PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๕


เถรี
03-09-2012, 12:03
ถาม : การตั้งศาลอากาศเทวดาสี่เสา และศาลพระภูมิหนึ่งเสา สามารถตั้งในทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวอาคารในทิศเดียวกันเลย ใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : หาเรื่องตั้งทิศเดียวกันก็เตรียมซวยได้เลย..! ทิศของอากาศเทวดาอยู่ทิศใต้และทิศตะวันตก ถ้าไปตั้งทิศตะวันออกเฉียงเหนือเท่ากับเอา ผบ.ทบ. มาเป็นยาม หาเรื่องเดือดร้อนอีก..!

ถาม : ถ้าเป็นหนึ่งเสาควรจะเป็นทิศตะวันออกหรือทิศเหนือ ?
ตอบ : ถ้าศาลเสาเดียวควรจะเป็นทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ถ้าไม่ได้ค่อยหาทิศเหนือ ถ้าไม่ได้อีกค่อยเป็นทิศตะวันออก แต่ศาลสี่เสาเขาเอาทิศใต้หรือทิศตะวันตกเท่านั้น

ถาม : ถ้าตั้งไปแล้วทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ตั้งไปแล้วเตรียมรับความเฮงได้..!

ถาม : เรื่องหลักฮวงจุ้ยการสร้างอาคารบ้านเรือน อยากขอคำแนะนำ ว่าควรศึกษาจากหนังสือเล่มไหนดีครับ ?
ตอบ : เล่มไหนก็ได้...ดีทุกเล่มแหละ เพียงแต่คนศึกษารู้จริงหรือเปล่าเท่านั้นเอง

ถาม : ไม่มีซินแสในดวงใจหรือครับ ?
ตอบ : ขอยืนยันว่าอย่าเชื่อซินแสมาก เชื่อมากก็เดือดร้อนมาก..!

เถรี
03-09-2012, 12:10
ถาม : ในเรื่องการ "ชำระหนี้สงฆ์" หลวงพ่อฤๅษีได้เมตตาแนะนำให้สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ และถ้ามีการปิดทองทั้งองค์ก็จะได้อานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์ทั้งคณะ แต่การ "ชำระหนี้แผ่นดิน" นั้น ลูกยังไม่มีความรู้ในส่วนนี้ ประกอบกับหลายท่านทำงานเกี่ยวกับราชการ จึงอาจจะมีการหยิบของใช้ของหลวงไปใช้ส่วนตัว
ซึ่งเป็นการนำเงินภาษีของแผ่นดินไปใช้ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ดังนั้นจะมีวิธีในการ "ชำระหนี้แผ่นดิน" ในลักษณะเดียวกันกับ "ชำระหนี้สงฆ์" (ล้างหนี้เก่าทั้งหมด) หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ตลอดชีวิตรับราชการทั้งหมด ๔๐ ปี ถวายเงินเดือนให้ในหลวงไปให้หมด ไม่ต้องใช้เงินเดือนนั้น..!

ถาม : จะเอาอะไรกินครับ ?
ตอบ : คนถาม..ถามเหมือนกับรู้ว่าทำแล้วจะเป็นหนี้ยังเสือกไปทำ สมควรตายมากกว่า..! ถ้าหนักใจเรื่องนั้น ให้เอาเงินส่วนหนึ่งถวายเข้ามูลนิธิของหลวง จะเป็นราชประชานุเคราะห์ก็ได้ ชัยพัฒนาก็ได้ หรือจะเป็นศิลปาชีพ สายใจไทย ก็ได้

เถรี
03-09-2012, 12:18
ถาม : ในกรณีพระพุทธสุวรรณปฏิมากร หรือหลวงพ่อทองคำแห่งวัดไตรมิตรวิทยาราม ตอนที่จะมีการทำการแกะลอกปูนที่หุ้มองค์พระทองคำไว้นั้น จะมีความผิดฐานทำลายรูปแทนพระพุทธเจ้าไหมครับ ? เพราะปูนที่หุ้มนั้นก็ทำเป็นรูปพระ ถ้าไม่มีความผิด เป็นเพราะเหตุใดครับ ?
ตอบ : นี่ก็เหมือนกัน เขาเรียกว่าสมควรลงนรก เรื่องดี ๆ ไม่คิด ไปคิดฟุ้งซ่านจะลงนรกให้ได้..! เรื่องของหลวงพ่อพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร เราต้องเข้าใจว่าที่เขาหุ้มปูนไว้เจตนาเพื่อจะหลีกเลี่ยง ว่ายามสงครามจะโดนฝ่ายตรงข้ามเอาไป เพราะเป็นของมีค่า ในเมื่อเจตนามีอยู่แค่นั้น เวลากะเทาะออกมา ทำการขัดแต่งให้เป็นองค์พระโดยสมบูรณ์ คนเห็นแล้วรู้สึกว่าเจริญศรัทธามากกว่า ก็ถือว่าไม่ได้มีเจตนาไปทำลายพระพุทธรูป

เสียอย่างเดียว..กระเทาะท่านเร็วไปหน่อย มากระเทาะยุคนี้ เอาไปผสมเป็นผงสร้างพระได้เงินอีกเยอะเลย สมัยนั้นเขายังไม่นิยมทำแบบนี้กัน

ถาม : เขาทำหุ้มไว้เพื่อเป็นการป้องกันข้าศึกสงครามมาทำลาย ?
ตอบ : นึกเสียว่าเอาผ้ามาหุ้มอีกชั้นหนึ่ง ถึงเวลาก็ลอกผ้าออก ถ้าเขาจะคิดให้ผ้าเป็นพระพุทธรูปให้ได้ ก็ทางใครทางมัน..!

เถรี
03-09-2012, 12:25
ถาม : วันนั้นโยมได้ไปกราบไหว้ที่พิพิธภัณฑ์ช้างสามเศียร สมุทรปราการ ได้ถวายนางรำและผลไม้ชุดใหญ่ และบูชาช้างสามเศียรสลัก เป็นแก้วใส มีไฟประดับมาบูชาที่ร้านค้า ปรากฏว่าวันนั้นขายของไม่ราบรื่นเท่าที่ควร ขายได้น้อยผิดปกติ เพื่อนข้างร้านบอกว่าให้นำไปบูชาที่บ้านดีกว่า เพราะท่านบารมีท่านสูง ไม่เหมาะมาบูชาที่ร้านค้า โยมไม่ค่อยเชื่อเขา กราบเรียนถามว่า จะบูชาที่ร้านได้หรือไม่ และมีวิธีบูชาอย่างไร ?
ตอบ : ขายผักผลไม้หรือเปล่า ? ถ้าขายผักผลไม้นี่ช้างกินหมด ..(ฮา).. เป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า เทวดาก็คล้าย ๆ กับพระ ก็คือ ท่านมีเมตตาสงเคราะห์ให้เสมอ ในเมื่อเกิดเหตุติดขัดในจังหวะที่นำท่านเข้าบ้านพอดี เราก็ไปโทษว่าเป็นความผิดท่านขึ้นมาอีก ถ้าไม่ได้ขายผักผลไม้ก็บูชาต่อไปเถอะ

เถรี
03-09-2012, 12:30
ถาม : ช่วงบวชพระที่วัดท่าขนุน ขณะนั่งกรรมฐานเช้า นั่งจับลมหายใจเข้าออก และท่องภาวนาโสตัตตะภิญญาครู่หนึ่ง ภาพพระลอยปรากฏ เห็นชัดเจนเต็มหน้า แล้วเปลี่ยนเป็นเห็นกายละเอียดตัวเองนั่งซ้อนกายหยาบ เมื่อมองตรงไปเห็นหิ้งพระประธานตรงหน้าสว่างแจ่มใสยิ่งกว่าตาเนื้อเห็น ไม่ทราบว่าถึงจุดนี้แล้ว ควรปฏิบัติอย่างไรต่อครับ ? ผมเคยนั่งได้ถึงจุดนี้หลายครั้ง ทำไมถึงทรงไม่ได้นานครับ ?
ตอบ : ตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า ให้พยายามรักษาอารมณ์ให้ได้นาน ๆ ต่อไป เขาก็รู้ว่าทำได้ไม่นาน แค่ทำให้ได้นานก็จบแล้ว

ถาม : เคยทำมาอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ทำให้ได้นานขึ้น ประมาณนี้ ?
ตอบ : ซักซ้อมรักษาอารมณ์ใจให้ได้นานขึ้นไปเรื่อย ๆ แล้วจะดีเอง

เถรี
03-09-2012, 12:38
ถาม : การลาสัตตาหะฯ ๗ วัน ในระหว่างเข้าพรรษา เป็นการลาไปครั้งละไม่เกิน ๗ วันหรือว่าภายในพรรษา ๓ เดือนลาได้เพียง ๗ วันเท่านั้นครับ ?
ตอบ : ถ้าภายในพรรษา ๓ เดือน ลาได้ ๗ วันจะดีมากเลย สัตตาหกรณียะ คือ กรณีที่มีกิจจำเป็น ลาได้ไม่เกิน ๗ วัน แปลว่าครั้งละไม่เกิน ๗ วัน วันที่ ๗ ก่อนจะได้อรุณต้องกลับเข้าวัด ถ้าจำเป็นจริง ๆ หลังจากได้อรุณแล้วมีสิทธิ์ลาใหม่ได้เลย

ถาม : หมายถึงมีเหตุสี่อย่างตามพระวินัยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : จะกี่อย่างก็ได้ ถ้าพิจารณาตามหลักมหาปเทส ๔ แล้วว่าสมควร แต่ในปัจจุบันสัตตาหะฯ กันให้มั่วไปหมด

เถรี
04-09-2012, 08:34
ถาม : ตามปกติพระจะใช้มือขวาจับตาลปัตรในเวลาอนุโมทนาหรือขัดสัคเค แต่การที่พระใช้มือซ้ายจับตาลปัตรในเวลาอนุโมทนาหรือขัดสัคเค จะผิดศาสนพิธีและพระวินัยหรือไม่ครับ ? และจะมีผลอย่างไรกับงานบุญกุศลและพระที่ใช้มือซ้ายจับแบบนี้ครับ ?
ตอบ : มีผลให้เพื่อนหัวเราะเยาะเอา..การจับตาลปัตรโดยนิยมเขาใช้มือขวาจับ ยกเว้นตอนชักผ้าบังสุกุลจะใช้มือซ้ายจับ เพื่อเอามือขวาจับผ้าบังสุกุล ถ้าเราจับผิดมือ คนที่ไม่รู้เขาก็ไม่ว่าอะไร แต่คนที่รู้ก็จะหัวเราะเยาะเอา ก็แค่ผิดธรรมเนียมนิยมเท่านั้น ไม่ได้ทำให้ศาสนพิธีเสียหายอะไร

ถาม : ไม่มีอานิสงส์อะไรใช่ไหมครับ ?
ตอบ : มี..อานิสงส์โดนเพื่อนหัวเราะเยาะ..!

เถรี
04-09-2012, 08:44
ถาม : วันจันทร์ที่ ๑๗ กันยายนนี้ ผมต้องพาโยมแม่ไปโรงพยาบาล โดยส่วนใหญ่จะทำวัตรเช้าเวลาตี ๔ แต่ผมต้องออกจากวัดเวลาตี ๔ เพื่อไปที่บ้านก่อนแล้วจึงจะพาโยมแม่ไปโรงพยาบาล ผมจะสวดมนต์ทำวัตรเช้าเวลาตี ๓ ครึ่ง จะได้หรือไม่ครับ ? จะต้องอาบัติหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าสวดสักเที่ยงคืนจะไม่โดนอาบัติ..!

ถาม : อย่างไรครับ ?
ตอบ : การทำวัตรเช้าเย็นเป็นงานของพระสงฆ์ จะทำเวลาไหนก็ได้ให้พอเหมาะพอสมแก่ตัวเอง บางวัดทำวัตรเช้าตอนแปดโมงครึ่ง หลังจากพระบิณฑบาตและฉันเช้าเสร็จแล้ว จะได้ไม่ต้องมีข้ออ้างว่ายังมีกิจธุระที่นั่นที่นี่

เพราะฉะนั้น..เรื่องของเวลาไม่ใช่สาระ สาระสำคัญคือได้ทำหรือเปล่า ? ถ้าได้ทำบุญกุศลก็เป็นของเรา แต่ที่ว่ามานั้น..ส่วนที่น่าห่วงก็คือออกจากวัดตอนตีสี่ ระวังจะขาดพรรษา..! ถ้าจำเป็นต้องออกจากวัดตอนตีสี่ของวันที่ ๑๗ กันยายน ให้ขอสัตตาหะฯ ไว้ตั้งแต่วันที่ ๑๖ กันยายนเลย ไม่อย่างนั้นขาดพรรษาแน่นอน

เถรี
04-09-2012, 08:54
ถาม : เนื่องจากตอนเช้าจะมีการนำอาหารไปถวายที่พักสงฆ์ หลังจากที่พระท่านตักและฉันแล้ว ส่วนที่เหลือจะนำมาวางให้ญาติโยมกินกัน และก็จะตักใส่ถุงแจกจ่ายกันไป โดยส่วนตัวผมไม่นำกลับ แต่จะมีบางครั้งผมไม่ได้ไปแต่เพื่อนไป ก็จะนำใส่ถุงมาให้ ผมไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรกับอาหารนั้นดีครับ ?
ตอบ : เอากับข้าวถุงฟาดหน้าเพื่อนไป เพื่อนจะได้จำว่าอย่าเอามาอีก..! เรื่องของวิทาสาโท ญาติโยมยังเข้าใจผิดกันอยู่มาก

วิทาสาโทคืออาหารที่เหลือจากพระ ญาติโยมกินต่อได้ แต่อย่าเอากลับบ้าน เพราะพอเอากลับบ้าน คนที่เห็นแล้วไม่รู้ ไม่เข้าใจ ก็จะไปตำหนิว่า ไปเอาของสงฆ์กลับบ้าน โดยเฉพาะ "ไปเอาของที่กูใส่บาตรกลับบ้าน" ทำให้เขาเสื่อมศรัทธา และต่อไปเขาจะไม่บำรุงพระพุทธศาสนาอีก เท่ากับเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาโดยตรง โทษก็เลยหนัก เปรตญาติพระเจ้าพิมพิสารเจอไปแค่ ๙๑ กัปเท่านั้น..! เพราะเอาของที่พระฉันเหลือแล้วกลับบ้าน

ของสงฆ์ที่เหลือจากพระสงฆ์ฉันแล้ว จะกินจะใช้ก็ตาม ให้อยู่ที่วัดจบเพียงแค่นั้น อย่าเอากลับบ้าน อันตรายมาก..!

ถาม : ถ้าเขาเอามาใส่ชามให้เรา เราไม่ทราบว่าเป็นของวัด ทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ชำระหนี้สงฆ์ไป ต่อไปก็สั่งไว้เลยว่าไม่ต้องเมตตา คราวหน้าอย่าเอามาอีก แต่ถ้าเขาไม่รู้ก็ไม่ต้องไปเถียงกับเขา ทนชำระหนี้สงฆ์ไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกัน

เถรี
04-09-2012, 09:03
ถาม : อารมณ์การอนุโมทนาบุญสูงสุดหยุดอยู่แค่ปีติหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าใครหยุดอยู่แค่ปีติแปลว่าโง่มาก การโมทนาบุญจะกำลังใจสูงต่ำแค่ไหนก็ได้บุญทั้งนั้น อย่าลืมว่าพระที่ท่านเข้าพระนิพพานแล้ว ท่านยังโมทนาบุญเลย แม้ว่าผลบุญนั้นไม่ได้อะไรกับท่านแล้ว ท่านโมทนาไปก็สูญเปล่า เนื่องจากท่านอยู่เหนือบุญเหนือบาปไปแล้ว แต่ท่านก็ยังพลอยยินดีในความดีที่เราทำ

เพราะฉะนั้น..กำลังใจจะอยู่ในระดับชั้นไหนก็ตาม ยิ่งความดีสูงมากเท่าไร ยิ่งพลอยยินดีในความดีของผู้อื่นได้มากเท่านั้น ก็แปลว่า ยิ่งพลอยโมทนาได้มากเท่านั้น

ถาม : อนุโมทนาบุญอย่างไรถึงไปอยู่ที่พระนิพพานกับท่านได้ ?
ตอบ : คิดแบบนี้ไม่มีทางได้เลย เพราะคิดจะรวยทางลัด การโมทนาบุญนั้นก็คือ การที่เรายินดีในผลบุญที่ผู้อื่นทำ ขณะที่เราไม่ได้ทำ เป็นความดีที่ออกมาจากน้ำใสใจจริง แต่ในปัจจุบันนี้ร้อยละ ๙๙ การโมทนานั้นแฝงความหมายว่า "กูจะเอาของมึง" เมื่อเป็นดังนั้น จากอานิสงส์แทนที่จะได้เป็นล้าน ก็ได้ไปสลึงเดียว..!

เพราะฉะนั้น..ถ้ารู้วิธีแล้วโมทนาให้ถูกทาง ก็มีสิทธิ์ไปพระนิพพานได้ ถ้าเจ้าของบุญท่านไปพระนิพพานแล้ว

ถาม : อย่างไรจะถูกทางครับ ?
ตอบ : ตามที่บอกมานั่นแหละ อย่าไปเอาของมึงอีกก็แล้วกัน..!

ถาม : เห็นเขาทำยินดีด้วย ทำตามด้วย ?
ตอบ : อย่างนั้นได้บุญของเขาด้วย บุญของตัวเองก็ได้ด้วย เพราะตัวเองทำตาม

เถรี
04-09-2012, 09:20
ถาม : การจะถือศีล ๘ ให้ได้เป็นปกติ ควรจะมีวิธีการคิดอย่างไร ในเบื้องต้น เบื้องกลางและเบื้องปลาย ?
ตอบ : ไม่ต้องคิดหรอก..ทำเลย แต่ขณะที่ทำควรจะภาวนาให้กำลังใจทรงตัวด้วย เพราะกำลังของศีลแปดเป็นกำลังที่สูงมาก คำว่าสูงมากก็คือ เป็นกำลังของพระอนาคามี

บุคคลที่จะเป็นพระอนาคามี ถ้าสมาธิไม่ทรงตัว ก็ไม่สามารถที่จะตัดโลภและโกรธได้ โลภตัวนี้หมายถึงรักด้วย เมื่อเป็นดังนั้น ถ้าตั้งใจจะรักษาศีลแปดให้ทรงตัว ควรจะทำสมาธิให้ทรงตัวด้วย ถ้าสมาธิไม่ทรงตัว จะรักษาศีลแปดได้ยากมาก

ถาม : การเล่นเกม การเคลิ้มไปกับเพลง การชอบใจคำพูดหยอกล้อ หรือเนื้อตัวขาว ๆ ของผู้หญิงที่ผ่านสายตา และอารมณ์ไม่พอใจ โมโห โกรธ ในเวลาทำงาน ถือว่าศีล ๘ ขาดหรือไม่ ?
ตอบ : ศีลไม่ขาด แต่ถ้าว่าตามหลักบาลีก็คือ ศีลด่าง ศีลพร้อย ศีลทะลุ แปลว่าไม่บริสุทธิ์จริง ไม่ถึงกับขาดหรอก แต่ก็แหว่งไปเยอะแล้ว

ถาม : อย่างที่ท่านว่าควรจะมีสมาธิกำกับด้วยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากสมาธิกำกับอยู่ ก็จะไม่ไหลไปตาม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างที่ว่ามา

ถาม : หากไม่เหลือดีเลย ผมขออุบายที่จะไม่จดจ่อโทษตัวเอง จนหมดกำลังใจในการรักษาศีลครับ
ตอบ : ไปเกิดใหม่..!

ถาม : ฟังแล้วยิ่งมีกำลังใจมากเลยครับ..!
ตอบ : บอกเขาไปว่ายังเหลือดีอยู่นิดหนึ่ง จะได้มีกำลังใจ

ถาม : ยังมีดีอยู่นิดหนึ่ง ?
ตอบ : ศีลยังไม่ขาด ยังแหว่ง ๆ อยู่ ยังพอมีดีเหลืออยู่บ้าง

ถาม : เริ่มใหม่ได้ ?
ตอบ : ศีลทุกระดับ รู้ตัวว่าพลาดก็เริ่มต้นใหม่ ถ้ามัวแต่ไปเศร้าหมองอยู่ตรงนั้น จะลงอบายภูมิได้ง่ายมาก รักจะทำความดีต้องหน้าด้านหน้าทน ทันทีที่รู้ตัวว่าศีลของเราบกพร่องแล้ว ให้ตั้งใจว่าตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปศีลเราจะบริสุทธิ์ และตั้งหน้าตั้งตารักษาสิกขาบทต่อไป มัวแต่ไปคร่ำครวญอยู่ เสียเวลาเปล่า ๆ จิตใจที่เศร้าหมองแบบนั้น ถ้าตายตอนนั้นก็ลงอบายภูมิอีก

เถรี
04-09-2012, 09:24
ถาม : ผู้ที่ถือศีล ๘ ต้องทำสมาธิทั้งวันหรือเปล่าครับ ? ทำงานทำตัวปกติได้ หรือต้องแปลกแยกให้รู้ว่าเราถือศีล ?
ตอบ : ควรจะแปลกแยกสักหน่อย คนจะได้นินทา..! อาตมาถือศีลแปดเป็นปี คนยังไม่รู้เลยว่าถือศีลแปด ทำไมต้องให้เขารู้ด้วย ? ยกเว้นว่าตั้งใจว่าอวดเขาว่ากูดีกว่า ก็กลายเป็นสีลัพพตุปาทานไปอีก

ถาม : อาจจะเห็นว่า กูถือศีลแปด คนจะได้ไม่มากวนใจ จำเป็นหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น..บอกเมียคนเดียวพอ ..(ฮา)..

ถาม : การตัดความถือตัวถือตนสำหรับกัลยาณชนอย่างไรถึงเรียกว่าดี ? และผู้ที่เป็นพระโสดาบันท่านถือตัวถือตนต่างกับกัลยาณชนอย่างไร ?
ตอบ : ก็แค่ลดมานะตัวเองลงมาสักหน่อยหนึ่ง อย่าไปคิดว่ากูดีกว่าเขา ก็จัดว่าอยู่ในระดับของกัลยาณชนได้ ส่วนพระโสดาบันนั้นท่านรู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย ในเมื่อรู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย การถือตัวถือตนท่านก็จะลดไปโดยอัตโนมัติ เพราะไม่รู้จะแบกไปทำอะไร อย่างไรก็ตายแน่อยู่แล้ว

เถรี
04-09-2012, 09:29
ถาม : การสวดคาถาเงินล้านด้วยตัวเอง แล้วสวดได้ไม่นานจิตก็นึกถึงเรื่องอื่น จึงได้หาเสียงสวดคาถาเงินล้านมาฟังแล้วตั้งใจสวดตาม จิตจับเสียง ไม่นึกถึงเรื่องอื่นได้นานและมั่นคงในเสียงสวดคาถา

ตอนนี้จึงอยากทราบว่า ระหว่างการสวดด้วยตัวเองกับฟังเสียงสวด ผลของคาถาจะมีผลเหมือนกันหรือไม่ ? และการสวดคาถาเงินล้านโดยสวดตลอดทั้งวัน นึกขึ้นได้ก็สวดจะมีผลเหมือนกับการตั้งใจสวดเป็นจบ ๆ หรือไม่ ?

ตอบ : การภาวนาคาถาเงินล้าน ทำอย่างไรก็ตาม ทำแล้วสมาธิทรงตัวได้ดีให้ทำอย่างนั้น เพราะผลของคาถาจะเกิดต่อเมื่อสมาธิทรงตัวได้ดี

ในการภาวนาแรกเริ่มควรจะกำหนดเสียก่อน ว่าเราจะภาวนากี่จบต่อวัน และทำให้สม่ำเสมอทุกวัน จนกระทั่งเราสามารถทำได้สม่ำเสมอ อารมณ์ใจทรงตัว หรือผลของคาถาเกิดแล้ว เราถึงสามารถที่จะวางได้ในลักษณะนึกถึงได้เมื่อไรค่อยภาวนา ถึงตอนนั้นไม่ต้องไปกำหนดเอาจบก็ได้

เถรี
04-09-2012, 10:09
ถาม : รุ่นน้องผมมีเพื่อนติดเชื้อเอดส์แล้วมาปรึกษาผม ขอพระคุณหลวงพ่อเมตตาแนะนำวิธีรักษาหรือวิธีการใช้ยา (ยาสูบหรือตัวยาอื่น ๆ) ตามแบบพระคุณหลวงพ่อฤๅษีได้บอกไว้ให้ด้วยครับ ผมเคยได้อ่านมาว่าให้ใช้ยาสูบจุดแล้วสูดควันเข้าไป หรือใช้แบบสกัดเป็นน้ำฉีดเข้าไป ซึ่งผมไม่แน่ใจในกระบวนการจริง ๆ จำเป็นต้องขอความเมตตาจากพระคุณหลวงพ่อ หรือถ้าพระคุณหลวงพ่อจะพอทราบหรือแนะแนวทางอื่น ๆ ได้
ตอบ : อยากแนะนำว่าไปตายซะ..! นักปฏิบัติที่ดี ครูบาอาจารย์บอกครั้งเดียวต้องจำได้ นี่นอกจากไม่จำแล้ว ยังใช้ครูบาอาจารย์ให้บอกใหม่ บอกเขาไปว่า ให้กลับไปค้นคว้าจากตำราเล่มเดิม

เถรี
04-09-2012, 10:20
ถาม : ผมเคยได้ยินหลวงพ่อพูดถึงวัดหรือสำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง ที่ฝึกปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ผู้ฝึกต้องอยู่ในห้องเล็ก ๆ มีทางเดินจงกรมแคบ ๆ ห้ามติดต่อโลกภายนอก อาหารจัดส่งถึงห้องตามเวลา ไม่ทราบว่าเป็นที่แห่งใด ? หลักการสอนสมาธิเป็นอย่างไร ? และมีข้อกำหนดใดบ้างในการขอเข้าไปปฏิบัติธรรมครับ ?
ตอบ : ไปหาดูในกูเกิ้ล วัดภัททันตะอาสภาราม ถ้าไม่แน่จริงอย่าไป เพราะนอกจากจะห้ามติดต่อกับคนแล้ว ห้ามพูดด้วย อยู่ได้สามวันโดยไม่บ้าเสียก่อน ถือว่าเจ๋งมากแล้ว..!

ถาม : อยู่ในห้องเล็ก ๆ ที่มีแต่ทางเดินหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปไหน อยู่แต่ในนั้นแหละ

ถาม : เหมือนคุกขังเดี่ยวเลยครับ
ตอบ : ประมาณนั้นเลย เข้าส้วมห้ามเกินสามนาที ถ้าถึงสามนาทีจะมีพี่เลี้ยงมาทุบประตูเรียก เขามีกล้องวงจรปิดติดอยู่ ยกเว้นในส้วม กลัวจะขี้เกียจไม่ภาวนา
เริ่มปฏิบัติตีสอง นอนสี่ทุ่ม เดินจงกรมสลับกับภาวนาทั้งวันทั้งคืน อย่างน้อย ๑ ชั่วโมงต่อ ๑ บัลลังก์ ก็แปลว่า เดิน ๑ ชั่วโมง นั่ง ๑ ชั่วโมง สลับกันไป

ถาม : ถ้าไปอยู่ก็โมทนาด้วยแล้วกัน
ตอบ : อาตมาไปอยู่มา ๑๘ วัน ออกมาตัวขาวจ๋อง เพราะไม่โดนแดดเลย

เถรี
04-09-2012, 10:24
ถาม : ผมมีเพื่อนผู้ชาย (เดิมนับถือศาสนาพุทธ) ต่อมาได้แต่งงานกับแฟนสาวซึ่งนับถืออีกศาสนา และเพื่อนผมก็เปลี่ยนเข้ารับอีกศาสนาตามแฟนสาว อยู่กินกันมาหลายปีจนมีลูก (แต่ในใจยังนับถือพุทธศาสนา เพียงแต่ปฏิบัติอย่างบุคคลทั่วไปไม่ได้ เนื่องจากอีกศาสนามีข้อห้ามไว้) เมื่อเขาเสียชีวิตแล้วร่างกายเขาก็ต้องเข้าทำตามพิธีในศาสนานั้น ขอถามว่าจิตวิญญาณของเขาซึ่งนับถือพุทธศาสนาจะไปสู่ภพภูมิใด ? พุทธหรืออีกศาสนาครับ ?
ตอบ : ร่างกายไม่ใช่สาระ เพราะร่างกายเป็นแต่ซากศพเท่านั้น สำคัญว่าก่อนตายจิตเกาะความดีได้หรือเปล่า ? ถ้าจิตเกาะความดีได้ก็ไปสุคติ สามารถเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมได้ ถ้าจิตเกาะความดีไม่ได้ก็ไปทุคติ ไปเป็นสัตว์นรก ไปเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ตามแต่กรรมที่ตนเองสร้างมา ไม่ว่าจะศาสนาใดก็ไปนรกเดียวกัน สวรรค์เดียวกัน

เถรี
04-09-2012, 11:56
ถาม : ตะกรุดมหาสะท้อน มีผลสะท้อนต่อการถูกกระทำทางวาจาหรือไม่ ?
ตอบ : มี

ถาม : มีข้อยกเว้นหรือข้อจำกัดใดบ้างที่ไม่แสดงผล ?
ตอบ : ไม่มีข้อยกเว้น..ตะกรุดมหาสะท้อนขยัน จะมากจะน้อยให้ผลหมด

ถาม : ผมแขวนมหาสะท้อนทั้งทองคำและเงินมาหลายปี แต่ยังไม่มีประสบการณ์เด่นชัดในทันทีทันใด แม้จะวางใจนิ่งต่อการกระทำ ไม่ทราบว่ามีเหตุผลอย่างใดครับ ?
ตอบ : สงสัยแขวนแบบควาย..! เคยเห็นควายแขวนกระดึงไหม ? เจ้าของเอาแขวนให้ควายก็ติดตัวไปเรื่อย ไม่เคยอาราธนาเลย ต้องอาราธนาและภาวนาคาถามหาสะท้อนเอาไว้ทุกวัน จนอารมณ์ใจทรงตัว

ถาม : ถ้าตะกรุดมหาสะท้อนลดความเข้มแข็งลง รบกวนหลวงพ่อส่งจิตอธิษฐานให้ด้วยครับ
ตอบ : จ่ายค่าอธิษฐานมาก่อน..!

เถรี
06-09-2012, 19:49
ถาม : ผมรื้อบ้านเสร็จแล้ว จะปลูกบ้านใหม่ เป็นฤกษ์อมฤตโชค ควรจะ..?
ตอบ : ตอนนี้เป็นช่วงเข้าพรรษา ปกติปลูกบ้านหรือวางศิลาฤกษ์ หรือลงเสาเอก เขาทำกันหลังจากออกพรรษาไปแล้ว

ถาม : ช่วงนี้เข้าพรรษาอยู่ก็..?
ตอบ : รอให้พ้นไปก่อน

เถรี
06-09-2012, 19:51
ถาม : ตอนเช้าผมภาวนาจนกลายเป็นสมาธิ แล้วรู้สึกว่าหายใจไม่ออก และไปเห็น..(ไม่ได้ยิน).. แต่ว่าเรายังรู้สึกกลัว ไม่รู้ว่าหูอื้อไปหรือเปล่า หรือท่านมาเจอเราจริง ?
ตอบ : เจอเขาก็ถามเขา ไม่ใช่มาถามคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นเสียอย่างนี้ เจอแล้วไม่ถาม ดันมาถามคนที่ไม่เจอ เหมือนกับกินข้าวแล้วมาถามคนอื่นว่าผมอิ่มหรือยัง ?

ถาม : พยายามถามแต่เขานิ่งมาก ได้แต่ยิ้มอย่างเดียว
ตอบ : อย่างนั้นก็รอ...รอเขาตอบเมื่อไรก็จบ

เถรี
06-09-2012, 19:56
พระอาจารย์เล่าว่า "เพื่อน ๆ ที่เรียนปริญญาเอกอยู่ พอเขารู้ว่าอาตมาอยู่วัดท่าขนุน เขาก็ไปหาข้อมูลในกูเกิ้ล แล้วทุกคนก็มาถามว่า “ทำเว็บอย่างไรถึงมีข้อมูลใหม่อยู่ทุกวัน ?” อาตมาก็บอกว่า ไม่ได้ทำอย่างไรหรอก คนทำเขาตั้งใจทำและเขาทำด้วยใจจริง ๆ ถึงเวลามีคนช่วยกันลงข้อความ จึงมีของใหม่อยู่ทุกวัน

ส่วนใหญ่เขาไปเจอเว็บประเภทหน้าเดียวไม่เคยเปลี่ยนแปลง เขาก็เบื่อ"

เถรี
06-09-2012, 20:18
พระอาจารย์กล่าวว่า "บางทีการเจ็บไข้ได้ป่วยก็ดีนะ ช่วยเตือนให้เรารู้ว่าร่างกายนี้ไม่ดีจริง ถ้าเราคิดว่าเป็นธรรมดา เราก็ไม่ไปคร่ำครวญกับอาการป่วยนั้น ในเมื่อเราทำเอาไว้ ถึงเวลาเขามาเรารับไว้ก็หมดเรื่อง

เราต้องคิดว่าการเกิดมาอยู่ในโลกนี้ ก็เหมือนกับติดอยู่ในกรงขัง สัตว์ที่ติดอยู่ในกรงขัง ดิ้นรนไปก็เหนื่อยเปล่า นอนเฉย ๆ ยังสบายกว่า การที่นอนเฉย ๆ อยู่ในกรงก็เหมือนกับการที่เราทำใจให้ยอมรับว่า สภาพของร่างกายนี้มีปกติธรรมดาเป็นอย่างนั้น ในเมื่อปกติธรรมดาเป็นอย่างนั้น อยากจะเป็นก็เป็นไปสิ เป็นได้ก็ต้องหายได้"

เถรี
06-09-2012, 20:50
พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็ก ๆ สมัยนี้รู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดเร็ว การพูดช้าดีกว่านะ คนพูดช้าแสดงว่าพูดอย่างมีสติ พูดด้วยความระมัดระวัง สมัยนี้เขาพูดเร็วจนรู้สึกว่าประสาทของเรารับไม่ทัน กว่าจะตีความได้เขาพูดไปอีกหลายประโยคแล้ว

มีคนที่อาตมารู้จัก..เวลาเขาสั่งงาน เขาสั่งเร็วจนกระทั่งแม้แต่อาตมาเองยังฟังไม่ทัน ลูกน้องเขาฟังทันหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่ารู้ตัวให้ปรับการพูดให้ช้าลงนิดหนึ่ง

ส่วนอาตมาเองพูดสั้นเกินไป คนจึงไปตีความกันมากจนเกินเหตุ กลายเป็นผิดไปทุกที อาตมาเป็นคนที่เห็นว่าถ้าเนื้อหาครบก็จบแค่นั้น คราวนี้เขาดันไปตีความ ซึ่งความจริงทำตามไปตรง ๆ ก็จบแล้ว ยิ่งตีความก็ยิ่งเข้าป่าเข้าดงไปกันใหญ่

นึกถึงมหาวิทยาลัยสมัยนี้ ที่เขาสอนให้วิเคราะห์พระพุทธเจ้า ว่าทำไมพระพุทธเจ้าถึงเทศน์พระสูตรนี้ ? อยู่ในสถานการณ์อย่างไร ? พระองค์มีความคิดความต้องการอย่างไร ? ชาติหน้าคงจะวิเคราะห์ได้ถึงหรอก..! เจตนาของพระองค์ท่านก็แค่ตั้งใจสงเคราะห์ ให้เขามีโอกาสได้มรรคได้ผล พระองค์ท่านถึงได้แสดงพระธรรมเทศนา ทำไมต้องไปเสียเวลานั่งวิเคราะห์ด้วยว่าพระองค์ท่านอยู่ในอารมณ์ไหน ? ประเภทข้าวอยู่ตรงหน้าแทนที่จะรีบกิน กลับไปนั่งเขี่ยดูว่ามีอะไรเป็นส่วนประกอบบ้าง ควรที่จะปล่อยให้อดเสียให้เข็ด..!"

เถรี
06-09-2012, 20:52
ถาม : ช่วงนี้อยู่ดี ๆ หนูก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาค่ะ ?
ตอบ : ไม่อยู่ดี ๆ หรอก ถ้าอยู่ดีต้องไม่หงุดหงิด นี่ต้องอยู่ไม่ดี

ถาม : ก็ควรจะเป็นอย่างนั้นค่ะ แต่คราวนี้หนูพยายามหาว่าเป็นเพราะอะไรถึงรู้สึกแบบนั้น ปรากฏว่าพอหาไม่เจอก็เลยยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่เลยค่ะ ?
ตอบ : เก็บกด..ไปออกกำลัง กวาดบ้านถูบ้านแทน พอสิ่งที่เราเก็บเอาไว้ระบายออกไปกับเรี่ยวกับแรงเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง

การปฏิบัติแรก ๆ จะเป็นอย่างนี้แหละ เพราะเราไปกดรัก โลภ โกรธ หลงไว้ คราวนี้กิเลสพยายามจะงัดเราขึ้น ตอนที่งัดขึ้นนี่แหละ เราไม่รู้ตัวเราก็หงุดหงิด พอหงุดหงิดแปลว่าโทสะเกิดแล้ว แต่เรารู้ไม่เท่าทัน เราก็ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ ว่าทำไมต้องเป็นอย่างนี้ด้วยวะ ?

เพราะฉะนั้น..ไปหาทางทำอย่างอื่นแทน แสดงว่าเรากดกิเลสมาก เขาพยายามจะงัดคืน แต่อย่าปล่อยนะ...ปล่อยเมื่อไรกิเลสเอาเราตายเลย..! ฉะนั้น..ไปหางานอื่นทำ เข้าฟิตเนสบ้าง ถูบ้าน กวาดบ้านบ้าง ไล่ตีลูกบ้างก็ได้..!

เถรี
06-09-2012, 20:55
ถาม : เวลาที่ภาวนาแล้วหลุดออกไปแล้ว พอเราไปถามท่านนั้นท่านนี้ เวลาท่านตอบหนูจะได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้างค่ะ แต่พอตอนโดนด่านี่จะได้ยินชัดเจนตลอด ขนาดไม่ได้ตั้งใจจะฟังยังได้ยินชัดเลยค่ะ ทำไมท่านไม่ทำให้ได้ยินเท่า ๆ กันหมดคะ ?
ตอบ : เดี๋ยวเราจะไม่สนใจ..ไปเจอใครอย่าถามส่งเดช เคยถามท่านใดองค์ใดให้ถามเฉพาะท่านนั้น ถ้าถามเรื่อยเปื่อยเดี๋ยวจะโดนหลอก ไม่ใช่เจอใครก็ถามท่านไปหมด

ถ้าสอบถามรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น จะไปไหน ไปอย่างไร ก็พอไหว แต่อย่าไปถามเรื่องของการปฏิบัติ ถามเรื่องการปฏิบัติต้องถามเฉพาะองค์ ไม่อย่างนั้นจะเหมือนกับเราขาดความมั่นใจ เจอใครก็ถามไปหมด เดี๋ยวท่านก็แกล้งจูงเข้าป่าไป ดูซิว่าจะออกเป็นไหม ?

ถาม : แต่ก่อนจะไปนี่หนูเจาะจงว่าจะไปถามท่านนั้นโดยเฉพาะเลย แบบนี้ใช้ได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถามท่านนั้นแล้วเคยถามไหม ?

ถาม : ก็เคยถามมาบ้างค่ะ ?
ตอบ : ถ้าเคยก็แล้วไป ถ้าไม่เคยแล้วไปถามเปะปะไปเรื่อย เดี๋ยวจะไปหาองค์นี้ไปถามท่าน ไปหาองค์นั้นไปถามท่าน เดี๋ยวได้รางวัลแน่..!

ถาม : แล้วเวลาที่โดนท่านว่า หรือตำหนิ ส่วนใหญ่จะเป็นของจริงหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ยังมีราคาพอจะให้ท่านตำหนิ พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าท่านยังด่าเราอยู่ แสดงว่าเรายังมีราคาพอที่ท่านจะด่า ถ้าท่านไม่ด่าอะไร ปล่อยเลยตามเลย นั่นเตรียมตัวไว้เถอะ ไม่มีใครเขาแลหรอก เพราะฉะนั้น..โดนด่าให้ดีใจ เรายังอยู่ในความสนใจของท่านนะ อุตส่าห์ช่วยด่าให้..!

เถรี
06-09-2012, 20:59
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเคยบอกว่า นักปฏิบัติพอทำไปถึงระดับหนึ่งต้องการอะไรก็จะเป็นอย่างนั้น จึงต้องควบคุมตัวเอง ระวังไม่ให้รัก โลภ โกรธ หลงเกิด ไม่อย่างนั้นแล้วความต้องการของเราจะไปเรื่อยเปื่อย บางท่านจึงหลงทางเพราะไปคิดว่าตัวเองดีแล้ว ขณะเดียวกันก็เป็นการทดสอบว่า ปัญญาของเรามีพอหรือไม่เมื่อเกิดเหตุอย่างนี้ขึ้นมา ?

ยิ่งปฏิบัติไป สติสัมปชัญญะต้องยิ่งมากขึ้น ไม่อย่างนั้นแล้วจะเผลอ แล้วจะเสียท่ากิเลส โดนเขาหลอกให้คิดว่าเราดีแล้ว ถ้าคิดว่าตัวเองดีเมื่อไรจะไม่แสวงหาความก้าวหน้า แล้วก็จะติดอยู่อย่างนั้น อย่างนี้เรียกว่าติดดี

พระสูตรแรกในสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ก็คือพรหมชาลสูตร พรหมชาละ แปลว่า ตาข่ายดักพรหม สรุปง่าย ๆ ว่าติดอยู่แค่พรหม เพราะฉะนั้น..โยคีต่าง ๆ ที่เขาไม่สามารถจะล่วงพ้นไปได้ ถ้าไม่ติดที่รูปพรหมก็จะไปติดที่อรูปพรหม ก็เพราะไปคิดว่านั่นดีแล้ว แต่พระพุทธเจ้าของเราเห็นว่านั่นยังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ จึงทรงแสวงหาทางที่ดีกว่านั้น แล้วพระองค์ท่านก็เจอทาง ในขณะที่ผู้อื่นไม่แสวงหาเลยจึงไม่เจอ หรือถ้าแสวงหา แต่ว่าสั่งสมบุญบารมีมาไม่สมบูรณ์ก็ไม่เจอเหมือนกัน หรือถึงรู้ว่ามีทางแต่ก็ไปไม่ถึง"

เถรี
07-09-2012, 20:45
พระอาจารย์กล่าวว่า "ไม่ทราบว่าอาตมาเคยเล่าให้พวกเราฟังแล้วหรือยังว่า มีโยมคนหนึ่งตั้งใจจะถือกรรมบถ ๑๐ แต่อยู่ร่วมกับพวกที่ทำงานไม่ได้ เพราะเขากลัวผิดกรรมบถ ๑๐ เวลาเจ้านายถาม เขาก็ไม่พูดด้วย เพื่อนร่วมงานถาม เขาก็ไม่พูดด้วย เขาเรียกว่าปฏิบัติธรรมแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ กลัวผิดกรรมบถ ๑๐ เจ้านายคุยเรื่องงานแล้วไม่คุยด้วย แล้วจะรู้เรื่องไหม ? เพื่อนร่วมงานถามก็ไม่คุยด้วย จึงอยู่ร่วมกับเขาไม่ได้

วันก่อนเขาโทรศัพท์มาบอกว่า ตอนนี้ไปนับถือศาสนาคริสต์แล้ว คงจะเห็นว่าปฏิบัติตามศาสนาพุทธแล้วอยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้ แต่ที่เขาโทรศัพท์มามีปัญหาว่า ไปภาวนาว่า “เยซู..เยซู” แล้วทำไมสติสมาธิไม่ทรงตัวเหมือนพุทโธ ? อาตมาจึงบอกไปว่า เป็นผู้ใหญ่แข็งแรง ๆ แล้วคุณลดตัวเองลงไปเป็นเด็ก จะเอากำลังเหมือนผู้ใหญ่ได้อย่างไร ? อันนี้คืออย่างหนึ่ง เพราะพระพุทธเจ้าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ส่วนพระเยซูท่านยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่

อีกประการหนึ่งก็คือ ไปเปลี่ยนคำภาวนาที่ตัวเองไม่เคยชิน สมาธิก็เลยไม่ทรงตัว เขาก็ยังมีข้อแย้งว่า ในเมื่อไปถือศาสนาคริสต์ ถ้าไม่เอ่ยนามพระบิดา แต่ไปเอ่ยนามศาสดาอื่น เกรงพระบิดาจะไม่พอใจ อาตมาจึงบอกไปว่า "พระบิดาไม่โง่เหมือนแกหรอก..!"

สรุปว่าเขาไปถือศาสนาไหนก็โง่ต่อไป ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าเวทนา ไปได้ไกลขนาดนั้น ถ้าหมดท่าขึ้นมา เห็นว่าสมาธิไม่ทรงตัว อาจจะไปถืออิสลามเข้าอีกศาสนาหนึ่ง เผื่อละหมาดวันละ ๕ ครั้งแล้วอาจจะดีขึ้น..!"

เถรี
07-09-2012, 20:56
"พวกเราคงจะเคยได้ยินสำนวนชายสามโบสถ์ ชายสามโบสถ์ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าบวช ๓ ครั้ง แต่หมายถึงถือศาสนา ๓ ศาสนาแล้วยังเอาดีไม่ได้ เจอโบสถ์พุทธ โบสถ์คริสต์ โบสถ์อิสลามไปแล้วยังเอาดีไม่ได้ แล้วใครจะไปคบด้วย

เพราะฉะนั้น..สำนวนชายสามโบสถ์ของคนโบราณ บ่งบอกถึงความเป็นคนจับจด ทำอะไรไม่จริงจัง หรือไม่ก็เป็นคนเถรตรงเกินไป ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ คนประเภทนี้เดินแล้วเลี้ยวไม่เป็น เจอถนนเป็นหลุมเป็นร่องก็ลุยไปอย่างนั้น หกล้มหกลุกหัวร้างคางแตก ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร

ต้องบอกว่าถ้าหลักการของพุทธศาสนาปฏิบัติแล้วยังเอาดีไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปปฏิบัติที่อื่นหรอก แต่อาตมาก็ไม่บอกเขา กลัวว่าจะกลับมาอีก..!

ในอนันตริยกรรม ๕ อย่าง ก็คือกรรมที่มีโทษหนักอย่างหาที่สุดได้ยาก ประกอบไปด้วย การฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต และยุสงฆ์ให้แตกกัน บางแห่งท่านนับอัญญสัตถุเทศเข้าไปด้วย

อัญญสัตถุเทศ ก็คือ การถือพระพุทธศาสนาแล้วเปลี่ยนใจไปนับถือศาสนาอื่น อรรถกถาจารย์บางแห่งท่านถือว่าเป็นอนันตริยกรรมด้วย เหมือนกับมีช่องทางที่จะหลุดพ้นอยู่แล้ว อยู่ ๆ ก็ไปตะเกียกตะกายทางอื่นแทน ถ้าเขาไปมีความมั่นคงในศาสนาอื่น ก็อีกนานกว่าที่จะย้อนกลับมาได้ คำว่าอีกนานก็คือนับชาติไม่ถ้วน ท่านคงเห็นว่าโทษหนักพอ ๆ กับอนันตริยกรรม"

เถรี
07-09-2012, 21:01
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาสงสัยว่าญาติโยมบางคนเป็นโรคจิตหรือเปล่า ? มีของอะไรต้องยัดเข้าตู้เย็นไว้ก่อน อย่างพวกขนมแห้ง ๆ ไปยัดเข้าตู้เย็นนี่เสียเลย เก็บต่อไม่ได้ แต่ถ้าเราไว้ข้างนอกจะเก็บได้เป็นปี

ถ้าลูกหลานที่บ้านทำอย่างนี้ฟาดเสียบ้างนะ เสียของเปล่า ๆ พอเอาเข้าตู้เย็นแล้วเอาออกไปไม่ได้ จนกว่าจะกินจนหมด อย่างขนมพวกเวเฟอร์ แครกเกอร์พวกนั้น ไม่ได้มีความจำเป็นต้องไปเข้าตู้เย็นก็เอาเข้าไปอยู่ได้ เห็นมาหลายบ้านแล้ว เขานิมนต์ไป บังเอิญเขาไปเปิดตู้เย็น อาตมาตาไวเหลือบไปเห็นเข้า ไม่รู้ว่าจะแช่ไปทำไม ?"

เถรี
07-09-2012, 21:05
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : รับรู้ไว้เฉย ๆ แล้วก็ระมัดระวังไว้ อย่าให้รัก โลภ โกรธ หลงเข้ามาอีก

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : จำไว้ว่าถ้าหนักยังไม่ใช่ของแท้ ต้องเบาถึงจะใช่ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถึงได้สอนให้พวกเราส่งใจไปนิพพานให้เคยชิน เพราะสภาวะพระนิพพานเป็นสภาวะหมดกิเลส ก็คือสภาวะจิตของพระอรหันต์นั่นแหละ พอเราเคยชินกับสภาวะจิตที่ไม่มีกิเลส ต่อไปก็จะสบาย แต่ส่วนใหญ่ได้แล้วก็มักจะปล่อยปละละเลย ไปเที่ยวสนุกสนานเสียมากกว่า

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ให้เราจดจำอารมณ์นั้น แล้วประคับประคองรักษาอารมณ์นั้นให้อยู่กับเรา พอเคยชินไปนาน ๆ เข้าเดี๋ยวก็เป็นของเราไปเอง

เถรี
07-09-2012, 21:13
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้วัดท่าขนุนทอดกฐินวันตักบาตรเทโว ปกติแล้ววัดท่าขนุนจะทอดกฐินวันที่ ๒๓ ตุลาคมทุกปี แต่ ๒๓ ตุลาคมปีนี้ยังไม่ออกพรรษา ก็เลยต้องไปกำหนดวันที่ค่อนข้างจะเร็วหน่อย เพราะว่าปีนี้มีเดือน ๘ สองหน เข้าพรรษาวันที่ ๒ สิงหาคม เข้าพรรษาช้ามาก ก็เลยไปออกพรรษาเอาปลายเดือนตุลาคมโน่น

อาตมาจึงกำหนดทอดกฐินวันเดียวกับตักบาตรเทโว ช่วงเช้าถึงเพลตักบาตรเทโว ช่วงบ่ายโมงทอดกฐิน ๓ วัด แล้วเดือนถัดไป วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ต้องไปเป็นประธานทอดกฐินที่วัดตะเคียนงาม วัดหนองบ้านเก่า วัดประตูด่าน วัดบ้านห้วยน้ำขาว รวมเป็น ๗ วัด

นอกจากนี้อาตมารับเป็นเจ้าภาพกฐินปลดหนี้วัดครูบาเหนือชัยวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน จะะแวะทอดกฐินกับหลวงพ่อสิงห์ ที่วัดถ้ำป่าไผ่วันเสาร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายนด้วย
ในเมื่อเดินทางผ่านก็แวะวัดหลวงพ่อสิงห์ก่อน แล้วค่อยเลยไปเชียงราย สรุปว่าได้ครบ ๙ วัดพอดี

ตอนนี้ที่แยกตัวไม่ออกเพราะส่วนใหญ่เขาจะให้ไปเป็นประธานทอดกฐินวัดเขา แค่ไปนั่งเฉย ๆ ก็พอ ไม่ต้องทำอะไร แต่คราวนี้กฐินส่วนใหญ่เลือกวันเสาร์อาทิตย์ จึงมีให้เลือกแค่ไม่กี่วัน ชนกันให้มั่วไปหมด อย่างวัดหนองบ้านเก่า ตะเคียนงาม ประตูด่าน อยู่ไม่ห่างกันมาก จึงให้เขากำหนดวันเดียวกัน มี ๑๐ โมงเช้า เที่ยงครึ่ง บ่ายสองโมง วิ่งไล่ทอดกันแถว ๆ นั้นแหละ ๓ วัด ส่วนของวัดท่าขนุน พุทธบริษัท กับเกาะพระฤๅษีทอดที่เดียวกันวันตักบาตรเทโว เวลาบ่ายโมงตรง"

เถรี
08-09-2012, 20:11
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนอาตมารื้อเตียง ได้เงินมา ๕๐,๐๐๐ กว่าบาท ออกกิจนิมนต์แล้วโยนไว้ตรงนั้นบ้าง โยนไว้ตรงนี้บ้าง พอของเต็มเตียงจึงรำคาญตา ก็เลยรื้อสักที

ทำให้นึกถึงหลวงปู่เนื่อง วัดจุฬามณี ท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่คง วัดบางกระพ้อม หลวงปู่เนื่องท่านเป็นเซียนให้หวย หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า ถ้าเล่นหวยหลวงปู่เนื่องเป็น จะถูกทุกงวด

ท่านบอกว่า ถ้าอยากถูกหวยหลวงปู่เนื่องงวดนั้น ให้ตัดท้ายมาเล่นตัวเดียว แต่ถ้าอยากถูก ๓ ตัวตรง ๆ ให้ตามไปเรื่อย ภายใน ๑๒ งวดจะออก แต่ให้เล่นในลักษณะที่ว่า..ถ้างวดแรกเล่น ๑๐ บาท งวดที่สองให้เล่น ๒๐ บาท งวดที่สามให้เล่น ๓๐ บาท งวดที่สี่ให้เล่น ๔๐ บาท ท่านบอกว่าถ้าเล่นแบบนั้นเมื่อได้มาแล้วจะคุ้ม

คราวนี้หลวงปู่เนื่องท่านให้หวยอยู่ ๓๐ กว่าปี คนถูกหวยก็เอาแบงก์ใหม่ ๆ ไปให้ท่านเป็นมัด ๆ ไม่ว่าจะเป็นแบงก์ ๑๐, ๒๐, ๑๐๐, ๕๐๐ สมัยนั้นแบงก์ ๕๐๐ ใหญ่สุด ท่านรับมาก็โยนกอง ๆ ไว้ในกุฏิท่าน ตอนหลวงปู่เนื่องมรณภาพ กรรมการวัดเข้าไปจัดกุฏิ เก็บเงินออกมาได้ ๒๐ กว่าล้าน..! โยนไว้ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น ท่านไม่ได้ไปแตะต้องอะไรเลย

ท่านไม่ได้ใส่ใจเรื่องเงินหรอก รับมาก็ทิ้งกองไว้ตรงนั้น แล้วกรรมการวัดก็ไม่กล้าไปยุ่งในกุฏิของท่าน เงินก็กองอยู่อย่างนั้น ที่น่าเสียดายที่สุดก็คือ พอท่านมรณภาพแล้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านได้รับรายงานจากท้าวมหาราช จึงบอกกับพวกเราว่า “น่าเสียดาย..เขาขอหวยจนพระอรหันต์ตายไปทั้งองค์” ท่านบอกว่าหลวงปู่เนื่องเป็นพระอรหันต์ แต่ไม่มีใครไปขออย่างอื่น ขอแต่หวย เรื่องของธรรมะไม่เอาเลย ถ้าเขาไม่เอาหวยเขาก็เอาวัตถุมงคล อย่างอื่นไม่เอา"

เถรี
08-09-2012, 20:18
"พี่ก้องซึ่งเป็นพี่ชายคนที่ ๓ ของอาตมา เขาไปหาหลวงปู่เนื่องได้หวยมา ๓ ตัว หวยของหลวงปู่เนื่องไม่ต้องเสียเวลาไปขอ ท่านจะเขียนใส่กระดานดำไว้ให้เลย ทุกงวดแหละ ถึงเวลาก็ไปลอกมา งวดแรกพี่ก้องตามทั้งเต็งและโต๊ดก็ไม่ถูก งวดที่สองไม่ถูก งวดที่สามไม่ถูก..เลิก ! งวดที่ ๔ ออกมาตรง ๆ คิดดูก็แล้วกันว่าเป็นอย่างไร ?

พอบอกเคล็ดลับนี้ไป ปรากฏว่าพี่ชายอีกคน คือพี่สุรกานต์ รู้ว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงปีหนึ่งให้หวยแน่ ๆ ครั้งหนึ่ง ก็คืองานกฐิน ถึงเวลาพี่สุรกานต์ก็ไปนั่งฟัง พอสะดุดหูตัวไหนก็จดไว้ แต่งานนั้นไม่ใช่แค่สะดุดหู หลวงพ่อท่านบอกตรง ๆ กลางศาลาเลย ท่านบอก “ลูกหลานเอ๊ย..พ่ออยากจะได้เงิน ๖๘๓ บาท ใครให้ได้บ้างวะ ?” คอหวยนี่เฮกันแทบศาลาถล่ม

ปรากฏว่างวดแรกออก ๘๓ งวดที่ ๒ ออก ๖๓๘ พวกที่เล่นกลับเล่นโต๊ดถูกไป ๒ งวดก็เลิก งวดที่ ๔ ที่ ๕ ไม่มีวี่แววก็เลิกกันหมด พี่สุรกานต์ตามไปเรื่อย ไปออกตรง ๆ งวดที่ ๙ ได้มาแสนแปด..!

อาตมาก็ถามพี่เขาว่า “ถ้าถึงงวดที่ ๑๑ แล้วยังไม่ออกล่ะ ?” เขาบอกว่า “งวดที่ ๑๒ ผมขายบ้านเล่นเลย..!” เขาเชื่อว่าที่หลวงพ่อบอกมาใช้ได้หมด เพียงแต่ว่าสิ่งไหนก็ตาม ที่บอกเป็นสาธารณะ บุญคนไม่เท่ากัน งวดที่จะออกก็จะเลื่อนไป ขึ้นอยู่กับว่าใครมีบุญที่จะได้ ก็จะมีฉันทะในการติดตาม อย่าลืมว่า ๙ งวด คือ ๔ เดือนครึ่ง..! ใครมีอารมณ์ตามบ้าง ? ส่วนใหญ่ถ้า ๓ งวดไม่ออกก็เลิกกันหมดแล้ว

หลวงปู่เนื่องให้หวยนี่เจ้ามือไม่โกรธหรอก เพราะเจ้ามือได้เยอะกว่า ท่านไม่ได้ให้ตรง ๆ เป๊ะ ๆ แต่ท่านให้ตรง ๆ ในอีกหลายงวดข้างหน้า ถ้าอยากได้ให้ตัดท้ายเล่นตัวเดียวแล้วจะถูก แต่ว่าได้น้อย แต่สำหรับพี่ชายอาตมาเขาไม่สนใจหรอก "ตัวเดียวได้น้อยผมก็เอา" อาตมาถามว่าทำไม ? เขาบอกว่า "เติมหน้า ๑๐ ตัว เติมหลัง ๑๐ ตัว ต้องถูกแน่นอน"

ลองนึกดู ได้มาตัวเดียวใช่ไหม ? ถ้าจะเล่นเลขท้าย ๒ ตัว เติมหน้า ๑๐ หลัก เติมหลัง ๑๐ หลัก อย่างไรก็ได้แน่ นั่นพวกเซียนหวยเขาเล่นกัน อาตมาเล่นไม่เป็นหรอก"

เถรี
08-09-2012, 20:21
"เสียดายอยู่อย่างเดียวว่า หลวงพ่อท่านห้ามอาตมาให้หวย เพราะอาตมากั๊กไม่เป็น มักจะให้ตรง ๆ ไม่ได้ให้มา ๒๐ - ๓๐ ปีแล้ว รู้สึกว่าวิชาจะเสื่อมไปแล้วกระมัง ?

อะไรที่ครูบาอาจารย์ท่านห้าม เราจะไปฝืนไม่ได้ ถ้าฝืนก็แปลว่าไม่เชื่อกัน ก็ไม่ต้องมาเป็นศิษย์เป็นอาจารย์กันเท่านั้น ที่ท่านห้ามไว้เพราะท่านรู้ว่า ถ้าว่ามัวแต่ไปให้หวยอยู่ จะเป็นแบบหลวงปู่เนื่อง คนจะไปเอาแต่หวย ไม่เอาธรรมะ แล้วอีกอย่าง ท่านบอกว่า ถ้ารู้แล้วไปบอกตรง ๆ เท่ากับไปปล้นเขากิน..!

สู้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ไม่ได้นะ นั่งคันไหนออกคันนั้น ต่อไปถ้าทำนางกวัก ต้องทำเป็นรูปนายกฯ ยิ่งลักษณ์..!

ความจริงท้าวมหาราชท่านเคยให้สูตรสำหรับคิดหวยได้ แต่ท่านไม่ได้บอกตรง ๆ ท่านบอกว่า ให้เอาเลขตัวผู้คูณ ๓ เลขตัวเมียคูณ ๗ เอาผลมากตั้ง เอาผลน้อยลบ เลขที่ออกมาจะเป็นเลขท้าย ๒ ตัวหรือตัวเดียว คราวนี้เราต้องไปตีความว่าเลขตัวผู้กับเลขตัวเมีย อย่างไหนเลขคู่อย่างไหนเลขคี่

อาตมาเคยคิดย้อนหลังไป ๓๐ กว่างวด ปรากฏว่าออกจริง ๆ แต่บางงวดบวกลบออกมาเหลือเลขตัวเดียวก็ต้องเล่นน้อย ถ้าอย่างพี่สุรกานต์เขาไม่สนใจหรอก ตัวเดียวเขาก็เพิ่มหน้าเพิ่มหลัง เขาเล่นของเขาได้"

เถรี
08-09-2012, 20:26
"พวกเราอย่าไปเล่นเลย เสียเงินเปล่า ๆ เดี๋ยวจะไปเหมือนกำนันเถา กำนันตำบลบางนมโค เขาไปขอเลขหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก หลวงปู่จงบอกว่า “อย่าเอาไปเลย เอ็งไม่ได้เล่นหรอก” กำนันเถาไม่เชื่อ เวลาประกาศหวย เลขออกตรงตามหลวงปู่จงเต็ม ๆ เลย ไม่ต้องกลับ กำนันเถาตรวจโพยเสร็จ ปรากฏว่าซื้อเลขทุกเจ้าที่ไปขอเขามา ยกเว้นเลขของหลวงปู่จง ลืมไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ ?

ต้องบอกว่าบุญไม่มีก็เลยโดนกรรมบังไป กำนันเถาคว้าปืนจะยิงหัวตัวเอง ลูกเมียต้องห้ามกันวุ่น หลวงปู่จงท่านรู้ขนาดว่าเอาไปก็ไม่ได้ซื้อหรอก เขาก็ยังดื้อจะเอาให้ได้

แต่อย่างแม่ลูกอ่อนที่ผัวไปโดนเกณฑ์ทหาร ไม่มีเงินเลี้ยงลูก จึงไปขอหวยหลวงปู่จง หลวงปู่จงให้เลขไปเสร็จสรรพ นึกขึ้นมาได้ จึงพายเรือตามมาถึงบ้าน บอกว่า “อีหนูอย่าเล่นเกิน ๕ บาทนะลูก ถ้าเล่นเกิน ๕ บาท เกินบุญของเอ็ง เลขจะเคลื่อน” เขาก็เชื่อ เล่น ๕ บาทก็ถูก ดังนั้น..ใครถ้าเคยเล่นหวยประมาณเท่าไรแล้วเคยถูก ต่อไปอย่าเล่นเกินนั้น บุญเรามีแค่นั้นแหละ มากไปกว่านั้นจะไม่ถูก"

เถรี
08-09-2012, 20:28
"ความจริงการดูหวยเป็นการใช้ทิพจักขุญาณในอนาคตังสญาณ แต่บางท่านที่ได้อนาคตังสญาณและได้มโนมยิทธิ เขาใช้วิธีวิ่งไปที่กองสลาก ไปถามเทวดาที่รักษากองสลากว่าจะออกเลขอะไร แต่ส่วนใหญ่เทวดาเขาจะบอกตัวเดียว ไม่บอกด้วยว่าบนหรือล่าง ให้ไปเล่นเอาเอง

งานที่เป็นส่วนของราชการทุกภาคส่วนจะมีเทวดารักษา ดังนั้น..อาตมาจึงชอบใจที่เวลารัฐมนตรีเข้ารับตำแหน่ง ท่านจะไปไหว้เจ้าที่กันก่อน นั่นท่านทำถูก แต่อย่างบางกระทรวง เช่น กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ท่านไปไหว้เจ้าที่คนโห่เอา เขาว่าเป็นกระทรวงทันสมัยสุด ๆ แล้วยังไปไหว้ผีอีก แสดงว่าพวกที่ว่าท่านนี่ทันสมัยจนลืมรากเหง้าตัวเอง..!"

เถรี
08-09-2012, 21:16
ถาม : เวลาหลุดออกไปแล้วจะไปที่ไหน ๆ รู้สึกว่าหนักมากเลยค่ะ กว่าจะไปได้แต่ละที่แสนจะลำบาก
ตอบ : ให้พิจารณาร่างกายก่อน จำไม่ได้หรืออย่างไร..? เดี๋ยวฆ่าทิ้งเลย..! ไม่ทันพิจารณาไปก่อนทุกที แล้วจะไปเบาอีท่าไหนได้ ?

สภาพจิตจะต้องเห็นชัด ๆ ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ไม่มีห่วงไม่มีกังวล ถึงจะไปแบบเบามาก แต่ถ้ายังหน่วง ยังหนัก ยังดึง ยังรั้งอยู่ เหมือนกับวิ่งฝ่าน้ำตกดี ๆ นี่เอง บอกไปเท่าไรไม่เคยจำ..!

แต่ว่าเรื่องของอภิญญาสมาบัติก็แบบนี้แหละ..ต้องลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง คนอื่นบอกเราเหมือนเข้าใจ..แต่ไม่ใช่ พอตัวเองไปได้สักทีถึงจะรู้ว่าที่แท้ต้องทำอย่างนี้ เพราะฉะนั้น..ต้องไปลองผิดลองถูกต่อไป ถามคนอื่นก็ได้แค่แนวทางไปเท่านั้น

เถรี
08-09-2012, 21:32
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีอยู่อย่างหนึ่งที่อาจารย์สอนปริญญาเอกของอาตมาท่านเป็นห่วง ก็คือความจงรักภักดีต่อในหลวง ว่าอยู่ในลักษณะที่เทิดทูนพระองค์ท่านเกินไปหรือเปล่า ? อาจารย์ท่านใช้คำนี้นะ ท่านบอกว่าถ้าทำอย่างนั้น ในหลวงพระองค์ต่อไปจะลำบาก

ท่านอรรถาธิบายว่า ในหลวงองค์ปัจจุบันทรงงานมา ๖๐ กว่าปี คนเคารพเทิดทูนท่านอย่างนั้นก็ไม่แปลก แต่อีกพระองค์หนึ่งอายุ ๖๐ ปีแล้ว ยังไม่ได้ทรงงานเลย อยู่ ๆ ขึ้นมาทำงานจะเป็นอย่างไร ? อาจารย์ท่านห่วงตรงนี้

อาตมาก็เลยเรียนท่านอาจารย์ไปว่า "อาจารย์ครับ..ก็เหมือนกับเจ้าอาวาสนั่นแหละครับ ถ้าเจ้าอาวาสรูปเก่าเก่ง เจ้าอาวาสรูปใหม่จะลำบากสาหัสเลย ถึงเจ้าอาวาสรูปใหม่เก่ง คนเขาก็ยังคิดถึงแต่รูปเก่าอยู่ ถ้าเจ้าอาวาสรูปใหม่ไม่เก่งนี่ จมดินหายไปเลยครับ..!"

ฟัง ๆ ดูก็จริงอย่างที่อาจารย์ท่านพูด แต่ว่าอาจารย์ท่านลืมไปอย่างหนึ่งว่า นิสัยของคนไทยอย่างหนึ่งก็คือ เคารพสถาบันโดยไม่มีข้อแม้ ในเมื่อไม่มีข้อแม้ ในหลวงพระองค์ใหม่มาก็เคารพรักอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ากว่าจะให้รักเท่าพระองค์เก่า ก็ต้องแสดงผลงานกันหลายยกหน่อย"

เถรี
08-09-2012, 21:34
"อาจารย์ท่านคิดแบบนักวิชาการ ท่านคิดว่าชาวบ้านรักเทิดทูนในหลวงมากเกินไป คำว่ามากเกินไปนี่เป็นในสายตาของท่านอาจารย์นะ แต่ถ้าในความรู้สึกของพวกเรายังรู้สึกว่าน้อยเกินไป..ใช่ไหม ? ท่านคิดว่ามากเกินไปแล้วในหลวงพระองค์ต่อไปจะลำบาก..ไม่ลำบากหรอก ก็ประคับประคองกันไประยะหนึ่ง ถ้าพระองค์ท่านทรงงานให้เห็นว่าทุ่มเทเพื่อประชาชนอย่างไร เดี๋ยวความศรัทธาเลื่อมใส ความจงรักภักดี ความเทิดทูนก็จะมาเอง

เราลองนึกถึงในหลวงรัชกาลที่ ๘ ครองราชย์ตั้งแต่พระองค์น้อย ๆ ยังเป็นเด็กเล็กอยู่แท้ ๆ ต้องมารับภาระทั้งบ้านทั้งเมือง ด้วยความที่ในหลวงรัชกาลที่ ๘ ได้รับการอบรมสั่งสอนจากสมเด็จพระบรมราชชนนีอย่างเข้มงวด พระองค์ท่านจึงวางพระองค์ได้ถูกต้อง ออกต้อนรับคณะทูตานุทูตต่าง ๆ หลังจากขึ้นครองราชย์ พระองค์ท่านยังวางพระองค์ได้ชนิดเหมาะสมทุกประการ เรียกง่าย ๆ ว่าไม่อายใคร

พอเจริญพระชันษาขึ้นมา จนกระทั่งบรรลุนิติภาวะ ความจงรักภักดีของคนก็มากขึ้น ๆ อยู่ ๆ ก็เหมือนกับฟ้าผ่า..! พระองค์เสด็จสวรรคต ไม่ใช่แต่ในรั้วในวังเท่านั้น คนข้างนอกก็ร้องไห้กันทั้งบ้านทั้งเมือง"

เถรี
10-09-2012, 10:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "หนังสือของสมคิด ลวางกูร มีดีอยู่หลายเล่ม มีอยู่เล่มหนึ่งใช้คำค่อนข้างจะแรง เขาใช้ว่า “มึงสู้จริงหรือเปล่า ?” ลองไปหาอ่านดู เขายกตัวอย่างเรื่องของซิงเกอร์ ทำจักรเย็บผ้าขึ้นมาแล้วมั่นใจมากว่าสินค้าของเขาดี ก็เลยลาออกจากงาน แล้วไปเสนอขายจักรเย็บผ้า จากที่คิดว่าน่าจะขายได้มากมาย กลายเป็นว่ามีคนสนใจน้อยมาก ขายได้แค่ไม่กี่ตัว แต่เขาไม่ยอมแพ้ ถือว่าผลงานของตัวเองดี ต้องคนรู้จักของดีเท่านั้นถึงจะซื้อ

เขาก็ไล่ขายไปเรื่อย กว่าจะได้รับความสนใจใช้เวลา ๒๐ ปี กว่าที่โรงงานใหญ่จะรู้ว่าเครื่องจักรนี้ผ่อนแรงคนได้มหาศาล ค่อยสั่งซื้อครั้งเดียวเป็นร้อย ๆ ตัว พอคนอื่นเห็นก็เอาตามอย่างกัน คราวนี้ขายไปทั่วโลกเลย

เขาถึงได้บอกว่า ถ้านักขายประกันยังขายไม่ได้ภายใน ๒๐ ปี อย่าเพิ่งท้อ เพราะตัวอย่างมีแล้ว เขาบอกว่าคนสู้จริงไม่มีอะไรเลย นอกจากพระเจ้าต้องมอบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ให้แก่คุณเท่านั้น สำคัญคือคุณสู้จริงหรือเปล่า ?

หนังสือของเขา วลีกวนตา วาจากวนตีน อาตมาเห็นก็สะดุดตาเลย อย่างไรก็ซื้อแน่..ถ้าเอ็งไม่ดีจริงเดี๋ยวข้าจะโทรศัพท์ไปด่า..!"

เถรี
10-09-2012, 11:01
ถาม : พระแตก..?
ตอบ : บรรจุใส่พระองค์ใหญ่สิ หรือไม่ก็ซ่อมไว้ใช้งาน มีคนทำพระปิดตาแตก อาตมารีบขอแลกเขามาเลย อย่าลืมว่าวัตถุมงคล ๑ ชิ้น เทวดารักษา ๑ องค์ ยิ่งแตกหลายชิ้นยิ่งดี อาตมาจึงรีบขอแลกเขามา แล้วมาติดกาว บางคนเขาคงไม่รู้ โอ๊ย..พระแตก เสียอกเสียใจกันใหญ่ หาทางปล่อยให้พ้นตัวเอง จึงทิ้งของดีไปแบบน่าเสียดาย

เถรี
10-09-2012, 11:06
ถาม : สงสัยคำว่า พระปัจเจกพุทธเจ้า ?
ตอบ : ปัจเจก แปลว่า เฉพาะตน พระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าที่ท่านอยากจะรู้ทุกเรื่อง แต่ไม่อยากสอนใคร ท่านจึงอธิษฐานเพื่อความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็คือสามารถรู้ได้เท่ากับพระพุทธเจ้า แต่ไม่ต้องเสียเวลามาสอนบริวารของท่าน

ถ้าคนทั่วไปไปหาท่าน ท่านก็สอนแค่ศีล สมาธิ ปัญญาเบื้องต้นเท่านั้น ยกเว้นท่านที่ปรารถนาจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยกัน ท่านจึงจะสอนให้ถึงจุดจบ ในเมื่อท่านไม่ต้องสอนคนหมู่มาก จึงมีสิ่งหนึ่งที่ท่านไม่มีเหมือนพระพุทธเจ้าก็คือสัพพัญญุตญาณ สัพพัญญุตญาณนี่ต้องรู้รอบ รู้ทุกเรื่อง จะได้สอนคนให้ถูกต้องตามกำลังใจของเขา

ถาม : พระปัจเจกกับพระสาวกนี่ต่างกัน ?
ตอบ : ต่างกัน..พระปัจเจกพุทธเจ้าสร้างบารมีมาอย่างน้อยต้องเท่ากับพระอัครสาวก ถ้าหากว่าพระมหาสาวกทั่ว ๆ ไป สร้างบารมีมาน้อยกว่าพระองค์เป็นเท่าตัว

เถรี
10-09-2012, 11:53
ถาม : การต่อสู้ของจีนที่ต้อง "ว้าก" ก่อน ?
ตอบ : การใช้เสียง อันดับแรก เขาว่าเป็นการเรียกพลังตัวเอง อันดับที่สอง เป็นการรบกวนสมาธิคู่ต่อสู้

ปัจจุบันมีอีกอย่างคือมวยหย่งชุน ที่ภาษาอังกฤษเขียนว่าหวิงชุน (Wing Chun) จริง ๆ แล้วมวยหย่งชุนพัฒนามาจากการต่อสู้ในตรอกแคบ ในเมื่อต่อสู้ในตรอกแคบ ๆ ไม่มีพื้นที่ให้ จึงต้องต่อสู้โดยประชิดตัว เพราะฉะนั้น..มวยหย่งชุนจะไม่ใช้อาวุธยาว ส่วนใหญ่จะจี้ติดตัวไปเลย อาศัยความเร็วออกอาวุธในช่วงสั้น ๆ

ปัจจุบันนี้ได้ยินว่าสายการบินของจีนหลายแห่ง สอนแอร์โฮสเตสให้ใช้มวยหย่งชุน ป้องกันพวกผู้ชายเดินทางไกล ๆ เมาแล้วมาลวนลาม เขาอนุญาตให้อัดพวกนั้นให้กองได้เลย บางทีเดินทางหลาย ๆ ชั่วโมง ผู้โดยสารเขาเรียกวิสกี้สัก ๓ - ๔ แก้ว ก็เมาหูตาลายแล้ว

เถรี
10-09-2012, 12:07
ถาม : เป็นรูมาตอยด์
ตอบ : ดื่มน้ำอุ่นเยอะ ๆ พวกนี้เกิดจากกรดยูริกของโปรตีนที่ไปตกผลึกในข้อ ยิ่งกินน้ำน้อยก็ยิ่งเป็นโรคนี้มาก ต้องกินน้ำเยอะ ๆ เพื่อที่จะล้างออกมา ถ้าใช้น้ำเย็นแล้วเดี๋ยวร่างกายรับไม่ไหวจะเป็นไข้ ก็เลยให้ใช้น้ำอุ่น ดื่มให้ได้วันหนึ่ง ๓ - ๔ ลิตร ขยันเข้าห้องน้ำหน่อย และงดพวกอาหารสัตว์ปีก อาหารทะเล ยอดผัก

รูมาตอยด์อาการหนักกว่าเกาต์ ถ้ากำเริบขึ้นมา เวลาเหยียดมือออกแล้วจะหดไม่เข้า ถ้าหดเข้ามาได้นี่คือเจ็บจนน้ำตาเล็ด เหมือนกับมีกรวดมีทรายอยู่ในข้อเรา ข้อจะอักเสบหมด บางทีบวมแดงไปเลย

ถาม : ดื่มน้ำอุ่นอย่างเดียวหรือคะ ?
ตอบ : อย่างเดียว อาตมาเป็นมาตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่อะไรหรอก พ่อของอาตมาป่วย แล้วเขาเอาไก่ตุ๋นโสมให้พ่อกินทุกวัน พ่อไม่กิน อาตมาก็กินแทนอยู่ทุกวัน จะไม่ให้เป็นได้อย่างไร

ถาม : แล้วพวกข้อไก่ทอด ?
ตอบ : งดเสียจะดี จริง ๆ แล้วก็กินได้ แต่อย่าไปกินเยอะ กินให้หลากหลาย กินแต่ผักอย่างเดียวก็เป็นโรค กินแต่เนื้ออย่างเดียวก็เป็นโรค เพราะฉะนั้น..มัชฌิมาปฏิปทา ต้องใช้ในทุกเรื่อง

เถรี
10-09-2012, 12:16
เดี๋ยวนี้เขามีซุปไก่สกัดผสมถั่งเฉ้า ถั่งเฉ้าทำให้คนเนปาล คนทิเบตฆ่ากันมาเยอะแล้ว เพราะเขาขายได้แพงมาก คราวนี้เขาใช้วิธีปูพรมค้นเลย ประเภทค้นไปทีละตารางนิ้ว

ถั่งเฉ้าเขาว่าเป็นเชื้อราชนิดหนึ่งที่อาศัยตัวหนอนเป็นพาหะ พอเชื้อราลงราก ตัวหนอนก็ตาย เขาถึงได้บอกว่าฤดูหนาวเป็นหนอน ฤดูร้อนเป็นหญ้า เพราะฤดูหนาวก็ยังเป็นสปอร์ของเชื้อราอยู่

พอระยะหลังการโฆษณาสรรพคุณของยามีมากเข้า ๆ พวกคนรวยต้องการมาก เขาก็ปูพรมค้นอย่างที่ว่า บางทีก็นั่งหน้าทิ่มพื้นอยู่ตรงนั้นแหละ หนึ่งตารางวาค้นหาทุกตารางนิ้ว ถ้างอกขึ้นมาจะเห็นเป็นเส้นเขาก็ขุดหา ข้างล่างที่ควรจะเป็นราก ก็คือตัวหนอนที่โดนต้นไม้โตงอกทะลุขึ้นมาแล้ว เอามาตากแห้งส่งขายให้ร้านขายยา

คราวนี้ความเห็นเขาไม่ตรงกัน พวกหนึ่งต้องการเงินอย่างเดียว จึงขุดกระจายเลย ส่วนอีกพวกหนึ่งพยายามอนุรักษ์ไว้ เขาบอกว่าถ้าหาจนหมด ปีต่อไปจะไม่มี แต่พวกที่จะเอาแต่เงินอย่างเดียวเขาไม่สนใจ ลุยหาอย่างเดียว แล้วก็ไปบุกรุกที่เขาบ้าง เลยฆ่ากันตาย ต้องบอกว่าพวกแรกเขาทำถูก เพราะถ้าไม่ทิ้งเอาไว้ให้มีเชื้อแพร่ต่อไปแล้ว ปีต่อไปก็จะหาไม่ได้

เรามานึกถึงซุปไก่สกัด เขาต้องต้มไก่ทั้งตัวเลยนะ ไม่รู้เอาขี้ออกหรือยัง ? ผสมถั่งเฉ้า ก็คือใส่หนอนลงไปอีกด้วย หรือไม่ถ้ารังนกนางแอ่น เราก็กินน้ำลายนก สรุปแล้วของดี ๆ ที่เราคิด ไม่ได้เรื่องทั้งนั้นเลย อาหารเป็นสิ่งปฏิกูลจริง ๆ

เถรี
11-09-2012, 11:42
พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กผู้หญิงพอประจำเดือนเริ่มมา กระดูกจะปิด ความสูงยืดไม่ขึ้นแล้ว ยิ่งสมัยหลังมีของบำรุงเด็กสารพัด ฉะนั้น..บางคนเพิ่งจะ ๑๐ ขวบ แต่ประจำเดือนมาแล้ว วงจรชีวิตจึงสั้นลงไปเรื่อย ๆ โตเร็วคือตายเร็ว สังเกตดูสิ..ยุงมีชีวิตอยู่ได้ ๗ วันเท่านั้นเอง พวกหมาแค่ ๓ เดือนก็โตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว

วงจรชีวิตสั้น อัตราการเจริญเติบโตต้องเร็ว ไม่อย่างนั้นจะแพร่ขยายพันธุ์ไม่ทัน เพราะฉะนั้น..พวกที่โตเร็วก็คือตายเร็ว..!"

เถรี
11-09-2012, 11:54
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : บรรลุเร็ว พวกเห็นนั่นเห็นนี่มักจะติดอยู่แค่นั้นแหละ เพราะฉะนั้น..พยายามอย่าโง่ไปเห็น..! จากประสบการณ์ที่ฝึกมโนมยิทธิมา ตั้งแต่อายุ ๑๙ ปีมาจนป่านนี้ สรุปได้ว่า ๓๖ - ๓๗ ปีที่ผ่านมา หาคนฉลาดที่พอจะเอาตัวรอดจากที่สิ่งที่ตัวเองรู้เห็นได้น้อยมาก ส่วนใหญ่จะไปดีใจหรือภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองทำได้ แล้วก็มักจะไปรื้อฟื้นความสัมพันธ์เก่า ๆ กับคนรอบข้าง เขาให้รู้เพื่อละ เรายิ่งไปฟื้นมาใหม่ก็ยิ่งผูกหนักเข้าไปอีก แล้วท้ายที่สุดก็กอดคอกันจมห้วงวัฏสงสารตายทั้งขบวน..!

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนมโนมยิทธิ เพราะท่านมั่นใจว่าลูกศิษย์ท่านต้องมีคนฉลาดพอ ที่จะรู้ว่าควรจะใช้มโนมยิทธิอย่างไรถึงจะถูกต้อง แต่อาตมายังไม่ค่อยเจอคนฉลาดเลย

มุ่งหน้าเข้าหาอารมณ์พระโสดาบันตรง ๆ อย่างอื่นไม่ต้องเสียเวลา ถ้าทำถึงก็มาเอง

การปฏิบัติทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสายสุกขวิปัสสโก หรือสายอภิญญาก็ตาม สรุปลงตรงศีล สมาธิ ปัญญาทั้งหมด ถ้ามีนิสัยชอบในทางอภิญญาอยู่แล้ว ก็แปลว่าของเดิมต้องมีอยู่ เพราะฉะนั้น..เร่งรัดตัดเข้าหาความเป็นพระอริยเจ้าโดยเร็วที่สุด เมื่อถึงเวลาแล้วกำลังที่ใช้ก็เท่ากับการตัดกิเลส เพราะถ้าไม่มีกำลังสมาธิ ก็ไม่มีอะไรไปสู้กับกิเลสได้ กดกิเลสไม่อยู่ ตัดกิเลสไม่ขาด ในเมื่อถ้าเราทำถึงก็แสดงว่าสมาธิของเราถึง ในเมื่อสมาธิถึง กำลังถึง เรื่องของอภิญญาสมาบัติจะตามมาเอง ตอนนั้นต่อให้บอกว่าไม่อยากได้ก็จะมา

แล้วอีกอย่างหนึ่งในความเห็นของอาตมา อภิ แปลว่า ยิ่งกว่า อัญญา คือ ความรู้ ไม่มีอะไรที่เรารู้ยิ่งไปกว่าการตัดกิเลส อภิญญาอย่างอื่นที่แสดงฤทธิ์แสดงเดชได้ อาตมายังไม่ถือว่าเป็นอภิญญาที่แท้จริง

เถรี
11-09-2012, 12:04
ถาม : สมาธิยิ่งลึก การเต้นของหัวใจยิ่งช้า
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ เพราะการทำงานของอวัยวะภายในคือหัวใจนั้น ถ้าสภาพจิตของเราทรงสมาธิได้ลึกมากเท่าไร การเต้นของหัวใจจะช้าลงเท่านั้น จนกระทั่งทรงสมาธิเต็มที่ เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์จะจับอาการเต้นของหัวใจไม่ได้ ถ้าจะถอนคืนสมาธิมา สภาพของหัวใจจะเต้นเร็วมาก เพื่อที่จะฉีดเลือดไปเลี้ยงให้ทั่วร่างกาย จะได้ฟื้นคืนระบบประสาทขึ้นมา ชีพจรจะเต้นเร็วถึงขนาดเป็น ๑๒๐-๒๐๐ ครั้งเลยก็มี

เมื่อส่งเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกายแล้ว อัตราการเต้นจะคืนสู่ภาวะปกติ แต่พอเข้าสมาธิการเต้นของหัวใจจะลดลง ๆ จนกระทั่งไม่เต้นเลย เพราะฉะนั้น..ถ้าทำอย่างนี้ได้ การควบคุมร่างกายส่วนอื่นเป็นเรื่องเล็ก

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่ใช่..อาการของปีติเกิดเป็นปกติของบุคคลที่จะเข้าถึงฌาน ถ้าเราตั้งใจหยุดก็หยุดได้ แต่ทำถึงตรงนั้นเมื่อไรก็จะเป็นอีก เพราะฉะนั้น..มีทางเดียว คือต้องปล่อยให้เต็มที่ไปเลย จะตึงตังโครมครามนานขนาดไหนก็ต้องปล่อย ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะก้าวไม่ถึงความเป็นฌานเสียที เพราะจะติดอยู่แค่นั้น

เถรี
11-09-2012, 12:07
ถาม : นอนหรือนั่งสมาธิอยู่ จะตื่นมาตรงเวลา ?
ตอบ : อันนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะจิตมีสภาพจำ อาตมาเคยลองมาแล้ว ต่อให้เหนื่อยขนาดไหน แย่ขนาดไหน ถ้าเราตั้งใจตื่นก็จะตื่นตรงเวลา

ถาม : ตอนเช้า...(ไม่ได้ยิน)...
ตอบ : สามารถทำได้ แต่ควรจะให้เป็นเวลาพักผ่อนจริง ๆ ไม่อย่างนั้น พอถึงเวลากำลังใจจะคลายออก แล้วเราจะหมดสภาพ นอนไปเลย สมมติว่าเราต้องทำงานต่อ ร่างกายก็จะไม่ฟังเราแล้ว เพราะเราไปตั้งเอาไว้อย่างนั้น เพราะฉะนั้น..ให้เลยเวลาทำงานไปก่อน

ถาม : การเข้าสมาธินี่ข้ามขั้นได้ไหมครับ ?
ตอบ : ข้ามขั้นได้..จะไประดับไหนก็ได้ ขึ้นอยู่ที่การฝึกซ้อมของเรา ถ้าคล่องตัวมากเท่าไร ถึงเวลารัก โลภ โกรธ หลงเกิดขึ้น เราสามารถวิ่งไปสู่อารมณ์ฌาน รัก โลภ โกรธ หลงก็กินเราไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ซักซ้อมให้คล่องมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถึงเวลาจะได้หนีกิเลสทัน เมื่อกำลังพอแล้วค่อยไปตีกันซึ่ง ๆ หน้า ตอนนี้ยังไม่พอต้องหนีไปก่อน

เถรี
11-09-2012, 12:48
พระอาจารย์กล่าวว่า "พรุ่งนี้เป็นวันสารทจีน ปกติสมัยเด็ก ๆ เขาจะมีการเลี้ยงพวกเปรต อสุรกาย เขาจะทำอาหารอย่างดีเป็นสิบ ๆ อย่างเรียงไว้เต็มเสื่อ แล้วให้เด็ก ๆ เอาธูปไปคนละกำ เดินไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้ทั้ง ๔ ทิศ แล้วก็ปักธูปเชิญเขามากิน คนจีนเขาเรียกว่า ไป้ฮ่อเฮียตี๋ ก็คือไหว้พี่น้องที่ดี ความจริงก็คือพวกเปรตพวกอสุรกายนั่นแหละ

พวกนี้เขาจะอดอยากหิวโหยมาก เพราะว่าแรงกรรมบันดาล ทำให้ไม่สามารถจะกินอาหารอย่างปกติได้ ต้องไปกินพวกของเน่า ของเหลือ เสลดน้ำลายคน ซากสัตว์อะไรอย่างนั้น เมื่อเวลามีคนเลี้ยงเขาก็เต็มใจแห่กันมา

ทุกครั้งพอการเลี้ยงเลิก ทิ้งไว้ประมาณหนึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นก็จุดประทัดไล่ เมื่อเอาอาหารนั้นมาลองชิมดู ปรากฏว่าไม่มีรสชาติเหลือเลย จืดหมด เป็นเรื่องที่แปลกดี ตอนเด็ก ๆ ต้องทำทุกปี ผู้ใหญ่เขาไม่ไปหรอก เขากลัวผี เขาใช้ให้เด็กไปเรียกแทน..!"

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ส่วนใหญ่หมูเห็ดเป็ดไก่ดี ๆ ทั้งนั้นแหละ แต่พอเอามากินต่อจืดชืดหมด ไม่มีรสเหลือ ต้องบอกว่ารสชาติคือโอชะ รสชาติที่อยู่ในส่วนของนามธรรม โดนพวกนั้นกินไปหมดแล้ว

ถ้าใช้มโนมยิทธิดูจะเห็นว่ากินหมดเป็นแถบ ๆ เลย แต่เขากินในส่วนของนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม รูปธรรมยังเหลืออยู่ แต่รสไม่เหลือ โดนพวกนั้นกินเกลี้ยง

เถรี
11-09-2012, 12:53
พวกนี้ส่วนใหญ่ที่ต้องลำบากเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เพราะว่าหวงน้ำ มีบ่อมีสระก็กีดกันไม่ให้คนอื่นร่วมใช้ บางทีเป็นพระเป็นเจ้า เขาถวายเอาไว้ให้ส่วนรวมก็กันเอาไว้ใช้คนเดียว ส่วนพวกอาหาร บางรายก็กินอะไรไม่ได้เลย ได้แต่นั่งมอง ถึงเวลาหยิบอาหารเข้าปากก็ลุกเป็นไฟทันที ไหม้ตั้งแต่ปากไปยันกระเพาะเลย

พวกนี้สมัยมีชีวิตอยู่ชอบกลั่นแกล้งผู้ทรงศีล พระภิกษุสามเณร สมณชีพราหมณ์ ประเภทสาคูไส้หมูแต่แอบยัดลูกโดด (พริกทั้งเมล็ด) เอาไว้ พอเห็นพระฉันแล้วทำหน้าพิลึกก็หัวเราะชอบใจ บางพวกแกล้งใส่บาตรด้วยของเสีย หรือไม่ก็เอาอาหารปนอุจจาระปัสสาวะ เสลดน้ำลายใส่บาตร ถึงเวลาตัวเองก็ต้องไปกินของอย่างนั้น กินอย่างอื่นไม่ได้

เปรตเขาแบ่งเป็นหลายอย่างด้วยกัน ในอรรถกถา เปตวัตถุ เขาแบ่งเป็น ๔ ประเภทเท่านั้น ถ้าในโลกบัญญัติและฉคติทีปนีปกรณ์เขาแบ่งเป็น ๑๒ ประเภท อีกส่วนหนึ่ง อยู่ในพระวินัย ลักขณะสังยุตต์ เขาแบ่งเป็น ๒๑ ประเภท จริง ๆ ก็คืออยู่ใน ๑๒ ประเภทนั่นแหละ แต่เขาแบ่งรายละเอียดออกไป

อย่างเช่น เปรตที่มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อ เขาก็บอกว่ามีลักษณะเป็นชิ้นเนื้อบ้าง ก้อนเนื้อบ้าง ก็ ๒ อย่างแล้ว เปรตที่มีขนเป็นอาวุธ เขาไปแบ่งว่า มีขนเป็นลูกธนู มีขนเป็นพระขรรค์ มีขนเป็นหอก ก็เลยมี ๒๑ อย่าง ความจริงก็ซ้ำ ๆ กัน แต่เขาแบ่งตามที่เห็นมา

เถรี
11-09-2012, 13:01
อสุรกายแปลกกว่าเปรต เพราะอสุรกายแทรกไปทุกที่ มีเทวอสุรา อสุรกายในจำพวกเทวดา มีอยู่ทั้งหมด ๖ ประเภทด้วยกัน ส่วนหนึ่งก็เป็นพวกที่โดนมฆมาณพกับเพื่อนจับโยนลงมาจากชั้นดาวดึงส์ อย่างเวปจิตราสูร อสุรินทราหู จัดเป็นอสุรกายประเภทนี้ แล้วก็มีเปติอสุรา ก็คือ อสุรกายจำพวกเปรต เช่น กาลกัญจิกเปรตอสุรกาย แล้วก็มีนิรยอสุรา อสุรกายในประเภทของสัตว์นรก ก็คือพวกที่อยู่ในโลกันตนรก

เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของอสุรกายนี่แปลก เพราะไม่มีเขตเฉพาะของตน ไปปน ๆ อยู่ในประเภทอื่นเยอะ อย่างเวมานิกเปรตจัดอยู่ในอสุรกายจำพวกเปรต มีกรรมน้อยกว่าเปรต แต่ก็ยังต้องเสวยกรรมอยู่ กลางวันไปเสวยความสุข กลางคืนไปเสวยความทุกข์ หรือไม่ข้างขึ้นไปเสวยความสุข ข้างแรมไปเสวยความทุกข์ เขาบอกว่าสร้างทั้งความดีและสร้างทั้งความชั่ว เวลากุศลวิบากคือผลของความดีและอกุศลวิบากคือผลของความชั่วมาสนองพร้อมกัน ก็เลยเฮง ต้องไปรับทั้งคู่ ทำอะไรไว้ก็รับอย่างนั้นไป

ส่วนสัตว์เดรัจฉานนี่ไม่ต้องพูดถึงนะ เขาแบ่งเป็น มีเท้า ไม่มีเท้า สองเท้า สี่เท้า บางทีก็เปลี่ยนเป็นสัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ปีก ถ้าเป็นการแบ่งของทางด้านหลักธรรมจะไม่วุ่นวายมาก แต่ถ้าพวกสัตวศาสตร์นี่แบ่งกระจายเลย เลี้ยงลูกด้วยนม ไม่เลี้ยงลูกด้วยนม เป็นไฟลัมไหน สปีชีส์ไหน เยอะแยะไปหมด

เถรี
11-09-2012, 13:14
พระอาจารย์กล่าวแนะนำโยมท่านหนึ่งที่มาทำบุญว่า "คุณมนตรีนี่อยู่รับใช้หลวงพ่อมาด้วยกันตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาส ตอนช่วงนั้นมีอยู่ด้วยกัน ๔ - ๕ คน อยู่รอบ ๆ หลวงพ่อ ตอนช่วงที่แชร์ชม้อยล้ม ยังบอกกันว่า "พวกที่เขาเห็นหน้ากันอยู่ทุกเดือนนี่ห้ามหายหน้าไปอย่างเด็ดขาด ถ้าหายไปเมื่อไรนี่ คนอื่นเขาจะหายไปหมดเลย ถ้าเรายังยืนหยัดอยู่ คนอื่นก็จะได้เห็นว่าความมั่นคงของเรายังมี"

เพราะว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านทดสอบลูกศิษย์ดุเดือดมาก ท่านไม่สนใจว่าคนจะมองอย่างไร เอาผลประโยชน์ของลูกศิษย์อย่างเดียว ทุกคนจะบอกว่าท่านทำนายผิด พูดผิด ท่านไม่สนใจทั้งนั้น ถ้าเขาไม่มีปัญญาก็เป็นเรื่องของเขา ท่านถือว่าอย่างนั้น อาตมาเองมองตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ เท่าที่ตัวเองปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อมามีผิดไหม ? ก็เห็นว่าทุกสิ่งที่ท่านสอนให้ทำ เป็นไปตามนั้นทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น..สิ่งที่ท่านสอนเราบอกเราไม่ผิด แต่เรื่องของอภิญญาสมาบัติอาจจะมีการเสื่อมได้ มีการหลอกกันได้ มีการพลาดได้ อาตมาไม่ถือเป็นสาระ

พอแชร์ชม้อยล้ม มีลูกศิษย์จำนวนหนึ่งตีจากหลวงพ่อไป อาตมาก็บวชเลย มีคนถามว่า “พี่ไม่รอแชร์หรือ ?” ก็อาตมาไม่ได้เล่น มีแต่พวกนั้นแหละยืมเงินไปเล่น ในเมื่ออย่างนั้นจะรอไปทำไม ? จึงบอกเขาว่า "รอไม่เกินปี ๒๕๓๕ ถ้าไม่ออก ตูก็ไม่สนแล้ว..!"

ตอนนั้นเพื่อนฝูงเห็นอาตมาไม่เล่น ก็มาขอยืมเงิน “พี่ไม่มีความโลภก็จริง แต่พวกผมยังต้องกินต้องใช้อยู่ ถ้าได้ดอกมา แบ่งให้พี่สักส่วนหนึ่ง อย่างน้อย ๆ พี่ก็มีความคล่องตัว ช่วยภาระหลวงพ่อได้มากขึ้น” เขาเกลี้ยกล่อมเก่งมากเลย ท้ายสุดอาตมาที่ไม่ได้เล่นแชร์สักนิดเดียว มีแชร์น้ำมันอยู่ในมือเกือบ ๑๐ คันรถ..!

เสียดายอยู่อย่างเดียว พออาตมาบวชแล้วพวกที่ยืมเงินไม่มีใครเข้าวัดเลย กลัวอาตมาจะทวง ถ้าอาตมาจะทวงก็ไปบ้านเขาเลย จะมาทวงอะไรที่วัดเล่า ? เขาไม่รู้คติของอาตมาว่า เงินพ้นมือไปถือว่าตกน้ำ ได้คืนมาคือกำไร ไม่ได้คืนมาก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว"

เถรี
12-09-2012, 20:58
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่แล้วพระเณรที่บวชใหม่ระยะหลัง มักจะมีการศึกษาทางโลกมาสูง ๆ พอบวชแล้วให้มาปฏิบัติธรรมอย่างเดียว ท่านทั้งหลายเหล่านั้นรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่ได้ใช้วิชาความรู้ที่เรียนมาช่วยวัดเลย ก็เลยเกิดอาการของขึ้น ขันอาสาทำนั่นทำนี่

อย่างท่านแบงก์ อาสาทำหนังสือวัดท่าขนุนเป็น E-Book ครั้งแรกอาตมาปฏิเสธไป ท่านก็มาเสนอครั้งที่ ๒ พอปฏิเสธไป ท่านก็มาเสนอครั้งที่ ๓ อาตมาก็เลยถามกลับไปว่า "ตอนนี้คุณสวดมนต์ทำวัตรเช้า - เย็นได้ครบทุกบทหรือยัง ?" ท่านก็นั่งอึ้งไปพักหนึ่ง

อาตมาบอกท่านไปว่า “จำไว้ว่า..หน้าที่ของพระใหม่ก็คือ สวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐาน เราต้องทำให้ครบถ้วน หน้าที่อื่นไม่ใช่ทั้งนั้น ไม่ว่าจะมีความรู้อะไรทางโลกมาก็ตาม นั่นใช้สำหรับทางโลกเท่านั้น ไม่ใช่ใช้ในทางธรรม เพราะฉะนั้น..ตอนนี้กองทิ้งเอาไว้ก่อน เมื่อถึงวาระที่กำลังใจทรงตัวเพียงพอ ถ้าเรียกใช้งานแล้ว ทำให้ไหวก็แล้วกัน” ส่วนใหญ่แล้วพระใหม่มักจะเข้าใจผิด..ไฟแรง อยากขันอาสาทำนั่นทำนี่ ซึ่งท่านไม่รู้ว่าทำให้ฟุ้งซ่านได้ง่ายที่สุด

ในสมัยพุทธกาล บุคคลที่เป็นกัลบกก็คือช่างตัดผม พระพุทธเจ้าทรงห้ามจับมีดโกนอย่างเด็ดขาด จับเมื่อไรปรับอาบัติศีลขาดไปเลย บุคคลที่เป็นนักรบเป็นขุนศึกมา ห้ามจับอาวุธอย่างเด็ดขาด จับอาวุธเมื่อไรแล้วนึกถึงงานเดิม ถ้านึกถึงงานเดิมแล้วก็มัวแต่ไปฟุ้งซ่าน เดี๋ยวก็อยู่ไม่ได้

หลายท่านก็จะคิดฟุ้งไปว่าเรายังทำงานเดิมได้ สึกหาลาเพศออกไปดีกว่า เพราะหน้าที่การงานยังรออยู่ จึงต้องมีการกระตุกกันแรง ๆ อยู่เรื่อย เผลอเมื่อไรก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรให้สมกับที่เรียนมา หารู้ไม่ว่ากิเลสสอนให้คิด จะได้ไปฟุ้งซ่านอยู่กับงานแล้วก็ลืมตัดกิเลส..!"

เถรี
12-09-2012, 21:01
"ตอนนี้แม่ชีเคิ่ลก็มีแนวโน้มอย่างนี้ วันนั้นอาตมาก็เลยใส่ไปชุดหนึ่ง รู้สึกว่าอยู่วัดท่าขนุนแล้วไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถตัวเองทำอะไรเลย จึงขออนุญาตไปอยู่วัดเขาวง อาตมาบอกว่าไปได้เลย เดินทางวันนี้ได้ยิ่งดี..! ร้องอุ๊ยขึ้นมาทันที

ตัวอย่างมีก็คือโยมท่านหนึ่ง เป็นรุ่นพี่อาตมาอยู่ ๒ ปี เมื่อประมาณปี ๒๕๒๘ - ๒๕๒๙ เขาไปอยู่วัดท่าซุง หลวงพ่อท่านอนุญาตให้อยู่ได้ คราวนี้ถ้าไม่ใช่ช่วงวัดมีงาน งานอื่นก็มีไม่มาก เขาอยู่ไปได้ปีกว่า พอขึ้นปีที่ ๒ ขอลาหลวงพ่อไปอยู่วัดธรรมกายแทน บอกว่างานที่นั่นเยอะดี จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ไม่รู้หายเข้ากลีบเมฆไปไหน ?

น่าเสียดายที่คนฝึกกรรมฐานระดับที่เป็นครูสอนมโนมยิทธิแล้ว แทนที่จะซักซ้อมความชำนาญด้วยการสอนคนอยู่ทุกวัน กลายเป็นทิ้งไปทำงานอื่นแทน ในเมื่อการปฏิบัติไม่ต่อเนื่อง เวลากิเลสตีกลับ รัก โลภ โกรธ หลงก็จะคืนมาหมด

จึงเป็นเรื่องที่ควรสังวรไว้ ไม่ว่าจะเป็นญาติโยมที่เพิ่งเริ่มปฏิบัติก็ดี หรือว่าพระใหม่ที่บวชเข้าไปก็ดี หน้าที่สำคัญที่สุดคือการภาวนา หน้าที่อื่นก็ทำแค่ตามที่ตนที่ได้รับมอบหมาย หมดจากหน้าที่ของตนเมื่อไร รีบกลับไปหาการภาวนาให้เร็วที่สุด"

เถรี
12-09-2012, 21:05
"ระยะเวลาของนักปฏิบัติที่เพิ่งเริ่มต้น กับระยะเวลาของพระใหม่ก็คล้ายคลึงกัน ก็คือต้องไปทำในสิ่งที่ตนเองไม่คุ้นชิน ต้องอยู่ในกรอบ อยู่ในระเบียบวินัย และโดยเฉพาะถ้าปราศจากจิตสำนึก จะอยู่ในระดับ ฉันเช้าแล้วเอน ฉันเพลแล้วนอน แทนที่จะปฏิบัติภาวนาก็กลายเป็นขี้เกียจไป ก็เลยมักจะรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถตามที่ตัวเองได้ร่ำเรียนมา แล้วก็ไปฟุ้งซ่านอยากทำนั่นอยากทำนี่ เสนอโครงการมาเยอะแยะมากมาย

โครงการเหล่านั้นจะมีประโยชน์ต่ออาตมาก็ต่อเมื่อคนทำกำลังใจทรงตัวแล้ว ปฏิบัติแล้วไม่โดนกิเลสลากไปกิน

จากที่พูดมาทั้งหมด สรุปลงตรงที่ว่า เมื่ออยู่ในระยะเวลาที่ต้องเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ทั้งกายและใจของตนเอง ก็ต้องเร่งทำให้มากเข้าไว้ เมื่อถึงเวลาใช้งานจริง ๆ จะได้มีกำลังพอที่จะสู้กับงานได้ ไม่อย่างนั้นก็เหมือนกับเด็กเพิ่งหัดเดินแล้วไปทำงาน ก็คงจะหาอะไรดีได้ยาก และจะเสียเวลาในการปฏิบัติไปเปล่า ๆ พระบวชไปพรรษาหนึ่ง อาจจะไม่ได้สั่งสมความดีอะไรเลย นอกจากอานิสงส์นิดหน่อยจากการพยายามช่วยงานวัด ตามโครงการที่ได้เสนอมา

เดือนที่แล้วพระใหม่ท่านแนะนำ เรื่องการปรับแต่งพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก ว่าควรจะใช้วัสดุอะไรถึงจะเหมาะสมกับงาน อาตมาก็บอกท่านว่ารอก่อน ท่านเองก็ไม่เข้าใจ คิดว่าอาตมาไม่มีเงินหรืออย่างไร ? จัดแจงให้โยมซื้อมาถวายเลย อาตมาให้ท่านรอเพื่อให้ตัวเองปฏิบัติกำลังใจให้ดีกว่านี้ ไม่ใช่มานั่งทำงาน ถ้ารักที่จะช่วยงานแปลว่าต้องทำงานไปภาวนาไปด้วยได้ ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้ประโยชน์อะไร นอกจากอานิสงส์ในการช่วยงานสงฆ์เท่านั้น พอเจออย่างนั้นเข้าก็เลยต้องว่ากันตรง ๆ ถ้ารอให้คิดเองสงสัยปัญญาว่าจะไม่พอ..!"

เถรี
12-09-2012, 21:10
"อย่างของท่านแบงก์ พอถามว่าสวดมนต์ทำวัตรได้ครบหรือยัง ? ท่านรู้ตัวทันที จึงขออนุญาตไปเรียนปริญญาโทวิปัสสนาภาวนาแทน ไปนั่งกรรมฐานเสีย ๗ เดือน ไหน ๆ แล้วก็เอาให้เต็มที่ไปเลย

อาตมาได้ยินพระใหม่บางท่านเล่าให้ฟังแล้วก็รู้สึกหนักใจ เขาบอกว่าไปบวชที่นั่นที่นี่ แล้วพระอุปัชฌาย์อาจารย์ก็ใช้งานหัวไม่วางหางไม่เว้น เพราะรู้ว่ามีความสามารถ ถนัดทางด้านนั้นด้านนี้ ก็สรุปว่าบวชเข้าไปทำงานที่ตัวเองเป็นฆราวาสทำเท่านั้น แล้วจะบวชไปทำไมวะ..!? ก็อยู่บ้านทำไปให้สะใจเสียก็หมดเรื่อง ได้สตางค์ใช้ด้วย

เขาบวชเข้ามาก็ควรจะได้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่เขามากที่สุด ไม่ใช่เขาบวชเข้ามาแล้วจะให้เขาทำประโยชน์แก่เราให้มากที่สุด มีหลายต่อหลายวัดให้พระใหม่รวมตัวกัน เป็นพระนวกะประจำพรรษานั้นประจำพรรษานี้ ถึงเวลาก็ให้ไปหากฐินมาทอดที่วัด พระเราพอบวชเข้าไปโอกาสที่จะช่วยเหลือทางบ้านก็ไม่มีแล้ว ยังต้องไปตั้งกองกฐินรบกวนทางบ้านให้ควักเงินจ่ายให้อีก แบบนี้งามไหม ?

แทนที่พระท่านจะไปนั่งพิจารณาตัดกิเลส ก็ต้องมานั่งคิดว่าจะหาเงินอย่างไรถึงจะได้เข้ากองกฐินให้เป็นจำนวนที่มากพอ เพราะมีตัวอย่างที่เขาขึ้นกระดานไว้ว่าพระนวกะปีนั้นได้กฐินหลักแสน ปีนี้ได้หลักล้าน ทำอย่างไรจะไม่อายรุ่นก่อน ๆ เขา ก็ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ก็ต้องบอกว่าแล้วแต่นโยบาย วัดท่าขนุนไม่มีตรงจุดนี้ อาจจะทำให้เขารู้สึกไร้ค่าหนักเข้าไปอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?"

เถรี
12-09-2012, 21:15
"ถ้าจะทำ ก็ต้องให้เขาริเริ่มทำกันเอง และอย่าให้งานประจำของพระเสีย ไม่ใช่ไปบอกหรือไปสั่งให้ทำ แต่ขณะเดียวกันวัดท่าขนุนมีระเบียบห้ามบอกบุญ ห้ามเรี่ยไรอยู่แล้ว ใครจะทำบุญให้เขามาร้องขอ ให้เขามาทำเอง เพราะฉะนั้น..ตรงนี้ถึงพระใหม่เสนอขึ้นมา อาตมาก็จะชี้ระเบียบให้ดูว่าอยากโดนไล่ออกทั้งหมดไหม ? เพราะถ้าไปทำก็เท่ากับให้ไปบอกบุญไปเรี่ยไรนั่นเอง

จากที่ว่ามาทำให้เราได้เห็นว่า ปัจจุบันนี้พระที่บวชเข้าไปแล้ว ส่วนใหญ่ไม่ได้บวชไปเพื่อเรียนในไตรสิกขา คือสีลสิกขา ศึกษาปฏิบัติในเรื่องของศีล จิตตสิกขา ศึกษาและปฏิบัติในเรื่องของสมาธิภาวนา ปัญญาสิกขา ศึกษาและปฏิบัติในการใช้ปัญญาพิจารณาตัดกิเลส แต่กลายเป็นบวชเข้าไปแล้วไปให้พระอุปัชฌาย์อาจารย์ต่าง ๆ ใช้สอยตามความถนัดของตนที่เคยมีมาตั้งแต่เป็นฆราวาส

ถึงได้บอกว่า ถ้าต้องทำงานอย่างนั้น อยู่บ้านทำดีกว่า เพราะว่างานหลายอย่างทำแล้วได้เงินด้วย บวชเข้าไปให้พระอุปัชฌาย์อาจารย์ใช้ทำงาน นอกจากจะไม่ได้เงิน..เหนื่อยฟรีแล้ว ความดีในการบวชยังหาไม่ได้อีกต่างหาก"

เถรี
12-09-2012, 21:19
"เขาประกาศยอดว่า ปีนี้คณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิมีพระภิกษุ ๔๐๐ กว่ารูปเศษ สามเณร ๑๐๐ กว่ารูป รวมแล้ว ๕๐๐ กว่ารูป ตำบลท่าขนุนเขต ๒ มีมากที่สุดคือ ๘๕ รูป แต่ ๘๕ รูปลบของวัดท่าขนุนไปเสีย ๕๒ รูปจะเหลือเท่าไร ? สรุปได้ว่านอกจากตำบลท่าขนุนเขต ๒ ที่มีวัดท่าขนุนสังกัดแล้ว ตำบลอื่น ๆ ทั้งตำบลรวมกันยังมีพระไม่เท่าวัดท่าขนุนวัดเดียว..!

ในเมื่อเขามาบวชกันมากเพราะต้องการจะปฏิบัติ เราจะไปใช้งานอื่นเขา เอาแต่ประโยชน์ของวัดไม่ได้ ต้องให้เขาได้ประโยชน์จากการบวชให้มากที่สุด

พอพวกเราได้ฟังเรื่องที่กล่าวมานี้ คงเห็นว่าการบวชพระในปัจจุบันนั้น ถ้าไม่ใช่วัดที่เน้นการปฏิบัติจริง ๆ หรือเจ้าสำนักท่านเห็นประโยชน์ของพระใหม่จริง ๆ การบวชในปัจจุบันแทบจะไม่ได้รับประโยชน์ในการบวชเลย แต่จะว่าก็ไม่ได้ เพราะคนรุ่นใหม่ไม่ค่อยมีความอดทน

หลายต่อหลายรายบวชที่วัดท่าขนุนแล้วขอไปอยู่วัดอื่น เพราะทนต่อระเบียบของวัดท่าขนุนไม่ได้ อาตมาก็บอกกับท่านไปว่า อาตมาไม่สนับสนุนให้ลูกศิษย์ผิดศีล พระพุทธเจ้าท่านตั้งกฎไว้ว่า พระบวชใหม่ถ้าอยู่กับพระอุปัชฌาย์อาจารย์ไม่ถึง ๕ พรรษา เรียกว่ายังไม่ได้นิสัยมุตกะ ห้ามเที่ยวไป ก็คือห้ามไปอยู่ที่อื่น

เพราะฉะนั้น..ถ้าบวชแล้วจะไปอยู่ที่อื่น ก็ไปบวชที่นั่นให้หมดเรื่องหมดราวไปเลย ถ้าบวชแล้วจะอยู่ที่นี่ ก็ต้องทนอยู่ไป ถ้าอยู่ครบ ๑ เดือน มีสิทธิ์ลาได้ ๗ วัน อยู่ครบ ๒ เดือน มีสิทธิ์ลาได้ ๑๕ วัน อยู่ครบ ๕ ปีมีสิทธิ์จะขอย้ายไปอยู่ที่ไหนก็ได้ ถ้าคุณเห็นว่าศึกษาเรียนรู้เพียงพอที่จะรักษาตัวได้แล้ว ผมจะอนุญาตเอง"

เถรี
12-09-2012, 21:22
"ที่วัดท่าขนุนมีงานมาก ไม่ว่าจะเป็นงานบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม หรืองานฝึกอบรมต่าง ๆ ทั้งหน่วยราชการ โรงเรียน หรือเอกชนทั่วไป ถ้ากำหนดการชนกัน ก็ต้องพยายามปรับให้เข้ากับระเบียบของวัด

งานพวกนี้มีมากอยู่แล้ว เวลาที่พระท่านจะปฏิบัติภาวนาจริง ๆ ก็น้อย ถ้าเราไปใช้งานอื่นเวลาของท่านก็ยิ่งน้อยลงไปอีก จึงจำเป็นที่จะต้องให้ท่านมีเวลาในการปฏิบัติบ้าง ตอนที่อยู่วัดท่าซุงอาตมาเคยทำโครงการไว้ ยังไม่ทันที่จะเสนอเพื่อใช้งาน ก็ออกจากวัดมาก่อน

โครงการนั้นคือ พระใหม่ถ้ายังไม่ถึง ๕ พรรษา ให้เข้าป่าธุดงค์ ๑๐๐ ไร่เพื่อปฏิบัติอย่างเดียว ไม่ต้องทะลึ่งเข้ามาทำงาน งานการทั้งหมดพระเก่ารับไป ใครครบ ๕ พรรษาเมื่อไรค่อยลากออกจากป่าธุดงค์มารับหน้าที่เสียดี ๆ เพราะฉะนั้น..จะมีเวลาสร้างกำลังใจอยู่ ๕ ปี ถ้ากำลังใจไม่พอก็ให้งานทับตายไปเลย ปรากฏว่าเขียนโครงการไว้แล้ว ๓ - ๔ โครงการ ไม่ได้ใช้เลย ระเห็จออกมาเสียก่อน จึงต้องเอามาใช้งานเอง"

เถรี
14-09-2012, 09:50
ถาม : มีอยู่คืนหนึ่งหนูนอนหลับไป แล้วปรากฏภาพของสถานที่หนึ่งขึ้นมา สักพักก็เห็นจิตพุ่งออกไปจากตัวเอง เหมือนวูบออกไปเลย แล้วก็เห็นว่าตัวเองไปยืนอยู่ในสถานที่ที่เห็นภาพตอนแรก แต่แค่แวบเดียวทุกอย่างก็หายไปค่ะ
ตอบ : ไปก็คือไป ถ้าไปแล้วอย่ากลัว ถ้าสภาพจิตของเรากลัว จะกลับมาที่ซึ่งมั่นใจว่าปลอดภัยก็คือร่างกายนี้ ก็แปลว่าเราจะไปไหนไม่ได้ ถึงได้บอกว่าการฝึกมโนมยิทธินั้น ต้องไม่กลัว ต้องไม่อยาก ต้องไม่สงสัย ต้องมั่นใจในตัวเอง

ถาม : แต่หนูไม่เคยฝึกมโนมยิทธิเลยนะคะ
ตอบ : ไม่ต้องฝึกหรอก ถ้าของเก่ามีจะเป็นเอง ถึงเวลาก็จะหลุดไปเอง การที่ฝึกเราไปตั้งใจทำตามขั้นตอน สังเกตสิว่าตอนที่เราไปได้ มักเป็นตอนที่เราภาวนาเพลิน ๆ แล้วก็ไปเอง ดังนั้น..เวลาฝึกมโนมยิทธิให้ทำกำลังใจอย่างนั้น ไม่ต้องไปใส่ใจว่าจะไปได้หรือไปไม่ได้ เรามีหน้าที่ภาวนา เราก็ภาวนาของเราไป ตอนตื่นอยู่เราดันไปขี้สงสัยมาก

เราเกิดมาเป็นคน ผ่านการเกิดมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว เกิดมานับชาติไม่ถ้วน สิ่งต่าง ๆ ได้รับการอบรมฝึกปรือมานับชาติไม่ถ้วน พอถึงเวลาจะไปตามอารมณ์ที่เคยชินมา ทุกครั้งที่เราเพลิน ๆ โดยเฉพาะตอนนอนก็ไปเสียหน่อย การตั้งใจมากเกินไปเหมือนกับคนยืดคอเกินประตู ออกประตูไม่ได้หรอก ต้องทำสบาย ๆ อยากจะเป็นอย่างไรก็เป็นไป เรามีหน้าที่ภาวนา

ไปทำใหม่ เรื่องการปฏิบัติต้องมีประสบการณ์ลองผิดลองถูก หกล้มหกลุกมาเยอะ ๆ แล้วจะเก่ง

เถรี
14-09-2012, 13:08
ถาม : ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ได้..!

ถาม : ทำไมล่ะคะ ?
ตอบ : ก็คุณเปิดโอกาสให้เลือกว่าถามได้หรือไม่ได้ อาตมาก็บอกว่าถามไม่ได้สิ..!

ถาม : แล้วจะทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : คราวหน้าก็อย่าโง่สิ..! ดันถามว่าถามได้ไหม ? อาตมาบอกว่าไม่ได้ก็จบ คราวหน้าจะถามก็ถาม ไม่ใช่ทะลึ่งมาถามว่าถามได้ไหม ถ้าเปิดโอกาสให้เลือก อาตมาก็เลือกถามไม่ได้ไว้ก่อน ขี้เกียจเหนื่อยตอบคำถาม

เขาเรียกว่าปิดการขายไม่เป็น ถ้าไปขายประกันก็เจ๊ง ดันไปปล่อยให้ลูกค้ามีทางเลือก เขาก็เลือกไม่จ่ายเงินสิ

จริง ๆ แล้วอาตมาเป็นคนมีเมตตามาก สมัยอยู่วัดท่าซุงเวลาจับพวกบรรดานักบวชรุ่มร่ามมา จะให้เขาสึก ก็จะเปิดโอกาสให้เขาเลือก อย่างเช่น จับนักบวชได้ ๑ ราย มีโพยหวยเต็มย่ามไม่พอ ยังมีปืนอีกต่างหาก จะให้เขาสึก ก็ถามเขาว่า "คุณจะติดคุกดีหรือสึกดี ?" เขาก็ตกลงสึก อาตมาเปิดทางให้เขาเลือกอย่างที่อาตมาต้องการ เพราะฉะนั้น..ปิดการขายให้เป็น แล้วงานจะจบเร็ว ถ้าปิดการขายไม่เป็น เปิดโอกาสให้เขา เขาก็ไปเรื่อย

นายดาบสอจะปวดกบาลมาก เพราะมีแต่คนบอกว่าโหด จับพระสึกอยู่บ่อย ๆ นายดาบสอบอกว่า "ไม่ใช่..หลวงพี่ท่านจัดการ กูมีหน้าที่ไปตีหน้าขู่เท่านั้น" เวลาไปก็อย่าไปคนเดียว ให้เอาตำรวจไปด้วย เจตนาคือต้องการให้เขาสึก แต่ก็เปิดโอกาสให้เขาเลือก เพียงแต่เขาต้องเลือกอย่างที่อาตมาต้องการ บอกแล้วว่าอาตมาเมตตามาก แต่เสียท่าพวกนี้ทุกที เวลาเขาสึกไม่มีผ้าผ่อนท่อนสไบ อาตมาต้องไปซื้อชุดใหม่ให้เขาชุดหนึ่ง ทุกคนเลย เปลืองเงินจริง ๆ

เถรี
14-09-2012, 13:18
พระอาจารย์กล่าวว่า "ภูมิก็คือที่อยู่ของสัตว์ ภูมิที่ใกล้ชิดกับมนุษย์ที่สุดก็พวกเดรัจฉาน เพราะเราเห็นด้วยตาเปล่า แต่มีเดรัจฉานบางประเภทที่เป็นโอปปาติกะ ถ้าเขาไม่ตั้งใจแสดงให้เราเห็น เราก็เห็นไม่ได้ อย่างพวกครุฑ นาค เป็นต้น

คราวนี้ศัพท์ ติรฉานะ แปลว่า ผู้ยินดีโดย ๓ ประการ แต่ขณะเดียวกันบางท่านก็แปลว่า ผู้ไปโดยขวาง ก็คือไม่ได้เดินตัวตรง ตัวต้องขนานไปกับโลก

การยินดีใน ๓ ประการคืออะไร ? คือ การกิน การนอน การสืบพันธุ์ ๓ อย่างเท่านั้น คำว่า ติ ในบาลีคือ ๓ ตรง ๆ อยู่แล้ว แต่คราวนี้ศัพท์ที่เขานิยมกันว่าไปโดยขวาง อาตมาก็สงสัยว่าเขาเอารากศัพท์มาจากไหน ?

ภูมิของสัตว์เดรัจฉานมีกำเนิด ๔ อย่างครบถ้วนเลย คือ ชลาพุชะ เกิดในมดลูก ส่วนใหญ่ก็พวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อัณฑชะ เกิดจากฟองไข่ ไข่ออกมาก่อนฟักเป็นตัวทีหลัง จนกระทั่งบางคนเขาเรียกว่า ทวิชาติ คือ เกิด ๒ ครั้ง เกิดเป็นไข่ครั้งหนึ่ง เกิดเป็นตัวครั้งหนึ่ง

สังเสทชะ เกิดในของสกปรก อย่างเช่น เชื้อโรค พยาธิ หนอน อีกพวกหนึ่งคือโอปปาติกะ ผุดขึ้นก็โตเลย อย่างพวกครุฑ นาค เป็นต้น ภูมิของสัตว์เดรัจฉานเป็นภูมิที่ใกล้ชิดมนุษย์ที่สุด เพราะส่วนใหญ่แล้วอยู่รวมกับพวกเรา สามารถเห็นได้ชัดเจนก็จริง แต่ถ้าเป็นพวกโอปปาติกะไม่ได้ตั้งใจแสดงให้เราเห็น เราก็ไม่เห็น หรือถึงเขาตั้งใจแสดงให้เห็น เราก็ไม่รู้จัก อย่างพญานาค เวลาเขามาแสดงให้เห็นก็ตัวเล็ก ๆ แต่ตัวจริงขนาดมหึมามโหฬาร"

เถรี
14-09-2012, 13:27
"ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นหลวงปู่ฝั้น ท่านบอกว่าไปปฏิบัติธรรมที่ถ้ำแห่งหนึ่ง มีงูใหญ่ตัวหนึ่งเลื้อยมาอยู่ใต้ที่นอนแคร่อยู่เป็นประจำ จนกระทั่งท่านจะไปอยู่ที่อื่น ท่านจึงบอกกับเขาว่า วันนี้ขอให้โมทนาส่วนบุญที่ท่านได้ทำไว้ ถือว่าเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับในตอนนี้ เพราะท่านจะธุดงค์ไปที่อื่นต่อ

ท่านว่างูใหญ่เลื้อยลงจากถ้ำหลวงปู่ก็ตามไป รอยที่เลื้อยไปในนาข้าวที่เขาดำไว้ ทับต้นข้าวล้มราบไป ๕ แถว..! เราลองนึกดูว่าคนดำนา ๕ แถว จะกว้างแค่ไหน ? แต่เวลางูตัวนี้อยู่กับท่านยาวประมาณวาเดียว ประเภทนั้นถึงเขาแสดงให้เรารู้ เราก็ไม่รู้ เพราะไม่เห็นเพศเดิมที่แท้จริง ทับกอข้าวราบเป็นทางไป ๕ แถว นึกไม่ออกเลยว่าอย่างเราได้ครึ่งคำของเขาหรือเปล่า ?"

ถาม : ทำไมจึงดูเหมือนว่าคนคุ้นเคยใกล้ชิดกับนาคมากกว่าครุฑ ?
ตอบ : ครุฑเองส่วนใหญ่ก็มีเขตอยู่พิเศษของเขา เป็นป่าต้นงิ้วที่เราเรียกว่าฉิมพลี

เถรี
14-09-2012, 13:41
พญาครุฑเขาบอกว่าปีกกว้าง ๕๐ โยชน์ ขยับปีกแต่ละครั้งไปได้ ๑ โยชน์ แต่ต้องยอมรับว่า ความรู้ของคนแต่ละชาตินั้น ถ้ารู้จริงก็รู้เหมือนกัน คนจีนเขามีนกเผิง เขาว่าเป็นนกใหญ่ขยับปีกครั้งหนึ่งไปได้เป็น ๑๐๐ ลี้ เขาก็รู้ได้เหมือนกัน

ลองไปอ่านหนังสือซานไห่จิง หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงสถานที่ เมืองต่าง ๆ ภูเขา ทะเล สัตว์ต่าง ๆ แต่คนเขียนเก่งเกินไป เอาทั้งของที่เราเห็น กับของที่เราไม่เห็นปนกันหมดเลย เขากล่าวถึงภูเขาแก้ว ภูเขาหยก ภูเขาเงิน ภูเขาทอง พวกนั้นอยู่ในเขตหิมพานต์ทั้งนั้น บอกไว้หมดว่าภูเขาลูกนี้กว้างเท่าไร ยาวเท่าไร ประกอบด้วยอะไรบ้าง

มีสัตว์ชนิดหนึ่งขนสีขาวสลับดำ ขนเป็นเข็มขนาดใหญ่ สามารถใช้เป็นอาวุธได้ ถ้าเป็นบ้านเราจะนึกออกทันทีเลยว่าคือเม่น แต่คนจีนสมัยก่อนไม่เคยเห็น นอกจากนี้เขายังกล่าวถึงมนุษย์บางพวก มีบ้านมีเมืองอยู่ในทิศนั้น ๆ มีลักษณะหน้าเกลียดน่าชังแบบนั้น ๆ จริง ๆ แล้วไม่ใช่มนุษย์หรอก เป็นเปรต อสุรกาย ตกลงคนเขียน ๆ ตามที่เห็น จึงไม่สามารถบอกได้ว่าอยู่ภูมิเดียวหรือคนละภูมิกับเรา จึงไม่ต้องแปลกใจ ว่าทำไมพญาครุฑของเรากลายเป็นนกเผิงของจีนไปได้ เพราะว่าเขาเห็นเหมือนกัน

ถาม : สัตว์พวกนี้สามารถเข้ามาในเมืองให้เฉพาะบางคนเห็นได้ไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าเขาจะปรากฏตัวไหม ? เพราะว่าสัตว์หลายประเภทเป็นเดรัจฉานมีฤทธิ์ และขณะเดียวกันเทวดาบางประเภทก็ชอบแปลงเป็นสัตว์แปลก ๆ ให้เราดู บางทีเราอยากเห็นประเภทไหน ท่านก็ทำให้เห็นอย่างนั้น

เถรี
15-09-2012, 19:58
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัจจุบันนี้นักเทศน์ดัง ๆ ไปตกอยู่ในวัดประยุรวงศาวาส สมัยก่อนมีหลวงตาแพร เยื่อไม้ มีหลวงปู่พระพุทธวรญาณ (มงคล วิโรจโน) ปัจจุบันนี้มีท่านเจ้าคุณบุญมา (พระราชปฏิภาณมุนี) ท่านเจ้าคุณชัยวัฒน์ (พระราชธรรมวาที) และท่านเจ้าคุณพระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต, ศ.ดร.)

ท่านเจ้าคุณชัยวัฒน์ ท่านเป็นอาจารย์สอนเทศน์ให้อาตมาเองแหละ ท่านเจ้าคุณบุญมา ก็เหมือนกัน สรุปว่าเชื้อสายวัดท่าซุงนี่หลีกวัดประยุรฯ ไม่พ้นหรอก เพราะว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงก็ไปเป็นเจ้าคณะ ๔ วัดประยุรฯ อยู่ตั้งหลายปี ปัจจุบันท่านคุณพระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) ก็เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เท่ากับว่าท่านเป็นเจ้านายของอาตมาโดยตรง"

เถรี
15-09-2012, 20:15
พระอาจารย์เล่าว่า "คนทองผาภูมิอายุยืนทั้งนั้นเลย คุณยายหงส์อายุ ๙๓ ปี คุณหมอสุวรรณอายุ ๙๐ กว่าปีแล้วยังเข็นรถออกมาใส่บาตรทุกวัน รถเข็นของหมอสุวรรณจะมีร่มปักอยู่ เป็นร่มขนาดใหญ่แบบร่มแม่ค้า หน้าฝนนี่สบายมาก ไม่เปียกฝนอย่างใครเขา

คนเราพออายุมากแล้วจะนอนน้อยลง เป็นธรรมชาติเลย เขาบอกว่ามีเวลาดูโลกน้อยแล้ว ฉะนั้น..ลืมตาเอาไว้เยอะ ๆ คุณหมอสุวรรณตื่นเวลาเดียวกับอาตมา คือเวลาตี ๒ พอตื่นเสร็จแกก็เสียบหม้อหุงข้าวไว้ แล้วก็เปิดเสียงเทศน์หรือเสียงสวดมนต์ฟัง พอถึงตี ๔ เสียงกรรมฐานวัดท่าขนุนดัง หมอสุวรรณก็ปิดเครื่องเสียงของตัวเอง ฟังของวัดแทน ทำกรรมฐานและสวดมนต์ทำวัตรด้วย พอเสียงสวดมนต์ทำวัตรเสร็จ หมอก็เตรียมตัวไปใส่บาตร เพราะว่าเดี๋ยวพระก็ออกเดินบิณฑบาตแล้ว

ส่วนปู่มนัสเป็นตำรวจที่ทองผาภูมิจนเกษียณ ก่อนเกษียณ ๖ เดือนได้ติดยศร้อยตำรวจตรี ปู่มนัสอายุ ๘๐ กว่าปีแล้ว เดินตัวตรง หลังอย่างกับดามไม้ไว้เลย คนอะไรจะแข็งแรงปานนั้น ปกติถ้าคนกำลังไม่ดีหลังจะค่อมลงไปเรื่อย พออายุมากแล้วกำลังร่างกายไม่ดีจะหลังค่อม แต่ปู่มนัสอายุ ๘๐ กว่าปีแล้วหลังตรง แกถึงได้ชอบอาตมาเพราะเดินตัวตรงเหมือนกัน อาตมา หลังตรงเพราะโดนฝึกมา

เขาบอกว่าอยู่ทองผาภูมิ ๑ คืน อายุยืนไป ๑ ปี สงสัยว่าถ้าอยู่มา ๒๐ ปี จะอยู่ได้นานเท่าไร ?"

เถรี
15-09-2012, 20:33
"หมอบอกว่า ตอนนี้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินได้เกือบจะเหมือนเดิมแล้ว หมอใช้คำว่าเกือบจะเหมือนเดิม ครั้งสุดท้ายที่อาตมาพบพระองค์ท่าน พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินแข็งแรง มั่นคง ก้าวยาวมากเลย

พอแก่แล้วร่างกายก็รวน เราแค่ลองนึกถึงรถยนต์ก็พอ รถยนต์ทำด้วยโลหะ ใช้งานได้ ๒๐ - ๓๐ ปีก็พังบรรลัยไปหลายรอบแล้ว แต่คนเรา ๗๐ - ๘๐ ปียังใช้อยู่ได้ แสดงว่าถ้าวิศวกรสามารถคิดเครื่องยนต์ที่เลียนแบบสภาพร่างกายได้ น่าจะใช้ได้เป็น ๑๐๐ ปี เพราะขนาดรถยนต์เราเปลี่ยนอะไหล่ต่าง ๆ ตามระยะทาง อย่างเช่นว่า หมื่นกิโลเมตร สองหมื่นกิโลเมตร เปลี่ยนตลอดยังพังเลย แต่คนเราแทบจะไม่มีใครเปลี่ยนอะไหล่ ยังอยู่กันถึง ๖๐ - ๘๐ ปี

วันก่อนพระเขาแจ้งข่าวว่า หลวงพ่อสนอง วัดสังฆทาน มรณภาพแล้ว ท่านอายุ ๖๘ ปี มีเสียงร้องในที่ประชุมสงฆ์ว่า "ยังหนุ่มอยู่เลย..!" โอ้..อายุ ๖๘ ปีนี่เขายังเห็นว่าหนุ่มอยู่เลย อาตมาว่าตัวเองอายุ ๕๔ ปีนี่ก็แก่เต็มทีแล้วนะ อาจจะเป็นเพราะว่าพระส่วนใหญ่อายุยืนทั้งนั้น

มีคนเขาทำวิจัยว่า การที่พระอายุยืน ส่วนหนึ่งเกิดจากการสวดมนต์ ใครสวดมนต์ทำวัตรสม่ำเสมอทุกวัน เขาบอกว่าเป็นการออกกำลังอวัยวะภายใน เวลาเราสวดมนต์ต้องใช้ปอด ใช้อวัยวะข้างใน ก็เลยทำให้อวัยวะภายในแข็งแรงกว่าคนที่ไม่ได้ออกกำลัง ทำให้อายุยืนไปด้วย

เพราะฉะนั้น..ถ้าใครอยากอายุยืนให้สวดมนต์ทุกเช้าเย็นจ้ะ ครั้งละครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ออกเสียงดัง ๆ แบบพระ สวดเผื่อข้างบ้านก็ได้ ถ้าเขายังไม่ขว้างหลังคาบ้านก็แปลว่ายังสวดได้"

เถรี
15-09-2012, 20:37
"ในเมื่อพระมีแนวโน้มที่จะอายุยืน ญาติโยมก็เลยช่วยกันลดอายุพระ โดยถวายอาหารแต่ละอย่างที่เห็นแล้วสยอง ตอนนี้สถิติของโรงพยาบาลสงฆ์ พระภิกษุสามเณรที่เข้ารักษาตัว อันดับหนึ่งป่วยเป็นเบาหวาน อันดับสองรองลงไปคือไขมันในเลือด อันดับสามเป็นโรคเครียด

สรุปว่า ๓ โรคที่ติดอันดับ มีโรคที่เกิดจากอาหารการกินไปแล้ว ๒ เราต้องมานึกว่าท่านที่ไปใช้บริการโรงพยาบาลสงฆ์เป็นแค่ส่วนเดียวเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่หลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ที่มีลูกศิษย์ เขามักจะพาไปใช้บริการโรงพยาบาลเอกชน อาตมาเคยไปโรงพยาบาลวิชัยยุทธ มีพระเข้ารับการรักษาเยอะแยะเลย"

เถรี
16-09-2012, 11:45
ถาม : ทำไมบางคนบางช่วงมีโรคภัยไข้เจ็บมาประดัง มีอุบัติเหตุ หรือว่าเจ็บป่วยเข้ามา จะทำให้ลดลงอย่างไร ?
ตอบ : เพราะวาระของอกุศลกรรม คือกรรมชั่วที่เราทำไว้ส่งผลในช่วงนั้น ถ้าตั้งใจจะลดจริง ๆ แล้วมีหลายวิธีด้วยกัน ถ้าทำอย่างโบราณ ก็มีการถวายสังฆทานและให้พระรดน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ บางคนเรียกว่าน้ำมนต์ ๗ วัด (วัฑฒ์) แต่ไม่ใช่หมายความว่าวิ่งไป ๗ วัด น้ำมนต์ ๗ วัด คือน้ำมนต์ที่เขาเสกด้วยบทอายุวัฑฒะโก ธะนะวัฑฒะโก สิริวัฑฒะโก ยะสะวัฑฒะโก ฯ อันนี้อย่างหนึ่ง

อีกอย่างหนึ่งเขาให้ทำบังสุกุลตาย บังสุกุลเป็น เท่ากับว่าตายแล้วเกิดใหม่ บางรายถ้าเห็นว่าหนักมากก็จัดงานศพตัวเอง ทำเหมือนกับว่าตัวเองตายไปแล้ว นิมนต์พระมาสวดมาติกาบังสุกุล

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้พิจารณาดูแล้วจะเห็นว่า ความจริงก็คือบุญใหญ่ อย่างการทำบังสุกุลตาย บังสุกุลเป็น ก็คือการระลึกถึงมรณานุสติกรรมฐาน ก่อนที่จะทำมีการแนะนำให้รับศีลก่อนก็เป็นสีลานุสติ ถึงเวลาให้นึกถึงพระไว้ ก็กลายเป็นพุทธานุสติ กลายเป็นการปฏิบัติกรรมฐานใหญ่

เพราะฉะนั้น.. บุญของศีล สมาธิ ปัญญา เป็นบุญใหญ่มาก ช่วยให้เราห่างจากกรรมนั้นไป ไม่ได้หมายความว่าหาย แต่หมายความว่ากรรมสนองเราไม่ได้ชั่วคราว เพราะบุญใหญ่หนุนเราไว้ ถ้าบุญนั้นลดลง กำลังไม่พอเมื่อไร กรรมก็จะตามทันอีก

เถรี
16-09-2012, 11:57
ฉะนั้น..เราก็ควรจะทำความดีไว้ให้สม่ำเสมอ ปล่อยชีวิตสัตว์ก็ใช้ได้เหมือนกัน แต่ต้องไปซื้อที่เขาขายไว้เพื่อฆ่าจริง ๆ ไม่ใช่ซื้อที่เขาเตรียมไว้ให้เราปล่อย ที่เขาเตรียมไว้ให้ปล่อย เราจะได้แค่อานิสงส์ของเมตตาบารมีเท่านั้น

หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยบอกว่า การเข้าพิธีรับยันต์เกราะเพชรถือเป็นการสะเดาะเคราะห์ใหญ่อย่างหนึ่ง เพราะว่าเราต้องสมาทานศีล คือการปฏิบัติในศีล ต้องนั่งภาวนาเพื่อรับยันต์ ก็เท่ากับว่าเป็นการปฏิบัติสมาธิภาวนา เป็นการสร้างบุญใหญ่ไปในตัว

ที่วัดท่าขนุนปีนี้ยังเหลือพิธีรับยันต์เกราะเพชรอีกครั้งหนึ่ง คือวันที่ ๒๐ ตุลาคม ปีนี้ต้องเป่ายันต์ ๓ ครั้ง เลิกงานทีไรอาตมาหงายหลังแผ่ทุกทีเลย

เถรี
16-09-2012, 12:33
ถาม : ผู้ใหญ่บ้านเขาโดนยาสั่ง จะตายหรือเปล่า ?
ตอบ : พวกโดนยาสั่งให้ที่ดูเล็บ ถ้าตายเล็บจะกลายเป็นสีม่วงทันทีเลย

ถาม : ตายแล้วจะล่องลอยเหมือนสัมภเวสี ?
ตอบ : ตายก่อนหมดอายุขัยก็มักจะเป็นสัมภเวสีก่อน ความจริงยาสั่งแก้ง่าย แต่คนมักจะไม่รู้ เขาให้เอารากตำลึง รากฟักข้าว และรากรางจืด โขลกผสมกับเหล้าแล้วกรอกปากเลย ถ้าเขาไม่กินก็บีบจมูกกรอกปากให้ (หัวเราะ) แต่กว่าจะรู้ตัวก็มักจะอาการหนักแล้ว

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านให้คาถากันยาพิษยาสั่งไว้เหมือนกัน ท่านบอกว่าให้เสกข้าวกินไปเลย แต่คาถานี้ให้ตั้งขันบูชาครู วันพฤหัสบดีข้างขึ้น ยิ่งข้างขึ้นมากเท่าไรยิ่งดี ใช้บัวขาว ๕ ดอก เทียนขาว ๕ เล่ม ธูป ๕ ดอก คาถาท่านว่า “พุทธังมัดจิต ธัมมังมัดใจ ศัตรูทั้งหลายวินาศสันติ พุทธังมัดจิต ธัมมังมัดใจ โรคภัยทั้งหลายวินาศสันติ”

ฉะนั้น..ถ้าใช้คาถาอยู่เป็นประจำ ๆ ก็ไม่ต้องไปกลัวยาสั่ง แต่ถ้ากลัวจะเผลอ ไม่สามารถที่จะท่องคาถาได้เป็นประจำทุกวัน ท่านให้เอากระดูกห่านขาวมาทำเป็นตะกรุด ลงด้วยนะโมพุทธายะ แล้วแขวนติดตัวไว้ แต่อย่าไปไล่ฆ่าห่านนะ อาตมาแค่บอกวิธีให้เท่านั้น

เถรี
16-09-2012, 12:50
ครั้งแรกที่หลวงพ่อท่านถ่ายทอดวิชานี้ให้ พระในวัดโดยเฉพาะวัดหลวงน้ามีชัยบอกว่า "ท่านเล็ก..คุณจะต้องโดนเขาวางยาแน่ เพราะหลวงพ่อไม่เคยถ่ายทอดให้ใคร" แต่ขอโทษ..อาตมาเลิกใช้คาถานี้นานแล้ว ใครอยากจะวางก็ให้เขาวางเถอะ กินแล้วอร่อยดี..!

ในบท กรณียเมตตาสูตร ท่านกล่าวถึงอานิสงส์ ๑๑ ประการของการเจริญเมตตาภาวนา มีอยู่อย่างหนึ่งว่า “นาสสะ อัคคิ วา วิสัง วา สัตถัง วา” สามารถทำลายได้ทั้งเปลวไฟ ยาพิษ และอาวุธ ตอนแรกอาตมาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพระธุดงค์หลายองค์ท่านโดนงูกัดแล้วไม่ตาย ก็เพราะว่าท่านนั่งแผ่เมตตาให้สัตว์พวกนี้

อาตมามาเข้าใจหลังจากที่ตัวเองโดนงูกัด ว่าพิษงูจะทำปฏิกิริยากับเลือดในร่างกายของเรา ทำให้เราตายได้ แต่พอเราเปลี่ยนไปแผ่เมตตา ไม่มีความโกรธ ไม่มีความเกลียด ไม่มีความกลัว พิษงูทำปฏิกิริยากับร่างกายเราไม่ได้ ในเมื่อทำปฏิกิริยากับเลือดเราไม่ได้ พิษคงอยู่ได้ไม่นานก็โดนขับออกไปหมด

ฉะนั้น..ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ ความจริงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าเราไม่มีประสบการณ์เองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นอย่างนั้น กว่าจะเข้าใจต้องให้ตัวเองโดนงูกัดสัก ๒ - ๓ ที

เถรี
17-09-2012, 11:59
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมเด็จองค์ปฐมที่วัดท่าซุง ก็คือ สมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่ หลวงพ่อท่านสั่งนักสั่งหนาว่า อย่าเจาะพระนลาฏเพื่อติดเพชร ปรากฏว่าพักเดียวมีคนจัดการเรียบร้อย หลวงพ่อท่านก็ว่า "เออ..ขนาดสั่งแล้วนะ ยังทำเป็นสั่งขี้มูกไปได้"

หลวงพ่อวัดท่าซุงเปิดให้ลูก ๆ ได้รู้จักสมเด็จองค์ปฐม ได้ร่วมกันสร้างพระรูปของพระองค์ท่าน สร้างยังไม่เรียบร้อยดีท่านก็มรณภาพก่อน ปัจจุบันนี้เขาสร้างสมเด็จองค์ปฐมกันเป็นว่าเล่น สมัยก่อนเขาไม่รู้จัก พอรู้จักแล้วสร้างกันเสียยกใหญ่

ตอนท่านสร้างพระองค์ที่ ๑๐ กับพระองค์ที่ ๑๑ มีโยมถวายทองคำเพื่อร่วมหล่อ ๒๒ กิโลกรัม พอมาสร้างสมเด็จองค์ปฐม มีโยมถวายทองร่วมหล่อ ๗๘ กิโลกรัม แต่ว่านั่นเป็นเฉพาะทอง ส่วนที่เป็นหัวแหวน เป็นเพชร เป็นพลอย ท่านคัดออกมาบรรจุ ท่านบอกว่าถ้าใส่เบ้าหลอมแล้วระเบิดหมด เสียดายของ"

เถรี
17-09-2012, 12:04
"อาตมามีโครงการสร้างพระทองคำ ๑ องค์ แต่รอให้อายุ ๖๐ ปีก่อน ถ้าอยู่ไม่ถึงก็พับโครงการไป เพราะว่าพระที่บวชใหม่ปีนี้ ท่านมีความสามารถในการออกแบบเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นศิลปวัตถุแบบไทย ๆ อาตมาก็เลยให้ท่านออกแบบบุษบกสำหรับตั้งพระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว จะให้ตั้งถาวรเลย พูดง่าย ๆ ก็คือ ไม่ใช่ปีหนึ่งเอาออกมาแค่ ๓ - ๔ ครั้ง ตั้งใจว่าพอทำศาลาใหม่เสร็จ จะตั้งไว้ด้านข้างของพระประธาน แต่ถ้าตั้งบุษบกไว้ด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งก็ว่าง จึงตั้งใจว่าอีกข้างหนึ่งจะตั้งพระทองคำแทน

ค่อย ๆ เก็บทองด้วยนะ ถึงเวลาจะได้ช่วยกันหล่อ อาตมาก็สะสมไว้ได้หลายบาทแล้ว ช่างบอกว่าทอง ๓๐ กิโลกรัมก็พอ ...(หัวเราะ)... ทองคำกิโลกรัมหนึ่ง ๖๐ กว่าบาท"

ถาม : เป็นพระยืนหรือครับ ?
ตอบ : พระพุทธรูปยืนปางลีลา ถ้ามาลักษณะนั้นสำหรับอาตมาคือหลวงปู่พระพุทธกัสสปะ เพราะตกลงกันไว้ว่า ถ้าท่านเสด็จมาต้องมาในลักษณะนั้น ไม่อย่างนั้นจะจำท่านไม่ได้ พระองค์ท่านเป็นพระพุทธเจ้าที่เลิศด้วยลาภ ในเมื่อลาภสักการะมากก็ตั้งให้พวกเราบูชาขอพระท่านกันเอาเอง ถ้าอาตมาอยู่ถึง ๖๐ ปี หล่อแน่ ๆ ตอนนี้เก็บทองกันไปก่อน

เถรี
17-09-2012, 12:17
ถาม : อยากให้ลูกเลิกซนครับ
ตอบ : ถ้าเลิกซน ลูกจะไม่ได้เรื่อง ฉะนั้น..ต้องให้ซนต่อไป เด็ก ๆ ต้องซนจ้ะ เป็นธรรมชาติของเขา

ถาม : ลูกไอ ห้ามกินอะไรครับ ?
ตอบ : ถ้าไอห้ามเอาพัดลมเป่าใส่ตัว

ถาม : เรื่องกิน ?
ตอบ : กินอะไรก็ไม่หนักเท่าเป่าพัดลมใส่ตัว เพราะทำให้ปอดชื้นง่ายแล้วตายเร็ว ส่วนใหญ่เด็กรุ่นใหม่ ๆ ชอบเปิดพัดลมจี้ตัวเลย

ถาม : กินกล้วยมาก ๆ แล้วร่างกายเย็น ?
ตอบ : เกี่ยวอยู่ แต่ไม่หนักเท่าพัดลม

เถรี
17-09-2012, 12:25
ถาม : ตะเข็บเข้าบ้านแก้อย่างไรครับ ?
ตอบ : รื้อบ้าน..ไม่มีบ้านมันก็ไม่เข้าแล้ว..! ก็อย่าให้มีพวกหญ้าเน่า อย่างหญ้าที่เราตัดแล้วหมกไว้นั่นแหละ ตะเข็บชอบไปวางไข่ ฉะนั้น..ตัดหญ้าแล้วโกยทิ้งไปเลย พวกใบไม้ใบหญ้าที่หมก ๆ ไว้ตะเข็บชอบนักแล พอไม่มีที่อยู่เขาก็เลิกมาแล้ว โบราณเขาบอกว่าอย่าฟื้นฝอยหาตะเข็บ พวกขยะมูลฝอยเป็นรังตะเข็บเลย เป็นที่อยู่ของเขา

เถรี
17-09-2012, 12:49
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อครู่อาตมานั่งเตรียมการสอนปริญญาตรีล่วงหน้า ๒ อาทิตย์และออกข้อสอบเสร็จแล้ว เทอมนี้ก็สบาย เอาไว้เทอมหน้าไปตกระกำลำบากใหม่ เทอมนี้ต้องสอนวิชาใหม่ ทำให้ต้องเตรียมการสอนอาทิตย์ต่ออาทิตย์ เทอมหน้าจะต้องสอนวิชาวิสุทธิมรรค มีแต่วิชาที่ชาวบ้านเขาไม่อยากสอนกันทั้งนั้น

อาจารย์ที่เคยสอนท่านบอกว่า “เข้าไม่ถึง..อธิบายไปอย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง ตัวเองยังไม่เข้าใจ แล้วลูกศิษย์จะรู้เรื่องได้อย่างไร ? ” แล้วก็สรุปว่า “พระครูเล็กรับไปหน่อยนะครับ” อาตมาซวยทุกที อยากจะบอกว่าอาตมาเป็นคนเหลือเลือก อะไรที่ชาวบ้านเขาเลือกเหลือแล้วเขาก็จะยกให้ ความจริงเป็นของที่ดีที่สุดนะ แต่คนไม่เห็นคุณค่า ถ้าอาตมาไม่สอนวิชานี้ ก็จะมีคนอื่นกัดฟันสอน แล้วก็นั่งหาวทั้งอาจารย์และลูกศิษย์เพราะไม่รู้เรื่องทั้งคู่..!

วิสุทธิมรรคมี สีลนิเทศ สมาธินิเทศ ปัญญานิเทศ ๓ เล่มหนา ๆ เลย เฉพาะศีลอย่างเดียวเขาบอกว่าศีลมีกี่รูปแบบ ศีลอย่างเดียวก็ท่องกันหูดับตับไหม้แล้ว ความจริงไม่ใช่สิ่งที่จะต้องไปท่องกัน เพราะว่าศีลเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติ ส่วนใหญ่แล้วเขาหลงประเด็นไปท่องกัน

แบบเดียวกับ ท่านอาจารย์พลตรีเฉลิมชัย เสียงใหญ่ ท่านสอนพระอภิธรรมปิฎก ลูกศิษย์ของท่านคนหนึ่งติด I อาจารย์ท่านก็ให้มาซ่อม ซ่อมเท่าไรก็ไม่ผ่าน เพราะลูกศิษย์ไม่สนใจที่จะเรียน ท้ายสุดท่านอาจารย์ก็บอกว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน พระคุณท่านเข้าไปอยู่ในโบสถ์ อีก ๒ ชั่วโมงค่อยออกมา จะอยู่อย่างไรก็เป็นเรื่องของพระคุณท่าน ถ้าอยู่ในโบสถ์ได้ครบ ๒ ชั่วโมงเดี๋ยวผมจะแก้ I ให้” แล้วท่านก็ไปแอบดู

ท่านบอกว่า “โอ้โห..ท่านเดินพล่านไปหมด ผมไม่นึกเลยว่าพระระดับเจ้าอาวาส ระดับเจ้าคณะตำบล กระทั่งสมาธิสักนิดหนึ่งยังไม่มีเลย” เป็นอาตมาอยู่ในโบสถ์ ๒ ชั่วโมงหวานหมูแน่ จะนั่งจนท่านอาจารย์ให้ A เลย"

เถรี
17-09-2012, 12:52
“วิชาโลกเรียนเท่าไรไม่รู้จบ” แต่ก็ต้องเรียน ในเมื่อคนเขาเชื่อกันแค่นั้น ทุกวันนี้ที่อาตมาสอนอยู่ ได้แต่เอาไปเหน็บเอาไว้ท้ายชั่วโมงให้เขาหน่อยหนึ่งว่าควรจะได้อะไร ควรจะทำอะไรจริง ๆ บางครั้งก็ยกตัวอย่างทางวัดท่าขนุนให้ฟัง ปรากฏว่าลูกศิษย์ฟังแล้วแทนที่จะเกิดกำลังใจปฏิบัติ ก็คงนึกในใจว่าวัดนี้กูจะไม่เฉียดไปใกล้เลย..! ทั้ง ๆ ที่วัดท่าขนุนก็ไม่ได้ปฏิบัติเข้มงวดเคร่งครัดอะไรนัก

วันก่อนอาตมาไปหาเนื้อหาเพื่ออบรมเด็ก ไปเจอเนื้อหาประเภทสะกิดใจว่า “คุณรับปริญญา แล้วคุณก็ไปเลี้ยงข้าวเพื่อนฉลองกัน แต่คุณไม่ได้คิดที่จะเลี้ยงคนที่ส่งคุณจนจบเลยหรือ ?” อาตมาได้ยินก็คิดว่าใช่ ส่วนใหญ่เขาฉลองกับเพื่อน ถ้าเลี้ยงที่บ้านก็พ่อแม่จ่ายอีก..!

เถรี
17-09-2012, 13:05
ถาม : ผมเพิ่งฟังเสียงเทปพระองค์ที่ ๑๐ ได้ยินเสียงพระอาจารย์ด้วย ?
ตอบ : อาจจะเป็นคนเสียงคล้ายก็ได้ ต้องบอกว่าเป็นประสบการณ์ล้ำค่าครั้งหนึ่งในชีวิต ไม่คิดว่าจะได้พบก็ได้พบ ไม่คิดว่าจะได้เจอก็ได้เจอ เจอแล้วยังโง่อีกคิดว่าไม่ใช่

ถาม : ท่านมาเป็นคนจริง ๆ หรือครับ ?
ตอบ : บอกไม่ถูก นั่งอยู่ใกล้ ๆ ท่าน มองแล้วมองอีก เป็นไปได้หรือ ? คนตายมาสองพันกว่าปีแล้วมานั่งอยู่ใกล้ ๆ เรา ท่านหันขวับมาบอกว่า “ถ้าไม่แน่ใจ จะคลำดูก็ได้” คิดอะไรไว้ท่านพูดมาหมดเลย ในเมื่อได้รับคำอนุญาตแล้ว มีหรือลูกลิงอย่างอาตมาจะกลัว ว่าแล้วก็คลำเลย..!

ถาม : คลำแล้วพูดไม่ถูกหรือคะ ?
ตอบ : พูดไม่ถูก คลำดูก็เหมือนกัน ถ้าไม่ใช่ประสบการณ์โดนผีหลอกมาอย่างหนักนี่ยังไม่เชื่อนะ เพราะเวลาโดนผีหลอกอาตมาจะสู้อย่างเดียว พอจับถูกตัวเขา เนื้อเขาก็เหมือนกับเนื้อเรานี่แหละ แต่ถ้าเราตั้งใจมองจะมองทะลุได้ เป็นอะไรที่แปลกมาก

เวลาเขาจับเรากดติดพื้น มือเขาก็กดมือเราอยู่ แต่ถ้าเราตั้งใจเพ่งจะเห็นทะลุไปถึงมือตัวเองด้วย หรือไม่ถ้ามองตัวเขาแบบตั้งใจมองจะเห็นของข้างหลังด้วย อาตมาก็แปลกใจว่าทำไมเขาเตะเราก็เจ็บ จับเราก็ได้ คราวนี้พอเจออย่างนั้นเข้าก็ต้องเชื่อแล้ว

ถาม : ถ้าเราเตะผี ?
ตอบ : พวกนี้ปรับเปลี่ยนเร็ว หลอกอาตมามาเยอะแล้ว อาตมาเตะนาฬิกาพังไปทั้งเรือน ตอนจับเราจับเขาได้ แต่ตอนเตะเราเตะไม่ถูก ทะลุผ่านไปเฉย ๆ เขาแกล้งเราได้ขนาดนั้น ทำเอานาฬิกาปลุกจากฝรั่งเศสอย่างดีพังกระจายทั้งเครื่องเลย..!

ถาม : มองทะลุได้ ?
ตอบ : ถ้าเราไม่สนใจก็หลับตาไปเลย หรือไม่ก็ทำเมิน ๆ จะเห็นชัด ๆ เลย แต่ถ้าตั้งใจมองจะมองเห็นของข้างหลังด้วย

เถรี
17-09-2012, 13:11
เรื่องนี้ครูบาอาจารย์หลายท่านยืนยันตรงกันหมด อาตมาไปกราบสนทนาขอความรู้จากหลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน พอถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันเสร็จเรียบร้อย คนอื่นไม่รู้จะคุยเรื่องอะไร อาตมาก็กราบเรียนถามท่านว่า “กราบขออนุญาตครับหลวงพ่อ หลวงพ่อเคยโดนผีหลอกไหมครับ ? ”

ท่านนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “เดี๋ยว..เรื่องนี้เกี่ยวกับอุตริมนุสธรรม” อาตมากราบเรียนว่า “ปรารภเพื่อจะได้เป็นที่ทราบกันครับ ไม่ได้คุยอวด ไม่น่าจะเป็นอุตริมนุสธรรม” ท่านก็บอกว่า “อืม..ถ้าอย่างนั้นผมจะเล่าให้ฟัง” แล้วท่านก็ว่าไปเรื่อย ทิ้งท้ายว่า “ผมไม่มั่นใจหรอกนะว่าเป็นผีหรือเปล่า ? ” แต่ที่ท่านเล่ามานั่นผีทั้งนั้นแหละ..!

มีเรื่องหนึ่งก็คือ ท่านเดินจงกรมอยู่ท้ายวัด เกือบ ๆ จะถึงป่าช้า ปรากฏว่าเห็นโยมคนหนึ่งเดินมา ตอนแรกท่านคิดว่าเป็นคน แต่พอเขาเดินผ่านไปแล้วเห็นหลอดไฟอยู่ข้างหลังเขาด้วย ท่านก็เลยมั่นใจว่าเป็นผี พอเข้ามาใกล้ เห็นชัดยิ่งมั่นใจใหญ่ เพราะเพิ่งจะเผาศพเขาไปเมื่อเย็นนี้เอง

ถาม : ตอนที่เป็นคนเขาทำอะไรไว้คะ ?
ตอบ : ก็ต้องถามเขาเอง เอาอย่างพระโมคคัลลานะ “ดูก่อนเทพนารี เมื่อตอนมีชีวิตอยู่เธอได้สร้างกุศลอันใดไว้หรือ ? ”

เถรี
18-09-2012, 11:45
ถาม : ผีกระสือมีจริงไหมครับ ?
ตอบ : กระสือเป็นอสุรกายประเภทหนึ่งจ้ะ ในชีวิตอาตมาก็ไม่คิดว่าจะได้เจอ ที่ตลกก็คือเจอทั้งครอบครัวเลย ผัวเป็นกระหัง เมียเป็นกระสือ..!

ตอนนั้นช่วงเช้าอาตมาภาวนาอยู่ ปกติจะขึ้นไปไหว้พระที่จุฬามณีก่อน ปรากฏว่าวันนั้นจิตไม่ไปที่นั่น แต่พุ่งออกไปที่บ้านหลังหนึ่ง เห็นว่าเป็นบ้านของชาวบ้านธรรมดา บ้านไม้เก่า ๆ ใต้ถุนสูง มีสากตำข้าวทิ้งที่ลานบ้าน อาตมาก็คิดว่า บ้านนี้ทำไมสะเพร่าขนาดนี้ เครื่องมือหากินแท้ ๆ เอามาทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ จึงเดินเข้าไป

ปรากฏว่าพวกเขากรูกันออกจากบ้านมา ๔ - ๕ คน พอเขาเห็นอาตมาเขาก็ชะงัก อาตมาบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอก..มาดี ไม่ได้ตั้งใจมาทำอะไรหรอก” แล้วก็ถามว่า “ตกลงพวกเราไม่ใช่คนใช่ไหม ?” เขาบอกว่าตัวเขากับเมียไม่ใช่คน ส่วนลูก ๆ ยังเป็นคนอยู่ จึงถามต่อว่าที่ออกมานี่ตั้งใจมาทำอะไร ? เขาตอบว่า “ถ้าท่านเป็นคน ผมก็จับกินแล้ว”

เขาบอกว่าสากตำข้าวที่เขาทิ้งไว้ที่ลานบ้านเป็นเขตหากินของเขา ถ้าใครก้าวข้ามมา เขามีสิทธิ์ที่จะจับกินได้ แล้วเขาก็เล่าให้ฟังว่าตัวเขาเป็นกระหัง เมียเขาเป็นกระสือ ถ้าถึงวาระหมดอายุขัยของเขาแล้ว เขาจะถ่ายทอดต่อให้ลูกคนใดคนหนึ่ง ลูกของเขา ๓ - ๔ คนตอนนี้ยังไม่ได้เป็นอะไร แต่ถ้าเขาใกล้ตายแล้วต้องมีสักคนหนึ่งที่รับช่วงไป

ไล่ไปไล่มาเพิ่งจะรู้ว่าพวกนี้เป็นอสุรกายประเภทหนึ่ง ถ้าไม่ไปอาศัยอยู่ในร่างของคนอื่นก็ไม่สามารถที่จะหากินได้ พอเจ้าของร่างที่อาศัยอยู่หมดอายุ ก็จะเปลี่ยนตัวใหม่ไปเรื่อย ๆ

เถรี
18-09-2012, 11:51
ถาม : กระสือมีหลอดไฟด้วย ?
ตอบ : เขาไปลักษณะอย่างนั้นแหละ แต่เขาไปในลักษณะกายในที่เป็นดวงจิต พอมีคนเข้าไปใกล้ เขาจะแสดงให้เห็นว่าเป็นหน้าของใคร มี ๒ อย่างด้วยกัน อย่างแรกคือเพื่ออำพรางตัวเองไม่ให้รู้ว่าเป็นใคร จึงแสดงหน้าคนอื่นให้เห็น อีกอย่างก็คือหมายจะให้เขาตกใจแล้วก็ไปให้พ้น จะได้ไม่ต้องมายุ่งกับการหากินของเขา

ถาม : เขาครอบงำจิต แล้วเจ้าของร่างเขายังอยู่หรือเปล่า ?
ตอบ : เขาอาศัยแฝงร่างอยู่ตามสายของเขา คนนั้นต้องไปรับช่วงมาจากญาติของเขาเอง ถ้าหาคนแทนไม่ได้เขาจะทรมาน ตายไม่ลงสักที ถ้าหาคนรับช่วงแทนได้ก็ไปได้

อาตมาถามครอบครัวนั้นว่า ตรงนี้เรียกว่าอะไร ? เขาบอกว่า “เมืองเก่าปอมเป” อาตมาก็ไปถามคนอื่นว่าบ้านปอมเปอยู่ตรงไหน ? “เขาบอกว่าเดินไปถึงหน้าตลาด แทนที่เลี้ยวขวาเข้าทองผาภูมิ ก็เลี้ยวซ้ายไปเลย บริเวณนั้นแหละเมืองเก่าปอมเป”

ถาม : อยู่ที่ไหน ?
ตอบ : อยู่ที่ทองผาภูมิ ตอนช่วงเข้าพรรษาทางวัดจะส่งพระไปบิณฑบาตที่ปอมเปเป็นประจำ แต่อาตมาไม่ได้ไปเอง ก็เลยไม่ได้ไปเล็งว่าเป็นบ้านหลังไหน

เถรี
18-09-2012, 11:54
ถาม : คนที่เป็นกระสือ กระหัง ไม่ใช่เป็นแต่กำเนิด ?
ตอบ : ไม่ใช่คนที่เป็นแต่กำเนิด เขาต้องไปรับช่วงจิตวิญญาณที่แฝงมา พูดง่าย ๆ ก็คือต้องไปรับอสุรกายพวกนั้นเข้ามา ถ้าเราไม่รับ พวกนี้เขาก็ทำอะไรไม่ได้

ถาม : แล้วจะหมดเมื่อไร ?
ตอบ : ก็จนกว่าดวงจิตจะสิ้นกรรม แล้วเวลาของเขาต่างกับเราเยอะ วันหนึ่งของเขาก็กินเวลาของเราไป ๕๐ ปีแล้ว ถ้าเขาอยู่สัก ๔๐ - ๕๐ ปี ก็ไม่รู้ว่าเปลี่ยนตัวไปกี่ร้อยคนแล้ว

ถาม : แล้วผีปอบเป็นอสุรกายไหมคะ ?
ตอบ : ผีปอบอาการหนักกว่า แต่ก็ประเภทเดียวกับอสุรกายนี่แหละ

เถรี
18-09-2012, 12:04
ถาม : อสุรกายมีแบ่งประเภทไหมครับ ?
ตอบ : อสุรกายเป็นภูมิที่ประหลาดมาก มีอสุรกายประเภทที่เป็นเทวดา มีอสุรกายประเภทที่เป็นเปรต อสุรกายประเภทที่เป็นสัตว์นรก จึงกลายเป็นภูมิที่ประหลาดที่สุด

ตอนแรกอาตมาคิดว่าพวกอสุรกายจะเป็นภูมิหนึ่งต่างหาก แต่ไม่ใช่ อสุรกายเป็นสัตว์ประเภทหนึ่งที่จัดอยู่ในภูมิอสุรกาย แต่ไม่มีภูมิต่างหากของเขา ต้องไปปะปนอยู่กับภูมิอื่น

อสุรกายประเภทเทวดา อย่างพวกที่โดนมฆมานพกับพรรคพวกจับโยนลงจากดาวดึงส์เพราะเอาแต่เมา พวกนี้ถ้าดอกปาริชาตบานเมื่อไร เขาได้กลิ่นก็จะระลึกถึงความหลังได้ว่า เราเคยอยู่ข้างบน ก็จะยกทัพไปไล่ตีกัน ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ

แต่ส่วนใหญ่ฝ่ายเทวดาจะชนะ ถึงไม่ชนะ ท้ายสุดก็กลับมาชนะใหม่ อย่างที่มีในธรรมบทว่า มาตุลีเทพบุตรขับรถพาพระอินทร์หนีกองทัพอสูร ปรากฏว่ารถของพระอินทร์วิ่งฝ่าเข้าไปในป่าต้นงิ้ว พวกลูกครุฑส่งเสียงร้องเซ็งแซ่ไปหมด พระอินทร์จึงถามว่าเสียงอะไร มาตุลีบอกว่าเสียงลูกครุฑที่ตกจากรัง เพราะว่าราชรถของพระองค์เบียดต้นงิ้วพังทลาย พระอินทร์ได้ยินแล้วก็สลดใจ ตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นกลับรถเถอะ ถ้าเราเอาชีวิตรอดแล้วต้องเบียดเบียนชีวิตผู้อื่นขนาดนี้ เรายอมกลับไปสู้ตายดีกว่า” มาตุลีเทพบุตรก็ต้องขับรถเลี้ยวกลับ

พอกลับรถมาได้ พวกอสูรเห็นว่าอีกฝ่ายคนเดียวแต่ดาหน้าเข้าหากองทัพทั้งกอง สงสัยว่าพรรคพวกของพระอินทร์จะยกมาช่วยแล้ว จึงรีบหนีไปเลย ทำให้พระอินทร์ที่แพ้อยู่แท้ ๆ กลับเป็นชนะไปได้

เถรี
18-09-2012, 12:13
ถาม : อสุรกายเกิดแล้วโตเลยหรือคะ ?
ตอบ : การเกิดของเขาก็คล้ายกับเทวดา เกิดเท่าไรก็อายุเท่านั้น เกิดแล้วโตเลย เป็นโอปปาติกะประเภทหนึ่ง

ส่วนสัตว์เดรัจฉานมีชลาพุชะ เกิดในมดลูก มีรกหุ้ม อย่างพวกช้าง ม้า วัว ควาย ฯลฯ อัณฑชะ เกิดในฟองไข่ อย่างพวกนก เป็ด ไก่ งู เหี้ย ตะกวด จระเข้ ฯลฯ สังเสทชะ เกิดในเหงื่อไคลหรือของหมักหมมสกปรก อย่างพวกหมู่หนอน พยาธิ เห็บ หมัด เล็น ไร ฯลฯ โอปปาติกะ อย่างพวกครุฑ นาค ฯลฯ

พวกอสุรกายที่เป็นเปรต อย่างพวกกาลกัญจิกสุรกายจะอยู่ในเขตของเปรต พวกอสุรกายจำพวกสัตว์นรกจะอยู่ในโลกันตนรกทั้งหมด พวกนี้ไม่ใช่ว่าเขาไม่กล้าเจอใคร แต่เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะออกมาเจอใคร กลายเป็นอสุระ แปลว่าไม่กล้า อสุรกาย คือ ผู้มีกายอันไม่กล้า เพราะว่าออกมาไม่ได้

เพราะฉะนั้น..อสุรกายเป็นภูมิที่แปลกมาก ไม่มีที่อยู่เฉพาะของตน จะอยู่ปน ๆ กับภูมิอื่น พวกที่ปนอยู่ในมนุษย์ก็มี อย่างพวกกระสือ กระหัง ปอบ ฯลฯ เป็นต้น

เถรี
18-09-2012, 12:40
ถาม : พวกนี้จะต้องรับโทษ ?
ตอบ : เขารับโทษหนักมาแล้ว อันนี้เป็นเศษกรรม แต่ถ้าเป็นพวกนิรยอสุรานั้น โทษหนักระดับ ๔ เท่าของอเวจีเลย ยังไม่ได้ยินว่ามีใครทำได้ขนาดนั้น ยกเว้นในคัมภีร์เภทธรรมติจักรศาสตร์ของทางด้านสันกฤต ก็คือฝ่ายมหายาน

เขากล่าวถึงการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๒ ของเถรวาทว่า เกิดจากความไม่เสมอกันของศีล เขาใช้คำว่าสีลสามัญญตา ก็คือภิกษุชาววัชชีอนุโลมศีลไป ๑๐ ข้อ ทำให้ท่านที่เคร่งครัดรับไม่ได้ ศีล ๑๐ ข้อ ก็คือ ภิกษุรับเงินและทองได้ เมื่อเอาเกลือมาผสมอาหารแล้วยังฉันเป็นยาวกาลิกได้ แต่ความจริงถ้าเอามาผสมกันแล้ว เขานับของที่อายุน้อยที่สุดก็ต้องเป็นอาหาร พอหมดหลังเที่ยงแล้วต้องประเคนใหม่ เมื่อเป็นอย่างนั้นท่านจึงต้องทำสังคายนาพระธรรมวินัย

แต่ฝ่ายมหายานที่เขาบันทึกเป็นภาษาสันกฤต เขาบอกว่า การสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๒ เกิดจากมติพระมหาเทวะ ๕ ประการ ตามประวัติพระมหาเทวะเป็นลูกพ่อค้า พ่อไปค้าขายต่างเมืองหลาย ๆ เดือนหรือเป็นปีกว่าจะกลับมา มหาเทวะโตเป็นหนุ่มขึ้นมาจึงเป็นชู้กับแม่ตัวเอง เมื่อพ่อกลับมา มหาเทวะกลัวพ่อจะรู้ก็เลยฆ่าพ่อ เป็นอนันตริยกรรมข้อที่ ๑

พอฆ่าพ่อแล้วจึงพาแม่หนีไปอยู่เมืองอื่น ไปเจอพระอรหันต์ที่เคยอยู่เมืองเดียวกับตัวเอง ท่านธุดงค์ไปที่นั่น มหาเทวะกลัวว่าพระอรหันต์จะเปิดโปงเรื่องของตัวเอง จึงฆ่าพระอรหันต์อีก คราวนี้ทำกรรมใหญ่ ๒ เรื่องติด ๆ กัน แม่คงจะด่าว่า ทำให้มหาเทวะโกรธก็เลยฆ่าแม่ด้วย พอทำกรรมหนัก ๓ อย่าง ตัวเองคงจะเครียดมาก จึงตัดสินใจบวชเป็นพระภิกษุ

เถรี
18-09-2012, 12:52
แต่ท่านเป็นคนเก่ง บวชเข้าไปไม่นานก็ศึกษาจนจบพระไตรปิฎก ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ประมาณจบประโยค ๙ พอมีลูกศิษย์มาก คนเชื่อถือเคารพมาก ท่านก็เกิดวิปลาสคือความเห็นผิดขึ้นมา เที่ยวไปพยากรณ์มรรคผลคนอื่น ลูกศิษย์ก็สงสัยไปถามพระอาจารย์ว่า "พระอาจารย์บอกว่าผมได้มรรคผลแล้ว ทำไมมีหัวข้อธรรมบางอย่างที่ผมยังขบคิดไม่เข้าใจ ?"

พระมหาเทวะบอกว่า พระอรหันต์ก็ยังมีอัญญาณ ก็คือสิ่งที่ไม่รู้ ลูกศิษย์บอกว่า "ถึงแม้จะมีสิ่งที่ไม่รู้ได้ แต่การบรรลุธรรมเป็นปัจจัตตังไม่ใช่หรือ ? ผมก็ควรรู้สิว่าผมบรรลุแล้ว" พระมหาเทวะก็เอ่ยถึงมติข้อที่ ๒ ว่า "พระอรหันต์ต้องมีอาจารย์พยากรณ์ให้ ถึงจะรู้ว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์"

คราวนี้ตัวเองไม่ได้เป็นพระอรหันต์ พอถึงเวลาไปเที่ยวพยากรณ์คนอื่นเขา เขาก็คิดว่าท่านเป็นพระอรหันต์ด้วย ปรากฏว่าวันหนึ่ง พระมหาเทวะนอนแล้วฝันเปียก ลูกศิษย์เอาผ้าสบงไปซัก เห็นเข้าก็สงสัยว่า "พระอาจารย์ยังฝันเปียกอยู่เลย จะเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร ?" พระมหาเทวะบอกว่า “พระอรหันต์ก็อาจจะโดนมารยั่วในความฝันได้” เป็นมติที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อย

พอโดนลูกศิษย์จี้หนักเข้า ท่านก็เครียด ท่านก็แอบไปบ่นว่า “อะโห ทุกขัง" ลูกศิษย์ดันได้ยินอีก จึงถามพระอาจารย์ว่า "เป็นพระอรหันต์แล้วยังทุกข์หรือ ?" ลูกศิษย์นี่สุดยอดจริง ๆ เลย พระมหาเทวะบอกว่า "บุคคลจะบรรลุอรหันต์ได้ต้องภาวนาว่า “อะโห..ทุกขัง” แก้ตัวไปน้ำขุ่น ๆ อีก

เถรี
18-09-2012, 13:09
กลายเป็นว่าทำให้ธรรมะของพระพุทธเจ้าเสื่อมลง เพราะว่าไปใช้มติที่เป็นอัตโนมติ ก็คือมติส่วนตัวหลายประการเข้ามาปนกับพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้า เท่ากับไปทำลายพระธรรมอีก

เพราะฉะนั้น..โอกาสที่จะลงโลกันต์ของท่านมีแน่นอน แต่คราวนี้คัมภีร์ทางเถรวาทไม่มีบันทึกไว้ ทางสันกฤตเขาบันทึกไว้ สาเหตุเรื่องการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๒ ก็เลยแตกเป็น ๒ ฝ่าย ที่แน่นอนก็คือการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๒ เมื่อพ.ศ. ๑๐๐ มีแน่ แต่สาเหตุที่สังคายนา เถรวาทกับมหายานกล่าวไม่ตรงกัน

ฉะนั้น..ถ้าพูดถึงนิรยอสุราหรืออสุรกายประเภทสัตว์นรกที่อยู่ในอเวจีมหานรก ไม่ใช่ว่าจะไปได้ง่าย ๆ เป็นเรื่องที่ไปยากเย็นเข็ญใจที่สุดเลย ต้องสร้างกรรมอย่างน้อย ๔ เท่าของอเวจีถึงจะลงไปได้ แต่ก็ยังอุตส่าห์ไปกันเยอะแยะ ต้องถือว่าเป็นความสามารถพิเศษที่เลียนแบบไม่ได้

ถาม : สร้างกรรมยากกว่าจะลงได้ ?
ตอบ : เป็นนรกขุมเดียวที่อาตมาตั้งใจไปดู เพราะยังไม่เคยลง ที่ไม่เคยลงไม่ใช่ชั่วไม่พอ..ชั่วเกินพอแต่ลงไม่ได้ เพราะว่าเคยปรารถนาพระโพธิญาณอยู่ กติกาของพุทธภูมิเขาห้ามเป็นอรูปพรหมกับห้ามลงโลกันต์ เพราะเวลายาวนานเกินไป เสียเวลาในการสร้างบารมี เพราะฉะนั้น..คุณชั่วขนาดไหนเขาก็เอาไปเผาในอเวจีแทน

เถรี
19-09-2012, 19:48
ถาม : พวกผีกระสือกระหัง เขาทำร้ายคนหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าเขาอดก็คงจะกินแหละ อาตมายังจะโดนจับกินเลย พอก้าวข้ามไปพวกเขากรูกันมาทั้งบ้านเลย แต่เขาก็มีกติกาเหมือนกับยักษ์ที่ได้รับพรจากท้าวเวสสุวรรณว่า ใครเข้าไปใต้ต้นไทรให้จับกินได้ ถ้าไม่ใช่วาระกรรมมาถึงจริง ๆ ก็คงไม่มีใครหลงเข้าไปตรงนั้นหรอก เขาก็ต้องนั่งรอไป หรือไม่ก็หลอกให้เข้าไป ปลอมเป็นสาวสวย ๆ นั่งอยู่ เดี๋ยวหนุ่ม ๆ ก็เข้าไปให้กินเอง

เราต้องนึกถึงว่าต้นไทร ต่อให้เป็นไทรในความทิพย์ปริมณฑลก็เพียงโยชน์เดียว เท่ากับว่าเขตหากินของเขาไม่ได้กว้างเลย ถ้าไม่ได้เข้าไปในร่มเงานั้นก็จับกินไม่ได้ด้วย แล้วตัวเองจะไปหากินได้อย่างไร ก็นั่งไส้กิ่วรอไปจนกว่าจะมีอะไรหลงมาสักตัวหนึ่ง

ถาม : ฝรั่งเขาจะเจอพวกผีไหมครับ ?
ตอบ : ทำไมจะไม่เจอ เขาโดนหลอกขนาดบันทึกหนังสือมาเป็นเล่ม ๆ ไปหาอ่านบ้างสิ จนกระทั่งทุกวันนี้บางแห่งก็ยังหลอกกันเป็นล่ำเป็นสันอยู่เลย สมัยก่อนมีหนังสืออยู่ฉบับหนึ่งเป็นนิตยสารรายเดือนชื่อโลกลี้ลับ เป็นหนังสือที่ดีมาก เพราะเขาบันทึกเรื่องพวกนี้เอาไว้ จะเป็นเรื่องของจานบิน มนุษย์ต่างดาว สัตว์แปลก ๆ เรื่องผีหลอกตามสารพัดมุมโลก ออกได้ไม่กี่ฉบับก็เลิกไป

ถาม : ฝรั่งเขาเห็นแบบเราหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เขาก็เห็นแบบเรานี่แหละ เห็นเป็นตัว ๆ เลย อาตมายังเก็บภาพพวกนี้เอาไว้ ที่เขาบอกว่าสุดยอดภาพผีของโลก เขาถ่ายรูปแล้วภาพติดชัด ๆ แต่ก็ยังเห็นของข้างหลังอยู่ด้วย เขาถึงได้รู้ว่าเป็นผี

ถาม : เวลาเราได้ยินเสียงหรือเห็นภาพราง ๆ จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นผีหรือเทวดา ?
ตอบ : พวกเราพอเสียงอะไรดังก็อกแก็กขึ้นมา ตั้งแต่สัมภเวสียันพระบนนิพพานเราก็เหมาว่าเป็นผีหมด ฉะนั้น..วิธีที่สุดก็คือถามเขา แบบเดียวกับที่อาตมาถาม เวลาไปบิณฑบาตแล้วไปเจอเขา ก็บอกว่า “หยุดใส่บาตรก่อน อย่าเพิ่งใส่..คุยกันก่อนซิว่าเป็นใคร ? มาจากไหน ?” ฉะนั้น..เราต้องถามเขา สงสัยแล้วอย่าปล่อยให้ผ่านไป

เถรี
19-09-2012, 20:08
ถาม : กำลังซ่อมบ้าน ช่างแนะนำให้ที่บ้านตัดริดต้นไทรบ้านร้างข้างบ้าน เพราะรกและพวกงูเงี้ยวเขี้ยวขออาศัยอยู่ คนงานปีนขึ้นไปจะตัดก็รีบกรูหนีกันออกมา บอกว่าเห็นเงาคนเดินออกมาจากต้นไม้ เราค่อนข้างแน่ใจว่าเป็นเทวดา ควรทำอย่างไร ?
ตอบ : จุดธูปขอขมาเขา แล้วขออนุญาตตัด อาจจะเจอเหตุการณ์แบบที่อาตมาเจอที่วัดท่าซุง ตรงโรงครัววัด ข้างทางเดินลงท่าน้ำเก่า มีต้นโพธิ์อยู่ต้นหนึ่งโตขนาด ๓ - ๔ โอบแล้ว กิ่งที่ยื่นออกไปมีน้ำหนักมาก ทับสายไฟจนสายไฟตึงจวนจะขาดอยู่แล้ว

อาตมาคิดว่า "ขืนปล่อยไว้แบบนี้สายไฟขาดแน่" จึงจุดธูปบอกกล่าว ขออนุญาตพ่อปู่แม่ย่าที่อาศัยอยู่ตรงนี้ ขอตัดกิ่งนั้นกิ่งหนึ่ง ว่าแล้วก็เหน็บมีดตะกายขึ้นไป แถมขู่เทวดาเสียด้วยว่า "อย่าให้ตกนะ ถ้าตกจะฟ้องหลวงพ่อด้วย..!"

ขึ้นไปถึงก็จัดแจงตัดทางปลายทิ้งก่อน เพราะว่าพวกกิ่งเล็กตัดง่าย เสร็จแล้วก็มานั่งที่โคนแล้วก็สับไป ๆ จนขาด แต่กิ่งไม่หล่น อาตมาคิดว่าอาจจะเป็นเพราะกิ่งข้างนั้นยังติดสายไฟอยู่ จึงค่อย ๆ ดันไปเรื่อย พ้นสายไฟแล้วก็ยังไม่หล่น ดันจนกระทั่งพ้นหลังคาหอฉันเก่า จึงร่วงตึงสนั่นเลย..!

วันนั้นน่าจะมีคนถ่ายรูปไว้ เห็น ๆ กับตาเลย อาตมาแค่ขู่เทวดาว่าถ้าตกจะฟ้องหลวงพ่อ หมายถึงตัวเองตก นี่ขนาดกิ่งไม้ยังไม่ยอมให้ตกเลย ไปเจอเด็กปากหมาอย่างอาตมาขู่เข้า ท่านคงมายืนค้ำกันอุตลุต

ถาม : ตัดต้นไม้ กิ่งไม้ ไม่ผิดพระวินัยหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าเราไม่ตัดโทษจะหนักกว่านั้น ถ้าอาตมาเองจะถือหลักนิติศาสตร์ว่า ผิดพระวินัย..กูไม่ตัด..ปล่อยวัดรกเป็นป่า แล้วใครจะเข้าวัดล่ะ ? แต่ถ้าเราทำความสะอาดวัด ถากถางดิบดี คนเห็นว่าวัดวาอารามสะอาดสะอ้าน เขาก็เข้าวัดมาทำบุญ

ทำสิ่งที่พระพุทธเจ้าห้ามแล้วไม่ผิด..ไม่มีหรอก แต่ในเมื่อทำแล้วมีสิ่งที่เป็นกุศลมีมากกว่า พวกหน้าด้านอย่างอาตมากล้าลงทุนกันทุกคน พวกประเภทที่มีข้ออ้างเยอะแล้วก็ไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้วัดรกไปหมด ต้นโพธิ์ขึ้นเต็มโบสถ์ยังไม่ยอมถอน..อย่างนั้นก็เจริญ..!

สมัยที่อยู่วัดท่าซุงถึงได้หัวเราะกัน เพราะบางทีที่ต้องเอารถไถไปไถในป่าร้อยไร่ราบไปเป็นไร่ ๆ เลย ไม่อย่างนั้นแล้วป่ารกมาก พวกงูเหลือมตัวโต ๆ นอนเป็นขอนไม้เลย แล้วมาปลงอาบัติแซวกันเล่น “พวกเรานี่..ถ้าพรากของเขียวไม่ถึงไร่..ไม่โดนอาบัติหรอก..!” เอามาล้อเล่นกันแก้เครียดเท่านั้น

เถรี
19-09-2012, 20:18
ถาม : มนุษย์ต่างดาวที่ฝรั่งจับได้นี่เป็นพวก.....หรือเปล่า ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าท่านกล่าวถึงโลกต่าง ๆ จักรวาลต่าง ๆ ไว้ชัดเจนมาก ท่านกล่าวว่าจักรวาลขนาดเล็กมี ๑,๐๐๐ โลกธาตุ จักรวาลขนาดกลางมี ๑๐๐,๐๐๐ โลกธาตุ จักรวาลขนาดใหญ่มีโลกธาตุประมาณไม่ได้ คำว่าประมาณไม่ได้ คือคนทั่วไปนับไม่ไหว พวกฝรั่งเพิ่งจะไปศึกษาว่ากาแล็กซี่นั้นมีกี่ดวงดาว กาแล็กซี่นี้มีกี่ดวงดาว ให้เขานับจนตาเหล่ไปเถอะ..!

พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้ละเอียดหมด ท่านบอกไว้ถึงระดับปรมาณู พวกเราตอนนี้เพิ่งจะมาค้นคว้าถึงกัน พระองค์ท่านบอกว่า

๑ รถเรณู เท่ากับ ๓๖ ตัชชารี
๑ ตัชชารี เท่ากับ ๓๖ อณู
๑ อณู เท่ากับ ๓๖ ปรมาณู

เห็นอัจฉริยภาพของพระองค์ท่านไหม ? ท่านบอกในสิ่งที่สมัยนั้นไม่มีเครื่องมือมาตรวจวัดเลย

สมัยนี้ก็เพิ่งจะยอมรับว่าอนุภาคมีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ท้ายสุดก็ไปลงหลักธรรมของพระพุทธเจ้าคือ อนิจจัง ความไม่เที่ยง เขาคิดว่าพอเข้าไปถึงแกนกลางของอนุภาค จะเจอพลังงานใดที่เสถียรไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งไม่จริง ท้ายสุดเขาก็เห็นว่าเกิดดับ ๆ อยู่ตลอดเวลา

ไอน์สไตน์ถึงได้เป็นคนแรกที่ยอมรับว่า ถ้ามีศาสนาสักศาสนาหนึ่งที่เป็นสากล และตัวเขาจะยอมรับได้ ก็เห็นมีแต่พระพุทธศาสนา คุณหมอสม สุจิรา ท่านถึงได้เขียนหนังสือเรื่องไอสไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น ไอน์สไตน์พบอะไร พระพุทธเจ้าเห็นมาแล้วทั้งนั้น

เถรี
19-09-2012, 20:26
ถาม : พระบรมรูปรัชกาลต่าง ๆ ที่วัดท่าซุง หลวงพ่อท่านสร้างไว้เพื่ออะไรครับ ?
ตอบ : หลวงพ่อท่านทำไว้ เพื่อที่วันสำคัญของทางราชการ จะได้เจริญพุทธมนต์อุทิศส่วนกุศลถวายไปให้ อย่างเช่นรัชกาลที่ ๖ ก็จะมีวันลูกเสือโลก

ช่วงนั้นจะเป็นงานเดียวที่อาตมาได้นั่งเหนือหลวงปู่หลวงตาที่พรรษามากกว่า ๒๐ - ๓๐ พรรษา เพราะว่าอาตมามีพัดยศ งานหลวงท่านนั่งตามลำดับพัดยศ ไม่นั่งตามลำดับพรรษา ฉะนั้น..ใครยศใหญ่กว่าต้องนั่งหน้า อาตมาต้องนั่งติดกับหลวงตาเจริญที่อาวุโสที่สุดในวัด หลวงตาเจริญต้องนั่งถัดจากอาตมาไป เพราะท่านไม่มีพัดยศ

เถรี
19-09-2012, 20:31
ช่วงนั้นจะมีเงินเดือนด้วย เพราะว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านตั้งฐานานุกรม แล้วท่านตั้งเงินเดือนให้ด้วย ความจริงเขาจะมีเงินเดือนเฉพาะพระครูสัญญาบัตรขึ้นไป ถ้าเป็นพระครูฐานานุกรมที่จะได้เงินเดือน ต้องเป็นพระครูปลัดของพระราชาคณะชั้นธรรมขึ้นไป หรือไม่ก็ต้องเป็นมหาเปรียญ ๙ ประโยค แต่พวกเราหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านตั้งเงินเดือนให้ ๒๖๐ บาท เทียบเท่าพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี

ตอนนั้นอย่าคิดว่าน้อยนะ หลวงพ่อท่านเป็นเจ้าคุณสามัญฝ่ายวิปัสสนาธุระ ต้องนั่งหน้าเจ้าคุณสามัญฝ่ายคันถธุระทั้งหมด เพราะพัดวิปัสสนาธุระนี่ใหญ่กว่า เงินเดือนหลวงพ่อได้เดือนละ ๔๔๐ บาท ส่วนเราได้ ๒๖๐ บาทเกินครึ่งของท่านเลย

ตอนนั้นสมเด็จพระสังฆราชเงินเดือนแค่ ๓,๐๐๐ บาท เพิ่งจะมาสมัยคุณทักษิณนี่แหละ ที่ปรับเงินเดือนขึ้นให้ แต่ว่าคุณทักษิณหลุดออกจากตำแหน่งเสียก่อน พระก็เลยได้เงินเดือนน้อย

ตอนนี้อาตมาไม่มีเงินเดือนตำแหน่งเจ้าอาวาส เพราะว่าเขาให้เงินเดือนพระครูสัญญาบัตร ๒,๕๐๐ บาทแทน เขาให้รับตำแหน่งเดียว ให้เลือกเอาว่าจะเอาอย่างไหน ระหว่าง ๑,๕๐๐ ของเจ้าอาวาส กับ ๒,๕๐๐ บาทของพระครูสัญญาบัตร

ถาม : การถวายปัจจัยพระแบบนี้..?
ตอบ : เขาเรียกว่านิตยภัต ในหลวงเป็นองค์ถวาย

เถรี
19-09-2012, 21:00
ถาม : มนุษย์ต่างดาวมาที่โลกเรา ?
ตอบ : เขามาตั้งนานเนกาเลแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังมาอยู่ เมื่อวานอาตมาเพิ่งจะคุยกันว่าฝรั่งไปดาวอังคาร ถ่ายรูปรองเท้ามา เขายังสงสัยจนทุกวันนี้ว่าใครไปถอดรองเท้าทิ้งไว้ที่ดาวอังคาร ?

ก้อนหินที่ยานอพอลโล่ ๑๑ เอามาจากดวงจันทร์ มีรูปหล่อโลหะ เป็นรูปมนุษย์มีปีก จนทุกวันนี้เขายังหาโลหะชนิดนั้นในโลกเราไม่ได้ จะว่าใครในโลกนี้จะเล่นตลก เอาไปโยนทิ้งไว้ให้คนอื่นหา..ก็ไม่ใช่หรอก อย่างพวกเราก็ใช้วิธีอวตาร ถอดจิตไป แต่เรื่องอวตารนี่ถอดจิตไปใส่คนอื่น เสียดายบวชมาแล้วไม่ได้ดูหนังดี ๆ เยอะเลย

เถรี
19-09-2012, 21:02
ถาม : การถอดจิต คือ การอวตารหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่...อวตารเป็นชื่อหนังวิทยาศาสตร์ เขาถอดจิตไปช่วยมนุษย์ต่างดาว

ความจริงการอวตารเป็นความเชื่อของทางฮินดู ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าจิตหนึ่งก็คือกายหนึ่ง ถ้าจะลงไปเกิดก็ต้องเอาไปทั้งหมดเลย ไม่ใช่ประเภทจิตอยู่ข้างบน แล้วอีกตัวหนึ่งไปอยู่ข้างล่าง แบ่งภาคกันไปอย่างนั้น นั่นเป็นความเชื่อ..ไม่ใช่ความจริง

อวตารอย่างแท้จริงก็เห็นจะมีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น เราพบพระองค์ท่านที่อื่น นั่นคือฉัพพรรณรังสีที่พระท่านเปล่งไป เหมือนไปปรากฏอยู่เฉพาะหน้า เป็นเนื้อเป็นหนังให้จับได้ต้องได้ ไม่แน่ใจก็คลำดูได้ แต่ถ้าจะเอาพระองค์จริงก็อยู่ที่พระนิพพานนั่นแหละ ไม่ได้ไปไหนหรอก เพราะฉะนั้น..ถ้าว่ากันตามหลักอวตารจริง ๆ ก็มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น หรือไม่ก็ต้องพระระดับพระจุลปันถกะ ใช้มโนมยิทธิถอดกายในมาเหมือนตัวเองทุกประการ ๑,๐๐๐ ร่าง ทำงานต่าง ๆ กันไป

ตอนแรกสาวใช้ของนางวิสาขาไปหาพระจุลปันถกะไม่เจอ เพราะว่ามีแต่พระเต็มลานวัด ถามว่าองค์ไหนพระจุลปันถกะ ทุกองค์ก็บอกว่าพระจุลปันถกะทั้งหมด พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า ไปตะโกนเรียกว่ารูปไหนคือพระจุลปันถกะ พระรูปไหนขานก่อนให้จับมือรูปนั้นไว้ พอสาวใช้วิ่งไปถามใหม่ รูปที่กวาดลานวัดอยู่บอกว่า “ข้าพเจ้าเอง” จึงคว้ามือเอาไว้ รูปอื่นก็หายไปหมด ตอนที่ไม่หายก็เป็นกายเนื้อเหมือนคนทั่ว ๆ ไปนี่เอง ทำงานได้ทุกอย่างเหมือนตัวจริงเลย

พระจุลปันถกะจึงได้เป็นเอตทัคคะด้านมโนมยิทธิ สามารถถอดกายในออกมาเหมือนตัวเองทุกประการได้ ๑,๐๐๐ ร่างพร้อม ๆ กัน พวกเราเองร่างเดียวยังคุมยากเลย

เถรี
19-09-2012, 21:12
ถาม : จิตไม่ได้อยู่ที่ร่างหรือคะ ?
ตอบ : ใช้อำนาจอภิญญาบังคับให้ทำงานได้ แต่สภาพจิตยังอยู่กับร่างเดิม เพราะฉะนั้น..เวลาเรียกก็จะขานเหมือนกัน แต่ร่างอื่นจะขานช้ากว่าหน่อยหนึ่ง ต้องคนช่างสังเกตถึงจะรู้

ถาม : มโนมยิทธิเป็นฤทธิ์จากกสิณ ?
ตอบ : มโนมยิทธิจัดอยู่ในวิกุพพนาฤทธิ์อยู่แล้ว แต่ว่าไม่ใช่ฤทธิ์จากกสิณ ถ้าฤทธิ์จากกสิณจะใช้อำนาจจากภูตกสิณบันดาลให้เป็น อย่างพวกดิน น้ำ ไฟ ลม สมัยนั้นเขาใช้กันเป็นปกติ ได้กันเยอะ แต่อำนาจของใจก็มีแต่พระจุลปันถกะที่ทำได้โดดเด่นที่สุด ท่านก็เลยได้เป็นเอตทัคคะ ก็คือยอดเยี่ยมกว่าผู้อื่น

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถึงได้เรียกมโนมยิทธิว่าอภิญญาเล็ก เพราะจัดอยู่ในส่วนของอภิญญาเหมือนกัน แต่อยู่ในหมวดมโนมยิทธิ มโนมัย + อิทธิ = ฤทธิ์ที่เกิดจากใจ หรือฤทธิ์ที่สำเร็จด้วยใจ

เถรี
20-09-2012, 21:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนไทยทุกคนต้องมีสำนึกความเป็นไทย ถึงจะรักษาเอาไว้ได้ เราลองไปดูประเทศเกาหลี ถึงแม้ว่าคนเกาหลีจะรับสิ่งที่เป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่หรือวัฒนธรรมต่างชาติมาอย่างไร เขาก็ยังคงวัฒนธรรมเกาหลีอยู่ และเข้มแข็งมากถึงขนาดส่งออกได้ด้วย ทุกวันนี้นักท่องเที่ยวไปประเทศเกาหลี ส่วนหนึ่งก็เพื่อดูวัฒนธรรมเกาหลีที่เกิดจากหนังที่เขาส่งไปฉายทั่วโลก

หรือไม่เราลองไปดูประเทศลาวที่ใกล้บ้านเรา ตอนนี้ฝรั่งเต็มบ้านเต็มเมือง แต่เขารักษาบ้านรักษาเมือง รักษาขนบธรรมเนียมประเพณีไว้ได้ ปฏิทินโฆษณาเบียร์ลาวไม่มีภาพวับ ๆ แวม ๆ แบบบ้านเราหรอก ใส่ชุดอย่างกับบ้านเราจะไปวัดกัน ฉะนั้น..เห็นวัฒนธรรมของเขาแล้ว ทำให้รู้ว่าบ้านเรารับมาโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ

ตอนนั้นอาตมาอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง น่าจะเป็นน้องป๊อบ อารียาเขียน เขาไปเที่ยวเกาะสมุยแล้วเห็นแต่ป้ายภาษาอังกฤษใหญ่ ๆ โต ๆ แทบไม่มีป้ายภาษาไทยเลย เขาบอกว่า “บุคคลที่ขาดความภูมิใจในภาษาพ่อภาษาแม่ของตัวเอง จะมีอาการอย่างนี้แหละ” ฝรั่งเขามาเมืองไทยเพราะเขาต้องการเห็นอะไรที่เป็นไทย ๆ เขาไม่ได้ต้องการเห็นความเจริญแบบต่างชาติ เพราะเขาหนีความเจริญมา แต่พวกเราดันไปเห่อต่างชาติ แล้วขนเอาความเจริญไปประเคนให้เขา แทนที่เขาจะชอบก็มีแต่จะเผ่นไปที่อื่นเท่านั้น"

เถรี
20-09-2012, 21:22
"ต้องบอกว่าพวกเราขาดจิตสำนึกในความเป็นไทย ก็คือไม่ได้รับการวางรากฐานมาให้ชื่นชมในภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ แบบที่เขาพูดง่าย ๆ หยาบ ๆ ว่า "เห็นฝรั่งเป็นพ่อ" ในเมื่อเห็นฝรั่งเป็นพ่อ อะไร ๆ ก็ต้องทำเพื่อเอาใจฝรั่ง หารู้ไม่ว่าฝรั่งเขามาเพื่อที่จะมาดูความเป็นไทยของเรา

อาตมามีลูกศิษย์อยู่ที่ภูเก็ต เขาทำโรงแรมอยู่ ๒ - ๓ แห่ง มีอยู่ที่หนึ่งมีห้องอยู่แค่ ๒๐ ห้อง แต่เป็นเรือนไทย มีสระน้ำเล็ก ๆ และก็มีสวนที่ค่อนข้างจะร่มเย็น ฝรั่งเช่าเต็มทั้งปีทั้งชาติเลย บางคนมาอยู่เป็นเดือน เขามาปรึกษาว่าจะสร้างใหม่เป็นอาคารสัก ๑๒๐ ห้องดีไหม ? อาตมาบอกว่า "ไม่ต้อง..เอาแค่ ๒๐ ห้องนี่แหละ บริหารให้ดีเอาไว้เป็นตัวเรียกแขก ถ้าใครเขาต้องการที่พักประเภททันสมัย คุณก็ส่งไปอีกโรงแรมหนึ่ง" เขามาเพราะเขาต้องการธรรมชาติ คุณดันไปเอาคอนกรีตให้เขาแล้วใครจะมาอีก

นายกเทศมนตรีนี่เอาใจฝรั่งสุด ๆ เลย พอเข้าป่าตองรถจะต้องวิ่งชิดขวาทุกคัน ถ้าคนขับไม่ชินจะชนคันอื่นเขา อาตมาต้องคอยเตือนสติคนขับว่า “ให้นึกว่าเรากำลังแซง” ไม่อย่างนั้นเผลอเข้าซ้ายไปก็ชนกับรถที่สวนมา"

เถรี
20-09-2012, 21:28
"สาเหตุที่น้องป๊อบรับราชการทหารต่อไม่ได้เพราะเขามีความคิดแบบอเมริกัน มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ท้ายสุดก็ต้องลาออก ขึ้นไปเป็นรองโฆษกกองทัพ ซึ่งความจริงตำแหน่งอย่างนี้เป็นตำแหน่งของพันเอกหรือพลตรี ตัวเองแค่ร้อยโทแต่ขึ้นไปถึงระดับนั้น

แต่พอถึงเวลางานนอก งานการกุศลอะไรเธอไม่รับ เลิกงานแล้วผู้บังคับบัญชาสั่งไม่ได้ ก็เลยทำให้ไปไม่รอด ธรรมเนียมไทยต่อให้เป็นเวลานอน ถ้าเป็นความต้องการของผู้บังคับบัญชา ก็ต้องลุกมาทำงานก่อน"

ถาม : คนไทยไม่ค่อยสนับสนุนผู้หญิงขึ้นตำแหน่งสูง
ตอบ : กว่าที่บ้านเราจะมีนายพลเป็นผู้หญิงก็ต้องต่อสู้กันมาตลอด เพิ่งจะมีเมื่อไม่กี่ปีนี่เอง ไม่อย่างนั้นผู้หญิงเต็มที่ก็แค่พันเอกพิเศษ อย่างสมเด็จย่าก็ติดยศพันเอกพิเศษจนกระทั่งสวรรคต แล้ว ตชด.ถวายตำแหน่งพลตำรวจเอกให้ เพิ่งจะมีสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ กับ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ขึ้นเป็นนายพลได้ ก็เลยเป็นอานิสงส์ให้ท่านอื่น ๆ ได้ตามไปด้วย

ต้องบอกว่าเป็นกุศโลบายที่ดีเยี่ยม พระองค์ท่านไปเป็นอาจารย์พิเศษสอนให้โรงเรียนนายร้อย จปร. เท่ากับว่าบรรดานายพันนายพลรุ่นหลัง ๆ เป็นลูกศิษย์ของพระองค์ท่านหมด ลูกศิษย์ไม่สนับสนุนอาจารย์แล้วจะไปสนับสนุนใคร ?

เถรี
20-09-2012, 21:40
ถาม : ตั้งศาลพระภูมิเจ้าที่จำเป็นไหม ?
ตอบ : ถามว่าจำเป็นไหม ? จำเป็นจ้ะ แต่ถ้าเป็นหมู่บ้านจัดสรรส่วนใหญ่จะมีศาลรวมอยู่แล้ว เราไปไหว้บูชาท่านตรงนั้นก็ได้

ถาม : ถ้าเป็นอาคารพาณิชย์ ?
ตอบ : ถ้าเป็นอาคารพาณิชย์ก็ตั้งศาลที่ดาดฟ้า หรือไม่ก็ที่ระเบียงเลย เพราะว่าที่ ๆ เหมาะสมกว่านั้นคงไม่มี การตั้งศาลเป็นการแสดงซึ่งความเคารพของเรา ถ้าเราทำด้วยตัวเองได้จะดี โดยเฉพาะบางแห่งซึ่งน้อยที่นัก จะมีเจ้าที่เป็นอากาศเทวดา

อากาศเทวดาท่านจะสงเคราะห์แค่ ๒ ปี ถ้าเรายังไม่ตั้งศาลแสดงซึ่งการยอมรับ ท่านก็จะปล่อยเรา ถึงเวลาก็ตัวใครตัวมัน แต่ถ้าเราตั้งศาลแสดงซึ่งการยอมรับท่าน เวลามีอะไรที่ไม่ดีมา ท่านก็จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาให้

ถาม : ตั้งสี่เสาหรือคะ ?
ตอบ : ตั้งเสาเดียวก็พอจ้ะ สี่เสานั้นเป็นอากาศเทวดา ถ้าเรารู้ว่าท่านอยู่ตรงนั้นจริง ๆ แล้วค่อยตั้ง ถ้าไม่รู้ก็เอาเสาเดียวเป็นหลักไว้ก่อน อย่างน้อยก็ให้รู้ว่าเราแสดงซึ่งความเคารพท่าน

ถาม : วันเวลาตั้งศาล ?
ตอบ : เวลาตั้งศาลส่วนใหญ่เขาใช้วันพฤหัสบดี ข้างขึ้น เดือนคู่ ก็คือเดือนยี่ เดือนสี่ เดือนหก เดือนแปดข้างขึ้น และเดือนสิบสองไปเลย เดือนแปดข้างแรมกับเดือนสิบ ซึ่งอยู่ในช่วงพรรษาเขาไม่นิยมตั้งศาลกัน ฤกษ์ตั้งศาลกับฤกษ์ลงเสาเอกเกือบจะเหมือนกัน ยกเว้นฤกษ์ลงเสาเอกซึ่งใช้วันศุกร์ แต่ก็เป็นข้างขึ้นเดือนคู่เหมือนกัน

เสาเอกบ้านวิริยบารมีบรรจุวัตถุมงคลไว้เพียบเลย อาตมาสละเสือสาลิกาหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ยไป ๑ ตัว พระรอดลำพูน เนื้อดำ ๑ องค์ เห็นมีคุณพีระเอาเสือหลวงพ่อเพี้ยน วัดเกริ่นกฐิน ใส่ลงไปอีกตัวหนึ่ง นอกนั้นอะไรบ้างก็ไม่รู้ มะรุมมะตุ้มใส่กัน สรุปว่าชุดพระเบญจภาคีของอาตมา ปัจจุบันนี้ขาดพระรอดไปองค์หนึ่ง เพราะไปอยู่ในเสาเอกเสียแล้ว

เถรี
20-09-2012, 21:55
ถาม : ถ้ามีคนมานินทาเรา เรารู้แล้วไปนินทาเขากลับ อย่างนี้ถือเป็นการแก้แค้นไหมคะ ?
ตอบ : อยู่ที่เจตนา ถ้าเราคิดเพื่อการสร้างสรรค์จริง ๆ ก็ไม่เป็นการแก้แค้น พูดง่าย ๆ ก็คือ ในเมื่อฉันใจกว้างพอที่จะฟังคำวิจารณ์ของคุณ คุณก็ต้องใจกว้างพอที่จะฟังคำวิจารณ์ของฉันด้วย ถ้าหากมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไป ตามที่เขาบอกว่าไม่ดีแล้วเราแก้ไขให้เป็นดี ก็เท่ากับว่าเราสร้างความเจริญให้กับตัวเอง เขาก็สร้างความเจริญให้กับตัวของเขาเอง

แต่ถ้าเราวิจารณ์เพราะตั้งใจว่า “มึงว่ากู..กูต้องเอาคืน” อย่างนั้นก็เป็นการแก้แค้นแน่ ๆ

เถรี
21-09-2012, 21:44
ถาม : ร่างกายคือตัวทำลายความอร่อย ความหิว พอเอาเข้าปากก็ไม่ได้อยากอีก ?
ตอบ : ในบทสวดชื่อธาตุปฏิกูลปัจเวกขณะ ที่ว่า "ยะถาปัจจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง.." ความจริงแล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มิได้มีความสกปรก สักแต่ว่าเป็นธาตุเท่านั้น แต่เมื่อได้สัมผัสกับร่างกายนี้จึงกลายเป็นของสกปรก อันนี้อยู่ในลักษณะพิจารณาให้เห็นความจริง

ถาม : ทำไมจากของที่ไม่ได้สกปรก แต่พอไปสัมผัสกับร่างกายจึงกลายเป็นของสกปรกคะ ช่วยขยายความด้วยค่ะ ?
ตอบ : ทำไมต้องไปขยายความ ? ไม่ซักผ้าสัก ๓ วันก็รู้เอง เวลาซักผ้าสะอาดแล้วก็สะอาดเลยใช่ไหม ? ที่ผ้ามาสกปรกใหม่เพราะเราเอามาใส่ ท่านให้พิจารณาทั้งอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นปกติก็เป็นเพียงธาตุ ๔ เท่านั้น แต่พอมาสัมผัสกับร่างกายของเราแล้ว เราก็ไปรังเกียจว่าสกปรก

เถรี
22-09-2012, 13:39
พระอาจารย์เล่าว่า "การปล่อยชีวิตสัตว์ที่พวกเราทำกันประจำทุกเดือน ส่วนใหญ่แม่ค้าเขาคอยถามว่า "ครั้งหน้าจะมาเมื่อไร ?" ถ้าบอกไปเขาก็จะเตรียมไว้ให้ ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ของเรา วัตถุประสงค์ของเราคือต้องการจะช่วยชีวิตเขา ถ้าเขาเตรียมไว้ให้ก็จะเป็นการสร้างความลำบากให้กับสัตว์โดยใช่เหตุ แล้วที่เขาเตรียมไว้ไม่ได้แปลว่าเขาขายเพื่อให้ฆ่า เขาเตรียมไว้เพื่อให้เราปล่อย เราจะไม่ได้อานิสงส์ในการต่อชีวิต จะได้แค่เมตตาบารมีเฉย ๆ

รู้สึกว่าจะเป็นเมตตากะพร่องกะแพร่งด้วย เพราะเขาอยู่ดี ๆ แล้วไปตีอวนมาให้เขาเดือดร้อน พระครูไพโรจน์ภัทรคุณ วัดสระพัง ปล่อยปลาที่ไรก็ใช้วิธีนี้แหละ อาตมาบอกท่านว่าให้ไปเหมาในตลาด ท่านว่าในตลาดมีน้อยไป สั่งให้เขาตีอวนมาทีหนึ่ง ๓ - ๔ ตัน ต้องบอกว่าพุทธภูมิก็เป็นแบบนั้นแหละ เอาจำนวนมากไว้ก่อนเพื่อต้องการบริวาร

นึกถึงหลวงปู่พระครูโวทานธรรมาจารย์ วัดดาวดึงสาวาส ปรมาจารย์นักเทศน์ ท่านเป็นอาจารย์สอนเทศน์ให้หลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านไปปล่อยปู ท่านบอกกับพวกปูว่า “ไอ้ปูอีปูเอ๊ย..ข้าจะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า ไม่ได้ต้องการพวกเอ็งไปเป็นบริวารหรอก ข้าเห็นพวกเอ็งลำบาก ข้าก็เลยเอาพวกเอ็งมาปล่อย เอ็งไปทางไหนได้ก็ไปตามทางของเอ็ง ไม่ต้องตามข้าไปหรอก” ถ้าขืนให้ปูไปเกิดตามท่าน ก็คงตามกันไม่หวาดไม่ไหว..เพราะอีกนานเหลือเกิน"

เถรี
22-09-2012, 13:52
"หลวงอามหาเวกตั้งใจจะเป็นนักเทศน์แบบหลวงพ่อวัดท่าซุง ไปอยู่วัดดาวดึงส์จนกระทั่งมรณภาพ แต่ว่าหลวงปู่พระครูโวฯ ท่านประกาศตนชัดว่าท่านเป็นพุทธภูมิ ปรารถนาพระโพธิญาณ ขนาดปล่อยปูยังบอกตรง ๆ เลยว่า "ข้าจะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้า..!"

เสียดายพระที่เป็นอัจฉริยะในการเทศน์แบบท่านหายาก สมัยนั้นพระนักเทศน์ทั่วประเทศไทยเป็นลูกศิษย์ของท่านกันหมด ตอนจัดงานศพตัวเอง ท่านบอกว่า “ถ้าข้าตายแล้วไม่ได้เห็น ข้าอยากจะเห็นตอนเป็น ๆ นี่แหละ” ว่าแล้วท่านก็จัดงานศพตัวเอง ลูกศิษย์มาช่วยงานกัน เอาผ้าไตรมาถวายคนละไตร ปัจจัยอีกคนละร้อยบาท เราต้องนึกถึงสมัยที่ก๋วยเตี๋ยว ๒ ชาม ราคา ๕ สตางค์ เงินร้อยหนึ่งบาทมีมูลค่าสูงมาก สมัยนี้น่าจะเหมือนกับถวายเงินเป็นแสน

ตอนจัดให้เทศน์ปรากฏว่าจัดไม่ลงตัว เพราะลูกศิษย์ที่มาเป็นนักเทศน์ระดับเซียนของพื้นที่กันทั้งนั้น ก็เลยมีเทศน์ ๕๐๐ ธรรมาสน์ มีครั้งเดียวในประเทศไทยและไม่มีอีกแล้ว ว่ากันคนละประโยคก็หมดไปเป็นวันแล้ว..!"

เถรี
22-09-2012, 14:00
"หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ความจริงหลวงปู่พระครูโวฯ ท่านรู้ว่าท่านหมดอายุ แต่งานยังมีอยู่ ก็เลยจัดงานศพตัวเองเป็นการสะเดาะเคราะห์ใหญ่ เวลาใครถามท่านก็บอกว่า “ข้าตายแล้วไม่ได้เห็น จัดตอนเป็นนี่แหละ จะได้รู้ว่าพวกเอ็งทำอะไรให้ข้าบ้าง”

ท่านเป็นองค์ที่หลวงพ่อเล่าให้ฟังตลก ๆ ว่า พอเสียงหวอขึ้นเป็นสัญญาณว่ามีเครื่องบินมาทิ้งระเบิด หลวงปู่ท่านเผ่นไปนอนอยู่กับชาวบ้านกลางทุ่ง พอเสียงหวอบอกว่าเครื่องบินผ่านไปแล้ว ชาวบ้านก็กลับขึ้นศาลา หลวงปู่พระครูโวฯ ก็เดินตุ้บตั้บมาพร้อมกับย่าม และคัมภีร์ที่ถือติดมือไปด้วย หลวงพ่อท่านยังนั่งอยู่บนธรรมาสน์ พอหลวงปู่ขึ้นมาถึงก็ใส่เลย “ตัวเองเป็นพระเป็นเจ้า สอนชาวบ้านเขาให้รู้จักมรณานุสติ จะได้ไม่กลัวความตาย แต่นี่วิ่งก่อนเลย”

หลวงปู่ท่านถามว่า “มึงว่าใครวะ ?” หลวงพ่อท่านก็ว่า “ไอ้คนไหนทำอย่างนั้น ก็ว่าคนนั้นแหละ” หลวงปู่ชี้หน้ามาบอกว่า “ไอ้ที่มึงว่าแสดงว่าไม่รู้นะสิ ว่ามึงน่ะอกตัญญู” ถามว่าอกตัญญูตรงไหน ? ท่านบอกว่า “มึงรู้ไหม กูนี่พระสงฆ์ ไอ้ที่ในมือกูถือนี่นะพระธรรม แล้วที่คอสวมพระเอาไว้ทั้งพวง นี่แหละพระพุทธ กูไปครบพระรัตนตรัย ตามไปคุ้มครองโยม มึงเสือกนั่งอยู่บนศาลา มึงนั่นแหละอกตัญญู” เป็นอาตมาก็ไปไม่เป็นแล้ว ท่านไปได้ลื่นเลย

พอเทศน์เสร็จหลวงพ่อเข้าไปกราบขอขมา “ขออภัยครับหลวงพ่อ ต้องเล่นครับ เพราะได้มุมพอดี” หลวงปู่ท่านบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอก รู้ท่าอยู่ว่าเอ็งเอาแน่” ต้องบอกว่าปฏิภาณท่านสุดยอดเลย ใส่ชนิดไม่ให้ตั้งหลัก ท่านยังไปได้ลื่น ๆ เลย"

เถรี
22-09-2012, 14:07
"องค์นี้แหละที่ตั้งนะโมฯ ขึ้นอุเทศแล้วชาวบ้านงง เขานิมนต์ท่านเทศน์กะทันหัน ท่านเพิ่งจะเทศน์วัดนี้แล้วเขานิมนต์ต่อเลย ท่านตั้งหลักไม่ทัน ไม่ได้เตรียมเรื่องเทศน์ไว้ ถึงเวลาท่านขึ้นธรรมาสน์ได้ก็ตั้งนะโมฯ เลย จากนั้นจึงขึ้นอุเทศไม่เหมือนใคร ท่านขึ้นว่า "รัตนะมาลา จะ การาจี เอสเอบี พาหุรัดสะโตติ" มีลงติ..ถูกต้องตามแบบเลยนะ แล้วท่านก็เทศน์ไปเรื่อย

โยมที่ฟังคิดว่าเป็นภาษาบาลี แต่ไม่ใช่หรอก รัตนมาลาเป็นร้านขายโคมไฟในสมัยนั้น การาจีเป็นร้านขายผ้าของแขกที่พาหุรัด เอสเอบีก็คือสี่แยก พาหุรัดสโตร์ก็เป็นร้านขายผ้าเหมือนกัน รู้สึกว่าเป็นอุเทศที่ไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขาอยู่อุเทศเดียว ตั้งหัวข้อตามสถานที่ซึ่งตัวเองผ่านไปเห็นเข้าพอดี"

เถรี
22-09-2012, 14:37
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดี๋ยวนี้ค่าเรียนของพระวัดท่าขนุน ทั้งปริญญาตรี โท เอก และบาลี เดือนหนึ่ง ๕๐,๐๐๐ - ๖๐,๐๐๐ บาท อาตมากำลังรอจังหวะเปิดกองทุนการศึกษา ตอนนี้เปิดบัญชีและใส่เงินไปเองแล้ว แต่ส่วนที่จะเปิดให้พวกเราทำบุญยังหาจังหวะไม่ได้ เพราะยังมีงานอื่นแทรก คงต้องรอให้หลังกฐินไปแล้ว

ใครต้องการพระกริ่งพิชัยสงครามให้เตรียมเงินไว้ อาตมาไปค้นเจอมีรุ่น ๒ (สีเงิน) อยู่ ๘๓ องค์ คิดหนึ่งหมื่นบาทเท่าเดิม จะเอาเข้ากองทุนการศึกษา ไปค้นเจอพระหลงอยู่ที่ห้องนอนที่เกาะพระฤๅษี ด้วยความที่เก็บไว้นาน กล่องชั้นนอกที่เป็นกระดาษติดกันเป็นแผงเลย เก็บนานไปหน่อย ตั้งแต่ปี ๒๕๔๔-๒๕๔๕ ประมาณ ๑๐ กว่าปีแล้ว เพิ่งจะรู้สึกว่าท่านสั่งให้สร้างเมื่อไม่นานนี้เอง

อาตมาไปพม่าหลายเที่ยวก็พกไปองค์เดียวนี่แหละ ที่ไม่พกพระอย่างอื่นไป เพราะว่าส่วนใหญ่โยมช่วยทำกรอบเป็นทองให้ ถ้าทหารพม่าค้นเจอแล้วสงสัยว่าทำไมรวยแท้ เดี๋ยวโดนยึด อาตมาก็เลยพกพระกริ่งพิชัยสงครามไปองค์เดียว ลุยไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำแล้ว"

"ที่ขำไม่ออกก็คือ พวกตำรวจทองผาภูมิเขาคิดว่าอาตมาพูดเล่น อาตมาบอกว่าราคา ๑,๐๐๐ บาทเฉพาะวันนี้ พอ ๖ โมงเย็นไปแล้วจะขึ้นเป็น ๑๐,๐๐๐ บาท พระท่านสั่งมาอย่างนั้น อาตมาก็ทำอย่างนั้น ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นตำรวจค่อยมา ควักเงินมา ๑,๐๐๐ บาทเพื่อบูชาพระกริ่งพิชัยสงคราม อาตมาบอกว่า “ไม่ทันกินแล้วเอ็ง ขึ้นไปเป็นหมื่นหนึ่งแล้วว่ะ..!” อยู่แค่หลังวัดแท้ ๆ ถ้าเดินขึ้นสะพานแขวนไปก็เป็นบ้านพักตำรวจแล้ว เลี้ยวขวาไปอีกไม่กี่ก้าวเป็นสถานีตำรวจ ดันมาช้าจนเจอของแพง..!"

เถรี
22-09-2012, 14:49
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครมีความรู้เกี่ยวกับราคาไข่มุกบ้าง ? เพราะมีโยมถวายไข่มุกสีทองมา ๗ - ๘ เม็ด ขนาดประมาณ ๑๘ มม. เห็นราคาแปะว่า ๕๐,๐๐๐ บาท เม็ดหนึ่งแพงขนาดนั้นเลยหรือ ? เขามีใบรับรองมาให้ด้วย

เคยมีคนส่งรูปแหล่งผลิตไข่มุกสีทองมาให้ดู เขาทำอย่างกับมีกองทัพส่วนตัวเลย เจ้าหน้าที่ติดอาวุธทุกคน เวลาไปต้องบินด้วยเฮลิคอปเตอร์ ห้ามเรือทุกชนิดเข้าไปในเขตพื้นที่ของเขา ไม่อย่างนั้นโดนยิงหมด

ระยะหลังไข่มุกเซ้าท์ซีของบ้านเรามีราคาสูง เพราะว่ามุกจีนกับญี่ปุ่นส่วนใหญ่เป็นมุกเลี้ยง และเขาใช้วัสดุใหญ่ เวลาหอยเคลือบมาจะมีน้ำมุกอยู่นิดเดียว ต้องบอกว่าคนเราอาศัยความเจ็บปวดทรมานของหอยมาเป็นอุตสาหกรรม ไข่มุกธรรมชาติเกิดจากเม็ดกรวดเม็ดทรายหลุดเข้าไปในเนื้อหอย พอหอยเจ็บหรือระคายเคืองก็ขับน้ำมุกออกมาเคลือบไว้ เพื่อที่จะไม่ให้ไปโดนเนื้อของตัวเอง ก็คงเหมือนกับแผลสด ๆ ไปโดนไม้เขี่ยอย่างนั้นแหละ พอเคลือบไปเพื่อรักษาตัว คนกลับเห็นว่าเป็นของสวย

คนที่คิดการผลิตมุกเลี้ยงออกมาได้ ต้องบอกว่าใจคอโหดมาก เพราะเขาต้องเอาพวกนี้ยัดเข้าไปในหอยทุกตัว"

เถรี
22-09-2012, 14:54
"พิพิธภัณฑ์ไข่มุกทะเลที่ภูเก็ตมีไข่มุกสีทองจากหอยสังข์ทะนานเม็ดใหญ่ที่สุดในโลก ประมาณไข่นกพิราบ วันนั้นอาตมาไปพอดีว่าฝนตก ที่นั่นจึงไม่มีคนเลย แล้วพระก็ดันเข้าฟรีอีก อาตมาก็เลยเข้าไปถ่ายรูปจนทั่วพิพิธภัณฑ์ ทั้ง ๆ ที่เข้าห้ามถ่ายนั่นแหละ

เขาเอาพวกหอยทะเลที่เป็นฟอสซิล ฟันปลาฉลามดึกดำบรรพ์มาจัดแสดงด้วย ซึ่งทำได้สวยมาก ถ้าเขาขุดมายาวสัก ๒ ฟุต เขาจะขัดแค่บางส่วนให้เงาขึ้น เพื่อให้เห็นว่าสวยแค่ไหน ส่วนที่เหลือก็ปล่อยเป็นธรรมชาติไว้ มีพวกฟอสซิลปลาดึกดำบรรพ์ด้วย

ถ้าพวกเรามีโอกาสก็เข้าไปดู เพราะของพวกนี้ไม่ใช่ว่าจะมีได้ทั่ว ๆ ไป พวกบรรดาเปลือกหอยต่าง ๆ เขาจัดไว้เป็นหมวดหมู่สวยงามมาก"

เถรี
22-09-2012, 15:00
"พวกพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ จริง ๆ แล้วเป็นตัวตนหรือจิตวิญญาณของท้องถิ่นนั้น เมื่อเจอที่ไหนก็ควรวิ่งใส่ที่นั่น แต่บ้านเราไม่นิยมเข้าพิพิธภัณฑ์กัน นิยมไปเดินห้างแทน

ต้องดูอย่างประเทศอังกฤษ บ้านเขาทันสมัยกว่าเราเยอะ โลกไซเบอร์พวกอินเตอร์เน็ตเขามีใช้กันแทบทุกคน แต่เด็ก ๆ ของเขาเข้าคิวกันยาวเป็น ๑๐๐ เมตรเพื่อจะเข้าห้องสมุด ต่างกับบ้านเรามากเลย บ้านเราเห็นหนังสือก็ปวดหัวแล้ว

ประเทศอังกฤษเอาหลักสูตรสอนสมาธิเข้าไปในระดับมหาวิทยาลัย ระดับวิทยาลัย เพราะเห็นว่าเป็นของดีมาก แต่บ้านเราเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ลดหลักสูตรสมาธิลง เพราะเขารู้สึกทุกข์ทรมานกว่าที่จะจบหลักสูตรได้ ต่างประเทศเขาเห็นประโยชน์แต่บ้านเรากลับไม่เห็นประโยชน์

การที่จะเก็บรากเหง้าของตัวเองเอาไว้ให้คนรุ่นต่อไปได้รู้ได้เห็น อย่างพิพิธภัณฑ์จ่าทวี พิพิธภัณฑ์พระพุทธรูปของกำนันมานะก็ดี เขาต้องอาศัยกำลังของตัวเอง พอไม่ไหวจะของบประมาณจากทางราชการช่วยก็ไม่มี ต้องระดับพิพิธภัณฑ์ของคิงส์เพาเวอร์ ถ้าอย่างนั้นก็ทำไปเถอะ เขามีเงินนี่...

มีพิพิธภัณฑ์พระที่อยู่ระหว่างแม่จันกับเชียงแสน เป็นพิพิธภัณฑ์พระเหมือนกัน แต่ที่นั่นแอบถ่ายรูปไม่ได้ เพราะเขาส่งเจ้าหน้าที่ตามประกบเลย อธิบายให้ฟังไปด้วย จนกระทั่งบางทีอาตมารำคาญ ต้องบอกเขาว่า “อีหนูดูเสียใหม่..ที่เธอว่ามานั่นไม่ใช่ พระยุคสุโขทัยต้องเป็นอย่างนี้ ที่เธอว่ามาเป็นยุคต้นอยุธยา ยังติดแบบสุโขทัยมา แล้วเธอก็ไปเหมาว่าเป็นสุโขทัย ลองดูดี ๆ สิว่าจริงอย่างที่อาตมาว่าไหม ?” เขาต้องยอมรับเพราะอาตมารู้มากกว่า

พุทธศิลป์บางทีก็คาบเกี่ยวกัน พุทธศิลป์ที่คาบเกี่ยวกัน อย่างเช่นปลายสุโขทัยต้นอยุธยา หรือไม่ก็ปลายเชียงแสนต้นสุโขทัย ในเมื่อพุทธศิลป์คาบเกี่ยวกันนี่สายตาต้องถึง ถ้าไม่ถึงก็ดูไม่ออก"

เถรี
24-09-2012, 19:40
ถาม : นิมิตที่เห็น สงสัยว่าเป็นแก้วใช่ไหม ?
ตอบ : ต้องถามว่านิมิตอะไร ? ถ้านิมิตคือภาพที่เห็นทั่วไป เราจะเห็นอย่างไรก็ได้ แต่ถ้าเป็นนิมิตกสิณ ขึ้นอยู่กับลำดับของการปฏิบัติว่าอยู่ขั้นไหน ถ้าขั้นต้นไม่มีทางที่จะเป็นแก้วได้อยู่แล้ว

ถาม : ออกไปแบบมโนมยิทธิ เวลาฟังควรจะวางจิตอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าออกไปแบบมโนมยิทธิได้ก็จะฟังออกทุกภาษา นี่แสดงว่ายังไม่ได้ไปจริง..!

เถรี
24-09-2012, 19:44
ถาม : ควรออกรถสีอะไรคะ ?
ตอบ : ถ้าตามตำราหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่าออกรถได้ไม่จำกัดสี ให้เว้นสีดำสีเดียว คนสมัยนี้ชอบสีดำ แต่หลวงพ่อท่านว่าเป็นการไว้ทุกข์ให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัว ท่านให้ออกรถวันพฤหัสบดี เอาไปไว้ที่บ้าน แล้วไปประเดิมใช้วันอาทิตย์ หรือออกรถวันอาทิตย์ แล้วไปประเดิมใช้วันพฤหัสบดี

เถรี
24-09-2012, 20:00
พระอาจารย์กล่าวว่า "เทคโนโลยีในสมัยนี้ โดยเฉพาะดาวเทียม ช่วยให้รู้สภาพได้ดีมาก แต่เขาไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์กัน ระบบต่าง ๆ ที่ติดตั้งเอาไว้ แค่เปลี่ยนรัฐบาลก็จะโดนทิ้งทันที ไม่มีการสานต่อ เพราะเหมือนกับไปทำตามรัฐบาลเก่า ก็เลยทำให้บ้านเราประสบความสูญเปล่าไปมากต่อมากด้วยกัน

บ้านเรานักการเมืองยังขาดจิตสำนึกสาธารณะมากมาย ส่วนใหญ่ยังทำเพื่อพวกพ้องและตัวกูเอง เราจะไม่เห็นนักการเมืองบ้านเราค้านแบบสร้างสรรค์ แต่เขาจะค้านทุกเรื่อง ไม่มีอะไรให้ค้านมากุข่าวเล่นก็ยังเอา ขอเพียงชาวบ้านเชื่อเท่านั้น ฉะนั้น..ในเรื่องของคะแนนเสียงเกิดจากอารมณ์มากกว่าความจริง ขอเพียงทำให้ชาวบ้านมีอารมณ์ร่วมและเชื่อว่าสิ่งที่เขาทำนั้นใช่ เขาจะแห่ตามเลย

เราจะเห็นว่าคนแค่ไม่กี่คนทำให้ประเทศชาติแตกแยกวุ่นวายจนทุกวันนี้ เพราะสิ่งที่กรอกหูชาวบ้านอยู่หลาย ๆ เดือนจนกระทั่งเป็นปี กลายเป็นสารพัดข้อมูลที่สับสน จริงบ้างโกหกบ้าง โดยเฉพาะการขยายข้อมูลจนเกินจริง ทำให้คนส่วนหนึ่งเชื่อและคล้อยตามไป ทำให้เกิดความเกลียดชังอีกฝ่ายหนึ่ง

โดยเขาลืมไปว่าบุคคลที่รับภาระหนักที่สุดก็คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ว่าเขาจะทะเลาะกัน ตีกัน ฆ่ากันขนาดไหน ก็เป็นพสกนิกรของพระองค์ท่าน พวกเขาคือลูกที่พ่อต้องปกป้องดูแลทุกคน แต่ลูกไม่เคยสำนึกตัว เอาไฟเผาบ้านมากี่ครั้งแล้ว ? พ่อต้องดับไฟมากี่ครั้งแล้ว ? เขาไม่เคยคิด มีแต่แหย่ไฟเข้าไป เผาบ้านต่อไป..!

ถ้าพ่อไม่มีปัญญาลุกขึ้นมาดับไฟวันไหน แล้วเขาจะมีปัญญาดับเองหรือ ? ไปนึกถึงที่บางคนพูดเล่น แต่น่าจะเป็นจริงว่า ประเทศไทยมีดีทุกอย่าง แต่เสียอย่างเดียวที่มีคนไทยอยู่ ถ้าเอาคนไทยออกไปได้ ประเทศชาติจะเจริญ..!"

เถรี
24-09-2012, 20:13
"บ้านเราเมืองเราไม่ว่าจะยุ่งยาก วุ่นวาย ห่วยแตกอย่างไรก็ตาม ถ้าเราไม่ใส่ใจเรื่องข่าวคราวโลกภายนอกมากนัก เราก็อยู่อย่างมีความสุข ถ้าเราไปใส่ใจเรื่องราวภายนอก มีสปิริตสูง มีความรับผิดชอบสูง เราก็จะเครียด

ถ้าหากทุกคนมีความรับผิดชอบสูงอย่างที่ว่า ก็แค่ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด แต่ส่วนใหญ่แล้วเราจะลืมไป มักจะไปมองหน้าที่ของคนอื่น คนอื่นทำได้ไม่ดี เราก็ไปเครียดแทนเขา"

เถรี
24-09-2012, 20:19
ถาม : เขาตายแล้วมาคุยกับผม ?
ตอบ : วันแรกที่เขาตาย อาตมาอยู่ที่ภูเก็ต เขาไปบอกยันในห้องน้ำเลย อาตมาบอกว่า "เอ็งมีมารยาทหน่อยสิวะ เป็นผีแล้วยังนิสัยเสียอีก พระกำลังสรงน้ำอยู่ เสือกโผล่มาบอก..!" เขาเป็นห่วงลูก มาบอกว่าฝากลูกฝากเมียด้วย อาตมารับฝากไม่ได้หรอก เพราะว่าพ่อตาแม่ยายเขารับผิดชอบแทนอยู่แล้ว ...(หัวเราะ)...

เถรี
24-09-2012, 23:01
พระอาจารย์นำพระสมเด็จพิมพ์ไกเซอร์ แกะจากหินพระธาตุเขาสามร้อยยอด มาให้บูชาร่วมบุญกฐินที่บ้านวิริยบารมี "มีใครได้พิมพ์ไกเซอร์ไปบ้างไหม ? พิมพ์ไกเซอร์คือพิมพ์ที่หัวโต หูยาน ไม่มีเกศ เป็นพิมพ์ที่หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดระฆัง ถวายรัชกาลที่ ๕ ตอนที่เสด็จไปยุโรป พระองค์ท่านพกเอาไว้ในกระเป๋าฉลองพระองค์ พระเจ้าไกเซอร์ตรัสว่าเห็นแสงอะไรออกมาจากกระเป๋า แสดงว่าพระองค์ก็เป็นคนมีบุญมากนะถึงได้เห็น

เขาก็เลยเรียกพระสมเด็จพิมพ์นั้นว่า พิมพ์ไกเซอร์มาตลอด เพราะได้รับการรับรองคุณภาพจากพระเจ้าไกเซอร์เอง"

http://sphotos-f.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash4/304485_472414456132297_623422096_n.jpg

เถรี
24-09-2012, 23:09
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงพวกหนังสือหนังหาสมัยก่อนเขาเขียนลงสมุดข่อย เขาก็เลยเรียกว่าสมุด เมื่อเรียกสมุดกันจนเคยชิน ห้องเก็บหนังสือก็เลยกลายเป็นห้องสมุด (library) พวกเราอาจจะสงสัยว่า ทำไมห้องเก็บหนังสือถึงเรียกว่าห้องสมุด ? เพราะเคยชินจากการที่เราใช้สมุดข่อยสมุดไทยในการจารึกตัวอักษรแล้วเก็บไว้ ก็เลยกลายเป็นห้องสมุด ทุกวันนี้ก็ยังคงเป็นห้องสมุด ไม่ยอมเปลี่ยนเป็นห้องหนังสือ"

"ส่วนคำว่าหนังสือ มาจากการจารึกลายสือ (ตัวอักษร) ลงบนแผ่นหนัง ส่วนมากใช้ในการส่งข่าวยามศึกยามสงคราม ต้องจารึกลงบนแผ่นหนังเพื่อความทนทาน จนกลายเป็นคำว่าหนังสือ คือลายสือที่จารึกลงบนแผ่นหนัง นี่ก็ไม่ยอมเปลี่ยนมาจนบัดนี้เช่นกัน"

เถรี
26-09-2012, 08:02
มีโยมเอาพระเศรษฐีนวโกฏิมาถวายพระอาจารย์ ท่านกล่าวว่า "คนสร้างพระพุทธรูปไม่ได้คิดเลยว่าสร้างออกมาแล้วจะเป็นอย่างไร เขาเรียกว่าพระเศรษฐีนวโกฏิ แต่ละใบหน้าเขาถือว่าทำแทนมหาเศรษฐีในพุทธกาลคนหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่สมควรที่จะทำเป็นพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า

ต้องบอกว่านี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่เขาพยายามจะฉีกแนวออกไปไม่ให้เหมือนใคร เขาลืมไปว่าทำแล้วออกไปทางเทพเจ้าของฮินดูแทน ถ้าไปถึงวัดท่าขนุนนี่อาตมาเก็บเข้ากรุอย่างเดียว ไม่ให้โผล่มาให้ชาวบ้านเห็นเลย บางคนเขาไม่รู้ว่าอะไรสมควร อะไรไม่สมควร ต้องบอกว่าแนวความคิดดี แต่ขาดสติสัมปชัญญะไปหน่อย"

เถรี
26-09-2012, 08:06
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยเด็ก ๆ ถ้าผู้ใหญ่เอาลูกหมาตัวใหม่มา เขาจะเอาไปไหว้หมาตัวเก่าก่อน หมาตัวเก่าจะได้ยอมรับ แต่ความจริงไม่ใช่หรอก พอยกขาไหว้หมาตัวเก่าก็ดมกลิ่น จำได้ว่าเจ้าตัวนี้เจ้านายพามา หมาเก่าจึงรับได้ หมาเขาจะเห็นเจ้าของเป็นจ่าฝูง ถ้าจ่าฝูงพาตัวใหม่เข้ามาเขารับได้ แต่ถ้ามาเองก็โดนกัดกระจาย..!"

เถรี
26-09-2012, 08:15
พระอาจารย์เล่าว่า "เคยมีนักเลงสมัยก่อนอยู่คนหนึ่ง เป็นผู้กว้างขวาง มีเพื่อนฝูงมาก ใครโดนรังแกมาก็ช่วยคุ้มครองป้องกันเขา ไม่เหมือนกับนักเลงสมัยนี้ ที่ตีหัวหมาด่าแม่เจ๊กไปทั่ว นักเลงคนนี้แขวนพระปิดตาหลวงปู่ทับ วัดทอง แล้วหนังเหนียว ใครทำอะไรเขาไม่ได้ จะดวลปืนดวลมีดก็ไม่ไม่ได้กินเลือดเขา

วันนั้นมีคนมาขอดูพระ ด้วยความพาซื่อจึงให้เขาดู พอเขากระตุกหลุดจากคอ เขาชักปืนยิงเลย..นั่นเสียท่าเขา ที่เล่ามาก็เพราะเห็นพวกเราถอดพระให้คนอื่นเขาดูทั้งพวงเลย ถ้าเจอคนแปลกหน้ามาขอดู ให้ระวังไว้บ้าง"

เถรี
26-09-2012, 08:34
ถาม : เรื่องการเกิดขึ้นใหม่ของดวงจิต ?
ตอบ : "พระพุทธเจ้าไม่ได้กล่าวถึง พระองค์ท่านบอกว่าผู้ที่คิดมีส่วนของความเป็นบ้า จริง ๆ ก็คือถ้าไม่มีอะไรจะทำแล้ว ก็พอศึกษาเพื่อรู้ได้ แต่ถ้ายังมีเรื่องอื่นทำอยู่ แล้วมัวไปคิด เราจะไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะมีแต่ความฟุ้งซ่าน

อาตมาเคยอธิบายไปหลายครั้งแล้ว ขี้เกียจพูดใหม่ เพราะดันไปอธิบายในสิ่งที่พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ควรคิด แต่ศาสนาของเราในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่ฝรั่งเขาต้องการคำอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งผิดตั้งแต่แรกแล้ว เพราะพระพุทธศาสนาไม่ใช่วิทยาศาสตร์ แต่เป็นจิตศาสตร์ มาผิดช่องตั้งแต่แรก ก็เลยพิสูจน์ได้ไม่ชัดเีสียที"

เถรี
26-09-2012, 08:50
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนเวลาเราต้องการไปหาใคร แค่รู้ว่าเขาอยู่ตำบลไหน หมู่บ้านไหน ไปถึงก็ไปถามหา ถามคนบ้านเดียวกันเขาบอกได้หมด บอกได้ขนาดว่าเป็นลูกใครหลานใคร สมัยนี้ต่างจังหวัดยังพอพึ่งพาอาศัยได้ แต่ในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่แล้วประตูรั้วติดกันก็ไม่รู้จักกัน

ยิ่งมายุคนี้ยิ่งหนักขึ้น เพราะแต่ละคนจะก้มอยู่กับไอแพ็ดหรือแบล็กเบอร์รี่ในมือตัวเอง แล้วก็หันหลังให้กัน ส่งข้อความถึงกัน ไม่รู้จักกันสักที แทนที่จะดีขึ้นก็มีแต่อาการหนักขึ้น แล้วอีกอย่างก็คือ ความเจริญที่เข้ามา ทำให้คนเดินทางได้สะดวกขึ้น ดังนั้นบุคคลที่อาศัยในพื้นที่มักจะเป็นคนที่มาใหม่ ไม่ใช่บุคคลที่อยู่กันมานาน ๆ เมื่อไม่ได้อยู่กันมานาน ๆ ก็ไม่สามารถที่จะสืบสาวประวัติได้เหมือนก่อน

ก่อนนี้พอตั้งรกรากลงไปก็อยู่กันไปชั่วลูกชั่วหลาน สมัยนี้ย้ายที่อยู่กันเป็นว่าเล่น อย่างที่มีคนเขาบอกว่า "อ๋อ..มหาวีระนะหรือ ? อยู่ใกล้บ้านผมเอง" หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า "ถ้าได้ยินอย่างนั้น อย่าไปเชื่อโคตรแม่มันนะ..!" อาตมากราบเรียนถามว่า "ทำไมครับ ?" ท่านบอกว่า "ตำบลสาลี พี่น้องทางพ่อ ๖ คน ครองที่ดินเกือบทั้งตำบล แล้วเขาจะมาสร้างบ้านใกล้บ้านข้าได้อย่างไร ? " ก็แปลว่า คนที่จะอยู่ใกล้ต้องเป็นญาติกันจริง ๆ ไม่ใช่มาหลับหูหลับตาโม้ว่าอยู่ข้างบ้านผมเอง แล้วเราก็ไปเชื่อ"

เถรี
26-09-2012, 08:59
"เหมือนกับสมัยนี้ที่เกจิอาจารย์หลายท่านบอกว่าศึกษามาจากหลวงปู่ปาน อาตมาได้ยินแล้วก็ทึ่ง หลวงปู่ปานมรณภาพปี ๒๔๘๑ มาถึงตอนนี้ก็ ๗๔ ปีแล้ว ถ้าเกจิอาจารย์ท่านนั้นอายุ ๗๔ ปี ก็แปลว่า ตอนที่หลวงปู่ปานมรณภาพเขาเพิ่งจะเกิด แล้วจะไปเรียนวิชาได้อย่างไร ? แต่คราวนี้คนอื่นเขาไม่ค่อยแม่นเรื่องตัวเลขเหมือนอาตมา พอเขาได้ฟังว่าเรียนวิชาจากหลวงปู่ปาน ก็ให้ความเคารพเลื่อมใสว่าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ปาน

หลวงปู่ปานท่านมรณภาพไวไปหน่อย ถ้ามรณภาพช้า อยู่นานแบบหลวงปู่จงนี่เป็นเรื่องแน่เลย เพราะจะดังกว่านี้อีกหลายเท่า หลวงปู่ปานมรณภาพแล้วหลวงปู่จงอยู่มาอีก ๓๐ กว่าปี หลวงปู่จงมรณภาพตอนอาตมา ๖ - ๗ ขวบแล้ว

หลวงปู่จงท่านแข็งแรงมาก สมัยก่อนเวลามีกิจนิมนต์ส่วนใหญ่ท่านเดินข้ามทุ่งข้ามจังหวัดกัน ด้วยความที่เมตตา ใครนิมนต์ที่ไหนก็ไป บางทีหายไปจากวัดตั้งครึ่งค่อนปี ชาวบ้านต้องเอาเกวียนออกตามหา นิมนต์ให้กลับวัดเสียที"

เถรี
26-09-2012, 09:07
ถาม : กรณีที่เรา..... คิดให้อภัยทานเขาและขอขมาเขา ถือว่าเราทำผิดไหมครับ ?
ตอบ : ผิดตั้งแต่แรกแล้ว ถึงคุณจะตั้งใจอย่างไร ถ้ากรรมนั้นก็ยังไม่หมด แรงกรรมก็ยังส่งไปเรื่อย มีอยู่ทางเดียวคือวางอุเบกขา สงเคราะห์ได้ก็สงเคราะห์ สงเคราะห์ไม่ได้ก็ปล่อยไป ยกเว้นว่าคุณจะไปทำพิธีขออโหสิกรรมซึ่งหน้ากัน ถ้าเขาเอ่ยปากอโหสิแล้วกรรมถึงจะขาดลง ถ้ากระแสกรรมยังไม่ขาด กรรมนั้นก็ตามส่งผลไปเรื่อย

เถรี
26-09-2012, 10:20
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีคนได้พระเครื่องของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ไป (พระผงพรายกุมาร) เห็นหลวงปู่ท่านบอกว่าเป็นเมตตามหานิยม พอออกจากวัดเดินสวนกับแม่ลูกอ่อน ก็ลองขอลูกเขา ปรากฏว่าแม่ยกลูกให้เลย ตั้งแต่นั้นมาเขาจึงไม่กล้าใช้อีก"

เถรี
27-09-2012, 12:56
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าเป็นสมัยนี้ กองอาทมาตก็คือทหารรักษาพระองค์ แต่ทหารรักษาพระองค์สมัยก่อนจะใกล้ชิดพระองค์จริง ๆ ถ้าออกรบก็ต้องล้อมองค์เหนือหัวไว้เลย

สมัยนั้นถ้าไม่ได้รับพระบรมราชานุญาต จะไม่สามารถพกอาวุธได้ หน่วยนี้ก็เลยต้องฝึกวิชามือเปล่าสู้อาวุธ ซึ่งตอนหลังก็ดัดแปลงไปเป็นพาหุยุทธ์ ก็คือต้นตำรับมวยไทยโบราณ เราไม่ได้พกอาวุธแต่ผู้ที่จะลอบปลงพระชนม์เขาไม่ฟังหรอก ถ้าเขาบุกเข้ามาถึงก็ต้องต่อต้าน จึงต้องฝึกวิชามือเปล่าสู้อาวุธ"

เถรี
27-09-2012, 13:16
ถาม : มนุษย์ต่างดาวเขามีโอกาสบรรลุมรรคผลไหมคะ ?
ตอบ : บรรลุยากกว่ามาก มนุษย์ต่างดาวส่วนใหญ่มีอายุยืน และเทคโนโลยีช่วยให้ความสุขสบายของเขามีมากกว่า ในเมื่ออายุยืน พอไปบอกว่าอนิจจัง ไม่เที่ยง เขาก็เห็นไม่ชัด ไปบอกเขาว่าทุกข์ สิ่งบำรุงบำเรอความสุขทุกอย่างเขามีหมด อยากได้อะไรก็ไปหาจากเครื่อง

ตอนสมัยวัยรุ่น อาตมานั่งคิดว่าบ้านเราเมืองเราทำไมไม่มีคนคิดค้นเครื่องมือทำหญ้าให้เป็นนม จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปเลี้ยงวัว ปรากฏว่าต่างดาวเขาทำได้จริง ๆ ความคิดของอาตมาก็คือ เอาหญ้าบดเข้าไปในห้องเครื่องห้องหนึ่ง แล้วหญ้านั้นก็ไปผสมกับเชื้อจุลินทรีย์บางอย่าง ผ่านการกลั่นออกมาเป็นน้ำนม ปรากฏว่าต่างดาวเขาทำได้จริง ๆ

ต้องยอมรับว่าเขาแน่ แล้วเขาทำมากกว่าที่อาตมาคิดด้วย เขาเปลี่ยนโปรตีนพืชเป็นโปรตีนสัตว์ ถึงเวลาอยากกินเนื้อสัตว์อะไร ตั้งโปรแกรมเสร็จก็เอาผักเอาหญ้ายัดเข้าไปในเครื่อง เครื่องก็ทำออกมาเอง ต้นอะไรก็ได้ขอให้มีวัตถุดิบยัดเข้าไปเดี๋ยวก็เครื่องจัดการให้

ในเมื่อเขาสะดวกสบายขนาดนั้น ก็เลยไม่รู้ว่าทุกข์คืออะไร และมีอายุยืนอีกต่างหาก อายุยืนเป็นหมื่นปี พระพุทธเจ้าท่านเลือกลงมาตรัสรู้ที่โลกของเรา นับว่าเป็นสุดยอดบุญของพวกเราแล้ว ไม่อย่างนั้นไม่รู้เกิดอีกเท่าไรกว่าจะได้เจอ ถ้าหลงไปเกิดที่ดาวอื่นก็ไม่ได้พบ หรือจะมีโอกาสพบก็เข้าถึงธรรมได้ยาก เพราะว่ามองเห็นธรรมไม่ชัด ขนาดเราอยู่ในโลกของเรานี่ทุกข์อย่าบอกใครเลย เกิด ๆ ตาย ๆ ให้เห็นอยู่ทุกวัน เรายังไม่ค่อยจะเชื่อเลย

ถาม : แล้วพระอรหันต์ท่านไม่ไปสอนที่ดาวดวงอื่นบ้างหรือคะ ?
ตอบ : ก็ไป..พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์สาวกสำคัญ ๆ ก็ดี ไปสงเคราะห์เขาเช่นกัน ถ้าคนได้มโนยิทธิถอดจิตไปเที่ยวดาวดวงอื่นอาจจะได้เฝ้าพระพุทธเจ้าที่กำลังเทศน์อยู่ด้วย

เถรี
27-09-2012, 13:34
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาเคยเมายาครั้งหนึ่งนาน ๓๐ กว่าวัน พอใกล้จะหายจึงเห็นนิมิตว่า สมัยออกรบเอาเหล้าไปกรอกช้างซะหลายไห เพื่อให้ช้างดุเดือดหน่อย จะได้ปะทะข้าศึกได้ ถ้าช้างเมาแล้วมักจะมุทะลุ ไม่ค่อยกลัวใคร กรรมนั้นก็เลยเล่นเอาอาตมาเมาไปเดือนกว่า

การที่รู้เห็นว่าตัวเองทำอะไรมา ตอนนี้ตัวเองต้องรับอะไร ก็เลยทำให้รับได้ว่า “อ๋อ..ที่แท้เป็นเพราะเราไปทำเอาไว้เอง”

เถรี
27-09-2012, 14:01
ถาม : พุทธภูมิต้องเกิดอีกนานหรือครับ ?
ตอบ : นานจนนับไม่ถูก..ยิ่งเกิดนานยิ่งทุกข์มาก เพราะฉะนั้น..ปัญญาธิกะถือว่าท่านฉลาด รีบจบดีกว่า อาตมาเรียนจบเร็ว อาจารย์บางท่านยังบ่นเลยว่า "บ่มแก๊ส"

ถาม : พุทธภูมิต้องทุกข์หนักหรือครับ ?
ตอบ : หนักอย่างไรก็ทุกข์เท่ากับพวกเรา ไม่ได้เกินนั้นหรอก เพียงแต่ว่าเจอมากกว่าเรา ๔ เท่า ๘ เท่า ๑๖ เท่า เราเจอนานแบบนั้นก็แย่

พุทธภูมิท่านไม่กลัวความลำบากหรอก ถ้ายังกลัวนี่เป็นของปลอม ต้องฟังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “เมื่อปรารถนาพระโพธิญาณมา ในวัฏสงสารอันยาวไกลไม่เห็นต้นเห็นปลายนี้ ขึ้นชื่อคำว่าท้อแม้แต่น้อยเดียวไม่เคยปรากฏขึ้นในดวงจิตเลย” นั่นปัญญาธิกะที่สร้างบารมีมาน้อยที่สุดนะ

ด้วยความที่เคยมีเชื้อสายพุทธภูมิเก่ามา ถ้าถามว่าเคยกลัวอะไรไหม ? หลายสิ่งที่ไม่คุ้นเคยก็ต้องยอมรับว่ามีกลัว แต่กลัวแบบสู้ ไม่มีถอย อย่างตอนที่เรียนวิชาทหารอยู่ เป็นปีแรกที่อาวุธต่อสู้อากาศยานเข้าไปสู่กองทหารราบ ซึ่งปกติไม่มี ต้องเป็นทหารอากาศเหล่านาวิกโยธินเท่านั้น พวกนายทหารช่างอาวุธไม่มีใครรู้จักเลย อาตมาเรียนเก่งที่สุดในรุ่น นายทหารช่างอาวุธประจำกองร้อยก็กวักมือ “มึงมานี่..กูอ่าน..มึงถอด” เขาเป็นคนอ่านคู่มือแล้วอาตมาถอด แถมมีการขู่ด้วย “ใส่คืนให้ได้นะมึง ไม่อย่างนั้นกูซ่อมตายห่..เลย” อาตมาก็ได้แต่นึกในใจว่า “ไม่ใช่ของพ่อของแม่กูสักหน่อย มึงยังไม่กลัวเจ๊งเลย แล้วกูจะกลัวทำไมวะ ?” ว่าแล้วก็รื้อกระจายเลย

ไม่ได้มั่นใจหรอก แต่ว่าไม่หนี...สู้ งานครั้งนั้นทำให้ตัวเองต้องลำบากไปเป็นปี พอทำได้ หน่วยอื่นเขาไม่มีใครรู้เรื่อง เขาก็ต้องส่งอาตมาไปสาธิตให้เขาดู เวรกรรมจริง ๆ เฉพาะลำกล้องอันเดียวหนัก ๓๐ ปอนด์ แล้วลองนึกดูว่าพอประกอบพร้อมขาทรายจะหนักขนาดไหน ?

หมู่ปืน ปตอ. มีแค่ ๓ คน เพื่อนคนหนึ่งชื่อเสน่ห์ ตัวสูงใหญ่ น้ำหนัก ๙๐ กว่ากิโลกรัม ส่วนอาตมาเปรียบกับเพื่อนแล้วผอมกะหร่อง น้ำหนักแค่ ๖๓.๕ กิโลกรัม ต้องแบกคนละข้าง ปืนมีขาทราย ๓ ขา แบกคนละขา คนตัวเล็กก็ต้องแบกเท่าตัวใหญ่ พอเสน่ห์แบกน้ำหนักปืนก็เทมาทางอาตมาหมด เพราะตัวเขาสูงกว่า อาตมาก็รับไปคนเดียว ของบางอย่างนี่เก่งผิดจังหวะก็แย่เหมือนกัน..เพราะเหนื่อยไปนาน"

เถรี
28-09-2012, 07:12
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่ใช่..ยิ่งรู้มากยิ่งต้องระวังตัวมาก เวลาญาณเครื่องรู้ปรากฏขึ้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นการทดสอบทั้งนั้น ถ้ารู้จักสังเกตจะเห็นว่าเขาทำให้เราคิดแล้วเข้าใจทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องตัดกิเลสอย่างเดียว ฉะนั้น..ต้องระวังให้ดี

ไม่ว่าคิดอะไร มองอะไร จะเห็นความสัมพันธ์หมด เกิด แก่ เจ็บ ตาย อะไรประเภทนั้น สิ่งนี้กับสิ่งนี้ควรจะมีความสัมพันธ์กันอย่างนี้ จะต้องดำเนินไปอย่างนี้ ให้เราคิดออกทะเลกว้างไปเรื่อย ๆ แล้วหาฝั่งไม่เจอ มัวแต่ไปเพลิดเพลินกับความฉลาดของตัวเอง ที่รู้เห็นในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่เห็น แต่ลืมไปว่าสิ่งนั้นไม่ได้ช่วยในการตัดกิเลสเลย กลายเป็นเพิ่มกิเลสเพราะ “กูรู้มากกว่า” เข้ามาอีก

เรื่องของมโนยิทธิเป็นเรื่องของคนฉลาด เป็นเรื่องของคนมีปัญญา หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนมโนยิทธิ เพราะท่านมั่นใจว่าลูกศิษย์ท่านฉลาดพอที่จะใช้ถูก ขนาดนั้นอาตมายังเห็นใช้ผิดเกินร้อยละ ๘๐ แต่ไม่เป็นไรหรอก เพราะว่าท่านบอกว่าล้านคนรู้จักพระนิพพานสักคนหนึ่งก็คุ้มแล้ว นึกถึงพระพุทธเจ้าเวลาเทศน์ก็เจาะเอาคนเดียวใช่ไหม ? ถ้าคนนั้นได้มรรคผล คนอื่นก็ถือเป็นผลพลอยได้ ได้หรือไม่ได้ก็ไม่เป็นไร

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ระมัดระวังสุดชีวิต สิ่งใดที่ไม่ใช่หนทางพ้นทุกข์อย่าไปแตะต้อง รับรู้ไว้ด้วยความเคารพเฉย ๆ ไม่อย่างนั้นแล้วคุณจะได้สนุกอีกหลายปี อาตมาโง่มาแล้ว แต่ก็แปลก..ต่อให้บอกไปตรง ๆ ก็เถอะ เหมือนกับคนกำลังคัน ขอเกาสักหน่อยเถอะ บอกว่าอย่าเกาไม่ค่อยมีใครฟังหรอก

เถรี
28-09-2012, 07:33
พระอาจารย์กล่าวว่า "ด้วยความเคยชิน อาตมาไปไหนก็จะติดหนังสือไปด้วยตลอด จะประชุม จะสัมมนา มีเวลาว่างก็นั่งอ่าน จึงติดจนกลายเป็นนิสัย ในขณะที่คนอื่นเขาเห็นอาตมาไม่มีเวลา ความจริงมีเวลาอ่านตั้งเยอะ โดยเฉพาะตอนที่ได้น้ำได้เนื้อที่สุดคือตอนนั่งรถ

รถแท็กซี่หลายคันบอกว่า “หลวงพ่อเก่งนะครับ อ่านหนังสือบนรถได้ ผมเองมองไม่กี่บรรทัดก็อ้วกแตกแล้ว” ส่วนใหญ่ที่อ่านหนังสือบนรถแล้วเมา เพราะสายตามองเห็นภาพข้าง ๆ ด้วย ถ้าใจจดจ่ออยู่จุดเดียวจะไม่เมา แต่คราวนี้การที่จะจดจ่ออยู่จุดเดียว ต้องผ่านการฝึกกำลังใจมาให้พอที่จะไม่ไปสนใจข้างนอก"

เถรี
28-09-2012, 08:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของผมมีตำรากล่าวไว้หลายอย่างด้วยกัน คนที่มีทรงผมเหมือนใส่หมวก ทรงผมเหมือนมงกุฎ เขาบอกว่าบารมีถึงขนาดเป็นฮ่องเต้ได้ อาตมาเคยเจอเด็กคนหนึ่งเป็นอย่างนั้นจริง ๆ

มีผมแบบประเภทที่เรียกว่า เกล้านางนี ผมจะม้วนขึ้นไปเป็นกรวยลักษณะเหมือนทรงเจดีย์ เป็นเองโดยธรรมชาติ แก้ไม่ตกด้วย ต่อให้พยายามหวีเป็นอย่างอื่นก็จะกลับเป็นอย่างเดิมอีก เขาเชื่อว่าพวกนี้สร้างบารมีมา จะเป็นพระโพธิสัตว์ที่เป็นปรมัตถบารมีแล้ว ลักษณะก็เลยแสดงออกคล้าย ๆ กับเป็นเปลวเกศพระ โบราณเขาเรียกเกล้านางนี เหมือนกับผมแม่ตานีอย่างนั้นแหละ

อีกพวกเขาเรียกว่า ผมผีมัด ลักษณะจะโดนมัดเป็นกระจุกเล็ก ๆ ประมาณหัวไม้ขีดทั้งหัวเลย ต่อให้แกะออก สางออก หวีอย่างไรถ้านอนตื่นหนึ่งขึ้นมาก็จะเป็นเหมือนเดิม อันนั้นก็ต้องยอมให้ผีเปิดร้านทำผมต่อไป เขาไม่รู้จะไปมัดใครก็ต้องมัดคนที่เนื่องกับผีนั่นแหละ ต้องถามเขาดูว่าถ้ารักษาศีลจะหายหรือเปล่า ? "

เถรี
28-09-2012, 08:43
ถาม : เวลาอ่านนิยายแล้วบางทีเราจินตนาการ ?
ตอบ : จินตนาการเมื่อไรจะเกิดรัก โลภ โกรธ หลง ทันที เราต้องอ่านไปแล้วก็เห็นว่า ตัวละครนั้นเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด มีแต่ความทุกข์เหมือนกัน..ใช่ไหม ? ถ้าสามารถมองอย่างนี้ได้ก็อ่านไปเถอะ ถ้ามองไม่ได้ อ่านไปจินตนาการตามเมื่อไรก็รัก ชอบ เกลียด ชัง ตามเขาไป

ถาม : อ่านเพชรพระอุมา..
ตอบ : ถ้ารพินทร์ ไพรวัลย์ นี่ยกให้เรื่องหนึ่ง ประเภทอ่านแล้วไม่เอามันก็ไม่รู้ว่าจะอ่านทำไม ? ลุ้นจนกว่าไอ้แหว่งจะยอมอโหสิกรรมให้

ถาม : คนแต่งยังอยู่ ?
ตอบ : คนแต่งยังอยู่ แข็งแรงอีกต่างหาก อายุ ๗๑ - ๗๒ ปีเอง ท่านเริ่มเขียนหนังสือตั้งแต่เรียน ม.๒ เรื่องแรกคือเห่าดง ต่อมาก็จุฬาตรีคูณ จุฬาตรีคูณได้เป็นละครทีวี เจ้าของบทประพันธ์ไปดูละครเวทีโดนเขาไล่ออกมา หาว่าเด็กนักเรียนหาเรื่องเข้าไปดูฟรี ตอนนั้นท่านยังเรียนอยู่ชั้น ม.๒

จุฬาตรีคูณ ปฐพีเพลิง ศิวาราตรี จะเป็นเกี่ยวกับเรื่องของทางด้านชมพูทวีป เรื่องตระกูลพวกนี้ศิวาราตรีจะสนุกที่สุด สมัยก่อนต้องบอกว่าพวกบรรดานิยายดี ๆ มาเป็นหนังเป็นละครทำให้เกิดเพลงดี ๆ เยอะ อย่างเพลงใต้ร่มมลุลี ก็มาจากจุฬาตรีคูณ นักแต่งเพลงเขาเก่ง ต้องแต่งเพลงประกอบการแสดง อย่างน้ำตาแสงไต้ก็มาจากตอนที่พันท้ายนรสิงห์กำลังสั่งเสียศรีนวล

เถรี
28-09-2012, 08:49
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนดูคลิปวีดีโออันหนึ่ง มีคนส่งมาให้ ชื่อว่า “ถ้าแม่ฟังอยู่” แม่ต้องทำงานส่งลูกเรียน ลูกอยากได้อะไรก็เรียกร้องจากแม่ ไม่ได้ดูว่าแม่ต้องทำงานเหนื่อยแค่ไหน

ลูกไปบอกแม่ว่า “หนูอยากได้โทรศัพท์ใหม่” แม่บอกว่า“ของเก่ายังใช้ได้นี่ลูก” ลูกขว้างโทรศัพท์เปรี้ยงลงกับพื้นเลย บอกว่า “พังแล้วแม่..!” อีกไม่กี่วันจะวันเกิดตัวเอง พอไปโรงเรียนเพื่อนก็มาแฮบปี้เบิร์ธเดย์ คนนั้นให้ของ คนนี้ให้ของ สักพักหนึ่งครูวิ่งตาลีตาเหลือกมา “แม่เธออยู่ห้องไอซียูโรงพยาบาล รีบไปเร็ว"

พอไปถึงเจ้าหน้าที่บอกว่าแม่ยังอยู่ห้องฉุกเฉินครับ ไม่สามารถจะเยี่ยม แต่หมอเก็บของนี่ได้จากแม่ ก็ส่งกล่องของขวัญให้ แกะออกมาเป็นโทรศัพท์ใหม่ แม่ไปทำงานพิเศษหาเงินซื้อโทรศัพท์ให้ลูก แล้วไปหลับอย่างไรไม่รู้ ตกจากรถเมล์ คงเหนื่อยจนยืนหลับ

จากนั้นมีคุณหมอเดินออกจากห้องไอซียู “ขอแสดงความเสียใจด้วย หมอไม่สามารถจะช่วยชีวิตคนไข้ได้” ลูกร้องไห้โฮไปสารภาพว่าหนูรักแม่ เรื่องเขาถึงได้บอกว่า “ถ้าแม่ฟังอยู่” เพราะตอนนี้แม่ไม่ได้อยู่ฟังแล้ว"

เถรี
28-09-2012, 08:57
พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านอาจารย์จำนง ทองประเสริฐ ท่านเล่าให้ชาวมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยฟังว่า เมื่อตอนที่ท่านบวชอยู่ได้เป็นพระกวีวรญาณ คือเป็นเจ้าคุณแล้ว จบประโยค ๙ ด้วย ท่านถือดอกไม้ธูปเทียนไปพร้อมกับพระมหาเกี่ยว (สมเด็จพระพุฒาจารย์ เกี่ยว อุปเสโณ)ไปขอลาสิกขากับสมเด็จพระสังฆราช

ปรากฏว่าสมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทยมหาเถระ) รับเฉพาะพานของท่าน แต่ไม่ยอมรับพานของพระมหาเกี่ยว ท่านบอกว่า “ถ้าพระมหาเกี่ยวอยู่ต่อจะเจริญรุ่งเรืองในพุทธศาสนา” ท่านอาจารย์จำนงบอกว่า "แหม..ผมได้ยินแล้วกลืนน้ำลายเอื๊อกเลย ผมอยู่ต่อนี่หาความรุ่งเรืองไม่ได้ ผมเลยสึกดีกว่า"

อาตมาก็ถามว่า "แล้วถ้าท่านอาจารย์ไม่สึก ?" ท่านบอกว่า “ถ้าไม่สึกหรือ ? ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ องค์ปัจจุบันนี้ ไม่ได้เป็นเจ้าอาวาสหรอก ผมนี่แหละที่เป็น..!” อาตมาก็ถามต่อว่าแล้วท่านอาจารย์สึกทำไม ? ท่านบอกว่า “อ้าว..ก็สึกให้ท่านมหาเกี่ยวได้เป็นนะสิ” ลื่นเป็นปลาไหลเหมือนกัน

อาตมาฟังดูแล้วรู้สึกว่าหลวงพ่อสมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทยมหาเถระ) ท่านรู้จริง"

เถรี
28-09-2012, 09:00
"ท่านอาจารย์จำนง ทองประเสริฐ สึกออกมาแบบไว้ลายอดีตเจ้าคุณเปรียญธรรม ๙ ประโยค รักษาศีล ๕ มาตลอด ไม่เคยยอมละเมิดศีล ก็เลยกลายเป็นปูชนียบุคคลของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพราะว่าท่านเป็นนิสิตมหาจุฬาฯ รุ่นแรก

ส่วนหลวงพ่อสมเด็จฯ ของเรารับหน้าที่คล้ายกับเลขาฯ มหาวิทยาลัย ตอนนั้นท่านรับภาระทุกอย่างเลย รับงานจนกระทั่งงานทางคณะสงฆ์มากเข้า จึงต้องสละตำแหน่งให้คนอื่น ยุคที่หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศท่านรับหน้าที่ ขนาดองค์ดาไลลามะมาขอดูงานของมหาจุฬาฯ ว่าทางเราจัดการศึกษาแบบไหน เพราะทางด้านทิเบตต้องการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการศึกษาใหม่

การเรียนของทางด้านทิเบต เมื่อคุณบวชเข้าไป พระอาจารย์ท่านจะตรวจดูอดีตชาติ ว่าคุณเรียนมาถึงระดับไหนแล้ว จากนั้นก็จะส่งไปให้พระอาจารย์ระดับนั้นทวนความรู้รอบหนึ่ง แล้วมาเรียนต่อเลย ฉะนั้น..เขาไม่ต้องเรียนซ้ำนาน สมมติว่าคุณบวชเป็นเณรเล็ก ๆ เข้าไป เขาส่งไปเรียนกับพระอาจารย์ระดับไหน คนอื่นจะรู้เลยว่าในอดีตคุณมาระดับนี้ระดับนั้นแล้ว แต่บ้านเราต้องเริ่ม ก. ไก่ใหม่อยู่เรื่อย"

เถรี
29-09-2012, 11:47
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : นั่นเป็นพิธีกรรมในศาสนาของเขา พูดง่าย ๆ ก็คือไปเน้นเอาส่วนเปลือกที่เห็น ไม่ได้ไปเน้นเอาแก่น

"มีพราหมณ์ถามพระพุทธเจ้าว่า “ครูทั้ง ๖ ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ มีสำนักไหนที่เป็นพระอรหันต์จริงบ้าง ?” พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถามเรื่องพวกนั้นไม่ได้ประโยชน์หรอก มาฟังธรรมดีกว่า แล้วพระองค์ท่านก็เปรียบว่า บุรุษต้องการแก่นไม้ แต่ตัดไปแต่กิ่งไม้ใบไม้ก็มี ถากไปแต่เปลือกไม้ก็มี ถากไปแต่กระพี้ก็มี กว่าจะไปถึงแก่น

ท่านเปรียบว่าลาภ ยศ สักการะ ชื่อเสียง เหมือนกับกิ่งไม้ ใบไม้ พอบวชเข้ามาแล้วมีลาภสักการะเข้ามา ก็ยินดีพอใจอยู่แค่นั้น ไปดูถูกคนอื่นว่าไม่มีลาภสักการะเหมือนเรา เท่ากับว่าได้แต่กิ่งไม้ใบไม้ไป บางคนรักษาศีลเคร่งครัด ก็ยินดีพอใจแค่นั้น ไปดูถูกคนอื่นว่าไม่มีศีลเหมือนเรา ก็เท่ากับได้เปลือกไม้ไป บางคนทำสมาธิจนกระทั่งทรงตัว แล้วก็ไปภูมิใจดีใจแค่นั้น ว่าคนอื่นทำไม่ได้อย่างเรา ก็เท่ากับได้กระพี้ไป กว่าจะไปถึงญาณทัศนะที่เป็นแก่นว่ากันหลายยก

กลายเป็นว่าส่วนของพิธีกรรมจะเป็นส่วนที่คนเห็นง่ายและเข้าถึงได้ง่าย แต่ปัจจุบันนี้พวกพิธีกรรมของเราคลุมเรื่องของแก่นธรรมไปเยอะแล้ว คลุมจนจะหาแก่นไม่เจออยู่แล้ว..!"

เถรี
29-09-2012, 11:53
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนกันยายนมีวันเยาวชนแห่งชาติ พวกวันสำคัญต่าง ๆ ที่ไม่มีกิจกรรมเป็นหลักเป็นฐาน คนจะไม่ค่อยจำกัน อย่างวันภาษาไทยแห่งชาติ เมื่อไม่มีกิจกรรมคนก็เลยไม่ได้จำใส่ใจ

เดือนกันยายนเป็นเดือนพระราชสมภพของในหลวงรัชกาลที่ ๕ และในหลวงรัชกาลที่ ๘ ทรงครองราชย์ก่อนจะบรรลุนิติภาวะทั้งคู่ เขาก็เลยเลือกวันพระราชสมภพ คือวันที่ ๒๐ กันยายนเป็นวันเยาวชนแห่งชาติ ถ้าเยาวชนทุกคนประสบความสำเร็จแบบนั้นก็ดีนะ

แบกภาระแทนคนไทยทั้งชาติ.........รอยพระบาทก้าวย่างทุกเขตขันธ์
เพื่อประชาอยู่สุขทุกคืนวัน...........ใต้มิ่งขวัญบุญญาพระบารมี
แปดสิบสี่พรรษาล่วงมาแล้ว...........ร่มโพธิ์แก้วทรงงานหนักเหลือที่
ขอน้อมคุณพระไตรรัตน์สวัสดี..........รักษาพ่อหลวงนี้เพื่อลูกไทย


ไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอก อาตมาแต่งเอง"

เถรี
29-09-2012, 12:31
ถาม : การล้างพิษด้วยวิธีสวนกาแฟ ?
ตอบ : "เรื่องนี้ต้องคุยกับท่านกอล์ฟ ท่านบอกว่า “เดี๋ยวนี้กินกาแฟแล้วสยองทุกที เพราะว่าสมัยนี้เขากินด้วยตูด..!”

จริง ๆ แล้วอันตรายมากนะ เพราะกาแฟเข้าสู้เส้นเลือดดำโดยตรงเลย เท่ากับฉีดเข้าเส้นเลือด ถ้าหัวใจไม่ดีมีสิทธิ์ช็อกตายได้ ความจริงไม่จำเป็นต้องไปใช้กาแฟก็ได้ เพราะท้องที่จะถ่ายก็เพราะลำไส้เคลื่อนไหว เรากินแต่น้ำอุ่นอัดเข้าไปอย่างเดียวก็พอแล้ว

อะไรก็ตามที่พอดีถึงจะมีผลดี ถ้ามากเกินพอดีก็จะมีผลเสียมากกว่า ขอให้เชื่อที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงมัชฌิมาปฏิปทา หลักการนี้ใช้ได้ทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นคุณจะไปทำดีท็อกซ์ กินกาแฟทางก้นอะไรก็ตาม ถ้ามากเกินพอดีก็มีโทษ ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นอกาลิโก ใช้ได้ทุกกาลทุกสมัย ฉะนั้น..ถ้าใครแหกข้อธรรมของท่านแล้วเกิดผลร้ายกับตัวเอง ก็ไม่รู้จะโทษใคร

เดี๋ยวนี้นอกจากทำดีท็อกซ์แล้วต้องไปฉีดโบท็อกซ์ ถ้าฉีดโบท็อกซ์นี่เอาผึ้งต่อยดีกว่า หน้าเหี่ยว ๆ โดนไปสัก ๓-๔ ทีก็ตึงเป๋ง ที่ง่ายที่สุดก็คือยอมรับเถอะ แก่คือแก่ละวะ..!"

เถรี
29-09-2012, 12:37
ถาม : คนเราป่วยเพราะธาตุไม่สมดุล หากเราปรับธาตุเองได้ ก็รักษาตัวเองได้ ?
ตอบ : บรรดาธาตุอาหารต่าง ๆ มาจากดิน น้ำ ไฟ ลม คราวนี้ท่านดึงจากรอบข้างเข้ามาได้ ไม่เหมือนกับเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่จะต้องเปลี่ยนจากอย่างหนึ่งเป็นอีกอย่างหนึ่ง ถ้ามีน้อยก็เปลี่ยนได้น้อย มีมากก็เปลี่ยนได้มาก แต่นี่ต้องการเท่าไรก็ได้ตลอด เหนือกว่ากันไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร

อย่างหลวงพ่อกบ วัดเขาสาลิกา พวกชาวบ้านไปตีกบเท่าไรก็ไม่ได้ มาผิงไฟหนาวสั่นอยู่ใต้ถุนกุฏิท่าน ท่านก็ถามว่า “เฮ้ย พวกมึงไปทำอะไรกันมาวะ ?” พวกชาวบ้านก็บอกว่า “ไปตีกบครับหลวงพ่อ” ท่านก็ถามว่า “ได้หรือเปล่า ?” พวกนั้นก็บอกว่า “ไม่ได้เลยครับ” ท่านบอกว่า “ทุด..! พวกมึงมันไม่ได้เรื่อง ทำมาหากินได้อย่างไรวะ ? เดี๋ยวกูตีให้เอง”

พอคว้าไม้กับตะข้องได้ก็ตีป้าบ ๆ ๆ พักเดียวท่านหิ้วกบมาเป็นตะข้องเลย ท่านก็บอกว่า “เอ้า..เอาไปแบ่งกัน” ญาติโยมนั่งปากอ้าตาค้าง อะไรวะ..พระตีกบ ? คราวนี้เขาหิวกัน กลางคืนหนาวก็หนาว หิวก็หิว ตกลงต้มกบกินกัน เสร็จแล้วก็นอนใต้ถุนกุฏินั้นแหละ ตอนเช้าจะไปลาหลวงปู่ เขาก็เสียดายกบที่เหลือ พอเปิดกาละมังที่ครอบเอาไว้ดู ที่ไหนได้มีแต่ใบสะแก เพิ่งจะรู้ว่ากบที่ท่านตีให้ ความจริงเป็นใบไม้ทั้งนั้น

เถรี
29-09-2012, 12:40
"หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ จ.อยุธยา ลูกศิษย์เลี้ยงปลากัด ท่านให้เอาไปปล่อยลงแม่น้ำหมด ท่านบอกว่า “มึงอย่าไปเลี้ยงเลย ปลากัดพวกนั้นไม่เก่งหรอก สู้ของกูไม่ได้” ท่านก็ให้ปลากัดของท่านไป ไปกัดที่ไหนก็ชนะ ลูกศิษย์ก็ดีอกดีใจ กลับมาเอาใส่ขวดไว้อย่างดีเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอาไปกัดใหม่
วันรุ่งขึ้นเหลือแต่ใบจากชิ้นหนึ่งลอยอยู่ในขวด

ท่านไม่อยากให้เด็กทรมานสัตว์ จึงเอาใบจากไปให้เด็กเล่น น่าจะเป็นใบจากที่ท่านมวนบุหรี่นั่นแหละ จะไปห้ามเด็กตรง ๆ เด็กรักสนุกเดี๋ยวก็ไปแอบช้อนปลากัดมาอีก ก็ต้องใช้วิธีนี้แหละ เด็กพวกนั้นก็คิดว่าหลวงพ่อรักตัวเองมากเลย ขนาดเลี้ยงปลากัดไว้ยังสละให้เอาไปเล่น"

เถรี
29-09-2012, 12:42
ถาม : ได้ยินว่าหลวงพ่อกบยังไม่มรณภาพ ที่เผาไปเป็นศพปลอม อีกไม่กี่วันก็ไปที่โน่นที่นี่ ?
ตอบ : " ถ้าตัวจริงท่านไม่ยอมสิ้นก็ช่างท่านเถอะ ท่านเองไม่อยากยุ่งกับใคร คราวนี้ทางการเขาสั่งยุบวัดนั้น ถ้าท่านยังเป็นพระอยู่เขาก็ขับไล่ท่านได้ ท่านก็เลยแต่งตัวเป็นตาผ้าขาว แล้วก็อยู่จำศีลภาวนาของท่านที่นั่นแหละ วันดีคืนดีก็ลากผ้าผืนหนึ่งไปนอนกลางนา ตีโปงนอนอยู่ ๗-๘ วันแล้วค่อยลุกขึ้นมากินข้าว

พวกเด็กเลี้ยงวัวไปถึงก็เรียก “หลวงตา ๆ” ท่านก็ “อือ” อยู่แค่คำเดียว เอาข้าวเอาน้ำมาวางก็กองไว้ตรงนั้นแหละ ไม่ครบ ๗ วันไม่ลุกหรอก นอนเพลิน บางคนเขาว่าท่านป่วยก็เลยต้องไปนอนตากแดด เขาก็ว่าไปเรื่อย ไม่รู้ว่าท่านเข้านิโรธสมาบัติ"

เถรี
30-09-2012, 21:44
ถาม : นักมวยบางคนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง พอแขวนนวมแล้วต้องไปขายก๋วยเตี๋ยว?
ตอบ : ต้องบอกว่าเขาขึ้นเป็นลงเป็น เราจะไปคิดว่าเราเป็นอดีตแชมป์โลก แล้วไม่ยอมไปทำงานที่คนอื่นเขาเห็นว่าต่ำ ถือว่าโง่เลย เพราะว่าตัวเองต้องกินต้องใช้ ถ้าคุณไม่ทำแล้วจะไปเอาที่ไหนมากินมาใช้ ในเมื่อไม่ได้ชกมวยแล้ว

ถาม : รายได้จากการต่อยมวย ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วนักมวยจะได้เต็มที่แค่ร้อยละ ๓๐ - ๔๐ เท่านั้นแหละ สมมติว่าเงินหนึ่งล้านบาท ก็ได้สักสามแสนบาท เพราะผู้จัดการต้องหักค่ากินค่าอยู่ ค่าฝึกซ้อม ค่าผู้ฝึกสอน ค่าคู่ซ้อม ค่าเดินทางต่างประเทศ สารพัดที่จะหัก เขามีข้อตกลงกันอย่างนั้น

คนที่ได้เป็นกอบเป็นกำที่สุด แต่หมดไปเยอะ ก็คือเขาทราย เขาทรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่ว่าไปทำหมู่บ้านจัดสรรแล้วขายโครงการไม่หมด เงินจม ตอนหลังต้องมาเปิดสนุกเกอร์คลับของตัวเอง แล้วก็ลงแทงเอง กินชาวบ้านเขา ฝีมือดีด้วยนะ

ถาม : นักมวยมีชื่อเสียงโด่งดัง เพราะทำกรรม ?
ตอบ : เขาต้องมีบุญเก่าอยู่ ถ้าไม่เคยสร้างบุญใหญ่เอาไว้ โอกาสที่จะขึ้นไปมีชื่อเสียงเกียรติยศก็เป็นไม่ได้

เถรี
30-09-2012, 21:53
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เวลาเราเอาจิตจับศูนย์กลางกาย สมาธิจะดิ่งลึกเข้าไป พอดิ่งลึกเข้าไปจิตกับประสาทเริ่มแยกจากกัน จะคิดอะไรลำบาก ดังนั้น..ถึงเวลาก็ต้องคลายกำลังใจออกมาก่อน ถึงจะพิจารณาได้

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ตรงไหนดีกับเรา เราก็ทำตรงนั้น ตอนต้องการสงบเราก็ดิ่งเข้าไป ตอนต้องการคิดเราก็คลายออกมา..เท่านั้นเอง

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจหรอกว่าคืออะไร ขอให้ทำได้ต่างหากที่เป็นสาระสำคัญ

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : จะฟุ้งซ่านเอา ฟุ้งว่าดีแล้วอยากได้ ต่อไปก็เข้าไม่ถึงแบบนั้นอีก

เถรี
30-09-2012, 21:56
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ถ้าหากขันธ์ ๕ เสื่อมสมองก็พลอยเสื่อมไปด้วย จิตมีสภาพจำ ถ้าย้อนหลังไปจะจำได้หมด แต่ว่าสัญญาเป็นความจำของสมองหรือพวกไอคิว ถ้าขันธ์ ๕ เสื่อมก็เสื่อมตามไป จิตบันทึกไว้แล้วไม่ไปไหนหรอก สามารถย้อนกลับไปดูได้ แต่ว่าสมองจำได้ไม่มากขนาดนั้น

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ก็อตีตังสญาณย้อนกลับไปดู อะไรเคยเรียนมาก็จำได้

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : จริง ๆ เป็นสัญญาทั้งนั้นแหละ แต่ว่าสัญญาที่บันทึกไว้ในจิตจะจำข้ามชาติข้ามภพ แต่สัญญาที่บันทึกไว้ในสมอง พอขันธ์ ๕ ชำรุดก็เจ๊งแล้ว

เถรี
30-09-2012, 21:57
ถาม : ทำพระแตก
ตอบ : ไม่เป็นไร...ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ถ้าชิ้นเก่ายังอยู่ก็ติดกาวคืนไป ถ้าไม่อยู่เราก็เอาไปเลี่ยมใช้อย่างนั้นเลย อย่าลืมว่าวัตถุมงคลชิ้นหนึ่งเทวดารักษา ๑ องค์ แตกหลาย ๆ ชิ้น ติดกลับเข้าไปได้กำไร เทวดาต้องดูแลเพิ่มขึ้น นี่ไม่ได้พูดเล่นนะ เป็นเรื่องจริง เดือนที่แล้วอาตมาเพิ่งจะขอแลกพระแตกเขามา

เถรี
30-09-2012, 21:58
ถาม : น้องเขาเป็นโรคหัวใจครับ ?
ตอบ : ไม่สบายก็ไปหาหมอสิ ไม่เป็นไรหรอก..ดูจากโหงวเฮ้งคนป่วยแล้วไม่ได้เป็นคนอายุสั้น เป็นคนที่สบายตั้งแต่เด็กยันแก่ เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องหนักใจหรอก ต่อให้ป่วยขนาดไหนก็มีคนเลี้ยง ต้องบอกว่าแทนที่จะไปหาหมอแผนปัจจุบัน ดันมาหาหมอไสยศาสตร์ แบบนี้อาจจะทำให้ไม่รอด..!

เถรี
30-09-2012, 22:01
ถาม : การเบิกบุญมีจริงไหม ?
ตอบ : ก็ลองเบิกดูสิ ถ้าเบิกได้ให้มาบอกด้วย อาตมาจะเบิกบ้าง เพราะว่าของเก่าที่ทำไว้ ให้อาตมาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิยังน้อยไปเลย นี่เขาให้อาตมาแค่นี้เอง วิธีเบิกบุญถ้าจะเอาให้ได้ผลจริง ๆ ก็คือทำศีล สมาธิ ปัญญาในปัจจุบันให้ดีไว้ พอถึงเวลากำลังใจทรงตัวของเก่าจะไหลมาเทมา

วิธีพิสูจน์ที่ง่ายที่สุดก็คือ ดูในพระไตรปิฎกว่าพระพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ไหม ? ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสเอาไว้ ดูว่าพระอรรถกถาจารย์ได้กล่าวถึงหรือเปล่า ? ถ้าไม่ได้กล่าวถึงก็อย่าพึงเชื่อ

เถรี
02-10-2012, 18:58
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ที่วัด ไม่ว่าจะเป็นพระ เป็นเณร เป็นชี ถ้าต้องการจะเรียนอาตมามีทุนให้ทุกคน ถ้าเงินหมดเมื่อไรก็จะตั้งกองทุนการศึกษาขึ้นมา

ในเรื่องการสร้างบุคลากร ต่อให้เขาเรียนจบแล้วสึกหาลาเพศไปก็ตาม เขาก็จะมีสำนึกอยู่ว่าเขาเรียนจบมาเพราะวัด เดี๋ยวเขาก็เลี้ยวมาเข้าวัดเอง เพียงแต่วัดท่าขนุนไม่ได้ไปเรียกร้องอะไรจากเขา ถ้าเป็นที่อื่นก็ “เฮ้ย..วัดจะมีกฐิน ช่วยหามาร่วมด้วย” ก็ไปกันใหญ่ ต้องบอกว่าวัดท่าขนุนหากินไม่เป็น..!

อาตมาบอกกับพระอยู่เสมอว่า พวกคุณระวังไว้นะ..ระเบียบวัดห้ามบอกบุญ ห้ามเรี่ยไร เป็นระเบียบของผม ถ้าเปลี่ยนเจ้าอาวาสใหม่แล้วเห็นว่าไม่เหมาะสม พวกคุณเปลี่ยนระเบียบได้เลย ถ้าขืนไม่บอกบุญ ไม่เรี่ยไรอย่างผม อาจจะอดตายก็ได้..!"

เถรี
02-10-2012, 19:33
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่พ่อแม่วัยหนุ่ม ๆ สาว ๆ เวลาอุ้มลูกแล้วลูกมักจะร้อง เพราะร่างกายยังมีไฟฟ้าสถิตอยู่มาก เวลาอุ้มเด็กแล้วเด็กจะรู้สึกแปลบ ๆ เหมือนโดนเข็มแทง เด็กก็ร้องไปเรื่อย แต่เวลาคนแก่ปู่ย่าตายายอุ้มแล้วเด็กจะเงียบ คนเขาไม่รู้สาเหตุ พ่อแม่บางคนน้อยใจนั่งร้องไห้เลย ตัวเองเป็นพ่อเป็นแม่แท้ ๆ อุ้มแล้วลูกร้อง ตายายอุ้มทำไมไม่ร้อง ?

ถ้ามีลูกตอนแก่ก็ค่อยยังชั่วหน่อย แต่ฝรั่งบอกว่าถ้ามีลูกตอนแก่เสี่ยงกับการที่เด็กจะปัญญาอ่อน ไม่จริงหรอก..อาตมาเองก็เกิดตอนแม่อายุจะ ๔๐ อยู่แล้ว"

เถรี
02-10-2012, 19:36
:4672615: เก็บตกเดือนนี้หมดแล้วค่ะ :4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี และรัตนาวุธ