PDA

View Full Version : ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น


ลัก...ยิ้ม
25-01-2012, 12:02
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
ทบทวน.. เก็บเล็กผสมน้อย

๑.
การพอใจในกาม ก็คือการพอใจในซากศพ
ฆ่ากันตาย เพราะศึกชิงนางหรือศึกชิงนาย
แย่งซากผีมาเป็นคู่ครอง เพราะคิดว่าร่างกายนี้
เป็นเราเป็นของเรา ศีลทั้ง ๕ ข้อขาดได้
จากโทษของกามเป็นเหตุ

ลัก...ยิ้ม
26-01-2012, 08:11
๒.

เรื่องการเบียดเบียน จัดเป็นธรรมขั้นสูงในพรหมวิหาร ๔
เพราะปุถุชนหลงคิดว่า กายนี้เป็นเราเป็นของเรา
จึงเอาใจกายซึ่งเป็นผู้อื่นมากกว่า จิตซึ่งคือตัวเรา
ซึ่งมาอาศัยกายอยู่ชั่วคราว
จึงเป็นธรรมดาของปุถุชน ที่เบียดเบียนผู้อื่นเห็นง่าย
เบียดเบียนตนเองเห็นยาก
ตรงข้ามกับการรู้ของอริยชน ที่เห็นการเบียดเบียนตนเอง
เพราะรู้ว่า กายนี้หาใช่เรา ใช่ของเราไม่
ตัวเราคือจิต รู้เรื่องกฎของกรรม รู้อารมณ์จิตของตนเองอยู่เสมอ

ลัก...ยิ้ม
27-01-2012, 08:50
๓.
ใครจักมีความเห็นในการปฏิบัติเป็นอย่างไร ก็เรื่องของเขา จงอย่าไปขัดคอใครเพราะบารมีธรรมของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากันคิดได้เท่านี้ ก็จักวางอารมณ์ให้ลงตัวธรรมดาได้

ลัก...ยิ้ม
30-01-2012, 10:40
๔.
รูปปั้น-รูปถ่าย-ภาพเขียนต่าง ๆ มิใช่ตถาคต
ขันธ์ ๕ หรือร่างกายก็มิใช่ตถาคต
มิใช่พระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าคือพระธรรม หรือจิตผู้ทรงธรรม

ลัก...ยิ้ม
31-01-2012, 08:29
๕.
จงอย่าคิดว่า ตนดีแล้วเป็นอันขาด
หากตัดสังโยชน์ยังไม่ได้ครบ ๑๐ ข้อ
จะเป็นการประมาทเกินไป
ประเดี๋ยว..โดนท่านผู้มีฤทธิ์เหนือกว่าเราทดลองเอา เช่น เทวดา เป็นต้น

ลัก...ยิ้ม
01-02-2012, 08:20
๖.
บุคคลส่วนใหญ่มักชอบอารมณ์เดือดร้อนใจ
ซึ่งเป็นอารมณ์ทุกข์ แต่ไม่รู้อารมณ์ของตนเอง
จึงเกาะทุกข์ เกาะความเดือดร้อนใจอยู่ร่ำไป
แต่ผู้รู้ก็จักพยายามละ
และปล่อยวางอารมณ์นั้นอยู่ตลอดเวลา
ขอจงพยายามปฏิบัติให้ได้ตามนี้

ลัก...ยิ้ม
02-02-2012, 08:46
๗.
ภาราหะเว ปัญจักขันธา
ทุกข์อันใด จักมาเกินกว่าภาระที่มีต่อขันธ์ ๕ นั้นไม่มี
อยู่คนเดียวก็ทุกข์คนเดียว
ยิ่งอยู่หลายคน ยิ่งเพิ่มทุกข์มากขึ้นเท่านั้น

ลัก...ยิ้ม
03-02-2012, 10:36
๘.
โทษของกาม มิใช่กาเมเพียงสถานเดียว
ตถาคตหมายถึงการติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์
ตัวสุดท้ายต้องระวังเป็นพิเศษ
เพราะอารมณ์ของจิตเป็นภัยร้ายแรงที่สุด
ที่คอยทำร้ายจิตตนเองอยู่เสมอ
การกำหนดรู้อารมณ์ของตนเอง จึงต้องมีอยู่ตลอดเวลา
การพลั้งเผลอย่อมมีบ้างเป็นธรรมดา
หากแก้ไขจุดนี้ไม่ได้ ก็ตัดสังโยชน์ข้อ ๔-๕ ไม่ได้

ลัก...ยิ้ม
04-02-2012, 08:57
๙.
ตราบใดที่ยังมีร่างกาย
คำว่าปราศจากโรคนั้นย่อมไม่มี
ผู้มีปัญญาย่อมรู้ จักเห็นโรคอันเกิดจากธาตุ ๔ เสื่อมได้ตลอดเวลา
แม้ความหิวก็นับว่าเป็นโรค ร่างกายจึงเป็นรังของโรค

ลัก...ยิ้ม
06-02-2012, 09:30
๑๐.
อโรคยา ปรมา ลาภา
มีโรคก็เป็นทุกข์ ไม่มีโรคก็เป็นสุข
แต่จริง ๆ แล้ว สำหรับนักปฏิบัติคำว่าไม่มีโรคนั้น ไม่มี
การมีขันธ์ ๕ จึงมีทุกข์อย่างยิ่ง

ภารา หเว ปัญจักขันธา
ความโง่ ทำให้ไม่เห็นทุกข์ คิดว่าการมีขันธ์ ๕ เป็นสุข
เห็นกามตัณหาเป็นของดี ทั้ง ๆ ที่เป็นตัวทำให้เกิดขันธ์ ๕
ซึ่งเป็นบ่อเกิดของทุกข์ทั้งปวง

ลัก...ยิ้ม
07-02-2012, 08:23
๑๑.
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก หนีไม่พ้นกฎธรรมดาไปได้
(กฎของกรรมอันเดียวกัน)

ต้องแยกให้ออกระหว่างโลกียธรรมกับโลกุตรธรรม
เลือกให้เป็น จิตจักได้รับความสุขจากการปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง

หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน

ลัก...ยิ้ม
08-02-2012, 08:53
๑๒.
อย่าอยู่คนเดียว อย่าไปไหนคนเดียว
ให้อยู่กับพระ ให้ไปกับพระ
เพราะคุณของพระทั้ง ๓ คือพระรัตนตรัยนั้น หาประมาณมิได้

ลัก...ยิ้ม
09-02-2012, 10:58
๑๓.
ทำงานรอความตาย แต่อย่าตายเปล่า
ขอตายเป็นครั้งสุดท้าย มีมรณาและอุปสมานุสติอยู่เสมอ

ลัก...ยิ้ม
10-02-2012, 09:10
๑๔.
พวกปุถุชนจักมีความประมาทในชีวิตมาก ในเรื่องการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ
ซึ่งก็เป็นของธรรมดา
ถ้าหากจักถึงตายก็ตายเปล่า เพราะมิได้พร้อมตาย
ซ้อมตายไว้เป็นปกติธรรม รู้ลม-รู้ตาย-รู้นิพพานอยู่เสมอ

ลัก...ยิ้ม
13-02-2012, 09:29
๑๕.
ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่
พยายามตรวจดูศีล-สมาธิ-ปัญญา อย่าให้พร่องไปจากจิต
เผลอก็เริ่มต้นใหม่ จิตจักชินอยู่กับความดีของหลักธรรมปฏิบัตินี้
จนอารมณ์ศีล-สมาธิ-ปัญญาทรงตัว คำว่าคิดชั่วก็จักไม่ยอมคิดเลย

ลัก...ยิ้ม
14-02-2012, 09:07
๑๖.
ไม่ต้องไปห้ามใคร ให้ห้ามใจตนเอง
เพราะธรรมภายนอก แก้ไขไม่ได้หรือได้ยาก
ให้แก้ธรรมภายใน คือที่ใจตนเอง
ทุกอย่างหนีไม่พ้นกฎธรรมดา หรือกฎของกรรมไปได้

ลัก...ยิ้ม
15-02-2012, 08:32
๑๗.
จงอย่าฝืนกฎธรรมดา
ไม่ต้องไปห้ามใคร ให้ห้ามใจตนเองดีกว่า
นั่นแหละ เป็นของจริงของแท้

ลัก...ยิ้ม
16-02-2012, 08:01
๑๘.
ให้ดูอารมณ์จิตตัวเดียว ดูแต่ความเลวของตนเอง
เพราะจะละความชั่วได้ ต้องเห็นความชั่วที่ตัวเราเองก่อนเสมอ

ลัก...ยิ้ม
17-02-2012, 08:09
๑๙.
พระตถาคตเจ้าทุก ๆ พระองค์
อนุญาตให้บริโภคเภสัชทั้ง ๕ ได้ในยามวิกาล รวมทั้งน้ำปานะด้วย
(มีนมสด-นมเปรี้ยว-เนยแข็ง-เนยเหลวคือ พวกน้ำมันจากพืชและสัตว์-น้ำผึ้ง-น้ำอ้อย-
น้ำผลไม้จากผลไม้ที่ลูกเล็กกว่ากำปั้นมือคนโบราณ)

หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน

ลัก...ยิ้ม
20-02-2012, 08:17
๒๐.
อย่าฝืนโรค จนเกิดภัยเบียดเบียนตนเอง
ในขณะที่กายยังมีชีวิตอยู่ ให้รักษาชีวิตไว้เพื่อการปฏิบัติธรรม
ตัดสังโยชน์ ๑๐ ให้หมดก่อนตาย ทุกอย่างให้เดินสายกลาง

ลัก...ยิ้ม
21-02-2012, 09:36
๒๑.
พวกเจ้ายังมีอารมณ์ขี้เก็บ ชอบเก็บทุกข์เอาไว้ไม่ยอมวาง
จิตคนช่างจดจำอยู่แต่ความชั่ว คำด่า คำนินทา
ต่างกับคำสอนของตถาคตเจ้า พวกเจ้าฟังแล้วไม่ใคร่จักทำ

ลัก...ยิ้ม
22-02-2012, 09:16
๒๒.

จงหมั่นเรียนรู้ประโยชน์ของอานาปานุสติให้มาก
และจงหมั่นทำหาความชำนาญ เพราะจักทำให้จิตมีกำลัง
เมื่อถอนออกจากฌานแล้ว
ใช้กำลังมาทำวิปัสสนาญาณ จักมีปัญญาคมกล้ามาก

ลัก...ยิ้ม
23-02-2012, 08:31
๒๓.
ติดรูปให้แก้ที่รูป ติดนามให้แก้ที่นาม
ติดกามสัญญา ให้แก้ที่กามสัญญา
นี่เป็นอริยสัจ

ลัก...ยิ้ม
24-02-2012, 09:00
๒๔.
พระธรรมไม่เกิด ไม่ตาย (ไม่มีเก่า ไม่มีใหม่ เพราะเป็นสัทธรรม)
ส่วนสังขารหรือร่างกาย มันมีเกิดมีดับ หรือสังขารตาย (ดับ) ได้
แต่พระธรรมไม่ตาย หรือธรรมะไม่ตาย
ในเมื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นธรรมะ
ดังนั้น พระรัตนตรัยทั้ง ๓ จึงไม่ตาย
พระพุทธเจ้าจึงพ้นจากความเป็นผี เพราะท่านไม่เกิดไม่ตายอีก
พระธรรมและพระอรหันต์ทั้งหลาย จึงพ้นจากความเป็นผีเช่นกัน

(ของหลวงปู่บุดดา ถาวโร)

หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน

ลัก...ยิ้ม
25-02-2012, 10:01
๒๕.

คนตาย ใครร้องไห้... คนนั้นโง่
เพราะสังขารมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
คนโง่ร้องไห้ แต่คนฉลาดไม่ร้องไห้
ตัวเราคือธรรมะ เป็นอมตะไม่ตาย หรือจิตเราไม่เคยตาย
ผู้ตายคือสังขารหรือร่างกาย ซึ่งมีเกิดมีตายเป็นปกติธรรมดา

(ของหลวงปู่บุดดา ถาวโร)

ลัก...ยิ้ม
27-02-2012, 10:20
๒๖.
เข้าป่าให้เอาปัญญาไปด้วยเป็นธุดงค์
หากเข้าป่าไม่มีปัญญาไปด้วย ไปแบบโง่ ๆ ก็เป็นถูดง
เข้าป่าต้องไม่กลัวตาย กลัวเจ็บป่วย กลัวผี กลัวทุกข์
ต้องไปแบบพระพุทธเจ้า ใครให้กินก็กิน ไม่ให้ก็ไม่กิน

(ของหลวงปู่บุดดา ถาวโร)

ลัก...ยิ้ม
28-02-2012, 08:29
๒๗.
ให้เอาใจ และกายอยู่กับธรรมะ
ซึ่งไม่เกิดไม่ตาย แล้วใจก็สบาย
มนุษยธรรมก็เป็นธรรม เทวธรรม พรหมธรรม โลกุตรธรรม ล้วนเป็นธรรม
จึงต้องอยู่กับธรรมะตลอดเวลา จึงจะไม่เกิดไม่ตาย
ธรรมะนี้ คนเรียนเป็นวันเดียวจบ
คนเรียนไม่เป็น... ๘๐,๐๐๐ ปีก็เรียนไม่จบ
(ของหลวงปู่บุดดา ถาวโร)

ลัก...ยิ้ม
29-02-2012, 09:09
๒๘.

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ ๆ อุทาน
(๔ ครั้งตามลำดับ หลังออกจากสุขวิหาร) ว่า
๑. สุขเพราะความสงัด
๒. สุขเพราะไม่เบียดเบียน
๓. สุขเพราะปราศจากราคะ (ก้าวล่วงกามเสียได้)
๔. สุขอย่างยอดคือการหมดความถือตัว

เท่ากับหมดมานะแล้ว เท่ากับกายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก
(ของหลวงปู่บุดดา ถาวโร)


หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน

ลัก...ยิ้ม
01-03-2012, 09:03
๒๙.
"ท่านไม่เหนื่อย เพราะธรรมะเหนื่อยไม่เป็น
(เพราะธรรมะเป็นนามธรรม เป็นคุณธรรม ไม่ต้องขี้ เยี่ยว และหิวเหมือนกาย
แสดงว่าตัวท่านคือธรรมะ ไม่ใช่กายเนื้อ ซึ่งต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา)
ท่านใช้ธรรมะเป็นอาหาร จึงไม่เหนื่อย"
(ของหลวงปู่บุดดา ถาวโร)

หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน

ลัก...ยิ้ม
02-03-2012, 08:41
๓๐.

"การพูด-สนทนากันนี้
เป็นกิเลสก็ได้ เป็นธรรมะก็ได้ อยู่ที่เจตนา

เจตนาเป็นเหตุเป็นผล.. สุดแต่จะใช้
ใช้ให้โง่ก็ได้ ให้ฉลาดก็ได้ เป็นบุญได้ เป็นบาปได้
(ทุกอย่างอยู่ที่เจตนา หรือจะว่าบุญ บาป สุข ทุกข์ อยู่ที่ความคิด หรือเจตนาของใจ)"

(ของหลวงปู่บุดดา ถาวโร)


หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน

ลัก...ยิ้ม
05-03-2012, 08:24
๓๑.
"คนโง่ไปถูดง คนฉลาดไปธุดงค์
ซึ่งมีทั้งภายนอก ภายใน อยู่วัด อยู่บ้าน อยู่ป่าก็ทำได้
ในกายก็ทำได้ นอกกายก็ทำได้
คนฉลาดเขาทำได้
ธุดงค์ในกาย เวทนา จิต ธรรมก็ทำได้"
(ของหลวงปู่บุดดา ถาวโร)

ลัก...ยิ้ม
06-03-2012, 08:19
๓๒.
"ผู้ถามอยากตามหลวงปู่ไว ๆ ...ตอบว่า
อยากตามไว ๆ ก็ตามปัจจุบันสิ
คนโง่ชอบตามอดีต อนาคต ก็โค้งไปโค้งมา"
(ของหลวงปู่บุดดา ถาวโร)

ลัก...ยิ้ม
08-03-2012, 10:11
๓๓.
ฆ่าเปรต อสุรกาย สัตว์นรกนี่เป็นอาบัติทุกกฎ
ฆ่าสัตว์เดรัจฉาน.. ยุงตัวเดียว เป็นอาบัติปาจิตตีย์
คนจะบวชจึงต้องตัดขาดในศีล ๕ ให้ได้ก่อน
จึงจะเข้ามนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม โลกุตรธรรมได้
มีสุขก็เพราะศีล มีโภคทรัพย์ก็เพราะศีล ถึงนิพพานสมบัติก็เพราะศีล
หากไม่เชื่อศีลแล้วจะเชื่อใคร
(เพราะศีลเป็นแม่ของพระธรรม)

พอเข้าถึงธรรมะ เกาะธรรม (พระธรรม)
มันก็ไม่เกิด ไม่ตาย เพราะทั้งหมดสำเร็จเพราะศีล
เป็นสุข มีโภคทรัพย์ ถึงนิพพานสมบัติ ล้วนจากศีลทั้งสิ้น มีศีลเป็นหลัก
พระปาติโมกข์ทั้ง ๓ (พระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม)
ล้วนเอาศีลเป็นหลักทั้งสิ้น เอาศีลขึ้นต้นทั้งสิ้น
ธรรมะไม่เกิด ไม่ดับ (ถ้าศีลไม่ตาย สมาธิและปัญญาก็ไม่ตาย) สำเร็จเพราะศีล
(ของหลวงปู่บุดดา ถาวโร)

หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน

ลัก...ยิ้ม
09-03-2012, 09:05
๓๔.
วิธีปฏิบัติให้เห็นตัวไม่ตาย
คือให้มีสติรู้ปัจจุบันที่กายกับจิต หรือรู้ปัจจุบันที่รูปกับนาม
ใช้โทรศัพท์เบอร์เดียวกัน ระหว่างกายกับจิต
หากอันหนึ่งตายก็พูดกันไม่รู้เรื่อง
(ของหลวงปู่บุดดา ถาวโร)

ลัก...ยิ้ม
12-03-2012, 10:17
๓๕.
บวชพระต้องตอนก่อน
(ตอนจิตให้ไม่เป็นหญิงเป็นชาย)

เหมือนช้างม้าตัวผู้ เขาตอนกาย มิฉะนั้น มันหนีไปหาตัวเมียหมด

ส่วนพระ.. ใช้ตอนจิต
มิฉะนั้น มันก็วิ่งไปหาสาว ๆ หมด
(ของหลวงปู่บุดดา ถาวโร)

หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน

ลัก...ยิ้ม
13-03-2012, 09:30
๓๖.
ทุกอย่างอยู่ที่ปัจจุบัน เวลาปัจจุบัน
อดีต อนาคต มันไม่ใช่ปัจจุบัน เท่ากับยังไม่ถึงเวลา
ทุกอย่างจึงสู้วันนี้ไม่ได้

การเทศน์ ก็เทศน์ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
จิตนิโรธคู่กับสักกายะนิโรธ
จิตสมุทัยคู่กับสักกายะสมุทัย
หรือกายสมุทัย จิตก็สมุทัย
(ของหลวงปู่บุดดา ถาวโร)

ลัก...ยิ้ม
14-03-2012, 08:39
๓๗.
"กิน อยู่ หลับนอน ทุกอิริยาบถให้อยู่กับธรรม
เท่ากับธรรมปฏิบัติได้ตลอดเวลา
ถ้าเข้าใจหรือถ้ามีปัญญา"
(ผู้ใดที่ใคร่ครวญธรรมะอยู่เสมอ ผู้นั้นไม่เสื่อมจากสัทธรรม)

(ของหลวงปู่บุดดา ถาวโร)

หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน

ลัก...ยิ้ม
15-03-2012, 10:32
๓๘.
"ตัณหา อวิชชา ดับได้ที่ต้นเหตุ คือแก้หลงตัวเดียว
เช่น ขี้ออกไปแล้วยังว่า ขี้ของกูอีก
กายไม่ได้กินขี้ กินเยี่ยว แต่ผู้ยังกินอยู่คือ จิตที่มันหลง"
(โดยเฉพาะขี้ที่ห่วงมากคือ ขี้ ๓ กอง.. ขี้โกรธ ขี้โลภ(รัก) ขี้หลง)
(ของหลวงปู่บุดดา ถาวโร)

หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน

ลัก...ยิ้ม
16-03-2012, 10:15
๓๙.
"เชื่อธรรม อย่าเชื่อคน เพราะคนแปลว่ายุ่ง
ส่วนพระธรรมนั้น
แม้พระพุทธเจ้ายังเคารพในพระธรรม
พระธรรมไม่เกิด ไม่ตาย คนยังเกิด-ตายอยู่
พระธรรมเป็นสุดยอดของความดีในโลก"
(ของหลวงปู่บุดดา ถาวโร)

ลัก...ยิ้ม
19-03-2012, 09:22
๔๐.

"เข้าหากาย หาจิต แล้วไม่ยุ่ง เท่ากับอย่าส่งจิตออกนอกกาย
และรู้อารมณ์จิตของตนเองตลอด อย่าให้มันคิดชั่ว
เท่ากับอยู่แต่ในห้องที่มีแต่วันนี้ เท่ากับอยู่กับมหาสติปัฏฐาน
เท่ากับอยู่ในสังขาร ๓ เท่ากับเอาสติคุมจิตไว้ อย่าให้มันคิดชั่ว"

(ของหลวงปู่บุดดา ถาวโร)

ลัก...ยิ้ม
20-03-2012, 10:43
๔๑.
"วัดตัวเองไม่อยู่ ไปหาวัดอื่นอยู่?
เท่ากับตัวเองยังไม่รู้จัก แล้วจะไปรู้จักคนอื่นได้อย่างไร?
เท่ากับพวกมงคลตื่นข่าว ใครว่าที่ไหนดีไปหมด

เท่ากับไม่รู้ว่า พระธรรมอยู่ที่กายกับจิตของตัวเอง
เท่ากับไม่รู้ว่า บุญคืออะไร? บุญอยู่ที่ไหน? บุญเกิดขึ้นได้อย่างไร?
เท่ากับ ยังหากิเลสของตนไม่พบ ทั้ง ๆ ที่มันก็อยู่ที่ใจของตนเอง
กิน อยู่ หลับนอน เที่ยว กับมันตลอดเวลา"
(ของหลวงปู่บุดดา ถาวโร)

ลัก...ยิ้ม
22-03-2012, 10:11
๔๒.
"ทุกอย่างเกิดขึ้นข้างใน ไม่ใช่เกิดภายนอก
เท่ากับบุญ-บาป, ชั่ว-ดี, กุศล-อกุศล
ล้วนเกิดจากใจเราเป็นผู้คิดขึ้นทั้งสิ้น
เท่ากับ กรรมหรือธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด
สำเร็จที่ใจคล้าย ๆ ข้อ ๘ เกิดที่ใจต้องดับที่ใจ
เหตุเกิดที่ใจต้องดับต้นเหตุ เท่ากับอริยสัจ"
(ของหลวงปู่บุดดา ถาวโร)

ลัก...ยิ้ม
28-03-2012, 09:48
๔๓.
"พระพุทธเจ้าท่านรู้ทันกิเลส จึงไม่วิ่งออกไปนอกใจ
เท่ากับพระองค์ให้อยู่ในปัจจุบันธรรม จึงจะรู้ทันกิเลส
เท่ากับพระองค์มีจิตเป็นหนึ่งอยู่เสมอ (ศีล สมาธิ ปัญญา รวมเป็นหนึ่ง)
จึงรู้ธรรมเห็นธรรมตลอดเวลา

รู้เห็นทุกอย่างล้วนเป็นธรรมหมด จึงไม่มีคน สัตว์ วัตถุธาตุใดหมด
เห็นเป็นรูปธรรม นามธรรม คน สัตว์ วัตถุ สมมุติ หายไปหมด

จึงไม่โกรธใคร ชอบใคร
เพราะคำว่าเรา ของเรา อัตตา ตัวตน บุคคล เรา เขาหมดไป
เป็นธรรมหมด (รูปธรรม นามธรรม) จิตเป็นสัมมาทิฏฐิตลอดเวลา"
(ของหลวงปู่บุดดา ถาวโร)

หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน

ลัก...ยิ้ม
29-03-2012, 11:07
๔๔.
"ภาวนากันหลง ผู้ฉลาดจึงภาวนากันหลง
เท่ากับไม่หลงตามกิเลส ไม่หลงตามอายตนะ ๖ ที่มันกระทบกันสัมผัสกัน
ไม่ยอมให้จิตเป็นมิจฉาทิฏฐิ จิตจึงมีญาณ (รู้หรือปัญญา), มีวิชาประจำใจ
คุมอายตนะ ๖ ไว้ ไม่หลงตามทวาร ๖"
(ของหลวงปู่บุดดา ถาวโร)

หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน

ลัก...ยิ้ม
30-03-2012, 11:04
๔๕.
"ให้เชื่อกรรม เชื่อผลแห่งกรรมว่า
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
ให้ปฏิบัติจนรู้เท่าทันอารมณ์ จึงจะไม่หลงตามไปทั้งฝ่ายดีและชั่ว"
(ของหลวงปู่บุดดา ถาวโร)

ลัก...ยิ้ม
02-04-2012, 10:41
๔๖.
"บาป.. บุคคลรู้หรือไม่รู้ ทำเข้าเป็นบาปทั้งนั้น
เหมือนกับไฟ ใครจับเข้าก็ต้องร้อน จะรู้ ไม่รู้ เจตนา ไม่เจตนาก็ตาม
ธรรมะของคำว่า เจตนาหรือไม่เจตนา
อยู่ที่ผู้ไม่มีเจตนาทำบาปแล้ว จิตไม่เศร้าหมองจึงไม่เกิดทุกข์

จิตรู้จิต, รู้อารมณ์ของตนได้ดีกว่า
ความลับไม่มีในโลก เพราะโกหกตนเองไม่ได้
อะไรดีชั่ว เป็นสุขหรือทุกข์ หรืออุเบกขา ย่อมรู้ตนเอง
เจตนาดี เจตนาร้ายก็รู้

เพราะฉะนั้น พระองค์จึงตรัสว่า
'ขึ้นชื่อว่าชั่วแล้ว อย่าทำเสียเลยดีกว่า'จิตให้ตั้งเจตนาละเว้นความชั่วไว้ ทุกลมหายใจเข้า-ออก"
(ของหลวงปู่บุดดา ถาวโร)

ลัก...ยิ้ม
03-04-2012, 10:13
๔๗.
"ศีลเป็นที่ตั้งแห่งธรรมทั้งปวง
ธรรมใดตั้งอยู่ในศีลแล้ว.. ไม่เสื่อม
(ศีล คือแม่ของพระธรรม เท่ากับศีลเป็นมารดาของพระพุทธศาสนา)"
(ของหลวงปู่หลุย จันทสาโร)

หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน

ลัก...ยิ้ม
04-04-2012, 10:29
๔๘.
"ศีล ระงับความคะนองทางกาย วาจา
สมาธิ ระงับความคะนองทางใจ
ปัญญา ทำอาสวะให้สิ้นได้"
(ของหลวงปู่หลุย จันทสาโร)

ลัก...ยิ้ม
05-04-2012, 10:20
๔๙.

