PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔


เถรี
08-11-2011, 13:55
ถาม : ผมอยากจะบวชครับ แต่ว่ายังไม่รู้จะบวชที่ไหน?
ตอบ : ไม่รู้จะบวชที่ไหน ? ส่วนใหญ่เขาก็บวชกันในโบสถ์..!

ถาม : เมื่อกฐินที่ผ่านมาก็มีโอกาสได้ไปวัดบ้านเด่น ครูบาเทืองท่านก็ชวนบวชอยู่ที่นั่นครับ ?
ตอบ : ก็เอาสิ..ชอบที่ไหนก็ว่าตรงนั้นเลย สำคัญที่ว่าจริตนิสัยเราชอบอย่างไร ? ถ้าหากว่าชอบความสงบความเงียบ ก็หาวัดที่เป็นป่าหน่อย ถ้าหากว่าอยู่นิ่งไม่ได้ ต้องการมีกิจกรรมเยอะ ๆ ก็ดูวัดที่อยู่ในเมืองหน่อย

แต่ถ้าจะบวชทั้งที ก็ควรจะทำให้ได้บุญได้กุศลมากที่สุด ดังนั้นก็ตัดสินใจเลือกเอาเลย หลับหูหลับตาเลือกเอาสักวัดหนึ่ง เอาวัดป่าธรรมยุติก็ได้ สะใจดี พอบิณฑบาตฉันเสร็จก็ภาวนายันสว่างไปเลย

ถาม : พอดีไปมาหลายวัดเหมือนกันครับ ยังไม่แน่ใจว่าจะบวชที่ไหน ?
ตอบ : เขาเรียกว่าหลายใจ สถานที่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ ต่อให้สถานที่ดีขนาดไหน ผู้นำดีขนาดไหน ก็จะต้องมีแรงกระทบ เพราะว่าบุคคลที่อยู่ในนั้น ไม่ใช่ว่าจะบรรลุมรรคผลกันหมด แล้วส่วนใหญ่นักปฏิบัติช่วงแรก ๆ จะอยู่ในลักษณะเก็บกดอารมณ์ ถ้าเราไปสะกิดผิดที่ เดี๋ยวเขาก็ระเบิดใส่หน้าเรา แล้วเราก็จะมาผิดหวังว่า เอ..สถานที่ที่ดีขนาดนี้ ทำไมคนถึงได้เฮงซวยแท้ ? ฉะนั้น..สำคัญอยู่ที่ใจเราทั้งหมด

ถ้าหากว่าเราตั้งหน้าตั้งตาภาวนา ไม่ไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับใคร มีวัตรปฏิบัติอะไรทำของเราไป ทุกอย่างก็จบ ไม่อย่างนั้นเลือกวัดให้ตายก็เจอแรงกระทบจนได้

ถาม : แล้วในส่วนของครูบาอาจารย์เล่าครับ ?
ตอบ : ครูบาอาจารย์ช่วยอะไรเราไม่ได้หรอก เพราะท่านได้แต่บอก การปฏิบัติอยู่ที่เรา

ถาม : แล้วเรื่องที่ต้องดูให้ตรงจริตเรา ควรจะดูอย่างไรครับ ?
ตอบ : จริตนิสัยการปฏิบัติอยู่ที่กองกรรมฐาน ไม่ได้อยู่ที่สถานที่ จริตนิสัยเราเป็นอย่างไร ก็เลือกหากรรมฐานที่ถูกกับจริตแล้วก็ทำไป ทั้งหมดอยู่ที่เรา ไม่ได้อยู่ที่ใครหรอก

ถาม : ถ้าเลือกสถานที่ก็ต้องเลือกครูบาอาจารย์ด้วยครับ ?
ตอบ : ครูบาอาจารย์เป็นแค่ส่วนหนึ่ง ส่วนใหญ่มาถึงระดับนี้เราศึกษามาจนล้นเกินแล้ว รอเวลาย่อยสลายมาเป็นสมบัติของเราเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็ท้องอืดอยู่นั่นแหละ ไม่ได้ย่อยเสียที

อย่าไปตั้งความหวังกับบุคคลอื่น เราต้องฝากชีวิตไว้กับความสามารถตัวเอง ไม่อย่างนั้นก็เสียเวลาเปล่า

เถรี
09-11-2011, 12:55
พระอาจารย์เล่าว่า "การตั้งราชทินนามของพระครูหรือเจ้าคุณ เขาจะมีหลักเกณฑ์อิงความรู้ อย่างเช่นว่าได้เปรียญธรรม ๔ ประโยคขึ้นไปเป็นพระครูศรี เขาจะขึ้นด้วยคำว่าศรี ถ้าหากว่า ๙ ประโยคก็เป็นเจ้าคุณศรี เช่น พระศรีศาสนวงศ์ หรือไม่ก็จะเป็นเจ้าคุณเมธี เช่น พระเมธีปริยัติวิบูล

อิงความรู้ อิงชื่อตัว อิงฉายา อิงสถานที่ อย่างหลวงปู่สายก็เป็นพระครูสุวรรณเสลาภรณ์ สุวรรณเสลาก็คือผาทอง เขาอิงสถานที่คือทองผาภูมิ

คราวนี้อาตมากับพระครูปลัดบูรพาส่งไปพร้อมกัน ปรากฏว่าพระครูสุธรรมกาญจนาภรณ์ไปอยู่ที่ชื่อพระครูปลัดบูรพา ส่วนพระครูวิลาศกาญจนธรรมมาหล่นอยู่ที่อาตมา อาตมาก็อ้าว..วิลาศมาจากไหน ชื่อไม่อิงอะไรเลย จริง ๆ แล้วถ้าตามฉายาต้องขึ้นด้วยสุธรรม ก็เลยกลายเป็นว่า ถ้าหากว่าผิดแล้วก็ผิดยาวไปเลย ก็แล้วแต่ท่านจะโปรด

อาตมากลัวว่าชื่อเก่าจะหายไปจากโลก ก็เลยรีบไปตั้งกองทุน ไปถวายปัจจัยเข้ามูลนิธิหลวงปู่สมเด็จวัดสามพระยา (มูลนิธิสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์) ท่านตั้งเป็นมูลนิธิสำหรับนักเรียนบาลี อาตมาก็ไปตั้งกองทุนพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญไว้ ก่อนหน้านั้นจะไปตั้งกองทุนก็ไม่กล้าไป เพราะถ้าไปก่อนหน้านี้ พวกปากหอยปากปูจะหาว่าซื้อตำแหน่ง ผู้ใหญ่จะเสียด้วย จึงต้องรอจนป่านนี้

การจะทำอะไรต้องรอบคอบมาก ผู้ใหญ่ท่านไม่คิด เราไม่คิด แต่พวกปากหอยปากปูมีเยอะ อาตมาจึงต้องรอจนกระทั่งมั่นใจว่าได้แน่แล้วค่อยไป"

เถรี
09-11-2011, 13:01
"เรื่องของการปฏิบัติตน ถ้าอยู่ในยุทธจักร อย่างน้อย ๆ ก็ต้องระวัง ตัวเราไม่กลัวเสียหรอก กลัวเสียหายถึงผู้ใหญ่ สมัยพระอาจารย์สมพงษ์เป็นเจ้าอาวาสก็เหมือนกัน ตอนนั้นอาจารย์สมพงษ์เพิ่งจะ ๗ พรรษา หลวงพ่อพระธรรมคุณาภรณ์ (ไพบูลย์ กตปุญฺโญ) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีสมัยนั้น ท่านเห็นว่าตำแหน่งเจ้าคณะตำบลท่าขนุนว่าง ก็ถามอาตมาว่า "แกจะเอาหรือเปล่า ?"

อาตมากราบเรียนว่า "ไม่เอาครับหลวงพ่อ ผมช่วยงานหลวงพ่อเงียบ ๆ ไม่ต้องเอาตำแหน่งอย่างนี้จะดีกว่า" ท่านก็ถามต่ออีกว่า "แล้วแกเห็นว่าใครเหมาะสม ?" อาตมาก็เลยบอกว่า "เอาอย่างนี้สิครับ พระอาจารย์สมพงษ์ วัดท่าขนุน ดูว่าท่านทำอะไรเข้มแข็งดี สมควรที่จะเป็นเจ้าคณะตำบลได้"

ปรากฏว่าอีกไม่กี่วันตำแหน่งหล่นพรวดลงมาจริง ๆ อาจารย์สมพงษ์ก็งงว่าตัวเองได้ได้มาอย่างไร เพราะเพิ่งจะ ๗ พรรษา ยังไม่ทันจะครบ ๑๐ เลย ปกติ ๖ พรรษาเขาถึงให้เป็นเจ้าอาวาสได้ นี่ ๗ พรรษาเป็นเจ้าคณะตำบลไปแล้ว

คราวนี้เขาลือกันกระหึ่มทั้งจังหวัดเลย ว่าแม่ชีชื่นเอาเงินไปทุ่มซื้อตำแหน่งให้เจ้าอาวาส อาจารย์สมพงษ์ก็โดนข้อหาซื้อตำแหน่งไปด้วย จนท่านมาบอกว่า "อาจารย์ช่วยไปแก้ข่าวให้ผมที" อาตมาก็บอกว่า "ผมไม่ไปแก้ให้เสียเวลาหรอก คนเขาปักใจแล้วถึงพูดอย่างนั้น แก้ไปก็เหนื่อยเปล่า.."

เถรี
09-11-2011, 13:11
"บางสิ่งบางอย่างก็ขึ้นอยู่กับระดับกำลังใจของคน อย่างบริษัทหนึ่ง มีพนักงานของบริษัทในเครือเยอะมาก เขาก็สละตัวอาคารหลังหนึ่ง ๕๐๐ ยูนิตให้พนักงานพักหนีน้ำ ปรากฏว่าบริษัทในเครือบริษัทหนึ่งบอกว่า ใครมีบ้านแล้วน้ำไม่ท่วม ให้ไปอยู่บ้าน เพราะว่าห้องไม่พอสำหรับพนักงานทั้งหมดของทุกสาขาในบริษัท

บางสาขามา ๓ คน แต่เอา ๒ ห้อง เขาก็บอกลดเป็นห้องเดียวได้ไหม ? จะได้แบ่งให้คนอื่นเขาได้ ปรากฏว่าโดนประท้วง ถูกประท้วงว่าทำไมต้องเป็นเขาที่เสียสละด้วย ทำไมคนอื่นไม่เสียสละให้เขาบ้าง นี่คือการมองคนละแง่กัน สำหรับเขาถ้าได้ต้องเอา แต่ในขณะที่พวกเราต้องให้คนอื่นเขาก่อน ก็เลยกลายเป็นว่า กำลังใจที่ไม่เท่ากัน ทำให้อยู่ด้วยกันยาก

อาตมาชื่นชมประเทศญี่ปุ่น พอเกิดสึนามิขึ้นมา คนที่มีกำลังก็เข้าแถวซื้อของด้วยตนเอง ส่วนคนที่ไม่มีกำลังซื้อก็รอของแจก แล้วเวลาซื้อของเขาก็ไม่ได้ซื้อแบบเรา เมื่อเช้ามืดอาตมาทำพาวเวอร์พ็อยต์เกี่ยวกับมหาอุทกภัย ๒๕๕๔ มีภาพหนึ่งที่ประทับใจมากเลย ชั้นวางของในห้างสรรพสินค้าว่างโล่ง มี ๒ คน เข็นรถเข็นยืนมองว่าเหลืออะไรบ้าง

คนญี่ปุ่นที่มีความสามารถยังซื้อหาได้ เขาจะซื้อด้วยตัวเอง แต่เขาก็ซื้อแค่พอใช้ อย่างสมมติว่าซื้อน้ำดื่ม ๑ โหล เขาไม่ได้กวาดไปหมด แต่คนไทยเราที่อยู่ข้างหน้ากวาดไปเกลี้ยง คนข้างหลังได้แต่มองตาปริบ ๆ คนญี่ปุ่นที่เขาลำบากเดือดร้อน ถึงเวลาเขาก็ยังเข้าแถวรับของแจกอย่างเป็นระเบียบ

ขนาดมีพ่อค้าขายราเมงคนหนึ่ง เขาอุตส่าห์วิ่งรถข้ามมาตั้งหลายจังหวัด พอมาถึงก็ตั้งเตาปรุงตรงนั้นเลย แล้วก็แจก คนก็ยังเข้าแถวรับกันอย่างเป็นระเบียบ เขาบอกว่า รู้ว่าผู้ประสบภัยเดือดร้อนกันทุกคนแหละ โดยเฉพาะลักษณะอากาศหนาวอย่างนี้ อยากจะให้เขาได้กินอะไรร้อน ๆ บ้าง อุตส่าห์รีบไปทำแจกให้ถึงที่"

เถรี
09-11-2011, 14:24
"แต่บ้านเราไม่ใช่อย่างนั้น บ้านเรามักจะแย่งกัน ส่วนใหญ่อยู่ในลักษณะของความเป็นตัวตนมีมาก คือต้องตัวกูของกูก่อน ของที่พวกเราเอาไปแจกมีมากมาย อย่างวันอาทิตย์ที่ไปนี่ พวกเราจะไปแจกด้วยตัวเอง ถ้าไม่ทำอย่างนั้นแล้ว พอเราลงไปแจก ผู้ที่เป็นหัวหน้ามารับ ไม่ว่าจะเป็น อบต. หรือว่าจะเป็นผู้ใหญ่บ้าน เขาจะให้พวกของเขาก่อน ให้ญาติพี่น้องของเขาก่อน

จนกระทั่งประเภทไม่มีปัญญาจะแบกแล้ว เขาถึงให้คนอื่น บางแห่งคนไปรับถ้าไม่ใส่เสื้อแดงก็ไม่ได้ของแจก อันนี้เป็นเรื่องจริงเลย แล้วภาพที่ปรากฏออกมาที่น่าสลดใจที่สุดก็คือ ถุงยังชีพลอยน้ำฟ่องเลย ก็เพราะว่าเขากั๊กไว้ให้พรรคพวกเขา แต่พวกมารับไม่ทัน ภาพถึงได้ออกมาประจานอย่างนั้น เห็นแล้วน่าจะให้ไปเกิดใหม่ เพื่อไปสร้างบารมีในการสละให้คนอื่นเยอะ ๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นมีเท่าไรก็ไม่พอหรอก..!

คราวนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าสถานการณ์อย่างนี้ต้องทำอย่างไร ? ต้องเสียสละ ในหลวงท่านบอกว่า "เสียสละ" นั้นให้ยาก เพราะเรารู้สึกว่าตัวเองเสีย ดังนั้นให้ตัดคำว่า "เสีย" ออกไป เป็น "สละ" เราจะให้ง่ายกว่า แต่ถ้าตัด ส.เสือทิ้งไปอีกตัว เหลือแต่คำว่า "ละ" นี่เราให้ได้ทันทีเลย ในหลวงทรงวินิจฉัยเองเลยนะ เสียสละ สละ ละ วาง ว่าง จบ"

เถรี
10-11-2011, 14:29
"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ทรงงานแทบจะไม่ได้พักผ่อน ท่านทำทุกวิถีทางที่จะช่วยให้ชาวบ้านเดือดร้อนน้อยที่สุด แต่ปีนี้อยู่ในลักษณะผีซ้ำด้ำพลอย เพราะว่าปีก่อนแล้งจัด เขื่อนแต่ละแห่งแทบจะไม่มีมีน้ำเหลืออยู่เลย พอฝนต้นปีมาเขาเลยกักน้ำไว้เต็มที่ ใครจะไปนึกว่าปลายปีฝนจะถล่มยาวขนาดนั้น พอน้ำกำลังจะเกินปริมาตรที่เขื่อนจะรับได้ ก็ต้องรีบปล่อย กลายเป็นว่าปล่อยช้าเกินไป ถ้าภาษาของพวกชาวเขื่อนเขาเรียกว่า "ทำการพร่องน้ำช้าไป"

ถ้าหากรู้ก่อนว่าน้ำจะมาปลายปีมากขนาดนี้ ก็จะปล่อยทิ้งตั้งแต่ต้นปี แล้วจะไม่เดือดร้อนหนักขนาดนี้ คราวนี้เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เป็นเขื่อนมหึมาทั้งคู่เลย แล้วยังมีเขื่อนขุนด่านปราการชล เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ปล่อยกันมา ๔-๕ เขื่อนพร้อม ๆ กันแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ? ก็อย่างที่เห็น

โทษใครก็ไม่ได้ เพราะปีที่แล้วน้ำไม่มีเหลือ เขื่อนวชิราลงกรณหรืออดีตเขื่อนเขาแหลม น้ำแทบจะติดก้นเขื่อนเลย ปีนี้น้ำมาเท่าไรก็รับได้หมด แต่ทางด้านเหนือเขารับไม่ได้ เพราะว่าบรรดาพายุไต้ฝุ่นหรือว่าพายุโซนร้อน พายุดีเปรสชั่น เมื่อเข้ามาน้ำมักจะลงพื้นที่เหนือกับอีสานก่อน พอโดนเข้าไป ๓ - ๔ ลูกติด ๆ กัน

โดยเฉพาะพายุนกกระเต็น นกกระเต็นนี่ภาษาลาวเขาเรียกนกเต็นเฉย ๆ พายุนกเต็นลูกเดียวกระหน่ำอยู่ครึ่งค่อนเดือนไม่ยอมไปไหน เจอพายุฝนกระหน่ำติดกันครึ่งเดือนจะเกิดอะไรขึ้น

เพราะฉะนั้น..ต้องบอกว่าเป็นกรรมส่วนรวมของประเทศชาติจริง ๆ การบริหารจัดการน้ำปกติเขาจัดการได้ถูกต้องอยู่แล้ว แต่ปีนี้เขาคาดผิด ฝนมายาวนานเกินกว่าที่เคยมี"

เถรี
10-11-2011, 14:38
"ประการต่อมาก็คือ การจัดการบริหารน้ำของบ้านเราบกพร่องมานานเนกาเล ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจ ส่วนใหญ่ไปเน้นการสร้างถนน ก็กลายเป็นขวางทางน้ำหนักเข้าไปอีก

หลังจากบทเรียนครั้งนี้ ประเทศไทยใหม่ก็คงมีอะไรเกี่ยวกับน้ำที่ดีขึ้นเยอะ ความจริงตอนนี้น่าจะเป็นตอนที่ดีที่สุดที่กรมเจ้าท่าจะออกมามีบทบาท ก็คือบรรดาชาวบ้านที่สร้างบ้านขวางทางน้ำ โดนน้ำกวาดไปหมดแล้ว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปห้ามสร้างเด็ดขาด ใครแอบสร้างเมื่อไร แจ้งตำรวจจับดำเนินคดีไปเลย

เรื่องนี้จำเป็นต้องเด็ดขาด ไม่ใช่โหดร้ายต่อผู้ไร้ที่พักพิง พวกเขาไม่ใช่ไม่มีที่พักพิง แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วอาศัยความมักง่ายเข้าว่า พอหลาย ๆ คนมากเข้าแล้วมักจะมีเสียงดังขึ้น ใครไปทำอะไรรุนแรงเขาก็หาว่ารังแกประชาชน ดังนั้น..ต้องจัดการเสียตั้งแต่แรก ๆ

แบบเดียวกับสมัยก่อนที่วัดท่าขนุน ตั้งแต่หลวงปู่สาย อาจารย์สมเด็จ อาจารย์สมพงษ์เป็นเจ้าอาวาสมา มีพวกต่างด้าวอยู่ในวัดเป็นร้อยคนเลย อาศัยอยู่ช่วงล่างที่สร้างเป็นแดนสงบ ไม่มีใครไล่ออกได้ เพราะว่าพอพวกเขามีจำนวนเยอะแล้ว เขาก็รวมหัวกันประท้วงได้

พออาตมาเห็นเข้าก็จัดการ บอกแม่ชีว่า “บอกพวกเขาว่า ย้ายไปหาที่อยู่ใหม่ อาจารย์จะใช้ที่สร้างกุฏิ” พอพูดเสร็จอาตมาก็ไม่ฟังเสียง ขุดหลุมลงเสาต้นแรกติดบ้านเขาเลย ก่อสร้างตึงตังโครมครามไปเรื่อย ไม่สนใจว่าเขาจะอยู่หรือจะไป จะประท้วงอะไรก็ไม่สนใจ พอเขาเห็นว่าอาตมาเอาจริง เขาก็ขยับออกไปทีละบ้านสองบ้าน พอมีคนไปได้ ที่เหลือก็ตามไปเอง เรื่องแบบนี้จึงอยู่ที่เราว่าทำจริงหรือเปล่า ?

อีกอย่างก็คือว่า พวกกุฏิเก่า ๆ ที่รื้อออกมา ไม่ว่าจะเป็นสังกะสี เป็นกระเบื้อง เป็นไม้ อาตมาอนุญาตให้เขาเอาไปสร้างบ้านใหม่ได้ เขาก็รู้สึกว่าเขาได้ ไม่ใช่เสีย เพราะของเก่าเขาเป็นแค่สังกะสีปุ ๆ ปะ ๆ บ้าง ลังกระดาษบ้าง ทำเป็นอาคารพออาศัยได้เท่านั้น พอให้กระเบื้องหรือไม้ไป เขารู้สึกว่าเขาได้ เขาก็รีบย้ายออก เพราะอาตมาบอกว่า "ถ้าเอ็งย้ายช้า...จะไม่ได้ พวกเขาเอาไปหมด"

จนกระทั่งทุกวันนี้คนเขาสงสัยว่า อาจารย์เล็กทำได้อย่างไร อาตมาบอกว่าต้องทำได้ คุณอย่าไปเปิดโอกาสให้เขาสิ ไม่คุยด้วยเสียอย่าง เขาก็โอดครวญไม่ได้ ถึงเวลาก็ทำของเราไปเลย"

เถรี
10-11-2011, 15:04
"ท่านเจ้าคุณโสภณ วัดเทวราชกุญชร ก่อนหน้าที่ท่านยังเป็นพระมหาโสภณ ประโยค ๙ อยู่วัดหัวลำโพง ก็ไม่มีบทบาทอะไรเด่นชัด ปรากฏว่าวัดเทวราชกุญชรว่างเจ้าอาวาส ใคร ๆ ก็ไม่ยอมไปเป็นเจ้าอาวาสที่นั่น เพราะตอนนั้นวัดรกยิ่งกว่าสลัมอีก มีคนเข้าไปปักหลักอยู่ที่นั่นเยอะแยะ แต่ท่านเจ้าคุณโสภณกล้ารับไปเป็นเจ้าอาวาสที่นั่น ๒ ปีเท่านั้น วัดเทวราชกุญชรจากสลัมกลายเป็นสวรรค์ไปเลย ต้องเจอคนเด็ดขาดและกล้าทำอย่างนั้น พูดง่าย ๆ คือไม่กลัวมีเรื่อง คุณจะฟ้องก็ฟ้องไป ดูซิว่าศาลจะตัดสินว่าอย่างไร

ตอนนี้ท่านเป็นรองเจ้าคณะภาค ๑๓ ไปแล้ว เป็นพระเทพคุณาภรณ์แล้ว ท่านเป็นรุ่นน้องอยู่ ๒ ปี และทำงานเก่งมาก โดยเฉพาะอัธยาศัยดีมาก ๆ เจอหน้าอาตมาเมื่อไร ท่านทักทายก่อนทุกที ท่านไม่เคยเบ่งใส่ว่าตอนนี้ท่านเป็นเจ้าคุณชั้นเทพ เป็นรองเจ้าคณะภาคแล้ว เคยรู้จักมักคุ้นกันอย่างไรก็ทำตัวเหมือนเดิม โดยเฉพาะพวกเราไปปล่อยปลากันทุกเดือน พอท่านเห็นเมื่อไรก็กุลีกุจอลงมาอำนวยการให้เองเลย

ท่านเป็นคนมีความสามารถ มีอัธยาศัยดี น่ารัก ต้องถือว่าเป็นยังเติร์ก(คนหนุ่มไฟแรง)ของวงการสงฆ์ ตอนนี้รุ่นใหม่ไฟแรงของวงการสงฆ์ ๓ - ๔ รูปขึ้นมามีบทบาท อาตมารู้สึกดีใจมาก อย่างท่านเจ้าคุณโสภณปริยัติเวที (ท่านเจ้าคุณสายชล) เป็นเจ้าคณะภาค ๑ ปกติเจ้าคณะภาคนี่อย่างต่ำต้องชั้นเทพนะ นี่มหาเถรสมาคมดันท่านขึ้นไปเลย

ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระศรีศาสนวงศ์ หรือพระอาจารย์มหามีชัยของอาตมาเอง ท่านสอนกฎหมายให้อาตมาเอง ต้องเรียกว่าแทบจะเป็นมือวางอันดับหนึ่งในเรื่องกฎหมายของคณะสงฆ์ ตอนนี้ท่านกำลังเรียนด็อกเตอร์อยู่ มีความชำนาญมาก ไม่ว่าจะเป็นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายอาญา พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ มติมหาเถระสมาคม แทบจะอยู่ในหัวของท่านทั้งหมด ถามอะไรวิเคราะห์ได้เป็นฉาก ๆ ไม่มีติดขัด

ถ้าหากว่ามีปัญหาอะไรในการคณะสงฆ์ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย ถ้าเขาไม่ปรึกษาหลวงพ่อเจ้าคุณวัดเฉลิมพระเกียรติ (ท่านเจ้าคุณพระธรรมกิตติมุนี) ก็จะปรึกษาท่านเจ้าคุณอาจารย์พระศรีศาสนวงศ์ แล้วมหาเถรสมาคมก็ดันท่านขึ้นไปเลยรองเจ้าคณะภาค ๑ รู้สึกดีใจมาก บรรดาเจ้าคุณหนุ่ม ๆ อายุเพิ่งจะ ๔๐ กว่า ๕๐ ปี ขึ้นไปเป็นถึงเจ้าคณะภาค รองเจ้าคณะภาคนี่รู้สึกดีใจมากเลย เพราะบรรดาท่านทั้งหลายเหล่านี้ อยู่ในลักษณะเป็นคนหนุ่ม กล้าทำงาน ในเมื่อกล้าทำงาน ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ในคณะสงฆ์ แล้วยิ่งได้ผู้ใหญ่ที่ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลงอย่างหลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศสนับสนุนอยู่อีกด้วย

เถรี
10-11-2011, 15:12
"สมัยก่อนถ้าพระขออนุญาตไปต่างประเทศ ต้องโดนด่าทั้งนั้น เพราะพระผู้ใหญ่ท่านฝังใจว่า พวกไปนอกก็คือไปเที่ยว เขาจึงต้องมาขอให้หลวงพ่อวัดสระเกศไปขออนุญาตแทน พอโดนด่าหลวงพ่อท่านก้มหน้า พอเขาด่าเสร็จเรียบร้อย ท่านก็สรุปว่า “ตกลงว่าพระเดชพระคุณอนุมัติใช่ไหมครับ?” นี่..คนที่ไม่กลัวโดนด่า..!

หลวงพ่อท่านบอกว่า ถ้าหากว่าเราไม่เผยแผ่พระพุทธศาสนาออกไป มัวแต่อยู่ในบ้านตัวเอง แล้วเมื่อไรธรรมะจะกว้างออกไปถึงต่างประเทศได้ ท่านทำงานอย่างนี้มาเรื่อย ท่านไม่ค้านใคร ใครจะด่า จะว่า จะขวาง ท่านไม่เถียง แต่ท่านประเภทวนรอบไปเรื่อยเป็นวัวพันหลัก มุ่งเอาเรื่องเดียว จนกระทั่งในที่สุดวัดไทยในลอสแองเจิลลิสก็ปรากฏขึ้นเป็นวัดแรก หลังจากนั้นพอได้มาวัดหนึ่งที่เหลือก็ง่ายแล้ว

พอดีว่าตำแหน่งของท่านก็ค่อย ๆ เติบโตขึ้นมาในวงการคณะสงฆ์ ผู้ใหญ่เห็นว่าท่านทำงานเอาจริงเอาจังก็สนับสนุนขึ้นไปเรื่อย จนกระทั่งอยู่ในระดับที่ว่า คำพูดมีน้ำหนักเหมือนเป็นคำสั่งแล้ว ต่อไปก็สบาย

ท่านไม่เถียงใคร อยากด่าก็ด่าไป ก้มหน้ารับไว้ คนที่ขอให้ท่านช่วยไม่รู้หรอกว่าท่านโดนไปเท่าไร จนกระทั่งในที่สุด พระพุทธศาสนาก็ไปประดิษฐานมั่นคงอยู่ในประเทศทางตะวันตก ท่านวางแผนล่วงหน้าถึงขนาดที่ว่า ถ้าหากว่าศาสนาพุทธตั้งอยู่ในประเทศไทยไม่ได้ จะได้มีที่ให้ถอยไปต่างประเทศได้ ท่านวางแผนล่วงหน้าไว้นานขนาดนั้น..!

ที่เห็นชัด ๆ อีกท่านก็หลวงพ่อเจ้าคุณพระพรหมโมลี ตอนนี้เป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลางไปแล้ว ท่านนี้ก็ต่อสู้ดิ้นรนมาสารพัด มีอยู่สมัยหนึ่งที่เรื่องของการปฏิบัติธรรมกรรมฐาน สาบสูญไปจากวงการปริยัติ เขาเรียนอย่างเดียวไม่สนใจอย่างอื่น พอท่านสร้างวิทยาลัยบาฬีศึกษาพุทธโฆสขึ้นมา ก็กำหนดหลักสูตรว่า นักศึกษาทุกคนต้องปฏิบัติธรรมประจำปี สะสมให้ได้ ๓๐ วัน ไม่อย่างนั้นไม่ให้จบ แล้วหลังจากนั้นท่านก็เน้นเรื่องนี้มาโดยตลอด

จนกระทั่งในที่สุดก็ตั้งเป็นหลักสูตร ป.บส. ป.วภ. ขึ้นมาป.บส. คือ ประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ ป.วภ. คือ ประกาศนียบัตรวิปัสสนาภาวนา ปัจจุบันหลักสูตรที่ขึ้นหน้าขึ้นตามากที่สุดก็คือปริญญาโทวิปัสสนาภาวนา ท่านบอกว่ากำลังวางแผนตั้งปริญญาเอกวิปัสสนาภาวนาอยู่ เพียงแต่ต้องรอให้ทางกระทรวงรับรองหลักสูตรที่เสนอไปก่อนเท่านั้น"

เถรี
11-11-2011, 13:24
พระอาจารย์กล่าวว่า "กาลเวลาผ่านไปชื่อบ้านนามเมืองเพี้ยนไปหมด เช่น โคกอีหอมกลายเป็นดอนยายหอม คลองไอ้โสกลายเป็นคลองตาโส ถือว่ายังพอรับได้ เพราะอยู่ไปนาน ๆ แล้วคนแก่ขึ้น จากอีหอมก็กลายเป็นยายหอม จากไอ้โสก็กลายเป็นตาโส

แต่ประเภทเพี้ยนแล้วเสียความนี่เสียหายหลายแสนเลยนะ ตั้งแต่ สำเพ็งแล้ว จริง ๆ คือ สามแพร่ง คราวนี้คนจีนออกเสียงไม่ชัด เขาเรียกได้แค่ซำเพ่ง คนไทยก็ไปเรียกสำเพ็งตามเขา ทุ่งวัวลำพองกลายเป็นหัวลำโพงก็เพราะพวกคนจีนเรียก แล้วคนไทยก็ไปเรียกหัวลำโพงตามเขา ก็เลยไปกันใหญ่เลย กาญจนบุรีมีห้วยกะบก คนจีนเรียกไม่ชัด กลายเป็นห้วยกระบอก คนไทยก็เพี้ยนตามไป เรียกห้วยกระบอกมาจนทุกวันนี้ หรือสามแสนกลายเป็นสามเสน


ถึงสามเสนแจ้งความตามสำเหนียก.......เมื่อแรกเรียกสามแสนทั้งกรุงศรี
ประชุมฉุดพุทธรูปในวารี....................ไม่เคลื่อนที่ชลธารบาดาลดิน
จึงสาปนามสามแสนเป็นชื่อคุ้ง.............เออชาวกรุงกลับเรียกสามเสนสิ้น
นี่หรือรักจะมิน่าเป็นราคิน....................แต่ชื่อดินเจียวยังกลายเป็นหลายคำ"

เถรี
11-11-2011, 13:33
ถาม : จริง ๆ คำว่า “นิมิตร” ที่มีร.เรือ ความหมายเป็นอย่างไรคะ?
ตอบ : “นิมิตร” นี่จริง ๆ เขียนตามแบบสันสกฤต หรือไม่ก็ตามลิ้นคนไทย แต่คราวนี้เขาไปเน้นทางบาลี จึงเขียนเป็น "นิมิต" มาจากคำว่า "นิมิตตํ" ของบาลี

ไทยเราก็เลยเหลือ ต.เต่าตัวเดียว เพราะว่า ๒ ตัวเมื่อไรเขาจะตัดออกตัวหนึ่ง

อาตมาเคยไปนั่งเถียงกับพวกราชบัณฑิตยสถาน เขายืนยันว่าจะทำให้เป็นภาษาไทยแท้ ๆ ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะไม่มีภาษาไหนหรอกที่เป็นภาษาของตัวเอง จะต้องมีภาษาอื่นแทรกอยู่เสมอ อย่างเช่นคำว่า "วิบูลย์" เขาตัดเป็น “วิบูล” ล.ลิง เฉย ๆ ก็เลยมีคำศัพท์อุบาทว์ ๆ เยอะแยะไปหมด

สมัยก่อนนี้ "อินทรีย์" มี ย. การันต์ เพราะอินทรีย์ในภาษาบาลีก็คือใหญ่ ความเป็นใหญ่ นกอินทรีย์ก็คือนกใหญ่ ไป ๆ มา ๆ เขาตัด “ย์” ออกไปเสียนี่ คงกลัวไม่มีงานทำกระมัง ?

เถรี
12-11-2011, 21:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "น้ำท่วมทำให้เห็นส่วนที่งดงาม คือน้ำใจของผู้คนที่เอื้อเฟื้อช่วยเหลือกัน แล้วก็เห็นส่วนที่อัปลักษณ์ น่ารังเกียจมาก ๆ คือ ความประพฤติของคนที่กำลังใจต่ำ พวกเราแจกน้ำที่บ้านวิริยบารมี บางบ้านลูกเล็กเด็กแดงมีอยู่สิบกว่าคน ขนมากันทุกคนเลย ส่วนท่านที่เห็นแก่คนอื่นมากกว่าก็มารับคนเดียว รับน้ำหนึ่งโหลได้ก็ไป

ตอนแรกบอกว่าใครมีภาชนะอะไรเอามารับน้ำได้ ก็มีแค่ไม่กี่คน แต่พอน้ำที่จัดเป็นชุด ๆ หมดเข้า คราวนี้หม้อ ไห ถุงพลาสติกอะไร ก็เอามาขนน้ำกันหมด บางคนเอาถังร้อยลิตรมาเลย พูดง่าย ๆ ว่า เขาขอคนเดียวหมดอีก ๑๐ คนไม่ได้ แต่ก็ไม่ว่า มีปัญญามาก็แจกให้

เราจะเห็นว่าการเสียสละไม่ใช่ของง่าย บุคคลที่ไม่ยอมเสียสละเลย กอบโกยเข้าหาตัวเองนั้นมีอยู่นับไม่ถ้วน บางคนสละได้เพียงเล็กน้อย บางคนสละได้ปานกลาง บางคนสละได้มาก หลายคนสละได้แม้แต่ชีวิต ตามแต่ระดับกำลังใจที่ไม่เท่ากัน ก็ถือว่าเป็นโอกาสในการวัดบารมี ดูว่าเราเองทำไปถึงไหนแล้ว สละให้คนอื่นได้ไหม ? นี่เรายังไม่ได้อยู่ในสถานภาพที่คับขันถึงขนาดเหลือน้ำขวดสุดท้าย หรือว่าข้าวจานสุดท้าย ถ้าหากว่าถึงขนาดนั้นแล้วจะรู้ว่าเราสละให้คนอื่นได้หรือไม่ ?"

เถรี
13-11-2011, 15:38
ถาม : ทำไมต้นลั่นทมเขาไม่นิยมให้ปลูกในบ้านครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเอาเหตุผลทางไสยศาสตร์ ก็คือชื่อลั่นทมเขาว่าไม่ดี เขากลัวจะระทม แต่ถ้าเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เขาบอกว่าน้ำมันหอมระเหยจากลั่นทมทำให้เซ็กซ์เสื่อม นี่เขาทำวิจัยอย่างเป็นทางการเลย

เขาบอกว่าที่ไปปลูกในวัดเพื่อไม่ให้พระเณรคึก เป็นความจริง ๑๐๐% เลยนะ เพราะต่างประเทศเขาทำวิจัยมาเรียบร้อยแล้ว ยืนยันผลว่าเป็นจริง ลั่นทมต่างประเทศเขาเรียก Plumeria เพราะฉะนั้น..จะเอาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์หรือไสยศาสตร์ก็ไม่ควรอยู่ในบ้าน ยกเว้นแต่ว่ามีนโยบายจะคุมกำเนิด..!

เถรี
13-11-2011, 15:53
พระอาจารย์กล่าวว่า "เราลองนึกดูว่าโลกใบเท่าเดิม ส่วนทรัพยากรน้อยลงไปเรื่อย ๆ พื้นที่เพาะปลูกกลายเป็นที่อยู่อาศัยไปก็มาก แต่ปากที่ใช้กินมีแต่เพิ่มขึ้น ๆ เพราะฉะนั้น..ใครมีที่ดินให้พยายามรักษาเอาไว้ ปลูกของที่กินได้ไว้ก่อน

สมัยที่อาตมาอบรมการเกษตรทฤษฎีใหม่ ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรองรับวิถีชีวิตคนไทยได้จริง ๆ เขาจะแบ่งพื้นที่ออกเป็น ๑๐ ส่วน ก็คือ ๓ ส่วนให้เป็นแหล่งน้ำ ๑ ส่วนให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย อีก ๓ ส่วนทำนาข้าว อีก ๓ ส่วนเป็นวนเกษตร จะมีพวกสมุนไพรและผักที่ปลูกแล้วได้กินเร็ว มีพืชล้มลุกฤดูกาลเดียว อย่างเช่น กล้วย มะละกอ แล้วก็พืชยืนต้นจำพวกผลไม้หรือไม้ใช้สอย

ในส่วนของแหล่งน้ำก็ยังสามารถเลี้ยงปลาได้ ถ้าหากไม่ใช่แหล่งน้ำใช้ แต่เป็นแหล่งน้ำการเกษตรอย่างเดียว เขาจะมีเลี้ยงไก่บนบ่อปลาด้วย แล้วที่ขำก็คือ พออาตมาพาคนไปฝึกฝนดูงานเสร็จเรียบร้อย เขาก็ให้แต่ละกลุ่มไปสรุปบรรยายว่าตัวเองไปดูอะไรมา มีคนหนึ่งเขาบรรยายเสียเต็มปากเต็มคำว่า ไปดูการเลี้ยงปลาบนบ่อไก่..! เขาเลี้ยงไก่บนบ่อปลาแต่นี่ดันไปดูการเลี้ยงปลาบนบ่อไก่ น่าจะเก่งมาก...เลี้ยงปลาบนบ่อไก่ได้

เพราะฉะนั้น..ถ้ามีพื้นที่ให้พยายามทำเกษตรผสมผสานอย่างที่ในหลวงท่านบอก แล้วจะอยู่ได้ พวกพืชผักสามารถนำมากินหรือขายได้ในระยะเวลาไม่นาน พวกกล้วยพวกมะละกอนี่พอได้อายุ ก็สามารถที่จะทยอยตัดขายไปได้เรื่อย ๆ รอจนกระทั่ง ๓-๕ ปี ไม้ผลก็จะเริ่มให้ผล หลังจากนั้นก็จะให้ผลทุกปี

ในส่วนข้าว ถ้าปลูกข้าวเบาก็ ๔ เดือนเกี่ยวทีหนึ่ง ถ้าปลูกข้าวหนัก (นาปี) ก็ปีละครั้ง แต่เท่าที่ได้รับการตักเตือนมาก็คือ อย่าทำเกิน ๓๐ ไร่ เพราะต้องใช้แรงงานมากเกินไป

ถ้าทำอย่างนี้เกษตรกรก็จะมีรายได้ทุกวันจากพืชผักสมุนไพร มีรายได้ทุกเดือนจากกล้วย มะละกอ มะพร้าว มีรายได้ทุกปีจากข้าวและผลไม้ ทำให้พึ่งพาตัวเองได้"

เถรี
13-11-2011, 16:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีหน้าวันที่ ๒๘ มกราคม ตรงกับวันเสาร์ ๕ มีงานเป่ายันต์แน่ ๆ ส่วนวันที่ ๒๓ มิถุนายน กับ ๒๐ ตุลาคม ยังไม่มีคำสั่งมา เพราะฉะนั้น..ปีหน้างานแรก คือ ๒๘ มกราคม หลังจากนั้นแล้วต้องรอ แต่ถ้ามีงานเป่ายันต์หลายครั้งนี่น่าหวาดเสียว แสดงว่าสถานการณ์ของประเทศชาติแย่มาก ๆ

ตอนนี้หลวงปู่จี๋ ความจริงท่านชื่อจีหรือจี่ เขาเรียกหลวงปู่จี๋กันจนชิน ก็คือพระมหาโพธิวงศาจารย์ วัดพระพุทธบาทมิ่งเมือง จังหวัดแพร่ได้มรณภาพแล้ว ท่านเป็นรองสมเด็จพระราชาคณะที่อาวุโสสูงสุด พระดีเมืองเหนือร่วงไปอีกหนึ่งท่านแล้ว

ช่วงรอยต่ออากาศ ฝนต่อหนาว หนาวต่อร้อน ร้อนต่อฝน ตอนช่วงอากาศเปลี่ยน คนแก่หรือคนป่วยที่ทนไม่ไหวมักจะตาย ให้สังเกตว่าคนมักจะตายช่วงอากาศเปลี่ยน ฉะนั้น..บ้านใครมีคนแก่อายุมากหรือว่ามีคนป่วยอยู่ ดูแลให้ดี ๆ ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของอากาศ จะเป็นช่วงที่สภาพร่างกายของคนป่วยหรือคนแก่อ่อนแอ รับไม่ไหว แล้วจะไปเลย"

เถรี
13-11-2011, 17:24
ถาม : ปกติผมสวดภาวนาคาถาเงินล้านเป็นประจำ แต่ถ้าวันไหนที่มีเวลาแล้วสวดคาถาเงินล้านเกิน ๑๐๘ จบถึง ๓๒๐ จบขึ้นไป มักจะได้มีโอกาสไปงานหล่อพระโดยบังเอิญ
ตอบ : ถือว่าบังเอิญ ยกเว้นว่าเป็นแบบนั้นทุกครั้ง แสดงว่าส่งผลให้ในด้านนั้นจริง ๆ

ถาม : เป็นทุกครั้งเลยครับ ได้ไปงานหล่อพระประธานตลอด
ตอบ : ไปลองใหม่ เอาให้แน่นอนไปเลย ประเภททำ ๑๐ ครั้งแล้วได้ไปงานหล่อพระ ๑๐ ครั้ง ถ้าได้แบบนั้นก็ควรจะทำบ่อย ๆ เอาให้แน่ใจเลย

ถาม : ผลของคาถาเงินล้านที่ได้นี่ยอมรับไม่สงสัย แต่นี่มักได้ไปหล่อพระตลอดเลย
ตอบ : ถือว่าเป็นความบังเอิญในด้านดี เพราะว่าผลของคาถาเงินล้านจริง ๆ ก็คือให้ความคล่องตัวในทุกเรื่อง เราไปหล่อพระได้ก็ต้องมีเงินไปหล่อ นั่นก็แปลว่าดี มีลาภผลเข้ามาแน่นอน

ถาม : เรื่องยันต์เกราะเพชรครับ เห็นมีการออกหนังสือของหลวงพ่อท่านหนึ่งบอกว่า เป่ายันต์เกราะเพชรแล้วก็เชือด
ตอบ : ไปลองดูได้..!

ถาม : ไม่แน่ใจว่ามีการเชือดด้วยหรือครับ?
ตอบ : จำไว้ว่าใครที่ประกาศว่าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ปาน ถ้าหากว่าเกิดหลังปี ๒๔๘๑ ก็ไม่ใช่ ฉะนั้น..เขาจะประกาศจะอะไรก็ช่างเขาเถอะ ให้รู้เอาไว้ว่าความจริงเป็นอย่างไร หลวงปู่มรณภาพปี ๒๔๘๑ ต่อให้อยู่ในท้องแม่ไปฝากเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ก็ไม่ทันเรียนวิชาหรอก

ส่วนใหญ่แล้วพอเขาบอกว่าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ปานเราก็ไปเชื่อกัน คนที่เกิดปี ๒๔๘๑ อายุปัจจุบันนี่ต้อง ๗๓ ปีแล้วนะ แล้วจะไปเรียนวิชาของหลวงปู่ได้อย่างไร เพราะเพิ่งจะเกิด..!

เถรี
14-11-2011, 15:35
ถาม : ถามเรื่องยันต์มหาสะท้อนครับ ถ้าสมมติมีคนว่าจ้างมา แล้วคนที่ว่าจ้างโดนด้วยไหมครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ไปซวยที่คนทำก่อน คนว่าจ้างกลายเป็นอันดับรองลงไป

ถาม : ก็โดนเหมือนกันใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เหมือนกัน แต่ไม่หนักเท่าคนทำ เรามีหน้าที่ภาวนาไปเรื่อย ๆ อย่าไปคิดร้ายใคร

ถาม : เราไม่คิดร้ายครับ แต่มีญาติพี่น้อง..
ตอบ : ใครทำก็โดนเอง เราไม่ได้ทำอะไรเขาหรอก เหมือนกับการขว้างลูกเทนนิสใส่ผนัง ยิ่งขว้างใส่แรงก็ยิ่งกระเด้งกลับแรง

ถาม : คราวนี้เราจะเดินลอดอะไรก็ไม่เป็นไรใช่ไหม ?
ตอบ : ลอดไปเถอะ เขาให้แขวนเอวด้วย

เถรี
14-11-2011, 15:49
ถาม : ตอนนั่งสมาธิแล้วท่านไม่ได้นำ รู้สึกตัวเองไม่ค่อยเคร่งเท่าไร ?
ตอบ : คอยแต่จะให้ป้อนให้ แล้วเมื่อไรจะทำเป็นเสียทีละจ๊ะ เอะอะก็จะให้นำตลอด ถ้าอยู่ ๆ อาตมาล้มหายตายจากไปก็ไม่ต้องฝึกกันสิ

ถาม : ต้องเอารูปท่านมาตั้งข้าง ๆ แล้วต้องนั่งดูเวลาปฏิบัติ
ตอบ : อ๋อ...ถ้าวันไหนมีเสียงด่ามาด้วยก็จะใช่จริง ๆ..!

สมัยก่อนเวลาอาตมาได้ต้นไม้ที่ออกจากเรือนเพาะชำ อาตมาก็จะให้น้ำ ให้ปุ๋ย ให้ฮอร์โมนไประยะหนึ่ง แล้วก็ค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งท้ายสุดก็ไม่ให้อะไรเลย อยากได้ปุ๋ยใช่ไหม ?..อยู่ในห้องเก็บของ..อยากได้น้ำก็อยู่ในห้วย..ไปกินเอง..นั่นต้นไม้นะ..!

ถ้าเป็นคน มัวแต่รอให้นำการปฏิบัติแล้วถึงจะทำได้ดี โอกาสที่ได้ดีก็จะยาก เพราะฉะนั้น..ถ้าอาตมาไม่ได้นำ พวกเราก็ต้องไปเองเป็นบ้าง ไม่ใช่พอถึงเวลาแล้วหลวงพ่อไม่นำ หนูไปไม่เป็น จะสมน้ำหน้าให้เลย..!

ถ้าหากว่าใครที่เคยอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุงมาจะเห็นตรงนี้ชัดเจน ท่านปล่อยให้ลูก ๆ ขวนขวายกันเอง ดังนั้น..ใครรู้จักไขว่คว้าก็จะได้อะไรมากกว่าคนอื่นเขา โดยเฉพาะอาตมาไม่เคยไว้ใจว่าหลวงพ่อท่านจะมีอายุเกินวันนี้ เพราะว่าการป่วยของท่านหนักมาก คนที่ไม่รู้ก็จะไม่รู้ว่าหนักขนาดไหน ถึงเวลาวันไหนฝนฟ้าผิดปกติอาตมาจะลุกขึ้นมานั่งกรรมฐานดู ว่าหลวงพ่อไปหรือยัง..?

ในเมื่อเป็นดังนั้น ทุกวันของอาตมาคือวันสุดท้ายที่มีค่าที่สุด จึงต้องกอบโกยให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่อย่างพวกเรานี่ โอ๊ย...หลวงพ่ออายุยังน้อย เพิ่ง ๕๐ กว่าปีเอง ระวังไว้เถอะ...ตูออกไปรถตกคลองจมน้ำตาย จะอยู่ไม่ถึงอายุขัย..! เพราะเคยสร้างกรรมเอาไว้มาก อุปฆาตกรรมจะมาตัดตอนไหนก็ไม่รู้ ?

เถรี
14-11-2011, 16:02
พระอาจารย์กล่าวว่า "นึกถึงประวัติพระสีวลี พระนางสุปปวาสาพระราชมารดาของพระสีวลีตั้งท้องอยู่ ๗ ปีกับ ๗ วัน ช่วงเวลา ๗ ปีนั้นคือช่วงระยะเวลาตั้งท้อง ส่วน ๗ วันนั้นปวดท้องจะคลอด

พระนางสุปปวาสาท่านยึดพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ปวดขนาดไหนก็ดำรงอยู่ในอนุสตินั้นว่า โอหนอ...พระพุทธเจ้าของเราเกิดมา เพื่อแนะนำให้เราพ้นทุกข์เห็นปานนี้หนอ คือความทุกข์จากการปวดท้องคลอดขนาดนี้นี่แหละ ที่พระพุทธเจ้าท่านบอกให้รีบหนีไปให้พ้น

โอหนอ...พระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ปฏิบัติไปเพื่อนำเราพ้นจากความทุกข์เห็นปานนี้หนอ โอหนอ...พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า สั่งสอนเราเพื่อให้พ้นจากความทุกข์เห็นปานนี้หนอ ปวดท้องอยู่ได้ ๗ วันก็พิจารณาคุณพระรัตนตรัยอยู่ตลอดเวลา พอครบ ๗ วันก็คลอดพระสีวลีออกมา ลูกชายอายุ ๗ ขวบกว่า เพราะอยู่ในท้องแม่มา ๗ ปี

บุพกรรมของท่านก็คือ ในอดีตชาติหนึ่งท่านเป็นกษัตริย์แล้วไปล้อมบ้านล้อมเมืองเขาเอาไว้ ล้อมอยู่ ๗ ปี ข้าศึกก็ยังไม่ยอมแพ้ พระสีวลีท่านเป็นพระราชา พระนางสุปปาวาสาท่านเป็นพระราชมารดา พอถามสถานการณ์เสร็จ คุณแม่บัญชาการเอง ให้ล้อมประตูเล็กไว้ด้วย เพราะล้อมแต่ประตูใหญ่ คนก็เข้าออกประตูเล็ก เอาน้ำเอาเสบียงเข้าไปได้ จึงไม่ยอมแพ้สักที

คราวนี้ปิดประตูทั้งใหญ่ทั้งเล็ก ฝ่ายตรงข้ามออกไม่ได้ หาอาหารกินไม่ได้ ๗ วันผ่านไปก็ยอมแพ้ ตกลงไปล้อมเขาอยู่ ๗ ปีกับ ๗ วัน นี่เอง ที่ทำให้ต้องเดือดร้อนอยู่ ๗ ปี กับ ๗ วัน

คราวนี้นึกถึงกรุงเทพฯ เพราะว่าปกติก็มีเส้นเพชรเกษมเข้าได้..ใช่ไหม ? น้ำก็จัดการล้อมเสีย ให้พวกเราหาทางเล็ดลอดเอาเอง ตอนนี้เขาปิดถนนบรมราชชนนี เพราะว่าถนนต่างระดับสิรินธรท่วม พุทธมณฑลสาย ๔ ท่วม สาย ๒ ท่วมก็ยังเข้าออกทางเพชรเกษมได้ วันที่มาแจกน้ำที่นี่ก็เข้ามาทางเพชรเกษม แต่ปรากฏว่าวันที่จะมารับสังฆทาน แทบจะเข้าไม่ได้แล้ว ชั่วคืนเดียวเท่านั้นเองน้ำขึ้นมา ๗๐ กว่าเซนติเมตร

ฉะนั้น..เวลาไปล้อมบ้านล้อมเมืองเขาก็เปิดทางให้เขาบ้างนะ ถึงเวลากรรมสนองจะได้ไม่ลำบากมากนัก..!"

เถรี
14-11-2011, 16:17
"วันนี้ก็เพิ่งมีคนหนีน้ำ หอบหมาไปทองผาภูมิ แต่ที่วัดไม่เหมาะสมที่จะเอาหมาไป ถ้าเอาไปต้องขังไว้ต่างหาก ไม่อย่างนั้นถ้าปล่อยไปจะโดนหมาวัดกัดตาย หมาที่วัดมีเป็นร้อยตัวเลย เวลาอาตมาตื่นขึ้นมา ตี ๑-๒ เดินมาหมาไม่เห่าสักแอะ แต่คนอื่นขยับเดิน หมาเห่าสนั่นไปทั้งวัด แสดงว่าหมาจำคนได้จริง ๆ

ภาพที่งดงามในสายตาของชาวต่างประเทศก็คือ คนไทยเราหนีน้ำถึงเข่าบ้าง ถึงเอวบ้าง ถึงคอบ้าง แต่หอบหมาไปด้วย เป็นภาพที่พวกเขาชื่นชมกันมาก บางรายก็ใส่กะละมังลอยไป บางรายก็ใส่ถังน้ำแข็งแล้วก็สะพายลากไป ลอยตุ๊บป่อง ๆ

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=15575&stc=1&d=1321261968


มีอยู่รายหนึ่งเอาภรรยาใส่กะละมังลอยไป ถ้าเป็นอาตมาคงจะเผลอทำหลุดมือ ไม่รู้ว่ากะละมังอะไร น่าจะเป็นสระน้ำเด็กเล่น เพราะดูเหมือนกะละมังพลาสติก แต่ว่าใหญ่มาก ผู้ใหญ่นั่งนี่มิดหัวพอดี ดูแล้วเป็นพาหนะที่ใช้ได้เลย ส่วนคุณสามีก็มีหน้าที่เดินลุยน้ำเกือบถึงคอ คอยเข็นกะละมังไป

รัฐบาลแนะนำว่าให้เก็บของมีค่าขึ้นที่สูง มีชายคนหนึ่งมานั่งคิดว่าเก็บนั่นก็แล้ว เก็บนี่ก็แล้ว ท้ายสุด..ยกเมียขึ้นหิ้งดีกว่า..นั่นเก็บของที่มีค่าสูงที่สุด..! แต่มีภาพหนึ่งที่สื่อมวลชนเขาถ่ายออกมาเห็นแล้วใจหาย คือที่ห้างสรรพสินค้ามีแต่ชั้นโล่ง ๆ ไม่มีสินค้าวางอยู่เลย"

เถรี
15-11-2011, 08:53
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงอาตมาไม่ได้คิดจะสร้างพระพุทธรูปนาคปรก ๒,๖๐๐ ปีพุทธชยันตีเลย เริ่มมาจากพระมหาสันติ (พระมหาสันติ โชติกโร ป.ธ.๘ รองเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ประชุมชนาราม) ท่านสร้างพระท่ากระดานน้อย ฉลอง ๒,๖๐๐ ปีพุทธชยันตี แล้วส่งไปพุทธาภิเษกที่วัดท่าขนุน พออาตมาเห็นก็รู้สึกว่าเข้าท่า พุทธชยันตี (วันแห่งชัยชนะของพระพุทธเจ้า)เป็นวาระสำคัญ แล้วจะทำอะไรเป็นที่ระลึกดี ?

ก็เห็นเป็นภาพพระนาคปรกที่หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศท่านประทานให้ไว้หลายปีแล้ว ตอนที่ประทานให้หลวงพ่อสมเด็จท่านบอกว่า พระแบบนี้เหมาะกับคนที่อยู่ป่าอยู่ดงอย่างคุณ ก็เลยกำหนดจิตนึกถึงพระพุทธเจ้า พระท่านว่าทำแบบนี้ก็ดี เพราะว่านาคปรกเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องพระพุทธศาสนาด้วย พระที่หลวงพ่อสมเด็จท่านประทานมาให้เป็นทรงขอม ก็เลยคิดทำออกมาลักษณะนี้ แล้วก็โชคดีว่าได้ช่างออกแบบฝีมือดี แม้ว่าจะคิดค่าแบบไปเกือบแสนบาทก็คุ้ม

เชื่อไหมว่าค่าแกะแบบพระนาคปรกองค์จิ๋ว องค์เท่านิ้วก้อยเองราคา ๕๐,๐๐๐ บาท..! เป็นพระนาคปรกแกะด้วยหินอ่อน แต่ยอมทำเพราะว่าแบบหินอ่อนเวลาถอดแบบแล้วจะชัดเจน ถ้าหากเป็นอย่างอื่น อย่างขี้ผึ้งเวลาถอดทีหนึ่งลายล้มบ้างอะไรบ้าง ก็เลยยอมจ่ายค่าแกะแบบเขา ตกลงแบบว่าเก้านิ้วนั่นราคา ๘๕,๐๐๐ บาท แต่แบบองค์เล็กแค่นิ้วก้อย ๕๐,๐๐๐ บาท ใช้เวลาแกะอยู่เกือบ ๓ เดือน"

เถรี
15-11-2011, 13:35
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้งูเขียวที่น่ากลัวที่สุดในโลก คือ กรีนแมมบ้า งูชนิดนี้ร้ายกว่างูจงอางอีก งูแมมบ้าจะมีสีดำกับสีเขียว พิษร้ายกว่าจงอาง กัดทีเดียวร่วงเลย ของอันตรายอย่างนี้ดันทะลึ่งเอามาเลี้ยงได้ แล้วหน้าตาก็ดูไม่น่ากลัว ไม่มีการชูหัวขึ้นมาแผ่แม่เบี้ยขู่แบบงูเห่างูจงอางของเรา หน้าตาดูแล้วเหมือนงูสิง ตัวเขียว ๆ เขาคงเห็นว่าเขียวสวยดีเลยเอามาเลี้ยง สมควรตายจริง ๆ..!"

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=15595&stc=1&d=1321338776
งูกรีนแมมบ้า

เถรี
15-11-2011, 13:53
"ถ้าเป็นงูงวงช้างที่มากับน้ำท่วมก็ไม่น่ากลัว แค่หน้าตาดูน่าเกลียดเท่านั้นเอง ผิวจะเป็นปุ่ม ๆ สาก ๆ เมื่อตอนอาตมายังเด็ก เวลาไปงมปลา ถ้าวันไหนเจองูงวงช้างแล้วอยากเล่น ก็อุ้มขึ้นมาบนบก งูชนิดนี้ไม่ค่อยไปไหนหรอก เลื้อยช้า เป็นงูที่เชื่องสุด ๆ หน้าตาเหมือนงวงช้าง เด็กบ้านนอกไม่ค่อยมีใครกลัวงูงวงช้างกันหรอก นอกจากจะเอามาเล่น

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=15596&stc=1&d=1321339669
งูงวงช้าง


ส่วนงูเขียวปากจิ้งจกจะเกลียดขี้ควายแฉะ ๆ พอจับมาได้ก็นัดเพื่อน ๔-๕ คน เอาหัวงูไปทิ่มขี้ควายแล้วก็ปล่อย โอ้โห..คราวนี้โดนไล่กัดกระจายเลย แต่งูเขียวปากจิ้งจกกัดอย่างไรก็ไม่เจ็บหรอก เพราะมีฟันอยู่นิดเดียว บางทีถ้ารัดได้กัดไป ๗-๘ ทีก็ไม่ปล่อย แต่ก็แค่เจ็บ ๆ คัน ๆ

ถ้าพวกเราจะเล่นเอาสนุกบ้าง ก็เอาหัวงูเขียวปากจิ้งจกไปจิ้มขี้ควาย ต้องเป็นขี้ควายแฉะ ๆ ด้วยนะ ถ้าหากว่าขี้ควายแห้ง ๆ งูกลับไม่โกรธ เรื่องพวกนี้เด็กบ้านนอกรู้วิธีกันแทบทุกคน ไม่มีอะไรจะเล่นก็เล่นของพวกนี้กัน"

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=15597&stc=1&d=1321339669
งูเขียวปากจิ้งจก

เถรี
15-11-2011, 14:06
"สมัยที่อาตมาอายุ ๔-๕ ขวบ พวกนกแร้งยังมีเยอะอยู่ อีแร้งจะมากินหมาเน่า พวกเราไม่มีอะไรจะเล่น จึงเอาไม้มาตีอีแร้ง แอบไปซุ่มดูอยู่ก่อน พออีแร้งลง ก่อนจะบินขึ้นได้จะต้องมีระยะวิ่งสำหรับออกตัวไกลมาก จะต้องวิ่งโหย่ง ๆ กระพือปีกไปเรื่อยจนกว่าจะลอยตัวได้ พวกเราก็เอาไม้ไล่ตีไปเรื่อย

บางคนร้ายกาจกว่านั้นอีก ไปขุดหัวกลอยมา เอาไปตำคั้นน้ำแล้วก็ไปราดพวกหมาแมวที่ตาย พอแร้งมากินก็เมากลอย บินไปไม่ได้ เราก็จะช่วยกันตี บาปกรรมจริง ๆ นกก็กำลังกินอยู่แท้ ๆ ไปกลั่นไปแกล้งเขาได้

มิน่าเล่า...ชาตินี้อาตมาเมากลอยไป ๒ รอบแล้ว เมาอาเจียนเป็นถังเลย ครั้งแรกเจอพร้อมกับทิดตู่ ตอนนั้นทิดตู่ยังเป็นเณรอยู่ อ้วกเป็นถังจริง ๆ เขาทำถั่วทอดกลอยใหม่ ๆ แล้วเขาทำไม่เป็น กินเข้าไปแล้วเมา ส่วนอีกครั้งหนึ่งรู้ทันเพราะระแวงอยู่แล้ว จึงเมาหน่อยเดียว ถึงว่าเวรกรรมพวกนี้ตามทันจริง ๆ ยังดีว่าระยะหลังนี่พวกอีแร้งไม่มีแล้ว ส่วนใหญ่หนีเข้าไปในป่าลึก ๆ เพราะว่าในเมืองไม่มีซากสัตว์ให้กิน

สมัยก่อนนี่ถ้าอีแร้งจับหลังคาบ้านใครเขาถือว่าซวยมาก ต้องทำบุญไล่ซวยกันเลย นิมนต์พระ ๙ รูปมาเจริญพุทธมนต์ คนเฒ่าคนแก่ท่านจะไปจุดธูป ปูผ้าขาวกราบขอร้อง “พ่อพญาหงส์ทอง พ่อมาจากไหนก็ไปทางนั้นเถิด”

ถาม : เขาเรียกอีแร้งว่า หงส์ทองหรือครับ ?
ตอบ : ต้องเรียกให้ไพเราะเป็นการแก้เคล็ด เหมือนที่เขาเรียกเหี้ยว่าตัวเงินตัวทอง

เถรี
15-11-2011, 14:29
บ้านเรามีแต่แร้งไก่งวง ส่วนฝรั่งจะมีราชาแร้ง (King Vulture) เป็นแร้งที่หน้าตาเท่มาก

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=15598&stc=1&d=1321341342
ราชาแร้ง (King Vulture)


แต่ถ้าจะเอาแร้งที่สวยจริง ๆ ลักษณะเหมือนนกอินทรี ต้องเป็นแร้ง Griffon จะมีทั้ง Egyptian Griffon กับ Tibetan Griffon

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=15603&stc=1&d=1321345823
Egyptian Griffon

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=15602&stc=1&d=1321345566
Tibetan Griffon

ถ้า Tibetan Griffon จะกินซากศพของคนตายที่เขาเอาไปเลี้ยงนกแร้ง คนทิเบตเขาถือว่า การเอาซากศพไปเลี้ยงแร้ง คือการสละร่างกายเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อเป็นอาหารของสัตว์โลก ทำให้คนตายได้บุญมาก สัปเหร่อจะเชือดเนื้อให้นกแร้งกินจนเหลือแต่กระดูก จากนั้นก็ทุบกระดูกจนป่นผสมแป้งให้แร้งกิน แร้งจะกินจนเกลี้ยง พอก่อไฟควันไฟขึ้นเมื่อไรแร้งจะมากันเป็นฝูงทันที เพราะรู้ว่ามีให้กินแล้ว แร้งชนิดนี้เป็นแร้งที่หน้าตาดูดีมาก เพราะว่าหัวไม่ล้านจนเหลือแต่หนัง ดูเหมือนนกอินทรี เพียงแต่ว่าจงอยปากเป็นแบบแร้งเท่านั้น

อาชีพของสัปเหร่อ เขาเรียกว่า "ผู้ต้องมลทิน" คนยิ่งมีความดีมากเท่าไร เขาถือว่าถึงเวลาตายแล้วก็มีความชั่วร้ายติดกับศพมากเท่านั้น ฟังดูปรัชญาเขาแล้วงงไหม ? เขาบอกว่า ความชั่วร้ายที่จะกลบกลืนคนดีจนตายได้ ต้องใช้ความชั่วมหาศาลมาก แต่ถ้าสำหรับคนชั่วแล้ว ใช้แค่ไม่เท่าไรก็สามารถทำให้ตายได้ เพราะฉะนั้น..เวลาตาย คนดี ๆ จะมีความชั่วร้ายติดกับตัวมากเป็นพิเศษ

ดังนั้น..สัปเหร่อที่ทำศพเขาเรียกว่าผู้ต้องมลทิน ไปไหนก็ต้องพกกระดิ่งสั่นกริ๊ง ๆ ให้คนเขารู้ จะได้หลีกไปไกล ๆ ถ้าเป็นบ้านเราคนขายไอศกรีมก็คงซวย เสียงกระดิ่งดังกริ๊ง ๆ ก็ไม่ต้องขายแล้ว คนหนีกันหมด

เถรี
15-11-2011, 17:44
ถาม : การที่เราเจอสถานการณ์น้ำท่วมอย่างนี้เป็นเพราะกรรมใช่ไหมคะ ? แล้วเราทำกรรมมามากขนาดนี้เลยหรือ ? หมายถึงหลาย ๆ คนค่ะ
ตอบ : ตอนไปปล้นบ้านตีเมืองเขาไม่เห็นพูดอย่างนี้นี่..!

ถาม : การที่เราน้ำท่วมเพราะเราเคยทำกรรมผิดศีลข้อ ๒ ?
ตอบ : ก็มีส่วนจ้ะ เพราะการที่เราไปปล้นบ้านตีเมืองเขา ก็ต้องขนทรัพย์สมบัติกวาดต้อนผู้คนและสัตว์เลี้ยงของเขามา ย่อมผิดศีลข้อ ๒ แน่ ๆ จ้ะ แต่เป็นการผิดศีลหมู่ ถึงเวลาช่วยกันทำ ก็ต้องช่วยกันโดน

ถาม : แล้วอย่างนี้เราต้องทำอย่างไรต่อไปดีคะ ?
ตอบ : รอให้น้ำแห้งแล้วล้างบ้าน..!

เถรี
16-11-2011, 13:58
พระอาจารย์กล่าวว่า "จากประสบการณ์ผจญกับน้ำท่วมที่เคยผ่านมา ยาแก้น้ำกัดเท้าที่ดีที่สุดก็คือ ขี้ผึ้งเบอร์ ๒๘ ตราม้าคู่ แต่ทาแล้วเหม็นนานหน่อยเพราะผสมกำมะถันมาก

ถ้าหากว่าต้องลุยน้ำทุกวัน แล้วมีบาดแผลตามแข้งตามขาจะทำให้ติดเชื้อ บาดแผลจะหายยาก ให้เอาขี้ผึ้งโปะตรงปากแผลไว้ แล้วเอาพลาสเตอร์แผ่นใหญ่ปิดตายไปเลย ๓-๕ วัน ไม่ต้องไปแกะ พอเชื้อโรคไม่มีอากาศหายใจ ก็จะตาย แผลจะสมานไปเอง นี่จากประสบการณ์คนที่บ้านแช่น้ำมา ๘ เดือน เมื่อปี ๒๕๒๖

โบราณแก้น้ำกัดเท้า โดยใช้เปลือกมังคุดแห้ง ฝนกับน้ำปูนใสแล้วก็ทา ได้ผลเด็ดขาดดีเหมือนกัน แต่ว่าลุยน้ำไม่ได้ เพราะละลายหมด ขี้ผึ้งเบอร์ ๒๘ นี่ถ้าทามาก ๆ กันน้ำได้ ไม่ได้ค่าโฆษณาแม้แต่บาทเดียว แต่ใช้แล้วได้ผลเลยบอกต่อ มีทั้งสีขาว สีน้ำตาล จะสีอะไรก็ใช้ไปเถอะ"

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=15668&stc=1&d=1321426862

เถรี
16-11-2011, 14:11
"สัตว์ต่างถิ่นที่เอาเข้ามาเลี้ยงแล้วสร้างความลำบากเดือดร้อนให้กับคนไทย ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดคือหอยเชอรี่ บ้านเรามีแต่หอยโข่ง หอยโข่งมีสีดำ ดูแล้วไม่สวย ส่วนหอยเชอรี่สีออกส้ม ๆ สวยดี จึงสั่งนำเข้ามาเลี้ยงกัน เลี้ยงไปเลี้ยงมาก็เบื่อ ทิ้งลงแหล่งน้ำ คราวนี้หอยเชอรี่ระบาด กินต้นข้าวล้มเป็นแถบ ๆ ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=15669&stc=1&d=1321427357
หอยเชอรี่


ถ้าภาคกลางของเราไม่ได้นกปากห่างของสวนนกท่าเสด็จมาช่วยไว้ นาข้าวจะบรรลัยมากกว่านี้อีกเยอะ แต่นกปากห่างก็ตายไปมาก ไข่ฟักไม่ค่อยเป็นตัว เพราะว่าเขาไปฉีดยาฆ่าแมลง พอฉีดยาแล้วหอยก็สะสมยาไปด้วย แล้วนกปากห่างกินหอยวันละเป็นร้อย ๆ ตัว จึงตายเยอะ"

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=15670&stc=1&d=1321427357
นกปากห่าง

เถรี
16-11-2011, 14:34
"อีกอย่างหนึ่งที่น่ากลัวก็คือนากหญ้า เพราะถ้าระบาดนี่พวกนี้กินกระจายเลย พืชผักอะไรที่กินได้โดนกินหมด มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาทำลักษณะเหมือนขายตรง รับไปเลี้ยงแล้วก็ขายต่อกันไปเป็นทอด ๆ ราคาสุดท้ายนี่ไม่มีใครซื้อได้หรอก นั่นเป็นการแหกตากันตรง ๆ แต่คนก็เชื่อ เพราะเขาว่ามีตลาดรับซื้อหนังนากหญ้า ให้ราคาสูงมาก แล้วก็เจ๊งไปตาม ๆ กัน..!

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=15671&stc=1&d=1321428514
นากหญ้า

แล้วที่เห็นว่าน่ากลัวอีกอย่างคือหนูแฮมสเตอร์ แต่หนูแฮมสเตอร์ดีอยู่ตรงที่ว่าค่อนข้างอ่อนแอ ถ้าไม่เลี้ยงก็ตายง่าย แต่ขอโทษเถอะ..สถิติเลี้ยงหนูแฮมสเตอร์ ๑ คู่ ๔ ปีมีลูกล้านกว่าตัว..! เพราะว่าอุ้มท้องแค่อาทิตย์กว่าเอง พักเดียวตัวที่คลอดออกมาก็เริ่มโตเป็นพ่อเป็นแม่ได้แล้ว ก็กระจายพันธุ์ไปเรื่อย ยังโชคดีที่หน้าตาน่ารักและรสชาติอร่อย..แมวชอบ เพราะฉะนั้น..ระบาดไปเถอะ เดี๋ยวแมวก็จัดการเอง ตัวละคำพอดี ๆ..!

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=15672&stc=1&d=1321428514
หนูแฮมสเตอร์

ปัจจุบันปัญหาหนักที่สุดก็คือ ปลากดเกราะ เขาเรียกว่า Sucker เลี้ยงไปเลี้ยงมาแล้วเขาทิ้งลงแหล่งน้ำ ระบาดไปทั่ว ไปดูสวนสาธารณะเมืองย่าโม ระบาดถึงขนาดว่าเบียดกันอยู่ จนต้องตะกายขึ้นบกมาแห้งตาย พวกนี้อดทนต่อน้ำเน่ามาก แล้วกินทุกอย่างที่ขวางหน้า ดูดไปเรื่อย ปลาพื้นบ้านของเรามักจะวางไข่ตามแอ่ง โดนปลากดเกราะกินเสียเกลี้ยง แล้วพวกนี้ก็ระบาดแทน"

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=15674&stc=1&d=1321428664
ปลากดเกราะ

เถรี
16-11-2011, 15:02
"ลำตะคองที่เขาใหญ่ ความจริงมาจากคำว่า "ลำตะกอง" ตะกองก็คือกิ้งก่ายักษ์ ตัวประมาณท่อนแขน ยาวเมตรกว่า ๆ บางที่เรียกว่า "รั้ง"

ตะกองหรือรั้งเป็นสัตว์พื้นถิ่น พวกดูนกไปเจอตะกองยักษ์เข้าก็ถ่ายรูปมา ส่งไปถึงนักสัตววิทยา เขามึนมากบอกว่าเป็นอีกัวน่า เพราะอีกัวน่าเป็นกิ้งก่าสีเขียว ๆ คล้าย ๆ ตะกองเหมือนกัน สรุปแล้วชาวบ้านเลี้ยงจนเบื่อ จึงเอาไปปล่อยป่า อีกัวน่าก็เลยไปอยู่ที่ลำตะกองแทน..! สัตว์ที่กินได้คือตะกวด ตัวที่สวย ๆ เอามาเลี้ยงเล่นได้คือตะกอง

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=15678&stc=1&d=1321430176
ตะกอง

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=15679&stc=1&d=1321430176
ตะกวด


การเลี้ยงสัตว์อันตรายไม่ควรเลี้ยงอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะบ้านเราไม่มีงูหางกระดิ่งแน่นอน เพราะเป็นคนละพื้นที่กัน แต่ถ้าใครบ้าเอามาเลี้ยงให้ระบาดได้ ก็ให้เขารู้รสชาติของชีวิตไป..!

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=15676&stc=1&d=1321430176
งูหางกระดิ่ง


งูแมมบ้ามี ๒ สี สีดำเรียกว่า แบล็กแมมบ้า กับสีเขียวเรียกว่า กรีนแมมบ้า เป็นงูที่เลื้อยเร็วกว่าจงอางอีก เขาบอกว่าจงอางเลื้อยเร็วขนาดไล่ม้าได้ทัน แต่งูแมมบ้าเลี้อยเร็วกว่าจงอาง และพิษร้ายแรงกว่าจงอาง ถ้าโดนกัดแล้วไม่ได้เป่ายันต์ไปนี่นอนสวด "อนิจฺจา วต สงฺขารา.." อยู่ตรงนั้นแหละ ไม่ต้องไปไหนหรอก เสียเวลาเคลื่อนย้าย ย้ายไปก็ไม่มีเซรุ่ม..!

พวกสัตว์ป่าต่าง ๆ พอเลี้ยงไปถึงระยะหนึ่ง เขาจะเริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ จะมีการติดสัดหรือตกมัน พวกนี้จะอันตรายทั้งนั้น ขนาดลิงลมตัวเล็ก ๆ น่ารัก ถึงเวลาอาละวาดขึ้นมายังกัดเจ้าของถลอกปอกเปิกเลย

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=15675&stc=1&d=1321430176
ลิงลม


ปัจจุบันนี้เห็นหลายคนเลี้ยงกระรอกบินกันเต็มไปหมด จตุจักรของเรานี่มีสัตว์สารพัด เผลอ ๆ สัตว์สงวนก็หลุดออกมา สัตว์ป่าคุ้มครองก็หลุดออกมา"

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=15677&stc=1&d=1321430176
กระรอกบิน

เถรี
16-11-2011, 17:29
"อาตมาเคยเลี้ยงเม่นแคระอยู่ ๒ ตัว เป็นพันธุ์ Normal Pinto กับ Apricot

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=15680&stc=1&d=1321439102
เม่นแคระ


พันธุ์ Apricot ขนจะเป็นสีเหลือง ๆ ขาว ๆ จึงเรียกชื่อว่าทุเรียน ส่วน Normal Pinto นี่ขนขาวสลับม่วง เรียกชื่อว่ามังคุด ตอนแรกให้อยู่ร่วมกัน เดี๋ยวก็ไล่กันไปไล่กันมา ไปเปิดตำราศึกษาดู เขาบอกว่าเม่นแคระเป็นสัตว์สันโดษ ไม่ยอมพักร่วมกัน ไล่ฟัดกันเอง แล้วที่ทองผาภูมิอากาศหนาว ถ้าวันไหน ๒ ตัวนี้ฉีกกระดาษหนังสือพิมพ์ไปกรุรัง ก็แปลว่าหนาวแล้ว

อาตมาต้องยัดกระดาษชำระให้เป็นม้วน ๆ ทั้งสองตัวจะได้เอาไปกรุรัง ไม่อย่างนั้นกระดาษหนังสือพิมพ์ที่รองพื้นกรง จะโดนฉีกเอาไปกรุรังหมด ตอนแรก ๆ เลี้ยงอาหารเม็ด แล้วอาตมาก็ดัดแปลงไปเรื่อย ท้ายสุดจึงรู้ว่าเม่นแคระชอบกินถั่วมากกว่า อะไรที่เขารู้สึกว่าอร่อย ต้องให้ทีละนิด อย่าไปให้เยอะทีเดียว เพราะว่าบางอย่างเขาก็ไม่กิน บางอย่างกินเข้าไปอาจจะเป็นอันตราย

อย่างลูกค่างเกิดใหม่ ๆ ตัวจะเป็นสีทอง ๆ หางยาว ๆ น่ารักมากเลย แต่คนที่ไม่รู้นี่เลี้ยงลูกค่างตายมาเยอะแล้ว ค่างเป็นสัตว์ที่ท้องเสียง่ายมากที่สุด เวลากินก๋วยเตี๋ยวอยู่ เขาอยากกินเราก็ให้ได้ แต่ให้แค่เส้นเดียวก็พอ ถ้ากิน ๒-๓ เส้นเดี๋ยวถ่ายท้องไม่เลิก ถ่ายขนาดต้องให้น้ำเกลือเลย

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=15681&stc=1&d=1321439102
ค่าง


เลี้ยงสัตว์ต้องระมัดระวังด้วย ใครเลี้ยงพวกสัตว์ตระกูลนกแก้ว นกกระตั้ว ต้องหาที่อุดหูไว้ด้วย ถ้าไม่พอใจพวกนี้จะแผดเสียงแว้ดลั่นบ้าน แล้วเสียงนกแก้วร้องนี่ ประเภทขี้หูเต้นระบำเลย

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=15682&stc=1&d=1321439102
นกกระตั้ว


ถ้าหากว่าเรารักสัตว์เฉพาะตัวเล็ก ๆ นี่อย่าไปเลี้ยงเลย ลูกหมาเล็ก ๆ ก็น่ารัก พอโตมาแล้วเปลี่ยนไป ไม่น่ารักเหมือนเด็ก ๆ เราก็เลิกรักแต่หมานั้นฝังใจ รักใครเขารักคนเดียว คราวนี้หมารักเราเท่าเดิม แต่เราไม่รักเขาแล้ว ถ้าเป็นคนก็ไปโดดตึกตายแล้ว ดีที่เป็นหมา กำลังใจดีกว่าคน จึงไม่ไปโดดตึก..!"

เถรี
16-11-2011, 17:41
"ภาพคนไทยหนีน้ำท่วมแล้วหอบหมาไปด้วย นักข่าวต่างชาติตีพิมพ์ไปทั่วโลกเลย บอกว่าปลาบปลื้มแทนคนไทยที่รักสัตว์เลี้ยง แต่คงจะรักมากถึงขนาดบรรจุไว้ในท้อง ส่งไปท่าแร่บ้าง ส่งไปเวียดนามบ้าง (หัวเราะ)

คนจำนวนหนึ่งก็รักหมาเหมือนลูก อีกจำนวนหนึ่งก็รักจนน้ำลายหก ไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย ถึงเวลาก็ไปไล่จับเอา เพราะในเขตอาเซียนด้วยกัน บ้านเรามีหมาจรจัดมากที่สุด เพราะอยู่ที่ไหนก็มีอาหารกิน

ตอนนี้ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน มีหมาอยู่เกือบ ๒,๐๐๐ ตัว มีคุณยายอยู่คนหนึ่งมีหมา ๕๐๐ กว่าตัว แล้วก็ไม่ใช่หมาของคุณยายหรอก เป็นหมาจรจัดนั่นแหละ คุณยายเอารถสามล้อส่งอาหารให้กินอยู่ทุกวัน พอน้ำท่วมก็ต้องพาอพยพไป

ปรากฏว่าบรรดานักการฯ นักศึกษา คณาจารย์วิตกมาก เพราะหมา ๕๐๐ กว่าตัวไม่ใช่ของคุณยาย คุณยายก็ไม่ได้ดูแลอะไร แล้วพอถึงที่นั่นแกก็ไม่มีอาหารจะเลี้ยง วัน ๆ คุณยายก็เอาแต่นั่งคุยโทรศัพท์กับเพื่อน หน้าที่เลี้ยงหมากับเก็บขี้หมาก็เป็นหน้าที่ของคนอื่นที่ว่ามานั่นแหละ จบด็อกเตอร์มาเก็บขี้หมา ดีเหมือนกัน ลดมานะให้ตัวเองได้

เพราะฉะนั้นบางคนถึงเมตตา แต่เขาก็อุเบกขา ปล่อยวางได้ พอถึงเวลาไปแล้ว ตัวกูยังไม่มีกิน เอ็งก็อดไปแล้วกัน..!"

เถรี
16-11-2011, 17:44
"น้ำท่วมครั้งนี้ก็มีเรื่องดีเหมือนกันนะ อันดับแรก พวกนกหนูงูเงี้ยวคงจะลดน้อยลงไปอย่างมหาศาลเลย เพราะบรรดาหนูกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่จะอยู่ในท่อ พอไม่มีท่อจะอยู่ ว่ายน้ำไม่ไหวก็จมตายไป ตัวไหนหนีขึ้นที่สูงได้ ถ้าไม่มีอะไรกินก็อดตายอีก

แต่ส่วนใหญ่สัตว์มีสัญชาตญาณดีกว่าคน ไม่นับสัตว์เลี้ยงที่หมดสัญชาตญาณแล้วนะ พวกบรรดาสัตว์ต่าง ๆ จะรู้ว่าอันตรายกำลังจะมาถึง ก็จะอพยพทัน มีเรื่องหนึ่งที่ไม่น่าเชื่อเลยก็คือว่า ถ้าเรือลำไหนก็ตาม มีบรรดาหนูและแมลงสาบวิ่งหนีออกไป ไม่ยอมอาศัยในเรือ กัปตันเขาจะรู้เลยว่าให้ทิ้งเรือได้แล้ว ออกทะเลไปก็จม

สัตว์รู้ก่อนว่าเรือลำนั้นจะจม แล้วเป็นอย่างนั้นทุกลำ ทั้ง ๆ ที่เรืออยู่ในท่า ถ้าหนูแมลงสาบวิ่งพลุกพล่านขึ้นมา ไม่ยอมอยู่ด้วย หาทางเผ่นขึ้นบกเมื่อไร ลำนั้นออกทะเลเมื่อไรก็จมแน่"

เถรี
17-11-2011, 16:19
ถาม : ถ้าน้ำท่วมมากอย่างนี้ กฐินหลายวัดคงจะเข้าไปทอดไม่ได้ ?
ตอบ : ก็แค่เลิกรับกฐิน อานิสงส์กฐินช่วยให้พระผ่อนสิกขาบทก็คือ เว้นโทษในสิกขาบทเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ ๔-๕ ข้อ กับได้ผ้าใหม่เอาไปใช้แทนของเก่าเท่านั้น ก็แค่ไม่ต้องผ่อนเรื่องศีลกับใช้ผ้าเก่าไปก่อน

เถรี
17-11-2011, 16:23
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีหน้าไม่ได้ห่วงเรื่องน้ำท่วมหรือเรื่องโลกาวินาศหรอก แต่ให้ห่วงเหตุการณ์สงครามนอกประเทศ และสภาวะเศรษฐกิจนอกประเทศที่จะซ้ำเติมบ้านเราจะดีกว่า

มีใครที่ทำงานเกี่ยวกับวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ไปช่วยขยายแนวคิดนี้ให้หน่อย ก็คือข่าวที่ไม่เป็นการสร้างสรรค์ ไม่ช่วยให้บ้านเมืองเจริญขึ้น อย่าไปลงให้ โดยเฉพาะพวกนักการเมืองที่ด่ากันไปด่ากันมา พอไม่มีกระบอกเสียงให้เดี๋ยวก็เลิกด่ากันไปเอง

ส่วนใครทำดีก็ช่วยกันสนับสนุนเขียนข่าวให้ ส่วนคนไหนที่ทำความชั่วเราก็คว่ำบาตร อย่าไปลงข่าวให้ พอถึงเวลาเขาอยากได้ชื่อเสียง อยากได้คะแนนเสียงจากชาวบ้าน ก็ต้องแย่งกันทำความดีไปเอง"

เถรี
17-11-2011, 18:05
พระอาจารย์กล่าวว่า "นึกถึงกำลังใจในหลวง พระองค์ท่านสุดยอดมนุษย์จริง ๆ เวลา ๖๐ กว่าปีผ่านมา พระองค์ท่านทำอะไรแทบจะไม่มีคนทำตามเลย พระองค์ท่านก็ทำไปเรื่อย คนอื่นไม่ทำตามก็เรื่องของเขา ทำให้ดูไปเรื่อย ๆ อาตมาจะแต่งกลอนถวาย เริ่มได้บรรทัดเดียวหยุดเลย แต่งต่อไม่ได้ เพราะว่าอเนจอนาถเกินไป

ในหลวงไม่เคยเลือกว่าเป็นพวกใคร ไม่เคยเลือกว่าจะเป็นคนรวยคนจน ไม่เคยเลือกว่าเชื้อชาติศาสนาใด พระองค์ท่านถือว่าเป็นพสกนิกรที่ต้องสงเคราะห์ทั้งหมด แต่บรรดานักการเมืองไม่ว่าจะเป็นระดับประเทศหรือระดับท้องถิ่น เขาไม่สามารถที่จะแยกแยะได้ อะไรก็ต้องตัวกู ของกู พวกพ้องกูไว้ก่อน

ขนาดไปแจกของน้ำท่วม เขายังให้แจกแต่พวกเขา บางพื้นที่ยิ่งทุเรศเข้าไปใหญ่ ถ้าไม่ใส่เสื้อสีแดงมาเขาไม่ให้ อาตมาจึงปรับวิธีการแจกของโดยการแจกด้วยตัวเองก็เพราะอย่างนี้แหละ ไม่อย่างนั้นของก็จะไปตกอยู่แต่พรรคพวกเขาเอง

ในหลวงทรงทำทุกอย่างเพื่อความสุขความเจริญของประเทศชาติ แต่คนที่เห็นแก่ตัวเอง เห็นแก่พวกพ้องกลับสร้างความแตกแยกมากขึ้น ๆ สถานการณ์แบบนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะสมานสามัคคีคืนดีกันมา แต่แทนที่เขาจะสมานสามัคคีกัน กลับเอาแต่พวกพ้องและตัวกูอีก

น่าจะออกพระราชบัญญัติพิเศษ ห้ามนักการเมืองพูด ๓ ปี แล้วประเทศชาติจะเจริญขึ้น ห้ามพูด ห้ามให้ข่าว ห้ามออกความเห็น หรือไม่ก็งดบริหารราชการไปเลย ให้เอกชนเขาจัดการกันเองสัก ๓ ปี แล้วบ้านเมืองก็จะเจริญเอง"

เถรี
17-11-2011, 21:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเราเคยชินกับการให้ การบริจาค มาเป็นแสนชาติแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องการให้ การบริจาคของ พวกเราจะไม่หนักใจ แต่ขณะเดียวกันคนที่ให้ไม่เป็น กว่าจะควักเงินแต่ละทีเหมือนจะขาดใจตาย เพราะความตระหนี่ถี่เหนียวรั้งเอาไว้ ขอให้ดีใจว่า..กำลังที่เราสร้างมานี้ เหลือเฟือเกินพอที่จะตัดกิเลสแล้ว เพียงแต่ว่าต้องปฏิบัติให้ต่อเนื่องจริงจังเท่านั้น

คนที่จะตัดกิเลสได้ต้องสละได้จริง ๆ แล้วกิเลสทุกตัวมีกำลังเท่ากันหมด จะเป็นราคะ โลภะ โทสะ โมหะ กำลังเท่ากันหมด เพียงแต่ว่าตัวไหนจะเด่นออกมาเท่านั้น ถ้าเราตัดได้ตัวหนึ่ง ตัวอื่นก็หมดกำลังไปด้วย เพราะว่ากำลังใจในการตัดละกิเลส ไม่ว่าจะเป็นตัวไหนก็ใช้กำลังใจในการตัดเท่ากัน

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเปรียบว่า รัก โลภ โกรธ หลง เหมือนกับโต๊ะ ๔ ขา ถ้าเราเลื่อยขาออกได้ขาหนึ่ง โต๊ะก็หกคะเมนแล้ว ขาไหนที่ดื้อตั้งอยู่ได้ก็ไม่แข็งแรง พวกเราเคยชินกับการให้ทานมานับชาติไม่ถ้วน ก็เลยกลายเป็นว่าถ้าจะตัดกิเลสกัน รัก โลภ โกรธ หลง นี่ หั่นตัวโลภไปก่อนเลย ถ้าตัวโลภหมดไปได้ ตัวอื่นก็ไม่มีกำลังแล้ว"

เถรี
17-11-2011, 21:30
พระอาจารย์กล่าวว่า "การที่น้ำท่วมครั้งนี้ พระได้รับผลกระทบแรงกว่าโยมทั่วไปมาก วัดที่น้ำท่วมพระก็เดือดร้อนหาที่อยู่ไม่ได้ ที่ฉันก็ลำบาก ที่อาศัยก็ลำบาก

ส่วนวัดที่โดนน้ำท่วมแล้วสามารถป้องกันไว้ได้ เสียงบประมาณไปเท่าไรก็ไม่รู้ อย่างวัดพนัญเชิงกั้นน้ำได้รอบวัดเลย อาตมาฟังผิดหรือเปล่าไม่รู้ เขาบอกว่าใช้งบไปกว่า ๑๐ ล้าน แต่เขาเอาอยู่จริง ๆ วัดบางนมโคก็เอาอยู่ แปลว่าวัดที่กั้นอยู่ได้นี่ต้องเป็นวัดที่มีนักท่องเที่ยวไปประจำ มีรายได้ประจำ

คนไปกราบหลวงปู่ปานอยู่ทุกวัน ไปไหว้หลวงพ่อโตที่วัดพนัญเชิงอยู่ทุกวัน งบประมาณจึงไหลมาเทมา วัดมีทุนสำรองมากพอ ถึงเวลาไม่ว่าทรายจะแพงขนาดไหนเขาก็ซื้อไหว แล้วถ้าวัดพนัญเชิงหมด ๑๐ ล้าน วัดธรรมกายจะหมดเท่าไร ? เพราะมี ๒,๐๐๐ กว่าไร่ เขาก็เอาอยู่ แปลว่าแม้ว่าจะกั้นอยู่ ก็ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณมหาศาล

ท้ายที่สุด วัดที่น้ำไม่ท่วมอย่างวัดท่าขนุน เดือดร้อนกว่าวัดที่น้ำท่วมเยอะเลย เพราะการขอความช่วยเหลือทุกอย่างวิ่งประดังเข้ามาหา คนนั้นก็จะให้ช่วย คนนี้ก็จะให้ช่วย วัดท่าขนุนบิณฑบาตตอนตักบาตรเทโวได้ของมหาศาลเลย เพราะว่าคนทั้งอำเภอจะมารวมกันที่นั่น บรรยากาศน่าตักบาตร เพราะมีพระเดินแถวลงจากยอดเขามา

พอได้ของจากการตักบาตรเทโว เทศบาล อบต. โรงพยาบาล สถานีตำรวจ ที่ว่าการอำเภอ ท้ายสุดกระทั่งโรงเรียน ต่างคนต่างมาขอ เอาไปคนละ ๑-๒ รถกระบะ สรุปว่าทั้งหมดไปรวมอยู่ที่ตัวเมืองกาญจน์

ผู้ว่าราชการจังหวัดท่านขอมา แต่ละหน่วยงานก็ต้องหาไปให้ แต่เขาไม่รู้หรอกว่าแต่ละหน่วยงานที่เอาไป เขาเอาไปจากวัดท่าขนุนที่เดียว ท้ายที่สุดคณะสงฆ์ทองผาภูมิก็ตื่น พอเห็นคนเขาช่วยกันก็เอาบ้าง เพียงแต่ขยับตัวช่วยช้าไปนิดหนึ่ง"

เถรี
18-11-2011, 15:45
ถาม : น้ำท่วมเป็นเรื่องของกรรมวิบากส่งผลด้วยใช่ไหมครับ ? แล้วคนที่ต้องมาบริหารประเทศ จะถือว่าเป็นวิบากกรรมอะไรหรือครับ ?
ตอบ : น่าจะเป็นประเภทเคยรบกวนคนอื่นไว้มาก พอถึงเวลาเลยโดนกวนคืนบ้าง

เถรี
18-11-2011, 15:48
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานดี ๆ อย่างเช่นที่พระเข้าไปช่วยเหลือชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วม น่าจะมีหน่วยงานไปช่วยประชาสัมพันธ์ให้ทราบเป็นสาธารณะ แต่ทีนี้ไม่มีคนประชาสัมพันธ์ให้ จึงทำให้คนรู้อยู่แค่พื้นที่ที่พระเข้าไปช่วยเท่านั้น ไม่ได้รู้กระจายเป็นวงกว้าง

แต่พอมีข่าวที่พระทำไม่ดี แวบเดียวคนรู้ทั่วประเทศเลย ทั้ง ๆ ที่เราสังเกตดูจะเห็นว่าข่าวแบบนี้นาน ๆ โผล่มาที เฉลี่ยปีละประมาณ ๑๒ ครั้ง ก็ตกเดือนละครั้ง เราลองคิดดูว่าพระที่อยู่เหนือใต้ออกตก สามหมื่นกว่าวัด มีข่าวไม่ดีปีละ ๑๒ ครั้ง นับเปอร์เซนต์ไม่ได้เลยนะ แต่เขาก็ช่วยกันเขย่าจนพระศาสนาจะพังให้ได้ ทีเรื่องที่พระท่านทำดีกันแทบเป็นแทบตายกลับไม่มีใครเห็น ไม่มีใครสนใจ"

เถรี
18-11-2011, 15:56
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อประมาณ ๑๐ ปีก่อน มีเด็กจมน้ำตายหลังวัด อายุประมาณ ๑๒-๑๓ ขวบเอง ที่จมน้ำตายเพราะพ่อไปช่วย น้ำตอนนั้นแรงมาก บริษัทท่องเที่ยวก็ดันปล่อยให้เขาล่องเรือแคนูกัน คราวนี้พอกระแสน้ำแรงเอาไม่อยู่ ก็พุ่งชนเสาสะพานหลังวัด เรือแคนูพลิกคว่ำ เด็กพลาดตกจากเรือ พ่อเอื้อมมือคว้า ดันไปจับถูกเสื้อชูชีพแล้วดึงหลุดมาทั้งตัว ถ้าเสื้อชูชีพไม่หลุดเด็กจะไม่เป็นอะไร

คนเราจะถึงที่อย่างไรก็ตาย อาตมาพาพระพาเณรไปช่วยกันงมเป็นวันเป็นคืน ก็หาไม่เจอ เพราะผีไม่ยอมให้ เลยไปยืมปืนชาตรีส่งให้ "น้าวัฒน์" ไป บอกให้หันไปห่าง ๆ ตรงนั้นหน่อย เดี๋ยวศพเป็นรูแล้วจะซวย พอซัดตูมลงไปผีเผ่นกระเจิง ทีนี้งมได้ ไม่อย่างนั้นงมเท่าไรก็หาศพไม่เจอ อยู่ตรงนั้นแหละ พระเณรลุยผ่านกี่รอบ ๆ ก็หาไม่เจอ เพราะผีบังเอาไว้"

เถรี
18-11-2011, 15:59
ถาม : กุมารทอง ?
ตอบ : กุมารทองมีเป็นปกติ จริง ๆ แล้วถ้าเป็นวิชาที่เขาอาราธนาบารมีพระสงเคราะห์ กุมารทองก็จะเป็นเทวดา แต่ถ้าหากเป็นวิชาทางไสยศาสตร์ก็จะได้กุมารทองที่เป็นผีไปเลย ถ้าเป็นกุมารทองที่เป็นเทวดา เวลาสนุกเขาจะมาชวนเด็ก ๆ เล่นด้วยกัน แต่อย่างหลังที่เป็นผีนี่จะกวน ไม่ได้อย่างใจก็จะอาละวาดอีกต่างหาก

กุมารทองรายล่าสุดที่ทำแล้วได้ผลคือ กุมารทองของหลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม แต่ท่านยืนยันว่าท่านเสกจนเป็นเทวดาหมดแล้ว ก็แสดงว่าท่านขอบารมีพระให้เทวดาท่านสงเคราะห์

ถาม : ถือว่าเป็นวัตถุมงคลหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถือว่าเป็นวัตถุมงคลนั่นแหละ แต่จัดอยู่ในประเภทเครื่องราง

ถาม :เทวดาที่มาประจำต้องดูแลในลักษณะไหนครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ก็คือเรื่องของลาภผล สงเคราะห์ในเรื่องของการทำมาหากิน ลาภผลเงินทอง แสดงว่าอย่างน้อย ๆ บารมีเก่าของท่านต้องมาในด้านทานบารมี

เถรี
19-11-2011, 21:12
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนเกิดสึนามิที่ญี่ปุ่น คุณยายอายุ ๘๐ กว่าปีกับหลานชายอายุ ๑๗ ติดอยู่ในบ้าน ภายในบ้านนั้นมีอาหารอยู่ในครัว พอ ๕ วันให้หลังหน่วยกู้ภัยไปเอายายและหลานออกมาได้ คุณยายอายุ ๘๐ กว่ายังเดินได้ แต่หลานอายุ ๑๗ ปี หน่วยกู้ภัยต้องหามออกมา..!

สภาพจิตใจของหลานชายที่โดนภัยพิบัติรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก ส่วนคุณยายเคยผ่านสงครามโลกครั้งที่ ๒ มาแล้ว แกรู้ว่าเรื่องร้ายแบบนี้เดี๋ยวก็ผ่านไป เพราะฉะนั้น..คุณยายอายุ ๘๐ กว่าปีกำลังใจยังดีอยู่ ถึงเวลาเดินออกมาได้เพราะไม่ได้ขาดอาหาร แต่หลานต้องให้หน่วยกู้ภัยหามออกมา

ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน เรื่องของกำลังใจเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ดูตัวอย่างคนงานที่ติดอยู่ในเหมืองใต้ดินที่ชิลี แต่ละคนหาเกมมาเล่น กินอาหารกันวันละ ๒ ช้อนเท่านั้น แต่เขามีความหวังว่าอย่างไรก็ต้องออกไปได้ ท้ายสุดเขาก็เจาะช่องเอาแคปซูลหย่อนลงไปรับออกมาได้ ถ้าหากว่าใจไม่สิ้นหวัง มโนสัญเจตนาหารมั่นคง โอกาสที่จะรอดก็มีสูงกว่าคนอื่นเขา"

เถรี
20-11-2011, 06:34
ถาม : เรื่องศีลข้อกาเมฯ ครับ ถ้าสามีข่มขืนภรรยาจะผิดไหมครับ?
ตอบ : ถึงขนาดข่มขืนเลยหรือ..?!? ถ้าเป็นสามีภรรยากันก็ไม่ถือว่าผิด แต่เป็นการทำร้ายจิตใจกันจนเกินไป

ถาม : แล้วถ้าตอนนั้นเขาถือศีล ๘ อยู่ ?
ตอบ : ถ้าลักษณะนั้นความซวยจะมาเยือน ไม่ได้ผิดศีลข้อกาเมฯ แต่เป็นการละเมิดผู้ที่กำลังประพฤติพรหมจรรย์ จะเจอลักษณะเดียวกับนกแสกที่บินผ่านพระมหาโมคคัลลานะที่กำลังเข้าสมาบัติอยู่ นกแสกแหกปากร้องขู่ จนป่านนี้ยังอยู่ในนรกเลย..! ไม่รู้จะหวงที่อะไรขนาดนั้น พระเข้านิโรธสมาบัติไม่ได้ไปยุ่งอะไรด้วยสักหน่อย

ถาม : เป็นเรื่องในชาติที่แล้วครับ
ตอบ : เรื่องอดีตชาติอย่าเอามาปะปนกับปัจจุบัน ต่อให้คุณรู้จริงแค่ไหนก็ต้องมีสติว่านี่คือปัจจุบัน เรื่องที่เป็นอดีตผ่านไปแล้วไม่ต้องไปใส่ใจ อันไหนที่เป็นสิ่งที่ทดแทนกันได้ก็ทำให้เขาไป ถ้าทำทดแทนกันไม่ได้ เขาไม่อโหสิกรรม ไม่เลิกจองเวร ก็ปล่อยให้เขาจองไป เราอย่าไปจองด้วยก็แล้วกัน

เถรี
20-11-2011, 06:40
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่ญาติโยมพอน้ำท่วมก็เครียด ไม่มีอารมณ์ที่จะปฏิบัติกรรมฐาน พอเรายิ่งเครียดกำลังใจยิ่งตกง่าย ก็แปลว่าพอกำลังใจตก คราวนี้จะตีคืนได้ยาก

สำหรับนักปฏิบัติแล้ว ในส่วนที่ถือว่าน่ากลัวก็คือการที่กำลังใจตก กำลังใจตกสำคัญที่สุดก็เพราะเหตุที่สมาธิตก เพราะฉะนั้น..สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องประคองสมาธิให้นานที่สุด ถ้าไม่ได้คล่องตัวถึงขนาดจะเข้าฌานเมื่อไรก็ได้ โอกาสที่จะกำลังใจตกมีสูงมากเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์

แต่บางทีคนเราพอฟังครูบาอาจารย์พูดเข้า ก็ได้แต่ฟังอย่างเดียว เหมือนกับผ่านหูไปเฉย ๆ เพราะกำลังใจของเราไม่ได้อยู่ตรงจุดนั้น เมื่อผ่านหูไปเฉย ๆ ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์ ถึงเวลาก็ทำให้กำลังใจตกอีก จนกว่าจะตกแล้วตกเล่า ตกจนเข็ด คราวนี้ก็เริ่มจะคิดหาช่องทางว่าจะทำอย่างไรถึงจะรักษากำลังใจไม่ให้ตก

หลังจากนั้น ถึงจะหาวิธีประคับประคองอย่างไรจึงจะรักษากำลังใจเอาไว้ได้ แรก ๆ ก็ได้เดี๋ยวเดียวแล้วก็ตกอีก แต่พอหมั่นทำบ่อย ๆ เกิดความคล่องตัวมากขึ้น ก็จะตกช้าลงไปเรื่อย ๆ ระยะเวลาก็ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนท้ายสุดก็อยู่ได้เป็นเดือนเป็นปี แต่พอเผลอก็ตกอีก ถ้าหากว่าถึงเวลาอยู่ได้เป็นเดือนเป็นปีแสดงว่าตกมาจนเข็ดแล้ว รู้วิธีรักษาอารมณ์แล้ว แต่ถ้าไปเผลอขาดสติเข้าก็ทำให้กำลังใจตกลงได้อีก ดังนั้น จงอย่าเชื่อว่าตัวเองดีแล้วเป็นอันขาด"

เถรี
21-11-2011, 15:44
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนเมืองไทยมีจระเข้มากเป็นปกติ ช่วงประมาณรัชกาลที่ ๗-๘ ทางการปล่อยให้คนญวนมาล่าจระเข้ พอสมัยต้นรัชกาลที่ ๙ คนญวนก็ยังล่าจระเข้อยู่ อย่างจระเข้ที่บึงบอระเพ็ด โดนคนญวนกวาดจนเกลี้ยงเลย

เขาบอกว่าคนญวนไม่กลัวจระเข้ ถ้าพายเรือไปเห็นจระเข้มาก็พุ่งเข้าล็อกเลย จระเข้เป็นสัตว์ที่ถอดใจง่ายที่สุด สัตว์ทุกชนิดพอเจอสัตว์อื่นที่แข็งแรงกว่ามักจะยอมแพ้ อย่างที่เราเห็นว่าตัวเงินตัวทอง ๒ ตัวกอดกันอยู่ จริง ๆ นั่นเขากำลังสู้กัน ผลักกันไปผลักกันมา ถ้าตัวไหนแข็งแรงกว่า อีกตัวจะยอมแพ้แล้วหนีไปให้พ้นเขต ไม่ใช่กอดกันเพราะดีใจได้เจอเพื่อน

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=15695&stc=1&d=1321864723


ถ้าคนญวนจับจระเข้ เขาจะกระโดดไปเกาะหลัง เสร็จแล้วเอาเท้ารัดช่วงขาหลัง เอาแขนรัดขาหน้า แล้วกลั้นหายใจ จระเข้ก็พลิกซ้ายพลิกขวาไปเรื่อย พอพลิกไป ๗-๘ รอบ เห็นว่าสะบัดไม่หลุด ก็จะยอมแพ้ ลอยนิ่ง ๆ ให้จับ แล้วเวลาจระเข้งับปากลง แรงงับจะมาก แต่จะไม่มีแรงอ้าปากขึ้น เพราะฉะนั้น..แค่เอาเทปมาพันปากไว้ก็ได้แล้ว จระเข้จะอ้าปากไม่ขึ้น เพราะมีแต่กำลังตอนงับลง แต่ไม่มีกำลังตอนอ้าปากขึ้น

ถ้าในน้ำลึกเราไม่ต้องกลัวจระเข้ แต่ถ้าครึ่งบกครึ่งน้ำจะน่ากลัวมาก เพราะจระเข้จะพลิกตัวกลับตัวได้เร็วมาก แต่ถ้าอยู่ในน้ำลึกจระเข้จะกลับตัวไม่ทัน เพราะไม่มีที่ให้เท้าหยั่ง จะต้องใช้หางว่ายแล้วตะแคงตัวเพื่ออ้าปากกัดเรา แบบนี้ไม่ทันกิน คนญวนรู้ก็เลยไม่กลัว พอล็อกจระเข้ได้ เห็นว่าสลัดไม่หลุดจระเข้ก็ยอมแพ้ โดนคนญวนถลกหนังไปขายหมด"

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=15696&stc=1&d=1321864939

เถรี
21-11-2011, 15:58
"จระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกชื่อ "เจ้าไมค์" อยู่ที่ฟาร์มจระเข้สมุทรปราการ แต่ถ้าเจ้าพ่อแห่งทุ่งพลายงามที่ปราณบุรียังอยู่ น่าจะเป็นจระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นจระเข้ที่อยู่มานานจนโคตรฉลาดเลย เวลาเขาเดินอยู่กลางป่าที่เป็นทุ่ง ลักษณะโหย่ง ๆ เหมือนรถจี๊ปกำลังเคลื่อนที่ แต่พอเราไล่ตามไป พรวดเดียวเขาก็ลงน้ำก็หายจ้อยไปแล้ว ชาวบ้านเรียกว่า "ไอ้จ้าว" หรือไม่ก็ "เจ้าพ่อ" (เจ้าพ่อแห่งทุ่งพลายงาม) ตัวใหญ่ขนาดที่คนยืนคนละฟากของรอย ส่งปืนยาวให้กันยังเอื้อมไม่ถึง ข่าวนี้หลายสิบปีแล้ว ระยะหลังคนมากขึ้น เขาก็ไม่โผล่มาให้เห็นอีก แต่ยังไม่ได้ข่าวว่าตาย

ส่วนจระเข้ยักษ์ที่กำแพงเพชรนั่น ครูน้อย อินทนนท์ยิงตาย โดนยิงด้วยไรเฟิลแฝด อัดเข้าไปสองนัด เพราะลากวัวควายชาวบ้านไปกินหลายตัว

ครูน้อย อินทนนท์ มีดวงในการล่าสัตว์มาก ครูน้อยยิงควายป่าได้ทั้งที่อยู่ห่างจากบ้านไปนิดเดียว พรานนำทางยืนยันว่าเป็นควายป่า ครูน้อยยังลังเลว่าเป็นควายชาวบ้านหรือเปล่า เพราะว่าเดินพ้นหมู่บ้านไปนิดเดียวก็เจอแล้ว แล้วก็ซัดตูมเข้าให้ หงายผลึ่งตายสนิท ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นเลย

จระเข้ตัวนั้นก็เหมือนกัน คนอื่นไปซุ่มยิงก็เหมือนกับมีผีสิงมาบอกจระเข้ให้หลบได้ทุกที ครูน้อยไปนั่งซุ่มอยู่พักเดียวก็เสือกหัวพรวดขึ้นมานอนอาบแดด โดนเข้าไปสองนัดพลิกหงายท้อง ต้องบอกว่าคนมีดวงในการล่า ก็คงจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันมาก่อน แต่จระเข้ตัวนั้นใหญ่ขนาดเรือจ้าง เป็นพวกเราต่อให้อยู่ไกล ๆ ก็น่าจะมือสั่นเหมือนกัน"

เถรี
21-11-2011, 16:08
"เคยได้ยินเสียงจระเข้ร้องไหม ? คล้าย ๆ กับเสียงวัว เวลาเราเข้าป่า เสียงสัตว์บางชนิดถ้าเราไม่เคยได้ยินก็จะคิดว่าเป็นผี เช่น เสียงบ่างเวลาร้องอย่างกับเสียงผู้หญิงโหยหวนกลางป่า อย่างแมลงบางประเภทเสียงดังประหลาด อยู่ ๆ ก็แซ่สนั่นมารอบข้าง เราไม่เห็นตัวก็นึกว่าผี

คนเดินป่าต้องมีใจคอที่เข้มแข็ง มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ยึด จะได้ไม่กลัวอะไรง่าย ๆ ไม่อย่างนั้นอาถรรพ์ป่าจะครอบเอาได้ง่าย ถ้าอาถรรพ์ป่าครอบได้จะทำให้ขาดสติ บางทีก็จะหลงป่าจนตายได้ จึงต้องใจคอเข้มแข็ง มีความมั่นใจ

บางรายก็มีคาถาดี มีอาวุธดี บางรายก็พกมีดหมอครูบาอาจารย์เข้าไป ตอนนี้แม่ชีกุ๋ยมีพระขรรค์โสฬสเป็นที่พึ่ง ความที่คิดว่าวัตรปฏิบัติของตัวเองดีกว่าคนอื่น ทำให้ผีชอบมาลอง ต่อให้ไม่ได้คิดจะอวดใคร แต่พอเห็นว่าเราทำได้ดี ภูมิใจตัวเอง ผีเขาก็เอาแล้ว อยากดูว่าจะเก่งสักแค่ไหนเชียว"

เถรี
21-11-2011, 17:19
ถาม : ถ้าพระสงฆ์มี ๔ รูปในวัด จะรับกฐินได้ไหมครับ ? ถ้าไปนิมนต์พระอื่นมาเพิ่ม จะมีผลกฐินครบถ้วนไหมครับ ?
ตอบ : ได้..อานิสงส์ครบถ้วนทุกอย่าง พระพุทธเจ้าอนุญาตว่าให้นิมนต์สงฆ์มาเป็นคณปูรกะ ก็คือให้เต็มคณะสงฆ์ได้ แต่ระบุไว้ชัดเลยว่าพระที่นิมนต์มาจะไม่มีส่วนในกองกฐิน ก็แปลว่ามาด้วยใจจริง ๆ ไม่ได้ประโยชน์อะไรด้วยเลย

ถ้าเป็นอาตมาจะควักกระเป๋าเอาเงินส่วนตัวช่วยค่ารถท่านไป เพราะท่านอุตส่าห์มาช่วยทั้งที ภาษาบาลีใช้คำว่าคณปูรกะ คือมาให้เต็มคณะสงฆ์คือมา ๔ รูป รวมเจ้าของวัดแล้วเป็น ๕ รูปก็รับกฐินได้

เถรี
21-11-2011, 17:21
พระอาจารย์กล่าวถึงการแจกของแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมว่า "ความช่วยเหลือไปถึงเร็วเท่าไรก็บรรเทาความเดือดร้อนได้เร็วเท่านั้น ส่งถึงมือเขาเร็วเท่าไรเขาก็เดือดร้อนน้อยลงเท่านั้น บางคนอดข้าวตั้งแต่เช้าถึงค่ำ ถ้าเราไปถึงค่ำเขาก็เป็นลมแล้ว ดังนั้นควรที่จะออกไปช่วยเขาให้เช้าที่สุดเท่าที่เราจะทำได้"

เถรี
21-11-2011, 17:50
พระอาจารย์กล่าวว่า "พอน้ำท่วมแล้วมีสิ่งที่ดีมากอยู่หลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะนักปฏิบัติจะเห็นชัดเลยว่ามีส่วนเกินในชีวิตเยอะมาก ที่เขาบอกว่าให้เก็บของมีค่าขึ้นที่สูง มาดูกันจริง ๆ จะเห็นของที่เราเก็บเอาไว้เสียเต็มบ้านเต็มช่องนั้น มีแต่ส่วนเกินแทบทั้งนั้น เพราะฉะนั้น..น้ำท่วมครั้งนี้ก็ทำให้คนกรุงเทพฯ หรือว่าญาติโยมที่อาศัยในกรุงเทพฯ ได้พิจารณาดูว่า ตัวเองมีอะไรเป็นส่วนเกินบ้าง

มีโยมอยู่คนหนึ่งอยู่แถวรังสิต มีบ้านอยู่ ๓ หลัง เขาบอกว่าต้องขายทิ้งไป ๒ หลัง เขารู้แล้วว่าพอน้ำท่วมแล้วเป็นภาระ ดูแลไม่ทั่วถึง ไม่ว่าจะกั้นขนาดไหนสุดท้ายก็ท่วม ข้าวของอะไรที่เห็นว่าเกะกะบ้าน หลังน้ำท่วมก็ถือโอกาสชำระสะสาง ถ้ารู้สึกว่าว่ามีมากเกินไปก็ใช้วิธีเรียกรถขายของเก่ามาจัดการให้

พอเราดูไป ก็จะเห็นว่าจริง ๆ แล้วของที่จำเป็นต่อชีวิตของเราตอนนี้คืออาหาร ที่อยู่อาศัยมีกันทุกคน ไม่ว่าจะเช่าหรือเป็นของตัว เครื่องนุ่งห่มบางคนใส่เป็นปีก็ยังไม่รู้ว่าจะใส่ครบทุกชุดหรือเปล่า ? ยารักษาโรคซื้อครั้งหนึ่งเก็บได้ ๔ ปี เพราะอายุยาเป็นอย่างนั้นเป็นปกติอยู่แล้ว ตอนนี้ที่ขาดแคลนอยู่จริง ๆ คืออาหาร ก็แปลว่าของที่บ้านเราก็เป็นส่วนเกินกันทั้งนั้น

โดยเฉพาะคุณผู้ชายบางคนก็มีภรรยาเป็นส่วนเกิน ก็ถือโอกาสลอยน้ำไปซะ ที่รักจ๋า..รูปร่างหน้าตาเธอก็ยังดี ปีนี้เป็นนางนพมาศหน่อยนะ ว่าแล้วก็ใส่กระทงลอยไปเลย..!"

เถรี
21-11-2011, 18:02
"พอถึงเวลาแล้วเราก็ไม่อาจจะดูแลทุกอย่างได้ทั่วถึง ของบางอย่างเก็บแล้วเก็บอีก เก็บจนกระทั่งฝุ่นจับหนาเป็นนิ้วยังไม่เอามาดูเลยว่านั่นคืออะไร บางบ้านออกไปเดินซื้อของได้ทุกวัน ซื้อมาแล้วก็วางกองไว้ ขอให้ได้ซื้อก็พอแต่ไม่ได้ใช้ เราก็ถือโอกาสตอนที่คนอื่นเดือดร้อน มีอะไรพอที่ช่วยเหลือคนอื่นเขาได้ก็สละออกเสีย ตัวจะได้เบา

สมัยอาตมาเป็นฆราวาส มีแค่เป้ใบเดียวเท่านั้น มีเสื้อผ้าอยู่ข้างใน ๒ ชุด ติดตัวอีก ๑ ชุด ไปได้ทั่วโลกเลย ของใช้จำเป็นนิด ๆ หน่อย ๆ อย่างสบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟันไม่ต้องกังวล ไปที่ไหนก็มีขาย แต่สมัยนั้นจะเก็บเงินสำรองไว้ ๑,๐๐๐ บาท ติดตัวไว้ เป็นธนบัตร ๕๐๐ บาทสองใบพับให้เล็ก ใส่ไว้ในกรอบพระสเตนเลส หลวงพ่ออยู่ข้างหน้า เงินอยู่ข้างหลัง คนไม่เห็นหรอก โจรปล้นอย่างไรก็ไม่เอาหรอกสร้อยสแตนเลส ถ้าเอาออกมาใช้ก็ต้องรีบใส่คืนเพราะเป็นเงินสำรอง เผื่อไปตกรถอยู่สุดเหนือสุดใต้อย่างไรก็กลับบ้านได้"

เถรี
22-11-2011, 07:10
พระอาจารย์เล่าว่า "เวลาพระทำผิด โดยเฉพาะพระที่มาจากที่อื่นแล้วมาทำผิดในพื้นที่ อาตมาจับได้จะเปิดทางให้เขากว้างมากเลย คือ ถามว่าจะสึกหรือจะติดคุก ? ถ้าหากคุณจะติดคุกอาตมาจะแจ้งความ แต่ถ้าคุณจะสึกจะทำพิธีสึกให้ ก็เห็นว่าเลือกสึกกันทั้งนั้น"

ถาม : มีพระทำความผิดด้วยหรือคะ ?
ตอบ : อย่างเช่นขโมยของ เอาไปทั้งกระเป๋าเลย เป็นพระอาคันตุกะมาจากที่อื่น มาขออาศัยอยู่กับเราแล้วมาขโมยของ พระที่อยู่วัดเราจะไม่ทำแบบนี้

อย่างสามเณรทีทีที่วัดท่ามะขาม รายนี้แสบมาก..ขโมยทุกอย่างที่ขวางหน้า พอพระจับได้ซึ่ง ๆ หน้า สามเณรก็บอกว่าไม่ได้เอา เขาก็เลยทำอะไรกันไม่ได้ เพราะเด็กปากแข็ง แล้วเจ้าอาวาสก็ไม่กล้าทำอะไร เพราะแม่เขาเป็นขาใหญ่สนับสนุนวัดอยู่ ท่านก็เลยเกรงใจ

แต่อาตมาไม่เกรงใจ ทุกคนจับทีทีมา ทีทีไม่รับสักคน วันนั้นพระครูอ้ำบอกว่า "อาจารย์เล็ก..ช่วยผมหน่อยนะ ถ้าวันนี้จับทีทีสึกไม่ได้ อ้ำจะสึกเอง..!" แสดงว่าอัดอั้นตันใจเต็มทีแล้ว อาตมาก็ถามว่าทำไม ? "เณรทีทีขโมยเงิน ผมเห็นชัด ๆ เลย ขนาดว่ากำเงินไว้ในมือ ยังบอกว่าไม่ได้เอาอีก" อาตมาเลยบอกว่า "ไปเอาตัวมา เดี๋ยวผมจัดการให้" ทีทีไปงัดตู้บริจาค แล้วเป็นคนที่นิสัยดีมาก งัดตู้บริจาคแล้วเอาเงินไปซื้อขนมแจกเพื่อน..!

เถรี
22-11-2011, 07:13
พอมาถึงเราก็ถาม "ทีที..งัดมากี่หนแล้ว ?" ทีทีก็มองหน้า "๒ หนครับ" แค่นั้นพระครูอ้ำก็ยิ้มออก "ผมถามให้ตายมันไม่เคยยอมรับเลย แต่พออาจารย์ถามทำไมมันรับ ?" อาตมาบอกว่า "ก็คุณถามว่างัดหรือเปล่า ? มันก็บอกว่าเปล่าสิ ผมถามว่างัดมากี่หนแล้ว มันก็ต้องบอกให้น้อยที่สุด แต่อย่างไรมันก็งัด" (หัวเราะ) คุณถามไม่เป็นนี่หว่า...

ทีทีเป็นอย่างนั้นไม่ต้องโทษใคร อาตมาโทษแม่เขา ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะเขาขาดความรักในบ้าน ที่กล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำ เพราะมีหลายครั้งที่เขาทำผิดแล้วทางวัดโทรศัพท์ไปบอกแม่ พอแม่เขามาถึง ทั้ง ๆ ที่ลูกเป็นเณร แม่เขาด่าสาดเสียเทเสียอยู่ตรงนั้น ไม่มีสักนิดหนึ่งที่จะถามว่าทำไมถึงทำอย่างนี้ ลูกมีเหตุผลอะไร ด่าอย่างเดียวจริง ๆ แสดงว่าอยู่ที่บ้านคงโดนหนักกว่านี้อีก

นี่ขนาดว่าเป็นเณรยังโดนขนาดนี้ ถ้าเราเป็นลูก ขาดความรักความอบอุ่นในบ้าน ก็ต้องทำแบบทีที เขาขโมยเงินไปซื้อขนมมาแจกเพื่อน เพื่อนก็เห็นเขาเป็นวีรบุรุษ ในเมื่ออยู่ในบ้านแม่ไม่สนใจตัวเอง เอาแต่ทำงานแล้วด่าลูกอย่างเดียว ไม่เคยสอนให้ลูกทำอย่างไรถึงจะถูก ลูกออกนอกบ้านก็ทำอย่างนี้ ดังนั้น..ใครเลี้ยงลูกแล้วไม่อยากให้ลูกเป็นโจร ความรักของพ่อแม่เป็นสิ่งสำคัญนะจ๊ะ

เถรี
22-11-2011, 07:28
วันก่อนอบรมเด็ก ๆ เรื่องยาเสพติด บรรดาพี่ ๆ ตชด. เขามาช่วยอบรม ท้ายสุดอาตมาเน้นย้ำตรงที่ว่า ความรักในครอบครัวเป็นรั้วป้องกันยาเสพติดที่ดีที่สุด ที่ขำที่สุดก็คือ เดินบิณฑบาตผ่านป้ายโฆษณาของทางเทศบาลตำบลทองผาภูมิที่ว่า "นึกถึงครอบครัวสักนิด ถ้าคิดจะเสพยา"

อาตมาก็ว่า พอนึกถึงเด็กเสพเลยแหละ เพราะเครียดมาจากทางบ้าน ถ้าเป็นอาตมาป้ายอย่างนี้จะไม่มีทางโผล่มาได้เลย ก็เพราะนึกถึงครอบครัวเด็กถึงได้ติดยา..!

เถรี
22-11-2011, 18:52
ถาม : เวลานั่งสมาธินึกถึงลูกแก้วนี่ลืมตาได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..ถ้านั่งลืมตากำหนดได้จะดีกว่า ที่เขาให้หลับตาเพราะต้องการตัดการมองเห็นภาพที่จะทำให้เสียสมาธิ แต่ถ้าสมาธิเราจดจ่ออยู่ไม่ไปไหน ลืมตาแล้วเห็นได้จะดีกว่า

ถาม : แล้วต้องเน้นจับลมหายใจไหมครับ หรือว่าเน้นจับลูกแก้ว ?
ตอบ : จะเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ หรือจะทำสองอย่างควบกันก็ได้แล้วแต่เราถนัด ถ้าต้องการความมั่นคงก็เน้นที่ลมหายใจ

ถาม : ถ้าเราจับให้เป็น ๔ ลูก..?
ตอบ : อาตมาเคยทำมากกว่านั้นอีก อยู่ที่เทคนิคของเรา ทำอย่างไรก็ได้ที่ทำให้ใจเราอยู่ตรงนั้นไม่ไปที่อื่น

เถรี
22-11-2011, 19:23
ถาม : ทำไมถึงต้องมีเศษกรรม เพราะถ้าไปใช้กรรมในนรกก็น่าจะทบต้นทบดอกอยู่แล้ว ตอนกลับมาเกิดทำไมต้องมีเศษกรรมตามมาอีกคะ ?
ตอบ : ทางโลกเขายังคิดดอกเบี้ย คิดเงินต้นเลย เราจะจ่ายเงินต้นอย่างเดียว ไม่จ่ายดอกเบี้ยหรืออย่างไร ?

ถาม : ตอนกลับมาเกิดเศษกรรมคือดอกเบี้ยหรือคะ ?
ตอบ : จ้ะ..ในนรกเขาลงโทษเป็นกรรมส่วนใหญ่ ๆ ส่วนกรรมเล็กน้อยที่นรกเขาไม่ได้ลงโทษเพราะเขาเว้นให้มาเจอข้างบนจ้ะ

เถรี
22-11-2011, 19:27
ถาม : ถ้าพูดถึงยันต์ครูในสายของหลวงพ่อฤๅษี ยันต์อันไหนเป็นของท่านจริง ๆ ครับ ?
ตอบ : ยันต์พุทธนิมิตที่อยู่หลังพระสมเด็จศรีอินทราทิตย์

เถรี
23-11-2011, 07:43
ถาม : เขาบอกบุญกฐินแล้วใส่ซองมา แต่เขาไม่มาเก็บซองเพราะติดน้ำท่วมอยู่ค่ะ
ตอบ : ถึงเวลาก็ส่งให้เขาไป อาตมาเคยได้ซองกฐินมาหลายวัด เขาไม่รู้จะส่งไปให้ใครก็มายัดไว้ตรงนี้ อาตมาก็ต้องส่งไปให้วัดนั้นเพราะมีที่อยู่หน้าซอง ไม่อย่างนั้นจะเป็นการแปรเจตนาการทำบุญ โยมเขาพ้นภาระแต่ความซวยมาตกอยู่ที่อาตมา ต้องจ่ายค่าซองค่าแสตมป์เพื่อส่งให้เขาไป

เถรี
23-11-2011, 07:56
พระอาจารย์กล่าวว่า "การธุดงค์มี ๒ อย่าง อย่างแรกคือเดินไปภาวนาไป อย่างที่สองคือไปหาที่เหมาะ ๆ แล้วก็หยุดภาวนาที่นั่นจนพอใจ จากนั้นก็ไปหาที่ใหม่

อาตมาถนัดอย่างแรก คือเดินไปภาวนาไป แต่คราวนี้คนเดินภาวนาจะไม่รู้สึกเหนื่อย ส่วนคนที่ตามไปด้วยไม่ภาวนาก็เลยเหนื่อยลิ้นห้อย ขนาดอาจารย์โมเช่ที่ว่าเซียนเรื่องเดินป่าชนิดที่ว่าอาตมาต้องวิ่งไล่ตาม พอไปด้วยกัน ๔-๕ วัน ท่านชักจะเริ่มเข็ด แรก ๆ อาตมาต้องวิ่งไล่ตามท่าน ไป ๆ มา ๆ ท่านต้องวิ่งไล่ตามอาตมา เพราะอาตมาเดินไปได้เรื่อย ๆ เท่าเดิม ขณะที่ท่านล้าแล้วจึงเดินช้าลง"

ถาม : เคยเจอสัตว์อะไรที่น่ากลัวสุด ๆ ครับ
ตอบ : ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว อย่างเสือก็แค่มาโฮก ๆ ตะกุยต้นไม้ทางหัวนอน ตอนนั้นเป็นหน้าแล้ง มีน้ำเหลืออยู่แอ่งเดียวขนาดเมตรกว่า ๆ เอง อาตมากางกลดนอนใกล้ ๆ สัตว์ต่าง ๆ ก็วนไปวนมา จะลงกินน้ำก็ไม่กล้า ตอนแรกเสือก็มาวน ๆ อยู่ด้วย ท้ายสุดหิวน้ำงุ่นง่านหนักเข้าก็แผดเสียงสนั่นป่าเลย แผดดังขนาดไหนอาตมาก็ไม่ไป ในที่สุดเสือทนความหน้าด้านของอาตมาไม่ไหวก็เดินหายลับไป

นิสัยของเสือ ถ้ากระโดดตะครุบไม่ได้ ก็จะไม่ทำอันตราย เพราะฉะนั้น..ถ้านอนที่ต่ำ ๆ มีอะไรคลุมเสือจะไม่เข้าไปทำ อย่างเวลาอยู่ในกลดเสือจะรู้สึกว่ากระโดดตะครุบไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่กลดกั้นอะไรเสือไม่ได้เลย แต่ผิดวิสัยเสือก็ไม่ทำ ได้แต่เดินวนไปรอบ ๆ อาตมานึกถึงที่หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า เข้าป่าอย่าปักกลดขวางทางด่าน ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง อาตมาเล่นขวางกลางทางเลย เพราะเป็นที่เดียวที่โล่ง ทางที่สัตว์เดินบ่อย ๆ เตียนโล่ง อาตมาก็แขวนกลดกลางทางเลย นอนสบายดี

เถรี
23-11-2011, 09:13
นอกจากนี้ก็แค่เข้าไปนอนในบ้านช้าง ช้างสร้างที่นอนได้สุดยอดเลย เขาจะดึงเอาหญ้ามาทำที่นอนกลม ๆ กว้างประมาณ ๒ เมตร หนาสักศอกกว่า ๆ ตัวละอัน ๆ เต็มไปหมด อาตมาเห็นก็ขอยืมมานอนก่อน เคยบอกกับพระที่ไปด้วยว่า ดูภูมิประเทศรอบ ๆ ไว้ด้วย ถ้าเห็นว่าต้นไม้ต้นไหนพอขึ้นได้ ถ้าช้างมาคุณหนีขึ้นไปข้างบน แต่ให้เอาน้ำขึ้นไปด้วย เพราะถ้าช้างล้อมอยู่นานเดี๋ยวจะหิวน้ำแย่ พระท่านถามว่า ในเมื่อเรามอบกายถวายชีวิตแล้ว ทำไมต้องหนีอีก ? พวกเจ้าปัญหา..! อาตมาจึงว่า คุณมอบกายถวายชีวิตต่อพระรัตนตรัย แต่ไปกับอาจารย์แล้วโดนช้างเหยียบแบนแต๋ พ่อแม่คุณจะมาเฉ่งผมนะสิ..!

ถาม : ที่นอนช้างเหมือนฟูกเลยไหมครับ ?
ตอบ : ดีกว่าฟูกหน่อย แต่ต้องระวัง..บางทีก็มีเห็บป่าอาศัยอยู่ โดนกัดเมื่อไรไข้จับเมื่อนั้น ให้เอาผ้ากันฝนปูกันไว้ก่อน พอตอนกลางคืนช้างกลับมาเข้าบ้านไม่ได้ ก็หากินอยู่ในป่าข้าง ๆ หักต้นไม้โผงผางไปหมด อาตมาก็นอนจนกระทั่งสว่าง ฉันเช้าเสร็จแล้วถึงได้ไป เดินไปจนกระทั่งใกล้ ๆ เพล ได้ยินเสียงฝีเท้าไล่เท้ากวดตามมา จึงหยุดรอ ปรากฏว่าเป็นพิทักษ์ป่า ๕ คน ถือลูกซองห้านัด ๓ คน ถือเอชเค ๒ คน

มาถึงก็ถามว่า "อาจารย์หรือเปล่าครับ ที่เข้าไปตรงบ้านช้างเมื่อคืน ?" อีกคนหันมาพูดว่า "ผมบอกหัวหน้าแล้ว อาหารกระป๋องมีห่วงแบบนี้ ถ้าไม่ใช่พวกล่าสัตว์ก็ต้องเป็นพระ" ก็เป็นพระจริง ๆ ด้วย เพราะฝาเครื่องกระป๋องของพวกเราเป็นห่วง เขาบอกว่า "พระอาจารย์นอนกันเข้าไปได้อย่างไร พวกผมมีอาวุธครบมือยังกลัวเลย ?" ก็เอ็งเสือกไปนึกถึงช้างเองนี่หว่า..! สำหรับอาตมาถ้าช้างอยู่ก็แปลว่าเสือไม่มี ไม่ต้องกลัว เพราะสัตว์ทุกชนิดจะตื่นคนอยู่แล้ว ได้กลิ่นก็ไม่เข้ามาหรอก เพราะเราก่อไฟไว้ เขาได้กลิ่นแต่ไกล คงจะหงุดหงิดไปอยู่พักหนึ่งเหมือนกัน

เถรี
23-11-2011, 09:19
ถาม : ถ้าเจอกรีนแมมบ้าเล่าครับ ?
ตอบ : ปกติถ้าเจองู..ดูท่างูจะโดนอาตมากิน เสียดายที่พระพุทธเจ้าท่านห้ามพระฉันเนื้องู ตอนเรียนวิชาทหารเขาสอนให้กินงูมาตลอด มีอยู่เที่ยวหนึ่งที่ฝึกการยังชีพในป่า ครูฝึกเขาเห็นหางงูห้อยจากโพรงลงมา เป็นงูเขียวมีพิษอ่อน กัดแล้วไม่ตายทันที รักษาทันแน่นอน แต่ถ้าโดนก็สาหัสเหมือนกัน

เขาก็ให้ลูกทีมปีนขึ้นไป ปรากฏว่าล้วงงูออกมาได้ ๑๗ ตัว..! ทั้งที่เห็นหางเดียวห้อยลงมา สรุปได้ความว่า งูตัวเมียกำลังจะผสมพันธุ์ งูตัวผู้แห่มา ๑๖ ตัว อาหารมื้อนั้นจึงเป็นมื้ออย่างหรูเลย..!

สัตว์ทุกชนิดเขากลัวคนเป็นปกติ เพราะฉะนั้น..เราไม่ต้องไปกลัวเขาหรอก

เถรี
23-11-2011, 09:26
พวกสัตว์ส่วนใหญ่เขาไม่ได้ฆ่ากันถึงตาย น้อยรายที่ประเภทแย่งคู่ หรือแย่งแหล่งอาหารกันจนกระทั่งถึงตาย นอกนั้นตัวไหนที่บาดเจ็บ รู้ว่าสู้ไม่ได้ หรือว่ากำลังสู้เขาไม่ได้ก็จะหนีไป

ถาม : แบบนี้ถ้าเราเจอสัตว์ดุร้าย แล้วเราไม่สู้ เราก็รอดสิครับ
ตอบ : ต้องรีบหนีไปให้พ้น หรือไม่ต้องทำท่ายอมแพ้ของสัตว์ให้ได้ แบบท่าที่นอนหงาย กางสี่ตีนแล้วควรจะครางหงิง ๆ ด้วยนะ..!

เถรี
23-11-2011, 09:32
ถาม : เจ้าคุณนี่เริ่มจากที่ตำแหน่งพระอะไรครับ ?
ตอบ : เริ่มที่พระ ถ้าเป็นสมัยก่อนจะเทียบเท่าพระยา ถ้าเป็นพระเฉย ๆ ยศทางโลกจะเรียกว่าคุณพระ หลวงก็คือคุณหลวง ขุนก็เรียกว่าท่านขุน หมื่น พัน ก็เรียกหัวหมื่น หัวพัน ถ้าเจ้าคุณนี่ต้องเป็นพระยาขึ้นไป ถ้าหากว่าเป็นเจ้าพระยาหรือสมเด็จเจ้าพระยาเขาเรียกเจ้าคุณใหญ่ เพราะใหญ่กว่าเจ้าคุณ (หัวเราะ)

ถาม : ทางพระใครเป็นคนตั้งตำแหน่งพวกนี้ครับ ?
ตอบ : พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้ ตั้งมาแล้วถ้ามีจิตสำนึกเห็นสัญญาบัตรแล้วจะซึ้ง ขอพระคุณเจ้าโปรดรับภาระธุระในพระศาสนาแทนโยมด้วย ยกงานถวายให้เลย..!

สมัยก่อนเขาได้กันสมภาคภูมิจริง ๆ พระครูนี่ดังกว่าเจ้าคุณราชฯ เจ้าคุณเทพฯ สมัยนี้อีก เพราะท่านได้กันมาเพราะฝีมือจริง ๆ อย่างหลวงปู่แช่ม วัดฉลอง เป็นพระครูสังฆปาโมกข์ ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ระดับเจ้าคณะภาค หลวงปู่สายเป็นพระครูปี ๒๕๑๑ ตำแหน่งพระครูสมัยนั้นสูงส่งมาก เทียบกับสมัยนี้..ขนาดเจ้าคุณราชฯ เจ้าคุณเทพฯ เขาก็ยังไม่ค่อยเห็นหัวเลย

สมัยนี้พระครูประทวนหายไปแล้ว เพราะส่วนใหญ่ผลงานที่ทำมากกว่าระดับประทวน ก็เลยไปเริ่มต้นที่สัญญาบัตร ชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอก ถ้าอยู่ ๆ ใครได้เป็นแค่พระครูประทวนคงโดนหัวเราะตาย ว่านี่พ่อคุณทำงานน้อยขนาดนี้เลยหรือ ?

เถรี
23-11-2011, 09:37
เรื่องของตำแหน่งอย่าไปดิ้นรนไขว่คว้า แต่ถ้าพระราชทานมาก็รับเอาไว้ ไม่อย่างนั้นผู้ใหญ่จะหาว่าหยิ่ง รับเอาไว้ก่อน ติดไว้ดูเล่นสักปีสองปี แล้วค่อยลาออกก็ไม่น่าเกลียด

ถาม : ลาออกได้ด้วยหรือครับ ?
ตอบ : ขอพระบรมราชานุญาตลาตายยังได้เลย เรื่องนี้เป็นเรื่องตลกที่หัวเราะไม่ออก ถึงเวลาขอพระบรมราชานุญาตลาตาย คือพอไปขึ้นทำเนียบแล้วต้องแจ้งให้ในหลวงรู้ก่อน ในหลวงรัชกาลที่ ๖ เห็นเจ้าคุณอะไรก็ไม่รู้..จำไม่ได้..ยืนหน้าเศร้าอยู่ ก็ถามว่าเอ๊ะ..ทำไมวันนี้มาเร็ว ? ท่านถวายบังคมเสร็จ ในหลวงรัชกาลที่ ๖ ท่านก็เสด็จเลยไป ปรากฏว่าเข้าไปข้างในเห็นพานขอกราบบังคมทูลลาตาย แสดงว่าที่เห็นนั้นไม่ใช่คน..!

เป็นพระครูสัญญาบัตรขึ้นไปก็เตรียมทูลลาตายได้..!

เถรี
23-11-2011, 10:12
ถาม : แล้วอย่างที่ถอดยศหลวงปู่โต วัดระฆัง ?
ตอบ : ตอนนั้นท่านเป็นท่านเจ้าคุณธรรมกิตติ ในหลวงรัชกาลที่ ๔ ท่านนิมนต์ หลวงปู่สมเด็จท่านก็อาวุโสมากแล้ว ปรากฏว่าคนที่อาวุโสน้อยกว่าดันไปนั่งอาสนะสูงสุด ท่านเองมองซ้ายมองขวาเห็นมีขอบหน้าต่างอยู่ ท่านก็เลยนั่งขอบหน้าต่าง ในหลวงรัชกาลที่ ๔ ก็พิโรธว่าไม่สำรวม สั่งถอดยศ ท่านก็ส่งพัดยศคืนให้

พอเดินออกมาจากวังไปหน่อย ในหลวงท่านคงจะหายพิโรธแล้ว จึงให้สังฆการีถือพัดยศวิ่งไล่ตามมาคืนให้ หลวงปู่โตท่านบอกว่า ของที่ในหลวงต้องพระราชทานแล้วพ่อคุณเอามาให้ฉันเฉย ๆ ได้อย่างไรละจ๊ะ ? ต้องให้ในหลวงท่านพระราชทานให้สิจ๊ะ สรุปว่าต้องจัดงานพระราชทานให้ท่านใหม่ เสียผ้าไตรไปอีกหนึ่งไตร

ของพระราชทาน สมัยก่อนถือว่าเป็นเกียรติยศ เป็นมิ่งขวัญและกำลังใจ หลวงปู่มหาอำพันได้รับพระราชทานผ้าไตรสำรับหนึ่ง เมื่อสมัยเป็นเจ้าคุณ หลวงปู่ใส่กล่องบูชาไว้เลย ไม่กล้าใช้ อาตมาก็มีผ้าไตรของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชกับสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ อยู่อย่างละไตร เก็บไว้เฉย ๆ ไม่กล้าใช้เหมือนกัน กลัวขี้กลากขึ้น..!

ตอนนี้มีปัญหาอยู่ว่า เขาจะมอบพัดพระครูให้ที่วัดไหน เพราะน้ำท่วม ปกติจะวน ๆ อยู่แถววัดไร่ขิง วัดพนัญเชิง วัดโสธร แล้วก็เคยไปถึงวัดพระพุทธบาท ได้ข่าวแว่ว ๆ ว่าเมืองกาญจน์ฯ เขาจะเสนอวัดพระแท่นดงรัง แต่อาตมาว่าวัดพระแท่นดงรังยังเล็กไป ไม่พอรองรับจำนวนผู้คน

ถ้าใครเคยเห็นงานรับพัดยศแล้วจะสยอง อาตมาเห็นแล้วกลัวเลย บางวัดเขาจัดขบวนแห่เป็นโต๊ะหมู่สูงลิบอยู่บนท้ายรถกระบะ แล้วให้หลวงพ่อถือพัดนั่งไป ถ้าเกิดหน้ามืดเป็นลม ตกลงมาคงจะแย่แน่ เขาทำกันอย่างนั้น แล้วคนที่เขาแห่ไปแสดงความยินดีกับครูบาอาจารย์ไม่ใช่แค่คนสองคน พระที่เข้ารับอย่างรุ่นอาตมา ๒๐๐ กว่ารูป ถ้า ๒๐๐ กว่ารูปนี่โยมไปสักสิบ ก็ปาไป ๒,๐๐๐ กว่าคนแล้ว วัดเล็ก ๆ นี่รับไม่ไหวแน่ เคยเห็นพระครูทางสุพรรณเขาเหมารถบัสไป ๑๐ กว่าคัน พาญาติโยมไปแห่พัดกลับ

เถรี
23-11-2011, 10:14
ถาม : สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงฉลองที่วัดไหนครับ ?
ตอบ : ฉลองที่วัดเทพธิดาราม

จะเห็นได้ว่าหลวงพ่อท่านรู้จริง พระที่ท่านนิมนต์เจริญชัยมงคลคาถาในงานฉลองพัดยศของท่าน หัวแถวคือพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ วัดสุวรรณาราม ต่อมาเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ รองลงมาพระพรหมคุณาภรณ์ วัดสระเกศ เป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ รองลงมาพระพุทธิวงศ์มุนี วัดเบญจมบพิตร เป็นสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ รองลงมาพระธรรมปัญญาบดี วัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ แล้วก็มาท้ายเลยคือพระธรรมปิฎก วัดชนะสงคราม เป็นสมเด็จพระมหาธีราจารย์

ตอนนั้นเจ้าคุณพระธรรมปิฎก วัดชนะสงคราม ท่านยังอยู่นอกสายตาทุกคน เลื่อนมาเป็นพระธรรมวโรดม แล้วถึงได้เป็นสมเด็จพระมหาธีราจารย์ แต่หลวงพ่อรู้ได้อย่างไรว่าท่านจะได้เป็นสมเด็จพระราชาคณะ ? แสดงว่าหลวงพ่อท่านรู้จริง และรู้ล่วงหน้านานมาก..!

เถรี
23-11-2011, 18:44
พระอาจารย์กล่าวว่า "ผลกระทบจากน้ำท่วมที่เห็นชัดที่สุดคือ สถานีรถไฟฟ้าหน้าปากซอยบ้านวิริยบารมีสร้างช้าลงไปเยอะ อาจจะไม่ทันเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ เพราะส่วนใหญ่เขาจะเปิดฉลองวันเกิดในหลวงกัน

ถ้าจะทำกรุงเทพฯ ให้พ้นน้ำจริง ๆ จะต้องเจาะพื้นรอบกรุงเทพฯ วางคานและแผ่นรองรับ แล้วก็ดีดให้สูงขึ้นมา ทำลักษณะเป็นชุดเหล็ก สามารถยกเลื่อนขึ้นเลื่อนลงตามระดับน้ำ จะมีใครบ้าทำไหมนะ ? ปีนี้ได้งบประมาณมาก็ทำสักหน่อยหนึ่ง ปีหน้าได้งบประมาณมาก็ทำอีกหน่อยหนึ่ง เดี๋ยวก็ทั่วกรุงเทพฯ ไปเอง..!

สมัยก่อนกรุงเทพฯ ใช้น้ำบาดาลเยอะมาก เพราะไม่อยากจ่ายค่าน้ำประปา จึงเจาะน้ำบาดาลใช้กันเอง พอน้ำใต้ดินหมดไป พื้นก็ทรุดลง เพราะน้ำใต้ดินประคองพื้นเอาไว้ พอน้ำหมดไปดินก็ทรุดลงไปเรื่อย ทำให้พื้นที่กรุงเทพฯ ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง แปลว่าถ้าน้ำไม่ท่วมกรุงเทพฯ ก็จะแปลกมาก..!

ประการสำคัญที่สุดคือ บรรพบุรุษของเราต้องการหาที่ซึ่งมีฝนฟ้าอุดม มีน้ำท่าบริบูรณ์ เพื่อถึงเวลาก็จะได้ปลูกข้าวได้ แม้กระทั่งพระเจ้าแผ่นดินก็ต้องทำนา สนามหลวงก็คือนาของพระเจ้าแผ่นดิน แต่ปรากฏว่าเราเปลี่ยนจากการทำไร่ทำนามาเป็นอาคารพาณิชย์ เป็นศูนย์ราชการ แต่ฝนฟ้าก็ยังตกอยู่เท่าเดิม

ต้องบอกว่าบรรพบุรุษของเราเก่ง หาที่ที่ฝนบริบูรณ์ได้ทั้งปี แต่พวกเราไปเปลี่ยนเจตนารมณ์เดิมในการสร้างกรุง ก็คือต้องเป็นที่ซึ่งสามารถเพาะปลูกสะสมเสบียงอาหารได้ง่าย มาเป็นที่ที่สร้างอาคารพาณิชย์ เป็นตึกสูง เป็นที่พักอาศัย คราวนี้ในเมื่อสิ่งที่ทำไปไม่เหมาะกับธรรมชาติหรือพื้นที่แต่เดิม ก็มีแต่จะเกิดปัญหาขึ้น"

เถรี
23-11-2011, 18:47
"ถ้าหมู่บ้านจัดสรรรอบกรุงเทพฯ อยากจะขายบ้านได้ดี ๆ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ให้สร้างเป็นเรือนแพ ที่กาญจนบุรีมีเรือนแพมาก เขาเลิกใช้ไม้ไผ่แล้ว เปลี่ยนเป็นเป็นทุ่นเหล็กลอยน้ำแทน ทุ่นลอยแต่ละลูกทำด้วยโลหะ ราคาประมาณทุ่นละสองแสนบาท อย่างน้อยต้องใช้ ๒ ทุ่นขึ้นไป ถ้าแพขนาดใหญ่ก็ต้องใช้ ๔ ทุ่นขึ้นไป

เรื่องอย่างนี้จะว่าไปแล้วไม่เกินความสามารถของบริษัทรับเหมาก่อสร้าง เขาทำได้ ทำเป็นเรือนแพเตรียมพร้อมรับน้ำท่วม ให้ตอกเสาไว้ ๔ มุมพื้นที่จะได้ยึดเรือนแพไว้ น้ำขึ้นก็ลอยสูงขึ้น อาจตอกเสาไว้สัก ๕ เมตร เวลาปกติก็ทำเป็นโคมไฟ เวลาไม่ปกติก็เป็นเสาสำหรับตรึงแพเอาไว้ รับประกันได้ว่าขายดีแน่นอน เป็นหมู่บ้านปลอดน้ำท่วม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์"

เถรี
23-11-2011, 18:54
พระอาจารย์กล่าวว่า "การบวชพระช่วงวันลอยกระทงปิดรับสมัครไปแล้ว ได้นาคมา ๑๑ ท่าน แต่จะอยู่รอดจนได้บวชพระสักกี่ท่านก็ไม่อาจบอกได้ เพราะเคยมีที่โดนไล่ออกตั้งแต่ตอนเป็นนาคมา ๒ รายแล้ว เพราะเขาเอาความเคยชินจากที่อื่นมาใช้ในวัด เขาน่าจะเห็นว่าพระเณรในวัดตั้ง ๓๐-๔๐ รูป ไม่มีใครเปิดวิทยุโทรทัศน์เลยสักคน แต่เขาดันนอนกระดิกเท้าฟังเพลงอยู่คนเดียว แล้วก็เปิดเผื่อแผ่ห้องข้าง ๆ เสียเต็มที่

ที่วัดท่าขนุนห้ามมีเครื่องใช้ไฟฟ้า ยกเว้นที่ใช้ฟังธรรมะเท่านั้น เขาก็อาศัยที่ท่านอื่นใช้ฟังธรรมะมาฟังเพลง จึงต้องให้กลับไปฟังที่บ้านแทน..! ถ้าคิดว่าเลิกฟังได้เมื่อไรแล้วค่อยมาสมัครบวชใหม่ แต่ว่าส่วนใหญ่คนไหนที่โดนไล่ออกไปแล้ว ก็จะขึ้นบัญชีหนังหมาไว้เลย กลับมาอีกก็ไม่รับ..!

ปีหน้าสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เจริญพระชนมายุ ๘๐ พรรษา และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา เป็นวาระสำคัญ ๒ วาระใหญ่ ดังนั้น..ปีหน้าการบวชปฏิบัติธรรมทั้งพระและฆราวาส จะทำเพื่อเฉลิมพระเกียรติทั้งในหลวง สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช"

เถรี
24-11-2011, 09:01
ถาม : เวลาอยู่ที่วัดถือศีล ๘ ได้ แต่เวลาถือศีลแปดที่บ้านปวดท้อง เกิดจากอะไรคะ ?
ตอบ : กำลังใจตก ถ้ากำลังใจทรงตัวจะไม่เป็น

ถาม : แล้วอย่างที่บ้านเขาบ่นเรื่องหนูไม่ยอมกินข้าวเย็น
ตอบ : บอกเขาว่าหนูอ้วนแล้ว อ้างเรื่องทางโลกนะ อย่าไปบอกเขาว่าเราถือศีล ๘ บอกเขาว่าหนูกลัวอ้วน

ถาม : แล้วเป็นการปรามาสไหมคะ ? เห็นมีพี่เขาบอกว่าตั้งใจไว้แล้วทำไม่ได้
ตอบ : ไม่เป็นหรอกจ้ะ ยกเว้นว่าเลิกถือศีล ๘ เพื่อมากินข้าว กินเสร็จแล้วกลับไปกลับถือศีล ๘ ใหม่ อย่างนี้ปรามาสพระรัตนตรัยแน่

เถรี
24-11-2011, 12:25
ถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรคะว่า เราไม่ได้มองข้ามทุกข์ที่เราเจอประจำ ?
ตอบ : ต้องพิจารณาทุกข์ให้เห็นอยู่ในทุกขณะจิต หรือเราไม่ได้พิจารณาอะไรเลย ?

ถาม : อย่างเช่นน้ำท่วมคราวนี้ ทุกข์ก็จริง แต่เรารู้สึกว่ายอมรับได้
ตอบ : จำที่บอกเมื่อคืนนี้ได้ไหม ? เริ่มตั้งแต่แรกว่ารู้ว่าน้ำมา จนกระทั่งน้ำกำลังจะเข้าบ้าน จนน้ำเข้าบ้านแล้ว ถ้าคนที่วางกำลังไม่ได้ก็จะเครียดสะสมไปเรื่อย คือมองไม่เห็นทุกข์ หรือเห็นทุกข์แต่ปล่อยวางไม่ได้ ถ้าคนที่เห็นทุกข์แล้วปล่อยวางได้ ว่าเป็นธรรมดา การเกิดมาก็ต้องพบกับเรื่องเหล่านี้เป็นปกติ ก็จะไม่เครียด

ถาม : ไม่เครียดค่ะ ไม่ทราบว่าชินชาหรือว่าเรายอมรับได้ ?
ตอบ : บางอย่างถ้ากำลังใจเราดี ก็จะเห็นเป็นปกติ ไม่ได้ตื่นเต้นกับใคร เหมือนกับยอมรับได้ แต่เป็นเพราะกำลังดีจึง "แบก" ไหว ไม่ใช่ปัญญาเห็นทุกข์ แล้วปล่อยวาง

เถรี
24-11-2011, 12:52
พระอาจารย์กล่าวถึงสันโดษว่า "คำว่าสันโดษ เราต้องตีความให้ถูกนะ วอน์เรน บัฟเฟตต์ก็สันโดษ เพราะว่ารู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี บริจาคเข้ากองทุนช่วยเหลือประชาชนอยู่ตลอด ตัวนี้เป็นยถาสารุปปสันโดษ คือยินดีตามฐานะของตน

ถ้าเป็นยถาพลสันโดษ คือยินดีตามกำลังที่ตนหาได้ ดูอย่างบิล เกตส์สิ เขาหาเงินได้ตั้งเท่าไร อย่างสตีฟ จอบส์ หรือทักษิณ ชินวัตร เพราะฉะนั้น..สันโดษนี่ไม่ใช่จนนะ

แล้วยังมียถาลาภสันโดษ ยินดีตามที่ตนได้มา อย่างเช่นว่าภิกษุบิณฑบาต เขาให้อะไรก็พอใจแค่นั้น ยถาพลสันโดษ คือยินดีตามกำลังที่ตนหาได้ ใครได้มากก็ยินดีตามมาก ใครได้น้อยก็ยินดีตามน้อย

ยถาสารุปปสันโดษ นี่ยินดีตามฐานะของตน เป็นเศรษฐีก็ทำตัวแบบเศรษฐี เป็นคนจนก็ทำตัวเป็นคนจน ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากว่าเป็นคนจนแล้วทำตัวแบบเศรษฐี เดี๋ยวก็โดนเขาค่อนขอดเอา แบบที่เขาเรียกว่าไฮซ้อ ไม่ใช่ไฮโซ ถ้าเป็นโบราณเขาบอกว่ามะพร้าวตื่นดก ยาจกตื่นมี"

เถรี
24-11-2011, 13:10
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าคนมาบ้านวิริยบารมีน้อย ๆ อย่างนี้ทุกเดือนจะดีใจมากเลย เพราะอาตมาจะได้ไม่เหนื่อยมาก พอแก่แล้วกำลังก็ตกไปเรื่อย ที่คนอื่นเขาเห็นว่ายังแข็งแรงอยู่นั้นเป็นแค่กำลังเฉพาะตัว แต่อาตมารู้ว่าตัวเองพยุงร่างกายลำบากขึ้นเรื่อย ๆ บางทีที่การที่อาตมายกของหนักได้มากกว่าคนอื่นเขานั้นเป็นกำลังเฉพาะตัว เหมือนอย่างกับช้าง ช้างแก่ก็ยังยกของหนักได้มากกว่าวัวควายอยู่ดี แต่ก็คือแก่ แค่พยุงตัวเองก็ลำบากแล้ว

ก่อนอายุ ๓๐ พอบวชเข้าไปใหม่ ๆ ได้รับคำสั่งให้ไปดูแลเฝ้าหน้าตึกหลวงพ่อวัดท่าซุง เวลาหน้าหนาวก็ยังใส่แค่อังสะกับสบงทุกวัน รับท่านขึ้นรับท่านลง ท่านมาถึงก็ถามว่า “แกไม่มีเครื่องกันหนาวหรือ ?” กราบเรียนว่า “มีครับ แต่ผมยังไม่หนาว” พอถึงอายุ ๓๐ นี่ไม่ต้องถามเลย วิ่งไปหามาใส่เอง เพราะกำลังตก ร่างกายสู้ความหนาวได้ไม่เหมือนแต่ก่อน

พอมาอายุ ๔๐ ปี ยิ่งแย่ลงไปอีก ก่อนหน้านี้สามารถทำงานหามรุ่งหามค่ำ ๓ วัน ๓ คืนอยู่ได้สบาย พออายุ ๔๐ ปีขึ้น ก็ฝืนไม่ได้ขนาดนั้นแล้ว ทำงานไปถึงเวลาก็ต้องพัก พออายุ ๕๐ ปีนี่แย่แล้ว พักทั้งคืนแต่กำลังพอทรงตัวได้ไม่ถึงเย็น บางทีเวลาทำวัตรเย็นไมค์จะหลุดมือ เพราะกำลังหมด ระยะหลังนี้ให้พระครูน้อยนำสวดมนต์แทน ก็เพราะว่าไม่อยากให้โยมเขาเห็นอาตมาทำไมค์หลุดมือ

พระครูน้อยท่านก็สงสัยว่าทำไมอาจารย์ถึงให้สวดแทน อาตมาบอกว่า "ไม่มีอะไรหรอก ผมแก่แล้ว" ไม่ได้อธิบายให้ท่านฟังหรอก พระครูน้อยเป็นคนเครียดง่าย ถ้ารู้ว่าหลวงพ่ออาการหนักขึ้นมาเดี๋ยวเครียดตายเลย

จากการที่ป่วยเป็นมาเลเรียอยู่ตั้ง ๓๐ ปี ทำให้ตับชำรุด เก็บพลังงานสำรองไม่ได้เหมือนคนทั่วไป จึงเป็นประเภทพักเก็บแรงสักนิดหนึ่งแล้วค่อยใช้ อย่างหลังเพลแล้วมาพักหน่อยหนึ่งก็ลงมาอยู่ได้ บางทีก็นั่งภาวนาว่าเมื่อไรจะ ๔ โมงเย็นเสียที จะได้ขึ้นไปพัก ประมาณ ๕-๖ โมงเย็นก็ลงมา มีพลังใช้งานได้แค่ประมาณ ๒ ทุ่ม

ระยะนี้ได้ยาดีเข้าไปก็อยู่ได้เกิน ๒ ทุ่มหน่อย แต่อย่างไรก็เป็นคนตื่นเช้า แก้นิสัยตัวเองไม่ได้ ตีหนึ่งตีสองก็ตื่นแล้ว คนอื่นเขายังไม่หลับเลย ต้องบอกว่าเป็นธรรมชาติของคนแก่ที่จะตื่นเร็ว เพราะเวลาดูโลกเหลือน้อยแล้ว ต้องรีบตื่นมาถ่างตาดูโลกให้มากเข้าไว้

เวลาไปเจอเพื่อนร่วมรุ่นแล้วจะรู้สึกว่าตัวเองแก่ ถ้าไม่ได้เจอเพื่อนร่วมรุ่นนี่จะไม่รู้สึกหรอก เพราะว่าเพื่อนมีทั้งอ้วน มีเหี่ยว มีหัวล้าน มีหัวหงอก ส่วนอาตมาเสียท่า ไปทีไรเพื่อนจำได้ทุกที ส่วนอาตมานี่เวลาเจอเพื่อนต้องคิดแล้วคิดอีกว่านั่นใครวะ ?"

เถรี
24-11-2011, 13:13
ถาม : ผมได้ปากกาหลวงปู่หงส์มา ช่วยเสกให้หน่อยครับ
ตอบ : ไม่ต้องแล้ว...ขนาดหลวงปู่หงส์แล้วยังต้องมาให้เสกอีก น้ำเต็มแก้วแล้วเทไปก็ล้นเปล่า ๆ วัดท่านชื่อวัดเพชรบุรีแต่อยู่ภาคอีสาน พอ ๆ กับที่ อำเภอศรีเชียงใหม่อยู่จังหวัดหนองคายนั่นแหละ คนไม่รู้จริงไปหาผิดที่มาเยอะแล้ว

เถรี
25-11-2011, 09:37
ในขณะที่พระอาจารย์กำลังลงน้ำมันพระพุทธรูปงาช้าง ท่านกล่าวว่า "คนที่มีงาช้างต้องดูแลรักษาให้เป็น ถ้าดูแลรักษาไม่เป็นแล้วงาจะพังเร็ว ถ้างาแห้งมาก ๆ แล้วมักจะกินตัว คำว่ากินตัวคือจะผุ ถ้าหากว่ามีน้ำมันหรือขี้ผึ้งคอยลงเอาไว้ มีโอกาสก็เช็ดไปเรื่อย เท่ากับว่าเราถวายเครื่องหอมเป็นพุทธบูชา

แต่น้ำมันนี้มีกลิ่นหอมแปลก ๆ พวกเราไม่เคยได้กลิ่นใช่ไหม ? เป็นน้ำมันทานาคา เป็นยาแก้สิวฝ้าของพม่า ไปพม่ามาหลายครั้งอาตมายังไม่เคยเจอคนพม่าเป็นสิวเลย มีโยมเขาเอามาลองทา เขาบอกว่าหน้าแห้งจนเป็นขุย เพราะเขาไม่เคยชิน

พระงาช้างองค์นี้อายุอย่างน้อยน่าจะ ๘๒ ปี เป็นฝีมือช่างหลวงสมัยรัชกาลที่ ๗ แต่น่าทึ่งตรงที่ว่างาชิ้นนี้ใหญ่จริง ๆ เพราะว่านี่เป็นแค่ซีกเดียวแล้วก็ตันด้วย ไม่ทราบว่าอีกซีกได้แกะเป็นพระอีกองค์หรือเปล่า ? ถ้าอยู่ ๆ ใครมีของโบราณที่หน้าตาเหมือนกันก็แปลว่าไปจากชิ้นนี้ ถ้าคนเขารู้คุณค่าเขาจะรักษาดีกว่านี้ นี่เขาปล่อยให้สลายไปตามธรรมชาติ

สาเหตุที่วัดท่าขนุนไม่กล้าทำอะไรมากเพราะรู้ว่าคนรุ่นหลังเขารักษาไม่ไหว ถ้าสร้างพิพิธภัณฑ์ทรงไทยเสร็จเรียบร้อย ก็อาจจะทำที่พักสำหรับญาติโยมสักชุดหนึ่งก็พอแล้ว ตอนนี้ที่พักพระก็เหลือเฟือแล้ว บางที ๔๐ กว่ารูป อย่างล้น ๆ เพราะกุฏิก็มีแค่ ๔๐ ห้อง แต่ทางด้านแม่ชีมีแค่ ๑๑ หลัง ถ้าใครชอบปฏิบัติก็จะให้พักอยู่เดี่ยว ๆ อย่างแม่ชีกุ๋ย แม่ชีเอ๋ ส่วนคนอื่นทั่วไปก็ให้พักรวมกัน"

เถรี
25-11-2011, 09:51
ในขณะที่พระอาจารย์กำลังลงน้ำมันลูกประคำ ท่านกล่าวว่า "ลูกประคำมักจะขี้ฟ้อง ถ้าคนใช้งานบ่อย ๆ ลูกประคำจะเงาสวย ถ้าใช้ไม่บ่อยลูกประคำจะดูไม่ได้เลย พวกประเภทเม็ดแห้งซีดนี่รู้เลยว่าเจ้าของไม่ได้ใช้ภาวนาเลย

สมัยอาตมาบวชใหม่ ๆ ใช้ลูกประคำทำจากลูกหวาย เป็นลอนเล็ก ๆ นับไปจนกระทั่งลื่นเป็นกระจก แต่ว่านิ้วมือสองข้างของอาตมาด้านเป็นเม็ดเลย มีคนเขาเห็นแล้วเขาชอบ อยากได้แบบนั้นบ้างก็เอาเครื่องมาขัด แต่ขัดอย่างไรก็ไม่เหมือน เพราะว่าอาตมาใช้มือนับจนลื่น ค่อยเป็นค่อยไป ใช้เครื่องขัดเร็วเกิน อย่างไรก็ไม่เหมือนกัน"

http://image.uamulet.com/uauctions/AU241/2011/4/6343815129770807001.jpg

ลูกประคำเม็ดหวาย (แต่ไม่ใช่ของพระอาจารย์นะคะ)

เถรี
25-11-2011, 10:05
ในขณะที่พระอาจารย์กำลังทำความสะอาดมีดหมอ ท่านกล่าวว่า "คนใช้อาวุธไม่ว่าจะเป็นมีดหรือปืนจะต้องขยันเช็ดขยันถู ไม่อย่างนั้นสนิมกินหมด นี่ยังดีว่ามีดนี้เป็นเหล็กปลอดสนิม แต่ก็ไว้ใจไม่ได้ เพราะว่าถ้ามีความชื้นนาน ๆ ก็อาจจะเป็นสนิมได้ หลักการดูแลพวกมีด ฝรั่งเขาสรุปว่า Clean & dry คือต้องทำให้สะอาดและแห้ง

มีดด้ามนี้ใบมีดน่ากลัวมาก ถ้าคนใช้มีดนี้เป็นจะเป็นอาวุธมหาประลัยเลย เขาใช้วิธีกำแล้วชกเอา เขาไม่แทงหรอก..เสียเวลา ถ้าชกผิดก็ดึงกลับมาแล้วปาดซ้ำ สมัยที่อาตมาเรียนทหารอยู่ เขาสอนว่าเวลาแทงต้องตะแคงมีด ทหารเขาจะจับมีดตะแคงข้าง เพราะว่าถ้าแทงตรง ๆ จะติดซี่โครง แต่พวกเราไม่ต้องไปสนใจหรอก ตรงไหนก็จิ้มไปเถอะ ใช้มีดเป็นก็ป้องกันตัวเองได้ในระดับหนึ่ง

http://i498.photobucket.com/albums/rr341/himalayath/420J2-23.jpg
มีดหัวเข็มขัด (เล่มนี้ของบ้านจ่าตุ่มค่ะ)

มีเด็กผู้หญิง ม. ๒ คนหนึ่งจัดการพลขับรถเมล์ที่เมาเหล้าแล้วไปจับหน้าอกเขาด้วยมีด โดนเย็บไป ๕๐ กว่าเข็ม ถ้าเป็นอาตมาละก็..ไอ้นั่นโดนเย็บเป็นร้อยเข็ม..! เด็กผู้หญิงเขาเลื่อนมีดคัตเตอร์จนสุดแล้วใช้ฟันเอา มีดคัตเตอร์ใช้อย่างนั้นไม่ได้หรอก เพราะใบมีดไม่แข็งแรงพอ ต้องเลื่อนออกมาสักครึ่งหนึ่งแล้วใช้กรีด แต่นั่นเขาใช้ฟันจนใบมีดหักเลย

ส่วนมีดเล่มนี้ทำมาจากเขาสัตว์ ๒ ชนิด มีเขาวัว เขาควาย และงาช้าง คนทำเขารักงานของเขา ในเมื่อเขารักงานของเขา มีดแต่ละเล่มเขาก็ทำออกมาให้ดีที่สุด เรียกได้ว่ามี ฉันทะ คือความพอใจของเขาเต็มที่อยู่แล้ว วิริยะ ความพากเพียรทำ แต่ละเล่มเขาทำเป็นเดือน ๆ กว่าจะเสร็จ จิตตะ กำลังใจจดจ่ออยู่กับงาน ไม่เสร็จไม่เลิก วิมังสา ทบทวนอยู่บ่อย ๆ ว่าที่ทำไปนั้นดีพอหรือยัง มีแบบไหนที่จะสวยกว่านี้ ดีกว่านี้อีก จะว่าไปแล้วตัวเครื่องแห่งความสำเร็จ คืออิทธิบาทธรรม ทั้ง ๔ ข้อ ต้องมีอยู่ในทุกคน เพียงแต่ว่ามีอยู่แบบรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง

มีดเล่มนี้เขาเรียกว่าทรงหลังค่อม (Hump back) จะมีทรง Drop Point คือทรงปกติ มีแบบมีดพกซ่อน แล้วก็มีทรงเปอร์เซียน ที่ใบมีดโค้ง ๆ เหมือนดาบของชาวเปอร์เซีย"

http://i498.photobucket.com/albums/rr341/himalayath/420J2-24.jpg
มีดพับทรง Drop point (เล่มนี้ของบ้านจ่าตุ่มค่ะ)


http://i498.photobucket.com/albums/rr341/himalayath/4420J2.jpg
ลักษณะมีดพกทรง Drop point (เล่มนี้ของบ้านจ่าตุ่มค่ะ)


http://i498.photobucket.com/albums/rr341/himalayath/420J2-16.jpg

ลักษณะมีดพกทรงเปอร์เซียน ด้ามเขากวางอิมพาลา (เล่มนี้ของบ้านจ่าตุ่มค่ะ)

เถรี
25-11-2011, 10:54
"อาวุธของแต่ละชนเผ่าขึ้นอยู่กับการใช้งานของเขา อย่างที่เด่น ๆ เลยก็ซามูไร ซามูไรบอกถึงสภาพจิตใจของเขาว่ากล้าหาญ ทุ่มเท ถ้าลงมือก็หมายความว่าไม่เขาก็เราต้องตายกันไปข้างหนึ่ง เพราะส่วนใหญ่กะฟันทีเดียวจบ แล้วก็มีมีดกรูกรีของพวกชาวกูรข่าของเนปาล พวกนี้เป็นทหารรับจ้าง ช่วงสมัยสงครามโลก สงครามอินเดียพวกนี้ดังมาก

http://www.siam-vip.com/uploads/product/130872338623ed097bbb84e42e8be8ba8f4314ee7e.jpg
ซามูไร


ทหารกูรข่านอกจากจะเป็นยอดฝีมือแล้ว ยังซื่อสัตย์ต่อเจ้านายชนิดสามารถตายแทนได้ จนกระทั่งทุกวันนี้ทหารที่พิทักษ์พระราชวังอังกฤษก็ยังเป็นทหารกูรข่า ที่เขาไปเปลี่ยนเวรยามกองรักษาการณ์ให้พวกเราดูกัน มีดกรูกรีเป็นอาวุธที่พวกเขาใช้ในเวลาที่ปืนกระสุนหมด เขาจะใช้มีดกรูกรีแทน จะเป็นมีดทรงโค้ง ๆ ลักษณะหักข้อศอก น้ำหนักจะไปหน่วงอยู่ที่ปลาย เวลาฟันมีดจะดึงมือไปเอง เพราะน้ำหนักถ่วงปลายอยู่ ทหารกูรข่านี่เด็ดหัวศัตรูมานับสนามไม่ถ้วนแล้ว"

http://i498.photobucket.com/albums/rr341/himalayath/d5e79959.jpg

มีดกรูกรี หรือมีดกูรข่า ใบมีดเหล็กดามัสกัส ด้ามงาช้างสลับเทอร์คอยซ์ ฝังหมุดลาย(เล่มนี้ของบ้านจ่าตุ่มค่ะ)

เถรี
25-11-2011, 12:31
"ถ้าไปทางด้านละตินอเมริกาจะมีมีดมาร์เชต์ (Machete) ลักษณะเหมือนกับอีหวดบ้านเรา เป็นมีดหัวตัด แต่ว่าเป็นมีดที่คมบาง ใบกว้าง สันหนา ทหารนาวิกโยธินสหรัฐฯ เคยใช้ถางป่า ถางไปถางมาเจอหมูป่าพุ่งใส่ เขาเบี่ยงหลบ ฟันหมูป่าทีเดียวหัวขาดเลย เราต้องนึกดูว่าหมูป่านั้นหนังเหนียวขนาดไหน..!

http://www.terrierman.com/machete.jpg
มีดมาร์เชต์ (Machete)


พวกมีดที่เขามีรูปทรงเฉพาะของเขา ก็คือผ่านภูมิปัญญาที่สั่งสมกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า จนเหมาะสมต่อการใช้งาน อย่างของไทยเราสมัยก่อนก็มีมีดพร้า มีดหัวปลาหลด มีดพร้านี่ของปักษ์ใต้ เวลาเขาถือพร้าเขาจะถือในลักษณะพาดไหล่บังหูไว้ ป้องกันคู่ต่อสู้จู่โจมข้างหลัง ถ้าเขาฟันมาก็ติดมีด ฟันคอเขาไม่ได้ ส่วนมีดหัวปลาหลด ก็ลักษณะเหมือนดาบยาว แต่ว่าหัวค่อนข้างจะมน"

http://image.ohozaa.com/ip/sany1963.jpg
มีดพร้า


http://file.siam2web.com/hcg7/webboard/2010329_80893.jpg
มีดหัวปลาหลด

เถรี
25-11-2011, 13:23
"ยังมีมีดหน้าลูกไก่ มีดหน้าลูกไก่นี่เหมือนทรงอีโต้ คล้าย ๆ หัวลูกไก่ แล้วก็มีมีดซุย มีดปาดตาล มีดปาดตาลก็ลักษณะทรงมีดหมอ โคนใบจะเล็กแล้วก็ไปกว้างตรงช่วงปลาย บางคนเขาเรียกท้องปลิง คือมีลักษณะเหมือนท้องปลิง เอาไว้ปาดงวงตาลสำหรับทำน้ำตาล ต้องไปโยกงวงตาลให้ช้ำก่อน แล้วก็ปาด พอถึงเวลาน้ำตาลก็จะไหลออกมา

http://i279.photobucket.com/albums/kk121/nid_parinya/DSC02615_resize.jpg
มีดปาดตาล



ส่วนมีดซุยเป็นมีดที่มีลักษณะของด้ามคล้าย ๆ ปืน ด้ามจะโค้งลง เวลาจับก็ลักษณะเหมือนจับด้ามปืน



http://www.gedthawha.com/pic/product/261/0/750x500/261-0.jpg
มีดซุย

นอกจากนี้ยังมีเสือซ่อนเล็บ จะเป็นมีด ๒ เล่มที่สวมเข้าหากัน เวลาเราถืออยู่ก็เหมือนไม้ท่อนสั้น ๆ พอชักออกมากลายเป็นมีดคู่"
http://upic.me/i/ui/nccm1.jpg
เสือซ่อนเล็บ

เถรี
25-11-2011, 13:42
"สมัยก่อนอาตมาจะแจกปืนให้ลูกสาว สมัยนี้ได้แต่แจกมีด อย่างน้อย ๆ เขาจะได้มีอะไรไว้ป้องกันตัว อาตมาบอกไว้ว่าถ้าฉุกเฉินนี่จิ้มไว้ก่อนเลย เดี๋ยวหลวงพ่อไปประกันตัวให้ อย่ามัวแต่กลัวอยู่ พวกคนชั่วกลัวใครซะที่ไหน มักตั้งใจก่อคดีอยู่แล้ว

http://i498.photobucket.com/albums/rr341/himalayath/420J2-17.jpg
มีดพับทรงมีดขว้าง ด้ามเขากวาง (มีดบ้านจ่าตุ่ม)


อย่างโมโม่ที่เพิ่งกลับจากอังกฤษมา โดนแย่งโทรศัพท์ เขาเล่าว่าโดนคนร้ายล็อกคออยู่ข้างหลัง แล้วบังคับเอาโทรศัพท์ ก็เลยต้องให้ไป ถ้าเป็นอาตมานี่ผู้ร้ายลงไปกองกับพื้นแล้ว โดนล็อกคออยู่ก็แค่เบี่ยงตัวนิดเดียว แล้วฟาดท่อนแขนกลับหลังจะผ่าหมากพอดี ผู้ร้ายก็นึกว่าเราดิ้นตามปกติ แต่ไม่ได้ดิ้นหรอก ตั้งใจจะให้ผู้ร้ายดิ้นแทน..!

ถ้าหากคนที่เป็นในวิชาการต่อสู้จะไม่มีอะไรอันตรายเลย โดยเฉพาะคนไหนเอามีดมาจ่อคออาตมานี่เท่ากับหาเรื่อง ลองนึกดูว่า คนเอามีดมาจ่อคอนี่ดูน่ากลัวมาก แต่ความจริงไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก เป็นอาตมาจะต่อยสวนเลย เพราะถ้าเขาจะแทงเราได้ เขาต้องชักมีดกลับก่อน

คนที่ใช้มีดเป็นเขาจะไม่ยื่นไปสุดแขน เขาจะกำมีดอยู่ระดับเอวหรือระดับอก ถ้าพวกนั้นน่ากลัวแน่ แสดงว่าเขาใช้มีดเป็น ถ้าประเภทยื่นมาจี้คอหอย เราก็ยิ้มหวานแล้วก็ชกเปรี้ยงเลย ไม่ต้องกลัวหรอก เขาทำอะไรเราไม่ได้ เพราะระยะแทงไม่มี สุดแขนไปแล้ว

พวกที่เอาปืนมาจ่ออยู่ในรัศมีมือ รัศมีตีนเท่ากับหาเรื่องเดือดร้อน ถ้าคนที่เขาใช้ปืนเป็น เขาไม่มาอยู่ในรัศมีมือรัศมีตีนหรอก"

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=15705&stc=1&d=1322203256
มีดด้ามมุกเล่มแรกของจ่าตุ่ม เป็นหอยมุกทั้งชิ้นมาทำด้าม ไม่มีรอยประกบ

เด็กเมื่อวานซืน
25-11-2011, 13:57
ขออนุญาตเพิ่มเติมรูปนะครับ

http://i117.photobucket.com/albums/o58/LordSri/Copyof100_0166.jpg

เล่มบนกับเล่มกลาง เป็นดาบหน้าลูกไก่ฝีมือช่างไทยสมัยอยุธยา

http://i117.photobucket.com/albums/o58/LordSri/100_0158.jpg

ส่วนเล่มนี้ จะเป็นดาบหน้าลูกไก่ที่เป็นฝีมือของช่างไทยเชื้อสายลาวที่อพยพเข้ามาอยู่อยุธยา ปัจจุบันเราจะรู้จักกันในนามของ บ้านอรัญญิก

เด็กวังวน
25-11-2011, 13:57
http://img210.imageshack.us/img210/9918/imgp0020bx9.jpg (http://imageshack.us/photo/my-images/210/imgp0020bx9.jpg/)

มีดพร้าของทางใต้จะเป็นแบบนี้ครับ

เถรี
27-11-2011, 10:31
"เราเป็นผู้หญิงเรี่ยวแรงเราน้อย เราจึงต้องรู้จุดอ่อนของผู้ชายไว้บ้าง อย่างกำปั้นซัดเปรี้ยงเข้าไปที่คอหอยเลย ผู้ชายโดนเข้าไปก็ชักเหมือนกัน ไปต่อยที่อื่นไม่ไหวหรอก หรือไม่ก็ทิ่มลูกตาไปเลย ถ้าต่อยทีเดียวแล้วยังไม่สะใจ ก็เตะผ่าหมากซ้ำเข้าไปอีก กระทืบไปร้องไป “ว้าย..ช่วยหนูด้วย ๆ” กว่าคนจะมาช่วยคนร้ายก็น่วม..!

"คุณปูเป้" หรือที่เขาเรียกกันว่า "เซียนเป้" ตั้งแต่ย้ายจากบ้านอนุสาวรีย์มา ไม่เห็นยายเป้โผล่มาเลย ช่วงที่ยายเป้ได้มีดจ่าตุ่มไปใหม่ ๆ เขาเอาไปจี้แท็กซี่ แถมได้ออก จ.ส.๑๐๐ ด้วย..! เขาขึ้นรถ แล้วไปเจอกระเป๋าเงินตกอยู่ในรถแท็กซี่ ในกระเป๋าน่าจะมีเงินเยอะเพราะใบอ้วนเลย ยายเป้บอกแท็กซี่ให้เลี้ยวไปสถานีตำรวจ แต่แท็กซี่ไม่ยอมไป คาดว่าคงอยากจะได้เอาไว้เอง ยายเป้เลยชักมีดจี้ “จะไปดี ๆ หรือไม่ไป..!” สรุปว่ายายเป้ได้ออก จ.ส. ๑๐๐ เป็นพลเมืองดี เก็บกระเป๋าในรถแท็กซี่ได้แล้วเอาไปคืน หารู้ไม่ว่าเอาไปคืนด้วยวิธีไหน

วันนั้นแม่เจ้าประคุณก็พกอีเหยี่ยวไปด้วย เป็นมีดพกที่ด้ามเป็นรูปนกเหยี่ยว ใบมีดยาว ๗ นิ้ว ใบมีดขนาดนั้นน่ากลัวมาก โดยเฉพาะมีดบ้านจ่าตุ่ม คมพอ ๆ กับมีดโกนทุกเล่ม พวกเราไม่ต้องไปสร้างวีรกรรมอย่างนั้นนะ ถ้าแท็กซี่ไม่ยอมไปเราก็ลงรถแล้วหาคันใหม่ไปโรงพักก็ได้"

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=15717&stc=1&d=1322376819
มีดพกศิลป์ ด้ามรูปนกเหยี่ยว ฝีมือบ้านจ่าตุ่ม

เถรี
27-11-2011, 10:56
พระอาจารย์กล่าวว่า "ดีปักเป้ามีพิษมาก พวกยาสั่งจะเอาดีปักเป้าเป็นส่วนประกอบด้วย มีดีนกยูง ดีหนู ดีงูเห่า ดีปักเป้าทะเล ฯลฯ (หัวเราะ) บอกต่อไม่ได้เดี๋ยวเอาไปทำยาสั่งกัน

พอทำยาสั่งเสร็จแล้ว เราต้องการจะสั่งว่าให้ตายด้วยของอะไร ก็เอาของชนิดนั้นผสมลงไปด้วย ถ้าเขากินของอย่างอื่นร่างกายก็เป็นปกติ แต่ถ้าเขาไปกินของที่ผสมเข้าไปเมื่อไรจะเป็นพิษทันที แล้วจะตายแบบหาสาเหตุไม่เจอ แต่ดูง่าย..เพราะว่าเล็บจะกลายเป็นสีม่วงเข้ม

ถ้ารู้ตัวว่าโดนยาสั่งให้ใช้รากฟักข้าว รากตำลึง และรากรางจืด ทั้งหมด ๓ อย่าง โขลกรวมกันใส่เหล้ากรอกปากไป จะแก้ได้ แต่ถ้าไม่มีอยู่ใกล้มือมีสิทธิ์ตายก่อน คนโบราณเขาจะจับถอนผมแล้วเอามาแตะกับเล็บ ถ้าผมดูดเล็บติดก็แสดงว่ายังแก้ได้ ถ้าหากว่าผมไม่ดูดแสดงว่าพลังชีวิตหมดแล้ว โอกาสตายมีเกินร้อย

สมัยก่อนทางด้านภาคตะวันออกยาสั่งจะแรงมาก เพราะว่ามาจากฝั่งเขมร จนกระทั่งรัชกาลที่ ๕ ตัดสินพระทัยทำหมุดสัมฤทธิ์เป็นหลักเขต เอาไปตอกไว้น่าจะที่แถวชลบุรี พระองค์ตั้งสัตยาธิษฐานด้วยอำนาจบุญบารมีของพระองค์ท่าน ห้ามไม่ให้ยาสั่งผ่านเขตนี้ ถ้าผ่านเข้ามาเมื่อไรขอให้เสื่อมฤทธิ์ ท่านตั้งใจช่วยเหลือประชาชน หากว่าใครไปสืบหาได้ว่าพระองค์ท่านตอกหลักนี้ไว้ตรงไหนช่วยมาบอกที อาตมาจะได้ไปดู

รู้สึกว่าหลักนั้นทำด้วยสัมฤทธิ์ คือโลหะ ๓ อย่างผสมกัน บวกกับการอธิษฐานจิตของบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นพระมหาโพธิสัตว์ กำลังของความดีท่านสูง การอธิษฐานของท่านก็เลยกลายเป็นอธิษฐานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากการตั้งใจมั่น"

เถรี
27-11-2011, 11:21
"เช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน พระองค์ท่านสร้างสมเด็จจิตรลดาหรือพระกำลังแผ่นดิน ไม่ได้เข้าพิธีพุทธาภิเษกที่ไหนเลย พระองค์ท่านผสมเอง พิมพ์เอง อธิษฐานแล้วก็แจก ตอนนี้ในท้องตลาดองค์หนึ่งราคาเป็นล้าน

อาตมาได้มาองค์หนึ่ง แต่เจ้าของเขาไม่ยอมให้หนังสือรับรองที่ทางสำนักพระราชวังออกให้ เขาขอเก็บหนังสือรับรองไว้เป็นเกียรติประวัติของตระกูล ส่วนพระยอมถวายให้ แล้วก็ให้เหรียญรัชกาลที่ ๕ เหรียญใหญ่มาหนึ่งเหรียญ เลี่ยมทองมาเลย เขาบอกว่าในตลาดมีแต่ของปลอมทั้งนั้น เอาของที่ตกทอดมาตามตระกูลของเขาดีกว่า แท้แน่นอน

ช่วงนั้นอาตมาตั้งใจจะเอาไว้ทำน้ำมนต์ มีทั้งพระพุทธรูป พระกริ่งวัดสุทัศฯ แผ่นยันต์ทำน้ำมนต์ของหลวงพ่อวัดท่าซุง เหรียญทำน้ำมนต์ของหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ เหรียญรัชกาลที่ ๕ และเหรียญรัชกาลที่ ๙ เพราะถ้าเราอาศัยบารมีของพระอย่างเดียว บางอย่างพระท่านก็ต้องยอมรับกฎของกรรม แต่บุคคลที่เป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อสงเคราะห์คนอื่น ถึงตนเองต้องยอมรับกรรมแทนท่านก็ยอม ก็เลยต้องอาศัยกำลังของพระโพธิสัตว์ท่านด้วย

http://statics.atcloud.com/files/comments/78/780800/images/1_original.jpg
สมเด็จจิตรลดา ด้านหลังปิดทอง

ทรงมีพระราชดำรัสแก่ผู้รับพระราชทานว่า "ให้ปิดทองที่หลังองค์พระปฏิมาแล้วเอาไว้บูชาตลอดไป ให้ทำความดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ"

เถรี
27-11-2011, 11:30
"เหรียญพระมหาชนก ตอนนั้นอาตมาไม่มีปัญญาที่จะบูชาเหรียญทองคำ ก็เลยได้แต่เหรียญเงินใหญ่มา ขนาดนั้นราคายังตั้ง ๕,๐๐๐ บาท มาพร้อมกับหนังสือฝีมือวาดของอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์กับคณะ มีอาจารย์ประหยัด พงษ์ดำ เป็นต้น มาช่วยกันวาดภาพพระมหาชนก

เหรียญมหาชนก..ในหลวงท่านบอกใบ้ให้ว่า ปัจจุบันพระองค์ท่านกำลังสร้างวิริยบารมี โดยการพากเพียรช่วยเหลือชาวบ้าน อาตมาจะแต่งกลอนเฉลิมพระเกียรติถวาย ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมายุ ๘๔ พรรษา พอเริ่มได้บรรทัดเดียวก็แต่งต่อไม่ได้เลย...ต้องจบ จบเพราะสงสารพระองค์ท่าน ไปต่อไม่ได้

เมื่อเลือกกำเนิด.........พ่อเลือกเกิดเพื่อคนไทย
พระชนม์ ๗ รอบผ่านไป........พ่อยังเหนื่อยยากตรากตรำ..ฯลฯ


แต่งต่อไม่ได้เลย อยู่มาจนป่านนี้พระองค์ท่านยังสบายไม่ได้"

http://www.pramool.com/classified/attach/L05552-0.jpg
เหรียญมหาชนก

เถรี
27-11-2011, 18:18
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนยังเป็นฆราวาสอยู่ อาตมาเอากฐินไปทอดที่วัดใหม่ศรีสุพรรณ อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ได้เงินกฐินสามหมื่นกว่าบาท แต่ทางเขาต้อนรับคณะกฐินของเราอย่างต่ำก็สามหมื่นบาท ตกลงแล้วเขาจะเหลืออะไร ?

เงินสามหมื่นกว่าบาทช่วงนั้นถือว่ายังเยอะอยู่ เพราะว่าตอนนั้นทองคำบาทละสองพัน เขาต้อนรับคณะของอาตมาด้วยการเลี้ยงขันโตก มีฟ้อนเล็บ มีลอยโคม มีภาพยนตร์

คนเหนือมีอัธยาศัยดีมาก ๆ พอคณะของเราไปถึงเขาก็ลงขันโตกทันที มีสาวจากคุ้มต่าง ๆ ใกล้บ้านมาต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง จะมานั่งประกบกันเลย ที่ขำที่สุดก็คือสาว ๆ แห่กันมาลงโตกของอาตมา ๓-๔ คน โตกข้าง ๆ นี่ว่างเลย ตอนนั้นอาตมาเพิ่งจะอายุ ๒๒-๒๓ ปี ส่วนโตกอื่นอายุเกิน ๖๐ ปีแล้ว อีกอย่างก็คือตอนนั้นอาตมายังเป็นทหารอยู่ด้วย ยังเป็นคนในเครื่องแบบอยู่

เพราะว่าคนเหนือมีอัธยาศัยดีมากนี่แหละ จึงดึงให้คนย้อนกลับไปเที่ยวอีก เป็นแบบเดียวกับสาราณียธรรม ๖ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านสอนว่าให้ปฏิบัติต่อกันด้วยเมตตา ๑ เมตตาต่อกันด้วยวาจา ๑ เมตตาต่อกันด้วยใจ ๑ แบ่งปันลาภที่ได้มาให้ผู้อื่น ๑ ประพฤติศีลเสมอกัน ๑ มีความเห็นร่วมกัน ๑

พูดง่าย ๆ ก็คือ คิดก็ให้คิดถึงเขาในด้านดี ๆ พูดก็ให้พูดถึงเขาในด้านดี ๆ ทำกับเขาในด้านดี ๆ แบ่งปันลาภที่ได้มาให้แก่คนอื่น นี่คือสาราณียธรรม ธรรมอันเป็นเครื่องยังความระลึกถึงกัน"

เถรี
27-11-2011, 18:26
"ครั้งนั้นได้เพื่อนมาเยอะเลย เพราะตอนไปเที่ยวต่อนั้น รถไปเสียที่เวียงป่าเป้าตอนกำลังจะขึ้นเชียงราย ตรงจุดที่รถเสียนี่ไม่ว่าจะขึ้นเชียงรายหรือลงเชียงใหม่ก็ระยะทางร้อยกว่ากิโลเมตรเท่ากัน จึงตัดสินใจว่าลงเชียงใหม่ดีกว่า เพราะมั่นใจว่าได้วัสดุมาซ่อมรถแน่ ต้องค้างกลางทางอยู่วันหนึ่งกับอีกหนึ่งคืน

อาตมาในฐานะทหารเตรียมพร้อมเสมอ จึงพกเสบียงไป คนอื่นไม่พกอะไรไปเลย อาตมามีขนมปังแถวหนึ่ง แยมขวดใหญ่และน้ำดื่ม ตอนที่ผ่านเชียงใหม่ก็ซื้อข้าวหลามไปอีกมัดใหญ่ คนอื่นช่วยกันกินกระจายเลย..! เพราะจุดที่รถเสียต้องเดินไป ๓๐๐ เมตรจึงเจอเพิงขายก๋วยเตี๋ยวเล็ก ๆ มีอยู่เพิงเดียว แล้วคนลงจากรถไปตั้ง ๗๐-๘๐ คน

แม่ค้าขายหมดทุกอย่างที่ขวางหน้า ลูกตัวเองต้องนั่งร้องไห้เพราะไม่มีอะไรกิน ท้ายสุดอาตมาก็เอาหมูปิ้งให้ป้าสายกิน ป้าสายเป็นอิสลามนะ..! อาตมาบอกว่า “ป้ากินเถอะ ดีกว่าเป็นลม” ป้าเขาก็ไม่รู้ไม่ชี้กินไป เขาบอกว่าถ้าไม่บอกว่าเป็นหมูก็กินได้..!

เถรี
27-11-2011, 18:33
"ในขณะที่ตัวเองมีของอยู่แค่นั้นแล้วยังแบ่งให้คนอื่นเขาได้ ก็เลยได้น้ำใจตอบแทนมา มีแต่คนถามหา อาตมานี่ถ้าเข้าไปแถวโรงหนังอุดมสุขกินฟรีได้ทุกร้านเลย เพราะครั้งนั้นแม่ค้าแถวหน้าโรงหนังอุดมสุขไปกันเยอะ เขาเรียกว่า วนฺทโก ปฏิวนฺทนํ ผู้ไหว้ย่อมได้รับการไหว้ตอบ เราให้เขา ๆ ก็ให้เราตอบ

หลายรายก็ยังคบหาสมาคมกัน จนกระทั่งบวชถึงได้เลิกติดต่อกันไป เพราะอาตมาไม่ได้มีนิสัยโทรหาโยม ถ้าไม่มีธุระอย่าหวังจะได้เห็นเบอร์โทรโผล่ไปเลย บางคนเขารู้จักใครเขาก็โทรไปตลอด ดีตรงที่ว่าได้ต่อสายสัมพันธ์ไว้ แต่ไม่ใช่นิสัยอาตมา นิสัยของอาตมานี่ถ้าโทรไปเมื่อไร แปลว่าคุณกำลังจะเดือดร้อนแล้ว..!

ถึงขนาดพระผู้ใหญ่ท่านยังเคยออกปาก “ไอ้คุณนี่ก็ดีนะ..ถ้ามาเมื่อไรก็แสดงว่ามีเรื่อง ปกติดีไม่เคยโผล่หัวมาเลย ส่วนไอ้พวกไร้สาระมาเฝ้าเช้า เฝ้ากลางวัน เฝ้าเย็น ไม่ยอมไปสักที ผมรำคาญจะตาย..!” นี่พระผู้ใหญ่ท่านออกปากเองเลย ท่านบอกว่า “ไม่มาหาผมแปลว่าคุณมีงาน ผมไม่ได้ว่าอะไร ผมดีใจเสียอีกที่คุณทำงานเพื่อพระศาสนา”

ในเรื่องของการเสียสละให้ปันต่อผู้อื่น หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านใช้คำว่า "ปฏิปทาสาธารณประโยชน์" อย่างในปัจจุบันที่เห็นชัด ๆ ก็เรื่องน้ำท่วม ในหลวงท่านว่า ถ้าใช้คำว่า "เสียสละ" จะให้ได้ยาก เพราะรู้สึกว่าเราต้องเสีย ให้ตัดคำว่า "เสีย" ออก เหลือแค่ "สละ" ก็จะให้ง่ายกว่า แต่ถ้าเอา ส.เสือ ออก เหลือแต่ "ละ" คราวนี้ให้ได้ทุกอย่างเลย จะเห็นว่าตัวหนังสือคำเดียวในหลวงท่านยังสามารถแยกแยะได้ถึงขนาดนี้"

เถรี
28-11-2011, 18:55
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนไปแจกของที่ศาลายา เจอพวกที่ทำงานตรงเป็นไม้บรรทัด ปรับงานเฉพาะหน้าไม่เป็นเลย คือเขาไปแจกเฉพาะจุด แต่ละจุดรายงานว่ามากี่คนเขาก็ให้แค่นั้น แล้วคนที่เขาต้องพายเรือออกมาปากซอยตั้งครึ่งค่อนซอย เพื่อมาหาอาหาร เขาขอข้าวกล่องดันไม่ให้ บอกเขาไปว่าไม่มี เพราะเขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่จะแจก ต้องบอกว่าปรับงานเฉพาะหน้าไม่เป็น

มียามที่ ม.มหิดลศาลายา เขาขอข้าว ๓ กล่อง บอกไปว่า “จ่ายไปแล้ว ๓๕ กล่อง อยู่ข้างใน เข้าไปเอาแล้วกัน” กว่าที่เขาจะลุยน้ำเข้าไปเอาข้าวกล้องข้างในได้ ต้องลำบากแค่ไหน? ในมหาวิทยาลัยกว้างตั้งเท่าไร แล้วยามเขาก็ต้องเฝ้าอยู่ที่ประตู เขาจะลุยเข้าไปอย่างไร ? เขาก็ต้องทำหน้าที่ของเขา

พวกตรงเป็นไม้บรรทัด ถ้าเป็นทหารตายหมด..! เวลาทหารออกรบต้องปรับตามเหตุการณ์เฉพาะหน้า ไปตามตำราอย่างเดียวก็ไปเป็นปุ๋ยอยู่ที่ชายแดน..! การตรงไปตรงมานั้นดี แต่ว่าต้องเหมาะสมกับกาละเทศะด้วย ขนาดกฎหมายเขายังมีนิติศาสตร์กับรัฐศาสตร์เลย"

เถรี
28-11-2011, 19:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่เป็นโรคเก๊าท์ วิธีรักษาที่ง่ายที่สุดคือดื่มน้ำอุ่นเยอะ ๆ โรคนี้เกิดจากผลึกของกรดยูริค ที่มีลักษณะแหลม ๆ เหมือนเข็ม พอไปอยู่ในข้อในเข่าเยอะ ๆ เข้า ก็จะทิ่มเนื้อจึงทำให้เจ็บ ปวด บวม

ให้ดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อจะไปละลายกรดพวกนี้ออกมา ใครที่กินพวกไก่ พวกอาหารทะเลเข้าไป พอหลังอาหารสักชั่วโมงก็เริ่มดื่มน้ำชั่วโมงละแก้ว สาเหตุที่ให้ดื่มน้ำอุ่นเพราะถ้าไปดื่มน้ำเย็นเดี๋ยวจะจับไข้เสียก่อน"

เถรี
28-11-2011, 19:29
ถาม : บางทีช่วงทำวัตรจะรู้สึกว่าเหมือนมีกำลังส่งมา แล้วทำให้รู้สึกว่าอยากในสิ่งที่ไม่เคยอยากมาก่อน เช่น อยากฉันชา อยากเคี้ยวหมาก สงสัยว่าทำไมช่วงหลังเป็นบ่อยคะ ?
ตอบ : ทำไม่รู้ไม่ชี้ไว้ ต้องบอกไปว่าอายุยังน้อย ยังแก่ไม่พอ ให้หาสัญลักษณ์อื่นมาแทน

ระวังไว้...เผลอเมื่อไรจะกลายเป็นร่างทรง อย่างอาตมาปฏิเสธเด็ดขาด หมากก็ไม่เอา แว่นตาก็ไม่เอา ยานัตถุ์ก็ไม่เอา ท่านถามว่าแล้วไม้เท้าจะเอาไหม ? ตอนนั้นตอบว่าเอาหรือไม่เอาก็โดนแน่ เงียบดีกว่า

ถาม : การเป็นร่างทรงมีข้อเสียอะไรคะ ?
ตอบ : ไม่มีข้อเสียอะไรหรอก แต่เสียเวลาการปฏิบัติของตัวเอง ถ้าเราต่อรองเป็นก็ดี แต่คราวนี้สิ่งที่ทำกลายเป็นว่า เขาเอาร่างของเราไปสร้างบารมี ส่วนที่เสียง่ายก็คือถ้าขาดสติสัมปชัญญะ ถึงเวลาแล้วชื่อเสียงลาภยศมา จะกลายเป็นว่าคิดว่ากูเก่ง แล้วจะไปหลงในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข พอความหลงในลาภ อยากเด่น อยากดัง อยากมีบริวารมาก ๆ เกิดขึ้น ท่านก็ไม่สงเคราะห์อีก

คราวนี้พอคนมาหาก็เริ่มมั่ว ถ้ามั่วถูกก็ดีไป ถ้ามั่วผิดก็เสียหาย เรื่องพวกนี้ต้องระวัง บอกท่านไปว่ายังแก่ไม่พอ ขออีก ๕๐ ปีข้างหน้าแล้วค่อยมา บางอย่างมีกรรมเนื่องกัน ท่านเองท่านก็คงใจร้อน รอเกิดใหม่ก็ช้า จึงอาศัยคนที่เนื่องกันมา หรือไม่ท่านก็คงประเภทกลัวเกินกว่าที่จะมาเกิด "มากูก็ลำบาก ไม่มาดีกว่า อาศัยคนอื่นแบบนี้แหละ”

เถรี
28-11-2011, 19:40
พระอาจารย์กล่าวว่า "หนังสือกรรมฐาน ๔๐ ของหลวงพ่อวัดท่าซุง ถ้าเป็นเล่มเก่า ๆ จะมีอยู่ตอนหนึ่งที่เขาตัดออก เพราะว่าท่านกล่าวถึงคณะปฏิวัติ เกี่ยวข้องกับประเด็นทางการเมือง ทำให้คนไปตำหนิว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นพระการเมือง จึงทำให้หายไป ๔ หน้า

อาตมาอ่านหนังสือรุ่นเก่า บางทีก็จะบอกว่าอยู่หน้าไหนในหนังสือเล่มใหม่ที่พวกเราอ่าน ก็ต้องลบหน้าที่เขาตัดออก เพราะว่าหนังสือรุ่นใหม่จะหายไป ๔ หน้า"

เถรี
28-11-2011, 19:50
ถาม : คนสมัยก่อนเขาห้ามเผาศพวันศุกร์ใช่ไหมครับ?
ตอบ : เขาห้ามเผาวันศุกร์ สมัยก่อนถ้าวันเผาตรงกับวันศุกร์เขาจะเลื่อนวัน ส่วนใหญ่เขาจะเลื่อนเป็นวันพฤหัสบดี เขาจะไม่เอาวันเสาร์ เพราะถ้าไปเจอคนที่ตายวันอังคารแล้วเผาวันเสาร์ เขาว่าผีจะเฮี้ยน

ถาม : แล้ววันพระเล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าพระท่านไม่ติดลงโบสถ์ก็พอได้ แต่ต้องเป็นวันพระเล็ก ถ้าวันพระใหญ่เวลาเผามักจะเป็นเวลาพระลงโบสถ์พอดี คนโบราณเขาจะเว้นวันพระกับเว้นวันศุกร์ ที่เว้นวันศุกร์ เพราะเป็น "วันสุข" ไม่ใช่ "วันเศร้า" ส่วนที่เว้นวันพระนั้น ความจริงไม่ใช่อะไรหรอก เดี๋ยวพระท่านจะทำกิจของสงฆ์ไม่ได้

เถรี
29-11-2011, 08:22
เวลาไปพม่าบางทีก็ทำใจไม่ถูกเหมือนกัน เพราะบางทีกะเวลากลับเอาไว้พอดี แต่ดันไม่ได้กลับ เพราะเขาบอกว่า “วันนี้วันจม ไม่วิ่งรถ” แล้วเป็นอย่างนี้ทั้งท่ารถ อาตมาจะไปบังคับเขาได้อย่างไร วันไม่ดีเขาไม่วิ่งกัน

ตั้งแต่ไปพม่ามาไม่เคยเจออุบัติเหตุ ทั้ง ๆ ที่พม่าขับรถพิลึกพิลั่นมาก ถนนที่นั่นแคบ เวลารถจะวิ่งสวนกันต้องลงข้างทางคนละล้อ อาตมาเผลอชักแขนหลบทุกที แต่เขากะจังหวะได้ โดยเฉพาะรถวิ่งกลางคืน พอห่างกันสัก ๑๐๐-๒๐๐ เมตรเขาจะสาดไฟสูงใส่กัน ๓-๕ ครั้ง พอวิ่งเข้ามาใกล้สัก ๕๐ เมตร จึงค่อยดับไฟหน้าพร้อม ๆ กัน ถ้าเป็นบ้านเราก็ชนกันเละ..! แล้วพอรถวิ่งมาเกือบจะสวนกัน ต่างคนต่างก็สาดไฟสูงใส่กันอีก แล้วจะไปมองอะไรเห็น ?

ถ้าจะด่าคนขับนี่ไม่ต้องไปด่าหรอก เพราะเขาทำอย่างนั้นกันทั้งประเทศ ถามว่าทำไมทำอย่างนั้น ? เขามองว่าเวลาหลบกันจะได้เห็นชัด ๆ จะไปเห็นชัดกับแมวอะไร จากที่วิ่งมามืด ๆ แล้วไปสาดไฟสูงใส่อย่างกะทันหัน ถ้าเป็นอาตมาจะไม่เห็นอะไรเลย เพราะตาพร่าไปหมด

เถรี
29-11-2011, 08:31
ถาม : น้ำมนต์งานเป่ายันต์เกราะเพชรกับน้ำมนต์รักษาโรค ท่านอธิษฐานเหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เหมือนกัน...น้ำมนต์รักษาโรค อธิษฐานรักษาโรคทั้งคนและสัตว์ ส่วนน้ำมนต์งานเป่ายันต์เกราะเพชร อธิษฐานให้ทำลายสิ่งที่ไม่ดีได้

ถาม : แล้วพระโพธิสัตว์องค์ไหนที่รับหน้าที่นี้โดยเฉพาะครับ ?
ตอบ : ได้ทั้งนั้น..อาตมาเจอหน้าใครก็ขอให้ช่วย ต้องบอกว่าทุกท่านรับหน้าที่นี้โดยเฉพาะ..!

เถรี
29-11-2011, 09:44
ถาม : เวลาโยมฝึกมโนยิทธิ พอขึ้นไปบนพระนิพพาน จับภาพพระแล้วจะเห็นเป็นรูปวิมานแทน อย่างนี้ถูกไหมคะ ?
ตอบ : ได้..ทำอย่างไรก็ได้ ให้รู้ว่าตรงหน้าเรานี้คือพระนิพพาน จะเป็นภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ จะเป็นภาพวิมานของพระพุทธเจ้าก็ได้ หรือจะเป็นภาพพระนิพพานทั้งหมดเลยก็ได้

ถาม : ........(ไม่ได้ยิน) โยมสงสัยจริง ๆ
ตอบ : อย่างไรก็ได้ เพราะว่าอย่างแรกคือเราเกาะแค่นั้นเอง การเกาะทำให้เป้าหมายชัดเจน แต่พอถึงเวลาจริง ๆ แล้วจะต้องปล่อย ไม่ได้เกาะ

ถ้าถามว่าถูกไหม ? ถ้าอาตมาตอบว่าไม่ถูกโยมก็แย่สิ เพราะช่วงแรกในการปฏิบัติต้องเกาะกันทุกคน เหมือนการขึ้นที่สูงเราก็เกาะราวบันได แต่พอถึงห้องข้างบนแล้วโยมได้เกาะราวบันไดอีกหรือเปล่าจ๊ะ ? ถึงตอนนั้นปล่อยหมดแล้ว

ฉะนั้น...ที่ถามว่าตอนแรกถูกไหม ? ไม่ถูกสักรายหรอก แต่ต้องเกาะเพื่อที่กำลังใจจะได้มั่นคง และเป็นนิมิตหมายที่ชัดเจน หลังจากเต็มที่แล้วก็จะปล่อยเอง ขอให้เกาะอยู่ในด้านดีก็พอ อย่าไปขี้สงสัยมาก ขี้สงสัยมักจะไม่ค่อยได้อะไรหรอก ต้องทำแบบโง่ ๆ ถึงจะได้ดี

เถรี
29-11-2011, 09:59
ถาม : ทำไมกายทิพย์ต้องมีการคิด อย่างเทวดาทำไมจึงต้องคิด ?
ตอบ : แล้วทำไมถึงต้องไม่คิด ? เขาก็เป็นชีวิตรูปแบบหนึ่ง ถ้าไม่มีการนึกคิดปรุงแต่ง ก็ไปนิพพานหมดแล้วสิจ๊ะ ?

อย่าถามอะไรที่เกินกว่าความรู้ของตัวเอง อาตมาอธิบายไปก็เหนื่อยเปล่า เราปฏิบัติเพื่อขจัดความฟุ้งซ่านออกจากจิต ให้จิตมีสภาพนิ่ง สงบ เพื่อที่ปัญญาจะได้เกิด มองเห็นทางออกจากทุกข์ได้ ไม่ใช่ยิ่งปฏิบัติแล้วยิ่งฟุ้งซ่าน คิดไปได้ทุกเรื่อง ประเภทนั้นเขาเรียกว่าฉลาดเสียเปล่า ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ไปฉลาดในเรื่องที่ไม่ควรจะฉลาด แต่เรื่องที่ควรจะฉลาดกลับโง่..!

เถรี
29-11-2011, 11:01
ถาม : บางทีเราเจริญกรรมฐาน รู้สึกปวดท้องเข้าห้องน้ำ พอเดินไปถึงห้องน้ำอาการหายไป เป็นอยู่อย่างนี้ ๒ ครั้ง ก็เลยอาราธนายันต์เกราะเพชร แล้วอาการก็หายไป สงสัยว่าระหว่างที่เรากำลังเจริญพระกรรมฐาน กำลังใจเราก็ทรงตัวอยู่ แต่ทำไมเรื่องแบบนี้เข้ามาได้?
ตอบ : เขาเรียกว่าขันธมาร ไม่ใช่ไสยศาสตร์ มารเขาเล่นทุกทางแหละ ขนาดคนเข้าสมาบัติ ๘ ยังแกล้งเลย


ถาม : เข้ามาในระหว่างสมาบัติ ๘ หรือครับ?
ตอบ : บางทีมารเขาต้องการให้ติดอยู่แค่นี้ ติดอยู่แค่อรูปพรหม เขาเรียกว่า อภิสังขารมาร ตายไปตอนนั้นนี่คุณไม่มีทางจะหลุดพ้นไปนิพพานได้เลย ไปเป็นอรูปพรหม ๘๔,๐๐๐ มหากัป พอหมดอายุขัยแล้วอาจจะลงนรกไปเลยก็ได้ เพราะบุญเก่าหมด ถือว่าเป็นความแสบของมาร

ตราบใดที่ยังไม่หลุดพ้น มารยังสามารถครอบงำได้ทุกคน แต่ครอบงำพระอริยเจ้าได้เล็กน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นส่วนของเศษกรรมที่ทำให้ขันธมารอาละวาดได้ หรือไม่ก็ดึงให้ติดอยู่ในความสุขในระดับของพระอริยเจ้าเบื้องต้น ไม่ให้ก้าวล่วงไปมากกว่านั้น

เถรี
30-11-2011, 09:19
ถาม : ทหารสมัยก่อนที่ถือดาบกับทหารสมัยนี้ที่ถือปืน ต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : ความกล้าหาญของทหารสมัยนี้หายไป อย่างครั้งแรกที่ฝึกการเข้าตี ผู้กองเขาบอกว่า “ทหาร..ติดดาบ..ตามข้าพเจ้ามา” แต่ผู้กองอยู่ข้างหลัง พวกเราก็เลยยืนงงกันหมด เขาก็ด่าว่า “บุกไปข้างหน้าสิโว้ย..!” พวกเราจะไปกันอย่างไร ก็เขาบอกตามข้าพเจ้ามาแล้วดันไปอยู่ข้างหลัง ?

อาตมาถึงได้เข้าใจว่ารูปแบบธรรมเนียมเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าสมัยขุนรองปลัดชูพวกนี้ตายหมด ความกล้าต่างกันมาก สมัยก่อนถืออาวุธขาววับวิ่งเข้าใส่กัน ถ้าทหารหนังไม่เหนียว ฝีมือไม่ดีนี่ตาย ๑๐๐ %

ถาม : กว่าจะฝึกผ่าน กว่าจะเก่งได้ ไม่บาดเจ็บกันหรือครับ ?
ตอบ : ตอนแรกเขาฝึกโดยใช้ดาบหวายก่อน กว่าจะถึงขั้นใช้ดาบเหล็กต้องอาจารย์ไว้ใจแล้ว แรก ๆ ถ้าเป็นดาบก็ยังเป็นดาบเหล็กไม่มีคมก่อน แล้วถึงจะใช้ดาบของจริง

ถาม : แล้วจะเหมาะมือหรือครับ ? เพราะน้ำหนักต่างกันมากเลย
ตอบ : ถ้าฝึกกระบวนท่าคนเดียวก็ใช้ของจริงเลย แต่ถ้าซ้อมคู่ก็ใช้ดาบหวาย ดาบไม้ หรือไม่ก็ดาบเหล็กไร้คม เคยอ่านนิยายจีนเรื่องหนึ่ง จำชื่อเรื่องไม่ได้แล้ว พระเอกตกหลุมส้วมแล้วไปเจอสุดยอดตำราฝีมือของสำนักซ่อนอยู่ในนั้น สุดยอดฝีมือของสำนักท่านนั้นก็มีนิสัยเดียวกับพระเอก คือไม่ค่อยยอมรับกฎเกณฑ์อะไร พระเอกเข้าส้วมแล้วฝึกแทงแมลงวัน แทงไปแทงมาเผลอตกหลุมส้วม พอตกลงไปก็เจอก้อนหินใหญ่มีหนังสือสลักว่า "..เจ้าตกลงมาใช่ไหม ? แสดงว่าเจ้านิสัยเดียวกับเรา ให้ตามไปทางนี้.."

ตำราสุดยอดฝีมือไปอยู่ก้นหลุมส้วม ใครที่ไหนจะตามลงไปฝึก ถ้าไม่ใช่พวกบ้าเกินเหตุ พระเอกฝึกทุกวัน ทุกเวลา ฝึกจนกระทั่งมีฝีมือเหนือกว่าที่อาจารย์สอนให้ แต่ก็ไม่กล้าใช้ เพราะว่าไปยึดติดกับตำรา ที่อาจารย์บอกว่าต้องใช้ท่าอย่างนี้ไปรับท่าอย่างนั้นเท่านั้น แต่ตอนแทงแมลงวันไม่ต้องใช้ท่าพวกนั้น เพราะใช้แล้วแทงไม่ถูก ท้ายสุดก็ไปเจอปรมาจารย์นิสัยเดียวกัน ไม่ยอมรับกฎเกณฑ์อะไร แหกคอกอย่างเดียว เลยกลายเป็นคนเก่ง แต่ก็ถูกเขาหลอกใช้จนได้ เพราะซื่อจนเกินไป

เถรี
30-11-2011, 09:40
ถาม : ประวัติศาสตร์สมัยอยุธยานี่ไม่ค่อยตกทอดมาถึงเรานะครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าไม่ได้บันทึกของต่างประเทศอย่างพม่า เราก็ไม่รู้ว่าเรามียอดนักรบท่านหนึ่งชื่อมหาเทพ จารึกเขาใช้คำว่า มหาเทวะ ก็คือมหาเทพนั่นแหละ ตอนเจดีย์ไจ๊ตาลานถล่มลงมาเขาเลยเจอแผ่นจารึกนี้

ตอนกรุงศรีอยุธยาแตกท่านมหาเทพป้องกันเจ้านาย หนีทหารพม่าเป็นวันเป็นคืน ปะทะกันไปตลอดทาง ไม่มีใครเข้าใกล้ขบวนได้เพราะท่านมหาเทพรั้งท้ายอยู่ ไล่ไปไล่มาไปเจอวัด ก็ให้เจ้านายกับครอบครัวหนีเข้าประตูวัด ตัวเองยืนขวางประตู ทหารพม่าก็ได้แต่ยืนล้อมอยู่ไกล ๆ เพราะใครเข้าใกล้ก็ตาย..!

ทหารพม่ารออยู่ครึ่งค่อนวัน ก็แปลกใจว่าทำไมทหารไทยถึงยืนนิ่งไม่กระดิกเลย ยั่วยุอย่างไรก็ไม่กระดิก ท้ายสุดก็มีคนขยับเข้าไปจนถึงรัศมีแล้วก็ยังไม่กระดิก ก็เลยตั้งใจดูถึงได้รู้ว่าทหารไทยไม่หายใจไปตั้งนานแล้ว เพราะเหนื่อยที่ต้องรบกับคนหลายร้อยพันมาเป็นวันเป็นคืน หมดแรงตายไปตั้งนานแล้ว

คราวนี้พอระยะเวลานานพอ เขามั่นใจว่าเจ้านายกับเพื่อนพ้องหนีรอดแน่แล้ว กำลังใจจึงคลายตัวออกมาก็เลยตายในท่ายืนนั่นแหละ พม่าเขาก็บันทึกไว้เป็นการสรรเสริญว่า ถ้าทหารไทยทุกคนเป็นอย่างนี้ พม่าตีเมืองไทยไม่ได้หรอก

ถาม : กำลังใจอย่างนั้นตายแล้วไปไหนครับ ?
ตอบ : ดูท่าว่าจะไปเกิดแถว ๆ จาตุมหาราช เตรียมลงมาใหม่

ถาม : ท่านน่าจะไปพาพวกเขาลงมาได้แล้วครับ เดี๋ยวไม่ทันใช้
ตอบ : ทิดตู่...วันนี้คุณมีข้อผิดพลาดใหญ่หลวง ไม่ได้ออกไปแจกของผู้ประสบภัยน้ำท่วม เพราะฉะนั้น..ต้องไถ่โทษโดยการไปเชิญเขาลงมาเกิด..! ฟังดูเหมือนประวัติพระนาคเสนอย่างไรไม่รู้ ?..(หัวเราะ)..

ถาม : มีเจ้านายท่านใดได้บันทึกไว้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เขาไม่ได้เขียนไว้ เขารู้แต่ว่าฝ่ายที่หนีไปมีครอบครัวของเจ้านายที่ต้องปกป้องสุดชีวิต ทหารพม่าไม่ได้มากินมานอนบ้านเรานี่ จึงจะได้รู้ว่าใครเป็นใคร เขียนได้ขนาดนั้นก็ถือว่าดีมากแล้ว

เถรี
30-11-2011, 10:01
ถาม : ทำไมสมัยอยุธยาเขาต้องแย่งชิงแผ่นดินกันเยอะขนาดนั้นเล่าครับ ?
ตอบ : เขายังมีแนวความคิดว่า ถ้าเป็นพระมหากษัตริย์ต้องแสดงออกซึ่งพระราชอำนาจด้วยการตีบ้านตีเมืองอื่น การตีบ้านตีเมืองอื่นได้ทั้งสมบัติ ได้ทั้งทรัพยากร ได้ทั้งผู้คน ได้ทั้งช้างม้าวัวควาย ซึ่งก็คืองบประมาณสำหรับหล่อเลี้ยงประเทศตัวเองนั่นแหละ เพราะว่าผู้คนกวาดต้อนมา ก็เอามาเป็นทาสทำไร่ทำนา ยุคนั้นสังคมเป็นอย่างนั้น ค่านิยมเป็นอย่างนั้น

ถาม : จริง ๆ แล้วก็โจรดี ๆ เลยนะครับ
ตอบ : ก็เรียกว่าโจรนั่นแหละ แต่โจรที่ลักษณะตรงไปตรงมา จะปล้นก็คือปล้น จะเอาก็คือเอา ไปลุยกันซึ่ง ๆ หน้า ไม่ได้ใช้เล่ห์เหลี่ยมแอบยักยอกกันทีเป็นพัน ๆ ล้าน..!

ถาม : ทำไมสมัยอยุธยาบรรดาราชวงศ์ถึงได้เยอะอย่างนั้นเล่าครับ ?
ตอบ : สมัยอยุธยายาวนานถึง ๔๑๗ ปี เพราะฉะนั้น..จะว่าราชวงศ์เยอะก็ไม่ใช่หรอก เพิ่งจะมาเยอะช่วงท้าย ๆ นี่เอง ที่เขาเข่นฆ่าแย่งชิงแผ่นดินกัน ตอนต้น ๆ ก็ไม่มีปัญหา


ถาม : สมเด็จพระนารายณ์โดนปลงพระชนม์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : โดนปลงพระชนม์ สมเด็จพระนารายณ์ท่านไม่ได้แสดงฝีมือเลย แต่ลูกน้องเก่งถึงได้เป็นมหาราช ต้องบอกว่าเจ้านายคุมนโยบายและใช้คนเป็น ติดต่อทำการค้ากับต่างประเทศ สร้างความร่ำรวยมหาศาลเข้าท้องพระคลัง กล้าใช้แม้กระทั่งคนต่างชาติที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า อย่างเจ้าพระยาวิชาเยนทร์เป็นชาวกรีซ ออกญาเสนาภิมุขก็เป็นชาวญี่ปุ่น

พอวิทยาการสมัยใหม่ของต่างประเทศเข้ามา ขนาดพระราชวังที่ลพบุรียังมีหอดูดาว แล้ววิชาการเหล่านี้มาได้ดีในสมัยรัชกาลที่ ๔ พระองค์ท่านศึกษาคำนวณเส้นทางการโคจรของดวงอาทิตย์และดวงดาวต่าง ๆได้ ท่านคำนวณวันเกิดสุริยุปราคาได้แม่นยำจนกระทั่งชาวยุโรปต้องทึ่ง

ถาม : เป็นตำราเดียวกันเลยหรือครับ ?
ตอบ : ก็สืบเนื่องมาจากสมัยอยุธยานั่นแหละ


ถาม : ทำไมก่อนหน้านั้นไม่มีใครทำได้เลยครับ ?
ตอบ : มี..เพียงแต่ว่าไม่ได้เปิดเผยออกมา ส่วนใหญ่เขาก็แค่สืบทอดในวงศ์ตระกูล ถึงเวลาก็รับหน้าที่เป็นปุโรหิตาจารย์ รับหน้าที่โหราจารย์ สำหรับรัชกาลที่ ๔ ท่านโดดเด่นออกมาเพราะว่าต่างชาติเข้ามาร่วมรับรู้ด้วย

ลองไปดูจดหมายเหตุที่พระองค์ท่านติดต่อกับต่างชาติดูสิ พระองค์ท่านเขียนภาษาอังกฤษคล่องมาก พระองค์ท่านบวชอยู่ ๒๐ กว่าพรรษา สึกมาตอนอายุ ๔๗ ครองราชย์แล้วยังมีลูกอีก ๗๗ คน..!

เถรี
30-11-2011, 10:32
ถาม : ปัจจุบันนี้ที่เขาทำนายสุริยุปราคา ก็ตำราเดิมหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เขาพัฒนาขึ้นมา ที่พัฒนาขึ้นมาเพราะเขามีกล้องดูดาวที่ส่งไปในอวกาศ ทำให้เห็นเส้นทางโคจรชัดเจนกว่า ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ต้องมาเล็งมารอว่า อีกนานเท่าไรจึงจะมา

ถาม : ทำไมหลังสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชบ้านเมืองถึงได้แย่ลงเล่าครับ ?
ตอบ : จะบอกว่าแย่ลงก็ไม่ใช่ เพราะเขามัวแต่รบราฆ่าฟันกันอยู่ เวลาแย่งชิงราชสมบัติแล้วจะต้องฆ่าคนของฝ่ายตรงข้ามให้หมด คนของฝ่ายตรงข้ามก็มีแต่บรรดาหัวกะทิ พอพวกหัวกะทิตายหมด ก็เหลือแต่หางกะทิแบบรัฐบาลสมัยนี้แหละ..!

ถาม : ไม่เห็นต้องฆ่าเลยนะครับ น่าจะเก็บเอาไว้ใช้
ตอบ : กำลังใจไม่กว้างพอ ลองนึกถึงเจงกีสข่านสิ พอเจงกีสข่านจับเจอเปได้ จึงถามว่าจะยอมรับใช้เราไหม ? พอเขายอมรับใช้ ก็ความไว้วางใจ ให้คุมกองทัพออกรบเลย ตอนหลังกลายเป็น ๑ ใน ๓ นายพลที่คุมอำนาจใหญ่ที่สุด มีกำลังพลหลายแสน เขาไว้ใจขนาดนั้น เวลาเจงกีสข่านยกไปตีเผ่าไหนได้ กำลังคนของเผ่านั้นก็เอามาเข้ากองทัพใช้งานหมด

เถรี
30-11-2011, 16:26
ถาม : คนที่เขารู้ว่าการดื่มเหล้าไม่ดี แต่เขายังเลิกไม่ได้ เขาดื่มเหล้าอยู่ที่บ้าน ไม่รบกวนใคร ไม่วุ่นวายกับใคร ผิดศีลหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ผิดอยู่ดี เพราะว่าเบียดเบียนทั้งตัวเองและครอบครัว ต่อให้คุณกินเหล้าในบ้าน ถามหน่อยสิว่าลูกเมียจะยิ้มได้ไหม ? เขาก็ทุกข์ใจอยู่ทุกวัน

เถรี
30-11-2011, 16:30
ถาม : ได้พระธาตุมาแล้วเอามาไว้ในบ้าน จากนั้นน้องชายก็เกิดอาละวาดขึ้นมา ไม่ทราบว่าเกิดจากที่นำพระธาตุเข้าบ้านหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าเอาเรื่องดี ๆ ไปปนกับเรื่องระยำ..! ไปสรุปว่าเอาพระธาตุเข้าบ้านแล้วน้องชายอาละวาด แล้วก็ว่าพระธาตุเป็นเหตุ ถ้าไม่มั่นใจก็อัญเชิญไปไว้ที่เดิม ของอย่างนี้พิสูจน์ได้ แต่อัญเชิญไปไว้ที่เดิมแล้วน้องยังเหมือนเดิมก็แสดงว่าน้องชั่วเอง..!

เถรี
01-12-2011, 09:16
พระอาจารย์กล่าวว่า "จำไว้นะ...สำหรับเด็กแล้วทุกเรื่องของเขาเป็นเรื่องสำคัญ ปัญหาของเด็กเป็นเรื่องใหญ่ทุกเรื่อง พวกเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ผ่านประสบการณ์มามาก ความตายด้านในชีวิตมีเยอะ เราจะเห็นว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องเล็ก ๆ ของพวกเรา แต่เด็กเพิ่งจะเคยเจอก็เลยเป็นเรื่องใหญ่ของเขา"

ถาม : ถ้าตามใจเด็กมากไปจะไม่ดีหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ตามใจมากไปก็ไม่ดี ต้องชี้ผิดชี้ถูกก่อนแล้วค่อยตีเข้ากรอบ ไม่ใช่ถึงเวลาก็สั่งให้ทำอย่างเดียว เหตุผลไม่มี มีเด็กคนหนึ่งเขาทำผิดแล้วพ่อตีเขา เด็กก็ถามพ่อตีหนูทำไม ? อีกฝ่ายหนึ่งก็คิดว่าเด็กหัวหมอ ความจริงเขาถามเพราะต้องการรู้จริง ๆ ว่าตีเขาเพราะอะไร ก็แค่บอกเด็กก่อนว่า อย่างนี้ผิด ถ้าทำผิดแบบนี้อีกจะโดนตี อย่างนั้นเวลาผิดแล้วเราตีเขาเด็กจะรับได้

แต่ถ้าตีแบบไร้เหตุผลไปเรื่อย ๆ ต่อไปเด็กจะดื้อ เพราะเขาไม่เข้าใจว่าผู้ใหญ่ตีเขาทำไม แบบเดียวกับหมากัดรองเท้านั่นแหละ ถ้าหมาวิ่งหนีไปจากตรงนั้นสัก ๓ ก้าว แล้วเราไปตีหมา คราวนี้เราจะผิด เพราะหมาจะไม่รู้ว่าทำผิดอะไร ต้องตีตอนหมากัดรองเท้าเลย ถ้าอย่างนั้นหมาจะรู้ว่าต่อไปจะกัดรองเท้าไม่ได้

ถาม : ตอนตีลูก ร้องไห้กันทั้งบ้านเลยครับ แต่ลูกไม่ร้อง
ตอบ : แสดงว่ากำลังใจแย่มาก ถ้าไปทำอย่างนั้นเด็กจะดื้อ เพราะเด็กรู้ว่าผู้ใหญ่ไม่เอาจริง

เถรี
01-12-2011, 09:38
ถาม : จะมีคนเอาประวัติศาสตร์ชาติไทยมาแต่งเป็นเรื่องสนุก ๆ บ้างไหมครับ ?
ตอบ : อาตมาตั้งใจจะแต่งแต่มาบวชเสียก่อน พอบอกให้คุณลลิตาไปแต่งแทน เขาบอกว่าเขาจินตนาการไม่ถึง ทั้ง ๆ ที่อาตมาอธิบายโครงสร้างของเรื่องให้แล้ว อาตมาจะแต่งจอมทัพมหาราช ๓ ภาค ภาคที่ ๑ พระเจ้าพรหมมหาราช ภาคที่ ๒ พระนเรศวรมหาราช ภาคที่ ๓ พระเจ้าตากสินมหาราช

อธิบายโครงสร้างทั้งหมดให้แล้ว แต่เขาบอกว่าเขาจินตนาการไม่ถึง เขาบอกให้อาตมาแต่งเสร็จแล้วใช้ชื่อเขาลงหนังสือก็ได้ อาตมาก็ว่า "แล้วทำไมต้องใช้ชื่อคุณ ในเมื่อชื่ออาตมาก็ขายได้" สมัยนั้นอาตมาเขียนก็ได้หน้าละ ๗๕ บาทแล้ว

ถาม : เคยเขียนหนังสือด้วยหรือครับ ?
ตอบ : เขียนหากินมาเยอะแล้ว เพียงแต่ไม่ยอมบอกว่าเขียนเรื่องอะไรใช้นามปากกาว่าอะไรเท่านั้นแหละ..กลัวดัง

ถาม : ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าหนังสือในตลาดตอนนี้ก็ต้องมีหนังสือที่ท่านแต่งอยู่ด้วยสิครับ ?
ตอบ : ก็คงจะพอมีหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ต้องเป็นตลาดหนังสือเก่านะ เพราะว่านานแล้ว หลังจากอาตมาที่ไปเป็นทหาร จบสิ้นการฝึก ๖ เดือนออกมาแล้วมาเขียนต่อจากของเดิม

ของเดิมเรื่องสุดท้ายเขียนไว้ ๒ บท พอมาเขียนบทที่ ๓ แล้วก็เริ่มอ่านทวนใหม่ตั้งแต่บทที่ ๑ บทที่ ๒ เพื่อให้เนื้อหาเชื่อมกัน ปรากฏว่าบทที่ ๓ สำนวนการเขียนเป็นคนละคนกันเลย เพราะว่าช่วงประสบการณ์ชีวิต ๖ เดือนที่เป็นทหารอยู่ แนวความคิดเปลี่ยนไป ก็เลยยกโครงเรื่องให้คนอื่นเขาไปเขียนแทน แล้วเรื่องนั้นก็ดันได้รางวัลดีเด่นของอะไรก็ไม่รู้..!

ถาม : นามปากกาอะไรครับ ?
ตอบ : ถ้าจะบอกก็บอกไปนานแล้ว ตอนนั้นเขียนเรื่องแรกก็ได้ลงเลย เพราะอะไรรู้ไหม ? เพราะอยากอ่านเรื่องอย่างนั้นแล้วไม่มีใครเขียน ถึงขนาดว่าถ้าไม่เกรงใจคงแต่งเรื่องกำลังภายในไปแล้ว เพราะอ่านจนเซ็ง โครงเรื่องมีแต่ซ้ำ ๆ กัน

ถาม : ใช้หลักการอะไรเขียนล่ะครับ ? เพราะท่านไม่ได้เรียนมาทางด้านนี้เลยนี้ครับ
ตอบ : ไม่ได้เรียน บอกแล้วว่าใช้คำว่าจินตนิยายอิงประวัติศาสตร์ อย่างจอมทัพมหาราช ภาค ๑ คุณลองนึกถึงภาพท้องฟ้ามืดมิด มีแต่หมู่ดาวระยิบระยับ อยู่ ๆ ก็มีดาวตกดวงใหญ่พุ่งลงมา แล้วก็มีท่านผู้เฒ่ายืนมองอยู่ไกล ๆ พร้อมกับรำพึงรำพันว่า “ในที่สุดผู้มีบุญก็มาเกิดจนได้”

พอผู้เฒ่ารำพึงรำพันเสร็จก็มีเสียงเด็ก ๆ ดังขึ้นข้างหลังว่า “ตา ๆ หมายถึงอะไรหรือ ?” แล้วคุณตาก็เล่าย้อนหลังไป ว่าต้องมาลำบากยากเข็ญขนาดไหนกับการกดขี่ข่มเหงของพวกขอมดำ ตอนนี้ผู้มีบุญเขามาเกิดแล้ว เอ็งต้องเร่งศึกษาวิชาการต่าง ๆ เพื่อไว้คอยรับใช้ท่าน..พอโตเป็นหนุ่ม ไอ้หนูนี่ก็จะไปเป็นทหารเอกคู่พระทัย เป็นต้น

คราวนี้ที่อาตมาเขียนไม่ได้ เพราะความเป็นพระบังคับอยู่ ถ้ามีฉากรัก ๆ ใคร่ ๆ ดูจะไม่เหมาะ

เถรี
01-12-2011, 12:14
ถาม : ช่วงหลัง ๆ เวลาทำกรรมฐานแล้วสติหลุดหายไปครับ ตอนสมาทานพระกรรมฐานก็แจ่มใสดี พอเริ่มเราก็ขึ้นไปพระจุฬามณี พออุทิศส่วนกุศลก็ อ้าว..ครึ่งชั่วโมงกว่า กลายเป็นประโยคต่อกันเลย
ตอบ : แสดงว่าสมาธิทรงตัวอยู่ในระดับปฐมฌานหยาบ แล้วสติตามไม่ทันก็เลยขาดไป

ถาม : มีวิธีแก้ไหมครับ ?
ตอบ : เอาสติจดจ่ออยู่กับลมหายใจ จี้ติด ๆ ไว้เลย ห่างไม่ได้ ห่างเมื่อไรก็หายอีก สังเกตดูว่าตอนที่สติหายคือตอนที่ลมหายใจเริ่มเบาลงไป ถ้าลมหายใจเริ่มเบาแล้ว ให้เอาสติจ่อติดไปเลย

ถาม : เพื่อนบางคนเวลาเขานอน ปลุกอย่างไรเขาก็ไม่รู้ตัวเลยครับ เขาไม่ได้ฝึกสมาธิ
ตอบ : สมาธิลึก

ถาม : ถ้าอย่างนั้นถือว่าเข้าสมาธิไหมครับ ?
ตอบ : ก็ถือว่าเป็นสมาธิ แต่เป็นสมาธิที่ไม่มีอานิสงส์ เป็นลักษณะของกัมมวิปากชาฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากวิบากกรรม ถ้าเข้าไม่ถึงจุดนั้นก็ไม่ได้พักผ่อน ทำโดยไม่มีเจตนาที่จะละกิเลส อานิสงส์เลยไม่มี

เถรี
01-12-2011, 12:46
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าให้เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม เชื่อการส่งผลของกรรม และเชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าว่าพระองค์ท่านรู้จริง

กรรม คือ การกระทำของเรา ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว
ผลของกรรม คือ ทำดีได้ดีตอบ ทำชั่วได้ชั่วตอบ การส่งผลของกรรม คือ อดีตทำอย่างไร ปัจจุบันรับอย่างนั้น จริง ๆ แล้ว ๓ ข้อนี้ต่อเนื่องกัน แล้วท้ายสุดก็คือเชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ถ้าหากว่าท่านรู้จริง สิ่งที่ท่านสอนมาก็จะต้องถูกต้องตามความเป็นจริง

เพราะฉะนั้น..จากการที่ท่านบอกว่า ถ้าบุคคลในอดีตเคยสร้างกรรมอทินนาทานไว้ ปัจจุบันกรรมนั้นก็จะส่งผลให้ทรัพย์สินเสียหายด้วยอำนาจของดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นต้น"

ถาม : ถ้าอดีตเราเคยทำกรรมอทินนาทานมา แล้วชาตินี้เราไปช่วยคนที่เขารับผลของกรรม จะช่วยเบากรรมลงบ้างไหมครับ ?
ตอบ : ชาติหน้าจะได้มีคนมาช่วยเราบ้าง

ถาม : แสดงว่าผลของบุญกับบาปนี่แยกกันให้ผลชัดเจนเลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่...ถึงเวลาถ้ากระแสบุญส่งผลก็รับความดีไป ถึงเวลาถ้ากระแสบาปส่งผลก็รับความชั่วไป แต่คราวนี้เราไม่ได้ทำดีตลอดและไม่ได้ทำชั่วตลอด สลับไปสลับมา ชีวิตจึงขึ้น ๆ ลง ๆ

เถรี
01-12-2011, 16:33
พระอาจารย์กล่าวว่า "จำไว้เลยว่า...ถ้ารถตกน้ำให้รีบคุมสติไว้ก่อน อย่ารีบเปิดประตูหรือเปิดกระจก เพราะว่าถ้าน้ำยังไม่ทันเข้ารถจะลอยได้อยู่พักหนึ่ง ให้ค่อย ๆ หมุนกระจกลง หรือถ้าเป็นแบบติดตายก็ทุบกระจกแล้วมุดออกมา ถ้ารีบไปเปิดประตู น้ำทะลักเข้ามา แรงดันน้ำจะทำให้ตัวเราออกไปไม่ได้ แล้วจะจมฮวบลงไปทีเดียว ส่วนใหญ่ที่เสียชีวิตกันเพราะอย่างนี้

แต่ถ้าเรือจม ออกมาได้แล้วให้รีบตะกายไปให้ห่างจากเรือ ให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้ เพราะเวลาเรือจมลงจะเกิดแรงดูดเราตามลงไปด้วย"

เถรี
02-12-2011, 09:26
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนที่อาตมาอยู่วัดท่าซุง ถ้ามีเรือหางยาววิ่งมาแล้วลากเรือพายมาด้วย พอผ่านหน้าวัดอาตมาให้ทหารยิงทุกลำเลย ถ้าทหารไม่กล้ายิงอาตมาจะแย่งปืนมายิงเอง เพราะพวกระยำนั้นมาตีอวนเอาปลาหน้าวัด..!

ถ้าหากว่าใช้เฉพาะเรือหางยาวอย่างเดียวจะลากอวนไม่ได้เพราะอวนจะไปพันหางเรือ เขาก็เลยโยงเรือธรรมดามาด้วย ใช้อวนผูกตรงท้ายเรือแล้วลากไป แต่เอาปลาไปขายในอุทัยธานีไม่ได้เพราะเขารู้ว่าเป็นปลาวัด ต้องเอาไปขายถึงนครสวรรค์โน่น...

ถ้าหากว่าเด็ดขาดเสียทุกอย่างก็จบ ไม่อย่างนั้นแล้วก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาได้ ที่ขำที่สุดก็คือพอกลายเป็นเขตหวงห้ามแล้ว พวกเรือหางยาววิ่งเสียงดังมาแต่ไกล พอถึงหน้าโบสถ์วัดยางก็ดับเครื่อง ใช้พายเอา เขารู้ว่าวิ่งผ่านหน้าวัดโดนยิงแน่นอน อาตมาไม่ปล่อยเอาไว้หรอก..! เอ็งจะเคยขโมยปลาหรือไม่ก็ตาม แต่กลางคืนเรือเครื่องห้ามวิ่ง..!

เขาเห็นว่าอาตมายิงทีไรโดนทุกที จนเขาไปลือกันว่าอาตมาใช้คาถากระสุนคด เวรกรรม...เรือลำมหึมาขนาดนั้น สมัยอาตมายิงปืนนี่ยิงดับเทียน ยิงตัดเส้นลวดมาแล้ว เรือลำขนาดนั้นทำไมจะยิงไม่ถูก"

เถรี
02-12-2011, 09:34
"พออาตมาออกจากวัดมา ๘ เดือน พวกหาปลาเริงร่าหน้าบานกัน หลวงพี่ละอองท่านส่งข่าวมาบอกว่า ตอนนี้พวกนั้นเว้นให้ตรงหน้าวัดหน่อยเดียว เขตอื่นที่อาตมาเคยประกาศไว้เขาหาปลากันกระจายเลย

พอวัดมีงานประจำปี อาตมากลับวัด แล้วไปเดินเลาะตรวจดูชายน้ำตามความเคยชิน คนที่เป็นขาประจำหาปลาเดินหาบของมาจะขายหน้าวัด พอเจอหน้าอาตมาถึงกับเข่าอ่อน หาบร่วงลงไปกองกับพื้น ยกมือไหว้แล้วว่า “หลวงพี่มาแล้วหรือครับ ?” อาตมาก็ว่า “เออ..บอกพวกมึงด้วย คืนนี้เจอกัน..!” ปรากฏว่าคืนนั้นเงียบฉี่ ไม่มีเรือสักลำ แสดงว่ากิตติศัพท์ความโหดของอาตมายังขายได้

ส่วนหลวงพี่ละอองท่านปวดหัวมากเลย เพราะห้ามเท่าไรพวกเขาก็ไม่สนใจ พอไปไล่เขาก็ยิงเอา แต่พอมาเจอคนที่เคยเอาจริงด้วยก็เป็นอย่างที่เห็น อาตมาถึงได้สรุปว่า “คนทั่วไปไม่กลัวความดีหรอก กลัวแต่คนที่ชั่วกว่า” ตัวนี้แหละที่ไม่ดี ไม่ดีตรงที่ว่าถึงเวลาตัวสักกายทิฐิจะมา ตัวมานะจะมา"

เถรี
02-12-2011, 09:40
"ตอนไปอยู่เกาะพระฤๅษีปีแรก สร้างศาลาหลังใหญ่มีห้องกระจกอยู่ ช่างที่รับงานห้องกระจกรับเงินไป ๓๐,๐๐๐ บาทแล้วก็หายไปไม่มาทำงาน โทรไปตามกี่ครั้งได้แต่ครับ ๆ แต่ไม่มาสักที

เช้าวันนั้นนั่งกรรมฐานอยู่ ตัวมานะก็โผล่ขึ้นมา “มึงไม่รู้จักกู..คนอย่างกูไม่รังแกมึงก็นับเป็นบุญของมึงแล้ว..!” ตอนนั้นคิดว่ากินข้าวเช้าเสร็จ จะนั่งรถไปกระทืบมันให้ถึงร้านเสียที ให้รู้ว่าใครเป็นใคร ปรากฏว่าคิดไม่ทันจะจบ "พระ" ท่านก็มา

ท่านมาแล้วก็บอกว่า“จิตที่ประกอบไปด้วยบุญ เมื่อปฏิสนธิแล้วก็ตั้งหน้าสร้างสมบุญบารมีต่อไป…จิตที่ประกอบไปด้วยบาป เมื่อปฏิสนธิแล้วย่อมทำแต่ความชั่วด้วยแรงบาปที่ย้อมจิตอยู่…เราก้าวมาถึงเพียงนี้แล้ว จะตั้งหน้าก้าวต่อไป หรือจะถอยหลังกลับไป จ่อมจมอยู่กับความชั่วนั้นอีก…?”

พอได้ยินแล้วความคิดที่ไปกระทืบมันนี้หายเกลี้ยงเลย รู้ว่าท่านด่า แต่ท่านด่าไพเราะมาก ไม่มีคำหยาบสักคำ จำไว้นะทุกคน... เราก้าวมาถึงเพียงนี้แล้ว จะตั้งหน้าก้าวต่อไป หรือจะถอยหลังกลับไป จ่อมจมอยู่กับความชั่วนั้นอีก…?

อาตมาได้ยินแล้วซึมเลย ความตั้งใจจะไปกระทืบให้ระบือลือลั่นนี่หายเลย ทุกวันนี้ที่เห็นนั่งปั้นหน้ายิ้มอยู่ ไม่ได้ถอดเขี้ยวถอดเล็บนะ เพียงแต่เก็บเอาไว้ ยังไม่ได้แยกเขี้ยวกางเล็บ วันไหนถ้าตัวมานะโผล่ขึ้นมาละก็ “มึงไม่รู้จักกูซะแล้ว” มานะเต็ม ๆ เลย

เถรี
02-12-2011, 09:47
:4672615: เก็บตกเดือนนี้จบแล้วค่ะ :4672615: