PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๕


เถรี
07-03-2012, 09:34
ถาม : พี่ชายของหนูเขาสนใจเกี่ยวกับการฝึกลมปราณค่ะ เขาอยากทราบว่าท่านได้เขียนหรือฝึกจากตำราไหนมาบ้างหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไปดูตำรามวยไทเก๊กที่ จำลอง พิศนาคะแปล นั่นได้เล่มหนึ่ง เล่มอื่นไม่ค่อยไว้วางใจเพราะว่าไม่ค่อยได้อ่านรายละเอียด

ถาม : หนูพยายามดึงพ่อเข้ามาทางธรรมค่ะ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะหวังผลแค่ไหนดี
ตอบ : ไม่ต้องหวังจ้ะ เราได้ทำถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็ช่างเถอะ

ถาม : คิดว่าจะชวนพ่อมาที่บ้านวิริยบารมี แต่ก็กลัวท่านจะไม่เข้าใจ แล้วอาจจะเกิดผลร้ายมากกว่า
ตอบ : รอดูไปก่อนระยะหนึ่ง เอาหนังสือธรรมะไปทิ้ง ๆ ไว้บ้าง เผื่อท่านอยากอ่าน

เถรี
07-03-2012, 16:13
ถาม : บทกรวดน้ำนี้ใช้ในกรณีไหนครับ ?
ตอบ : กรณีทั่ว ๆ ไปจ้ะ อิมินา ปุญญะกัมเมนะ กุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำนี้จงไปถึง อุปัชฌายา คุณุตตะรา พระอุปัชฌาย์ผู้มีคุณอันสูงสุด อาจะริยูปะการา จะ ครูบาอาจารย์ผู้มีอุปการะอย่างยิ่ง มาตา ปิตา จะ ญาตะกา ฯลฯ บิดามารดาและญาติทั้งหลาย แปลไปเรื่อย ๆ นั่นแหละ

ถาม : ใช้ได้หมดใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ก็ไม่หมดหรอก เพราะว่าถ้าผีที่ไม่ได้มีชื่ออยู่ในกติกานี้ก็อดไป

ถาม : ก็ต้องใช้ของหลวงพ่อ
ตอบ : ใช้ของหลวงพ่อวัดท่าซุงครอบคลุมที่สุดแล้ว ใช่ญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ไม่อย่างนั้นแล้วที่ว่ามาไม่มีหรอก ถ้าไม่ตรงชื่อก็อดไป

อย่างหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเห็นผีมาขอส่วนบุญ ท่านก็อุทิศ อิมินา ปุญญะกัมเมนะ พออิมินายังไม่ทันเสร็จผีก็โดนผู้คุมเขากระชากไปแล้ว พอรุ่งเช้าตอนฉันเช้า หลวงพ่อปานท่านก็ว่า "เป็นอย่างไรพ่ออิมินาคล่อง มัวแต่ไปท่องอิมินาอยู่ผีมันจะได้แดกหรือ ?" เพราะผีที่มาญาติก็ไม่ใช่ อุปัชฌาย์ก็ไม่ใช่ ครูบาอาจารย์ก็ไม่ใช่ พ่อแม่ก็ไม่ใช่ ไม่มีในชื่อ ก็ต้องอดไปตามระเบียบ แล้วเวลาของเขามีน้อยด้วย พอหมดเวลาผู้คุมก็กระชากตัวไปเลย

เถรี
07-03-2012, 16:33
พระอาจารย์ท่านกล่าวว่า "พระบวชใหม่ต้องอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ เพื่อศึกษาระเบียบวินัยต่างให้ครบถ้วน จะได้ปฏิบัติได้ถูกต้อง ส่วนใหญ่แล้วพระเณรระยะหลัง ๆ มักจะไม่ค่อยได้ศึกษาระเบียบวินัย พูดง่าย ๆ ก็คือบวชตามประเพณีเสียมาก ในเมื่อเป็นอย่างนั้นจึงไม่เข้าใจว่าต้องอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ถึงจะเอาตัวรอดได้ เพราะกำลังใจตัวเองยังไม่ดีพอ เมื่อห่างครูบาอาจารย์ ไม่มีคนควบคุมก็ฟุ้งซ่าน พอฟุ้งซ่านมาก ๆ ท้ายสุดก็หาทางสึก"

เถรี
07-03-2012, 16:35
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : คาถาอะไรก็ได้ ถ้ากำลังใจทรงตัวแต่ปฐมฌานขึ้นไป ไสยศาสตร์ก็ทำอันตรายไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ได้สำคัญที่คาถา สำคัญตรงกำลังใจของเรา

ถ้าเห็นว่ามีคาถาเยอะมาก เลือกสักคาถาก็แล้วกัน สมัยก่อนอาตมาก็ว่าเป็นร้อยคาถาเหมือนกัน แต่ว่าแบ่งเวลา อย่างเช่นภาวนาอย่างละ ๓๐ จบ พอภาวนาอารมณ์ใจทรงตัวแล้วก็เปลี่ยนคาถาใหม่ไล่ไปเรื่อย รู้สึกสนุกดีเหมือนกัน

ตอนหลังถึงได้เข้าใจว่าคาถาเป็นเครื่องโยงใจให้เป็นสมาธิเท่านั้น พอเป็นสมาธิแล้วเราจะใช้กำลังสมาธิในด้านไหนก็อธิษฐานเอา เพราะฉะนั้นจึงสำคัญอยู่ตรงใจเรา ใจต้องเป็นสมาธิ คาถาจึงจะมีผล และคาถานั้นคือ มโนมยา สำเร็จด้วยใจ ต่อให้คาถาไม่เป็นโล้ไม่เป็นพาย ถ้าเราตั้งใจให้เป็นอะไร เมื่อกำลังใจทรงตัวก็เป็นอย่างนั้น เพราะว่าอำนาจจิตของเราทรงตัวแล้ว

เถรี
07-03-2012, 17:04
http://www.bookfriendonline.com/cover/1329363231.jpg


พระอาจารย์กล่าวถึงหนังสือเล่มหนึ่งว่า "คนขุดสุสานเล่ม ๒ ตัวเอกคือจ้ากู่เซ้าต้องไปขุดสุสาน เพราะอาจารย์บอกว่าให้ไปถอดชุดของคนตายมาให้ก่อนไก่ขัน ถึงจะยอมรับเป็นลูกศิษย์สอนวิชาให้ พอจ้ากู่เซ้าไปก็มีสารพัดอุปสรรคขัดขวาง โดยเฉพาะศพผู้หญิงที่โดนสะกดอยู่ ถ้าของที่สะกดหลุดออกไปจากปากศพ ขนก็เริ่มงอกยาวขึ้น ๆ ตรงจุดนี้เป็นเรื่องจริงนะ เพราะว่าคนตายโดนอสุรกายสิง แล้วก็ใช้ร่างนั้นไปหากิน ถ้าอยากรู้เรื่องพวกนี้ ลองอ่านประวัติของหลวงปู่แหวน และกฎแห่งกรรมของ ท.เลียงพิบูลย์ ตอนความลับในดงดิบ ก็จะเจอเรื่องของอสุรกายแบบนี้

ในตำราฮวงจุ้ยของจีนเขาบอกว่า ถ้าฮวงจุ้ยไม่ดีแล้ว ธาตุตัดกันสับสนเมื่อไร จะทำให้ศพเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วกลายเป็นผีดิบได้ ตำราฮวงจุ้ยเขาเชื่ออย่างนั้น แต่เราคิดง่าย ๆ เลยก็คืออสุรกายเข้าไปสิงศพ

ในเรื่องคนขุดสุสาน พระเอกต้องใช้เชือกผูกคอศพแล้วมามัดโยงกับตัวเองไว้ เพื่อไม่ให้แตะต้องศพแล้วจะได้ถอดเสื้อคนตายได้ แต่พวกผีดิบเราจะไปหายใจรดเขาไม่ได้ ถ้าหายใจรดแล้วผีดิบจะดึงพลังปราณของเราไปใช้งาน แล้วศพจะฟื้นเร็วขึ้นอีก พระเอกก็เลยต้องมีสารพัดวิธีในการเอาเสื้อคนตาย

เขาต้องกินยาสะกดตัวเองให้ลมปราณนิ่ง หายใจช้าเหมือนกับศพ แต่ปรากฏว่าแมวป่าดันตะกายตามเข้าไป ถ้าแมวกระทบถูกศพเมื่อไรศพก็จะฟื้น พระเอกก็แกล้งร้องเสียงแมว แมวจึงกระโดดขึ้นมาบนไหล่ พอได้ยินเสียงร้อง แมวก็เอาขาตะปบตรงหน้ากาก เพราะจ้ากู่เซ้าใส่หน้ากากกันไม่ให้ลมหายใจถูกผี

สถานการณ์สนุกสนานเฮฮามากเลย ต้องดูว่าพระเอกจะมีไหวพริบแก้ไขเหตุการณ์ได้ไหม เพราะเขามีกติกาว่าถ้าเทียนดับแล้วหยิบของของคนตายไม่ได้ หรือว่าถ้าเสียงไก่ขันก็ถือว่าหมดเวลา ลองไปอ่านดูสนุกดีเหมือนกัน แม้ว่าเรื่องจะเปะปะไปเปะปะมา แต่ว่ามีหลายตอนที่เป็นความจริงอยู่เหมือนกัน"

เถรี
08-03-2012, 13:21
ถาม : ออกรถผิดฤกษ์ค่ะ ไปออกวันที่เขาไม่ให้ออกรถใหม่ จะแก้ไขได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : แก้ไขไม่ทันแล้วจ้ะ นอกจากซื้อใหม่อีกคันตามฤกษ์ แล้วคันเดิมจอดทิ้งไว้เฉย ๆ (หัวเราะ)

ถาม : เวลาที่มีสมาธินิดหน่อย หรือบางครั้งก็อยู่เฉย ๆ จะรู้สึกว่านิ้วที่มีแหวนแปล๊บ ๆ นั่นคืออะไรหรือคะ ?
ตอบ : พลังงานที่มีอยู่ตามปกติ พอดีจิตเราเป็นอุปจารสมาธิจึงรับได้

ถาม : แล้วถ้าเกิดเราตั้งใจ..
ตอบ : ถ้าตั้งใจกำลังจะเกิน ต้องเป็นระดับอุปจารสมาธิ

ถาม : แล้วจะเป็นการปรามาสไหมคะ ?
ตอบ : ไม่เป็นหรอกจ้ะ แต่ระวังจะไปเล่นผิด แล้วจะมัวไปสนุกอยู่ตรงนั้น

เถรี
08-03-2012, 13:26
ถาม : หนูเข้าใจว่าปฏิบัติไปแล้วพรหมวิหารจะต้องดีขึ้น แต่กลายเป็นว่ายิ่งทำไป เมตตาที่แต่เดิมก็มีน้อยอยู่แล้วดูจะน้อยลงไปอีก กลับไปดีตัวอุเบกขาแทนค่ะ
ตอบ : อาตมาก็แบบเดียวกัน โดดข้ามเมตตาไปเป็นอุเบกขาเลย ทั้ง ๆ ที่ออกธุดงค์ก็เพราะตั้งใจจะไปเอาเมตตา

ช่วงนั้นทำงานอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง ตั้งแต่เช้ายันค่ำต้องรบกับคนเป็นแสน ๆ มารู้ตัวตอนบ่าย ๆ แล้วว่า เสียงตัวเองดังขึ้น อาตมาเป็นคนรู้ตัวเร็ว พอรู้สึกว่าเสียงตัวเองดังก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น จึงบอกเพื่อนให้ทำงานแทน ขอไปเข้าส้วมหน่อย ไปนั่งทบทวนตัวเองแล้วก็สรุปได้ว่ากำลังเครียด เครียดเพราะไม่ได้พักไม่ได้ผ่อนมาเป็นวัน ๆ

ส่วนทำไมถึงเครียด ก็เพราะไปตั้งความหวังไว้ว่าทุกคนจะต้องรู้เรื่อง แล้วก็มีคนที่ไม่รู้เรื่องจนได้ บอกให้ทำบุญเดินเข้ามา เขาก็จะคลาน บอกว่าให้เตรียมเงินมาเรียบร้อย เขาก็มายืนล้วงยืนควักเงินอยู่ตรงนั้นแหละ ทำให้รู้ว่าจริง ๆ ตัวเมตตาของอาตมายังไม่พอ ในเมื่อตัวเมตตาไม่พอก็ต้องมาเน้นตรงจุดนี้

คราวนี้ถ้าหากว่าอยู่วัดจะไปฝึกเมตตาบารมีก็ยาก เพราะเผชิญกับเหตุการณ์จริงไปแล้ว ในเมื่อเจอเหตุการณ์จริงเข้าไป กำลังไม่พอก็หงายท้องอีก ก็เลยขออนุญาตหลวงพ่อออกธุดงค์ เพราะว่าในป่าไม่มีอะไรที่จะช่วยเราได้ นอกจากตัวเมตตาอย่างเดียว แต่ด้วยความที่ไม่เคยธุดงค์มาก่อน เริ่มต้นก็ไปที่ซึ่งมีโอกาสตายแน่ ๆ แทนที่จะเริ่มจากเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนดันไปเข้าป่าดงดิบเลย เพิ่งจะเดินพ้นบ้านคน รอยตีนสัตว์ก็เป็นเทือกแล้ว แทนที่จะได้เมตตาบารมี เหลือแต่อุเบกขาอย่างเดียว ก็คือ "ตายแน่..ตายแน่" ไม่เหลืออะไรเลย

เพราะฉะนั้น..ถือว่าเป็นพวกเดียวกับอาตมา ฝึกเมตตาแล้วกลายเป็นอุเบกขาแทน พยายามปรับใหม่ให้เป็นอุเบกขาในเมตตา ถึงเวลาเราจะช่วยเขา ช่วยเขาไม่ได้แล้ว ก็ปรับเป็นอุเบกขาใหม่ อุเบกขาแล้วก็ยังแฝงอุเบกขาในเมตตา ถึงเวลาก็กลับมาช่วยใหม่ ดีอยู่อย่างว่ากำลังจะไม่ตกเพราะเรา "เบรก" อยู่ ถ้า "เบรก" ไม่อยู่จะฟุ้งซ่านมาก

เถรี
08-03-2012, 13:28
พระอาจารย์กล่าวว่า "บางคนสงสัยว่า พวกโจรที่ขโมยตัดเศียรพระ ถ้าพระศักดิ์สิทธิ์จริงทำไมไม่เล่นงานขโมย อาตมาได้ยินก็ขำ เพราะว่าพระหรือเทวดาท่านเคารพกฎของกรรมมากกว่าเราหลายเท่า จะไปยุ่งอะไรกับพวกนี้ เขาอยากลงนรกก็ปล่อยให้ลงไป

ยกเว้นว่าบางคนที่พอจะกลับเนื้อกลับตัวได้ กุศลเก่ายังมีอยู่ ถ้าอย่างนั้นท่านจะทำให้รู้ บางคนอยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าพระพุทธรูปยกมือได้ ก็วิ่งหนีกันป่าราบ ถ้าไม่มีบุญเก่าหนุนเสริม เป็นวาระที่อกุศลเข้าเต็ม ๆ นี่ท่านปล่อยเลย อยากลงนรกก็ปล่อยเขาลงไปเถอะ"

เถรี
08-03-2012, 13:33
ถาม : ที่บ้านเป็นตึกสามสี่ชั้น เวลาจะจัดห้องพระต้องเอาไว้ชั้นบนสุดของบ้านเสมอไปหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องจ้ะ อยู่ชั้นไหนก็ได้ ถือว่าเป็นคนละส่วนกันแล้ว ในเมื่อเป็นดังนั้นเราก็บูชาพระของเราไป

แต่ถ้าหากว่าเป็นบ้านของเราเอง เลือกชั้นบนสุดเป็นห้องพระได้ก็จะดีมาก เวลาอาตมาทำกุฏิก็ดี ศาลาก็ดี จะเน้นเรื่องที่ตั้งพระก่อน แต่ว่าบ้านของญาติโยมทั่วไป ส่วนใหญ่แล้วจะเลือกห้องกันจนพอใจ เหลืออะไรค่อยให้พระไป เป็นอย่างนั้นกันแทบทุกบ้านเลย น้อยบ้านจะตั้งใจสร้างห้องถวายพระ ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ส่วนกลางที่เหลือแล้วไปตั้งหิ้งพระ

ต่อไปถ้าใครมีบ้านก็ตั้งใจสร้างห้องถวายพระ ปูพรมติดแอร์อย่างดีเลยนะ แล้วเราก็ขอนอนด้วย

ถาม : ผู้หญิงเขาไม่ให้นอนห้องพระไม่ใช่หรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่แค่ผู้หญิง ผู้ชายก็ด้วย เขาไม่ให้นอนตรงหน้าพระ ให้ขยับมานอนด้านข้างจ้ะ

เวลาดึก ๆ เทวดา นางฟ้าหรือพรหม ท่านมักจะมานมัสการพระในเขตที่ท่านดูแลอยู่ หรือในเขตที่ท่านไปสม่ำเสมอ เพราะฉะนั้น..บางแห่ง ถ้าหากว่าเป็นพระสำคัญแล้วเราไปนอนขวางอยู่ ตื่นขึ้นมาอาจจะสงสัยว่าทำไมเราย้ายมาอยู่ตรงนี้ ปกติเรานอนตรงหน้าพระนี่นา ? ก็ท่านจะไหว้พระแล้วเราไปเกะกะ ท่านก็เขี่ยเราออกสิ.. ดังนั้น..อย่าไปนอนขวางหน้าพระตรง ๆ ให้ขยับออกมาด้านข้าง

เถรี
08-03-2012, 13:45
http://www.chulabook.com/images/book-400/9786160202034.gif


พระอาจารย์กล่าวถึงนิยายจีนเล่มหนึ่งว่า "ในกระบี่อภิญญาเราจะเห็นอยู่ ๒ เรื่อง เรื่องแรกก็คือทิพจักขุญาณเกิดได้ทั้งคนดีและคนไม่ดี ก็แปลว่าไม่ว่าคุณจะเป็นสัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิก็ตาม เมื่อคุณฝึกตนถึงระดับ อภิญญาก็จะเกิด จึงเป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดเจนเลยว่า อภิญญาเป็นทั้งโลกียะหรือโลกุตระก็ได้

ประการที่ ๒ ก็คือ คนที่เขียนคำทำนาย รู้แล้วจะไม่กล้าฝืนกฎของกรรม เขาใช้คำว่าไม่กล้าฝ่าฝืนความลับของฟ้า แต่คราวนี้ด้วยความที่สงสารคน ถ้าหากว่าอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นชีวิตคนคงสิ้นหวัง แล้วจะคล้อยตามฝ่ายชั่วไปเสียหมด ก็อุตส่าห์เขียนคำทำนายทิ้งเอาไว้ ส่วนตัวเองก็ยอมรับกรรมไปคนเดียว ปล่อยให้คนมีความหวังเหลืออยู่บ้าง จะได้ไม่ทำชั่วไปจนหมด"

ถาม : พระเอกไม่ฝึกอะไรเลยทำไมได้อภิญญาเฉยเลยคะ ?
ตอบ : เขาสั่งสมมาในอดีต คนอื่นเขาฝึกมาก็ได้ทั่ว ๆ ไป แต่เขาฝึกแล้วได้อภิญญา สิ่งนี้เป็นปุพเพกตปุญตา คือสร้างสมบุญเก่าตั้งแต่ปางบรรพ์ พอเวลากำลังใจทรงตัวได้ระดับ ของเก่าก็คืนมา ไม่เห็นหรือว่าต้วนตู๋เสิ้งที่เป็นตัวร้าย พอฝึกไปก็ได้อภิญญาเหมือนกัน แต่ต้วนตู๋เสิ้งเป็นเจ้าพ่อนิกายอัคคี สุดยอดความชั่วเลย อยากรู้ต้องไปอ่านเองจ้ะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวต้องเล่าให้ฟังทั้งเรื่องอีก

เถรี
09-03-2012, 08:05
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานหลวงตาวัชรชัยนี่น่ากลัวพอ ๆ กับงานที่วัดท่าขนุนเลย พอย่ามอาตมาเต็มแล้วยังต้องเอาถุงก๊อบแก๊บมาอีก ๓ ใบ นั่นขนาดอาตมาถวายหลวงตาไปเป็นกระสอบแล้วนะ ยังเหลือกลับมา ๑๒๐,๐๐๐ กว่าบาท เขาคงกลัวจะไม่เอากลับ เลยยัดให้มาอีกตอนจะขึ้นรถ

อย่างที่คุณพรศักดิ์บอกว่า พอหลวงพ่อเล็กเดินเลยไปคนก็หายไปครึ่งหนึ่งแล้ว แต่อาตมาไม่ได้เหลียวหลังไปดูหรอก แสดงว่าบางคนเขาตั้งใจมาทำบุญจริง ๆ แล้วเลือกทำเฉพาะคนด้วย มีบางคนประเภทกรี๊ดกร๊าดดีใจมากที่ได้เห็นตัวจริงแล้ว เพราะรู้จักแต่ในเว็บ มีอีกหลายคนมาจับ ๆ คลำ ๆ แล้วก็เอาไปลูบหัวตัวเอง นี่ถ้าอาตมาเป็นโลหะเขาก็คลำจนสึกไปแล้ว..!

ถ้าจะยึดก็ควรจะยึดแต่พอสมควร เอาครูบาอาจารย์เป็นแบบอย่าง แล้วเราก็เร่งปฏิบัติตามแนวที่ท่านสอน หรือตามที่ท่านทำถึง ไม่ใช่ประเภทเห็นท่านเป็นวัตถุมงคล ทางพม่าก็เป็นแบบนี้ ถึงเวลาก็คลี่มวยผมปูพื้นให้เดินเป็นแถว

การเคารพในพระรัตนตรัยเป็นเรื่องดี แต่ให้เคารพในส่วนที่เป็นนามธรรม คือคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่เป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นพระพุทธรูป ไม่ใช่เป็นคัมภีร์พระไตรปิฎก และไม่ใช่เป็นหลวงปู่หลวงพ่อ แต่เป็นคุณความดีทั้งหลายที่ทำให้ท่านเป็นพระพุทธเจ้า ที่ทำให้คำสอนเหล่านี้ปรากฏขึ้น ที่ทำให้หมู่สงฆ์เข้าถึงความบริสุทธิ์

ถ้าอาตมาไปบ่อย ๆ เขาคงลูบจนขนร่วงหมด..! ยังดีที่ไม่ค่อยมีขนกับใคร"

เถรี
09-03-2012, 08:27
ถาม : คาถาเงินล้านช่วยเรื่องเรียนด้วยไหมคะ ?
ตอบ : อยู่ที่เราเอง ถึงเวลาพอสมาธิทรงตัวแล้ว กำลังใจมุ่งไปเรื่องไหนก็ได้เรื่องนั้น

ถาม : เดิมหนูให้ลูกภาวนาคาถาท่านปู่พระอินทร์ค่ะ ตอนหลังลูกบอกว่าอยากภาวนาคาถาเงินล้านเยอะ ๆ เหมือนแม่
ตอบ : เอาเลย..ถ้าไม่ฉลาดก็หาเงินไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ถ้าฉลาดเรื่องเรียนก็ไม่ยากที่จะรวย เขาเรียกว่าจับแพะชนแกะ โยงให้เป็นเรื่องเดียวกันให้ได้

เถรี
09-03-2012, 09:51
ถาม : เวลาเข้าป่า อะไรเป็นสิ่งที่น่าระวังที่สุดครับ ?
ตอบ : ระวังกำลังใจตัวเอง ไม่ต้องระวังอย่างอื่นเลย

ถาม : ตอนไปนอนที่หมู่บ้านกะเหรี่ยง มีอะไรแนะนำว่าอย่าไปทำไหมครับ ?
ตอบ : ภาวนา เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิง ฯลฯ อย่างเดียว ไม่ต้องไปใส่ใจเรื่องอื่น เขาทำอะไรมา เรามีหน้าที่ภาวนารับไว้ให้หมด ไม่ต้องไปตอบไปโต้ไปอะไรทั้งนั้น อาตมาแกล้งโง่จนกระทั่งเขาคิดว่าพระรูปนี้เก่งหรือโชคดีกันแน่ ?

ถ้าเข้าป่า เทียนไข ไฟแช็ก มีด และกระติกน้ำ อย่าให้ห่างตัว อย่างอื่นไม่เป็นไร ถ้ามีมีดอยู่ในป่าอย่างไรก็เอาตัวรอดได้ พอหากินได้ มีเทียนไข มีไฟแช็ก อย่างไรก็ยังหุงต้มกินได้ มีน้ำอยู่เราก็ยังไปได้เป็นวัน ๆ ไม่มีข้าวไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่มีน้ำจะตายภายในไม่เกินสามวัน..!

แต่ที่อาตมาไปใช้วิธีเอาขวดน้ำไปแทน เอาขวดน้ำพลาสติกแบบฝาเกลียว ถ้าหากว่าแรงดีก็แบกไปสัก ๒ ขวด ถ้าจะพกบะหมี่สำเร็จรูปไป อย่าพกไปเป็นลังหรือเป็นซอง เพราะจะเกะกะมาก ให้บีบเส้นหมี่ให้ละเอียดเลย แล้วกรอกใส่ขวดน้ำลิตรครึ่ง กรอกไว้ให้เต็มขวด ลิตรครึ่งนี่ได้เป็นลังเลยนะ ถึงเวลาจะกินก็เทออกมา กะว่า ๑ ซองหรือ ๒ ซอง แล้วราดน้ำร้อนใส่ก็กินได้เลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาโง่ไปแบกลังอยู่อีก ส่วนภาชนะไปหาเอาข้างหน้า ตราบใดที่ยังมีกอไผ่อยู่ก็ไม่ขาดภาชนะหรอก ใช้แล้วทิ้งได้เลยอีกต่างหาก

ถาม : มีดต้องเป็นมีดพร้าหรือเปล่า ?
ตอบ : จะเป็นมีดพกอะไรก็ได้ เลือกเอาที่ใช้งานสะดวก อย่าพกอะไรที่หนัก ถ้าเป็นมีดเดินป่าทรงมีดปาดตาลนั่นจะดี ส่วนมีดทหารนี่ห่วยแตกจริง ๆ ฟันอะไรก็ไม่ถนัด เพราะเอาไว้ฆ่าคนอย่างเดียว

เถรี
09-03-2012, 11:59
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๘ มีนาคมนี้ อาตมาต้องไปเข้ากรรมฐาน ๑๕ วัน มหาวิทยาลัยเขาให้นักศึกษาต้องเข้ากรรมฐานครบ ๓๐ วัน ไม่อย่างนั้นเขาไม่ให้จบ เนื่องจากเป็นมหาวิทยาลัยพระ เขาก็เลยเน้นเรื่องสมาธิด้วย นักศึกษาจะต้องสะสมวันปฏิบัติธรรมให้ได้ ๓๐ วัน

นักศึกษาปริญญาตรีอย่างน้อยต้องปฏิบัติต่อเนื่องครั้งละ ๑๐ วันทุกปี ปริญญาโทต้องปฏิบัติต่อเนื่อง ๑๕ วัน รวม ๒ ครั้ง ๓๐ วัน ปริญญาเอกเจอรวดเดียว ๔๕ วัน..!"

เถรี
09-03-2012, 12:10
ถาม : เวลาอ่านหนังสือจะภาวนาไปด้วยอย่างไรคะ ?
ตอบ : อยู่ที่เราว่ามีความชัดเจนของสมาธิเท่าไร คนฝึกสมาธิใหม่ ๆ ถ้ามุ่งเน้นด้านหนึ่ง ก็จะขาดอีกด้านหนึ่งไป อย่างเช่น ถ้าเราสนใจเนื้อหาหนังสือ ตัวสมาธิภาวนาก็จะเลือนไป พอเรามาเน้นสมาธิภาวนา ใจก็จะไม่เข้าใจเนื้อหาหนังสืออีก

ต้องแบ่งความรู้สึกสองส่วนให้ได้เท่า ๆ กัน เพียงแต่ว่าการทำอย่างนี้นานไปแล้วจะเกิดผลเสียอย่างหนึ่ง ก็คือ พอเราภาวนาไปแล้วฟุ้งซ่านได้ด้วย เพราะใจแยกเป็น ๒ อย่าง ถ้าเกิดอาการอย่างนั้นขึ้นมา ให้รีบดึงความรู้สึกทั้งหมดมาอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกใหม่ กำลังใจถึงจะทรงตัว

การแยกจิตแยกกายเป็นเรื่องของพวกซักซ้อมเกมกีฬาสมาธิ แต่ถ้าหากว่าทำแล้วควบคุมไม่เป็น ต่อไปจะฟุ้งซ่านทั้ง ๆ ที่นั่งสมาธิอยู่

ถาม : ในเบื้องต้นก็ควรจะแยกทำอย่างหนึ่งไปเลย ?
ตอบ : จะทำอะไรก็ทำให้จริงไปสักเรื่องหนึ่ง

เถรี
09-03-2012, 12:13
ถาม : จะทำบุญบ้าน และอยากทำบุญให้พ่อแม่ที่ตายไปแล้วด้วย ต้องทำแบบไหนคะ ?
ตอบ : อยู่ที่เราเองจ้ะ ทำแบบไหน ทำที่ไหนก็ตาม ต้องนึกถึงขอให้ท่านมาโมทนาก็ได้ ถ้าหากว่ามีเวลาและสะดวก ก็จัดสวดมนต์เย็น ถวายอาหารเช้าที่บ้านอย่างเป็นกิจจะลักษณะก็ได้ ถ้าไม่สะดวกก็หอบเอาสังฆทานไปถวายวัดใกล้บ้าน

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ได้เหมือนกันจ้ะ ทำที่ไหนก็ได้ สาระไม่ได้อยู่ว่าทำที่ไหน สาระอยู่ตรงที่ได้ทำหรือไม่

ถาม : สิ่งที่เราทำบุญไป เขาจะได้รับหรือเปล่า ?
ตอบ : โทรไปถามสิจ๊ะ โทรไปถาม “ท่าน..ที่ทำบุญไปได้รับไหม ?” เบอร์เขาให้ขึ้นด้วยเลข +๖๖๖ เบอร์นี้จะผ่านศูนย์กลางของซาตานแล้วจะไปถึงคนตาย..! (หัวเราะ)

เถรี
09-03-2012, 12:41
มีโยมถวายเทปหลวงพ่อวัดท่าซุงปี ๒๙ มา ท่านจึงกล่าวว่า "เครื่องบันทึกเสียงเครื่องนี้ ในหลวงถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงมา สมัยอาตมาไปฝึกบันทึกเทปใหม่ ๆ ไม่รู้ว่าต้องเปิดพัดลมด้วย ก็บันทึกยาวไป ๓ - ๔ ชั่วโมง เครื่องร้อนฉ่าเลย แต่ยังไม่พัง

ไปถึงหลวงพ่อท่านก็สอนว่าเอาเทปใส่ตรงนี้ เอาตัวมาสเตอร์เทปใส่ตรงนี้ กดปุ่มนี้ บันทึกตรงนี้ พอเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เอาออกมาพิมพ์ว่าเป็นเทปม้วนไหน แล้วก็เอาออกมาเก็บ เตรียมส่งไปจำหน่ายที่ธัมมวิโมกข์ ท่านไม่ได้บอกนี่ว่าต้องเปิดพัดลมด้วย

มีสวิทช์อยู่ตัวหนึ่งที่กดแล้วพัดลมจะพัดระบายความร้อน พอไม่ได้กด เครื่องก็ร้อนฉ่า ถ้าพังตอนนั้นก็หัวโตเลย สมัยนั้นเครื่องบันทึกเสียงในเมืองไทยราคาตั้ง ๔ แสนกว่าบาท พวกห้องอัดเสียงที่ทำเทปขายเขาถึงมีได้ นี่ในหลวงท่านทรงสั่งนำเข้ามา ได้รับการยกเว้นภาษี ราคาก็เลยไม่ถึงแสนบาท

ช่วงนั้นลูกศิษย์หลวงพ่อรุ่นเก่า ๆ จะต้องฝึกเรื่องบันทึกเทป และจำหน่ายวัตถุมงคล งานหลัก ๆ เลยก็คือทำความสะอาดวัด กวาดกันจนหูตาลายเพราะว่าวัดกว้างมาก"

เถรี
09-03-2012, 12:46
"ตอนช่วงนั้นศาลา ๒ ไร่ยังไม่มี หลวงพ่อท่านกำลังดำเนินการติดต่อขอซื้อที่ชาวบ้าน แต่ชาวบ้านใกล้วัดมักจะมองว่าหลวงพ่อรวย แล้วก็ขายที่ให้แพงกว่าปกติหลายเท่า หลวงพ่อก็เลยต้องให้คนในพื้นที่ไปถามซื้อ พอซื้อเสร็จแล้วค่อยโอนมาเป็นชื่อวัด

บริเวณศาลา ๒, ๓, ๔ ไร่ , ปราสาททองคำ ตลอดถึงธุดงค์ ๑๐๐ ไร่ ก่อนหน้านี้ยังเป็นท้องนา จะมีต้นไม้หลัก ๆ ก็คือทองกวาว ทองกวาวทางอีสานเขาเรียกดอกจาน จะเป็นโคกเป็นคันนาแล้วก็มีทองกวาวขึ้น

ส่วนที่เป็นท้องนาก็น่าเวทนาเหลือเกิน ปลูกข้าวงามเต็มที่สูงแค่คืบกว่า ๆ ถามเขาว่าได้ข้าวประมาณเท่าไร เขาบอกว่าไร่หนึ่งประมาณ ๑๐-๑๕ ปีบ เวรกรรม..ของที่อื่นอย่างไม่มี ๆ ก็ ๘๐ ถัง หลวงพ่อบอกที่เขาหากินไม่ขึ้นเพราะเป็นที่วัดเก่า ถ้าใครอยากจะทำกินขึ้นให้ชำระหนี้สงฆ์เสียก่อน ท่านอุตส่าห์ไปขอซื้อคืนเขายังจะขายแพง ๆ อีก

สมัยแรก ๆ ศาลา ๑๒ ไร่ยังไม่มี ที่ตั้งพระชำระหนี้สงฆ์ก็ยังไม่มี ทางด้านหลังวัดก็จะมีหลวงตาวัชรชัยเดินบิณฑบาตประจำ บางวันถ้าท่านติดภาระอย่างอื่น พวกอาตมาก็จะแทรกไปแทนบ้าง พอเดินพ้นเขตท้ายวัด ก็คือป้อมยามที่อยู่ติดกับหอสูบน้ำที่อยู่มุมศาลา ๑๒ ไร่ จะมีเครื่องสูบน้ำอยู่เครื่องหนึ่ง ตรงนั้นจะเป็นจุดสุดเขตวัด แล้วตรงที่ตั้งศาลา ๑๒ ไร่ก็ยังเป็นท้องนา

พอนึกถึงภาพเก่า ๆ แล้ว เทียบกับสมัยนี้ที่เจริญขึ้นจนกระทั่งคนรุ่นใหม่นึกไม่ออกว่าสมัยนั้นเป็นอย่างไร แถวศาลา ๓ ไร่ จนต่อมาถึงถนนเป็นดงไผ่หนามทั้งดง ระยะหลังหลวงพ่อท่านทำตรงพื้นที่ต่อศาลา ๓ ไร่ออกมาเป็นสวนไผ่ ต้นไผ่นั่นก็คือไผ่ดั้งเดิมเลย ถ้าไม่ขึ้นใหม่ก็แปลว่าหมด ท่านก็อุตส่าห์เว้นช่องให้ขึ้นได้

อาตมาก็ปีนตามช่องนั่นแหละมุดลงข้างใต้ ไปอยู่กับพวกจระเข้น้อย พวกงูเหลือม เขาอาศัยอยู่ในนั้นเยอะแยะ อาตมาไปฝึกกรรมฐาน ข้างใต้นั้นยกพื้นอยู่จึงเดินจงกรมได้สบาย พอถึงเวลาเดินจงกรมแล้วก็เข้าที่ภาวนา จะมีอยู่ ๓ - ๔ ท่านที่ไปอย่างนั้นประจำ มีอาตมา ท่านชาติชาย หลวงพี่ไพบูลย์"

เถรี
09-03-2012, 15:52
ถาม : ถ้าเรายกจิตขึ้นพระนิพพาน สามารถยกขึ้นได้เลย ไม่ต้องภาวนาใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าคนมีความคล่องตัวแล้ว ไม่ทันภาวนาก็ไปแล้ว แรก ๆ ก็ต้องตั้งท่า ไปกันตามลำดับที่ฝึกมา พอคล่องตัวมาก ๆ ไม่ทันจะรู้ตัวหรอก คำภาวนาอะไรก็ไม่ทันจะใช้ แค่นึกก็ไปแล้ว

ถาม : ไปได้ตลอดหรือคะ ?
ตอบ : จะไปเมื่อไรก็ไปสิจ๊ะ อยู่บนนั้นตลอดไปเลยได้ยิ่งดี

ถาม : พอขึ้นไป ฟังแล้วไม่ได้ยิน ยังฟังไม่รู้เรื่องเวลาพระท่านพูด
ตอบ : ตั้งใจขอให้ท่านสงเคราะห์ หรือกราบขอบารมีท่านให้เห็นหรือได้ยินอย่างชัดเจนด้วย

เถรี
09-03-2012, 16:07
ถาม : พระท่านหนึ่งสอนสมาธิผม ท่านบอกว่าให้กำหนดแค่กึ่งกลางตรงศีรษะ โดยไม่สนใจลมหายใจ ผมขอถามว่าอยู่ในกรรมฐานหรือเปล่า ?
ตอบ : ก็ลองทำดูสิ..แต่อะไรก็ตามถ้าไม่ได้ควบลมหายใจเข้าออก จะไม่ทรงตัวหรอก ยกเว้นอย่างเดียวว่า คุณซักซ้อมเรื่องของฌานสมาบัติจนกระทั่งคล่องตัวแล้ว คราวนี้จะกำหนดที่ไหนก็กำหนดไปเลย

ที่ท่านว่ามาอยู่ในลักษณะของคนทำเป็นแล้ว ไม่ใช่คนเพิ่งเริ่มหัด ถ้าเพิ่งเริ่มหัดต้องเอาลมหายใจเข้าออกด้วย ยกเว้นว่าคล่องตัว จะเอาสมาธิขั้นไหนก็เข้าได้เลย ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไปจับลมหายใจ จะเอาจิตไปอยู่ที่ส่วนไหนของร่างกายก็ไปได้

ถาม : ถ้าพระลูกวัดหรือเจ้าอาวาสท่านไม่ทำวัตรเช้าเย็นหรือบิณฑบาต ผิดหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : แล้วแต่วัดท่าน เพราะว่ากติกาเหล่านี้เป็นสิ่งที่ควรทำ แต่ไม่ได้บังคับว่าต้องทำ เพียงแต่ว่าถ้าเราทำในเรื่องวัตรปฏิบัติต่าง ๆ จนกระทั่งเคยชินแล้ว เรื่องสมาธิอื่น ๆ จะทำได้ง่าย เนื่องจากเคยชินกับการโดนบังคับแล้ว เพราะฉะนั้น..การมาบังคับใจจะทำได้ไม่ยาก แต่อย่างพวกที่ไม่เอาเรื่องวัตรปฏิบัติอะไรเลย แล้วจะมาฝึกสมาธิก็เหมือนกับควายเปลี่ยว ต้อนควายเปลี่ยวเข้าคอกก็ดิ้นตาย

ถาม : แล้วถ้ามีพระจูงมือลูกวัด ซึ่งเป็นจริยาที่ไม่สมควร ท่านมีความผิดหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าผิด เขาปรับอาบัติทุกกฎเท่ากับจับเงิน เขาถือว่ากายสังสัคคัง คือมีการสัมผัสระหว่างกายกัน ผู้ชายต่อผู้ชายท่านก็ห้าม ที่พระพุทธเจ้าท่านห้ามเพราะท่านรู้ว่าสมัยนี้จะมีพวกชายไม่แท้เยอะ..!

ถาม : ถ้าท่านจับเหมือนกับเป็นลูกเป็นหลานครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เจตนา แล้วแต่ใครจะมองมุมไหน

คนเราดีแสนดี คนจะติก็หามาติจนได้ ไม่ต้องไปใส่ใจแทนท่านหรอก เขาบอกว่าพระพุทธชินราชสวยที่สุดในโลก ลูกอีช่างติก็ยืนมอง ๆ มองซ้ายมองขวา ตะแคงซ้ายตะแคงขวาเสร็จก็บอกว่า “เออ..ก็สวยดีอยู่หรอก เสียอย่างเดียวพูดไม่ได้..!” หาเรื่องติจนได้ เพราะฉะนั้น..ใครจะว่าอะไรก็ช่างเขาเถอะ

เถรี
09-03-2012, 16:09
ถาม : ในการสร้างพระสมเด็จองค์ปฐม ผู้ที่บวงสรวงต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ?
ตอบ : ไม่มีอะไรมากหรอก แค่ควรจะรู้ให้จริงว่าท่านอนุญาตหรือไม่ ? ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวได้เฮงแน่

ถาม : ถ้าผู้ที่ทำพิธีไม่มีคุณสมบัติที่จะทำพิธีบวงสรวง เราสร้างพระกับท่าน บุญที่เราตั้งใจทำจะได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : บุญเป็นของเรา ความซวยเป็นของท่าน..!

ถาม : คาถาทะพะมะนะ เป็นคาถาปลดกุญแจ แล้วคาถามหาพิทักษ์ ท่านเอาไว้ล็อกทุกสิ่งทุกอย่างใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ท่านเอาไว้รักษาทรัพย์ แปลว่าต่อให้ปลดกุญแจได้ ถ้าคนใส่กุญแจเขาใช้คาถาเป็น เราก็ไม่นึกอยากที่จะขโมย

เถรี
10-03-2012, 12:55
ถาม : พวกรูปพระในหนังสือพิมพ์ ถ้าทิ้งสะเปะสะปะก็ไม่ควร ถ้าเราเอามาเผา ?
ตอบ : ขอขมาพระแล้วก็เผาไปเลย โบราณเรียกว่า "จำเริญ" เขาใช้ ๒ วิธีคือด้วยน้ำหรือด้วยไฟ แต่สมัยนี้ถ้าเราไปลอยน้ำในกรุงเทพฯ ก็อาจเสียค่าปรับเยอะ ดังนั้นก็เผาเสีย ที่โบราณเขานิยมลอยน้ำเพราะเขาถือว่าเย็นกว่า แต่ความจริงน้ำกับไฟมีสภาพเหมือนกัน ก็คือไม่รังเกียจว่าของจะสกปรกหรือสะอาด รับได้ทั้งนั้น

เถรี
10-03-2012, 13:27
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อย่าเอาเรื่องคนอื่นมาใส่ใจก็สบายแล้วจ้ะ เราชอบไปแบกแทนคนอื่นเขานี่ ก็แค่เลิกเท่านั้นเอง ถึงรู้สาเหตุแต่ถ้าไม่แก้ก็ไม่ได้

ถาม : ผมปฏิบัติไปแล้ว โทสะกลับเกิดง่ายขึ้น ?
ตอบ : จริง ๆ แล้ว ก็แค่ควบคุมตากับหูเรา ตาเห็นกับหูได้ยินอย่าเพิ่งรับเข้ามาในใจ ถ้าตาเห็นหูได้ยินแล้วรับเข้ามาในใจ จะเป็น ๒ อย่าง คือ ชอบกับไม่ชอบ แล้วส่วนใหญ่เราก็ไม่ชอบเสียด้วย ในเมื่อส่วนใหญ่เราไม่ชอบก็จะหงุดหงิดขึ้นมาเพราะเกิดแรงกระทบ แล้วก็กลายเป็นโทสะ ต้องระวังให้ทันนะ

ความจริงจมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เอาเรื่องพอ ๆ เหมือนกันนั่นแหละ แต่หูกับตาจะมาเร็วที่สุด

ถาม : ระวังไม่ทันจึงสอบตก ?
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ สอบตกทำให้เรารู้ตัวว่ากำลังยังไม่พอ เราจะได้เร่งตัวเองมากขึ้น การสอบตกไม่ใช่เรื่องน่าละอายจ้ะ เรารู้ตัวแล้วพยายามแก้ไข บอกแล้วว่าทำถูกได้กำไร ทำผิดได้บทเรียน มีแต่ได้ทั้งคู่ไม่มีเสีย

ถาม : ขอให้ผมสำเร็จซึ่งพระโพธิญาณในอนาคตกาลด้วยเถิด
ตอบ : โมทนาจ้ะ แต่อาตมาไม่ไปด้วยแล้วนะ อาตมาเดินทางมาถึงป่านนี้แล้ว รู้ว่าทางเส้นนี้ไกล แต่ก็แปลก มีที่แวะข้างทางมีเยอะ แต่หลายต่อหลายคนกำลังใจมุ่งมั่นมาก ไม่แวะสักที ก็อย่างว่า..คนจะทำงานใหญ่กำลังใจต้องเข้มแข็ง

เถรี
10-03-2012, 13:45
ถาม : ทำไมส่วนใหญ่ถึงลาพุทธภูมิ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วกำลังใจไม่มั่นคงพอ เพราะว่าไม่ได้เกิดจากความปรารถนาที่แท้จริง จะอยู่ในลักษณะที่ว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลงจากดาวดึงส์ แสดงพุทธปาฏิหาริย์เปิดโลก ตั้งแต่พระนิพพานยันอเวจีมหานรกให้เห็นถึงกันหมด ทุกภพทุกภูมิทุกหมู่ทุกเหล่าก็จะเห็นว่านี่คือบุคคลที่เป็นเลิศที่สุด แล้วจะมีความปรารถนาลึก ๆ ในใจว่า ถ้าเราเป็นอย่างนั้นบ้างก็ดี นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการปรารถนาพุทธภูมิ

คราวนี้ก็อยู่ที่ว่ากำลังใจจะมั่นคงแค่ไหน แต่ก็อย่างว่า ร้อยละเกิน ๙๐ ทิ้งหมด ทนความลำบากไม่ได้

ถาม : เป็นพุทธธรรมเนียมหรือครับที่พระพุทธเจ้าแสดงปาฏิหาริย์เปิดโลก ?
ตอบ : ไม่ใช่พุทธธรรมเนียม ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ในช่วงนั้น อย่างพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันโดนศาสนาอื่นคุกคามมาก ทั้งที่เจ้าลัทธิอื่นบางทีก็ไร้ความสามารถ แต่เนื่องจากว่าได้ลาภยศจากการที่คนเขาเคารพนับถือมาก่อน พอศาสนาพุทธมาชี้แจงธรรมะที่แท้จริงให้ คนได้สติมากขึ้น เลิกงมงาย หันมาปฏิบัติตามศาสนาพุทธ ทำให้ลาภผลของพวกเขาลดลง เขาก็เลยต้องหาทางสร้างความเสื่อมเสียให้เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนา

จ้างคนไปด่าว่าบ้าง มีการปล่อยข่าวลือบ้าง ท้ายสุดก็พอได้ยินพระพุทธเจ้าท่านประกาศห้ามสาวกแสดงฤทธิ์ เขาก็เลยประกาศว่าจะแสดงฤทธิ์แข่งกับพระพุทธเจ้า ต้องบอกว่าพวกนี้จริง ๆ แล้วฉลาดมาก เพียงแต่ว่าใช้ความฉลาดไปในทางที่ผิด

เถรี
10-03-2012, 13:52
ถาม : ผมไปอินเดียมา เอาใบโพธิ์ตรัสรู้มาถวายท่านด้วยครับ
ตอบ : โมทนาด้วยจ้ะ อาตมาเคยได้มาใบโพธิ์มาทั้งกิ่งเลย ตอนนั้นโยมเขาอยากได้ พอไปแล้วกิ่งสด ๆ หักลงมาทั้งช่อ เป็นสิบ ๆ ใบเลย แสดงว่าท่านให้จริง ๆ ส่วนอาตมาเคยเจอใบโพธิ์กว้างเป็นฟุตเลย ไม่ได้เก็บมาหรอก ถ่ายรูปไว้เฉย ๆ ต้นนี้อยู่ที่วัดหนองบัว

ปีนั้นเรากำหนดงานฉลองวัดหนองบัว เพราะว่าไปช่วยสร้างให้เขามา ๕ - ๖ ปี ปรากฏว่าปีนั้นต้นวาสนาทุกต้นออกดอกหมด แล้วใบโพธิ์แตกใบใหม่กว้างเป็นฟุต ใหญ่ขนาดเอามาปิดปากบาตรได้สบายเลย ก็ถือเป็นเรื่องอัศจรรย์ เพราะว่าวัดนั้น ๔๐๐ กว่าปีแล้วไม่มีการบูรณะ ไปทำให้เขาดีขึ้นมาก็เลยกลายเป็นนิมิตแสดงออกให้เห็น

ถาม : วัดหนองบัวอยู่แถวไหนครับ ?
ตอบ : จังหวัดจะอีน รัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า แถวนั้นเขามีบ้านสองแคว บ้านสามพระยา บ้านป่าหวาย บ้านใหม่ บ้านป่าลาน คนไทยโดนกวาดต้อนไปสมัยเดียวกับพระนเรศวร ก็เลยยังใช้ชื่อไทยอยู่ แต่เวลาพม่าเรียกเราจะฟังยาก อย่างสามพระยาพม่าออกเสียงเป็นตำมะยา เลยกลายเป็นบ้านมะนาวแทนที่จะเป็นบ้านสามพระยา ป่าลานพม่าออกเสียงเป็นปาตะแล

ที่พม่าดีอยู่อย่างคือ ถึงแม้เราจะไม่ได้ภาษาเขา ก็สามารถใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักได้ ถ้าหากว่าไม่ได้ภาษาเขา ไม่ได้ภาษาอังกฤษ ก็ใช้ภาษาไทยนี่แหละ คนพม่าทั้งประเทศพูดไทยได้เกือบหมด เพราะมาทำงานเมืองไทยกันแทบทุกคน

เถรี
10-03-2012, 14:24
พระอาจารย์กล่าวถึงงานพุทธาภิเษกที่วัดเนินสุทธาวาสว่า "ปกติแล้วงานพุทธาภิเษกแบบนั้น ถ้ามีเวลาก็จะแอบดูว่าท่านอื่น ๆ ทำอย่างไร จึงพบว่าเกินร้อยละ ๙๐ ใช้กำลังตนเองทั้งนั้น ก็เลยแปลกใจว่าวิธีการขอบารมีพระสงเคราะห์ไม่ใช่เรื่องปกปิดอะไร ต้องบอกว่าเป็นที่รู้กันทั่วไป แล้วทำไมท่านไม่ทำกัน ?

อาจจะเป็นเพราะความเคยชินก็ได้ ถึงเวลาก็ใช้กำลังตัวเอง แต่ว่าหลายท่านกำลังใช้ได้จริง ๆ กำลังใจพุ่งเป็นเข็มเลย พอดีนั่งคู่กับหลวงปู่ฟู วัดบางสมัคร แล้วก็มีหลวงพ่อนิยม วัดถลุงทอง ขนาบข้างอีกข้างหนึ่ง หลวงปู่ฟูท่านเข้าไปก่อนสัก ๑๐ นาที ส่วนอาตมาเขานิมนต์ตามเข้าไปเพราะว่าที่นั่งไม่พอ เขานิมนต์พระ ๔๙ องค์ แต่ว่าที่นั่งมีไม่ถึง ก็ต้องผลัดกันเข้าผลัดกันออก

ไปถึงขอบารมีพระท่านเสร็จสรรพเรียบร้อยก็เข้าสมาธิยาวไปเลย รอจนพระท่านบอกว่าเสร็จแล้ว ลืมตาขึ้นมาทำน้ำมนต์ หลวงปู่ฟูท่านก็ลืมตามาทำน้ำมนต์ ทำเสร็จเรียบร้อยท่านก็หันมาบอก "พอแล้ว..เต็มแล้ว..ไปกันเถอะ" หลวงปู่ก็เป็นยอดฝีมือ แสดงว่าท่านก็ดูอยู่ว่าพระท่านบอกอย่างไร พอถึงเวลาพระท่านบอกเต็มแล้วก็ลืมตามาทำน้ำมนต์ ทำน้ำมนต์เสร็จก็ต่างคนต่างพรม พรมเสร็จก็ชวนกันออกมา ปล่อยท่านอื่นเขานั่งกันต่อไป"

เถรี
10-03-2012, 14:35
"วัดเนินสุทธาวาส ถ้าหลวงปู่เกลี้ยงมรณภาพนี่จะลำบากนิดหนึ่ง เพราะคนเป็นเจ้าอาวาสใหม่จะต้องลำบากใจ และเป็นอย่างนี้แทบทุกวัด คือต่อให้เจ้าอาวาสใหม่เก่งเท่าเจ้าอาวาสเก่า เขาก็คิดถึงแต่เจ้าอาวาสเก่า ถ้าเก่งสู้เจ้าอาวาสเก่าไม่ได้ ก็จมดินหายไปเลย วัดโทรมทันตาเลย แล้วหลวงปู่เกลี้ยงท่านเป็นเจ้าอาวาสมา ๕๐-๖๐ ปี ไม่ใช่บวชมา ๕๐-๖๐ ปีนะ แต่เป็นเจ้าอาวาสมา ๕๐-๖๐ ปี..!"

เถรี
10-03-2012, 21:01
ถาม : จิตวิญญาณกับวิญญาณขันธ์เป็นอันเดียวกันหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถามแล้วได้อะไร ? ถ้าช่วยให้การปฏิบัติเราก้าวหน้าก็ถามมา แต่ถ้าถามเพราะอยากรู้ก็ไม่ต้องถาม

ถาม : ก็มีส่วนให้ก้าวหน้าครับ คำว่าจิตวิญญาณกับวิญญาณขันธ์ เป็นอันหนึ่ง ?
ตอบ : คุณถามคำถามผิด จิตก็คือจิต วิญญาณก็คือวิญญาณ จิตในความหมายของคุณก็คือที่เขาเรียกว่าผี แล้วดันไปเรียกว่าวิญญาณ แต่วิญญาณของบาลีก็คือตัวประสาทรับรู้ของร่างกายเรา

เพราะฉะนั้น..ถ้าแยกระหว่างจิตกับวิญญาณก็เป็นคนละอย่างกัน จิตคือตัวรู้ วิญญาณก็คือประสาทรับความรู้สึก เพราะฉะนั้น..วิญญาณขันธ์ของคุณ ถ้าตามหมอสมัยใหม่ก็เป็นเส้นประสาท

ถาม : แล้วที่เขาบอกว่าจิตกับวิญญาณต้องอาศัยกันอยู่จริงไหมครับ ?
ตอบ : จิตอาศัยร่างกายนี้อยู่ ถ้าไม่มีวิญญาณรับรู้จิตก็ทำงานไม่ได้

ถาม : คนที่ตายไปแล้วที่อยู่ในภพภูมิอื่น ถือว่ามีจิตวิญญาณไหมครับ ?
ตอบ : นั่นคือจิต แต่ส่วนใหญ่ภาษาชาวบ้านจะเรียกว่าวิญญาณหรือเรียกว่าผี

ถาม : แล้ววิญญาณในขันธ์ ๕ ที่แปลว่าตัวรู้ นี่คนละอันกัน ?
ตอบ : วิญญาณคือประสาทรับความรู้สึก ถ้าร่างกายนี้ตาย วิญญาณหรือประสาทรับรู้ก็ตายไปด้วย

ถาม : แล้ววิญญาณในขันธ์ ๕ ในพระไตรปิฎกคืออะไรครับ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าประสาทความรู้สึก

ถาม : ไม่ใช่แปลว่าตัวรู้หรือครับ ?
ตอบ : ตัวรู้คือจิต

เถรี
10-03-2012, 21:05
ถาม : แล้วกฎแห่งกรรมกับกฎสังสารวัฏ ใครเป็นผู้คุมกฎ ?
ตอบ : เราทำเอง เพราะฉะนั้น..จะเรียกว่าเราเป็นผู้คุมกฎก็ได้ เพราะถ้าเราไม่ทำก็ไม่ต้องรับกรรมนั้น ๆ ถ้าทำเมื่อไรก็ต้องรับ ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว

ถาม : แต่ละคนเป็นคนรับ ไม่มีใครมาคุม ?
ตอบ : การกระทำของเรา ที่บาลีเขาเรียกว่ากรรมหรือกัมมะนั่นแหละคือตัวควบคุม เขาถึงได้เรียกว่ากฎแห่งกรรม ก็คือ ทำดีคุณได้ดี ทำชั่วคุณได้ชั่ว เพียงแต่ว่าเร็วช้าอยู่ที่ลักษณะการกระทำของเรา

ถาม : เสมอทุกคนหรือครับ ?
ตอบ : ทุกคนไม่มีเว้น จนกว่าจะเข้าถึงความบริสุทธิ์ที่หลุดพ้นกรรมไปแล้ว สิ่งที่ท่านกระทำเป็นเพียงจริยาเท่านั้น ไม่เป็นกรรมเพราะว่าจิตไม่ได้ปรุงแต่งไปด้วยรัก โลภ โกรธ หลง

เรื่องพวกนี้เกินความรู้คุณไปมาก พูดไปก็ไร้ประโยชน์ แล้วที่ถามมาอาตมาไม่เห็นประโยชน์เลย สักแต่ว่ารู้ให้หายคันแล้วก็เอาไปนั่งเถียงกับคนอื่นเขาต่อ บางทีก็ไปยืนยันกับเขาว่าอาตมาว่าอย่างนั้น ถ้าคนที่เขาจะเถียงเสียอย่างก็เลยพลอยด่าอาตมาไปด้วย

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "อย่ากล่าววาจาอันเป็นเหตุให้เถียงกัน เพราะการเถียงกันทำให้ต้องพูดมาก บุคคลที่พูดมากจิตย่อมฟุ้งซ่าน บุคคลที่ฟุ้งซ่านย่อมไม่สามารถเข้าถึงสมาธิ" ผู้ที่ไม่เข้าถึงสมาธิปัญญาไม่เกิด ในเมื่อปัญญาไม่เกิดการหลุดพ้นก็ไม่มี

เถรี
10-03-2012, 21:22
ถาม : สุขาวดีกับพุทธเกษตร เป็นอันเดียวกับนิพพานหรือไม่ครับ ?
ตอบ : นั่นเป็นเรื่องของมหายานเขา อย่าเอามาปนกัน อย่าลืมว่าของเรานับถือพุทธศาสนาสายเถรวาท

ถาม : ตามความเชื่อของมหายาน ถ้าทำจริง ๆ แล้วมีจริงหรือไม่ครับ ?
ตอบ : มี

ถาม : ถ้ามีแล้วอยู่ในเขตภพภูมิไหน ?
ตอบ : อยู่สวรรค์ชั้นดุสิต แล้วไม่ต้องไปยืนยันกับคนอื่นเขา เขาจะหาว่าคุณบ้า สุขาวดีหรือพุทธเกษตรเป็นแดนของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์จะอยู่ประจำที่ชั้นดุสิตเป็นปกติ

พระพุทธเจ้าไม่ใช่ว่าไม่รู้เรื่องทั้งหลายนี้ พระองค์ท่านรู้เสียยิ่งกว่ารู้ แต่ว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนในธรรมที่ไม่เนิ่นช้า ท่านหมายเอามรรคผลนิพพานเป็นที่ตั้ง การที่ปฏิบัติตามปฏิปทาของพระโพธิสัตว์ ต้องเวียนตายเวียนเกิดอีกนับชาติไม่ได้ พระองค์ท่านก็เลยไม่สอน แต่ว่าครูบาอาจารย์รุ่นหลังท่านไปพบเข้าแล้วเกิดชอบใจ เอามาสอนก็เลยกลายเป็นพุทธศาสนาสายมหายานขึ้นมาเท่านั้นเอง

ถาม : ที่ว่าอรูปพรหมสื่อไม่ได้หรือสื่อไม่ถึง เป็นจริงไหมครับ ?
ตอบ : ลองไปสื่อดู ท่านไม่มีอายตนะรับรู้ มีแต่จิตเฉย ๆ ก็เลยรับอะไรไม่ได้ จนกว่าจะหมดบุญหมดกรรมแล้วมามีขันธ์ ๕ ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นขันธ์ทิพย์หรือขันธ์หยาบก็ตาม ต้องประกอบไปด้วยอายตนะถึงจะรับรู้ต่อไปได้

เถรี
11-03-2012, 08:40
พระอาจารย์กล่าวถึงการสาธยายพระไตรปิฎกว่า "ช่วงที่อาตมาไปฝึกอบรมนักเทศน์ เขาบอกว่าการประกาศศักราชไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ แต่ถ้าใครมีได้ก็จะดี ยังดีที่ยุคหลังนี้การประกาศศักราชเพียงแต่บอกว่าผ่านไปแล้วเท่าไร ถ้าเป็นสมัยก่อนนี่นอกจากบอกว่าผ่านไปแล้วเท่าไร ยังบอกอีกว่าเหลืออีกกี่วัน กี่เดือน กี่ปี

ความจริงเป็นการเตือนสติให้คนรู้ว่า ระยะเวลาของพระพุทธศาสนาสั้นลงไปเรื่อย ๆ แล้ว ถ้าเราไม่เร่งทำความดีไว้ อาจจะไม่ทัน เนื่องจากว่าการประกาศศักราชนั้นเขาประกาศเป็นบาลี ก็มีการเปลี่ยนปี เปลี่ยนเดือน เปลี่ยนวัน อยู่บ่อย ๆ พวกขี้เกียจจำหรือขาดความคล่องตัวก็เลยเบื่อที่จะประกาศศักราช เพราะกลายเป็นของยาก

ปกติแล้วช่วงเช้าวันเสาร์-อาทิตย์ ที่บ้านวิริยบารมีคนจะมาน้อย ก็เลยพอที่จะหลบไปช่วยท่านอาจารย์พระมหาณรงค์ศักดิ์ประกาศศักราช แล้วค่อยกลับมารับสังฆทาน อย่างน้อย ๆ เวลาที่พวกเราไปกันเห็นคนเป็นกลุ่มเป็นก้อน ยังพอดูแล้วชื่นใจหน่อย ว่าคนที่สนใจทำความดียังพอมีอยู่ ไม่ใช่กลายเป็นส่วนน้อย แปลกแยกจากสังคม ทำแล้วบ้า..!

ใครที่ทำตัวมีสติ ในสายตาของคนไร้สติเขาจะว่าบ้าทุกคน ให้ทนไปก่อน เดี๋ยวต่างคนต่างตายไปก็รู้เองว่าใครเป็นใคร

แบบเดียวกับคุณยายเมื่อเช้านี้ บอกว่าเจอผีอิสลามอุ้มลูกมาอยู่หน้าบ้าน ผีเรียกให้ออกไป คุณยายก็ออกไปดูหน้า แล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะกลัวว่าอุทิศส่วนกุศลไปแล้วผีจะไม่รับ โธ่..ผีอุตส่าห์มา อาตมาบอกคุณยายว่าผีเวลาตายเขาฉลาดทุกตัว ไม่เหมือนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่โง่บรรลัยเลย เพราะไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว พอตายแล้วรู้ทุกตัว รู้ว่าอะไรดีมีที่ไหนก็พยายามที่จะไปหา"

เถรี
11-03-2012, 08:43
"ท่านอาจารย์พระมหาณรงค์ศักดิ์ ท่านมีประสบการณ์ตายแล้วฟื้น โดนไฟช็อตตาย พอฟื้นขึ้นมาท่านก็ตั้งหน้าตั้งตาจัดงานสาธยายพระไตรปิฎก จัดเป็นการกุศลจริง ๆ ใครจะทำบุญกับท่านอย่าถาม เอาเงินไปส่งให้ท่านเลยก็จบแค่นั้น เพราะถ้าถามท่านจะบอกว่าไม่รับ

ท่านจัดสาธยายพระไตรปิฎกมาหลายปีแล้ว เข้าเนื้อท่านอยู่บ่อย ๆ แต่ก็จัดไปเรื่อย เงินเดือนผู้ช่วยศาสตราจารย์ด็อกเตอร์ น่าจะอยู่ ๓๐,๐๐๐ บาทเศษ ๆ แต่เกลี้ยงไม่เหลือหรอก ถึงเวลาท่านเช่าเต็นท์จัดงานที ๗ วัน ค่าเต็นท์เต็นท์ใหญ่ ๆ เขาคิดวันละ ๒,๕๐๐ - ๓,๐๐๐ บาท ๗ วันก็ตกสองหมื่นบาทแล้ว ไหนจะค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีก"

เถรี
11-03-2012, 09:39
พระอาจารย์กล่าวถึงวงการพระเครื่องว่า "มีพวกเซียนพระบางคนเล่นเฉพาะพระเนื้อทองคำ เขายืนยันว่าอย่างไรเขาก็มีกำไร มีอยู่รายหนึ่งได้พระเป็นมรดกจากพ่อ ๓๐๐ กว่าองค์ อยากจะได้เงินไปลงทุนทำธุรกิจ ก็เลยเอาพระไปให้เซียนเขาดู ปรากฏว่าปลอมทุกองค์ แต่พอแกะกรอบไปขายแล้วได้มาเกือบ ๓ ล้านบาท เพราะพ่อเลี่ยมทองไว้ทุกองค์เลย แสดงว่าพ่อรักพระจริง พระ ๓๐๐ กว่าองค์เลี่ยมทองนี่ปาไปเท่าไรแล้ว ตีเสียอย่างน้อยทอง ๑๕๐ บาทแล้ว สรุปว่าพระปลอมแต่ทองแท้ ได้เงินไปลงทุนจนได้

จะว่าไปแล้วคำว่าปลอมหรือไม่ปลอมอยู่ที่ตัวเราเอง ถ้ากำลังใจเราเห็นเป็นรูปพระพุทธเจ้า มีความเคารพเป็นปกติ ต่อให้ปลอมแค่ไหนก็เป็นของจริง แต่ถ้าหากว่าไม่มีความเคารพพระ คิดอยู่แต่เรื่องของการค้าขายเอากำไรอย่างเดียว จริงแค่ไหนก็เหมือนกับปลอม เพราะว่าไม่ได้ประโยชน์จากพระเลยนอกจากขายเอาเงินมาใช้

วงการพระเครื่องเป็นวงการของเสือสิงห์กระทิงแรด หาคนที่ซื่อสัตย์จริงใจยากมาก ใครที่มีของต่อให้แท้แค่ไหน เข้าไปถ้าเจอพวกขี้โกงก็กลายเป็นของปลอม เขาจะมีพวกเขาอยู่ ๘ - ๑๐ คน พอเขาบอกว่าปลอม ส่งต่อไป ทำท่าไม่สนใจ รายที่ ๒ ก็บอกปลอม รายที่ ๓ ก็บอกปลอม รายที่ ๔ ก็บอกปลอม พอเจ้าของหมดกำลังใจ เก็บพระลงกระเป๋าทำท่าจะกลับ “พี่ ๆ ปลอมได้เจ๋งมากเลย ขอซื้อไว้ดูเป็นตัวอย่างหน่อยเถอะ พี่จะเอาเท่าไร ?”

ต้องขายให้เขาถูก ๆ เขาจะเอาเป็น "องค์ครู" ว่าอย่างนั้น ใช้คำว่าซื้อความรู้ แต่ถ้าขายเมื่อไรเราเองจะกลายเป็นฝ่ายซื้อความรู้ ซื้อแพงด้วย เพราะมารู้ทีหลังว่าโดนหลอก"

เถรี
11-03-2012, 09:44
"มีพระบางรุ่นเขาตีว่าแท้ สร้างประวัติขึ้นมา พอคนฮือฮาก็ขายต่อในราคาสูง คนรับช่วงก็จุกไปตามระเบียบ หรือไม่ก็เที่ยวไปกว้านซื้อพระใหม่นี่แหละ สมมติว่าเป็นพระของวัดท่าขนุนก็แล้วกัน ไปถึงก็กว้านซื้อพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน รุ่น ๒ ไว้ พอถึงเวลากว้านซื้อไปเยอะ ๆ เข้า คนเห็นว่าเซียนใหญ่กว้านซื้อต้องมีราคาแน่ ก็วิ่งไล่ซื้อเอาบ้างจนราคาสูงไปเรื่อย ๆ

พอสูงได้ระดับที่เขาต้องการ เขาก็ปล่อยที่ซื้อมา คนที่รับช่วงต่อไปก็จุกสนิท เพราะราคาสูงจนกระทั่งคนเขาไม่ตามกันแล้ว ก็เลยมีอนาคตแน่ ๆ เพียงแต่เป็นอนาคตลงดิ่งเหว วงการนี้เขี้ยวลากดิน ไม่จำเป็นอย่าเข้าไป หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่คบพวกนี้เลย

ประมาณปี ๒๕๑๘ อาจจะหลังจากปีนั้นหน่อยหนึ่งก็ได้ หลวงพ่อท่านสร้างพระปิดตา ตชด. เป็นปิดตาลักษณะเดียวกับพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านที่อาตมาทำองค์เล็กนั่นแหละ เพียงแต่ของท่านตัดมุมเป็นเหลี่ยม ไม่ได้ทำมุมมนแบบพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน ท่านสั่ง ๓๐,๐๐๐ องค์ ปรากฏว่าเขาทำเกินเก็บไว้ถึง ๒๐,๐๐๐ องค์ พอเอาพระไปส่ง หลวงพ่อท่านสั่งเก็บเลย ท่านบอกว่าทางโรงงานผลิตเกิน จะว่าปลอมก็ไม่ได้เพราะเนื้อก็ใช่ พิมพ์ก็ใช่

ตอนนั้นหนังสือลานโพธิ์เขาไปลงว่า “ฤๅษีลิงดำรู้ด้วยญาณ โรงงานโกง สร้างพระเกินจำนวนที่สั่งไว้ ระงับการพุทธาภิเษก” หลังจากนั้นหลายปี พอเรื่องซาลงแล้ว ไม่มีใครใส่ใจแล้ว หลวงพ่อท่านค่อยเอาออกมาแจก ไม่อย่างนั้นทันทีที่ออกท้องตลาด เขาก็จะวางขายตามไปเลย

แบบเดียวกับพระขรรค์โสฬสวัดท่าขนุน ขนาดทำสัญญารัดกุมมากเลยว่าห้ามทำซ้ำ เขาก็ยังทำหน้าตาเฉย เพียงแต่เขาลดขนาดลง เขาทำเล็กกว่าของทางวัดหน่อยหนึ่ง เพียงแต่ชื่อเดียวกัน วัดเดียวกัน โรงงานเดียวกันอีกต่างหาก แล้วที่แสบกว่านั้นคือมีการถวายวัดมาอีก ๒๐๐ เล่ม เขาจะดูว่าวัดปล่อยออกมาราคาเท่าไร เขาจะได้ใช้ราคานั้นเป็นหลัก

อาตมาก็เลยให้โยมไปถามว่าที่โรงงานเขาออกราคาเท่าไร เขาบอกว่าโรงงานออก ๑๙๙ บาท จึงให้ทางวัดออก ๒๐๐ บาท ให้กำไรเขา ๑ บาท ในเมื่อเขาให้มา เราก็เลยช่วยเขาหน่อย ช่วยให้เขาได้กำไรไป ๑ บาท หลังจากนั้นมาอาตมากับโรงงานนี้ก็เลิกคบกัน ความดีเขาเยอะเกินไป ถ้าคบต่อไปเดี๋ยวจะดีตามไปด้วย..!"

เถรี
11-03-2012, 10:08
พระอาจารย์กล่าวถึงงานพุทธาภิเษกที่วัดเขาวงว่า "พออาตมาไปถึง หลวงตาวัชรชัยก็ส่งไมค์ให้ “เอ้า..เล็ก..ช่วยเชียร์น้ำมนต์ให้หน่อย” ทำอย่างกับอาตมาเป็นเด็กเชียร์เบียร์ไปได้ (หัวเราะ)

โอกาสที่พี่น้องจะไปรวมกันแบบนั้นจะยากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะแต่ละคนมีภารกิจ ยกเว้นว่าจะกำหนดล่วงหน้าเป็นงานประเพณีเฉพาะไปเลย ถ้าอย่างนั้นจะกำหนดวันล่วงหน้าได้ อย่างงานวันแม่ ๑๒ สิงหาคมของวัดท่าขนุน พี่ ๆ เขามักจะไปกันไม่ได้ เพราะวัดที่เป็นสำนักปฏิบัติธรรมต้องจัดงานกันทั้งนั้น อย่างวัดท่าซุง วัดเขาวง วัดศาลพันท้ายฯ ถึงเวลาก็ต้องจัดงานของตัวเอง ไปงานวัดท่าขนุนไม่ได้

พี่ ๆ แต่ละคนนี่เหลือเกินจริง ๆ เวลาพุทธาภิเษกก็นั่งรออาตมาเลย ปล่อยให้อาจารย์เล็กนำไปเถอะ ส่วนตนเองนั่งเชียร์ พอเสร็จพิธีเรียบร้อยเมื่อไร ก็รอดตายไปที

เคยได้ยินภาษิตจีนไหม ที่บอกว่า "เมื่อขึ้นมาจากน้ำไยต้องกลัวเปียกฝน" หรือไม่ก็ "คนอยู่ในยุทธจักรไม่เป็นตัวของตัวเอง" งานอย่างนี้ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องมาถึง ในเมื่อไม่ช้าก็เร็วก็ต้องมาถึง ก็โดดใส่งานเสียแต่แรกก็หมดเรื่อง จะเสียเวลาไปหลบไปหนีทำไม ประเภทหนีจนแทบล้มประดาตายแล้วในที่สุดก็เสร็จจนได้นี่เสียชื่อ วิ่งใส่เสียแต่แรกให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยว่าใครจะอยู่ใครจะไป

บางท่านก็กลัวว่ามางานอย่างนี้แล้วต่อไปจะเสียความเป็นส่วนตัว เพราะคนจะรู้จักเยอะ นั่นไม่ใช่..ความเป็นส่วนตัวขึ้นอยู่กับเรา ถ้าความโหดเพียงพอก็จะไม่เสียความเป็นส่วนตัว ใครโผล่มาผิดจังหวะก็งับหัวให้ เดี๋ยวเขาก็ถอยไปเอง

ในเมื่อมาเป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะเป็นส่วนหนึ่งของลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง ก็เท่ากับเป็นบุคคลในยุทธจักร ต่อให้คุณต้องการความสงบขนาดไหน อย่างไรก็หาความเป็นตัวของตัวเองยาก ในฐานะที่เกิดมาจากวัดท่าซุงก็เหมือนกับอยู่ในน้ำแล้ว ในเมื่อขึ้นมาจากน้ำเปียกโชกไปทั้งตัวแล้วจะไปกลัวฝนทำไม ? ว่าแล้วก็เดินลุยไปเลย เพราะฉะนั้น..ภาษิตจีนนี่มีความหมายลึกซึ้งนะ ขึ้นมาจากน้ำแล้วไยต้องไปกลัวเปียกฝน"

เถรี
11-03-2012, 10:18
ถาม : ลูกแก้วจักรพรรดิในงาน เป็นของหลวงพ่อฤๅษีฯ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..ความจริงอาตมาจะหยิบมาแล้ว เพราะว่าตอนหลวงพ่อมรณภาพ ย่ามของหลวงพ่ออยู่กับอาตมา แล้วอาตมาเองเป็นคนเอาไปถวายหลวงพี่อนันต์ท่านเอง ถ้าจะอมไว้เองตอนนั้นก็ไม่มีใครกล้าว่า เพราะตอนนั้นอาตมาเป็นมาเฟียคุมวัดอยู่..!

ถ้าหากว่าเอามาก็คงจะเหนื่อยรากเลือดอีก ความจริงแก้วทั้ง ๒ ดวงนั้น ถ้าหากว่าดูในแสงปกติจะทึบ ต้องส่องไฟใส่ถึงจะใส เพราะฉะนั้น..ถ้าหากอยู่ ๆ เห็นใครเขาถ่ายรูปดวงแก้วทึบ ๆ มา แล้วเราก็ไปบอกไม่ใช่ มีหวังเถียงกันตายเลย เพราะถ้าไม่ส่องไฟใส่จะสีทึบ

ถาม : ทำไมไม่เอามาละครับ ?
ตอบ : อาตมายังอยากมีชีวิตอยู่อีกพักหนึ่งว่ะ..ถ้าเอามาก็ตายเร็ว เท่ากับแบกงานไว้ทั้งหมด ตอนนี้งานของอาตมาก็เท่ากับเสี้ยวเดียว แหม..รื่นเริงมาก

ถาม : แล้วมีดูดมาบ้างไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้ดูดเฉย ๆ เผื่อหมดทุกคนเลย แบ่งกัน..พวกเอ็งรวยข้าก็สบายไปด้วย แต่ที่ทำพิธีพุทธาภิเษกช้าเพราะว่าการเสกแก้วให้มีอานุภาพเหมือนพระเป็นเรื่องยากจริง ๆ ขนาดบารมีพระท่านสงเคราะห์ และมีแก้วจักรพรรดิอยู่ด้วยยังยาก ไม่อย่างนั้นมีหวังปาเข้าไปอย่างน้อย ๒ - ๓ ชั่วโมง

ถาม : ทำไมท่านไม่ทำเพชรจักรพรรดิบ้างละครับ แบบเพชรเบลเยียม ?
ตอบ : เดี๋ยวรอคุณก้านบัวว่าง ๆ ก่อน จะเล่นเพชรเดอเบียร์เลยก็ไม่ว่า เท่าไรก็ไม่ว่าถ้าคนอื่นลงทุน..!

ลูกศิษย์สายวัดท่าซุงเขาหมั้นกันด้วยแหวนจักรพรรดิมาเยอะแล้วนะ เล่นเอาสาว ๆ บ่นอุบเลย บอกว่าแหวนจักรพรรดิไม่เป็นสากล ยอมรับกันเฉพาะหมู่พวกเราเท่านั้น แต่สาวจะปฏิเสธก็ไม่ได้ ถ้าปฏิเสธก็หาว่าเพชรของหลวงพ่อไม่ดีสิ แล้วถ้าหนุ่มเอาไปหมั้นคนอื่นแทน ตัวเองก็จะเดือดร้อนอีก ท้ายสุดก็กัดฟันรับ ๆ เอาไว้

หมายเหตุ : ข้อความนี้ไม่อนุญาตให้นำออกจากเว็บวัดท่าขนุนค่ะ

เถรี
11-03-2012, 16:18
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีงานทำบุญบ้านวิริยบารมีวันที่ ๒๙ มีนาคมนี้นะจ๊ะ สวดมนต์ ฉันเพล น่าจะเริ่มงานสัก ๑๐ โมง ถ้าใครว่างก็แวะมาช่วยกันเลี้ยงพระหน่อย ปีที่แล้วทำบุญเปิดบ้านวันที่ ๓๑ มีนาคม ปีนี้วันที่ ๓๑ อาตมาติดงาน จึงต้องเลื่อนมาวันที่ ๒๙ แทน"

เถรี
12-03-2012, 10:50
พระอาจารย์กล่าวว่า "เกี่ยวกับบรรดาคำทำนายต่าง ๆ พวกเราอย่าเพิ่งไปแตกตื่นตามนั้น เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราทรงรู้ดีที่สุด ถ้าพระองค์ท่านขยับเรื่องใดแล้วเราค่อยขยับตาม อย่างพระองค์ท่านให้ทำทางด่วนระบายน้ำมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๘ แต่ไม่มีใครทำ พอน้ำท่วมแล้วค่อยนึกขึ้นมาได้ว่าในหลวงมีรับสั่งไว้นานแล้ว

ขอให้พยายามช่วยกันประคับประคองในหลวงของเราอยู่ให้นานที่สุด เพราะว่าบุคคลที่เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ซึ่งผีและเทวดาเกรงใจ ตอนนี้มีอยู่ไม่มากแล้ว ถ้าสิ้นพระองค์ท่านไปแล้วเขาเลิกเกรงใจ พวกเราอาจจะเดือดร้อนหนักกว่านี้"

เถรี
12-03-2012, 10:59
ถาม : ช่วงนี้มีผู้ชายไม่แท้อยู่เยอะ จะทำอย่างไรครับให้เขาเปลี่ยนเป็นผู้ชายแท้ครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปเปลี่ยน อย่าไปทะลึ่งอุตริ..! จำไว้ว่าอะไรที่มีมากจะเป็นปกติ ต่อไปพวกคุณแหละที่จะผิดปกติ เพราะพวกเขามีเยอะขึ้นเรื่อย ๆ

ช่วงนี้เป็นช่วงที่พวกเขามาสร้างบารมีกัน จึงมีมากขึ้น ๆ พอถึงอุปบารมีขั้นปลายก็จะกลายเป็นผู้ชายแท้ ๆ ไปเอง อุปบารมีขั้นกลางยังเป็นกึ่งหญิงกึ่งชายอยู่ พวกผู้หญิงใกล้จะเป็นผู้ชาย จะเอานิสัยห้าวมาใช้ เราก็ไปเรียกเขาว่าทอม พวกที่ข้ามมาเป็นผู้ชายแล้วยังติดจริตนิสัยผู้หญิง ก็ไปเรียกเขาว่าตุ๊ด ความจริงแล้วเป็นเรื่องปกติ พวกคุณก็เคยเป็นแบบนี้มาก่อน

เถรี
12-03-2012, 11:45
ถาม : บางครั้งเวลาที่เราไปกราบหลวงปู่หลวงพ่อ แล้วเราอาจจะให้ท่านสงเคราะห์เจิมนั่นเจิมนี่ ถือว่าเราไปใช้ท่านหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ใช่..พูดง่าย ๆ ว่าเวลาไปหาพระ เอ่ยปากให้ท่านทำอะไรก็คือใช้ท่านนั่นแหละ

ถาม : มีโทษถือว่าเป็นการปรามาสหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไปพิจารณาเอาเองแล้วกัน ถ้าอาตมาบอกเดี๋ยวจะเป็นลมไปก่อน ประเภทใช้ให้ท่านทำมาจนนับไม่ถ้วนแล้ว ดันมากลัวเอาตอนนี้

เถรี
12-03-2012, 11:58
ถาม : พระปิดตาจัมโบ้หมดแล้วหรือครับ ?
ตอบ : ยังไม่หมด แต่ไม่มีให้ตอนนี้ อาตมาแจกเฉพาะในงานเป่ายันต์เกราะเพชรเท่านั้น อยากได้ก็ไปงานเป่ายันต์ฯ ไม่ใช่ไปงานแล้วจะได้ทุกคนนะ ต้องอยู่แถวหน้า ๆ ด้วย

ถาม : ราคาแพงไหมครับ ?
ตอบ : ไม่แพงหรอก ออกจากวัดแค่ ๕๐๐ บาท แต่เขาไปประมูลกันในเว็บ จนตอนนี้ราคายืนพื้นอยู่ที่ ๒๐,๐๐๐ บาท

ถาม : คราวหน้าผมไปบูชามาสักลังหนึ่งเลยได้ไหมครับ ?
ตอบ : พระอาจารย์ไม่ว่าหรอก ขึ้นอยู่กับว่าคนข้างหลังเขาจะถีบคุณออกจากแถวไหม..!

ตอนนี้เหลือพระปิดตาสีเหลือง สีแดง สีเขียวอยู่ รุ่นนี้ที่ทำไม่มากเพราะว่าตะกรุดบังคับอยู่ คุณเขียนตะกรุดไหวไหมเล่า ? อักขระแค่ ๙ ตัวก็จริง แต่อาตมาเขียนจนมือหงิก พระ ๔,๐๐๐ องค์ ก็เขียนตะกรุดไป ๑๒,๐๐๐ ดอกแล้ว เพราะฉะนั้น..จึงเป็นบทเรียนว่าครั้งต่อไปทำพระอย่าฝังตะกรุด เพราะจะได้พระจำนวนน้อย แต่อะไรที่น้อย ๆ คนก็แย่งกันดี พวกตัดสินใจช้าก็ปล่อยไป บางคนบอกว่าสร้างน้อย ลองให้มาเขียนตะกรุดเองสัก ๑๐๐ ดอกก็ตายแล้ว

ถ้าใครต้องการพระปิดตารุ่นนี้ก็ต้องไปงานเป่ายันต์ฯ อย่างเดียว แล้วต้องรีบไปด้วย เพราะถ้าช้าเดี๋ยวเจอคนยกลังไปหมด

ถาม : รีบไปก็ต้องรอหลังพุทธาภิเษก
ตอบ : ครั้งหน้าไม่ต้องรอพุทธาภิเษก เพราะว่าเอาเข้าพิธีไปตั้งแต่ครั้งที่แล้ว

ถาม : อย่างนี้ก็หมดเร็วมากสิ
ตอบ : จะเร็วจะช้าก็ช่าง หมดแล้วก็จะได้หมดภาระ แล้วก็รองานต่อไป งานละสีก็พอ แต่ถ้าใครบูชาแล้วดันไปถูกหวย ๓๐ ใบอีกก็บรรลัยเลย คนที่ซื้อหวยทีหนึ่ง ๓๐ ใบนี่ต้องบ้าพอ ถ้าไม่บ้าพอซื้อไม่ได้หรอก แล้วเขาก็ดันถูกเสียอีก

ถาม : ต้องกำลังใจขนาดนั้นด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จะบ้าขนาดไหนถ้าไม่มีพื้นฐานทานบารมีก็ไม่ได้หรอก ลาภผลจะไปออกทางงานแทน แล้วก็เหนื่อยลิ้นห้อย

เถรี
12-03-2012, 12:25
ถาม : ปางมือในนิยายจีน เป็นท่ามือ..?
ตอบ : นั่นท่ามือ เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดสมาธิในลักษณะของอิริยาบถ เป็นอิริยาบถและสัมปชัญญะในมหาสติปัฏฐานสูตร พอเคลื่อนไหวเกิดสมาธิขึ้นมาก็จะกลายเป็นพลังจิต บวกกับคาถาก็คือคำภาวนา ถ้าใช้ออกถูกจังหวะก็จะเกิดผล บางทีเหมือนกับว่าใช้ความเคลื่อนไหวดึงดูดความสนใจ พออีกฝ่ายเผลอสติก็เรียบร้อย

ถาม : ทำได้จริง ๆ ?
ตอบ : ทำได้..เป็นการผสานพลังจิตเข้าไป มวยไทยก็ยังมี ถ้าหากว่าฝึกมวยไทยจนอยู่ตัวแล้วก็อยู่ในลักษณะม้าย่อง ทุกอิริยาบถสามารถจะพลิกเหลี่ยมพลิกมุม รุกรับคู่ต่อสู้ได้หมด แล้วก็มีเสือย่าง อันนี้ผสานพลังจิตเข้าไป ถ้าคู่ต่อสู้มืออ่อนกว่า แค่เห็นก็ไม่มีกำลังใจจะสู้ด้วย ถ้าถึงระดับสีหยาตรก็คือเดินแบบราชสีห์นี่หมดเลย คู่ต่อสู้ไม่เอาด้วยแล้ว เห็นก็มืออ่อนตีนอ่อนแล้ว เพราะพลังจิตข่มกันอยู่

จะเห็นว่ารุ่นหลัง ๆ ในปัจจุบันเรียนมวยไม่แตก เอาแต่กำลังเข้าปะทะกัน ในเมื่อเอาแต่กำลังเข้าปะทะ ไม่ได้ฝึกจิตเข้าไปช่วย พออายุมากแล้วไม่มีพลังจิตเข้าไปเสริม ก็ไม่สามารถขึ้นเวทีได้ เราลองนึกอย่างสมัยก่อน สุข ปราสาทหินพิมาย หรือ ผล พระประแดง อายุ ๔๐-๕๐ ปี ยังขึ้นชกมวยเป็นปกติ เพราะว่ายิ่งชกจะยิ่งเก่ง สมาธิยิ่งดีขึ้นเรื่อย

ถาม : การเอากำลังสมาธิ...?
ตอบ : จริง ๆ แล้วทั้งหมดเป้าหมายก็คือชนะคู่ต่อสู้ การที่เราจะใช้พลังจิตของเราเพื่อชนะกิเลส นั่นเท่ากับว่าเราต้องฝึกฝนมาอย่างเพียงพอ มีความคล่องตัว แหลมคม ว่องไว รู้เท่าทัน ระมัดระวังป้องกันไม่ให้กิเลสทำอันตรายเราได้ ถ้าอย่างนี้ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับแค่ใช้ได้เท่านั้น เพราะว่าแค่ฝีมือทันกัน แต่คู่ต่อสู้ยังอยู่เต็ม ๆ ร้อยเลย

ทำอย่างไรที่จะให้คู่ต่อสู้ออกอาวุธได้น้อยที่สุด ลักษณะนั้นเราก็ต้องมีสติรู้เท่าทัน ไม่ไปสร้างเหตุทำให้กิเลสกำเริบ แล้วท้ายที่สุดจะทำอย่างไรจะกำจัดคู่ต่อสู้ไปได้เลย ก็คือการที่เราชำระจิตผ่องใสจนกิเลสไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าในสนามต่อสู้ทางโลกหรือทางธรรมก็เหมือนกัน

เถรี
12-03-2012, 12:31
http://malai.tarad.com/shop/m/malai/img-lib/spd_20091025142016_b.jpg


พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้านิยายจีนกำลังภายในรุ่นเก่าที่เป็นพวกฤทธิ์อภิญญา จะมีเรื่องนักบู๊กู่ก้องฟ้า ลองไปหาอ่านดู ประเภทถูกขังอยู่ใต้ดินหลายร้อยปี พอแกะแผ่นยันต์ออกก็ทะลวงขึ้นมา ถล่มยุทธจักรทลายไปอีกแล้ว"

เถรี
12-03-2012, 18:40
พระอาจารย์เล่าว่า "เผอิญเทอมนี้อาตมาสอนกฎหมายเกี่ยวกับพระสงฆ์อยู่ ได้ยกตัวอย่างกฎหมายฎีกาให้พระนิสิตเขาดู แล้วอธิบายให้ฟัง แต่ละคนนั่งอ้าปากหวอกันทั้งนั้น ทึ่งตรงที่ว่าผู้พิพากษาเขารอบคอบขนาดนี้เลยหรือ ? เพราะการตัดสินแต่ละอย่างต้องรอบคอบที่สุด

คำพิพากษาศาลฎีกา ตราบใดที่ยังไม่โดนพิพากษาทับ ตราบนั้นจะเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินคดีอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกันอย่างนี้ตลอดไป แล้วมีหลายคดีที่ต้องประชุมใหญ่ มีคดีหนึ่งเกี่ยวกับพระภิกษุวัดเขาวังร่วมประเวณีกับผู้หญิงบนกุฏิ มีคนแอบถ่ายรูปแล้วก็ไปแจ้งความ

คราวนี้การแจ้งความมีประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๐๖ ข้อหาเหยียดหยามพระศาสนา พูดง่าย ๆ ว่าไหน ๆ จะเอาเรื่องแล้วก็จัดการให้ครบ เล่นทุกคดีไปเลย แต่ผู้พิพากษาเขาพิจารณาแล้วว่า การเหยียดหยามต่อพระศาสนาก็คือการกระทำต่อบุคคล วัตถุ รูปเคารพ หรือสถานที่ที่มีคนกราบไหว้บูชาหรือยึดถือเป็นที่พึ่ง กุฏิพระไม่ใช่สถานที่อันควรเคารพเหมือนโบสถ์หรือมัสยิด ดังนั้น..จะกล่าวหาว่ากระทำการเหยียดหยามต่อศาสนาก็ไม่ถนัด สรุปว่าข้อหานี้ตกไป

อาตมาก็บอกว่าดวงเขายังดี ถ้าขยับขึ้นไปบนยอดเขาอีกนิดเดียวนี่ซวยเลย เพราะมีรอยพระพุทธบาทอยู่ ถ้าอย่างนั้นชัดเลยว่าเหยียดหยามพระพุทธศาสนา ศาลท่านตัดสินรอบคอบจริง ๆ ไม่ได้รอบคอบเฉย ๆ ชัดเจนอีกด้วย

อีกคดีหนึ่ง โยมขอให้เณรไปขอเทียนพรรษาจากพระมาให้ตัวเองนั่นแหละ แล้วเณรไม่ไป เขาก็เลยบอกว่า "ถ้ากูไม่เห็นแก่ผ้าเหลือง จะเตะให้ตกกุฏิเลย" ทายกได้ฟังแล้วทนไม่ได้ ไปแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาทซึ่งหน้า ฝ่ายนั้นสู้ความบอกว่าตัวเองเดินลงจากกุฏิไป ๑๐ วาแล้วถึงพูด จะว่าหมิ่นประมาทซึ่งหน้าไม่ได้ ทนายเขาก็เก่งนะ

แต่ศาลเขาตัดสินว่า ในเมื่อสามเณรทั้งสองยังได้ยินเสียงที่เขากล่าวคำอาฆาตอย่างชัดเจนเช่นนั้น ยังถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทซึ่งหน้าอยู่ และสามเณรเป็นบุคคลที่ผู้อื่นให้ความเคารพมากกว่าคนปกติอยู่แล้ว จึงโดนข้อหาเหยียดหยามพระศาสนาด้วย เจอ ๒ เด้ง ทั้งจำทั้งปรับ ติดคุกด้วย เสียค่าปรับด้วย

ต้องบอกว่าคดีนี้อัยการช่วยซ้ำ เพิ่มให้อีก ๑ ข้อหา เขาฟ้องแค่หมิ่นประมาทซึ่งหน้าเฉย ๆ อัยการช่วยซ้ำให้อีกดอกหนึ่งว่าเหยียดหยามพระศาสนาด้วย เพราะกระทำต่อตัวบุคคล บอกแล้วว่ากระทำต่อตัวบุคคล วัตถุ สถานที่ รูปเคารพ จึงโดนไปเต็ม ๆ"

เถรี
12-03-2012, 18:44
"แต่ละคดีที่เขาตัดสินมาดูแล้วมีเหตุมีผลดีมาก อาจารย์ท่านอื่นเขาก็นั่งสงสัย บอกว่าผมสอนกฎหมายเขาหลับกันตลอด อาจารย์เล็กสอนอย่างไรไม่เห็นเขาหลับกันเลย

อาตมาก็บอกว่าอย่าดึงไปให้ไกลตัวสิ เราก็ดึงให้มาใกล้ตัว เอาเรื่องเกี่ยวกับวัด เกี่ยวกับพระ มีตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เยอะแยะไปหมด เอามาอธิบายให้ลูกศิษย์ฟังแล้วก็ถามเขาว่า ใครเคยเจอเหตุการณ์ลักษณะอย่างนี้ ๆ บ้าง แล้วถ้าหากว่าเขาฟ้องร้องอย่างนี้เราจะมีวิธีหลบหลีกแก้ไขอย่างไรก็ว่าไป

อาตมาสรุปตอนท้ายว่ากฎหมายเขาตัดสินตามข้อเท็จจริง คือทั้งเท็จและจริง เพียงแต่ว่าคุณเอาขึ้นมาสู้ความได้ไหม ถ้าคุณสามารถหาพยานหลักฐานมาสู้ความได้ ต่อให้เป็นความเท็จ ศาลก็ตัดสินว่าคุณชนะ เขาไม่ได้ตัดสินตามความเป็นจริง แต่เขาตัดสินตามข้อเท็จและจริง

มีคนบอกว่าในประเทศอเมริกา ขึ้นไปบนยอดตึกแล้วเอาหินขว้างลงมา ๑ ใน ๓ คนที่โดนจะเป็นทนาย ส่วนประเทศเกาหลี ถ้าหากขว้างลงมาโดน ๓ คน ถ้าไม่โดนคนแซ่ลีก็จะโดนคนแซ่คิม ถ้าไม่โดนคนแซ่คิมก็จะโดนคนแซ่ปัก (ปาร์ค) เพราะสามแซ่นี้มีเยอะกว่าเพื่อน"

เถรี
13-03-2012, 08:02
ถาม : หนูจะต้องตายหรือไม่ ?
ตอบ : อาตมาก็ตาย มีใครไม่ตายบ้างเล่า ? ถามมาได้ว่าหนูจะต้องตายไหม..!

ถาม : ถ้าคิดเรื่องนี้จะทำอย่างไร ?
ตอบ : ก็แค่เลิกคิด..!

ถาม : อะไรเป็นที่พึ่งได้บ้าง ?
ตอบ : อยู่กับพระ หัดสวดมนต์ภาวนานั่งสมาธิก็จบแล้ว

ถาม : โดนผีหลอกเวลาสวดมนต์ ?
ตอบ : แสดงว่าเขาเก่งกว่า เพราะฉะนั้น..เราต้องเก่งให้ได้มากกว่าเขา ไม่เห็นหลวงพ่อวัดท่าซุงหรือ ? ถึงเวลาท่านสวดคาถาไล่เขา เขาบอกว่ามึงสวดได้ครึ่งเดียว แล้วเขาก็สวดต่อให้อีกครึ่งหนึ่ง แค่เก่งกว่าเขาให้ได้ก็เท่านั้น

ถาม : จะขอพึ่งบารมีท่าน ?
ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลา ไปนั่งภาวนาเอา สมาธิทรงตัวเมื่อไรก็เก่งกว่าเขาเมื่อนั้นแหละ จะเอาน้ำมนต์ไปกินไปอาบ จะไปทำอะไรก็ไป แล้วก็หมั่นสวดมนต์ไหว้พระ ทำสมาธิภาวนาไว้บ้าง เขามาเพื่อที่จะตักเตือนให้เรารู้ว่าความดียังไม่พอ เพราะฉะนั้น..เร่งทำความดีเข้าไว้ หายากจะตายที่มีอาจารย์ดี ๆ แบบนั้น ขืนไปท่องคาถาไล่เขา เขาก็ท่องเพิ่มให้ ต่อไปบอกเขาว่ามีคาถารวย ๆ ไหม ? ขอคาถาเขาเลย

เอาน้ำมนต์ไปเติมสัก ๗ - ๘ โอ่งก็ได้ จะได้ใช้ไปเรื่อย ๆ พอเวลาผีมาถ้าไม่รู้จะไปที่ไหน ก็โดดลงไปแช่ในโอ่งเลย..!

เถรี
13-03-2012, 08:04
เรื่องของผีต่าง ๆ ที่มารบกวน ถ้าเราทำสมาธิทรงตัวแค่ปฐมฌานหยาบ เขาก็กวนไม่ได้แล้ว เพราะปฐมฌานหยาบมีกำลังเท่ากับพรหมชั้นที่ ๑ เหนือกว่าเทวดาไม่รู้ตั้งเท่าไร แล้วผีที่ไหนจะมากวนได้ ยกเว้นผีที่มีฤทธิ์มากกว่าพรหมชั้นที่ ๑ ขึ้นไปเท่านั้น

ถ้ากำลังใจทรงตัวแล้วยังกวนได้ ก็จุดธูปกราบงาม ๆ ไปเลย แสดงว่าท่านตั้งใจจะมาให้อะไรเราบางอย่างแล้ว ฉะนั้น..ถ้าใครทรงฌานทรงสมาบัติได้เกินปฐมฌานหยาบไปแล้วยังมีผีกวน ให้รู้ว่าเป็นผีปลอมทั้งนั้นแหละ

ถ้าเราไม่เคยสร้างกำลังใจมาจนเข้มแข็งขนาดนั้น เขาก็ไม่มาลอง ในเมื่อเขามาลองก็แปลว่า เราเป็นนักเรียนที่มีความดีพอที่จะได้ทำข้อสอบตรงนั้น ในเมื่อครูเมตตาออกข้อสอบมาแล้วก็ลุยไปเลย อาตมาโดนกวนมาเป็นปี ๆ โดนเสียจนไม่มีที่จะไป

ไม่ว่าจะทำอะไรผีเขาก็เก่งกว่า อาตมานั้นวิชาการต่อสู้ก็เรียนมาไม่น้อยหน้าใคร ปรากฏว่าเสียท่าผีทุกทีเลย เพราะเราแค่คิดเขาก็รู้แล้ว คิดจะชกซ้ายเขาก็กดแขนซ้ายไว้ คิดจะชกขวาเขาก็กดแขนขวาไว้ จะเตะซ้ายเขาก็จับขาซ้ายไว้ จะเตะขวาเขาก็จับขาขวาไว้ เลยทำอะไรเขาไม่ได้สักอย่าง นั่นแสดงว่าไม่ใช่ผีจริง

โดนกันอยู่เป็นปี ๆ โดนจนกระทั่งจากกลัวก็หายกลัวไปเอง เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องเสียเวลาไปกังวลหรอก ถ้าเขามากวนเราได้ ถือว่าเราต้องมีคุณค่าเพียงพอแก่การทดสอบของเขา สรุปว่าถ้าไม่บ้าพอผีจะไม่หลอก คนกลัวผีเขาไม่หลอก เพราะกลัวแล้วอาจจะเกิดเสียสติบ้า ๆ บอ ๆ ไปเลย โทษก็จะเกิดแก่เขา ประเภทกล้าจนบ้าไปเลยเขาก็ไม่หลอก เพราะกล้าไปเลยนี่จะสู้ทุกรูปแบบ แบบเดียวกับอาตมานี่ เขาชอบหลอกพวกครึ่งกลัวครึ่งกล้า หลอกแล้วสนุกดี

เถรี
13-03-2012, 09:45
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาเคยซื่อแบบโยมมาก่อน ตอนฝึกมโนมยิทธิครั้งแรกปี ๒๕๒๑ ไม่รู้ว่าต้องมีเครื่องบูชาครู พอไปถึงบ้านสายลมบรรดาป้า ๆ ท่านบอกว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวป้าจัดให้ มีดอกไม้ ๓ สี เทียน ๑ ธูป ๓ แต่เงินบูชาครูสลึงหนึ่งต้องออกเองนะลูก เพราะเป็นทานบารมีของเรา” ด้วยความพาซื่ออาตมาวิ่งไปจนถึงปากซอยกว่าจะแลกเหรียญสลึงได้ เขาไม่บอกว่าใส่เกินสลึงก็ได้ อาตมายังโง่มาแล้วเลย คนอื่นไม่แปลกหรอกที่จะโดนบ้าง

ด้วยความเป็นคนที่ค่อนข้างจะขี้สงสัย ตอนฝึกมโนมยิทธิก็เห็นชัดนั่นแหละ แต่ตอนเลิกอยากเห็นกลับไม่เห็น เพราะความโง่ของตัวเอง ไม่รู้ว่าต้องตั้งอารมณ์ให้เท่าตอนนั้น สงสัยว่าทำไมเมื่อครู่เห็น ตอนนี้กลับไม่เห็น ก็ไปฝึกอยู่นั่นแหละ ฝึกจนกระทั่งท้ายสุดครูฝึกเขาไล่ออกจากวงมา เพราะว่าไปทำให้เขาเสียหมด แค่ครูฝึกเขาเอ่ยปากคำแรก อาตมาก็รู้แล้วว่าทั้งประโยคท่านจะถามอะไรก็ชิงตอบก่อน คนอื่นเขาก็เลยใบ้รับประทานกันหมด

เป็นอย่างนั้นอยู่เป็นปี ๆ ซ้อมอยู่อย่างนั้น วันนั้นเดินหน้าเหี่ยวออกมาข้างนอก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเห็น ท่านก็หัวเราะ “ไอ้หนู คล่องตัวขนาดนั้นไปสอนเขาได้แล้วลูก” อาตมาไม่รู้จริง ๆ ขนาดท่านยืนยันว่าคล่องตัวขนาดนั้นแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมบางเวลาถึงเห็นไม่ได้ ตอนช่วงนั้นความเข้าใจเกี่ยวกับการวางอารมณ์ยังไม่เข้าใจจริง ๆ ไม่รู้ว่าต้องทรงอารมณ์ระดับไหนถึงจะเห็น คิดว่าในเมื่อฝึกได้แล้วก็ต้องเห็นตลอดไป ส่วนตอนนี้รำคาญมากเลย เพราะมาให้รู้ไปทุกเรื่อง รู้อย่างนี้ไม่เห็นดีกว่า

เพราะฉะนั้น..ไม่มีใครเก่งมาแต่ท้องพ่อท้องแม่หรอก อยู่ที่การฝึกทั้งนั้น ตอนนั้นอาตมาวิ่งหาครูฝึกตลอด ซ้อมแล้วซ้อมอีก กลับไปก็ไปซ้อมที่บ้าน ซ้อมที่บ้านเสร็จก็มาซ้อมกับครูอีก เพราะเป็นคนเอาจริงเอาจัง ทำแบบหัวไม่วางหางไม่เว้นก็ก้าวหน้าเร็ว เพราะไปสงสัยว่าจะใช่หรือ ทำไมไม่เห็นตลอดเวลา ? แสดงว่ายังไม่ดี ก็พยายามจะเอาให้ได้ มาตอนนี้รู้แล้วว่าไม่ใช่

ถ้าอยากเห็นตลอดเวลาเราต้องรักษาอารมณ์นั้นให้อยู่กับเราตลอดเวลา ตราบใดที่อารมณ์นั้นทรงตัวอยู่ ตราบนั้นเราจะเห็น ถ้าอารมณ์จิตคลายลงมาต่ำกว่า หรือขึ้นสูงเกินไปก็จะไม่เห็น"

เถรี
13-03-2012, 10:38
http://a1.sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash4/423942_336013099782711_190961370954552_1046160_467124028_n.jpg

เมื่อวันศุกร์ตอนต้นเดือน มีเด็กนักเรียนวัดใหม่ยายนุ้ย ตั้งแต่ ป.๑ ถึง ป.๖ มาฟังเทศน์ที่บ้านวิริยบารมี

"ความจริงแล้วศาสนาพุทธของเรามีการเข้าวัดกันทุกวันพระ ก็แปลว่าประมาณ ๗ วันเข้าวัดกันทีหนึ่ง น้อยมากเลยลูก ๗ วันเข้าวัดทีหนึ่งนี่น้อยมาก ศาสนาคริสต์มีการเข้าวัดกันทุกวันอาทิตย์ เขาเรียกวันสะบาโต ศาสนาอิสลามเข้าวัดกันทุกวันศุกร์ แต่ว่าคริสต์มีการสวดมนต์ก่อนกินข้าวทุกครั้ง ของเรามีไหมจ๊ะ ?... "ไม่มี" ศาสนาอิสลามมีการสวดมนต์วันละ ๕ ครั้ง เรามีไหมเอ่ย ?... "ไม่มี" เราก็เลยเก่งสู้เขาไม่ได้ ถ้าอยากจะเก่งสู้เขาได้ เราก็ต้องสวดมนต์ไหว้พระทุกวัน

หลวงตาดีใจมากเลยที่วันนี้เด็ก ๆ โรงเรียนวัดใหม่ยายนุ้ยมาที่นี่ แสดงว่าพวกเราต้องการเป็นคนดี และต้องการเป็นคนเก่งด้วย

คราวนี้การที่เราต้องการเป็นคนดีและเป็นคนเก่งด้วย เราต้องทำตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน พระพุทธเจ้าท่านบอกเป็นภาษาบาลีว่า อะธิสีละสิกขา สิกขิตัพพา อะธิจิตตะสิกขา สิกขิตัพพา อะธิปัญญาสิกขา สิกขิตัพพา ท่านบอกให้ศึกษาในศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าใครทำได้ก็จะเป็นคนเก่งทุกคน หลวงตาทำได้นิดเดียว หลวงตายังสอบได้ที่ ๑ ของประเทศไทยเลย เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าพวกเราเริ่มทำตั้งแต่อายุน้อย ๆ จะต้องได้มากกว่าหลวงตาแน่ ๆ นอกจากได้ที่ ๑ ของประเทศไทยแล้ว อาจจะสอบชิงทุนไปเรียนต่างประเทศได้ด้วย

คราวนี้ในส่วนของศีล สมาธิ ปัญญาที่พระพุทธเจ้าสอนมา พวกเรารู้ทุกคน แต่บางทียังไม่ชัดเจนว่าท่านสอนมาแล้ว เราต้องทำอย่างไร ? พวกเราบอกได้ไหมลูกว่าศีล ๕ ข้อมีอะไรบ้าง? ข้อที่ ๑ คือ..

(ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ)

แปลว่าอะไรจ๊ะ ? (ห้ามฆ่าสัตว์)

ถ้าแปลตรง ๆ ก็แปลว่าละเว้นจากการฆ่าสิ่งที่มีชีวิต ก็คือห้ามฆ่าสัตว์นั่นแหละจ้ะ ทำไมถึงห้ามละจ๊ะ ? ก็เพราะพระพุทธเจ้าท่านต้องการให้พวกเราเป็นคนมีจิตใจดีงาม ไม่โหดร้าย ไม่ทำร้ายคนอื่น ไม่รังแกคนอื่น

เราอยากให้เพื่อนรังแกเราไหมลูก ? (ไม่อยาก) อยากให้เขาตีด้วยไหมจ๊ะ ? (ไม่อยาก) แล้วอยากให้เขาฆ่าเราไหมจ๊ะ ? (ไม่อยาก)

ยิ่งไม่อยากใหญ่เลย..ใช่ไหม ? ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องไม่รังแกใคร ไม่ตีใคร ไม่ฆ่าใคร นี่เป็นเรื่องปกติเลยลูก เพราะศีลแปลว่าปกติ เราทำทุกอย่างตามปกติ จึงเรียกว่าคนมีศีล เราจะเกิดเป็นคนได้เราต้องมีศีล ไม่อย่างนั้นเราก็จะเกิดเป็นคนไม่ได้ เพราะว่าศีลภาษาบาลีเรียกว่ามนุสสธรรม

มนุสสธรรมก็คือธรรมที่ทำให้เราเกิดเป็นมนุษย์ได้ ถ้าเราไม่มีศีล ลดน้อยลงไปหน่อย เราก็เกิดเป็นสัตว์ แย่ไปกว่านั้นเราก็เกิดเป็นอสุรกาย ถ้าศีลบกพร่องหนักกว่านั้นก็เป็นเปรต ถ้าไม่มีศีลเลยก็เป็นสัตว์นรก ตายแน่ ๆ มีแต่ที่ลำบากทั้งนั้นเลย

เพราะฉะนั้น..ที่พระพุทธเจ้าท่านแนะนำให้ปฏิบัติในศีลข้อแรก ก็เพื่อไม่ให้เราเป็นคนโหดร้าย ไม่ให้เราทำร้ายคนอื่น ถ้าหากเราไม่ทำ คนอื่นก็ไม่ทำ ประเทศชาติก็สงบ ตำรวจก็ไม่มี ศาลก็ไม่ต้องมี เพราะว่าเราทุกคนเป็นคนดีกันทั้งหมดเลย "

เถรี
13-03-2012, 10:52
"ศีลข้อที่ ๒ ว่า..? (อะทินนาทานา เวระมะณีสิกขาปะทัง สะมาทิยามิ) เก่งมากจ้ะ..ว่าได้ชัดเจนมาก สมกับเป็นเด็กโรงเรียนวัดใหม่ยายนุ้ย แสดงว่าหลวงพ่อท่านสอนเอาไว้ดีมาก

ศีลข้อนี้บอกว่า เราไม่ควรที่จะหยิบฉวยสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ อทินนาแปลว่าไม่ได้ให้ ก็คือไม่ให้ขโมยเขานั่นแหละจ้ะ เราอยากให้เพื่อนมาขโมยของเราไหมลูก ? (ไม่อยาก)

มีโทรศัพท์มือถือ เพื่อนมาขโมยไปเราชอบไหมจ๊ะ ? (ไม่ชอบ)

ถ้าหากว่าใครพกไอแพ็ด มีเพื่อนมาขโมยไป เสียใจไหมลูก ? (เสียใจ)

คนอื่นเขาก็เป็นเหมือนกัน ถ้าหากว่าเราเอาของเขามาเขาก็เสียใจ เขาก็ไม่ชอบ บางคนรักของชิ้นนั้นมาก ๆ เสียอกเสียใจ อาจจะถึงขนาดทำใจไม่ได้ ฆ่าตัวตายไปเลยก็มี เพราะฉะนั้น..เราจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนมาก พวกที่อยู่ในคุกอยู่ในตารางปัจจุบัน เป็นพวกที่ลักขโมยเยอะมากเลย พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้เราเบียดเบียนคนอื่น ถ้าหากว่าเราทำได้เป็นปกติ เราก็ไม่ต้องไประแวงว่าคนอื่นจะมาเบียดเบียนเรา เพราะว่าเราเป็นคนดีกันหมดทุกคนเลย

ศีลข้อที่ ๓ ว่า..? (กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณีสิกขาปะทัง สะมาทิยามิ) เก่งมากจ้ะ เราศึกษาสีลสิกขาบทเหล่านี้เพื่อให้รู้ว่า ควรงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม คำว่ากาม คือ กามะ คือของที่เรารัก คนที่เรารัก

เพราะฉะนั้น..ถ้าสมมติว่าเพื่อนมีไอโฟน มีโทรศัพท์มือถือ ที่เขารักมากเลย เราขโมยเพื่อนมานี่เราผิดศีล ๒ ข้อนะลูก อทินนาทาน คือไปลักขโมยของเขาที่ไม่ได้ให้ กาเมสุมิฉาจาร คือ ไปแย่งของรักเขามา ไม่ได้หมายความว่าเราต้องไปแย่งสามีภรรยาใครที่ไหนมาเท่านั้น หรือว่าไปแย่งลูกที่เขารักมา อะไรก็ตามที่เป็นของที่เขารักผิดศีลข้อนี้ทั้งหมดเลยนะจ๊ะ

ถ้าหากว่าเราเป็นลูกที่รักของพ่อของแม่ อยู่ ๆ มีรถตู้มาจับเด็กเอาไปขายที่ประเทศมาเลเซีย คว้าเราขึ้นรถไปเลย พ่อแม่เราจะเสียใจมากไหมลูก ? (เสียใจมาก)

รับรองว่าต้องตามหากันสุดชีวิตเลย..ใช่ไหมจ๊ะ ? ในเมื่อเรารู้ว่าเป็นของที่คนอื่นรัก เราก็อย่าไปทำอย่างนั้น อย่าไปเอาของเขามา โดยเฉพาะบางคนเริ่มเป็นวัยรุ่นแล้ว เริ่มสนใจเพศตรงข้ามแล้ว เริ่มเห็นเพื่อน ๆ ว่าสวยหรือหล่อแล้ว จะเห็นได้ว่าเรื่องศีลของพระนั้นมีข้อจำกัดไว้มากเลย ถ้าบุคคลนั้นมีพ่อ มีแม่ มีพี่ มีน้อง ก็แปลว่าเขามีคนที่รักอยู่ ถ้าเรายังไม่ได้รับอนุญาต ไปแอบลักลอบได้เสียกัน หนีตามกัน ก็ผิดศีลข้อนี้ ตกนรกแน่ ๆ..!

ถ้าหากว่าบุคคลนั้น มีกฎหมายคุ้มครองอยู่ ซึ่งมีอย่างแน่นอน ก็ผิดศีลข้อนี้ แล้วถ้าบุคคลนั้นมีธรรมคุ้มครองอยู่ ก็คือเป็นผู้ที่ตั้งใจถือศีลปฏิบัติธรรม ต่อให้ไม่มีญาติเลยก็ถือว่ามีธรรมคุ้มครองอยู่

เพราะฉะนั้น..ถ้าเราไปละเมิดก็ผิดศีลข้อนี้ทั้งหมดเลย ต้องระมัดระวังให้ดี ๆ นะลูก คนที่เขารักก็ไม่ได้ ของที่เขารักก็ไม่ได้ ถ้าเราดูข่าววิทยุโทรทัศน์จะเห็นว่า ทุกวันนี้ที่ฆ่ากันตายมาก ๆ เลย ส่วนหนึ่งก็คือแย่งชิงคนที่รักกัน

เมื่อวานนี้หลวงตาดูข่าวหนังสือพิมพ์ เห็นว่าเขาตกลงกันไม่ได้ เนื่องจากอีกฝ่ายหนึ่งไปมีคนใหม่ ก็ยิงแฟนเสียก่อนแล้วก็ยิงตัวเองตายตาม ส่วนอีกรายหนึ่งโดนพ่อแม่กีดกัน ไม่สามารถไปอยู่ด้วยกันได้ ก็กินยาตาย

ตกลงเรื่องที่ผิดศีลตั้งแต่ข้อ ๑, ๒, ๓ เราจะเห็นว่าเป็นเหตุให้เกิดคดีต่าง ๆ ทั้งนั้นเลย พระพุทธเจ้าสอนให้เรารักษาศีล ก็เพื่อให้เราทำให้ดี ทำให้ถูก ประเทศชาติจะได้สุขสงบ บ้านเมืองจะได้สุขสงบ"

เถรี
13-03-2012, 13:36
"ศีลข้อที่ ๔ ว่า...? (มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ) แปลว่า เราจะเว้นจากการโกหก เราชอบให้คนอื่นโกหกไหมลูก ? (ไม่ชอบ) แล้วถ้าอย่างนั้นเราไปโกหกคนอื่น เขาจะชอบไหมจ๊ะ ? (ไม่ชอบ)

ไม่ชอบเหมือนกัน เรื่องอย่างนี้เขาเรียกว่าใจเขาใจเรา เราไม่ชอบแบบนั้นเราก็อย่าทำกับคนอื่น เพราะว่าถ้าหากว่าทำกับคนอื่น คนอื่นเขาก็ต้องไม่ชอบแน่นอนเลย เรื่องของการโกหกก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยขนาดไหนก็ตาม พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า บุคคลที่โกหกได้ จะไม่ทำความชั่วอื่นนั้นไม่มี ก็แปลว่าถ้าเริ่มโกหกแล้ว เราต้องทำเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่ดีได้แน่ ๆ

ฉะนั้น..ถ้าเราจะต้องการเป็นคนดี มีอะไรก็ต้องพูดตรงไปตรงมา แต่การพูดเรื่องจริงก็ต้องรู้กาลเทศะด้วยนะลูก ถ้าหากว่าพูดผิดที่ อันดับแรก คนเขาไม่ชอบหน้าเรา อันดับที่สอง ถ้าเราพูดผิดจังหวะ เขาโกรธขึ้นมาก็อาจจะทำร้ายเราได้ การพูดต้องระมัดระวังให้มาก โบราณถึงบอกว่า พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง คือบางเรื่องไม่จำเป็นต้องพูดก็ได้ ไม่เสียอะไร ถ้าหากว่าเงียบเอาไว้อาจจะได้กำไรเยอะด้วย อย่างเช่น ไม่พูดให้เพื่อนเขาเสียใจ เขาก็รักเราชอบเรา ต่อไปเราก็จะเป็นคนมีเพื่อนเยอะ เป็นต้น

ข้อสุดท้ายของศีล ๕ ว่า..? (สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ) แปลว่าอะไรจ๊ะ ? (ห้ามดื่มสุรา)

แล้วรู้จักไหมว่าสุรากับเมรัยต่างกันอย่างไร ? สุราคือของที่กลั่นขึ้นมาแล้วมีแอลกอฮอล์ ทำให้เราเมาขาดสติได้ อย่างพวกเหล้านอก มีบรั่นดี เป็นต้น ถ้าบ้านเราก็พวกแม่โขง หงส์ทอง อะไรเหล่านั้น เมรัยคือของที่หมักขึ้นมา แล้วมีแอลกอฮอล์ กินเข้าไปแล้วทำให้ขาดสติ อย่างเช่น เบียร์ ไวน์ กระแช่ น้ำขาว สาโท อะไรพวกนั้น ยังมีอุอีกอย่างหนึ่งหมักขึ้นมาจากข้าว

คราวนี้ศีลข้อนี้ยังมีอีกคำหนึ่งว่า มัชชะ คือสิ่งที่เสพเข้าไปแล้วมึนเมาขาดสติ อย่างพวกยาบ้า ยาอี เป็นต้น เพราะฉะนั้น..ศีลข้อนี้ท่านห้ามไว้หมดแหละลูก แต่เราแปลไม่ครบ บางคนก็แปลแค่สุราอย่างเดียว ขาดทุนนะจ๊ะ เอาสุราด้วย เมรัยด้วย มัชชะด้วย แปลให้ครบทุกคำเลย เพราะว่าทันทีที่เมาขาดสติ เราอาจจะทำให้ศีลขาดได้หมดทุกข้อเลย"

เถรี
13-03-2012, 14:02
"คนเมาแล้วขับรถจะเกิดอะไรขึ้นลูก ? (รถชน)

ชนแน่ ๆ เลย บางคนเถียงว่าไม่เมา ฝรั่งเขาทดลองแล้วลูก เบียร์กระป๋องหนึ่งมีแอลกอฮอล์ ๕ เปอร์เซ็นต์ ก็นิดเดียวเอง เขาลองให้คนกินเบียร์ ๑ กระป๋องแล้วให้ขับรถถอยหลังเข้าซอง เขาเอากรวยมากั้นทำเป็นช่องไว้ เชื่อไหมว่าคนขับที่กินเบียร์ไป ๑ กระป๋อง กะระยะผิด ถอยชนกรวยกันแทบทุกคนเลย

ให้กินไวน์ ๓ แก้ว ไวน์มีแอลกอฮอล์อยู่ ๒ เปอร์เซ็นต์เอง ปรากฏว่าถอยรถเข้าซองไม่ได้ เพราะกะระยะผิด ประสาทเพี้ยนหมด แต่นั่นยังไม่เมานะจ๊ะ ยังมีสติรู้อยู่ แต่บังคับร่างกายตัวเองไม่ได้แล้ว

เพราะฉะนั้น..ยาเสพติดอะไรต่าง ๆ ก็ทำให้เราบังคับตัวเองไม่ได้ ในเมื่อบังคับตัวเองไม่ได้ จะเห็นว่าพวกเมายาบ้าแล้วจับตัวประกันใช่ไหมลูก ? จับตัวประกัน แล้วทำไมจับแต่เด็กกับผู้หญิง ไม่จับผู้ชายตัวโต ๆ เป็นตัวประกันบ้าง ? ก็แสดงว่าเขายังมีสติอยู่ แต่เขาบังคับตัวเองไม่ได้ มีสติรู้ว่าถ้าจับผู้ชายตัวโต ๆ อาจจะโดนชกคว่ำอยู่ตรงนั้นแหละ ก็ต้องไปจับผู้หญิงกับเด็กแทน เป็นต้น แล้วพวกเหล้ากินเข้าไปสมองจะเสื่อมเร็วนะลูก เราจะเห็นว่าคนกินเหล้าพอแก่ไป จำอะไรไม่ค่อยได้ ตอนที่กินพอเมาก็ไม่รู้เรื่อง

สมัยหลวงตาเด็ก ๆ ที่ข้างบ้านมีทิดอ๊อดกินเหล้าเมาทุกวัน หลวงตาเลี้ยงหมาไว้ตัวหนึ่งชื่อไอ้พุก ทิดอ๊อดมาถึงก็กอดคอไอ้พุก เพื่อน..กูนอนด้วยนะ เป็นอย่างไรลูก ? เมาไม่รู้เรื่องเลย นอนกับหมาก็ได้ ถ้าคนนอนกับหมาเราเห็นว่าน่าเกลียดหรือน่ารักจ๊ะลูก ? (น่าเกลียด)

ถูกต้อง..น่าเกลียดรับไม่ได้เลย..ใช่ไหมจ๊ะ ? แล้วอีกคนหนึ่งกินเหล้า จะเรียกเหล้าก็ไม่ใช่ เขาเรียกว่าสปายไวน์คูลเลอร์ กินไป ๒ กระป๋อง หน่อยเดียวเองลูก เหมือนกับเป๊ปซี่ ๒ กระป๋อง แต่เขาขี่มอเตอร์ไซค์ฝ่าไฟแดง เขาบอกว่าตอนนั้นสนุกมากเลย วี้ดวิ้วไปเลย ยังดีนะว่ารถอีกฝั่งหนึ่งเขาเบรกทัน ไม่อย่างนั้นก็ตายคาไฟแดงไปแล้ว..!

เราจะเห็นว่าพวกเหล้าพวกยาทำให้เราขาดสติ ถ้าไม่ขาดสติแบบบ้าเลือดก็จะขาดสติแบบไม่รู้ตัว ทำอะไรที่ดูแล้วน่าเกลียดน่าชังมาก หรือว่าอาจจะทำให้เราถึงขนาดเสียชีวิตลงได้ หนูลองนึกดูว่า ถ้าหากว่าเราติดยาบ้า พ่อแม่ของเราเสียใจไหมลูก ? (เสียใจ)

เสียใจมากเลย ทำไมลูกเราไม่เป็นเด็กดีเหมือนคนอื่นเขา แล้วถ้าหากว่าเราไปโดนรถชนตาย พ่อแม่เราจะเป็นอย่างไรจ๊ะ ? (เสียใจ)

เถรี
14-03-2012, 08:04
"มีเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นที่คลองเตย ใครเคยไปคลองเตยมาแล้วจ๊ะ ? (...ยกมือ...) คลองเตยเป็นชุมชนที่หนาแน่นกว่าบ้านวัดใหม่ยายนุ้ยของเราเยอะเลย มียาเสพติดเยอะมาก

มีเจ้าของร้านขายของชำคนหนึ่ง เป็นร้านขายของคล้ายกับเซเว่นสมัยนี้ เจ้าของร้านมีลูก ๒ คน คนโตไปติดยา จากที่ตั้งใจเรียนหนังสือก็ไม่เรียน รู้ไหมลูกว่าทำไมถึงติดยา ? (....?...) เพราะว่าเอาเงินไปโรงเรียนเยอะ พอเอาเงินไปโรงเรียนเยอะ เพื่อนที่ติดยาอยู่แล้วเห็นว่าคนนี้มีเงินเยอะ อยากได้เอาไว้เป็นพวก ก็เลยหลอกให้กินยาบ้า เพราะถ้าติดยาแล้วเพื่อนคนนี้ก็จะต้องเป็นคนไปหาเงินมาซื้อ แล้วก็ไปแบ่งกัน

เพราะฉะนั้น..ไปโรงเรียนอย่าเอาเงินไปเยอะนะลูก ถ้าหากว่าคนที่เขาติดยาอยู่ เขาเห็นว่าเรามีเงินเยอะ เดี๋ยวเราจะเดือดร้อน เขาจะหลอกเราสารพัดเลย บางทีก็เอายาบ้าใส่ในน้ำอัดลมผสมให้กิน กินไปกินมาครั้งสองครั้งก็ติดแล้ว ถึงเวลาไม่มีก็ไม่ได้ ก็ต้องหาเงินไปให้เขาเพื่อไปซื้อยาบ้ามา ต้องระวังตัวเองนะลูก

ถ้าเราไม่ระวังตัวเอง พกเงินไปเยอะ ๆ ใช้เงินฟุ่มเฟือย นอกจากพ่อแม่เราจะเดือดร้อนเพราะเราใช้เงินเยอะแล้ว เรายังอาจจะต้องโดนเพื่อนหลอกให้ติดยาได้ ถึงเพื่อนในโรงเรียนนี้ทุกคนเรารักใคร่กันดี ไม่มีใครติดยา แต่คนที่อยู่ข้างนอกเขาอาจจะหลอกเราได้ เพราะฉะนั้น..ต้องระวังไว้ให้ดี

คราวนี้พอลูกชายคนนี้ติดยาแล้วทำอย่างไร ? (...?...) ก็ขโมยเงินพ่อแม่เพื่อไปซื้อยา ขโมยมาก ๆ เข้าพ่อแม่ผิดสังเกต เพราะปกติถึงเวลาขายของได้ก็เอาเงินใส่ลิ้นชักไว้ ไม่ได้ใส่กุญแจ เพราะว่าลูกทุกคนเป็นคนดี ต่อมาเงินหายบ่อย พ่อแม่ก็ใส่กุญแจลิ้นชัก พอเอาเงินไม่ได้ทำอย่างไรจ๊ะ ? (...?...) ลูกคนโตก็ขโมยของในร้านไปขาย คราวนี้พ่อแม่จับได้ ตัวเองอายพ่อแม่ อายเพื่อน ก็เลยหนีออกจากบ้านไป หนีออกจากบ้านไปก็ไปพักอยู่กับเพื่อนที่ติดยา คนนั้นบ้างคนนี้บ้าง ตกระกำลำบาก อยู่พักหนึ่ง

ปรากฏว่าดวงดีไปเจอผู้หญิงที่ชอบตัวเองเข้า ก็เลยคุยกันว่าอยากจะเลิกยาไหม ? เขาบอกว่าอยากจะเลิก ผู้หญิงก็บอกว่าถ้าอยากเลิกเขาจะช่วย ให้กลับไปหาพ่อแม่ พ่อแม่จะได้ช่วยกัน ปรากฏว่ากลับไปแล้วก็ยังเลิกยาไม่ได้ ยังขโมยของพ่อแม่ไปขายเป็นปกติ เพราะว่าสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ข้างนั้น คนติดยากันเยอะมาก

ถึงเวลาเขาก็มาหา เขาเคยขายยาให้คนนี้ได้ เคยได้เงินจากคนนี้เขาก็ตามอยู่ตลอด เพราะฉะนั้น..พวกเราอย่าเผลอหลุดเข้าไปในวงการนี้เป็นอันขาด จะต้องเดือดร้อนไปตลอดชีวิตเลยลูก เราไม่ได้เดือดร้อนเท่านั้น พ่อแม่ก็เดือดร้อนไปด้วย"

เถรี
14-03-2012, 08:11
"ในเมื่อถึงเวลา พ่อแม่ก็เลยต้องปิดร้าน ใส่กุญแจไม่ให้เข้าบ้าน เพราะกลัวว่าจะมาขโมยของ ลูกก็เลยใช้วิธีไปบังคับเอาจากแม่ คนเป็นแม่รักลูกก็ไม่อยากให้ เพราะรู้ว่าลูกจะเอาเงินไปซื้อยาบ้าทำให้ตัวเองเดือดร้อน แล้วก็ทำให้พ่อแม่เดือดร้อน

ลูกทำอย่างไรรู้ไหมจ๊ะ ? (...?...) เขาตีแม่ (...โห...) ตีแม่ซ้อมแม่จนกระทั่งได้เงินไป พอทำอย่างนั้นบ่อย ๆ หลาย ๆ ครั้งเข้า พ่อก็เครียดมาก ทำอะไรไม่ถูก เห็นว่าลูกชั่วเกินกว่าที่เลี้ยงได้แล้ว พ่อจึงตั้งใจว่า ในเมื่อเอ็งชั่ว ทำให้สังคมเดือดร้อน เอ็งก็อย่าทำให้สังคมเดือดร้อนต่อไปเลย พ่อตัดสินใจว่าเขาจะฆ่าลูกคนนี้เอง (...โห...) พ่อเขายอมติดคุก

ถ้าพ่อแม่ที่รักเรามากที่สุดตัดสินใจฆ่าเรา แสดงว่าเราต้องแย่อย่างที่สุดแล้ว ก่อนตัดสินใจพ่อทำอย่างไรรู้ไหมจ๊ะ ? (...?...) พ่อไปวัดใกล้ ๆ บ้าน (...วัดคลองเตยใน...) ไปกราบพระประธานในโบสถ์ อธิษฐานว่า “ลูกตั้งใจรักษาศีลปฏิบัติธรรมมาตลอด แต่ว่าลูกชายของลูกเลวระยำจนขนาดนี้ ติดยาบ้า ขโมยข้าวของ ด่าพ่อตีแม่ ลูกจำเป็นต้องละเมิดศีล จะฆ่าทิ้งเสีย แต่ด้วยความละอายใจว่ารักษาศีล ก็เลยมากราบขอขมาพระก่อน ถ้าหากว่าพระพุทธเจ้ามีคุณความดีอยู่จริง ๆ ขอให้ลูกชายของลูกคิดได้ เลิกยาได้ด้วยเถิด” ว่าเสร็จแกก็กลับบ้าน เตรียมตัวจะไปฆ่าลูกแล้ว (...โห...)

ไม่ทราบว่าเป็นเพราะพระดลใจหรือว่าอะไร ? พอดีลูกชายกลับบ้านมา บอกกับพ่อแม่ว่าจะเลิกยาให้ได้เสียที แต่ที่เลิกไม่ได้เพราะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีแต่เพื่อนติดยา ลูกขอไปอยู่ที่อื่นได้ไหม ? คนเป็นพ่อเป็นแม่ได้ยินก็ดีใจ ว่าอย่างน้อยลูกของตัวเองก็อยากจะเลิกยา ก็เลยตัดสินใจย้ายบ้านหนี หนีไปเช่าบ้านอยู่ที่ปทุมธานี ออกจากคลองเตยไปไกลเลย

แล้วเขาทำอย่างไรจ๊ะ ? (...?...) ลูกชายที่ติดยาเขาก็หักดิบ ก็คือเลิกยาบ้าโดยไม่กินยาอีกเลย ปรากฏว่าอาการออก ที่เขาเรียกว่า "ลงแดง" ก็ดิ้นรนอาละวาด ด้วยความที่ได้แฟนดี ผู้หญิงเป็นคนใจเด็ดมาก ถึงเวลาออกอาการขึ้นมาก็เอาน้ำเย็นราด เพื่อที่ให้ได้สติ พอบางทีอาละวาดมาก ๆ น้ำเย็นเอาไม่อยู่ ผู้หญิงเขาทำอย่างไรรู้ไหมลูก ? (...?...) เขาตีด้วยไม้เบสบอล (...โห...) เคยเห็นไหมลูก ? ไม้ยาวสักประมาณเมตรกว่า ๆ เอาไว้ตีลูกเบสบอล ตีแฟนสลบไปเลย พอฟื้นคืนมาก็เอาน้ำราดใหม่ อาละวาดอยู่อย่างนั้น ๔ - ๕ วัน ก็หมดฤทธิ์ยา"

เถรี
14-03-2012, 08:15
"คราวนี้ลูกชายกลับเนื้อกลับตัวได้ บอกพ่อว่าขอเรียนหนังสือต่อ เพราะตอนนั้นได้เรียนอยู่แค่ ม.๖ และเป็น ม.๖ ที่ครูเข็นให้ออกจากโรงเรียนด้วย ถ้าไม่ออกไปให้พ้นเขาทำให้เพื่อนเดือดร้อน เพราะติดยา ครูก็รวมคะแนนให้เขาจบให้ได้ จบออกมาเกรดต่ำมาก ยังดีว่าเขาไปสมัครเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงได้ คราวนี้ตั้งใจเรียนมาก

จริง ๆ แล้วการเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหงนี่จบยากมาก แต่เขาตั้งใจกลับตัวจริง ๆ เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่จริง ๆ จึงเรียนจบภายใน ๔ ปี ออกมามาทำงาน ช่วยพ่อแม่ทำมาหากิน เอาเงินให้พ่อให้แม่ พ่อแม่ดีใจร้องไห้เลย ก่อนหน้านี้มีแต่ล้างผลาญพ่อแม่ เอาเงินไปซื้อยาบ้า ขโมยของไปขายเพื่อเอาเงินไปซื้อยาบ้า เป็นลูกที่พ่อแม่ไม่รัก ถึงขนาดจะฆ่าทิ้งแล้ว แต่ก็ยังกลับตัวได้ กลับตัวกลายเป็นลูกที่พ่อแม่รักมาก

ในปัจจุบันนี้เขาแต่งงานเป็นหลักเป็นฐาน มีลูกเล็ก ๆ แล้ว เขาสอนลูกอยู่เสมอว่า เรื่องของยาเสพติดอย่าไปแตะต้อง เพราะตัวพ่อเกือบจะตายไปแล้ว ถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะมีบุญเก่าหนุนส่งอยู่ รับรองว่าตายไปแล้วแน่ เพราะว่าคุณปู่ ก็คือพ่อของพ่อตัดสินใจจะฆ่าทิ้งแล้ว..!

พวกเราเห็นไหมลูก ? ถ้าหากว่าคนเราฆ่ากันก็มีคดีเต็มบ้านเต็มเมือง ลักขโมยกันก็มีแต่คดีเต็มบ้านเต็มเมือง แย่งชิงของที่เขารักคนที่เขารัก ก็มีแต่คดีเต็มบ้านเต็มเมือง โกหกหลอกลวง ฉ้อโกงกันก็มีแต่คดีเต็มบ้านเต็มเมือง เมาสุรายาเสพติดอาละวาดก็มีแต่คดีเต็มบ้านเต็มเมือง เพราะฉะนั้น..ถ้าเรามีศีลแค่ ๕ ข้อ ทุกอย่างก็จะดีหมด แล้วถ้าเรารักษาศีลครบ ๕ ข้อ เรามีโอกาสเกิดเป็นคนใหม่ ไม่ต้องเกิดเป็นหมูหมากาไก่เหมือนคนอื่นเขา

แล้วข้อต่อไปพระพุทธเจ้าสอนเราว่า ให้ทำสมาธิด้วย ใครนั่งสมาธิเป็นบ้างยกมือ..ไหนยกมือขึ้นซิ ? โอ้โห..เยอะแยะเลย แสดงว่าเรียนเก่งกันทุกคนใช่ไหมลูก ? ให้พยายามหาเวลา ตื่นเช้านิดหนึ่งนะจ๊ะ แล้วมานั่งภาวนาพุทโธ ๆ สัมมาอาระหัง หรือยุบหนอพองหนอ อะไรก็ได้ สัก ๕ - ๑๐ นาที แล้วเราจะเรียนเก่งกันทุกคน

หลวงตายืนยัน..เพราะหลวงตาสอบได้ที่ ๑ มาตั้งแต่เด็กจนแก่เลย ไม่เคยให้ที่ ๑ ใคร แล้วหลวงตาสอบได้คะแนนเต็มร้อยเป็นปกติ หลวงตาเป็นเด็กที่สู้ครู บอกครูว่า ถ้าเป็นข้อสอบในตำรา ออกมาได้เลยครับ ตรงไหนก็ได้ ถ้าผมทำแล้วไม่ได้คะแนนเต็มครูจะตีกี่ทีก็ได้ แต่ถ้าผมทำแล้วได้คะแนนเต็ม ครูต้องให้รางวัลผมด้วย นี่..หลวงตาสู้ครูมาตั้งแต่เด็ก..!"

เถรี
14-03-2012, 08:21
"ที่เรียนดีเพราะหลวงตาทำสมาธิมาตั้งแต่เด็ก ๆ ยังไม่ทันจะรู้ภาษาเลย คุณพ่อก็อุ้มหลับคอพับคออ่อนไปสวดมนต์ทุกวัน ทำให้สมาธิดีมาตั้งแต่เด็ก หลวงตาเข้าชั้น ป.๑ หลวงตาสวดมนต์ได้เยอะแล้ว ครูก็เลยให้เป็นหัวหน้าชั้น พอมาเรียนปริญญาตรี หลวงตาสอบได้เกียรตินิยมอันดับ ๑ และได้ที่ ๑ ของประเทศในปีนั้นด้วย

เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าเราไม่ทิ้งสมาธิ ตอนเช้า ๆ เราทำสมาธิไว้หน่อยหนึ่ง ก่อนนอนทำสมาธิไว้หน่อยหนึ่ง สิ่งเหล่านี้จะค่อย ๆ สะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ พอสมาธิทรงตัว พวกเราก็จะเรียนเก่งทุกคน เพราะว่าใจของเราปกติจะรับอารมณ์อยู่ตลอดเวลา จะกระเพื่อมอยู่ตลอดเวลา รับเรื่องนั้นเรื่องนี้บ้าง วิ่งไปวิ่งมาอยู่ตลอด..ไม่นิ่ง..

เมื่อเราทำสมาธิ ทันทีที่ใจเรานิ่ง ก็เหมือนกับน้ำที่นิ่ง น้ำที่นิ่งจะสะท้อนเงาทุกอย่างลงไปชัด ๆ เลย ถ้าใจของเรานิ่ง ครูสอนอะไรก็ฟังแล้วจำได้แม่น แทบไม่ต้องทวนซ้ำก็ได้ เพราะฉะนั้น..ให้ทำสมาธิไว้ทุกคนนะลูก จะได้เรียนเก่งกันทุกคน

จากนั้นเราก็เพิ่มปัญญาเข้าไปนิดเดียวว่า ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ช่วยให้เราเป็นเด็กดี ช่วยให้เราเรียนเก่ง ช่วยให้เราเป็นที่รักของครู เป็นที่รักของพ่อของแม่ เป็นที่รักของหลวงพ่อที่สอนเรา ถ้าเรามีปัญญาอย่างนี้ เราก็ตั้งใจทำความดี ด้วยการรักษาศีลให้ได้ทุกวัน พยายามทำสมาธิให้ได้ทุกวัน แล้วเราจะเรียนเก่งด้วย เป็นเด็กดีด้วยที่พ่อแม่และคุณครูรักมากด้วย

ที่หลวงตาบอกพวกเราในวันนี้ ก็เพื่อให้พวกเรารู้ว่า เรื่องที่พระพุทธเจ้าสอนมา ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้ว ยังไม่ล้าสมัย ใครทำคนนั้นก็ได้ประโยชน์ หลวงตาอยากจะให้ทุกคนทำเอาไว้

หลวงตาว่ามาครึ่งชั่วโมงเต็ม ๆ ใครมีอะไรสงสัยอยากจะถามอะไรบ้างไหมจ๊ะ ?"

เถรี
14-03-2012, 11:42
"นึกว่าจะมีใครสงสัยว่าผีมีจริงหรือเปล่า ? หลวงตาเจอผีมาตั้งแต่เด็ก เจอเป็นปกติ ขอยืนยันว่าผีมีจริง แต่ผีไม่ใช่ของน่ากลัวนะจ๊ะ หลวงตารู้ความตอนอายุประมาณ ๔ - ๕ ขวบ หลวงตานอนอยู่กับน้องชาย ปัจจุบันก็คือท่านพระครูแสงชัย พอตื่นขึ้นมาตอนดึกมองน้องไม่เห็น ตรงกลางมีตัวอะไรใหญ่เบ้อเริ่ม เหมือนอย่างกับนักมวยปล้ำฝรั่ง ตัวดำปี๋เลย (...โห...)

แต่คนตัวดำ ๆ นี้แปลก ชอบผ้าแดง ๆ นุ่งผ้าเคียนเอวแดงแปร๊ดเลย แล้วก็มีผ้าแดง ๆ คาดหัวอยู่ผืนหนึ่ง มานอนกั้นอยู่ตรงกลาง หลวงตามองน้องไม่เห็น เพราะคนดำนี้ตัวใหญ่บังมิดเลย หลวงตาก็ลุกขึ้นมาร้องไห้ เพราะหาน้องไม่เจอ ปรากฏว่าแม่มาถึงก็ตี "ร้องทำไม ?" พอแม่เปิดประตูมาผีหายวับไป แม่ไม่เห็นผีนะ เห็นแต่หลวงตาร้องไห้ หลวงตาก็โดนตีทุกทีเลย หลวงตาโกรธผีตัวนี้มาก โตขึ้นต้องเตะมันให้ได้ (...หัวเราะ...) แต่โตจนป่านนี้หลวงตายังตัวไม่เท่าผีสักที ก็เลยเตะไม่ได้จนทุกวันนี้ (...หัวเราะ...)

แล้วเวลาอื่นก็ยังมีอีก เอาไว้ครั้งหน้าพวกเราถ้ามา หลวงตาเล่าให้ฟัง หลวงตาเจอผีมาหลายสิบปี เจอเยอะมาก จึงยืนยันว่าผีมีจริง แต่ไม่ใช่ของที่น่ากลัว ผีที่เขามาเพราะส่วนใหญ่แล้วลำบาก อยากจะให้เราช่วย ถ้าผีมาหาเรา แปลว่าเราเป็นคนมีบุญอยู่แล้ว เราทำบุญใส่บาตร ตั้งใจรักษาศีล นั่งสมาธิภาวนา เป็นการสะสมบุญอยู่ ถ้าหากว่าเรามีบุญ ผีเขาอยากได้บุญ

ถ้าในสายตาของผี เขาจะเห็นเราเป็นคนมีแสงสว่างมาก เพราะว่าเรามีบุญมาก เขาก็จะมาหาเรา คราวนี้ผีก็เหมือนกับคนจน คนจนเวลาเขาแต่งตัวมา เคยเห็นขอทานไหมจ๊ะ ? (..เคย..) ขอทานเขาแต่งตัวสวยไหมลูก ? (..ไม่สวย..)

ไม่สวยเลยนะ มอมแมม กระดำกระด่าง บางคนน้ำก็ไม่ได้อาบ ผีก็เป็นคนจนลูก ที่เราเห็นแล้ววิ่งหนีนั้น ความจริงเขาแต่งตัวสวยที่สุดของเขาแล้ว เพราะฉะนั้น..ผีจึงน่าสงสารมาก ไม่ได้น่ากลัวเลยนะจ๊ะ

หลวงตาเคยถามเขาหลังจากโดนหลอกมาเป็น ๑๐ ปีจนรู้จักกันดีแล้ว ถามว่าทำไมเที่ยวไปหลอกคนอื่นเขา ? ผีเขาบอกว่า "..ผมไม่ได้หลอก ผมตั้งใจจะไปบอกว่า ผมต้องการความช่วยเหลืออะไร แต่ผมไม่ทันได้บอก เขาก็วิ่งหนีทุกที บางคนหนีไปด่าไปด้วย.." ...เจริญ... นอกจากไม่ได้บุญจากเขาแล้ว ผียังโดนเขาด่าอีกด้วย"

เถรี
14-03-2012, 11:45
"เพราะฉะนั้น..คราวหน้าถ้าหากว่าใครเห็นผี หรือได้ยินเสียงผิดปกติ หรือได้กลิ่นผิดปกติ หรือเห็นอะไรวูบ ๆ วาบ ๆ เป็นเงาดำ ๆ หรือเห็นชัด ๆ เลยก็ตาม ให้รู้ว่าเราเป็นคนมีบุญมาก เราเป็นเศรษฐี ในเมื่อเราเป็นเศรษฐีก็ไม่ต้องไปกลัวขอทาน พอเจอขอทานก็เอาเงินทำบุญกับเขา เอาข้าวให้เขาบ้าง เอาน้ำให้เขาบ้าง

แต่เราเจอผีเขาจะเอาบุญ ให้เราตั้งใจว่า ผลบุญทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขอให้แก่เธอ..ถ้าได้แต่กลิ่นบอกว่าให้เจ้าของกลิ่น ถ้าได้ยินแต่เสียงบอกว่าให้เจ้าของเสียง ถ้าหากว่าเห็นรูปด้วยก็ให้เจ้าของรูปนั้น ขอให้เขาโมทนา เราได้รับประโยชน์ความสุขเท่าไร ขอให้เขาได้รับด้วย ถ้าหนูทำอย่างนี้ให้เขาก็จะได้บุญ เขาจะกลายเป็นผีสวย ๆ แล้วไปเลย เขาจะไม่มากวนเราอีก

หลวงตาเคยเดินบิณฑบาตในป่า พอคนเขาใส่บาตร หลวงตาก็ก้มหน้าเปิดบาตร ตอนแรกเห็นเขาใส่ชุดเก่า ๆ แต่ตอนก้มหน้าแปลกใจมาก มีแสงอะไรวูบวาบเป็นสีทอง หลวงตาก็สงสัย คนใส่ทองนี่ต้องรวยนะ หลวงตาก็เลยปิดบาตร บอกว่าอย่าเพิ่งใส่บาตร ถามจริง ๆ ว่าเป็นใคร ? มาทำไม ? เขาก็เลยทำภาพจริง ๆ ให้ดู เป็นนางไม้สวยมาก ๆ เลย ใส่ชุดไทย เข็มขัดทองเส้นเบ้อเริ่มเลย (...โห...)

ตอนที่หลวงตาเห็น ก็คือแสงจากเข็มขัดเขาทะลุผ้าเก่า ๆ ที่เขาแกล้งใส่มาให้เราดู เขาปลอมตัวเหมือนอย่างกับชาวบ้านมา หลวงตาก็ถามว่ามาทำอะไร ? เขาบอกว่าอยากได้บุญ มาขอใส่บาตรด้วย เขาบุญน้อย หลวงตาก็ดูเนื้อเขา เนื้อเขาเหมือนคนธรรมดาอย่างนี้แหละลูก ในเมื่อเหมือนคนธรรมดาแสดงว่าบุญน้อย

ถ้าพวกผีหรือเทวดาที่บุญมาก ตัวเขาจะใส ๆ ถ้ายิ่งใสมาก สว่างมาก ก็ยิ่งบุญมาก เพราะฉะนั้น..ถ้าเนื้อทึบ ๆ อย่างนั้นก็บุญน้อย หลวงตาคิดถึงที่หลวงปู่ครูบาอาจารย์ท่านสอนมาว่า ถ้าผีเขามาก็คือเขาอยากได้บุญ ต้องให้บุญเขานะ

หลวงตาก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นผลบุญทั้งหมดที่อาตมาทำมา ตังแต่ต้นจนบัดนี้ จะมีประโยชน์ความสุขแก่อาตมาเท่าไร ขอให้เธอโมทนา แล้วก็ได้รับประโยชน์และความสุขนั้นด้วย เขาก็สาธุ..แล้วกลายเป็นนางฟ้าสวยแพรวพราว เนื้อใสเป็นแก้วเลยลูก

แต่เขาไปเลย..หลวงตาถือบาตรค้าง ไม่มีใครใส่อาหารให้ เขาใส่บาตรเพื่อจะเอาบุญ คราวนี้เขาได้บุญจากหลวงตาแล้ว เขาจึงไม่ต้องใส่บาตร เขาก็ไปเลย หลวงตาอดกินเลย (..หัวเราะ..) ตั้งแต่วันนั้นหลวงตาสาบานกับตัวเองว่า ต่อไปถ้าเจอแบบนี้อีก ต้องให้เขาใส่บาตรก่อนแล้วค่อยให้บุญทีหลัง"

เถรี
14-03-2012, 11:48
"ดังนั้น..ขอให้พวกเราทุกคนรู้ว่า ต่อให้เราแอบฆ่าสัตว์ ทำร้ายสัตว์ แอบลักขโมยเขา แอบขโมยของ แย่งของหรือคนที่เขารัก หรือว่าตั้งใจโกหก แอบกินเหล้าเมายาอะไรก็ตาม ต่อให้ครูไม่เห็น พ่อแม่ไม่เห็น เพื่อนไม่เห็น แต่ผีทุกตัวเห็นหมดเลย

ถ้าเขารู้ว่าเราเป็นคนไม่ดี ผีก็จะไม่คบกับเราเลย คนไหนที่ไม่โดนผีหลอกมี ๒ อย่าง อย่างแรกคือวาระยังมาไม่ถึง อย่างที่สองก็คือ ชั่วเกินกว่าที่ผีเขาจะคบ เขาไปหาคนที่ดีกว่า นี่คือเรื่องที่หลวงตาอยากบอกพวกเราว่า ต่อให้ทำชั่วลับหลัง ผีหรือเทวดาเขาก็รู้ เพราะฉะนั้น..ต้องระวังรักษากาย วาจา ใจ ให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้นะจ๊ะ

หลวงตามีหนังสือ เดี๋ยวจะมอบให้พวกเราคนละเล่ม ตอนช่วงหน้าจะเป็นเรื่องที่หลวงตาออกธุดงค์ ตอนนี้เป็นเล่มที่ ๙๗ แล้ว เป็นตอนไปทุ่งใหญ่และไปห้วยขาแข้ง ถ้าใครอยากได้อีกต้องแวะมาทุกเดือน เพราะว่าหนังสือนี้ออกเดือนละเล่ม จะได้อ่านต่อเนื่องกัน ถ้าอ่านไม่ต่อเนื่องบางทีก็ไม่สนุก แล้วก็มีวัตถุมงคลเป็นพระองค์เล็ก ๆ ให้คนละ ๑ องค์ เก็บไว้เองก็ได้ ให้พ่อแม่เลี่ยมแขวนคอให้ก็ได้

ได้พระไปแล้วให้รู้ว่า พระพุทธเจ้าสอนให้เรารักษาศีล ปฏิบัติสมาธิ ใช้ปัญญาเห็นความเป็นจริงว่าโลกนี้มีแต่ความทุกข์ จะได้หาทางหลุดพ้น หลวงปู่หลวงพ่อท่านสอนเรา เพื่อให้เราเป็นเด็กดี พ่อแม่ครูบาอาจารย์จะได้รัก ถ้าอย่างนี้เราพกพระเครื่องไป เราก็จะพกแบบคนมีปัญญา พระเครื่องและความดีก็จะคุ้มครองเรา แต่ถ้าหากว่าเราสักแต่ว่าพกพระเครื่อง ศีลก็ไม่มี สมาธิก็ไม่มี พระก็คุ้มครองเราไม่ได้หรอก

หลวงตากำลังสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๑ วา ๓๖ องค์ แล้วก็ปิดทองอยู่ เงินที่พวกเราทำบุญมาทั้งหมดนี้ พวกเราร่วมกันสร้างพระพุทธรูปกับหลวงตานะจ๊ะ ขอให้ทุกคนได้บุญมาก ๆ ผีจะได้มากวนเยอะ ๆ..! (..หวา..!) "

เถรี
14-03-2012, 16:13
ถาม : บูชาแหวนจักรพรรดิของหลวงพ่อวัดท่าซุงมา เป็นแหวนผู้หญิง แต่ผมอยากเอามาใส่ มีสองวิธีคือเลี่ยมคล้องคอ กับแกะเพชรแล้วไปเข้าแหวนใหม่เป็นแบบผู้ชาย วิธีที่สองทำได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..ไม่มีปัญหา สำคัญที่ตรงหัวแหวน ส่วนวงแหวนถึงเวลาเขาหล่อพระที่ไหน เราก็เอาไปร่วมหล่อกับเขา

ถาม : ทำได้ทั้งสองวิธีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..เขาแกะกันมาเยอะแล้ว แบบไม่ถูกใจเขาก็เอาไปให้ช่างออกแบบกันใหม่

เถรี
15-03-2012, 08:19
ถาม : ผมภาวนาแล้วพวกยักษ์มารจะมา ?
ตอบ : ไม่ต้องทำอะไร ให้ภาวนาต่อไป ไม่มีอะไรสู้พุทธานุภาพได้ ให้นึกถึงภาพพระพุทธเจ้าคลุมกายของเราลงมา ขยายได้กว้างเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น ยิ่งขยายได้กว้างเท่าไรเขาก็ยิ่งเข้าใกล้เราได้ยากขึ้น

แรก ๆ อาตมาก็กังวลเพราะไม่รู้วิธี พอรู้วิธีก็สบาย ขยายภาพพระกว้าง ๆ แล้วเราก็นอนในฐานพระสบายใจเฉิบ ใครที่ปฏิบัติแล้วสิ่งเหล่านี้มากวนเยอะแสดงว่าถ้าปฏิบัติแล้วจะได้ผลเร็ว เขาก็เลยพยายามที่จะมาขวางเรา

เถรี
15-03-2012, 08:21
ถาม : คนที่มีอาการป่วยมะเร็งถึงขั้นที่สามแล้ว อยู่ ๆ อาการก็หายไปเลย โดยไม่ทำอะไร เป็นเพราะ ?
ตอบ : ถ้าหมดกรรมก็หาย ถ้าไม่หมดกรรมก็เป็นต่อไป

เถรี
15-03-2012, 08:37
พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านเจ้าคุณพระราชปริยัติโมลี วัดพระงาม ท่านเป็นคนที่ความรู้แน่นจริง ๆ แล้วท่านเป็นคนไม่มีมานะด้วย ท่านเก่งบาลีแต่วิชาอื่นท่านไม่เก่ง พอต้องมาสอนวิชาทั่ว ๆ ไปในระดับปริญญาตรี ท่านเองเป็นเจ้าคุณ จบประโยค ๙ เป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ไม่มีเลยที่จะวางท่า มาถึงคว้าไมค์ได้ก็ “เฮ้ย...เล็กเว้ย มาช่วยกูหน่อย วิชานี้กูไม่เป็น” ไม่มีการวางท่าเลย ไม่เป็นก็คือไม่เป็น ท่านยอมรับตรง ๆ แบบคนไม่มีมานะ ใครเห็นแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ จะไปงานข้างนอกมาดึกดื่นเที่ยงคืนขนาดไหน ท่านต้องทำวัตรก่อนแล้วค่อยเข้านอน

ท่านบอกว่าครูบาอาจารย์สอนมาอย่างนี้ สั่งมาอย่างนี้ ก็ต้องทำตามครูบาอาจารย์ ไม่ใช่ทำตามใจตัวเอง ท่านบอกว่าสมัยนี้ความเป็นพระอริยเจ้าเข้าถึงยาก ไม่เหมือนสมัยพุทธกาล เพราะบารมีเราไม่เหมือนคนยุคนั้น แต่พระพุทธเจ้าท่านต้องการให้เราเป็นพระอย่างไร ผมก็จะเป็นพระอย่างนั้นให้ได้มากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้

ท่านชอบพระเครื่อง พวกลูกศิษย์แสบ ๆ ก็รู้อยู่ว่าอาจารย์ท่านไม่ค่อยถือเนื้อถือตัว ก็สอยอาจารย์เลย “แล้วเจ้าคุณอาจารย์ส่องพระทุกวันนี่ ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าบอกหรือเปล่าครับ ?” ท่านบอกว่า “เฮ้ย..กูส่องพระ ใจกูเกาะพระ ถ้าตาย..กูมั่นใจว่ากูไปดีเว้ย” ท่านไม่เป็นกรรมฐาน ท่านไม่พูดถึงพุทธานุสติอะไรทั้งนั้นแหละ ท่านว่าของท่านซื่อ ๆ

ท่านบอกว่า “เล็ก..พอกูเป็นเจ้าคณะภาคแล้ว มึงมาเป็นเลขาให้ทีนะ” กราบเรียนท่านไปบอกว่า “ไม่ต้องหรอกครับ อย่างพระเดชพระคุณถ้าเป็นก็ภาค ๑๙ โน่นแหละ” เขามีกันแค่ ๑๘ ภาค แล้วก็จริง ๆ ด้วย ท่านมรณภาพก่อน เพราะท่านเป็นมะเร็งตับ สังเกตมาหลายรายแล้ว คนเป็นมะเร็งตับไปเร็วจริง ๆ เพราะว่าตับเป็นแหล่งสำรองพลังงาน เล่นโจมตีคลังเสบียงเลย แล้วจะไปเหลืออะไร"

เถรี
15-03-2012, 08:43
"พออาตมาโทรศัพท์ไป “เจ้าคุณอาจารย์เป็นอย่างไรบ้างครับ ? ลูกศิษย์จะไปเยี่ยม” ท่านบอกว่า “มึงไม่ต้องเสือกมากันเลย” ถามว่าทำไมละครับ ท่านบอกว่า “มันฉายแสงกูผมร่วงหมดเกลี้ยง ถึงเป็นพระหัวล้านกูก็อายว่ะ กูยังทำใจไม่ได้ มึงไม่ต้องมาหรอก ขอบใจนะ”

ท่านว่าเสียตรง ๆ รู้สึกอย่างไรก็พูดอย่างนั้นเลย ชอบใจท่านจริง ๆ ท่านอายท่านก็บอกว่าอาย ทำใจไม่ได้ท่านก็บอกทำใจไม่ได้ คนเราที่รู้ตัวแล้วยอมรับสภาพตัวเองนั้นหายาก เพราะส่วนใหญ่ตัวกูของกูมักจะแรง ต้องวางท่าไว้ก่อน แต่ของท่านนี่ไม่มีเลย

สงสารก็แต่หลวงพ่อเจ้าคุณพระราชรัตนมุนี เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ท่านรักการปฏิบัติ ไม่ยุ่งไม่เกี่ยวไม่เอาอะไรกับใครเลย ไม่อยากเป็นเจ้าคณะจังหวัดด้วย ก็เลยจับท่านเจ้าคุณอาจารย์วัดพระงามยัดให้เป็นรองเจ้าคณะจังหวัด ท่านกะว่าให้เป็นรองเจ้าคณะจังหวัด ๒ ปีแล้วท่านจะลาออก ให้ท่านเจ้าคุณอาจารย์วัดพระงามเป็นเจ้าคณะจังหวัดแทน ปรากฏว่าท่านเจ้าคุณอาจารย์วัดพระงามเป็นรองเจ้าคณะจังหวัดได้ ๕ - ๖ เดือน ก็โดนมะเร็งกินจนมรณภาพ หลวงพ่อเจ้าคุณเจ้าคณะจังหวัดยังหาคนเป็นแทนไม่ได้มาจนทุกวันนี้"

เถรี
15-03-2012, 09:39
"มีอยู่หนึ่งตำแหน่งที่ปัจจุบันนี้ไม่มีการแต่งตั้งเลย ก็คือตำแหน่งพระราชาคณะชั้นสามัญ เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ คือ พระนพีสีพิศาลคุณ เพราะว่าในอดีตรับตำแหน่งนี้แล้วมรณภาพติด ๆ กันทั้ง ๓ รูป เขาจึงตัดทิ้งตำแหน่งนี้ไปเลย

"นพีสี" นี่บอกชัด ๆ เลยว่าเมืองเชียงใหม่ เมืองใหม่ที่ฤๅษีสร้าง ที่เขาเรียก "นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่"

พระธิดาของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี เป็นพระองค์เจ้าวิมลนาคนพีสี บอกชัด ๆ ว่ามาจากเชียงใหม่ แต่คราวนี้ถ้าคนอ่านไม่เป็นก็จะอ่านเป็น วิ-มน-นา-คน-พี-สี จริง ๆ คือ วิ-มน-นาค-นะ-พี-สี

วิมล แปลว่า งดงาม ไร้ตำหนิ , นาค แปลว่า ผู้ประเสริฐ , นว แปลว่า ใหม่ , อิสิ แปลว่า ฤๅษี , วิมลนาคนพีสี แปลว่า ผู้ประเสริฐที่งดงามยิ่งของเมืองใหม่ที่พระฤๅษีสร้าง"

เถรี
15-03-2012, 09:46
"ส่วนตำแหน่งที่เป็นมงคล เป็นแล้วอายุยืนก็มี คือตำแหน่งสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์อย่างของวัดสามพระยา ก็อายุยืนถึง ๙๐ กว่าปี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสุวรรณาราม ก็อยู่ถึง ๑๐๐ กว่าปี ส่วนสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสุทัศน์เทพวราราม ทั้ง ๆ ที่ทั้งแบกทั้งหาม พอรับตำแหน่งกลับออกงานได้เฉยเลย เพราะฉะนั้น..ตำแหน่งมหามงคลต้องเป็นตำแหน่งสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ แล้วเป็นตำแหน่งโบราณด้วย

ตำแหน่งสมเด็จพระวันรัตน์และตำแหน่งสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เป็นตำแหน่งโบราณแต่ดั้งแต่เดิม จริง ๆ แล้วสมเด็จพระวันรัตน์กับสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ต้องไขว้กัน เพราะว่าสมเด็จพระวันรัตน์เป็นของมหานิกาย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เป็นของธรรมยุติ

ปัจจุบันนี้ไขว้กันมาน่าจะตั้งแต่สมัยหลวงปู่สมเด็จวัดสามพระยา สมเด็จพระวันรัตน์ไปอยู่ฝ่ายธรรมยุติ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์หลุดมามหานิกาย พระท่านไม่ได้เลือกหรอก ทรงสถาปนาตำแหน่งอะไรมาก็รับไว้"

เถรี
15-03-2012, 10:15
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานใครตามไปงานพุทธาภิเษกที่ชลบุรีบ้าง ? พระเกจิอาจารย์ ๔๙ รูป อายุรวมกันเกือบสี่พันปี แต่ละท่าน ๙๐ กว่าปีแทบทั้งนั้นเลย อายุ ๕๐ กว่าอย่างอาตมาอยู่เกือบท้ายแถว ถ้าไม่มีครูบาเหนือชัย ครูบาอริยชาติ ไม่มีอาจารย์เล็ก วัดศรีมงคล อาตมาก็คงอยู่ท้ายแถวสุด

แต่ฝ่ายต้อนรับเขาแม่นมาก ไม่รู้ไปเอารูปมาจากไหน เห็นหน้าก็รู้เลยว่าเป็นใคร อาตมาไม่ได้มีโอกาสคุยกับหลวงปู่หวล วัดพุทไธศวรรค์ หลวงปู่เพี้ยน วัดเกริ่นกฐิน หลวงปู่ศิริ วัดละหาร พอท่านเข้ามาเขาก็นิมนต์เข้านั่งปรกเลย เพราะท่านมีธุระต่อก็ต้องไปนั่งก่อน

ส่วนใหญ่ ๙๙ เปอร์เซ็นต์ใช้กำลังของตัวเอง..น่าเสียดาย หลวงปู่ฟู วัดบางสมัคร ท่านเข้าก่อนประมาณ ๑๐ นาที พอถึงเวลาพระบอกว่าพอแล้ว หลวงปู่ก็ลืมตามาพรมน้ำมนต์ เจิมเสร็จ หันมาบอกอาตมาว่า พอแล้ว..เต็มแล้ว..ไปเถอะ แสดงว่าท่านเบาแรงตัวเองเหมือนกัน ขอบารมีพระท่านช่วย อาตมาก็ประคองท่านออกมาข้างนอก ญาติโยมนึกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ ไม่นึกว่าจะกลับ ในเมื่อเสร็จธุระแล้วจะอยู่ไปทำไม ของเต็มแล้วเติมไปก็ล้นเปล่า ๆ"

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : จริง ๆ แล้วใช้เวลาไม่นาน บางทีพระท่านชวนคุยด้วย เรื่องนั้นบ้างเรื่องนี้บ้าง ให้รอเวลานิดหนึ่ง เสกเร็วเกินไปเดี๋ยวญาติโยมเขาไม่เชื่อ

ถาม : เชื่อยากจริง ๆ นะ บางคนนั่งเสก ๔ ชั่วโมงก็มี
ตอบ : แบบเดียวกับหลวงปู่สีหรือหลวงปู่บุดดา พอเอาของไปให้เสก "ขอบารมีหลวงปู่ด้วยครับ" ท่านเอามือแปะทีเดียว "เอ้า..ไปได้แล้ว" คือกำลังใจที่เต็มที่อยู่แล้ว พอถึงเวลาก็เหมือนกับไฟเป็นหมื่น ๆ โวลต์ ช็อตทีเดียวก็เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องคิดอะไรมาก อย่างที่หลวงปู่แหวนบอกว่า "หลวงปู่สีเอามือแตะสามที ดีกว่าฉันเสกสามเดือน"

เถรี
15-03-2012, 12:25
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตำแหน่งพระครูปุริมานุรักษ์ เป็นตำแหน่งพระครูรักษาพระปฐมเจดีย์ด้านทิศตะวันออก สมัยก่อนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะตั้งพระครูสัญญาบัตรรักษาพระปฐมเจดีย์ทั้ง ๔ ทิศ มีพระครูปุริมานุรักษ์ พระครูทักษิณานุกิจ พระครูปัจฉิมทิศบริหาร พระครูอุตรการบดี

พระครูปริมานุรักษ์ รักษาทิศตะวันออก พระครูทักษิณานุกิจ รักษาด้านทิศใต้ พระครูปัจฉิมทิศบริหาร รักษาด้านทิศตะวันตก พระครูอุตรการบดี รักษาด้านทิศเหนือ คราวนี้ตำแหน่งพระครูทั้ง ๔ นี้ ที่ดังที่สุดคือหลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก ท่านเป็นพระครูอุตรการบดี ที่เขาเรียกหลวงพ่อวัดพะเนียงแตกเพราะว่าเขาทำพลุตะไล ปิดถนนจุดฉลองกันในงาน ปรากฏว่าคนไปเที่ยววัดเมามาย ทะเลาะกัน ตีกัน หลวงพ่อทาเบื่อพวกนี้เต็มที เขาจุดพลุท่านก็เลยเอามืออุดกระบอกไว้ พลุพุ่งขึ้นไม่ได้ก็ระเบิดออกด้านข้าง หลวงพ่อท่านยืนเฉยไม่เห็นเป็นอะไร คนเขาก็เลยเรียกว่าหลวงพ่อพะเนียงแตก

พระครูทักษิณานุกิจที่ดังมาก ๆ เลยคือหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม แต่ตอนหลังหลวงพ่อเงินเลื่อนเป็นเจ้าคุณพระราชธรรมมาภรณ์ พระครูปุริมานุรักษ์ที่ดังที่สุดคือหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม

พระมหาธาตุเมืองนครก็มีตำแหน่งพระครูกาแก้ว พระครูกาชาด พระครูกาเดิม และพระครูการาม ปักษ์ใต้เขามีพระครูกา มาจากคำว่าลังกา สมัยนั้นเขาเป็นแผ่นดินลังกาสุกะ

ด้านกาญจนบุรี สมัยก่อนก็มีตำแหน่งที่คล้องจองกันเป็นโคลงเป็นกลอนเลย มี พระวิสุทธิรังษี พระครูสิงคิคุณธาดา พระครูจริยาภิรัต พระครูยติวัตรวิบูล พระครูอดุลสมณกิจ พระครูนิวิฐสมาจาร พระครูวัตตสารโสภณ

ตั้งแต่ตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัด ก็คือพระวิสุทธิรังษี ที่ดังที่สุดคือหลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้ พระครูสิงคิคุณธาดา ที่ดังที่สุดคือหลวงปู่ม่วง วัดบ้านทวน พระครูจริยาภิรัต วัดหนองขาว พระครูยติวัตรวิบูล วัดศรีโลหะราษฎร์บำรุง พระครูอดุลสมณกิจ ที่ดังที่สุดคือหลวงปู่ดี วัดเหนือ พระครูนิวิฐสมาจาร วัดหนองบัว และพระครูวัตตสารโสภณ วัดดอนเจดีย์"

เถรี
15-03-2012, 12:41
ถาม : คนเราถ้าธรรมไม่เสมอกัน ไปด้วยกันไม่ได้ กรณีนี้รวมถึงการใช้ชีวิตคู่ของสามีภรรยาหรือไม่ครับ ?
ตอบ : แน่นอน..ไปเปิดตำราหาคำว่า "สมชีวิธรรม" ดู แล้วจะรู้ว่าคนที่เป็นคู่ครองกัน อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ควรจะต้องมีอะไรบ้าง ถ้าอาตมาบอกหมดเดี๋ยวเราจะขี้เกียจ ให้ไปค้นเอาเองบ้าง

โบราณเขาบอกว่าปลูกเรือนผิดคิดจนเรือนทลาย เพราะฉะนั้น..ถ้าแต่งงานผิดก็คิดจนผัวตาย ปล่อยให้เขาตายไปเองนะ อย่าไปทำให้เขาตาย

เถรี
15-03-2012, 12:45
ถาม : อาวุธมีดดาบคู่บารมี ให้วัดตามความยาวข้อนิ้ว วัดอย่างไรครับ ?
ตอบ : วางนิ้วหัวแม่มือลงไปบนใบมีด แล้วก็ไล่วัดไปสิ ศรีวิชัย ภัยนิรันดร์ สุพรรณลาภ ปราบนคร จรประสิทธิ์ ฤทธิเดช วิเศษสมบัติ พลัดบ้านเมือง เลื่องลือยศ ถ้าไม่สุดใบมีดก็ไปขึ้นศรีวิชัยใหม่ อย่าให้ไปลงภัยนิรันดร์หรือพลัดบ้านเมืองก็แล้วกัน

ดาบง้าวโบราณก็มีการวัดนะ มีร่มโพธิ์ ร่มไทร ไกวแขนไปก่อนท้าว น้าวของท่านมาเรือน ง้าวคมเบือนฟันเจ้า ง้าวไม่เข้าฟันเมีย ฟันเมียเสียลูกแท้ง ก้อนคำแห้งใส่ถุง