ศีล มีอยู่แล้วในตน ไม่ต้องไปขอ
คนที่ไปขอศีล คือคนจน
เพราะศีลอยู่ที่เจตนางดเว้นจากการทำชั่ว
มีศีลตัวเดียว จิตยกเว้นทั้ง ๕-๘-๑๐-๒๒๗ ข้อ"
(ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)

ลัก...ยิ้ม
06-04-2012, 17:43
๕๐.
"การทำสมาธิ คือการหยุดใจ
หรือระงับใจ จากรัก โกรธ หลง
เหมือนคนที่กำลังวิ่ง ย่อมเห็นอะไรไม่ถนัด
ต้องหยุดวิ่ง และเพ่งสิ่งที่ต้องการจะเห็น จึงจะเห็นถนัดชัดเจน"
(ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)

ลัก...ยิ้ม
10-04-2012, 10:31
๕๑.
"สมถะ รักษาอารมณ์ใจให้หยุดวิ่งและรวมเป็นหนึ่งเดียว
กลายเป็นใจอันเดียวแล้ว
ใจจะมีกำลังสูงมาก ทำสิ่งใดก็จะสำเร็จ

วิปัสสนา คือตัวปัญญา ถอนกิเลส
ค้นหากิเลสได้ แล้วทำลายด้วยไตรลักษณ์
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นไม่ควรยึด"
(ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)

ลัก...ยิ้ม
11-04-2012, 09:57
๕๒.
"ไตรลักษณ์ เป็นตัวกรรมฐานใหญ่
แก้กิเลสได้ทั้งปวง ชนะกิเลสทุกชนิด
ในสงครามภายในใจ.. สามารถฟอกจิตใจ, บำรุงสติให้แก่กล้า
พระโยคาวจรต้องไม่ทิ้งไตรลักษณ์
(ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)

ลัก...ยิ้ม
12-04-2012, 09:33
๕๓.
"จิตดื้อ ให้ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ
พอเริ่มปฏิบัติก็ให้พิจารณาเลย
พวกจิตสะดวก ใช้สมาธิอบรมปัญญา"
(จิตดื้อ เพราะฟุ้งซ่าน)
(ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)


หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน

ลัก...ยิ้ม
17-04-2012, 09:48
๕๔.
คนที่เป็นบ้านั้น เพราะถือนิมิตเป็นของจริงจัง
ไม่เห็นว่านิมิตนั้นเป็นไตรลักษณ์
สมาธิใดที่ไม่มีปัญญากำกับ ทำให้เป็นบ้าและติดสุขในฌาน
(ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)

ลัก...ยิ้ม
18-04-2012, 10:22
๕๕.
"ถ้ายังยินดี ยินร้ายในร่างกายอยู่
เห็นกายยังเป็นกายอยู่ แสดงว่าเดินมรรคผิดทาง
ทางที่ถูกต้อง..
เห็นร่างกายเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เป็นสันตติ เป็นไตรลักษณ์
เข้าหาอริยสัจ อันเป็นของจริง (คือ เห็นกายเป็นกองทุกข์)"
(ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)

หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน

ลัก...ยิ้ม
19-04-2012, 10:13
๕๖.
"ให้พิจารณาในปัจจุบัน
ทบต้น ทบปลาย ละอดีต ละอนาคต
พิจารณาปัจจุบันธรรม จึงจะแจ่มแจ้ง"
(ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)

ลัก...ยิ้ม
20-04-2012, 10:19
๕๗.
"อย่าติดรสอาหาร ให้มักน้อยจริง ๆ ในอาหาร
จิตจึงจะเป็นไปได้ดี
ถ้ายังยินดีในโลกธรรมในวาระจิตใด
วาระจิตนั้น ต้องเสียเพราะติดอามิส"
(ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)

ลัก...ยิ้ม
23-04-2012, 10:30
๕๘.
"จิตต้องให้พักในสมาธิ พอออกจากสมาธิ
ต้องให้คิดพิจารณา จึงจะรู้ คือเกิดปัญญา
โดยเพ่งอยู่แค่กายกับจิตของตน อย่าส่งออก"
(ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)

ลัก...ยิ้ม
24-04-2012, 11:04
๕๙.
"สัทธรรม ๕ มีมรรคอยู่ในตนแล้วทุกคน
เมื่อเรารู้ว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย มีอยู่ในตัวของเขาแล้ว
ได้ชื่อว่าเป็นมรรค
หากเราเดินมรรคจนเกิดผล ก็เป็นนิโรธ
เมื่อตัณหาดับจึงเกิดความรู้จริง เป็นปัญญาเรียกไตรลักษณ์

สิ่งนี้ข้อนี้เป็นของลึกลับในคัมภีร์ ต้องพิจารณาให้บ่อย ๆ จะมีผลดี
ให้ดูตั้งแต่ในครรภ์จนกระทั่งถึงตาย"
(ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)

ลัก...ยิ้ม
25-04-2012, 09:39
๖๐.
"ไตรลักษณ์ห้ามสังขารได้ ทำให้แจ้งแทงตลอดในธรรมทั้งปวง
ทำให้สิ้นกิเลสได้ จึงต้องภาวนาไตรลักษณ์ให้มาก
แก้ได้ทั้งรูปธรรม นามธรรม
แต่ให้เข้าหาอัพยากตธรรม จึงจะเป็นมรรคที่ถูก"
(ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)

ลัก...ยิ้ม
26-04-2012, 10:40
๖๑.
หวงสังขาร (ร่างกาย) เท่ากับหวงทุกข์ เท่ากับหวงขี้
ถ้าปล่อยมันเสียก็เป็นสุข
ใจไม่ห่วงกาย ทำให้รวมง่าย

เบื้องต้นต้องผิดมาก่อนทุกคน
แม้พระพุทธเจ้า ธรรมทั้งหลายเกิดเพราะเหตุ
จึงต้องเห็นและรู้เหตุก่อน
โลกธรรม ๘ แก้ด้วยมรรค ๘
มรรค ๘ พระองค์จึงสอนให้ทำให้มาก ๆ เจริญให้มาก ๆ พิจารณาให้มาก ๆ
(ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)

หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน

ลัก...ยิ้ม
27-04-2012, 10:55
๖๒.
สุข-ทุกข์ บุญ-บาป อยู่ที่คิด
พระอริยะท่านจึงไม่ยินดีในการอยู่ และไม่ยินดีในการตาย
ไม่เจ็บท่านก็ว่าดี เจ็บท่านก็ว่าดี
ทำให้เห็นทุกข์ จะได้ไม่ประมาทในความตาย
เพราะท่านคิดแต่แง่ดี อันเป็นบุญเป็นกุศลฝ่ายเดียว

ส่วนพวกปุถุชนมักคิดตรงข้ามกับท่าน จึงวิ่งเข้าหาทุกข์ เข้าหาบาป-อกุศล
จิตเศร้าหมอง (เป็นกิเลส) จุดไฟเผาตนเอง ทำร้ายตนเองอยู่เป็นปกติ
เพราะความโง่ที่ไม่เห็นอริยสัจตามความเป็นจริง เท่ากับยังเป็นคนพาล

(ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)

หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน

ลัก...ยิ้ม
30-04-2012, 09:13
๖๓.
ฝ่ายโลกถือสุขกายเป็นใหญ่ ฝ่ายธรรมถือสุขใจเป็นใหญ่
เพราะรู้อริยสัจตามความจริงว่า
ร่างกายนี้มันเป็นเพียงแค่ธาตุ ๔ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
เราจริง ๆ คือจิตหรืออทิสมานกาย ที่อาศัยขันธ์ ๕ อยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น

ฝ่ายโลกเข้าใจผิดจึงยึดเอาตัวปลอม (ร่างกาย) ว่าเป็นตัวจริง
ทำร้ายตนเอง เผาตนเองตลอด พอกายแตกดับไป
ตัวจริงต้องไปรับผลกรรมที่ทำไว้
ตัวปลอมไม่ต้องไปรับ คงเป็นแค่ธาตุ ๔ อยู่กับโลกต่อไป
(ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)

หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน

ลัก...ยิ้ม
02-05-2012, 10:05
๖๔.
จิตวิปัสสนาก็เพื่อให้รู้เท่าทันสังขาร
ไม่ติด ไม่หลงในสังขาร จนเกิดเบื่อหน่าย
ไม่ติดในธาตุในขันธ์ทั้งหลาย บริสุทธิ์ด้วยไตรลักษณ์
(ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)

ลัก...ยิ้ม
03-05-2012, 09:45
๖๕.
จะแก้จิต ฝึกจิต ต้องเห็นจิตก่อน
อริยสัจจึงเป็นอาการของจิต ที่ไปเห็นอสุภะของตนอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
จิตจะได้ไม่หลง ไม่พลิก เพราะเห็นจริงด้วยปัญญาอันยิ่ง (เห็นธรรมเท่ากับเห็นอริยสัจ)
ปัญญาของพระองค์จึงมุ่งให้เราเห็นจริง.. เฉพาะเรื่องของกาย (ขันธ์ ๕) กับจิต
ไม่ไปยุ่งเรื่องนอกกาย ให้รู้แค่นี้พอ
รู้แค่นี้ก็พ้นทุกข์ได้ (พ้นวัฏฏะ)

ให้รู้เรื่องของสมาธิว่า
ลักษณะของสมาธิ เป็นที่พักของจิตชั่วคราว
พักให้จิตมีกำลัง แล้วออกไปทำปัญญาวิปัสสนา
ตัดกิเลสซึ่งสิงอยู่ในใจต่อ จนกว่าจะสิ้นกิเลส
ให้รู้ธาตุของเก่า อย่าหลงของเก่า
ให้รู้จักสมมุติ รู้จักอาการ ๓๒ ว่าเป็นของเก่า
(ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)

หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน

ลัก...ยิ้ม
04-05-2012, 10:55
๖๖.
พิจารณามรณานุสติบ่อย ๆ เป็นของดี
เท่ากับเป็นผู้ไม่ประมาทในความตาย เท่ากับผู้ไม่มีความประมาท
มีชีวิตแค่ราตรีเดียว ยังดีกว่าผู้ที่ประมาทที่มีอายุอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี
การฝึกจิตให้เข้าสู่อารมณ์แห่งความตายนี้สำคัญมาก
ทำอยู่บ่อย ๆ ทุกวัน จิตจะชินเป็นฌานในมรณานุสติ

ผู้ฉลาดให้บวกอุปสมานุสติไปด้วย คือ หากตายไม่ขอเกิดอีก
ขอไปนิพพานจุดเดียว
(เป็นการฝึกให้สู่อารมณ์พระนิพพานโดยตรง)

หากตัดอวิชชาไปด้วยคือ ฉันทะกับราคะในเทวโลกและพรหมโลกด้วย
ก็สามารถจบกิจได้ในเวลานั้น
(ในชั่วขณะจิตนั้น...ข้อนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของคุณลุงหมอ)
(ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)

หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน

ลัก...ยิ้ม
11-05-2012, 11:05
๖๗.
อย่าสับสน โรคทั้งหลายเกิดในกาย
กิเลสทั้งหลายเกิดในจิต จงอย่าสับสน

จนให้โรคเข้าไปกินใจได้ และให้กิเลสล้นจากใจออกมาวุ่นวาย
สั่งให้กายทำตามกิเลส
จึงต้องอาศัยปัญญา พิจารณาธาตุให้รู้แจ้งธาตุ อย่าหลงธาตุ
จนจิตหลุดพ้นจากธาตุคือ อวิชชาตัณหา
(ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)

ลัก...ยิ้ม
14-05-2012, 10:14
๖๘.
มรรคผลนิพพานมีจริง หากเดินตามมรรค ๘
ซึ่งเป็นทางเดินของพระอริยเจ้า
แต่ต้องมีตบะ-ความเพียรอย่างยิ่ง เกียจคร้านไม่ได้
หากปฏิบัติธรรมให้ถูกกับมรรคแล้ว จะเกิดผลอัศจรรย์ปรากฏกับจิตร้อยแปด
โดยจิตไม่เคยรู้เคยเห็นมาก่อน
(ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)

ลัก...ยิ้ม
15-05-2012, 08:35
๖๙.
ติดดีก็เป็นทุกข์
เมื่อภาวนาถึงหลักอริยสัจ นิมิตแสดงออกมาเป็นร่างมนุษย์ที่บริสุทธิ์
ต้องน้อมนิมิตนั้นเข้าสู่ไตรลักษณ์

เพราะนิมิตนั้นจะเปลี่ยนแปร หลอกให้จิตพอใจ หลง และติดดี
ก็ต้องน้อมตัวติดดีเข้าสู่อริยสัจ คือติดดีก็เป็นทุกข์
เพราะความดีก็คือบุญ ก็ไม่เที่ยง

ข้อนี้ก็สำคัญไม่น้อย ตัวยินดีติดดีเท่ากับราคะ เป็นกามฉันทะ
(ฉันทะกับราคะในอวิชชา คือ ยังโง่กว่ากิเลสนั่นเอง)

(ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)

หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน

ลัก...ยิ้ม
16-05-2012, 09:37
๗๐.
จิตติดที่ไหน ย่อมเกิดที่นั่น
หากจิตติดบ้านเรือน อาจเป็นจิ้งจก ตุ๊กแกได้
แม้ภิกษุติดจีวร ยังไปเกิดเป็นเล็น

กิเลสมันมี ๑๐๘ ประตู แต่พุทโธมีประตูเดียว
หากสามารถรักษาประตูเดียวนี้ได้ จนชำนาญ
ก็สามารถเปลี่ยนภพ-ชาติได้
(ผู้ตายในอารมณ์หลง จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน)
(ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)

หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน

ลัก...ยิ้ม
17-05-2012, 09:40
๗๑.
ให้นั่งคนเดียวตัดสินใจว่า เราจะตายคนเดียว
เกิดคนเดียว แก่คนเดียว ป่วยคนเดียว
ไม่มีใครช่วยเราได้ เราต้องช่วยตนเอง

ตัดสินใจแบบนี้ จึงจะเป็นกายวิเวก
ให้อาศัยธรรมะของพระองค์อย่างเดียว
วจีวิเวกคือ ตอนพระเทศน์ห้ามคุยกัน
มโนวิเวกคือ หัวใจเปลี่ยว ว้าเหว่ (แต่ไม่ทุกข์)

สงบอยู่ในปัจจุบัน ละอดีตและอนาคต ซึ่งเป็นอารมณ์อันตราย
จะชนะกิเลสต้องอยู่ในธรรมะปัจจุบัน
(ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)

หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน

ลัก...ยิ้ม
18-05-2012, 09:15
๗๒.

ธรรมเป็นอาหารของจิต
โรคจิตมีหลายอย่าง ธรรมโอสถก็มีหลายขนาน
ต้องเลือกเอาให้ถูกกับโรค ตามจริตและนิสัย

โรคจิต คือ กิเลสทุกประเภทที่เกิดจากจิต
จิตเกิดการปรุงคือธาตุ ให้เอาจิตแก้ธาตุ
ให้เอาธาตุแก้จิต ประสานกัน
(พระอริยเจ้าใช้อย่างนั้น)

(ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)

หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน

ลัก...ยิ้ม
21-05-2012, 10:39
๗๓.
ธรรมะมีอยู่ในจิตผู้ใด ผู้นั้นจะร่าเริงอยู่เสมอ
ไม่โศกเศร้าเหมือนผู้ไม่มีธรรม ซึ่งจะเร่าร้อนอยู่เป็นนิจ
นำมาซึ่งความทุกข์อันใหญ่
(เพราะการเผาของไฟภายใน ๓ กอง คือราคะ โทสะ โมหะ)
(ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)

หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน

ลัก...ยิ้ม
22-05-2012, 10:47
๗๔.

พระองค์สอนปัญจวัคคีย์ให้ละอุปทานขันธ์ ๕ ความว่า

“รูปอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีตก็ดี อนาคตก็ดี ปัจจุบันก็ดี ภายในก็ดี ภายนอกก็ดี หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี กลางก็ดี เลวก็ดี ประณีตก็ดี อยู่ใกล้ก็ดี อยู่ไกลก็ดี
รูปทั้งหมดนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่นเป็นนี่ ทุกอย่างล้วนเป็นไตรลักษณ์ทั้งสิ้น

ข้อนี้ขอท่านทั้งหลายพึงพิจารณาตามความเป็นจริง
ด้วยปัญญาอันชอบแล้ว จิตก็จะไม่หวั่นไหว
แม้เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ ก็ย่อมเป็นเช่นนั้น
ปัญจวัคคีย์..จิตก็เกิดความเบื่อหน่าย-คลายกำหนัดในขันธ์ ๕ เป็นอรหันต์”
(คนฉลาดมีพุทธจริต มีบารมีเต็มแล้ว พระองค์สอนให้ตัดขันธ์ ๕ อย่างเดียว ก็จบกิจในพระพุทธศาสนา)

(ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)


หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน

ลัก...ยิ้ม
23-05-2012, 09:42
๗๕.

ทุกคนหนีโลกธรรมไม่พ้น จึงอย่าหนีมัน
เพราะมันเป็นของธรรมดา
คนธรรมดาคิดว่าตนฉลาด
(พระองค์ตรัสว่า เป็นคนโง่ตั้งแต่ที่เริ่มคิด เพราะเป็นอารมณ์หลง)

ดังนั้น เมื่อถูกด่า-ว่า-หรือติ หรือนินทา จะมีอารมณ์ไม่พอใจ โกรธ
เก็บเอามาคิดปรุงแต่ง
เกิดอาฆาต-พยาบาท-จองเวร เพราะอารมณ์โง่ โมหะ หรือหลง หรือมิจฉาทิฐิ
จึงทำร้ายตนเอง เผาตนเอง เบียดเบียนตนเอง ขาดเมตตาตนเอง
เหมือนกินยาพิษ เพราะโมหะ (โง่)

แต่ใครเชื่อพระองค์ก็เป็นสุข เพราะถือเป็นของธรรมดา
ให้ตั้งไว้ในอารมณ์ช่างมัน หรือวางเฉย หรือสักแต่ว่า
หรืออุเบกขา จนถึงสังขารุเบกขาญาณในที่สุด

(ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)


หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน

ลัก...ยิ้ม
24-05-2012, 07:03
๗๖.

จะชนะมารต้องอาศัยภาวนา เพื่อระงับนิวรณ์
เพราะมารอาศัยอยู่กับใจ เป็นมารภายใน
มันสิงอยู่จึงแก้ยาก
ส่วนมารภายนอกแก้ง่ายกว่ามาก เพราะเพียงเราไม่สนใจในมันเสียก็พ้นแล้ว
(สำรวมอินทรีย์หรืออายตนะ)

พระองค์แนะให้ใช้อริยมรรค ๘ เริ่มด้วยปัญญา คือ สัมมาทิฏฐิ
มรรค ๘ ย่อเหลือ ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
เดินตามพระองค์ ไม่มีทางพลาดจากความเป็นพระอริยะ

(ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)


หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน

ลัก...ยิ้ม
25-05-2012, 10:33
๗๗.

เมื่อไร้ความจริงแล้ว ความศักดิ์สิทธิ์มี ณ ที่ไหน
หมายถึงพูดไม่จริงหรือโกหก ข้อนี้ตรงกับพุทธพจน์ที่ว่า
“ผู้ใดก็ตามที่มีเจตนาโกหกผู้อื่นเพื่อประโยชน์ของตนเอง
ผู้นั้นไม่มีความชั่วใด ๆ ที่เขาจะทำไม่ได้”

(ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)

ลัก...ยิ้ม
28-05-2012, 08:08
๗๘.

ดับภพทั้ง ๓ ได้ที่ใจแห่งเดียว
เพราะธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า
มีใจประเสริฐสุด (เป็นใหญ่)
ทุกสิ่งสำเร็จได้ที่ใจ กิเลสทุกตัวอยู่ที่ใจ
เกิดที่ใจ จึงต้องดับที่ใจ
มารก็คือกิเลส มันตัวเดียวกัน
ใช้อริยสัจหาเหตุให้พบ แล้วก็ดับเหตุนั้นเสีย

(ของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร)


หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน

ลัก...ยิ้ม
29-05-2012, 07:43
๗๙.

นักปฏิบัติต้องกล้าหาญ ไม่กลัวตาย
จึงจะรู้ธรรม เห็นธรรม

(ของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)

ลัก...ยิ้ม
30-05-2012, 09:17
๘๐.

บังคับจิตไม่ได้ แต่สอนจิต อบรมจิตได้
ด้วยอุบายต่าง ๆ
ปกติจิตไม่อยู่นิ่ง ต้องให้เกาะสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้
พระองค์จึงมีอุบายมากมายให้สอนจิต อบรมจิต
เพราะรู้ว่าบังคับจิตได้ไม่นาน

(ของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)

ลัก...ยิ้ม
31-05-2012, 07:35
๘๑.

ธรรมที่ลึกลับ ไม่ควรพูดให้คนอื่นรู้
เพราะหากเขาไม่เห็นตามเรา ธรรมนั้นจะเสีย
ต้องพูดต่อผู้ปฏิบัติเหมือนกัน
เช่น มองเห็นทุกอย่างในโลกเต็มไปด้วยทุกข์ แต่อารมณ์ใจมันไม่ทุกข์
ซึ่งเป็นสุดยอดของพระธรรม

(ของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)

ที่พระองค์ต้องการให้เรารู้เราเห็นก็ตรงนี้แหละ
เท่ากับผู้ใดมองเห็นทุกข์ได้ทั้งหมดตามความเป็นจริง
แต่จิตอยู่ในสังขารุเบกขาญาณ ผู้นั้นเป็นพระอรหันต์

(ของพระราชพรหมยานมหาเถระ)

ลัก...ยิ้ม
01-06-2012, 09:07
๘๒.

ศีล เป็นฐานของพระธรรมทั้งหมด
อานาปานุสติ เป็นฐานของความสงบแห่งจิต
สองฐานนี้เป็นหลักใหญ่ของพระพุทธศาสนา

ลัก...ยิ้ม
05-06-2012, 09:52
๘๓.

การประกอบกุศลกรรมบถ ๑๐
เป็นการเมตตา กรุณาตนเองและผู้อื่น
(พรหมวิหาร ๔ สองข้อแรก จะทรงตัวด้วยกุศลกรรมบถ ๑๐ นี่เอง)


หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นความเห็นของคุณลุงหมอสมศักดิ์ สืบสงวน

ลัก...ยิ้ม
06-06-2012, 09:03
๘๔.

จงเอาพระธรรมเป็นที่พึ่ง
อย่ายึดติดในตัวบุคคล เวลา สถานที่ และวัตถุภายนอก
ซึ่งล้วนไม่เที่ยง

ลัก...ยิ้ม
07-06-2012, 08:50
๘๕.

ทุกข์ เป็นธรรมที่ต้องกำหนดรู้ จึงจักรู้
สมุทัย เป็นธรรมที่ต้องละ
นิโรธ เป็นธรรมที่ต้องทำให้แจ้ง
มรรค เป็นธรรมที่ต้องเจริญให้มาก ทำให้มากตลอดเวลา

ลัก...ยิ้ม
08-06-2012, 08:56
๘๖.

จงอย่าประมาทในการสร้างความดี
ยังมีชีวิตอยู่ จงอย่าทิ้งการทำบุญทำทาน
แม้พระอรหันต์จบกิจแล้ว
แต่ชีวิตยังอยู่ ท่านก็ไม่เว้นการทำบุญทำทาน
เพราะมีผลเป็นจาคานุสติและอุปสมานุสติด้วย
ท่านทำเพื่อพระนิพพานจุดเดียว
เพราะท่านไม่ประมาทในความดี จงเอาอย่างท่าน

ลัก...ยิ้ม
11-06-2012, 09:21
๘๗.

หากศีลไม่มั่นคง สมาธิยังไม่ตั้งมั่น ปัญญายังจู๋อยู่
ห้ามคิดว่าไม่ติดในบุญ ในทาน ในความดี เพราะจิตยังติดบาปอยู่ อกุศลอยู่
แล้วยังจิตไม่เกาะติดบุญด้วย
จิตจึงมีแต่บาปอกุศล จิตเป็นคนโง่อย่างแท้จริง
พระอรหันต์ ท่านยังไม่ทิ้งการทำบุญทำทาน เพราะท่านไม่ประมาทในกรรมทั้งมวล

ลัก...ยิ้ม
12-06-2012, 08:32
๘๘.

อยากฉลาดต้องมีคุณธรรมประจำจิต
ยอมรับกฎของกรรม
ยอมรับกฎของความเป็นจริงในสัทธรรม ๕
ยอมรับกฎของไตรลักษณ์
ทำใจให้เป็นกลางให้ได้ และเป็นคนไม่ประมาท
ทบทวนพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์อยู่เสมอ

ลัก...ยิ้ม
13-06-2012, 07:46
๘๙.

กรรมใดที่เป็นอกุศล ทำจิตให้เศร้าหมอง
ขอจงพยายามละให้ออกจากจิต

ลัก...ยิ้ม
14-06-2012, 11:40
๙๐.

พิจารณาภาระที่มีต่อขันธ์ ๕ เข้าไว้
ดูความไม่เที่ยงของมันเข้าไว้
จักทำให้เกิดความเบื่อหน่ายในร่างกายนี้อย่างจริงจังเสียที

ลัก...ยิ้ม
15-06-2012, 09:42
๙๑.

จงอย่าไปจองเวรกับใคร รีบตัดกรรมเสียให้ได้
ไม่ต้องสนใจกรรมของผู้อื่นให้เสียเวลา
หันมาสนใจมรรคผลที่จักปฏิบัติตัดกิเลสส่วนตนดีกว่า

ลัก...ยิ้ม
18-06-2012, 10:09
๙๒.

การทำงานให้แก่พระพุทธศาสนาเพื่อความหลุดพ้น
จักต้องมีมารเข้ามาขัดขวางผลบุญเป็นธรรมดา
จงแผ่เมตตา ทรงพรหมวิหาร ๔ ให้ครบ
อุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรเหล่านี้ออกไป
แล้วจิตจักเยือกเย็น ไม่ผูกโกรธ
จงอย่าประมาท ระวังเข้าไว้
แต่จงอย่าระแวง จิตจักมีกังวล

ลัก...ยิ้ม
19-06-2012, 08:25
๙๓.

อารมณ์กระทบนั่นแหละเป็นของดี
เพราะจักได้ทราบกระแสของจิตตนเอง
ว่ากระทบแล้วหวั่นไหวตามไปหรือไม่ สอบได้หรือสอบตก

ลัก...ยิ้ม
21-06-2012, 09:31
๙๔.

คนหลงร่างกายเพราะไม่รู้จักสันตติของร่างกาย
การมีร่างกายทำให้ต้องมีกิจการงานทำไปไม่มีวันสิ้นสุด
ทุกอย่างมันเป็นสันตติ

ลัก...ยิ้ม
22-06-2012, 08:45
๙๕.

วัดอารมณ์ของการปลดปล่อยร่างกายอยู่ตลอดเวลา
นั่นแหละ คือการปฏิบัติพระกรรมฐาน

ลัก...ยิ้ม
25-06-2012, 09:14
๙๖.

การปฏิบัติไม่ต้องเลือกเวลา ไม่ต้องเลือกสถานที่
จิตอยู่ที่ไหนไม่ทิ้งอารมณ์ที่นั่น นี่แหละ คือพระกรรมฐาน

ลัก...ยิ้ม
26-06-2012, 09:28
๙๗.

การกำหนดรู้อารมณ์ของจิตอยู่เสมอ ๆ
นี่แหละ คือการปฏิบัติพระกรรมฐาน

ลัก...ยิ้ม
27-06-2012, 09:22
๙๘.

การรู้อารมณ์คนอื่น.. พ้นทุกข์ไม่ได้
การรู้อารมณ์ตนเอง.. พ้นทุกข์ได้

ลัก...ยิ้ม
28-06-2012, 08:52
๙๙.

อารมณ์จิตนี่แหละ
คือตัวรู้สึกถึงความสุขหรือความทุกข์ ไม่ใช่ร่างกาย

ลัก...ยิ้ม
29-06-2012, 10:44
๑๐๐.

ความฟุ้งซ่านเกิด ก็จงหมั่นระงับด้วยมรณานุสติ
และความไม่ประมาทในความตายไว้เสมอ

ลัก...ยิ้ม
30-06-2012, 07:51
๑๐๑.

จงมองหาชั่วหาเลวที่เรา.. แล้วรีบแก้ไข
อย่าไปหาชั่วหาเลวที่ผู้อื่น.. ซึ่งแก้ไขไม่ได้

ลัก...ยิ้ม
03-07-2012, 07:42
๑๐๒.

ธรรมใดที่ยังมาไม่ถึง ก็จงละปล่อยวาง
มาสงสัยศึกษาในธรรมปัจจุบัน
หาเหตุหาผลที่ทำให้เกิดอารมณ์จริตต่าง ๆ ให้พบ
แล้วแก้ที่ต้นเหตุ ด้วยกรรมฐานแก้จริต ๖

ลัก...ยิ้ม
04-07-2012, 08:56
๑๐๓

เรื่องที่ควรสนใจที่สุดในพระพุทธศาสนา
คือความดับทุกข์อย่างแท้จริงนั้นเป็นอย่างไร

ลัก...ยิ้ม
05-07-2012, 09:40
๑๐๔.

พระธรรมมีพุทธบัญญัติอยู่ ๘๔,๐๐๐ บท
ล้วนเป็นทางนำไปสู่ความพ้นทุกข์ทั้งสิ้น
นอกเหนือจากนี้ มิใช่คำสอนของตถาคต
และจงจำหลักไว้ …
ทุกอย่างในไตรภพไม่มีอะไรเที่ยง ยึดเมื่อไรทุกข์เมื่อนั้น

ลัก...ยิ้ม
06-07-2012, 11:37
๑๐๕.

ใครไปหาธรรมภายนอก นอกจิตของตนเอง
ถือว่ายังไม่เข้าใจพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
เพราะ ๘๔,๐๐๐ บท ล้วนเป็นอุบายทางธรรม
เพื่อให้รู้ความจริงที่กายและจิตของตนเองทั้งสิ้น

ลัก...ยิ้ม
09-07-2012, 09:27
๑๐๖.

ฝึกจิตให้หมั่นดูกายไว้เสมอ
เพราะจิตถูกกิเลสมารมันหลอกมานานจนชิน
จงใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นทุกข์ โทษ ภัย จากการเกิดมีร่างกาย

ลัก...ยิ้ม
10-07-2012, 09:20
๑๐๗.

อย่าฝืนธรรม อย่าฝืนโลก แล้วจิตจักเป็นสุข
โดยการยอมรับนับถือกฎของกรรม กฎของธรรมดาของขันธ์ ๕
ทุกอย่างล้วนเป็นธรรมดาทั้งสิ้น

ลัก...ยิ้ม
11-07-2012, 09:30
๑๐๘.

อย่าให้อารมณ์มันหลอกเรา
คนอื่นหลอกเรา
ไม่ร้ายแรงเท่ากับอารมณ์จิตของเรา.. หลอกเราเอง

ลัก...ยิ้ม
12-07-2012, 09:00
๑๐๙.

บุคคลผู้ยังเกาะติดร่างกาย ต่างก็เป็นผู้น่าสงสาร
เพราะมีอารมณ์หลง.. วนอยู่ในความทุกข์

ลัก...ยิ้ม
13-07-2012, 09:23
๑๑๐.

อย่าติดอดีต และอนาคตธรรม
จิตจักไม่เป็นสุข
พยายามอยู่ในธรรมปัจจุบันให้มาก

ลัก...ยิ้ม
16-07-2012, 10:54
๑๑๑.

อย่ามองใครว่าผิดหรือถูก อย่ามองใครว่าชั่วหรือดี
จงมองให้ทะลุถึงกฎของกรรมทั้ง ๓
กรรมใดใครก่อ.. ผลแห่งกรรมนั้นย่อมตกอยู่แก่บุคคลนั้น

ลัก...ยิ้ม
17-07-2012, 11:27
๑๑๒.

โลกทั้งโลก ไม่มีอะไรสุข
มีแต่ทุกข์ นี่คืออริยสัจ

ลัก...ยิ้ม
18-07-2012, 10:42
๑๑๓.

หากอยากเป็นคนฉลาด
ก็จงอย่าทิ้งอริยสัจ หรือกฎของกรรม

ลัก...ยิ้ม
19-07-2012, 09:22
๑๑๔.

ตำหนิกรรมเข้าเมื่อใด อุปาทานจักเกิดขึ้นเมื่อนั้น
อคติ ๔ เกิด.. เป็นการไม่เคารพกฎของกรรม ไม่เคารพอริยสัจ

ลัก...ยิ้ม
20-07-2012, 09:37
๑๑๕.

เมื่อเข้าใจกฎของกรรม ก็จักเมตตา-กรุณา
รักและสงสารจิตของเราที่โง่มานาน
ที่ชอบทำร้ายจิตตนเอง

ลัก...ยิ้ม
23-07-2012, 09:07
๑๑๖.

อย่าเข้าใกล้ หรือข้องแวะกับความชั่วความเลวของใคร
ซึ่งไม่ต่างกับเอาใบตองไปห่อสุนัขเน่า
ขึ้นชื่อว่าสุนัขเน่า ใคร ๆ เขาก็ไม่อยากเข้าใกล้

ลัก...ยิ้ม
24-07-2012, 11:21
๑๑๗.

อารมณ์ฟุ้งซ่านคือ อารมณ์ลิงติดตัง
ยิ่งดิ้น ยิ่งรัดตัวเอง ยิ่งเพิ่มทุกข์ให้ตนเอง

ลัก...ยิ้ม
25-07-2012, 09:26
๑๑๘.

พระจะสงเคราะห์เราได้
ต่อเมื่อเราระงับอารมณ์ฟุ้งซ่านได้ก่อน
ด้วยอานาปาฯ , คำภาวนา , จิตจับภาพพระ

ลัก...ยิ้ม
26-07-2012, 10:21
๑๑๙.

ใช้ทุกข์ให้เป็นประโยชน์ จักได้เข้าถึงอริยสัจกันจริง ๆ
คนโง่เท่านั้น ที่เห็นทุกข์แล้วกอดทุกข์
คนฉลาดตามกำหนดรู้ทุกข์ เพื่อเข้าถึงอริยสัจ
แล้วปล่อยวางทุกข์.. ก็ช่วยให้พ้นทุกข์ได้

ลัก...ยิ้ม
27-07-2012, 10:15
๑๒๐.

ในทุกข์ตัวเดียวกันนี้แหละ
จักพ้นทุกข์ก็ได้ จักจมทุกข์ก็ได้
คนไม่รู้จักตัณหา ก็พ้นตัณหาไม่ได้
คนไม่รู้จักทุกข์ ก็พ้นทุกข์ไม่ได้

ลัก...ยิ้ม
30-07-2012, 09:46
๑๒๑.

หากจิตเกาะงานทางโลก
ตายแล้ว.. ตายอีก
ก็ต้องกลับมาทำงานนั้นใหม่ อย่างไม่รู้จบ

ลัก...ยิ้ม
31-07-2012, 09:09
๑๒๒.

ถ้าไม่ฝืนความจริงเสียอย่างเดียว
จิตก็สงบ วางอารมณ์ ยอมรับกฎของกรรมได้
หากทำได้ก็เรียกว่าเข้าถึงอริยสัจ จักพ้นทุกข์ได้ก็ที่ตรงนี้

ลัก...ยิ้ม
01-08-2012, 09:09
๑๒๓.

บุคคลใดใช้ปัญญาพิจารณากฎของกรรมตามความเป็นจริงแล้ว
จักได้ชื่อว่าเข้าถึงอริยสัจ สามารถตัดสังโยชน์ได้ง่าย

ลัก...ยิ้ม
03-08-2012, 10:18
๑๒๔.

กฎของกรรมหรืออริยสัจนั่นแหละ ตัวเดียวกัน
ให้รู้ว่าโลกนี้เป็นทุกข์ โลกนี้ไม่เที่ยง
ยึดถืออันใดมิได้
กฎของกรรมเกิดขึ้นมาได้เพราะเรายึดถือทุกข์

ลัก...ยิ้ม
04-08-2012, 11:47
๑๒๕.

หลักการของการปฏิบัติธรรม
จักต้องรู้อารมณ์อยู่ตลอดเวลา ได้บ้าง ตกบ้าง ก็ไม่เป็นไร
เพราะการกำหนดรู้อารมณ์ คือผลของการปฏิบัติ
และผลจักเป็นของจริง ต้องถูกกระทบก่อนเสมอ
แล้วจบลงที่ว่ามันทุกข์ มันเป็นอริยสัจ

ลัก...ยิ้ม
06-08-2012, 09:40
๑๒๖.

ให้พิจารณาว่า อะไรเกิดขึ้นเป็นที่ขัดข้องแล้ว
ล้วนแต่เป็นความทุกข์ทั้งสิ้น
นี่คืออริยสัจหรือกฎของกรรม

ลัก...ยิ้ม
07-08-2012, 09:09
๑๒๗.

บุญบารมีเต็ม คือรักษาไว้ซึ่งกำลังใจให้เต็ม
อยู่ในการตัดสังโยชน์เป็นปกติ
ทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพานจุดเดียว
เอาทุกสิ่งทุกอย่างเป็นกรรมฐานหมด

ลัก...ยิ้ม
08-08-2012, 09:16
๑๒๘.

จิตที่เย็นสนิท คือจิตที่พิจารณากฎของกรรม
แล้วยอมรับความเป็นจริงของขันธ์ ๕ โดยไม่ดิ้นรน

ลัก...ยิ้ม
09-08-2012, 10:40
๑๒๙.

บุคคลใดที่ต้องการจักไปพระนิพพานในชาตินี้
บรรดาเจ้าหนี้เก่า ๆ ก็จักตามทวงตามเล่นงานอย่างไม่ลดละ
หากทนไม่ได้ก็ไปไม่ได้

ต้องวางอารมณ์ยอมรับกฎของกรรมให้เป็นธรรมดาให้ได้
การพ่ายแพ้เป็นของธรรมดา แต่จงอย่าถอย จิตก็จักไม่ดิ้นรนมาก
ไม่ช้าไม่นาน กฎของกรรมก็จักคลายตัวไปเอง

ลัก...ยิ้ม
10-08-2012, 09:22
๑๓๐.

ทุกอย่างที่ทำให้จิตมีอารมณ์กังวลอยู่
ล้วนแต่เกี่ยวเนื่องด้วยการเกาะติดขันธ์ ๕ ทั้งสิ้น
เช่น เศรษฐกิจไม่ดี, การเจ็บป่วย
ต้นเหตุ เพราะจิตไม่ยอมรับนับถือกฎของกรรม

ลัก...ยิ้ม
14-08-2012, 09:19
๑๓๑.

ใช้ทุกขเวทนาให้เป็นประโยชน์ เอาทุกข์นั่นแหละ
สอนจิตให้ยอมรับความไม่เที่ยงของโลก และขันธโลก (ร่างกาย)
ทุกขสัจหรือทุกข์กาย ต้องกำหนดรู้จึงจักรู้ว่าเป็นทุกข์
แล้วลงตัวธรรมดา ว่ามันก็เป็นของมันอยู่อย่างนี้เอง ไม่มีใครฝืนได้

ลัก...ยิ้ม
15-08-2012, 09:21
๑๓๒.

การเจ็บป่วยจึงเป็นของดี จักได้ไม่ประมาทในความตาย
เพราะไม่มีใครเอาสมบัติของโลกไปได้
รู้ลม-รู้ตาย-รู้นิพพาน
เป็นทางลัดเข้าสู่พระนิพพานได้ง่าย ๆ

ลัก...ยิ้ม
16-08-2012, 10:39
๑๓๓.

การรู้เป็นเพียงแค่เข้าใจเท่านั้น
ของจริงอยู่ที่ผลของการปฏิบัติ

การรู้คือมรรค การปฏิบัติเพื่อตัดโกรธ-โลภ-หลง คือผล

ลัก...ยิ้ม
17-08-2012, 10:26
๑๓๔.

จิตฟุ้งอยู่ในสัญญา เพราะมัวไปยุ่งกับเรื่องของผู้อื่น
จิตชอบจำแต่ความเลวของผู้อื่น
อันเป็นภัยที่กลับมาทำร้ายจิตตนเองให้เศร้าหมอง
ขาดเมตตากับกรุณาจิตตนเอง ชอบจุดไฟเผาตนเอง

ลัก...ยิ้ม
20-08-2012, 09:08
๑๓๕.

ฟุ้งเลว ให้แก้ที่ฟุ้งดี จำเลวให้แก้ที่จำดี
ฟุ้งออกนอกตัวเป็นกิเลส ฟุ้งอยู่กับตัวเป็นพระธรรม
หากฟุ้งเข้าหาอริยสัจ เข้าหาพระธรรมเป็นธัมมวิจัย.. ไม่ใช่นิวรณ์

ลัก...ยิ้ม
21-08-2012, 08:47
๑๓๖.

ฟุ้งเรื่องอะไร ให้พยายามแก้เรื่องนั้น
โดยใช้อริยสัจเป็นหลักสำคัญในการแก้ปัญหา
หากแก้ไม่ไหว จงใช้อานาปานุสติเข้าระงับจิตให้สงบ แล้วจึงใช้อริยสัจ
ธรรมของตถาคตต้องหยุดอารมณ์จิตให้สงบก่อน
จึงจักเห็นการเคลื่อนไหวของกิเลสได้ตามความเป็นจริง

ลัก...ยิ้ม
22-08-2012, 10:29
๑๓๗.

จิตของผู้มีปัญญา จักเป็นจิตที่รู้เท่าทันความจริงในอริยสัจอยู่เสมอ
พระอรหันต์ท่านทรงอธิปัญญา ก็อยู่ที่ตรงนี้

ลัก...ยิ้ม
23-08-2012, 09:14
๑๓๘.

อย่าหนีความโกรธ
เพราะเป็นกิเลสที่ต้องละด้วยสมถะและวิปัสสนา (กสิณ ๔ และพรหมวิหาร ๔)
ให้คิดว่าคือครูทดสอบอารมณ์จิต
จึงต้องแก้ที่จิตตน อย่าไปแก้ที่บุคคลอื่น

ลัก...ยิ้ม
24-08-2012, 09:44
๑๓๙.

พุทธานุสติอย่าทิ้งไปจากจิต
เมื่อรู้ว่าอารมณ์โทสะจริตยังเด่นอยู่ จงอย่าทิ้งพระ
อย่าไปไหนคนเดียว อย่าอยู่คนเดียว ให้อยู่กับพระ
พระอรหันต์ทุกองค์ท่านยังไม่ทิ้งพระ แล้วเราเป็นใคร

ลัก...ยิ้ม
27-08-2012, 09:48
๑๔๐.

การพิจารณาร่างกายอยู่เสมอ เป็นอุบายไม่ให้จิตส่งออกนอกกาย
เป็นวิปัสสนาญาณที่ถูกต้องของพระพุทธศาสนา เป็นอริยสัจ
ให้ดูอาการของจิต ที่เกาะติดร่างกายนี้ว่าเป็นเราเป็นของเรา นี้แหละเป็นสำคัญ

ลัก...ยิ้ม
28-08-2012, 10:11
๑๔๑.

อย่าทิ้งอานาปานุสติ ยิ่งกำหนดรู้ลมมากเท่าไหร่
จิตยิ่งทรงสติได้มากขึ้นเท่านั้น
ช่วยเตือนใจว่า ชีวิตนี้มันไม่เที่ยง อาจตายได้ตลอดเวลา

มีมรณาฯ ควบอุปสมานุสติอยู่เสมอ
ความไม่ประมาทก็ยิ่งน้อยลง ก็ยิ่งใกล้พระนิพพานเพียงนั้น

ลัก...ยิ้ม
30-08-2012, 09:09
๑๔๒.

จิตจักเจริญได้ต้องอาศัยความเพียร
ในการปฏิบัติจริง ๆ แล้ว ให้ตัดสังโยชน์ ๓ ให้ได้ก่อน
โดยเอาอธิศีลเป็นพื้นฐาน เมื่อได้แล้วสังโยชน์ ๔-๕ ไม่ต้องตัด
ให้รวบรัดตัดอวิชชาข้อ ๑๐ เลย
รู้ลม-รู้ตาย-รู้นิพพาน

ลัก...ยิ้ม
31-08-2012, 10:07
๑๔๓.

อุบายที่ทรงเมตตาแนะวิธีเข้าพระนิพพานแบบง่าย ๆ
สำหรับผู้ที่มีพื้นฐานได้สังโยชน์ ๓ ข้อแรกแล้ว
ก็คือ รู้ลม-รู้ตาย-รู้นิพพาน

ลัก...ยิ้ม
03-09-2012, 10:29
๑๔๔.

กาม-กิน-นอน ...สามตัวนี้ยังติดกันมาก
ซึ่งล้วนเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดร่างกาย หรือรูป-นาม (ขันธ์ ๕) ทั้งสิ้น
อันเป็นโทษของการเกาะติด
หากละวางได้ก็เป็นคุณ ซึ่งมีอยู่ในศีล ๘ ทั้งสิ้น

ลัก...ยิ้ม
04-09-2012, 09:16
๑๔๕.

อธิศีล มีศีล ๕ รองรับ ก็พ้นอบายภูมิ ๔ ได้ถาวร
อธิจิต ไม่ติดในกาม-กิน-นอน มีศีล ๘ รองรับ ก็พ้นเกิดพ้นตาย
อธิปัญญา จิตไม่ยินดี-ยินร้ายในสมมุติของโลกและขันธโลก ในสมมุติบัญญัติ ๖ คือ หมดอุปาทาน
มีศีล ๑๐ และศีล ๒๒๗ รองรับ จิตวางสมมุติได้ จิตก็วิมุติทั้งกาย-วาจา-ใจ

ลัก...ยิ้ม
05-09-2012, 09:53
๑๔๖.

ให้พิจารณาโทษของการติดรูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัส-ธรรมารมณ์ ให้มาก
และพิจารณาโทษของการติดกาม-กินและนอนให้มากด้วย
แล้วจักทำให้จิตหลุดจากกามคุณ ๕ ได้ หากโชคดีก็จบกิจเลย

ลัก...ยิ้ม
06-09-2012, 10:37
๑๔๗.

งานใดที่ทำอยู่พึงคิดว่า งานนั้นเป็นกรรมฐาน
เห็นธรรมภายนอก ก็น้อมเข้ามาเป็นธรรมภายใน
ให้เห็นไตรลักษณ์ เห็นทุกข์ในงานนั้น ๆ
พิจารณาเข้าหาอริยสัจ อันเป็นตัวปัญญาสูงสุดในพุทธศาสนา

ลัก...ยิ้ม
10-09-2012, 09:12
๑๔๘.

ให้สังเกตอายตนะสัมผัสกระทบให้มาก
แล้วดูอารมณ์จิตที่ไหวไปตามอายตนะนั้นด้วยปัญญา
คือรู้เท่าทันกองสังขารแห่งกายและจิต ชื่อว่าปัญญา
จงอย่าเผลอในธรรมสัมผัสที่เกิดจากทวารทั้งหก

ลัก...ยิ้ม
11-09-2012, 10:38
๑๔๙.

หมั่นพิจารณากายคตานุสติ กับอสุภกรรมฐานเข้าไว้
เพื่อเตือนสติให้รู้เท่าทันสภาวะร่างกายของตน
จักได้คลายอารมณ์เกาะติดรูปในยามที่ถูกกระทบ จุดนี้สำคัญ
จักต้องใช้ปัญญาพิจารณาจริงจัง จึงจักวางได้