิที่ไม่เหมือนกันขึ้นมา

คราวนี้เขาเห็นเอง เขาพูดได้เต็มปากเต็มคำ ยืนยันผลได้ พวกลูกศิษย์จึงเชื่อแล้วปฏิบัติตาม ฉะนั้น..พวกศาสดาเจ้าลัทธิเก่า ๆ ของเขาไม่ใช่สักแต่ว่าคนนับถือเฉย ๆ เขามีความสามารถที่แท้จริง เพียงแต่ที่จะรู้รอบแล้วเก่งจริงเท่าพระพุทธเจ้านั้นหาได้น้อยมาก

เถรี
27-12-2012, 21:41
ดูอย่างในอารกสูตร (อรกานุสาสนีสูตร) อังคุตรนิกาย สัตตกนิบาต กล่าวถึงศาสดาชื่ออารกะสอนลูกศิษย์ว่า ชีวิตเหมือนต่อมน้ำ ก็คือผุดเป็นฟองแล้วก็แตกไป ชีวิตเหมือนรอยไม้ที่ขีดลงในน้ำ วูบเดียวก็หายไปแล้ว ชีวิตเหมือนลำธารที่ไหลลงจากภูเขา พรวดเดียวก็ผ่านหน้าไปแล้ว ชีวิตเหมือนชิ้นเนื้อนาบไฟ มีแต่จะโดนเผาหมดไปในเวลาอันรวดเร็ว ชีวิตเหมือนโคที่เขานำไปฆ่า ต้องตายแน่ ๆ ไม่เหลือหรอก

ศาสดานอกพระศาสนาเขายังสอนชัดขนาดนี้ แต่คราวนี้เขาเห็นแค่ความไม่เที่ยง ตัวความทุกข์และอนัตตาเขาไม่เห็น แต่ก็ยังสอนลูกศิษย์ได้ขนาดนั้นแล้ว ชีวิตเหมือนก้อนเขฬะที่ปลายลิ้น เหมือนน้ำลายซึ่งบุรุษอันมีกำลังจะถ่มทิ้งเสียเมื่อไรก็ได้ คือต้องตายแน่ ๆ จะตายเมื่อไรไม่รู้ ?

ส่วนศาสดามหาวีระนั้นเป็นต้นบัญญัติศีล ๕ เลย แต่ศีลของเขาเข้มข้นมาก ศาสดาของเขาถึงขนาดว่าไปไหนต้องมีผ้าขาวปิดจมูก กลัวจะหายใจเอาจุลชีวะเข้าไปแล้วทำให้พวกนั้นตาย ไปไหนต้องมีลูกศิษย์กวาดพื้นนำหน้าไป เพราะกลัวว่าจะไปเหยียบสัตว์เล็ก ๆ ตาย จึง กลายเป็นสีลัพพตุปาทาน ก็คือยึดมั่นในศีลมากจนเกินไป ทำให้ติดอยู่แค่นั้น..ไปไหนไม่ได้

แต่ประวัติการเกิดของศาสดามหาวีระคล้าย ๆ กับพระพุทธเจ้าเลย มาจากตระกูลกษัตริย์เหมือนกัน มีปาฏิหาริย์ต่าง ๆ เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเขาถือสุดโต่งจนเกินไป ถือว่าการยึดถือสิ่งของต่าง ๆ ยังเป็นกิเลสทั้งหมด ก็เลยแก้ผ้า จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ที่เมืองฤๅษีเกตก็ยังมีพวกศาสนาเชนเยอะแยะไปหมด ยังคงแก้ผ้า ใช้ขี้เถ้าทาตัว นั่งจ้องดวงอาทิตย์ ปฏิบัติอยู่ตามปกติของเขา

เถรี
27-12-2012, 21:44
ถาม : เขาใช้ผ้าปิดจมูก ก็แสดงว่าเขารู้มาก ?
ตอบ : อย่าลืมว่าพวกนี้เขาได้อภิญญาทั้งนั้น เขารู้อยู่แล้วว่ามีพวกสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ เต็มไปหมด เวลาเราไปศึกษาเรื่องของเขาแล้วจะรู้ว่าที่แท้เขาเก่งจริง เพียงแต่ว่าเก่งได้ไม่ถึงที่สุดเท่านั้นเอง

เวลาเราไปประเทศอินเดีย ถ้าเห็นรูปปั้นหรือแกะสลักเหมือนพระพุทธเจ้าอย่าเพิ่งรีบไหว้ส่งเดช เพราะอาจจะเป็นรูปศาสดามหาวีระ ให้สังเกตดี ๆ ว่ารูปนั้นนุ่งผ้าหรือไม่นุ่งผ้า ต่างกันอยู่นิดเดียว ถ้าเป็นรูปของศาสดามหาวีระเขามีรูปของอวัยวะเพศให้เห็น เพราะเขาถือว่าไม่ได้นุ่งผ้า ถ้าเราไม่สังเกตกราบไปเรียบร้อยแล้วก็ไม่เป็นไร เพราะเรานึกถึงพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะในถ้ำที่อชันตาจะมีศาสนาเชนกับศาสนาพุทธช่วยกันสร้าง ก็เลยปน ๆ กันอยู่ในนั้น กราบผิดจังหวะก็กราบท่านมหาวีระไป

เถรี
28-12-2012, 19:42
ถาม : ผมถือศีล ๘ แต่ก็มีหน้าที่ที่ต้องติดตามข่าวสารบ้านเมือง ?
ตอบ : ถ้าดูลักษณะนั้นก็อย่าไปใส่อารมณ์ตาม ดูแค่รับรู้ว่าโลกเป็นอย่างไร ? หรือไม่ก็ดูไปปลงไปก็ได้

เถรี
28-12-2012, 19:49
ถาม : มโนมยิทธินี่คือสมาธิใช้งานใช่ไหมครับ ?
ตอบ : คนละอย่างกัน...มโนมยิทธิเป็นกำลังอภิญญา ใช้ถอดจิตออกไป สมาธิใช้งานหมายถึงสมาธิที่เราทรงตัวก็สามารถทำสิ่งอื่น ๆ ไปพร้อมกันได้

แต่ถ้าใครทำมโนยิทธิได้คล่องตัวจะสามารถทำสมาธิใช้งานได้ด้วย อย่างเช่นทำงานอยู่ก็จับภาพพระไปได้ด้วย ทำงานอยู่สามารถกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกและคำภาวนาไปด้วย ลักษณะเหมือนกับแยกจิตทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน แต่สรุปโดยรวมแล้วมโนมยิทธิเป็นส่วนหนึ่งของสมาธิใช้งาน

ถาม : สมาธิหมายถึงการที่เรามีอารมณ์ปักมั่นเป็นอารมณ์เดียว การแยกทำหลายอย่างก็ไม่ใช่สมาธิ ?
ตอบ : นั่นสำหรับพวกที่อ่านแต่ตำรา ถ้าทำได้จริง ๆ จะเลิกสงสัยไปเอง

ถาม : เรื่องของสมาธิสมาบัติ พวกพราหมณ์เขาก็ทำได้เหมือนกันหรือครับ ?
ตอบ : เขาทำกันจนเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่กำลังเหลือเฟือแล้วแต่ไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้อะไร เราจะเห็นว่าพื้นฐานเขาเหล่านี้ดีมาก พอพระพุทธเจ้าเทศน์จบเดียวก็บรรลุไปตาม ๆ กัน

เถรี
28-12-2012, 19:55
ถาม : การฝึกแนวมหาสติปัฏฐาน เขาบอกว่าใช้แค่ขณิกสมาธิ ?
ตอบ : นั่นไม่ใช่พระพุทธเจ้าบอก ในมหาสติปัฏฐานสูตรขึ้นด้วยอานาปานสติ มีอานาปานสติที่ไหนที่ทำแค่อุปจารสมาธิ ส่วนใหญ่แล้วครูบาอาจารย์รุ่นหลัง ๆ ทำไม่ได้แล้วก็มั่วไปเรื่อย ตีความผิดเข้าป่าดงไปจนทุกวันนี้

ถาม : อุทยัพพยานุปัสสนาญาณเขาบอกว่าแค่อุปจารสมาธิ ?
ตอบ : อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ถ้าทำถึงปฐมฌานขึ้นไปก็จะเห็นได้ชัดเจน เพราะฉะนั้นถ้าไปฟังญาณ ๑๖ ของเขาแล้วคุณอาจจะบ้าตาย..!

ถาม : แล้วสังขารุเปกขาญาณเขาบอกว่าถึงขั้น....?
ตอบ : คุณไม่ต้องไปสนใจว่ากำลังถึงไหน ถ้าทำสังขารุเปกขาญาณได้ ส่วนใหญ่จะเป็นพระอริยเจ้ากันหมดแล้ว ของเขาสังขารุเปกขาญาณยังไปแค่ครึ่งทางเอง

บุคคลที่สามารถวางสังขารคือการปรุงแต่งของจิตลงได้ กิเลสต่าง ๆ เกิดไม่ได้แล้ว ในเมื่อกิเลสเกิดไม่ได้ก็ต้องเป็นพระอริยเจ้า แต่ของเขาเองตะกายขึ้นไปอีกเท่าไรกว่าจะไปถึงมรรคญาณ ผลญาณของเขา

ปัจจุบันนี้ยังมีคนเป็นจำนวนมากที่ไปฝึกปฏิบัติตามสายนี้แล้วหลงว่าตัวเองเป็นพระโสดาบัน เพราะไปสรุปว่าถ้าผ่านถึงญาณ ๑๖ จะเป็นพระโสดาบัน แต่ญาณ ๑๖ ของเขาบางคนกระทั่งปฐมฌานยังขึ้นไม่ถึง ไปเก็บเอาอาการตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อยมา แล้วก็สรุปว่าได้ญาณนั้นญาณนี้

อาตมาเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้เล่มหนึ่ง หลายปีมาแล้ว แต่ต้องให้เรียนจบปริญญาเอกก่อนแล้วค่อยเผยแพร่ เพราะเขียนด่าเขาโดยตรงตั้งแต่แรกจนจบเลย มหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่เขาก็ชูเส้นทางนี้ ขืนออกตอนนี้มีหวังโดนไล่ออกไปด้วย..!

เถรี
28-12-2012, 19:59
ถาม : จิตสังขาร คืออะไรครับ ?
ตอบ : ความคิดของคุณนั่นแหละ จะปรุงไปทางดีหรือชั่วก็ตาม เขาเรียกว่าจิตสังขาร คือการปรุงแต่งของใจ เริ่มคิดเมื่อไรก็เป็นจิตสังขารเมื่อนั้น ถ้านับแล้วอยู่ในส่วนของจิตในจิต

ถาม : จิตตานุปัสสนา ?
ตอบ : รู้ว่าตอนนั้นสภาพจิตเป็นอย่างไร มีกิเลสหรือไม่มีกิเลส รัก โลภ โกรธ หลงหรือว่าไม่มีก็สามารถที่จะรู้ได้ อย่าลืมว่า “รู้” ไม่ได้แปลว่าสามารถจะชำระจิตให้สะอาดได้

เถรี
28-12-2012, 20:12
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ตอนนี้สามารถรู้ได้เพราะจิตข่มกิเลสลงอยู่ ถ้าเป็นไปตามวิมุติ คือการหลุดพ้น เขาเรียกว่าวิขัมภนวิมุตติ ก็คือหลุดพ้นได้เพราะองค์ฌานข่มเอาไว้ ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็แปลว่าถ้าฌานเสื่อมเมื่อไรกิเลสก็เกิดใหม่ ไม่ใช่การกำหนดรู้อนุสัย แค่รู้ว่ากิเลสหยาบเกิดขึ้นมาทำอันตรายเราไม่ได้เท่านั้น ส่วนกิเลสอื่น ๆ ยังรอจังหวะอยู่ เผลอเมื่อไรก็โดนเมื่อนั้น

ความจริงเรื่องนี้เขาปฏิบัติกันมานาน น่าจะสรุปผลได้นานแล้ว แต่ก็สรุปไม่ได้ สมัยที่ท่านเจ้าคุณใหญ่ท่านยังอยู่ ท่านบอกว่า “ลูกศิษย์ผมคนนี้เก่งมาก นั่ง ๒๓ ชั่วโมงไม่กระดิกเลย” ถามว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างครับ ? ท่านว่า “สึกไปมีเมียแล้ว” ก็น่าจะสรุปได้แล้วว่าวิธีนี้ผิด แต่เขาก็ยังอุตส่าห์สอนกันมาจนทุกวันนี้

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : สภาพจิตของเรามีกิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียดอยู่ ถ้าสภาพจิตสามารถที่จะละเอียดถึงตรงจุดไหน ก็จะก้าวข้ามกิเลสที่หยาบกว่าตรงส่วนนั้นไป นั่นก็คืออาการที่เปลื้องจิตออกจากกิเลสตัณหาต่าง ๆ ตามลำดับไป แต่คราวนี้ก็ต้องดูด้วยว่า สภาพปัญญาตอนนั้นยอมรับแล้วกำลังมีเพียงพอไหม ? ถ้าไม่ยอมรับ กำลังไม่พอก็แค่ได้เห็นเท่านั้น ได้รู้ขั้นตอนเท่านั้น แต่ยังไม่สามารถที่จะทำให้เป็นของเราเองได้

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : คุณไปดูตรงท้ายมหาสติปัฏฐานสูตรทุกบรรพ บทสรุปจะอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าจะหมวดไหน ตอนไหนก็ตาม ท่านจะลงไว้ว่า น จ กิญฺจิ โลเก อุปาทิยติ เราจะไม่ยึดติดอะไร ๆ ในโลกนี้ ลงตรงนั้นก็จบแล้ว ไม่ต้องทะลึ่งไปดูอย่างอื่นให้เสียเวลาหรอก

แสดงว่าคุณอ่านตำรามากเกิน อ่านมากไม่เป็นไร อ่านมากแล้วจับจุดไม่ถูกก็จะงงต่อไปเรื่อย ๆ ถ้าเราดูตั้งแต่ต้นจนปลายของมหาสติปัฏฐานสูตรทุกบรรพ เขาสรุปลงตรงนี้ที่เดียว เราจะปฏิบัติแค่ตรงนั้นที่เดียวเลยก็ได้

เถรี
28-12-2012, 20:14
ถาม : การภาวนาคาถายาว ๆ พร้อมกับจับลมหายใจเข้าออกทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : เอาที่เราถนัด คุณจะว่ายาวตลอดเข้า ยาวตลอดออกก็ได้ คุณจะว่าทีละคำก็ได้ ว่าเป็นคู่ก็ได้ อยู่ที่เราหายใจสะดวกไหม ? เขาไม่ได้กำหนดตายตัวว่าจะต้องภาวนาอย่างไร

เถรี
28-12-2012, 20:19
โยมกำลังดูหนังสือพระเครื่องอยู่ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "เมื่อก่อนทิดตู่ก็เป็นแบบนี้แหละ เปิดดูไปแล้วกิเลสเกิด พวกวัตถุมงคลของเก่า ถ้าไม่เคยเห็นของจริงอย่าไปเล่น ต้องได้เห็นของจริงมามากพอจนกระทั่งมั่นใจแล้วถึงไปเล่นได้

วัตถุมงคลเหมือนกับต้นไม้ นึกออกไหม ? ถ้าคุณรู้จักต้นไม้มองดูเมื่อไรก็รู้ว่านี่คือต้นนี้ ต้องดูให้ได้แบบนั้น มองไปถึงต้นนั้นเราก็จะรู้ว่า อ้อ..ต้นคูณ เวลาเขาเอาต้นคูณมาเรามองเมื่อไรก็รู้ว่าต้นคูณ เรื่องของการเล่นวัตถุมงคลจะต้องรู้ให้ซึ้งก่อน ไม่อย่างนั้นไปเปิดหนังสือมองแบบนั้นรับรองได้ว่ามีค่าครูอีกเยอะ..!

บรรดาพวกเซียนต่าง ๆ มักจะมีตำนานมา มีที่มาอย่างนั้นอย่างนี้ เราไปฟังตามตำนานเมื่อไรตายคาที่ทุกราย เล่นพระต้องเล่นด้วยตาไม่ใช่เล่นด้วยหู ดูให้เข้าใจอย่างแท้จริง ศึกษาให้รู้ว่าแต่ละพิมพ์ แต่ละเนื้อมีลักษณะอย่างไร เช่น ถ้าเขาบอกว่า “ผิดเนื้อผิดพิมพ์” เขาวางเลย เวลาเขาเอาต้นมะรุมมาดันบอกว่าเป็นต้นมะขาม ใบคล้ายกันแต่คนรู้จักมองดูก็รู้แล้วว่านี่ต้นมะรุม"

เถรี
28-12-2012, 20:22
ถาม : ต้องการทำบุญด้วยการทำความสะอาดพระพุทธรูป ?
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ...ทำความสะอาดถือว่าดี แต่ต้องเป็นพระพุทธรูปพวกทองเหลือง อย่าเอาพระพุทธรูปที่ปิดทอง เพราะถ้าไปทำความสะอาดเดี๋ยวทองหลุดหมด หรือไม่ก็ไม่ต้องทำความสะอาด ซื้อแบบมีตู้ครอบถึงเวลาก็เช็ดแต่ตู้เท่านั้น

เถรี
28-12-2012, 20:28
พระอาจารย์กล่าวว่า "จำไว้นะว่า ทอง ๒๔ เค คือทอง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ๑๘ เคเป็นทองประมาณ ๗๐ เปอร์เซ็นต์ ภาษิตจีนเขามีอยู่บทหนึ่งว่า “ทองคำแท้ไม่กลัวไฟเผา” ไม่ใช่ว่าเผาแล้วไม่ละลาย คำนี้เขาหมายถึงว่าหลอมอย่างไรก็เป็นเนื้อทอง แต่ถ้าทองปลอมพอหลอมแล้วโลหะอื่นจะโผล่ ทองคำแท้ไม่กลัวไฟเผาก็คือของจริงไม่กลัวการพิสูจน์

สมัยนี้เขาเล่นกันจนร้านทองเองตามไม่ทัน เสียท่าเขามาเยอะแล้ว เขาเล่นตีทองโปร่งไปหุ้มโลหะอื่น แล้วทำเป็นรูปพรรณอย่างดีเลย พวกนี้ต้องสุดยอดฝีมือเลยนะ แต่คราวนี้ด้วยความที่เขาหุ้มโลหะอื่น น้ำหนักก็จะมากกว่าเดิมหลายเท่า พอเอาไปขายแล้วส่วนกำไรจะได้เยอะ

เขาให้หินลองทอง ใช้น้ำยาป้ายดูก็เป็นทอง เพราะข้างนอกเอาทองหุ้มไว้ ช่วงที่ทองไมครอนออกใหม่ ๆ ตัดดูเนื้อข้างในก็เหลืองอร่าม แต่ว่าไม่ใช่ทอง นั่นเป็นไพไรต์ ที่ซาอุดิอารเบียเขามีภูเขาทอง เป็นทรายทองทั้งภูเขา เขาใส่ขวดเล็ก ๆ ขายให้เป็นที่ระลึก อันนั้นเป็นไพไรต์ทั้งหมด

เขาบอกว่าไพไรต์ ๑ ตันจะหลอมได้ทอง ๒ บาท ๑,๐๐๐ กิโลกรัม จะได้ทอง ๓๐.๔ กรัม ลองดูบ้างไหม ? แค่ค่าถ่านค่าฟืนก็ไม่ไหวแล้วนะ ที่ซาอุฯ เขาบอกว่าถ้าจะตั้งโรงงานผลิตทองจริง ๆ ก็คุ้ม แต่คราวนี้ซาอุฯ เขารวยจนไม่รู้จะทำไปทำไม ก็เลยเอาไว้ให้นักท่องเดียวดู และเอาใส่ขวดเล็ก ๆ ขายเป็นที่ระลึก"

เถรี
28-12-2012, 20:32
ถาม : ทางมหายานเขากล่าวถึงพุทธเกษตรที่มีพระพุทธเจ้าประทับอยู่ เป็นไปอย่างนั้นหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : สุขาวดีพุทธเกษตรของเขาก็คือสวรรค์ชั้นดุสิต เป็นที่อยู่ของบรรดาพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย

ถาม : แล้วที่เขาบอกว่ามีหลายจักรวาล แล้วมีพุทธเกษตรต่าง ๆ แสดงว่าสวรรค์ชั้นดุสิตมีหลายที่จริงไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเจอพระที่เป็นมหายาน ถามท่านดูแล้วกัน อาตมาเป็นพระเถรวาท วันก่อนไปวัดธรรมปัญญารามบางม่วง ไปดูสุขาวดีพุทธเกษตรของเขา เขาใช้ทรายสี ๆ โรยทำเป็นแมนดาล่าหรือมัณฑะเลย์ เขาทำได้งามจริง ๆ อาตมาถึงได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วการปฏิบัติธรรมไม่ใช่นั่งเฉย ๆ การปฏิบัติธรรมต้องใช้งานจริงได้ ทำสมาธิค่อย ๆ โรยทราย แล้วบางอันเขาประกอบขึ้นมาคล้ายกับแบบย่อส่วนเล็ก ๆ แต่รายละเอียดเหมือนกับของจริงทุกอย่าง เขาทำด้วยความศรัทธาจริง ๆ

ทางสายมหายานโดยเฉพาะทิเบต เขาเชื่อในพลังของอัญมณีต่าง ๆ เขาจะมีการใช้ปะการังกับพลอยขี้นกการเวกประดับ อาตมาก็นึกว่าต้องใช้จำนวนมหาศาล แต่ปรากฏว่าไปเจอมัสยิดในซินเกียงกับในรัสเซีย โดมมัสยิดเขาประดับด้วยพลอยขี้นกการเวกทั้งโดมเลย ต้องใช้เวลาตกแต่งนานขนาดไหน ? เพราะต้องทำเป็นชิ้นแล้วค่อย ๆ ติดจนเต็มทั้งอัน ไม่ต้องไปประมาณศรัทธาคนเลยว่าราคาเท่าไร แค่เทอร์คอยซ์เราก็ไม่มีปัญญาจะซื้อแล้ว แล้วยังบวกแรงศรัทธาไปอีกตั้งเท่าไร

เถรี
30-12-2012, 07:57
ถาม : แม่เขาชอบฝันเห็นก้อนเนื้อ ?
ตอบ : มีเปรตชนิดหนึ่งเรียกว่า มังสเปสิกเปรต เป็นก้อนเนื้ออย่างเดียว

ถาม : แล้วควรทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : อุทิศส่วนกุศลให้เขาบ่อย ๆ

ถาม : แล้วทำไมจำเพาะจงกับแม่ด้วยครับ ?
ตอบ : มีกรรมเนื่องกันมา

เถรี
30-12-2012, 08:05
ถาม : ที่บอกว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านทำหน้าที่รักษาการณ์พระศาสนา คำว่า “รักษาการณ์พระศาสนา” หมายความว่าอะไรครับ ?
ตอบ : สรุปง่าย ๆ ว่าทำหน้าที่แทนพระพุทธเจ้า เช่น ทางโลกเราอาจจะมีพระสังฆราช แต่บุคคลที่ท่านมอบหมายให้ทำหน้าที่แทนจะเป็นใครก็อีกเรื่องหนึ่ง

ถาม : พระส่วนใหญ่มักจะทราบใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าพระที่ได้ตั้งแต่วิชชาสามขึ้นไปมักจะทราบ เรื่องนี้ถ้าไปพูดวัดแถว ๆ ปทุมฯ เขาไม่ยอมนะ เขามั่นใจว่าต้องเป็นอาจารย์เขา

หลังจากมีการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๒ มีการแตกออกเป็นมหายาน เถรวาท และนิกายต่าง ๆ รวมแล้ว ๑๐ กว่านิกาย มาดูในปัจจุบันบ้านเรา ถ้าเอาคำว่านิกายห้อยท้ายไปจะเห็นชัดเลย อย่างเช่น นิกายสันติอโศก นิกายธรรมกาย เพราะว่ามีวัตรปฏิบัติที่ต่างจากคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด ไม่ได้ไปด้วยกับคนอื่นเขา

ถ้าไปศึกษาดูคำสอนของเขา เป็นคำสอนที่จะดึงคนให้สร้างประโยชน์ให้กับเขาให้มากที่สุด เช่น ในเรื่องของสวรรค์ ๖ ชั้น เขาบอกว่าบุคคลที่จะไปสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชจะต้องทำทานประมาณนั้นประมาณนี้ ไปชั้นดาวดึงส์ต้องทำทานให้ยิ่งขึ้นกว่า ไปชั้นยามาต้องทำทานยิ่งกว่าดาวดึงส์ ไปชั้นดุสิตต้องทำทานยิ่งกว่ายามา เพิ่มไปเรื่อย สรุปว่าเน้นตรงทานอย่างเดียวเพื่อให้บริวารสร้างทานเยอะ ๆ แล้วพวกทานนั้นก็จะส่งผลคือความสุขความสบายของพวกเขา

ตรงจุดนี้พอนาน ๆ ไปบรรดาท่านที่ศรัทธาก็จะเชื่อถือและยึดมั่น คำสอนนี้ก็จะเป็นอาจาริยวาท ก็คือยึดมั่นในคำสอนของอาจารย์ เรื่องของอาจาริยวาทนี่แหละที่ทำให้บรรดามหายานก็ดี เถรวาทก็ดี แตกออกเป็นสารพัดสาย เป็นนิกายนั้นนิกายนี้เต็มไปหมด

เถรี
30-12-2012, 08:08
ถาม : เรียกว่าลัทธิได้ไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เราจะเรียกหรือไม่ จะลัทธิหรือนิกายเราก็จะเห็นว่าต่าง ในเมื่อเราเห็นต่างคนอื่นเขาก็ต้องเห็นด้วย เพียงแต่ว่าคนอื่นเขาเห็นแล้วจะพูดหรือเปล่า ? เป็นที่น่าเสียดายว่าธรรมกายของหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านสอนถึงพระนิพพาน แต่วัดธรรมกายที่มีผู้คนนับถือมากที่สุดในประเทศไทยช่วงนี้สอนแค่ดุสิตบุรี

ถาม : แล้วจะไปได้จริงไหมครับ ?
ตอบ : ก็ต้องดูว่ามุ่งมั่นจริงหรือเปล่า ? สมัยก่อนเพื่อนหลายคนก็เข้าไปคลุกอยู่ในนั้น แล้วก็อธิษฐานขอถึงซึ่งพระนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้า ก็เลยถามว่าแล้วทำไมคุณไม่ขอให้ไปได้ชาตินี้เลย มักจะได้ยินคำถามย้อนกลับมาว่า “พระนิพพานไปชาตินี้ได้ด้วยหรือ ?” ก็ต้องบอกว่าถ้ากำลังใจพอก็ไปได้ ถ้ากำลังใจไม่พอก็ไปไม่ได้

ถาม : อย่างนั้นเป็นมานะใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่มานะ เป็นมิจฉาทิฐิ หนักกว่ามานะหลายล้านเท่า มิจฉาทิฐิคือความเห็นผิด เป็นที่น่าเสียดาย ก่อนหน้านี้มีอาจารย์ที่สอนว่าสวรรค์ไม่มี นรกไม่มี พระนิพพานสูญ ท้ายสุดพอท่านตายก็ลงเลยอเวจีไปอีก พอมาเจอสอนลักษณะอย่างนี้ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะไปทางไหน คงต้องรอดูกันต่อไป

เถรี
30-12-2012, 08:14
พระอาจารย์กล่าวว่า "ผ้าที่ทอจากขนสัตว์ บาลีเขาเรียกว่า ผ้ากัมพล เขาจะมีสาณัง ผ้าป่าน อย่างเช่นทอจากป่านศรนารายณ์ ผ้าใยกัญชาพวกนั้น โขมัง ผ้าเปลือกไม้ กัปปาสิกัง ผ้าฝ้าย โกเสยยัง ผ้าไหม กัมพะลัง ผ้าขนสัตว์ ภังคัง ผ้าแกมกัน อย่างสมัยนี้พวกผ้าโทเรผสม มีฝ้าย ๓๐ เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าเทคนิคสมัยก่อนเขาเก่งกว่า เขาทำผ้าแกมกันได้มานานแล้ว

