PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕


เถรี
12-11-2012, 10:15
ถาม : พระเจ้านั่งดินเขาว่าถ้าใครยกท่านขึ้นแท่นจะถูกฟ้าผ่า..?
ตอบ : ลองสิ..ถ้ายังไม่ได้ลองอย่าเพิ่งเชื่อ อย่างที่มัสยิดกรือเซะเขาลองจนกระทั่งต้องเชื่อ เขาบอกว่าเป็นคำสาปของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ที่ว่าถ้าพี่ชายไม่ยอมกลับไปหาพ่อแม่ที่เมืองจีน ก็ขออย่าให้ทำมัสยิดนั้นสำเร็จ

เนื่องจากพี่ชายไปแต่งกับลูกสาวเจ้าเมืองปัตตานีที่เป็นอิสลาม พี่ชายก็เลยต้องเปลี่ยนศาสนาเป็นอิสลามไปด้วย พอน้องสาวเกลี้ยกล่อมพี่ชายให้กลับไม่ได้ อ้อนวอนแล้วไม่สำเร็จ จึงตัดสินใจผูกคอตาย ก่อนตายก็แช่งเอาไว้ให้สร้างสุเหร่าไม่สำเร็จ ปรากฏว่าสร้างสุเหร่าไม่สำเร็จจริง ๆ พอขึ้นโดมเมื่อไรก็ฟ้าผ่าเมื่อนั้น ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ต้องบอกว่าสุเหร่าคงจะอยู่ที่โล่ง แล้วยอดโดมที่เป็นรูปเดือนโอบดาวก็มักจะเป็นโลหะ เป็นสายล่อฟ้าอย่างดี

แต่พอสิ้นลิ้มโต๊ะเคี่ยมไป คนอื่น ๆ อยากจะทำให้เสร็จ มาทำก็โดนฟ้าผ่าอีก ๒-๓ รอบ เขาก็เลยเข็ด ไม่กล้าทำกันต่อ นั่นเขาลองแล้ว เพราะฉะนั้นพระเจ้านั่งดินของเรา ถ้าใครอยากย้ายท่านขึ้นแท่นแล้วโดนฟ้าผ่า ก็ลองย้ายสัก ๓ ครั้งดู..!

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เป็นไปไม่ได้ แบบเดียวกับพระที่วัดท่าขนุน มีพระพุทธรูปหยกอยู่องค์หนึ่ง แกะจากหยกขาวตันทั้งแท่ง หน้าตักประมาณ ๓๐ นิ้ว พร้อมฐานบัว ลองนึกดูว่าน้ำหนักเท่าไร ? ปกติต้องใช้รถยกกัน แต่ตอนนั้นวัดท่าขนุนไม่มีรถยก ก็เลยต้องใช้วิธีอธิษฐานขอท่าน แล้วเอาพระจำนวน ๘ รูปยกท่านไป แต่พอตั้งเสร็จแล้วยกไม่ขึ้น เพราะว่าหยกก็คือหิน หินน้ำหนักเป็นตัน ๆ ปกติแค่ ๘ คนก็ยกไม่ไหวอยู่แล้ว แต่นี่ยกไหว ตั้งเข้าที่เสร็จสรรพเรียบแล้วจนป่านนี้ยังไม่มีใครขยับท่านได้เลย คาดว่าการย้ายครั้งใหม่คงต้องอาศัยบารมีรถยก..!

เถรี
12-11-2012, 10:24
ความจริงแล้วพระหยกองค์นี้เขาจะเอาไปถวายวัดวังก์วิเวการาม ของหลวงพ่ออุตตมะ เจตนาของผู้สร้างก็คือ ถวายไว้เป็นพระที่รักษาประเทศไทยทั้ง ๔ ทิศ ทางทิศตะวันตกเขาตั้งใจไปถวายไว้ที่วัดหลวงพ่ออุตตมะ แต่พอมาถึงวัดท่าขนุน อยู่ ๆ ก็เลี้ยวเข้ามาเฉยเลย สอบถามไปสอบถามมา เจอสังขารหลวงปู่สายมรณภาพแล้วไม่เน่าด้วย เขาจึงตัดสินใจถวายไว้ที่วัดท่าขนุน

ทางทิศใต้อาตมาลงไปเจอแล้ว อยู่ที่วัดตุยง (วัดมุจลินทวาปีวิหาร) ของหลวงปู่ดำ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี แต่ของทางเหนือกับอีสานไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน เพราะยังไม่เจอ

แต่พระหยกองค์ของวัดท่าขนุนใหญ่กว่าเป็นครึ่งเลย องค์อื่นเขาแกะเป็นพระพุทธรูปสมัยเชียงแสน หน้าตักอยู่ที่ ๑๕ - ๑๖ นิ้วเท่านั้น ส่วนของท่าขนุนหน้าตัก ๓๐ นิ้ว แล้วนึกดูว่าฐานต้องใหญ่เท่าไร ? ตอนนี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของวัด ก็เลยอัญเชิญท่านตั้งเอาไว้ให้คนกราบไหว้ในศาลเจ้าที่

เถรี
12-11-2012, 10:36
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยแนะนำว่า การสร้างศาลเจ้าที่อย่าสร้างให้เสียประโยชน์เปล่า ๆ สร้างให้หลังใหญ่เข้าไว้ พออัญเชิญเจ้าที่ท่านเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ขออนุญาตใช้เป็นกุฏิพระไปด้วย โดยเฉพาะในศาลเจ้าที่ ให้อัญเชิญพระพุทธรูปเข้าไปตั้ง โดยตั้งใจว่าทุกครั้งที่เรากราบพระ เท่ากับเราแสดงความเคารพเจ้าที่ไปด้วย ได้ประโยชน์ด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย เราเองก็ได้กราบพระเป็นอนุสติ เจ้าที่ท่านก็พอใจที่เราแสดงความเคารพ

อาตมาอยู่ที่เกาะพระฤๅษีก็สร้างศาล ๘ เหลี่ยมหลังเบ้อเร่อ พอไปอยู่ที่วัดท่าขนุนก็สร้างศาลเป็นกุฏิ เพราะฉะนั้นเรื่องบางอย่าง ถ้ามีครูบาอาจารย์ท่านสอนให้เราจัดการ ของยากก็กลายเป็นของง่าย ทำแล้วก็ได้ประโยชน์มากด้วย

เถรี
12-11-2012, 11:30
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในส่วนของการสร้างพระพุทธรูปทองคำต้องวางโครงการระยะยาว เพราะว่าถ้าไปรอตอนนั้นบางทีอาจจะทำไม่ไหว ต้องดำเนินการล่วงหน้าจะได้ไม่เครียด

ทองคำที่หล่อพระต้องใช้ประมาณ ๔๐ กิโลกรัม ทอง ๔๐ กิโลกรัมนี่เททิ้งไปเป็นครึ่ง เพราะว่าเขาต้องต่อท่อชนวน เพื่อจะให้น้ำทองแล่นถึงกันให้ทั่ว ถ้าไม่มีชนวนก็จะเป็นฟองอากาศ กลวงโบ๋อยู่ข้างใน ทองส่วนที่เททิ้งไปนั่นแหละเยอะมาก ก็เลยกลายเป็นว่าต้องใช้เงินเป็น ๑๐ ล้านบาท เรามีเวลาดำเนินการแค่ ๖ ปี ได้เงินปีละล้านยังไม่พอใช้จ่ายเลย อาตมาไม่ค่อยชอบเสี่ยงอะไร เพราะแก่แล้ว..เหนื่อย..เอาแบบประกันความเสี่ยงดีกว่า ค่อย ๆ เก็บสะสมไปก็แล้วกัน

สมัยหลวงปู่พุก อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ท่านก็มีพระพุทธรูปรัชกาล ๒ องค์ กับธรรมาสน์ทรงบุษบกฝีมือช่างหลวง ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ ๗ พระราชทานให้ เป็นผลงานที่อยู่ยั้งยืนยงมาจนทุกวันนี้ ถ้าเราจัดพิพิธภัณฑ์ก็ต้องบันทึกไว้ว่าในหลวงรัชกาลที่ ๗ ถวายแก่หลวงปู่พุก

สมัยหลวงปู่เต๊อะเน็งท่านร่วมกับหลวงพ่ออุตตะมะ สร้างมณฑปประดิษฐานพระพุทธบาทสี่รอยจำลอง มาชำรุดหมดสภาพสมัยท่านอาจารย์สมเด็จ อาตมาเพิ่งบูรณะขึ้นมาใหม่ นี่ก็เป็นผลงานคู่วัดของท่าน

พอมาถึงสมัยหลวงปู่สาย ท่านสร้างเจดีย์พระพุทธเจติยคีรี บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้บนยอดเขา เป็นเจดีย์ที่คนทั้งอำเภอต้องมาไหว้ แล้วก็สร้างสะพานแขวนหลังวัด นั่นก็เป็นผลงานชั่วฟ้าดินสลายของท่านเหมือนกัน"

เถรี
12-11-2012, 11:33
"พอมารุ่นของท่านอาจารย์สมเด็จฯ สร้างพระเจดีย์ ๘๔ พรรษา สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ก็อยู่ยั้งยืนยงมาจนทุกวันนี้ สมัยท่านอาจารย์สมพงษ์ ก็ร่วมมือกับท่านป๊อบช่วยกันสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๘ ศอกบนยอดเขา ถึงแม้จะไม่สำเร็จเสร็จสิ้นเรียบร้อย ทำให้อาตมาต้องควักจ่ายไปหลายแสนถึงจะเสร็จก็ตาม แต่ถือว่าเป็นผลงานในยุคของท่าน

พอมาถึงรุ่นของอาตมา ต้องมาปรับปรุงของเก่า ของใหม่ที่จะทำก็ต้องดูสถานที่ เพราะบางวัดสร้างถาวรวัตถุแล้วไม่ได้ดูสถานที่ ทำจนรกรุงรังไปหมด ท้ายสุดก็เลยคิดว่า ถ้าอยู่ถึง ๖๐ ปีก็หล่อพระทองคำสักองค์หนึ่งไว้ให้เขาบูชาตลอดไป ให้เป็นพระสำคัญคู่วัดท่าขนุนอีกหนึ่งองค์

ผลงานของอาตมาอย่างน้อย ๆ สมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอกนี่มีแล้วแน่ ๆ ใครอยากไหว้องค์ใหญ่ก็ข้างหน้าถนน อยากไหว้องค์เล็กก็เข้าไปในวัด จบแค่นั้น บูรณะเสร็จสรรพทุกอย่างเรียบร้อยก็นอนตีพุงได้ ไม่อย่างนั้นไม่มีโอกาสตีพุงเสียที ทำแต่งานจนพุงหายหมด..!"

เถรี
12-11-2012, 11:51
ถาม : ไปหาพระอาจารย์ขอลาสึก พระอาจารย์ไม่ยอมให้สึก เลยมาบ่นกับเพื่อนว่าอยากจะสึก แล้วก็กล่าวคำขอลาสึกเป็นภาษาบาลี อย่างนี้ถือว่าขาดความเป็นพระแล้วหรือยัง ?
ตอบ : อย่างนี้ถือว่ายังไม่ขาด เหตุที่ถือว่ายังเพราะว่าเป็นแค่การปรารภว่าจะสึก ถ้าอยากจะสึกจริง ๆ ต้องบอกกับเพื่อนไปให้ชัดเจนเลยว่า “ผมจะสึกแล้ว คุณช่วยเป็นพยานให้ผมหน่อย” ถ้าอย่างนั้นก็ขาดแน่

แต่ถ้าแค่บ่นน้อยใจครูบาอาจารย์ ก็บ่นไปเถอะ บ่นไปอีกหลายชาติก็ไม่ขาดความเป็นพระหรอก

เถรี
12-11-2012, 12:03
พระอาจารย์เล่าว่า "วันที่ ๓๑ ตุลาคม ตอนช่วงเช้ามีตักบาตรเทโวฯ ญาติโยมที่มาแต่ละคนแขวนเหรียญหลวงปู่สายมาทั้งนั้นเลย พวกรุ่นเก่า ๆ อายุ ๗๐ - ๘๐ ปีห้อยเหรียญรุ่น ๑ เลี่ยมทองฝังเพชรอย่างดี พวกรุ่นหลัง ๆ ก็ห้อยเหรียญข้าวหลามตัดฉลองพระเจดีย์ แบบเดียวกับที่เอาออกมาให้บูชาในเว็บ เลี่ยมทองบ้าง เลี่ยมเงินบ้าง ใส่มาอวดกัน

อาตมายังแหย่เขาเล่น ๆ ว่า “ของที่ใส่บาตรไม่อยากได้หรอก อยากได้ที่แขวนคอนั่น ไม่ใส่มาบ้างหรือ ?” ชาวบ้านเขาอยากเห็นงานตักบาตรเทโวฯ เพราะเป็นงานเดียวที่พระอาจารย์จะคุยเล่นด้วย ปกติพระอาจารย์เอาแต่ด่าอย่างเดียว..!

อาตมาจะไม่คุยกับเขาก็ไม่ได้ เพราะแดดร้อนขนาดนั้น แล้วเขารอกันเป็นชั่วโมง ๆ กว่าจะลงมาถึง อย่างน้อย ๆ สอบถามสารทุกข์สุกดิบก็ยังดี ไม่ใช่ว่ามายืนรอเป็นชั่วโมงแล้วพระอาจารย์ยังหน้าบูดเป็นตูดลิงอีก..! เพราะฉะนั้นตักบาตรเทโวฯ จะเป็นงานเดียวที่เขาจะได้เห็นพระอาจารย์ใจดี"

เถรี
12-11-2012, 12:09
ถาม : พระพุทธรูปทองคำที่จะหล่อ ?
ตอบ : เป็นโครงการอีก ๖ ปีข้างหน้า ค่อย ๆ สะสมทองไปเรื่อย อาตมากำลังตัดสินใจอยู่ว่า จะหล่อเป็นพระยืนหรือพระนั่ง ? ถ้าพระยืนก็เป็นปางลีลาแบบพุทธมณฑล ถ้าพระนั่งก็คาดว่าจะเป็นแบบพระพุทธชินราช ไม่แน่เหมือนกัน...อีกตั้ง ๖ ปี อาจจะเปลี่ยนใจเมื่อไรก็ได้ ถ้าเปลี่ยนใจแล้วองค์ใหญ่ขึ้นก็เฮงอีก..!

เถรี
12-11-2012, 12:19
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการเมืองบ้านเราไม่ดีตรงที่ว่า หักโค่นกันชนิดจะฆ่ากันให้ตาย เราลองมาดูอย่างอเมริกาที่จะเลือกตั้งอยู่อีก ๑ - ๒ วันนี้ ประธานาธิบดีโอบามา กับมิตต์ รอมนีย์ เขาอยู่คนละพรรค เป็นคู่แข่งกัน แต่เขาจะหักโค่นกันเฉพาะในช่วงหาเสียงเท่านั้น หลังจากนั้นเขาก็ทำงานร่วมกัน

อย่างรัฐบาลที่แล้ว คู่แข่งเขาก็คือฮิลลารี คลินตัน พอโอบามาขึ้นเป็นประธานาธิบดี ก็ตั้งฮิลลารีเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ เขาทำงานร่วมกันได้ แต่บ้านเราไม่ได้ แล้วที่ไม่ได้นี่เพิ่งจะไม่ได้ในระยะไม่กี่ปีนี้เท่านั้น

ก่อนหน้านี้เราจะเห็นแต่พวกปลาไหลใส่สะเก็ต ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ตีกันจะตาย ด่ากันอยู่ในสภาชนิดผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ แต่ออกมาข้างนอกก็จับมือดีกัน ไปกินข้าวด้วยกัน ไปคุยกันได้ ถึงเวลาตั้งรัฐบาลใหม่ก็ผสมพันธุ์กันได้ ลักษณะนี้จริง ๆ เป็นการแสดงออกถึงความเจริญทางจิตใจมากกว่า แม้ว่าในสายตาชาวบ้านจะเห็นว่าไม่อยู่กับร่องกับรอยก็ตาม

แต่ระยะนี้ไม่ได้เลย ตั้งแต่เขาแบ่งสีนี่แทบจะฆ่ากันตาย กลายเป็นศัตรูถาวรไปเลย ทำให้บ้านเราเมืองเราติดหล่ม อย่างที่ ศ.ดร.กฤษณ์ เพิ่มทันจิตต์ บอกว่า "หล่มแห่งความทุกข์" ท่านว่าเอาไว้ ๖ - ๗ หล่ม พอมาติดหล่มแล้วก้าวข้ามไม่ได้ ประเทศชาติก็เจริญไม่ได้สักที

เราจะเห็นว่าสารพัดโครงการโดนยื่นตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา ทำให้การบริหารช้า การตรวจสอบนั้นดีอยู่ ช่วยทำให้โปร่งใส แต่หลายอย่างเหมือนกับตั้งใจจะขัดคอ ทำให้ทุกอย่างเป็นไปโดยยาก แทนที่ชาวบ้านจะได้รับประโยชน์เร็ว ๆ ก็ต้องมานั่งรอแล้วรอเล่า"

เถรี
12-11-2012, 12:51
ถาม : หนังสือกรรมฐาน ๔๐ ของพระอาจารย์ ?
ตอบ : ความจริงหนังสือเล่มนี้ถ้าได้ฟังเสียงจะดีที่สุด เพราะเป็นการนำปฏิบัติจริง ๆ แล้วเขาถอดเสียงมา ช่วงนั้นอาตมาไปบูรณะวัดทองผาภูมิ พระเณรก็อุตส่าห์ตามไปตกระกำลำบากด้วย ไม่รู้ว่าจะตอบแทนพวกเขาอย่างไร ตอนเช้า ๆ ช่วงตี ๔ ก็เลยเทศน์สอนสักครึ่งชั่วโมง แล้วค่อยเข้าสู่การปฏิบัติและทำวัตรเช้า มีเท่าไรก็เทหมดกระเป๋า โดยเฉพาะ ๓ - ๔ บทแรก ๆ ถ้าคนอ่านแล้วสังเกตจะเห็นว่า เป็นการรวมกรรมฐาน ๔๐ อยู่ใน ๓๐ นาที ซึ่ง ๓๐ นาทีนั้น ๔๐ หัวข้อมีเกือบครบ..!

แต่น่าเสียดายว่า ๓ วันแรกเขาไม่ได้บันทึกไว้ มาเริ่มบันทึกวันที่ ๔ เขาคงคิดว่าอาจารย์จะสอนแค่ ๑ - ๒ วันเหมือนเดิม แล้วก็ไม่มีเวลาสอนอีก

ถาม : หาโหลดฟังได้ที่ไหนคะ ?
ตอบ : สามารถโหลดไฟล์เสียงได้ที่เว็บพลังจิต

เถรี
12-11-2012, 18:42
พระอาจารย์กล่าวว่า "กฐินวัดท่าขนุนปีนี้ได้ยอด ๑,๗๐๐,๐๐๐ กว่าบาท แบ่ง ๓ วัดแล้วได้ ๕๗๕,๐๐๐ กว่าบาทต่อวัด ปกติวัดท่าขนุนจะมียอดเงินกฐินสูงกว่าวัดอื่น เพราะจะมีบางท่านระบุเจาะจงว่าทำบุญเฉพาะวัดท่าขนุน แต่ปีนี้เจ้าหน้าที่ดูแลเงินเป็นมือใหม่หัดขับ แกะซองรวมกันหมดเลย แถมยังทิ้งซองไปแล้วด้วย สรุปก็คือต้องเอา ๓ หาร ได้ไปเท่า ๆ กัน..
ยุติธรรมดีมาก..!

กฐินวัดท่าขนุนได้เงินล้านหรือเกินล้านให้เขาอิจฉาเล่น ๆ ไปอย่างนั้นแหละ เพราะว่าต้องแบ่งกันหลายวัด พอแบ่งกันแล้วก็เหลือไม่มาก ปีที่แล้วยังแบ่ง ๔ วัดอยู่เลย ปีนี้ถ้าแบ่ง ๔ วัดเหมือนเดิมจะได้วัดละ ๔ แสนนิด ๆ แต่คราวนี้พระครูแสงท่านยกวัดถ้ำทะลุให้คนอื่นไปบริหารดูแล ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้เข้ามาหา ไม่ได้มาขอความช่วยเหลืออะไร ก็เลยปล่อยให้ท่านทำหน้าที่ของท่านไปกันเอง

แต่ท่านรื้อป่าที่อาตมารักษาเอาไว้เสียโล่งไปเลย ตอนนี้ใครไปก็บ่นว่าร้อน ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร เพราะว่านโยบายของเจ้าอาวาสแต่ละท่านไม่เหมือนกัน"

เถรี
12-11-2012, 18:46
"คุณหมอทศพร เสรีรักษ์ อดีตส.ส.จังหวัดแพร่ ๓ สมัย บอกว่าพอเป็น ส.ส. เข้าไปในบางวัดแล้ว เพิ่งจะรู้ว่านรกมีจริง “ท่านเทคอนกรีตหมดเลย ร้อนเสียจนไม่มีที่จะหลบ” ไปงานศพญาติ อยู่ในอาคารศาลาตั้งศพที่ไม่ได้ติดเครื่องปรับอากาศ ถึงเวลาลมพัดเข้ามาร้อนผ่าวเลย

วัดท่าขนุนตอนนี้ ถ้าขึ้นยอดเขามองลงมาแล้วจะซึมไปเลย เพราะมีสีเขียวแค่ขอบวัดจริง ๆ นอกขอบวัดไปนั้นล้านเลี่ยนเตียนโล่งหมดแล้ว สรุปว่าพื้นที่สีเขียวยังมีอยู่บริเวณวัดเท่านั้น ตรงไหนเขียว ๆ ตรงนั้นเป็นวัด พ้นวัดไปก็หมด ชาวบ้านรื้อกันราบ..!"

เถรี
12-11-2012, 19:05
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีคนลืมกุญแจ บัตรโรงพยาบาล บัตรบิ๊กซี ทิ้งไว้ที่นี่ พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า ตระกูลที่มั่งคั่งจักตั้งอยู่ไม่นาน ด้วยเหตุ ๔ ประการคือ หนึ่ง..ของหายไม่หา สอง..ของคร่ำคร่าไม่บูรณะ สาม..ใช้สอยโภคทรัพย์แบบไม่มีประมาณ สี่..ตั้งผู้ทุศีลเป็นใหญ่ในเรือน ถ้าแบบนี้เจ๊งแน่นอน..!

นี่ขนาดประกาศหาเจ้าของอยู่ทุกเดือน ยังหาไม่เจอ สงสัยไปทำกุญแจใหม่เรียบร้อยแล้ว"

เถรี
12-11-2012, 19:21
ถาม : คู่บารมีของเรา....(ไม่ได้ยิน)...
ตอบ : คุณไม่ต้องไปสนใจหรอก ตบมือข้างเดียวดังเสียเมื่อไร ยกเว้นคุณดันยื่นหน้าไปให้เขาตบ..! เรื่องของคู่บารมี จะมีวาระของเขาอยู่ ถ้าเราสามารถตื๊อจนเลยวาระไปได้ เขาก็จะหมดอิทธิพลไปเอง ก่อนหน้านี้ประเภทเห็นแล้วทนอยู่ไม่ได้ ต่อไปจะเห็นแล้วตายด้าน

มีแค่ช่วงวาระกรรมนั้นเท่านั้น ถ้าวาระกรรมที่เนื่องกันมาผ่านไปก็จบเลย อาตมาเจอมาหลายคู่เต็มทีแล้ว ยังเอาไปไม่ได้สักคน อาตมาไม่ได้เก่งหรอก เพียงแต่ว่าเป็นประเภทอย่างไรก็ไม่ไป ปากแข็งแล้วใจต้องแข็งด้วย ถ้าปากแข็งแล้วใจอ่อนก็เจ๊ง

เถรี
12-11-2012, 19:39
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนนี้บ้านเมืองเราก็คงวุ่นวายนิดหน่อย เกิดจากคนกลัวว่าประเทศเราจะเจริญเกินไป ประเภทมือไม่พายแล้วยังเอาตัวราน้ำ ตีนราน้ำยังเล็กไป ก็ถือว่าวาระกรรมของประเทศยังหนักอยู่

ที่สำคัญที่สุดคือในหลวง การสร้างพระขรรค์โสฬส ๘๔ พรรษาธรรมิกราชเสร็จเรียบร้อยสมบูรณ์แล้ว ปัจจัยที่ได้ก็นำไปสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก ถวายเป็นพระราชกุศลไปแล้ว เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือ กำลังบุญที่ได้มาเมื่ออุทิศถวายไปแล้ว เพียงพอที่จะค้ำให้พระองค์ท่านอยู่ถึง ๙๐ หรือเปล่า ? ตอนนี้หลักชัยไกลเหลือเกิน คนแก่อายุ ๘๕ สุขภาพชำรุด หวังจะให้อยู่ถึง ๙๐ ปี ต้องหวังกันแค่วันต่อวันเท่านั้น ถ้าถึงวาระนั้นก็ไม่รู้จะทำอะไรเพื่อที่จะค้ำให้พระองค์ท่านอยู่ต่อไป ต้องแล้วแต่พระท่านจะเมตตาสงเคราะห์

แต่ว่างานนี้คณะทำงานพระขรรค์โสฬสฯ เดี้ยงกันทุกคน ฝ่ายตรงข้ามเขาไม่ยอม ฝ่ายเรามีพรหมเทวดาสนับสนุน ฝ่ายเขาก็มีพรหมเทวดาสนับสนุน อยู่ในลักษณะว่าเทวดาประจำตัวของใครของมัน เมื่อส่วนกุศลที่ส่งผลให้พวกเขายังมีอยู่ เราพยายามฝ่าอกุศลที่กำลังต้านอยู่ เราก็ต้องรับเละไปเอง..!

อาตมาเองต้องไปโดนผ่าตัด เสียเลือดเสียเนื้อส่งท้ายปีเก่าเอาดื้อ ๆ ไม่ได้คิดว่าจะโดนก็โดน แต่ก็ดีใจว่างานที่แทบจะยากเข็ญที่สุดก็สามารถเข็นจนผ่านไปได้"

เถรี
12-11-2012, 20:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนหลับแล้วฝันไปว่า เกมการเมืองในบ้านเราจะรุนแรงถึงขนาดต้องฆ่าบุคคลสำคัญบางคนเพื่อใส่ความอีกฝ่ายหนึ่งก็จะทำ ถ้าเป็นอย่างในฝันนี่น่าเกลียดมาก

อีกอย่างหนึ่งก็ดาวพฤหัสบดีโดนดาวบาปเคราะห์ตรึงอยู่ ดาวพฤหัสบดีส่วนใหญ่เขาหมายถึงพระผู้ใหญ่ คาดว่าพระผู้ใหญ่สำคัญ ๆ ในบ้านเมืองของเรา ปีหน้าจะถึงวาระของท่านแล้ว..!"

เถรี
12-11-2012, 20:05
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "บวชหมดเลยทั้งผู้หญิงผู้ชายใช่ไหม ? น่าคิดเหมือนกันนะ บวชเสร็จแล้วถ้าคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว พร้อม ๆ กันนี่สาหัสเลย ควบคุมยากนะ..โดยเฉพาะความคิด เราอยู่ในสภาพนักบวช การทำดีทำชั่วด้วย กาย วาจา ใจ ผลจะคูณเป็นแสนของคนทั่วไป ถ้าเราไม่สามารถควบคุมให้อยู่ในด้านดีได้นี่ก็สาหัสเลย..!"

เถรี
14-11-2012, 09:06
ถาม : ลูกสาว ๖ กับ ๙ ขวบ ทุกวันนี้นั่งสมาธิ ทำแต่สมถภาวนา ถ้าจะให้เริ่มวิปัสสนาจะเร็วไปไหมคะ ?
ตอบ : ก็บอกเขาไปสิ "ให้หนูคิดว่าเราต้องตายแน่ ๆ ในเมื่อเราจะตาย เราก็ต้องรีบเกาะพระเอาไว้" นั่นแหละวิปัสสนา เอาตายไว้ก่อน ให้คุ้นกับความตายไว้ก่อน พอคุ้นแล้วโตไปหน่อยเริ่มติดสวยติดงาม ก็ค่อยเอาเรื่องของความสกปรกมาให้ดู

เถรี
14-11-2012, 09:29
ถาม : ในฤกษ์พรหมประสิทธิ์ ตั้งศาลใช้ฤกษ์เดียวกับขึ้นบ้านใหม่เลยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ตั้งศาลใช้วันพฤหัสบดี ถ้าขึ้นบ้านใหม่ใช้วันศุกร์ เพียงแต่ว่าเป็นฤกษ์เดือนคู่ข้างขึ้นเหมือนกัน

ถาม : ต้องแยกวันกันหรือคะ ?
ตอบ : ถ้าจำเป็นก็ทำวันเดียวไปเลย พฤหัสบดีข้างขึ้นเดือนคู่ เช่น เดือนยี่ เดือน ๔ เดือน ๖ เดือนแปดข้างขึ้น และเดือน ๑๒ เดือนคู่เขาไม่นิยมใช้เดือน ๘ ข้างแรมและเดือน ๑๐ เพราะอยู่ในพรรษา ช่วงเข้าพรรษานี่ต้องงดตั้งศาลโดยเด็ดขาด เพราะเทวดาไปจำศีล โดยเฉพาะท่านที่ไปจำศีลที่เมืองบาดาล ถึงเวลาขึ้นมา อยากให้เขาโมทนาก็ปรากฏแสงให้เขาเห็น คนก็ดันไปเรียกท่านว่า บั้งไฟพญานาค

วิทยาศาสตร์บอกว่าเป็นซากพืชซากสัตว์ที่ทับถมกันจนเป็นแก๊ส พอถึงเวลากระทบออกซิเจนก็เลยติดเป็นไฟ แต่เขาสงสัยว่าแก๊สรู้ได้อย่างไร ว่าวันไหนเป็นวันออกพรรษา ? นี่เป็นปัญหาที่วิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้ พยายามเอาหลักวิทยาศาสตร์ไปอธิบาย แต่ตัวเองเข้าไม่ถึง ก็เลยอธิบายแล้วมีข้อให้ถกเถียงได้

ในเมื่อมีข้อให้ถกเถียงได้ก็ยังตั้งเป็นทฤษฎีไม่ได้ ถึงตั้งเป็นทฤษฎีได้ แต่ถ้ามีข้อพิสูจน์ว่าไม่ถูกต้อง ก็สามารถล้มเลิกได้

เถรี
14-11-2012, 09:33
พระพุทธเจ้าของเรานั้น พระองค์ท่านเป็นสุดยอดตรงที่คำสอนของพระองค์ท่านไม่ใช่ทฤษฎี ไม่ใช่ปรัชญา ไม่ต้องมานั่งเถียงกัน คำสอนของพระองค์ท่านเป็นอริยสัจ เป็นความจริงแท้ ๆ พิสูจน์เมื่อไรก็ใช่เลย เพราะฉะนั้น..ทำตามอย่างเดียว มัวแต่ไปนั่งเถียงกันอยู่ก็ไร้ประโยชน์

เทคโนโลยีนั้นดี แต่เนื่องจากของดีก็เลยก้าวหน้าเร็ว อย่างของบางอย่างเพิ่งจะซื้อก็ตกรุ่นไป ๔ รุ่นแล้ว เพิ่งเอาออกมาขายแท้ ๆ นั่นแหละ สมมติตอนนี้ iPhone ๕ ของจริงออกไปถึงรุ่น ๙ แล้ว แต่เขาเพิ่งปล่อยรุ่น ๕ มาขาย ถ้าเขาขายรุ่น ๙ เลย รุ่น ๕-๖-๗-๘ ก็ขายไม่ได้ เขาจึงเลยต้องใช้วิธีขายทีละรุ่น แต่ออกแบบล่วงหน้าไว้ ๔ รุ่นแล้ว เรายังไม่ทันซื้อก็ตกรุ่นไปแล้ว

อะไรที่ออกใหม่ ๆ อย่าไปใจร้อนรีบซื้อ ปล่อยไปสัก ๔ - ๖ เดือน เดี๋ยวราคาก็ลดเหลือไม่ถึงครึ่ง ปล่อยให้เขาไปเห่อกัน ให้คนอื่นเป็นหนูทดลองไปก่อน ว่าเครื่องสมบูรณ์จริงหรือเปล่า ถ้าไม่สมบูรณ์ มีข้อบกพร่องอะไร เขาแก้ไขมาเราค่อยใช้ของที่แก้ไขแล้ว แต่ส่วนใหญ่ยอมกันไม่ได้ สักกายทิฐิสูง “กูต้องได้ก่อน” ไปเข้าคิวจองกันยาวเป็นกิโลเมตรเลย

เถรี
14-11-2012, 10:16
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "ครอบครัว ณ ระนอง เป็นครอบครัวอายุยืน แต่ละคนอยู่ถึงเลข ๙ ทั้งนั้น คนเราอายุยืนเพราะปาณาติบาตน้อย บุคคลที่จิตใจประกอบด้วยเมตตาย่อมทรงศีลได้อัตโนมัติ ในเมื่อมีศีล การที่จะไปเบียดเบียนฆ่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยอื่น ๆ ตลอดจนฆ่าสัตว์ใหญ่หรือฆ่าคนก็ไม่มี จึงอายุยืน"

ถาม : ที่เขานิยมอวยพรให้มีอายุยืนนานถึง ๑๒๐ ปีนี่มีที่มาจากไหนหรือคะ ?
ตอบ : ปกติเขาแค่นิยมให้มีอายุยืนนาน บาลีว่า อายุวัฑฒโก แม้กระทั่งทุกวันนี้ในลังกาเวลาเจอหน้ากัน เวลาทักทายก็บอกว่า “อายุบวร” คือเจริญด้วยอายุ

สมัยพระพุทธเจ้า เกณฑ์อายุ ๑๒๐ ปีเป็นเรื่องปกติ ก็เหมือนกับยุคเรา เกณฑ์อายุเหลือแค่ ๗๔-๗๕ ปี แต่คนที่อายุถึง ๘๐-๙๐ ยังมีอยู่ สมัยก่อนเกณฑ์อายุ ๑๐๐ ปี ท่านที่สร้างปาณาติบาตมาน้อย อายุถึง ๑๒๐ ปีก็มีเป็นปกติ อย่างพระน้านางปชาบดีโคตมี ๑๒๐ ปี พระมหากัสปเถระ ๑๒๐ ปี
พระอานนท์เถระ ๑๒๐ ปี

แต่ที่สุดยอดจริง ๆ ก็คือ พระพากุลเถระอยู่จนถึงอายุ ๑๕๐ ปี เบื่อเต็มทีแล้ว ตัดสินใจเข้าสมาบัติไปเลยดีกว่า ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม เกิดมาไม่เคยป่วย แม้กระทั่งสมอสักชิ้นจะฉันเพื่อรักษาโรคก็ไม่เคยแตะต้อง เพราะสุขภาพแข็งแรงมาตลอด ในอดีตชาติท่านเคยสร้างเว็จกุฎี คือสร้างส้วมถวายวัด ในเมื่อปลดทุกข์ให้คนอื่น ตัวเองก็เลยไม่ค่อยจะมีทุกข์กับใคร

เถรี
14-11-2012, 11:33
ถาม : ทำบุญกับท่านเป็นบุญใหญ่ ?
ตอบ : ถ้าบุญใหญ่นี่ต้องอุบาสิกาเพียงเดือน เมื่ออาทิตย์ก่อนคุณยายแม่ชีเพียงเดือนโทรศัพท์มา “โอ๊ยท่านคะ ที่ขออนุญาตเชื่อมสายบุญของท่าน หวังจะอาศัยทานบารมี พอรับไปพระท่านบอกเดี๋ยวรวยกว่าบิล เกตต์ ตอนนี้ดิฉันรวยกว่าจริง ๆ เจ้าค่ะ” อาตมาก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น

"อยู่ ๆ ไม่ทราบว่าเทวดาที่ไหนสงเคราะห์ เอาพระพุทธรูปบลูไดมอนด์มาให้ ๑ องค์ น้ำหนัก ๙,๐๐๐ กว่ากะรัต" พอเอาไปให้เขาตรวจสอบ สืบราคามาเสร็จสรรพกะรัตละ ๕๐ ล้านบาท ตอนนี้เท่ากับคุณยายแม่ชีถือเงินในมือเกือบ ๕ แสนล้านบาทแล้ว..!

เถรี
15-11-2012, 07:05
ถาม : ลูกจะไปสอบเข้าโรงเรียนใหม่ ?
ตอบ : ถ้ารู้จักคาถาท่านปู่พระอินทร์แล้วใช้เป็นก็ได้แน่จ้ะ ลองไปหาดู แต่บางที่ก็มีพิเศษเหมือนกัน วันก่อนตุ๊กตาบอกว่าลูกใบบุญจะสอบเข้าอัสสัมชัญศรีราชา ให้ช่วยสงเคราะห์หน่อย

อาตมาตั้งใจนึกถึงเจ้าที่ ปรากฏว่าเจ้าที่โผล่มาเป็นบาทหลวง พูดไทยได้ด้วยชื่อเทโอฟาน เขาบอกว่าเคยเป็นอธิการบดีอยู่ที่นั่น ด้วยความที่ตัวเองตั้งใจสงเคราะห์เด็กด้วยความเมตตา กำลังบุญจึงสูง ตายแล้วก็เลยยังดูแลรักษาที่นั่นอยู่ อาตมาเลยฝากเขาเอาไว้ บอกว่าเดี๋ยวให้โยมถวายสังฆทานให้ ปรากฏว่าลูกของตุ๊กตาสอบได้จริง ๆ ฝากกับอดีตอธิการบดี เส้นอธิการบดีเก่า

ตุ๊กตาเขาเครียดมาก เนื่องจากสอบแข่งกับเขาก็ไม่แน่ว่าจะชนะ เส้นสายก็ไม่มี จ่ายเงินก็น้อยกว่าเขาอีก แต่ปรากฏว่าได้ เขาก็เลยมาถวายสังฆทานให้ท่านบาทหลวง ฉะนั้นจำชื่อนี้ไว้ดี ๆ ท่านบาทหลวงเทโอฟาน ถ้าใครจะเข้าอัสสัมชัญศรีราชา ก็ถวายสังฆทานให้ท่านล่วงหน้าไปเลย บอกว่าขอมาเรียนกับท่านด้วย ช่วยสงเคราะห์ลูกหลานให้เข้าได้ด้วยเถิด อาตมาไม่เคยไปอัสสัมชัญศรีราชา ไม่รู้ว่าเขามีอดีตอธิการบดีชื่อนี้หรือเปล่า ? แต่คาดว่าต้องมี เพราะผีไม่โกหกเราอยู่แล้ว

เถรี
15-11-2012, 07:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีหน้าเรื่องของการเมืองไม่น่ากลัวหรอก วุ่นวายแค่ไหนก็ไม่น่ากลัว กลัวเรื่องของดินฟ้าอากาศนี่แหละ ดูอย่างสหรัฐ อยู่ ๆ พายุเฮอริเคนแซนดี้ไปเยี่ยมถึงมุ้งเลย ยังโชคดีที่โยมเขามารายงานเมื่อวานนี้ ว่าลูกชายอยู่ในเหตุการณ์ บ้านเรือนพังยับหมด แต่ตัวไม่เป็นอะไรเลย บอกแล้วว่าสมเด็จศรีอินทราทิตย์ป้องกันในเรื่องของภัยที่เกิดจากการแปรปรวนของธาตุ ๔ ได้ เพราะทำมาเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ

ได้ย้ำกับโยมว่าตั้งใจสวดมนต์ทุกวัน ถ้าใจเรายึดมั่นพระรัตนตรัยอยู่ อย่างไรเสียก็ปลอดภัย คนรอบข้างเขาไม่มีอะไรเกาะ เรามีหลักใหญ่เกาะอยู่ ไม่รอดก็ให้มันรู้ไป คนส่วนใหญ่เหล่านั้นพอฉุกเฉินขึ้นมาจึงจะนึกถึงพระเจ้า นาน ๆ คิดถึงที สนิมกินหมดแล้ว คนไทยเรายังดีหน่อย ห่างบ้านห่างเมืองเมื่อไร ก็ไหว้พระสวดมนต์ แต่อยู่บ้านไม่ค่อยจะทำหรอก"

เถรี
15-11-2012, 07:37
ถาม : หมอดูอีทีที่พม่า ?
ตอบ : เรื่องของการรู้เห็น หรือทำนาย หรือคำพยากรณ์ เขาเอาปัจจุบันเป็นหลัก ถ้าอนาคตข้างหน้ามีสิ่งที่เข้ามาเปลี่ยนแปลง คำพยากรณ์นั้นก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย อย่างที่เคยยกตัวอย่างว่า ถ้าเราขับรถ เหยียบ ๑๒๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เวลา ๘ ชั่วโมงเราจะไปถึงเชียงใหม่ ถ้าเพิ่มความเร็วขึ้นเราจะถึงก่อน ถ้าลดความเร็วลงเราจะถึงทีหลัง ฉะนั้น..ตัวแปรที่เปลี่ยนแปลงเข้ามาระหว่างกลางก่อนจะถึงเชียงใหม่นั่นแหละ คือก่อนที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น ทำให้ผลการพยากรณ์ไม่เป็นไปตามนั้น

ถ้ามีปัจจัยอื่นเข้ามาทำให้เหตุการณ์นั้นเปลี่ยนได้ คำทำนายนั้นก็จะผิด ฉะนั้น..คำทำนาย เขาทำนายกันแค่ปัจจุบันว่า ถ้าเหตุอย่างนี้ ผลจะเป็นอย่างนี้นี้ ถ้าเหตุเปลี่ยน ผลของคำทำนายก็จะเปลี่ยนไปด้วย ไม่ใช่แต่คุณอีที ทุกคนก็เหมือนกัน เพราะว่าทำนายในขณะปัจจุบัน

ถ้าเป็นหมอดูอย่าทำนายอนาคตประเทศไทยยาว ๆ ประเทศไทยเรามีตัวแปรเยอะมาก เมื่อตัวแปรเข้ามาเหตุการณ์จะเปลี่ยนทันที โดยเฉพาะตัวแปรหลัก ๆ ของเราเลยก็คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และหลวงปู่หลวงพ่อที่พร้อมจะทิ้งขันธ์เพื่อตัดเคราะห์ตัดกรรมประเทศชาติ เจอเข้าไป ๒ ตัวหลัก ๆ ทายให้ตายอย่างไรก็ผิด..!

เถรี
15-11-2012, 08:15
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีหน้าใครเล่นหุ้นให้ถือยาวอย่างเดียว ถ้าซื้อขายสั้นเจ๊งไม่รู้ด้วยนะ ซื้อวันนี้พรุ่งนี้อาจจะรูดไปกองกับพื้น ถือยาวรอปันผล ถ้าขึ้นเราขาย ถ้าไม่ขึ้นเรารอปันผลสิ้นปี เล่นหุ้นต้องซื้อแบบลุงวอร์เรน บัฟเฟตต์ เขาไม่ตื่นเต้นกับใครหรอก ใครเห่ออะไรลุงไม่เห่อด้วย ท้ายสุดลุงเป็นมหาเศรษฐี เพราะเป็นคนใจแข็ง ไม่ไหลตามกระแส มั่นใจหุ้นตัวไหนซื้อแล้วถือยาวเลย ได้กำไรขาย ไม่ได้กำไรรอปันผล"

ถาม : แล้วท่านมั่นใจหุ้นตัวไหนครับ ?
ตอบ : ไม่เคยเล่น ในเมื่อไม่เคยเล่นเลยไม่รู้ เพียงแต่เตือนให้รู้ไว้ว่าปีหน้าหุ้นแกว่งพอ ๆ กับกราฟหัวใจเลย เมื่อตอนบ่ายใครเขาถามไม่รู้ อาตมาบอกว่า คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น เล่นแล้วจนเท่ากัน..!

เถรี
15-11-2012, 08:40
ถาม : ยันต์มหาพิชัยสงครามที่หลวงพ่อบอกว่าห้ามปลุก หมายถึง ห้ามปลุกเพื่อลอง ?
ตอบ : ห้ามปลุกเพื่อลอง เพราะการทดลองนั้นหมิ่นเหม่มาก ถ้าวางกำลังใจผิดเมื่อไร จะกลายเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย และธงมหาพิชัยสงครามท่านทำไว้กำลังสูงมาก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยเตือนไว้ว่า ถ้าทานไม่ไหวเดี๋ยวคนปลุกถึงตาย ถ้าใครไม่เชื่อทดสอบได้ เผื่อจะไปพระนิพพานเร็วขึ้น..!

ถาม : เวลานำไปใช้ต้องปลุกหรือเปล่าครับ หรือนำไปใช้ได้เลย ?
ตอบ : ปลุกตามปกติ ไม่ใช่ปลุกเพื่อลองของ ธงมหาพิชัยสงครามมีคาถาปลุกเฉพาะ คือ พุท ธะ สัง มิ ไม่ได้ใช้บทอิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ฯ เหมือนกับวัตถุมงคลอื่น

เถรี
15-11-2012, 09:16
ถาม : การตั้งโต๊ะหมู่บูชา ตั้งในห้องนอน สมควรไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีที่อื่น ในห้องนอนก็ตั้งได้ โดยเฉพาะอาตมา ถ้าตั้งโต๊ะหมู่จะเลือกห้องนอนก่อนที่อื่น เพราะนอนอยู่เราได้เห็นพระตลอด จะกราบ จะไหว้ ตื่นนอน ก่อนนอน สะดวกไปหมด

ถาม : ในห้องนอน เรานอนท่าไม่สวย จะเป็นปรามาส ไม่เกรงใจพระหรือเปล่า ?
ตอบ : อย่านอนหันเท้าไปทางพระก็พอ

จะว่าไปแล้วอย่านอนตรงหน้าหิ้งพระเลย เพราะเวลาดึก ๆ พรหมหรือเทวดาที่รักษาเขตนั้น ท่านจะลงมาไหว้พระ ถ้าเราไปนอนขวางอยู่ท่านก็ขาดความสะดวก บางท่านที่ไม่เกรงใจก็บรรจงเขี่ยเราออกไปห่าง ๆ เราก็จะแปลกใจว่าเรานอนดิ้นไกลขนาดนั้นเลยหรือ ? เพราะฉะนั้น..หาที่นอนที่ห่างออกไปจากหน้าหิ้งพระ ยิ่งถ้าเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ยิ่งต้องเว้นให้ไกลเลย

ถาม : เพราะอะไรครับ ?
ตอบ : เพราะพรหมเทวดาท่านมาแน่ ๆ ถ้าเป็นโต๊ะหมู่เล็ก ๆ ท่านก็ไปหาองค์ใหญ่ ๆ บริเวณนั้นแทน

ถาม : ถ้าไปนอนที่วัด ตามหน้าองค์พระประธานนี่ไม่ควรเลย ?
ตอบ : โปรดระวังไว้ ถ้าตื่นขึ้นมาเห็นตัวเองนอนไปไกล ก็รู้ไว้ว่าท่านเมตตาเขี่ยให้แล้ว..!

เถรี
15-11-2012, 09:29
ถาม : มีดโต้ชาตรีเล่มเล็ก ๆ รุ่นที่เขียนว่า มีดหมอชาตรี ด้านหนึ่ง และวัดท่าซุง ๒๖ ก.ค. ๓๔ อีกด้านหนึ่ง เป็นลายมือของหลวงพี่เล็กใช่ไหมครับ ? จริงหรือไม่ครับ ?
ตอบ : มีลายมืออาตมาไม่มากหรอก ส่วนใหญ่เป็นของหลวงพี่ประทีป แต่ลายมือหลวงพี่ประทีปดูง่าย คำว่าชาตรี ตัวสระอีของท่านจะสะบัดหางมาเหมือนกับเป็นเครื่องหมายบวก สระอีลายมืออาตมาจะตรง ๆ แต่หายากมาก ถ้าได้ถือว่าโชคดีมาก เนื่องจากไม่ค่อยมีเวลาไปนั่งจารให้เขา ส่วนใหญ่แล้วจะหลบไปภาวนามากกว่า

ถาม : สมัยนั้นจารอยู่สองรูปหรือครับ ?
ตอบ : มีอีกท่านคือท่านสมนึก แต่ท่านสมนึกไม่ได้จาร ท่านมักจะใช้วิธีตอกเป็นตัวอักษร จะใช้กับมีดที่เป็นด้ามงาฝักงามากกว่า

เถรี
15-11-2012, 10:01
ถาม : โยมได้ใส่บาตรเป็นรถของเด็กเล่นคันเล็ก ๆ มาให้ ตอนโยมใส่มาให้ผมไม่ได้สังเกตจึงไม่เห็น เพราะโยมใส่รวมกับของอื่นมาในถุง ผมไม่รู้จุดประสงค์ที่โยมใส่รถของเด็กเล่นมาให้ ผมจึงอุทิศกุศลผลบุญให้แก่โยมที่ใส่บิณฑบาต และผู้อื่นที่โยมอาจจะอุทิศกุศลผลบุญไปให้ จะเป็นวิญญาณผู้ล่วงลับไป หรือผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ การที่ผมได้อุทิศกุศลผลบุญไปอย่างนี้ ถูกต้องและสมควรหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ถ้าคนใส่บาตรเป็นของเด็ก เป็นเสื้อผ้าเด็กมา ส่วนมากเขาจะเจาะจงให้กับคนตาย เพราะฉะนั้นอุทิศส่วนกุศลให้ไปถือว่าถูกต้องแล้ว แต่มีบางท่านเชื่อว่า เราต้องใช้ของนั้นคนตายถึงได้รับบุญ ถ้าเป็นอย่างนั้นช่วยเล่นรถเด็กให้เขาหน่อยแล้วกัน เอาไปไส ๆ เล่นสักทีสองทีก็ได้

ถาม : ของเล่นนี้ถือเป็นสังฆทานไหมครับ ?
ตอบ : เป็นหรือไม่เป็นเขาก็ใส่บาตรมาแล้ว ที่แน่ ๆ คือ ปาฏิบุคลิกทานได้แน่ ถ้าไม่แน่ใจก็ถวายเณรไป เดี๋ยวเณรจัดการให้เอง

ถาม : แล้ววิญญาณเด็กจะได้รับเป็นของเล่นไหมครับ ?
ตอบ : ต้องถามเขา ส่วนใหญ่คนตายไปถึงไหนแล้วไม่รู้ คนทำมัวแต่พะวงอยู่

ถาม : เขาได้อานิสงส์ตรงนั้นไปก่อนแล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : อานิสงส์ที่เขาได้ เป็นอานิสงส์ที่เขาตั้งใจถวายสิ่งของอื่นกับพระ ของเด็กเล่นก็รวมมาด้วยอุปาทานของคนถวายว่าเด็กต้องมีของเล่น อาตมาก็เคยรับน้ำแดงมาเป็นขวด ๆ เขาถวายให้เด็กที่ถูกทำแท้ง..!

เถรี
15-11-2012, 10:31
ถาม : การที่ภิกษุใช้ผ้าขนหนูนุ่งแทนผ้าอาบหรือสบงตอนอาบน้ำเสร็จ ผ้าขนหนูที่ภิกษุใช้นุ่งแทนผ้าอาบหรือสบงตอนอาบน้ำเสร็จนั้นจะอธิษฐานเป็นบริขารได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : อธิษฐานเป็นบริขารโจล โจละ แปลว่าบริขารที่เกินมา ถ้าจะใช้จำเป็นต้องอธิษฐานก่อน แต่อาตมาไม่เห็นประโยชน์ ถ้านุ่งผ้าขนหนูอาบน้ำนี่หนักบรรลัย ผ้าอาบสบายกว่าตั้งเยอะ ใช้ อิมัง ปะริกขาระโจลัง อะธิฏฐามิ ก็จบแล้ว

ถาม : ภิกษุไม่ได้อธิษฐานผ้าขนหนูที่ใช้นุ่งแทนผ้าอาบหรือสบงเป็นบริขาร ภิกษุอยู่ปราศจากผ้า ๓ ผืนเพียงระยะชั่วคราว ต้องอาบัติอะไรครับ ?
ตอบ : อาบัติปาจิตตีย์ แต่ถ้าปราศจากผ้า ๓ ผืนจนได้อรุณ ต้องนิสสัคคิย์ปาจิตตีย์ ต้องสละของทิ้งก่อนแล้วค่อยแสดงคืนอาบัติได้ เขาบอกว่าชั่วคราวนี่ ในเมื่อชั่วคราวอาจจะไม่ทันสว่างก็ได้ รีบนุ่งคืนไป แต่ถ้าได้อรุณแล้ว ต้องอาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์ ต้องสละของทิ้งก่อนแล้วค่อยแสดงคืน โทษฐานที่ไม่ดูแลรักษาบริขาร

ถาม : ทำไมพระต้องรักษาผ้าไว้ถึงเช้า ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วต้องรักษาตลอดชีวิต ไม่ใช่รักษาแค่เช้า เพียงแต่ช่วงก่อนสว่างจะเป็นช่วงที่เผลอหลับง่ายที่สุด สมัยก่อนเขาจะขโมยกันตอนนั้น หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่าให้ฟังว่า อยู่วัดประยูรฯ ตากผ้าแล้วหันหลังให้เท่านั้นเขากระตุกผ้าไปเลย เพราะช่วงสงครามโลกผ้าหายาก

หลวงพ่อบอกว่า มีอยู่วันหนึ่งไปเทศน์ ดีใจมากเพราะเขาถวายผ้าไตรใหม่เอี่ยมเลย โดยธรรมเนียมก็คือ ถ้าเขาถวายผ้าใหม่มา ต้องห่มผ้าใหม่ขึ้นเทศน์ เพื่อให้อานิสงส์แก่เจ้าของ ท่านบอกว่าห่มเสร็จสรรพ ขึ้นธรรมาสน์เพิ่งจะคุกเข่าลง พอย่อตัวลงเสียงดังแควก..! ตูดขาดยาวเป็นคืบเลย เขาไปเอาผ้าเก่ามาซัก เย็บย้อมเสียใหม่เอี่ยมเลย แต่จริง ๆ เป็นผ้าที่เก่าจนหมดสภาพแล้วเหมือนกัน

เถรี
15-11-2012, 10:39
ถาม : พระออกบิณฑบาตเวลา ๐๕.๔๐ น.ตามมติสงฆ์ในวัด แต่เวลา ๐๕.๔๐ น.อรุณยังไม่ขึ้น พระรูปที่ออกบิณฑบาตเวลานี้จะขาดพรรษาหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เท่ากับออกจากวัดก่อนสว่าง ถ้ากลับมาไม่ทัน ขาดพรรษาเรียบ..! ยกเว้นว่าออกไปได้สองนาทีแล้วรีบกลับมา ก็ไม่ขาดพรรษาหรอก..!

ถาม : ออกไปได้แต่ต้องกลับมาให้ทัน ?
ตอบ : กลับมาให้ทันก่อนสว่าง แต่มีครูบาอาจารย์บางท่านแนะนำว่า ถ้ามีธุระจำเป็นออกนอกวัดในช่วงพรรษา กลับมาแล้วเข้าวัดไม่ทัน อาจจะเป็นเพราะเขาปิดประตูไปแล้ว ท่านบอกว่าให้เอาชุดครองโยนเข้ามาในรั้ว จะได้ไม่ขาดพรรษา นั่นอย่าไปเชื่อเชียวนะ..เพราะถ้าทำอย่างนั้น ตัวขาดพรรษา ขาดผ้าครอง โดนทั้งขึ้นทั้งล่องเลย สอนกันมาได้ แล้วก็ดันมีคนเชื่อเสียด้วย..!

เถรี
22-11-2012, 12:15
ถาม : บริเวณทางเข้าบ้าน มักจะมีกบออกมานั่งขวางทางนับสิบตัว เวลากลับมาดึก ๆ ต้องจอดรถลงมาไล่อยู่ตลอด แต่หลายครั้งไล่แล้ว พอเช้ามาก็เห็นกบถูกทับตายอยู่ แถวนั้นก็มีรถผมคนเดียวที่ผ่าน ก็เลยเอากบออกนอกทาง เอาใบไม้กลบ แล้วใส่บาตรแผ่กุศลให้ อยากจะเรียนถามว่าผมจะทำอะไรเผื่อเขาได้มากกว่านี้อีกไหม ? และเป็นบาปติดตัวไปไหมครับ ?
ตอบ : จริง ๆ ควรจะผัดกะเพราแล้วไปใส่บาตร จะได้อุทิศส่วนกุศลไปให้เขาตรง ๆ เลย เสียดาย..ดันไปทิ้งซะได้ (ฮา..!)

บางอย่างเราทำดีที่สุดแล้ว แต่เราช่วยเหลือเขาได้แค่นั้น ต้องวางอุเบกขาบ้าง ถ้าใครเคยไปอินเดียจะรู้ว่าคนที่นั่นถึงขนาดอดตาย แต่นักเรียนไทยที่ไปอินเดียเจอกบตัวใหญ่กว่าสองฝ่ามืออีก มีเต็มไปหมดเลย คนอินเดียไม่กินกบ เพราะส่วนใหญ่เขาถือมังสวิรัติ

ตอนท่านอาจารย์วศินไปเรียนปริญญาเอก ท่านบอกว่า "มองซ้ายมองขวา พอไม่เห็นคนก็หวดกบ ยัดใส่ย่าม ไอ้ห่..ตัวใหญ่ฉิบหา.. ขาดันยื่นออกมาอีก ต้องรีบยัดใส่เข้าไปใหม่" ถ้าคนฮินดูมาเห็นเดี๋ยวถูกเขาตีตาย เพราะพวกเขาถือมังวิรัติเคร่งครัดจริง ๆ วัวเดินเกลื่อนกลาดไปหมด เวลาฝนตกกบตัวใหญ่ออกมากินแมลงเต็มไปหมด เขาก็ปล่อยไปอย่างนั้นแหละ ตัวเองยอมอดตาย..!

เถรี
22-11-2012, 12:30
ถาม : ผมใส่บาตรตอนเช้า จะมีภิกษุรูปหนึ่งมีกิริยาเดินวนไปวนมาอยู่แถวร้านข้าวแกง ไป ๆ กลับ ๆ ดูไม่ค่อยสำรวม สายตาล่อกแล่กไปมา ผมควรวางกำลังใจอย่างไรดีครับ ? ควรใส่ให้ท่านตามปกติ หรือผมควรใส่บาตรต่อพระที่น่าเลื่อมใสมากกว่า จะได้อานิสงส์สูงสุดครับ ?
ตอบ : ถ้าทำใจใส่บาตรท่านได้ จะได้รับอานิสงส์จะสูงสุด เพราะต้องปล่อยวางได้จริง ๆ เรายังเลือกที่รักมักที่ชัง วางอุเบกขาไม่เป็น ถ้าสามารถตัดกำลังใจใส่บาตรให้ท่านได้ แสดงว่ากำลังใจคุณสุดยอดแล้ว จะได้อานิสงส์มากที่สุด

ถาม : อดไม่ได้ครับ มีแนวทางในการพิจารณาไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ถูกใจเราก็ไปหาใส่ที่รูปถูกใจ พอหาใส่ที่ถูกใจก็เป็นปาฏิบุคลิกทานไปแล้ว อานิสงส์ลดน้อยไป ๙๙,๙๙๙ ส่วน

ถาม : จะเอาอานิสงส์แสนส่วนครับทำอย่างไร ?
ตอบ : ต้องใส่ทุกรูปที่มา เพราะถ้าเราใส่โดยไม่เลือก ต่อให้ไม่ครบสี่รูปก็เป็นสังฆทาน แต่ถ้าเราเลือกเจาะจง ก็ต้องใส่ให้ได้อย่างน้อยสี่รูป

เถรี
22-11-2012, 21:57
ถาม : เคยได้ยินคนเล่าว่า มีกษัตริย์บางพระองค์มาเกิดเป็นพระอริยสงฆ์ซึ่งได้มรณภาพไปแล้ว แต่ระหว่างที่พระสงฆ์นั้นยังมีชีวิตอยู่ ก็ได้ทรงวิญญาณกษัตริย์นั้นตลอด เป็นไปได้ไหมครับว่า กษัตริย์มาเกิดเป็นพระแล้ว แต่ก็ยังช่วยผู้คนในร่างทรงด้วยสัญญาที่เป็นกษัตริย์ ?
ตอบ : ถ้าอยากได้คำตอบที่แท้จริงให้ไปถามคนสามคน คนแรกคือพระมหากษัตริย์พระองค์นั้น คนที่สองคือหลวงพ่อท่านนั้น คนที่สามคือร่างทรงร่างนั้น ถ้าถามครบสามคนจะได้ของจริงแน่นอน ถามอาตมาไม่ได้หรอก..!

เถรี
22-11-2012, 22:04
ถาม : นิพพานและปรินิพพานเหมือนหรือต่างกันอย่างไรคะ ?
ตอบ : นิพพาน แปลว่า ดับ ปรินิพพาน แปลว่า ดับทั่ว , ดับรอบ ขอให้ดับได้ก็แล้วกัน ไม่ต้องคิดมาก
แต่ส่วนใหญ่ คำว่าปรินิพพานเขาหมายเอาพระพุทธเจ้า ถ้านิพพานหมายเอาสาวกทั่ว ๆ ไป แต่จริง ๆ แล้วก็เป็นคำเดียวกัน

ถาม : ปริ แปลว่าอะไรครับ ?
ตอบ : แปลว่า ทั่ว , รอบ

เถรี
23-11-2012, 18:37
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงที่หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ยังไม่เข้าโรงพยาบาลประจำอย่างทุกวันนี้ อาตมาจะไปกราบท่านอยู่บ่อย ๆ อย่างน้อยต้องไปให้ได้เดือนละครั้ง หรือไม่ก็ทุกครั้งที่ผ่านไปก็จะแวะกราบท่านก่อน

บางทีกราบเรียนถามท่านว่า “หลวงพ่อสุขภาพเป็นอย่างไรบ้างครับ ?” ท่านบอกว่า “เออ...ดีแบบคนแก่อายุ ๘๐” พอจะเห็นภาพไหม ? สุขภาพดีเหมือนกันนะ ดีแบบคนแก่อายุ ๘๐ ปี ปีนี้ท่าน ๘๕ แล้ว อีกไม่กี่วันก็จะวันเกิดท่านอีกแล้ว"

เถรี
23-11-2012, 18:39
พระอาจารย์กล่าวว่า "ชีวิตที่ท่องไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำเป็นกำไรชีวิตมาก เพียงแต่ว่าเราจะรู้จักฉวยเอามาใช้งานได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง ประสบการณ์พวกนี้อยู่ในทำนองเดียวกับที่คนจีนเขาบอกว่า “เดินทางหมื่นลี้ ดีกว่าอ่านหนังสือหมื่นเล่ม” เพราะเป็นของจริงล้วน ๆ ไม่ใช่ไปจินตนาการเอาว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้"

เถรี
23-11-2012, 18:57
ถาม : ช่วงเวลาตั้งศาลต้องประมาณกี่โมงคะ ?
ตอบ : อย่าให้เกิน ๙ โมงครึ่ง ที่ไม่ให้เกิน ๙ โมงครึ่งเพื่อให้มีอากาศเทวดาท่านสงเคราะห์ด้วย ถ้าเกิน ๙ โมงครึ่งแล้วท่านเข้าเทวสภากันหมด เหลือแต่พระภูมิเจ้าที่อย่างเดียวทำตาปริบ ๆ อาจจะบ่นว่า “เวรกรรมเจ้าของบ้านมันหนัก แล้วผมจะแบกไหวไหมนี่”..(หัวเราะ)..

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก สักกายทิฐิตัวกูของกู ถึงเวลาก็บ้านกูจะต้องทำให้ดี เพราะเป็นบ้านของกูชัด ๆ เป็นเรื่องของกิเลสที่หลอกเราอยู่ เพราะฉะนั้น..ถ้าเราแยกสมมติออกจากปรมัตถธรรมไม่ได้ พัวพันกันอยู่เราก็ดิ้นไม่หลุด เพราะสมมติก็มีความจริงแบบสมมติ แต่เป็นสมมติสัจจะ แต่ว่าปรมัตสัจจะนี่จริงแท้ ถ้าอยู่ในระหว่างที่เหยียบเรือสองแคมอยู่ ก็ยังมีโอกาสที่จะพลาดได้ ก้าวข้ามไปเสียเลยก็หมดเรื่องหมดราว

เถรี
23-11-2012, 19:08
หลายต่อหลายสำนักตำหนิในเรื่องของพิธีกรรมต่าง ๆ โดยที่ไม่ได้ดูถึงภูมิปัญญาคนโบราณว่า เขาแฝงการกระทำความดีไว้ในทุกสิ่งทุกอย่าง เด็กเพิ่งจะหัดเดินไปบอกว่าให้อ่าน ก.ไก่ ข.ไข่ อยู่ทำไม ? ไปเรียนปริญญาเอกเลย..ดีที่สุด..เด็กยังไม่ทันจะเข้าอนุบาลจะเรียนได้ไหม ?

พระพุทธเจ้าท่านเปรียบกำลังใจของคนไว้ว่ามี ๔ ระดับ ระยะหลัง ๆ นี่ระดับเนยยะมีมาก ในเมื่อเนยยะมีมาก เราก็ต้องเอื้ออาทรเขาหน่อย ช่วยกันสงเคราะห์เขาหน่อย

ต้องบอกว่าท่านที่ปรารถนาในปรมัตถธรรมส่วนเดียว โดยที่ยังตำหนิในเรื่องของสมมติอยู่ ยังเข้าถึงธรรมไม่จริง ถ้าเข้าถึงธรรมจริง ๆ จะมองเห็นทั้ง ๒ ฝั่ง ไม่ไปตำหนิเขาว่าไปอยู่ฝั่งนั้นทำไม ถ้าเขาชอบเสื้อเหลืองก็ให้เขาอยู่ไป หรือถ้าเขาชอบเสื้อแดงก็หุบปาก อย่าไปทะเลาะกับเขาสิ หรือไม่ก็เอาเหลืองกับแดงมาผสมกันเป็นสีส้ม ได้สีเดียวกับจีวรพระก็จบแล้ว..!

เถรี
23-11-2012, 19:11
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : การศึกษาปริยัติเป็นการดูแผนที่ ปฏิบัติคือการเดินทางในพื้นที่จริง แผนที่เราทิ้งไม่ได้ แต่อย่าเชื่อแผนที่จนเกินไป เพราะกว่าเราจะรู้ว่าความหมายในแผนที่คืออะไร เราต้องผ่านอย่างนั้นก่อน นั่นก็คือต้องเปิดใจให้กว้าง พยายามพิจารณาทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา ถ้าจะเอาให้ปลอดภัยเลยก็คือ ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเท่านั้น ไม่อย่างนั้นแล้วจะแบกทิฐิมานะไปชนกับคนอื่นเขา

เถรี
23-11-2012, 19:16
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่แล้วปัจจุบัน ถ้าไม่ใช่พุทธิจริต ก็จะเป็นโทสะจริต ซึ่งทั้ง ๒ อย่างต้องอาศัยการหวดแรง ๆ ถึงจะรู้ตัว พุทธิจริตจะฉลาด ถ้าจะหวดต้องดูช่องให้ดี แต่ก็ต้องหนักมือ

โทสะจริตนี่นอกจากขี้โมโหแล้ว ยังมีอุปนิสัยแข็งกร้าว ต้องอัดหนัก ๆ เหมือนกัน แต่ทั้ง ๒ ประเภทนี้ เขาต้องเจอบุคคลที่เขาศรัทธา ไม่อย่างนั้นจะไม่ยอมลงให้ ตีให้ตายก็เท่านั้นแหละ"

เถรี
23-11-2012, 19:20
พระอาจารย์เล่าว่า "ก่อนเข้าพรรษา มีชาวบ้านแถวตลาดพาลูกมาบวช แต่ท่องคำขานนาคไม่ได้ เจอด่ากลางโบสถ์ไป เขาย้ายลูกไปอยู่วัดอื่นเลย เขาบอกว่าลูกเขารับไม่ได้ อะไรจะขวัญอ่อนขนาดนั้น นับว่าโชคดีที่ย้ายไป ไม่อย่างนั้นคงอยู่ไม่พ้นพรรษา เพราะระยะนี้พระใหม่โดนกันแทบทุกวัน

ทำอะไรยังขาดความรอบคอบ ถ้าปล่อยให้เลยไปเขาก็จะไม่จำว่าผิดตรงไหน เพราะฉะนั้น..พลาดเมื่อไรต้องใส่ตรงนั้นเลย ถ้าโดนอย่างนั้นแล้วจะจำไปนาน"

เถรี
23-11-2012, 19:44
พระอาจารย์เล่าว่า "ก่อนออกพรรษา ๓ วันอาตมาไปผ่าเหงือกมา เหงือกบวมมาตั้งแต่วันที่ ๒๕ แต่ต้องไปคุมห้องสอบนักธรรมอยู่ จึงปลีกตัวไปหาหมอไม่ได้ จนปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ ท้ายสุดเหงือกบวมใหญ่ประมาณ ๒ ข้อนิ้วชี้ พอวันอาทิตย์ไปให้หมอผ่า ปรากฏว่าเขารีดหนองออกมาบานเลย หมอบอกว่า “พระคุณเจ้ากลับไปตรวจสอบด้วยว่า ฟันมีปัญหาหรือเปล่า ?”

คุณหมอมาถึงก็ล้วง ๆ ควัก ๆ บีบ ๆ เค้น ๆ อาตมาก็คิดว่า "กูไม่ร้องไม่ใช่ไม่เจ็บนะ.." เหงือกบวมขนาดนั้น แรงดันข้างในขนาดนั้น ต้องปวดจนเห็นดาวเห็นเดือนอยู่แล้ว ท้ายสุดหมอฉีดยาชาให้ ๔ - ๕ เข็มแล้วก็ผ่า ผ่าเสร็จยังสอดท่อระบายเอาไว้ให้อีก แต่ยัดลึกเกินไป เลยที่ยาชาออกฤทธิ์ก็เลยสะดุ้งเฮือก ยังดีที่ไม่ได้ร้อง

พอกลับวัดไปวันแรก รุ่งขึ้นก็ออกพรรษาไม่ต้องบิณฑบาต แม่ชีต้มข้าวต้มให้ เป็นข้าวต้มเห็ดหอม เขาตักเห็ดหอมมาเกือบทั้งชามเลย คนเจ็บเหงือกจะไปเคี้ยวได้อย่างไร ? อาตมาก็เลยได้แต่ซดน้ำไปหน่อยหนึ่ง มื้อต่อไปเป็นข้าวต้มอีก ฝืนฉันลงไปได้ ๓ คำก็ต้องวางอีกเพราะเค็มจนฉันไม่ได้

รุ่งขึ้นก็ปีนเขาไปตักบาตรเทโวฯ มีแรงเดินก็บุญโขแล้ว ถ้าเทโวฯ อย่างเดียวตอนบ่ายจะได้พัก แต่ตอนบ่ายมีกฐินต่ออีก อาตมาได้แต่นั่งยิ้มกับตัวเอง ถ้าหงายตึงลงไปนี่จะไม่แปลกเลย..!"

เถรี
23-11-2012, 19:48
"เรื่องของกรรมเขาไม่เว้นให้หรอก เผลอเมื่อไรเขาก็เอาคืน ถ้าเคยทำก็ต้องคืนเขาไป สมัยเด็ก ๆ อาตมาชอบตกปลา เป็นนักล่ามือฉมัง ขนาดลุยน้ำลงไปถึงเอวยังตกปลาได้ ปกติพอคนลงน้ำปลาก็จะหนีหมด คราวนี้ชายฝั่งที่ทำเลดี ๆ ผู้ใหญ่เขายึดไปหมด แล้วเราจะทำอย่างไร อยากตกปลาก็ต้องลุยลงไปกลางนาเลย น้ำแค่เอวก็ยังอุตส่าห์มีปลามากินเบ็ดอีก ตอนนี้ก็เลยต้องไปให้เขาผ่าเหงือกเสียบ้าง จะได้รู้ว่าปลาเจ็บอย่างไร

เรื่องของความเจ็บปวดทรมาน ถ้าไม่ได้ระดับที่เขาต้องการเขาก็ไม่เลิก อาตมาก็เลยต้องทนอยู่ ๓ - ๔ วันกว่าจะได้ไปหาหมอ

ต้องยอมรับว่าตักบาตรเทโวฯ ปีนี้ กว่าจะเดินถึงยอดเขานี่เหนื่อย เพราะสภาพร่างกายไม่อำนวย พระเขาเห็นพระอาจารย์เดินรวดเดียวถึงยอดเขาได้ก็ยิ้ม ไม่รู้หรอกว่าตอนนำทำวัตรข้างบนอาตมาหายใจไม่ทันแล้ว อาศัยเชิงดีต่างหาก ถึงเวลาเปลี่ยนลมหายใจนี่เขาไม่รู้ ถ้าสวดลากเสียงยาวแสดงว่าตั้งใจจะเปลี่ยนลมหายใจ พอลากเสียงกังวานยังไม่ทันจะขาด ก็ได้จังหวะเปลี่ยนลมหายใจแล้วสวดต่อได้"

เถรี
23-11-2012, 20:12
ถาม : เดินอยู่เฉย ๆ มีแมลงสาบวิ่งมาจากไหนไม่ทราบ มองไม่เห็นเขา ตอนก้าวเดิน ส้นเท้าลงไปโดนเขาดัง 'เป๊ะ' ก็รีบยกขึ้นทันที... ถ้าเรามีสติดีกว่านั้น เขาจะไม่ตายหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้าเวรกรรมมานี่สติดีแค่ไหนก็ตาย น้ำหนักทิ้งลงไปแล้ว คนที่ไม่ได้ฝึกมาจนชินนี่ยั้งไม่อยู่หรอก นั่นเป็นกตัตตากรรม คือกรรมที่ไม่เจตนา เขาเองเคยมีกรรมเนื่องกับเรามา พอถึงเวลาอย่างไรก็ต้องมาตายเพราะเรา

เมื่อเดือนก่อนน้องเล็กขับรถตอนดึกเข้าวัด ปรากฏว่าพอถึงสี่แยกแก่งเสี้ยน จะเลี้ยวซ้ายก็มัวแต่ดูรถข้างขวามืออยู่ หมาเดินตัดหน้ารถกระชั้นชิด เสียงดัง “พลั่ก” น้องเล็กก็เบรก อาตมาเลยบอกว่า ไปเลย..ไม่ต้องไปใส่ใจ พอวิ่งต่อเสียงดัง “กรึบ” หมาแหกปากร้องสนั่นหวั่นไหวไปสามบ้านแปดบ้าน น้องเล็กเขาก็ใจเสีย อาตมาบอกไปว่าไม่ตายหรอก หมาร้องแบบนี้ยืนยันได้เลยว่าไม่ตาย เพราะถ้าหมาตายจะร้องไม่ออก คาดว่าคงโดนทับแถว ๆ ปลายเท้าโดยเฉพาะเล็บ เจ็บมากถึงได้ร้องขนาดนั้น

ปรากฏว่าไม่กี่วันผ่านไปเห็นนอนอยู่หน้าบ้าน น้องเล็กเขาก็ใจไม่ดี บอกว่าไม่ตายก็จริง แต่จะลุกขึ้นหรือเปล่า ? พอวันก่อนเห็นเดินอยู่ก็สบายใจแล้ว ไม่ได้เป็นอะไรมาก

เรื่องเวรกรรมที่ผูกพันมา ซึ่งไม่น่าจะโดน มัวแต่ไปเหลียวมองขวา หันมาอีกทีรถถึงตัวแล้ว หักหลบไม่ทัน

เถรี
23-11-2012, 20:30
ถาม : สมเด็จวัดระฆังของท่านคิดราคาเท่าไรคะ ?
ตอบ : คิดแค่ ๑๐ ล้านบาท อาตมาติดตัวมาหลายปีแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ ขี้เกียจเอาเข้าตลาดพระ เข้าไปแล้วช้ำใจ

มีอยู่ช่วงหนึ่งทางนายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่อง เขาไปบูชาหลวงปู่ทวดเนื้อว่านพิมพ์ใหญ่มา ราคา ๒.๕ ล้านบาท อาตมาเห็นว่าของตัวเองสวยกว่าตั้งเยอะ จึงให้ทิดเก่งเอาไปแหย่เขาดูหน่อย ว่าให้ราคาเท่าไร ปรากฏว่าเขาให้หนึ่งแสน..! สวยกว่าของเขาตั้งเยอะนะ..ให้หนึ่งแสน แต่ของเขาบูชามา ๒.๕ ล้านบาท คราวนี้เห็นหรือยังว่าราคาเซียนดุขนาดไหน ?

สมเด็จวัดระฆังของอาตมา ถ้าอยู่ในวงการราคาไม่หนี ๕๐ - ๖๐ ล้านบาท แต่ที่ไม่สามารถไปถึงขนาดนั้นได้ เพราะเราไม่มีราคาเซียนบวกไปด้วย ถึงได้บอกว่าถ้าออกมาขอแค่ ๑๐ ล้านบาทพอ

เถรี
23-11-2012, 20:35
เขาเองก็มาบ่นว่า "ทำไมไม่ค่อยมีพระใหม่เข้าวงการ ?" เข้าไปทีไรแล้วพวกเอ็งก็ไปทำกับเขาอย่างนั้น ทีของตัวเองค้าขายกันองค์หนึ่ง ๕๐ - ๖๐ ล้านบาท แต่ของคนอื่นเข้าไปให้เขานิดเดียว เล่นไม่แบ่งให้คนอื่นเขากินบ้างเลย

ที่จริงอาตมามีเบญจภาคีครบชุดเลยนะ แต่พระรอดท่านลงไปดูแลบ้านวิริยบารมีเสียแล้ว ตอนยกเสาเอกบ้านนี้แหละ อาตมาใส่ลงไป แล้วเห็นไหมว่าท่านรอดจริง ๆ น้ำท่วมแค่ไหนก็ไม่โดนไปกับเขาด้วย

ถาม : พระของหลวงพ่อฤๅษีมี... ?
ตอบ : เรื่องของพระเครื่องบอกแล้วว่า วัตถุมงคลเป็นเครื่องส่ง กำลังท่านส่งเป็นปกติอยู่แล้ว สำคัญตรงเครื่องรับคือเรานี่แหละ ถ้าเครื่องรับดีก็ได้เยอะหน่อย เครื่องรับไม่ดีก็ได้น้อยหน่อย

ถาม : เครื่องรับดีทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ศีล สมาธิ ปัญญา

เถรี
23-11-2012, 20:40
พระอาจารย์เล่าว่า "วันตักบาตรเทโวฯ ถามโยมสูงอายุที่มาจากทางด้านบ้านสองแคว หนองบัว สามพระยา ว่า “เป็นอย่างไรโยม..สบายดีหรือ ? ” โยมเขาตอบเป็นหลักธรรมมากเลยว่า “ยังพอไปได้มาได้อยู่..ครูบา” อาตมาฟังแล้วรู้สึกว่าเป็นคำตอบที่นักปฏิบัติยังไม่สามารถจะเค้นออกมาได้เลย แต่ชาวบ้านเขาตอบออกมาจากใจ

อาตมาถามว่า "ได้กลับบ้านบ้างไหม ?" เขาบอกว่าไม่ไปแล้ว เป็นคนไทยกันหมดแล้ว แผ่นดินไหนที่อยู่สุขอยู่สบาย เขาก็อยู่กันไป

อย่างที่ทำวิจัยเรื่องของพระแม่เจ้าจามเทวี พอมาตอนช่วงท้าย ๆ มีการรบกับทางด้านละโว้ กระทั่งทางพุกามก็ยกมารบด้วย ท้ายสุดชาวเมืองหริภุญชัยจำนวนหนึ่งก็เลยหนีไปอยู่ที่สะเทิม ก็คือสุธรรมวดี อาณาจักรมอญ เพราะพูดภาษาใกล้เคียงกัน คุยกันรู้เรื่อง อยู่ไปอยู่มามีความสุข เพราะว่าทางอาณาจักรมอญเป็นอาณาจักรพุทธศาสนา อยู่สุขอยู่เย็นมากก็เลยไม่กลับ

จึงกลายเป็นธรรมเนียมว่า ทางด้านหริภุญชัยพอถึงเวลาเดือน ๑๒ จะทำตามประทีปลอยโคมส่งไปเพื่อถามข่าวคราวญาติทางนั้น"

เถรี
26-11-2012, 20:15
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาไปแม่ฮ่องสอนมาหลายครั้ง คราวที่สนุกที่สุดก็คือ ไปแจกของร่วมกับท่านจิตโต แถว ๆ ห้วยไก่ป่า ห้วยกองเป๊าะ เอารถวิ่งลุยน้ำไปหลายกิโลเมตรเลย วิ่งไปตามลำห้วย ที่แย่ที่สุดก็คือ เป็นรถยนต์คันแรกที่เข้าไปในรอบปี พวกเด็กกะเหรี่ยงก็เลยเดินมาคลำรถ เขาไม่เคยเห็นรถ ลูบ ๆ คลำ ๆ เล่นเอารถลายพร้อยทั้งคัน

เด็กกะเหรี่ยงตั้งใจจะมากินก๋วยเตี๋ยว ถือชามมาคนละใบ เพราะพวกเราส่งข่าวไปว่าจะเอาก๋วยเตี๋ยวไปเลี้ยงตอน ๘ โมงเช้า เขารอแล้วรออีก มาได้กินตอนเกือบ ๆ ๖ โมงเย็น เร่งเตาแก๊สกันอุตลุดกว่าน้ำจะเดือด เห็นเขากินกันอย่างมีความสุขแล้ว อาตมาคิดว่า..ชีวิตหนึ่งของเขาได้กินก๋วยเตี๋ยวเขาก็มีความสุขแล้ว อะไรจะเรียบง่ายขนาดนั้น พวกเรานี่ขึ้นเหลาไปจ่ายมื้อหนึ่งเป็นพัน ยังไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย

ถึงได้บอกว่า บุคคลที่ร่ำรวยต้องเจือจานคนจน จะให้ทุกคนรวยเท่ากันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะสร้างบุญมาไม่เสมอกัน ในเมื่อเราเจือจานคนจน คนจนก็จะเป็นพื้นฐานให้แก่เรา เวลามีอะไรเขาก็ช่วยเหลือเรากลับมา เรามีเงินเขามีแรงงาน ก็สมประโยชน์ด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย แต่ถ้าจะเอาความรวยอย่างเดียว ไปไม่รอดหรอก

คุณรวยแค่ไหนคุณก็ตัดตัวเองออกจากสังคมไม่ได้ มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม ถ้าไม่ใช่บุคคลหวังความหลุดพ้น หลีกไปอยู่คนเดียวเพื่อปฏิบัติ พวกที่เหลืออยู่ไม่ได้หรอก ขืนไปโดดเดี่ยวอย่างนั้น เดี๋ยวตัวเองก็เฉาตาย"

เถรี
26-11-2012, 20:19
พระอาจารย์กล่าวว่า "กฐินปลดหนี้ปี ๒๕๕๖ ว่าจะไปวัดป่าพระพุทธบาทเขาน้อย ช่วยสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๕๐ ศอก แปลว่าปีหน้าวัดนี้จะได้เงินจากพวกเรา ๒ ครั้ง ก็คือวันแม่กับวันกฐิน ท่านทั้งหลายเหล่านี้กำลังใจเหลือล้น ถ้ามีคนหาเงินให้กูทำทุกอย่าง..!

รอบนี้ท่านอาจารย์วันชาติบอกว่า.. "เสียท่าไปหน่อย เราดันไปเอ่ยปาก พอเอ่ยปากว่าเราจะทำ พรหมเทวดาโมทนาไปแล้ว จะถอยก็ขายหน้า.." อาตมาก็เลยบอกกับท่านว่า จะไปยากอะไรเล่า บอกเขาว่า ในเมื่อโมทนาแล้วก็ช่วยหาเงินให้ด้วยสิ"

หมายเหตุ : ท่านอาจารย์จะทอดกฐินปลดหนี้ ปี ๒๕๕๖ ที่สำนักสงฆ์ของพระอาจารย์มหาณรงค์ศักดิ์ ฐิติญาโณครับ

เถรี
26-11-2012, 20:22
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาไปได้หลวงพ่อนากน้อยมาองค์หนึ่ง โยมเขาถวายมา เป็นพระประจำตระกูลของเขา น่าจะมีเนื้อทองสัก ๗๐ เปอร์เซ็นต์ หน้าตักประมาณ ๕ นิ้ว ก็คงตกเป็นสมบัติของวัดท่าขนุนต่อไป"

เถรี
26-11-2012, 20:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปกติแล้วญาติโยมที่จองกฐินมักจะถามว่า ทางวัดตั้งยอดไว้เท่าไร วัดอื่น ๆ เขาตั้งเอาไว้ ๕ แสนบาทบ้าง ๑ ล้านบาทบ้าง อาตมาเลยบอกว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน โยมหามาได้ ๓๐๐ บาท ถือว่าประสบความสำเร็จ”

ปีถัดมาปี ๒๕๔๐ เศรษฐกิจตก โยมมาถามใหม่ “ปีนี้จะตั้งยอดกฐินไว้ที่เท่าไร ?" อาตมาบอกว่า "ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี เอามา ๙ บาทก็พอ” ปี ๒๕๔๑ มาถามซ้ำอีก บอกไปว่า “เออ...ปีนี้ดีขึ้นมาหน่อย เอามา ๑๖ บาท”

ถามมา ๓ ปีแล้ว เล่นเอาโยมเลิกถามไปเลย ถ้าญาติโยมมีศรัทธาก็หามาสิ จะมากจะน้อย ยอดเงินไม่ใช่สิ่งสำคัญในกองกฐิน สิ่งสำคัญในกองกฐินคือผ้าไตร"

เถรี
26-11-2012, 20:47
ถาม : เมื่อวันออกพรรษา ผมอธิษฐานขอให้แก้วบารมีประจำตัวมาร่วมบารมี ปรากฏว่ามีแก้วในวันรุ่งขึ้นมาด้วย ขออนุญาตท่านช่วยพิจารณา
ตอบ : ไม่ต้องพิจารณาหรอก เก็บเอาไว้เถอะ..ส่วนใหญ่ท่านเหล่านี้จะมาอำนวยความสะดวกในเรื่องของความเป็นอยู่ และเรื่องของบริวาร ถ้ามีอะไรก็นึกถึงเทวดาที่ท่านรักษาแก้ว ขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์ความสะดวกคล่องตัวในเรื่องนี้ ๆ

แต่จะก้ำกึ่งกันอยู่ในระหว่างสัมมาทิฐิกับมิจฉาทิฐิไปเลย เพราะสิ่งที่มาไม่มีรูปลักษณ์ของพระรัตนตรัย พอจะทำอะไรให้นึกถึงพระเป็นหลักไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวโดนดึงเป๋ไปเรื่อย เพราะของอย่างนี้พอถึงเวลาแล้ว ทุกอย่างจะสมเหตุสมผลและลงตัวไปหมด แต่อาจจะเป็นการทดสอบก็ได้ แล้วเราอาจจะเผลอสอบตก จึงต้องยึดพระรัตนตรัยเป็นหลักไว้ก่อน

ถาม : เพิ่งทราบว่าพระอาจารย์เคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน
ตอบ : แก้วคู่ตัวของอาตมาดูแล้วน่าจะเป็นมรกต ถ้าเป็นมรกตก็คงราคาแพงหูตูบ

ถาม : ไม่ทราบว่า ของผมพอจะเป็นยอดจักรพรรดิหรือมหาจักรพรรดิครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ถ้าถึงระดับนั้นต้องเคยเป็นมาก่อน ถ้าไม่เป็นมาจะไม่มีดวงแก้วประจำตัว แสดงว่าในอดีตของคุณสักชาติหนึ่งต้องเคยเป็นระดับนั้นมาแล้ว

ถาม : เขามาเองครับ
ตอบ : ส่วนใหญ่ก็มาเองทั้งนั้นแหละ เพราะถ้าไม่มาเองก็ไม่ใช่ของแท้ รักษาไว้ให้ดี หมดจากเราไปแล้ว ขอให้เป็นมรดกของลูกหลานได้ด้วย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็หายไปเองอีก

เถรี
26-11-2012, 21:05
ถาม : เขาไปนับถือผี
ตอบ : ต้องมีขอบเขตอย่างที่เมื่อครู่บอกไปว่า จะทำอะไรก็ตาม เราต้องนำด้วยพระรัตนตรัยไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเตลิดไปไกล

คราวนี้มีปัญหาตรงที่ว่า เราถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ไม่มีที่พึ่งอื่นใดยิ่งไปกว่า แล้วอยู่ ๆ เราก็เปลี่ยนจุดหมายไปถือผี กลายเป็นว่าเราจะเป็น อัญญัตสัตถุเทสหรือเปล่า ? อยู่ในลักษณะถือศาสดาอื่นแทนพระรัตนตรัย เพราะฉะนั้นต้องระมัดระวังให้ดี ถ้าเรากำลังใจวางผิดจุดนิดเดียวจะกลายเป็นมิจฉาทิฐิไปเลย แล้วจะโดนดึงเป๋ไปเรื่อย ๆ

ถาม : พ่อก็เป็น แม่ก็เป็น
ตอบ : เขาเป็นอย่างไรก็เป็นไปสิ ถึงเวลาเราไปด้วยความเคารพ แต่เรายึดพระรัตนตรัยเป็นที่หนึ่ง คุณจะเก่งคุณจะยิ่งใหญ่อะไรผมไม่คัดค้าน ผมจะให้ความเคารพตามปกติ แต่ที่เราเคารพที่สุด หนึ่งเดียวในชีวิตก็คือพระรัตนตรัย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็โดนหลอกไปเรื่อย

เถรี
26-11-2012, 21:09
ช่วงประมาณ ๒ - ๓ เดือนที่แล้ว มีเหตุการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้นกับอาตมา ก็คือ วันหนึ่ง อยู่ ๆ ก็รู้สึกขึ้นมาว่า เอ๊ะ... สมเด็จองค์ปฐมไม่ได้อยู่กับตัวเรา เมื่อลองคลำ ๆ ดู ปรากฏว่าไม่อยู่จริง ๆ ตอนนั้นกำลังเดินทางไปสอนหนังสือที่ มจร.วัดใต้ ก็สงสัยว่าท่านไปไหน เพราะตอนช่วงนั้นพกแก้วอินทนิลอยู่ จึงไปตามหาทั่วทั้งกุฏิเรือนไทยก็ไม่มี ไปที่ตึกแดง ท่านเสด็จไปอยู่ใต้หมอน ก็กำหนดใจถามเทวดาที่ท่านรักษา ท่านบอกว่า “อ๋อ...มีแก้วแล้ว ไม่ต้องไปด้วยก็ได้” อาตมาฟังแล้วรู้สึกแปลกใจอย่างไรก็ไม่รู้

พอมาอีกไม่นานแหวนจักรพรรดิหาย หาเท่าไรก็ไม่เจอ พอกำหนดใจถึงเทวดาที่ท่านรักษาแหวน ท่านบอกว่ามีแก้วแล้ว ไม่ต้องมีท่านก็ได้ อาตมาก็คิดว่า "ไม่ได้แล้ว..เรื่องนี้เราไม่เชื่อ เพราะว่าแก้วอย่างไรก็ไม่ใช่พระ ต่อให้แก้วมีอานุภาพเหนือกว่าจริง ๆ เราก็ถือพระเป็นใหญ่.."

อย่าหลงประเด็นนะ..ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเราจะไปยึดของอื่นแทน แล้วคุณเป็นใครมาจากไหน ถึงคุณจะมาช่วยงานผมก็จริง แต่คุณไม่ใช่สิ่งที่ผมยึดถือนี่ ไม่อย่างนั้นจะหลงตามเขาจริง ๆ เถียงกันไปเถียงกันมา ท้ายที่สุดท่านต้องคืนแหวนจักรพรรดิมา แต่ขอโทษ..ไปเจอที่ไหนรู้ไหม ? ในเครื่องซักผ้า โดนเหวี่ยงเสียบู้บี้หมดเลย อาตมาก็เลยต้องเอามาดัดกว่าจะคืนรูปตามเดิม

เถรี
26-11-2012, 21:12
แต่แปลกมาก..ขนาดวงแหวนหักเลยนะ แต่เพชรไม่เป็นอะไรเลยสักเม็ดเดียว อาตมาเคยยืนยันว่า แหวนจักรพรรดิของหลวงพ่อวัดท่าซุง ถ้ามีลายเซ็นท้องแหวนจะติดกัน ตอนนี้ของอาตมาไม่ติดแล้ว หักไปเรียบร้อยแล้ว หน้าตาเหมือนเดิมทุกประการ มีรอยขีดเพิ่มมาขีดหนึ่งเพราะหักไปแล้ว

ของอย่างนี้บางทีเป็นการทดสอบกำลังใจเรา สิ่งที่ได้มาอาจจะมีอานุภาพสูงมาก ให้ผลทางด้านลาภผลบริวารสูงมาก แต่ว่าไม่ใช่พระรัตนตรัย ในเมื่อเราถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เราก็ต้องเอาพระเป็นหลัก เขาอาจจะมีการทดสอบกัน ดูว่าเราจะหลงประเด็นหรือเปล่า ? ถึงขนาดพระท่านเล่นด้วย

ถ้าอาตมานอนอยู่แล้วท่านตกก็ต้องอยู่บนที่นอน แต่นี่ท่านไปอยู่ใต้หมอนเรียบร้อยเลย เหมือนกับเจตนาหยิบวางเอาไว้ อย่างนี้เป็นไปไม่ได้ ยกเว้นว่าเจอทดสอบ อาตมาเป็นคนขี้ระแวง เจออะไรระแวงไว้ก่อนว่าจะโดนทดสอบ

ท่านมาช่วยเหลือ อาตมาก็ยินดีและโมทนาด้วย ยินดีรับการช่วยเหลือ แต่ไม่ใช่อาตมาจะคล้อยตามจนกระทั่งยึดท่านเป็นที่พึ่งที่ระลึก เหมือนอย่างกับที่เราเคยยึดพระ..นั่นไม่ใช่ เพราะฉะนั้น..อย่าหลงประเด็นนะ ใครโดนอย่างนี้เข้า ถ้าเขาเลี้ยวออกจากพระเมื่อไรนี่เราอย่าไปด้วย ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ไม่ไป

เถรี
26-11-2012, 21:19
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : นึกถึงพระได้ ก็บอกแล้วว่าจะเริ่มอะไรต้องเริ่มด้วยพระ ถ้าเราจะใช้วัตถุมงคลอะไรที่ไม่มีสภาพของความเป็นพระ เราก็นึกถึงพระก่อน ถ้าเป็นองค์พระเป็นพระพุทธหรือพระสงฆ์ เรานึกได้ง่ายอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นของอย่างอื่น เช่น ตะกรุด ลูกอม ลูกแก้ว ให้นึกถึงพระไว้ก่อน ถ้าโดนดึงให้หลงทางแล้วต้องเดินทางอีกนานมาก อาตมาเหนื่อยแล้ว..เข็ดแล้ว..ไม่เอาด้วยแล้ว

เถรี
26-11-2012, 21:21
แม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังโดนทดสอบอยู่เป็นปกติ บางทีก็นึกว่าจะสอบไปถึงไหนวะ ? เขาช่างมีความพยายามจริง ๆ รู้ว่าสอบอย่างไรอาตมาก็ตกยาก ก็ยังจะสอบอีก ทำให้เจ็บนั่นป่วยนี่ อาตมาก็ว่าดี..ยิ่งเจ็บป่วยมากเท่าไร ก็ยิ่งเห็นความไม่ดีของร่างกายมากเท่านั้น ถ้าเอ็งทำให้ข้าแข็งแรงด้วย รวยด้วย ชื่อเสียงโด่งดังด้วยนี่อาจจะหลงตามไปได้ แต่ถ้าป่วยอย่างนี้ดีจริง ๆ อย่างไรก็ไม่หลงตามไป อย่างนี้แหละดีแน่..!

เถรี
26-11-2012, 21:24
ถาม : การดูจริยาของผู้อื่น ?
ตอบ : ถ้าชื่นชมเอาเป็นตัวอย่าง..ไม่เป็นไร ถ้าเห็นเขาทำผิดพลาด เอามาสอนใจเราว่า เราจะไม่ทำอย่างนั้น..ไม่เป็นไร แต่อย่าไปตำหนิเขาด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ถ้าตำหนิเขาในลักษณะนั้น คือการที่เราไปสนใจจริยาคนอื่นแล้ว ไม่เกิดประโยชน์อะไร นอกจากทำให้ใจเราเศร้าหมองเอง

เถรี
26-11-2012, 21:29
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในการจัดดอกไม้ ถ้ามีธูปเทียนอยู่ด้วย ธูป ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทียน ๒ คือ ตัวแทนของพระธรรมโดยตรง ก็คือ โลกียธรรม โลกุตรธรรม เพราะเทียนเขาหมายถึงความสว่างที่เป็นดวงปัญญา โดยเฉพาะความสว่างของพระธรรม บูรพาจารย์มักจะแทรกปริศนาธรรมต่าง ๆ เอาไว้ อยู่ในหลักการปฏิบัติบ้าง อยู่ในศาสนพิธีบ้าง ขึ้นอยู่กับว่าเราจะตีความออกไหม ? เข้าถึงไหม ?

ปกติแล้วเราจะจุดธูปแล้วค่อยจุดเทียน ถ้าที่ไหนก็ตาม เขาเตรียมธูปเทียนไว้พร้อม มีการใส่น้ำมันไว้ด้วย เราจะจุดธูปก่อนแล้วจุดเทียน แต่ถ้าที่ไหนที่เขาไม่พร้อม เราต้องจุดเทียนก่อนแล้วเอาธูปไปต่อจากเทียน แต่มาระยะหลังเห็นจุดเทียนก่อนแล้วจุดธูป เขาก็เลยบอกว่าเป็นการจุดเทียนธูป เป็นวลีที่ไม่สะดวกลิ้น แต่จริง ๆ ก็คือจุดธูปจุดเทียน

อาตมากำลังคิดว่าจะออกหนังสือสักเล่มหนึ่งชื่อว่า กลิ่นธูปควันเทียน มีบรรยากาศผี ๆ หน่อย ตอนนี้ปกิณกธรรมไป ๓ เล่มแล้ว สัพเพเหระไป ๑ เล่ม เดี๋ยวลองดูว่ากลิ่นธูปควันเทียนจะออกไปทางไหน"

เถรี
26-11-2012, 21:35
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยเด็ก ๆ เขาจะว่าพวกผู้หญิงไม่ดีว่า นางกะแหร่ง พอเวลานางร้ายออกมาเล่นงานนางเอกมาก ๆ ก็จะมีคนออกมาด่าว่า "อีนางกะแหร่ง" กว่าจะรู้ว่าคำว่ากะแหร่ง แปลว่าตอแหล ก็เมื่อตอนข้ามไปฝั่งพม่าแล้ว เป็นภาษาพม่าเต็ม ๆ เลย กะแหร่งแปลว่าตอแหล

คำที่ติดตลาดมาจนถึงสมัยนี้ ก็คือคำว่า "เชย" ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๘ จนป่านนี้เชยยังติดตลาดอยู่ เกิดจากนิยายเรื่อง ๓ เกลอ พล นิกร กิมหงวน มีคุณลุงเป็นเศรษฐีบ้านนอก ชื่อลุงเชย ลุงมาทำกะป้ำกะเป๋ออยู่ในกรุงเทพฯ ประจำ ก็เลยเรียกลุงเชย คำนี้ก็เลยเอาไว้สำหรับคนที่ทำอะไรไม่ค่อยทันสมัย ไม่ถูกที่ถูกทาง

ชิ้น แปลว่า คู่รัก เหมือนคำว่ากิ๊กในสมัยนี้ สมัยก่อนเขาจะถามว่า เป็นชิ้นกับเธอหรือเปล่า ? ประมาณนั้นแหละ เวลาไปอ่านหนังสือเก่า ๆ เจอคำพวกนี้จะได้รู้ มีพวกเด็ก ๆ หลายคน เวลาอ่านหนังสือแล้วก็งง เข้ามาถามว่าคำนี้หมายความว่าอะไร อาตมาก็ต้องอธิบายให้เขาฟัง"

เถรี
26-11-2012, 21:43
"นายกะเต ก็คือนายสถานีรถไฟ มาจากคำว่า Station สมัยก่อนเขาเรียกตามความสะดวกลิ้นว่ากะเตชั่น ไม่เรียก Station ดังนั้น..ถ้าเป็นนายสถานีจึงเรียกว่านายกะเต

ถ้าเป็นสมัยพุทธกาลก็อย่างนางกีสาโคตมี กีสะแปลว่าผอม นางกีสาโคตมีหุ่นเธอผอม ถ้านางถูลนันทา ก็หุ่นแบบเดียวกับหยก ถูละแปลว่าอ้วน ถ้าอุจจะหรืออุจโจ แปลว่าสูง ที่นอนสูงที่นอนใหญ่ เขาใช้คำว่า อุจจาสะยะนะ สะยะนะก็คือที่นอน มหาสะยะนา ก็คือที่นอนใหญ่"

เถรี
27-11-2012, 23:08
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนอาตมาไม่สบาย นอนหลับแล้วก็ฝันไปเรื่อยว่า สถานการณ์บ้านเมืองเราปีหน้าไม่ค่อยจะดีนัก การที่พยายามจะโค่นล้มรัฐบาลจะเข้มข้น ถึงขนาดอาจจะมีการลอบสังหารบุคคลสำคัญ แล้วก็ป้ายโทษให้ทางรัฐบาล

อะไรจะทำกันได้ขนาดนั้นก็ไม่รู้ พอสะดุ้งตื่นขึ้นมา อ้าว..ฝันไปนี่หว่า แต่ปีหน้าพระผู้ใหญ่สำคัญหลายรูป ก็น่าจะถึงวาระ"

เถรี
27-11-2012, 23:24
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่คนเป็นพ่อแม่จะรักลูกมากเกินไปไม่กล้าตี ไม่กล้าลงโทษ แต่พอเก็บกดมากเข้า ๆ ทนไม่ไหว ไปตีระบายอารมณ์ ทำให้เด็กจะไม่เชื่อถือ

คนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องมีความมั่นคงในอารมณ์ ผิดก็คือผิด ถูกก็คือถูก ลงโทษก็คือลงโทษ ให้รางวัลคือให้รางวัล เด็กเขาจะรับได้ แต่ถ้าปล่อยให้ผิดไปเรื่อย ๆ จนทนไม่ไหว แล้วค่อยไปตี เด็กเขาไม่รับรู้ด้วย เพราะว่าเขาลืมไปแล้ว แต่คนเป็นพ่อเป็นแม่ไปเก็บเอาไว้ซะเยอะ เขาเห็นว่าผิดหน่อยเดียว ทำไมตีซะเยอะแยะขนาดนั้น เมื่อเห็นว่าตัวเองโดนลงโทษแบบไม่ยุติธรรม เขาก็จะเริ่มดื้อ..!

แบบชินจัง..โดนแม่ลงโทษ เขกหัวจนปูดเป็นลูกมะกรูด เด็กญี่ปุ่นเขกหัวไม่เป็นไร แต่ถ้าตีก้นนี่เรื่องใหญ่ บ้านเรานี่ตีก้นได้ แต่อย่าตีหัว "

เถรี
27-11-2012, 23:28
"สมัยก่อนอาตมาเลี้ยงเด็กแบบปล่อย ถ้าเขาซนแบบไม่มีอันตราย จะปล่อยให้เล่นไปเลย อยากเล่นมีดก็ส่งให้อีกเล่ม พอโดนบาดเข้าก็จะไม่เล่นอีก อยากเล่นไฟใช่ไหม ? เอาไปอีก เดี๋ยวเดียวร้องจ๊ากเข้าให้ ต่อไปส่งให้แล้วเขาเดินหนีเลย

จำไว้ว่าเด็กอยู่ในลักษณะที่ว่า ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ฉะนั้นอย่าไปห้าม ปล่อยเขาไป ประเภทบันได ๑๐ กว่าขั้น ตกสักครั้งต่อไปไม่กล้าลงบันไดหรอก อาตมาเลี้ยงหลานนี่พ่อแม่เขาจะหัวใจวายตาย แต่พอถึงเวลาเขายอมรับว่าเด็กรู้เรื่อง ไม่รู้เรื่องไม่ได้เพราะนอกจากไม่ห้ามแล้วยังยุส่ง อยากเล่นนักใช่ไหม ? เอาไปเลย ไปหาประสบการณ์จริงเอาเอง..!"

เถรี
02-12-2012, 19:50
ถาม : บันไดบ้านควรตั้งอยู่ทิศใดของบ้าน ?
ตอบ : เรื่องของบันไดเขาดูขั้นมากกว่า ส่วนใหญ่เขาให้ขั้นบันไดเป็นเลขคี่ ๑-๓-๕-๗-๙-๑๑ อย่าให้ลงเลขคู่

ถาม : ทิศที่เราขึ้น ?
ตอบ : จะขึ้นด้านไหนก็ช่างเถอะ ทิศของบันไดเขาไม่คิด ยกเว้นตำราฮวงจุ้ยของจีนที่บางทิศก็ห้ามตั้งเหมือนกัน แต่เราไม่ควรฟุ้งซ่านขนาดนั้น เอาแค่นี้ก็พอแล้ว ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็ต้องรื้อบ้านอีก..!

เถรี
02-12-2012, 20:00
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระกริ่งมีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศจีน ในส่วนของพระพุทธศาสนามหายานถือว่าเป็นพระหมอ ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยให้อาราธนาท่านทำน้ำมนต์ ดื่มเข้าไปรักษาโรคได้ หรือติดตัวไว้ก็จะแคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตราย

เมื่อความเชื่ออย่างนี้แพร่หลายออกไป บรรดาพ่อค้าที่ไปค้าขายต่างประเทศสมัยก่อน ต้องไปเรือสำเภากันข้ามปี จึงพกพระกริ่งติดตัวมา การค้าขายสมัยนั้นส่วนใหญ่ก็ค้าขายกับอยุธยากับละโว้ พอพ่อค้าจีนเข้ามาถึงเมืองไทย คนไทยจึงทราบในอานุภาพของพระกริ่ง ก็เลยมีการสร้างขึ้นมาบ้าง

ตำราพระกริ่งที่ค่อนข้างเป็นที่ยอมรับกัน ปรากฏขึ้นครั้งแรกโดยสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชสมัยอยุธยา เชื่อกันว่าท่านเป็นคนริเริ่มสร้างขึ้นมา"

เถรี
02-12-2012, 20:07
"ความจริงแล้วพระกริ่งทางสายมหายาน เขาจะจารึกอักษรธรรม แล้วก็หลอมเป็นเม็ดกริ่งใส่ไว้ในองค์พระ เวลาเขย่าทีหนึ่งก็เท่ากับว่าได้สวดมนต์บทนั้นไปด้วย ส่วนใหญ่คนจีนนิยมก็คือคำว่า โอม มณี ปัทเม หุม

คนที่ไม่มีเวลาก็ใช้วิธีแกว่งกงล้อมนต์บ้าง หมุนกงล้อมนต์บ้าง นับลูกประคำบ้าง พระกริ่งก็อยู่นัยเดียวกัน ก็คือ เวลาเขย่าทีหนึ่งก็เท่ากับว่าตนเองสวดมนต์ไปรอบหนึ่ง คราวนี้การเขย่าของที่มีเสียงดังอยู่ข้างใน คนไทยเขาว่าดัง "กริ่ง ๆ" เขาก็เลยเรียกว่า พระกริ่ง แต่คนที่คิดมากพยายามลากเข้าหาบาลี เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ก็เลยไปไกลเกินเหตุ

เขาไปเปรียบกับบาลีว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันตเจ้าก็ดี เมื่อบรรลุมรรคผลแล้ว ก็มานั่งพิจารณาว่า การที่เข้าถึงมรรคถึงผลนี้ได้ เกิดจากการหนุนส่งของกุศลกรรมอะไรหนอ บาลีเขาว่า กิง กุสโล คำว่ากิงก็คืออะไร อย่างเช่น กิงนะระ ก็คือคนอะไร ที่เรามาเรียก กินนร กินนรี นั่นแหละ"

เถรี
02-12-2012, 20:11
"พระกริ่งของไทยเราที่สร้างแล้วชื่อเสียงโด่งดังที่สุดก็คือ พระกริ่งที่สร้างโดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ จำนวนสร้างน้อย เพราะว่าโลหะต่าง ๆ ที่รวบรวมนั้นมานั้น ใช้ตำรานวโลหะของไทย ไม่ได้สร้างตามแบบของจีน

ปกติโลหะก็มีพลังอำนาจในตัวอยู่แล้ว อย่างเช่น การแพทย์ของจีนบอกว่าร่างกายของคนเรา นอกจากมีดิน น้ำ ลม ไฟแล้ว ยังมีธาตุไม้ ธาตุทองด้วย ธาตุทองก็คือโลหะธาตุ เพราะฉะนั้น..บางทีเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ตำรายาต้องเข้าทองคำเปลวด้วย หรือไม่อย่างยาหอมอำพันทองของปราสาททองโอสถ ก็จะเป็นยาหอมปิดทอง ถือว่ากินโลหะทองเข้าไปเสริมธาตุ พอธาตุสมบูรณ์จะได้ไม่เจ็บป่วย

การเจ็บไข้ได้ป่วยบางอย่างเกิดจากความบกพร่องของธาตุ พอใช้พระกริ่งที่สร้างจากนวโลหะแช่น้ำทำน้ำมนต์แล้วดื่มเข้าไป ก็เลยทำให้รักษาโรคบางอย่างได้ เมื่อมาประกอบไปด้วยพุทธมนต์ ก็ยิ่งมีอำนาจในการรักษาโรคที่ผิดไปจากปกติธรรมดาได้มากยิ่งขึ้น"

เถรี
02-12-2012, 20:17
"ตามประวัติเล่าว่า สมเด็จพระวันรัต (แดง) วัดพระเชตุพนฯ ป่วยเป็นอหิวาตกโรค ซึ่งสมัยนั้นคนเป็นโรคนี้ตายอย่างเดียวเลย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เสด็จไปเยี่ยม พอเห็นเข้าก็ตรัสว่า สมเด็จพระอุปัชฌาย์ ก็คือสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ได้สร้างพระกริ่งเป็นพระหมอรักษาโรคไว้ จะรีบกลับไปวัดบวรนิเวศน์วิหาร เพื่อไปอัญเชิญพระกริ่งมาทำน้ำมนต์รักษาโรคให้

สมเด็จพระวันรัต (แดง) กราบทูลว่า ถ้าเป็นพระกริ่งของสมเด็จมหาสมณเจ้าฯ นั้น ไม่ต้องกลับไปวัดบวรฯ หรอก ที่นี่ก็มีอยู่องค์หนึ่ง จึงอัญเชิญพระกริ่งออกมา สมเด็จมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงทำน้ำมนต์ให้ พอฉันเข้าไปแล้วหายจากอหิวาต์จริง ๆ

เราจะเห็นได้ว่า แม้กระทั่งบุคคลที่ถือว่าเป็นคนรุ่นใหม่ ไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้ง่าย ๆ อย่างสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ก็ยังให้ความเคารพ ยังเชื่อถือในวัตถุมงคลที่สมเด็จพระอุปัชฌาย์ของท่านสร้างขึ้นมา ตำราพระกริ่งเมื่อสืบทอดมาจากสมเด็จพระวันรัต (แดง) ก็มาโด่งดังในสมัยสมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศน์เทพวราราม

ที่ดังเพราะว่าสมเด็จพระสังฆราช(แพ) ท่านเล่นแร่แปรธาตุมาก่อน สมัยนั้นมักจะนิยมหลอมโลหะให้เป็นทอง ในเมื่อท่านได้ตำราสร้างพระกริ่งมา ก็อาศัยความสามารถพิเศษในการเล่นแร่แปรธาตุ ผสมนวโลหะเพื่อหล่อพระกริ่ง ท่านเล่นแร่แปรธาตุขนาดที่ว่า หลอมโลหะแต่ละครั้งใช้ถ่านหมดไปหลายลำเรือ"

เถรี
02-12-2012, 20:22
ถาม : ถ้าทำบุญเราต้องอุทิศให้ตัวเองไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าเราทำบุญเราได้บุญเองแล้ว ทำเองได้เองแล้วจะอุทิศไปทำไมเล่า ? การอุทิศเป็นการให้กับคนอื่น

เถรี
02-12-2012, 20:33
พระอาจารย์กล่าวว่า "การซ่อมพระพุทธรูป เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงได้เบญจกัลยาณี ตอนสมัยคุณปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก ได้นางงามจักรวาล มีโยมไปถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า ทำบุญอะไรถึงได้เป็นนางงามจักรวาล ? หลวงพ่อท่านบอกว่า ต้องมีเมตตาพรหมวิหารเป็นปกติ ต้องมีศีลเป็นปกติ และที่สำคัญคือต้องเคยซ่อมพระพุทธรูปเก่า ทำของเก่าให้สวยงามขึ้นมาใหม่

ฉะนั้น..ถ้าใครคิดจะเกิดใหม่ ให้ซ่อมพระพุทธรูปเอาไว้บ้างนะ อาตมาไม่ได้ซ่อมพระพุทธรูปอย่างเดียว โบสถ์ก็ซ่อม แต่ขอบอกว่าซ่อมของเก่านี่ยากมาก ทำของใหม่เลยดีกว่า ซ่อมโบสถ์เก่ายิ่งรื้อก็ยิ่งเจอส่วนที่ชำรุด สร้างโบสถ์ใหม่หลังหนึ่งใช้เวลาไม่กี่เดือน เพราะอาตมาทำส่วนใหญ่คนพร้อม ของพร้อม เงินพร้อม

แต่พอซ่อมโบสถ์เก่าหลังหนึ่งใช้เวลาเป็นปีเลย เพราะยิ่งรื้อก็ยิ่งเจอจุดที่ชำรุด โดยเฉพาะโบสถ์เก่าเป็นไม้ระแนง เพื่อให้เขาเอากระเบื้องขอไปเกี่ยว ๆ ติดไว้ พอนานหลายสิบปี ไม้ระแนงก็ผุ แต่ที่ทรงตัวอยู่ได้เพราะขอกระเบื้องเกี่ยวกันประคองอยู่ พอเราเริ่มรื้อก็พังเลย..!"

เถรี
02-12-2012, 20:40
"ประมาณปี ๒๕๓๒ อาตมาธุดงค์ไปทางทองผาภูมิ ก็ไปกราบขอความรู้จากหลวงปู่สาย วัดท่าขนุนนั่นแหละ เห็นว่าชายคาโบสถ์ทรุดพังลงไปซีกหนึ่ง จึงกราบเรียนถามหลวงปู่ว่า "หลวงปู่จะไม่ซ่อมชายคาโบสถ์สักหน่อยหรือครับ ?" ท่านบอกว่า "เดี๋ยวก็มีคนมาทำให้" สรุปว่าคนที่มาทำให้ นั่งอยู่ตรงนี้นี่แหละ...(หัวเราะ)...

พอคล้อยหลังมาอีก ๑๒ ปี ตอนนั้นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัด คือหลวงพ่อพระเทพเมธากร ท่านส่งอาตมาไป บอกว่า "วัดหลวงปู่สายโทรมเต็มทีแล้ว อาจารย์เล็กไปช่วยทำให้ใหม่หน่อยสิ" อาตมาก็เลยต้องไปเริ่มซ่อมเริ่มสร้าง ทำอยู่ได้ ๒ ปี คือปี ๒๕๔๔ - ๒๕๔๕ พอปี ๒๕๔๖ ท่านส่งไปเป็นเจ้าอาวาสวัดทองผาภูมิ อาตมาไปทำวัดทองผาภูมิอยู่ประมาณ ๑๐ กว่าเดือน ท่านก็เรียกกลับมาช่วยที่วัดท่ามะขามของท่าน พอปี ๒๕๕๑ กลับไปเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ที่ซ่อมไว้โทรมหมด ต้องเริ่มลงมือทำใหม่อีกแล้ว

ถ้าวัดวาอารามไม่มีเจ้าอาวาสที่ค่อนข้างเข้มงวด พระเณรก็ปล่อยปละละเลย วัดจะโทรมเร็ว อย่างปัจจุบันวัดท่าขนุนเป็นที่เลื่องลือไปทั้งทางคณะสงฆ์และชาวบ้าน เข้มงวดถึงขนาดขอมติคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิว่า ถ้าพระภิกษุสามเณรรูปใดรูปหนึ่งโดนไล่ออกจากวัดท่าขนุน เพราะการกระทำที่ละเมิดพระวินัยหรือระเบียบวัด ขอให้วัดที่เหลืออย่ารับไว้ ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่กลัวโดนไล่ออกจากวัดกัน"

เถรี
02-12-2012, 20:45
"ปรึกษากันอยู่นาน ในที่สุดก็ตกลงเพราะได้ประโยชน์ด้วยกันทุกฝ่าย ถ้าคนของเขาโดนไล่ออกมา ทางวัดเราก็ไม่รับเหมือนกัน สรุปว่าถ้าใครอยู่วัดหรือสำนักสงฆ์ในทองผาภูมิ แล้วไปทำผิดระเบียบวัดหรือผิดพระวินัย โดนไล่ออกมาเมื่อไร ๕๑ วัดกับ ๑๖ สำนักสงฆ์ไม่มีใครรับคุณหรอก เพราะว่าถ้ารับไปเมื่อไร เวลาประชุมสงฆ์ทุกวันที่ ๕ ของเดือน ก็จะโดนพวกยำกลางที่ประชุม เพราะดันไปฝืนมติเอง

ถามว่าโหดร้ายเกินไปหรือเปล่า ? ถ้าคนเราไม่มีที่ให้ต้องกลัวบ้าง ก็จะทำชั่วไปเรื่อย ฉะนั้น..บางอย่างจึงจำเป็นต้องเข้มงวด มีญาติโยมเอาลูกมาบวช แล้วละเมิดระเบียบวัด อาตมาบอกกับพ่อแม่เขาเลยว่า เอาลูกคุณออกจากวัดไปก่อน ไปอยู่ที่วัดอื่นที่เขาเข้มงวดน้อยกว่านี้ ถ้าโดนไล่ออกเดี๋ยวจะอยู่ในทองผาภูมิไม่ได้เลย คุณเป็นคนมีชื่อเสียงที่นี่ จะทำให้เสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูลไปด้วย

เขาถามว่าอาจารย์เข้มงวดไปหรือเปล่า ? อาตมาบอกว่าไม่เข้มเกินไปหรอก สมัยหลวงปู่สายหนักกว่านี้อีก คุณทันหลวงปู่ก็รู้อยู่ แต่เขาว่าอาจารย์ไม่ให้เกียรติเขา เขาเลยไม่มาทำบุญที่วัด อาตมาก็ว่าไม่เป็นไร ขาดคุณไปสักคนวัดไม่ล่มหรอก แต่ถ้ามีลูกคุณอยู่คนหนึ่งวัดอาจจะพัง..!

ของบางอย่างเพื่อส่วนรวม เราก็ต้องเสียสละส่วนน้อย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ให้สละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ ให้สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต ให้สละทั้งทรัพย์ อวัยวะ และชีวิตเพื่อรักษาธรรม ถือว่าอาตมาทำตามที่พระพุทธเจ้าสอนก็แล้วกัน ถึงจะเถรตรงไปหน่อยก็ช่างมันเถอะ"

เถรี
02-12-2012, 20:48
ถาม : พระอาจารย์ไปยุโรป ประเทศไหนบ้างคะ ?
ตอบ : ไปฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ และเบลเยี่ยม ๕ ประเทศ ส่วนอังกฤษถ้ามีเวลาว่าง น่าจะไปประมาณปลาย ๆ เดือนมีนาคม

เถรี
02-12-2012, 21:50
ถาม : พระเวสสันดรเอาชนะใจพระนางมัทรีอย่างไร ?
ตอบ : ท่านอธิษฐานตามกันมา พระนางมัทรีอธิษฐานว่า ขอเป็นสำเภาทองรองรับพระองค์ท่านเพื่อข้ามสู่วัฏสงสาร ชาติที่เป็นพระนางมัทรีก็เลยโดนบริจาคเป็นทาน

ถาม : มีชาติที่พระโพธิสัตว์ต้องเอาชนะ ต้องได้ตัวมาให้ได้ ?
ตอบ : ชาติที่เป็นพระเจ้ากุสราช ท่านเกิดมาหน้าตาขี้ริ้ว โผล่หน้าเข้าไปพระมเหสีตกใจจนเป็นลม..!

ถาม : ผมต้องเอาชนะนางแก้วด้วยการอธิษฐานใช่ไหมครับ ?
ตอบ : คุณจะเอาชนะเขาไปทำไมวะ..!?

ถาม : ต้องเอาชนะใจเขาให้ได้ เพื่อจะดึงเขามา
ตอบ : คิดดี พูดดี ทำดีไว้ เดี๋ยวเขาก็ดีกับเราเอง

สมัยก่อนอาตมาไม่เคยชวนคนเข้าวัดแม้แต่คำเดียว คบหากันเฉย ๆ กินด้วย เที่ยวด้วย เล่นด้วยทุกอย่าง แต่เวลามีงานวัดก็บอกเขาว่า ช่วงนี้ไปไหนไม่ได้เพราะต้องไปวัด แล้วเราก็ไปของเรา ไม่ชวนเขาไปหรอก ผ่านไป ๗ ปี เขาอดรนทนไม่ได้ ถามว่าวัดมีอะไรดี ทำไมถึงต้องไปทุกครั้ง อาตมาบอกว่าถ้าอยากรู้ต้องไปดูเอง เท่านี้ก็เสร็จเรา..เข้าวัดจนได้ ไม่เห็นต้องชวนสักคำ

ถาม : ถ้าพ่อแม่เขาไปหาผู้หญิงมาให้เรา ?
ตอบ : ไม่มีประโยชน์ ต้องเราหาเอง พ่อแม่พามาบางทีไม่ใช่ ไม่ถูกใจหรอก

เถรี
02-12-2012, 22:17
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่อยากให้วัตถุมงคลมีราคาแพง เพราะถ้าแพงแล้วคนจะเข้าถึงน้อย ท่านตั้งราคาสมเด็จพระคำข้าว สมเด็จหางหมากไว้องค์ละ ๑๐ บาท ดูซิว่าตอนนี้ราคาไปถึงไหนแล้ว ? อุตส่าห์สร้างไว้เป็นล้านองค์ ท่านบอกว่า "ต่อไปของข้าจะพอ ๆ กับสมเด็จวัดระฆัง" ดูท่าจะใกล้เคียงแล้ว ล่าสุดเท่าที่ได้ยินมา สมเด็จองค์ปฐมทองคำเขาสู้กันที่ ๔ แสนบาท ยังไม่รู้ว่าจะไปถึงขนาดไหน เพราะสร้างแค่ไม่กี่องค์ ราคา ๔ แสนนี่เพื่อนกันด้วยนะ...

เดี๋ยวนี้เขาเอารูปสมเด็จองค์ปฐมทองคำที่อาตมาถ่ายไว้ไปลงในเว็บต่าง ๆ อยู่เรื่อย แล้วก็บอกว่าไม่รู้ว่าของใคร อยากจะบอกว่าของอาตมาเอง แต่ขี้เกียจบอก เพราะคนอื่นถ่ายแล้วไม่สวยอย่างที่เราถ่าย และถ้าบอกไปเดี๋ยวเขาก็มาตื๊อขอบูชาอีก..!"

เถรี
03-12-2012, 08:46
ถาม : เราถือศีลแปดตั้งแต่เช้าถึงเที่ยง อานิสงส์ที่เราจะได้ ?
ตอบ : อานิสงส์เราได้อยู่แล้วตามระยะเวลาที่เราตั้งใจถือ ต้องดูตัวอย่างเทวดาที่เป็นคนใช้ของอนาถปิณฑิกเศรษฐี นั่นก็ถือศีล ๘ ครึ่งวันเหมือนกัน

พอหลังเที่ยงไปแล้ว ถ้าเรายังกินอาหารอยู่ก็ถือว่าศีล ๘ บกพร่องไป อานิสงส์ส่วนนั้นเราก็ไม่ได้ เวลาถือให้เราตั้งใจถือจริง ๆ เวลาที่เราจะกินเราก็กินตามปกติของเราไป แต่ถ้าทำในลักษณะเล่น ๆ อย่างเช่นนึกจะถือเมื่อไรก็ถือ นึกจะกินเมื่อไรก็กิน จะกลายเป็นปรามาสพระรัตนตรัย ให้ตั้งใจงดเว้นให้จริงจัง เวลาที่เราไม่สามารถรักษาต่อได้ เราค่อยละไป

เถรี
03-12-2012, 08:57
ถาม : ตอนที่เป็นพระชาดก พระโพธิสัตว์เกิดอยู่ในช่วงพุทธกาลหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ช่วงพุทธกาลนี้ พระพุทธเจ้ามีอยู่แต่ผ่านช่วงของพระองค์ท่านไปแล้วก็มี มีหลายต่อหลายช่วงในชาดกที่เกิดทันพุทธกาลแต่ไม่ใช่พุทธกาลนี้ อย่างสุเมธดาบสก็เกิดทัน จึงอธิษฐานกับพระพุทธเจ้าทีปังกรว่าขอสำเร็จพระโพธิญาณ พูดง่าย ๆ ว่าเกิดมาเจอบ้าง ไม่เจอบ้าง สลับกันไป ถ้าเกิดมาเจอทุกชาติไม่ได้อยู่ถึงพระโพธิญาณหรอก เจอทุกชาติเดี๋ยวก็ตัดใจไปพระนิพพานก่อน

ถาม : ช่วงที่โดนทดสอบหนักจะไม่ได้เกิดในพุทธกาลหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ก็ไม่แน่ ขึ้นอยู่กับว่าช่วงนั้นอยู่ในบารมีอะไร ถ้าเจอบารมีที่ต้องใช้การทดสอบหนัก ๆ ต่อให้เกิดร่วมสมัยพุทธกาล ก็อาจจะโดนหนัก ๆ ได้

เถรี
03-12-2012, 09:14
ถาม : เจอเรื่องน่ากลัวอยู่ตลอดเวลา ?
ตอบ : เป็นคนที่โชคดีต่างหาก ไม่ใช่คนแปลกประหลาด คนที่เจอเรื่องน่ากลัวอยู่ตลอดเวลาแล้วยังมีชีวิตอยู่ได้จนทุกวันนี้ ต้องถือว่าเป็นกำไร ส่วนใหญ่ถ้าไม่ช็อกตายก็จะตายไปในเหตุการณ์เลย ถือว่าเราสร้างบุญเอาไว้ดี ถึงเวลาได้ทดสอบอยู่เรื่อย ๆ ว่าบุญยังรักษาอยู่หรือเปล่า

อาตมาเองเป็นคนแปลกประหลาด พยายามตะเกียกตะกายไปหาเรื่องร้าย ๆ เพราะถ้าไม่มีอะไรร้าย ๆ บ้าง ชีวิตก็น่าเบื่อตายชัก เจออะไรพิลึก ๆ บ้างก็ดีจ้ะ เป็นรสชาติของชีวิตดี บันทึกเอาไว้บ้างเผื่อลูกหลานจะได้อ่าน

ถาม : เป็นเพราะในอดีตทำให้เราต้องเป็นแบบนี้ ?
ตอบ : เป็นเรื่องธรรมดาจ้ะ อย่าลืมว่าผลในปัจจุบันนี้เกิดแต่เหตุในอดีตที่เราทำไว้ ในเมื่อเราทำแบบนี้ เส้นชีวิตเราก็เดินแบบนี้ ถ้าเราไม่ต้องการแบบนี้ เราก็สร้างเส้นชีวิตใหม่ อยู่ในศีล ในสมาธิ ในปัญญาของเรา หรือทาน ศีล ภาวนา เดี๋ยวทางเดินเปลี่ยนก็ไม่เจอเอง แล้วเราก็จะเบื่อ ถึงเวลาก็ต้องตะกายไปหา ไม่เจอเรื่องโหด ๆ ในชีวิต รู้สึกเฉาบอกไม่ถูก

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เรื่องปกติจ้ะ เพราะถ้าคนเราสั่งสมศีล สมาธิ ปัญญาไปถึงระดับหนึ่ง จะรู้เรื่องพวกนี้โดยอัตโนมัติ แล้วน่าเบื่อด้วย เพราะเราก็ไม่ได้อยากรู้ เรื่องไหนที่เราต้องการรู้ ก็ใส่ใจนิดหนึ่ง เรื่องไหนไม่ต้องการรู้ ก็เหมือนกับลมผ่านไป รับรู้ก็ทำเหมือนไม่รับรู้ก็จบแล้ว ทีแรกเราเองยังไม่เคยชินก็จัดการไม่ถูก จะงง ๆ ว่าทำไมถึงต้องเป็นเราด้วย

เถรี
03-12-2012, 09:23
ถาม : ความคิดของทุกคนที่เข้ามา มีแต่แย่ ๆ ?
ตอบ : เก็บไว้เป็นบทเรียนว่าเราจะไม่คิดอย่างนั้น ไม่พูดอย่างนั้น ไม่ทำอย่างนั้น คนอื่นเขายังไม่รู้ว่าเป็นทุกข์เป็นโทษอย่างไร เขาถึงคิด ถึงพูด ถึงทำอย่างนั้น

ถาม : ไม่ได้ต้องการจะฟัง แต่ควบคุมไม่ได้ ?
ตอบ : ถึงได้บอกว่าฟังไว้เฉย ๆ อย่าไปคิดต่อ อย่าไปฟุ้งซ่านต่อ อย่าไปตำหนิใคร ถือเป็นธรรมดา รู้ก็คือรู้ ในเมื่อเราทำไว้อย่างนี้ เราจำเป็นต้องรู้ก็รู้ไว้ รู้แล้วอย่าไปใส่ใจก็หมดเรื่อง ถ้าไปใส่ใจไปครุ่นคิดเข้าเดี๋ยวเราจะไปเครียดเอง ไปแบกโลกแทน มีคนเขาบอกว่าโลกมีไว้เหยียบ ไม่ได้มีไว้แบก ไปแบกโลกแทนคนอื่นเขาเราก็หนัก

เราแก้ไขคนอื่นไม่ได้ ต้องแก้ที่ตัวเอง ในเมื่อเราเปลี่ยนความคิดเขาไม่ได้ เราก็ไม่ต้องไปใส่ใจความคิดเขา ก็หมดเรื่องแล้ว น่าจะมีเครื่องมือที่จับครอบเอาไว้ได้ จะได้ไม่ต้องไปฟังความคิด

ถาม : ทำอย่างไรที่เราจะไม่ไปฟังความคิดเขา ?
ตอบ : เราลองนึกถึงเรดาร์สนามบิน เขาเอาไว้ควบคุมการบินของเครื่องบินใช่ไหม ? นกกากี่ตัวเข้ามาก็รู้หมด แต่เขาเจาะเอาเฉพาะเครื่องบิน ถ้าไปสนใจนกพวกนั้นก็ประสาทกินตายพอดี เราก็ต้องใช้วิธีนั้นแหละ เลือกเฉพาะสิ่งที่เราสนใจ ในเมื่อเราไม่สนใจอย่างอื่น พอความชำนาญมีมากขึ้น ก็จะรู้ว่าควรจะละอันไหน ควรจะรับอันไหน อันไหนที่ดีเหมาะสมควรกับกาลเวลานั้นก็รับไว้ อันไหนไม่ดีเราก็ทิ้งไป

ฉะนั้น..ท่องไว้ว่า อันไหนเราจะรับ อันไหนเราจะละ เดี๋ยวพอทำได้คล่องตัวก็จะสนุก เหมือนกับเลือกเพชรพลอย อันไหนดีเราชอบก็เก็บไว้ อันไหนไม่ดีก็ทิ้งไป มีเฉพาะพวกนกกาก็ยังดี บางทีดันมีคนโยนถุงขยะมาอีก เครื่องดีก็รับได้หมดแหละ

อารมณ์ใจตอนนี้ ให้จำไว้ว่า เป็นอารมณ์ที่เราไม่รับข้างนอก แต่ถ้าเราตั้งใจมากกว่านี้นิดเดียวจะรับได้ทันทีเลย มี ๒ อย่าง ก็คือ ถอยออกมาให้อยู่ในช่วงนี้ หรือไม่ก็พุ่งเข้าไปลึกกว่านี้ เหมือนอยู่คนละช่องคลื่นก็รับกันไม่ได้แล้ว

ถาม : ถ้าตั้งใจเมื่อไรจะหายไปหมดเลย ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจลึกเกินไปจะไม่รู้ ถ้าตื้นเกินไปก็จะไม่รู้ เราต้องปรับของเราเอง ที่ผ่านมาเรายังปรับไม่เป็น

เถรี
04-12-2012, 14:15
ถาม : เด็กเขายังไม่รู้เหตุผล บางทีเขาซน ฟังไม่รู้เรื่อง ควรจะทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ห้ามเขาก่อนว่าอย่าทำอย่างนั้น ถ้าทำอีกจะตี ถ้าบอกไว้ก่อน ถึงเวลาเขาทำแล้วตี เขาจะรู้ว่าห้ามทำอย่างนั้น

ถาม : เขาจะไม่ก้าวร้าวหรือคะ ?
ตอบ :ไม่หรอก..ตีถวายเจ้าไปเลย..! จะเอาอะไรมาก้าวร้าวไหว

ถาม : หลวงปู่ทวดคือพระศรีอาริยเมตไตรยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : หลายคนคิดว่าท่านคือพระศรีอาริยเมตไตรย จริง ๆ ใช่หรือเปล่าอาตมาก็ยังไม่ได้ถามท่าน แต่หลวงปู่ทวดท่านนิรันตราย ใครมีท่านอยู่จะปลอดภัยจากอันตราย ต้องอาราธนาด้วยนะจ๊ะ ไม่ใช่มีไว้เฉย ๆ

เถรี
04-12-2012, 14:22
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่เพ่งกสิณน้ำ พอปฏิภาคนิมิตเกิดขึ้น บางทีตัวเองตกใจคิดว่าน้ำท่วม อุคหนิมิตของน้ำนั้นจะเป็นไปตามภาชนะที่ตัวเองใช้เพ่งกสิณ แต่พอเป็นปฏิภาคนิมิตจะขยายใหญ่เต็มไปหมด คนที่เผลอสติคิดว่าน้ำท่วมจริง ๆ ลืมไปว่านิมิตนั้นตัวเองควบคุมได้ นึกให้มาก็ได้ นึกให้หายก็ได้ เล่นเอาถลอกปอกเปิก เพราะไปว่ายน้ำหนีบนบก..!"

เถรี
04-12-2012, 14:37
พระอาจารย์กล่าวว่า "พรุ่งนี้จะเป็นวันทอดกฐินของวัดเขาวง หลวงตาก็ถือว่าลงรากปักฐานมั่นคงแล้ว แต่สำคัญตอนถ่ายโอน ถ้าไม่ได้เตรียมการไว้แต่เนิ่น ๆ จะมีปัญหา จากประสบการณ์ที่ผ่านมา พระที่ท่านอยู่วัดไหนก็มักจะยอมรับแต่เจ้าอาวาสคนเดียว ถ้าเจ้าอาวาสไม่มีการเตรียมการไว้ก่อน ถึงเวลาปุบปับสิ้นไปก็มักจะลายออก

อย่างวัดท่าขนุนจะมีรองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส เลขานุการเจ้าอาวาส ให้เขาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำหน้าที่ ช่วงที่อาตมาไม่อยู่จะมีคนสั่งการแทน เพื่อที่จะรู้ว่าควรจะฟังใครต่อ ถ้าปุบปับสิ้นอาตมาไปเขาก็อยู่กันได้

หลวงพ่อวิรัช ยังไม่นับว่ามั่นคง เหตุที่ยังไม่นับว่ามั่นคงเพราะว่า เจ้าคณะปกครองตามสายงานของเขายังไม่ไปมาหาสู่กันเป็นปกติ ก็แปลว่ายังไม่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง ส่วนใหญ่แล้วหลวงพ่อวิรัชเวลาท่านนิมนต์ก็มักจะไปนิมนต์สายหลวงพ่อวัดท่าซุง ความจริงเจ้าถิ่นนั้นสำคัญ ต่อให้เล็ก ๆ แค่เจ้าอาวาสใกล้เคียงก็สำคัญ อย่าว่าแต่เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด ซึ่งโดยสายการปกครองแล้วเขาเป็นเจ้านายโดยตรง ท่านทั้งหลายเหล่านี้จำเป็นต้องนิมนต์ท่านมาเพื่อให้เกิดความคุ้นเคยกัน ให้เกิดการยอมรับกัน

แต่ถ้าเป็นลูกศิษย์สายหลวงพ่อแล้วไปอยู่ที่ไหนเขามักจะยอมรับได้ง่าย เพราะเขาเห็นว่าบริวารมาก บริวารมากแปลว่ามีคนสนับสนุนมาก ถึงเวลาเขาก็จะให้การสนับสนุนไปด้วย"

เถรี
04-12-2012, 14:50
"เรื่องบางอย่างเป็นศิลปะของการดำเนินชีวิต ต่อให้คุณอยากทำหรือไม่อยากทำก็ต้องทำ สมัยก่อนพระที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านนิมนต์ไปงานเป็นประจำ ๆ จะมีประมาณ ๘๐ รูป อาตมากราบเรียนถามหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับ..พระที่นิมนต์มา ผมเห็นว่าเฮงซวยห่วยแตกก็เยอะมาก หลวงพ่อนิมนต์มาทำไมครับ ? ทำไมเราไม่นิมนต์พระอย่างหลวงปู่สมเด็จฯ วัดสามพระยา หลวงปู่มหาอำพัน หลวงปู่ครูบาธรรมชัย ล้วน ๆ”

ท่านบอกว่า “พระที่เอ็งบอกว่าไม่ได้เรื่อง ต่อไปท่านจะเป็นใหญ่เป็นโตในสายการปกครองภายหน้า ถ้าเอ็งรู้จักเอาไว้ก่อน ต่อไปทำอะไรก็สะดวก” ปัจจุบันนี้เห็นจริงแล้วเพราะบรรดาพระผู้ใหญ่ส่วนหนึ่ง ท่านก้าวเข้าไปสู่ตำแหน่งสำคัญ ๆ ทั้งนั้น ถึงเวลาท่านให้ความรู้จักมักคุ้นทักทาย จนกระทั่งคนอื่นเขายังงงว่าไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไร

ในเมื่อรู้จักมักคุ้นกัน ถึงเวลาเรานิมนต์งานของเราท่านก็มา คนอื่นเขาเห็นว่าพระผู้ใหญ่ระดับนั้นยังมา เขาก็เกรงใจ จะเห็นว่ากุศโลบายของหลวงพ่อวัดท่าซุงนั้นยอดเยี่ยมที่ว่า ท่านเอาพระทองคำอย่างหลวงปู่สมเด็จฯ วัดสามพระยาก็ดี หลวงปู่มหาอำพันก็ดี มาเป็นหลัก ส่วนที่เหลือก็เป็นคณะสงฆ์ในการรับสังฆทานที่ท่านถวาย ไม่ว่าท่านจะมีความบกพร่องอย่างไร แต่ว่าในเมื่อนับเป็นสังฆทาน นับเป็นส่วนหนึ่งของคณะสงฆ์แล้ว อานิสงส์ของเราก็ได้เต็มร้อยส่วน

อย่างวัดท่าขนุนช่วงงานหลวงปู่สาย ก็จะเป็นในส่วนของเจ้าคณะปกครองตั้งแต่ระดับภาค ระดับจังหวัด ระดับอำเภอ ระดับตำบล ระดับเจ้าอาวาส แต่ถ้างานทำบุญวันแม่ อาตมาก็เลือกเฉพาะพวกที่มั่นใจ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย งานนี้ญาติโยมอยากทำบุญก็ว่าให้เต็มที่ไปเลย งานนั้นถ้าจะทำบุญก็ตั้งใจเป็นสังฆทานไปเลย"

เถรี
04-12-2012, 14:54
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนหลวงพ่อวัดท่าซุงละสังขาร ฟ้ามืดมัวไป ๗ วันเต็ม ๆ ลูกศิษย์หลวงพ่อส่วนใหญ่ช่างสังเกต จะเห็นว่าฟ้าไม่ได้มัวเฉย ๆ แต่หนาวเยือก ๆ บอกไม่ถูก เขาก็เลยบอกว่า แม้กระทั่งฟ้าก็ยังอุตส่าห์แสดงความเศร้าโศกเสียใจด้วย อาตมารู้สึกว่าหลวงพ่อท่านดีใจต่างหากที่ท่านไป ไม่ต้องทรมานลากสังขารอยู่ต่อ ทำงานในสภาพความเป็นทิพย์สบายกว่า นึกจะเคาะกบาลใครเป็นการเฉพาะก็โผล่ไปเลย"

เถรี
04-12-2012, 15:02
ถาม : พุทธภูมิที่เข้าเขตปรมัตถ์ การเกิดเป็นหญิงจะมีหรือไม่ครับ
ตอบ : ตั้งแต่อุปบารมีขั้นปลายส่วนมากจะเกิดเป็นผู้ชายตลอด แต่ถ้าเจ้าชู้มากก็เกิดเป็นผู้หญิงสักชาติสองชาติ เอาให้เข็ด จะได้รู้บ้างว่าเวลาเขาอกหักช้ำใจนั้นเป็นอย่างไร

ถาม : พุทธภูมิเวลาลงนรกหรืออเวจี จะมีใครเหลียวแลไหมครับ ?
ตอบ : มี..นายนิรยบาลจะคอยดูแลให้..!

ถาม : ไม่มีใครคิดช่วยเหมือนฮิตเลอร์บ้างเลยหรือ ?
ตอบ : จะไปช่วยอย่างไรเล่า ? หลวงพ่อไปช่วยท่านฮิตเลอร์ เพราะท่านหลุดจากอเวจีแล้ว ท่านออกจากอเวจีมาจะลงอุสสทนรก ช่วงระหว่างกลางนิดเดียวเท่านั้น ถ้าคนไม่รู้จังหวะก็ช่วยไม่ทัน แต่หลวงพ่อท่านลงไปดักตรงนั้น บอกว่าจะบวชพระ ให้โมทนาด้วย ท่านฮิตเลอร์ก็กลายเป็นเทวดา พ้นนรกไปเลย ช่วงนิดเดียวเท่านั้น ถ้าไม่ได้รู้ระดับหลวงพ่อก็ดักไม่ทันหรอก

แต่ที่หลวงพ่อท่านไปช่วยเพราะว่าถ้าท่านฮิตเลอร์ไม่หลุดขึ้นมา ก็ไม่ทันระยะเวลาที่จะต้องเกิด จึงจำเป็นที่จะต้องไปช่วยขึ้นมา ส่วนคนที่เหลือก็ต้องปล่อยวาง ตัวใครตัวมันต่อไป ดูอยู่ห่าง ๆ เอาใจช่วยอย่างห่วง ๆ ไม่รู้จะลงไปให้โดนเผาด้วยทำไม ?

เถรี
04-12-2012, 15:15
ถาม : เหรียญทำน้ำมนต์ พอทองลอก ก็เลยเอาไปชุบไมครอน ?
ตอบ : แล้วก็เอามาเสกใหม่ด้วยอิติปิโส ฯ ๓ ห้อง กว่าจะครบ ๑๐๘ จบก็เหนื่อยจนลิ้นห้อย เหรียญทำน้ำมนต์ต้องการคนขยัน ถ้านั่งเสกเองได้จะดีที่สุด

เถรี
04-12-2012, 15:22
ขณะที่คนกำลังจัดพานดอกไม้อยู่ พระอาจารย์กล่าวว่า "สาระไม่ได้อยู่ที่ของประดับชิ้นเดียวหรอก ต้องทั้งหมดรวมกันนั่นแหละ องค์ประกอบจะขาดไม่ได้แม้แต่เม็ดทรายเม็ดเดียว ขาดเมื่อไรก็ไม่สมบูรณ์

เรื่องของหมู่คณะก็เหมือนกัน คนเดียวเป็นหมู่คณะไม่ได้ ๒ คนก็เป็นได้แค่เพื่อนร่วมทาง ต้อง ๓ คนขึ้นไป คราวนี้การที่หมู่คณะเดินทางร่วมกันสำคัญที่สุดก็คือถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เรื่องของกาย วาจา ใจ บางทีหนักนิดเบาหน่อย เราไม่ได้อยู่ร่วมกันมาตลอด มีการพลั้งเผลอผิดพลาดบ้างก็อภัยให้กัน ถ้าอย่างนั้นก็จะเหนียวแน่น อยู่ด้วยกันนาน ถ้าเป็นคนประเภทคิดเล็กคิดน้อย คนพูดไม่ทันคิดอะไร เราคิดแทนไป ๓ ชั่วโมงแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็อยู่กับใครยาก"

เถรี
04-12-2012, 15:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธพลังจิตทองคำเป็นแรงบันดาลใจให้อาตมาสร้างพระทองคำบ้าง อาตมาจึงตั้งโครงการจะสร้างพระทองคำฉลองอายุ ๖๐ ปี สอบถามช่างแล้วเขาบอกว่าใช้ทองคำประมาณ ๔๐ กิโลกรัม เริ่มสะสมตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ทองคำเป็นโลหะที่มีน้ำหนักมาก ถ้าเอาเงินกับทองมาเปรียบกัน ทองคำจะหนักกว่าเกือบสองเท่า ทองคำ ๒ บาทปริมาณจะเท่ากับเงิน ๑ บาท พระทองคำที่จะสร้างกำลังตัดสินใจอยู่ ๒ แบบ คือ สมเด็จองค์ปฐมแบบพระพุทธชินราช อีกแบบหนึ่งเป็นพระพุทธลีลาประทานพรแบบหลวงพ่อพระประธานพุทธมณฑล

แต่คราวนี้พระปางลีลาช่างคำนวณทองคำไม่ถูก เขาเคยแต่หล่อพระนั่ง พระยืนช่างยังคำนวณทองคำไม่ได้ ตอนนี้หัวหงอกไปแล้ว เขาบอกว่าอาจจะต้องหล่อเงินสักองค์หนึ่งก่อน เพื่อที่จะได้คำนวณได้ว่าใช้ทองประมาณเท่าไร ถ้าหล่อเงินอีกสักองค์อาตมาก็หมดอีกเป็นล้าน วันก่อนคำนวณคร่าว ๆ ว่า โครงการนี้น่าจะต้องใช้เงินถึงสามสิบล้านเศษ ๆ"

เถรี
04-12-2012, 22:03
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยที่อาตมาอยู่วัดท่าซุง ช่วงที่วัดมีงาน ก็จะมีระยะเวลา ๒ วันเป็นอย่างน้อย เพราะว่าต้องเตรียมงานล่วงหน้าด้วย แต่มีอยู่งานหนึ่งที่เป็นงานเป่ายันต์เกราะเพชร วันรุ่งขึ้นเป็นงานประจำปี จึงมีคนนอนค้างอยู่วัดประมาณสองแสนคนเห็นจะได้

ปรากฏว่าพระในวัดต้องฉันยาชูกำลัง บางท่านเอายาชูกำลังผสมกาแฟเลย..! สรุปว่าอาตมายืนด้วยกำลังของตัวเองจริง ๆ ไม่เอาพวกของแบบนี้เลย จนงานเสร็จผ่านไป อาตมาได้นอนคืนหนึ่งก็ลุกขึ้นบิณฑบาตได้ นอกนั้นสลบไสลหมดทั้งวัดเลย..! เพราะเขาใช้ทุนสำรองจนหมดเกลี้ยงแล้วอาตมาไม่ยอมใช้ทุนสำรองหรอก งานอย่างนี้ไปใช้ทุนสำรอง ถึงเวลาหมดแล้วหมดเลยก็ตายสิ..!

หลวงพ่อเองท่านก็ไม่ไหว ท่านแอบทำมือกับหลวงพี่ประทีป ทำท่าให้รู้ว่าเอายาชูกำลังใส่ลงไปในกาแฟให้ด้วย ยังไม่รู้ว่าถ้าเจอแบบนั้นตอนอายุเท่าหลวงพ่อนี้อาตมาจะไหวไหม เห็นท่านแอบทำมือแล้วยังขำ ๆ หลวงพี่ประทีปก็รู้ทันพนมมือรับ"

เถรี
06-12-2012, 10:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการมีบุตร พระพุทธเจ้าบอกว่า ๑. ชายหญิงอยู่ร่วมกัน ๒. หญิงนั้นอยู่ในวัยมีระดู ๓. สัตว์ที่จะเกิดนั้นมีอยู่ ฟังดี ๆ นะ..ชายหญิงอยู่ร่วมกัน ไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์ก็ได้ ตัวอย่างเช่นพ่อแม่ของสุวรรณสาม ต่างบวชต่างถือศีล ๘ ทั้งคู่ ในอดีตพ่อแม่ของสุวรรณสามเป็นหมอยารักษาตามีชื่อเสียงมาก รักษาใครต้องหายทุกราย

แต่มีเศรษฐีคนหนึ่งขี้โกง ตอนที่รักษาให้เศรษฐีสัญญาว่าจะให้เงิน พอถึงเวลารักษาหายแล้วกลับไม่อยากเสียเงิน จึงแกล้งบอกว่าไม่หาย พ่อแม่ของสุวรรณสามรักษาครบตามกระบวนการของตัวเองก็รู้ว่าเศรษฐีต้องหายแน่ บอกว่าไม่หายแสดงว่าตั้งใจโกง ก็เลยบอกว่า ถ้าท่านมาเอายาตำรับสุดท้ายไปหยอด คราวนี้น่าจะต้องหาย เศรษฐีเอายาไปหยอดก็ตาบอดไปเลย

พอมาเกิดเป็นพ่อแม่ของสุวรรณสามได้ออกบวชเป็นฤๅษีทั้งคู่ พระอินทร์ท่านเล็งเห็นว่า ถ้ากรรมเก่าที่ทำเศรษฐีตาบอดตามมา ดาบสทั้งสองก็จะต้องตาบอดตอนแก่ แล้วจะลำบากเพราะไม่มีใครดูแล พระอินทร์จึงลงมาแนะนำว่าให้มีลูกสักคนหนึ่ง แต่พ่อแม่ของสุวรรณสามบอกว่าตัวเองเป็นดาบสถือศีล ๘ อยู่ อย่างไรเสียก็ไม่ยอมทำลายศีล

พระอินทร์บอกว่า แค่เอามือสัมผัสหน้าท้องของดาบสินีก็พอ ดาบสบอกว่า ถ้าเพียงเท่านั้นก็ได้ พอเอามือแตะท้องของดาบสินีก็ตั้งท้องเลย เพราะฉะนั้น..ฟังให้ดี ๆ ที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า การที่จะตั้งครรภ์มีบุตรได้นั้น คือ สามีภรรยาอยู่ร่วมกัน ๑ ภรรยาอยู่ในวัยมีระดู ๑ สัตว์ที่จะเกิดมีอยู่ ๑ ถ้าครบสามส่วนนี้ก็สามารถตั้งครรภ์ได้"

เถรี
06-12-2012, 10:08
"เพราะฉะนั้น..ถ้าใครมาจ้องหน้าเรานาน ๆ ก็อย่าเผลอให้เขาแตะตัวของเรานะ เดี๋ยวจะท้องเป็นปลากัด เราลองนึกถึงว่าแค่เหงื่อมือเราก็มีดีเอ็นเอส่วนหนึ่งของเราแล้ว คราวนี้เรื่องของการเกิดนั้นมีความพิลึกพิลั่น มีความเป็นไปได้ของกรรม พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสว่าพุทธวิสัย ๑ ฌานวิสัย ๑ กรรมวิบาก ๑ โลกจิณไตย ๑ ไม่ควรคิด บุคคลที่คิดพึงมีส่วนของความเป็นบ้า

ดูอย่างคุณมงคลของเรา พ่อก็ทำหมันแม่ก็ทำหมัน แต่ก็ยังเกิดมาได้ จะว่าอย่างไรได้ บอกแล้วว่าพ่อกับแม่อยู่ด้วยกัน แม่อยู่ในวัยมีระดู สัตว์ที่จะเกิดนั้นมี ก็เกิดมาจนได้แหละ"

เถรี
06-12-2012, 10:25
ถาม : การเวียนว่ายตายเกิดสูงกว่า ?
ตอบ :สัตว์โลกปัจจุบันนี้ยิ่งเกิดยากเข้าไปอีก เพราะมีการคุมกำเนิด ดูอย่างคุณแม่ที่มีลูกแฝดแปด เขาไม่รู้จะเกิดที่ไหนก็ต้องประดังลงไปที่เดียว เพราะว่าเวรกรรมทำให้แปดคนนี้มาอยู่แถว ๆ นั้น แล้วก็เจอกรรมในลักษณะอย่างนั้น ๆ ในเมื่ออาศัยท้องคนข้างเคียงไม่ได้ คนนี้โอกาสเปิดเขาก็ลงพรวดเดียวเลย ทางการต้องยื่นมือเข้าไปช่วย ไม่อย่างนั้นก็เลี้ยงลูกไม่ไหว ได้ยินข่าวว่าตายไปคนหนึ่งแล้ว

แทนที่จะมาเป็นคู่หรือเป็นเดี่ยว กลับมาเป็นครอกเลย ครอกนะไม่ใช่คอก คอกหมายถึงที่ขังหมูขังหมา คำว่าครอกหมายถึงจำนวนสัตว์ที่เกิดมามาก ๆ ในชุดหนึ่ง

เถรี
06-12-2012, 10:31
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๕ พฤศจิกายน ลาวจะประกาศใช้ ๔ จีอย่างเป็นทางการ ช่วยกันโมทนากับเขาด้วยนะ ไม่รู้เขมรจะใช้เมื่อไร แต่เมื่อประมาณเดือนเมษายน อาตมาไปเขมรก็มีโฆษณาเตรียมใช้ ๔ จีแล้วเหมือนกัน พอดีลาวจัดประชุมอาเซม ก็เลยฉวยโอกาสประกาศใช้ ๔ จีให้โลกรู้ว่าเขาทันสมัยแล้ว

สรุปว่ารอบบ้านเราเปลี่ยนแปลงหมดแล้ว แต่เมื่อเช้าชื่นใจหน่อย รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการคนใหม่ประกาศยอมรับผลการวิจัยที่ว่า ประเทศไทยพูดภาษาอังกฤษได้แย่ที่สุดในอาเซียน เขาก็เลยจะหาทางกระตุ้นเด็ก ๆ ใช้ฝึกซ้อมภาษาอังกฤษให้ดีกว่านี้

อาตมาเองเพิ่งจะฝากหมอทศพร เสรีรักษ์ ไปว่า ช่วยคืนไม้เรียวให้ครู แล้วก็ให้เด็กสอบตกได้ เอาร้อยละ ๕๐ เป็นเกณฑ์ ไม่อย่างนั้นเด็กสอบตกไม่ได้ก็จะไม่สนใจเรียน แล้วดันไปยึดไม้เรียวจากครู ครูก็ตีเด็กไม่ได้อีก ฉะนั้น..การศึกษาเราจึงห่วยแตกจนรั้งท้ายสุดของอาเซียน ต่อไปจะรั้งท้ายสุดของโลกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ตราบใดที่ไม่คืนไม้เรียวให้ครูแล้วไม่ให้เด็กสอบตก ก็มีแต่จะบรรลัยไปเรื่อย

ถ้าเด็กสอบแล้วมีตก อย่างไรเขาก็ต้องอ่านหนังสือ จะเห็นว่าเด็กรุ่นอาตมาเกเรขนาดไหนก็ตามแต่มีความรู้ เพราะบังคับตัวเองให้อ่านหนังสือ ไม่อย่างนั้นจะสอบตก เด็กรุ่นใหม่พอสอบไม่ตกก็ไม่ใส่ใจแล้ว เวลาสอนครูสอนอยู่ข้างหน้าก็สอนไป ท้ายห้องก็นั่งแต่งหน้าทาปากไป รุ่นของอาตมามีแปรงลบกระดานบินได้ แต่รุ่นนี้ไม่มี"

เถรี
06-12-2012, 10:34
"ความคิดที่จะให้ทุกคนจบมาเสมอหน้ากันเป็นความคิดที่ดี แต่ทำให้เด็กส่วนหนึ่งไม่รับผิดชอบตัวเองเลย เด็กเราสอบคณิตศาสตร์โอลิมปิก ได้มา ๑๒ เหรียญทอง แต่ขณะเดียวกันอีกจำนวนมากเลยเรียนชั้น ป.๖ แล้วยังอ่านหนังสือไม่ออก เพราะฉะนั้น..อย่างไรก็ต้องให้ตก รุ่นที่อาตมาเรียน เข้าเรียนตอนอายุ ๘ ขวบ มีเพื่อนร่วมชั้น ป.๑ อายุ ๑๗ ปี แปลว่าเขาตกมา ๙ ปีแล้ว"

เถรี
06-12-2012, 13:07
พระอาจารย์กล่าวว่า "จังหวัดลำปางมีพระพุทธรูปสำคัญที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้ ก็คือพระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ ท่านพระราชทานให้ ๔ ทิศ ทิศเหนืออยู่ที่จังหวัดลำปาง ทิศตะวันออกอยู่ที่สระบุรี ทิศตะวันตกอยู่ราชบุรี ทิศใต้อยู่ที่พัทลุง ที่จังหวัดลำปางเขาเอาไว้บริเวณเดียวกับศาลหลักเมือง ฉะนั้น..ถ้าไปไหว้หลักเมือง เดินเลยไปหน่อยก็ได้ไหว้หลวงพ่อนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศด้วย

พระบาทสมเด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้พระราชทานพระแสงราชศาสตราให้แก่เมือง ซึ่งก็คือจังหวัดต่าง ๆ การพระราชทานพระแสงราชศาสตราครั้งสุดท้ายอยู่สมัยในหลวงรัชกาลที่ ๗ ผู้ที่รับพระแสงราชศาสตราไปเท่ากับถืออาญาสิทธิ์แทนในหลวง เพราะฉะนั้น..จะต้องเป็นคนที่ทรงคุณธรรมจริง ๆ ถ้าเป็นสมัยโบราณนี้สามารถประหารได้ค่อยกราบทูล

พอมารัชกาลที่ ๙ พระองค์ท่านทรงสร้างพระพุทธนวราชบพิตรพระราชทานแทน จนบัดนี้ยังได้ไม่ครบทุกจังหวัด คราวนี้การสร้างพระพุทธนวราชบพิตรไม่ได้ยาก ไปยากตรงพระผงกำลังแผ่นดิน ที่พวกเราเรียกว่า สมเด็จจิตรลดา พระพุทธนวราชบพิตร ๑ องค์ ในหลวงจะติดพระกำลังแผ่นดินไว้ที่ฐานบัว ๑ องค์ ก็เลยไปช้าตรงนั้น

เมื่อต้นปีเพิ่งจะได้ข่าวสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ พระราชทานพระพุทธนวราชบพิตร แสดงว่ายังได้ไม่ครบทุกจังหวัด จังหวัดเกิดใหม่ก็ยังไม่มี สรุปว่าพระพุทธนวราชบพิตรเป็นการพระราชทานแทนพระแสงราชศาสตรา"

เถรี
06-12-2012, 13:10
"แต่ละจังหวัดก็ไม่ค่อยที่จะได้ทำประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้เพื่อไปกราบไหว้ อาจจะเป็นเพราะว่าถ้าไว้ในที่เปิดหรือที่สาธารณะ อาจจะหายได้ ส่วนใหญ่ก็เก็บไว้ที่ศาลากลางจังหวัด อย่างจังหวัดกาญจนบุรีเขาเก็บอยู่ที่กองคลัง เก็บใส่ตู้เซฟไว้เลย แล้วจะไปไหว้กันอย่างไร ?

จริง ๆ แล้วน่าจะมีการอาราธนาให้ชาวบ้านได้บูชาได้สรงน้ำสักปีละ ๒ - ๓ ครั้ง ช่วงปีใหม่ สงกรานต์ หรือถ้าจังหวัดไหนมีความกระตือรือร้นหน่อย ก็รวมวันสำคัญทางศาสนาไปด้วย แห่เทียนพรรษาก็เอาพระพุทธนวราชบพิตรแห่นำขบวนไปเลย คนจะได้รู้กันทั่วมากกว่านี้ หรือไม่ก็เวลาสรงน้ำพระก็เอาพระพุทธนวราชบพิตรใส่รถแห่ทั่วเมือง เอาพระประธานองค์ใหญ่ใส่รถแห่ไปด้วย เอาพระสำคัญ ๆ ของจังหวัดแห่ไปด้วย

แต่พระพุทธนวราชบพิตรควรที่จะเป็นรถต่างหากคันหนึ่งไปเลยเพราะเป็นพระสำคัญที่ในหลวงพระราชทาน อาจจะเป็นเพราะว่างานของผู้ว่าแต่ละท่านล้นมืออยู่แล้ว งานของมวลชนพวกนี้ก็เลยไม่ได้ทำ งานมวลชนนี่ต้องให้นายก อบจ. ทำหนังสือขอยืมพระพุทธนวราชบพิตรไปแห่ให้ญาติโยมได้บูชากันบ้าง"

เถรี
06-12-2012, 13:14
พระอาจารย์กล่าวว่า "ควายธนูเขามีเคล็ดลับว่า ให้ใช้ไม้ไผ่ที่ล้มขวางทางช้าง และไม่ถูกช้างเหยียบแตก เขาถือว่าแคล้วคลาด เป็นไม้เคล็ดอยู่ในตัว เพราะปกติแล้วช้างจะดึงไม้ไผ่เอง ดึงลงมารูดใบกินหมด

เขาให้กลั้นใจฟันทีเดียวให้ขาด แล้วเอามาจักตอกสานเป็นควายธนู หรือสานเป็นวัวธนู แล้วแต่ใครจะมีฝีมือ ถ้าฟันทีเดียวไม่ขาดก็ใช้ไม่ได้ อย่างหลวงปู่ภู ไม้ครูของท่านก็ใช้ไม้ไผ่แบบนี้เหมือนกัน แต่ต้องเอาไปทิ่มศพที่ตายวันเสาร์เผาวันอังคารให้ได้ ๗ ศพ ก็หายากมาก กว่าจะทำได้ต้องใช้เวลานาน ไม้ครูหลวงปู่ภูจึงกลายเป็นของหายาก บางคนเขาเรียกว่า นิ้วเพชรพระอิศวร ถ้าได้ไปนี่ห้ามแช่งคนอื่น"

เถรี
06-12-2012, 13:26
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานผู้กองสรวง (ร.อ. สรวง น้ำฟ้า) ถามเรื่องวิธีชนะนางแก้ว แสดงว่าคิดผิด ถ้านางแก้วจริง ๆ กี่ชาติเราก็แพ้ เรียกว่าผูกปีแพ้ ขนาดพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงยังออกปากว่า “ถ้าแม่แกลงมาเกิด ชาตินี้ข้าก็บวชไม่ได้” สรุปแล้วที่ท่านแม่ไม่ลงมา ก็เพื่อให้ชาตินี้หลวงพ่อได้ปฏิบัติในเนกขัมมบารมีได้อย่างเต็มที่

จริง ๆ แล้วในเรื่องของคู่บารมี ถ้าเจอหน้ากันจะทนไม่ได้ ดูอย่างพระราชธิดายังหนีตามพระเจ้ากุสราชที่ปลอมตัวเป็นคนหาบน้ำเลย เห็นหน้าก็ทนไม่ไหว ไปดีกว่า หรือไม่ก็ธิดาเศรษฐีเห็นพรานกุกุกฏมิตรหาบเนื้อมาขาย ขากลับธิดาเศรษฐีไปดักนอกประตูเมือง หนีตามไปเลย อันนี้เขาเรียกว่า ปุพเพสันนิวาเสนะ ก็คือสร้างบุญร่วมกันมาแต่ปางก่อน เขาเคยอยู่ร่วมกันมาแต่ปางก่อน เห็นแล้วอยู่ไม่ได้ ต้องไปเลย

เรื่องของคู่บารมี...ถ้าใจคอไม่เข้มแข็งจริง โอกาสรอดแทบจะเป็นศูนย์ แต่ถ้าตั้งใจต่อสู้ฟันฝ่าก็เห็นผ่านได้ ครูบาอาจารย์สมัยก่อนท่านเป็นตัวอย่างให้เรานับไม่ถ้วนแล้ว สมัยอาตมายังไม่ได้บวช ไปคลุกคลีตีโมงกับครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่นทางภาคอีสาน หลวงปู่ฝั้นท่านเล่าให้ฟังว่าท่านธุดงค์ไป เวลาเริ่มเย็นแล้วจะข้ามแม่น้ำ ก็ปรากฏว่าเจอแม่ลูกพายเรือมารับ ท่านบอกว่าพอเห็นหน้าลูกสาวแล้ววาบเข้าไปในอก ทำอะไรไม่ถูก เกือบจะลงเรือไม่เป็น"

เถรี
06-12-2012, 13:34
"พอสองแม่ลูกพาไปส่งฝั่ง ผูกเรือเสร็จก็เดินตามพระไปเฉยเลย ตามไปดูว่าพระธุดงค์ไปไหน คราวนี้ใกล้ค่ำหลวงปู่ท่านก็ต้องปักกลด สองแม่ลูกเขาเล็งไว้ว่าอยู่ตรงไหน ตอนเย็นก็เอาน้ำร้อนน้ำชามาถวาย คนเป็นแม่ก็บรรยายว่า “ตอนนี้อิฉันอยู่ตัวคนเดียว สามีตายแล้ว มีลูกสาวอยู่แค่คนเดียวไม่มีที่พึ่ง มีวัวเท่านั้นตัว มีควายเท่านั้นตัว มีนาเท่านั้นไร่ ถ้าพระคุณเจ้าคิดจะสึกหาลาเพศไป ก็จะยกลูกสาวพร้อมกับที่ทางวัวควายให้”

หลวงปู่ฝั้นเล่าว่ามึนจนตอบไม่ถูก ได้แต่บ่ายเบี่ยงเออ ๆ ออ ๆ เขาก็บอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะมาถวายจังหัน คือภัตตาหารเช้า แล้วจะมาขอคำตอบ หลวงปู่ฝั้นท่านยอมเสียสัจจะ ปกติถ้าพระธุดงค์ปักกลดแล้ว ยังไม่สว่างจะไม่ถอนกลด แต่ครั้งนี้รู้ว่าตายฟรีแน่ ๆ หลวงปู่ฝั้นถอนกลดเดินหนีข้ามไป ๔ จังหวัดเลย สมัยก่อนเป็นป่าเสือป่าช้างทั้งนั้น ท่านบอกว่าถ้าเขาตามมาได้ก็จะยอมแต่งด้วย แล้วใครจะตามไหวเล่า ? สรุปว่ารอดตัวไปได้ แต่ท่านบอกว่าหน้าเขาลอยติดตาอยู่เป็นปีเลย หลับตาลงจะภาวนาเมื่อไรก็เห็นแต่อีหน้าใบโพธิ์ แสดงว่าหน้าเป็นรูปหัวใจ

เรื่องของหลวงปู่เทสก์ก็เหมือนกัน หลวงปู่เทสก์ได้ข่าวว่า โยมผู้หญิงคนหนึ่งเป็นแม่ม่าย มีลูกชายอายุประมาณ ๔ - ๕ ขวบ ที่เคยมาทำบุญประจำนั้นไม่สบาย ด้วยความเมตตาก็คิดว่าไปเยี่ยมไข้เขาหน่อย ชวนลูกศิษย์วัดไปเยี่ยมไข้ พอดีไปตอนเย็น ผู้หญิงเขาก็คุยถ่วงเวลาจนกระทั่งค่ำ ลูกศิษย์ก็หลับอย่างเดียว พาไปเป็นเพื่อนแท้ ๆ อาศัยไม่ได้เลย"

เถรี
06-12-2012, 13:39
"หลวงปู่เทสก์ท่านเล่าว่ามือไม้สั่น เหงื่อกาฬแตก ทำอะไรไม่ถูก เขาเองก็พูดเปิดเผยมากขึ้นทุกที ๆ ในที่สุดเห็นว่าอันตรายมาถึงตัวแน่ก็ตัดสินใจปลุกลูกศิษย์ตื่น เดินกลับวัดเดี๋ยวนั้นเลย

ส่วนอีกรายก็คือหลวงปู่สิงห์ หลวงปู่สิงห์เป็นครูบาอาจารย์ใหญ่สายกรรมฐานรุ่นไล่ ๆ กับหลวงปู่มั่น ต้องบอกว่าเป็นมือขวาของหลวงปู่มั่นเลยก็ว่าได้ ท่านบอกว่าพอเดินขึ้นบันไดเรือน สบตาแล้วเข่าอ่อนเกือบตกบันได ส่วนผู้หญิงก็รู้เหมือนกัน มองหน้าเห็นก็เป็นลมไปเลย อันนั้นคู่แท้ ท่านบอกว่าพอกลับวัดไม่เป็นอันภาวนา พ่อแม่ก็มาตื๊อ บอกว่า “เขาพร้อมจะยกลูกสาวให้ เมื่อไรลูกบ่าวจะสึกไปครองเรือน เขามีนามีไร่ มีช้างม้าวัวควายอะไรก็จะยกให้เป็นสินสอดทองหมั้น ไม่ต้องตกระกำลำบาก”

หลวงปู่สิงห์ท่านบอกว่า “จะให้สึกขอแค่ ๓ ข้อ ข้อที่ ๑ ให้สร้างบ้านที่ลอยอยู่ในอากาศเป็นเรือนหอ ถ้าสร้างได้จะสึกไปแต่ง” ท่านบอกว่าเห็นวิมานของนางฟ้าเทวดาไม่มีเสา ลอยอยู่เฉย ๆ อยากได้บ้านอย่างนั้น พ่อแม่ฝ่ายหญิงก็บอกว่าไม่ต้อง ๓ ข้อหรอก ข้อแรกก็ทำไม่ได้แล้ว ท่านบอกว่า “ข้อที่ ๒ ต้องหายาที่กินแล้วไม่แก่ไม่ตายมาด้วย ข้อที่ ๓ ผู้หญิงที่จะมาแต่งงานก็ต้องไม่แก่ไม่ตายด้วย” ข้อเดียวก็ไม่ไหวแล้ว ในเมื่อทำไม่ได้หลวงปู่ท่านก็บอกว่า “อย่างนั้นลูกก็ไม่สึก”

เถรี
06-12-2012, 13:40
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการถามพระหรือพรหมเทวดาอย่าถามย้ำถึง ๓ ครั้งนะ ตะติยัมปิเมื่อไรโดนเมื่อนั้นแหละ เพราะว่าท่านพูดแต่เรื่องจริง ในเมื่อพูดแต่คำสัตย์ คำจริงครั้งเดียวก็พอแล้ว ถามครั้งที่ ๒ นี่จะบอกให้ฐานเมตตา แต่ถ้าครั้งที่ ๓ นี่โดนแน่..!"

เถรี
06-12-2012, 13:44
พระอาจารย์ถามโยมท่านหนึ่งว่า "คุณติ๊กรู้จักเซียนสูไหม ? เมื่อวานที่อาตมาเห็นคุณติ๊กเป็นตาแป๊ะหนวดเฟิ้มนั่นแหละ..ท่านเอง อาตมาก็ถามว่ามาทำไม ? ท่านบอกว่า “มาดูเขาหน่อย” อาตมาคิดว่าตาแป๊ะหนวดยาวที่ไหน นึกว่าเป็นภาพอนาคตของคุณติ๊ก

เซียนสูเขาบอกว่า มาดูคุณติ๊กหน่อย จะนึกขอบารมีท่านสงเคราะห์บ้างก็ได้ เป็นห่วงเป็นใยเราขนาดนั้น อาตมาพูดเรื่องที่โยมไม่เห็นนี่ลำบากหน่อยนะ พอดีเมื่อวานเห็น ตอนแรกคิดว่าเป็นภาพอนาคต คิดว่าคุณติ๊กจะอยู่จนหนวดยาวปานนั้นเลยหรือ ?

ต้องบอกว่าเซียนสูท่านเป็นอภิญญาลาภีบุคคล เป็นฆราวาสแท้ ๆ ปฏิบัติจนเป็นพระ ส่วนอาตมาเป็นพระแท้ ๆ ไม่รู้จะปฏิบัติแล้วจะเป็นฆราวาสหรือเปล่า ? แสดงว่าในเรื่องของครูบาอาจารย์หรือบุคคลที่เคยเนื่องกันมา ต่อให้ท่านเองพ้นไปแล้วก็ยังมีความเมตตา จึงลงมาดูหน่อย ฉะนั้น..ที่มีบางคนเขาว่า “จบกิจแล้วไปพระนิพพานก็เบื่อแย่สิ” เอ็งเบื่อไปคนเดียวเถอะ ข้าไม่เบื่อด้วยหรอก อาตมาเห็นทั้งพระนิพพานมีแต่งานท่วมหัว ดันบอกว่ากลัวไม่มีอะไรจะทำ..!"

เถรี
06-12-2012, 13:54
พระอาจารย์กล่าวว่า "บางคนโชคดี แต่งตัวอย่างไรก็ดูดี ใส่ยีนส์ขาด ๆ เสื้อยืดเก่า ๆ ก็ดูดี ส่วนบางคนโปะอย่างไรก็ไม่ขึ้น ถ้ารู้อย่างนั้นแล้วต้องเป็นตัวของตัวเอง ส่วนใหญ่แล้วคนเราจะไหลไปตามแรงโฆษณา ไม่ได้ดูว่าบุคลากรที่เขาเอามานำเสนอให้กับเรา แต่ละคนเขาคัดแล้วคัดอีก ไม่ใช่ว่าเขาใส่แล้วสวย เขาใช้แล้วสวย แล้วเราใช้แบบนั้น ใส่แบบนั้นแล้วจะสวยเหมือนเขา

เขาน้ำหนัก ๔๘ กิโลกรัม ส่วนเราน้ำหนัก ๘๔ กิโลกรัม ตัวเลขไม่ต่างกันก็จริง แต่สลับที่กัน ต้องมีสติยืนหยัดอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ยอมรับความจริงเสียก็หมดเรื่อง ถ้าไม่ยอมรับความจริงเดี๋ยวก็มีการดึงหน้าบ้าง ฉีดโบท็อกซ์บ้าง ผ่าตัดยกเครื่องบ้าง ให้ยุ่งไปหมด

ที่ประเทศจีนเพิ่งจะฟ้องหย่าเมียไป เพราะว่าลูกออกมาแล้วไม่เหมือนพ่อแม่ คนเป็นพ่อก็สงสัยว่าเมียไปแอบมีชู้หรือเปล่า ? ท้ายสุดแม่ก็สารภาพว่าไปผ่าตัดใบหน้ามา ขอโทษขอโพย แต่ผัวไม่ยอมแล้ว เธอหลอกลวงฉันตั้งแต่แรก ท้ายสุดฟ้องหย่าแล้วศาลก็ดันให้หย่าด้วย จะบอกว่าหาเรื่องฟ้องหย่าก็ใช่นะ แต่จริง ๆ แล้วต่อให้เขาผ่าตัดมา ตัวเองก็ไปยินดีและพอใจเขาเองตั้งแต่แรกนี่หว่า"

เถรี
06-12-2012, 13:56
"ขอยืนยันว่าเรื่องของคู่ชีวิต รูปร่างหน้าตาเป็นส่วนฉาบฉวยเท่านั้น แรก ๆ ก็อาจจะพอตาพอใจกัน แต่พออยู่ไปนาน ๆ ความเคยชินทำให้ลืม ก็เหลือแต่ว่าเรามีความดีอะไรที่เป็นเครื่องดึงดูด และประคองชีวิตคู่เอาไว้ได้

ภาษิตจีนเขาบอกว่า “บุปผาปักบนมูลโค” เอาดอกไม้ปักบนขี้ควายแท้ ๆ เลย คนนี้สวยเช้งวับ อีกคนหนึ่งขี้เหร่ดูไม่ได้เลย ทำไมเขาอยู่กันได้ เพราะเขามีส่วนอื่นที่มาประคองชีวิตไว้ อยู่ไปนาน ๆ แล้วลืมความสวย บางทีไม่ได้นึกเลยว่าอีกฝ่ายหน้าตาเป็นอย่างไร อย่างในอินเตอร์เน็ตเขาโพสต์กันว่า “ผู้ชายนิสัยดีมักจะไม่หล่อ ผู้ชายที่หล่อก็นิสัยไม่ดี ผู้ชายที่ทั้งหล่อทั้งดีก็มักจะเป็นเกย์” แล้วก็มานั่งปลงชีวิต..!"

เถรี
10-12-2012, 09:53
พระอาจารย์กล่าวว่า "สงสารพระสมัยนี้ ปฏิบัติแล้วไม่มีป่าให้ธุดงค์เท่าไร อาตมาเป็นรุ่นท้าย ๆ แล้วที่ยังมีเสือมาเดินรอบกลดบ้าง พระรุ่นต่อไปจะเอาอะไรมาขู่กิเลสได้ เพราะไม่มีอะไรที่ทำให้ต้องกลัวแล้ว ปีก่อนเขาว่าหมีแม่ลูกอ่อนลงมาตรงทางเดินไปต้นไม้ยักษ์กับบึงลับแล อุตส่าห์เข้า ๆ ออก ๆ อยู่ ๔ รอบ หมีคงกลัวคนมากกว่าจึงไม่โผล่เลย แทนที่คนจะได้กลัวหมี

ปีนี้พาพระนิสิต มจร. ร้อยกว่ารูปไปปฏิบัติธรรม ก็เป็นอันว่าไม่ใช่หมีอย่างเดียวหรอก เสือสางช้างม้าคงวิ่งป่าราบหมด เพราะร้อยกว่าคนเสียงดังสนั่นป่าเลย เนื่องจากพระนิสิตของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยห้องเรียนวัดไชยชุมพลชนะสงคราม เขาตกลงกันว่าจะไปธุดงค์ที่ทองผาภูมิ เขาไม่ได้ตกลงเรื่องธุดงค์หรอก เขาจะไปปฏิบัติธรรมกัน เขาไม่รู้หรอกว่าอาตมาเตรียมโครงการธุดงค์ไว้ให้ เพียงแต่บอกเขาให้เอากลด เอาบาตรไปด้วยเท่านั้น"

เถรี
10-12-2012, 09:57
"มีอยู่ปีหนึ่งหลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ยังเป็นพระครูปลัดอยู่ ท่านบอกกับพระวัดท่าซุงว่า “ถ้าพวกคุณอยากธุดงค์แบบมีเสือมีช้างก็ไปหาท่านเล็กเขานะ” เจอเข้าไป ๒ ชุดก็เข็ด ไม่มีใครไปอีกเลย อาตมาถามน้อง ๆ ว่าจะเดินธุดงค์แบบมีอาหารฉันหรือแบบไม่มี เขาบอกว่า “ตามใจหลวงพี่ครับ” ก็เสร็จอาตมานะสิ อาตมาเป็นคนขี้เกียจด้วย ก็เอาแบบไม่มีอาหาร..!

พวกเขาเจอเข้าไป ๓ วันขอกลับ พูดเสียงอ่อย ๆ ว่า “เดินไม่ไหวแล้วครับ” สรุปว่าขากลับมีอยู่รายหนึ่งออกมาได้ ๒ กิโลเมตร ก็หมอบกระแตไปไม่ไหว ส่วนอีกรายหนึ่งเดินตามมาได้ แต่อาตมาต้องแบกกลดแบกของให้ทุกอย่าง ตามมาจนเหลืออีกประมาณ ๒ กิโลเมตร จะถึงถนนก็หมดสภาพกองอยู่ตรงนั้นเหมือนกัน

อาตมาต้องเดินออกมาถึงข้างนอก บอกคนที่มีรถจักรยานยนต์ว่าให้ไปเก็บพระออกมาหน่อย อยู่ตรงนั้นตรงนี้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาไม่มีใครมาอีกเลย ทางวัดท่าซุงก็ไปลือกันว่า “อย่าไปฝึกกรรมฐานกับหลวงพี่เล็กนะ ท่านให้อยู่ด้วยธรรมปีติอย่างเดียวจริง ๆ” ก็อาตมาถามแล้วว่าจะกินไหม ? เขาบอกว่า "ตามใจหลวงพี่" ในเมื่อตามใจหลวงพี่ ก็หลวงพี่ไม่กินนี่หว่า.. เพราะฉะนั้นคำว่าตามใจอย่างหนึ่ง อย่างไรก็ได้อย่างหนึ่ง..อย่าให้มี ต้องการอะไรบอกให้ชัด ถ้าอย่างไรก็ได้เดี๋ยวเจอกัน..!"

เถรี
10-12-2012, 10:15
ถาม : ทำไมเขาเรียกพระยอดขุนพลครับ ?
ตอบ : เพราะว่าทรงเครื่องขุนศึก เริ่มจากทางละโว้ก่อน เขาสร้างพระทรงเครื่องขุนศึกจอมทัพในสมัยนั้น เขาก็เลยเรียกว่าพระยอดขุนพล หลังจากนั้นที่อื่นก็สร้างเลียนแบบกันให้ยุ่งไปหมด พระยอดขุนพลที่สวยที่สุดน่าจะเป็นพระยอดขุนพลสายเขาอ้อ ออกแบบได้สุดยอดจริง ๆ อย่างพระยอดขุนพลฤๅษีคุ้มดวง แต่สายเขาอ้อหมดหลวงปู่กลั่นแล้ว ที่เหลือก็คงต้องรอท่านอาจารย์ประจวบมาบวช

ถาม : ที่เขาเล่นแร่แปรธาตุเป็นทองใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นทองเลย แต่เขาไม่กล้าประกาศว่าทอง เลี่ยงไปเรียกว่าทองสัตตะโลหะ

ถาม : โบราณหล่อโลหะต่าง ๆ เก่งกว่าปัจจุบัน ?
ตอบ : จนป่านนี้ยังไม่รู้เลยว่าปืนใหญ่หน้ากระทรวงเขาผสมโลหะอย่างไร ยังไม่เป็นสนิมสักจุด เนื้อยังเขียวปลอดอยู่เลย อันนั้นเป็นเหล็กแข็ง ถ้าเหล็กเหนียวเขาเรียกว่าเหล็กกำพล ที่เขาบอกว่าถ้าทำเป็นดาบนี่ดัดตัวใบติดด้ามได้เลย เคยดูเขาทดสอบดาบซามูไรที่ใช้เหล็ก cold steel ทำขึ้นมา เขาใช้เครื่องจักรคีบไว้แล้วโยกออกมาประมาณ ๕๐-๖๐ องศา เขาไม่ได้ดัดด้ามกับปลายติดกันเหมือนกับเหล็กกำพลของโบราณ คาดว่าถ้าดัดเกินนั้นอาจจะหักก็ได้

เถรี
10-12-2012, 10:22
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมเด็จวัดระฆังอย่าไปดูเนื้อแตกลายงานะ เพราะปัจจุบันทำได้สบาย เนื้อแตกลายงาของสมเด็จวัดระฆังจะแตกเฉพาะด้านหน้าเท่านั้น เพราะโดนแดดโดนลมด้านเดียว ด้านหลังไม่แตก ถ้าแตกทั้งองค์ก็เป็นอันว่าจบ เรานึกถึงตอนที่เราตากพระ ก่อนที่พระจะแห้งเราพลิกไม่ได้อยู่แล้ว ฉะนั้น..สมเด็จวัดระฆังถ้าแตกลายงาจะแตกด้านเดียว

ประการที่สอง สมเด็จวัดระฆังจริง ๆ เนื้อจะค่อนข้างบาง ถ้าเจอองค์หนาชนิดขว้างหัวหมาร้องนี่ไม่ใช่แน่ ประการที่สาม โบราณเขาใช้ผิวไม้ไผ่ตัด ตอนที่ตัดก็มักจะตัดจากข้างหลังมาข้างหน้า เพราะว่าเป็นการตัดในขณะที่ยกออกจากพิมพ์ ฉะนั้น..รอยตัดจะอยู่ข้างหลังเลื่อนไปข้างหน้าเสมอ ถ้าตัดตรงเม็ดมวลสารจะสังเกตได้ชัดที่สุด เพราะจะโดนดันไปข้างหน้า ถ้าหากว่ามวลสารใหญ่ก็ดันเป็นร่องให้เห็น ๆ เลย

อันนี้เป็นวิธีการดูหลัก ๆ ที่เหลือก็ต้องศึกษาว่าเนื้อหาเป็นอย่างไร พอผ่านการใช้งานมีสภาพอย่างไร ไม่ใช้งานมีสภาพอย่างไร แล้วก็พิมพ์ทรง ถ้าผิดเนื้อผิดพิมพ์เขาวางเลย เขาไม่ดูต่อ ถ้าเอาพระไปให้เซียนดูแล้วไม่พูดอะไร แต่ว่าองค์ไหนคว่ำลงก็แปลว่าองค์นั้นเก็บเถอะ..ไม่ผ่าน ถ้าองค์ไหนเขาวางหงายเดี๋ยวก็หยิบไปดูใหม่"

เถรี
10-12-2012, 10:24
ถาม : ท่านสร้างไว้จำนวนเท่าไรครับ ?
ตอบ : คาดว่าแปดหมื่นสี่พันองค์ แต่คราวนี้หลวงปู่ท่านแจกกระจายเลย แล้วเป็นการแจกที่คนไม่ค่อยอยากได้ด้วย เพราะสมัยนั้นคนยังไม่เห็นคุณค่า แม้ท่านจะย้ำนักย้ำหนาว่าต่อไปจะแพงนะจ๊ะ เขาก็ไม่สนกันเท่าไรหรอก เพราะสมัยนั้นเขาว่า “พระต้องอยู่วัด” อยู่ ๆ ให้โยมมาติดตัวติดบ้านไว้เขาก็รู้สึกไม่ค่อยจะดีกัน ธรรมเนียมนิยมสมัยนั้นเป็นอย่างนั้น

เพิ่งจะมาช่วงสงครามโลกนี่แหละที่นิยมพระติดตัว แต่พอหลังสงครามเขาก็เอาไปคืนวัด อย่างพระกรุวัดโพธิ์ที่สร้างด้วยกระดูกผี พอใช้งานเสร็จสรรพก็ไปคืนวัดกันหมด ถ้าเขารู้ว่ามาถึงสมัยนี้ราคาเท่าไรคงตีอกชกหัวตัวเอง พอมาสมัยหลังนี่ต่อให้อยู่ในวัดก็พยายามจะเอาเข้าบ้านให้ได้ ค่านิยมเปลี่ยนไปแล้ว

เถรี
10-12-2012, 12:10
พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นรูปหลวงพ่อพระฝางแล้วต้องบอกว่าช่างโบราณนี่สุดยอดเลย ดูรูปถ่ายพระฝางทีไรต้องบอกว่าคนโบราณเขาทำงานด้วยใจจริง ๆ ทุ่มเทให้ทุกอย่าง เหมือนอย่างกับจะฝากงานชิ้นนั้นไว้ในแผ่นดินชิ้นเดียวก็พอแล้ว งามสุด ๆ "

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่อง แต่รายละเอียดของเครื่องทรงสุดยอดจริง ๆ ยังไม่เคยเห็นพระทรงเครื่องที่ไหนสวยขนาดนั้น กำลังหาแบบอยู่ อาตมาว่าถ้าอยู่ถึงอายุ ๖๐ ปีจะสร้างพระทองคำฉลองอายุ อยากได้พระหน้าตักไม่เกิน ๙ นิ้ว ถามช่างแล้วเขาบอกว่าขนาด ๙ นิ้วใช้ทองประมาณ ๔๐ กิโลกรัม ที่ดู ๆ ไว้ก็มีแบบพระพุทธชินราชแต่ว่าเป็นสมเด็จองค์ปฐม และแบบพระพุทธลีลาประทานพรแบบพุทธมณฑล และพระฝาง กำลังรอ ๆ ดูว่าจะไปลงเอยที่ไหน

หลวงพ่อพระฝางนั้นเป็นพระบูชาประจำองค์ของเจ้าพระฝางสมัยธนบุรี เป็นก๊กเดียวที่พระเจ้าตากไปตีครั้งแรกไม่สำเร็จ ต้องพระแสงปืนจึงต้องถอยมาก่อน บุคคลที่แคล้วคลาดด้วย คงกระพันด้วย แต่พอไปเจออาวุธข้าศึกแล้วเข้า..ต้องคิดนะ ต้องถอยตั้งหลักก่อนแล้วไปใหม่ พระเจ้าตากสินท่านประกาศว่า “กูผู้ชนะ” ก็จริง แต่ครั้งหนึ่งในชีวิตเคยถอยให้เขาเหมือนกัน

เถรี
10-12-2012, 12:15
หัวหน้าก๊กเป็นพระจริง ๆ แต่ท่านไม่ได้คิดที่จะตั้งตนเป็นใหญ่หรอก พอบ้านแตกสาแหรกขาดแล้วท่านมีความสามารถมาก ชาวบ้านเห็นความสามารถท่านจึงไปขอพึ่งบารมี ในเมื่อไปพึ่งบารมีกลายเป็นก๊กใหญ่ขึ้นมา มีกองกำลังป้องกันตนเอง อย่างไรเขาก็ต้องคิดว่าแข็งเมือง

สมัยก่อนไม่ได้ใช้โทรศัพท์คุยกันได้อย่างสมัยนี้ กว่าจะเจรจากันรู้เรื่องเขาก็หมายมั่นปั้นมือแล้วว่าคุณแข็งข้อ ก็ลุยกันเลย กองทัพเขามายันกำแพงเมืองแล้วจะไปคุยอะไรกัน ก็ต้องใส่กันก่อน ท่านที่เจตนาตั้งตนเป็นใหญ่มีเยอะ ส่วนท่านที่ไม่ได้เจตนาแต่สถานการณ์พาไปก็มี

แบบเดียวกับพระสะล่า เป็นพระกะเหรี่ยง สึกออกมานำกำลังชาวบ้านไปโจมตีราชวงศ์คองบองของพระเจ้าอลองพญาสำเร็จ ได้ครองราชย์อยู่ระยะหนึ่ง แต่พอทางฝ่ายพม่าตั้งหลักได้ด้วยกำลังที่เหนือกว่ากันจนนับไม่ได้ เขาทุ่มกำลังเข้ามาประเภทเอาซากศพถมกำแพง ก็ต้องแพ้เขา ลุยหน้าเข้ามา คนฆ่าก็ฆ่าจนมือไม้อ่อน ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนก็เหมือนกัน

อย่างหลวงพ่ออุตตะมะก็เหมือนกัน ด้วยบารมีของท่าน ทั้งพม่า ทั้งกะเหรี่ยง ทั้งมอญ ให้ความเคารพท่าน ไม่อย่างนั้นตีกันตาย เพราะปกติพวกนี้เข้ากันไม่ได้ แต่ว่ากะเหรี่ยงกับมอญอยู่รวมกันได้ เพราะหลวงปู่ท่านบอกแล้วว่า ถ้าทะเลาะกันท่านจะไม่ให้อยู่ด้วย อยากอยู่เมืองไทยกับท่านต้องไม่ทะเลาะกัน ต้องปฏิบัติตามกฎหมายเมืองไทย

คราวนี้มอญเขายังมีกองกำลังกู้ชาติอยู่ พอถึงเวลาทหารพม่าไล่ตี ทหารมอญถอยหนีเข้าวัด พอทหารมอญถอยหนีเข้าวัด ทหารพม่าเคารพหลวงพ่ออุตตะมะ เขาก็ถือว่าเอ็งหนีได้หนีไป ข้าก็หุงข้าวกินรออยู่ข้างนอก ออกมาเมื่อไรค่อยตีกันใหม่

เถรี
10-12-2012, 12:20
เรื่องของศรัทธาเป็นเรื่องที่ปลูกฝังได้ยาก แต่พอเกิดศรัทธาแล้วก็ตายยากด้วย เพราะฝังลึกอยู่ในหัวใจ เพราะฉะนั้นจะเป็นทหารมอญ ทหารพม่า ทหารกะเหรี่ยง ก็เคารพหลวงพ่ออุตตะมะเป็นปกติ เห็นไหม..พอสิ้นหลวงพ่อไม่กี่วันก็ฆ่ากันตายในวัดเลย เจ้าอาวาสตายด้วย หลวงพ่อจันทิมาไม่ได้รู้อะไรเลย เขากลัวว่าท่านจะไปสาวเจอต้นเหตุทุจริต เขาก็ยิงทิ้งเลย

ต้องบอกว่าท่านอาจารย์พระมหาสุชาตินี่ใจถึงมาก ตอนนั้นไม่มีใครอาสาไปเลย จนกระทั่งท่านเจ้าคุณปัญญาบอกว่า “ถ้าไม่มีใครก็ต้องส่งอาจารย์เล็กไป” พอดีว่าท่านอาจารย์พระมหาสุชาติท่านมีพื้นฐานเป็นมอญ ก็เลยคุยกันรู้เรื่อง ถ้าอาตมาไปก็คงต้องแผลงฤทธิ์กันหลายยกกว่าที่เขาจะยอมรับ

นี่ก็เริ่มแล้งแล้ว พอแล้งเมื่อไรก็ตีกันเมื่อนั้นแหละ พอเริ่มแล้งแล้วกองทัพพม่าก็เริ่มออกกวาดล้าง แต่คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา เพราะกองกำลังมอญกู้ชาติวางอาวุธไปแล้ว เหลืออย่างเดียวคือพวกกะเหรี่ยงคริสต์ยังไม่วาง คราวนี้กะเหรี่ยงคริสต์ก็ไม่รอหรอก คริสต์ก็คริสต์เถอะ..ถึงเวลาก็หนีเข้าวัดเหมือนกัน

เถรี
12-12-2012, 16:37
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ภิกษุมีจิตกำหนัด เอาบาตรดันร่างผู้หญิงอื่นโดนอาบัติหรือเปล่า ? โดน..ท่านปรับเพราะถือเป็นของเนื่องด้วยกาย..ซวยเลย คิดว่ารอดแล้ว ภิกษุมีจิตกำหนัด เอามือเขย่าสะพานที่ผู้หญิงกำลังเดิน..โดนอีก พระพุทธเจ้าท่านปรับไว้ละเอียดจริง ๆ ไม่อย่างนั้นก็จะทำกันไปเรื่อย โดนเข้าสักทีจะได้ไม่ทำอีก ผู้หญิงอยู่ในเรือ จับเรือเขย่า...โดนเหมือนกัน

ต้องบอกว่าเป็นคุณูปการอย่างหนึ่งของคนสมัยนั้น ด้วยความที่แขกเป็นคนค่อนข้างจะหัวหมอ ความประพฤติเขาก็เลยไปในแนวนั้น ทำให้การบัญญัติศีลพระต้องละเอียดมาก จนกระทั่งคนเขาว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นสัพพัญญู ย่อมรู้ว่าเรื่องเหล่านั้นจะเกิด ทำไมถึงไม่บัญญัติกันไว้ก่อน ? บอกไว้เลยว่าถ้าบัญญัติกันไว้ก่อน ไม่มีใครเชื่อว่าคนจะแหกคอกไปได้ขนาดนั้น จึงต้องรอให้เกิดเรื่องขึ้นก่อนแล้วค่อยบัญญัติ

ถาม : เจองูกับแขก เขาบอกให้ตีแขกก่อน ?
ตอบ : เจองูกับแขกให้ตีแขกก่อน สมัยก่อนแขกไปขายของที่บ้าน ขายผ้าผืนละ ๔๐ บาท เขาให้ผ่อนวันละ ๒ บาท ให้แขก ๕ บาทหรือ ๑๐ บาท แขกเขาไม่เอานะ เอาแค่ ๒ บาท จริง ๆ ก็คือเขาจะนับเลย ๒๐ วันเขาจะมาเอาทุกวัน แล้ว ๒๐ วันนี่เขาอาจจะขายของได้อีก ถ้าเอาไปทีเดียวหมด เดี๋ยวไม่มีข้ออ้างมา..เซียนจริง ๆ

เถรี
12-12-2012, 16:41
พวกนี้เขาขยัน ประหยัด เห็นว่าแบกถั่วขายอยู่ไม่นานเท่านั้นเอง กลายเป็นเถ้าแก่ปล่อยเงินกู้ไปหมดแล้ว พอเรียกนายห้างก็ยิ้มแก้มปริเลย นายห้างของเขาก็ระดับเถ้าแก่ของคนจีน

ถาม : นายห้าง..?
ตอบ : อาตมาลงไปปักษ์ใต้ต้องคอยหลบพวกนายห้าง เพราะส่วนใหญ่เขาจะนิมนต์ให้ไปที่ร้าน และถ้าอาตมาไปก็ไปได้บ้านเขาบ้านเดียว พวกนี้เขาอังคาสด้วยมือ พอฉันอาหารไปเขาก็จะตักเติมไปเรื่อย อาตมาแทบตาย..เพราะนิสัยที่กินอะไรต้องหมด เนื่องจากทหารเขาฝึกมาแบบนี้ ส่วนเขาเห็นหมดแล้วต้องเติม..(หัวเราะ)..เลยไม่ไปดีกว่า

โดยเฉพาะชานม ทั้งนมทั้งเนย ฉันเข้าไปแก้วเดียวหัวหูร้อนไปหมด เจ้าประคุณเถอะ..รินให้ทั้งวัน ไม่ไปดีกว่า..ขืนไปบ้านนายห้างบ่อย ๆ อาตมาคงตัวใหญ่เท่านายห้างแน่ ๆ..!

เถรี
12-12-2012, 16:45
ตอนแรกอาตมาอ่านบาลีแล้วไม่เข้าใจ ว่าอังคาสด้วยมือคืออะไร ? อังคาสก็แปลว่าถวายอาหาร อังคาสด้วยมือ เอ๊ะ...เราก็ใช้มือถวาย ที่ไหนได้..อังคาส คือ เขาคอยบริการอยู่ ขาดข้าวเติมข้าว ขาดกับเติมกับ

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : แบบเดียวกับพระต่างจังหวัด ไปเจอต้มยำกบใส่มะตาด กินกันประเภทแหกหม้อแหกไหไปเลย มะตาดนี่ใช้แทนมะนาวได้ รสชาติสุดยอด ถึงเวลาลูกก็ร้องจะกิน พระก็ว่า "โยม..เพิ่มต้มยำกบหน่อย" เดี๋ยวก็ "โยม..เพิ่มต้มยำกบหน่อย" นั่งอยู่ ๙ รูป พอขอครั้งสุดท้ายโยมตะแคงหม้อให้ดู “เหลืออยู่เท่านี้แหละเจ้าค่ะ ถ้าท่านฉันหมด ดิฉันกับลูกก็ไม่ต้องแดกกันพอดี..!” เจอโยมว่าตรง ๆ เข้าแบบนี้พระถึงได้หยุด..!

เถรี
12-12-2012, 16:50
:4672615: เก็บตกเดือนพฤศจิกายน จบแล้วค่ะ :4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดยทาริกา คะน้า คะน้าอ่อน เถรี รัตนาวุธ