ถ้าปืนโบราณก็เริ่มจาก ตูมตายเสี้ยง เขียงหน้าก่อง น่องยานดาย ไปตายไพรอื่น แห่เจ้าหมื่นเข้าเมือง เก็บผักเหลืองใส่ซ้า ง้างี้แบกคืนดาย ถ้าหากว่าเก็บผักเหลืองใส่ซ้าก็เผาทิ้งไปเถอะ แล้วน่องยานดายก็ไม่ได้เรื่องหรอก เพราะว่าเดินจนน่องยานแล้วยังไม่เจออะไรเลย ปืนนี่เขาวัดจากลำกล้อง

ถาม : มีดดาบคือวัดตั้งแต่..?
ตอบ : โคนใบตรงชิดกระบังมือ ถ้ามีดที่ประกอบเป็นเล่มแล้ววัดจากกระบังมือ

แสดงว่าสองตำราหลังมาจากเขตลาว เพราะภาษาเป็นภาษาลาวหรือภาษาเหนือ ตายเสี้ยงก็แปลว่าตายหมด ตูมตายเสี้ยง คือยิงเมื่อไรก็ตายเมื่อนั้น เขียงหน้าก่อง คือ ได้เนื้อมามาก สับจนหน้าเขียงกร่อนไปเลย น่องยานดาย ประเภทเดินไปเมื่อยขาเปล่า ๆ ไปตายไพรอื่น คือยิงโดนก็ไม่ตาย หนีไปตายที่อื่น แห่เจ้าหมื่นเข้าเมืองนี่น่ากลัว ทั้งแบกทั้งหามมาเลย ได้เยอะขนาดนั้น เก็บผักเหลืองใส่ซ้า นี่น่าเบื่อหน่ายมาก แบกปืนเข้าป่าแต่ต้องเก็บผักเหี่ยว ๆ ใส่ตระกร้ากลับมา ง้างี้แบกคืนดาย อุตส่าห์ง้างนกออกจากบ้านไปแล้วยังไม่ได้ยิง จนต้องแบกปืนกลับมา

ยังดีที่คุณมาถาม คนอื่นจะได้จำได้ไปด้วย เพราะเรื่องแบบนี้ค่อย ๆ สาบสูญไป ถึงเวลาจำหรือจดบันทึกเอาไว้ คนรุ่นใหม่ ๆ อ่านเจอจะได้รู้ไว้บ้าง

เถรี
16-03-2012, 09:34
ถาม : มีอยู่ครั้งหนึ่งผมนั่งรถเมล์แล้วพิจารณาไปว่า ในความสุขก็มีความทุกข์ และในความทุกข์ก็มีความสุขบนโลกนี้ แต่ว่าผมได้ยินเสียงหลวงพ่อบอกว่า ความสุขที่แท้จริงในโลกนี้ไม่มี ผมไม่แน่ใจว่าเป็นนิวรณ์หรือเปล่า จึงอยากถามว่าจริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่าโลกนี้ไม่มีความสุขจริงไหมครับ ?
ตอบ : ความสุขมีแต่ที่พระนิพพานที่เดียว ในโลกนี้ที่ว่าสุขคือความทุกข์ที่ลดน้อยลงเท่านั้น

เถรี
16-03-2012, 09:51
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าไปอ่านลีลาวดีภาค ๑ ในเว็บวัดท่าขนุนตอนนี้จะสนุกมาก พระเรวัตตะกำลังโดนกามราคะตีจนเอียงกะเท่เร่เลย ตั้งท่าจะสึกแล้ว

ความจริงเนื้อเรื่องลีลาวดีตอนนี้ขาดความสมจริงอยู่จุดหนึ่ง แต่จะไปตำหนิท่านอาจารย์แสงก็ไม่ได้ เพราะว่าเนื้อเรื่องเป็นบ้านเมืองของอินเดีย ในเมื่อเป็นบ้านเมืองเขาธรรมเนียมบางอย่างเราก็ไม่รู้ สมัยอินเดียยังเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ถ้าหัวหน้าครอบครัวตายลงแล้วไม่มีลูกชายสืบทอด จะโดนหลวงยึดสมบัติหมด

ตอนนั้นท่านสุมังคลคฤหบดีกับชัยเสน ซึ่งเป็นพ่อและพี่ชายของลีลาวดีตายไปแล้วทั้งคู่ ท่านบอกว่าเหลือแต่แม่กับลูกสาวรอพระเรวัตตะสึกไปเพื่อครองสมบัติ ความจริงแล้วไม่ได้หรอก ถ้าเป็นจริงโดนยึดสมบัติไปหมดแล้ว"

เถรี
16-03-2012, 10:23
ถาม : เมื่อก่อนเวลานอนแล้วภาวนา ก่อนจะตื่นผมจะภาวนาต่อสัก ๔ - ๕ ครั้งก่อนแล้วค่อยตื่น แต่ช่วงนี้ไม่เป็นแล้วครับ ?
ตอบ : กำลังใจตก..เพราะว่าถ้าเข้าถึงสมาธิขั้นละเอียด..หลับอยู่ก็รู้ว่าหลับ จะตื่นยังต้องบอกตัวเองให้ตื่นก่อน ถ้าสมาธิหยาบมาอีกหน่อยหนึ่ง...ก่อนตื่นจะรู้ตัวจับคำภาวนาก่อนตื่น ถ้าหยาบกว่านั้นอีกหน่อย...ตื่นขึ้นมาแล้วรู้ตัวจับคำภาวนาต่อ ถ้าหยาบยิ่งกว่านั้น...ตื่นแล้วแคะขี้ตาอยู่พักหนึ่งแล้วถึงนึกขึ้นได้ว่าต้องภาวนา แสดงว่าของเราถอยหลังไปแล้ว ให้เร่งขึ้นหน้าอีกหน่อย

ถาม : คาถาตะกรุดมหาสะท้อน ต้องภาวนาวันหนึ่งมากแค่ไหนครับ ?
ตอบ : เอาแค่ช่วงเช้าให้อารมณ์ใจทรงตัวก็พอแล้ว

เถรี
16-03-2012, 10:39
โยมยกถังสังฆทานมา แต่ไม่ได้ยกพระพุทธรูปมาด้วย พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ให้ยกพระพุทธรูปมาด้วยจ้ะ ทำบุญอย่าให้ขาดทุน เดี๋ยวเกิดเป็นเทวดารัศมีกายจะสว่างน้อยกว่าเขา โลกอื่นเขาวัดกำลังบุญด้วยรัศมีกาย ใครสว่างมากก็แสดงว่ามีบุญมาก

น่าเห็นใจโยมเหมือนกัน เพราะถังสังฆทานก็หนักพออยู่แล้ว ไหนจะพระพุทธรูปอีก ทำให้ยกมาทีเดียวไม่ได้ บางทีก็ลืมไปเลย บางทีอาตมายกข้าวของชนิดที่ ๓ - ๔ คนเขายก แต่อาตมายกคนเดียว มีคนถามว่าไม่หนักหรือ ? อาตมาบอกไปว่าไม่ถามได้ไหม ? ดันทะลึ่งถาม จากที่ไม่หนักเลยทำให้รู้สึกว่าหนัก..!"

เถรี
16-03-2012, 11:11
ถาม : มีครั้งหนึ่งผมถวายสังฆทานกับหลวงตาวัดป่าท่านหนึ่ง แล้วถวายพระพุทธรูปไปด้วย ท่านบอกว่าพระพุทธรูปท่านรับให้แล้ว ให้เอากลับไปบูชาที่บ้านได้ อย่างนี้ผมต้องชำระหนี้สงฆ์ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้อง..เพราะท่านให้เราเอง ส่วนหลวงตาก็เป็นหนี้สงฆ์ไป เราไม่ได้เป็นหนี้สงฆ์ สำหรับพระป่าอะไรที่ดูแลยาก รุงรังเกินไป ท่านก็มักจะให้วัดอื่นหรือให้คนอื่นไป

ไม่ต้องอะไรมากหรอก นึกถึงงานพุทธาภิเษกที่วัดเขาวงก็แล้วกัน คนที่ทำบุญเขาจะทำบุญอย่างเดียว เขาไม่ได้ดูว่าอาตมาจะเอาไปได้หรือเปล่า ย่ามของอาตมามีคนใส่น้ำมา ๑ ขวด สมุดบันทึกไดอารี่ ๔ เล่ม แล้วจะเหลืออะไรให้คนอื่นใส่ ? นั่นลักษณะทำบุญแบบไร้สติ กูจะทำอย่างเดียว ไม่ได้ดูว่าคนรับจะเอาไปได้หรือเปล่า ?

ส่วนอีกรายหนึ่งใส่ลักษณะเหมือนกับเป็นไฟฉาย คราวนี้มาในกรอบกระดาษแก้วซึ่งเป็นที่ครอบด้วย ใส่มาคนเดียว ๓ อัน แล้วย่ามใบแค่นี้จะใส่อย่างไร คนอื่นเขาก็จ้องใส่ กว่าอาตมาจะเดินหลุดออกมาได้แทบตาย ยังดีได้ถุงก๊อบแก๊บมาอีก ๓ ใบ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าคนอื่นจะใส่อะไร เพราะเต็มจนล้นแล้ว

สรุปแล้วกลับจากวัดเขาวงมา นอกเหนือจากปัจจัยส่วนที่ถวายหลวงตาไปแล้ว ยังมีติดกลับมาอีกหนึ่งแสนสองหมื่นกว่าบาท คนจำนวนหนึ่งเขามาเพื่อดูหน้าอาตมาเท่านั้น เพราะได้ยินแต่ชื่อไม่เคยเห็นหน้า ส่วนอีกจำนวนหนึ่งถ้าอาตมาเป็นสาว ๆ ต้องบอกว่าโดนลวนลาม เพราะเขาเล่นจับ ๆ คลำ ๆ แล้วเอามือไปลูบหัว อาตมาว่าถ้ามือสากหน่อย คงลูบอาตมาจนสึกไปเป็นแถบ ๆ ไปแล้ว..!

เวลาเห็นคนที่เขาศรัทธามาก ๆ แต่ปัญญายังน้อยอยู่ การแสดงออกของเขา บางทีก็รู้สึกว่าน่าสงสาร แต่ก็ยังดีที่เขายึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง แม้ว่าเป็นการยึดตัวตนอยู่ก็ต้องถือว่ายึดแล้ว เพราะเราต้องเกาะดีไว้ก่อน ก่อนที่จะปล่อยดีทีหลัง ประเภทนี้ยังต้องฝ่าฟันอีกหลายชั้นเลย กว่าที่จะรู้ว่าคุณพระรัตนตรัยที่แท้จริงเป็นอย่างไร ตอนนี้เขายึดตัวบุคคลเป็นเหตุ ก็ต้องให้เขายึดไปก่อน

เถรี
16-03-2012, 11:33
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานเลี้ยงน้ำกับขนมเด็ก ๆ ด้วย ก็เลยคาดว่าเดือนหน้าจะมาหนักกว่านี้อีก (หัวเราะ) ขนม ๒๐๐ ชิ้นเหลือ ๑ ชิ้น ปรากฏว่าคุณครูขอไปด้วย

เวลาเห็นเด็ก ๆ เข้าวัดเข้าวา แล้วครูบาอาจารย์เต็มอกเต็มใจพามา ก็มีความหวัง แม้ว่าส่วนใหญ่จะไหลตามกระแสโลกไป แต่อย่างน้อย ๆ ส่วนหนึ่งก็มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง พวกนี้ถ้ามาบ่อย ๆ แล้วจะโดนอาตมาหลอก หลอกให้ทำนั่นนิดทำนี่หน่อย เมื่อวานเล่าเรื่องผีให้ฟัง แล้วบอกพวกเขาว่าทำดีหรือทำไม่ดี พ่อแม่ไม่เห็น ครูไม่เห็น หลวงพ่อก็ไม่เห็น แต่ผีเขาเห็นทุกตัวเลย..(หัวเราะ)..

จริง ๆ แล้วในเรื่องของเด็ก แค่รู้ว่าต้องพูดกับเขาอย่างไร แล้วเขาจะเอาไปคิดไปจำก็พอแล้ว"

เถรี
16-03-2012, 15:37
พระอาจารย์กล่าวว่า "การเรียนบาลีมีคุณความดีมากตรงที่ว่า เราต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการเรียน โดยเฉพาะการท่องจำไวยากรณ์ ถ้าเราใช้คำท่องจำเป็นคำภาวนา ก็เท่ากับว่าเป็นการปฏิบัติธรรมเต็ม ๆ เลย

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านท่องบาลีไปเรื่อย ๆ ท่องไปท่องมาเห็นตัวเองนั่งท่องบาลีอยู่ ก็คือ ท่านท่องบาลีจนกายในหลุดขึ้นไปบนเพดานเมื่อไรก็ไม่รู้ แล้วกายในก็มองตัวเองที่นั่งท่องบาลีอยู่

ส่วนอาจารย์มหาทองดี เวลาญาติโยมให้เจิมบ้านเจิมรถ ถามว่าอาจารย์ใช้คาถาบทไหน ท่านบอกว่าไม่มีคาถาหรอก ผมก็ท่องไวยากรณ์บาลีนั่นแหละ ท่องไปท่องมา เกิดความเคยชิน คล่องตัว เกิดความมั่นใจก็ขลังไปเอง

ภาษาบาลีให้รายละเอียดได้เยอะมาก พูดออกมาคำหนึ่งสามารถแยกแยะได้เลยว่า เป็นอดีต เป็นปัจจุบัน เป็นอนาคต เป็นอดีตใกล้ปัจจุบัน เป็นปัจจุบันใกล้อนาคต ต้องบอกว่า tense ของบาลีเยอะกว่าภาษาอังกฤษ"

เถรี
16-03-2012, 16:19
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนพอลูกสาวอายุได้ ๑๖ - ๑๘ ปี พ่อแม่ก็มานั่งเครียดว่าเมื่อไรลูกจะแต่งงาน ส่วนสมัยนี้อายุ ๓๐ - ๔๐ ปีแล้วก็ยังไม่แต่ง

สมัยก่อนความจำเป็นบังคับ เพราะผู้หญิงแทบจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย จะอยู่ได้ต้องมีครอบครัว ถ้าหากว่าพ่อแม่ชราลงแล้วไม่มีคนเลี้ยง ถึงเวลาพอลูกอายุ ๑๕ , ๑๖ , ๑๗ ปี โดยเฉพาะ อายุ ๑๘ ปี แล้วไม่แต่งนี่ พ่อแม่เริ่มเครียด กลัวลูกจะค้างเรือน สมัยก่อนใช้คำว่า "ค้างเรือน" สมัยนี้อายุ ๔๐ ปียังอยู่กันเฉย ๆ ไม่มีใครเครียด เพราะผู้หญิงสมัยนี้ทำมาหากินเอง ไม่ต้องอาศัยผู้ชายเลี้ยง

ไม่อย่างนั้นจะเหมือนเมื่อโยมสักครู่ที่มาสารภาพว่า "หลวงพ่อครับ..ที่บอกว่าอยู่คนเดียวเปลี่ยวกายแสนสบายแต่ไม่สนุก อยู่สองครองทุกข์ถึงสนุกแต่ไม่สบาย ผมกำลังเจอเต็ม ๆ" บอกไปว่า อ๋อ..แสดงว่าคุณกำลังสนุกอยู่ละสิ แสนสนุกแต่ไม่สบาย

จะว่าไปแล้วการมีชีวิตครอบครัวเป็นเรื่องที่หนักมาก เพื่อน ๆ รุ่นเดียวกับอาตมาอายุ ๕๓ - ๕๔ ปีนี่ เวลาไปนั่งคู่กับเขาอาตมากลายเป็นลูกชายเขาไปเลย เขาเครียดเรื่องครอบครัวจนดูแก่มาก ตอนงานที่วัดเขาวง อาตมาเจอเพื่อนเลยเรียกมาถ่ายรูปคู่ บอกว่าเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน คนอื่นเขายังงง ๆ ว่าใช่หรือ ?

ถ้าคิดว่าดูแลตัวเองได้ การอยู่คนเดียวนั้นสบายทุกคน อาตมาเองสมัยก่อนก็ได้ยินคนแก่พูดอยู่เรื่อย "ไม่แต่งการไม่แต่งงาน เดี๋ยวแก่ตัวไปไม่มีใครดูแลนะ" อาตมาก็ชอบคิดแผลง ๆ ถ้าแต่งไปแล้วเราต้องไปดูแลเขา แทนที่เขาจะมาดูแลเรา จะไม่ยิ่งทุกข์กว่าหรือ ?

ตัวเลขสถิติผู้หญิงไทยปัจจุบัน ๑๘ เปอร์เซ็นต์ไม่แต่งงาน นี่ยังน้อยนะ สถิติของญี่ปุ่นน่ากลัวมาก ๓๙ เปอร์เซ็นต์ไม่แต่งงาน เขาถือว่าอยู่คนเดียวได้ เพราะผู้ชายญี่ปุ่นถ้าหากว่าแต่งงานแล้ว เขาจะเป็นเจ้านาย ทุกอย่างให้ผู้หญิงทำหมด เพราะฉะนั้น..ผู้หญิงญี่ปุ่นที่เขาทำงานเองได้ ทำอะไรเองได้ เขาเลยไม่แต่งงาน

หลวงตาวัชรชัยท่านเคยเปรียบไว้ว่า ทำงานเหนื่อยนอกบ้านมาด้วยกัน พอกลับมาถึงบ้านแทนที่จะช่วยเมียถูบ้าน รดน้ำต้นไม้ ดันมานั่งไขว่ห้างอ่านหนังสือพิมพ์ รอเมียทำกับข้าวให้กิน พอทำกับข้าวเสร็จเมียยังต้องมาถูบ้านอีก แบบนี้ก็ตายสิ..อยู่ที่ทำงานมีเจ้านายแล้ว กลับบ้านยังมาเจอเจ้านายอีก แบบนี้ไม่แต่งดีกว่าว่ะ..!"

เถรี
17-03-2012, 10:07
ถาม : ช่วงนี้มีบางท่านที่ใช้มโนมยิทธิในทางที่ผิด แล้วทำให้มีผลกระทบ ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่คะ ?
ตอบ : ผู้ที่ได้มโนมยิทธิมักจะนำไปใช้ผิดเกิน ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ต้องใช้คำว่า "เพราะเห็นจึงเชื่อ" โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นเรื่องจริง หรือเป็นเรื่องที่ปรุงแต่งหลอกกัน อาตมามักจะเปรียบเทียบว่า เราเห็นคนเขาวิ่งไล่ฆ่าไล่ฟันกันมา เราก็ลากมีดลากปืนไปช่วยเขา แต่จะโดนเขากระทืบตาย เพราะว่าเขากำลังถ่ายหนังกันอยู่ ก็คือเราเห็นเขาไล่ฆ่ากันมาจริง ๆ แต่เรื่องที่เราเห็นนั้นไม่จริง


บุคคลที่ปฏิบัติแล้วรู้เห็นได้ มักจะโดนทดสอบ คราวนี้คนที่รู้เห็นก็มักจะขาดสติ เพราะเห็นจึงเชื่อ โดยไม่มีการไตร่ตรองก่อน จะว่าไปแล้วก็เรื่องตัวกูของกูเต็ม ๆ นั่นแหละ เพราะกูเห็น..จะไม่ให้เชื่อได้อย่างไร ? ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็จะมีจำนวนมากต่อมากด้วยกัน ที่โดนหลอกแล้วเป๋ออกนอกทางไปเลย

ยกตัวอย่างหลวงพ่อท่านหนึ่งที่เป็นข่าว ท่านบอกว่า เวลาพรมน้ำมนต์ พวกสัมภเวสีจะเดือดร้อนมาก พรมน้ำมนต์แล้วตัวขาดเป็นท่อน ๆ เจ็บปวดเหลือเกิน สงสารเขา อย่าไปทำเลย เรือนชานบ้านช่องก็ไม่ควรมีวัตถุมงคล ผ้ายันต์ หรือพระพุทธรูปไว้ เพราะทำให้ผีเข้าออกไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ท่านเห็นแล้วพูดตามที่เห็น

โยมมาถามอาตมาว่าควรจะเชื่อดีไหม ? อาตมาเลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าโยมเปิดร้านทอง แล้วโจรมาบอกว่าอย่าเอาตำรวจมาเฝ้าร้านเลย เพราะทำให้ปล้นร้านลำบาก โยมจะเชื่อไหม ?

ถาม : แต่คนส่วนใหญ่มักจะเชื่อ
ตอบ : ก็เพราะอย่างนั้น พอเปรียบเทียบให้ฟังชัด ๆ แล้วเขาถึงรู้ว่า การที่เห็นแล้วพูดเลย แสดงว่ายังรู้ไม่จริง เพราะบุคคลที่รู้จริง เขารู้ว่าควรจะพูดแค่ไหน

ถาม : แล้วสิ่งนั้นกระทบในชีวิตประจำวัน
ตอบ : กระทบแน่นอน โดยเฉพาะคนที่ขวัญอ่อนหน่อยนี่ไปเลย

ถาม : เมื่อเราถูกกระทบควรจะวางอย่างไร ?
ตอบ : ยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง อย่าไปหวั่นไหวกับสิ่งอื่น อยู่กับทาน อยู่กับศีล อยู่กับภาวนาของเรา ได้ยินก็ถือแค่ว่าเป็นลมผ่านหูไป พิจารณาด้วยปัญญาแล้ว สิ่งนี้ตรงกับคำสอนของหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ที่เราเชื่อมั่น ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากว่าไม่ตรงกันก็ต้องละเอาไว้ก่อนว่ายังไม่เชื่อ

สงสัยอีกก็ไปเปิดพระไตรปิฎก แต่อย่าไปเปิดพระไตรปิฎกอย่างหลวงพ่อท่านนั้นนะ เพราะท่านเล่นเถรตรง ก็คือไม่ได้เข้าใจความหมายอย่างแท้จริง เป็นการตีความตามตัวอักษร นั่นก็ทำให้ผิดอีก

ถาม : เราก็ปล่อยให้เขาทำสิ่งนั้นไป ?
ตอบ : สรุปก็คืออย่าไปยุ่งกับเขา รักษากำลังใจของเราให้ดีที่สุด ไปยุ่งกับเขาเมื่อไร กำลังใจของเราจะหมอง ถ้าหากว่าตายตอนนั้นเราจะขาดทุนมาก

เถรี
17-03-2012, 11:45
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเราพอแก่ตัวมากขึ้น หน้าที่ความรับผิดชอบก็มากขึ้น แต่ขณะเดียวกันสังขารก็อยู่ในทิศทางตรงกันข้ามคือเสื่อมลงไปทุกที งานที่สมัยหนุ่ม ๆ เคยทำแล้วไม่หนัก ตอนนี้ก็กลายเป็นหนักไปแล้ว"

เถรี
17-03-2012, 11:57
พระอาจารย์กล่าวว่า "สุนัขมีจมูกที่ไวกว่าเรา ๔๐ เท่า แต่สมัยนี้เสื่อมสภาพหมดแล้ว สมัยอาตมาเด็ก ๆ อยู่บ้านต่างจังหวัด เอากระดูกขาไก่ยกขึ้นให้สุนัขดู แล้วขว้างเข้าไปในดงหญ้า สุนัขวิ่งตามเข้าไปไม่ถึงนาทีก็เอากระดูกออกมากิน ส่วนสุนัขสมัยนี้โยนขนมเลยหัวไปหน่อยเดียวก็หาไม่เจอแล้ว"

ถาม : เป็นเพราะอะไรคะ ?
ตอบ : เพราะอยู่สบายกินสบายจึงเสื่อมสมรรถภาพ ถ้าปล่อยให้เข้าป่าอด ๆ อยาก ๆ บ้างแล้วจะเก่ง เพราะการอยู่ในป่าถ้าไม่กินเขา ก็จะโดนเขากิน การฝึกที่โหดระดับนั้น คนที่อยู่รอดได้จึงต้องเป็นเป็นที่ผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง

ลักษณะเดียวกับการปฏิบัติธรรมของเรา เปอร์เซ็นต์ที่รอดไปนิพพานได้มีนิดเดียว แต่ก็มี..! มีช่วงหนึ่งที่อาตมาต้องรบกับพระยามาร ฟาดกันชนิดฟ้าถล่มดินทลาย เขายกพหลพลโยธามามากจนนับไม่ได้ เขาบอกว่าที่ปล่อยให้พระพุทธเจ้ารอดไปได้เพราะเป็นเพื่อนกัน ถ้าเขาไม่ปล่อยไม่มีทางรอดมือเขาไปได้แน่นอน แล้วอาตมาเป็นใครถึงจะไปคิดสู้กับเขา ?

ตอนที่พระยามารมาอยู่ต่อหน้า พลังของเขาที่แผ่ออกมา ความรู้สึกของอาตมาเหมือนกับว่าใจจะขาดรอน ๆ เหมือนลูกไก่อยู่ต่อหน้าพญางู มีอนุสติสุดท้ายอยู่นิดเดียวเท่านั้นว่า พระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันตเจ้าก็ดี ท่านไปนิพพานกันจนนับไม่ถ้วนแล้ว ถ้ามารเก่งจริงทำไมขวางท่านไม่อยู่ เพราะฉะนั้น..มารไม่เก่งจริงหรอก ดีแต่เป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กเท่านั้น แล้วก็มาเจอเด็กก็สู้อีกด้วย..!

เถรี
17-03-2012, 11:57
อาตมาบอกกับมารไปว่า "ถ้าโลกนี้ไม่มีพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตเจ้า กูจะยอมไหว้มึง แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ตอนนี้เอ็งมาข้าสู้..!" แต่สู้กับเขา..ขอโทษเถอะ ประตูชนะแทบจะไม่มีเลย จะแผ่เมตตาให้ กำลังเราก็ไม่เท่าพระพุทธเจ้า ระดับพระพุทธเจ้าเขายังไม่รับเลย แล้วจะไปใช้กำลังอภิญญาสมาบัติอะไรก็ไม่ไหว เพราะเขาถนัดกว่าเราเยอะเลย

เขาอยู่ในเขตของความเป็นทิพย์ เรื่องพวกนี้เขาชำนาญคล่องตัวกว่าจนนับไม่ได้ เลยอยู่ในลักษณะที่สู้ก็ไม่ได้ หนีก็ไม่ได้ ตื๊อกันจนวินาทีสุดท้าย มีปัญญาตีก็ตีไป เราอึดให้ได้ก็แล้วกัน ท้ายที่สุดหลังจากฟาดกันอยู่เป็นอาทิตย์ เขาก็รามือถอยไปเอง เพราะหมดวาระแล้ว และอาตมาไม่ยอมแพ้สักที

เรื่องพวกนี้ปกติไม่น่าเล่าให้คนอื่นฟัง แต่ว่าใครสักคนหนึ่งที่ถ้ามีวาสนาบารมีทางด้านนี้ ก็คือสามารถรู้เห็นเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน ถ้าเขามาข่มขู่ในลักษณะนี้ให้รู้ไว้ว่า เขาทำเราให้ตายไม่ได้..ในเมื่อเขาทำเราให้ตายไม่ได้ก็ไม่ต้องไปกลัวเขา เขาจะกลั่นแกล้ง จะทุบตี จะฆ่าฟัน หวดเราจมดินลงไปเป็นกิโลเมตรก็ช่างเถอะ ตื๊อสู้เขาอย่างเดียว เพราะถ้าเขาทำเราตายเท่ากับผิดกฎ เขาได้แต่ข่มขู่ให้เราเลิกปฏิบัติความดีเท่านั้น

นี่อาตมาเปิดเผยความลับมากไปเดี๋ยวก็โดนอีก ในเมื่อทำเราให้ตายไม่ได้ ไม่ตายซะอย่าง ไม่ต้องกลัวหรอก เจ็บแค่ไหนก็ทนได้ สมัยก่อนเขาบอกว่า "ศรีทนได้" ถ้าใครมีวาสนามาทางนี้ ตื๊อไปเลย ยื้อเข้าไว้ เดี๋ยวเขาเบื่อหน่ายหรือหมดวาระเขาก็เลิกไปเอง

เถรี
18-03-2012, 09:01
เนื่องจากไมโครโฟนถ่านหมด ต้องเปลี่ยนใหม่ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "จะเห็นได้ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนไว้เป็นความจริงแท้ ใครก็เถียงไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ พระองค์ท่านตรัสว่าสรรพสิ่งเป็นอนิจจัง ใช้ไมโครโฟนอยู่ ๆ ถ่านก็หมดอีกแล้ว

ถ้าหากว่าใครมองเห็นความเสื่อมตรงนี้ ก็เป็นปัญญา ถึงแม้เป็นแค่ปัญญาเล็กน้อย แต่ก็ทำให้เราเห็นคุณของพระรัตนตรัยอย่างแท้จริงว่า โอหนอ..พระพุทธเจ้าทรงเป็นอัจฉริยะมนุษย์สุดประเสริฐจนถึงปานนี้ สิ่งที่ละเอียด เห็นได้ยากอย่างธรรมะ พระองค์ทรงเห็นแจ้ง แล้วนำมาสั่งสอนเราให้เห็นตามไปด้วย สิ่งที่พระท่านสอนคือพระธรรม ซึ่งป้องกันเราไม่ให้ตกลงไปสู่ที่ชั่ว นำเราไปสู่ความพ้นทุกข์

ผู้ที่นำพระธรรมมาสั่งสอนเรา ก็คือ พระอริยสงฆเจ้า ท่านปฏิบัติตามพระธรรมนั้น จนกระทั่งเสวยวิมุตติรสแห่งพระนิพพานแล้ว จึงนำสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มาสอนเรา เมื่อพิจารณาดังนี้ก็จะเห็นคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแท้จริง ไม่ใช่กราบพระติดอยู่ที่พระพุทธรูป กราบพระธรรมติดที่ใบลาน กราบพระสงฆ์ติดที่ลูกชาวบ้าน แบบนั้นก็แย่กันพอดี

กราบพระรัตนตรัยต้องเข้าถึงคุณจริง ๆ การเข้าถึงคุณพระรัตนตรัยจริง ๆ ต้องมีปัญญา แต่เป็นปัญญาเบื้องต้นไม่ได้มากมายอะไร เพียงแต่ว่าต้องมองให้เห็นเท่านั้น"

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : มีคนเขาพูดคล้อง ๆ กันว่า กราบพระพุทธรูปติดที่ทองคำ กราบพระธรรมติดที่ใบลาน กราบพระสงฆ์ติดที่ลูกหลานชาวบ้าน เหมือนกับพรรคการเมืองบางพรรค ที่ติดอยู่กับอดีตผู้นำคนเดียว เขาจะสมานสามัคคีอย่างไรไม่รู้ แต่กูจะต่อต้านอดีตนายกฯ คนนี้อย่างเดียว

ถาม : เขาทำบุญอะไรมา ถึงมีอำนาจมาก
ตอบ : พุทธะปูชา มหาเตชะวันโต การบูชาพระพุทธเจ้าทำให้มีเดชมีอำนาจมาก เกิดมาเมื่อไรก็เป็นผู้นำเขา แต่ว่าผู้นำบางท่าน บูชาพระพุทธแล้วลืมบูชาพระธรรม จึงขาดปัญญา ธัมมะปูชา มหาปัญญะวันโต ในเมื่อขาดการบูชาพระธรรม จึงทำให้มีปัญญาน้อยไปนิดหนึ่ง

เถรี
18-03-2012, 09:25
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้สมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบธ พระบรมราชินีนาถ ทรงครองราชย์ ๖๐ ปีแล้ว ส่วนในหลวงของเราครองราชย์ ๖๖ ปีแล้ว ถ้าถึง ๗๕ ปีนี่ไม่ทราบว่าจะไหวหรือไม่ จะได้มีการฉลองวัชราภิเษกบ้าง

วันนี้อาตมาไปสนามหลวงมา เห็นเขาสร้างพระเมรุมาศถวายสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทำได้สมพระเกียรติ แล้วในหลวงก็พระราชทานยศสูงสุดให้เลย โปรดเกล้าให้ยกฉัตรขาว ๗ ชั้นประดับยอดพระเมรุ ก็คือ สัปตฎลเศวตฉัตร เป็นรองแค่ในหลวงเท่านั้น

ส่วนเครื่องยศของสมเด็จพระสังฆราชเป็นฉัตร ๓ ชั้น ไม่แน่ใจว่าถ้าเป็นสมเด็จพระสังฆราชที่เป็นเชื้อพระวงศ์จะมีการเพิ่มหรือไม่ ? อย่างสมเด็จพระสังฆราชรุ่นเก่า ๆ ที่เป็นหม่อมเจ้าหรือพระองค์เจ้า อย่างสมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรส ท่านเป็นพระองค์เจ้าก็เลยได้รับ มหาสมณุตมาภิเษกขึ้นเป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส

พระมารดาท่านมีโอรสธิดา ๕ องค์ มีพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ พระองค์เจ้าพักตร์พิมลพรรณ พระองค์เจ้าเกษมสันต์โสภาคย์ พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ พระองค์เจ้าบรรจบปัญจมา พระองค์ท่านก็คือพระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ

มีพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์โดนถอดยศลงเป็นหม่อมยิ่งเฉย ๆ ที่โดนถอดยศเพราะรัชกาลที่ ๔ ท่านอยู่ในศีลกินในธรรม นิมนต์พระเข้าไปเทศน์โปรดอยู่เรื่อย ๆ พระองค์ท่านไม่ทราบว่าพระภิกษุกับพระองค์หญิงเล็งกันอยู่ พอพระองค์หญิงเห็นพระภิกษุเข้าไป หน้าตาไม่คุ้นก็ให้ความสนใจ ต้องบอกว่ามีเวรมีกรรมด้วย ท้ายที่สุดก็ลักลอบเข้าหากันจนตั้งครรภ์ พอความทราบถึงพระเนตรพระกรรณก็โดนถอดยศจากพระองค์เจ้าลงไปเป็นสามัญชน"

เถรี
18-03-2012, 15:53
พระอาจารย์เล่าว่า "ศัพท์ทหารบางอย่างก็ไม่เหมือนกับศัพท์ชาวบ้าน ถ้าได้ยินก็จะรู้เลยว่าเคยเป็นทหารมาหรือเปล่า ? อย่างเช่นคำว่า "จำหน่าย" อย่างของพวกเราจำหน่ายก็คือขาย แต่การจำหน่ายของทหารก็คือตัดออกจากบัญชี เช่น จำหน่ายได้ ๕ เปอร์เซ็นต์ของการฝึกโดยผู้บังคับบัญชาไม่มีความผิด แปลว่าในการฝึกทหาร ๑๐๐ คน ตายได้ ๕ คน เป็นแค่การฝึกนะ แต่ก็มีคนตายจริง ๆ ไม่ได้พูดเล่น

รุ่นอาตมารอด ไม่มีคนตาย แต่รุ่นน้องตาย รุ่นจ่าตุ๋ย (จ.ส.อ.ศุภชัย เลิศมงคล) ที่เฝ้าวัด คอยดูแลหลวงพ่อวัดท่าซุงนั่นก็ตาย ตายกันแทบทุกรุ่น มีรุ่นน้องถัดไป ๒ รุ่นที่ตายน่าเกลียดมาก เพราะไปสะดุดแฟร์ แฟร์ก็คือพลุส่องสว่าง เดินสะดุดแล้วล้มทับ พลุจึงระเบิดใส่ตัวไหม้ไปทั้งแถบ เลยติดเชื้อตาย แสดงให้เห็นได้ชัด ๆ เลย ว่าเขาต้องเคยไปเผาใครมาก่อน

ส่วนรุ่นน้องรุ่นติดกัน ตายเพราะโดนเอ็ม. ๖๐ ถ้าอยากรู้ว่าเอ็ม. ๖๐ หน้าตาเป็นอย่างไร ให้นึกถึงปืนที่คุณแรมโบ้ถือ ที่มีกระสุนเป็นสาย ๆ นั่นแหละ โดนเข้าตรงที่หัวไหล่ ขาดสะพายแล่งเหมือนกับขวานจาม แสดงว่าเมื่อก่อนต้องเคยออกรบ ไปฟันเขาขาดสะพายแล่งมาเหมือนกัน

พลทหารสมพงษ์ พินิจมนตรี นี่ไม่น่าตาย ต้องบอกว่าวาระกรรมมาถึงจริง ๆ ระหว่างที่กำลังคลานรอดวิถีกระสุน ทหารเขายิงด้วยกระสุนจริง ๆ ระเบิดก็ระเบิดจริง แต่ถ้าทำตามขั้นตอนการฝึกจะไม่มีอันตราย คราวนี้ตอนที่ครูฝึกเขากดระเบิดที่ฝังไว้ งูตกใจพรวดออกจากรูมาตรงหน้าที่พลทหารสมพงษ์อยู่พอดี เขาก็ผวาลุกขึ้น ตกใจกลัวงูจนลืมลูกปืน ก็เลยโดนเอ็ม. ๖๐ เข้าไป นัดเดียวขาดสะพายแล่งตายคาที่เลย"

ถาม : ครอบครัวได้เงินช่วยหรือไม่ ?
ตอบ : ครอบครัวได้เงินช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ คนละ ๒ บาท จริง ๆ แล้วจะไม่ให้เลยก็ได้ เพราะกฎกระทรวงเขากำหนดชัดแล้วว่าจำหน่ายในการฝึกได้ร้อยละ ๕ โดยที่ผู้บังคับบัญชาไม่มีความผิด

ถาม : แล้วถ้าเกิดเขาไล่ความผิด ?
ตอบ : ต้องสอบสวนก่อนว่าเป็นเหตุสุดวิสัยหรือเปล่า ? ถ้าเป็นเหตุสุดวิสัยขึ้นมาก็ยกคำฟ้อง

เถรี
18-03-2012, 16:12
รุ่นของจ่าตุ๋ย ตอนฝึกจู่โจมต้องโหนเชือกลงจากหน้าผาแล้วทิ้งตัวลงน้ำ เขาดันลงผิดจังหวะ ปกติเวลาโหนเชือกตัวจะแกว่งขึ้นหน้าถอยหลัง จังหวะที่แกว่งสุดหลังกำลังจะขึ้นหน้าเขาให้ปล่อยมือ แล้วเท้าจะลงล่างพอดี ๆ

แต่เขาดันแกว่งผิด แกว่งขึ้นหน้าสุดกำลังจะกลับหลัง แล้วเขาไปปล่อย ตัวก็ฟาดลงตรง ๆ กับพื้นน้ำที่สูงเกือบ ๔๐ เมตร สูงขนาดนั้นน้ำก็คือดินดี ๆ นี่เอง ตายคาที่เหมือนกัน งมศพขึ้นมาข้าวเต็มปากเต็มจมูกไปหมดเลย เพราะกระแทกกับพื้นน้ำแล้วขย้อนจากกระเพาะออกมา

ครูฝึกเขามักจะด่า "อย่าทำมึน..!" มึนคือทำไม่รู้ไม่ชี้ให้ผ่านไป สิ่งที่ครูฝึกบอกมาทั้งหมดนั้น ถ้าคุณจำได้คุณจะเอาชีวิตรอดได้ พวกที่ทำมึนไปวัน ๆ รอให้การฝึกพ้น ๆ ไปนั่น ตายมาเยอะแล้ว

การฝึกของทหารช่วยสร้างความอดทน คล้าย ๆ กับพระธุดงค์เหมือนกัน เพราะบางทีทหารจะมีปัญหาในการฝึกที่ทำให้ต้องอด ๓ วัน ๕ วัน เช่น ตลอดระยะ ๗๒ ชั่วโมง จะต้องไปตามปัญหาที่ครูฝึกกำหนด จากจุดนี้ไปจุดนั้นเพื่อไปรับคำสั่ง บางทีคำสั่งก็เป็นเศษกระดาษเขียนแปะบนพื้นเฉย ๆ ว่าต้องไปต่อที่ไหน แล้วก็มีข้าศึกสมมุติคอยตามตีอยู่ตลอดเวลา ทำให้ไม่ได้กิน ไม่ได้นอน

บางคนเขาถึงบอกว่าเป็นหลักสูตรฝึกคนให้เป็นควาย แล้วอาตมาก็เห็นจริง ๆ ว่าร่ายกายไม่ใช่ของเรา บังคับบัญชาไม่ได้เลย พอไปถึงชั่วโมงท้าย ๆ อาตมาเดินอยู่บนถนน เห็นว่าทางเลี้ยวโค้ง สมองอาตมาก็สั่งให้เลี้ยว แต่ตีนไม่เลี้ยวตาม เดินตกถนนไปเลย เพราะว่าประสาทชาไปหมด สั่งงานไม่ได้แล้ว

พอเวลาอดมาก ๆ เข้า เจออะไรก็จะกิน แต่เหมือนกับครูฝึกเขาแกล้ง เขาให้ปัญหาที่ต้องเดินผ่านสวน มีสวนมะม่วง มะละกอยั้วเยี้ยไปหมดเลย แต่อย่าไปกินเข้าเชียวนะ...เขาปรับตกทั้งรุ่นมาแล้ว ครูฝึกไปเดินนับไว้หมดแล้วว่าแต่ละต้นมีกี่ลูก ถ้าเดินผ่านไร่สับปะรด แล้วหายไปสักลูกเดียว โดนปรับตกทั้งรุ่น..!

แต่อาตมากินพุงกางไปเลย ไม่หายสักลูกเดียว เพราะทหารทุกคนจะต้องพกช้อนติดตัว ของใครของมัน แล้วห้ามกระทบกันจนมีเสียงด้วย ก็แค่ใช้ช้อนเสียบ คว้านเนื้อสับปะรดจากข้างล่างมากิน แล้วเอาเปลือกแปะไว้เหมือนเดิม ครูฝึกเขาไม่สังเกตหรอก เขาแค่เดินนับว่ามีลูกอยู่ครบหรือเปล่า ? แต่ถ้าสังเกตจะรู้สึกว่ากลิ่นสับปะรดแรงขึ้น

เถรี
18-03-2012, 16:20
แต่ที่น่าชื่นชมมากที่สุดคือเด็ก ๆ เด็กแถววัดเขาสมอระบัง จังหวัดเพชรบุรี เด็กพวกนี้เก่งมากเลย ครูฝึกเคี่ยวแค่ไหนก็ตาม เด็กก็ยังแอบเอาอาหารไปขายให้พวกเราได้ สุดยอดจริง ๆ ต้องบอกว่าทุกครั้งที่มีการฝึก เด็กพวกนั้นก็ได้รับการฝึกด้วย เด็กจึงเก่งกว่าครูฝึกอีก

มีเด็กอยู่รายหนึ่งเอาน้ำอัดลมเข้าไป ๖ ขวด ห่อผ้าห่อกระดาษพันอย่างดี ใส่ย่ามพระด้วยนะ สะพายเข้าไป ไม่มีเสียงสักกริ๊กเดียว เล็ดลอดผ่านด่านครูฝึกเข้าไปได้ บางคนเอาข้าวผัดเข้าไป เอาก๋วยเตี๋ยวเข้าไปขาย พวกนี้เขาได้บทเรียนว่าต้องทำอาหารที่มีกลิ่นน้อย ๆ ถ้ากลิ่นแรงเดี๋ยวครูฝึกจับได้

เวลาไปขาย บางทีทหารก็ไม่มีเงินหรอก ใครมีสร้อยก็ถอดสร้อยให้ มีแหวนก็ถอดแหวนให้ มีนาฬิกาก็ถอดนาฬิกาให้ อะไรก็ได้ ขอให้ได้กินก็พอ เพราะอดมาหลายวันแล้ว พวกเด็ก ๆ ไม่รังเกียจหรอก เขารับทั้งนั้นแหละ ขากลับเก็บขยะให้ด้วย เขากระซิบว่าถ้าไม่อยากเดือดร้อนทั้งเขาและเรา อย่าทิ้งขยะแม้แต่ชิ้นเดียว อาหารที่เขาทำมาจะไม่มีก้าง ไม่มีกระดูกทั้งนั้น เพราะกลัวว่าเราจะเผลอทิ้งไว้ แล้วถูกครูฝึกจับได้ นั่นเขาเซียนขนาดนั้นเลยนะ

ถ้าเราเพลีย ๆ หลับอยู่ แล้วมีมือยื่นมาสะกิด ถามได้เลยว่ามีอะไรบ้าง เดี๋ยวเขาก็ยื่นมาให้ดู มีเพื่อนชื่อโสภณอยากได้น้ำอัดลมเย็น ๆ เพื่อน ๆ พอได้ยินต้องเอามืออุดหู "มึงอย่าพูดได้ไหม ? กูพลอยอยากไปด้วย"..(หัวเราะ).. ไม่รู้ว่ารุ่นต่อไปจะได้หรือเปล่า ? แต่รุ่นของอาตมาอดไปก่อน เพราะเด็กเขาไม่ได้แช่เย็นมาให้"

เถรี
19-03-2012, 10:13
ถาม : พวกผีทั่วไป ถ้าอุทิศกุศลให้เขา จะรับได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเขามาขอได้ก็รับได้

ถาม : ถ้าผมเห็นเขามา ?
ตอบ : ก็อยู่ที่ว่าเขาจะยอมรับไหม ? บางตัวเขาไม่ได้ตั้งใจมาเอาบุญเอากุศลกับเรา เขามาตามจองล้างจองผลาญเราก็มี แต่อุทิศบุญให้เขาดีกว่าไม่ให้ ส่วนให้แล้วจะเป็นอย่างไร ก็ช่างเขาเถอะ เราได้ให้ไปแล้ว

ถาม : อย่างเช่น พวกที่มาขอข้าวเรากิน เราต้องตักให้เขาต่างหากไหมครับ ?
ตอบ : ลองถามเขาดูว่ามีบุญมีกุศลให้ทำไมไม่เอา จะเอาแค่ข้าวหรืออย่างไร ?

เถรี
19-03-2012, 11:10
ถาม : ถ้าอัญเชิญท้าวมหาราช กับอากาศเทวดา ไปอยู่ในกุฏิของภูมิเทวดาได้หรือเปล่าครับ?
ตอบ : ถ้าหากตั้งศาลจะเสาเดียวหรือสี่เสาก็แล้วแต่ ถ้าตั้งถูกทิศแล้วไม่เป็นไร เพราะท่านมีวิมานของตนเองอยู่แล้ว ไม่ได้เข้าไปเบียดกันในศาลที่เราตั้งให้หรอก

ถาม : ได้แค่ทิศตะวันออก ทิศเหนือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ?
ตอบ : ทิศตะวันออกเฉียงเหนือก่อน ถ้าทิศตะวันออกเฉียงเหนือไม่ได้ค่อยเอาทิศเหนือ ถ้าทิศเหนือไม่ได้แล้วค่อยเอาทิศตะวันออก

เทวดาก็เหมือนกับมนุษย์ แต่ละท่านจริตนิสัยไม่เหมือนกัน บางท่านค่อนข้างจะถือตัว ถ้าเราเป็นเด็กกะโปโลไปเชิญท่าน บางทีท่านก็ไม่แยแสเหมือนกัน ก็ต้องอ้างท้าวมหาราช เหมือนกับเรามีนามบัตร ผบ.เหล่าทัพมา ถึงคุณจะเป็นผู้บังคับกองร้อยก็จริง แต่ผมถือนามบัตรของเจ้านายใหญ่มา จะรับผมหรือไม่ครับ ? ..(หัวเราะ)..

เถรี
19-03-2012, 11:13
ถาม : ตะกรุดกำลังพระแม่ธรณีนี้จารอักขระอะไรหรือครับ ?
ตอบ : จารคำว่า "ปะ ฐะ วี วิ สุน ทะ รี"

ถาม : แต่ต้องแยกแผ่นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : แยกแผ่น..แผ่นละ ๑ ตัว หลวงปู่เนป่องมรณภาพตอนอายุ ๙๗ ปี แสดงว่าถ่ายทอดให้อาตมาไม่กี่ปีท่านก็ไป

เถรี
19-03-2012, 11:58
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าสมณศักดิ์พระราชาคณะชั้นสามัญขึ้นด้วยคำว่า "ศรี" ให้รู้เลยว่าท่านจบประโยค ๙ ยกเว้นพระศรีสุธรรมมุนี เพราะพระศรีสุธรรมมุนีจบแค่ประโยค ๘"

ถาม : ทำไมยกเว้นล่ะครับ ?
ตอบ : เป็นตำแหน่งโบราณ ท่านเป็นประโยค ๘ ที่พระเจ้าแผ่นดินทรงโปรดฯ ให้เป็นเจ้าคุณศรีฯ ก็เลยกลายเป็นตำแหน่งเดียวที่คนไม่รู้จะนึกว่าจบประโยค ๙

ถ้าขึ้นด้วย "ศรี" หรือ "เมธี" นี่ ปกติต้องเป็นประโยค ๙

เถรี
19-03-2012, 14:12
มีโยมพาลูกมาทำบุญ พระอาจารย์บอกว่า "ปล่อยให้ลูกเขาไปกลิ้งคลุกดินคลุกทรายเสียบ้าง เขาจะได้แข็งแรง ไม่ต้องไปดูแลอะไรมากหรอก มอมเป็นหมาเราอาบน้ำให้ก็จบแล้ว มัวแต่ไปดูแลกันทุกฝีก้าว เด็กจะไม่มีภูมิต้านทานอะไรเลย เป็นอะไรขึ้นมาจะไม่รอดหรอก..!"

เถรี
19-03-2012, 14:21
ถาม : สงสัยในเรื่องของดวงดาว ...(ไม่ได้ยิน)...
ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ..เกี่ยวกับการกำเนิดโลกพระพุทธเจ้าตรัสกับสามเณรวาเสฏฐะและภารทวาชะอยู่ในอัคคัญสูตร ส่วนเรื่องของจักรวาลอื่น ๆ ทรงตรัสถึงฤๅษีที่มีฤทธิ์ เหาะไปจนกระทั่งสิ้นชีวิตยังไม่สุดเขตของจักรวาล แต่ถ้าหากว่าถึงขนาดมานับเม็ดฝนเขาว่าเป็นพระสารีบุตร ท่านมีปัญญามากขนาดนับเม็ดฝนได้

เถรี
19-03-2012, 15:58
พระอาจารย์เล่าถึงการฝึกทหารต่ออีกว่า "พอเข้าวัดเขาสมอระบังได้ก็ต้องไปนอนในป่าช้า ไปค้นแผนที่จากศพ ครูฝึกจะเอาแผนที่ไปยัดไว้ในโลงศพที่เน่าเละ ๆ เลย พวกเราต้องไปค้นหาแผนที่เพื่อดูว่าต้องเดินทางต่อไปที่ไหน

จ่ามนูญ วะลัยศรีบอกว่า "ไอ้ห่..รุ่นกูค้นจนผีแทบจะหลุดเป็นชิ้น ๆ ก็ยังหาไม่เจอ หมดสภาพเหม็นหึ่งไปทั้งตัว นอนหงายก่ายหน้าผาก ไอ้ฉิ..หาย..มันเอาไปเสียบอยู่ที่คบไม้..!" ถ้าไม่หมดสภาพนอนหงายก่ายหน้าผาก ก็ไม่เห็นหรอกว่าครูฝึกขาเสียบปัญหาไว้ที่คบไม้เห็นเด่น ๆ เลย

เขาจะบอกพิกัดให้ทีละจุด ๆ ให้พวกเราตามล่าไป ดูว่าเราใช้แผนที่เข็มทิศเป็นหรือไม่ จนสุดท้ายไปเจอส้วมหลุมเก่า ๆ ครูฝึกแสบมากเลย อุตส่าห์ตามล่ากันแทบตาย สุดท้ายให้ตามล่าส้วมหลุมเก่า ๆ เป็นส้วมซึมสักหน่อยก็ไม่ได้

เป็นทหารเขาโกรธกันไม่นานหรอก รักกันจะตายไป เขามีสารพัดวิธีที่ทำให้รักกัน อย่างอาตมากับเพื่อนชกกันกองร้อยแทบถล่ม ตึงตังโครมคราม อัดกันเละ สิบเวรวิ่งมาถึง เป่านกหวีด..ปรี๊ด "เฮ้ย..หยุด..! พวกมึงไปเขียน กร. มาเลยนะ" ก็คือติดคุกแน่ อาตมาถามว่า "เขียนทำไมครับ ?" แล้วหันไปกอดคอเพื่อน "พวกผมเล่นกัน" สิบเวรหันไปถามเพื่อนว่า "จริงหรือวะ ?" เพื่อนชื่อศุภชัย บานเย็นบอกว่า "จริงครับ" เขาก็มองหน้า "รุ่นมึงเล่นกันรุนแรงดีนะ" ..(หัวเราะ)..

ถ้าไม่ยืนยันอย่างนั้น นอกจากติดคุกแล้ว เขาจะล่ามให้ติดกัน ถึงเวลากินก็ต้องกินด้วยกัน ถ่ายก็ต้องถ่ายด้วยกัน เราไม่ปวดท้องก็ต้องเข้าส้วมไปกับเขา ถึงเวลาอาหารวางตรงหน้า ต้องผลัดกันถ่มน้ำลายใส่ เขาก็ถ่มน้ำลายใส่จานเรา เราก็ถ่มน้ำลายใส่จานเขา แล้วก็คลุกกินกันไป จนกว่าจะบอกว่ารักกันถึงจะปล่อย เขาทำจนเรารักกันทุกคนแหละ ถ้าเป็นสมัยนี้ถ่มน้ำลายใส่แบบนั้น คงได้ติดโรคเอดส์ตายกันบ้าง" ..(หัวเราะ)..

เถรี
19-03-2012, 16:00
"ถึงเวลาเขาเข้าส้วม เราถึงไม่ปวดก็ต้องเข้ากับเขาด้วย เพราะมือถูกล่ามติดกัน บางทีก็ด่าหรือชกกันในส้วมต่อ "ไอ้ห่..ช้าฉิบหา..!" ถ้าโดนลงโทษขัดส้วม รู้ชะตากรรมเลยว่ามือถลอกแน่นอน เขาไม่มีเครื่องมืออะไรทั้งสิ้น นอกจากมือเปล่า ๆ กับน้ำ ต้องลูบให้ลื่น..!

ชีวิตทหารกับชีวิตนักบวชเหมือนกัน ก็คือต้องอดทนกับสิ่งกระทบต่าง ๆ ถ้าหากเราฟังโอวาทปาฏิโมกข์ของพระพุทธเจ้าที่ว่า ขันติ ปรมัง ตโป ตีติกขา ประโยคแรกพระองค์เอ่ยเลยว่า ความอดทนเป็นสุดยอดเครื่องประดับของนักปราชญ์ อยากเป็นผู้รู้ อยากเป็นคนเก่ง ความอดทนจะต้องมาก่อน ถ้าทนได้ในทุกสถานการณ์ต่อไปถึงจะสบาย"

เถรี
20-03-2012, 09:59
พระอาจารย์เล่าว่า "มีเหตุการณ์ในชีวิตหลายครั้งที่ทำให้อาตมาเชื่อว่าอาถรรพ์ป่านั้นมีจริง ทั้งตอนที่เป็นทหารและตอนที่เป็นพระ

ตอนที่เป็นทหาร วันนั้นเดินตามปัญหา เป้าหมายคือเขาช้างร้อง ช้างร้องคือคร่ำครวญว่าขึ้นไม่ไหว แต่นี่เขาจะให้ทหารไปขึ้น เชื่อไหมว่าเดินตั้งแต่ตอน ๑ ทุ่ม จนถึงตี ๕ แล้วยังหาเขาช้างร้องไม่เจอ จึงตัดสินใจว่าโดนซ่อมทั้งหน่วยก็เอาวะ..นอนดีกว่า ว่าแล้วก็นอนสุมหัวกันระเกะระกะ ตื่นเช้าขึ้นมาปรากฏว่านอนอยู่ตีนเขาเขาช้างร้อง แต่ทำไมเมื่อคืนไม่มีใครเห็นภูเขาเลย เดินอยู่ที่ตีนเขากันได้ทั้งคืน

ส่วนตอนที่เป็นพระ มีหลายวาระด้วยกันที่เจอลักษณะนั้น ตอนนั้นจะข้ามจากห้วยขาแข้งไปอุ้มผาง เพื่อออกไปเปิงเคลิ่ง จะได้ข้ามไปพระธาตุมอละอิต จากห้วยขาแข้งจะมียอดเขายอดหนึ่งที่เป็นรูปกรวยอยู่ เป็นเป้าหมายว่าขึ้นไปตรงนั้นจะเป็นอุ้มผาง เชื่อไหมว่าเล็งอย่างดีแล้ว แต่เดินกี่ที ๆ เขาลูกนั้นก็หายไปทุกทีเลย พอย้อนกลับมาตั้งต้นใหม่ก็เห็นอยู่ตรงนั้นแหละ จนกระทั่งท้ายสุดต้องตัดสินใจว่าไม่ไปแล้ว..กลับดีกว่า ถ้าเขาให้เราไป เดิน ๓ วันต้องไปถึงแล้ว แต่นี่ ๓ วันไม่ได้ไปไหนหรอก วนอยู่แค่ตรงแถวนั้นแหละ เดินจนไม่มีที่ให้เดินแล้ว เดินจนทับรอยตัวเอง

ส่วนที่น่าเกลียดที่สุดก็คือ ตอนพาท่านมหาเค ท่านยุ้ย ท่านกอล์ฟ ไปที่บ้านตะเพินคี่ พาเขาไปดูถ้ำงูใหญ่ ใหญ่ขนาดท่านชาติชายไปนอนอยู่บนหลังงูได้เพราะคิดว่าเป็นแท่นหิน อาตมาเจอตอนดึกกะว่างูตัวนั้นใหญ่ประมาณกระติกน้ำ ปรากฏว่าคนที่เคยเห็นตัวจริงเขาบอกว่า "ใหญ่กว่านั้นครับอาจารย์ ใหญ่กว่าถังสังฆทานอีก..!"

ถามว่า "คุณเจอมาแล้วใช่ไหม ?" เขาบอกว่า "ผมเจอกลางวันแสก ๆ เลยครับ งูใหญ่ตัวนั้นนอนหลับขวางทางอยู่" พระรูปนั้นชื่อจันทิมา ท่านเป็นพระมอญ เดินธุดงค์อยู่เส้นนั้นเหมือนกัน ถามว่า "แล้วคุณทำอย่างไร ?" "ผมเดินตามเกล็ดไปเรื่อยครับ ไกลน่าดูเลยกว่าจะข้ามไปได้"

อาตมาก็แปลกใจที่ได้ยินเขาบอกว่าเดินตามเกล็ด จึงถามว่า "ทำไมต้องเดินตามเกล็ดด้วย ?" ท่านตอบว่า "ถ้าเดินย้อนเกล็ดก็เจอหัวงูสิครับ ถ้าเดินตามเกล็ดไปจะเจอหาง" ถามต่อว่า "แล้วทำไมไม่ก้าวข้ามไปเลย ?" เขาบอกว่า "โอ้โห..งูตัวใหญ่จนผมไม่แน่ใจว่าจะก้าวข้ามได้ ถ้าเกิดไปสะดุดเข้า ก็ไม่แน่ใจว่าจะรอดหรือเปล่า ?"

เถรี
20-03-2012, 10:10
"พอพาพวกท่านมหาเคเข้าไปในถ้ำนั้น ท่านชาติชายก็ชี้ให้ดูว่างูเคยนอนอยู่ตรงนี้ เสร็จสรรพเรียบร้อยก็จะกลับออกมา เพราะกลัวว่างูย้ายที่นอนไปรอพวกเราอยู่ข้างใน กลับหลังหันมาปากถ้ำหายไปไหนไม่รู้ กลายเป็นหินตัน ๆ หมดเลย..! ต่อหน้าต่อตาเลยนะ ทุกคนก็งงว่าเราหลงทิศได้ขนาดนี้เลยหรือ ? แล้วพวกเราเข้ามาทางไหน ? เพราะจริง ๆ แล้วพวกเราเข้าปากถ้ำไปไม่ลึก อย่างไรก็ต้องมองเห็นทางออก

ท้ายสุดไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ต้องตะเกียกตะกายลึกเข้าไปเรื่อยเพื่อหาทางออก ท้ายสุดไปเจอซอกแตก ความกว้างประมาณตัวคน เดินมุดไปมุดมา อ้อมไปโผล่ถ้ำที่อาตมาเคยไปพักแล้วโดนงูมารัด ถึงได้รู้ว่างูใหญ่นอนที่ถ้ำนั้น พอเวลาหากินออกมาทางถ้ำนี้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้หรอกว่างูมาจากทางไหน อาจจะเป็นเจตนาดีของท่านก็ได้ อยากให้พวกเรารู้เลยปิดทางออกซะ ให้ตะเกียกตะกายมาหาทางออกอีกทางหนึ่งแทน เพราะฉะนั้น..เรื่องเหล่านี้ถึงได้เชื่อที่โบราณว่าป่ามีอาถรรพ์นั้นมี จริง ๆ ถ้าเราตั้งสติไม่ได้นี่ก็ปางตายเลยนะ

อาตมาเคยเดินออกมาจากบึงลับแลตอนตี ๒ ขอบอกว่าอย่าเลียนแบบเป็นอันขาด เดินป่ากลางคืนอันตรายมาก เพราะสัตว์ป่าหากินเวลากลางคืน ด้วยความที่มั่นใจตัวเองมาก ก็เดินออกมาตอนตี ๒ ตัวคนเดียวด้วย เดินออกมาตั้งนาน แปลกใจว่าทำไมไม่ถึงถนนสักที ปกติอาตมาเดินประมาณ ๔๕ นาทีก็ถึง นี่เดินมา ๒ ชั่วโมงแล้วยังไม่ถึง หลงได้อย่างไรก็ไม่รู้ ?

ป่าช่วงนั้นเป็นดงไผ่ซึ่งหลงง่ายที่สุด เพราะหาจุดจำยาก มองไปทางไหนเหมือนกันหมด แล้วแต่ละช่องก็โล่งน่าเดินทั้งนั้น เดินเปะปะไปเปะปะมา ไปเจอไม้ยืนต้นเข้าต้นหนึ่ง เอาละ..ได้ที่แล้ว เพราะหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมีคาถาเทวดาชี้ทางอยู่ ให้พิงต้นไม้แล้วภาวนาคาถา เทวดาจะบอกทางให้ อาตมาก็พิงต้นว่าคาถา เสียงเทวดาท่านบอกว่า "เดินไปข้างหน้าอีก ๓ ก้าว" อาตมาก็เดินไปข้างหน้า ๓ ก้าว เชื่อไหมว่าทางเบ้อเริ่มอยู่ตรงนั้นเอง ปล่อยให้หลงอยู่ได้เป็นชั่วโมง ๆ หลงได้อย่างไรก็ไม่รู้ ?"

เถรี
20-03-2012, 10:28
พระอาจารย์เล่าว่า "พวกชนกลุ่มน้อยอย่างกะเหรี่ยง มอญ ทวาย เขาจะขี้กลัวกว่าเรา อย่างท่านโมเช่เขาเก่ง แค่ตวาดทีเดียวควายทั้งฝูง ๒๐ - ๓๐ ตัวยืนนิ่งเป็นตุ๊กตาหมดเลย แต่ท่านจะหนีท่าเดียว พอเห็นอาตมาไม่หนีก็ถึงได้แสดงฝีมือออกมาให้เห็น พูดง่าย ๆ ก็คือ "หนีไว้ก่อนพ่อสอนไว้"

นี่ท่านโมเช่หายไป ๒ ปี เพิ่งจะกลับมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ข้ามไปสร้างเจดีย์ที่พม่าเสร็จไปอีกหนึ่งหลัง บอกแล้วว่าถ้าท่านขาดเงินเมื่อไรก็จะมาหา น่ารักมาก แล้วรู้ด้วยว่าถ้ามาแล้วอาตมาจะมีให้ ตรงนี้ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ เพราะท่านไปไหนจะถามเทวดาก่อน "ไปตอนนี้ อาจางมีเงินหรือเปล่า ?" เทวดาก็ระยำ..มาแอบดูบัญชีของอาตมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ?

ท่านเป็นคนเก่งที่ไม่ยอมสู้ใคร ไม่แสดงฝีมือโดยไม่จำเป็น มีอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าคนรู้จักสังเกตก็คือ แกเป็นคนที่ไม่สะทกสะท้านต่อทุกสังคม พาขึ้นเครื่องบินแกก็ขึ้น คุณแดงของเราพาท่านโมเช่ไปไหนรู้ไหม ? ไปวัดท่าซุง คนเป็นแสน ๆ คน ท่านโมเช่แต่งตัวเป็นฤๅษี นุ่งเสื้อเก่า ๆ ผ้าเก่า ๆ สะพายย่าม ส่วนคุณแดงตอนนั้นใส่เสื้อกล้ามนุ่งกางเกงแม้ว สองสหายก็เดินทั่ววัด ไม่ได้สนใจใครหรอก เดินจนทั่ววัดแล้วก็มายืนบ่น "อาจาง..วัดท่าซุงคงเยอะจัง" เขาไม่เคยเห็นงานวัดที่มีคนเป็นแสน ๆ คนขนาดนั้น

ได้เห็นอย่างนั้นถึงรู้ว่าสภาพจิตใจจริง ๆ ของท่านโมเช่มั่นคงมาก ไม่รู้สึกประหม่ากับคนมากขนาดนั้น แล้วไม่รู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกด้วย เห็นเป็นธรรมดาหมดเลย"

เถรี
20-03-2012, 10:31
ถาม : มีคนมายืมเงิน แต่เราไม่รู้ว่าเขาเอาไปทำแท้งค่ะ ?
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ เราไม่รู้เรื่องไม่เป็นไร ถ้าเราบอกว่าช่วยยืมเงินฉันไปทำแท้งที ถ้าอย่างนั้นละก็ผิดเต็ม ๆ

เถรี
20-03-2012, 10:35
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : บอกแล้วว่า ถ้ากิเลสกินเราเวลากลางวันไม่ได้ก็จะไปกินเราเวลากลางคืน เพราะฉะนั้น..หลับกับตื่นความรู้สึกต้องเท่ากัน จำไว้ว่า..ถ้ากิเลสกินเราตอนตื่นไม่ได้ ก็จะไปกินเราตอนหลับ

นักปฏิบัติถึงต้องปฏิบัติให้ถึงระดับหลับและตื่นมีความรู้สึกเท่ากัน รู้ทันกิเลสเท่ากัน ถ้าอย่างนั้นถึงจะพอเอาตัวรอดได้ ไม่อย่างนั้นก็เสร็จเขาตลอด บางคนตอนกลางวันมดสักตัวยังไม่กล้าเหยียบ พอกลางคืนฝันว่าฆ่าเขาเป็นกองทัพเลย..!

เถรี
20-03-2012, 11:09
ถาม : ที่ท่านเล่าว่างานพุทธาภิเษกที่ชลบุรี ท่านออกมาก่อน ท่านอื่นใช้กำลังตัวเอง แล้วงานที่เขาวงละครับ ?
ตอบ : อ๋อ..ที่นั่นท่านพี่ทั้งหมดประเภทรอผมอยู่คนเดียว (หัวเราะ)

ถาม : เขารู้จริง ?
ตอบ : รู้จริง..ผมยอมรับท่านเป็นพี่ผมได้จริง ๆ บางคนก็นั่งรอ ถ้าเล็กบอกอย่างไรพี่ก็ไปแค่นั้น โคตรสบายเลย ถึงเวลาก็นั่งรอ รอผมให้สัญญาณ พอให้สัญญาณท่านก็เลิก..เต็มแล้ว

ผมโดนมาตั้งแต่สมัยเป็นพระใหม่เลย ถึงเวลาออกงานออกการ ให้เจิมให้อะไรก็ "เล็ก..ไปทำหน่อย" จนกระทั่งบางทีผมก็เบื่อเต็มที กี่งาน ๆ ก็ใช้แต่ผม ทำไมพี่ไม่ทำบ้างละ ? พี่เขาบอกว่า "ไม่ได้หัดไว้..เป็นแล้วมันเหนื่อยว่ะ" เพิ่งจะมารู้ว่าพอสิ้นหลวงพ่อแล้ว ไม่เป็นก็ต้องเป็นให้ได้ คราวนี้ก็วิ่งหาความรู้กันทั่วประเทศจนตีนพลิก

จนป่านนี้ผมยังไม่รู้ว่าสมุดบันทึกของผมไปอยู่กับใคร ทั้งหมดที่บันทึกไว้เกี่ยวกับความรู้ที่ได้รับจากหลวงพ่อมา เขาขอไปลอกต่อกันเรื่อย ๆ ตอนนี้หาคืนไม่ได้เลย ไม่รู้ไปอยู่กับใคร ถ้าหากว่าเจอสมุดบันทึกไดอารี่ปกดำ ๆ หน้าปกมีสติ๊กเกอร์รูปหลวงพ่อวัดท่าซุง ตัดเป็นแฉกเหมือนดอกทานตะวัน ถ้าเห็นยึดมาได้เลยนะ บอกท่านว่าจะเอาไปคืนพระอาจารย์"

เถรี
20-03-2012, 16:46
ถาม : การตอบปัญหาของบางคน เราต้องปรับกำลังใจลงมาเท่าเขา ?
ตอบ : ต้องปรับลงมาเท่าเขา แต่เราจะเหนื่อยมาก เป็นเรื่องที่คนกำลังใจสูงจะเบื่อมากเลย เพราะต้องเสียเวลาไปปรับลง และทำให้ตัวเองไม่มั่นคง รัก โลภ โกรธ หลง จะเข้าได้ง่าย

เถรี
20-03-2012, 16:53
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อาตมาก็เป็นเหมือนกัน ถึงเวลาจะไอ เพื่อกระแทกให้หัวใจกลับไปเต้นจังหวะเดิม ถ้าไม่ไอหัวใจจะวาย ลักษณะเหมือนกับกระแสไฟฟ้าที่ควบคุมการเต้นของหัวใจสะดุดเป็นระยะ แต่หมอเขาหาสาเหตุไม่เจอ ต้องบอกว่าโรคเวรโรคกรรม นั่ง ๆ อยู่พอหัวใจเต้นผิดจังหวะก็จะไออัตโนมัติเลย เพื่อกระแทกให้หัวใจกลับไปเต้นจังหวะเดิม

สร้างเวรสร้างกรรมไว้มาก ถึงเวลาเขาก็มาทวงเป็นปกติ โรคพวกนี้กรรมบัง หมอเขาเลยหาสาเหตุไม่เจอ

ถาม : หมอเขาบอกว่าเกิดจากความเครียด เป็นกรดไหลย้อน
ตอบ: เดี๋ยวนี้หมอเป็นอย่างนั้นไปหมด อะไรก็กรดไหลย้อนไว้ก่อน บอกว่าไม่ต้องกังวลหรอก นึกถึงพระไว้ ถ้าตายตอนนั้นก็ไปเลยเท่านั้นเอง

เถรี
20-03-2012, 16:54
ถาม : พระโสดาบันรู้ว่าต้องตาย แล้วยังกลัวตายไหมครับ ?
ตอบ : ยังกลัวอยู่ แต่กลัวแบบมีสติมากกว่าเรา เพราะรู้ว่าปกติของร่างกายนี้จะต้องตายแน่ ๆ

เถรี
21-03-2012, 08:07
ถาม : เวลานอน จะหลับก็ไม่หลับ แต่ก็นอนไปอย่างนั้น ?
ตอบ : ดีจ้ะ..แต่จริง ๆ แล้วเราไม่ควรไปใส่ใจตรงนั้น ให้เราภาวนาไปเรื่อย ๆ จะหลับหรือไม่หลับก็ช่าง เผลอหน่อยเดียวก็จะตัดหลับเลย ถ้าไม่เผลอ ไปตั้งใจดูว่าจะหลับเมื่อไร ก็จะอยู่แบบนั้นไปเรื่อย

ให้สังเกตว่าเราไม่ได้ง่วง เพราะนอนมาพอแล้ว ไม่ได้ง่วง ไม่ได้เพลีย การไม่หลับแบบนั้นเป็นลักษณะของปีติหรือไม่ก็สติสมบูรณ์ ให้สังเกตดูเอง..ถ้าเราภาวนาก่อนนอน ส่วนใหญ่จะเป็นปีติค้ำอยู่ สว่างโพลงอยู่ แต่ถ้าหากว่าสติสมบูรณ์จะรู้ลมหายใจเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องบังคับก็รู้

เถรี
21-03-2012, 08:25
ถาม : ขอยกลูกให้เป็นลูกของท่านครับ ?
ตอบ : เลิกรับไปนานแล้วจ้ะ เดี๋ยวเด็กจะซนเป็นลิงหนักกว่าเก่าอีก ไม่เป็นไร..พามาบ่อย ๆ แล้วกัน พวกนี้ถ้ายกเป็นลูกพระ เวลาดื้อแล้วเราไปตีเขา จะเป็นไข้แบบหาสาเหตุไม่ได้จนกว่าจะขอขมาพระก่อน เพราะฉะนั้น..อย่ายกให้พระเลยจะดีที่สุด

เป็นเรื่องแปลก ลองดูได้เลย คนไหนยกเป็นลูกพระแล้วไปตีดูสิ จะเป็นไข้แบบหาสาเหตุไม่ได้ หมอก็รักษาไม่หาย จนกว่าจะขอขมาพระถึงจะหาย เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่จำเป็นอย่าไปยกลูกให้เป็นลูกพระเลย เดี๋ยวจะตีไม่ได้

เถรี
21-03-2012, 08:38
พระอาจารย์เล่าว่า "มีหนังสือขอความร่วมมือจากกระทรวงวัฒนธรรม ขอวัตถุมงคลที่มีชื่อเสียงของแต่ละจังหวัด นำไปจำหน่ายเพื่อหารายได้เข้าสภากาชาดไทย อาตมาก็เลยบอกว่าวัตถุมงคลของอาตมายังไม่ใช่หรอก เพราะว่ายังไม่มีชื่อเสียง แต่แหม..เขารู้ได้อย่างไร เล่นจิกมาตรงตัวเลย

ต่อไปจะมีพวกที่น่ารำคาญยิ่งกว่านั้น ก็คือพวกที่มาขอความช่วยเหลือแบบไม่ดูเวล่ำเวลา ไปนึกถึงครูบาเทืองสมัยรุ่ง ๆ ท่านต้องติดป้ายไว้เลย “ใครมาขอ ครูบาให้ทั้งนั้นแต่ไม่จ่าย ใครมานิมนต์ ครูบารับทั้งนั้นแต่ไม่ไป” ติดป้ายไว้อย่างนั้นเลย เพราะท่านโดนแบบหัวไม่วางหางไม่เว้น จนกระทั่งท่านเข็ด ต้องติดป้ายไว้ให้เห็น ๆ

เมื่อเช้าอาตมาไปนิมนต์หลวงพ่อพระครูสิริบุญโสภิต เจ้าอาวาสวัดใหม่ยายนุ้ยมาสวดมนต์ฉันเพลวันที่ ๒๙ นี้ ไปเจอลูกศิษย์ท่านกำลังตื๊อจะเอากุมารทอง ท่านมีกุมารทองอยู่ ๒ ตัว เป็นกุมารรุ่นหนึ่งของหลวงปู่แย้ม วัดสามง่าม ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของท่านเอง

ลูกศิษย์เข้าไปเห็นกุมารทองหายไปตัวหนึ่ง เขาคร่ำครวญหวนโหยจะขาดใจตาย บอกว่า “หายไปได้อย่างไร เพราะฉะนั้น..ตัวนี้ผมเอาแล้ว ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวหายอีก" ประเภทนี้ถ้ามาคร่ำครวญใกล้ ๆ อาตมารับรองว่าได้ทันที..! วัตถุมงคลของครูบาอาจารย์ท่านให้ไว้ โดยเฉพาะรุ่น ๑ ก็เหมือนกับของแทนตัว ยังจะไปตื๊อจะเอาให้ได้"

เถรี
21-03-2012, 09:59
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๒๙ มีนาคมนี้ ใครจะเอาอาหารมาเลี้ยงโรงทานที่นี่คิดให้ดี ๆ นะ คนอาจจะเยอะกว่าที่คิด ถ้าเราตั้งใจมากินจะปลอดภัยกว่า แนะนำถูกหรือเปล่านี่ ? ..(หัวเราะ).. ถ้าคิดจะเลี้ยงโรงทานแจ้งมาล่วงหน้าก่อนก็ดีนะจ๊ะ เขาจะได้เตรียมโต๊ะไว้ให้

ปกติอยากจะทำบุญให้ตรงวัน คือ ๓๑ มีนาคม แต่วันนั้นอาตมาติดงานอยู่ที่วัดพระธาตุดอยกวางคำ ก็เลยต้องมาทำบุญวันที่ ๒๙ แทน"

เถรี
21-03-2012, 10:07
พระอาจารย์เล่าว่า "เรื่องของภาษา มีฝรั่งอยู่คนหนึ่ง น่าจะมีพื้นฐานของนิรุกติปฏิสัมภิทา พูดได้ ๒๐๐ กว่าภาษา โดยเฉพาะภาษาเผ่าพื้นเมืองเล็ก ๆ น้อย ๆ ของแอฟริกัน เขาพูดได้ทั้งนั้นเลย"

เถรี
21-03-2012, 10:21
ขณะที่โยมถวายสังฆทาน พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมประเคนพระเลยธงไปหน่อย วางเลยขึ้นมาบนกองหนังสือเลย คำว่า "เลยธง" เป็นศัพท์เก่า สมัยนี้เราเรียกว่า "ออฟไซด์" พวกทำอะไรเลยธง ก็คือ พวกเกิน ไม่มีขาด

มีคำศัพท์หลายคำที่ไม่ติดตลาด คนยังนิยมใช้คำเดิมของเขา เช่น “คอมพิวเตอร์” เขาบัญญัติว่า “สมองกล” จนป่านนี้ก็ไม่มีใครใช้กัน เขาก็เรียกทับศัพท์ว่าคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันนี้เปลี่ยนใหม่เป็น “คณิตกรณ์” ฟังแล้วบ้าไปเลย แสดงว่าทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากคิดเลขอย่างเดียว ตอนนี้ราชบัณฑิตฯ บัญญัติยังเป็นคณิตกรณ์อยู่นะ

คำว่า "สอบไล่" สมัยนี้เรียกว่า "สอบไฟนอล" ความจริงคำว่าสอบไล่มาจาก “ไล่ระดับความรู้” เขาเรียกย่อลงมาเหลือแค่สอบไล่"

เถรี
21-03-2012, 11:14
ถาม : เปิดร้านอยู่ที่เยอรมัน แต่กิจการไม่ค่อยดี
ตอบ : ภาวนาคาถาเงินล้านเยอะ ๆ

ถาม : เครื่องบวงสรวง เราต้องทำไหม?
ตอบ : จุดธูปเทียนบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางเขาว่าขอให้กิจการเราเจริญรุ่งเรือง แล้วจะถวายสังฆทานให้เขาเป็นประจำ จะถวายปีละครั้งหรือเดือนละครั้งอยู่ที่เรา ถ้าทำเองไม่ได้ก็โทรมาบอกทางนี้ให้ทำแทน บอกเทวดาว่าเอา "หมาก" เยอะ ๆ

ถาม : หมาก ?
ตอบ : เงินมาร์ก สกุลเงินของเยอรมัน บอกเทวดาว่าเอาหมากเยอะ ๆ อาตมาพูดศัพท์แสลงโยมเลยไม่เข้าใจ

สมัยนี้คำที่หายไปอีกคำหนึ่งก็คือ แจกหมากแจกแว่น สมัยก่อนเวลาตีกัน ต่อยจนปากแตกตาเขียว เขาเรียกว่าแจกหมากแจกแว่น ต่อยกันปากแตกเลือดแดงเหมือนคนกินหมาก เจอกำปั้นเข้าไปเบ้าตาเขียวเป็นเบ้าขนมครกอย่างกับใส่แว่น

เถรี
21-03-2012, 11:27
ประเทศเยอรมันมีวัดสาขาของวัดท่าซุงอยู่ด้วยนะ ท่านพระครูประสิทธิ์สรการหรือหลวงพี่อาจินต์ ธมฺมจิตฺโต รักษาการณ์เจ้าอาวาสอยู่

หลวงพี่อาจินต์ท่านได้ตำแหน่งพระครูฐานานุกรมของท่านเจ้าคุณพรหมสิทธิ วัดสระเกศ เป็นพระครูคู่สวด มหาปิงเรียนถามท่านเจ้าคุณพรหมสิทธิว่า “ตำแหน่งพระครูวินัยธร พระครูธรรมธร ใหญ่กว่าตั้งเยอะทำไมไม่ให้ ไปให้พระคู่สวด” เจ้าคุณพรหมสิทธิท่านบอกว่า “ตำแหน่งพระคู่สวดชื่อเหมือนกับพระครูสัญญาบัตร คนได้ยินจะให้ความเกรงใจมากกว่า” ถ้าเป็นพระครูวินัยธร พระครูธรรมธร เขาฟังดูก็รู้ว่าเป็นพระครูฐานานุกรม

แบบเดียวกับท่านเจ้าคุณพิพัฒน์ศึกษากร ก่อนนั้นท่านเป็นพระครูพินิจสุนทร อาตมาก็นึกว่าท่านเป็นพระครูสัญญาบัตร ที่ไหนได้ท่านเป็นพระครูฐานานุกรม เป็นพระครูคู่สวด

สมัยก่อนพระครูคู่สวดมีนิตยภัตให้ สมัยนี้ไม่รู้ว่ายังมีอยู่หรือเปล่า ? สมัยนี้ถ้าเป็นพระครูปลัดของรองสมเด็จพระราชาคณะขึ้นไปมีนิตยภัต “นิตยภัต” ก็คือค่าอาหารที่จ่ายให้ประจำ เมื่อก่อนเขาจะขีดกากบาทแล้วก็ลงตัวเลข ลงผิดช่องนี่จ่ายหนักเลย เพราะจะมี ชั่ง ตำลึง บาท สลึง เฟื้อง ไพ เด็กรุ่นหลังไปดูไม่รู้หรอกว่าขีดอะไร ถ้าลงผิดช่องแทนที่จะเป็น ๔ ตำลึง กลายเป็น ๔ ชั่ง นี่จ่ายกันตายเลย..!

เถรี
21-03-2012, 11:52
มีคุณป้ากำลังเล่นกับสุนัขอยู่ พระอาจารย์ท่านว่า "ท่านี้คือยอมแพ้ ท่านอนหงายเปิดพุงคือไม่มีอะไรป้องกันส่วนอันตรายของตัวเอง แปลว่ายอมแล้วจ้ะ

แต่ถ้าเป็นมวยไทยรุ่นเก่า ล้มแล้วหงายเขาซ้ำนะ เขาถือว่ายังป้องกันตัวได้ ถ้าล้มแล้วไม่อยากโดนซ้ำให้รีบพลิกคว่ำ เพราะว่าคนที่ล้มนอนหงาย เขาสามารถใช้เท้าข้างหนึ่งเกี่ยวส้นเท้าแล้วเท้าอีกข้างหนึ่งถีบใส่หัวเข่า คู่ต่อสู้อาจจะบาดเจ็บถึงพิการเอาง่าย ๆ เลย"

เถรี
21-03-2012, 13:03
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยเด็ก ๆ เวลาเล่นประทัดกัน ถึงเวลาจุดจะไปเก็บเอานัดที่ไม่ระเบิดมา เพราะว่าไส้ประทัดบางอันเขาใส่ดินปืนไม่ต่อเนื่องกัน เวลาจุดเท่ากับไหม้กระดาษเปล่า ๆ เด็ก ๆ ก็เก็บมาจุดเล่นกัน จุดเฉย ๆ ไม่สนุก ก็ใช้วิธีกอบดินขึ้นมาเอาประทัดเสียบไว้ เอากะลาครอบแล้วจุด เวลาระเบิดแล้วกะลาจะลอยสูงดี

มีพวกวิตถารกว่านั้นอีก เอายัดใส่ปากคางคกแล้วก็จุด..! คางคกไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย อยู่ ๆ ก็โดนจนไส้ไหลลิ้นห้อย เวลาเด็ก ๆ เล่นจะนึกถึงแต่ความสนุกอย่างเดียว ไม่ได้นึกถึงเรื่องอื่น ฉะนั้น..ไม่ต้องแปลกใจหรอกว่า การทำอะไรพิลึกพิลั่น บางทีก็ทำให้คนอื่นสัตว์อื่นเดือดร้อนโดยไม่รู้ตัว

กว่าจะรู้บุญรู้บาปก็ต้องผ่านการอบรมสั่งสอนมาระยะหนึ่ง แต่เด็กสมัยก่อนรู้บุญรู้บาปง่ายเพราะอยู่ใกล้วัด สมัยหลังพอเขาแยกโรงเรียนกับวัดออกจากกันก็แทบจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วยิ่งโดนตัดหลักสูตรศีลธรรมออกไปก็ยิ่งบรรลัยใหญ่ สมัยที่โดนตัดหลักสูตรศีลธรรมออกไป เพราะรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการท่านเป็นคริสต์..!"

เถรี
22-03-2012, 08:27
ถาม : คิดอย่างไรกับการเช่าพระเพื่อเก็งกำไรคะ ?
ตอบ : ไม่มีปัญหา ทำไปได้เลย

ถาม : การเช่าพระที่แท้จริง ควรเช่าเพื่ออะไรคะ ?
ตอบ : จริง ๆ ก็คือติดตัวไว้เป็นอนุสติ แต่มีส่วนหนึ่งที่เขาตั้งใจทำกำไรโดยตรง แต่ก็ว่ากันไม่ได้ เพราะถ้าคนไม่ต้องการ เขาก็ไม่มาซื้อ ต้องเรียกว่าสมยอมด้วยกัน คือถ้าราคาไม่เกินความสามารถ เขาก็ซื้ออยู่แล้ว

เพียงแต่ว่าให้ทำด้วยความเคารพ ไม่ใช่ไปวางเกะกะเกลื่อนกลาดหมด อย่างสมัยนี้เขาบังคับแถวท่าพระจันทร์ ถ้าหากว่าไม่วางพระบนโต๊ะก็ห้ามตั้งขาย สมัยก่อนเขาวางบนทางเท้าเลย สมัยนี้ถูกบังคับก็เลยดีขึ้นมาหน่อย

ถาม : ถ้าคนที่เช่าพระเพื่อเก็งกำไรอย่างเดียว โดยไม่ได้คิดมีไว้เพื่อเป็นอนุสติเลย ?
ตอบ : ปล่อยให้เขาทำมาหากินตามปกติไป ไม่ได้ไปปล้น ไปจี้ ไปโกงใคร แต่อย่างน้อยก็ให้ปฏิบัติด้วยความเคารพ มีสมัยหนึ่งเขาเอาพระไปเล่นประเภทกำถั่วทายกัน จะออกคู่ ออกคี่ เล่นได้เสียกันอีกต่างหาก ถ้าอย่างนั้นมีหวังลงนรกหมด ถ้าจะทำก็ให้ทำด้วยความเคารพ

มีบางร้านเขาทำดีมาก ก่อนที่จะเอาพระออกมาให้ลูกค้าดู เขาล้างมือให้สะอาด แล้วก็ปูผ้าขาวแล้วค่อยหยิบพระออกมาวางให้ลูกค้าดู เขาทำขนาดนั้นแสดงว่าเคารพพระจริง ๆ

ถาม : อย่างในสมัยอดีต ที่เขาไปตกพระตามกรุล่ะครับ ?
ตอบ : อันนั้นติดหนี้สงฆ์แน่นอน ถ้าตกพระก็มีกรุเดียว คือกรุบางขุนพรหม

เถรี
22-03-2012, 11:31
มีเด็กมาขอวัตถุมงคลเนื่องในวันคล้ายวันเกิด พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของเด็ก ๆ เราควรทำให้เขารู้สึกว่ามาวัดหรือมาหาพระแล้วได้อะไรไปบ้าง โดยเฉพาะในวันเกิดของเขา

เด็กรุ่นหลังนี้วันเกิดเป็นเรื่องสำคัญ บางคนเป็นเด็กอนุบาลอยู่ ยังไม่ทันจะรู้เรื่องเลยก็จัดงานวันเกิดแล้ว บางทีเด็ก ๆ เขามาจัดงานวันเกิดให้อาตมา เขาปักเทียนแบบที่เป่าแล้วติดใหม่ ช่วยกันจุดกลั่นแกล้งหลวงตา อาตมาเป่าพรวดเดียวเทียนดับเกลี้ยง เด็ก ๆ บอกว่าหลวงตาใช้ไสยศาสตร์ แล้วสงสัยว่าอาตมาเป่าดับได้อย่างไร เพราะตัวเขาเองเป่าเท่าไรก็ไม่ดับ พอดับแล้วก็ติดใหม่

คนสมัยก่อนจะจัดงานวันเกิดก็ต่อเมื่ออายุครบ ๖๐ ปี เพราะว่าการสาธารณสุขต่าง ๆ ช่วงนั้นยังไม่เจริญ คนมักจะตายตั้งแต่อายุน้อย ๆ อีกอย่างหนึ่งเขานิยมแต่งงานกันตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ฉะนั้น..คนสมัยก่อนพออายุ ๓๐ ปีนี่ดูแก่มากเลย อายุ ๖๐ ปีก็คือคุณปู่ คุณตา คุณทวดแล้ว จึงมีการจัดงานวันเกิดแล้วก็จัดงานทำบุญ

คนจีนเขาเรียกวันเกิดว่า "แซยิด" จริง ๆ เขานิยมจัดแซยิดตอนอายุ ๖๐ ปี พอจัดงาน ๖๐ ปีไปแล้ว ต่อไปก็อยู่ในลักษณะแบ่งเป็น ๒ อย่าง อย่างหนึ่งก็คือจัดทุก ๑๐ ปี เช่นว่า ๗๐, ๘๐, ๙๐ อีกอย่างหนึ่งก็จัดทุก ๑๒ ปี ก็เป็น ๗๒, ๘๔, ๙๖ เป็นต้น"

เถรี
22-03-2012, 11:38
"ที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่าคนโบราณเขารอบคอบ คนที่จะจัดงานบุญฉลองอายุใหญ่ ๆ โต ๆ ได้ ส่วนใหญ่เป็นท่านที่มียศมีอำนาจ คราวนี้คนที่มียศมีอำนาจส่วนใหญ่ก็มีบริวารมาก เวลาจัดงานบริวารก็ต้องมา บางทีบริวารอยู่หัวเมืองไกล ๆ ต้องพายเรือ ต้องขี่เกวียน ต้องเดินเท้ามา ทำให้เขาลำบาก ฉะนั้น..การจัดงานทุกปีจึงเป็นการรบกวนบริวารตัวเองมากจนเกินไป ก็เลยเปลี่ยนเป็นจัด ๑๐ ปีครั้งหนึ่ง หรือว่า ๑๒ ปีครั้งหนึ่ง

สมัยนี้รถราม้าช้างไม่ค่อยได้ใช้แล้ว ส่วนใหญ่มีรถส่วนตัวกัน เดินทางสะดวก ผู้ใหญ่ท่านจะจัดงานวัดเกิดทุกปีก็ไม่มีใครว่าอะไร ไปให้ท่านเห็นหน้าเสียหน่อย “ไม่ไปก็ไม่ว่า..แต่ผมจำแม่นนะ” อะไรอย่างนี้ มีการขู่อีกด้วย

เพราะฉะนั้น..งานวันเกิดก็เลยกลายเป็นงานที่ค่อนข้างเกร่อเป็นสาธารณะ ไม่เหมือนโบราณที่โอกาสจัดงานวันเกิดคนหนึ่งมีแค่ไม่กี่ครั้ง สมัยนี้เด็ก ๆ ปักเทียน ๒ เล่มก็เป่าเค้กกันแล้ว ต่อไปถ้าจะให้อาตมาเป่าเค้ก ขอให้เปลี่ยนเป็นขนมครกนะจ๊ะ ถ้าไม่ใช่ขนมครกจะเป็นขนมชั้นก็ได้

อาตมาฉันเค้กได้อย่างเดียวก็คือเค้กผลไม้ ต้องใส่ผลไม้เยอะ ๆ ด้วยนะ เวลาอาตมาสั่งเค้กผลไม้พิเศษ จะเป็นเค้ก ๑ ปอนด์ ใส่ผลไม้ไป ๓ ปอนด์ เค้กเป็นอาหารฝรั่ง เด็กรุ่นหลัง ๆ กินอาหารตามแบบฝรั่งโดยที่ไม่ได้ดูดินฟ้าอากาศ บ้านเขาอากาศหนาวก็ต้องกินนมกินเนย กินไอศกรีม เพื่อที่จะเอาพลังงานไปสู้ความหนาว บ้านเราอากาศร้อน กินเข้าไปร่างกายก็เก็บหมด จึงกลายเป็นโรคอ้วนกันมาก

วันเกิดอาตมาไม่ค่อยได้นึกถึงหรอก บางคนมาบอกว่าวันนี้วันเกิดอาจารย์ อาตมาถึงนึกได้ เพราะไม่ได้ให้ความสำคัญเลย ที่ให้ความสำคัญคือวันตาย กำลังรออยู่ ถึงคิวเมื่อไรก็..ไปละนะ"

เถรี
22-03-2012, 12:15
ถาม : ตะกรุดโสฬสมหามงคล เวลาเลี่ยมให้เอาห่วงตรงหัวท้ายออกด้วยหรือเปล่าคะ?
ตอบ : อยู่ที่เราสิจ๊ะ เอาออกก็ได้ไม่มีใครเขาว่า เขาทำมาไว้สำหรับแขวน เราจะไม่แขวนก็เอาออกไป เอาห่วงไปหล่อพระก็ได้ เก็บไว้เป็นชนวน ต่อไปนาน ๆ ถ้าไม่มีชนวนก็มาเอาไปนิดหนึ่ง ตอนหลวงพ่อยังอยู่ไม่เท่าไรหรอก ตอนหลวงพ่อมรณภาพเมื่อไรกลายเป็นของวิเศษทุกอย่างแหละ แย่งกันจะเป็นจะตาย

ถาม : ตะกรุดโสฬสไม่ได้บังคับใช่ไหมครับ ว่าต้องเป็นทอง นาก เงิน ?
ตอบ : ตะกรุดโสฬสของหลวงพ่อสมเด็จพระสังฆราชวัดสุทัศน์ฯ ท่านใช้ทองคำ เขียนแล้วไม่ได้ม้วนด้วยนะ ท่านสอดเอาไว้ใต้หมอนนอนหนุนทุกวัน

หลวงพ่อสมเด็จพระสังฆราชวัดสุทัศน์ฯ ต้องบอกว่าท่านแหวกฟ้ามาปรากฏ เพราะ ๗๐ กว่าปีที่ตำแหน่งพระสังฆราชเป็นฝ่ายธรรมยุติมาตลอด มีอยู่ ๑๑ ปีที่ว่างเว้นตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ที่ไม่ทรงแต่งตั้งเนื่องจากรอสมเด็จพระสังฆราชกรมพระยาวชิรญาณวโรรส ซึ่งตอนนั้นยังอาวุโสไม่พอ รอให้อาวุโสได้ก่อนแล้วถึงทรงตั้งขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช

ความเด็ดขาดของสมเด็จพระสังฆราชวัดสุทัศน์ฯ เกิดขึ้นจากการที่สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ก่อนตั้งใจจะให้พระทั้งประเทศห่มผ้าแบบธรรมยุติทั้งหมด แต่หลวงพ่อสมเด็จพระสังฆราชวัดสุทัศน์ฯ เองท่านห่มมังกรแบบมหานิกาย ท่านบอกว่าห่มอย่างนี้มาตลอด ถ้าจะให้เปลี่ยนก็ไม่เปลี่ยน ถ้าไม่เปลี่ยนแล้วจะลงโทษก็ยินดีรับโทษ เล่นเอาท่านที่ออกคำสั่งไปไม่เป็นเหมือนกัน ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าสมเด็จพระสังฆราชวัดสุทัศน์ฯ ท่านยังเป็นสมเด็จพระวันรัตอยู่

เพราะท่านเด็ดขาดแบบนี้แหละ จึงได้แหวกวงธรรมยุติขึ้นมาเป็นพระสังฆราชองค์แรกของมหานิกายในรอบ ๘๐ ปี

เถรี
22-03-2012, 12:19
พระอาจารย์ท่านบอกว่า "เรียนหนังสืออย่าไปกลัว ถ้ากลัวแล้วเรียนไม่สนุกหรอก ต้องเรียนเพราะอยากรู้ อยากรู้ว่าชั่วโมงนี้อาจารย์จะสอนอะไรเรา อยากรู้ว่าชั่วโมงนี้เราจะเถียงอาจารย์ได้ไหม ถ้าแบบนี้จะสนุกมากเลย เถียงให้มีศิลปะด้วยนะ ถ้าเถียงไม่มีศิลปะเดี๋ยวอาจารย์โกรธ เราก็หมดอนาคตอีก

อาตมาเถียงอาจารย์ทุกชั่วโมงแหละ แต่เถียงในลักษณะที่ว่า “อาจารย์ครับ เป็นไปได้ไหมครับว่า..” หรือไม่ก็ “ท่านอาจารย์ครับ อาจารย์คิดว่าเป็นอย่างนี้ได้ไหมครับ” เป็นลูกศิษย์ที่นั่งเถียงอาจารย์ทุกชั่วโมง แต่เถียงแล้วอาจารย์โกรธไม่ได้ เพราะไม่มีความคิดของอาตมาเลย ที่เถียงกันมีแต่ความคิดอาจารย์ จนกระทั่งอาจารย์พลตรีเฉลิมชัยท่านบอกว่า “ถ้าพระคุณเจ้าทักท้วงนี่ผมต้องพิจารณาทันทีเลยว่า ผมพลาดแล้วแน่นอน”

เถรี
22-03-2012, 16:02
ถาม : คนเราเวลากฎแห่งกรรมเล่นงาน ทำไมถึงรวม ๆ เล่นมาทีเดียวเลย ?
ตอบ : เราไปปิดกั้นเขาไว้ด้วยกุศลมานาน อกุศลเหมือนกับแขก ไปไหนไม่ได้ก็ยืนรออยู่หน้าบ้าน ยิ่งรอนานก็ยิ่งมาก เราเปิดประตูเมื่อไรอกุศลก็พรวดเข้ามาพร้อม ๆ กัน

ถาม : แสดงว่าไม่ได้ดึงไว้ แต่อกุศลรออยู่แล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : รออยู่แล้ว ทางรอดก็คือต่อกุศลของเราไว้อย่าให้ขาด ขาดช่วงเมื่อไหร่โดนแน่..!

เถรี
22-03-2012, 16:12
ถาม : เซ้งตึกไว้ที่หนึ่ง มีเจ้าที่เป็นศาลตี่จู้เอี้ยของเจ้าของเดิม ถ้าจะถอนต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าเป็นตี่จู้เอี้ยเราก็บูชาต่อได้เลยจ้ะ ไม่เป็นไร

ถาม : แต่ศาลเก่ามากแล้วค่ะ
ตอบ : ถ้าเก่ามาก เราจุดธูปบอกท่านแล้วขอเปลี่ยนของใหม่ให้ท่านไป ของเก่าเราก็เอาไปลอยน้ำหรือไปไว้โคนไม้ใหญ่

ถาม : ต้องบวงสรวงไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ต้อง เพราะว่าตี่จู้เอี้ยพิธีท่านไม่มากหรอก ประเภทถวายน้ำชา ๔ เหล้า ๔ โหงวก้วย ซาแซเท่านั้นเอง ทำแบบจีนไปเลย

ถาม : วันศุกร์ที่ ๒ เป็นวันฤกษ์พรหมประสิทธิ์ เตรียมงานไม่ทันค่ะ
ตอบ : นิมนต์พระเข้าไปวันนั้น ส่วนวันอื่นก็ช่าง วันที่นิมนต์พระท่านเข้าไปถือว่าเป็นการขึ้นบ้านใหม่ วันไหนฤกษ์ดีเรานิมนต์พระเข้าวันนั้นแหละ เพราะอย่างไรเสียหิ้งพระตั้งทันอยู่แล้ว ส่วนงานอื่นเราก็ทำของเราไปก่อน สะดวกเมื่อไรค่อยจัดทำบุญบ้านอย่างเป็นทางการอีกที

เถรี
22-03-2012, 16:25
ถาม : ตี่จู้เอี้ยเป็นภูมิเทวดาไม่ใช่หรือครับ?
ตอบ : เขาก็บอกชัด ๆ ว่าภูมิเทวดา แต่ธรรมเนียมจีนเขาตั้งบนพื้น คำว่า "ตี่จู้" คือ เจ้าของที่ดิน เขาก็เลยให้วางแปะติดดิน ส่วนธรรมเนียมของเรานิยมตั้งเสมอดวงตา ก็เลยกลายเป็นศาลเพียงตา

เถรี
22-03-2012, 16:31
พระอาจารย์กล่าวว่า "ณญาดา แปลว่าไม่มีญาติ ณ แปลว่า ไม่ ญาดาหรือญาตะ ก็คือญาติ ฉะนั้น..ณญาดาแปลว่าคนไร้ญาติ ณเดช แปลว่าไม่มีอำนาจ ณพล แปลว่าไม่มีกำลัง คนไหนชื่อขึ้นด้วย ณ หรือ นิ ให้รีบเปลี่ยน อย่างนิโรจน์ แปลว่าไม่รุ่งเรือง

มี นิ คำที่ถูกก็คือ นิรัช แปลว่า ไร้ธุลี ก็คือสะอาด ผ่องใส เพราะฉะนั้น..ตั้งชื่ออย่าไปตั้งส่งเดช ชื่อไพเราะ แต่พอแปลออกมาคนไร้ญาติ แสดงว่าชื่อเล่นไม่ได้ชื่อยุ้ย ถ้าชื่อยุ้ยต้องญาติเยอะ..!

ภาษาบาลี วรรค ตะกับ วรรค ฏะ ใช้แทนกันได้ ต ถ ท ธ น แล้วก็ ฏ ฐ ธ ฒ ณ ฉะนั้น..บาลีจะมีคำหนึ่งคือ นัตถิ แปลว่า ไม่มี ฉิบหาย หมดสิ้นแล้ว พอมาแปลงข้ามวรรคอีกทีเป็น ณัฏฐิ แต่ถ้าเราเขียนเป็น ณัฐ ก็แปลว่านักปราชญ์"

เถรี
23-03-2012, 08:23
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครได้อ่านข่าวขอทานทำบุญเป็นล้านบ้างไหม ? เขาทำบุญ ๙๙๙,๙๙๙ บาท เป็นขอทานที่วัดไร่ขิง ทำบุญร่วมบูรณะฐานชุกชีโบสถ์หลวงพ่อวัดไร่ขิง ขาดไป ๑ บาทก็ครบหนึ่งล้าน ความจริงเขามีเงินเกินกว่านั้นแต่เขาให้แค่นั้น ทำเลข ๙ หกตัวเรียงเป็นตับ ท่านเจ้าคุณพระราชวิริยาลังการเจ้าอาวาสวัดไร่ขิงติดป้ายยกย่องให้เลย

คนแถวนั้นเขาเคารพและรักหลวงพ่อวัดไร่ขิงมาก ถึงขนาดอาตมาเรียนปริญญาตรีอยู่ ๒ ปีกว่า ไปฉันข้าวร้านไหน ๆ ก็ไม่เก็บเงิน เขาบอกว่าอยู่ได้เพราะหลวงพ่อวัดไร่ขิง เพราะฉะนั้น..ขอเขาเลี้ยงพระเถอะ จนสุดท้ายไปเป็นลูกค้าร้านประจำร้านหนึ่ง เพราะว่าตกลงกันไว้ว่ามาฉันอาหารเขาจะเก็บมื้อละ ๑๐ บาท ไม่อย่างนั้นอาตมาก็ไม่เข้าร้าน มีปัญญาฉันเท่าไรฉันไป เขาเก็บแค่ ๑๐ บาท แต่ร้านอื่นไม่เก็บอาตมาเลยไม่เข้า"

ถาม : แล้วขอทานคนนั้นจะได้บุญกุศลไหมครับ ?
ตอบ : เขาตั้งใจทำบุญเขาต้องได้แน่ เขาถือว่าได้เงินเพราะอาศัยบารมีหลวงพ่อวัดไร่ขิง เวลานั่งขอทาน คนเข้าคนออกวันหนึ่งเป็นหมื่น ได้คนละบาทก็เหลือเฟือแล้ว ฉะนั้น..จะไปดูถูกขอทานไม่ได้นะ เคยมีการ์ตูนของอาวัฒน์เขียนภาพว่า มีผู้จัดการธนาคารขับรถมา จอดรถแล้วลงไปพินอบพิเทากับขอทาน “ท่านครับ..ท่านจะเบิกเท่าไหร่ครับ ?" ขอทานมีเงินเยอะขนาดนั้น ผู้จัดการต้องไปหาด้วยตัวเองเลย "กรุณาฝากกับสาขาของผมต่อไปก่อนนะครับ อย่าเพิ่งเบิกเลย"

เถรี
23-03-2012, 08:35
อย่างชูชกมีเทคนิคในการขอทาน ยกยอปอปั้นจนคนต้องให้ เหมือนกับเรื่องที่ชายหนุ่มยอคนหัวล้านจนได้วัวไป ชายหัวล้านกำลังจูงวัวจะไปขาย ชายหนุ่มคนนี้ผ่านมาถึงก็บอกว่า “พ่อผมดกปรกไหล่ พ่อจะจูงวัวไปไหน ?” ชายหัวล้านก็ว่า “พ่อตั้งใจจะเอาวัวไปขาย แต่เห็นเจ้าน่ารักพ่อก็เลยยกให้” ชายหนุ่มได้วัวไปแบบง่าย ๆ

พอจูงวัวเดินไปเจอเพื่อน เพื่อนถามว่าได้วัวมาจากไหน ? ชายหนุ่มบอกว่า “ไอ้หัวล้านให้มา” เพื่อนปากหมาก็วิ่งไปบอกชายหัวล้าน ชายหัวล้านโมโหถือปฏักไล่ตามมาจะฟาดกบาล ชายหนุ่มหันมาเจอ รู้ทางก็ตะโกนทักแต่ไกลเลย “พ่อผมดกปรกไหล่ พ่อถือปฏัก วิ่งทะเลิ่กทะลั่กไปทำอะไร ?” ชายหัวล้านได้ยินหายโกรธเลย พูดว่า “ลูกเอ๋ยลูกรัก เห็นเจ้าลืมปฏัก พ่อเลยเอามาให้” เสร็จอีกจนได้ ถ้าขืนไปบ่อย ๆ มีหวังหมดตัวแน่นอน

อย่างที่โบราณบอก “ปากเป็นเอกเลขเป็นโทโบราณว่า หนังสือตรีมีปัญญาไม่เสียหลาย” แบบเดียวกับซูฉิน ซูฉินเกิดในสมัยรัฐสงคราม (จ้านกว๋อ) ยุคนั้นรบกันแหลก ซูฉินจบมาจากหุบเขาปีศาจ ถือว่าเป็นสุดยอดของสถาบันวิชาการสมัยนั้น จบออกมาก็อาสาเป็นนักการทูต แต่ดันไปพูดผิดหู เพราะดันไปแนะนำเขาให้สงบศึก ทำสัญญาเป็นพันธมิตรกัน

อีกฝ่ายเขาต้องการรบ จึงสั่งจับเฆี่ยนซูฉินจนปางตาย หอบหิ้วสังขารกลับบ้านไป ฝ่ายภรรยาก็ใส่ยาไปร้องห่มร้องไห้ไป บอกกับซูฉินว่า “พี่เลิกเถอะ..อาชีพนักการทูต ไม่รุ่งหรอก เดี๋ยวโดนตีตาย” ซูฉินแลบลิ้นให้ดูแล้วถามว่า “ลิ้นของพี่ยังปกติอยู่หรือเปล่า ?” เมียก็บอกว่าปกตินะสิ ไม่ได้โดนอะไร

ซูฉินบอกว่า “ถ้าลิ้นยังอยู่ไม่ต้องกลัวหรอก พี่เอาดีจนได้แหละ” เขามั่นใจตัวเองขนาดนั้น แล้วในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ เพราะว่าเขาใช้กลวิธี “ร่วมประสานแนวดิ่ง” คือให้รัฐที่อยู่ทางด้านทางตรงประสานจับมือหมด เพื่อโดดเดี่ยวรัฐฉินของฉินซีฮ่องเต้

เถรี
23-03-2012, 08:41
พระอาจารย์บอกว่า "คุณโอรสเบิกเงินมาถวาย เงินจากการให้บูชาพระปิดตามหาเศรษฐีชุดกรรมการ ๑๙๙ ชุด เป็นเงิน ๑,๖๕๕,๘๐๐ บาท และญาติโยมที่ร่วมบุญตามกำลังศรัทธา ๑๐๔,๒๐๐ บาท รวมทั้งสิ้น ๑,๗๖๐,๐๐๐ บาท เกือบพอแล้วเพราะว่าต้องการแค่ ๗,๒๐๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น ..(หัวเราะ).. ต้องการเจ็ดล้าน ได้มาล้านเจ็ดถือว่าได้ตามเป้าแล้ว

ท่านใดที่จองพระปิดตาชุดกรรมการหรือจองพระนาคปรกไว้รีบมารับนะจ๊ะ ขืนช้าเดี๋ยวโดนยึดเป็นของกลางหมด จ่ายเงินแล้วไม่มาเอาสักที เจ้าหน้าที่ก็มารอแล้วรออีก"

เถรี
23-03-2012, 13:01
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้กำลังวางแผนที่เป็นไปไม่ได้ ก็คือพออายุ ๖๐ ปีแล้วอาตมาจะเกษียณ พระที่วัดพอเวลาอาตมาพูดถึงตำแหน่งเจ้าอาวาสนี่ ยอมให้อาจารย์ไล่ออกจากวัดเลย ไม่ยอมเป็นเจ้าอาวาสกันเด็ดขาด..!"

ถาม : ต้องไปนมัสการหลวงปู่ปานให้ลงมา?
ตอบ : ไม่ทันแล้ว ช่วงจังหวะนี้เป็นจังหวะที่ดีที่สุดแล้ว เพราะว่าอาตมาทันเห็นของโบราณและทันเห็นของทันสมัย ยืนอยู่ตรงกลางพอดี คนมาใหม่ก็เห็นแต่ของทันสมัย ไม่รู้อะไรที่เป็นโบราณเลย

เถรี
23-03-2012, 13:09
ถาม : งานพุทธาภิเษกที่วัดเนินสุทธาวาสบรรยากาศเป็นอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : อาตมาแอบดูครูบาอาจารย์ทุกท่าน ส่วนใหญ่ร้อยละ ๙๙ ใช้กำลังของตัวเองทั้งนั้น แต่ว่าดูถูกไม่ได้เลยนะ บางท่านกำลังใจพุ่งเป็นเข็มเลย บางท่านไปเป็นลำอย่างกับไฟฉายแรงสูง ถือว่ากำลังสูงมากเลย แต่ประเภทที่จะครอบคลุมทีเดียวหมดแบบกำลังของพระพุทธเจ้านั้นไม่มี

ถาม : แล้วท่านละครับ ?
ตอบ : อ๋อ..นั่งดูพระท่านอย่างเดียว พอท่านบอกว่าพอแล้วก็ลืมตาได้

ถาม : ท่านเก่งกันขนาดนี้แล้ว ทำไมท่านอื่น ๆ ไม่ใช้วิธีอาราธนาบารมีพระบ้าง ?
ตอบ : ท่านไม่รู้วิธี

ถาม : จริงหรือครับ ?
ตอบ : จริง ๆ ตามสายครูบาอาจารย์ของท่านไม่ได้สอนมาอย่างนี้ ถึงได้บอกว่าพวกเรานี่โชคดีสุด ๆ เลย ครูบาอาจารย์ของพวกเรารู้จักพระพุทธเจ้า ก็เลยสอนลูก ๆ ให้รู้จัก แล้วก็ขอบารมีท่านสงเคราะห์ได้ เหมือนอย่างกับเด็กมีเส้น ส่วนท่านอื่นไม่มีเส้น ท่านไม่รู้จัก ก็ต้องปล่อยไปเรื่อย ท่านก็คงไปสอนลูกศิษย์หลานศิษย์ต่อ ๆ กันไปแบบเดิม

ถาม : เหมือนอย่างกับลูกคนรวยแล้วไม่ยอมทำมาหากินเองเลยครับ ?
ตอบ : แบบนั้นเลย..แต่ของเราต้องไม่ประมาทนะ เรารวยก็จริง แต่ถ้ารวยแล้วประมาทก็ไม่เกิน ๓ รุ่น..เจ๊งแน่นอน..!

เถรี
23-03-2012, 13:19
ถาม : แต่ความจริงการขอบารมีพระ ตั้งแต่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนมา ท่านก็ไม่ได้ปกปิดเป็นความลับอะไรเลยนี่ครับ ?
ตอบ : คนอาจจะรู้วิธีมากขึ้น แต่คนที่รู้วิธีแล้วขอได้ถูกต้องกลับมีน้อยลง

ถาม : ยากหรือครับ ?
ตอบ : เหมือนกับคุณไปขอในหลวงให้เสด็จฯ

ถาม : อ๋อ..รู้ว่าขอได้ แต่จะขออย่างไร ?
ตอบ : จะขออย่างไรให้ท่านเสด็จฯ แบบเดียวกับสมัยอาตมาอยู่วัดท่าซุง ไปขอหลวงพ่อออกธุดงค์ ขอทีไรได้ทุกที คนอื่นไปขอนี่หัวหดกลับมา ไม่ได้สักคน ขึ้นอยู่กับการใช้คำพูดนิดเดียว

อาตมามอบความไว้วางใจว่า ไม่ว่าจะไปทำอะไรที่ไหน พระเดชพระคุณหลวงพ่อรู้ทุกเรื่องอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเข้าไปถึงส่งใบลาก็ “หลวงพ่อครับ..ผมขออนุญาตไปกาญจนบุรี ๑๐ วันครับ” ท่านก็ “เออ..ไปเถอะ” บางทีก็ “หลวงพ่อครับ..ผมขออนุญาตไปอุทัยธานี ๑๕ วันครับ” ท่านก็ “เออ..ไปเถอะ” ก็แค่นั้น

คนอื่นเข้าถึงส่งใบลาแล้วบอกว่า “หลวงพ่อครับ..ขออนุญาตไปธุดงค์ ๑๕ วันครับ” หลวงพ่อท่านก็พูดเสียงเข้มว่า “แกแน่ใจแล้วนะ ?” เรียบร้อย..หงายท้องตึงกลับมา คนหนึ่งขอไปธุดงค์ คนหนึ่งขอไปเฉย ๆ แต่หอบอะไรต่อมิอะไรออกไปธุดงค์ จนกระทั่งเป็นที่อิจฉามารศรีของพระพี่พระน้อง ว่าทำไมอาตมาขอทีไรได้ทุกที อยู่ที่ใช้คำพูดนิดเดียว แล้วท่านก็รู้ กลับมาท่านก็ถามทุกทีแหละ “แกไปตรงนั้นตรงนี้มาใช่ไหม ?” ไม่ต้องไปเถียงเลย ถูกต้องทุกครั้ง

ถาม : แล้วตอนนี้ถ้าพระที่วัดท่าขนุนไปธุดงค์ ท่านจะรู้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่อยากรู้หรอก แต่เขาพยายามจะให้รู้ เตือนเขาอย่างหนึ่งว่า “ที่ต้องไปแล้วบอกครูบาอาจารย์เพราะว่าบางสถานที่ พวกคุณจะเอาตัวไม่รอด ครูบาอาจารย์ส่งใจไปล่วงหน้า อุทิศส่วนกุศลให้เขาแถวนั้นซะจนทั่วแล้ว ฝากท่านว่าถ้าลูกศิษย์ผมมาช่วยดูแลให้ด้วย คุณไปถึงก็นอนตีพุงสบายใจเฉิบ ลำพังคุณไปเองอาจจะโดนตื้บกลับมา..!"

เถรี
24-03-2012, 09:15
ถาม : โยมนำสร้อยพระไปวางแล้วคนอื่นเดินข้าม เกิดไม่มั่นใจขอหลวงพ่อเสกให้หน่อยเจ้าค่ะ
ตอบ : จำเอาไว้นะ..มีคนไปถามหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ “หลวงพ่อครับ แขวนพระหลวงพ่อแล้วลอดใต้ถุนบ้านได้ไหม ?" “หลวงพ่อครับ แขวนพระหลวงพ่อแล้วลอดราวผ้าได้ไหม ?” หลวงพ่อเดิมบอกว่า “งูเห่าเลื้อยลอดใต้ถุนบ้าน เลื้อยลอดราวผ้ามากัดเอ็ง เอ็งตายห่..ไหม ?” ตายสิครับ..หลวงพ่อเดิมบอกว่า “เออ..พระที่ข้าเสกก็เหมือนกันนั่นแหละ ลอดไปเถอะ ถ้าไม่ได้เจตนาจะลอดให้เสื่อมก็ไม่เป็นไร”

(ท่านอธิษฐานให้) เอ้า...เอาไป แสดงว่ากำลังใจยังไม่พอ แค่นี้เราก็ฝ่อแล้ว พระที่เสกด้วยพุทธานุภาพ อยู่ที่ต่ำอย่างไรก็ไม่เสื่อม แต่อย่าไปตั้งใจทำ อย่างเช่นตั้งใจเดินข้าม ตั้งใจลอดใต้ถุนบ้าน ตั้งใจลอดราวผ้าเพื่อให้เสื่อม ถ้าอย่างนั้นจะเสื่อมจริง ๆ แต่เสื่อมแล้วคนทำลงนรก เพราะข้อหาปรามาสพระรัตนตรัยด้วย ถ้าไม่ได้เจตนาก็มุดไปเถอะ ตรงไหนก็ไปได้

ต้องบอกว่าใจเสื่อมจากคุณพระ ตั้งใจทำให้เสื่อมแปลว่าไม่เคารพแล้ว ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็เสื่อมจริง ๆ แต่ตัวเองลงอเวจีไปด้วย

เถรี
24-03-2012, 09:49
ถาม : งานพุทธาภิเษกวัดเขาวงเป็นอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : พี่ ๆ ทุกท่านมอบความไว้วางใจให้ นั่งรอเลยว่าอาตมาจะบอกว่าเต็มเมื่อไร

ถาม : พอท่านลืมตาปุ๊บ หลวงพ่อมนัสก็ลืมตาปั๊บ
ตอบ : พวกท่านที่รู้นะรู้เท่ากัน แต่ท่านที่ไม่รู้ก็รอจังหวะว่าอาตมาจะให้สัญญาณเมื่อไร

ถาม : ทำไมหลวงตาท่านไม่ใช้ฤกษ์เสาร์ ๕ ครับ ?
ตอบ : ฤกษ์เสาร์ ๕ รวมลูกศิษย์สายหลวงพ่อไม่ได้นะสิ ต่างคนต่างจัดงานไหว้ครู

ถาม : แล้วอย่างนี้วัตถุมงคลพุทธานุภาพเท่ากันไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่พระท่านจะมาสงเคราะห์ไหม ? ถ้าพระท่านมาสงเคราะห์ก็เหมือนกันนั่นแหละ

ถาม : ลูกแก้วที่เข้าพิธีที่วัดเขาวงนั้นเป็นอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : รีบไปหาไว้ อาตมานี่นาน ๆ จะโดนประเภทยาวไม่เลิกสักที เพราะว่าเสกแก้วเป็นพระจะเสกยาก ถ้าหากว่าปกติไม่ได้มีแก้วจักรพรรดิเป็นองค์ประธานอยู่ด้วยไม่หนี ๒ ชั่วโมง นั่นยังดีประมาณ ๔๐ - ๔๕ นาที

ถาม : อย่างนี้ใครพกลูกแก้วไปในบริเวณงานก็ได้ด้วย ?
ตอบ : อยู่ที่คุณตั้งใจหรือเปล่า ? แต่วันนั้นอาตมาตั้งใจขอให้หมดเลย แม้กระทั่งที่อยู่ที่บ้านก็ให้ ถ้าเขาตั้งใจรับ

ถาม : ขอตอนนี้ยังทันไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ทันแล้ว โดยเฉพาะว่าขออนุญาตท่านปู่ท่านย่า ขอบารมีองค์แก้วจักรพรรดิช่วยสงเคราะห์พวกเราให้มีความสะดวกคล่องตัว เพราะว่าสถานการณ์ประเทศชาติดียาก คนเราไม่อยากให้ดีว่าอย่างนั้น มีแต่คนเอาเท้าราน้ำ

ถาม : กำลังใจที่พวกเราตั้งใจทำสมาธิละครับ ?
ตอบ : ช่วยได้เฉพาะพวกเรา เหมือนอย่างกับน้ำถังหนึ่งเทลงในทะเล ก็หายเค็มแค่จุดนั้นหน่อยหนึ่ง ที่อื่นก็ยังเค็มปี๋เหมือนเดิม ตรงนี้ทำให้ไปนึกถึงหลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ ญาติโยมไปเล่าให้ท่านฟังเรื่องหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด หลวงพ่อแดงวัดเขาบันไดอิฐบอกว่า ข้าเหยียบน้ำจืดเป็นน้ำทะเลได้ ลูกศิษย์ก็ตาลุก บอกว่า “หลวงพ่อทำได้จริงหรือครับ ?” ท่านบอกว่า “จริงสิวะ...แค่เอาตีนแหย่ลงท่าน้ำตรงนี้ เดี๋ยวพอไหลถึงปากอ่าวก็เค็มแล้ว”

เถรี
24-03-2012, 09:55
ถาม : ถ้าจะขอสร้างวัตถุมงคลถวายท่านได้ไหมคะ?
ตอบ : ไม่ต้อง..ไม่เอา อะไรที่พระไม่ได้สั่ง..ไม่ทำ ทำแล้วเหนื่อย ไม่เห็นหรือว่าอะไรที่ท่านสั่งเป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น เรื่องวัตถุมงคลไม่ต้องเจตนาดีมาทำให้เลย ถ้าทำก็ไปแจกกันเอง

เถรี
24-03-2012, 10:08
ถาม : เป็นมะเร็งปากมดลูก ?
ตอบ : จริง ๆ พวกนั่งกรรมฐานถ้าใจสบายจะหายเลย พวกโรคภัยที่เกี่ยวกับระบบอวัยวะสืบพันธุ์เกิดจากฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงเพราะความเครียด ถ้าหายเครียดโรคจะหายเลย ต่อให้เป็นมะเร็งอย่างมะเร็งปากมดลูก มะเร็งท่อรังไข่ มะเร็งเต้านมพวกนี้ก็เหมือนกัน ถ้าหายเครียดก็จะหายเลย เพราะฉะนั้น..มีโอกาสเข้าวัดเข้าวาทำสมาธิบ้าง

ถาม : แล้วเราอุทิศส่วนกุศล ?
ตอบ : อุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวรของเรา ให้เขาโมทนาและอโหสิกรรมให้ด้วย ขอให้เราหายจากโรคภัยนี้ไว ๆ

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ใช้คุณพระรัตนตรัยก็ได้จ้ะ อิติปิโสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ เพียงแต่ว่าทำด้วยความเคารพ ยึดท่านเป็นที่พึ่ง อยู่กับลมหายใจเข้าออกจริง ๆ พอหายเครียดก็หายป่วย ขนาดบางคนหมอบอกว่าอยู่ได้อีก ๖ เดือน เป็นจนกระทั่งขึ้นตามแขนตามขาเป็นตุ่มหมดแล้ว เขาตั้งใจจะไปตายอยู่ที่วัดก็ยังหายเลย เขาไม่ได้เจตนาให้หายหรอก เขาคิดว่าไม่รอดแล้วก็เอาแค่นั้น แต่ปรากฏว่าเพราะว่าไม่เครียดก็เลยหาย

เถรี
24-03-2012, 10:39
พระอาจารย์เล่าเรื่องอภิญญาให้ฟังว่า "ตาอินเทวดาไปยืมเงินคนนั้นคนนี้มากินเหล้า ยืมแล้วก็ไม่ใช้คืนสักที เจ้าหนี้เจอหน้าก็เข้ามากระชากแขนตาอิน ปรากฏว่าแขนตาอินหลุดติดมือ เจ้าหนี้ก็ตกใจวิ่งหนี ทิ้งแขนตาอินไว้ คนอื่นเห็นตาอินเดินไปเก็บแขน ซึ่งกลายเป็นผ้าขาวม้าพาดบ่า เดินหัวเราะหึ ๆ ไป

เรื่องตาอินเทวดามีวีรกรรมเยอะ เห็นชัด ๆ เลยว่าเป็นอภิญญาโลกีย์ เพราะว่าแกกินเหล้าเป็นปกติ แบบเดียวอาจารย์ศุข ถึงเวลาก็ไปซื้อเหล้ากิน สั่งเจ๊กซื้อเหล้าชามหนึ่ง นั่งกินกับเพื่อนอยู่ครึ่งค่อนคืน กินจนเมาหัวทิ่มบ่อแล้วก็กลับ เจ๊กก็สงสัยว่าตาอินกินได้อย่างไร เหล้าชามเดียวกินได้ครึ่งค่อนคืน พอไปดูที่ไหนได้ เหล้าในร้านหมดไปเป็นไหเลย..!"

ถาม : แล้วเขาใช้อภิญญาได้อย่างไรในเมื่อศีลไม่ครบ ?
ตอบ : ตอนแกใช้อภิญญาศีลครบ ตอนที่แกกินเหล้าแกไม่ได้ใช้ วันดีคืนดีก็บอกชาวบ้านว่า “อยากเห็นเทวดาไหม ?” ชาวบ้านก็บอกอยากเห็น แกก็ให้เอาผ้ามาคนละผืน "เดี๋ยวข้าต่อผ้าแล้วจะขึ้นไปเรียกเทวดามาให้ดู" ชาวบ้านก็เอาผ้ามาคนละผืน ผ้าขาวม้าบ้าง ผ้าดิบบ้าง มัดต่อ ๆ กัน

ตาอินแกมัดแล้วตัวแกลอยสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหมดผ้า แกก็ตะโกนเรียก “เทวดาโว้ย..!” ก็มีเสียงตอบมาว่า "โว้ย..!" ตาอินพูดต่อ “ชาวบ้านเขาอยากเห็น..โผล่มาให้เขาดูหน่อย” โอ้โห..โผล่มาตามกลีบเมฆเต็มเลย ชาวบ้านกำลังดูเพลิน ๆ ตาอินกระตุกผ้าผลุบ เหมือนกับว่าวหลุดลอยหายไปเลย ชาวบ้านก็ตายละหว่า..ตาอินไปไหน ? แต่ไม่กลัวหรอกว่าตาอินจะเป็นอะไร เพราะว่าแกเก่ง น่าจะขึ้นไปคุยกับเทวดาข้างบนกระมัง ? แต่ที่ไหนได้..เถ้าแก่โรงจำนำเห็นตาอินหอบผ้ามาจำนำเยอะแยะเลย แล้วตาอินก็เอาเงินไปซื้อเหล้ากินต่อ

ถาม : เป็นเรื่องสมัยไหนครับ ?
ตอบ : สมัยรัชกาลที่ ๓

ถาม : สมัยนี้ยังมีอย่างนี้ไหมครับ?
ตอบ : มี..แต่โผล่มาไม่ค่อยได้หรอก โผล่มาทีไรก็โดนรุมตอมหึ่ง สรุปแล้วผ้าคนละผืนเป็นค่าดู ให้ตาอินจำนำเอาเงินไปกินเหล้า

เถรี
24-03-2012, 11:53
ถาม : ตอนใช้อภิญญา อยู่ที่กำลังใจอย่างเดียวเลยหรือครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ความมั่นใจของเราและความคล่องตัวของสมาธิ ถ้าหากว่ามีความคล่องตัว มีความมั่นใจ จะใช้อภิญญาเมื่อไรก็ได้


ถาม : อย่างนี้ก็อยู่ที่ตัวมั่นใจแต่ละคนสิครับ ?
ตอบ : ใช่..ซักซ้อมให้คล่องตัว ไม่อย่างนั้นต้องตั้งหลักกันนาน ถ้าตั้งหลักนานไม่ใช่อภิญญาหรอก อภิญญาไม่ต้องตั้งหลัก แค่คิดก็เป็นแล้ว

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ถ้าหากว่าผิดศีลก็เสื่อม หลังจากนั้นเขาก็รวบรวมกำลังใจได้ใหม่ เพราะผิดจนชิน พวกนี้จะหน้าด้าน พอผิดจนชินถึงเวลาก็รู้นี่ ถ้าหากว่าศีลบริสุทธิ์ก็ทำได้ เขาก็ตั้งใจว่าตอนนี้ศีลของเราบริสุทธิ์ ก็ทำได้เดี๋ยวนั้นเลย

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อย่างน้อย ๆ ช่วงที่เขาทำได้ กำลังใจเขาก็สะอาด แล้วอีกอย่างพวกนี้พอตอนช่วงหลัง ๆ ก็มาอยู่ในศีลกินในธรรมกันหมด แรก ๆ ก็ประเภทร้อนวิชา เฮี้ยนไปอย่างนั้นเอง พอถึงเวลา "ท่าน" ที่ควบคุมอยู่เล่นเอาหนัก ๆ ก็ต้องเลิกไปเอง

ถาม : คนสมัยก่อนกับคนสมัยนี้ใครมีอภิญญามากกว่ากัน ?
ตอบ : สมัยก่อนสภาพจิตของเขาสงบง่ายกว่า สังเกตดูรุ่นปู่ย่าตาทวดของเราสิ อยู่ในศีลกินในธรรม สวดมนต์ไหว้พระ ทำบุญเข้าวัดเข้าวาเป็นประจำ ในเมื่อจิตเย็น สงบ สมาธิก็เกิดได้ง่าย วิสัยเดิมถ้ามีมาในด้านอภิญญาก็จะโผล่มาเอง

เถรี
24-03-2012, 12:53
ถาม : สายสิญจน์ที่อยู่ในพิธีจะมีพุทธคุณเหมือนกับวัตถุมงคลที่อยู่ในพิธีไหมครับ ?
ตอบ : พุทธคุณมีแน่นอน แต่บางอย่างก็ต่างกันไป อย่างเช่นลูกแก้วกับพระศรีอาริยเมตไตรยก็ต่างกันแล้ว เพราะว่าท่านที่เสกเป็นคนละองค์กัน

ถาม : ไม่ใช่พระท่านเสกทั้งหมดหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ได้ทั้งหมดหรอก บางทีเจ้าของงานมาเอง ก็ต้องยกให้ท่านไปจัดการเอง

เถรี
24-03-2012, 12:58
พระอาจารย์กล่าวว่า "ประเทศไทยเราเรื่องรากเหง้าของบรรพบุรุษไม่ค่อยจะศึกษากันให้ลึกซึ้ง ก็เลยไม่เห็นคุณค่าของพิพิธภัณฑ์ ต่างประเทศอย่างอเมริกาเขาต่อคิวกันเข้าพิพิธภัณฑ์ยาวเป็นกิโลฯ เด็ก ๆ ขนาดใช้คอมพิวเตอร์เป็นว่าเล่น แต่ถึงเวลาต้องต่อคิวเข้าห้องสมุดยาวเป็นกิโลฯ เพื่อยืมหนังสือ เนื่องจากอาจารย์บังคับว่าต้องอ้างอิงจากหนังสือเท่านั้น อ้างอิงจากในอินเตอร์เน็ตไม่ได้

ในเมื่อบ้านเราไม่เห็นคุณค่า พิพิธภัณฑ์ดี ๆ ก็ตั้งอยู่ไม่ได้ รายจ่ายมากกว่ารายรับ แบบเดียวกับพิพิธภัณฑ์จ่าทวีที่พิษณุโลก สู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหว ถ้าทางการไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยอาจจะต้องปิดไปเลย จ่าทวีท่านสะสมพวกข้าวของเครื่องใช้พื้นบ้านเอาไว้มาก เปิดบ้านตัวเองเป็นพิพิธภัณฑ์ได้เลย"

เถรี
24-03-2012, 16:38
แบตเตอรี่ไมโครโฟนเสื่อม พระอาจารย์กล่าวว่า "นี่แหละคืออัจฉริยภาพของพระพุทธเจ้า สัพเพ สังขารา อนิจจาติ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ บุคคลผู้มีปัญญาจึงมองเห็นได้ อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา การเข้าถึงความดับแห่งทุกข์จึงเป็นหนทางให้เข้าสู่ความบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น..เมื่อทุกอย่างไม่เที่ยง จะให้ไมโครโฟนดังตลอดไปก็ไม่ได้ เพียงแต่ว่าพังเร็วไปหน่อย

ฟัง ๆ ดูธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้วรู้สึกว่าพระองค์ท่านอาจหาญเหลือเกิน ประกาศในสิ่งที่เป็นจริงซึ่งคนมองไม่เห็น และไม่รู้ว่าเขาจะเห็นตามได้หรือเปล่า แต่ว่าพระองค์ท่านก็กล้าประกาศ แบบเดียวกับตอนที่ส่งพระอรหันต์รุ่นแรก ๖๐ องค์ออกประกาศพระศาสนา มุตตาหัง ภิกขะเว สัพพะปาเสหิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราพ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง

มุตตะ กับ อะหัง คือตัวเราพ้นแล้ว คนที่พูดได้เต็มปากเต็มคำอย่างนี้มีหรือในตอนนั้น ? เย ทิพพา เย จะ มะนุสสา ทั้งที่ของเป็นทิพย์และของมนุษย์ อะไร ๆ ก็เอาไม่อยู่แล้ว พระองค์ท่านถึงได้ส่งออกไปประกาศพระศาสนา แล้วก็ได้ผลมหาศาล ประชาชนหันมานับถือศาสนาพุทธจนกระทั่งกลายเป็นศาสนาหนึ่งที่คนนับถือเป็นจำนวนมากในโลกปัจจุบันนี้

เราลองไปนึกถึงความอาจหาญของบุคคลที่กล้าประกาศอย่างชัดเจน เอาอย่างพระปิณโฑลภารทวาชะก็ได้ "ใครไม่รู้ธรรมจงมาถามเรา ใครมีข้อสงสัยในธรรมจงมาถามเรา" ประกาศแบบนี้ในสมัยนี้สงสัยว่าจะโดนชกหน้า..! ในเมื่อพระองค์ท่านอาจหาญกล้าประกาศ เขาจึงใช้คำว่าบันลือสีหนาท ประหนึ่งราชสีห์คำรณ

คราวนี้เราเห็นว่าในปัจจุบันของเรา การที่หลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ ถ้าหากว่าเป็นท่านที่ปฏิบัติจนหลุดพ้นแล้วก็ไม่เป็นไร ท่านทำหน้าที่ได้เต็มสติกำลังของท่านอย่างแน่นอน แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่มุตตาหัง ตนเองยังไม่ได้หลุดพ้น แทนที่จะเป็น "เราทั้งหลายพ้นจากบ่วงทั้งปวง" ก็เป็น "เราทั้งหลายยังไม่พ้นจากบ่วงอะไรเลย ทั้งที่เป็นของทิพย์และของมนุษย์" จะให้ไปประกาศศาสนาแล้วให้ได้ผลชัดเจนเหมือนอย่างกับในสมัยพุทธกาลก็เป็นเรื่องยาก

ดังนั้น..ญาติโยมจึงต้องมีปุพเพกะตะปุญญะตา บุญที่สร้างสมมาแต่ปางบรรพ์ ทำให้เราได้เข้าไปสู่สำนักที่ครูบาอาจารย์ท่านทำจริง ได้ผลจริง แล้วจึงนำมาสั่งสอน อย่างนั้นต้องถือว่าบุญเก่าเราดี หนุนเสริมให้ไปถูกที่ถูกทาง หลายท่านที่อยากจะทำจริง ประพฤติจริง แต่ว่าไปเจอสำนักที่ท่านไม่เป็นมวยอะไร นอกจากมั่วไปเรื่อย ก็ถือว่าเป็นเวรเป็นกรรมไป"

เถรี
24-03-2012, 16:44
"สัพพะปาเสหิ พ้นจากบ่วงทั้งปวงแล้ว สัพพะคือทั้งหลาย ปาสะก็คือบ่วง ที่เราเรียกบ่วงบาศ บาลีเป็นตัว ป พอมาเป็นไทยใช้ บ ที่เราเรียกหัตถบาส ฉะนั้น..เห็นความอาจหาญ กล้าทำในสิ่งที่ดีเพื่อประโยชน์คนอื่นล้วน ๆ เลย ไม่ได้เพื่อประโยชน์ของพระองค์ท่านเองเลย พหุชะนะหิตายะ พหุชะนะสุขายะ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของชนหมู่มาก

โลกานุกัมปายะ เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก อัตถายะ หิตายะ เทวะมะนุสสานัง เพื่อประโยชน์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ลำพังพระองค์ท่านเองพ้นแล้ว จะไปนอนตีพุงเฉย ๆ ก็ได้ แต่ว่าด้วยความเมตตากรุณาที่มีอยู่ ก็ยอมเหนื่อยยากทนสั่งสอนพวกเรามา

คราวนี้พวกเรามีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้อยู่ในช่วงที่พระธรรมของพระองค์ท่านยังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ ควรจะรีบตักตวงกอบโกยความดีให้มากที่สุด ไม่ใช่ปล่อยให้เวลาล่วงพ้นไปวันหนึ่ง ๆ ปฏิบัติธรรมไป ฟุ้งซ่านแค่ไหนก็ให้รู้ว่าเราฟุ้ง ควบคุมความฟุ้งซ่านไว้อย่าให้หลุดกรอบของศีลก็ใช้ได้แล้ว เพราะถ้าเรายังมีสติรู้ ควบคุมตัวเองอยู่ ตัวกามาวจรจิตมหากุศลจะเกิดขึ้นจากสตินั่นเอง

ชั่วให้รู้ว่าชั่ว ระมัดระวังไว้อย่าให้หลุดออกมาเป็นกายกรรม วจีกรรม ดีให้รู้ว่าดี พยายามสร้างกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมให้เจริญขึ้นไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวพอความดีมากขึ้น ๆ ก็จะกลบกลืนความชั่วไปเอง เหมือนกับเติมน้ำสะอาดไปเรื่อย เดี๋ยวน้ำเกลือก็จางลง ๆ ต่อให้มีเกลือปนอยู่ก็ไม่รู้แล้วว่าเป็นรสของเกลือ

เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าเราสร้างความดีมากขึ้น ๆ ความชั่วไม่มีโอกาสโต เดี๋ยวก็โดนเบียดเฉาตายไปเอง ถ้าหากทำแล้วรู้ว่าเราชั่วถือว่ามาถูกทาง ถ้าหากมาไม่ถูกทางก็เห็นว่าตัวเองดี เพราะฉะนั้น..ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำต่อไป พยายามลด ละ เลิกให้ความชั่วเหลือน้อยลง ๆ ท้ายที่สุดก็จะหมดไปเอง สำคัญที่ต้องสู้จริง ๆ

พระองค์ท่านอุตส่าห์เหนื่อยยากสั่งสอน เพราะประโยชน์ เพราะความสุขของเราแท้ ๆ เราเองที่เป็นผู้รับคำสั่งสอนนั้นมาปฏิบัติ ถ้าไม่ยอมทำเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของตัวเองก็ถือว่าเสียชาติเกิด..!"

เถรี
24-03-2012, 16:45
"มุตตะ แปลว่าความพ้น วิมุตตะ พ้นอย่างยิ่ง พ้นอย่างวิเศษ พอมุตตะ บวกกับ อะหัง เสียงรัสสะคือเสียงอะของตะ กับเสียงอะของอะหัง รัสสะกับรัสสะรวมกันเป็นฑีฆะ ก็เป็นเสียงยาว กลายเป็นมุตตาหัง

ถ้าหากว่าเราดูรูปประโยคออกก็ง่าย ถ้าดูไม่ออกก็มืดแปดด้านคลำไม่ถูก โดยเฉพาะนักเรียนบาลีจะแปลบาลีต้องรอบคอบสุด ๆ เลย กาล บท วจนะ บุรุษ วาจก ปัจจัย ยุ่งไปหมด"

เถรี
25-03-2012, 11:00
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกนักสัตววิทยารุ่นหลัง ๆ ไปจากนี้ ถ้ามาขุดเจอโครงกระดูกสัตว์คงกลุ้มใจมากเลยว่าตัวอะไรกันแน่ อย่างขุดได้กระโหลกหมาปั๊ก คงงงมากว่าเป็นตัวอะไร หน้าตาประหลาด ๆ สมัยก่อนเขาเจอโครงกระดูกตัวลีเมอร์ ไม่รู้ว่าคือตัวอะไร ระยะหลังพอไปเจอตัวจริงเข้า เอามาเพาะเลี้ยงจนมีมากขึ้นถึงได้รู้ว่าเป็นพวกแมวกระรอกนี่เอง แมวก็ไม่ใช่ กระรอกก็ไม่ใช่ ก็เลยเรียกว่าแมวกระรอก

ส่วนที่มีข่าวว่าหมาพิทบูลกัดคนตาย ต้องบอกว่าเขาตั้งใจผสมพันธุ์มาให้เป็นอย่างนั้น ก็คือเขาผสมพันธุ์จนได้พันธุ์หมาที่เวลางับแล้วปากจะล็อกเลย เพราะสมัยก่อนเขาให้หมาช่วยล่าวัว บูลก็แปลว่าวัวอยู่แล้ว คราวนี้ถ้างับไม่แน่น เวลาวัวสลัดออกอาจจะโดนเหยียบโดนขวิดได้ ฉะนั้น..ตัวไหนปากเหนียวแน่นงับติด ถึงเวลาเจ้านายล่าวัวได้หมาตัวนั้นก็ได้รางวัลเยอะหน่อย ท้ายสุดเขาก็เลยผสมมาเรื่อย ๆ ตัวไหนเก่งก็เอาตัวนั้นเป็นพ่อพันธุ์

ระยะหลัง ๆ พอผสมเป็นพิทบูล ก็เลยกลายเป็นหมาล่าวัวที่เวลางับแล้วปากล็อกเลย อย่างไรก็ไม่ปล่อย ที่งับเจ้าของติดแล้วดึงไปเรื่อย เพราะปากอ้าไม่ออก ถ้าไม่คายซะเองก็ไม่หลุดหรอก อย่างที่เขาบอกว่าถ้าเต่ากัดแล้วฟ้าไม่ร้องก็ไม่ปล่อย อาตมาไม่เชื่อใครหรอก ถ้าอาตมามีไฟแช็กอยู่ก็จุดลนคาง ดูซิว่าจะปล่อยไหม ?

เคยเจอหมาปั๊กอยู่ตัวหนึ่ง ลิ้นห้อยอยู่ตลอดเวลา เพราะว่ากล้ามเนื้อลิ้นไม่ทำงาน เจ้าของซื้อไปเพราะเห็นว่าน่ารัก เห็นแลบลิ้นแฮ่ก ๆ อยู่ ไม่รู้หรอกว่าเป็นหมาป่วย ซื้อไปแล้วก็ข้องใจว่าทำไมแลบลิ้นได้ทั้งวัน ไม่หดซะที เอาไปให้หมอตรวจจึงรู้ว่ากล้ามเนื้อไม่รั้ง ลิ้นห้อยอยู่ตลอด เลยกลายเป็นหมาน่าสงสารไป ตอนแรกเป็นลูกหมาน่ารักเชียว"

เถรี
25-03-2012, 11:03
"อย่าลืมว่าสัตว์ทุกชนิดมีพื้นฐานมาจากสัตว์ป่า ถึงเวลาสัญชาตญาณป่าก็คืนมา อย่างแถว ๆ ชายแดนไทย - พม่า พวกวัวพวกควายเจอหน้าคนนี่ตื่นครืนเหมือนกับพวกวัวป่าควายป่าเลย เพราะว่าถึงเวลาเขาก็ปล่อยให้ไปหากินในป่า พอต้องการถึงไปต้อนคืน จึงแทบจะกลายเป็นสัตว์ป่าไปแล้ว

เวลาเลี้ยงสัตว์ที่เราเห็นชัดที่สุดก็ตอนติดสัด ช่วงฤดูจะผสมพันธุ์ ขนาดนางอายที่ว่าน่ารัก ๆ ต้วมเตี้ยม ๆ ยังกัดเจ้าของถลอกปอกเปิกมาแล้ว เพราะว่าสัตว์เขามีกติกาของเขา เราไม่เข้าใจกติกาเขาหรอก โยมถาวร สองเมือง อยู่ที่ศูนย์ฯ ต้นน้ำ แมวกัดกันแล้วเข้าไปห้าม ตัวเองต้องโดนเย็บ ๒๐ กว่าเข็ม ตอนที่จะเอาแพ้เอาชนะกันพวกเขาฟังเสียเมื่อไรเล่า เข้าไปผิดจังหวะก็เจอลูกหลง"

เถรี
25-03-2012, 11:07
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : มีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าคนเราพัฒนาขึ้นมาถึงระดับมีมโนธรรม ก็คือจิตใต้สำนึกที่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด แม้ว่าไม่มีข้อห้ามอยู่ก็รู้ว่าควรหรือไม่ควร เพราะฉะนั้น..เราจะเห็นได้ว่า ต่อให้เด็ก ๆ เขาไม่รู้ว่าสิ่งไหนผิดศีล แต่ถ้าหากว่าทำไปแล้ว เขาเองก็มานั่งโศกเศร้าเสียใจเพราะรู้สึกผิดเหมือนกัน

อย่างเช่น เด็กไม่รู้ว่าฆ่าสัตว์แล้วเป็นบาป แต่ถ้าตัวเองเผลอพลั้งฆ่าสัตว์ไป เด็กบางคนช็อกไปเลย ทำอะไรไม่ถูก เพราะว่าเขามีมโนธรรมอยู่ ถ้าหากว่าได้รับการขัดเกลาก็จะหันเข้าหาเรื่องของศีลของธรรมได้ง่าย แต่สัตว์เขาไม่มีตรงนี้ มีแต่สัญชาตญาณมากกว่า ในเมื่อเป็นสัญชาตญาณมากกว่าก็ต้องปล่อยตามแรงขับของรัก โลภ โกรธ หลงไป

ถาม : มโนธรรมเสื่อมไปเรื่อย ๆ
ตอบ : เสื่อมไปเรื่อย พอถึงเวลาท้าย ๆ พระศาสนาก็กลายเป็นมิคสัญญี มิคคะ แปลว่า เนื้อ สัตว์ป่านั่นแหละ มิคสัญญี คือ สำคัญว่าเป็นสัตว์เนื้อที่ล่าได้ ถึงเวลาก็เข่นฆ่าทำลายกัน ปัจจุบันนี้ยังไม่ทันจะถึงปลายพระศาสนาเลย แค่กลาง ๆ เท่านั้นยังเข่นฆ่ากันเป็นว่าเล่น

เถรี
25-03-2012, 11:58
มีพระรูปหนึ่งมาบ้านวิริยบารมี

หลวงพ่อเล็ก : หลวงพี่หนู..นิมนต์ครับ พวกเรารุ่นหลังน่าจะรู้จักหลวงพ่อศักดิ์พิชัย ธมฺมวโร (หลวงพ่อหนู) ลูกศิษย์หลวงปู่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา รับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่สมเด็จฯ ท่านมาตลอด

ก่อนหน้านั้นเวลาออกกิจนิมนต์นั่งชนกัน อาตมาก็นั่งบ่น "ไอ้อาหารที่เขาทำซะสวย แต่รสไม่เอาอ่าวเลย เพราะว่าเขาตั้งไว้ตั้งแต่ ๘ โมง กว่าจะถวายพระก็ ๑๐ โมงครึ่ง " บอกหลวงพี่หนูว่า "เราออกไปหาก๋วยเตี๋ยวกินกันข้างนอกเถอะ.." หลวงพี่ท่านบอกว่า “กินไปเถอะ ตามสังคม” เข้าสังคมก็ต้องว่าตามเขา สมัยก่อนหลวงปู่สมเด็จฯ วัดสามพระยาไปไหนมาไหนก็มีหลวงพี่หนูนี่แหละ ท่านคอยช่วยเหลือดูแลอยู่ตลอดเวลา

หลวงพ่อหนู : ท่านไม่ได้ว่าอะไร ท่านเอาไปเป็นไม้เท้า ไม้เท้าไม่ได้หายใจ ไม้เท้าไม่ดื้อ ไม้เท้าไม่เกี่ยงงอน ไม้เท้าที่ไหนเกี่ยงงอนได้ ไม้เท้ากันล้มได้

หลวงพ่อเล็ก : ที่บาลีท่านว่า “ไม้เท้าของคนเฒ่า ดีกว่าลูกเต้าอกตัญญู” พราหมณ์พอแบ่งสมบัติไปแล้วลูก ๆ ทิ้งหมด พอลูกทิ้งตัวเองก็ต้องขอทานเร่ร่อนไปเจอพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านก็ตรัสว่า “พราหมณ์เคยเป็นที่นับถือของหมู่ชนมาก่อน ให้ไปเล่าประวัติให้เขาฟังในท่ามกลางที่ชุมชนนั่นแหละ แล้วอย่าลืมประโยคทีเด็ดว่า ไม้เท้าของคนเฒ่า ดีกว่าลูกเต้าอกตัญญู” แล้วคอยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ?

พราหมณ์ก็ไปเล่าให้ฟัง พอชาวบ้านไปได้ยินก็รวมหัวกันคว่ำบาตรพวกลูก ๆ ไม่มีใครคบด้วย ท้ายสุดก็ต้องมาขอขมาแล้วก็รับพ่อกลับไปเลี้ยงตามเดิม ความจริงถ้าพ่อไม่แบ่งสมบัติให้ แกก็เป็นมหาเศรษฐีนะ แต่คราวนี้พอแบ่งสมบัติให้ลูกทั้ง ๗ คนหมดแล้วลูกก็ทิ้งไปเลย ไม่มีใครเลี้ยงพ่อ เพราะฉะนั้น..ไม้เท้านี่ต้องกตัญญูมากกว่า ๒ เท่า ใช้งานได้ทุกอย่าง ไม่มีบ่น ไม่มีเกี่ยง

หลวงพ่อหนู : ถ้าจะบอกว่าเป็นพินัยกรรมก็ไม่ชัดเพราะว่าพ่อยังไม่เสีย พ่อบอกว่า “พ่อแก่แล้ว หลวงปู่แก่กว่าพ่อ พ่อเคยช่วยเหลือหลวงปู่ เพราะฉะนั้น..ไปบวชแล้วอยู่รับใช้หลวงปู่แทนพ่อ ” ก็เลยต้องทำ ตอนนั้นเรียนบริหารธุรกิจอยู่

หลวงพ่อเล็ก : นี่กตัญญูยังไม่พอ ต้องกตเวทีด้วย พอโยมพ่อบอกก็บวชเลย อยู่รับใช้หลวงปู่จนกระทั่งหลวงปู่สมเด็จฯ สิ้น ก็ยังครองสมณเพศยาวมาจนบัดนี้

เถรี
25-03-2012, 12:37
หลวงพ่อเล็ก : รู้จักหลวงพี่หนูมาเกิน ๒๐ ปีแล้วนะ เพียงแต่ว่าโอกาสที่เจอกันน้อย เพราะว่าท่านอยู่วัดสามพระยา ส่วนอาตมาตะลอนทั่วประเทศไทย ถึงเวลาไปเจอที่วัดสามพระยากันทีก็ดีอกดีใจ นาน ๆ เจอกันที บางทีเจอหน้าท่านแล้วยืนคุยกันจนหลวงพี่หนูท่านลืมเลยว่าจะไปธุระอะไร แล้วก็ถามว่า “เอ๊ะ..นี่ผมมาทำอะไร ?”

วันก่อน วัดเขาวงของหลวงตาวัชรชัยเขารวมลูกศิษย์สายหลวงพ่อ ขาดหลวงพี่เจ้าคุณชุบไปรูปหนึ่ง ท่านไปอยู่ที่คลองสะท้อนที่โคราช นิมนต์ไปแล้วแต่ว่าท่านไม่ได้ให้เบอร์โทรไว้ ท่านบอกเดี๋ยวมาเอง พอถึงวันก็รอท่านจนเลยเวลา จึงต้องเริ่มพิธี ไม่สามารถจะสอบถามได้ว่าติดธุระอะไร น่าเสียดายว่าตอนนั้นก็มีเจ้าคุณศรีวิสุทธิโมลี มีท่านเจ้าคุณโสภณธรรมเมธีหรือหลวงพี่มหาดำ แล้วก็มหาวิจิตร สามท่านเป็นมือเป็นไม้ให้หลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่

หลวงพ่อหนู : ตอนนั้นพอเจอท่านแล้วลืมหมดเลยว่าจะไปทำอะไร เพราะว่าสิ่งที่วางแผนไว้ไม่สำคัญแล้ว ทำไมไม่สำคัญ ? เพราะว่าความหยาบถูกกลบไปด้วยความละเอียด ที่เล่านี่คือความรู้สึกตรงนั้น ตอนนั้นได้อะไรเยอะ แค่ไม่กี่นาทีตรงนั้น

จริง ๆ ไม่ต้องไปหาเหตุผลหรอก หาก็ไม่เจอ ถึงเจอก็ไม่ตรง อย่างที่หลวงพี่เคยไปซักไซ้ไล่เลียงเขาว่าทำไมเอานี่มาถวาย ของมีตั้งหลากหลายทำไมต้องเป็นอันนี้

หลวงพ่อเล็ก : จะว่าไปแล้วในพระพุทธศาสนา คำว่าบังเอิญไม่มี ทุกอย่างเป็นไปตามบุญตามกรรมทั้งนั้น หลวงพี่หนูท่านสร้างบุญอย่างนั้น ต้องการแบบนั้นถึงเวลาก็ได้อย่างนั้น เขาทำขายตั้งเยอะแยะแต่เขาเอาแบบนี้มาถวาย แล้วก็เป็นอย่างที่ท่านชอบพอดี

เราชาวพุทธจำเป็นต้องเชื่อกรรม ต้องเชื่อการส่งผลของกรรม ท้ายที่สุดก็เชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าว่าท่านตรัสรู้จริง เมื่อเป็นอย่างนั้น ความเชื่อก็ทำให้เราสรุปลงได้ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” แต่คราวนี้เราเกิดมาจนนับชาติไม่ถ้วน การที่เราทำก็มีดีชั่วสลับกันมา บางคนอาจจะเห็นว่าทำไมคนที่ทำไม่ดี แต่ปัจจุบันนี่ฐานะชื่อเสียงเกียรติยศเขาเยอะแยะ อันนั้นกินบุญเก่าอยู่ หมดเมื่อไรสาหัสแน่นอน

เพียงแต่ว่าเราไม่เข้าใจ สายตายาวไปไม่ถึง เราก็ไปคิดว่า ทำไมคนนั้นทำชั่วได้ดี ไม่จริงหรอก..ทำชั่วได้ชั่วนั้นแหละ เพียงแต่ว่าความชั่วที่ทำยังไม่ปรากฏ ปรากฏเมื่อไรดีเอาไม่อยู่ก็เรียบร้อย

เถรี
26-03-2012, 08:28
หลวงพ่อเล็ก : หลวงปู่สมเด็จฯ วัดสามพระยาเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่หาได้ยาก ที่หาได้ยากเพราะว่าอันดับแรกท่านอยู่กรุงเทพฯ พระกรุงเทพฯ จะปฏิบัติดีปฏิบัติให้เข้าถึงได้จริง ๆ นั้นยาก เพราะว่าสิ่งแวดล้อมรอบข้างไม่อำนวยเลย ต้องทุ่มเทหนักหน่วงกว่าคนอื่นหลายเท่า

ประการที่ ๒ ท่านเป็นเจ้าคณะปกครอง โดยเฉพาะเป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลาง เป็นกรรมการมหาเถรมหาคม เป็นสมเด็จพระราชาคณะ งานหนักมหาศาล แต่ความที่เอาจริงเอาจังและไม่ทิ้งในการปฏิบัติ ทำให้ท่านสามารถทำได้

ฉะนั้น..ก็มาเปรียบกับพวกเราว่า เราเองส่วนใหญ่ก็ทำมาหากินอยู่กรุงเทพฯ อยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย แต่ถึงเวลาเราก็มาปฏิบัติธรรมกัน เราก็มีหลวงปู่สมเด็จฯ ท่านเป็นผู้เดินนำไปแล้ว เราก็ตามรอยเท้าท่านไป อย่างไรเสียก็ทำตามแล้วไม่ผิดทางแน่ ในเมื่อไม่ผิดทาง ตั้งหน้าตั้งตาทำไป เราก็จะมีความหวังว่าทำแล้วจะได้ดีอย่างหลวงปู่สมเด็จฯ ท่านเหมือนกัน

ธรรมะของพระพุทธเจ้ายังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ บุคคลใดที่ประกอบไปด้วยความเพียรเป็นปกติ ย่อมได้ดื่มซึ่งอมตรสแห่งพระนิพพานนั้น อันนี้เป็นบาลีที่เป็นพุทธวจนะ พระองค์ท่านยืนยันกับเรา

พวกเรายังเกิดทันในสมัยที่ธรรมะยังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ พระพุทธเจ้าตรัสกับสุภัททะปริพาชกว่า “ศาสนาใดก็ตาม ถ้าหากประกอบไปด้วยมรรคมีองค์ ๘ ย่อมมีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ เป็นปกติ” ก็คือย่อมมีพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ เป็นปกติ พระองค์ท่านไม่ได้บอกว่าศาสนาพุทธจะมีอย่างนี้ แล้วไม่ได้บอกว่าศาสนาอื่นจะไม่มีอย่างนี้ แต่พระองค์ท่านบอกว่าศาสนาใดถ้าหากว่าประกอบด้วยมรรคมีองค์ ๘ ศาสนานั้นย่อมมีสมณะทั้ง ๔ ที่ว่ามาสมบูรณ์บริบูรณ์

หลวงพ่อหนู : ขอเสริมสักนิดหนึ่งว่า สถานที่ ๆ จะปฏิบัติธรรมเป็นองค์ประกอบเหมือนกัน แต่ว่าไม่ใช่องค์ประกอบหลัก หลวงปู่สมเด็จฯ ท่านเคยบอกว่า ท่านอยู่กลางบางลำพู กระแสโลกียะครอบเหมือนฝาชี ผู้ที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยวและเข้มแข็งแกร่งจริง ๆ ถึงจะสามารถพลิกได้ ผ่านได้ เชื่อมโยงได้กับอารมณ์พระนิพพานก็ดี หรือสิ่งที่ละเอียดยิ่งขึ้นไป

สถานที่ไม่ใช่องค์ประกอบหลัก และหน้าที่การงานก็ไม่เสีย คำว่าปลีกวิเวกที่เราเข้าใจกันไม่ใช่การอยู่คนเดียว หรืออยู่ในป่า ไม่เสมอไป สมเด็จฯ ท่านก็ไม่ได้ไปเดินธุดงค์ ไม่ใช่ว่าธุดงค์ไม่ดี ไม่ได้พูดกดฝ่ายหนึ่ง เจริญอีกฝ่ายหนึ่ง..เปล่า ที่เดิมตั้งแต่หนุ่มท่านก็อยู่ตรงนั้น จนกระทั่งท่านชราภาพ งานเสียอีกที่มากขึ้น ๆ รับผิดชอบ ๒๓ จังหวัด ก่อนนั้นทั่วประเทศ แล้วค่อยมาแบ่ง ๆ กันไป ๒๓ จังหวัดของหนกลาง

สถานที่ไม่ใช่ แล้วก็ไม่ใช่ว่าจำเป็นต้องเดินธุดงค์ แต่ศึกษาจนกระทั่งเป็นครูบาอาจารย์สอนเขา ออกข้อสอบเขา ตรวจเขา ให้เขาได้ผ่านประโยค ๙ ทฤษฎีนี่เข้มแน่นอนสำหรับท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ แต่ท่านก็พลิกทฤษฏีนั่นแหละ เอาหลักเขามาใช้งานจริง

สถานที่ไม่ต้องอยู่ในป่าก็ได้ แล้วก็ยังทำธุดงควัตรอย่างอุกฤษฏ์ด้วย กลางกรุงนั่นแหละ ถือธุดงควัตรอย่างอุกฤษฏ์ ไม่ได้ฉันในบาตร ฉันในจาน มีช้อนมีส้อม บางทีเขาก็มีตะเกียบมาให้ด้วย แต่ท่านทำอารมณ์จิตที่ธุดงควัตรกำหนดไว้

เพราะฉะนั้น..ไม่แปลกเลยที่ท่านไม่ได้ผ่านการไปอยู่ป่า อยู่โคนไม้ แต่ในขณะที่ท่านอยู่ในเรือน เป็นคามวาสี ท่านก็สามารถที่รักษาหรือประคองจิต ด้วยอารมณ์อุกฤษฏ์ของธุดงควัตร ๑๓ ได้ด้วย คือให้เห็นว่าการงานไม่เสีย ทำไปด้วย และจิตก็ได้พัฒนายิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วย

เถรี
26-03-2012, 08:38
หลวงพ่อหนู : สถานที่อาจจะสำคัญสำหรับพวกเรา เพราะเรายังมีความแกร่งยังไม่พอ แต่สมเด็จฯ ท่านพลิกจากทฤษฎี ถ้าภาษาอย่างคุณโยมก็คือ “ทฤษฏีจ๋า” ที่ช่ำชองมาก ความจำแตกฉาน เรื่องบัญญัติ เรื่องภาษา ท่านพลิกมาจับต้องไม่ได้แล้ว เป็นนามธรรมละเอียด แต่สภาวะนั้นเชื่อมกันในดวงจิตของท่าน งานก็สำเร็จ สภาวะจิตท่านก็ไม่ได้ตกต่ำ

จึงเป็นตัวอย่างให้ว่า ไม่ต้องหนีไปไหน หลักการมีอยู่อย่างหนึ่งว่า จะออกจากสิ่งใด ต้องอยู่ในสิ่งนั้นก่อน อย่างคุณโยมนั่งอยู่ในพรม จะออกจากพรม โยมต้องนั่งอยู่ในนั้นก่อน แล้วจะมาบอกว่าอาตมานั่งอยู่ตรงนี้ อาตมาออกมาจากพรมที่โยมนั่ง นั่นเป็นไปไม่ได้ ยังไม่ได้ไปนั่งที่พรมเลยแล้วบอกว่าออกจากสิ่งนั้นไปแล้ว เป็นไม่ไปได้ แล้วก็ไม่เห็นทางว่าจะเป็นได้

ทุกคนจะออกจากห้องนี้ต้องผ่านประตู แปลว่าทุกคนต้องอยู่ในห้องนี้ก่อน จิตของทุกคนจะออกจากกิเลสก็ต้องแช่ในกิเลสนั้นก่อน แล้วรู้ว่ากำลังแช่อยู่ เห็นบันไดขั้นตอนของกิเลส เห็นกิเลสว่ากำลังแช่อยู่กับตัวไหน เริ่มเห็นชัดแล้วว่ามีเยอะแยะหลากหลาย เห็นว่าเรามีตรงนี้อยู่ จะกิเลสเข้มข้นหรือเจือจางก็อีกเรื่องหนึ่ง แล้วแต่ความละเอียดของสติปัญญาแล้ว จะออกไปอย่างไร ก็คือรู้เท่านั้นแหละ

อย่างที่ท่านเจ้าคุณพระราชญาณกวี (สุวิทย์ ปิยวิชฺโช) เจ้าของนามปากกา "ปิยโสภณ" ท่านพูดไว้ว่า “ฟอร์แมตจิต ดีลีทกรรม” นั่นคือศัพท์ทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ อุบายก็มีแค่เพียง “รู้” เท่านั้นแหละ รู้ว่ากำลังมีอะไรอยู่ จะไม่ให้เกิดหรือพัฒนาไปในทางที่เสื่อมมากกว่านี้ ก็เพียง “รู้” แล้วก็จบการรู้เท่านั้นแหละ รู้ว่ามีอะไรอยู่ จะคิดอะไรก็ช่างมันเถอะ แล้วก็จบการรู้ เพราะทุกอย่างก็อยู่ไม่ได้ทั้งการรู้และถูกรู้

หลวงพ่อเล็ก : สรุปลงตรงที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนไว้เสมอว่า “เรียนให้รู้ ดูให้จำ แล้วทำให้จริง” ถ้าทำจริงได้ผลทุกคน เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วปัจจุบันนี้ พอพวกเราลำบากนิดหนึ่งเราก็ท้อแล้ว อันนั้นยังเรียกว่าทำไม่จริง ถ้าหากว่าทำจริงเราต้องได้

เถรี
26-03-2012, 10:52
หลวงพ่อเล็ก : อย่างที่เคยบอกว่า มีนักปฏิบัติอยู่จำนวนมากที่เข้าใจผิด อะไร ๆ ก็จะเอาแต่อนัตตา สุญญตา ถ้าไม่มีอัตตาก็เป็นอนัตตาไม่ได้หรอก ที่หลวงพ่อหนูของเราว่ามาก็เหมือนกัน คือถ้าเราไม่ได้อยู่ในกิเลส แล้วเราจะไปออกจากกิเลสได้อย่างไร เพราะฉะนั้น..ถ้าเราไม่มีอัตตาก็ไม่สามารถที่จะเป็นอนัตตาได้

การที่จะก้าวขึ้นไปสู่เบื้องสูงต้องค่อย ๆ ไต่ผ่านจากเบื้องต่ำไป หลายต่อหลายคนที่จะเอาแต่ธรรมะบริสุทธิ์ ขอยืนยันว่าคนพูดไม่เคยทำอย่างแน่นอน ถ้าคนพูดเคยทำจะรู้ว่าเราจะเน้นเอาธรรมะบริสุทธิ์อย่างเดียวไม่ได้ เพราะว่า “สมมติ” ก็เป็นสัจจะ “ปรมัตถธรรม” ก็เป็นสัจจะ คือสมมุติก็เป็นจริงโดยสมมติ คือตัวเราชื่อนี้ นี่เป็นสมมุติ

แต่ขณะเดียวกันคำว่าตัวเราจริง ๆ ไม่มี ถ้าในสภาวะของปรมัตถธรรมก็คือสิ่งที่ประกอบขึ้นมาจากมหาภูตรูป ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้เราอาศัยอยู่ชั่วคราว นี่เป็นปรมัตถสัจจะ คือความจริงแท้ เถียงไม่ได้ คราวนี้ที่ว่าตัวเราเป็นสมมติสัจจะ ก็คือจริงเฉพาะตอนนี้

ดังนั้น..บุคคลที่เข้าถึงธรรมะจริง ๆ จะไม่ปฏิเสธสมมติทางโลก แต่ขณะเดียวกัน กำลังใจของท่านก็อยู่กับปรมัตถสัจจะ ก็คือความจริงแท้ตลอดเวลา ท่านก็เลยอยู่กับโลกแบบน้ำกลิ้งบนใบบอน ก็คืออยู่กับโลก แต่ไม่ได้ติดในโลกเลย เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติ สถานที่ อากาศ อาหาร ตลอดจนเพื่อนสหธรรมิกต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนประกอบสำคัญ ถามว่าขาดได้ไหม? ได้...การเข้าถึงธรรมยังมีอยู่ แต่ต้องใช้ความเพียรพยายามที่มากขึ้น

ฉะนั้น..จึงไปลงที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านย้ำเอาไว้ตอนท้ายว่า “ทำให้จริง” ในเมื่อทำจริงผลต้องได้แน่ ท่านบอกให้หวังเป้าสูงสุดไว้ก่อน ก็คือพระนิพพาน พอตะเกียกตะกายเต็มที่ ต่อให้ไม่ถึงนิพพาน ก็ไปได้ไกลเต็มสติเต็มกำลังของเรา แต่ถ้าเราไปตั้งความหวังไว้ต่ำ ถึงเวลาก็ไปได้น้อย ระยะทางที่เราจะหลุดพ้นก็ยาวไกลออกไปอีก

ดังนั้น..เมื่อได้ยินหลวงพ่อหนูบอกพวกเราแล้ว หลายท่านที่ปฏิบัติธรรม แล้วรู้สึกว่าทำไม รัก โลภ โกรธ หลง เหมือนกับแรงขึ้น ขอยืนยันว่าไม่ได้แรงขึ้นหรอก เท่าเดิมนั่นแหละ แต่กำลังใจของเราละเอียดขึ้น สัมผัสได้ชัดเจนขึ้น จงดีใจเถอะที่มีกิเลส เพราะจะทำให้เราเบื่อหน่าย และอยากจะไปให้พ้น ถ้าไม่มีกิเลส...เราไม่เบื่อ เราก็อาจจะอยากเกิดอีก

ถึงได้ว่าถ้าต้องการจะหลุดพ้น ก็ต้องคลุกคลีอยู่ในสถานที่นั้น แล้วก็ก้าวล่วงออกมา ไม่ใช่ว่าเราอยู่ข้างนอกแล้วเราก็บอกว่าเราอยากจะพ้น ๆ นั่นไม่อยู่ในฐานะที่เป็นไปได้

เถรี
26-03-2012, 11:04
หลวงพ่อหนู : หลวงพี่ช่วยย้ำประโยคสักครู่อีกทีครับ
หลวงพ่อเล็ก : การจะหลุดพ้นจากกิเลส คือเราคลุกคลีอยู่กับกองกิเลสเป็นปกติ เพราะว่ากรรมนำมาให้เราเกิดในกองกิเลสนี้ ในเมื่อเราก้าวล่วงพ้นออกไป ถึงจะกล่าวได้ว่าเราพ้นจากกิเลส ถ้าเราไม่ได้อยู่ในกองกิเลส แล้วไปบอกว่าเราก้าวพ้นจากกองกิเลสมา ไม่ใช่วิสัยที่จะเป็นไปได้

กิเลสชัดเจนขึ้น เลยทำให้เรารู้สึกว่ามีมากขึ้น จริง ๆ แล้วไม่ได้มากขึ้นหรอก มีเท่าเดิม เพราะฉะนั้น..สู้ต่อไปไอ้มดแดง อย่าถอยเสียก่อนนะ..!

วันนี้นับเป็นโอกาสอันดี ที่เราได้บุคคลรุ่นที่ทันหลวงปู่สมเด็จฯ วัดสามพระยา ทันหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านได้มาบอกกล่าวในสิ่งที่ท่านได้รับไปจากหลวงปู่หลวงพ่อทั้ง ๒ องค์ ได้ทำความเข้าใจในสิ่งนั้น แล้วนำมาบอกพวกเรา ทำให้พวกเรารู้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างได้ชัดเจนขึ้น แล้วการที่เราจะก้าวเดินต่อไปในเบื้องหน้าก็จะง่ายและสะดวกขึ้น เรียกว่าพอวาระบุญมาถึง เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ก็มาบรรจบกัน

เพราะว่าปกติแล้วหลวงพ่อหนูของเราท่านมาตรงนี้ไม่ถูกหรอก ท่านไม่ค่อยได้ออกไปไหน นอกจากไปเรียนแล้วท่านก็กลับกุฏิ มีแค่นั้นจริง ๆ ยังดีว่าวันนี้ ดร.เอ อุตส่าห์พาท่านมา คนเยอะ ๆ แบบนี้ปกติท่านเผ่นแน่บไปแล้ว ไม่เอาหรอก เข้ากุฏิดีกว่า

เถรี
26-03-2012, 11:10
:4672615: เก็บตกเดือนนี้จบแล้วค่ะ :4672615: