PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕


เถรี
06-08-2012, 14:31
พระอาจารย์กล่าวว่า "วัดท่าขนุนถือปฏิปทาหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นหลัก ก็คือ อธิษฐานพรรษาในวันอาสาฬหบูชา แล้วไปปวารณาพรรษาวันตักบาตรเทโว คร่อมปิดหัวปิดท้ายไปเลย หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า "ตามพระวินัยระบุไว้ว่า ภิกษุที่จะรับกฐินได้ ต้องจำพรรษาถ้วนไตรมาส.." ถ้าเราไปอธิษฐานวันเข้าพรรษา ก็ไม่เต็มสามเดือน เพราะวันแรกคุณเสียไปแล้ว แล้วก็ไปปวารณาวันออกพรรษาวันสุดท้าย ก็ไม่ได้เต็มวันอีก

ในเมื่ออธิษฐานพรรษาตั้งแต่วันอาสาฬหบูชา พอเช้านี้อาตมาจึงมีสิทธิ์ลามารับสังฆทานที่นี่ได้ ถ้าไม่ได้ถือปฏิปทาตามหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็คงต้องเลื่อนวันรับสังฆทาน"

เถรี
06-08-2012, 14:50
พระอาจารย์กล่าวว่า "จังหวัดนครปฐมมีคนนับถือศาสนาคริสต์มาก ตอนแรกเขาตั้งนามสกุลว่าคริสต์เลย แต่ทางอำเภอเขาไม่ยอม นามสกุลที่เขาตั้งว่าคริสต์บุญชู เขาเปลี่ยนเป็นกิจบุญชู ส่วนกิจเจริญ ก็คือ คริสต์เจริญ นายทะเบียนเขาเก่ง เปลี่ยนนามสกุลพวกนี้หมด ก็เลยทำให้นามสกุลประหลาด ๆ ในสมัยนั้นยังไม่โผล่ขึ้นมา

แล้วที่อัศจรรย์ก็คือ พวกชาวคริสต์นครปฐมเป็นคนจีนทั้งนั้น เขาน่าจะนับถือคริสต์มาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษที่อพยพมา ช่วงนครปฐมกับบางนกแขวกก็ไม่ได้ห่างกัน พอออกแม่น้ำท่าจีนก็ถึงกันได้ มีแต่ชาวคริสต์แทบทั้งนั้น หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่าว่า พวกคริสต์บางนกแขวกแขวนพระหลวงปู่ปานกันเกือบทุกคน"

เถรี
06-08-2012, 16:23
ถาม : การฝึกกสิณ ถ้าเพ่งให้เกิดนิมิต ตอนแรกต้องนึกภาพกสิณที่เรามองใช่ไหมครับ หรือว่าไม่ต้องนึก แค่มองภาพกสิณแล้วก็ภาวนาให้ภาพเกิดขึ้นเองครับ ?
ตอบ : ถ้าสามารถภาวนาให้เกิดภาพขึ้นมาเองได้ก็เก่งเกินพระพุทธเจ้าแล้ว

การเพ่งกสิณ ก็คือ การลืมตามองดูวัตถุที่ใช้เป็นองค์กสิณ แล้วหลับตาลงนึกถึงภาพนั้น พร้อมกับคำภาวนา ถึงเวลาถ้าภาพเลือนไป ก็ลืมตาขึ้นมองใหม่ หลับตาลงแล้วนึกถึงใหม่พร้อมกับคำภาวนาอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าภาพนั้นจะติดตาติดใจของเราเอง แล้วเราก็ประคับประคองเอาไว้อย่างนั้น

เถรี
06-08-2012, 16:30
ถาม : ในเรื่องของการระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย คุณบิดา-มารดา และคุณครูอาจารย์ ในฐานะของนักปฏิบัติ เราสมควรยกพระคุณไหนขึ้นก่อน หรือถือไว้สูงสุด ? เพราะพระคุณทั้งสามนั้น ล้วนแต่สำคัญสำหรับทุกคนทั้งสิ้น
ตอบ : แสดงว่าคนถามต้องแก่เกินแกง ไม่เคยเรียนอนุบาลแน่เลย เขามีพระคุณที่หนึ่ง พระคุณที่สอง พระคุณที่สาม ขึ้นต้นด้วยพ่อแม่ ตามด้วยพระอุปัชฌาย์ ตามด้วยครูบาอาจารย์ พ่อแม่ถือว่าให้การเกิดในทางโลก พระอุปัชฌาย์ถือว่าให้การเกิดในทางธรรม ครูบาอาจารย์ คือ ผู้ที่สั่งสอนวิชาความรู้เพื่อให้เราสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ เขาระลึกกันไปตามลำดับดังนี้

ถาม : แล้วคุณพระรัตนตรัยสูงสุดอยู่แล้ว ?
ตอบ : คุณพระรัตนตรัยสูงสุด เป็นที่พึ่ง กำจัดทุกข์ กำจัดภัยได้จริง

เถรี
06-08-2012, 18:13
ถาม : การที่ลูกศิษย์ของพระสงฆ์ จัดทำนาฬิกาแบบแขวนและกระป๋องออมสิน ในรูปผลิตภัณฑ์นั้นเป็นพระสงฆ์ที่ยังมีชีวิตอยู่ จะเหมาะสมหรือจะเกิดโทษกับผู้จัดทำ และผู้ที่ขอบูชาต่ออีกทอดหรือไม่คะ ?
ตอบ : อาตมาก็กลายไปนาฬิกาเรือนหนึ่งแล้ว..!

ถาม : แสดงว่ายังไม่ได้เป็นกระป๋องออมสิน ?
ตอบ : สมัยก่อนมีคนทำรูปหลวงพ่อวัดท่าซุงใส่ในนาฬิกา เสร็จแล้วค่อยไปขออนุญาตท่าน หลวงพ่อท่านบอกว่า "มิน่าล่ะ..ระยะนี้รู้สึกเวียนหัวผิดปกติ"...(หัวเราะ)... เป็นเรื่องที่ไม่สมควรจะทำจ้ะ ไม่สมควรอย่างไรก็นึกเอาเองแล้วกัน

เถรี
06-08-2012, 19:13
ถาม : ถ้าจะอัดรูปพระปัจเจกพุทธเจ้าในเว็บวัดท่าขนุนใส่กรอบบูชาไว้ที่ร้าน จะเป็นการปรามาสท่านหรือไม่คะ ?
ตอบ : ต้องไปถามท่านเอง...(หัวเราะ)...ถ้าทำด้วยความเคารพก็ไม่เป็นไร การบูชาพระปัจเจกพุทธเจ้าจริง ๆ ไม่ต้องมีรูปก็ได้ ให้ตั้งใจนึกถึงท่านแล้วสวดบูชาด้วยคาถาเงินล้าน ให้ทำโดยสม่ำเสมอ

แต่ถ้ามีรูปแล้วเป็นเครื่องยึดโยงใจของเราได้ดีกว่า ก็ทำไปเถอะ อย่าถึงขนาดไปอัดรูปแจกนะ เพราะคนที่ไม่เคารพ เกิดไปปรามาสเข้า จะเกิดโทษแก่เขา

เถรี
06-08-2012, 19:16
ถาม : ในโลกนี้มีสัตว์ที่ไม่มีวิญญาณหรือไม่ครับ ? ถ้ามีการฆ่าสัตว์เหล่านั้นเป็นบาปหรือไม่ ? และการฆ่าสัตว์เหล่านี้ เช่น แมงกะพรุน หรือหอยประเภทต่าง ๆ เป็นบาปหรือไม่ ?
ตอบ : หาเรื่องลงนรกแล้ว..! พูดง่าย ๆ ว่า สัตว์นั้นจะมีวิญญาณหรือไม่มีวิญญาณก็ไม่ต้องเสียเวลาไปเสาะหาคำตอบ ถ้าคุณคิดจะฆ่าใจก็เศร้าหมองแล้ว เพราะฉะนั้น..อย่าหาเรื่องลงนรก จะสัตว์เล็กสัตว์น้อยขนาดไหนก็ตาม ให้คิดว่าเขาเป็นดวงจิตดวงหนึ่งก็แล้วกัน จะได้ไม่เผลอไปทำกรรมชั่วเข้า

ถาม : อย่าตั้งเจตนาให้เป็นอกุศล ?
ตอบ : ไม่ใช่ไปตั้งใจว่า ไม่มีวิญญาณนี่กูเอาแน่..!

เถรี
07-08-2012, 07:33
ถาม : เวลาปรารถนาหรืออยากได้สิ่งใด กำลังใจระหว่างรอคอยสิ่งนั้นมีผลหรือไม่ ? เพราะบางครั้งอยากได้มากกลับไม่ได้ แต่บางครั้งทำเฉย ๆ เสีย ไม่สนใจ กลับได้มาโดยง่าย
ตอบ : สำหรับเรื่องอื่นไม่รู้ แต่ถ้าในเรื่องของธรรมะการปฏิบัติ คนที่อยากจะไม่ได้ เพราะความอยากนั้นทำให้ใจยังฟุ้งซ่านอยู่ ในเมื่ออารมณ์ใจฟุ้งซ่าน สมาธิไม่ทรงตัว ก็เข้าไม่ถึงการปฏิบัติตามลำดับที่ตนเองต้องการได้ เรื่องทางโลกก็เหมือนกัน อย่างเช่น คาถาเงินล้าน ถ้าใครสวดเพราะอยาก โอกาสได้ก็ยากเต็มที แต่หมดอยากเมื่อไร จะไหลมาเทมาเมื่อนั้น

ถาม : วางกำลังใจไม่ให้อยากนี่ยากครับ เพราะอยากถึงได้สวดครับ ?
ตอบ : อยากได้..แต่ถึงเวลาภาวนาให้เลิกอยาก เรามีหน้าที่ภาวนาอย่างเดียว อะไรจะเกิดขึ้นก็แล้วแต่ท่านจะเมตตาสงเคราะห์

ถาม : ใช้วิธีสวดจนหายอยากได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..แต่อาจจะหลายปี อาตมาเป็นตัวอย่างที่ชัดที่สุด ตอนสมัยเรียนมัธยม อาตมาอ่านประวัติของหลวงปู่โต วัดระฆังแล้วเลื่อมใสมาก อยากได้พระสมเด็จวัดระฆัง มีคนบอกว่า ถ้าอยากได้พระสมเด็จวัดระฆัง ให้ตั้งใจสวดคาถาชินบัญชรทุกวัน แล้วท่านจะเสด็จมาเอง

อาตมาก็ว่าคาถาชินบัญชรเป็นปกติ ปีแล้วปีเล่าผ่านไปก็ไม่ได้สักที เพราะว่าสวดด้วยความอยากได้ ผ่านไป ๑๑ ปีไม่มาเสียที หมดความอยากเลย คิดแค่ว่าเรามีหน้าที่สวดภาวนาของเราไป ส่วนพระองค์ท่านจะเสด็จมาโปรดหรือไม่โปรดก็แล้วแต่ท่านเถิด ปรากฏว่ามาอยู่เรื่อย ดังนั้น..ถ้าอยากก็ยังไม่ได้ ไม่อยากเมื่อไรจะได้เอง

ถาม : ๑๑ ปีไม่ใช่น้อยนะครับ
ตอบ : สวดด้วยความอยากนำหน้า ตัณหานำทางมาตลอดก็อย่างนั้นแหละ

เถรี
07-08-2012, 07:48
ถาม : เจ้าหน้าที่คนหนึ่งมีอาชีพรับราชการ อายุราชการยังน้อยอยู่ ทำงานปกติตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เมื่อเร็ว ๆ นี้ (ช่วงสิ้นงบประมาณแผ่นดิน) มีเจ้าหน้าที่ส่วนงานอื่นที่เคยติดต่อประสานงานกัน นำเงินใส่ซองมาให้ บอกว่าให้เป็นเงินค่าขนม ซึ่งเราเองไม่ได้เรียกรับหรือแสดงท่าทีว่าอยากจะได้เงินในส่วนนี้เลย เงินในลักษณะนี้ปกติจะได้รับในระดับหัวหน้าส่วนขึ้นไป

เราพยายามปฏิเสธการรับเงินแล้วหลายครั้ง แต่ถูกหัวหน้าหน่วยงานคะยั้นคะยอให้รับ จนต้องยอมรับมาก่อน สุดท้ายได้นำเงินก้อนนั้นไปแบ่งแจกจ่ายให้น้อง ๆ ในหน่วยงานส่วนหนึ่ง เก็บไว้ส่วนหนึ่ง อยากทราบว่าเงินที่เรารับมานี้มีความผิดข้อหาเป็นการฉ้อราษฎร์บังหลวงหรือไม่ ? หรือจะถูกจารึกชื่อในบัญชีคดีความของนายบัญชีในนรกหรือไม่ ? เพราะเกิดความไม่สบายใจในเงินที่ได้รับมาครับ

ตอบ :ผิดข้อหาฉ้อราษฎร์บังหลวงเต็ม ๆ เอาเป็นว่าคราวหน้ารับมาแล้วบริจาคเข้ามูลนิธิที่เป็นสาธารณกุศล อย่างเช่น ราชประชานุเคราะห์ สายใจไทย ชัยพัฒนา หรือศิลปาชีพก็ได้ เท่ากับว่าคืนหลวงไป ถ้าเราไม่รับ ต่อไปจะอยู่ยาก

ถาม : แล้วถ้าบริจาคให้พระศาสนา ?
ตอบ : คนละเรื่องกัน เงินอะไรที่เกี่ยวข้องกับราชการก็คืนให้กับราชการไป

เถรี
07-08-2012, 08:22
ถาม : แหวนจักรพรรดิ (ทองคำ) สมัยพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ เป็นรุ่นที่เขียนใต้ท้องแหวนว่า "พระราชพรหมยาน" ถ้าไม่ใช่แบบท้องตัด (ขยายขนาดใส่ได้ทุกขนาดนิ้ว) จะถือว่าเป็นของแท้ได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าท้องไม่ตัดแสดงว่าเป็นของแท้ แต่ถ้าท้องตัดเป็นของปลอม เพราะของแท้ที่มีจารึกชื่อ จะไม่มีการตัดใต้ท้อง แต่ถ้าตัดใต้ท้องจะไม่มีการจารึกชื่อ ส่วนใหญ่ตัดใต้ท้องจะเป็นโลหะชุบทอง แต่ถ้าไม่ตัดใต้ท้องและมีจารึกชื่อ จะเป็นแหวนทองคำแท้

เพราะฉะนั้น..ถ้าจารึกชื่อแล้วตัดใต้ท้องมา ปลอมแน่นอน แต่ถึงจารึกชื่อแล้วไม่ตัดใต้ท้อง ก็ไม่แน่ว่าจะแท้

ถาม : หมายความว่าอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็เขาทำเลียนแบบได้

เถรี
07-08-2012, 08:27
ถาม : ขอคำแนะนำเรื่องการแขวนพระครับ คือผมมีพระหลายองค์ ผมอยากแขวนพระองค์เดียว แต่ก็มีความรักพี่เสียดายน้องครับ ที่เสียดายเพราะเรื่องอานุภาพครับ องค์นั้นดีอย่างนั้น องค์นั้นดีอย่างนี้ องค์นั้นเด่นเรื่องนั้นเรื่องนี้ พระอาจารย์พอจะมีวิธีแนะนำการอาราธนาคุณพระ มาอยู่ในพระเครื่องเพียงองค์เดียวได้ไหมครับ ?
ตอบ : ยาก..เอาวิธีง่าย ๆ ดีกว่า ทำสลากขึ้นมา แต่ละวันก็จับสลากว่าจะแขวนพระองค์ไหน..!

ถาม : อย่างนี้มีวิธีไหมครับ ?
ตอบ : มี..แต่คนถามยังทำไม่ได้หรอก

ถาม : เผื่อคนทำได้ครับ
ตอบ : ถ้าคนทำได้ ก็ตั้งพิธีบวงสรวง อาราธนาพระท่านมาสงเคราะห์ทีเดียว ก็เท่ากับทำพิธีพุทธาภิเษกนั่นแหละ

ถาม : อย่างนี้เวลาพุทธาภิเษกเราอาราธนาเข้ามาในขันธ์ ๕ เลือดเนื้อ กระดูกร่างกายได้ไหมครับ ?
ตอบ : ท่านก็ให้ทำอย่างนั้นอยู่แล้ว

เถรี
07-08-2012, 08:30
ถาม : ผมได้ตะปูสังขวานรมา ว่าจะนำไปทำมีดหมอ โดยไม่เอาไปหลอม เอาตัวตะปูเป็นตัวมีดเลย แล้วไปให้เขาทำปลอกและด้ามมีดไว้ ไม่ทราบว่าต้องนำไปเข้าพิธีอีกหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ความเชื่อมั่น เพราะตะปูสังขวานรส่วนใหญ่จะใช้ยึดประตูโบสถ์ หรือประตูวัง ประตูตำหนัก เขาถือว่าเป็นของขลังในตัวอยู่แล้ว ถ้าเรามีความเชื่อมั่นก็ไม่ต้องนำไปเข้าพิธี แต่ถ้าไม่มีความเชื่อมั่นก็ให้เอาไปเข้าพิธีด้วย

แต่อยากจะแนะนำว่า ให้เอาไปหลอมแล้วตีใหม่จะดีกว่า เพราะส่วนใหญ่ตะปูสังขวานรเป็นของเก่า มีสนิมขุมกินตัวอยู่ ทำเป็นมีดเลยก็แปลว่าต้องขยันเช็ด ขยันขัดถูอยู่ทุกวัน เผลอหน่อยเดียวก็สนิมขึ้นแล้ว

ถาม : เขามีความเชื่อว่าตะปูสังขวานรเป็นของทนสิทธิ์ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าอยู่กับโบสถ์ เจดีย์ คนสวดมนต์ไหว้พระอยู่ทุกวัน พลังจิตจะบันทึกเข้าไปเอง ในส่วนของวังหรือตำหนัก เขาถือว่าผู้มีบารมีอาศัยอยู่ พลังของผู้มีบารมีย่อมแผ่มาถึงด้วย

ถาม : ถ้ามีความเชื่อไม่ต้องเข้าพิธี ?
ตอบ : ถ้ามั่นใจก็ไม่ต้อง

เถรี
07-08-2012, 08:36
ถาม : ผู้ที่มีเงินมากเป็นถึงมหาเศรษฐี แต่ตระหนี่กับตัวเอง เป็นเพราะทำกรรมอะไรคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ตระหนี่กับตัวเอง ต้องบอกว่าเป็นผู้ที่รอบคอบ จ่ายในสิ่งที่สมควรจ่าย ถ้าถามว่าทำกรรมอะไรไว้ ? ไม่ใช่กรรม..แต่เป็นสันดานของตนเอง เขาเรียกว่า มัจฉริยะ มีความตระหนี่ถี่เหนียวอยู่ในกมลสันดาน แบบเดียวกับพิฬารกเศรษฐี หรือไม่ก็มัจฉริยเศรษฐี ประเภทข้าวสามมื้อรวบกินเป็นมื้อเดียว ถึงเวลาจะทำขนมก็ต้องแอบไปทำกินอยู่คนเดียว อันนี้ไม่ได้ทำกรรมอะไรไว้ เป็นสันดานของเขาอย่างนั้นเอง

ถาม : ที่เขารวยมาได้เพราะอาจจะเคยทำบุญ ?
ตอบ : รวยมาได้เพราะเคยทำบุญใหญ่มาก่อน อย่างเช่น เศรษฐีที่ใช้ของดีไม่ได้ ใช้ผ้าใหม่ไม่ได้ นั่งรถหรือยานใหม่ไม่ได้ เพราะทำบุญโดยใช้ของเหลือของตัวเองแล้ว ที่เรียกว่าทาสทาน ต่อให้รวยแค่ไหนก็ใช้ของดีไม่ได้ ถึงเวลากินข้าวก็ต้องกินข้าวปลายเกวียน ก็คือปลายข้าวนั่นแหละ อาหารดี ๆ อย่างข้าวมธุปายาสกินไม่ได้ ต้องกินข้าวต้มกับน้ำผักดอง

พวกนี้ทำบุญผิดประเภท สละให้ด้วยของเหลือจากตนเองกินหรือใช้แล้ว ส่วนความขี้เหนียวนั้นเป็นนิสัยเฉพาะตัว ว่ากันไม่ได้

เถรี
07-08-2012, 09:08
ถาม : คุณตาเพิ่งเสียไปเดือนที่แล้วครับ อย่างนี้เวลาที่เราถวายสังฆทานต้องระบุชื่อเจาะจงทุกครั้งหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เจาะจงหรือไม่เจาะจงก็ได้จ้ะ แต่ถ้าเพื่อความมั่นใจเราเจาะจงไปก่อน หลังจากนั้นเราค่อยอุทิศทั่วไป จะให้ใครก็ได้

เถรี
07-08-2012, 09:13
ถาม : ศาลเพียงตาที่มีอยู่สูง ส่วนศาล ๔ เสาเตี้ย แล้วเราจะต่อเสาไม้ขึ้นไปประมาณนิ้วครึ่งได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่เกรงใจชาวบ้านจะหาว่าเราบ้า ก็ไม่เป็นไร ต่อไปเถอะ โดยทั่ว ๆ ไปแล้วคนเขาไม่เข้าใจกัน เขาจะตั้งศาลอากาศเทวดาเตี้ยกว่าศาลพระภูมิ กลายเป็นเจ้านายอยู่เตี้ยกว่าลูกน้อง ถ้าสถานที่นั้นเป็นหน่วยงาน จะทำให้ลูกน้องไม่ฟังเจ้านาย ทำตัวใหญ่กว่า ถ้าเป็นบ้านเรือนที่พักอาศัย เด็ก ๆ ก็ไม่ฟังผู้ใหญ่ แต่ว่าน้อยรายที่จะรู้ว่าศาล ๔ เสาเป็นศาลอากาศเทวดา ส่วนใหญ่เขาเรียกศาลตายายกัน

ถาม : แล้วเราจะต่อไม้ขึ้นไปสักนิ้วครึ่ง ?
ตอบ : ทำอย่างไรก็ได้ หนุนให้พื้นศาลสี่เสาสูงกว่าพื้นศาลเพียงตาก็แล้วกัน

เถรี
08-08-2012, 09:36
ถาม : หลวงพ่อ...บอกว่า อดีต ๕ กิโล อนาคต ๕ กิโล ปัจจุบัน ๕ กิโล ไม่เอาอดีตกับไม่เอาอนาคต ก็หมดไป ๑๐ กิโล เหลือปัจจุบันท่านบอกให้ทิ้ง ปัจจุบันเหลือ ๕ กิโล แล้วปัจจุบันทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : สักแต่ว่ารับรู้เฉย ๆ

ถาม : แล้วที่ว่าสักแต่รับรู้เฉย ๆ คือนิโรธ หรือนิโรธสัญญา ?
ตอบ : อยู่ที่ตัวเรา ถ้าหากว่าสภาพจิตไม่ปรุงไม่แต่งอะไรเลยก็เป็นนิโรธ ถ้าหากว่าปรุงแต่งอยู่เป็นบางครั้ง ก็ได้แค่นิโรธสัญญา

ถาม : แล้วนิโรธสัญญายังปรุงแต่งอยู่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จำได้ว่าต้องละ แต่ว่ายังต้องอาศัยอยู่ ก็เลยเป็นนิโรธสัญญา

ถาม : เหมือนลืมชั่วคราวใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถึงเวลาก็ทำหน้าที่ของเราไป ทำหน้าที่เสร็จก็วางทิ้งไปเลย

เถรี
08-08-2012, 09:47
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้วิหารพระศาสดาเปิดนะจ๊ะ ปีหนึ่งเปิดครั้งเดียวคือวันเข้าพรรษา แต่เจ้าหน้าที่ขอร้องว่าให้ไปช่วงบ่าย เพราะช่วงเช้าจะเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่ไปกราบพระศาสดากัน

วิหารพระศาสดา วัดบวรนิเวศวิหาร อยู่เลยพระเจดีย์ไพรีพินาศไป ถัดจากพระเจดีย์ไพรีพินาศเข้าไปจะเป็นวิหารเก๋ง แล้วถัดไปจะเป็นวิหารพระศาสดา หลังวิหารพระศาสดาจะเป็นพระนอนที่สวยที่สุดในประเทศไทย องค์เล็ก ๆ ยาวประมาณ ๑ วา แล้วด้านหลังของวิหารพระนอนก็เป็นเรือนโพธิ์"

เถรี
08-08-2012, 09:49
พระอาจารย์กล่าวว่า "ผู้ใหญ่ต้องทำตัวเป็นตัวอย่าง แล้วเด็กเขาจะตาม เรานั่งอ่านหนังสือทั้งวัน เด็กก็สงสัยว่ามีอะไรดี ก็เอามาอ่านบ้างเท่านั้นเอง"

ถาม : ตอนนี้เขาอ่านมากขึ้นแล้วค่ะ แต่ยังอ่านแต่หนังสือการ์ตูน
ตอบ : ไม่เป็นไร..จะเป็นการ์ตูนหรือเป็นหนังสืออะไรก็ได้ แรก ๆ เขาจะชอบอย่างนั้น เดี๋ยวโตขึ้นเขาพัฒนาได้เอง สมัยเด็ก ๆ อาตมาก็ดูแต่การ์ตูน สมัยนั้นการ์ตูนก็มีแค่ หนูจ๋า เบบี้ ตุ๊กตา อย่างอื่นก็ไม่มี

เถรี
08-08-2012, 10:00
พระอาจารย์พูดถึงไข่แก้วว่า "อาตมาข้ามไปฝั่งพม่าแล้วผีมาบอกว่า ให้ช่วยมาเอาแก้วลูกนี้ไปที เขาจะไปเกิดแล้ว ไข่แก้วที่เอามาหน้าตาเหมือนกับไม้กลายเป็นหิน อะไรทำนองนั้น พอส่องดูออกเขียว ๆ แต่เมื่อเกลาออกมาใสปิ๊งเลย

สรุปว่าน่าจะเป็นมรกตนะ แต่สภาพความแข็งดู ๆ แล้วเหมือนพวกยางไม้ที่เป็นอำพันมากกว่า นี่ยังไม่รู้ราคาจริง ๆ เลย ถ้าเป็นมรกตจริง ๆ เขาบอกกะรัตละ ๘๐,๐๐๐ บาท"

เถรี
08-08-2012, 19:16
ถาม : ตอนนี้นั่งสมาธิได้ดีขึ้น อยากได้สมาธิลึก ๆ ค่ะ
ตอบ : อย่าอยาก..ถ้าอยากจะไม่ได้ ทำใจสบาย ๆ ว่า เรามีหน้าที่เพียงภาวนา จะเป็นสมาธิลึกตื้นอย่างไรก็ช่าง เพราะว่าตัวสมาธิจะต้องมีอุเบกขาอยู่ด้วย ตัวอุเบกขาก็คือตัวช่างหัวมัน ทำไปเรื่อย ๆ เรามีหน้าที่ทำ จะเป็นหรือไม่เป็นเรื่องของเขา คิดอย่างนี้จึงจะได้เร็ว

เถรี
08-08-2012, 19:38
ถาม : ผมเคยไปฝึกมโนมยิทธิมา ระหว่างที่เรากลับมาฝึกที่บ้าน หลวงพี่ท่านหนึ่งเคยบอกว่าเรานั่งอยู่ ให้เรานึกว่าเราไปที่วัดท่าซุง แต่ผมจำวัดท่าซุงไม่ได้ ผมจึงนึกถึงวัดสระเกศ ขึ้นไปที่พระบรมบรรพต ใช้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ใช้ได้..แรก ๆ ให้เอาสถานที่ซึ่งเราจำได้ก่อน หลังจากนั้นค่อยไปสถานที่ซึ่งเราจำไม่ได้ ระหว่างที่ใจของเราค่อย ๆ ไปทีละน้อย ๆ ก็เก็บรายละเอียดไปเรื่อย ถ้าที่เราจำไม่ได้ ไม่รู้จักมาก่อน อยู่ ๆ ก็เห็นชัด ให้จำว่าลักษณะเป็นอย่างไร แล้วไปดูด้วยตัวเอง ถ้าหากว่าตรงกับที่เห็นก็แปลว่าใช่ เราวางกำลังใจได้ถูกต้องแล้ว ให้ใช้กำลังใจอย่างนั้นทุกครั้ง

ถาม : ตอนแรกที่เราฝึก อย่างไปวัดสระเกศ เรารู้ว่าห้องไหนมีอะไรบ้าง หลังจากนั้นที่เราฝึก.. ?
ตอบ : หลังจากนั้นก็ลองวน ๆ ดูที่ซึ่งไม่เคยไปแถว ๆ นั้น พอได้รายละเอียดมากขึ้น ความเห็นชัดเจนปรากฏขึ้น เราก็จำเอาไว้แล้วก็ไปดูด้วยตาว่าใช่หรือไม่

ถาม : เรื่องเห็นหรือไม่เห็น ไม่ผิดปกติใช่ไหมครับ ?
ตอบ : มโนมยิทธิเป็นห้วงนึก ถามว่าเห็นใช่ไหม ? ไม่เห็น..เพราะไม่ได้เห็นด้วยตา แต่ว่าเห็นด้วยใจ เหมือนกับเรานึกถึงบ้าน เราเห็นบ้านชัด ๆ แต่ตาเห็นไหม ? ไม่ได้เห็นหรอก..หรือว่านึกถึงคนที่เรารู้จัก เห็นชัด ๆ เลยในห้วงนึกแต่ก็ไม่ใช่ตาเห็น

ถาม : ปกติถ้าเรานึกถึงภาพพระ อย่างผมจะนึกถึงสมเด็จองค์ปฐมปางนิพพานครับ นึกถึงท่านอยู่เหนือศีรษะ ?
ตอบ : ดีแล้ว..นึกว่าท่านอยู่เหนือศีรษะเราตลอดเวลา พระนิพพานก็อยู่แค่นั้นแหละ ไม่ได้ไกลเกินกว่านั้นหรอก

ถาม : บางทีท่านไม่ได้อยู่เหนือศีรษะ บางทีท่านอยู่ด้านหน้า ?
ตอบ : จะอยู่ที่ไหนก็ไม่เป็นไร ให้เรานึกได้ก็แล้วกัน

เถรี
08-08-2012, 20:43
พระอาจารย์กล่าวสอนแม่ของเด็กว่า "เคยได้ยินคำว่า "ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ" ไหม ? อย่าไปใส่ใจ พักเดียวเดี๋ยวเขาก็เลิก ถ้าไปให้ความสนใจทุกเรื่อง เด็กเขาเรียกร้องความสนใจด้วยการทำไปเรื่อย ถ้าเราทำไม่รู้ไม่ชี้ ไม่สนใจ คุยกับคนอื่นไป เดี๋ยวเขาก็กลับแล้ว เราเป็นคุณแม่ลูกสองแล้ว แต่ยังไม่รู้ธรรมชาติของเด็กเลย"

เถรี
09-08-2012, 05:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "การขัดแต่งสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอกนั้น มีอยู่ ๒ จุดที่ต้องสกัดออก แล้วเสริมใหม่ พวกบรรดาวิศวกรที่มาบวชเขาแนะนำว่าให้ใช้กัมกรีตแทน เพราะนอกจากจะปิดรอยต่อแล้ว ยังรับน้ำหนักได้ด้วย ก็ถือว่าเป็นความก้าวหน้าทางวัสดุอย่างหนึ่ง

คราวนี้ที่เทคอนกรีตแล้วออกมาไม่ดีเพราะว่าคนช่วยเยอะเกินไป แทนที่จะยกตรง ๆ ขึ้นไปยังองค์พระแล้วเทเลย กลับต้องวนรอบองค์พระแล้วค่อยเลื้อยขึ้นไป กลายเป็นว่าหินตกลงก้นถัง ปูนกับน้ำก็ลอยหน้าไป ถ้าเทปูนออกมาจากรถโม่แล้วยกขึ้นเลยจะไม่มีปัญหา คนที่มาช่วยงานอยากได้บุญกันทุกคน ก็เลยใช้วิธีวนให้ครบทุกมือก่อน จึงทำให้เทพระออกมาไม่ได้ดีอย่างใจ ต้องมาซ่อมกัน

แต่เห็นแล้วก็ปลื้มใจอยู่อย่างว่า คนที่ยินดีในบุญยังมีมากมหาศาล แต่ละคนที่มานั้นไม่ต้องเรียกร้อง ตอนแรกพระท่านบอกว่า ให้ไปขอแรงทหารตำรวจมาช่วยกันเท อาตมาบอกว่าไม่ต้อง ถ้าหากว่าเป็นงานของ "พระท่าน" คนจะไม่ขาด แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ พวกบรรดาญาติโยมที่ขับรถผ่านไปผ่านมา พอเห็นก็จอดรถทิ้งไว้ มาเทปูนกันก่อน รถเกะกะหน้าวัดเต็มไปหมด