ผ้าที่สำคัญในพระศาสนาที่กล่าวถึงไว้ ก็คือผ้าสิงคิวรรณ สิงคิแปลว่าทองคำ สิงคิวรรณแปลว่าสีเหมือนทองคำ ที่ปุกกุสสะมัลลบุตรถวายพระพุทธเจ้าก่อนปรินิพพาน แล้วพระพุทธเจ้าท่านก็เก็บไว้ใช้เองผืนหนึ่ง มอบให้พระอานนท์ผืนหนึ่ง พระอานนท์ไม่กล้าใช้เอามาถวายคืน พระพุทธเจ้าจึงนุ่งผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง เสร็จแล้วรัศมีพระกายเปล่งปลั่งผิดปกติ พอพระอานนท์ถามถึงได้รู้ว่า วันก่อนตรัสรู้กับวันก่อนปรินิพพานจะสวยที่สุด"

เถรี
30-12-2012, 08:21
ถาม : พระปัจเจกพุทธเจ้าต้องทำบารมี ๓๐ ทัศไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ว่าใคร ถ้าจะเข้าพระนิพพานต้องทำทั้งหมด เพียงแต่ว่าจะทำแค่ไหน ทำแค่ ๑ อสงไขยกับแสนมหากัป หรือ ๒ อสงไขย หรือ ๔ อสงไขย หรือ ๘ อสงไขย หรือ ๑๖ อสงไขย แต่อยู่ใน ๓๐ ทัศทั้งหมดเพราะมีหยาบ กลาง ละเอียดเหมือนกัน แบ่งเป็นสามัญบารมี อุปบารมี ปรมัตถบารมีเหมือนกัน

ถาม : แล้วมหากัปนานแค่ไหนครับ ?
ตอบ : ต้องเริ่มจากอันตรกัป ให้ตั้งเลข ๑ ขึ้นมาต่อด้วยเลขศูนย์ ๑๔๐ ตัว ระยะเวลาผ่านไปร้อยปีลดลง ๑ ปี ร้อยปีลดลง ๑ ปีไปจนเหลืออายุขัยแค่ ๑๐ ปี แค่นี้ครึ่งอันตรกัป ต้องร้อยปีเพิ่มอีก ๑ ปีไปเรื่อยจนได้เลข ๑๔๑ หลักเหมือนเดิม ถึงจะได้ ๑ รอบอันตรกัป ๖๔ รอบอันตรกัปจะได้ ๑ อสงไขยกัป ๔ อสงไขยกัป ถึงจะ ๑ มหากัป แค่อันตรกัปเดียวก็หมดสภาพแล้ว ต้องลูบภูเขาเหล็กสึกเสมอพื้นไป ๑ ลูก

ถาม : แล้วกำไรแสนกัปหมายถึงอะไรครับ ?
ตอบ : คำว่ากำไรก็คือเกินมา ได้กำไรคือได้เกินมา เกินมาอีกแสนกัป แสดงว่าไม่เข้าใจภาษาโบราณใช่ไหม ? ถ้าขาดทุนคือเสียไป ถ้ากำไรคือเกินมา

เถรี
30-12-2012, 08:23
ถาม : นิตยโพธิสัตว์นี่ต้องทรงอยู่ในสังขารุเปกขาญาณไหมครับ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น..ยกเว้นช่วงที่อารมณ์ใจท้าย ๆ ที่เทียบเท่าพระอริยเจ้าได้ถึงจะรู้จักสังขารุเปกขาญาณ กิเลสเต็มหัวแต่อารมณ์เท่าพระอรหันต์ ฟังแล้วเท่สุด ๆ เลยนะ กิเลสท่วมหัวแต่กิเลสเกิดไม่ได้

เถรี
30-12-2012, 08:31
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้ฝนเริ่มน้อยลง ถ้าฝนแล้งแล้วอาตมาจะส่งข้าวสารอาหารแห้งไปให้ที่บ้านจะแก บ้านจะแกมีโรงเรียนอยู่ ชื่อโรงเรียนบ้านหินตั้ง เป็นโรงเรียนที่น่าสงสารมาก ครูบาอาจารย์จะได้ลาก็ต่อเมื่อปิดเทอม โดยเฉพาะหน้าฝนจะเข้าออกไม่ได้ อยากจะเข้าออกก็ได้แต่ว่าต้องใช้เวลาเดินเข้าออกประมาณ ๕ วัน สรุปว่าถ้ามีวันลาแค่ ๕ วัน เดินไปแล้วก็เดินกลับ ไม่ต้องไปไหนหรอก

เขามีหน่วย ตชด. อยู่ที่นั่น จะมีเฮลิคอปเตอร์เข้าไปส่งเสบียงเดือนละ ๓ ครั้ง วันที่ ๒ วันที่ ๑๒ และวันที่ ๒๒ ของแต่ละเดือน ปรากฏว่าบางทีครูทำหนังสือลาแล้วก็ไปไม่ได้ จะอาศัยเฮลิคอปเตอร์ออกมาก็มีแต่คนป่วย มาลาเรียขึ้นสมองชักกระตุกบ้าง หรือไม่ก็โดนหมูป่าขวิดไส้ไหลเรี่ยราด ต้องให้คนป่วยออกไปก่อน คนดี ๆ อยู่ไปเถอะ รอปิดเทอมแล้วค่อยออกมา

เมื่อหลายปีก่อนมีข่าวว่าผู้อำนวยการโรงเรียนออกมาติดต่อราชการที่อำเภอทองผาภูมิ ขากลับเข้าไปสาบสูญไปกลางทาง เพื่อนตามไปก็เจอแต่รอยตีนเสือกับเลือด"

ถาม : ต้องเดินเท้าหรือครับ ?
ตอบ : เดินเท้า..ขนาดโฟร์วีลยังหนาวเลย คุณลองนึกถึงตอนฝ่าทุ่งใหญ่ในวันฟ้าฉ่ำฝนดูสิ โฟร์วีลยังไปไม่รอด ทั้งขุดทั้งเข็น มีอยู่เที่ยวหนึ่งมีรถขับเคลื่อน ๔ ล้อติดรอกไฟฟ้าด้วย ถ้าติดหล่มจะได้ดึงตัวเองขึ้นได้ ปรากฏว่าพอรถติดเข้าจริง ๆ ก็ลากรอกไปโอบกอไผ่รวกทั้งกอ ดึงเสร็จเรียบร้อยกอไผ่ลอยติดรถมา ไม่ใช่รถขึ้นจากหล่ม เพราะว่าดินเละมาก ต้นไม้ก็เลยไม่ติดพื้น ลอยตามรถมาเลย..!

เถรี
30-12-2012, 08:36
สมัยก่อนที่ธุดงค์ไป เห็นความลำบากของเขาก็เลยอยากจะช่วย โดยเฉพาะที่วัดจะแก กะว่าจะเอาเครื่องปั่นไฟเข้าไปให้เขา เขาบอกว่าไม่ต้องหรอก ซื้อน้ำมันก๊าดให้เขา ๒ ปีบจะดีใจมากกว่า เพราะเครื่องปั่นไฟเวลาน้ำมันหมดก็ทำอะไรไม่ได้ จะให้เดินออกมา ๕ วันเพื่อมาซื้อน้ำมันคงจะมีอารมณ์กันอยู่หรอก

ถาม : ไม่ใช้แผงโซล่าเซลล์ล่ะครับ ?
ตอบ : ...(หัวเราะ)...แสดงว่าไม่เคยอยู่ป่า ในป่าเวลาหน้าฝนจะมืดจนมองอะไรไม่เห็น จะเอาแสงอาทิตย์ที่ไหนมา อย่างกับเมืองในหมอกดี ๆ นี่เอง

ถาม : ทึบขนาดนั้นเลยหรือครับ ?
ตอบ : ก็ป่าทุ่งใหญ่..ทึบหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?

ถาม : มีที่รวมไฟฟ้าเก็บไว้ได้
ตอบ : รวมได้ แต่ไม่มีให้รวม อย่างผู้ใหญ่บ้านที่ทุ่งเสือโทน ห่างจากจะแก ๙๓ กิโลเมตร เขาใช้เซลล์นี่แหละเพื่อที่จะต่อโทรศัพท์คุยกับโลกภายนอก อาตมาต้องโทรแล้วโทรอีกกว่าจะติด เพราะวันไหนที่มีแดดก็จะติดเพราะมีไฟชาร์จแบตฯ ๗ - ๘ วันกว่าจะโทรได้สักที หมดอารมณ์ไปตาม ๆ กัน

เถรี
30-12-2012, 08:43
ถาม : เวลานั่งกรรมฐานจะรู้สึกปวดหัวบ้าง ปวดท้องบ้าง ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ โบราณเขาเรียกว่าขันธมาร ไม่มีอันตรายอะไรหรอก เขาแค่ก่อกวนเราไม่ให้ทำสมาธิเท่านั้น ตั้งหน้าตั้งตาทำต่อไป ถ้าสมาธิทรงตัวเมื่อไรอาการที่ว่าจะหายไปเลย

ถาม : หรือไม่เขาก็พยายามจะครอบงำใจเรา ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าคำตอบอยู่ตรงสมาธิ พวกนี้ส่วนใหญ่เป็นคุณไสยชั้นต่ำหรือพวกใช้ผีคุม ถ้าเราทรงสมาธิตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป กำลังเราจะเท่ากับพรหม แล้วผีที่ไหนจะสู้ได้เล่า ? ฉะนั้นบอกเขาว่าภาวนาให้สมาธิทรงตัวให้ได้ ทรงตัวเมื่อไรเขาก็เจ๊งไปเอง

ถาม : แล้วอย่างของผมเวลานั่งกรรมฐานรู้สึกแน่นตรงลิ้นปี่ ?
ตอบ : เขาให้ตัดสินใจว่าตายเป็นตาย พวกขันธมารจะกลัวคนรู้ทันและหน้าด้าน ถ้าเราตั้งใจว่าเราทำความดีอยู่ ตายอย่างไรเราก็ไปดีอยู่แล้ว ตัดสินใจยอมตาย ทำต่อไปเขาจะถอย แต่ถ้าเราตัดสินใจไม่ได้...เรากลัวตาย เราเลิกทำเสียก่อน ถ้าอย่างนั้นทำเมื่อไรก็ติดอยู่ตรงนั้นแหละ

ไปลองใหม่ ลองดูซิว่าตัดสินใจได้ไหม ? ถ้าตัดสินใจได้ว่าตายเป็นตายก็จะก้าวผ่านไปเอง ครูบาอาจารย์สายอีสานท่านถึงได้บอกว่า “ธรรมะอยู่ฟากตาย” ถ้ายังอยู่ฟากเป็น เอาไม่อยู่หรอก ต้องตัดสินใจยอมตายกันไปข้างหนึ่ง

เถรี
30-12-2012, 08:47
ถาม : เราเมื่อยขาเมื่อยแขนเวลานั่งสมาธิ ควรขยับร่างกายให้หายหรือว่าทนดูต่อไปครับ ?
ตอบ : อยู่ที่วัตถุประสงค์ของเรา ถ้าเราต้องการทำสมาธิเพื่อรักษาสภาพจิตใจให้ผ่องใสธรรมดา ก็กำหนดสติให้มั่นคงแล้วก็ขยับได้ แต่ถ้าเราต้องการดูเวทนาอย่าไปขยับ นั่งแช่ไปเรื่อย ดูว่าเวทนาจะมาสักเท่าไร เวทนาเป็นของเราจริงไหม ? หรือว่าเวทนาเป็นของร่างกาย หรือเวทนาไม่ได้เป็นของอะไรเลยนอกจากมาแหกตาเรา

ถาม : แต่ปวดจริงนี่ครับ
ตอบ : ปวดจริง...แต่พอถึงเวลาดูเข้าไปแล้วกัน ตอนนี้เฉลยไม่ได้หรอกเดี๋ยวความลับแตกหมด อาตมานั่งจนเหงื่อไหลลงมากลางหลังอย่างกับงูเลื้อยเลย ก้นเหมือนกับบางลง ๆ กระดูกจะทะลุออกมาแล้ว อาการพวกนี้จะเกิดขึ้นหลังจากชั่วโมงที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ไปแล้ว

ถาม : ต้องนั่งขนาดนั้นเลยหรือครับ ?
ตอบ : ไม่นั่งขนาดนั้นก็ไม่รู้สิ

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ลองดู...พอถึงเวลาจะได้รู้ว่าเขาหลอกเราเก่งขนาดไหน นึกถึงหลวงตาบัวบอกว่า ท่านนั่งจนก้นพองเป็นเม็ด ๆ แล้วแตก
นึกถึงแล้วของอาตมาก็แบบนั้นแหละ เพียงแต่ว่าอาตมานั่งไม่นานพอที่จะเป็นแบบนั้น แต่ก็รู้สึกว่าก้นร้อนขึ้น ๆ เหมือนกับเนื้อบางลง ๆ กระดูกจะทะลุมานอกเนื้อแล้ว ความจริงอย่างคุณนี่น่าจะนั่งได้นานนะ กว่าจะบางคงหลายชั่วโมง

เถรี
30-12-2012, 17:35
ถาม : ผมฟังบทคาถาชินบัญชรที่เขานำมาทำเป็นเพลง แล้วกำหนดมโนมยิทธิไปด้วย แจ่มใสมากเลย จริง ๆ วิธีนี้ควรไหมครับ ?
ตอบ : ควร..สำหรับคนหัดใหม่ ๆ ต้องอย่างนั้นไปก่อน ถ้าไม่มีขนมมาล่อก็ไม่อยากทำ ในเมื่อเราเป็นเด็กหัดใหม่ก็ให้ทำไปก่อน

ถาม : ถ้าผมเอาไปเผยแพร่ ทำแผ่นไปแจกนี้เป็นธรรมทานไหมครับ ?
ตอบ : เป็น...ถือเป็นธรรมทานอย่างหนึ่ง ระวังเรื่องลิขสิทธิ์เอาไว้ด้วย

ถาม : แล้วถ้าทำไปเรื่อย ๆ เราจะไปติดตรงนี้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเราไม่มีพัฒนาการก็จะติดอยู่แค่ตรงนั้น

เถรี
30-12-2012, 17:43
ถาม : ตัว “สุข” ในโพชฌงค์ เป็นสุขที่มีอามิสไหมครับ ?
ตอบ : สิ่งใดก็ตามถ้ายังมีเครื่องยึดโยงอยู่ สิ่งนั้นเป็นอามิส ถ้าปราศจากเครื่องยึดโยงก็ไม่มีอามิส อย่างเช่น สภาพจิตของเราที่ปล่อยวางจากการยึดเกาะสิ่งต่าง ๆ ถ้าปล่อยวางได้จริง ๆ ความเบาความสบายจะสุขจนบอกไม่ถูก นั่นเป็นสุขที่ไม่มีอามิส

แต่ถ้าเป็นสุขที่เกิดจากการกระตุ้นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พวกนี้ยังมีอามิสอยู่ เพราะฉะนั้น...ในเรื่องของสมาธิก็ต้องบอกว่า ถ้ายังมีสมาธิเป็นเครื่องยึดโยงก็ถือว่ายังมีอามิสอยู่

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อากิญจัญญายตนฌานยังต้องอาศัยกำลังสมาธิอยู่ ถ้าไม่มีกำลังสมาธิจะไม่สามารถกดกำลังใจให้นิ่งสนิทอย่างนั้นได้ ตัวปล่อยวางจริง ๆ นั้น ถึงคุณไม่ใช้สมาธิแต่สภาพจิตยอมรับแล้ว อากิญจัญญายตนฌานเหมือนอย่างกับแชมป์เปี้ยนยกน้ำหนักโอลิมปิก ให้มาถือข้าวสาร ๕ กิโลกรัมนี่สบายมาก ไม่รู้สึกหนักหรอก เหมือนกับไม่มีอะไรเลย

แต่สำหรับคนที่เขาถึงในส่วนของการปล่อยวางจริง ๆ แม้แต่ข้าวสารถุงนั้นก็ไม่เอาด้วย ต่อให้เขาไม่แข็งแรง แต่เขาไม่จำเป็นต้องไปแบกอะไรนี่..ปล่อยไปหมดแล้ว

ถาม : ปีติและปัสสัทธิในสัมโพชฌงค์เกิดแล้วสืบเนื่องมาเป็นปัญญา ?
ตอบ : เมื่อเข้าถึงอารมณ์แล้วจะเห็นว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นเป็นจริง ก็เลยไม่ท้อถอย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพากเพียรไปให้ถึง จึงเป็นเครื่องช่วยในการตรัสรู้

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : พูดถึงว่าเกิดก่อนก็ได้ พอเกิดแล้วก็เข้าใจว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเป็นจริงอย่างนี้ ในเมื่อรู้ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเป็นจริงอย่างนี้เอง ส่วนที่นอกเหนือกว่านี้ก็ต้องพากเพียรทำให้ถึง ก็เท่ากับว่าปีติหรือปัสสัทธิเป็นตัวเสริมให้เราเข้าถึงพระนิพพานได้

เถรี
30-12-2012, 17:46
ถาม : เตโชกสิณจะมีผลกับคนที่ปฏิบัติให้ตัวร้อนหรือเป็นอันตรายหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่เกี่ยวกัน เพราะว่าถ้าทำได้จริงเราจะควบคุมได้ทุกอย่าง จะให้อยู่ส่วนไหนก็ได้ ต้องการให้ลุกท่วมร่างกายของเรา ถ้าอธิษฐานไว้ว่าไม่ให้ทำอันตรายกับเสื้อผ้าเผ้าผมผิวหนัง เราก็ไม่เป็นอะไร เพราะเราสั่งได้ทุกอย่าง

ถาม : ถ้าเราอธิษฐานขอให้ขับไล่สิ่งอาถรรพ์ในร่างกายออกไปได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ได้...สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเอาไปไล่เผาพวกเจ้ากรรมนายเวรเสียด้วยซ้ำไป คือเจ้ากรรมนายเวรมาเข้าแถวคอยทวง หลวงพ่อท่านโดนทวงจนเบื่อเต็มทีแล้ว ท่านจึงอธิษฐานเตโชธาตุเผาพวกนั้นจนเกลี้ยงเลย ก็คิดว่าสบายแล้ว..ต่อไปจะได้ไม่มาทวง

ปรากฏว่าพระท่านหัวเราะ ท่านบอกว่า “ไอ้ที่คุณเผาไปนั้นเป็นแค่รูป แค่ในส่วนของนามยังอยู่ เขาก็ทวงได้อยู่ดี” สรุปว่าทำไปก็เสียเวลาเปล่า

เถรี
30-12-2012, 17:50
ถาม : น้ำปานะที่เขาบอกว่าจะต้องทำให้สุกด้วยแสงอาทิตย์ ?
ตอบ : ไม่ใช่...เขาบอกว่าทำให้สุกแล้วไม่ควร คือน้ำปานะส่วนใหญ่จะคั้นจากผลไม้ ถ้าเราเอาไปต้มสุกพวกสารอาหารต่าง ๆ จะสลายไปหมด จึงมีท่านที่เข้าใจว่าในเมื่อเราไม่ต้ม ก็แปลว่าใช้ได้ เขาก็เลยเอาไปตากแดดแทน แต่ความจริงไม่ต้องหรอก เขาให้สด ๆ เลย ต้มไม่ได้ ท่านบอกแล้วว่าทำให้สุกไม่ควร

ถาม : ก็เก็บไว้ได้ไม่นานสิครับ
ตอบ : ก็ท่านไม่ได้ให้เก็บ อย่าลืมว่าปานะเป็นยาวกาลิก ถ้าเลยเที่ยงแล้วเราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะฉันแล้ว แล้วจะไปเก็บทำไม ? ถ้าให้ลูกศิษย์เก็บแล้วไม่เอามาประเคนก็อดอยู่ดี สรุปแล้วทำอย่างอาตมาสบายที่สุด น้ำเปล่าไม่จำกัดเวลา แม้กระทั่งนอนไปแล้วก็ยังได้ เพราะท่านบอกแล้วว่าเว้นน้ำเปล่ากับไม้สีฟัน ไม่อย่างนั้นแล้วแปรงฟันไม่ได้ ตื่นขึ้นมากลางดึกจะทำกรรมฐานก็ล้างหน้าแปรงฟัน เสร็จสรรพเรียบร้อยก็ดื่มน้ำสักแก้วใหญ่ ๆ นั่งกรรมฐานไป อีก ๒ ชั่วโมงก็วิ่งฉี่แทบไม่ทัน

เถรี
30-12-2012, 17:58
ถาม : เวลาถึงฌานสี่ที่เขาบอกว่าไม่มีลมหายใจ แต่ผมรู้สึกว่ายังมี ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วถ้าจะรู้เราก็สามารถรู้ได้ แต่ความละเอียดของเกินกว่าเครื่องมือวิทยาศาสตร์จะตรวจได้ เป็นลมที่ละเอียดมาก ๆ เหมือนอย่างกับเส้นเอ็นใส ๆ เล็กนิดเดียวเท่านั้น เส้นนี้ถ้าขาดก็ตายเลย แต่ด้วยความที่จิตละเอียดมากจึงจับได้ อย่างไรก็ไม่ขาด

ถาม : เขาบอกว่าเวลาถอดจิตไปจะมีสายใยเชื่อมกับร่างกายอยู่ ?
ตอบ : อันนั้นจริง ๆ ต้องบอกว่าสายแห่งความเป็นห่วง ที่ยังยึดอยู่ ยังห่วงใยร่างกายอยู่

ถาม : ถ้าไม่ห่วงใยร่างกายก็ไม่มี ?
ตอบ : ก็ตัดไปเลย เดี๋ยวจะเหมือนกับท่านลุค ท่านลุคเป็นฝรั่งไปบวชอยู่วัดท่าขนุน ท่านไปแล้วไม่ยอมกลับ ข้างบนก็เลยบรรจงถีบลงมา..!

ถาม : โดนถีบแล้วเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : เขาถีบก็อยู่ไม่ได้..ต้องกลับ โครมเดียวมารู้สึกตัวที่ข้างล่าง พอเห็นว่าร่างกายไม่ได้เรื่องก็ไม่อยากกลับ ข้างบนเขาบอกว่ายังไม่ถึงเวลา..ให้ลงไปก่อน ท่านไม่ยอมลง ในเมื่อไม่ยอมลงเขาก็ต้องบรรจงถีบให้

เถรี
30-12-2012, 18:04
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "เสี่ยตือเคยไปดูเขาตามประทีปเป็นพุทธบูชาที่วัดท่าขนุนสักครั้งแล้วหรือยัง ? ลองไปดูสักทีสิ เผื่ออาการของผู้ปรารถนาพระโพธิญาณจะกำเริบแล้วทำให้ดีกว่านั้น

ครั้งนี้เขาตะกายขึ้นไปประดับจนถึงครึ่งพระเจดีย์แล้ว อาตมาบอกว่าฝากหน่อย ช่วยขึ้นไปตามประทีปบนยอดฉัตรนั้นดวงหนึ่ง แต่ไม่มีใครทำให้ ปีก่อนตอนซ่อมพระเจดีย์ทาสีใหม่ เขาทำนั่งร้านขึ้นไป พอไปยืนสูงกว่ายอดตาลข้างศาลาอีก ถ้าไม่ใช่คนไม่กลัวตายอย่างไรก็ต้องเสียว เพราะถ่ายรูปลงมาเป็นภาพถ่ายทางอากาศหมดเลย เพิ่งจะรู้ว่าต้นตาล ๒ ต้นของวัดสูงขนาดนั้น"

เถรี
02-01-2013, 08:28
ถาม : ผมเคยนั่งเฉย ๆ แล้วนึกปัญหาธรรมให้ท่านตอบ จริง ๆ แล้วนึกอย่างนี้คำตอบที่ได้จะถูกไหมครับ ?
ตอบ : เอาไปพิสูจน์..ถ้าพิสูจน์แล้วถูกก็ถูก ถ้าพิสูจน์แล้วไม่ถูกก็แปลว่ามั่วเอง..!

ถาม : ทำอย่างไรเราถึงจะมั่นใจได้ครับว่าสิ่งที่เรารู้มาถูก ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าให้พิสูจน์ พอเราพิสูจน์ทุกครั้งแล้วเป็นไปตามนั้นทุกครั้ง ถ้าวางกำลังใจอย่างนั้นได้อีกก็จะถูกอีก

ถาม : แต่ผมใช้วิธีนี้แล้วรู้สึกดีมากเลยครับ เหมือนกับตัวหายไปแล้วใจเย็นบอกไม่ถูก ?
ตอบ : ควรจะทำไว้ เพราะถึงจะไม่ได้อะไรแต่ความเป็นกีฬาสมาธิยังคงอยู่ ขณะที่เราทรงสมาธิอยู่ รัก โลภ โกรธ หลงก็เข้ามากินไม่ได้ ในเมื่อไม่มีกิเลสมาให้แบกเราก็ไม่หนัก

เถรี
02-01-2013, 08:34
ถาม : ถ้าเราทำอภิญญาให้คล่อง แล้วได้ยินเสียงที่ไพเราะ เขาบอกว่าเสื่อมได้ เสื่อมได้จริงหรือครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่ามีสติไหม ? ถ้าสติสัมปชัญญะทรงตัวก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าสติสัมปชัญญะไม่ทรงตัว เผลอปรุงแต่งเมื่อไรก็เจ๊งเลย เพราะว่าทันทีที่ปรุงแต่งก็แปลว่าจิตหลุดออกจากฌาน ก็จบแค่นั้นแหละ ถึงเหาะอยู่ก็ร่วงเดี๋ยวนั้น..!

ถาม : ไม่ใช่ค่อย ๆ เหาะลงหรือครับ ?
ตอบ : ในเมื่อเสื่อมแล้วจะไปบังคับได้อย่างไร ? แบบเดียวกับฤๅษีที่เหาะผ่านสวนอุทยานของพระราชา ไปเจอบรรดานางสนมกำลังเล่นน้ำอยู่ก็ตกพลั่กเลย..!

อย่างป่าอิสิปตนะ อิสิก็คือฤๅษี ปตนะคือในความตก อิสิปตนมฤคทายวัน ก็คือป่าสวนกวางที่ฤๅษีตก คาดว่าตรงนั้นในอดีตน่าจะเป็นที่ตั้งของเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พวกฤๅษีพอเหาะผ่านเทวดาเขาไม่ยอมเขาจึงสอยลงมาหมด..!

เถรี
02-01-2013, 08:39
ถาม : พระท่านเปล่งฉัพพรรณรังสีอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : สามารถทำได้ตลอดเวลาหรือเฉพาะกิจก็ได้ ฉะนั้น..ต้องดูว่าท่านจะสงเคราะห์อย่างไร ปกติแล้วเหมือนอย่างกับเราไปเชื่อมกระแส ถ้าเรานึกถึงเมื่อไรพระองค์ท่านก็ส่งมาให้ เพราะฉะนั้น..รีบ ๆ ต่อสายเชื่อมไว้ อย่าปล่อยให้หลุด

ถาม : ยากครับ ทำไปเดี๋ยวก็มีเรื่องมาทำให้ลืม ?
ตอบ : รู้ตัวก็เริ่มทำใหม่ ลืมพระไม่อันตรายเท่าไรหรอก ถ้าลืมลูกลืมเมียนี่ถึงตาย..!

เถรี
02-01-2013, 08:51
ถาม : ทรงฌานหนึ่งนี่ยังพูดคุยได้ไหมครับ ?
ตอบ : ฌานไหนก็คุยได้ถ้าเป็นฌานใช้งาน คนที่ทำได้เขาใช้กันจนเป็นปกติอยู่แล้ว ต้องอาศัยเจโตปริยญาณไปดูกำลังใจท่านทั้งหลายเหล่านั้น เราจะเห็นว่าสภาพจิตของท่านทรงอยู่ในระดับไหน ไม่ดูตรงจุดนี้ก็ได้แต่ต้องทำให้ถึงเอง ถ้าทำให้ถึงเองก็จะยืนยันว่าคุยได้หรือไม่ได้

เถรี
02-01-2013, 09:01
ถาม : ผมได้เช่าวัตถุมงคลที่เขาลงหนังสือพระว่ายิงไม่ออก ก่อนเช่าผมก็ถามว่าทดลองแล้วหรือยัง ? เขาตอบว่าทดสอบหมดแล้ว ผมเช่าแล้วทำการทดสอบปรากฏว่ายิงออกทุกนัด วัตถุมงคลพังเสียหายหมด ปัจจุบันผมไม่อยากทดสอบแล้ว แต่มาสะสมวัตถุมงคลของพระเกจิอาจารย์ที่ท่านมรณภาพแล้วไม่เน่าหรือกลายเป็นพระธาตุ เลยคิดว่าท่านปฏิบัติแล้วพิสูจน์ให้เห็นว่าท่านได้จริง ผมอยากทราบความเห็นของท่านว่าการทดสอบวัตถุมงคลและประสบการณ์ของท่าน มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้และพระเกจิอาจารย์ที่ศพไม่เน่าอย่างไรครับ ?

