เถรี
24-11-2011, 17:50
ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตัวเอง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้าของเรา หายใจเข้าให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออกความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ อยู่ที่เราถนัดและชำนาญ
สำหรับวันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานวันสุดท้ายของต้นเดือน จาก ๒ วันที่ผ่านมา ได้กล่าวถึงสภาวะน้ำท่วมว่า เราจะต้องวางกำลังใจอย่างไร จึงสามารถที่จะปฏิบัติได้โดยที่ไม่เกิดความเครียดจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
สำหรับวันนี้จะมาสรุปตรงที่ว่า เมื่อเราตั้งใจที่จะปฏิบัติแล้ว จะต้องเป็นคนที่มีความมั่นคง มีความพอใจที่จะปฏิบัติจริง ๆ หรือตามภาษาบาลีว่า ฉันทะ และมีความพากเพียรที่จะทำจริง ๆ ก็คือ วิริยะ มีกำลังใจปักมั่น แน่วแน่ต่อเป้าหมาย คือจิตตะ และไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ ๆ คือวิมังสา
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ส่วนใหญ่เราทราบแล้วทุกคน แต่ยกตัวอย่างให้เห็นว่า ถ้าฉันทะคือความพอใจเกิดขึ้น เราจะมีความพากเพียรที่จะทำอย่างเต็มที่ไปด้วย เพราะในเมื่อพอใจที่จะทำแล้ว ก็จะตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติไปไม่ย่อท้อ
อย่างอาตมาเองในสมัยที่ไปเรียนวิชาทหาร เขามีการฝึกยุทธวิธีการรบในเวลากลางคืน หลังจากที่เป่านกหวีดให้นอนตอน ๓ ทุ่ม พอ ๔ ทุ่มก็จะเป่านกหวีดปลุกให้ตื่น จากนั้นก็จะเข้าสู่บทเรียนไปเรื่อย ไม่ว่าจะเข้าป่าเข้าดงไปในลักษณะของการลาดตระเวน หาข่าว ซุ่มโจมตี แล้วแต่ว่าวันนั้นจะฝึกบทเรียนอะไร ส่วนใหญ่ก็จะเลิกประมาณตี ๒
พอกลับมาถึง หัวไม่ทันจะถึงหมอนก็หลับกลางอากาศไปแล้ว ตี ๕ เสียงนกหวีดปลุกให้ตื่นใหม่ เริ่มเข้าสู่วงจรการฝึกใหม่ ไปจบลงตรง ๓ ทุ่มเข้านอน แล้ว ๔ ทุ่มโดนปลุกไปอย่างนี้ทุกวัน จะเห็นได้ว่ามีเวลานอนตอนหัวค่ำ ๑ ชั่วโมง แล้วตอนใกล้สว่างอย่างมากก็ไม่เกิน ๓ ชั่วโมง ก็คือช่วงระหว่าง ตี ๒ ถึงตี ๕
อาตมาทราบดีว่าในระยะแรก ๆ นั้น ถ้าเราทิ้งการปฏิบัติ กำลังใจจะถอยหลังไปหารัก โลภ โกรธ หลง แล้วจะเอากำลังใจคืนได้ยาก ในเมื่อเรารักที่จะทำ รักที่จะปฏิบัติ ก็ต้องทุ่มเทให้กับการปฏิบัติ เมื่อเป็นดังนั้นก็ต้องตัดเวลานอนของตัวเอง คือชิงตื่นขึ้นมาในช่วงประมาณตี ๓ ถึงตี ๔ แล้วมานั่งภาวนา
ในระหว่างที่ทำการฝึก ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งหรือว่ากายบริหาร ก็ไม่ได้ทิ้งคำภาวนา โดยเฉพาะตอนวิ่งก็กำหนดคำภาวนาไปด้วย เท้าซ้ายพุท เท้าขวาโธ การที่เรากำหนดภาวนาไปด้วยก็ทำให้เราไม่เหนื่อยง่าย วิ่งได้นาน วิ่งได้ทนกว่าคนอื่นเขา
สำหรับวันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานวันสุดท้ายของต้นเดือน จาก ๒ วันที่ผ่านมา ได้กล่าวถึงสภาวะน้ำท่วมว่า เราจะต้องวางกำลังใจอย่างไร จึงสามารถที่จะปฏิบัติได้โดยที่ไม่เกิดความเครียดจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
สำหรับวันนี้จะมาสรุปตรงที่ว่า เมื่อเราตั้งใจที่จะปฏิบัติแล้ว จะต้องเป็นคนที่มีความมั่นคง มีความพอใจที่จะปฏิบัติจริง ๆ หรือตามภาษาบาลีว่า ฉันทะ และมีความพากเพียรที่จะทำจริง ๆ ก็คือ วิริยะ มีกำลังใจปักมั่น แน่วแน่ต่อเป้าหมาย คือจิตตะ และไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ ๆ คือวิมังสา
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ส่วนใหญ่เราทราบแล้วทุกคน แต่ยกตัวอย่างให้เห็นว่า ถ้าฉันทะคือความพอใจเกิดขึ้น เราจะมีความพากเพียรที่จะทำอย่างเต็มที่ไปด้วย เพราะในเมื่อพอใจที่จะทำแล้ว ก็จะตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติไปไม่ย่อท้อ
อย่างอาตมาเองในสมัยที่ไปเรียนวิชาทหาร เขามีการฝึกยุทธวิธีการรบในเวลากลางคืน หลังจากที่เป่านกหวีดให้นอนตอน ๓ ทุ่ม พอ ๔ ทุ่มก็จะเป่านกหวีดปลุกให้ตื่น จากนั้นก็จะเข้าสู่บทเรียนไปเรื่อย ไม่ว่าจะเข้าป่าเข้าดงไปในลักษณะของการลาดตระเวน หาข่าว ซุ่มโจมตี แล้วแต่ว่าวันนั้นจะฝึกบทเรียนอะไร ส่วนใหญ่ก็จะเลิกประมาณตี ๒
พอกลับมาถึง หัวไม่ทันจะถึงหมอนก็หลับกลางอากาศไปแล้ว ตี ๕ เสียงนกหวีดปลุกให้ตื่นใหม่ เริ่มเข้าสู่วงจรการฝึกใหม่ ไปจบลงตรง ๓ ทุ่มเข้านอน แล้ว ๔ ทุ่มโดนปลุกไปอย่างนี้ทุกวัน จะเห็นได้ว่ามีเวลานอนตอนหัวค่ำ ๑ ชั่วโมง แล้วตอนใกล้สว่างอย่างมากก็ไม่เกิน ๓ ชั่วโมง ก็คือช่วงระหว่าง ตี ๒ ถึงตี ๕
อาตมาทราบดีว่าในระยะแรก ๆ นั้น ถ้าเราทิ้งการปฏิบัติ กำลังใจจะถอยหลังไปหารัก โลภ โกรธ หลง แล้วจะเอากำลังใจคืนได้ยาก ในเมื่อเรารักที่จะทำ รักที่จะปฏิบัติ ก็ต้องทุ่มเทให้กับการปฏิบัติ เมื่อเป็นดังนั้นก็ต้องตัดเวลานอนของตัวเอง คือชิงตื่นขึ้นมาในช่วงประมาณตี ๓ ถึงตี ๔ แล้วมานั่งภาวนา
ในระหว่างที่ทำการฝึก ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งหรือว่ากายบริหาร ก็ไม่ได้ทิ้งคำภาวนา โดยเฉพาะตอนวิ่งก็กำหนดคำภาวนาไปด้วย เท้าซ้ายพุท เท้าขวาโธ การที่เรากำหนดภาวนาไปด้วยก็ทำให้เราไม่เหนื่อยง่าย วิ่งได้นาน วิ่งได้ทนกว่าคนอื่นเขา