อาตมาเห็นว่าทำให้การจราจรไม่สะดวก แต่พอออกเสียงตามสายว่าไป ตำรวจบอกว่า "ไม่เป็นไรครับอาจารย์..เดี๋ยวผมดูแลให้" สรุปว่าตำรวจเขายินดีให้เกะกะ ก็เลยช่วยกันทำ ช่วยกันเท ช่วยกันมากจนเกินเหตุ น่าจะเป็นองค์เดียวที่เสร็จภายใน ๙ วัน เพราะที่อื่นเทกันเป็นเดือน ๆ ทั้งนั้นเลย

ที่อื่นเรื่องวัสดุก่อสร้างกับแรงงานไม่เต็มที่เหมือนของวัดเรา อย่างคอนกรีตเราสั่งแค่ข้ามถนนมาเอง เขาอยู่ฝั่งตรงข้ามหน้าวัด แรงงานที่เกินมามากคือเด็กนักเรียน จะไปใช้งานหนักกับเด็ก ๆ ก็ไม่กล้า ต้องให้ไปหิ้วกระป๋องเปล่าแทน"

เถรี
09-08-2012, 05:23
"การบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่สมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก ต้องบอกว่าบรรจุไปนับองค์ไม่ถ้วน เฉพาะของส่วนตัวที่ใส่โถเบญจรงค์ไปก็ ๔ โถ แล้วยังของญาติโยมที่ถวายมาทั้งเจดีย์อีก แต่ว่าของมีค่าที่ถวายเป็นพุทธบูชานั้น ต้องบอกว่าอลังการมาก เสียดายไม่มีอารมณ์ถ่ายรูปเพราะมีจำนวนมากจนเกินไป นอกจากพวกแก้วแหวนเงินทองแล้ว ก็ยังมีพระสำคัญ ๆ อีก

คุณกิจพัฒน์ ศรีสุโข ถวายสมเด็จวัดระฆังกรอบทองมา ๑ องค์ ลูกสาวคือคุณจิตรัตน์ ศรีสุโข ถวายสมเด็จองค์ปฐมรุ่น ๑ เลี่ยมทองมา ๑ องค์ คุณปิยมงคล โชติกเสถียร นอกจากเป็นเจ้าภาพใหญ่ในการสร้างองค์พระแล้ว ยังถวายเหรียญพระแก้วมรกตทองคำเลี่ยมทอง ๑ เหรียญ ผอบทองคำ ๑ ใบ และพระแกะสลักจากอัญมณีอีกหลายองค์ ป้าติ๋มถวายพระนาคปรกทองคำ ๑ องค์ ส่วนทิดจิตรถวายพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านรุ่น ๒ เนื้อทองคำเลี่ยมทองด้วย ปลดจากคอมาถวายเดี๋ยวนั้นเลย เห็นกำลังใจแล้วน่าโมทนาอย่างยิ่ง

พระพุทธรูปที่บรรจุลงไปน่าจะหลายคันรถกระบะ ตอนแรกเห็นเขาวางตั้ง ๆ ไว้ คิดว่ารถสิบล้อไม่พอขนแบบนี้จะบรรจุไหวหรือ ? ปรากฏว่าลงไปหมดแล้วยังเหลือที่ว่างอีกตั้งเยอะ แสดงว่าพระเศียรท่านมโหฬารมาก ดูจากข้างล่างเห็นว่าเล็กนิดเดียว พระพุทธรูปนาคปรกฉลอง ๒,๖๐๐ ปีพุทธชยันตี ลงไปทั้ง ๒ รุ่นเลย นาคไทยลงไป ๒ องค์ และนาคขอมลงไปองค์หนึ่ง ไม่รู้ว่าของใครบ้าง รู้สึกว่ามีลูกกวางเป็นเจ้าของนาคไทยองค์หนึ่ง

พี่น้องมอญพม่าไปบูชาพระอุปคุตในลักษณะที่เรียกว่าพระบัวเข็มหน้าตัก ๙ นิ้ว บรรจุลงไปน่าจะ ๔๐ - ๕๐ องค์เห็นจะได้ ต้องบอกว่านั่นเขาตั้งใจบูชามาเพื่อบรรจุโดยตรงเลย ส่วนอาตมาจะเก็บเอาพระสังฆทานทั้งหมดที่ญาติโยมถวายมาบรรจุลงไป ตอนแรกคิดว่าไม่น่าจะหมด ปรากฏว่ายังเหลือพอให้ลงไปได้อีกเป็นคันรถกระบะเลย แต่ของหมดเสียก่อน จึงทำการผูกเหล็กปิดแล้วเทคอนกรีตทับไป"

เถรี
09-08-2012, 05:28
"มีอยู่ส่วนหนึ่งที่บรรจุไป ก็คือ พวกเพชรพลอยที่ญาติโยมถวายมาบูชาพระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว อาตมาตั้งบูชาให้เขามาเป็นปี ๆ แล้ว คราวนี้การที่จะเก็บข้าวของพวกนี้ไว้ก็เก็บยาก จะบรรจุลงในเจดีย์ร่วมกับพระบรมธาตุก็ไม่มีสถานที่ ไม่เหมือนกับสร้อยทองคำซึ่งแขวนได้ ท้ายสุดก็เลยคิดว่าในเมื่อบูชาท่านมานานเนกาเลแล้ว ก็ถือว่าสมเจตนาของเขาแล้ว ที่เหลือจึงเอาบรรจุสมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่ไปเลย ไม่ได้แปรเจตนาของเขาหรอก แค่ย้ายที่เก็บเท่านั้น..!

โดยเฉพาะเพชรถ้าหลุดไปสักเม็ดหนึ่ง อาตมาก็ไม่รู้ว่าจะหาคืนมาอย่างไร มีโยมท่านหนึ่งถวายมา ๑๐๘ เม็ด เม็ดละ ๑ กะรัต อีกท่านหนึ่งถวายพลอยเขียวส่องของจันทบุรีมา ๒๐ เม็ด ของราคาสูง ๆ แบบนี้ต้องรีบลงบรรจุเสียก่อน ถ้าอยู่กับอาตมานานไปเดี๋ยวดูแลรักษายาก ตอนนี้ก็เหลือแต่ตกแต่งและทำสถานที่ ก็คือแท่นตั้งองค์พระให้เรียบร้อยเท่านั้น"

เถรี
09-08-2012, 15:52
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ที่วัดกำลังสั่งสร้างกุฏิมือถือ ไม่ได้แปลว่าถือได้นะจ๊ะ แต่หมายถึงกุฏิสำเร็จรูปที่ประกอบง่าย ๆ เพราะว่าปีนี้พระเกินจำนวนกุฏิ หลวงปู่สายท่านสร้างกุฏิไว้แค่ ๔๐ ห้อง แต่ปีนี้พระของเรา ๕๑ รูป เณรอีก ๑ รูป ล้นจนต้องไปนอนที่ตึกแดง ก็เลยสั่งกุฏิมือถือเขาไป ๑๐ หลัง

เขาบอกว่าแต่ละหลังใช้เวลาประกอบประมาณ ๔ วัน แต่ว่ามาแล้วไม่ใช่พระใหม่จะได้ ตามพระวินัยต้องให้พระเก่าก่อน ส่วนพระใหม่ก็รอ ถ้าพระเก่า ย้ายออกจากห้องแถวเมื่อไรก็เสียบแทนไป"

เถรี
09-08-2012, 16:02
พระอาจารย์บอกว่า "งานวันที่ ๑๒ สิงหาคมนี้มีหนังสือใหม่แจก ๑ เล่ม ถ้าไม่ไปก็ต้องไปซื้อเอาทีหลัง หนังสือชื่อ สัพเพเหระ ๑ จะมีเล่มต่อไปเรื่อย ๆ "

เถรี
10-08-2012, 11:56
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนมีโยมส่งรูปงูกินงูมาให้ดู เขาบอกว่าตกใจ..ไม่เคยเห็น แสดงว่าเกิดมาไม่เคยอยู่บ้านนอกเลย งูกินงูนี่เป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะงูจงอางจะเลือกกินงูพิษด้วย เวลางูจงอางอยู่ที่ไหน งูอื่นไม่ค่อยเหลือหรอก โดนกินเกลี้ยงเลย

ตอนนี้ที่วัดท่าขนุนไม่ต้องไปหางูอื่นหรอก เหลือแต่งูจงอางกับงูเห่า คู่นี้ก็ไม่รู้เมื่อไรจะกินกันเองเสียที..!

เวลางูกินกัน บางตัวก็สู้ อยู่ในลักษณะต่างคนต่างงับหางอีกฝ่ายได้ ปกติเวลางูจงอางกินงูอื่นจะกัดเขาก่อน ถ้าพิษออกเร็ว งูอื่นจะหมดแรงแล้วก็ตายให้งูจงอางกิน แต่บางทีเป็นงูพิษต่องูพิษด้วยกัน ต่างคนต่างงับอีกฝ่ายหนึ่งได้ กินจากปลายหางเข้าไป กินไป ๆ จนกระทั่งสุด ก็กลายเป็นวงกลม

ทางพวกเล่นของขลังธรรมชาติเขาหากันนักหนา เรียกว่า นาคบาศ นาคบาศเขาถือว่าเป็นบ่วงบาศที่เกิดจากพญานาค
เป็นอาวุธของท้าวเวสสุวรรณ เอาไว้ปราบผี เขาจะเอามาลงเลขลงยันต์ปลุกเสกตามตำรา แล้วก็เอาไว้กันผี ก่อนจะทำก็ต้องไปปิ้งให้แห้งก่อน"

เถรี
10-08-2012, 12:01
เคยดูคลิปวิดีโองูจงอางกินงูเหลือม งูเหลือมเสร็จงูจงอางเพราะพิษสู้เขาไม่ได้ งูจงอางกัด งูเหลือมรัด งูจงอางไม่สนใจหรอกว่าจะโดนรัด กัดคาไว้แล้วนอนนิ่งเลย สักพักหนึ่งพิษออกฤทธิ์ งูเหลือมหงิก ก็โดนจงอางเขมือบ

ถาม : เคยเห็นเขาจับงูเหลือม เอาเชือกกล้วยคล้องแล้วงูเหลือมตัวใหญ่ทีเดียว หมดแรงไปเลย แต่ไม่เคยเห็นคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ว่าเป็นเพราะอะไร ?
ตอบ : อธิบายไม่ได้ ของแพ้ทางกัน แบบเดียวกับอีแร้งกับไม้โสน แร้งเป็นนกที่อึดมาก ต่อให้ตีด้วยกระบองเต็ม ๆ ก็เอาไม่อยู่ แต่พอโดนไม้โสนตีแล้วอยู่หมัด เป็นของที่แพ้กัน เด็กบ้านนอกจะรู้

เด็กบ้านนอกสมัยก่อนซนวิตถารทั้งนั้นแหละ เอากลอยมาตำผสมน้ำแล้วไปราดไว้ที่หมาตาย พอแร้งมากินหมาก็เมา ค่อยเอาไม้โสนไปไล่ตี ถ้าเอาไม้อื่นตีนกแร้งจะหนีไปได้ ถ้าเอาไม้โสนตีจะเสร็จอยู่ตรงนั้นแหละ เด็กก็ตีไปเรื่อย หกล้มหกลุก ตอนนั้นเอาแต่สนุกอย่างเดียว ไม่รู้เรื่องของบาปบุญอะไรหรอก

เถรี
10-08-2012, 12:15
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก..แสดงว่าบ้านเราเย็นดี เขาเลยมาอาศัยอยู่ โบราณเขาว่าสัตว์เข้าบ้านเป็นมงคล เพียงแต่ถ้าไม่อยากให้เขาเข้าบ้านก็ดูแลรอบบ้าน ถ้าโล่งเตียนเขาก็ไม่มารบกวน ถ้ารอบบ้านรกเขาจะมาถึงที่เลย วันก่อนที่บ้านวิริยบารมีก็เพิ่งจะตัดต้นโสนไป พอกิ่งพาดขึ้นบนกำแพงแล้ว งูฝั่งนั้นก็เลื้อยข้ามมาเที่ยวบ้านเราอยู่ทุกวัน ถ้าบ้านไม่รกเขาก็ไม่มาหรอก ถ้ารกเมื่อไรก็มาเมื่อนั้น

แล้วที่อัศจรรย์ก็คือ งูเหลือมที่กรุงเทพฯ ตัวใหญ่ ๆ ทั้งนั้น มีหมามีแมวเป็นอาหาร ที่นี่วันก่อนก็มีงูเหลือมมาตัวหนึ่ง ใหญ่ประมาณแขน ถือว่าเป็นลูกงูเหลือมอยู่ แต่ตัวขนาดนี้รัดคนตายได้สบาย

มีชาวบ้านที่เขาจับงูเหลือมได้ โดยที่เขาไม่รู้ว่างูเหลือมจริง ๆ แล้วมีนิสัยดุ จับได้แล้วเอามาพันคอเล่น งูก็เลยรัดเสียตายเลย ทั้ง ๆ ที่งูเหลือมตัวประมาณแขนนี่แหละ ที่เขาเอามาพันคอเล่นส่วนใหญ่เป็นงูเลี้ยง แต่นี่เป็นงูธรรมชาติ โดยเฉพาะกำลังตื่นเต้นที่คนไปไล่จับ มีโอกาสก็รัดเลย

ปกติแล้วงูมักจะนอนเกือบทั้งวัน งูที่นอนอยู่เราเอาไปพันอะไร ก็พันอยู่นั่นแหละ เพราะว่ายังหลับอยู่ แต่คนไม่รู้ว่างูหลับเพราะว่างูไม่มีเปลือกตา อย่างมากก็มีหนังบาง ๆ อยู่ชั้นหนึ่ง ถึงเวลาเลื่อนลงมาปิดตา ถ้าไม่สังเกตคนก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น..ตอนงูหลับเราจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ถึงเวลาลูบ ๆ ให้รู้ตัวหน่อยแล้วค่อย ๆ ดึง พาไปไหนก็ไปได้ เขาจะเลื้อยตามไปเรื่อย แต่ถ้างูตื่นอยู่เต็ม ๆ นี่ไวอย่าบอกใครเลย

เถรี
10-08-2012, 12:22
เมื่อช่วงที่อาจารย์สมพงษ์ยังเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนอยู่ งูเหลือมใหญ่เข้ามากินไก่ รัดไก่ตายไป ๔ ตัว พระจะเข้าไปจับงู ปรากฏว่าโดนงูไล่ฉกจนต้องเผ่นกันหมด ท่านแป๊ะกับท่านไก่เผ่นเข้ากุฏิอาจารย์สมพงษ์แล้วดันล็อกประตูไว้ คนอื่นเข้าไม่ได้ก็วิ่งกันกระเจิง

พระครูน้อยวิ่งไปเรียกอาตมาที่กุฏิเรือนไทย บอกว่า "อาจารย์ครับ..งูเหลือมไล่..!" อาตมาก็เลยต้องออกมาจับงูใส่กระสอบ เวลาที่คนไปวิ่งสับสนแล้วงูจะตกใจ พออาตมาไปถึง งูยกหัวขึ้นจะฉก อาตมาเอามือตบหัวงูทีหนึ่งแล้วก็วางกระสอบลง งูเห็นมืด ๆ ก็มุดเข้าไป ท่านวสันต์เห็นตอนที่งูยกหัวขู่ อาตมาก็ยกมือตบบอกว่า “ทะลึ่ง..! เข้าไป” งูก็มุดเข้าไป ท่านวสันต์บอกว่า “ผมรู้คาถาของอาจารย์แล้ว คาถาอาจารย์คือ ทะลึ่ง..! เข้าไป”

ขนาดเอางูไว้ในกระสอบแล้วเขายังไม่กล้าหิ้วกันเลย เพราะตัวใหญ่มาก ถ้าเราไปพรวดพราดโดยคิดจะทำอันตราย งูเขาสัมผัสได้ เขารู้เขาจะป้องกันตัว ถ้าเราไม่คิดร้ายเขา อาการเคลื่อนไหวจะเป็นคนละอย่างกัน แต่งูเขารู้ สัตว์ทุกชนิดจะดูออก

เถรี
10-08-2012, 12:26
ถาม : พระคำข้าวของหลวงพ่อ ท่านบอกว่ากันรังสี..(ไม่ได้ยิน)..จะกันคลื่นโทรศัพท์ด้วยไหมครับ ?
ตอบ : ก็อธิษฐานขอเอาสิ อย่างอื่นยากกว่านั้นยังป้องกันได้เลย อยู่ที่เราอธิษฐานขอให้ช่วยป้องกันให้ด้วย

ถาม : สร้างพระแล้ว...(ไม่ได้ยิน)...แก้ไขอย่างไร ?
ตอบ : คงแก้ไม่ได้แล้วเพราะสร้างเสร็จไปแล้วนี่ เหลืออย่างเดียวก็คือ หาทางชำระหนี้สงฆ์เอาก็แล้วกัน เพียงแต่ว่าโทษย้ายเจดีย์โดนไปเต็ม ๆ แล้ว

ถาม : ถ้าสร้างพระหน้าตัก ๔ ศอกแทน จะแก้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : แก้ได้ไม่หมด ส่วนที่เป็นหนี้สงฆ์แก้ได้ แต่ส่วนที่เป็นโทษการย้ายเจดีย์ ที่เราเอาเงินเขาไปทำอย่างอื่นนั้นแก้ไม่ได้

ถาม : โทษย้ายเจดีย์ปรับเฉพาะพระหรือฆราวาสด้วยครับ ?
ตอบ : ใครทำก็โดนทั้งนั้น

ถาม : สองคนก็เกี่ยงกันว่าหน้าที่ใคร
ตอบ : ปล่อย..เดี๋ยวลงข้างล่างก็รู้เอง..!

เถรี
10-08-2012, 13:14
พระอาจารย์กล่าวถึงพระไพรีพินาศว่า "ถ้าหนังสืออนุญาตจากวัดบวรฯ มาถึงก็จะสร้างเลย จะสร้างฉลองสมเด็จพระสังฆราชครบ ๑๐๐ พรรษา ซึ่งจะครบรอบปีหน้า คราวนี้กาญจนบุรีเป็นชาติภูมิ ก็คือเป็นที่เกิดของสมเด็จพระสังฆราช เพราะฉะนั้นวัดต่าง ๆ ของกาญจนบุรีก็ได้รับการขอร้องว่า ถ้ามีความสามารถพอให้ทำโครงการถวายสมเด็จพระสังฆราช ๑๐๐ ปีด้วย

คิดว่าทำขนาด ๙ นิ้ว , ๓ นิ้วก็พอนะ องค์ ๙ นิ้วทำไว้กันผีหลอกสัก ๑๐๐ องค์ก็พอ"

เถรี
10-08-2012, 13:35
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้เป็นวันเข้าพรรษา การเข้าพรรษานั้น คือ การที่พระจะต้องอยู่ประจำที่ ในช่วงฤดูฝนตลอด ๓ เดือน แต่บ้านเราถือฤดูกาลตามอินเดีย ซึ่งทำให้ไม่ตรงกัน เพราะว่าฤดูฝนของอินเดียจะมาช้ากว่าของเรา เนื่องจากประเทศอินเดียแล้งมาก ประเทศเราฝนมาตั้งแต่เดือน ๖ แล้ว แต่อินเดียฝนมาเดือน ๘ ก็เลยช้ากว่ากันไป ๒ เดือน

คราวนี้การที่พระจำพรรษา ถ้ามีกิจจำเป็นพระพุทธเจ้าอนุญาตให้ไปได้ แต่ว่าไปได้ไม่เกิน ๗ วัน ก็คือ ถ้าพ่อป่วย แม่ป่วย ครูบาอาจารย์ป่วย ไปช่วยรักษาพยาบาล ช่วยดูแลได้ เพื่อนสหธรรมิกที่อยู่ต่างวัดจะสึก ไปเพื่อห้ามปรามได้ ข้อนี้หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า ปัจจุบันนี้ไม่ต้องไปห้ามหรอก ปล่อยให้สึกไปเถอะ ที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้พระไปห้ามในครั้งนั้น เพราะท่านทราบว่าพระรูปนั้นถ้าบวชอยู่ต่อไปจะบรรลุอรหัตผล สมัยนี้อยากสึกให้เขาสึกไป

ข้อต่อไปคือ วัดชำรุด ไปหาทัพพสัมภาระมาเพื่อซ่อมวัด สมัยนี้ไม่ต้อง โทรศัพท์สั่งร้านวัสดุก่อสร้างก็มาส่งถึงที่เลย ข้อสุดท้ายคือ ได้รับกิจนิมนต์ไปเพื่อเจริญศรัทธา เพราะสมัยก่อนเดินทางกันไกล เดินเท้าเป็นส่วนใหญ่ อย่างดีก็ขี่เกวียนไป แล้วระยะเวลาบางทีหลายวัน อย่างการมารับสังฆทานนี่ก็ถือว่าอยู่ในการมาเจริญศรัทธาญาติโยม"

เถรี
10-08-2012, 13:42
"มีบางอย่างที่ปัจจุบันนี้พระขอสัตตาหะ แล้วเกิดการสงสัยว่าไม่ได้อยู่ในพระบรมพุทธานุญาต อย่างเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วไปอยู่โรงพยาบาล และการลาไปเพื่อศึกษาเล่าเรียน ความจริงพระพุทธเจ้าท่านมอบมหาปเทส ๔ ก็คือข้ออ้างใหญ่ ๔ อย่าง ไว้สำหรับตีความพระธรรมวินัย เหมือนกับการตีความกฎหมาย

มหาปเทส ๔ ท่านกล่าวไว้ว่า
สิ่งใดที่ไม่สมควร พิจารณาแล้วว่าไม่สมควร สิ่งนั้นย่อมไม่สมควร
สิ่งใดไม่สมควร พิจารณาแล้วว่าสมควร สิ่งนั้นย่อมสมควร
สิ่งใดสมควร พิจารณาแล้วสมควร สิ่งนั้นย่อมสมควร
สิ่งใดสมควร แต่พิจารณาแล้วไม่สมควร สิ่งนั้นย่อมไม่สมควร

เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของการไปรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล โดยสัตตาหะกรณียะ เราพิจารณาดูว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้อนุญาต แปลว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมควร แต่พิจารณาแล้วว่าสมควร สิ่งนั้นย่อมสมควร ก็คือควรที่จะไปได้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวตายคาวัด..!

การลาไปศึกษาเล่าเรียน ส่วนใหญ่พระไปศึกษาเกี่ยวกับหลักธรรมวินัยต่าง ๆ เพื่อเอามาปฏิบัติเองบ้าง ศึกษาเข้าใจแตกฉานแล้วไปสอนคนอื่นต่อบ้าง เป็นการเกื้อพระศาสนาด้วย ในเมื่อพระพุทธเจ้าไม่ได้อนุญาตไว้ ถือว่าไม่สมควร แต่พิจารณาแล้วว่าทำไปเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ดังนั้นก็สมควรที่จะอนุญาตให้ไปได้

แต่ปัจจุบันนี้พระไม่ได้พิจารณาเรื่องนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าจะไปก็สัตตาหะไว้ก่อน กลายเป็นว่าผิดพระวินัยโดยเจตนา"

เถรี
11-08-2012, 07:49
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยอยู่วัดท่าซุงมีเรื่องตลกอยู่ ก็คือ ในพรรษาพระอยากกลับบ้าน คิดถึงบ้าน แต่ไปไม่ได้เพราะข้ออ้างไม่มี ก็เลยเขียนจดหมายไปบอกทางบ้านว่า ให้ส่งจดหมายมานิมนต์ด้วย เพราะสมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ พอพระไปขออนุญาตลา หลวงพ่อท่านก็พูดดักคอเอาไว้ พระก็อายจนกระทั่งไม่กล้าไป เพราะหลวงพ่อรู้ว่าไปขอให้ทางบ้านเขียนจดหมายมานิมนต์

สมัยนั้นอย่างดีก็มีโทรศัพท์บ้าน แล้วโทรศัพท์บ้านก็ขอยากเย็นเข็ญใจมาก วางมัดจำไป ๓,๐๐๐ บาท รอไป ๗ ชั่วโคตรกว่าจะได้ โทรศัพท์มือถือรุ่นแรกที่มาใหญ่ประมาณกระเป๋าเอกสาร มีตัวโทรศัพท์เกาะอยู่ข้างกระเป๋า จำได้ว่าเป็นยี่ห้อฮ็อตไลน์ ของอิริกสัน ตอนนั้นเครื่องละ ๘๐,๐๐๐ บาท ต้องตั้งเสาที่วัดก่อนถึงจะมีสิทธิ์ใช้ได้

ตอนที่ตั้งเสา พอช่างตั้งเสร็จสรรพเรียบร้อยก็จะบอกวิธีใช้ ซึ่งวิธีใช้สลับซับซ้อนมาก จำเป็นที่จะต้องมีคนศึกษาและจดจำเอาไว้ให้ได้ เพื่อถึงเวลาจะได้ไปกราบเรียนหลวงพ่อวัดท่าซุงให้ทราบว่าเครื่องนี้ใช้อย่างไร พระทั้งวัดก็ชี้นิ้วมาที่อาตมา “เอ็งจำแม่น..ไปเลย”

เถรี
11-08-2012, 07:55
"อาตมาก็ไปฟังเจ้าหน้าที่อธิบาย เสร็จเรียบร้อยก็ทวนวิธีใช้ แล้วก็ทำให้เขาดูว่าถูกต้องหรือไม่ พอเขาก็ยืนยันว่าถูกต้อง เขาก็กลับกรุงเทพฯ ไป พอหลวงพ่อท่านรับสังฆทานที่กรุงเทพฯ วันอังคารเดินทางกลับมา อาตมาเห็นท่านพักผ่อนพอแล้ว จึงเข้าไปกราบเรียนท่านว่า ช่างเขามาติดโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้แล้ว จะขออนุญาตกราบเรียนบอกวิธีใช้งานให้ หลวงพ่อท่านก็ “เออ..ว่าไป”

อาตมาก็ทวนวิธีใช้งานแต่ละอย่าง ๆ ให้ท่านทราบ เสร็จสรรพเรียบร้อย “ไหน..ว่าใหม่อีกทีซิ” ก็เสร็จทวนเรียบร้อยอีกรอบ “เออ..ใช้ได้ ช่างไปบอกข้าที่สายลมแล้ว” เกือบตาย..! ช่างไปกราบเรียนบอกวิธีใช้ให้หลวงพ่อที่บ้านสายลมเรียบร้อยแล้ว แต่ท่านเองมาทดสอบว่าอาตมาจำได้จริงหรือไม่ เจอไป ๒ รอบ ถ้าบอกผิดนี่โดนแน่ ๆ เลย มานึกถึงตอนนี้แล้วยังรู้สึกว่าน่าสยดสยองมาก ว่าถ้าเกิดลืมนี่แย่แน่..!"

เถรี
11-08-2012, 07:59
ถาม : พระเล่นหวยใต้ดินผิดไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเล่นตรงก็ไม่ผิด ถ้าเล่นไม่ตรงก็ผิด อย่างเช่นงวดที่ผ่านมา ถ้าเล่น ๕๐ หรือ ๙๐ ก็ไม่ผิด..(หัวเราะ)..ถามมาพระก็ตอบตรงไปตรงมา

ถ้าพระเล่นหวยเขาปรับอาบัติปาจิตตีย์ ไม่เอื้อเฟื้อพระวินัยได้ ปรับกระทำสิ่งประหนึ่งฆราวาสได้ ปรับข้ออเนสนา หาเลี้ยงชีพในทางมิชอบได้ เพราะฉะนั้น..ศีลขาดไปแล้ว

อาตมาเองโดนโยมเขาชวนซื้อหวยออกจะบ่อยไป ก็บอกโยมว่าซื้อไม่ได้หรอก เจ้าอาวาสวัดนี้โหดมาก ถ้าหากว่าพระเล่นหวยนี่ไล่ออกจากวัดเลย ญาติโยมก็มักจะถามว่าวัดไหน ? อาตมาก็บอกวัดท่าขนุน เขาก็อยากรู้จักเจ้าอาวาส อาตมาก็บอกว่าลองไปวัดดู..เดี๋ยวก็เจอเองแหละ..!

เถรี
11-08-2012, 08:03
ถาม : กระผมจะมีอาจารย์ร่วมสายบุญ ที่สามารถสั่งสอนให้ถึงมรรคผลได้เมื่อไรครับ ?
ตอบ : ชอบใจหลักธรรมอะไรทำไปก่อนจ้ะ เพื่อให้เป็นพื้นฐานส่งเราไปเจออาจารย์ที่ดี ๆ ไม่ใช่รอจนกว่าจะเจอแล้วค่อยทำ ถ้ารอจนกว่าจะเจอแล้วค่อยทำ บางทีตายฟรีไปชาติหนึ่ง ฉะนั้น..ให้เร่งทำไว้ก่อน

เถรี
11-08-2012, 08:10
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องการออกธุดงค์ว่า "เมื่อสิบกว่าวันที่ผ่านมา มีพระธุดงค์คณะหนึ่งประมาณ ๓๐ รูป เดินทางจากสำนักสงฆ์ที่นนทบุรีมาขอค้างคืนที่วัด อาตมาก็ถามว่าจะเดินธุดงค์เข้าทุ่งใหญ่หรือเปล่า ? เขาบอกไม่ใช่ เขาเดินไปด่านเจดีย์สามองค์ แล้วอาจารย์จะเอารถทางวัดมารับกลับ

อาตมาก็เลยบอกว่า ส่วนใหญ่พระที่มาที่นี่ ท่านมักจะเดินเข้าทุ่งใหญ่ หรือไม่ก็เดินลัดทุ่งใหญ่เข้าไปอุ้มผาง ส่วนจะตัดลงห้วยขาแข้งหรือไม่ก็แล้วแต่ว่าเวลามากน้อยเพียงพอหรือเปล่า แต่ถ้าเดินตามถนนอาตมาก็ไม่ต้องห่วงเขา เพราะอย่างไรก็ไม่หลง ถ้าเดินป่าจะได้บอกทางให้

สอบถามดูแล้วปรากฏว่า หัวหน้าทีมแค่ ๒ พรรษา ที่เหลือเป็นพระเพิ่งจะบวช สมัยนี้เขาเข้มข้นขนาดนี้แล้วหรือ ? ยังไม่ทันรู้เรื่องอะไรก็ออกธุดงค์กันแล้ว..!

วัดท่าขนุนอุปสมบทหมู่เมื่อวันที่ ๑๙ ที่ผ่านมา แต่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นพอบวชเสร็จแล้วจะขอไปอยู่ที่อื่น อาตมาบอกว่าที่นี่ไม่มีนโยบายอย่างนั้น เพราะพระใหม่บวชแล้วจำเป็นต้องอยู่กับครูบาอาจารย์อย่างน้อย ๕ พรรษา ตามที่พระพุทธเจ้าบัญญัติเอาไว้ ไม่อย่างนั้นออกไปอยู่ที่อื่น ไปทำผิดพลาด คนที่ส่งไปคือครูบาอาจารย์ก็ต้องมีส่วนในการรับผิดชอบด้วย ท่านก็เลยขอกลับไปบวชวัดแถวบ้านตัวเอง จึงหายไปหลายรูปเหมือนกัน"

เถรี
11-08-2012, 08:18
"ส่วนใหญ่แล้วเขาไม่เข้าใจในเรื่องของพระวินัย เพียงแค่ว่ามีศรัทธาที่จะบวช ก็คิดว่าบวชแล้วจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ ยังต้องศึกษาเกี่ยวกับพระธรรมวินัย ตลอดจนกระทั่งวิธีวัตร กิจวัตร อาคันตุกวัตรต่าง ๆ ให้เข้าใจทั่วถ้วน รู้ครบครันก่อนแล้วถึงจะไปได้ ถ้าหากว่า ๕ พรรษาไปแล้ว อาจารย์เห็นว่ายังรู้ไม่ครบก็จะยังไม่ปล่อยไป เขาเรียกว่ายังไม่ได้นิสัยมุตตกะ ยังต้องอยู่กับครูบาอาจารย์เพื่อศึกษาต่อ

แต่นี่หัวหน้าทีม ๒ พรรษา ที่เหลือพระใหม่ล้วน ๆ ไม่รู้มากันได้อย่างไร พูดง่าย ๆ ว่ามาด้วยใจจริง ๆ เลย แล้วถามว่าอาจารย์เจ้าสำนักไม่ได้มาหรือ ? เขาบอกว่าอาจารย์จะนั่งรถไปรอที่ด่านเจดีย์สามองค์ ลูกศิษย์เดินจากนนทบุรีไปถึงโน่น

สมัยก่อนก็มีพระครูของวัดมหาธาตุรูปหนึ่ง ที่ตอนหลังโดนจับสึกไปเพราะว่าชอบแต่งตัวเป็นทหารพันเอกไปเที่ยวไนต์คลับ นั่นเขาจะจัดธุดงค์ ออกกันทีละ ๓๐๐ รูป อาตมาเคยไปเจอกลางป่าอยู่ครั้งหนึ่ง ไม่ได้เจอขบวนธุดงค์หรอก เจอแต่ร่องรอยที่ท่านไป เดินตามท่านไปไม่นานเก็บขยะได้เป็นย่ามเลย โดยเฉพาะทำให้อาตมาหลงทาง คนเป็นร้อย ๆ เดินพร้อม ๆ กัน ย่ำราบเป็นหน้ากลอง ทางเล็ก ๆ ที่อาตมาเคยเดินแล้วแยกเข้าป่า โดนเหยียบหายหมดจนหาทางไม่เจอ

การธุดงค์หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ธุดงค์ชั้น ๑ ไปรูปเดียว ธุดงค์ชั้น ๒ ไป ๒ รูป ธุดงค์ชั้น ๓ ไป ๓ รูป มากกว่านั้นไม่ต้องไปแล้ว ไปคุยกันมากกว่า ไม่ได้คิดจะไปปฏิบัติแล้ว ส่วนอาตมาตอนหลังก็เคยชินกับการไปไหนคนเดียว บางทีลูกศิษย์ก็ถามว่า ทำไมอาจารย์ไม่ให้ใครตามไปบ้าง อาตมาก็เลยบอกเขาว่า เวลาวิ่งหนีอะไรจะได้ไม่ต้องอายเขา แต่ความจริงแล้วไม่ใช่หรอก..รำคาญที่เขาตามไม่ทันแล้วอาตมาต้องไปรอเขาอีก"

เถรี
12-08-2012, 19:39
ถาม : แม่ผมป่วยเป็นโรคกระดูก ป่วยมาประมาณเดือนหนึ่ง มีโอกาสจะหายไหมครับ ?
ตอบ : คนแก่มีแต่จะทรุดลงเรื่อย ๆ โอกาสดีขึ้นไม่มี ภาษาโบราณใช้คำว่า มีแต่ทรงกับทรุด คำว่าทรงก็คืออยู่ตัว และก็ทรุดซึ่งเป็นเรื่องปกติ

ถาม : ผมกำลังจะทำธุรกิจส่งออกเกี่ยวกับผลไม้ครับ ?
ตอบ : กติกาเขายุ่งมากเลยนะ โดยเฉพาะเกี่ยวกับการควบคุมความสะอาด ถ้าคุณทำตามกติกาเขาได้ก็ดีเพราะวัตถุดิบบ้านเรามีมาก ที่อื่นเขาไม่ค่อยมี เพราะฉะนั้น..ต้องควบคุมกันเต็มที่เลย

แต่ระวังจะเจออย่างสถานที่หนึ่ง เขาผลิตภาชนะพลาสติกเมลามีน เป็นพวกบรรจุภัณฑ์ พอเขามาตรวจสอบทีไรจะเจอที่ชำรุดบกพร่องทุกที จนลูกค้าค่อย ๆ หายไป ๆ เขาก็เลยถามว่าเกิดอะไรขึ้น ปรากฏว่าโรงงานตั้งทับป่าช้าเก่าอยู่ ผีช่วยกันแกล้ง เราคงดวงไม่เฮงขนาดนั้นหรอก

ถาม : ตัวผมมีโอกาสจะทำตรงนี้สำเร็จไหม ?
ตอบ : ทำ..อย่าถาม ถ้าบอกว่าไม่สำเร็จแล้วคุณไม่ได้ไปทำ เป็นเรื่องน่าเสียดาย

ถาม : ต่อไปจะสามารถเจริญรุ่งเรืองได้ไหมครับ ?
ตอบ : ตั้งหน้าตั้งตาทำไป อย่าถาม เรื่องอย่างนี้ถ้าถามถือว่ากำลังใจใช้ไม่ได้ อยากทำอะไรลุยข้างหน้าอย่างเดียว ทำให้เต็มที่ ทำให้ดีจนได้ ทำแล้วอย่าไปกลัว การตัดสินใจไม่มีอะไรที่เป็นผลดี ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เต็มหรอก เพียงแต่ว่าต้องอาศัยความกล้า ขืนถามไปเรื่อยเดี๋ยวเจอหมอดูให้สะเดาะเคราะห์ จะหมดกันเป็นแสนเป็นล้าน..!

เถรี
12-08-2012, 19:49
ถาม : ปกติสถานที่ราชการมักจะตั้งศาลพระพรหมใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่..ศาลพระพรหมนั่นเกินความจำเป็น ศาลพระพรหมที่ตั้งตรงราชประสงค์ เพราะคุณหลวงสุวิชานแพทย์ เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือสมัยนั้นท่านรู้จริง ท่านตั้งเพื่อแก้เคล็ดให้โรงแรมเอราวัณที่สร้างไม่สำเร็จเพราะมีแต่ปัญหา เนื่องจากไปใช้ชื่อของเอราวัณเทพบุตรเข้า โดยที่ไม่ได้มีการขออนุญาตท่าน ก็เลยอัญเชิญพระพรหมที่ใหญ่กว่าลงมา พูดง่าย ๆ ก็คือเอาคนใหญ่กว่ามานั่งกันท่า เหมือนกับคอยปรามเอาไว้ เรื่องก็เลยเงียบลง ที่อื่นเห็นว่าที่นั่นสร้างดีก็เลยสร้างไปเรื่อยเปื่อย ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความจำเป็นเลย

แม้กระทั่งศาลอากาศเทวดา ถ้าไม่ใช่เรารู้จริง ๆ ว่าสถานที่นั้นท่านคุมอยู่ก็ไม่ต้องสร้าง ทำแค่ศาลเพียงตาก็ถือว่าพอแล้ว

เถรี
12-08-2012, 19:59
ถาม : ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ผมทิ้งการปฏิบัติไปนาน ตอนนี้ฟุ้งซ่านมาก ?
ตอบ : รู้ตัวก็แก้ไข..แค่นั้นเอง

ถาม : รู้ตัว พยายามกลับมาปฏิบัติ แต่ว่า..?
ตอบ : ฝันไปเถอะว่าจะเหมือนเดิม ถ้าเราปล่อยให้ไหลตามกระแสรัก โลภ โกรธ หลงไป จะตีคืนยากสุด ๆ ต้องใช้ความเพียรพยายามมากกว่าก่อนนั้นหลายเท่า

อันดับแรก ก็คือ เราไปแบกกิเลสไว้เสียเต็มที่แล้ว กิเลสก็ไม่ปล่อยให้เราหลุดมือหรอก อันดับที่สอง ระยะเวลาที่ผ่านมาอาจจะเป็นช่วงของอกุศลกรรมเข้ามาแทรกด้วย ซ้ำเติมเราให้ทรุดหนักลงไปอีก คราวนี้ก็เหมือนกับคนป่วยเพิ่งจะฟื้น จะให้ทำอะไรเหมือนกับคนดีก็ยาก แล้วอันดับสุดท้ายกำลังใจของเราที่เคยชินกับรัก โลภ โกรธ หลง ถึงเวลาก็จะไหลไปตรงนั้น จึงต้องใช้ความพยายามมากกว่าเดิม ๓-๔ เท่า

ถาม : แล้วจะทำอย่างไร ไม่ให้ถอย ?
ตอบ : ทำ..แล้วประคับประคองเอาไว้ การทำก็ทำให้สม่ำเสมอจริงจังด้วย ส่วนใหญ่พวกเราจะทำเฉพาะเวลานั่งกรรมฐาน พอลุกยืนขึ้นแล้วก็ทิ้งเลย

ถาม : พอลงมือปฏิบัติแล้วไม่มั่นใจในตัวเอง มีเครื่องอะไรวัดตัวเองได้บ้าง ?
ตอบ : ถ้าหากว่าจะวัดตัวเองทุกวัน เอาอย่างหยาบ ๆ เลยก็นิวรณ์ ๕ ถ้าหากว่านิวรณ์ ๕ อย่างกินใจเราได้อยู่ ก็แปลว่ากำลังใจใช้ไม่ได้ ลำดับต่อไปก็ใช้ศีลเป็นเครื่องวัด ว่าเราแหกกรอบนอกศีลไปหรือเปล่า ถ้ายังไม่แหกกรอบนอกศีลไป ก็ยังพออยู่ในความดีอยู่

เถรี
12-08-2012, 20:06
ถาม : แล้วการปฏิบัติในเรื่องของสมาธิ ?
ตอบ : สมาธิก็อยู่ที่เราสะสมไปเรื่อย ๆ อย่าอยากได้ดีเร็ว ถ้าอยากได้ดีเร็ว กำลังใจไม่รวมตัวหรอก แต่จะฟุ้งซ่านแทน เรื่องของสมาธิง่ายจะตายไป เอาให้ทรงตัวเมื่อไรจิตก็สงบเยือกเย็น รัก โลภ โกรธ หลงเกิดขึ้นได้ยาก เพราะมีสติรู้เท่าทัน ถ้าหากว่ายังมีสติรู้ไม่เท่าทัน ก็แปลว่าสมาธิไม่ทรงตัว ก็เท่านั้นเอง

ถาม : ความรู้สึกของผมในการปฏิบัติสมาธิต่าง ๆ มีการแยกแยะความรู้สึกตัวเอง ไล่ขึ้นไล่ลงตามลำดับ แต่ยังไม่ค่อยเชื่อ เป็นอุปาทานหรือเปล่า ?
ตอบ : ก็ลองดู ถ้าหากนิวรณ์ ๕ ยังกินใจเราได้อยู่เป็นปกติ ถึงเวลารัก โลภ โกรธ หลงมา เราไม่สามารถที่จะนำอารมณ์ของเราเข้าไปสู่สภาพของสมาธิ เพื่อที่จะต่อต้านหรือหลบเลี่ยงกิเลสได้ ก็แปลว่าอุปาทานกิน แต่ถ้าถึงเวลาสามารถงัดเอาสมาธิมาสู้ได้อย่างเท่าทัน แสดงว่าความสามารถที่แท้จริงของเรามีอยู่ ไม่ใช่โกรธเขาไปตั้งชาติแล้วค่อยนึกถึงสมาธิขึ้นมาได้

ถาม : ฌานสี่ที่บอกว่า ถ้าเราปฏิบัติเข้าถึงแล้ว จะตัดการรับรู้ภายนอกไว้ ผมเคยทำได้แค่ครั้งเดียว แต่พอมาปฏิบัติแบบไล่อารมณ์ในแต่ละขั้น ยังมีความรู้สึกเหนืออารมณ์นั้นได้ แต่การรับรู้ภายนอกยังมี ?
ตอบ : ฌานมี ๒ รูปแบบ รูปแบบแรกเป็นการฝึก จะไม่รับรู้อาการภายนอก รูปแบบที่สองเป็นการใช้งาน ถ้าหากว่าเป็นฌานใช้งานจะรับรู้อารมณ์ภายนอกได้ทุกอย่าง แต่จะประมาทไม่ได้

เพราะฉะนั้น..ถ้าต้องการจะรู้ให้ชัดเจนให้ไปฝึกกสิณกองใดกองหนึ่ง การฝึกกสิณจะชัดที่สุดว่า สมาธิของเราทรงฌานแต่ละระดับได้หรือไม่ ถ้าไม่ถึงฌาน ๔ แบบคล่องตัว จะไม่สามารถอธิษฐานใช้ผลกสิณได้ บุคคลที่มีฌาน ๔ คล่องตัวจริง ๆ ฝึกกสิณพักเดียวก็ได้แล้ว

เถรี
12-08-2012, 20:10
ถาม : ร่างกายนี้พ่อแม่ให้มา ถ้าผมไปประกอบกุศลกรรม พ่อแม่จะได้บุญด้วยไหมครับ ?
ตอบ : มีส่วนด้วย แล้วทำไมเราไม่ไปประกอบอกุศลกรรมเยอะ ๆ ท่านจะได้มีส่วนด้วย..!

ถาม : เดือนที่แล้วผมได้ไปหล่อพระแทบทุกอาทิตย์เลยครับ แต่ว่าพ่อแม่อยู่บ้าน ผมได้แต่บอกให้ท่านโมทนาบุญ
ตอบ : ทำถูกแล้ว..ก็แค่นั้นแหละ โมทนาก็เหลือเฟือแล้ว

ถาม : พุทธภูมิที่ทำบารมีมา กว่าจะเข้าเขตปรมัตถ์ได้ ต้องใช้กำลังใจมากแค่ไหน ?
ตอบ : ถ้าหากวัดเป็นคันรถสิบล้อก็ตวงกันไม่หวาดไม่ไหว

ถาม : บางทีเห็นคนอื่นเขาก็สงสาร อยากจะช่วยเหลือ
ตอบ : ก็ทำไป เราสร้างมาทางด้านนั้น สภาพจึงเป็นอย่างนั้น ถือเป็นเรื่องปกติ

เถรี
12-08-2012, 20:43
ถาม : การทำวิริยบารมีในชาติปัจจุบัน ควรจะทำในด้านไหนครับ ?
ตอบ : ทุกเรื่อง..เพียรละชั่ว เพียรทำดี เพียรชำระจิตใจให้ผ่องใส ทุกอย่างแหละ

ถาม : ถือว่าเป็นวิริยะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ถือว่า แต่ใช่เลย

ถาม : วิริยะในความดี ?
ตอบ : ใช่..เพราะถ้าหากความเพียรไม่พอ ก็ก้าวไม่พ้น

ถาม : ในชาตินั้น ถ้าทำบารมีใดก็บารมีนั้นอย่างเดียว ?
ตอบ : ถึงทำบารมีเดียว แต่บารมีอื่นก็จะพลอยได้ไปด้วย ลองไปแก้รัฐธรรมนูญก็แล้วกัน ดูซิว่าจะสำเร็จไหม ? จะได้เห็นชัด ๆ เลยว่าเราได้ใช้ความเพียรจริง ๆ

ถาม : ถ้าไปช่วยให้เขาบรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติได้ ถือว่าสำเร็จไหมครับ ?
ตอบ : ก็สำเร็จแค่เรื่องเดียว

เถรี
13-08-2012, 07:29
ถาม : เวลาคุยกับใคร เราต้องปรับกำลังใจให้อยู่ระดับเดียวกัน ปรับกำลังใจคืออย่างไรครับ ?
ตอบ : ลดกำลังใจลงไปให้เท่ากับเขา เพื่อจะได้รู้ว่าสภาพจิตใจและความคิดของเขาเป็นอย่างไร แล้วจะรู้ว่าเหนื่อยฉิบหายเลย เหมือนกับอยู่สบาย ๆ แล้วดันไปแบกโอ่งเล่น..!

ถาม : ช่วยขยายต่อได้ไหมครับ การลดลงไปทำอย่างไร ?
ตอบ : ก็ลดลงเท่านั้นเอง อยากรู้ว่าเขามีกิเลสเท่าไรก็ลดกำลังใจลงไปให้มีระดับเท่าเขา เพียงแต่ถ้าไม่ระวัง..กิเลสจะลากเราไปด้วย

ถาม : คล้าย ๆ กับการ..(ไม่ได้ยิน)..
ตอบ : เอาเป็นว่าตะกายขึ้นมาจากน้ำได้เมื่อไรเดี๋ยวก็เข้าใจ ถ้ายังอยู่ในน้ำแล้วไปถามเต่าว่าบนบกเป็นอย่างไร บอกให้ตายก็ไม่รู้เรื่องหรอก

เถรี
13-08-2012, 07:34
ถาม : การฝึกกรรมฐาน ๙ จุด คือ ใต้สะดือ ลิ้นปี่ คอ หลังคอ กลางกระหม่อม หน้าผาก หลังคิ้ว ฯลฯ
ตอบ : พวกนั้นเป็นของโยคะ เป็นการฝึกจักระ ไม่ใช่กรรมฐาน เป็นเรื่องที่เนื่องด้วยกายมากจนเกินไป

ถาม : ถ้าฝึกเดินลมให้ได้ทั้ง ๙ จุดอย่างนี้ จะใช้เทคนิคอย่างไรให้การเดินลมหายใจยาว ?
ตอบ : คล้าย ๆ มโนมยิทธิ คิดว่าลมไปถึงตามจุดเหล่านั้น พอเราคล่องตัวมาก ๆ ก็จะรู้สึกเลยว่าไปได้จริง ๆ แทนที่เราจะส่งจิตไปข้างนอก เราก็เอาจิตวิ่งไปตามจักระต่าง ๆ ในร่างกาย

ถาม : อย่างเวลาเราควบคำภาวนาว่าพุทโธ ?
ตอบ : คำภาวนาไม่สำคัญ สำคัญตรงที่เรากำหนดลมให้ไปได้ตามนั้น คำภาวนาเราเอาตามสบาย อาจจะ๘ - ๑๐ ครั้ง กว่าลมจะเดินครบรอบก็ช่าง

ถาม : ถ้าฝึกไปแล้วเกิดอาการเหมือนลมปิดกัก อึดอัดมาก ?
ตอบ : อันตราย..เพราะว่าการเปิดจักระแต่ละแห่งนั้น มีผลไม่เหมือนกัน มีอยู่แห่งหนึ่งถ้าเปิดขึ้นมาเมื่อไรแล้วจะบ้ากามโดยอัตโนมัติ..!

ถาม : ผมฝึกตรงนี้ แล้วลมตีกลับ
ตอบ : ถามคนสอนสิว่าจะแก้อย่างไร อาตมาก็แค่รู้คร่าว ๆ เท่านั้น ไม่ได้ไปซักซ้อมเอารายละเอียด เพราะเห็นโทษว่าเขาเน้นเรื่องของร่างกายมากจนเกินไป อันดับแรก..เรื่องของความแข็งแรง อายุยืน อันดับที่สอง..เรื่องความเข้มแข็งของพลังทางเพศ ถ้าทำได้ขึ้นมาจริง ๆ แล้วจะกลุ้มใจ เพราะหยุดไม่อยู่

ถาม : ท่านให้มาเลือกฝึกสองแบบ แบบแรกฝึกสลับจุด กับอีกวิธีหนึ่ง ก็คือฝึกกำหนดภาพให้เห็นชัดเจน อันนี้เป็นผลต่างกัน ?
ตอบ : ถามท่านโดยตรงดีกว่า เจ้าของตำราเขาน่าจะชำนาญกว่า

เถรี
13-08-2012, 07:45
พระอาจารย์กล่าวถึงการเรียนของเด็กว่า "การเรียนอ่อนเป็นเรื่องปกติของช่วงวัยรุ่น คนเป็นแม่ต้องทำให้ลูกเปลี่ยนแนวคิดได้ เด็กสมัยนี้เรียนแล้วสอบไม่ตกก็เลยเป็นปัญหา เพราะพอถึงเวลาก็ซ่อมได้ จึงไม่กระตือรือร้นกัน ถ้าหากปล่อยให้ตกสัก ๓-๕ ปี เพื่อนเรียนจบไปทำงานแล้ว ส่วนตัวเองยังเรียนอยู่ เขาอายก็ต้องเร่งให้จบ เพราะฉะนั้น..ต้องเปลี่ยนใหม่ ห้ามซ่อม

เวลาเห็นลูกเห็นหลานมีปัญหากับการเรียนแล้วอาตมาเครียดเอง เอาอย่างนี้สิ..ก่อนอ่านหนังสือก็ว่าคาถาท่านปู่พระอินทร์สักครึ่งชั่วโมง เอาให้ใจมั่นคงก่อนแล้วค่อยอ่าน สะดุดตรงไหนขีดตรงนั้นเลย ข้อสอบออกแน่

สมัยที่อาตมาเรียนปริญญาตรีอยู่ มีบางวิชาอาจารย์ใจดีมาก เขาจะบอกเลยบทที่ ๑ ออก ๕ ข้อ บทที่ ๒ ออก ๔ ข้อ บทที่ ๓ ออก ๗ ข้อ อาตมาก็ไปขีด บทที่ ๑ ออก ๕ ข้อ บางทีเราได้ ๗ ข้อ บทที่ ๒ ออก ๔ ข้อ เราได้ ๖ ข้อ เอาทั้งหมดนั่นแหละ เพราะข้อสอบก็อยู่ในนั้นแหละ

เวลาพาพระไปสอบนักธรรมก็ไปติวกันหน้าห้อง ปรากฏว่าที่ติวไป ๑๐ ข้อนั้นออกตรง ๆ ๘ ข้อ แล้วก็ตะแบงข้างไป ๒ ข้อ เล่นเอานั่งอมยิ้มแก้มตุ่ยไปตาม ๆ กัน ถ้าทำคาถาท่านปู่พระอินทร์ขึ้นจริง ๆ จะเหมือนกับมีเสียงบอกอยู่ในหัวเราเลย"

เถรี
13-08-2012, 07:51
ถาม : รับรู้เรื่องที่เป็นทิพย์แล้ว บางทีทำใจไม่ได้ รู้สึกรำคาญ
ตอบ : เหมือนกับคลื่นโทรศัพท์ พอเริ่มต่อสายได้ ใคร ๆ ก็โทรมา อยู่ที่เราว่าเราจะเลือกรับสายหรือจะเลือกตัดสาย

ถาม : พอพิจารณาเสร็จก็ตัดใจไม่เชื่อสิ่งเหล่านี้ ขอเอาตามหลักเหตุผล ไม่เอาเหนือเหตุผล
ตอบ : ถ้าคุณจะเอาตามหลักเหตุผลก็บ้าตั้งแต่แรกแล้ว เพราะสิ่งที่เราทำอยู่นั้นนอกเหตุเหนือผล ในเมื่อนอกเหตุเหนือผลแล้วคุณจะไปเอาเหตุผลได้อย่างไร ? เพราะเป็นสิ่งที่ตรรกะคิดไม่ได้ นอกเหนือการรับรู้ด้วยประสาททั้ง ๕ เป็นสิ่งที่คนอื่นไม่รับรู้กับเราด้วย ถือเป็นปัจจัตตัง เกิดขึ้นเฉพาะคน ถ้าคุณจะไปเอาเหตุเอาผลก็บ้าชัด ๆ เพราะแค่ที่ว่ามาก็นอกเหตุเหนือผลแล้ว

ถาม : ถ้าตัดให้หมด ?
ตอบ : ถ้าจะเอาปลอดภัยก็ตัดทิ้งให้หมดไปเลย ไม่ต้องไปใส่ใจเลย แต่ถ้าคิดจะเอารสชาติของชีวิต ก็ลองเลือกดูสักเรื่องหนึ่งแล้วก็ทำไป เดี๋ยวเขาก็พาเราออกทะเลไปไกลเอง

เถรี
13-08-2012, 08:02
พระอาจารย์พูดถึงพระแก้วใสที่วางในบ้านวิริยบารมีว่า "พระเนื้อเรซิ่นรุ่นเก่า ๆ เทคโนโลยีในการผลิตยังไม่ดี ยิ่งใช้นานไปสีจะยิ่งเข้มขึ้นเรื่อย ๆ จากใส ๆ ก็กลายเป็นเหลืองจาง ๆ กลายเป็นเหลืองเข้มขึ้น

องค์นี้เป็นรุ่นหนึ่งวัดท่าซุง กลายเป็นสีน้ำตาลไปแล้ว เพราะฉะนั้น..ถ้านำไปออกเว็บแล้วคงประมูลกันเลือดสาด ความจริงฐานปิดทองไม่เรียบร้อยนะ สมัยก่อนอาตมาใช้ในการฝึกกสิณ แต่จับเข้าจับออก อุ้มขึ้นอุ้มลงวันหนึ่งไม่รู้กี่สิบรอบ ทองลอกหมดแล้วปิดใหม่ ถ้าหากเห็นว่าฐานสวยผิดปกติก็ให้รู้ว่าปิดทองใหม่ แต่ว่าองค์พระยังเป็นของเดิม

ถ้าจะจับภาพเป็นพระแก้วใสก็ไม่ใสด้วยแล้ว พระท่านกลายเป็นสีน้ำตาลไปแล้ว กลายเป็นพระธุดงค์ห่มสีกรักไปเรียบร้อยแล้ว"

เถรี
13-08-2012, 08:05
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วง ๓ เดือนที่ผ่านมา นอกเหนือจากกระโถนข้างธรรมาสน์รายเดือนแล้ว ได้ออกหนังสือไป ๓ เล่ม เดือนมิถุนายนออกหนังสือปกิณกธรรมเล่ม ๓ ในงานฉลองสัญญาบัตรพัดยศ เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาออกหนังสือบันทึกเที่ยวพม่า ชุดมิงกะละบาร์เมียนมาร์ ในงานปฏิบัติธรรมถวายสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ส่วน ๑๒ สิงหาคมนี้ออกหนังสือสัพเพเหระ ๑ ถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ หนังสือออก ๓ เล่มติด ๆ กัน คนทำเกือบตาย..!

หนังสือสัพเพเหระ เป็นเรื่องที่เอาสารพัดเรื่องมายำรวมกัน อ่านแล้วเสียงตอบรับเป็นประการใดโปรดบอกด้วย จะได้ทำเล่ม ๒ ต่อ หรือหยุดทำตั้งแต่บัดนี้ รู้สึกว่าปกิณกธรรมหนักไปสำหรับบางคน เพราะว่ามีแต่การสอนธรรมะอย่างเดียว สัพเพเหระนี่ยำใหญ่ มีอะไรก็ใส่ ๆ ลงไป"

เถรี
13-08-2012, 08:58
ถาม : สมเด็จองค์ปฐมที่สร้างที่วัด จะปิดทองไหมครับ ?
ตอบ : ปิดไม่ไหว ขนาดทาสีทองเขายังคาดว่าถึงสี่ล้านบาท ถ้าปิดทองสิบล้านบาทจะอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ ?

เถรี
14-08-2012, 08:51
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันขึ้น ๑๔ ค่ำที่ผ่านมา กำลังเปิดเรียนพระปริยัติธรรมสอนพระใหม่ท่านอยู่ ปรากฏว่าหน่วยงานต่าง ๆ แห่เทียนพรรษาเข้ามา เจ้าประคุณเอ๋ย..อาตมาหยุดสอน ออกไปรับเทียนยันเพลก็ยังไม่หมด จนกระทั่งเขาตีกลองเพลจะลงไปฉันเพล “เดี๋ยวครับ ๆ พระอาจารย์ พวกผมเพิ่งมาถึง” อาตมาบอกว่า “เอาคนลงมากินข้าวด้วยกันก่อน พระฉันเพลเสร็จแล้วค่อยมาถวาย” พระมีเวลาจำกัด มัวแต่ไปรอรับเขาอยู่ ก็อดข้าวกันพอดี

ก่อนหน้านี้อยากให้เขาเปลี่ยน จากถวายเทียนเป็นหลอดไฟ แต่ตอนนี้ต้องใช้เทียนในการทำผางประทีปเยอะมาก จึงอยากให้เขาเปลี่ยนจากหลอดไฟเป็นเทียน เพราะจะได้เอาเทียนไปหล่อผางประทีป

ผางประทีปที่หล่อเองนั้นติดได้ทนมาก เมื่อวานนี้จุดประมาณ ๖ โมงเย็น เมื่อคืนตี ๒ กว่า ลุกขึ้นมาเพื่อจะเดินทางมารับสังฆทานที่นี่ ไฟยังไม่ดับเลย ถ้วยหนึ่งจะใช้เนื้อเทียนไขประมาณ ๑ ขีด เพราะฉะนั้น ๑๐,๐๐๐ ดวงก็แปลว่าใช้เนื้อเทียนครั้งละ ๑ ตัน..!"

ถาม : การถวายเทียนพรรษามีกำหนดเวลาไหมครับ ?
ตอบ : อย่าให้เกินวันแรม ๑ ค่ำ หลังจากนั้นก็ไม่ใช่เทียนพรรษาแล้ว เพราะเข้าพรรษาไปตั้งนานแล้ว

เถรี
14-08-2012, 08:53
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาบริหารวัด พยายามจะให้มีความเจริญทางสภาพจิตใจมากกว่าวัตถุ แต่พระใหม่บางรูปยังเคยชินกับความสะดวกสบายเหมือนตอนเป็นฆราวาสอยู่ ก็เลยทำให้ไม่ค่อยจะอดทน ความสบายทำให้ความอดทนลดน้อยถอยลง

มีพระจากวัดใหญ่แถว ๆ ปทุมธานี ๔ รูป ไปขอปฏิบัติธรรมที่วัดท่าขนุน พออาตมาพาเข้าที่พัก เขาเห็นไม่มีเตียง ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ก็ขอลากลับเดี๋ยวนั้นเลย น่าเสียดายความตั้งใจของเขา อุตส่าห์ไปจนถึงวัดแล้ว

เดี๋ยวไว้หน้าแล้ง ถ้าหากว่ามีการปฏิบัติธรรมว่าจะให้นอนเต็นท์สักรุ่น พอดีไปซื้อเต็นท์ไว้ ๒๐ หลัง แล้วรู้ไหมว่า ๒๐ หลังนั้นราคาแค่ ๗,๐๐๐ บาท ก็เลยกะว่าเดี๋ยวจะซื้อเพิ่มสัก ๑๐๐ หลัง ที่เหลือก็ให้แบกกันมาเอง ถึงเวลาก็ไปเลือกมุมกางกันตามสบาย อย่าลืมโรยปูนขาวกันมดและวางมะนาวกันงูไว้ด้วย"

เถรี
14-08-2012, 08:57
"งูไม่ได้กลัวมะนาว แต่งูไม่ชอบกลิ่นมะนาว แค่ได้กลิ่นก็ไม่เข้าใกล้แล้ว แต่ตอนนี้ที่วัดงูมีน้อย เพราะว่ากินกันเองหมด โดยเฉพาะงูจงอางกินงูอื่นเป็นปกติเลย กินงู กินคางคก กินตุ๊กแก

ถ้าหากว่ากลัวงู ขอให้พกตะขาบไว้กับตัว งูกับตะขาบเป็นสัตว์ที่เป็นศัตรูกันโดยธรรมชาติ และงูจะแพ้ตะขาบตลอด พรานบางคนเล่าให้ฟังว่า เดินป่าอยู่ได้ยินป่าแตกมาเลย ปรากฏว่างูจงอางใหญ่เลื้อยมาอย่างกับลมพัด ตัวเองก็ตกใจมือตีนอ่อน ที่ไหนได้งูจงอางเลื้อยผ่านไปไม่สนใจคนเลย พออีกสักพักหนึ่งตะขาบใหญ่เลื้อยไล่ตามมา งูจงอางถ้าโดนตะขาบกัดจะตายทุกตัว..ไม่เหลือเลย..!

ตะขาบเจอคางคกก็เสร็จคางคกหมด คางคกเจอจงอาง จงอางก็แลบลิ้นเลียปากรอเลย แพ้กันเป็นวง น่าจะมีใครเรียนทางสัตววิทยาแล้วไปทำวิจัยดูสักทีว่าแพ้กันเพราะอะไร แบบเดียวกับที่งูเหลือมแพ้เชือกกล้วย ต่อให้เอาเชือกไนลอนมัดก็ดิ้นหลุดไปได้ แต่ถ้าเชือกกล้วยมัดนี่หมดสภาพ จะจูงไปทางไหนก็ได้ทั้งนั้น"

เถรี
14-08-2012, 09:04
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดี๋ยวนี้คนทองผาภูมิตามหาแต่พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน รุ่น ๒ ท้ายสุดต้องกัดฟันเข้ามาปฏิบัติธรรมเอง ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้บูชา เห็นคนอื่นแขวนแล้วอยากได้ เขาถามว่ามีบูชาไหม ? อาตมาบอกว่าไม่มีหรอก อยากได้ต้องมาปฏิบัติธรรมก่อน เพราะฉะนั้น..บวชเนกขัมมะครั้งนี้เลยมีคนทองผาภูมิมา ๑๐ กว่าคน มาปฏิบัติธรรมเพราะตั้งใจจะบูชาพระ

ต้นเหตุเกิดจากคุณสโรชา ซึ่งเป็นตำรวจหญิง เข้าวัดมาปฏิบัติธรรม คนเขาว่าบ้า พอสโรชาแขวนพระปิดตาสีแดงฝังตะกรุดไปอวดเท่านั้น บ้าตามกันหมดเลย อยากได้กันมาก ปรากฏว่าไม่มีเหลือแล้ว ต้องมาเอารุ่นอื่นไปแทน

ส่วนคุณโอรสของเรา เปิดกล่องมาพระหายไป ๓ องค์ เขามาถามอาตมาว่า “พระหนีกลับไปหาหลวงพ่อหรือเปล่าครับ ?” ฉลาดเหมือนกัน ท้ายสุดอาตมาก็ต้องควักคืนไป ๓ องค์ แต่สู้พระครูน้อยไม่ได้หรอก ตอนตี ๕ ก่อนทำวัตรถามพระครูน้อยว่า “ได้ทำวัตถุมงคลหายหรือเปล่า ?” “ ไม่หายครับ” เดินบิณฑบาตก็ถามอีก “ได้ทำวัตถุมงคลหายหรือเปล่า ? ” “ ไม่หายครับ”

ตอนฉันเช้าก็ถามซ้ำ “ได้ทำวัตถุมงคลหายหรือเปล่า ?” “ ไม่หายครับ” ยังยืนยัน พอสาย ๆ ตีหน้าเจี๋ยมเจี้ยมมา “แหะ ๆ หายครับ” อาตมาบอกว่า “ท่านมาอยู่กับผมตั้งแต่ตี ๕ ไปทบทวนดี ๆ วันนี้ทำอะไรพลาด พระถึงได้หนีมาหาผม"

สมัยก่อนก็ได้ยินแต่ว่าครูบาอาจารย์ท่านสร้างพระ สร้างวัตถุมงคลแล้ว ถ้าลูกศิษย์ทำไม่ดี หรือไม่ให้ความเคารพ วัตถุมงคลจะหนีกลับ ไป ๆ มา ๆ พอตัวเองทำวัตถุมงคลบ้างก็มีหนีกลับเหมือนกัน แสดงว่าวัตถุมงคลสมัยนี้ไว้ใจไม่ได้ อย่าไปให้ค่ารถไว้ ให้เมื่อไรเดี๋ยวหนีกลับกันหมด"

เถรี
14-08-2012, 09:07
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลายบริษัทรับพนักงานเข้าทำงานด้วยการดูโหงวเฮ้ง เจ้าหน้าที่สัมภาษณ์ไปเถอะ เขาไม่สนใจหรอก หลังกระจกมองด้านเดียวนั่นต่างหากที่สำคัญ ถ้าซินแสพยักหน้าเขาก็คัดไว้ สรุปว่าที่สัมภาษณ์เป็นการเรียกมาดูโหงวเฮ้งเท่านั้น

สู้หมอดูที่ดูให้หลวงพ่ออุตตมะไม่ได้ เขาลือกันว่าหมอดูคนนั้นแม่นนักแม่นหนา หลวงพ่ออุตตมะสมัยหนุ่ม ๆ ท่านยังเรียนบาลียังไม่จบ ไปขอให้เขาดูหมอให้ หมอเขาถอดดวงเสร็จสรรพแล้วบอกว่า "ดูไม่ได้ครับ ดวงของท่านเกินตำรา" แสดงว่าหมอเขาเก่งจริง ดูดวงพระอริยเจ้าไม่ได้ เกินตำรา นอกเหตุเหนือผลไปแล้ว"

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่แน่..เพราะว่าเขามีการดูผิดมาเยอะแล้ว ประเภทที่เขาบอกว่า “เงินซื้อผมไม่ได้...ถ้าไม่มากพอ” ประเภทนั้นแหละ ฟังตอนแรกแล้วดูดี ต้องรวมประโยคต่อมาไปด้วยถึงจะสมบูรณ์

เถรี
14-08-2012, 09:08
พระอาจารย์กล่าวสอนเด็กว่า "ความจริงอะไร ๆ ก็ไม่สำคัญเท่ากับเปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนชื่อก็เท่านั้น เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ก็เท่านั้น ถ้ายังเปลี่ยนความประพฤติไม่ได้ ผลก็ยังเหมือนเดิม เพราะฉะนั้น..ต้องเปลี่ยนความประพฤติให้ได้ สนใจการเรียนมากขึ้น เล่นเกมให้น้อยลง"

เถรี
14-08-2012, 09:14
ถาม : เวลานอนเหมือนกับสมาธิลึกไป แต่นอนไม่หลับ ?
ตอบ : จริง ๆ ไม่ใช่นอนไม่หลับนะ..นอนหลับ แต่สติตื่นอยู่ คือสภาพจิตของเราถ้าฝึกไปถึงระดับหนึ่งจะตื่นอยู่ตลอดเวลา ทั้งหลับทั้งตื่นรู้เท่ากัน เราต้องรู้จักสังเกตว่าถ้าเรานอนไม่หลับจริง ๆ ตื่นมาต้องเพลีย แต่นี่ไม่เพลียเลย แสดงว่าหลับเต็มที่ แต่จิตตื่นอยู่ สภาพอย่างนั้นคือสิ่งที่นักปฏิบัติต้องทำให้ถึง ไม่อย่างนั้นแล้วกิเลสกินเราตอนตื่นไม่ได้ จะไปกินเราตอนหลับ ต้องหลับกับตื่นมีสติรู้เท่ากัน เราจึงสามารถป้องกันกิเลสได้ทั้งหลับและตื่น

ถาม : ผมจะหาวิธีลดกำลังสมาธิ ?
ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลาหรอก นอนสบาย ๆ ของเราไป พอถึงเวลาก็เอาสติควบคุมระมัดระวัง รัก โลภ โกรธ หลง อย่าให้เกิดขึ้น ร่างกายเขาหลับเองอยู่แล้ว บางทีได้ยินเสียงกรนด้วย แต่พอจิตตื่นอยู่ เราก็ไปคิดว่าเราไม่หลับ

ถาม : จะกังวลครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องกังวลแล้ว เป็นเรื่องที่ต้องทำให้ถึง ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะสู้กิเลสไม่ได้

เถรี
14-08-2012, 09:22
ถาม : เรื่องการรักษาศีลต้องสมาทานทุกวันหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ต้อง..ศีลอยู่ที่เรางดเว้น สมาทานเป็นการศึกษาว่าศีลมีอะไรบ้าง เมื่อเรารู้แล้วเราตั้งใจงดเว้นถึงจะเป็นศีล ไม่อย่างนั้นสมาทานให้ปากฉีกถึงใบหูก็ไม่มีผล ก็แปลว่าศีลต้องลงมืองดเว้น มีโอกาสล่วงละเมิดแล้วไม่ละเมิดถึงจะเป็นศีล

ถาม : ถ้าไม่ละเมิด ไม่ต้องสมาทานก็ได้ ?
ตอบ : ไม่ต้องสมาทานหรอก รู้อยู่แล้ว สมาทานแปลว่าศึกษา ในเมื่อเรารู้อยู่แล้วก็ไม่เห็นต้องไปศึกษาว่าศีลมีอะไร ให้ทำไปเลย

ถาม : ถ้าเราทำผิดศีลไปแล้ว ?
ตอบ : เริ่มต้นทำใหม่ทันที มัวแต่ไปเศร้าหมองอยู่ก็ไม่ได้เรื่องสักที

เถรี
14-08-2012, 09:24
ถาม : วิรัติแปลว่าอะไรคะ ?
ตอบ : วิรัติแปลว่างดเว้น งดเว้นตามที่ศีลได้ห้ามไว้ มังสวิรัติ คือ งดเว้นเนื้อสัตว์

วิรัติ แต่อ่านว่า วิ-รัด ไม่รู้ราชบัณฑิตตัดสระอิไปอีกหรือเปล่า มาหลัง ๆ นี่ตัดออกไปเยอะ ที่รุ่นเก่า ๆ อย่างอาตมาเรียนมา ตอนนี้แทบจะใช้อะไรไม่ได้เลย กลายเป็นผิดไปหมด

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : กำลังใจบอกไม่ได้ ความเป็นจริงถึงจะเชื่อได้ ฉะนั้นความเป็นจริงเรางดเว้นได้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว บริบูรณ์แล้ว แต่ก็ยังงดเว้นแค่ตัวเอง เราอาจจะยินดีในขณะที่เห็นคนอื่นเขาละเมิด

ถาม : ถ้าเรายินดีที่คนอื่นทำผิด ?
ตอบ : ก็ต้องพยายามควบคุมกำลังใจของเรางดเว้นให้ได้ อย่ายุเขาทำ อย่ายินดีเมื่อเขาทำ ปิดหูปิดตาปิดปาก ไม่อย่างนั้นรับรู้มากก็ผิดมาก

เถรี
14-08-2012, 19:57
ถาม : ขอพรจากพระจันทร์ จะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ก็ลองดูสิ..ถ้าทำแล้วได้ผลก็บอกด้วย อาตมาจะได้ขอบ้าง

ความจริงการขอพรจากพระจันทร์เป็นนิทานจากเมืองจีน เรื่องมีอยู่ว่า ชายหนุ่มคนหนึ่งทำงานเลี้ยงแม่ที่แก่แล้ว เขาเป็นคนขยัน ทำงานทั้งกลางวันกลางคืน พอเห็นว่าเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำฟ้าสว่าง ก็ทำงานกลางคืนด้วย ทำไปทำมาเพลียหลับไป ตื่นขึ้นมาปรากฏว่างานที่ทำไว้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเก็บผักหาบฟืน กลายเป็นเงินเป็นทองไปหมด ก็เลยกลายเป็นเรื่องที่เขาเล่ากันต่อ ๆ มา

นั่นแปลว่าเขาทำความดีแล้วได้รับผลตอบแทน ไม่ใช่ไปขอเฉย ๆ เขาเชื่อว่าเทพธิดาจันทราเนรมิตให้ ทำความดีแล้วจึงได้การตอบแทน ไปขอเฉย ๆ ถ้าได้ก็ประหลาดแล้ว

แต่ความจริงเขาเข้าใจถูกนะ พระจันทร์ที่มีสีเหลืองเพราะว่ามีธาตุทองมาก ไปขอพรจากพระจันทร์ เผลอ ๆ ทองหล่นลงมาก็ดี ส่วนโลกของเราเป็นสีฟ้าเพราะว่ามีธาตุน้ำมาก

เถรี
14-08-2012, 20:18
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "เวลาซื้อเสื้อดูตัวเองด้วยนะจ๊ะ ถ้าพรีเซ็นเตอร์ใส่แล้วสวย แต่เราไม่ได้หุ่นอย่างนั้นก็ไม่สวยไปได้หรอก ส่วนใหญ่เด็กสมัยนี้เขาเชื่อพรีเซ็นเตอร์ นั่นก็ดี..นี่ก็ดี เพราะเขาคัดคนที่สวย ๆ หล่อ ๆ มาทั้งนั้น ส่วนเราลืมดูเงาตัวเองไปหน่อย..!"

เถรี
14-08-2012, 20:24
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาโดนโยมชวนให้เล่นหวยบ่อย วันก่อนงานปฏิบัติธรรมมีคนหนีบแผงหวยขึ้นมา อาตมาก็ขำว่าใครจะซื้อ จะว่าไปก็เป็นอาชีพของเขา เพราะเขาต้องทำมาหากิน ที่ไหนคนเยอะเขาต้องไปที่นั่น แต่เขาไม่รู้ว่าที่วัดท่าขนุนไม่ได้เล่นเรื่องนี้เป็นหลัก เพราะฉะนั้น..โยมไปขาย เขาก็ไม่ค่อยจะซื้อกัน

ตอนนี้ด้านข้างสมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่ ว่าจะปรับพื้นเทคอนกรีตให้เรียบเสมอกัน อาจจะตั้งตู้ให้เขาขายของ แรก ๆ ก็ให้ขายแบบไม่เก็บค่าเช่าไปเลย เพื่อที่จะได้สร้างงานให้ชุมชน คนมาแวะนมัสการจะได้มีข้าวของซื้อหาบ้าง แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือ พออยู่นาน ๆ ไป คนมากเข้า ๆ การดูแลไม่ทั่วถึง มีคนมาขายของอยู่ อย่างน้อยก็เป็นหูเป็นตาให้เราได้

ตอนนี้ที่มอง ๆ อยู่ รายแรกก็เป็นคนทำเสื้อเกี่ยวกับทองผาภูมิ ที่ว่าเมืองแห่งขุนเขา ขายเป็นของที่ระลึกได้อย่างหนึ่ง อาจจะมีผักผลไม้พื้นบ้าน อย่างปลาส้มทองผาภูมิก็ดัง ถึงเวลาก็เอามาจำหน่ายกันตรงนั้น แต่ก็คงจะเจอผักกูดเป็นหลักมากกว่า"

เถรี
14-08-2012, 20:30
ถาม : เคยได้ยินว่าเด็กที่กินนมวัวเยอะ ๆ แล้วเป็นภูมิแพ้ ทีนี้ลูกเขาเป็นภูมิแพ้ขึ้นมาแล้ว อาจเป็นกรณีที่กินนมวัว จะแก้ไขด้วยการเลิกกินนมวัว หรือกินอย่างอื่นแทนได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าจะกินนมให้กินนมถั่วเหลือง ต้องเป็นพวกนมถั่วเหลืองเจด้วย เพราะว่านมถั่วเหลืองทั่วไปปนนมวัว ๑๕ เปอร์เซ็นต์ ให้เลือกกล่องที่เขาเขียนว่าเจ

เถรี
14-08-2012, 20:37
ถาม : วัตถุมงคลที่สร้างขึ้นมาเป็นพระพุทธรูปจะมีเทวดาคุ้มครองอยู่ รวมถึงพระพุทธรูปตามร้านสังฆภัณฑ์ด้วยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ด้วยจ้ะ

ถาม : ต่างจากเข้าพิธีพุทธาภิเษกอย่างไรคะ ?
ตอบ : การเข้าพิธีพุทธาภิเษกเป็นการระบุเจาะจงว่า ให้เทวดาหรือพรหมท่านใดดูแลพระพุทธรูปองค์ไหน หรือวัตถุมงคลชิ้นไหน แต่ถ้าในลักษณะของการสร้างขึ้นมาไม่ได้พุทธาภิเษก ก็เหมือนกับว่าเป็นการทั่ว ๆ ไป แบบผ่านไปก็ดูให้สักหน่อยหนึ่ง

เข้าพิธีถือว่าเป็นหน้าที่โดยตรง ส่วนไม่ได้เข้าพิธีก็แล้วแต่ท่านจะสงเคราะห์

ถาม : บางท่านสร้างวัตถุมงคลเป็นรูปพระ แต่เจตนาเป็นไปทางไสยศาสตร์ เป็นไปได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้..ไสยศาสตร์ส่วนใหญ่ก็ใช้หัวใจพระธรรมทั้งนั้น

ถาม : หัวใจพระธรรม ?
ตอบ : บทคาถาส่วนใหญ่เป็นหัวใจพระธรรมในพระไตรปิฎก เพียงแต่ว่าอยู่ที่กำลังใจเขาว่ามุ่งไปทางไหน ถ้ามุ่งไปทางไม่ดี ถึงเวลากำลังใจทรงตัว ผลก็ไปทางไม่ดี เพราะคาถาเป็นเพียงเครื่องโยงใจให้เป็นสมาธิเท่านั้น

ถาม : ถ้าเขาสร้างขึ้นมาเพื่อทางไสยศาสตร์ แล้วเราเอาไปเข้าพิธีเป่ายันต์เรียบร้อยแล้ว ไสยศาสตร์จะหายไปหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าไปเข้าพิธีก็หมดเกลี้ยงไม่เหลือหรอก อาตมาทำพิธีเป่ายันต์ฯ ทีไร มักจะเตือนพวกเล่นไสยศาสตร์ว่า ถ้าเสียดายของตัวเอง ให้รีบไปให้พ้นบริเวณวัดไว ๆ ขืนอยู่ต่อวิชาจะเสื่อมหมดสภาพไปเลย

เถรี
15-08-2012, 15:38
ถาม : แล้วเบอร์โทรศัพท์ที่ทำให้ป่วยได้ ?
ตอบ : กรรมทำให้ได้เบอร์นั้นมา

ถาม : ทำอย่างไรดีครับ หรือเปลี่ยนใหม่ ?
ตอบ : ก็ไปเปลี่ยนเสีย

ถาม : เปลี่ยนแล้วดีขึ้นหรือครับ ?
ตอบ : ดี..อย่างน้อย ๆ ก็สนับสนุนให้บริษัทโทรศัพท์รวยขึ้น อาตมายืนยันแล้วว่าเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์หรือเปลี่ยนชื่อไม่มีประโยชน์ ต้องเปลี่ยนความประพฤติตัวเอง ถ้าความประพฤติยังเหมือนเดิม เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ให้ตายก็เท่านั้นแหละ

เถรี
15-08-2012, 15:39
ถาม : ขออโหสิกรรมกับผู้ที่ตายไปแล้ว ?
ตอบ : ไม่ได้..การอโหสิกรรมนั้น โจทก์และจำเลยต้องอยู่ต่อหน้ากัน อโหสิกรรมยอมความกันทั้ง ๒ ฝ่ายถึงจะจบ

ถาม : เขาตายไปแล้วครับ ?
ตอบ : ตายไปแล้วเราอโหสิกรรมอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนเขาจะอโหสิกรรมให้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ?

เถรี
15-08-2012, 15:45
ถาม : ของที่เข้าไปอยู่ในร่างกาย พอเสื่อมแล้ว ไม่มีออกจากตัว ?
ตอบ : ถ้าเสื่อมแล้วสภาพเดิมจะปรากฏ เราไปเอ็กซเรย์ก็จะเห็น ถ้าเอ็กซเรย์แล้วไม่เห็นแปลว่าไม่ใช่

ถาม : แต่ถ้าเห็นสิ่งนั้นก็ยังต้องดูต่อ ?
ตอบ : ถ้าหมดสภาพส่วนใหญ่จะพ้นตัวไปเลย ถ้าตกค้างอยู่จะเห็นได้

ถาม : ตกค้าง ต้องหาวิธีเอาออกหรือครับ ?
ตอบ : หมอสมัยใหม่ผ่าได้ ที่บอกว่าอยู่ ๆ ประเภทคนไข้กลืนเข็มกลืนตะปูลงไป คุณลองให้หมอกลืนดูซิว่าจะกลืนได้ไหม ? หมอก็ว่าไปเรื่อย เพราะอธิบายไม่ได้ว่าทำไมของพวกนี้ไปอยู่ข้างในร่างกาย ต้องไปให้หมอผ่าออก

ถาม : ถ้าเป็นพวกฝังรูปฝังรอย ?
ตอบ : พวกฝังรูปฝังรอยต้องขุดขึ้นมา

ถาม : ถ้าไปรับยันต์ แล้วของจะเสื่อมไหม ?
ตอบ : ที่เสื่อมคือผลที่เกิดขึ้นกับตัวเราไม่มี แต่ของยังอยู่ที่เดิม อย่างฝังรูปฝังรอยสมัยก่อนเขาต้องฝังอยู่ใต้บันไดที่เราขึ้นลง สมัยนี้จะเอาที่ไหนมาฝัง เพราะพื้นเป็นคอนกรีตทั้งนั้น

ถาม : ก็เลยไปฝังที่อื่น ?
ตอบ : เขาจะไปฝังทางสามแพร่งก็ปล่อยเขาฝังไปเถอะ ผลก็เกิดกับคนอื่น ไม่เกิดผลกับเรา ฝังรูปฝังรอยสมัยนี้นอกรีตมากกว่า

เถรี
15-08-2012, 15:47
ถาม : พ่อผมทำบุญบ้าน แล้วพระท่านลืมบริขาร ผมเก็บไว้ที่บ้านครับ ?
ตอบ : รอท่านมารับคืนสิ หรือถ้ารู้จักท่านก็ตามไปคืนท่านที่วัด

ถาม : ท่านอยู่ที่ไหนไม่รู้ครับ ?
ตอบ : เอาไปถวายวัดที่ไหนก็ได้ อย่าไปทิ้งไว้บ้านก็แล้วกัน เอาไว้เดี๋ยวเป็นหนี้สงฆ์ ความจริงถ้าเป็นพระที่ท่านรักบริขารตัวเอง ท่านต้องรีบกลับมาเอาคืนนานแล้ว

เถรี
15-08-2012, 15:48
ถาม : พระทุ่งเศรษฐีร้อยปีหลวงปู่ปานของวัดท่าซุงหายากไหม ?
ตอบ : ยังพอหาได้อยู่ พระทุ่งเศรษฐีร้อยปี สร้างปี ๒๕๑๘ พวกเราเกิดไม่ทันกันเยอะเลย

ก่อนที่จะมีพระสมเด็จคำข้าว พระสมเด็จหางหมาก อาตมาก็เล็งพระทุ่งเศรษฐีรุ่นร้อยปีฯ นี่แหละ พอมีเงินครบก็ไปนั่งเลือกกัน หลวงตาวัชรชัยอีกคน ช่วยกันเลือกจนจับจุดได้ว่า มีอยู่ ๖-๗ พิมพ์ที่ไม่เหมือนกัน แล้วก็มีสีไม่เหมือนกัน ดำปี๋เลยก็มี เพราะฉะนั้น..ถ้ามีสีดำก็ไม่ต้องแปลกใจหรอก เป็นเรื่องปกติ

เถรี
15-08-2012, 15:54
ถาม : ช่วงนี้กำลังเริ่ม..(ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อะไรก็แล้วแต่ อย่าลืมเรื่องการตัดกิเลสของเรา ทุกอย่างพยายามดึงเราไปจากจุดหมายนี้ ให้เราช้าไปเรื่อย ๆ ถ้าตายก่อนนี่ขาดทุนเลย

นักปฏิบัติพอทำไปถึงระดับหนึ่ง ญาณคือเครื่องรู้จะปรากฏขึ้น แต่คราวนี้เขาให้เรารู้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องของการตัดกิเลส การตัดกิเลสเราต้องมาใช้ปัญญาครุ่นคิดพิจารณาเอง เพราะฉะนั้น..ในเมื่อรู้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องของการตัดกิเลส บางทีเขาพาเราออกทะเลกู่ไม่กลับเลย

จะคิดอะไรก็เป็นเหตุเป็นผลสัมพันธ์กันหมด ชนิดสามารถทำให้ลิงกับหมาเป็นสัตว์ชนิดเดียวกันได้ เปรียบเทียบตามตรรกศาสตร์ ลิงเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หมาเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โยงไปโยงมา เพราะฉะนั้นหมากับลิงก็เหมือนกัน เขามีผลเป็น T (True) กับ F(False) ในเมื่อ T หมด ผลสรุปก็ต้อง T ใช่ไหม ? เพราะฉะนั้นลิงกับหมาเป็นสัตว์ชนิดเดียวกัน

เรื่องของเครื่องรู้นี่อย่าให้โผล่ โผล่เมื่อไรเป็นเรื่องเมื่อนั้น รู้จริง ๆ แต่รู้แล้วพาให้หมดกิเลสไม่ได้ ถึงได้เรียกว่าอุปกิเลส แปลว่าใกล้จะเป็นกิเลส ก็คือ ถ้าเราเชื่อแล้วไปคล้อยตามก็กลายเป็นกิเลสไปเลย

เถรี
16-08-2012, 07:49
ทิดกวางถวายมีดเข้าร่วมกฐินปลดหนี้ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "เล่มนี้เขาเรียกว่า มีดเสือซ่อนเล็บ แต่เล่มนี้เป็นของบ้านจ่าตุ่มทำ ถ้าเราถือไป คนเขาจะไม่ระแวง เขาคิดว่าเป็นไม้ท่อนหนึ่ง

เสือซ่อนเล็บของจริงจะเป็นมีด ๒ เล่ม ใส่สวนกัน ชักออกมาจะเป็นมีด ๒ เล่ม แต่เล่มนี้เขาทำเป็นลักษณะซามูไรสั้น เขาเรียกว่า ตันโตะ ถ้าเป็นขนาดกลางเขาเรียกว่า วากิซาชิ ถ้าเป็นขนาดยาวก็เรียกว่า คาตานะ

ถ้าใครอยากรู้ว่าสุดยอดซามูไรยุคปัจจุบันเป็นใคร ก็ไปค้นหาชื่อ อิซาโอะ มาชิอิ เดี๋ยวก็รู้ เขาเก่งมาก ขนาดที่ลูกปืนอัดลมยิงด้วยความเร็ว ๓๕๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เขาฟันขาดกลางเลย

ตอนแรกเขาทดสอบด้วยการฟันของที่ช้าก่อน ก็คือ ลูกบอลที่ยิงด้วยเครื่อง ความเร็ว ๖๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง แล้วหลังจากนั้นก็เล็กลง ยิงลูกเบสบอลด้วยเครื่อง ความเร็ว ๓๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง สุดยอดนักเบสบอลขว้างลูกด้วยความเร็วสูงสุดแค่ ๑๖๑ กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่พอยิงด้วยเครื่องจึงเร็วกว่านั้นเป็นเท่าตัว

แล้วหลังจากนั้นก็ใช้ลูกปืนลมที่ยิงด้วยปืนความเร็ว ๓๕๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียว เขาฟันขาด ๒ ซีกเลย แล้วที่เหลือเชื่อก็คือ ไม่เคยชักดาบรอเลย รอจนเครื่องยิงแล้วถึงชักดาบ อะไรจะเร็วได้ปานนั้น"

เถรี
16-08-2012, 07:51
"สถิติที่เขาทำเอาไว้มีเยอะมาก ล่าสุดกินเนสบุ๊กบันทึกไว้ ยิงลูกเทนนิสด้วยความเร็ว ๗๐๘ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ฟันขาด ๒ ซีกเลย ต้องบอกว่าลูกเทนนิสยังใหญ่ไปสำหรับเขา นั่นคือความสามารถจากการฝึกฝน

พระพุทธเจ้าตรัสว่า สุทันตา เยวะ อิทธิยา ผู้ฝึกตนดีย่อมเป็นผู้มีฤทธิ์ เขาแค่ฝึก แต่ว่าเป็นการฝึกกายประสานกับใจ ทำด้วยฉันทะ คือใจรักจริง ๆ ได้ยินเรื่องของยอดซามูไรในอดีตว่าทำอะไรได้ ก็พยายามทำตาม ฝึกฝนมาตั้งแต่อายุ ๕ ขวบ ปีนี้อายุ ๓๕ ปี ฝึกมา ๓๐ ปี ตอนนี้เปิดโรงเรียนสอนซามูไร ใครจะไปสมัครเป็นลูกศิษย์ให้เขาสอนก็ได้ อยู่ที่ญี่ปุ่น อย่างเขาเป็นประเภทฟันเราหัวขาดแล้วยังยืนคุยต่อได้อีกพักหนึ่ง กว่าจะรู้ตัวว่าหัวขาดไปแล้ว

ถ้าถามว่าอิซาโอะเก่งที่สุดหรือเปล่า ? ต้องบอกว่าเก่งสำหรับยุคนี้ เพราะช่วงแค่อยุธยาของเรา ทหารไทยที่ทำแบบนี้ได้มีมากต่อมากด้วยกัน"

เถรี
16-08-2012, 08:12
ถาม : มีดนี้ด้ามเป็นไม้อะไรครับ ?
ตอบ : ดูแล้วน่าเป็นแก่นไม้ประดู่ชิงชัน เพราะถ้าเป็นไม้พยุงจะดำไปเลย

ความจริงเทคนิคการหลอมโลหะในสมัยปัจจุบันควบคุมความร้อนได้ น่าจะมีนักตีมีดตีดาบสักคนหนึ่งที่ตั้งหน้าตั้งตาหลอมโลหะ ให้ได้ลักษณะที่โบราณเขาบอกไว้ว่า โลหะ ๓๐๐ ชั่ง หลอมเหลือ ๓๐ ตำลึง เวลาหลอมโลหะจะมีฝ้าลอยหน้าขึ้นมา ก็คือ ขี้โลหะนั่นแหละ หลอมไปหลอมไปน้ำหนักจะลดลงไปเรื่อย จนกระทั่งเหลือแต่เนื้อโลหะล้วน ๆ โลหะ ๓๐๐ ชั่ง หลอมเหลือ ๓๐ ตำลึงคงหมดฟืนไปเป็นป่าเลย

สมัยที่อาตมายังเด็ก ๆ ใกล้ ๆ บ้านคุณตาคุณยายมีโรงตีเหล็กอยู่ อาเจ็กเจ้าของโรงตีเหล็กเล่าให้ฟังว่า สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทหารญี่ปุ่นมาดูแกตีเหล็ก อาเจ็กก็ตีเหล็กชุบเหล็กไปตามแบบปกตินั่นแหละ ทหารญี่ปุ่นเขาดูแล้วยืนสั่นหัว ขอคีมขอค้อนแบบภาษาใบ้ อาเจ็กก็ส่งให้

ทหารญี่ปุ่นคีบพร้าที่แกตีเสร็จแล้ว ยัดกลับเข้าเตาเผาใหม่ เผาแล้วก็จ้องดูอยู่ จนได้ระดับที่เขาพอใจแล้ว ค่อยดึงออกมาชุบแล้วก็ตี พอตีเสร็จสรรพเรียบร้อย เขาให้อาเจ็กหยิบพร้าที่ตัวเองตีเสร็จถือไว้ แล้วก็เอาพร้าที่เพิ่งจะตี เพิ่งจะลับเสร็จ ฟันใส่ พร้าของอาเจ็กขาด ๒ ท่อนเลย..!

เขาบอกว่าความร้อนต้องถึงระดับหนึ่งที่เนื้อเหล็กเปลี่ยนสีไปได้ขนาด เขาชำนาญมากขนาดดูสีเนื้อเหล็กออก ว่าระยะนั้นเหล็กจะทั้งเหนียวทั้งคม ถ้าหากว่าขึ้นคมเสร็จแล้วสามารถตัดเหล็กด้วยกันได้ เหล็กชนิดเดียวกัน เพียงแต่ว่าระยะเวลาในการเผา ชุบ ตีต่างกัน ผลออกมาต่างกันได้ขนาดนั้น

เถรี
16-08-2012, 08:14
ถ้าใครดูเรื่อง Kill Bill ที่นางเอกเป็นผู้หญิงฝึกซามูไร พออยากได้อาวุธคู่มือ ต้องไปหาปรมาจารย์ทางซามูไรให้ผลิตซามูไรให้เล่มหนึ่ง นั่นเป็นความชำนาญเฉพาะในวิชาชีพ เป็นการทุ่มเทใส่ใจจริง ๆ

เมื่อมีฉันทะ พอใจที่จะทำ ก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนรู้ศึกษาทำไป ด้วยวิริยะ คือความพากเพียร จิตตะ จิตใจจดจ่ออยู่กับผลงานของตัวเอง ศึกษาจนกระทั่งรู้รอบ แล้วก็มีวิมังสา ไตร่ตรองทบทวนผลงานอยู่เสมอ ๆ ดังนั้น..ที่พระพุทธเจ้าตรัสเกี่ยวกับอิทธิบาท ๔ ใช้ได้ทั้งทางโลกและทางธรรม ระดับต่ำสุดถึงสูงสุด ถ้าประกอบไปด้วยอิทธิบาท ๔ จะทำงานสำเร็จทุกอย่าง

เถรี
16-08-2012, 08:17
ถาม : อยากเจริญเมตตา..?
ตอบ : ก็ซ้อมแผ่เมตตานั่นแหละ เสร็จแล้วก็ภาวนาต่อ ถ้าอารมณ์ภาวนาทรงตัว เท่ากับว่าเราทรงตัวเป็นฌานในเมตตาบารมี จะรักษาระยะได้ยาวขึ้นไปเรื่อย ๆ ถ้าหากว่าหลุดจากลมหายใจเมื่อไรก็หายไป ก็มาเริ่มต้นแผ่เมตตาแล้วภาวนาต่อ

เถรี
16-08-2012, 08:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาเข้าพรรษา ธรรมเนียมของพระจะมี การไปรายงานตัวต่อครูบาอาจารย์ ภาษาบาลีเขาเรียกว่า ทำสามีจิกรรม สมัยก่อนไปรายงานตัวก็เหมือนกับไปแจ้งครูบาอาจารย์ว่า ปีนี้จำพรรษาอยู่ที่ไหน ใกล้ไกลอย่างไร ถึงเวลาจะได้รู้ ไปมาหาสู่กันถูก

ก่อนหน้านี้ก็ทำเฉพาะพระอุปัชฌาย์อาจารย์ พอมาระยะหลัง ๆ เขารวมเจ้าคณะปกครองเข้าไปด้วย ซึ่งตามสายปกครองอยู่กรุงเทพฯ กลายเป็นว่าพระภิกษุสามเณรในระยะหลังต้องเดินทางไกล โดยเฉพาะบรรดาต่างจังหวัดไกล ๆ อย่างหนเหนือ หนใต้ หนตะวันออก ต้องมาค้างคืน พระผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ ท่านจะกำหนดวันแรม ๓ ค่ำของทุกปี เป็นวันที่พระผู้น้อยมาทำสามีจิกรรมด้วย ก็เท่ากับว่านัดเจอกันแรม ๓ ค่ำ

แต่ท่านที่มาก่อน ตั้งแต่ ๒ ค่ำก็มี แล้วก็อาจจะมาช้าถึง ๔ ค่ำก็มี ดังนั้น ๒-๓-๔ ค่ำ ส่วนใหญ่พระผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ เท่ากับโดนบังคับว่าต้องอยู่วัด"

เถรี
16-08-2012, 08:23
ถาม : ขึ้นบ้านใหม่ จะตั้งศาล ไม่รู้ว่าจะตั้งศาลกี่เสา ?
ตอบ : โดยทั่ว ๆ ไปแล้วตั้งเสาเดียวก็พอ สำหรับศาล ๔ เสา ถ้าเรามั่นใจว่าตรงนั้นเป็นอากาศเทวดาดูแลจริง ๆ แล้วค่อยตั้ง ถ้าหากไม่รู้ว่าเป็นอากาศเทวดาหรือว่าเป็นภุมมเทวดา ตั้งศาลเสาเดียวก็พอ

ถ้าอากาศเทวดาไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวท่านก็มาทวงเอง..!

เถรี
16-08-2012, 08:29
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมากำลังวางแผนว่า จะทำเรือนไทยหลังยาว ๆ ไว้ด้านหลังหลวงพ่อสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก แล้วก็อัญเชิญสังขารหลวงปู่สายไปตั้งไว้ตรงนั้น คนมาจะได้ไหว้ที่เดียวเลย ไม่ต้องเข้าไปข้างในวัด ข้างในวัดจะได้สงบจริง ๆ เสียที

ถ้าอัญเชิญสังขารหลวงปู่สายไว้ด้านหน้าจริง ๆ รูปหล่อหลวงปู่พุกและรูปหล่อหลวงปู่สายต้องย้ายไปด้วย เพราะส่วนใหญ่คนเขาไปมักบนท่าน ไหน ๆ แล้วก็ให้เขาบนทีเดียวไปเลย

ตอนนี้ฝนกระหน่ำตั้งแต่เช้ายันค่ำทุกวัน พระบิณฑบาตเปียกอย่างกับลูกหมาตกน้ำ เมื่อวานนี้จะเวียนเทียน ก็ทำกำลังใจบอกท่านเจ้าที่ที่รักษาวัดกับรักษาทองผาภูมิว่า เทวดาทั้งหลายก็ยินดีในบุญเป็นปกติอยู่แล้ว ญาติโยมกำลังจะทำบุญใหญ่ด้วยการตามประทีป และเวียนเทียนถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ถ้าจะเมตตาสงเคราะห์ก็ช่วยเว้นฝนช่วงนั้นไว้สักหน่อย ปรากฏว่าหยุดให้จริง ๆ หยุดให้ตั้งแต่ประมาณบ่ายสามโมงถึงสามทุ่ม รวม ๖ ชั่วโมงเต็ม ๆ

ตอนหลังพระท่านไม่แปลกใจแล้ว เขาใช้คำว่า "งานของอาจารย์ฝนไม่ตกหรอก" ไม่จริง..ตก..! นอกเวลางานฝนกระหน่ำจนกระทั่งคิดว่าไม่มีทางหยุดแล้ว พอเวลางานท่านก็หยุดให้เฉยเลย"

เถรี
16-08-2012, 08:33
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อครู่นี้อาตมาขึ้นไปข้างบน ตอนแรกตั้งใจว่าจะพัก ปรากฏว่าพระนาคปรกเต็มห้องเลย มีแต่คนถวายมา จำไว้ว่าคราวหน้าถ้าอาตมาไม่บูชาด้วยเงินส่วนตัว..ต้องถวายนะ ไม่ใช่พอไม่บูชา..รอถวาย กลับไม่มีใครให้สักองค์..!

อาตมาก็เลยต้องไปจัดเรียงพระให้เข้าที่เรียบร้อย กว่าจะเสร็จก็หมดเวลาพักผ่อนพอดี"

เถรี
16-08-2012, 08:57
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้แต่ละงานของทางวัดใช้เทียนเพื่อหล่อผางประทีปประมาณ ๑ ตัน มีพระครูปลัดสุวัฒนสิทธิคุณหรือท่านมหาปิง แสดงความจำนงถวายไว้ ไม่รู้เหมือนกันว่าไปกวาดมาหมดวัดสระเกศหรือยัง ? คงกะว่าเทียนทั้งหมดจุดแล้วสว่างรุ่งเรืองแค่ไหน ก็ให้ทางชีวิตของท่านรุ่งเรืองแค่นั้น

เรื่องของการบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยแสงสว่าง ตัวอย่างที่ชัดที่สุดคือพระอนุรุทธเถระ สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระนามว่าพระพุทธกัสสปะ เมื่อพระองค์ท่านนิพพาน เขาสร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระอนุรุทธตามประทีปถวาย จุดไฟรอบพระเจดีย์ นอกจากนี้ยังใช้อ่างเติมน้ำมันแล้วก็ควั่นไส้ จุดถวายเป็นพุทธบูชาด้วยการเทินศีรษะเดินรอบพระเจดีย์ ในลักษณะทักษิณาวัตร ถวายเป็นพุทธบูชา

ฟัง ๆ ดูแล้ว อยากลองทำดูไหม ? เรื่องนี้ต้องฟังตัวอย่างลุงบู๊ ลุงบู๊เป็นคนบ้านทับกฤช จังหวัดนครสวรรค์ ลุงบู๊ทำมาหากินแบบแก้บน ก็คือ ทำไร่ทำสวนไปอย่างนั้นเอง งานหนักตัวเองทำ งานเบาปล่อยลูกเมียดูแล แล้วตัวเองเอาแต่นั่งภาวนา"

เถรี
16-08-2012, 09:03
"ลุงบู๊เหลาไม้ไผ่เป็นตอกเส้นเล็ก ๆ สวดอิติปิโสฯ ได้จบหนึ่งก็เด็ดตอกนิดหนึ่งใส่ปีบไว้ ไม่รู้กี่สิบปีบเต็มบ้านไปหมด พอถึงวันพระ ลุงบู๊จุดตะเกียงกระป๋องรอบบ้านเลย กี่สิบดวงก็ไม่รู้ ? แล้วเดินจงกรมรอบบ้านถวายเป็นพุทธบูชาทุกวันพระ

เวลาคนมาขโมยข้าวของในไร่ในสวน ขโมยกล้วย ขโมยมะพร้าว ขโมยมะนาว ลูกวิ่งมาฟ้อง ลุงบู๊บอกว่า “ให้เขาไปเถอะ ถ้ามีเขาไม่มาเอาของเราหรอก” แกไม่ใช่คนมั่งมี แต่แกเน้นเรื่องของการปฏิบัติภาวนา ตั้งความปรารถนาจะขอสำเร็จพระโพธิญาณในอนาคตกาล เข้าไปในบ้านแกมีแต่ปีบ ในปีบใส่เศษตอกที่นับเอาไว้ว่าตัวเองสวดอิติปิโสฯ ไปแล้วกี่จบ ซ้อนกันเป็นตั้ง ๆ เลย

ท่านเจ้าคุณภาวนากิจวิมล หรือว่าหลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ของพวกเรานั่นแหละ กราบเรียนถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า “หลวงพ่อครับ..นี่พุทธภูมิระดับปรมัตถบารมีแล้วใช่ไหมครับ ? ” หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า “ยัง..แค่อุปบารมีเท่านั้น” โอ้..แล้วปรมัตถ์เขาทำอะไรกันบ้าง ?

พวกเราเอาอย่างนั้นบ้างไหม ? ภาวนาทั้งวัน ถึงเวลาลูกเมียก็ส่งข้าวปลาวันละ ๒ มื้อ เวลาที่เหลือภาวนา เดินจงกรม สวดอิติปิโสฯ ได้บทหนึ่งก็เด็ดตอกมานิดหนึ่งใส่ปีบไว้

พอเห็นเขาทำแล้วรู้สึกอายบ้างไหม ? ว่าเขาอุปบารมีเท่านั้น พวกเราหวังจะไปนิพพานชาตินี้ก็ต้องปรมัตถบารมี ในเมื่อปรมัตถบารมีก็แปลว่าต้องทำให้เข้มกว่าลุงบู๊ ฟังแล้วไปผูกคอตายดีกว่า เผื่อจะได้ไปนิพพานบ้าง..!"

เถรี
18-08-2012, 07:50
พระอาจารย์เล่าเรื่องประวัติมีดบ้านจ่าตุ่มให้ฟังว่า "จ่าตุ่มเป็นตำรวจตะเวนชายแดน ในระหว่างที่อยู่ในป่า มีดที่ทางราชการแจกให้ใช้งานนั้นไม่ได้เรื่อง อาตมาก็เคยได้รับแจกมาเหมือนกัน พูดง่าย ๆ ก็คือว่าเอาขุดดินได้อย่างเดียว จ่าตุ่มจึงตีมีดใช้เอง ปรากฏว่ามีดที่ตีเองมีคุณภาพดี คนนั้นก็ยืมใช้ คนนี้ก็ยืมใช้ เขาก็เลยทำเผื่อเพื่อนบ้าง ทำไปทำมามีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่ามีดมีคุณภาพดี น้ำหนักดี เหล็กดี แกก็เลยเปลี่ยนมาทำมีดเป็นอาชีพเสริม

พอจ่าตุ่มย้ายเข้ามาในเมือง ก็ไปไล่จับพวกทำปืนเถื่อนแถวบ้านอีเติ่ง จับมาแล้วก็เสียดายฝีมือพวกนี้ เพราะเขาทำปืนเถื่อนได้สวยมาก สวยกว่าปืนเมืองนอกเสียอีก เพียงแต่ว่าเหล็กของเราไม่ได้อย่างของนอกเท่านั้น จ่าตุ่มเห็นว่าพวกนี้ทำมาหากินอย่างนี้มาหลายชั่วคนแล้ว ต่อให้จับไปจนตาย พวกนี้ก็ต้องออกมาทำปืนเถื่อนใหม่อีก

จ่าตุ่มก็เลยเอาพวกนี้มาเปลี่ยนอาชีพให้ทำมีดแทน พวกนี้เขามีฝีมือในการทำปืนสุดยอดอยู่แล้ว พอมาทำมีดก็กลายเป็นของง่าย มีดจ่าตุ่มก็เลยมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ใครต้องการต้องไปเข้าคิวจองกันเป็นปี ๆ กว่าจะได้"

เถรี
18-08-2012, 07:55
"พอสิ้นจ่าตุ่มไป ป้าสุที่เป็นภรรยาก็รับช่วงต่อ ตอนแรกอาร์ตซึ่งเป็นลูกชายไม่เอา มาทำงานในกรุงเทพฯ แทน ไป ๆ มา ๆ ก็กลับไปช่วยงานที่บ้าน

บรรดาเหล็กทำมีดเป็นเหล็กชั้นดีมาก ๆ ดีขนาดตัดเหล็กด้วยกันได้ คราวนี้เศษที่เหลือจะทำมีดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เสียดาย อาร์ตเขามีหัวศิลปะอยู่ ก็เลยออกแบบเป็นกำไลบ้าง เป็นสร้อยคอบ้าง เป็นต่างหูบ้าง ด้วยความที่อาตมารู้จักสนิทสนมกันมาตั้งนานเนกาเล เห็นเขาวางจำหน่ายของพวกนี้ที่บ้าน กว่าจะจำหน่ายได้ใช้เวลานาน ก็เลยบอกป้าสุว่า เอามาฝากขายที่นี่ไหม ? (ที่บ้านวิริยบารมี)

ของจากบ้านจ่าตุ่ม ก่อนหน้านี้มีจำหน่ายในอินเตอร์เน็ต แต่จัดทำไม่ไหว เพราะทั่วโลกสั่งเข้ามา บ้านจ่าตุ่มจะทำทีละเล่ม ประเภทไม่มีอารมณ์ก็ไม่ทำด้วย ลูกค้ารอนาน ก็เลยปิดเว็บไป ตอนนี้ถ้าใครต้องการ นอกจากไปบ้านจ่าตุ่มที่อุทัยธานีแล้ว ก็จะมีอยู่ที่บ้านวิริยบารมีนี่แหละ เพราะว่าที่อื่นป้าสุไม่ยอมให้ใครเอาไปจำหน่าย

มีดบ้านจ่าตุ่มทำด้วยเหล็กที่ตัดเหล็กด้วยกันได้ เอามาเหลาตะปูเล่นได้ เพียงแต่ว่าราคาสูงนิดหนึ่ง เพราะเขาประกันตลอดชีวิตคนใช้ ถ้ามีการชำรุดโดยสภาพจะเปลี่ยนใบใหม่ให้ฟรี ซ่อมฟรีด้วย เท่ากับว่าบริการหลังการขายฟรีตลอดชีพ"

เถรี
18-08-2012, 10:23
มีโยมนำผ้ากาสีมาถวายพระอาจารย์ ท่านจึงกล่าวว่า "อินเดียโบราณประกอบไปด้วยประเทศเล็ก ๆ ใหญ่ ๆ ๑๖ ประเทศด้วยกัน ภาษาบาลีเรียกว่า มหาชนบท มีประเทศหนึ่งคือ กาสี มีชื่อเสียงในการทอผ้ามาก ภาษีอากรต่าง ๆ เกินครึ่งของประเทศได้มาจากพ่อค้าขายผ้า ไม่ว่าจะเป็นมหาเศรษฐีหรือเจ้าฟ้าพระมหากษัตริย์ ต่างก็มีความปรารถนาจะใช้ผ้าของแคว้นกาสีทั้งนั้น แคว้นนี้จึงเป็นประเทศที่ร่ำรวยมาก

แต่แคว้นกาสีมักจะโดนแคว้นโกศลผนวกเข้าไปด้วย ก็คือโดนยึดไปเป็นเมืองขึ้นบ่อย พอ ๆ กับแคว้นอังคะที่มักจะโดนแคว้นมคธยึดไปอยู่เรื่อยเหมือนกัน เพราะแคว้นอยู่ติดกัน ประเภทรั้วบ้านชนกัน แต่ประเทศเขาใหญ่กว่า มีกำลังพลมากกว่า ก็มายึดไป

กาสีมีเมืองหลวงคือ พาราณสี เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็คือริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา และแสดงปฐมเทศนาที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน พออาตมาเห็นโยมเอาผ้าแคว้นกาสีมาถวาย ก็นึกถึงว่าเขามีชื่อเสียงมาแต่โบราณและรักษาชื่อเสียงมาได้จนถึงปัจจุบัน คนไทยไปเมื่อไรก็ต้องซื้อผ้าเขามา เป็นผ้าที่เบา นุ่ม ห่มสบาย และอุ่นดี ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ผ้าหนา"

เถรี
18-08-2012, 10:26
"พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ป่านี้ต้องบอกว่าเป็นป่าอาถรรพ์ อิสิปตน แปลว่า ฤๅษีตก คำว่า ปตน มาจาก ปตธาตุ = ในความตก สมัยก่อนพวกโยคี ฤๅษีมีฤทธิ์ เขาเหาะกันเป็นปกติ แต่เหาะผ่านป่านี้ไม่ได้ เหาะผ่านเมื่อไรก็ตกเมื่อนั้น เขาก็เลยเรียกว่าป่าฤๅษีตก

เขาต่อด้วยคำว่า มฤคทายวัน แปลว่า สวนกวาง ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน คือ ป่าสวนกวางที่ฤๅษีตก อาถรรพ์แต่โบราณยังเหลืออยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ ? คาดว่าน่าจะเป็นสถานที่สำคัญ อย่างเช่นมีพระบรมสารีริกธาตุอยู่ เทวดาที่รักษาท่านก็เลยกันไว้ไม่ให้คนข้าม เพราะจะเป็นบาปเป็นกรรมกับตัวเอง"

เถรี
18-08-2012, 10:36
ถาม : ลูกผมไปนั่งสมาธิ ก่อนวันนั่งเขาก็ดูประวัติสัตว์ในวรรณคดี พอจะนั่งวันแรกเขาเห็นเหราอยู่หน้าถ้ำ ผมก็บอกว่าขอเขาสิว่าเขาให้เข้าไปได้หรือเปล่า ? วันที่สองเขาเข้าไปในถ้ำได้ ไปเจอเหรา วันที่สามไปเจอเทวดา ผมก็เลยสงสัยว่าสิ่งที่เขาทำเป็นจริงหรือเปล่า ?
ตอบ : จะไปยากอะไรก็ขอหวยเลยสิ..สิ่งที่เห็นนั้นเราเห็นจริง ๆ แต่เรื่องที่เห็นบางอย่างก็จริง บางอย่างก็ไม่จริง บางทีเทวดาเขาก็แปลงเป็นสัตว์แปลก ๆ มาให้ดู แล้วที่เราเห็นเป็นสัตว์ บางทีความจริงเป็นเทวดาก็มี

เพราะฉะนั้น..เรื่องพวกนี้เด็กเห็นอย่างไรก็ว่าไปตามนั้นแหละจ้ะ ถ้าผู้ใหญ่การปรุงแต่งมีมาก การรู้เห็นก็จะแตกต่างออกไป

เถรี
18-08-2012, 11:14
ถาม : เกี่ยวกับการปฏิบัติ ช่วงทำแรก ๆ เราเห็นความโกรธตัวเอง ก็เลยแผ่เมตตา ครั้งแรกจะเห็นความโกรธชัด แต่พอผ่านไปสักพักก็น้อยลง แต่ก็มีคู่ปรับที่เคยทะเลาะกับเราอยู่ กับคนอื่นจะตัดเร็ว แต่กับคู่ปรับอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ เราค่อนข้างจะโกรธแรง อย่างนี้เราจะทำอย่างไรให้หายขาด ?
ตอบ : ใช้วิธีเหมือนเดิม ก็คือแผ่เมตตา แรก ๆ ก็ให้คนที่เรารักก่อน หลังจากนั้นก็ให้คนที่เรารักน้อย ให้คนที่เราไม่รักไม่เกลียด ให้คนที่เราเกลียดน้อย ให้คนที่เราเกลียดมาก ไล่ไปตามลำดับ

ถ้าไปถึงคนที่เราไม่ชอบขี้หน้าอย่างยิ่งเลย แล้วปุบปับไปอภัยให้เขา จิตจะต่อต้าน ไม่ยอมรับ ต้องไปทีละขั้น ให้คนที่เรารักนั้นให้ง่าย คนที่เราไม่รักไม่เกลียดก็พอไหว พอไปถึงคนที่เราเกลียด เราไม่ค่อยอยากจะให้อภัย บางทีเรารู้ว่าต้องให้อภัย เราก็อุตส่าห์พยายามให้ ให้ไปได้พักเดียวก็ไปนึกโกรธอีกแล้ว ถือว่าเป็นอาการปกติ ให้พยายามต่อไป เดี๋ยวก็อภัยได้ไปเอง

เถรี
18-08-2012, 11:17
ถาม : ผมกับเพื่อนจะไปเดินเที่ยวในป่า มีป่าไม้นำไป แต่ในใจคิดว่าจะไปปักกลด จะภาวนาด้วย ?
ตอบ : จะเข้าไปเองหรือให้ป่าไม้พาไปก็เหมือนกัน อันตรายมาได้ทุกเวลา ไปถึงอย่าลืมแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าที่ทั้งหมด ขอให้ท่านมาโมทนาในส่วนบุญที่เราได้มาทำในสถานที่นี้ และให้ช่วยดูแลรักษาความปลอดภัยด้วย ถ้าสวดบทกรณียเมตตาสูตร "เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิงฯ.." ได้ก็สวด ถ้าทำอย่างนั้นอยู่ที่ไหนก็ปลอดภัย

เถรี
18-08-2012, 11:30
ถาม : อย่างเวลามีคนแนะนำอะไร ในใจเราคิดว่าไม่ต้องพูดหรอก กูรู้แล้ว อารมณ์นี้ขึ้นมา แต่หน้าตาเราไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร ?
ตอบ : เขาเรียกว่า มานะ ถือตัวถือตน เป็นสังโยชน์คือเครื่องร้อยรัดใหญ่ แต่เป็นสังโยชน์ตัวท้าย ๆ ความละเอียดมีมาก ตัดยากหน่อย

ถาม : เราจะมีวิธีอย่างไรให้มานะลดน้อยลง ?
ตอบ : ต้องพยายามเพิ่มความอ่อนน้อมถ่อมตนกับตัวเองให้มากขึ้น ให้รับรู้ว่าทุกอย่างที่เขาแนะนำมาเป็นเรื่องที่ดี คนอื่นเขาเมตตาสงเคราะห์ เรารับฟังไว้ก็ไม่เสียหลาย และขณะเดียวกันก็พยายามที่จะมองให้เห็นว่า ตัวเราหรือตัวเขา เกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนไปในท่ามกลาง แตกดับในที่สุด ไม่มีใครดีกว่าใครหรอก ระหว่างการดำรงชีวิตอยู่ สิ่งใดที่เขาสงเคราะห์แก่เรา ถ้าเป็นประโยชน์เราก็รับเอามา ไม่อย่างนั้นเราก็จะปล่อยไม่ได้ วางไม่ลงสักที

ตัวกูของกูเผลอเมื่อไรก็ขึ้นมาเมื่อนั้น เป็นทุกคนแหละ อย่างที่เคยเล่าไว้ว่าแม้กระทั่งขี้ของกูยังฆ่ากันตายมาแล้ว คนต่างจังหวัดเขาชวนกันเข้าป่าล่าสัตว์ เดินไปถึงท้ายหมู่บ้านติดกับป่า ไปเจอกองขี้ คนที่ ๑ บอกว่า "ใครมาขี้ทิ้งไว้ตรงนี้วะ เหม็นฉิบหายเลย ?"ปรากฏว่าเพื่อนคนที่ไปด้วยกันขี้ไว้ ได้ยินดังนั้นก็โกรธ บอกว่า " ไอ้ห่..มึงว่ากูขี้เหม็นหรือ ?" สรุปแล้ววันนั้นไม่ได้ล่าสัตว์หรอก เอามีดพร้าที่ถือเข้าป่าไปฟันกบาลกันเอง สรุปว่าขี้ของกูยังทำให้คนตายได้

เรื่องของกิเลสกินเราอยู่ตลอดเวลา เผลอไม่รู้เท่าทัน ก็โดนชักจูงไปออกไปทางรัก โลภ โกรธ หลง มีแค่ ๔ ข้อเท่านี้แหละ เพียงแต่ว่ามาอยู่ตลอดเวลา มาทุกครั้งที่เราเผลอ รู้ตัวต้องรีบแก้ไข พยายามแก้บ่อย ๆ เดี๋ยวส่วนดีมีมากกว่า กำลังเราสูงกว่า การแก้ไขก็ง่ายขึ้น ตอนแรก ๆ ส่วนดีของเรามีน้อยกว่า กำลังความดีมีน้อยกว่า จึงแก้ไขได้ยาก ต้องใช้ความพยายามสูง

เถรี
19-08-2012, 08:35
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีหลายคนที่ไม่รู้อันตรายของถนนเวลาฝนตก ถ้าฝนตกก็ให้ตกหนักไปเลย ถ้าแห้งก็ให้แห้งไปเลย จะทำให้ขับรถได้ง่าย แต่ถ้าถนนครึ่งเปียกครึ่งแห้ง จะทำให้ลื่นมาก หน้าถนนที่เราเห็นว่าสะอาด ความจริงมีโคลนบาง ๆ อีกชั้นหนึ่ง เป็นฝุ่นที่เกิดจากดินและท่อไอเสียเคลือบอยู่ พอโดนน้ำเข้าจะลื่นมาก โค้งที่เราเคยเข้าด้วยความเร็ว ๘๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้าเพิ่มความเร็วขึ้นอีกนิดเดียว รถจะหมุนเลยเพราะถนนลื่น

อีกอย่างก็คือน้ำที่อยู่บนถนน โดยเฉพาะน้ำที่ท่วมถนนซีกเดียวจะอันตรายมาก ๆ เวลาเราวิ่งลงไป ล้อที่โดนน้ำจะฝืดโดยอัตโนมัติ เพราะน้ำจะไปหน่วงความเร็วของล้อไว้ เท่ากับเราเบรกรถไว้ข้างเดียว ถ้าความเร็วได้ระดับสัก ๑๒๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เจอเบรกข้างเดียวรถจะหมุนเป็นลูกข่างไปเลย

ปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่พอขับรถได้ก็ออกถนนเลย ทั้ง ๆ ที่ยังขับรถไม่เป็น ที่เล่ามานี้เพราะอาตมามีประสบการณ์หมุนกับถนนมาแล้ว เป็นถนนบนเขาค้อ ช่วงนั้นฝนตก คนขับรถก็ต้องเร่งความเร็ว เพราะมีผู้โดยสารอยู่กระบะท้าย ๓ – ๔ คน ถ้ารถวิ่งได้ความเร็วแล้ว ฝนจะบินเลยหลังคาไปหมด จะไม่ตกลงใส่กระบะ

แต่ปรากฏว่าตอนเข้าโค้ง ถนนครึ่งเปียกครึ่งแห้ง เป็นเรื่องเลย อาตมาก้มลงหยิบของ เห็นฉัพพรรณรังสีสว่างวาบ จึงบอกคนขับรถให้ระวังไว้ พูดไม่ทันขาดคำรถก็หมุนติ้วเลย พระท่านเตือนแล้ว แต่บางอย่างก็เตือนเร็วไม่ได้ บางอย่างเตือนช้าก็ไม่ได้ มีเวลารู้ตัวก่อนแค่ไม่กี่วินาที"

เถรี
19-08-2012, 08:37
"บางครั้งเรื่องของวาระกรรมท่านบอกตรง ๆ ไม่ได้ มีครั้งหนึ่งอาตมาเดินจากอู่ทองกลับทองผาภูมิ ผ่านตรงจุดที่เรียกว่าตลาดเขต เป็นรอยต่อระหว่างสุพรรณบุรีกับกาญจนบุรี คุยกับคนขับไปเรื่อย มาถึงตรงนั้นหมดเรื่องจะคุย หลับตาลงเตรียมภาวนา พอนึกถึงภาพพระ เห็นพระพุทธเจ้าร้าวเป็นลายงาทั้งองค์เลย กำลังคิดว่าเกิดอะไรขึ้น ลืมตาขึ้นมากระจกหน้าระเบิดเปรี๊ยะทั้งแผ่น..เตือนคนขับไม่ทัน..!

เพิ่งจะรู้ว่าลายงาอยู่ที่กระจก ของบางอย่างแม้ว่ารู้ก็รู้ล่วงหน้ามากไม่ได้ รู้แค่ว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นและแก้ไขไม่ทันแล้ว"

เถรี
19-08-2012, 09:23
"ช่วงที่น้ำมันแพง รถกี่คันอาตมาโละหมด..เลิกใช้ ใครจะนิมนต์ให้เอารถมารับด้วย ไม่เอารถมารับก็ไม่ไป จนโยมทนไม่ไหว ซื้อรถให้ยืมใช้ ที่ใช้คำว่ายืมเพราะอาตมาไม่ยอมรับ ในเมื่อให้ยืมใช้ โยมก็ต้องจัดการกับรถทุกอย่าง ไม่ว่าจะซ่อมแซมรถ ต่อทะเบียนรถ ถ้าไม่ทำอาตมาก็ทิ้ง..เลิกใช้..!

หลายต่อหลายคนอยากมีรถ ไม่รู้หรอกว่า "รถ" กับ "ลด" นั้นใกล้เคียงกัน เงินในกระเป๋าของเราลดลงไปเรื่อย ๆ มีแต่จ่ายกับจ่าย แต่ก็เห็นว่าอยากได้รถกันมาก เป็นที่น่าอัศจรรย์ว่าบ้านเราเป็นประเทศเล็ก ๆ แต่มีอัตราการใช้รถเกือบจะอยู่อันดับ ๑ ของโลก จนต่างประเทศต้องมาศึกษาระบบเงินผ่อนในประเทศไทย

โยมไปเอารถที่ศูนย์ของต่างจังหวัด เขาให้จ่ายดาวน์งวดแรกเมื่อพืชผลทางการเกษตรออก อย่างเช่น ปลูกข้าวโพด ปลูกมันสำปะหลัง ปลูกปาล์มน้ำมัน ถ้าจำหน่ายพืชผลทางการเกษตรเมื่อไร ค่อยมาจ่ายดาวน์งวดแรก แปลว่าเอารถไปใช้ฟรี ๆ ก่อน เขาใจถึงขนาดนั้น รับรองว่าชาวบ้านต้องไปวางดาวน์แน่นอน เพราะคนบ้านเราหน้าใหญ่ใจโต เวลาออกรถไป เพื่อนเห็น "เฮ้ย..มีรถนี่หว่า" "เฮ้ย..รถสวยดี ราคาเท่าไร ?" ยืดด้วยความภูมิใจ ต่อให้ไม่มีเงินก็ต้องไปกู้มาวางดาวน์ คราวนี้ยุบไม่ลงแล้ว..จมไม่เป็น

นึกถึงนายดาบตำรวจตระกูล ดาบตระกูลกู้เงินสวัสดิการตำรวจมาซื้อที่สร้างบ้าน อาตมาถามว่า "ดาบมีสิทธิ์อยู่บ้านหลวงฟรี ไปซื้อที่สร้างบ้านให้เปลืองเงินทำไม ?" ท่านบอกว่า "ตอนนี้ผมยังมีแรงอยู่ ยังมีเงินเดือนให้เขาหักได้อยู่ พอเวลาผมเกษียณแล้ว ที่ดินและบ้านก็เป็นของผม แต่ถ้าผมอยู่บ้านหลวง เวลาเกษียณแล้วผมออกจากบ้านหลวงมา ผมก็เคว้ง..หาที่อยู่ไม่ได้ โดยเฉพาะตอนที่อยู่บ้านหลวง ส่วนใหญ่แม่บ้านตำรวจพอว่างก็จับกลุ่มนินทากัน ที่ร้ายกว่านั้นก็คือจับกลุ่มเล่นไพ่กัน ก็มีแต่จะเสียสตางค์...

พอข้างบ้านมีอะไร เมียผมก็อยากจะมีบ้าง เขามีตู้เย็น เมียผมก็อยากได้ มีโทรทัศน์ มีวีดิโอ เมียผมก็อยากได้ จ่ายตายชักเลย ผมจึงตัดสินใจกู้เงินสวัสดิการตำรวจมาซื้อที่สร้างบ้านดีกว่า เวลาเรามีหรือไม่มีอะไรคนอื่นเขาก็ไม่รู้ เขาไม่ได้มาดูที่บ้านเรา ไม่เหมือนบ้านพักตำรวจ อยู่เรียงกันเป็นตับ ใครมีไม่มีอะไรก็รู้กันหมด"

เถรี
19-08-2012, 09:30
"นายดาบตระกูลเป็นตำรวจที่ไถใครไม่เป็น นอกจากหน้าที่ตามปกติแล้ว ก็มีอาชีพเสริมเป็นการขายประกัน ขายแอมเวย์ อะไรที่เป็นเงินสุจริตแกเอาทั้งนั้น แต่ถ้าฉุกเฉินจำเป็นต้องใช้เงินก้อน ก็จะไปบนหลวงพ่อ ๔ พระองค์ที่วัดท่าซุง อย่างเช่นผู้ร้ายคนนี้มีค่าหัว ๓ หมื่น ก็ไปบนหลวงพ่อ ขอให้ผมเจอและจับได้ แล้วทำสำเร็จด้วย จะได้มีเงินใช้ วัน ๆ ขี่รถลาดตระเวนตรวจท้องที่ เสร็จสรรพก็เข้าวัดกราบพระ

คุณครูนนทา อนันตวงศ์ ท่านเป็นเลขานุการส่วนตัวของหลวงพ่อวัดท่าซุง วันนั้นคุณครูนนทาบอกกับดาบตระกูลว่า "นี่ตาแดง..เวลาหลวงพ่อไม่อยู่ ดึก ๆ มีเสียงคนทำงานอยู่ในห้องหลวงพ่อ ตาแดงช่วยมาดูให้หน่อยสิ" ดาบตระกูลก็ "ตกลงครับป้า"

พอตกกลางคืนครูนนทาใช้กุญแจสำรองไขเข้าไป ตรวจตราเรียบร้อย เห็นว่าไม่มีอะไรก็ปิดล็อกประตู ดาบตระกูลก็นอนกอดปืนเฝ้าอยู่หน้าห้อง พอ ๔ – ๕ ทุ่มก็มีเสียงพิมพ์ดีด ดังก๊อกแก๊ก ๆ อยู่ข้างใน นายดาบตระกูลก็รอ ตี ๑ กว่า เกือบตี ๒ เสียงเปิดประตู นายดาบตระกูลลืมตาขึ้นมาเห็น "ตายห่..หลวงพ่อวัดท่าซุง..!" หลวงพ่อก้าวจะข้ามตัว นายดาบตระกูลคว้าขาท่าน มีเสียงบอกว่า “ปล่อยนะไอ้แดง..ไม่อย่างนั้นกูเตะ..!” ดาบตระกูลก็ต้องปล่อย แล้วท่านก็เดินหายไป"

เถรี
19-08-2012, 09:34
"พอหลวงพ่อท่านกลับจากสายลมมา ดาบตระกูลก็ไปกราบเรียนถาม “หลวงพ่อกลับจากสายลมไปพิมพ์หนังสือตอนไหนครับ ?”

หลวงพ่อ : เฮ้ย..ใช่ข้าซะเมื่อไรล่ะ
ดาบตระกูล : อ้าว..ผมจับกับมือ..เนื้อ ๆ เลย
หลวงพ่อ : อ๋อ..เพื่อนกัน ท่านลิงขาวเห็นว่างานข้าเยอะ ก็เลยมาช่วยตอบจดหมายแทน

นายดาบตระกูลบอกว่าสังเกตไม่ทัน หน้าตานี่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วเลย แต่ตอนกลางคืนดูไม่ทันว่าขาวกว่าหรือดำกว่า เสร็จแล้วก็ถามหลวงพ่อต่อ

ดาบตระกูล : ตอบจดหมายแทนแล้วจะเหมือนกันหรือครับ ?
หลวงพ่อ : พระระดับนั้นแล้ว..สำนวนเดียวกันเลย

ฉะนั้น..ใครได้รับจดหมายจากหลวงพ่อวัดท่าซุง ไม่แน่หรอกว่าจะเป็นตัวจริงตอบ มีคนช่วยพิมพ์ดีดให้เสร็จสรรพ ความจริงท่านรู้นะ เพราะตอนเข้าไม่ได้เข้าทางประตู แต่ในเมื่อมีคนมานอนเฝ้าทั้งที ก็เลยออกไปให้เขาเห็น

เรื่องพวกนี้ถ้าไม่ใช่คนอยู่วัดก็ไม่รู้หรอก เพราะเขาไม่ได้เล่ากันในวงกว้าง หลวงพ่อสององค์ในป่าไปวัดท่าซุงออกจะบ่อยไป แต่คนไม่ค่อยจะรู้กัน"

เถรี
19-08-2012, 09:38
"หลวงตาวัชรชัยบวชไม่กี่พรรษา มีหน้าที่รับญาติโยมเข้าพัก ท่านอยู่ที่ศาลานวราชบพิตร ส่วนหลวงพ่อวัดท่าซุงจัดงานเป่ายันต์เกราะเพชรที่ศาลา ๒ ไร่ ปรากฏว่าโทรศัพท์ดังขึ้น หลวงตาวัชรชัยก็วิ่งไปรับ “วัชรชัย” หลวงตาได้ยินก็เข่าอ่อนเลย “ครับ..หลวงพ่อ” “ไปดูซิ..ที่มุมตึกพระพินิจอักษร มีพระธุดงค์แบกกลดสะพายบาตรมารูปหนึ่งหรือเปล่า ?”

หลวงตาวัชรชัยก็วิ่งไปดู พอกลับมาถึงก็ยกหู “มีครับ..หลวงพ่อ” “เออ..นั่นแหละ..หลวงพ่อลิงขาว” หลวงตาวัชรชัยวางหู วิ่งสุดชีวิตไป ปรากฏว่าหายไปแล้ว ท่านบอกว่าโง่ไปหน่อย ถ้าถามแต่แรกไปหมดเรื่องไปแล้ว ยังดีนะในชีวิตได้เห็นคา ๆ ตา แต่ถ้าเป็นอาตมาก็ไม่กล้าถามหรอกว่าใคร คงจะโง่ต่อไปตลอดชีวิต

แบบเดียวกับเรื่องพระองค์ที่ ๑๐ องค์ที่ ๑๑ นั่นแหละ ใคร ๆ ก็ว่าอาตมาโชคดีสุด ๆ ที่ได้พบทั้ง ๒ พระองค์ เปล่า..ไม่ได้โชคดีหรอก ตอนเจอไม่ได้คิดว่าเป็นท่าน แถมตั้งใจกวนท่านเสียด้วย"

เถรี
20-08-2012, 06:45
ถาม : เราใช้กรรมแทนคนอื่นได้ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นไปไม่ได้จ้ะ กรรมของใครของคนนั้น ใครทำใครได้ ไม่มีใครที่สามารถแบ่งเบาหรือว่ารับแทนกันได้ ในเมื่อแบ่งเบาไม่ได้ รับแทนไม่ได้ ใครว่าสามารถรับแทนกันได้ก็ปล่อยให้เขาทำไป เราอย่าไปยุ่งกับเขา

เรื่องกฎของกรรมนั้นตรงไปตรงมา ใครทำก็คนนั้นรับ ไม่ต้องไปหาวิธีแก้กรรมหรอก วิธีแก้กรรมที่ดีที่สุดก็คืออยู่กับศีล สมาธิ ปัญญา เพราะว่าอานิสงส์ของบุญใหญ่ ๓ ตัวนี้จะทำให้กรรมตามไม่ทัน แต่ถ้ากุศลขาดช่วงลง กรรมก็ตามทันอีก

เถรี
20-08-2012, 06:48
ถาม : ในกรณีมีแต่ความทุกข์ จะบรรเทาความทุกข์อย่างไร ?
ตอบ : แค่เลิกแบกก็จบแล้ว ส่วนใหญ่ที่เราทุกข์เพราะเราไปแบกอยู่ เห็นว่าเป็นของกู ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของกู มาสรุปท้ายก็คือ ตัวนี้ก็ตัวของกู ในเมื่อทุกอย่างเป็นของกู แบกอยู่ทุกอย่างกูก็เลยทุกข์แทบตาย ถ้าเลิกเห็นความเป็นของกูเมื่อไรก็จะเบาลงไปเรื่อย ๆ ต้องบอกว่าทุกข์เพราะไปยึด

ความจริงหลักธรรมของพระพุทธเจ้านั้นเหมาะกับบุคคลทุกระดับชั้น เพราะว่าปุถุชนก็มีหลักธรรมสำหรับปุถุชนอยู่ พระอริยเจ้าก็มีหลักธรรมของพระอริยเจ้าอยู่ เพียงแต่ว่าพวกเราขาดการศึกษาเรียนรู้อย่างหนึ่ง และศึกษาเรียนรู้ไปแล้วไม่ได้ซักซ้อมใช้งานให้คล่องตัวอีกอย่างหนึ่ง ในเมื่อไม่ได้ซักซ้อมใช้งานให้คล่องตัว เวลาความทุกข์เกิดขึ้นก็มัวแต่ไปจมอยู่กับความทุกข์ พกอาวุธอยู่เต็มตัวแต่ลืมใช้งาน ก็สู้ข้าศึกไม่ได้สักที

เถรี
20-08-2012, 06:51
ถาม : ขอฤกษ์แต่งงานค่ะ
ตอบ : จะเลิกกันแล้วหรือ ? ยังไม่ทันจะแต่งเลย ..(หัวเราะ).. คงต้องเลยพรรษาไปแล้วนะ เพราะในพรรษาเขาไม่นิยมแต่งงานกัน รอให้ออกพรรษาก่อน

วันที่ ๑๔ ธันวาคม ตรงกับวันศุกร์ อมฤตโชค ๑ ค่ำ เดือนอ้าย ทันไหม ? ถ้าไม่ทันเดี๋ยวดูฤกษ์ให้ อีก ๓ ปีข้างหน้าก็แล้วกัน..!

เถรี
20-08-2012, 06:52
ถาม : คนที่เคยได้ฌาน จะทรงอยู่อย่างนั้นหรือคะ ?
ตอบ : มะเหงกแน่ะ..! เผลอเมื่อไรฌานก็เสื่อม ได้ฌานแล้วต้องซักซ้อมให้คล่องตัวอยู่เสมอ ไม่อย่างนั้นก็จะเสื่อม รักษายังรักษาไม่ไหวเลย แล้วจะก้าวหน้าได้อย่างไร ? ยกเว้นว่ามีความเพียรพยายามอยู่อย่างสม่ำเสมอ ปฏิบัติต่อเนื่องตามกันแล้วจะมีความก้าวหน้า ก้าวขึ้นไปสู่ระดับสูงกว่าเดิมได้ ถ้าไม่ได้ทำต่อเนื่องแล้วไม่ต้องไปฝันเลย มีแต่ถอยหลังอย่างเดียว..!

เถรี
20-08-2012, 06:58
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่ปู่ ย่า ตา ยาย มักเสร็จหลาน ๆ หมด ต้องบอกก่อนเลยว่าตัวกูของกูชัด ๆ เลย อยู่คนเดียวไม่ได้ รู้สึกเหงา ไม่มีลูกคอยเอาใจก็ต้องไปเลี้ยงหลานแทน ไม่มีหลานเดี๋ยวก็ไปเลี้ยงหมาแทน

ในธรรมบทมีเรื่องไม้เท้าของคนเฒ่าดีกว่าลูกเต้าอกตัญญู พราหมณ์คนหนึ่งเป็นเศรษฐี พอแบ่งสมบัติให้ลูกแล้ว ไม่มีลูกคนไหนเลี้ยง ปล่อยแกให้ไปเป็นขอทาน คือ พ่อแม่ให้สมบัติเท่า ๆ กัน พอไปอยู่กับเขา เขาต้องเลี้ยงดู ทำให้สมบัติลดน้อยถอยลง ได้ไม่เท่ากับพี่น้อง ก็เลยไม่อยากเลี้ยงพ่อแม่

พอพราหมณ์ไปเจอพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านจึงแนะนำว่าให้ไปเล่าเรื่องนี้ในท่ามกลางที่ชุมชน แล้วก็ตอกย้ำคำว่า "ไม้เท้าของคนเฒ่า ดีกว่าลูกเต้าอกตัญญู ขอให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้" พอแกไปเล่าบรรดาลูก ๆ ได้ยินแล้วอาย ในที่สุดก็รับพ่อกลับไปเลี้ยงใหม่"

เถรี
21-08-2012, 07:50
http://hilight.kapook.com/img_cms2/News%202/BAI%20FANG%20LI-1.jpg


พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องคุณปู่ ไป่ ฟาง ลี่ ว่า "คุณปู่ไป่ ฟาง ลี่ ขี่สามล้ออยู่ที่เมืองเทียนจิน อดมื้อกินมื้อ รวบรวมเงินทั้งหมดให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ประมาณ ๑ ล้าน ๗ แสนบาท เนื่องจากว่าคุณปู่ไปเจอเด็กชายอยู่คนหนึ่ง อายุประมาณ ๖ ขวบ คอยช่วยบริการถือของไปส่งคนอื่น ของบางอย่างก็หนักแทบจะเกินกำลัง เด็กก็พยายามจะหอบหิ้ว เขาก็ให้เงินจำนวนหนึ่งเป็นค่าตอบแทน

พอถึงเวลาเด็กคนนั้นก็ไปคุ้ยขยะหาเศษอาหารกิน คุณปู่ก็สงสัย ถามเด็กว่าทำไมไม่เอาเงินไปซื้ออาหารกิน เด็กบอกว่ายังต้องเลี้ยงน้อง พ่อแม่ทิ้งแกกับน้องไป น้องยังตัวเล็กทำงานไม่ได้ เพราะฉะนั้นได้เงินมาต้องไปซื้ออาหารให้น้อง ตัวเองต้องไปคุ้ยถังขยะ มีอะไรพอกินได้ก็กิน

http://hilight.kapook.com/img_cms2/News%202/BAI%20FANG%20LI-4.jpg


คุณปู่ก็เลยเอาเด็กคนนั้นขึ้นสามล้อไปที่บ้าน ไปเจอกระท่อมสับปะรังเคโย้เย้ใกล้พัง คุณปู่ก็เลยพาทั้งพี่ทั้งน้องไปส่งสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แล้วก็เอาเงินสะสมที่ตัวเองมีอยู่ทั้งหมดมอบให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเพื่อเป็นค่าอาหารเด็ก และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาคุณปู่ขี่สามล้อได้เงินมาเท่าไร ก็เหลือไว้แค่ซื้อซาละเปา ๒ ชิ้นสำหรับมื้อเที่ยง และเนื้อกับไข่สำหรับมื้อเย็น ที่เหลือมอบไว้ให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าหมด"

เถรี
21-08-2012, 07:59
"คุณปู่ขี่สามล้อจนกระทั่งอายุ ๙๐ ปี จึงมอบเงินก้อนสุดท้ายให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ปู่บอกว่าไม่ไหวแล้ว ขี่สามล้อไม่ไหว น่าจะเป็นเงินก้อนสุดท้าย ปรากฏว่าคุณปู่ก็ยังอยู่ต่ออีก ๓ ปี จึงได้เสียชีวิต งานศพของคุณปู่มีเด็กนักเรียนแห่กันไปหลายร้อยคน คุณปู่ไม่รู้ว่าเงินที่มอบให้ทางสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านั้น เขาจัดสรรให้เป็นค่าอาหารเด็กคนไหน ให้เป็นค่าเล่าเรียนเด็กคนไหน แต่ปรากฏว่ามีเด็กจำนวนมหาศาลเลยที่ได้รับ ในงานศพของคุณปู่เด็กจึงไปร่วมงานกันเยอะแยะ ไม่ต้องกลัวว่าอยู่คนเดียวจะไม่มีใครจัดงานศพให้

http://hilight.kapook.com/img_cms2/News%202/BAI%20FANG%20LI-5.jpghttp://hilight.kapook.com/img_cms2/News%202/BAI%20FANG%20LI-6.jpg



ตอนนี้ปู่กลายเป็นอมตชน ตัวตายแต่ชื่อยัง เพราะทางสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเอารูปคุณปู่ติดเอาไว้ในฐานะผู้มีอุปการคุณใหญ่ เด็ก ๆ มาโรงเรียนก็ต้องไปไหว้รูปคุณปู่ก่อน

ตอนนี้ซื้อหนังสือเล่มหนึ่งเมื่ออาทิตย์ก่อนยังไม่ได้อ่าน ชื่อ เฉิน ซู่ จวี๋ แม่ค้าผัก..ผู้ให้ยิ่งใหญ่ ได้ยินแค่ชื่อก็ซื้อเลย อยากรู้ว่าแม่ค้าผักทำอะไรที่ยิ่งใหญ่บ้าง"

เถรี
21-08-2012, 08:03
ถาม : การอุทิศส่วนกุศล.... ?
ตอบ : การกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลนั้น พระเจ้าพิมพิสารทำเป็นคนแรก ท่านเคยชินกับธรรมเนียมพราหมณ์ที่ว่า การให้อะไรใครก็เอาน้ำเทรดมือคนนั้น เป็นสัญลักษณ์ว่าฉันให้เธอ แต่พออุทิศส่วนกุศลให้กับญาติที่ตายไปแล้ว เขาไม่ได้ยื่นมือมาให้เห็น ท่านไม่รู้จะทำอย่างไรก็เลยเทรดมือตัวเอง พวกเราไม่รู้ที่มาที่ไปก็เทรดมือตัวเองต่อกันมาเรื่อย ๆ

ความจริงแล้วแค่เราคิดว่า กุศลที่เราทำทั้งหมดนี้ขออุทิศให้แก่ใคร เจาะจงชื่อนามสกุลไปเลยก็ได้ แค่นั้นก็พอแล้ว ไม่ต้องไปกรวดน้ำเป็นคูลเลอร์แบบคุณยายในเว็บหรอก

ถาม : ถ้าเราอุทิศกุศลให้คนอื่น กุศลของเราจะหมดหรือไม่ ?
ตอบ : พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถ้าเราตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้คนอื่น เปรียบเหมือนเราก่อไฟขึ้นมาแล้วอนุญาตให้เขาต่อไฟไปใช้ได้ กองไฟของเราไม่ได้ลดความสว่างลง แต่ความสว่างเพิ่มขึ้นจากการที่ตัวเองให้เขาก่อกองไฟต่อไป

การที่เราจะให้เขาได้จิตเราต้องประกอบไปด้วยเมตตาบารมี ในเมื่อจิตประกอบด้วยเมตตาบารมี บุญใหญ่ก็เกิดขึ้น แทนที่จะหมดก็มีแต่มากจะขึ้นเรื่อย ๆ

เถรี
21-08-2012, 08:08
ถาม : การปฏิบัติไม่ก้าวหน้า เพราะปฏิบัติได้น้อย จะใช้กำลังใจอย่างไรคะ ?
ตอบ : ก็แค่ถามใจตัวเองว่า อยากขึ้นสวรรค์หรืออยากลงนรก..!

ถาม : รู้สึกว่าไม่อยากลงนรก ?
ตอบ : เรื่องของการปฏิบัติจริง ๆ แล้วจะต้องมีเทคนิคเฉพาะตัว คนอื่นให้ได้เฉพาะคำแนะนำเฉย ๆ อาจจะเป็นได้ว่าเราเห็นประโยชน์เราจึงปฏิบัติธรรม หรือเราเห็นโทษของสิ่งที่ไม่ดีแล้วเราจึงปฏิบัติธรรม

สำคัญตรงที่ว่า ถ้าสมาธิเริ่มทรงตัว จะไม่อิ่มไม่เบื่อในการปฏิบัติ แต่ถ้าสมาธิไม่ทรงตัว ทำเมื่อไร ๆ ก็ได้เท่านั้น ก็จะรู้สึกเบื่อ ดังนั้น..ให้เราเน้นในเรื่องของลมหายใจเข้าออกเป็นหลัก จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ พอใช้คำภาวนา การจับลมหายใจเข้าออกเริ่มทรงตัว ตัวปีติจะเกิด ถ้าปีติเกิด เราจะไม่ค่อยอยากจะหยุดปฏิบัติหรอก อยากทำไปเรื่อย ๆ

ไปเน้นเรื่องลมหายใจเข้าออกเป็นหลัก พออารมณ์ใจทรงตัวเดี๋ยวก็ดีเอง

เถรี
21-08-2012, 08:21
ถาม : ถ้าปฏิบัติแล้วอยากได้บุญ ไม่ถือว่าเป็นกามฉันทะหรือคะ ?
ตอบ : ให้เป็นไปก่อน เพราะถ้าเราไม่เกาะดีก่อน ก็จะไม่มีอะไรให้วาง เราต้องละชั่วเกาะดีก่อน ท้ายสุดถึงจะปล่อยดีทีหลัง ขึ้นบันไดต้องเกาะราว แต่ถ้าขึ้นไปถึงชั้นบนเมื่อไรก็ปล่อยราวบันไดโดยอัตโนมัติ

ถาม : ช่วงนี้ปฏิบัติเพราะอยากได้บุญ รู้สึกว่ามีความโลภ ?
ตอบ : ตำราใครวะ..! ทำแล้วไม่อยากได้ดี แล้วจะทำไปทำซากอะไร..!

เถรี
21-08-2012, 08:29
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยอาตมาเด็ก ๆ สัตว์ที่อยากเลี้ยงมากที่สุดก็คือเหี้ย แต่เป็นเหี้ยจอมโหดที่เขาเรียกว่า เหี้ยเห่าช้าง เห่าช้างเป็นเหี้ยที่พองคอขู่ได้ เขาเชื่อว่ามันร้ายขนาดกัดช้างยังล้ม

http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2011/03/X10397369/X10397369-23.jpg
เห่าช้าง


อาตมารู้จักเห่าช้างครั้งแรกที่เขาดิน ไปเที่ยวเขาดินครั้งแรกในชีวิต เดินดูสัตว์ไปเรื่อย ไปเจอป้ายเขาเขียนว่าเหี้ยเห่าช้าง ก็เข้าไปดู เห็นเหมือนกับตะกวดตัวใหญ่ ๆ ตะกายอยู่บนดอกเห็ด เขาทำดอกเห็ดด้วยซีเมนต์ แล้วอยู่ใกล้ขอบบ่อ อาตมาก็เลยเอื้อมมือเข้าไปหา เห่าช้างก็ไต่ขึ้นมือมา อาตมาก็อุ้มเล่น พอเจ้าหน้าที่เห็นถึงกับตาค้างไปเลย เพราะเขาเชื่อว่าเห่าช้างร้ายขนาดกัดช้างยังตาย แล้วไอ้เด็กบ้านี่ดันไปอุ้มเอาไว้

อาตมาก็พาซื่อ เห็นว่าน่ารักดี ไม่ได้เห็นว่าดุ เจ้าหน้าที่เขาโวยวายใหญ่จึงต้องปล่อยคืนไป เขาก็คลานลงบ่อแต่โดยดี ทุกวันนี้อาตมาก็ไม่รู้ว่าเหี้ยเห่าช้างดุจริงหรือเปล่า ? แต่พวกพรานล่าสัตว์เคยบอกว่า โดนไล่วิ่งจนเตลิดเปิดเปิงมาหลายคนแล้ว"

เถรี
21-08-2012, 08:33
"แถวบ้านอาตมาไม่มีเห่าช้าง เพราะเห่าช้างนั้นหายาก หายากพอ ๆ กับตุ๊ดตู่ ตุ๊ดตู่ก็เป็นสัตว์ตระกูลเดียวกับพวกเหี้ย เพียงแต่ตัวเล็กกว่าและสีจัดจ้านกว่ามาก

http://www.moohin.com/animals/images/378_001.jpg
ตุ๊ดตู่


อาตมาก็เคยเลี้ยงตะกวดอยู่พักหนึ่ง เผลอหน่อยเดียวผู้ใหญ่เขาเอาไปผัดเผ็ดเสียนี่ ความจริงพวกเหี้ยหรือตะกวดเลี้ยงง่ายมาก พวกนี้กินเศษอาหาร เวลาแม่เจียวน้ำมันหมู พอเอากากหมูโยนลงไป ก็มารุมกินกัน หรือวันไหนซื้อลูกชิ้นปิ้งมาก็แบ่งให้เขากิน

เห่าช้างเขาว่ากินไม่ได้เพราะว่าหนังมีพิษแบบคางคก เห่าช้างฝรั่งเรียกว่า Rough neck monitor คอจะเป็นเม็ด ๆ เล็ก ๆ เห็นชัด ๆ เลย"

เถรี
21-08-2012, 08:35
ถาม : ที่บ้านจะถูกไล่ที่ ตอนนี้เดือดร้อนเรื่องบ้าน จะหาบ้านใหม่ ?
ตอบ : บนพระวิสุทธิเทพก็ได้จ้ะ รักษาศีล ๘ สัก ๗ วัน พระวิสุทธิเทพคือพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน จุดธูป ๕ ดอกปักกลางแจ้ง นึกถึงท่าน ขอให้ท่านสงเคราะห์ให้ได้บ้านภายในกี่วันก็ว่าไป ถ้าได้บ้านภายในเวลาที่กำหนดเราจะถือศีล ๘ ถวายท่าน ๗ วัน

เถรี
21-08-2012, 08:36
ถาม : จะไปสัมภาษณ์งานค่ะ อยากได้มาก ?
ตอบ : อันดับแรก..ไปวัดแล้วขัดส้วม เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วไปอธิษฐานกับพระประธานของานกับท่าน อันดับที่สอง..บนพระวิสุทธิเทพ จุดธูป ๕ ดอก นึกถึงพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน ของานกับท่าน ถ้าได้แล้วให้รักษาศีล ๕ หรือ ศีล ๘ พร้อมเจริญกรรมฐานถวายท่าน ๗ วัน

เถรี
21-08-2012, 08:41
ถาม : ก่อนออกจากบ้านมา น้องชายถามว่าทำบุญแล้วดีอย่างไร นอกจากความสบายใจ ?
ตอบ : นั่นสิ..ทำบุญแล้วดีอย่างไรนอกจากเสียเงิน ในเรื่องของบุญ ส่วนใหญ่ทำแล้วผลเห็นในโอกาสข้างหน้า ไม่ได้เห็นทันตา ยกเว้นบุญบางประเภทที่หาโอกาสทำได้น้อยในปัจจุบัน คราวนี้การที่เราทำแล้วไม่เห็นผลทันตา เราก็ต้องมีความเชื่อก่อนว่า เรื่องของการทำความดีนั้นมีสวรรค์ มีพรหม มีพระนิพพานรองรับอยู่ การทำความชั่วนั้นมีสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานรองรับ แต่คราวนี้เราไม่เห็น

ถามว่าจะให้เชื่ออย่างเดียวได้อย่างไร ? เราก็มาเปรียบเทียบอย่างง่าย ๆ ว่า ถ้ากิจการเราทำแล้วมีกำไรกับเสมอตัว กับกิจการอีกอย่างหนึ่งทำแล้วมีแต่ขาดทุนกับเสมอตัว เราควรเลือกทำอย่างไหน ? ที่ว่าหากนรกสวรรค์มีจริง เราทำความดีก็กำไร เพราะว่าเราก็ไปดี แต่ถ้านรกสวรรค์ไม่มี เราทำดีก็แค่เสมอตัว เพราะไม่ได้อะไร ถ้าไม่มีนรกสวรรค์ เราทำชั่วเราก็แค่เสมอตัว แต่ถ้านรกสวรรค์มีจริง เราทำชั่วเราก็ขาดทุน..เพราะลงข้างล่างเลย

เพราะฉะนั้น..สิ่งหนึ่งทำแล้วเสมอตัวกับกำไร กับทำแล้วเสมอตัวกับขาดทุน เราควรจะเลือกทำอะไร ? อันนี้คือบอกเขาให้คิดแบบชาวบ้านทั่ว ๆ ไป

เถรี
21-08-2012, 08:44
แต่ในส่วนของบุญนั้น คนที่เกิดมาประกอบไปด้วยกิเลสใหญ่ คือ รัก โลภ โกรธ หลง การทำบุญต่าง ๆ เป็นการตัดตัวโลภ คือสิ่งที่เราอยากได้หรือควรจะได้ เราพยายามสละให้คนอื่นเขา ทำให้เราเบากายเบาใจ รู้จักสละออก แบ่งปันคนอื่น เกิดความสบายใจขึ้นมา เพราะว่าเราให้ใครเขาก็รักเรา ในเมื่อเราเป็นที่รักของคนอื่น เราจะไปที่ไหนก็ได้ เมื่อเกิดความสบายใจขึ้นมาเราเรียกว่าบุญ

แต่คราวนี้บุญที่ต้องการจริง ๆ นั้น ก็คือบุญที่เราให้เพื่อเป็นการตัด ละ รัก โลภ โกรธ หลง ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เป้าหมายใหญ่มหึมามาก เราก็ดูให้ใกล้ ๆ ของเราว่า ถ้าเราทำแล้วเราเกิดความสบายใจเราก็ทำ ขณะเดียวกันเรื่องของบุญไม่ใช่ว่าทำมากแล้วจะดี สำคัญตรงกำลังใจในการสละออก ถ้าตั้งใจสละออก ถึงทำน้อยก็ได้บุญมาก ถ้าสักแต่ว่าทำไป ถึงทำมากก็ได้บุญน้อย เพราะเจตนาไม่ครบ ความมุ่งมั่นไม่มี ทีนี้พอรู้หรือยังว่าเขาทำกันอย่างไร ?

ถาม : เมื่อก่อนทำบุญแล้วรู้สึกมีปีติ แต่ช่วงหลัง ๆ มารู้สึกเฉย ๆ ไม่แน่ใจว่าสักแต่ว่าทำหรือเปล่า ?
ตอบ : การที่เราทำไปนาน ๆ จะเกิดความเคยชิน ความเคยชินภาษาบาลีเขาเรียกว่า ฌาน จิตที่ทรงฌานจะก้าวข้ามปีติไปแล้ว รู้แต่ว่าสิ่งนี้สมควรทำเราจะทำ ไม่เหลือปีติไว้แล้ว แต่เป็นฌาน กำลังใจสูงขึ้นไม่ได้ต่ำลง ถ้ากำลังใจต่ำลง คือไม่คิดจะทำอีก แต่ทีนี้เรายังทำเป็นปกติ เพียงแต่ก้าวข้ามปีติไปกลายเป็นฌาน ก็เลยกลายเป็นว่าทำก็ไม่รู้สึกหรือสาอะไร เพราะเคยชินไปแล้ว

เถรี
22-08-2012, 07:40
ถาม : หมอตรวจพบว่า คุณพ่อเป็นมะเร็งในเม็ดเลือด ?
ตอบ : ไปวัดหลวงปู่ธรรมชัยที่อำเภอแม่แตงถูกไหมจ๊ะ ? ไปหาหลวงพี่สมศักดิ์ หลวงปู่ธรรมชัยเคยมียาที่เกี่ยวกับพวกฟอกเลือด กินแล้วแก้ไขเรื่องพวกนี้ได้ หลวงพี่สมศักดิ์ท่านสืบทอดตำรามาจากหลวงปู่

ถาม : ควรไปเมื่อไร ?
ตอบ : ไปเมื่อไรก็ได้จ้ะ ท่านอยู่เกือบตลอด แต่เว้นช่วงต้นเดือนนิดหนึ่งเพราะได้ยินว่าท่านลงมารับสังฆทานแถว ๆ สมุทรปราการอยู่เหมือนกัน หาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตก็มี ชื่อวัดทุ่งหลวง

เถรี
22-08-2012, 07:47
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลายคนอาศัยช่วงวันหยุดยาว ๆ ออกต่างจังหวัดกัน แต่ฝนฟ้าตกไม่เป็นเวล่ำเวลา ขับรถก็อันตราย ถึงเราไม่ไปชนเขา แต่เขาเองอาจจะมาชนเรา เมื่อสองอาทิตย์ก่อนอาตมามาสอนหนังสือที่วัดไร่ขิง พอเลี้ยวเข้าถนนปิ่นเกล้า - พุทธมณฑล รถติดเป็นชั่วโมงเลย เพราะว่ารถฝั่งตรงข้ามกระโจนข้ามมาชนเสาไฟ ล้มขวางถนนทั้งต้น กว่าเขาจะมายกออก รถติดกันจนลืมโลกไปเลย แปลว่าต่อให้เราขับรถด้วยความปลอดภัย คนอื่นก็ไม่แน่ว่าจะปลอดภัยกับเราด้วย

อาตมามีความเคยชินอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ พอขึ้นรถเมื่อไรก็รีบภาวนาไว้ก่อน เผื่อเหนียวเอาไว้ ถ้าชนตูมเดียวเงียบไปเลยจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาตั้งท่านาน

ช่วงนี้ตอนบิณฑบาตฝนตกทุกวัน พอเดินถึงหัวสะพานก็ต้อง "นิพพานัง สุขัง" ไว้ก่อน เพราะไฟฟ้าตรงนั้นรั่ว พระวัดท่าขนุนเดินผ่านตรงนั้นโดนทุกรูป แจ้งการไฟฟ้าไปแล้ว เขาหาไม่เจอว่าตรงไหนที่รั่ว เพราะเขามาตอนที่ฝนไม่ตก ตอนฝนตกเขาไม่มาดู

พอพระเดินผ่านตรงนั้นก็เด้งดึ๋งกันทุกรูป อาตมาก็จะแปลกใจว่าพระทำอะไร ไม่ได้ทำอะไรหรอก โดนไฟดูดจนกระเด้งเอง ถ้าโยมถามว่าอาตมากลัวไหม ? อาตมาไม่กลัวหรอก แต่พระที่เดินตามมากลัวแน่ ๆ เผอิญว่าเขากลัวเจ้าอาวาสมากกว่า ก็เลยต้องกัดฟันเดินตาม..!"

เถรี
22-08-2012, 07:54
พระอาจารย์กล่าวว่า "พ่อแม่ก็แก่เฒ่า จำจากเจ้าไม่อยู่นาน จะพบจะพ้องพาน เพียงเสี้ยววารของคืนวัน ฉะนั้น..ถ้าใครที่พ่อแม่ยังอยู่ พยายามทดแทนท่านด้วยนะจ๊ะ ต่อให้ไม่มีอะไรพาท่านไปเที่ยวก็ยังดี หาอะไรที่ท่านชอบให้กินบ้าง พาไปวัดวาอารามที่สวยงามบ้าง เพื่อที่จะได้ติดตาติดใจท่าน เวลาปุบปัปท่านเป็นอะไร ใจท่านเกาะความดีอยู่จะได้ไปดี

เราเห็นคนแก่แล้วรู้สึกสลดใจอย่างเดียวไม่พอ ต้องมองให้เห็นด้วยว่าเราก็จะเป็นเช่นนั้น ในเมื่อเราก็จะเป็นเช่นนั้น เวลาจะทำอะไรก็ลำบากกว่าปกติหลายเท่า ก็แปลว่าความทุกข์ที่มีอยู่นั้นเท่าเดิม แต่เมื่อทำอะไรยากขึ้นก็เท่ากับว่าทุกข์มากขึ้น

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ในสังสารวัฏที่หาต้นหาปลายไม่ได้นั้น คนเราเกิดมานับชาติประมาณไม่ได้ ท่านให้ตัดเอาต้นไม้ใบหญ้าทั้งชมพูทวีปมา เสร็จแล้วมามัดเป็นฟ่อนเล็ก ๆ สมมติว่านี่คือพ่อ นี่คือพ่อของพ่อ นี่คือพ่อของพ่อของพ่อ ไล่ไปเรื่อย ท่านบอกไม่มีที่สุด จนกระทั่งไม้หมดทั้งชมพูทวีปแล้ว ก็ยังไม่สามารถจะเปรียบเทียบได้ว่าเราเกิดสืบเนื่องกันมานานเท่าไร มีพ่อแม่ของพ่อแม่ของพ่อแม่ซ้อนกันมาเท่าไร

บางคนก็เกิดมาเป็นลูก บางคนก็เกิดมาเป็นพ่อแม่ บางคนก็เกิดมาเป็นพี่น้อง เป็นญาติเป็นโยม สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปเรื่อย หาความแน่นอนไม่ได้ มีแน่นอนอยู่อย่างเดียว คือเกิดมาแล้วทุกข์แน่ ๆ เพราะพระองค์ท่านเห็นว่าทุกข์ จึงได้ขวนขวายหาทางหลีกหนี แล้วในที่สุดก็ค้นพบหลักธรรมที่ช่วยให้พ้นทุกข์ได้"

เถรี
22-08-2012, 08:11
"พระองค์เอาชีวิตเข้าแลก จนกระทั่งได้หลักธรรมนี้มาสั่งสอนพวกเรา ทรงทรมานพระวรกายด้วยวิธีการต่าง ๆ ถ้าเป็นคนอื่นก็ตายไปหลายรอบแล้ว พระองค์ท่านต่อสู้ฟันฝ่าด้วยกำลังพระทัยที่แน่วแน่ ว่าจะค้นหาโมกขธรรมคือธรรมอันเป็นเครื่องพ้นจากกองทุกข์ เมื่อพบแล้วก็ไม่ใช่จะเอาแต่พระองค์ท่านรอดเท่านั้น ยังตั้งพระทัยว่าจะขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสารด้วย

วัฏสงสาร หรือ สังสารวัฏ คำว่า วัฏฏะ แปลว่า การหมุนวน การหมุนวน ก็คือ ความหมายของคำว่าไม่มีที่สิ้นสุด มองต้นมองปลายไม่เห็น ขีดวงกลมขึ้นมาแล้วจะไปหาต้นหาปลายที่ไหนเล่า ? เพราะหมุนไปเรื่อย พวกเราเองก็เวียนตายเวียนเกิดไปเรื่อย ๓๑ ภพภูมิเกิดมาจนครบแล้วกระมัง ? อาตมาขาดไป ๑ ภพภูมิ คือยังไม่เคยลงโลกันตนรก นอกนั้นไปเยี่ยมมาหมดแล้ว บางที่ติดใจก็ไปหลายรอบ ลงหลายหนหน่อย

สังสารวัฏแบ่งเป็นภพภูมิเบื้องต่ำ เรียกว่าเหฏฐิมสงสาร ภพภูมิเบื้องกลางเรียกว่ามัชฌิมสงสาร ภพภูมิเบื้องสูงเรียกว่าปุริมสงสาร ภพภูมิเบื้องต่ำท่านบอกว่ามีสัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน ๔ ภพภูมิ ภพภูมิเบื้องกลางมีมนุษย์ ๑ เทวดา ๖ ก็แปลว่าเป็น ๑๑ แล้ว ภพภูมิเบื้องสูงมี รูปพรหม ๑๖ อรูปพรหม ๔ รวมเป็น ๓๑ พอดี

๓๑ ภพภูมินี้มนุษย์และสัตว์เวียนว่ายตายเกิด สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันจนกระทั่งหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ใน ๓๑ ภพภูมินี้ ถ้าเกิดใน ๒๑ ภพภูมิแรกก็เกิดตายไม่รู้จบ ถ้าเป็นสุทธาวาสภูมิ ๕ ชั้น ที่เป็นอนาคามีพรหมหรืออรหัตมรรค ท่านรอการหลุดพ้นอย่างเดียว แต่ว่านานมาก

ถ้าหากว่านับชาติที่เกิดเป็นคนหรือเกิดเป็นสัตว์ก็นับไม่ได้ เอากระดูกมากองรวมกันก็คงท่วมจักรวาลแล้ว พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า แค่น้ำตาที่ร้องไห้ด้วยความเสียใจแต่ละชาติ รวมแล้วมากกว่ามหาสมุทรทั้ง ๔ อีก มิน่า..น้ำในมหาสมุทรถึงได้เค็มนัก"

เถรี
22-08-2012, 08:16
"สังสารวัฏเกิดขึ้น ท่านบอกว่าเกิดจากกิเลสวัฏ คือ การหมุนเวียนของกิเลส เมื่อกิเลสราคะ โลภะ โทสะ โมหะชักนำ ก็จะเกิดกรรมวัฏ คือการหมุนวนของกรรม คือการกระทำขึ้นมา รักชอบเกลียดชังก็ทำไปตามอารมณ์ของตน แล้วก็จะเกิดวิปากวัฏ คือการหมุนเวียนของผลกรรมขึ้นมา ส่งผลให้เราไปเกิดในภพภูมิต่าง ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด

เพราะฉะนั้น..กิเลส กรรม วิบาก พากันหมุนไล่กันเป็นกงล้อ ต้องบอกว่าเป็นกงล้อมหาประลัย พาเราเวียนตายเวียนเกิดไม่รู้จบ พระพุทธเจ้าท่านสามารถหักกงล้อแห่งสังสารวัฏพังทลาย พาพระองค์ท่านหลุดพ้นไปสู่พระนิพพานได้ คนอื่นไม่สามารถที่จะพาตนเองหลุดพ้นไปได้

โดยเฉพาะในเรื่องของสิ่งที่ดี..เรามักไปยินดี แล้วก็หยิบฉวยกอบโกยเข้ามา กลายเป็นเครื่องถ่วงตัวเอง ส่วนในเรื่องที่ไม่ดี...เราพยายามผลักไสดิ้นรนหลีกหนีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น..เรื่องที่ดีจึงอันตรายกว่ามาก เรื่องของลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จึงเป็นตัวถ่วงเราให้ติดอยู่ในโลกนี้ได้ง่ายที่สุด

ส่วนเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เราพยายามที่จะผลักไสอยู่แล้ว แต่ว่าสภาพจิตที่ไปผลักไสดิ้นรนด้วยความไม่ยินดี ไม่พอใจนี่แหละ ยังความเศร้าหมองให้เกิด เราจึงเสร็จทั้งขึ้นทั้งล่อง ทำอย่างไรถึงจะผ่ากลางไปได้ ก็ต้องพยายามหาช่องทาง ใช้หลักธรรมของพระพุทธเจ้านำตนให้หลุดพ้นไป"

เถรี
22-08-2012, 08:33
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระแก้วมรกตเปลี่ยนเครื่องทรงฤดูฝนไปเมื่อวานนี้ ใครเคยชินกับทรงเครื่องฤดูร้อน ถ้าไปกราบระยะนี้ ๔ เดือน ก็จะเห็นเครื่องทรงฤดูฝน พอไปแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๒ ก็จะเป็นเครื่องทรงฤดูหนาว

เครื่องทรงพระแก้วเป็นชุดใหม่แล้ว ชุดเก่าเขาจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ ก็คือพิพิธภัณฑ์เครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญกษาปณ์ ไม่ทราบว่าโยมเสียเงินหรือเปล่า ? ส่วนพระนั้นเข้าฟรี

ด้วยความประณีตของศิลปกรรมและการแบ่งลำดับชั้นตามศักดิ์ ทำให้เครื่องประกอบยศต่าง ๆ ของบรรดาเชื้อพระวงศ์แตกต่างกัน เครื่องราชอิสริยาภรณ์แต่ละชั้นก็แตกต่างกันไป พวกเราถ้ามีโอกาสก็ไปศึกษาดู อะไรเก่า ๆ จำได้ก็เอาไปเล่าให้ลูกหลานฟังบ้าง เดินวนรอบวัดพระแก้วสักรอบหนึ่ง แล้วเอาไปบอกลูกหลานได้ว่าประตูมีชื่อว่าอะไรบ้างก็พอแล้ว ไล่ตั้งแต่พิมานเทเวศน์ วิเศษไชยศรี มณีนพรัตน์ สวัสดิโสภา เทวาพิทักษ์ ฯลฯ

จะเห็นความประณีตของคนโบราณ แม้กระทั่งชื่อประตูยังตั้งชื่อเอาไว้คล้องจองไพเราะเพราะพริ้ง แม้บรรดาป้อมค่ายต่าง ๆ ที่เอาไว้ป้องกันข้าศึกก็ยังมีชื่อไพเราะ สมัยก่อนเขามีป้อมป้องปัจจามิตร ปิดปัจจานึก ฮึกเหี้ยมหาญ ผลาญไพรีราบ ปราบศัตรูพ่าย ทำลายปรปักษ์ หักดัสกร พระนครรักษา ฯลฯ ปัจจุบันเรารู้จักแต่ป้อมปราบศัตรูพ่าย เหลือแต่ชื่อ ตัวป้อมหายไปเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ป้อมมหากาฬอยู่ใกล้ ๆ วัดสระเกศ มีเวลาก็ไปศึกษาดูบ้าง"

เถรี
22-08-2012, 08:45
พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านใดที่จะตั้งชื่อสมัครเข้าเป็นสมาชิกเว็บวัดท่าขนุน กรุณาใช้ชื่อเป็นภาษาไทยที่ถูกต้อง ถ้ามีชื่อพิลึกพิลั่นเข้าไป ต่อให้เป็นชื่อจริงก็โดนลบออกจากระบบ

สมัยนี้เป็นสมัยที่อาตมาอึดอัดใจมาก เพราะว่าญาติโยมจำนวนมากถือมงคลกันเกินเหตุ ตั้งชื่อมาแปลไม่ได้ หรือแปลได้ความหมายก็พิลึกพิลั่น เพราะต้องการให้เลขรวมกันแล้วเป็นมงคลอย่างเดียว ก็เลยมีชื่อที่อาตมาอ่านไม่ออกเยอะแยะไปหมด หรืออ่านออกก็สะดุ้งว่าเขาตั้งมาได้อย่างไร

อย่างเช่น ณภัทร แปลว่าไม่เจริญ ณเดช แปลว่าไม่มีอำนาจ ณพล แปลว่าไม่มีกำลัง ตั้งชื่อมาได้..แสดงว่าเขาเป็นผู้ปล่อยวางแล้ว ไม่เห็นความสำคัญของชื่อ ถ้าไปปฏิบัติธรรมน่าจะก้าวหน้าเร็ว..!"

เถรี
22-08-2012, 08:48
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อครู่นี้อาตมาขึ้นไปข้างบน ตั้งใจจะนอนพัก ปรากฏว่ามีนักเลงดีมาผลักประตูเพื่อจะเปิด เสียงดังโครม อาตมาก็เลยตื่น เมื่อกลางวันอาตมาจะพัก ก็มีรถมาขายผลไม้ เสียงจากลำโพงดังใส่ห้องพอดี ส่วนเมื่อเช้าจะพัก คณะสิงโตก็มาซ้อมกัน ตีกลองดังสนั่นหวั่นไหว

เพราะฉะนั้น..ใครที่ขึ้นไปผลักประตูเมื่อครู่โปรดทราบ ท่านทำให้อาตมาได้งานเยอะเลย เพราะอาตมาเป็นคนตื่นง่าย ในเมื่อนอนไม่ได้ก็นั่งเตรียมการสอนไปเรื่อย อาจจะเป็นเพราะเคยชินว่า ถ้าตื่นแล้วต้องลุกเลย จึงทำให้นอนไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพอตื่นแล้วไม่ลุกก็จะนอนเลื้อยไปเลื้อยมา ตามใจกิเลสจนเคยตัว เดี๋ยวก็เคยชินในทางที่ไม่ดี"

เถรี
23-08-2012, 08:31
ถาม : ขอปรึกษาเรื่องปัญหาการซื้อขายที่ดิน ?
ตอบ : เอาอย่างนี้..ไปบนเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ให้ท่านช่วยสงเคราะห์เรื่องนี้ให้จบลงโดยง่ายด้วย แต่การบนเสด็จในกรมฯ นี่แปลก เวลาบนเราต้องจัดของบนท่าน ๑ ชุด เมื่อสำเร็จต้องจัดของแก้บนท่านอีกชุดหนึ่ง สรุปว่าได้หรือไม่ได้ก็จ่าย ๑ ชุดก่อน

ของบนเสด็จในกรมฯ ต้องใช้หมูต้ม ๑ ชิ้น อย่างน้อยครึ่งกิโลกรัม ถ้าได้หัวหมูยิ่งดี ไก่ต้ม ๑ ตัว ข้าวปากหม้อ ๑ ถ้วย ขนมจีนน้ำพริก ๑ ชุด ทองหยิบ ฝอยทอง แล้วแต่มากน้อย ของทั้งหมดวางบนผ้าขาวที่ปูกลางแจ้ง จะตั้งโต๊ะกลางแจ้งก็ได้ การบนถ้าเป็นช่วงเช้าต้องเป็นเวลา ๐๗.๕๐ น. ช่วงบ่ายต้องเวลา ๑๔.๕๐ น. ต้องตรงเวลาเลยเลยนะ ผิดไม่ได้ แปลว่าต้องเตรียมของไว้ก่อน พอถึงเวลาก็จุดธูปบอกท่าน ขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์เรื่องนี้ให้จบลงโดยง่าย แล้วเราจะถวายเครื่องแก้บนให้อีกชุดหนึ่ง

ถาม : ไปบนที่ไหนดีครับ ?
ตอบ : ทำที่บ้านเราได้ ตั้งโต๊ะกลางแจ้งปูผ้าขาว เอาของทั้งหมดวางข้างบน ถึงเวลาก็จุดธูป ๕ ดอกบอกกล่าวท่าน ขอให้ท่านให้ช่วยสงเคราะห์ ไม่ต้องมีรูปท่านหรอก

เถรี
23-08-2012, 08:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "พอของที่ให้ประมูลหมดแล้ว จะเอาเบี้ยแก้ตัวครูของหลวงปู่เจือมาให้ ขนาดใหญ่กว่ากำปั้นหน่อยหนึ่ง มีปัญญาก็แขวนคอเอา หลวงปู่เจือท่านเมตตาจารไว้ให้ วิชานี้อาตมาทำอย่างไรก็ไม่ขลังเท่ากับสายตรง จึงปล่อยเลยตามเลย ไม่คิดที่จะทำ ปกติเบี้ยตัวครูเขาไม่ได้ให้ใครง่าย ๆ เพราะว่าเอาไว้เป็นต้นแบบ

สมัยก่อนเรื่องของเบี้ยแก้เป็นวิชาของพราหมณ์-ฮินดู เขาจะทำเบี้ยแก้ขึ้นมาสำหรับติดตัวกันฟ้าผ่า มาถึงยุคหลวงปู่รอด วัดนายโรง ท่านขอเรียนวิชาจากพราหมณ์ ไม่ทราบเหมือนกันว่าแลกเปลี่ยนกันด้วยวิชาอะไร แต่พราหมณ์เขายินดีถ่ายทอดให้

เบี้ยแก้แต่เดิมที่เป็นของพราหมณ์เขาเรียก “ภควะจั่น” คำว่าจั่นก็คือเบี้ยจั่น พอมาถึงหลวงปู่รอด วัดนายโรง ท่านก็มาแปลงเป็นเบี้ยแก้แบบไทย เพราะเสกด้วยพุทธคุณแทน เมื่อติดตัวไว้สามารถเป็นมหาอุตม์ได้

ท่านบอกว่าเสกได้ ๓ ระดับ ระดับแรกคือปืนยิงไม่ออก ระดับที่ ๒ ยิงออกไม่ถูก ระดับที่ ๓ ยิงถูกไม่เข้า แล้วแต่ว่าคน ๆ นั้นมีคุณความดีมากน้อยแค่ไหน เพราะว่าครูบาอาจารย์สมัยก่อนส่วนใหญ่ท่านได้ทิพจักขุญาณ ท่านรู้ก็จะสงเคราะห์ให้ตามกำลังใจของคนนั้น ๆ"

เถรี
23-08-2012, 08:50
"การทำเบี้ยแก้จะเอาเบี้ยขนาดไม่ใหญ่มาก พอที่จะบรรจุปรอทได้หนัก ๑ บาท โดยเบี้ยแก้จะต้องมีฟัน ๓๒ ซี่ ต้องไปนั่งเล็งแล้วนับเอา ปรอทส่วนใหญ่ก็ดักเอาจากธรรมชาติ ชั่งน้ำหนักให้ได้ ๑ บาท กรอกใส่เบี้ยไปแล้วอุดด้วยชันโรงใต้ดิน ชันโรงเป็นแมลงตระกูลผึ้ง แต่ว่าเป็นผึ้งที่ตัวเล็กมาก

เมื่อตอนที่ซ่อมกุฏิเรือนไทย รื้อผนังกุฏิลงมามีชันโรงเพียบเลย รังของชันโรงจะทำเรียงไว้กับพื้นลักษณะหมือนเป็นถ้วย แต่ละถ้วยใส่น้ำหวานไว้เต็ม คราวนี้ชันโรงชอบทำรังบนต้นไม้ หรือไม่ก็ตามรอยซอกแตกของบ้าน แต่ท่านให้ใช้ชันโรงใต้ดิน เขาถือว่าของอะไรที่ผิดธรรมชาติจะขลัง เอามาอุดไว้

หลังจากนั้นก็หุ้มด้วยผ้าแดงที่จารอักขระ แล้วตีหุ้มด้วย ตะกั่วถ้ำชา คำว่าตะกั่วถ้ำชา ก็คือตะกั่วที่เอามาทำเป็นที่บรรจุกาน้ำชา ส่วนใหญ่เขาจะใส่นวมหุ้มเอาไว้ เพื่อที่จะให้ชาร้อนอยู่ได้นาน ๆ สมัยนี้เด็กไม่ค่อยจะรู้แล้วว่าถ้ำชาหน้าตาเป็นอย่างไร คำว่าถ้ำในภาษาโบราณ เขาหมายถึง สิ่งที่เอาไว้เก็บของเล็กของน้อยได้

อย่างในขุนช้างขุนแผน ที่นางทองประศรีบอกว่า “ฯลฯ..ขมิ้นดินสอพองเอาไว้ไหน เมื่อวานกูใส่ไว้ในถ้ำ..ฯลฯ” ถ้ำชาถ้าสมัยนี้ก็ต้องบอกเป็นว่าภาชนะที่บรรจุกาน้ำชา ระยะหลังทำจากโลหะอย่างอื่น สมัยก่อนเขาใช้ตะกั่วเพราะว่าตีขึ้นรูปได้ง่าย

เมื่อหุ้มด้วยตะกั่วถ้ำชาเสร็จแล้ว ก็มีการจารอักขระซ้ำอีกทีหนึ่ง หรือจะไม่จารก็ได้ หลังจากนั้นก็มักจะเอาไปถักเชือกหรือชุบรักปิดทองก็แล้วแต่ นำติดตัวเอาไว้ ท่านบอกว่าสามารถพลิกดวงชะตากลับร้ายกลายเป็นดีได้ กันไสยเวทย์อาคมวัตถุอาถรรพ์ได้ ผีเจ้าเข้าสิงเอาทำน้ำมนต์อธิษฐานรดให้ออกได้"

เถรี
23-08-2012, 09:01
"รุ่นต่อจากหลวงปู่รอด วัดนายโรง ก็เป็นหลวงปู่แขก วัดบางบำหรุเรียนต่อมา แล้วก็แยกสายออกมามีของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่บุญไปมาหาสู่กับหลวงปู่แขกและหลวงปู่รอด ก็น่าจะได้รับการถ่ายทอดวิชาไป เพราะทำมาจากตำราเดียวกัน หน้าตาเหมือนกัน ตามสายหลวงปู่บุญก็ถ่ายทอดต่อให้หลวงปู่เพิ่ม หลวงปู่เพิ่มถ่ายทอดต่อให้หลวงปู่เจือ

ส่วนสายหลวงปู่แขกก็ถ่ายทอดมาถึง หลวงปู่ม่วง วัดคฤหบดี จากหลวงปู่ม่วงแตกสายออกไปที่ใครบ้างก็ไม่ทราบ แต่ทางอ่างทองมีหลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ ท่านทำเบี้ยแก้ดังเหมือนกัน แต่ว่าเบี้ยแก้สายวัดโบสถ์เวลาเขย่าจะดังซ่า ๆ เหมือนกับมีทรายอยู่ข้างใน ไม่ทราบว่าท่านใส่ปรอทกรอไว้หรือเปล่า ?

ปรอทกรอคือปรอทที่เขาทำจนแข็งเป็นตัว แล้วตะไบเป็นผง ถ้าเป็นปรอทกรอนี่ถือว่าแน่กว่า เพราะต้องใช้น้ำปรอทเยอะกว่า น้ำปรอท ๑ บาท เวลาทำแข็งเป็นตัวแล้วอยู่ไม่ครบบาทหรอก ดังนั้น..ถ้าหากว่าใช้ปรอทกรอ ๑ บาท ต้องใช้น้ำปรอทมากเกินบาท

ฉะนั้น..จากภควะจั่นที่ขออำนาจพระผู้เป็นเจ้าของทางสายฮินดูมา ก็มาเสกด้วยพุทธคุณแบบไทย กลายเป็นเบี้ยแก้ สมัยก่อนลูกศิษย์หลวงปู่ม่วงที่เป็นผู้ชายมาขอเบี้ยแก้ ออกจากวัดแล้วเจอดีทุกราย พวกลูกศิษย์รุ่นพี่จะไปดักลอง ส่วนใหญ่จะฟันกบาลด้วยดาบ อาจจะเป็นคำสั่งหลวงปู่ก็ได้ ที่จะให้คนรับไปมั่นใจว่าของท่านดีจริง ก็เลยให้รุ่นพี่ไปลอง ส่วนใหญ่โดนเข้าไปเต็ม ๆ แล้วไม่เข้า เมื่อหนังเหนียวแบบนั้น คนที่รับไปก็ค่อยมั่นใจหน่อย"

เถรี
23-08-2012, 09:07
"พอมาถึงหลวงปู่เจือนี่เน้นหนักไปทางด้านเมตตา ค้าขาย น่าจะอยู่ในลักษณะว่า ถ้าทำให้เหมือนเดิมเดี๋ยวลูกศิษย์ไปเป็นโจรกันหมด เพราะคนรุ่นใหม่มีอารมณ์ร้อน ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ คนรุ่นเก่าส่วนใหญ่รับวัตถุมงคลจากครูบาจารย์ไปแล้วต้องรับสัจจะด้วย อย่างเช่นจะไม่กินเหล้า ไม่ด่าแม่เขา ไม่ผิดลูกเมียเขา เท่ากับบังคับให้รักษาศีลไปโดยปริยาย

อย่างตามสายหลวงปู่ปานของเราที่รับยันต์เกราะเพชร ก็ห้ามกินเหล้ากับห้ามลักขโมย เพราะฉะนั้น..ในเรื่องเครื่องรางของขลัง จริง ๆ แล้วโบราณท่านทำขึ้นมาก็เพื่อดึงคนให้หาพระศาสนา อย่างที่บอกว่าพวกคริสต์ที่บางนกแขวกแขวนพระหลวงปู่ปานกันทั้งนั้น

ทางปักษ์ใต้ก็หลวงพ่อซัง วัดวัวหลุง อิสลามขึ้นเต็มวัดเลย ของท่านขลังจริง ลองได้ทุกเวลา ของหลวงพ่อวัดท่าซุงก็มีแก้วมณีรัตนะกับผ้ายันต์ ทางด้านนั้นเขาถือว่าเป็นผ้ายันต์ไม่ใช่รูปพระ เขาแขวนได้"

เถรี
23-08-2012, 09:10
ถาม : ลูกชายเจ็บตัวบ่อยมากค่ะ
ตอบ : ไปหาน้ำมันชาตรีของวัดท่าซุง แล้วให้เขาเจิมหัวตัวเองทุกวัน แม่เจิมให้เขาก็ได้ ท่องนะโมพุทธายะแล้วก็ลุยไปได้เลย สิบล้อชนก็ไม่เป็นไร

บางทีเขาไปวัดท่าซุงกันไม่เป็น แต่น้ำมันชาตรีเป็นเรื่องสำคัญ ต้องรอพระท่านอนุญาตจริง ๆ จึงทำได้ อาตมายังเฮี้ยนมากไปหน่อย เอาให้ความเฮี้ยนลด ๆ ลงหน่อย เดี๋ยวท่านก็อนุญาตให้ทำเอง ถ้ากำลังใจยังประเภทดุเดือดอยู่ น้ำมันจะออกไปทางอื่น พาคนให้ไปตีเขา เดี๋ยวคนอื่นจะเดือดร้อน

เถรี
23-08-2012, 09:21
มีพ่อแม่พาลูกอ่อนมาทำบุญ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "แม่ซื้อมาด้วยเพียบเลย ไม่ต้องเลี้ยงก็ได้ ปล่อยทิ้งไว้เฉย ๆ ก็ไม่ตายหรอก จำไม่ได้ว่าประวัติของใคร ที่เขาบอกว่าตอนเด็กไม่กินอะไรเลย พอพาไปให้หมอตรวจ หมอเขาบอกว่าแข็งแรงดี ไม่ขาดสารอาหาร

จนกระทั่งเด็กรู้ภาษาแล้วจึงเล่าให้ฟังว่า มีแม่ที่แต่งชุดไทยสวย ๆ มาป้อนอาหารให้ทุกวัน เด็กกินอิ่มแล้วจะไปกินอะไรอีกล่ะ ? แต่คราวนี้คนอื่นเขาไม่เห็นนะสิ"

ถาม : บรรดาแม่ซื้อเขาจะมาดูแลนานแค่ไหนคะ ?
ตอบ : แล้วแต่เขา บางคนก็อยู่ถึง ๑๐ ปี หรือ ๒๐ ปีเลยก็มี บางคนก็อยู่แค่พักเดียว พอเด็กวิ่งเล่นได้ก็ไปแล้ว

เถรี
23-08-2012, 09:28
มีโยมนำน้ำมนต์ชาตรีมาถวาย พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "เรื่องของน้ำมนต์ชาตรีนี่เป็นอะไรที่อาตมาหัวเราะไม่ออก จะบอกว่าหลวงพ่อท่านดัดสันดานความมักง่ายของอาตมาก็ได้ เพราะเมื่อพระสารีบุตรท่านมาเตือนหลวงพ่อเรื่องทำน้ำมนต์รักษาโรค หลวงพ่อท่านก็นำมาบอกกล่าวพระในวัด ปรากฏว่าไม่มีใครสนใจ แต่อาตมาคัน ได้ยินแล้วอดไม่ได้ จึงรวบรวมเงินทองไปซื้อแผ่นทองได้ ๖ แผ่น แผ่นเงินได้ ๖ แผ่น

พอเขียนยันต์เสร็จเรียบร้อย เอาไปถวายให้หลวงพ่อเสก หลวงพ่อท่านบอกว่า “วิธีก็รู้ทุกอย่างแล้ว ไปเสกเอง..!” คาถาเสกยันต์ทำน้ำมนต์เขาใช้อิติปิโส ฯ ๑๐๘ จบ แล้วก็นะมะพะทะ ๑๐๘ จบ กว่าจะเสกเสร็จ ๒ ชั่วโมงครึ่ง เหนื่อยแทบตาย เพราะต้องเข้าสมาธิตลอด

พอถึงเวลาท่านทำพุทธาภิเษก อาตมาแอบเอาไปซุกเข้าพิธี หลวงพ่อท่านรู้ ท่านก็หัวเราะ..บอกว่า “ก่อนหน้านี้ข้าก็เหมือนแกนั่นแหละ ร่ำเรียนวิชาอะไรมาก็ไม่เคยมั่นใจตัวเองหรอก แต่พอสิ้นหลวงพ่อปานแล้วเขามาหาข้า เขาบอกว่าข้าอยู่กับหลวงพ่อปานต้องทำได้ ข้าก็เลยต้องมั่นใจตัวเอง” ท้ายที่สุดพวกที่ขยับตัวไม่ทันก็มาปล้นอาตมาไปหมด เหลือไว้ใช้งานอยู่ชุดเดียว

ยันต์ทำน้ำมนต์ชุดนี้ไปบุกดงกะเหรี่ยงมาหลายยกแล้ว เวลาใครโดนไสยศาสตร์มาแล้วแก้ไม่ตก น้ำมนต์นี้ช่วยมานับไม่ถ้วนแล้ว เป็นเรื่องแปลก..ยันต์ทำน้ำมนต์เงินกับทองเลี่ยมพลาสติกหันหลังชนกัน บวกพลาสติกแล้วหนักมากเลย แต่เวลาเสกทำน้ำมนต์แล้วกลับลอยน้ำได้"

เถรี
23-08-2012, 09:32
"เรื่องยันต์ทำน้ำมนต์ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “นึกถึงภาพยันต์ หรือนึกชักยันต์ด้วยใจ แล้วปลุกเสกไว้ทุกวัน จะช่วยลดกฎของกรรมได้” อาตมาลองทำดูตลอดระยะเวลา ๒๐ ปีไม่เคยว่างเว้นเลย ช่วยได้จริง ๆ คืออาการเจ็บไข้ได้ป่วยเบาลง เพียงแต่มานึกดูว่าโดนหลวงพ่อท่านหลอกอีกแล้ว..! ท่านบอกให้เรานึกถึงพระแล้วภาวนาทุกวัน แล้วบุญใหญ่คือศีล สมาธิ ปัญญานี่จะตัดกฎของกรรมได้ดีมาก ๆ เลย เมื่อทำต่อเนื่องมา ๒๐ กว่าปี แล้วมุ่งจะเอาเรื่องเดียวก็เลยกลายเป็นว่าเห็นผล

หลวงพ่อท่านตั้งใจทำน้ำมนต์ชาตรีไว้ให้เด็กนักเรียนโรงเรียนพระสุธรรมยานฯ ได้มีเงินเอาไว้ใช้ในการทำกิจกรรม ท่านจึงสั่งทำแท็งก์น้ำ แล้วเอาแผ่นยันต์ทำน้ำมนต์แขวนไว้ตรงที่น้ำไหลลงพอดี สรุปก็คือเปิดใช้ได้ทั้งปีทั้งชาติ เขาก็เลยติดเครื่องกรองน้ำ ผลิตน้ำมนต์ขายกันอุตลุตไปเลย"

เถรี
24-08-2012, 14:39
ถาม : ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระกับพระอุปคุต ใช่องค์เดียวกันหรือเปล่า ?
ตอบ : คนละองค์กัน พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระท่านเป็นประธานในการทำสังคายนา ส่วนพระอุปคุตเป็นหัวหน้าฝ่ายป้องกัน พระเจ้าอโศกมหาราชจัดพิธีงานฉลองพระบรมสารีริกธาตุเป็นเวลา ๗ ปีกว่า กลัวพญามารจะมาทำลายงาน จึงตรัสถามว่ามีพระเถระรูปไหนที่มีความสามารถจะรับอาสาป้องกัน ทุกท่านบอกว่าต้องพระอุปคุตเถระเท่านั้น แต่พระอุปคุตท่านไปจำพรรษาที่สะดือทะเล จะต้องหาคนไปตาม ปรากฏว่ามีพระอรหันต์ ๒ รูปที่ไม่ได้มาเข้าร่วมพิธีสังคายนา โดนคณะสงฆ์ปรับโทษฐานไม่ให้ความร่วมมือ โดยให้ไปตามพระอุปคุตมา เมื่อพระอรหันต์ท่านไปเชิญ พระอุปคุตท่านก็ต้องมา

ถาม : คนที่พาพระเจ้าอโศกมหาราชไปดูตามจุดต่าง ๆ คือ พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ หรือพระอุปคุต ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วเขาบอกว่ามีพระมหาเถระอยู่รูปหนึ่งที่สืบสายมาจากพระอานนท์โดยตรง สามารถชี้ที่ได้หมดเลย ไม่มั่นใจว่าเป็นใคร คาดว่าถ้าไม่ได้รับการบอกเล่าสืบต่อมาจากพระอานนท์ ก็แปลว่าท่านต้องมีทิพจักขุญาณ สามารถบอกได้ว่าพระบรมสารีริกธาตุนั้นอยู่ที่ใดบ้าง

โบราณเขาเก่งจริง ๆ พอเปิดห้องศิลาเก็บพระบรมสารีริกธาตุออกมา ลมเข้าไปหุ่นพยนต์ที่รักษาพระบรมสารีริกธาตุก็เริ่มทำงาน ถ้าไม่มีลมเข้าไปหุ่นพยนต์ไม่ทำงาน

ถาม : เหมือนในหนังจีนหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ลักษณะกลไกคงคล้าย ๆ กัน ปกติแล้วถ้าเราสามารถบอกได้ว่าหุ่นพยนต์นี้สร้างมาจากอะไรก็จะเสื่อมฤทธิ์ แต่พระเจ้าอโศกมหาราชท่านตั้งสัตยาธิษฐานว่า จะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ด้วยอำนาจกุศลผลบุญและความตั้งใจจริงนี้ ขอให้หุ่นพยนต์อย่าได้ทำอันตรายท่าน ท่านจึงเข้าไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุออกมาได้

เถรี
24-08-2012, 14:44
ถาม : พระปฐมเจดีย์เป็นหนึ่งใน ๘๔,๐๐๐ เจดีย์ที่พระเจ้าอโศกมหาราชท่านสร้างขึ้นด้วยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่..เพราะตำนานว่าสร้างขึ้นโดยพระโสณะเถระและคณะ เมื่อมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ

ถาม : เห็นบางที่เขารวมพระธาตุลำปางหลวงว่าสร้างในยุคนั้นด้วย ?
ตอบ : คุณต้องดูประวัติการสร้าง พระธาตุลำปางหลวงเพิ่งจะกี่ปี ? การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๓ ประวัติท่านบันทึกไว้ชัดเจนว่าประมาณ พ.ศ. ๓๐๐ กว่า มาถึงตอนนี้ ๒,๐๐๐ กว่าปี บางอย่างก็จับแพะชนแกะจนเกินไป ถ้าไม่เอาตัวเลขมาคำนวณก็เชื่อได้ พอเอาตัวเลขมาคิดดูก็รู้ว่าไม่ใช่

ส่วนใหญ่แล้วที่ท่านสร้างจะอยู่ในอินเดีย โดยเฉพาะว่าสมัยนั้นรัฐพิหารรัฐเดียวมีวัดอยู่สามหมื่นกว่าวัด ที่ได้ชื่อว่าพิหารก็เพราะทั้งรัฐแทบจะเป็นวัดไปหมด เราลองมานึกดูว่า พื้นที่ประมาณ ๔ - ๕ จังหวัดของเรารวมกัน แล้วมีวัดตั้งสามหมื่นกว่าวัด จะเดินพ้นวัดไหม ? ส่วนประเทศไทยทั้งประเทศก็เพิ่งจะมีสามหมื่นกว่าวัด ตอนนี้ที่น่าสงสารก็คือ ๓ จังหวัดภาคใต้

พระมหาชรัตน์ อุชุจาโร เพื่อนร่วมรุ่นนักเทศน์ของอาตมา ไปเป็นรองเจ้าคณะจังหวัดปัตตานี แจ้งยอดมาว่าปัตตานีปีนี้มีพระทั้งจังหวัดรวมกันแล้ว ๓๓๓ รูป ตองสามพอดีเลย ทองผาภูมิอำเภอเดียวก็ ๔๐๐ กว่ารูปเข้าไปแล้ว นั่นทั้งจังหวัดเลยนะ

เถรี
24-08-2012, 14:50
พระอาจารย์กล่าวว่า "ต้องบอกว่าโชคดีที่อาตมาสร้างเวรสร้างกรรมไว้เยอะ เกิดมาก็เจ็บไข้ได้ป่วยตลอด อายุแค่สองขวบกว่า ๆ ก็ตายไปครั้งหนึ่งแล้ว

ในเมื่อตัวเองเจ็บไข้ได้ป่วยตลอด ก็เห็นทุกข์ของร่างกายมาก ในเมื่อเห็นทุกข์มาก ความคิดที่ว่าทำอย่างไรเราจะพ้นไปได้ ก็เกิดขึ้นมาในใจเอง พอรู้ว่าการปฏิบัติธรรมสามารถช่วยให้เราพ้นทุกข์ได้ ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำ เพราะฉะนั้น..ถ้าหากท่านใดร่างกายแข็งแรงดี เผลอสติเมื่อไรก็จะเพลิดเพลินอยู่กับร่างกายนี้ พอถึงเวลาก็ไหลตามกิเลสไปเรื่อยเปื่อย

คิดแบบเข้าข้างตัวเองว่าเกิดมาโชคดีหลายอย่าง อย่างแรกคือ เจ็บไข้ได้ป่วยมาตั้งแต่เด็ก ๆ สมัยนั้นโรคภัยไข้เจ็บก็ไม่ได้ร้ายแรงกว่าสมัยนี้ แต่เรื่องหมอเรื่องยายังห่างไกลกันมากเลย จากบ้านเดินทางเข้ามาโรงพยาบาลที่นครปฐมระยะทาง ๓๖ กิโลเมตร ใช้เวลาเป็นวัน ๆ สมัยนี้ ๓๖ กิโลเมตรเหยียบคันเร่งอย่างไม่เกรงใจตำรวจแค่สิบนาทีก็ถึงแล้ว

อีกอย่างหนึ่งคือ เกิดมาเป็นเด็กบ้านนอก ต้องทุกข์ยากลำบากกับการทำมาหากินมาตั้งแต่เด็ก ๆ ต้องทนสู้ทุกอย่าง ก็เลยทำให้เห็นว่าชีวิตนั้นทุกข์จริง ๆ ส่วนอย่างที่สามที่เข้าใจว่าเป็นความโชคดีก็คือ เกิดก้ำกึ่งกันระหว่างโลกยุคเก่ากับโลกยุคใหม่ อะไรเก่า ๆ ก็ประสบพบเห็นมา อะไรใหม่ ๆ ก็ได้เห็นในชีวิตเหมือนกัน ในเมื่ออยู่ตรงกลางพอดี เราจะขยับไปทางไหนก็ไม่เก้อเขิน เด็กรุ่นใหม่อยากฟังเรื่องเก่า ๆ ก็เล่าให้ฟังได้ ถ้าเขาเอาเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาโม้ก็พอจะรู้เรื่องบ้าง"

เถรี
24-08-2012, 15:02
ถาม : เวลาท่านทำรายงาน แล้วคนอื่นเขาขอไปเป็นผลงานของเขา ท่านคิดอย่างไรคะ ?
ตอบ : อาตมาทำรายงานทุกเล่มจะลงไว้ในคำนำว่า บุคคลใดที่เห็นประโยชน์ สามารถคัดลอกไปใช้งานได้โดยไม่สงวนลิขสิทธิ์แม้แต่ประการใด แต่ถ้าท่านใดเห็นว่ามีข้อบกพร่องตรงไหน โปรดช่วยชี้แจงด้วย จะได้แก้ไขให้สมบูรณ์ต่อไป อาตมาเป็นคนไม่หวงความรู้..เอาไปเถอะ ถ้าจะทำผลงานทางวิชาการเดี๋ยวอาตมาเขียนใหม่เอง

เถรี
26-08-2012, 09:38
ถาม : การปฏิบัตินั้น ทำไมเราเห็นทุกข์ จึงดีกว่าความรู้สึกสงบ ?
ตอบ : การเห็นทุกข์ทำให้เราต้องการที่จะหนีไปให้พ้น การที่เราเห็นความสงบ บางทีเราก็ติดอยู่กับความสงบนั้น

ถาม : ทั้งที่อยู่ในอารมณ์สงบเป็นสุขดีแล้ว ก็ยังเผลอออกมาฟุ้งอีก ?
ตอบ : "จริง ๆ แล้ว ถ้ามีปัญญาสักนิดหนึ่ง เราเข้าถึงความสงบจริง ๆ จะเป็นรสชาติที่ดิ่งลึกอยู่ในใจ ประเภทที่ว่าอย่างไรเสียเราก็จะไม่ลืม ในเมื่ออย่างไรเสียจะไม่ลืม ต่อให้เผลอไปเพลิดเพลินกับเรื่องอะไรก็ตาม ท้ายสุดก็จะเลี้ยวกลับมาเอง

ตั้งแต่เด็ก ๆ อาตมาไปเล่นแพต้นกล้วยแล้วลื่นตกน้ำไป พอหล่นลงไปน้ำก็ปิดหู เงียบสนิททันที เกิดความรู้สึกว่าความสงบเงียบเยือกเย็นแบบนี้เราเคยเจอมาก่อน เป็นสิ่งที่คุ้นเคยมาก แทนที่จะดิ้นรนตะเกียกตะกายขึ้นจากน้ำ ก็นั่งเฉย ๆ อยู่ข้างใต้ ส่วนคนอื่นตกใจ กลัวว่าอาตมาจะตาย ควานหากันใหญ่"

เถรี
26-08-2012, 09:42
พระอาจารย์กล่าวว่า "เคยมีหลวงพ่อท่านหนึ่งทางปักษ์ใต้ เขาใช้ยันต์สุริยันจันทรานี้แหละ เป็นยันต์หลักในเหรียญของท่าน

http://www.pratare.com/Images/Upload/Goods/55/b-04-05-10-18-42-10.jpg
เหรียญจันทร์เสี้ยว หลวงพ่อโศก วัดปากคลองบางครก


คราวนี้เหรียญของท่านไม่มีอะไรเลย นอกจากรูปกนกกับยันต์นี้ พวกอิสลามก็เลยแย่งกันแขวน เพราะถือว่าสุริยันจันทราลักษณะเหมือนกับเดือนโอบดาวของเขา แล้วท่านก็ขลังจริงซะด้วย ก็เลยยิ่งแขวนกันใหญ่"

เถรี
26-08-2012, 09:52
ถาม : วัตถุมงคลให้ผล เขาต้องมีความเคารพในพระพุทธด้วย เขามีความเชื่อมั่น..?
ตอบ : เขาเชื่อมั่น แต่ทางศาสนาเขาห้าม จริง ๆ แล้วก็คือพุทธดี ๆ นี่เอง เพียงแต่ว่าอยู่ในกลุ่มอิสลาม ไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร ก็ต้องหาของที่ดูแล้วไม่เป็นองค์พระ อาตมาว่าจะสร้างอะไรสักอย่างที่ไม่เป็นองค์พระไว้เผื่อลูกศิษย์อิสลามบ้าง เดี๋ยวนี้ชักจะเยอะขึ้น

คนเราเกิดมามีปัญญาทุกคน หลักของศาสนาจุดใหญ่ใจความก็คือ ยึดถือเพื่อความสงบระงับทางใจ คราวนี้หลักการศาสนาของเขาไม่ใช่คำตอบ เขาก็ต้องไปดิ้นรนไขว่คว้าในสิ่งที่เขาคิดว่าใช่ แต่ว่ากรอบของขนบธรรมเนียมประเพณีของเขาครอบมาตั้งแต่เกิด แข็งแรงเกินกว่าที่จะแหวกออกไปได้ ก็เลยต้องวิธีหลบ ๆ ซ่อน ๆ

อย่างที่ปากีสถาน มีผู้หญิงอิสลามคนหนึ่งเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ เขาต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศเลย อยู่ที่เดิมไม่ได้ จะโดนรุมเหยียบตาย เขาถือว่าเป็นคนที่ทรยศต่อพระผู้เป็นเจ้าของเขา ประเทศที่เป็นอิสลาม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ อย่างปากีสถาน อยู่ ๆ มีคนเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ได้นี่เขาต้องกล้าจริง ๆ ถ้าหนีไม่ทันก็ตายคาที่อยู่ตรงนั้นแหละ แบบนั้นโบราณเขาว่า หักด้ามพร้าด้วยเข่า ถ้าด้ามพร้าไม่หักก็เข่าแตกเอง

อย่างที่อาตมาเจอมา เขาแอบมานับถือศาสนาพุทธ แต่ไม่บอกให้ทางบ้านรู้ หลายคนพอได้หนังสือธรรมะไปแล้วต้องไปฝากเพื่อนที่เป็นพุทธเอาไว้ เพราะมีรูปพระ เขาเอาเข้าบ้านไม่ได้ วัตถุมงคลได้ไปต้องไปฝากเพื่อนเอาไว้

ประเทศไทยของเรา ชาวมุสลิมมีคุณูปการกับประเทศของเรามาอย่างปรากฏชัดเจนเลยตั้งแต่สมัยอยุธยา เพราะว่าเรามีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นมุสลิม อย่างตระกูลบุนนาค ตระกูลบุนนาคมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์แทบจะกุมอำนาจทั้งประเทศ พี่ ๆ น้อง ๆ เป็นสมเด็จเจ้าพระยาตั้ง ๒ - ๓ คน อยู่ด้วยกันอย่างสนิทสนมกลมเกลียวรักใคร่สามัคคีกันดี

ศาสนาอิสลามเพิ่งจะมาแสดงผลร้ายตอนที่ส่งนักศึกษาไปเรียนที่ตะวันออกกลาง ไปรับเอาแนวคิดที่จะต้องการตั้งรัฐอิสลามบริสุทธิ์ขึ้นมา ถึงได้มีปัญหากันอยู่ ในพื้นที่จริง ๆ ไทยพุทธกับมุสลิมก็ยังคงรักใคร่สามัคคีกันอยู่เหมือนเดิม แต่ระยะหลังแสดงออกชัดไม่ได้ เพราะว่าพวกนี้เขามีสายแทรกซึมอยู่ในทุกหมู่บ้าน ถ้าใครมีแนวโน้มว่ายังไปมาหาสู่กับพวกพุทธอยู่ อาจจะโดนยิงตายไปเฉย ๆ

ป.ล. ไม่อนุญาตให้นำข้อความนี้ออกนอกเว็บวัดท่าขนุนค่ะ

เถรี
26-08-2012, 10:06
ถาม : ฟังแล้วเครียด
ตอบ : จะไปเครียดทำไม เราก็คิดว่าเดี๋ยวเขาก็ตายแล้วเหมือนกัน

ถาม : เพราะว่าเราทำอะไรไม่ได้
ตอบ : ทำได้..ทำไมจะทำไม่ได้ ทำตัวของเราเกิดผลในการปฏิบัติธรรมขึ้นมา เมื่อถึงเวลาสามารถที่แสดงผลของการปฏิบัติธรรมของเราออกได้อย่างชัดเจน เมื่อคนเห็นเลื่อมใสศรัทธา เข้ามาปฏิบัติตามหลักธรรมในพุทธศาสนามากขึ้น ความเป็นปึกแผ่นเข้มแข็งก็มีมากขึ้น ในเมื่อความเป็นปึกแผ่นเข้มแข็งมีมากขึ้น เขาเองจะรุกรานเขาก็ต้องคิดหนัก คราวนี้สำคัญอยู่ที่พวกเรายังไม่ปฏิบัติจริง ยังทำเล่น ๆ กันอยู่

เถรี
26-08-2012, 10:26
ถาม : คนพุทธในเมืองไทยน่าจะส่งเสริมกิจกรรมแบบที่อิสลามทำละหมาดทุกวัน หรือสอนธรรมะช่วงเช้าในโรงเรียนแบบโรงเรียนคริสต์
ตอบ : ก็เพราะอย่างนั้นแหละ ความเข้มแข็งของเขาก็เลยมีมากกว่า เพราะเท่ากับเขาได้ภาวนาวันละ ๕ รอบ เราเองเอาแค่สวดมนต์เช้าเย็นยังทำไม่ได้เลย ตื่นไม่ทันบ้าง เหนื่อยเกินไปขอนอนก่อนบ้าง กิเลสชวนให้ขี้เกียจอยู่ตลอด ส่วนเขาถึงเวลาต้องทำ ทุกคนทำเหมือน ๆ กันหมด วันศุกร์วางมือไปมัสยิด ขนาดโรงเรียนไทยพุทธแท้ ๆ ถึงเวลาวันศุกร์ต้องหยุดให้เขาไปสุเหร่า

อาตมาลงไปสุไหงโกลกเมื่อไร ถ้าตรงกับวันศุกร์เขาก็จะนิมนต์ไปบรรยายธรรมในโรงเรียน เพราะไม่อย่างนั้นเด็กไทยพุทธจะไม่มีกิจกรรมอะไร เพราะเด็กอิสลามไปสุเหร่ากันหมด

ถาม : เคยเรียนโรงเรียนคริสต์เขาก็ให้เด็กสวดมนต์แบบของเขา ส่วนโรงเรียนพุทธไม่บังคับศาสนาอื่นให้สวดมนต์แบบพุทธ
ตอบ : เพราะเราอยากไปเรียนกับโรงเรียนคริสต์ เขาก็บังคับเราได้ แต่เขาไม่ได้อยากเรียนกับเรา เราก็บังคับเขาไม่ได้ ถ้าไปบังคับเขาว่า ถึงเวลาต้องมาสวดมนต์ เขาก็ลาออก ที่วัดท่าขนุนก็มี เด็กที่มาเป็นคริสต์ เป็นอิสลาม เวลาเพื่อนเขากราบพระไหว้พระกันก็นั่งเงียบ อาตมาก็สงสัย พอถามจึงรู้ว่าเป็นคริสต์เป็นอิสลาม ก็เลยบอกกับเขาว่าตอนสมัยเด็ก ๆ อาตมาไปสุเหร่า ก็ไปละหมาดร่วมกับเพื่อน ถึงเวลาอาตมาก็เรียนเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ทางไปรษณีย์

ทุกศาสนาสอนคนให้เป็นคนดี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหลักธรรมว่าศาสนาไหนต้องสอนเฉพาะคนศาสนานั้น แต่ขึ้นอยู่กับตัวเราว่า ถ้าเห็นสิ่งไหนดีและเป็นประโยชน์ต่อเรา เราก็เก็บเอาสิ่งนั้นมาใช้งาน ถ้าอยู่ ๆ เขาเอาทองคำมากองไว้ตรงหน้า แล้วเขียนว่าศาสนาพุทธ ถ้าเราเป็นอิสลามมาเห็นเราจะเก็บไหม ? ก็แปลว่าในสิ่งที่ดีและเหมาะสมก็สามารถเอาไปใช้งานได้ทั้งหมด เราต้องชี้แจงให้เด็กรู้

แม้กระทั่งครูเขาก็บอกว่า ถ้าเป็นอิสลามเป็นคริสต์ให้นั่งเฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ แต่สำหรับอาตมาแล้วไม่ใช่..ต้องบอกให้เขาเห็นว่าประโยชน์คืออะไร เปิดค่ายพุทธบุตร ๕ วัน วันหลัง ๆ เขาก็สวดมนต์ไหว้พระกับคนไทยนั้นแหละ เพราะเขาก็คือไทย เพียงแต่ว่าเขาถือศาสนาอีกศาสนาหนึ่งเท่านั้น

เถรี
26-08-2012, 10:39
ถาม : กระแสเมตตา...(ไม่ได้ยิน)..
ตอบ : ก็แผ่เมตตาตามปกตินั่นแหละ เพียงแต่ว่าให้เขาบ่อย ๆ ถ้าวันละครั้งไม่พอก็วันละ ๓ ครั้งไปเลย แต่เดี๋ยวจะเจอแบบหลวงพ่อวัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อวัดปากคลองฯ บอกว่า “เขาโกรธแค้นอาฆาตผม ผมก็ไม่ได้โกรธตอบ ผมถวายสังฆทานอุทิศส่วนกุศลให้เขา ๓ ครั้งเท่านั้นแหละ เขาตายเลย..!”

หลวงพ่อวัดท่าซุงก็บอกว่า “นี่ ๆ เดี๋ยวเถอะ..จะปรับปาราชิก ข้อหาฆ่าคนอื่นเขา” ท่านบอกว่าท่านไม่ได้เจตนาหรอก ท่านถวายสังฆทานอธิษฐานให้เขามีความสุขความเจริญ เขารับความดีไม่ไหวอย่างไรก็ไม่รู้ ตายไปเลย ฉะนั้น..แผ่เมตตาให้เขาเยอะ ๆ

เถรี
27-08-2012, 07:39
พระอาจารย์อ่านหนังสือเกี่ยวกับคาถาหนังเหนียว แล้วจึงกล่าวว่า "อ่านคาถาแล้วของขึ้น อาตมาทำขึ้นจนชิน พอไปอ่านใหม่แล้วของขึ้น พอของขึ้นขนจะลุกทั้งตัว สมัยก่อนตอนที่เรียนคาถา ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าเมตตาดีที่สุด ท่านบอกว่ามหาอุตม์ภาวนาแค่ขนลุกก็เหนียวแล้ว แต่เมตตาต้องออกจากใจจริง ๆ ถ้าใจเราขาดเมตตา ทำอย่างไรคาถาก็ไม่ขึ้น

คราวนี้ด้วยความที่เคยชิน พอถึงเวลาว่าคาถา กำลังใจถอยไปตรงจุดที่เคยใช้ได้ผลพอดี ก็จะขนลุกทั้งตัว"

ถาม : วันไหนตั้งใจสวดมนต์ดี ๆ บางทีก็เคยขนลุกเหมือนกันค่ะ
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นไปเถอะ วันนั้นลุยได้ทุกที่

เถรี
27-08-2012, 09:36
ถาม : ผมขับรถออกจากบ้านมา พอฟังเพลงอารมณ์จะวูบแล้วสว่าง ปกติอารมณ์จะเกิดก็ต่อเมื่อ...(ไม่ได้ยิน).. ปกติผมขับรถเปิดเพลงฟังตลอด แต่ทำไมครั้งนี้ถึงทำได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำสมาธิ
ตอบ : มี ๒ อย่าง ประการที่ ๑ ต้องดูสิ่งแวดล้อมช่วงนั้น ถ้าสิ่งแวดล้อมช่วงนั้นเหมือนกับว่าบีบเราให้เข้าไปอยู่ในกรอบที่จำเป็นต้องทรงอารมณ์นั้นพอดี เนื้อเพลงเป็นเพียงสวิทช์ที่เปิดขึ้นมาเท่านั้น ประการที่ ๒ ก็คือเริ่มเป็นมิจฉาสมาธิแล้ว อาศัยสิ่งกระตุ้นภายนอกเข้ามาแทน ไม่ได้อาศัยปีติภายใน

ถาม : ดีหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าต่อไปไม่ได้ฟัง อารมณ์ก็ไม่ทรงตัว

ถาม : ทำไมถึงสว่างครับ ?
ตอบ : ให้ดูอย่างที่ว่า ในช่วงนั้นทั้งวันหรือก่อนหน้านั้นสักวันหนึ่งเราทำอะไร สิ่งทั้งหลายที่เราทำรวบเข้ามา ๆ อยู่ตรงนั้นพอดี เสียงเป็นเพียงตัวจุดระเบิดเท่านั้น อาตมาเองภาวนา ๆ ไป กำลังก็ไม่ได้ทรงตัวแน่นขนาดนั้น แต่พอดีวันนั้นไปช่วยงานกวนข้าวทิพย์ที่วัด แล้วเด็กนักเรียนโรงเรียนพระสุธรรมยานฯ รุ่นแรกเขาก็มาช่วยงาน พิณพาทย์ดันไปตีเพลงสาวรำวง เด็กก็วางมือไปกรี๊ดเต้นรำกันหมด แล้วเด็กสาวเป็นร้อย ๆ กรี๊ดพร้อมกัน จิตอาตมาดิ่งวูบเดียวหายวับไปจากโลกเลย ไม่รับรู้อะไรข้างนอกอีกแล้ว เป็นตัวจุดระเบิดพอดี

ถาม : อย่างนี้ต่อไป เราจะใช้วิธีเดิม ?
ตอบ : ถ้าจำอารมณ์เดิมได้ก็ให้ทำแบบเดิมจะได้เอง แต่ถ้าจำไม่ได้ ไปใช้วิธีเดิมไม่ได้แล้ว เพราะมาด้วยความอยากแล้ว ตัวอยากจะตัดหมด ก็ไปพิจารณาเอาว่ามาจากสาเหตุไหน ถ้าสาเหตุแรกถือว่าดี จากสาเหตุหลังนี่เรื่องเป็นมิจฉาสมาธิ ถ้าทำต่อไปจะเอาคืนยาก

เถรี
27-08-2012, 20:18
ถาม : รู้สึกดีมาก อดีตก็ไม่สำคัญ อนาคตก็ไม่สำคัญ
ตอบ : จำได้ไหมว่า..ดีมากมากี่ครั้ง ? แล้วเราก็ปล่อยทิ้งไปทุกที

ถาม : ผมคิดว่า ถ้ามีใครทำอะไรลูก ผมจะเป็นอย่างไร ปกติถ้าคิดแบบนี้ผมจะทนไม่ได้ ผมจะรู้สึกว่าแย่มาก แต่ตอนนี้ผมคิดว่ามีใครทำร่างกายให้ลูกตาย ผมจะรู้สึกอย่างไร ? ผมไม่รู้สึกว่าไม่ดี
ตอบ : เพราะฉะนั้น..พยายามประคับประคองอารมณ์ใจนี้เอาไว้ให้ได้ ถือว่าซื้อโง่มาหลายยกแล้ว ถ้างวดนี้ยังปล่อยให้หลุดอีกก็สมควรที่จะโง่ต่อไป..!

ถาม : อารมณ์นี้อยู่ได้ตลอดเวลาหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าเราพยายามประคองเอาไว้ แรก ๆ ก็อยู่ไม่นาน ก็ต้องไปเริ่มต้นตั้งใหม่ แต่พอทำไปนาน ๆ เกิดความเคยชิน ก็จะอยู่กับเราเลย ตอนนี้ต้องบอกว่าเริ่มเป็นมรรค คือเป็นช่องทางแล้ว ถ้าทำได้ทรงตัวจึงจะเป็นผล

ถาม : อย่างนี้ไม่ลาพุทธภูมิหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ลาหรอก เพราะอารมณ์สุดท้ายไม่ตัด

ถาม : ถ้าเราลาก่อน ?
ตอบ : ถ้าเราชิงลาก่อนก็แล้วไป ถ้าเราไม่ลา พอไปถึงตอนสุดท้ายอารมณ์จิตของเราก็ยื้อไว้เอง เราไม่ต้องไปบังคับหรอก

ถาม : เหมือนโง่เลยครับ ใจบอกว่ามาถึงขนาดนี้ไม่มีทางถอยหลังแล้ว แล้วเราจะเลิกเมื่อไร ?
ตอบ : พอไปเจออะไรหนัก ๆ เข้าก็เลิกไปเอง ตอนนี้ยังหนักไม่พอ

เถรี
29-08-2012, 08:00
ถาม : รู้เห็นว่าข้างหน้าเป็นอุบัติเหตุ แต่ไม่ตื่นเต้น ผมก็ว่าแปลกดีนะ ?
ตอบ : สติ สมาธิ พอทรงตัว ความแหลมคม ว่องไว รู้รอบจะเกิดขึ้น สิ่งที่คนทั่วไปใช้เวลานาน แค่พริบตาเดียวเราสามารถที่จะตรองหาช่องทางทุกอย่างได้พร้อมเลย ชั่งน้ำหนักเสร็จสรรพว่าอันไหนเหมาะที่สุดแล้วก็ไปทางนั้น

ถาม : อย่างนี้ก็หลอกได้สุดยอดเลย ?
ตอบ : อาตมาโดนหลอกมาตั้งแต่พรรษาแรกมาจนบัดนี้ เขาหลอกให้รู้แบบนี้แหละ รู้ถึงขนาดรัก โลภ โกรธ หลง จะเกิดขึ้นด้วยสาเหตุอะไร แล้วชิงตัดตั้งแต่ต้นเหตุ

ถาม : แล้วไม่ดีหรือครับ ?
ตอบ : ดี..ทำไมจะไม่ดี ก็หลอกให้อยู่มาจนทุกวันนี้อย่างไรล่ะ เหมือนโดนหลอกให้กินอาหารอร่อย พอปล่อยให้เราทำเองก็มั่วไปเรื่อยแหละ กว่าจะทำได้อร่อยแบบนั้นไม่รู้อีกนานไหม แต่ว่าครั้งนั้นไม่ใช่ความสามารถตัวเองนะ เป็นความสามารถของหลวงปู่ขนมจีน ท่านถามเลยว่าจะเอานานเท่าไร อาตมาเลยบอกว่า ถ้าหลวงพ่อให้ได้สัก ๓ เดือน จะได้บวชเอาพรรษาเลย ท่านให้จริง ๆ ๓ เดือนครบถ้วน พอวันที่ ๙๑ ก็หล่นมาเป็นหมาเหมือนเดิม

ถาม : ผมว่าที่ผมทำได้ ก็ไม่น่าจะใช่ความสามารถผม ?
ตอบ : ก็ไม่ใช่ความสามารถตัวเอง.."ท่าน" ให้

ถาม : แต่แปลกนะครับ เพราะช่วงนั้นผมไม่ได้นั่งกรรมฐาน หรือเป็นเพราะว่าสวดมนต์ ?
ตอบ : การสวดมนต์เป็นสมาธิอยู่แล้ว ถ้าสมาธิไม่มีก็สวดไม่ถูก

เถรี
29-08-2012, 08:02
ถาม : จะสร้างพระ มาขอพระนามพระจากหลวงพ่อ ?
ตอบ : อาตมาไม่บังอาจตั้งชื่อพระพุทธเจ้า..! แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยทำ

เถรี
29-08-2012, 08:03
ถาม : ผมไปที่วัดเขาสามยอด ที่ลพบุรี ผมไปกราบเรียนพระว่าอยากจะสร้างพระลักษณะอย่างนี้ คณะศิษยานุศิษย์ก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร ?
ตอบ : เอาให้แน่ ๆ เอาพานดอกไม้ธูปเทียนไปกราบขออนุญาตท่านตรง ๆ ถ้าท่านอนุญาตก็ลุยเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปหาที่อื่น ลพบุรีเป็นเมืองเก่า คนโบราณต้องใช้วิธีแบบโบราณ ประเภทไปบอกเฉย ๆ เหมือนกับเราบอกเพื่อน ท่านเองก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน

เถรี
29-08-2012, 08:08
ถาม : เวลารู้สึกดีมาก ๆ เหมือนผมส่งกำลังแห่งความเพียรไปทั่วโลก แล้วผมนึกถึงในหลวง เอากำลังนี้จากข้างบนให้ในหลวงหมด ผมคิดเกินตัวไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เกิน..น่าจะทำมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้เรื่องของในหลวงต้องบอกว่าค้ำกันสุดชีวิต เราลองนึกถึงว่าท่านที่มีความรับผิดชอบอย่างสูงสุด ทรงงานตลอดเวลาแทบจะไม่ได้พัก แล้วอยู่ ๆ ไม่สามารถที่จะทำอย่างใจได้จะเป็นอย่างไร ? เป็นเราก็อึดอัดอกแตกตายไปแล้ว ต้องบอกว่าวาระกรรมของประเทศชาติยังหนักอยู่

จากที่เสด็จไปนนทบุรี ประทับนั่งนานเกิน ตอนนี้หมอบอกว่ามีอาการเหมือนกับเป็นอัมพาตครึ่งซีก ซึ่งความจริงคนจัดงานคงไม่นึก ก็เลยจัดรายการเต็มที่ เราต้องนึกว่าพระองค์ท่านเป็นคนป่วย ไม่ใช่คนป่วยธรรมดา แล้วก็เป็นคนแก่ด้วย ไปให้พระองค์ท่านออกงานนานขนาดนั้น แต่ถ้าหากว่าพระองค์ท่านแข็งแรงขึ้นมาแล้วเสด็จไปงานอื่น ก็ถือว่าได้เป็นบทเรียนไป แต่ถ้าเป็นบทสุดท้ายก็เรียนไม่ทันแล้ว..!

ถาม : ในหลวงท่านน่าจะอธิษฐานให้ร่างกายดีเหมือนกับพระ..?
ตอบ : พระระดับนั้นหรือคนที่ทำได้ระดับนั้น ไม่มีใครเขาฝืนกฎของกรรม ไม่ใช่ไม่รู้ว่าทำแล้วจะเป็นอย่างนั้น แต่ท่านพร้อมที่จะเป็นอย่างนั้น เราต้องนึกถึงว่าคนทั่วไปไม่รู้ว่าทำแล้วจะเกิดผลอย่างไรจึงทำ ยังถือได้ว่ากล้าหาญธรรมดา แต่คนที่รู้ว่าทำแล้วผลจะเกิดขึ้นกับตัวเองอย่างไร แล้วยังกล้าทำ ใช้คำว่ากล้าธรรมดาไม่ได้ ต้องบอกว่าเกินความกล้า

ถาม : ถ้าช่วยกันอธิษฐาน อาการท่านจะดีขึ้นมาไหมคะ ?
ตอบ : ก็ช่วยกันลุ้นทำความดีอุทิศถวายพระองค์ท่านไปเรื่อย ๆ

เถรี
29-08-2012, 08:11
:4672615: เก็บตกเดือนสิงหาคมจบแล้วค่ะ :4672615:
ถอดจากเสียงเป็นตัวอักษร โดย
ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และมุนินา