ตอบ : ขอบอกว่าสะสมแบบนี้ก็เจ๊งเหมือนเดิม..! วัตถุมงคลเหมือนกับเครื่องส่ง จะส่งพลังงานอยู่ตลอดเวลา ใจของเราที่เป็นเครื่องรับต้องเปิดรับด้วยความเคารพ พลังงานนั้นถึงจะก่อให้เกิดผล การที่เราทดสอบแปลว่าขาดความเชื่อมั่น ขาดความเคารพ มีเท่าไรก็พังหมด..!

ลำดับต่อมาก็คือพระเกจิอาจารย์หลายต่อหลายรูป แม้กระทั่งหลวงพ่อวัดท่าซุงเอง ท่านบอกว่าท่านทำวัตถุมงคลให้คงกระพันไม่ได้ เพราะลูกศิษย์ของท่านแต่ละคนแสบมาก ถ้าทำวัตถุมงคลพวกหนังเหนียวออกมามีหวังไปเป็นโจรกันหมด สายของหลวงพ่อฤๅษีท่านจึงเน้นในเรื่องลาภเป็นหลัก ส่วนอื่นถือว่าเป็นของแถมเท่านั้น

ส่วนในเรื่องของพระเกจิอาจารย์ที่มรณภาพแล้วไม่เน่าไม่สามารถยืนยันผลการปฏิบัติได้ เพราะว่าการที่ศพไม่เน่านั้นเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน ประการแรกคือท่านอธิษฐานทิ้งเอาไว้ให้ ประการที่สอง คือ กินว่านยาบางอย่างซึ่งรักษาสภาพร่างกายไว้ได้ ประการที่สาม คือ เสกข้าวกินด้วยคาถาบางอย่างเป็นประจำ ตายไปก็ไม่เน่าเหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าคุณทำอย่างนี้ก็คงเหมือนเดิม คือเสียของเปล่า

ถ้าใครอยากตายแล้วศพไม่เน่าให้ทำตั้งแต่วันนี้ ก็คือก่อนกินข้าวให้เสกด้วยพระอภิธรรม ๗ บท อันนี้หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่าพระสั่งให้ท่านทำเอง เพื่อรักษาสภาพสังขารร่างกายไว้ให้ลูกหลาน

เถรี
02-01-2013, 09:03
ถาม : คาถาว่าอย่างไรครับ ?
ตอบ กุสลา ธัมมาฯ ไปยันจบนั่นแหละ ถ้าใช้คำย่อถือว่าขี้เกียจเกินไป

ถาม : แล้วท่านจะทำไหมครับ ?
ตอบ : ไม่รู้จะสวดไปทำไม เพราะตั้งใจแล้วว่าสามวันจะให้เน่าเละเลย ไม่อย่างนั้นแล้วคนจะยึดแต่ร่างกาย ไม่ใช่แต่เน่าเละเฉย ๆ นะ กระดูกก็จะให้ผุด้วย ไม่ให้เหลืออะไรเลย..!

เถรี
02-01-2013, 09:04
ถาม : ที่บอกว่า ช่วงพรรษาแล้วพญานาคท่านจำศีลเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็แค่ตั้งใจนอนเท่านั้นเอง ลักษณะที่เรียกว่าจำศีล อย่าลืมว่าเขาทรงฌานนะ อาการจำศีลเป็นการทรงฌานอย่างหนึ่ง ถ้าไม่ได้ระยะเวลาที่ต้องการเขาก็ไม่ตื่น

เถรี
02-01-2013, 09:09
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อตอนที่รับสังฆทานอยู่ที่บ้านอนุสาวรีย์ใหม่ ๆ มีอาเสี่ยชินวัตรท่านหนึ่งปวารณาไว้ว่า ให้ก่อสร้างได้ตามสบาย สิ้นปีเคลียร์หนี้ให้ทุกอย่าง นาน ๆ เขาก็แวะมาเยี่ยมที วันนั้นแกมาแล้วก็บ่น “หลวงพี่มาไม่โทรบอกผมเลย จะได้มีโอกาสทำบุญ หลวงพี่ขาดเงินเท่าไรครับ ?”

อาตมาบอกไปว่า “ขาดเท่าไร เอ็งไม่ต้องสนใจหรอก เอ็งมีในกระเป๋าเท่าไรเอามาแค่นั้นก็พอ” เขาเทกระเป๋ามาให้ มีอยู่สี่แสนกว่าบาท ขอคืนเป็นค่าน้ำมันไปสองพัน เขาบอกว่าเพิ่งไปจ่ายค่าแรงคนงานมา ไม่อย่างนั้นจะเหลือเยอะกว่านี้

บุคคลผู้นี้บูชาบูชาพระสมเด็จคำข้าวกับสมเด็จหางหมากวัดท่าซุงอย่างละแสน ๆ บาทเลย พระหลวงปู่ปานวัดบางนมโคที่ประกวดได้ที่ ๑ เขาไปตามเก็บมาในราคาสองแสนบาท ตั้งแต่นั้นมาราคาพระหลวงปู่ปานพุ่งกระฉูดเลย เขาเป็นคนแรก ๆ ที่ทุ่มขนาดนั้น มีอยู่หลายสิบองค์ เลี่ยมทองทั้งนั้น เขาถามว่าหลวงพี่อยากได้องค์ไหนขอได้เลยผมจะให้ อาตมาบอกว่าไม่ชอบขอ และก็มีแล้วด้วย ไม่ได้ตื่นเต้น พระหลวงปู่ปานนี่ได้มาเยอะ แต่ว่าท่านก็ไปของท่านเรื่อย ไม่ค่อยจะอยู่ด้วย"

เถรี
02-01-2013, 09:13
http://grutaguu.files.wordpress.com/2011/09/d12.jpg

พระอาจารย์กล่าวว่า "รูปนี่แหละ เป็นรูปที่อาตมาใช้เพ่งกสิณอยู่ ๓ ปีเต็ม ๆ พอมาฝึกมโนมยิทธิพระองค์ท่านยืนได้ถึงได้เชื่อ จากนั่งกลายเป็นยืน อธิษฐานขอว่าถ้าพระองค์ท่านเสด็จมาโปรดจริง ขอให้ประทับยืน พระองค์ท่านก็ประทับยืนขึ้นเฉยเลย ตอนนั้นรู้สึกพองทั้งตัวเหมือนจะลอย ไม่นึกว่าจะมีโอกาสเห็นอย่างนั้น"

ถาม : ชัดเหมือนตาเห็นเลยหรือครับ ?
ตอบ : บอกไม่ถูก ตอนนั้นรู้สึกว่าชัดจริง ๆ บรรยายได้ทุกอย่างเลย แต่ถ้าถามตอนนี้ว่าชัดเหมือนตาเห็นหรือเปล่าก็บอกไม่ได้ คืออะไรที่รู้แล้วจะยุ่ง ถ้าไม่รู้จะชัดมากเลย เพราะฉะนั้น..ฝึกแบบโง่ ๆ จะดีที่สุด

เถรี
02-01-2013, 09:23
ถาม : พวกใช้สมาธิทำวิชาไสยศาสตร์ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วไม่ต้องมากหรอก แค่อุปจารสมาธิปลาย ๆ ก็เกิดผลแล้ว แต่ถ้าระดับตะปูเข้าท้องนั้นต้องทรงฌานได้ พวกนี้พอทำแล้วสมาธิจะเสื่อม เนื่องจากว่าเป็นโลกียฌาน พอรวบรวมความมั่นใจได้ใหม่ก็ทำได้อีก สมาธิเขาก็เลยประเภทไป ๆ มา ๆ เสื่อม ๆ หาย ๆ

ถาม : แล้วเป็นการละเมิดศีล ?
ตอบ : ตอนที่เขาทำไม่ได้ทำผิดศีลอะไร ตอนที่เขาทำอยู่กำลังใจทรงตัวเพราะว่าความชำนาญที่เป็นวสี แค่ตั้งใจก็เป็นแล้ว แต่พอทำแล้วโทษที่เกิดขึ้นสมาธิก็เสื่อม พอสร้างความมั่นใจขึ้นมาใหม่ก็ทรงได้อีก ท่านทั้งหลายเหล่านี้เวลาตายมักจะเป็นมหิทธิกาเปรต

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เขาแปลงวัตถุเป็นพลังงาน เมื่อแปลงวัตถุเป็นพลังงานเสร็จแล้วตั้งใจให้ไปไหนก็แค่คิดให้ไปตรงนั้น เรื่องนี้วิทยาศาสตร์เขาจะไม่แปลกใจ เพราะเขายืนยันว่าแกนกลางของวัตถุทุกชนิดเป็นพลังงาน พอเข้าไปอยู่ในร่างกายของคนอื่นก็คืนสภาพเป็นวัตถุตามเดิม คราวนี้ก็เป็นเรื่อง

ถาม : แล้วการถอนของต้องใช้กำลังระดับไหนครับ ?
ตอบ : ถ้าทรงฌานได้ยิ่งดี แต่ต้องรู้วิธีดึงมาอยู่ที่จุดเดียวแล้วก็บังคับให้ออกมา สมัยก่อนอาจารย์โสมทัต เป็นฆราวาสที่ถอนของพวกนี้เก่งมากเลย เวลา อ.โสมทัตเรียกของพวกนี้ออกมานี่ จะโผล่มาเห็น ๆ ให้เขาใช้คีมดึงแล้วกระชากออกมาเลย ท่านอยากให้คนเขารู้ว่าเป็นของจริง คนไหนขี้สงสัยท่านจะส่งคีมให้เขาหนีบดึงออกมากับมือเลย

เถรี
02-01-2013, 09:33
ถาม : นิมิตก่อนตาย ?
ตอบ : ดูว่ากรรมนิมิตเป็นอย่างไร ถ้าเห็นไฟลุกท่วมฟ้าก็ไปนรกแน่ ๆ ถ้าเห็นดินแดนรกร้างแห้งแล้งก็ไปเป็นเปรตเป็นอสุรกาย ถ้าเห็นป่าไปเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ถ้าเห็นชิ้นเนื้อก็มักจะไปเกิดเป็นคน ถ้าเห็นเทวดาอยู่หน้า พรหมอยู่กลาง พระอยู่หลังก็ไปเกิดเป็นเทวดา

ถ้าเห็นพรหมอยู่หน้า เทวดาอยู่กลาง พระอยู่หลัง ก็ไปเกิดเป็นพรหม ถ้าเห็นพระอยู่หน้า ไม่ต้องสนใจอะไรแล้ว ตามท่านไปเลย

ถาม : แล้วโดนหลอกได้ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นนิมิตก่อนตาย หลอกกันไม่ได้หรอก เป็นสภาพจิต สภาพกรรม สภาพบุญที่แท้จริงที่เราทำมา เหมือนอย่างกับเปิดช่องให้รู้ว่าเราจะไปไหน

เถรี
02-01-2013, 09:41
ถาม : ก่อนพระพุทธเจ้าท่านปรินิพพาน พระองค์ท่านแสดงการเข้าสมาบัติระดับต่าง ๆ ?
ตอบ : พระองค์ท่านไม่ได้แสดง เป็นการกระทำที่เป็นปกติ แต่พระอนุรุทธท่านทราบแล้วบอกคนอื่น คนอื่นเขาสงสัยว่าทำไมพระพุทธเจ้าเงียบไป ปรินิพพานแล้วหรือยัง พระอนุรุทธจึงต้องแจ้งให้ทราบเป็นระยะว่าตอนนี้พระพุทธเจ้าอยู่ในสมาธิระดับไหน แค่บอกให้คนอื่นรู้จะได้หายกังวลแค่นั้น

ถาม : เพื่อประโยชน์อะไรครับ ?
ตอบ : จะไปพระนิพพานเขาก็ทำอย่างนั้นทุกคน

ถาม : อย่างนั้นเป็นเพราะพุทธานุภาพหรือเพราะความสามารถของพระอนุรุทธครับ ?
ตอบ : ความสามารถของพระอนุรุทธ

ถาม : แล้วคนที่ไม่ได้ฌานสูงละครับ ?
ตอบ : ไม่ได้ฌานสูงก็ไปพระนิพพานไม่ได้ เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่ว่าไม่ได้ฌานสูงไปพระนิพพานไม่ได้อย่างเดียว ไม่ได้ฌานสูงก็ตัดกิเลสระดับสูงไม่ได้ด้วย แล้วจะไปอย่างไร ?

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ต่ำสุดต้องฌานสี่คล่องตัวถึงจะไปได้ โดยเฉพาะการตัดกิเลสในระดับของพระอนาคามีและพระอรหันต์ ถ้ากำลังไม่ถึงฌานสี่ตัดไม่ได้หรอก
เพราะฉะนั้น..ต่อให้เป็นพระอรหันต์สุกขวิปัสสโกท่านก็ทรงฌานสี่เป็นปกติ

เถรี
02-01-2013, 09:44
ถาม : อย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนชาวบ้านทั่ว ๆไป ให้คิดตัดร่างกายช่วงตื่นใหม่ ๆ กับก่อนหลับ แล้วท่านบอกว่าคนเหล่านั้นไปพระนิพพานได้ นั่นไปได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : ถ้าทรงฌานไม่ได้ก็ไปไม่ได้สักคน การจะตัดกิเลสระดับอนาคามีหรืออรหันต์ต้องได้เท่าฌานสี่ ถ้าไม่ได้ก็ตัดกิเลสไม่ไหว แต่คราวนี้สายสุกขวิปัสสโกบางทีทรงฌานได้ไม่รู้ตัว คือตัวเองพิจารณาธรรมไปเรื่อย ๆ แล้วก็ตัดกิเลสได้ แต่ความจริงตอนพิจารณาธรรมจิตจะนิ่งดิ่งลึกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเป็นฌานในระดับนั้นถึงจะตัดได้ แปลว่าท่านทรงฌานได้แต่บางท่านก็ไม่รู้ว่าตัวเองทรงฌานได้ บางทีกว่าจะรู้ก็ทรงฌานซะเต็ม ๆ แล้ว ตัดกิเลสไปแล้วยังไม่รู้เลย

คราวนี้บุคคลที่จะไปพระนิพพาน ไม่จำเป็นที่จะต้องรู้เห็นพระนิพพานในลักษณะของมโนมยิทธิหรือในลักษณะทิพจักขุญาณของอภิญญา หรือว่าไปทั้งตัวแบบอภิญญาใหญ่ บุคคลที่ทำถึงกระแสพระนิพพาน ความสงบเย็นจากการปราศจากกิเลสจะบ่งชัดอยู่ในใจตนเอง ท่านทั้งหลายเหล่านี้ถึงได้รู้ว่านิพพานมีจริง พูดง่าย ๆ แล้วคือสำหรับท่านแล้ว ไม่ว่าตรงไหนก็คือนิพพาน กิเลสหมดแล้วนี่ ถ้ากิเลสไม่หมดก็ยังเลือกอยู่ ถ้ากิเลสหมดแล้วตรงไหนก็นิพพาน เพราะฉะนั้นท่านมั่นใจว่าตรงไหนก็นิพพาน

เถรี
02-01-2013, 09:51
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนวิชาลูกเสือจะยากตรงการยังชีพในป่า โดยเฉพาะการก่อไฟให้ใช้ไม้ขีดไม่เกิน ๓ ก้าน สมัยนี้มีไฟแช็กแก๊ส เขาไม่กลัวกันหรอก

สมัยนั้นเขาบังคับใช้ไม้ขีดไม่เกิน ๓ ก้าน แล้วต้องหาวิธีก่อไฟแบบอื่น วิธีก่อไฟที่ง่าย ๆ เลยก็คือเอาไม้สีกันอย่างหนึ่ง กับใช้เชือกทำลักษณะเป็นคันธนูแล้วก็ปั่น แต่ต้องปั่นเป็น อย่างไม้ที่สีกันนั้นจริง ๆ ไม่ใช่สีหรอก เป็นการถูแล้วอัดแรง ๆ ประมาณ ๒๐ วินาทีไฟก็ติดแล้ว แต่ต้องรู้วิธี รู้มุมรู้เหลี่ยม

อันดับแรกต้องเอาไม้ไผ่แห้งที่ไม่อ่อนและไม่แก่เกินไป เอามาขูดให้เป็นขุยให้ได้ขยุ้มใหญ่ ๆ แล้วเอาไม้ไผ่อีกซีกหนึ่งมาเฉาะให้เป็นรูเพื่อให้อากาศเข้าได้ แล้วเอาไปคร่อมไว้กับขุยไผ่กองนั้น แล้วเหลาไม้ไผ่อีกชิ้นหนึ่งให้เป็นเหลี่ยมค่อนข้างคม อย่าเหลาให้ลื่น เหลาให้ลื่นแล้วจะถูไม่เป็นไฟ เมื่อได้เหลี่ยมที่เหมาะได้เอามาถู ต้องทั้งแรงและเร็ว ขอยืนยันว่าไม่เกิน ๒๐ วินาทีจะเกิดสะเก็ดไฟไปติดอยู่กับขุยไผ่ที่เราขูดไว้ ให้รีบเป่า ก็จะติดเป็นเปลว ถ้าทำไม่เป็น ถูให้ตายก็ไม่ติด"

ถาม : ทำไมไม่ใช้เตโชกสิณเลยล่ะครับ ?
ตอบ : มักง่ายเกินไป กว่าจะฝึกได้มีหวังอดตายก่อน..! อาตมาเสียเวลาฝึกอยู่ตั้งหลายเดือน ฝึกจนหลังคามุ้งดำเลย ที่บ้านมีแต่ตะเกียงกระป๋อง อาตมาจะจุดตะเกียงกระป๋องไว้ในมุ้ง ถ้าแม่รู้นี่โดนตบหัวทิ่มเพราะเปลือง ก็ต้องทำเป็นขยัน ถือหนังสือไว้ด้วย แม่เขาคิดว่าอ่านหนังสือ แต่ความจริงเปล่าหรอก...กำลังเพ่งกสิณ

เถรี
02-01-2013, 10:02
ถาม : ตอนนั้นอายุเท่าไร ?
ตอบ : ตอนนั้นเพิ่งจะเรียนมัธยม

ถาม : แล้วท่านรู้วิธีการได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : อ่านตำราของหลวงพ่อวัดท่าซุงจนปรุแล้ว อุปกรณ์ที่หาง่ายที่สุดก็คือกสิณไฟนั่นแหละ เริ่มจากนั่นแล้วก็ไปกสิณน้ำ ตักน้ำได้ขันหนึ่งก็เผ่นพรวด หายเข้าไปในไร่ แอบอยู่หลังต้นมะม่วง ต้นโตขนาด ๓ - ๔ คนโอบ นั่งอยู่ข้างหลังไม่มีใครเห็นหรอก เข้าไปฝึกกสิณน้ำ

แต่ก็กลัว ๆ อยู่เหมือนกันแหละ เพราะว่าสมัยเด็ก ๆ บรรดาหลวงปู่หลวงพ่อท่านฝึกให้ลูกศิษย์ท่าน แล้วลูกศิษย์คุมนิมิตไม่เป็น เมื่อปฏิภาคนิมิตเกิดเต็มที่ น้ำท่วมมาทุกทิศทุกทางก็ตะกายบกกัน ว่ายน้ำหนี ตัวเองทำเองแท้ ๆ สั่งให้น้ำหายไปก็จบแล้ว คราวนี้พอตัวเองตะกายหนีก็กลายเป็นตะกายบก หน้าอกถลอกหมด

ถาม : แสดงว่าของเก่าท่านมีมากเลยสิครับ ?
ตอบ : เชื้อชั่วไม่ยอมตายตามมาเยอะ ตั้งแต่อายุ ๔ - ๕ ขวบตอนตกน้ำแล้ว ตอนนั้นไม่รู้ว่าทรงฌาน พอร่วงตูมลงน้ำไป น้ำปิดหูก็เงียบไป ความเย็นของน้ำกับความเงียบ ทำให้รู้สึกทันทีเลยว่า อารมณ์อย่างนี้เราเคยทำได้ จึงนั่งเงียบอยู่ใต้น้ำนั้นแหละ ดูไปก็เห็นว่าความสงบ สุข เยือกเย็นบอกไม่ถูกอย่างนี้ เราเคยทำได้มานานแสนนานแล้ว

นั่งพิจารณาเพลินอยู่ใต้น้ำตั้งสิบกว่านาที ไม่รู้ว่าหายใจได้อย่างไร หรือว่าสมาธิลึกจนไม่หายใจก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนที่พี่มุกดาควานเจอนี่เขาจะช็อกตายอยู่แล้ว เพราะลงไปนานขนาดนั้นน่าจะตายไปแล้ว..!

เถรี
02-01-2013, 10:06
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ต้องขนาดนั้นนะ ใจนิ่งเปรี๊ยะเลย ไม่ได้คิดถึงความตาย ไม่ได้คิดถึงความกลัว ในเมื่อไม่ได้คิดอะไรกำลังใจต้องทำได้ขนาดทรงฌาน ฉะนั้นสมัยก่อนที่เขาจะออกรบได้ กำลังใจเขาต้องได้ กำลังใจไม่ได้ไปรบก็ตายเปล่า

ถาม : แล้วคนที่กำลังใจไม่ได้ แต่ไปออกรบมีเยอะไหมคะ ?
ตอบ : เยอะ...ก็ไม่มีอะไร ถึงเวลาตายเขาก็ลากมาสุม ๆ กันแล้วก็เผา

ถาม : แล้วอย่างนั้นเขาจะเกาะพระก่อนตายได้ไหมคะ ?
ตอบ : ก่อนที่จะไปเขาปลุกพระไม่รู้กี่รอบแล้ว กำลังใจเกาะอยู่แล้วละ

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ต้องมีทุกคน แต่ถ้าเป็นแม่ทัพที่มีความสามารถจริง ๆ ในตำราพิชัยสงครามมีวิชาหนึ่งที่เรียกว่าแต่งคน ก็คือสามารถเสกว่านยาหรือน้ำมันให้ลูกน้องกินหรือทาแล้วเหนียวด้วย ถ้าได้แม่ทัพแบบนั้นก็รอด ถ้าไม่ได้แม่ทัพแบบนั้นก็เอาศพลูกน้องถมเข้าไป

ถาม : แล้วสมัยนั้นเขามีพระเครื่องติดตัวกันไม่ใช่หรือครับ ?
ตอบ : สมัยก่อนไม่นิยมพระเครื่อง เพราะถือว่าเป็นของสูง เขาจะใช้พวกตะกรุด พิสมร พวกเชือกถัก

เถรี
02-01-2013, 20:14
ถาม : แล้วพิสมรคืออะไรคะ ?
ตอบ : เครื่องรางชนิดหนึ่ง ลักษณะเหมือนกับตะกรุดนี่แหละ แต่เขาพับเป็นเหลี่ยม เขาจะพับเป็นสามเหลี่ยมหรือสี่เหลี่ยมเพื่อเอาผ้าผูกมัดกับแขนหรือกับหัวได้ ถ้าเป็นตะกรุดเขาก็จะม้วนกลม ๆ แล้วร้อยเชือก

เอาอย่างผู้การประจักษ์ก็หมดเรื่อง ผู้การเอาเหรียญเอกราชของหลวงปู่ปานเย็บรอบเสื้อกั๊กเลย ไม่รู้ว่ากี่ร้อยเหรียญ ถ้าไม่แม่นจริงยิงไม่รอดเหรียญหรอก ติดเหรียญหมด

ผู้การประจักษ์ สว่างจิต นิมนต์หลวงพ่อวัดท่าซุงไปเจิมรถถังของ ม.พล.๒ กองพลทหารม้าที่ ๒ ที่ปราจีนบุรี รถถังของ ม.พล.๒ ติดธงมหาพิชัยสงครามทุกคัน

เถรี
02-01-2013, 21:44
ถาม : ท่านอินทกะมีหน้าที่อะไร ?
ตอบ : หน้าที่ดูแลรักษาโลกเป็นส่วนใหญ่ ถ้ามีสถานที่ที่สำคัญมาก ๆ ท่านก็ไปดูแลตรงนั้น ถึงเวลาที่เหมาะสมขึ้นมา เมื่อท่านท้าวมหาราชท่านจุติ ก็คัดเลือกจากอินทกะขึ้นมาเป็นท้าวมหาราชแทน

ถ้าอยากจะเป็น อันดับแรกทรงสมาธิให้ได้ก่อน อย่างน้อย ๆ เอาสักปฐมฌาน แล้วก็ตั้งความหวังไว้ว่าเราจะไปเกิดที่นั่น ตั้งใจปักมั่น อธิษฐานเลยว่าจะไปเกิดตรงนั้น ถ้าทรงฌานไม่ได้ ชั้นจาตุมหาราชเขาไม่รับ ชั้นจาตุมหาราชเขารับพวกที่ทรงฌานได้ แล้วก็ลืมเข้าฌาน แต่เราทรงฌานแล้วอธิษฐานบารมีช่วย ขอไปเกิดตรงนั้น แม้เป็นกำลังของพรหม แต่เราตั้งใจจะไปเกิดตรงนั้นก็จะได้ไปเกิดตรงนั้น

ถาม : ถ้าตั้งใจเกิดเป็นยักษ์ ?
ตอบ : ตั้งใจไปเลยว่าจะเอาอะไร หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไปเจอภุมมเทวดาเป็นพระอนาคามี ถามท่านว่าทำไมไม่ไปอยู่สุทธาวาสพรหม ท่านมีสิทธิ์อยู่สูงขนาดนั้น ทำไมอยู่แค่ภุมมเทวดา ท่านบอกว่าเพื่อนของท่านอยู่ที่นี่ ก่อนตายคิดอยู่อย่างเดียวว่าจะไปหาเพื่อน ภุมมเทวดาท่านนี้ใครเล่นด้วยไม่ได้เลยเพราะว่าศักดานุภาพขนาดพระอนาคามี เชื่อว่าไม่มีใครหน้าไหนต้านติด

ท่านระดับนั้นแล้วลงมาเป็นพระภูมิรักษาพื้นที่ แต่ว่าเทวดาผู้ใหญ่ระดับท้าวมหาราชท่านไม่เรียกใช้งานหรอก เก็บไว้เป็นปูชนียบุคคล

เถรี
03-01-2013, 20:52
ถาม : สัตว์เข้าสมาธิได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้...เท่าที่เจอมาก็มีหมา แต่สัตว์อื่นก็น่าจะทำได้ เพราะสภาพของเขาก็คือสัตว์เดรัจฉานเหมือนกัน แต่ที่เจอง่ายที่สุดคือหมา หมาที่อาตมาเจอนั้นสุดยอดขนาดทรงฌานตั้งเวลาได้ นึกจะเข้าสมาธิเมื่อไร จะออกสมาธิเมื่อไร เขาตั้งเวลาได้เลย ฉะนั้น..โปรดทราบ ถ้าเรายังทำไม่ได้นี่อายหมาเลย..!

เถรี
03-01-2013, 20:55
ถาม : สัตว์เข้าถึงมรรคผลได้ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ได้..ไม่ใช่วิสัยของเขา เราลองนึกถึงเด็ก ๆ สิ ขนาดเด็กรู้ภาษาแล้วเรายังสอนยากสอนเย็น ถ้าสัตว์ที่ไม่ใช่พวกที่สร้างบารมีมาโดยตรง จะให้เขามาทำความดี ย่อมไม่ใช่วิสัยของเขา เรื่องของสัตว์เดรัจฉาน เก่งขนาดไหนก็เข้าไม่ถึงมรรคผล จะมีพวกเก่งเกินมนุษย์อยู่ไม่กี่ตัวหรอก

เถรี
03-01-2013, 21:13
ถาม : บางท่านเขาบอกว่าฌานลึกเป็นสมาธิแบบโง่ ๆ แต่ในขณะนั้นทำไมรู้ทุกอย่าง ?
ตอบ : ก็คนพูดเป็นคนประเภทโง่ ๆ..! ฌานมี ๒ อย่าง คือ ฌานที่เกิดจากการพิจารณาไปเรื่อย ๆ และฌานที่เกิดจากกำลังในการฝึกอย่างเดียว พอเข้าถึงสมาธิ ยิ่งเป็นฌาน ๔ ด้วยแล้ว ความละเอียดจะเกินการปรุงแต่ง ในเมื่อเกินการปรุงแต่ง จะนึกคิดอะไรไม่ได้ ต้องถอยออกมาก่อน แต่ถ้าสามารถทำในลักษณะฌานใช้งานได้ ก็สามารถที่จะคิดและรับรู้ได้ทุกอย่าง

ฉะนั้น..คนพูดยังทำไม่ถึงตรงจุดนี้ เลยเหมาเอาว่าคิดอะไรไม่ได้ โง่ไปเฉย ๆ แต่ความจริงไม่ใช่โง่..ฉลาดสุดยอดเลย เพราะเกินรัก โลภ โกรธ หลงไปแล้ว ไม่สามารถจะปรุงแต่งรัก โลภ โกรธ หลงได้ เพียงแต่มีอันตรายตรงที่ว่า ถ้าเราถอยออกมา รัก โลภ โกรธ หลงก็เกิดใหม่อีก ถ้าไม่ระวังจะโดนงัดหงายท้อง..!

มีทางเดียวคือพยายามรักษาประคับประคองอารมณ์สมาธิให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ พอความเคยชินที่กดกิเลสไปนาน ๆ กิเลสเกิดไม่ได้ ถ้าระยะเวลานานพอ กิเลสจะหมดไปเอง โบราณเขาว่าเหมือนเอาหินทับหญ้า ถ้าทับไปนานพอ หญ้าก็ตายเอง

เถรี
03-01-2013, 21:18
ถาม : การที่เราจับภาพพระ ก็ทรงฌานได้ ?
ตอบ :ได้...แต่พวกเกาะตำราเขาไม่เชื่อ พวกเกาะตำราบอกว่าอนุสติทรงฌานไม่ได้ เพราะเขาทำไม่เป็น คิดว่าคาดว่าอย่างเดียว

ถาม : จับภาพพระเป็นพุทธานุสติและเป็นกสิณด้วย ?
ตอบ : เป็น....คนอื่นคิดว่าเป็นพุทธานุสติอย่างเดียว เพราะเขาทำไม่เป็น

ถาม : ธัมมานุสตินึกอย่างไร ?
ตอบ : ให้นึกถึงว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมมีลักษณะเหมือนดอกมะลิแก้วหรือดอกมะลิทองคำลอยอยู่ตรงหน้า แล้วเราจับภาพนั้น นึกถึงภาพพระพุทธรูปแล้วมีดอกมะลิลอยจากพระโอษฐ์มาทีละดอก ๆ อย่าเผลอนะ ไม่อย่างนั้นเวลาเพลิน ๆ จะหลับไปเลย

เถรี
03-01-2013, 21:20
ถาม : สีลานุสติทำอย่างไร ?
ตอบ : เมื่อพิจารณาศีลจนอารมณ์ใจทรงตัวแล้วให้ภาวนาต่อ เมื่อภาวนาต่ออารมณ์จะเข้าเป็นฌานได้ ถ้าจะปรับสีลานุสติเป็นกสิณอีกที เราต้องนึกถึงภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าพระองค์ท่านเป็นผู้บัญญัติศีลขึ้นมา เสร็จแล้วเราก็จับภาพของพระองค์ท่านภาวนาต่อไปเลย

เถรี
03-01-2013, 21:28
ถาม : ฤๅษีอูคันตี ?
ตอบ : ความจริงฤๅษีอูคันตีท่านเป็นพระมาก่อน แต่พระวินัยบังคับ จะทำอะไรก็ไม่ถนัด ท่านจึงสึกจากความเป็นพระ แล้วบวชเป็นฤๅษีแทน คราวนี้จะทำอะไรที่พระวินัยห้ามก็ทำไป

เถรี
04-01-2013, 08:30
ถาม : สติปัฏฐาน ๔ ต้องเป็นอานาปานสติหรือไม่ ?
ตอบ : ต้องเป็นอยู่แล้ว อย่าลืมว่ามหาสติปัฏฐานสูตร เริ่มด้วยอานาปานสติ ถ้าไม่เริ่มด้วยอานาปานสติ อารมณ์ใจจะไม่ทรงตัว กรรมฐานที่ทำก็ไม่มีผล ฯลฯ..ทีฆัง วา อัสสะสันโต ทีฆัง ฯลฯ...รัสสัง วา อัสสะสันโต รัสสัง ฯลฯ หายใจเข้ายาวก็รู้ว่าหายใจเข้ายาว หายใจเข้าสั้นก็รู้ว่าหายใจเข้าสั้น ฯลฯ

มหาสติปัฏฐานสูตรเริ่มด้วยอานาปานสติ แต่ปัจจุบันนักปฏิบัติกรรมฐานสายพองยุบของเราแกล้งลืมตรงจุดนี้ ไปจับอาการพองยุบแทน สำหรับนักปฏิบัติแรกเริ่มที่ไม่มีพื้นฐานเลยจะดี แต่ดีได้แค่พักเดียว เพราะถึงเวลาสมาธิไม่มีกำลัง กิเลสตีกลับ ก็พังเหมือนเดิม ฉะนั้น..ถ้าปฏิบัติสายพองหนอยุบหนอ ต้องทำต่อเนื่องห้ามหยุดเด็ดขาด หยุดเมื่อไรกิเลสตีตายเมื่อนั้น ต้องบอกว่าของดีมีอยู่แต่ไม่ยอมใช้

เหมือนกับว่าไปสู้กับไมค์ ไทสัน มีปืนอยู่ก็ซัดเข้าไปสิ ดันทิ้งอาวุธไปต่อยมวยก็ตายคาเวที..!

เถรี
04-01-2013, 08:37
พระอาจารย์เล่าว่า "มีโยมโทรมาถามว่า สวดชัยมงคลคาถากับธรรมจักรทุกวัน แล้วเปลี่ยนมาสวดคาถาเงินล้านแทน ผลจะต่างกันหรือไม่? อาตมาก็บอกว่าต่างกัน เพราะชัยมงคลคาถากับธรรมจักร เราได้พุทธานุสติ ธัมมานุสติ ผลของการปฏิบัติก็ดีขึ้นเพราะว่าเราซักซ้อมอนุสติอยู่ทุกวัน

ส่วนคาถาเงินล้านสวดแล้วมีความคล่องตัวในความเป็นอยู่ ต่างกันอยู่เห็น ๆ แต่ถ้าเราสวดแล้วเรานึกถึงพระด้วยก็ได้พุทธานุสติด้วย แต่ก็บอกให้เขาทำทั้งสองอย่าง แบ่งเวลาเอา"

เถรี
04-01-2013, 08:51
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องตะกรุดกำลังแม่ธรณี ต้องนึกถึงยายผีป่า ยายผีป่าเอาตะกรุดกำลังแม่ธรณีไปโฆษณาว่า ตราบใดที่ตีนยังแตะพื้นอยู่ ตราบนั้นจะไม่เป็นอันตราย อาตมาเลยบอกเขาว่า เวลาคุณขับรถก็ต้องเปิดประตูเอาตีนแหย่พื้นไว้ข้างหนึ่ง..(หัวเราะ)..ดันไปสรุปอย่างนั้น สรุปแล้วมีช่องโหว่ให้เถียงได้ เขาเรียกว่าเอามะพร้าวห้าวไปขายเกาะสมุย

สมัยก่อนพื้นที่เกาะสมุยเขาปลูกมะพร้าวเป็นปกติ เวลาพ่อแม่แบ่งสมบัติให้ลูก แบ่งที่ดินให้ลูก ลูกคนไหนที่รักมากก็แบ่งที่ด้านใน ๆ ให้ ลูกคนไหนขี้เกียจก็แบ่งที่ติดทะเลไป เพราะว่าที่ติดทะเลมะพร้าวไม่ค่อยจะได้ผล เจอลมแรง เจอคลื่นบ่อย ปรากฏว่ามาระยะหลังกิจการท่องเที่ยวดีขึ้น ที่ดินติดทะเลราคาแพงหูดับเลย ที่อยู่กลาง ๆ ไม่ค่อยมีราคา ตกลงพวกขี้เกียจได้ดี ขายที่ทำรีสอร์ท ส่วนลูกคนขยันก็ทำสวนมะพร้าวต่อไป"

เถรี
04-01-2013, 09:02
ถาม : สมัยก่อนที่ไปออกรบกัน จะมีบางคนพกชายผ้าถุงแม่ไปด้วย จะมีผลหรือไม่ ?
ตอบ : มี...มีมากด้วย เสียดายปู่จอมตายไปแล้ว เพิ่งตายเมื่อ ๓ - ๔ ปีนี้เอง ปู่จอมไปรบที่เชียงตุง สมัยนั้นนอกจากหนทางทุรกันดารแล้ว โรคมาลาเรียยังมหาศาลเลย ปรากฏว่าสมเด็จพระสังฆราช (แพ) ติสสเทวมหาเถระ วัดสุทัศน์เทพวราราม ทำพระกริ่งรุ่นหนึ่ง ให้กับทหารที่ไปรบเชียงตุงโดยเฉพาะ เรียกว่าพระกริ่งเชียงตุง ให้ติดตัวไปรักษาโรค

ปู่จอมรบท่าไหนไม่รู้ ทำพระกริ่งหาย แต่มีชายผ้าถุงแม่ติดไปด้วย แกควั่นเป็นเกลียวแล้วคล้องคอไป ปรากฏว่าเพื่อน ๆ ที่ทำพระกริ่งหายเป็นมาลาเรียตั้งหลายคน แกเลยเอาชายผ้าถุงแม่มาทำน้ำมนต์กิน โรคมาลาเรียหาย ชายผ้าถุงแม่ใช้ได้ดีพอ ๆ กับพระกริ่งเลย

ความเชื่อมั่นว่าพระคุณของพ่อแม่ สามารถปกป้องคุ้มครองเราได้ โดยเฉพาะคุณของแม่ที่สละเลือดเนื้อและชีวิตให้ลูกเกิดมา ฉะนั้น..ถ้ากำลังใจเรามั่นคงจริง ๆ อย่างที่สมัยก่อนเขาออกรบ มีแค่ชายผ้าถุงแม่ก็ปลอดภัยแล้ว

เถรี
04-01-2013, 09:12
ปู่จอมไปรบเชียงตุง ขาไปนั่งรถไฟ ขากลับทางรถไฟโดนทำลาย ต้องเดินกลับ สมัยก่อนใช้คำว่าเดินนับไม้หมอนกลับมา เดินก้าวไปตามทางรถไฟ น่าเบื่อไม่มีอะไรทำ ก็เดินนับหมอนรองรางรถไฟกลับมา

บ้านปู่จอมอยู่ที่พุน้ำร้อนหินดาด หลัง ๆ แกไปเที่ยวบอกญาติโยมให้มาทำบุญกับอาตมาอยู่เรื่อย ระยะหลัง ๆ ปู่จอมเขาถือศีลกินเจ ปฏิบัติภาวนา ถึงเวลาก็ไปทำบุญที่วัดใกล้ ๆ ไป ๆ มา ๆ บอกญาติโยมว่าให้ไปทำบุญกับพระอาจารย์เล็กแทน ตกลงพระแถว ๆ ใกล้บ้านไม่ได้รับการทำบุญจากปู่จอม แกชวนลูกชวนหลานมาทำบุญที่วัดท่าขนุนหมด ต้องบอกว่า พอเริ่มรู้ก็ชักจะเลือก

ถ้าเราตั้งใจถวายเป็นสังฆทาน ก็ได้อานิสงส์เท่ากัน เพราะว่าผู้รับสังฆทานเป็นแค่ตัวแทนเท่านั้น ผู้รับจะเป็นอย่างไรก็ช่าง อานิสงส์เราก็ได้เต็ม แต่ส่วนใหญ่พอรู้แล้วมักจะเลือก

เถรี
04-01-2013, 09:29
ถาม: ของที่เราแพ้แน่ ๆ เกิดจากกรรมใช่หรือเปล่าคะ ?
ตอบ: เกิดจากกรรม..เมื่อหลายปีก่อน มีหนุ่มอยู่คนหนึ่งแพ้ผู้หญิง เข้าใกล้ผู้หญิงแล้วจะอ้วก เป็นการแพ้ที่อเนจอนาถมาก

แต่แม่อยากให้เขาเรียนจบปริญญาตรีก่อน อาการหนักขึ้นทุกวัน ท้ายสุดก็ตัดสินใจเอาปัจจัยไปถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นมัดจำไว้ ว่าจะบวชหลังจากเรียนจบแล้ว อาการถึงดีขึ้น นั่นแสดงว่าโดนบังคับ ใกล้ผู้หญิงแล้วอ้วก เกิดมาเพิ่งเคยเจออยู่รายเดียว ถ้าเป็นยุคนี้ก็ต้องใกล้ทั้งผู้หญิงผู้ชายแล้วอ้วก ไม่อย่างนั้นอาจจะเบี่ยงเบนได้..!

เถรี
04-01-2013, 09:32
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อสองวันก่อนตอนพาพระไปบิณฑบาต เดิน ๆ ไปก็บ่นว่า "กูจะไปทางไหนวะ..?" พระข้างหลังก็งง ๆ ว่าพระอาจารย์บ่นอะไร

ความจริงรถชนกันเอาตอนไหนก็ไม่รู้ แล้วเศษกระจกแตกเต็มทางเดินเลย พระมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดินตาม ท่านไม่เห็นหรอก ดังนั้นถ้าต้องการจะเห็นก่อน ต้องมีสติอยู่ทุกฝีก้าวเลย"

เถรี
04-01-2013, 09:44
ถาม : เวลาที่เราไม่พอใจกิเลส ไม่พอใจตนเอง ควรจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ถ้าแก้เฉพาะหน้านี่แก้ไม่ทันหรอก เพราะกำลังเราต่ำกว่า เราต้องรักษาสภาพจิตให้ผ่องใสเหนือกว่ากิเลสให้ได้ แปลว่าหลังจากนั้นต้องมาสั่งสมศีล สมาธิ ปัญญาให้มากกว่าไว้ ตอนนั้นไม่ทันกินหรอก ตอนนั้นแพ้แล้วแพ้เลย

เถรี
04-01-2013, 09:59
ถาม : พระไตรปิฎกบอกว่าร่างกายไม่ใช่เป็นแท่งทึบ แล้วเราเห็นร่างกายเป็นเล็ก ๆ กระจายลอย ๆ ไป ที่เราเห็นอยู่อย่างนี้ แรงยึดนี้เป็นแค่ความยึดของเราจริง ๆ ใช่ไหมคะ ?
ตอบ :จริง ๆ แล้วสภาพร่างกายที่เกาะตัวอยู่ มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลเป็นปกติ แรงยึดของเราก็คือไปยึดว่าเป็นของเราเท่านั้น

สำหรับสภาพจิตแล้ว ร่องรอยระหว่างโมเลกุลกว้างกว่าประตูอีก จิตถึงออกมาได้ทุกทิศทาง อย่างเช่นกำแพงที่เห็นว่าหนาทึบ ความจริงช่องว่างระหว่างโมเลกุลกว้างมาก แต่เนื่องจากในสภาพของความหยาบของร่างกายเรามีมากกว่า ก็เลยไม่สามารถจะเดินผ่านไปได้

ถาม : ถ้าเราคิดอย่างนั้น ?
ตอบ : ถ้าเห็นอย่างนั้นจริงเราก็สามารถเดินผ่านไปได้เลย คนอื่นก็คิดว่าเราเดินทะลุกำแพงไปได้ แค่หลักการง่าย ๆ แค่นี้เอง คือ ในสภาพของจิตที่ละเอียดกว่า ก็แค่ผ่านไปเฉย ๆ เหมือนเดินออกประตู แต่คนอื่นก็ปากอ้าตาค้างว่าทำได้อย่างไร

เถรี
05-01-2013, 09:22
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "ตกลงวันนี้ฟ้ามืดเร็วใช่ไหม ? เห็นกลัววันสิ้นโลก ๒๑:๑๒:๑๒ กัน ที่เขาบอกว่าฟ้าจะมืดสามวันสามคืน วันนี้ถือเป็นวันที่ ๑ ก็แล้วกัน

ตถาคตาโพธิสัทธา คือ ความเชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านกล่าวเอาไว้ว่าอายุพระศาสนาจะอยู่ถึง ๕,๐๐๐ ปี อย่างไรก็ต้องอยู่ถึง จะสิ้นโลกอย่างไรก็ปล่อยให้สิ้นไปเถอะ ขอให้พระพุทธศาสนาอยู่ได้ก็แล้วกัน แต่คราวนี้คนต่างชาติไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ หรือที่นับถือศาสนาพุทธก็ไม่ได้ยึดมั่นอย่างแท้จริง จึงไม่เชื่อตรงจุดนี้ แต่ที่แย่กว่านั้นคือ คนไทยที่ได้ชื่อว่านับถือพระพุทธศาสนา กลับไปตื่นข่าว พอตื่นข่าวก็ลืมไปว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสถึงหลักการกาลามสูตรเอาไว้ว่า อย่าเชื่อโดยเขาลือสืบ ๆ กันมา อย่าเชื่อเพราะมีปรากฏอยู่ในตำรา เป็นต้น

เหตุการณ์ร้ายแรงต่าง ๆ สามารถเกิดขึ้นได้ แต่ไม่ถึงขนาดสิ้นโลกหรอก โลกนี้ยังไม่เคยสิ้นมาสักครั้งหนึ่ง โดนไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก อย่างเก่งก็เป็นขี้เถ้าหายไปสัก ๑๐ - ๒๐ กว่ากิโลเมตร พอมีต้นไม้ขึ้นมาก็ทับถมกันใหม่แล้วก็หนาขึ้นมาเท่าเดิม เกิดมีมนุษย์และสัตว์แล้วก็อยู่อาศัยกันต่อไป"

เถรี
05-01-2013, 09:33
พระอาจารย์กล่าวถึงหนังสือกายคตานุสติกรรมฐานของหลวงตามหาบัวว่า "พอเปิดเจอภาพศพทำเป็นสยดสยอง ขอบอกว่านี่เป็นแค่รูปเฉย ๆ ถ้าเป็นของจริงมีกลิ่นมาด้วยประทับใจกว่านี้เยอะ

ช่วงที่อาตมาฝึกอสุภกรรมฐานก็แทบจะไม่มีศพให้ดูแล้ว แต่ยังดีว่าแถววัดท่าซุงยังมีการเผาศพแบบเมรุกลางแจ้งอยู่ ก็ยังพอพิจารณาได้บ้าง ตอนหลังพี่สุรินทร์เป็นร้อยตำรวจเอก เจ้าหน้าที่ห้องชันสูตรของสถาบันนิติเวช เห็นพระอยากฝึกกันจึงชวนไปดูที่สถาบันนิติเวช พอไปถึงก็อ้วกแตกเลย..เพราะไม่ใช่ศพเฉย ๆ แต่มีกลิ่นมาด้วยสารพัดเลย ตอนหลังจะลาไปบ่อย ๆ ก็ไม่ได้ การฝึกจึงไม่ต่อเนื่อง พอดีเจอบรรดาเพื่อนเก่าเขาช่วยสงเคราะห์ ถึงเวลาก็หามมาผ่าให้ดูทีละศพ ๆ แต่ก็ไม่ไหว...

อาตมาว่าเป็นคนใจแข็งแล้วยังทนดูไม่ค่อยได้ ที่แสบที่สุดก็คือ อาตมาชอบแบบไหนเขาก็เอามาแบบนั้นเลย ตรงใจหมด อกแบบไหน เอวแบบไหน รูปร่างแบบไหน หามมาสวยเช้งวับทั้งนั้นเลย อาตมาเห็นตรงไหนสวยเขาก็ผ่าตรงนั้นแหละ ผ่าจนเลือดนองพื้น กลิ่นตลบไปทั้งห้อง จะอ้วกแตก พอบอกว่าไม่ไหวแล้ว..เขาก็เอากลับไป ก็ได้ท่านศัลยแพทย์มือหนึ่งเหล่านี้แหละ ช่วยให้ฝึกอสุภกรรมฐานได้มากหน่อย ไม่รู้ว่าเขาไปช่วยใครบ้าง แต่อาตมาโดนเป็นปีเลย เพราะใจค่อนข้างดื้อด้าน ถึงเวลาก็เลือกดูแต่ที่สวย ๆ "

เถรี
05-01-2013, 10:08
ถาม : มีคนรู้จักเขาปุบปับตายไป ก่อนตายเขาวิจารณ์ท่านท้าวมหาพรหมที่พระสร้างว่าไม่มีพลังพระเลย มีคนดูให้เขาบอกว่าคนนี้ตายแล้วไปไม่ค่อยดี อยากทราบว่าจะช่วยเขาได้หรือไม่ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปกังวลแทนคนตาย ตอนตายนี่ช่วยยากแล้ว เรื่องของพระรัตนตรัยมีคุณอนันต์และมีโทษมหันต์ คุณอนันต์สำหรับคนที่เคารพ เชื่อฟัง ปฏิบัติตาม โทษมหันต์สำหรับคนที่ปรามาส

เถรี
05-01-2013, 10:14
ถาม: มีคนพูดว่าพระบรมธาตุเมืองนคร จะอยู่ถึงห้าพันปี จริงหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่เคยได้ยินจ้ะ พระบรมธาตุเมืองนครนี่ไม่รู้นะ แต่ถ้าเป็นที่ตั้งศพของพระมหากัสสปะ จนป่านนี้เทียนก็ยังไม่ดับเลย ตอนแรกก็คิดว่าเป็นไปได้หรือ แต่ปรากฏว่าในเรื่องของการใช้กำลังอภิญญาอธิษฐานไว้ อย่างไรก็เป็นไปได้

มีอยู่ช่วงหนึ่งอาตมาออกธุดงค์ แล้วไปเป็นระยะเวลานาน เทียนที่พกไปจะหมด เหลือเทียนเกลียวยาวประมาณคืบกว่า ๆ น่าจะโตสักประมาณเหรียญ ๕ บาท เหลือต้นสุดท้ายแล้ว คิดว่าถ้าต้นนี้หมดก็คงไม่มีจุดถวายเป็นพุทธบูชาแล้ว วันนี้เราคงจะได้จุดเป็นวันสุดท้าย แล้วก็นั่งกรรมฐานภาวนา ๕ ชั่วโมงผ่านไป ลืมตาขึ้นมาหมดไปนิดเดียว ประมาณ ๑ นิ้วฟุตเท่านั้น ไม่รู้ว่าท่านไหนช่วย คงกลัวว่าอาตมาไม่มีจะใช้ เวลา ๕ ชั่วโมงเทียนต้นเท่านั้นอย่างไรก็ไม่เหลือหรอก กลายเป็นว่าหมดไปนิดเดียว

หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยเล่าให้ฟังว่า นายแจ่ม เปาเล้ง ภาวนาคาถาพระปัจเจกพระพุทธเจ้า ประเภทภาวนาเป็นล่ำเป็นสัน บอกลูกบอกเมียว่า หลวงพ่อปานบอกว่าคาถาบทนี้ภาวนาแล้วรวย เพราะฉะนั้น..ข้าจะภาวนา พวกแกมีหน้าที่ส่งข้าวส่งน้ำเท่านั้น อย่างอื่นห้ามยุ่ง แกก็ภาวนาของแกไปเรื่อย ปรากฏว่าวันนั้นไม่รู้ว่าสมาธิทรงตัวหรือเปล่า เทียนแตกเหมือนไฟพะเนียงเลย แตกเปรี๊ยะ ๆ แต่ก็อยู่อย่างนั้นเป็นชั่วโมง ๆ ไม่หมด ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา บ้านของนายแจ่มก็เงินทองไหลมาเทมา ไม่ว่าจะปลูกผักปลูกหญ้าอะไรก็กลายเป็นของดีราคาแพงไปหมด

เถรี
05-01-2013, 10:17
วันก่อนมีโยมอยู่ท่านหนึ่ง บอกว่าตอนนี้เศรษฐกิจส่วนตัวกำลังแย่ถึงขนาดต้องอาศัยคนอื่น พยายามปฏิบัติอย่างที่ท่านว่ามาแล้วแต่ไม่เกิดผล ควรจะทำอย่างไรต่อไป อาตมาก็เลยบอกไปว่า ที่ทำแล้วไม่เกิดผลแสดงว่าทำไม่จริง ถ้าทำจริงต้องเห็นผล อย่างเรื่องของคาถาเงินล้าน ถ้าตั้งใจภาวนาจริง ๆ ภาวนาทำต่อเนื่องกันได้สัก ๒ เดือนผลจะเกิดทันที เพราะว่าทำมาด้วยตัวเองแล้ว มารู้ทีหลังว่าที่เขาทำแล้วเห็นผลช้า เพราะไปภาวนาแล้วอยากรวย กว่าสมาธิจะทรงตัว ลืมเรื่องอยากไปได้นาน

หากทุกคนสามารถวางกำลังใจไว้ได้ว่า คาถาเงินล้านเป็นของดีที่สุด เหมือนกับสมบัติวิเศษที่พ่อให้มา หน้าที่ของเราก็คือรักษาไว้ด้วยการภาวนา แล้วก็ทำของเราไปเรื่อย จะรวยไม่รวยก็ช่าง..เราจะทำ ถ้าวางกำลังใจแบบนี้ได้ผลจะเกิดเร็ว เขาถามว่าต้องทำมากเท่าไร อาตมาบอกว่าถ้าอยากให้สมาธิทรงตัวจริง ๆ ก็เอาวันละ ๑๐๘ จบไปเลย แล้วให้ทำแบบมีคุณภาพไม่ใช่ตั้งใจจ้ำ ๆ ให้จบ ๆ ไป ใช้เป็นคำภาวนา จับลมหายใจเข้าออกพร้อมกับภาวนาคาถาไปเลย

เถรี
05-01-2013, 10:20
ก่อนที่หลวงพ่อวัดท่าซุงจะได้คาถามาจนครบบท ท่านรับสังฆทานที่บ้านสายลม กรุงเทพฯ ท่านบอกว่าเดือนไหนได้ถึงสามหมื่นดีใจจนนอนไม่หลับ มีเงินไปให้เจ้าหนี้แล้ว พอได้คาถาเงินแสนมา ปรากฏว่ากฐินปีนั้นได้ยอดแสนขึ้น พอได้คาถาเงินล้านมาปีนั้นก็ขึ้นล้าน อาตมาจำได้ว่าปีสุดท้ายก่อนหลวงพ่อมรณภาพ นับเงินเฉพาะจำหน่ายวัตถุมงคลวันกฐินก็มือหงิกแล้ว

โยมหลายคนพอเอาวัตถุมงคลวัดท่าซุงมาให้ มาถามว่าทันรุ่นหลวงพ่อไหม ที่อาตมาสามารถบอกได้ทันที เพราะว่าจำหน่ายมากับมือทุกรุ่น ตอนนี้รุ่นเก่าที่สุดที่มีอยู่ก็คือพระนางพญาเนื้อชินตะกั่ว รุ่นที่ท่านทำแล้วโดนไฟลวกมือ เหลืออยู่ ๒ องค์ รุ่นห้าเหลี่ยมกับรุ่นทุ่งเศรษฐีโดนพี่ชายปล้นไปแล้ว แต่ว่ารุ่นนี้เท่าที่มีประสบการณ์ คือถ้าแขวนติดตัวเมื่อไรอยากชกหน้าชาวบ้าน..! ไม่รู้ว่าเป็นอะไร จะบู๊อย่างเดียว..ไม่กลัวใครเลย หลวงพ่อท่านบอกว่าทำไว้ตั้งใจไว้แจกงานศพตัวเอง เสกสามเดือนท่านบอกว่าหมาหอนทุกคืน แสดงว่าเทวดาท่านมาสงเคราะห์ตลอด

องค์อื่นอาตมาพกได้ไม่เป็นไร แต่ถ้าพกองค์นี้เมื่อไรอยากชกหน้าคน พูดง่าย ๆ คือ ถ้าเขาไม่มาหาเรื่องเราก็จะไปหาเขา คนอื่นจะเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่อาตมาเป็น..!

เถรี
05-01-2013, 10:23
วัตถุมงคลรุ่นเก่า ๆ หมดไปกับพวกทิดตู่เยอะ เขากับพรรคพวกเป็นประเภทรุ่นนั้นก็อยากได้ รุ่นนี้ก็อยากได้ ไปปล้นกันที่พม่าอาตมาก็กังวลว่าเงินจะไม่พอจ่ายทั้งคณะ เพราะว่าค่าใช้จ่ายเกินกว่าที่คาดไว้ อย่างเช่นตั้งเป้าไว้ว่าค่าอาหารมื้อหนึ่งไม่เกิน ๑,๐๐๐ จั๊ต แต่เกินเป็นประจำ บางทีไปเจอประเภทภัตตาคารอาหารจีน คิดแพงเป็นพิเศษ ทั้ง ๆ ที่ดูแล้วไม่น่าจะแพง โดยเฉพาะอาหารของเขา สั่งไป ๔ อย่าง ทำออกมาหน้าตาเหมือนกันหมด

เถรี
05-01-2013, 10:25
:4672615: เก็บตกเดือนธันวาคม ปี ๕๕ จบแล้วค่ะ :4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน