PDA

View Full Version : เทศน์ช่วงกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๔


เถรี
15-12-2011, 18:08
ให้ทุกคนขยับตัวนั่งในท่าที่สบายของตนจ้ะ ตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดไว้ตรงหน้า หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ตามที่เราถนัด

วันนี้..เป็นวันเสาร์ที่ ๑๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ เป็นการปฏิบัติธรรมต้นเดือนธันวาคม วันที่สองของพวกเรา

เมื่อวานนี้ได้กล่าวไปถึงแล้วว่า การที่น้ำท่วม ทำให้เราต้องมาชำระสะสางทำความสะอาดบ้าน ซึ่งเป็นการทำความสะอาดภายนอก เราควรที่จะใช้ศีล สมาธิ ปัญญา ในการชำระสะสางจิตใจของเราเอง เพื่อที่สภาพจิตของเราเมื่อสะอาดผ่องใสถึงที่สุด จะได้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดเข้าสู่พระนิพพานได้

วันนี้มีญาติโยมหลายท่านที่มาถามปัญหาต่าง ๆ โดยเฉพาะเน้นหนักในเรื่องการปฏิบัติแล้วอยากจะให้มีฤทธิ์ มีอภิญญา มีทิพจักขุญาณ ได้มโนมยิทธิ เป็นต้น ความจริงเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ โดยเฉพาะมโนมยิทธิ เป็นการฝึกทบทวนของเก่าที่เรามีอยู่ เราต้องมีของเก่าอยู่ เราถึงอยากที่จะฝึก

ในเมื่อเรามีของเก่าอยู่แล้ว ถ้าสภาพจิตนิ่งพอ ของเก่าจะปรากฏขึ้นมาเอง ดังนั้น..บุคคลที่อยากจะฝึกเรื่องฤทธิ์ เรื่องอภิญญา เรื่องมโนมยิทธิ แปลว่าในอดีตเคยทำมาแล้วทั้งสิ้น ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายใจเย็น ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปขวนขวายดิ้นรนมาก เพียงแต่ปฏิบัติสมาธิภาวนาให้จิตมีความสงบระงับจนถึงระดับที่ต้องการเมื่อไร สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็จะคืนมาเอง

แต่ขอยืนยันว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวิชชา ๒ อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ หรือแม้กระทั่งการปฏิบัติในกรรมฐาน ๔๐ ถ้าหากว่ายังเป็นโลกียะอยู่ ก็ยังยากที่จะพ้นจากนรก หรือพ้นจากอบายภูมิได้ เนื่องเพราะว่ายังไม่ใช่ความมั่นคงที่แท้จริง จนกว่าอารมณ์ใจของเราจะตัดลัดเข้าหาความเป็นพระอริยเจ้า ตั้งแต่ความเป็นพระโสดาบันขึ้นไป

ส่วนใหญ่อภิญญาทุกคนก็อยากได้ แต่ถ้าหากว่าเราแยกรากศัพท์ออกมา ก็จะเห็นว่าคำว่า "อภิญญา" ประกอบไปด้วย อุปสรรค(คำนำหน้า) อภิ คือ ยิ่งกว่า บวกกับ อัญญา คือความรู้ ก็แปลว่า ความรู้อันยิ่งกว่า เป็นความรู้ที่ยิ่งกว่ามนุษย์ทั่ว ๆ ไป

ในความคิดของอาตมภาพเองนั้น มีความเห็นว่า อภิญญานั้นก็คือการรู้ยิ่ง และการรู้ยิ่งที่แท้จริงนั้น ไม่มีอะไรรู้ยิ่งไปกว่าการตัดกิเลส เพราะว่าฤทธิ์เดชต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากอภิญญานั้นไม่ใช่ของเที่ยง ยังไม่สามารถที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ได้อย่างแท้จริง ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือพระเทวทัต มีความชำนาญในอภิญญา ๕ มากเป็นพิเศษ แต่ว่าท้ายสุดก็ต้องลงอเวจีมหานรก..!

เถรี
16-12-2011, 09:05
เมื่อเป็นดังนั้น การที่เราจะรู้อภิญญาในลักษณะที่มีฤทธิ์มีเดชนั้น นอกจะทำให้หลงติดได้ง่ายแล้ว เผลอพลาดพลั้งเมื่อไรก็ลงสู่อบายภูมิ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องยึดหลักของพระอริยเจ้าไว้ ได้แก่หลักของพระโสดาบัน คือต้องเคารพในพระพุทธเจ้าจริง ๆ เคารพในพระธรรมจริง ๆ เคารพในพระสงฆ์จริง ๆ

วันนี้มีโยมท่านหนึ่งที่ถามว่า เมื่ออ่านและปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้ว เกิดความรักความเคารพท่านเป็นอย่างมาก อาตมาอยากจะบอกว่านั่นแหละคือความเป็นสังฆคุณอย่างแท้จริง ก็คือเห็นคุณความดีว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงนั้น ปฏิบัติตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อปฏิบัติได้แล้วก็นำมาสั่งสอนพวกเรา เราปฏิบัติตามแล้วเห็นผล จิตใจก็เกิดความเคารพยิ่งในคุณของท่านซึ่งก็คือคุณของพระสงฆ์

ถ้ามองผ่านไปจากนั้นอีก ก็คือท่านสามารถเป็นพระสงฆ์ที่แท้จริงได้ ก็เกิดจากธรรมะที่ท่านยึดถือและปฏิบัติ ธรรมะที่ท่านยึดถือและปฏิบัติก็มาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเป็นดังนั้น ความเคารพในพระรัตนตรัยของเราก็จะแน่นแฟ้น จะไม่ล่วงล้ำก้ำเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลัง ถ้าเป็นดังนี้ ก็แปลว่ากติกาความเป็นพระอริยเจ้าในส่วนแรก เราสามารถที่จะยึดได้แล้ว

ข้อต่อไปก็คือชำระศีลของเราให้บริสุทธิ์ ฆราวาสทั่วไปก็ศีล ๕ อุบาสกอุบาสิกาก็ศีล ๘ สามเณรก็ศีล ๑๐ พระภิกษุก็ศีล ๒๒๗ พยายามรักษาสิกขาบทให้สมบูรณ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล เป็นต้น ถ้าสามารถทำอย่างนี้ได้ กติกาข้อที่สองของความเป็นพระอริยเจ้าระดับโสดาบัน เราก็สามารถที่จะทำได้แล้ว

ก็เหลือแต่เพียงการใช้ปัญญาต่อท้ายเพียงเล็กน้อย ก็คือต้องรู้ตัวอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ตายเมื่อไรขอไปอยู่ที่พระนิพพานแห่งเดียว ถ้าท่านทั้งหลายสามารถที่จะรักษากำลังใจอย่างนี้ไว้ได้ การเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปก็ไม่ใช่ของยาก ถ้าท่านใดสั่งสมวาสนาบารมีมามาก ก็อาจจะไม่ได้เป็นแค่พระโสดาบันเท่านั้น อาจจะเป็นพระสกทาคามี พระอนาคามี หรือพระอรหันต์ไปเลย

ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเข้าสู่ความเป็นพระโสดาบันขึ้นไป นั่นถึงจะเป็นอภิญญาที่แท้จริง เพราะไม่มีอะไรที่รู้ยิ่งไปกว่าการตัดกิเลสอีกแล้ว

เถรี
17-12-2011, 07:47
พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงเคยกล่าวกับพวกอาตมา ในการประชุมสงฆ์ในวันลงฟังพระปาฏิโมกข์ครั้งหนึ่งว่า "พวกแกทั้งหมด..ยังไม่มีใครได้มโนมยิทธิอย่างแท้จริงสักคน..!" อาตมากับเพื่อนพระก็นั่งงง เพราะว่าพระที่จะบวชที่วัดท่าซุงโดนบังคับว่า จะต้องฝึกมโนมยิทธิให้ได้ก่อนแล้วจึงจะให้บวช แล้วทำไมถึงยังไม่ได้มโนมยิทธิอย่างแท้จริง ?

พระเดชพระคุณหลวงพ่อเฉลยให้ทราบว่า การที่จะได้มโนมยิทธิอย่างแท้จริง จิตใจต้องผ่องใสบริสุทธิ์อย่างแท้จริง จึงจะรู้เห็นทุกอย่างได้ตามสภาพความเป็นจริง ดังนั้น..ผู้ที่จะได้มโนมยิทธิอย่างแท้จริง มีแต่พระอรหันต์เท่านั้น..!

เมื่อเป็นดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า ในเรื่องของฤทธิ์อภิญญา เรื่องของมโนมยิทธิทั่ว ๆ ไปนั้น ความจริงแล้วก็ยังไม่ใช่ที่พึ่ง โดยเฉพาะตัวมโนมยิทธินั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อมุ่งหมายไว้ว่า ให้พวกเรารู้จักนิพพานได้ ไปนิพพานตรง บุคคลที่เอาจิตเกาะพระนิพพานอยู่ รัก โลภ โกรธ หลง ก็กินใจเราไม่ได้

ถ้าหากว่าสามารถเกาะเอาไว้ได้นานเท่าที่ต้องการ กิเลสที่งอกงามไม่ได้ ก็จะค่อย ๆ เฉาตายไปเอง ถือว่าเป็นการปฏิบัติเพื่อพระนิพพานที่ลัดที่สุด ง่ายที่สุด ไม่มีอะไรง่ายไปกว่านี้อีกแล้ว แล้วถ้าท่านทั้งหลายสามารถชำระใจให้ผ่องใสจนถึงที่สุดได้ อภิญญาต่าง ๆ ที่เคยได้มาในอดีต ก็จะกลับมารวมตัวกันทั้งหมด

ดังนั้น..การปฏิบัติของพวกเรา ในสายของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงนั้น เรื่องฤทธิ์ เรื่องอภิญญา ไม่จำเป็นต้องขวนขวายมากก็ได้ ถ้าชำระใจของตนให้บริสุทธิ์ได้ถึงระดับเมื่อใด ฤทธิ์อภิญญาทั้งหลายก็จะกลับมาเอง เพราะส่วนใหญ่เคยปฏิบัติมาแล้วทั้งสิ้น โดยเฉพาะในจุดที่ว่า ถ้าสามารถยอมรับกฎของกรรมอย่างแท้จริงเมื่อไร จึงจะสามารถใช้กำลังของอภิญญาได้อย่างเต็มที่

เถรี
17-12-2011, 07:48
ไม่อย่างนั้นท่านทั้งหลายก็จะโดน "ท่านผู้ควบคุม" กดเอาไว้ สามารถใช้ได้นิด ๆ หน่อย ๆ เพียง ๒ เปอร์เซ็นต์ ๓ เปอร์เซ็นต์ ๕ เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากอภิญญามีอำนาจมาก สามารถฝืนได้แม้แต่กฎของกรรม ซึ่งจะทำให้เราไปละเมิดกฎของธรรมชาติ ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างปั่นป่วนไปหมด เพราะว่าพวกเราส่วนใหญ่มีพื้นฐานมาทางด้านพุทธภูมิ เห็นผู้อื่นลำบากก็อดที่จะไปช่วยเขาไม่ได้

แต่ตอนไปช่วยก็ไม่ได้ดูว่าเขาลำบากเพราะไปสร้างกรรมอะไรมา จึงกลายเป็นการฝืนกฎของกรรมเข้า ทำให้เดือนร้อนและท้ายสุดก็ถูกบังคับให้เสื่อมจากอำนาจของอภิญญาสมาบัตินั้น ๆ เพื่อให้ไม่ไปก่อกวนกฎของธรรมชาติเขาให้เสียหาย

ดังนั้น..ท่านทั้งหลายที่ปรารถนาในฤทธิ์ในอภิญญา แค่ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ ถ้าหากว่าสมาธิทรงตัวแนบแน่นจนถึงระดับที่ต้องการ ความสามารถทั้งหลายเหล่านี้จะคืนมาเอง และถ้าท่านยิ่งยอมรับในกฎของกรรม ปล่อยวางได้มากเท่าไร ก็สามารถที่จะใช้ฤทธิ์ใช้อภิญญาได้มากเท่านั้น

ลำดับต่อไปก็ให้ทุกคนตั้งใจ กำหนดดูลมหายใจเข้าออกของตัวเอง พร้อมกับคำภาวนาหรือการพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๔

ชินเชาวน์
04-02-2012, 14:54
สามารถรับชมได้ที่

http://www.sapanboon.com/vdo/demo.php?filename=2554-12-10

ป.ล.
- สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้
- ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด !