PDA

View Full Version : เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันพฤหัสบดีที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๔


เถรี
09-08-2011, 08:23
ทุกคนขยับนั่งในท่าที่ถนัดของเรา จะนั่งขัดสมาธิก็ได้ นั่งพับเพียบก็ได้ การขัดสมาธินั้น จะขัดสมาธิแบบหลวม ที่เป็นการซ้อนขากันเล็กน้อย หรือถ้าใครถนัดแบบขัดสมาธิเพชรก็ได้ สำคัญตรงที่ตั้งร่างกายของเราให้ตรง กำหนดสติและความรู้สึกทั้งหมดของเราให้อยู่เฉพาะตรงหน้า

หายใจเข้าเอาความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออกเอาความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ตามที่เราเคยทำมาจนชิน จะหายใจเข้า "พุท" หายใจออก “โธ” ก็ได้ หายใจเข้า “นะมะ” หายใจออก “พะธะ” ก็ได้ หายใจเข้า “พองหนอ” หายใจออก “ยุบหนอ” ก็ได้ หรือหายใจเข้า “สัมมาอะระหัง” หายใจออก “สัมมาอะระหัง” ก็ได้

สำคัญที่ต้องกำหนดความรู้สึกทั้งหมดให้ไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา ถ้าคิดถึงเรื่องอื่นเมื่อไร เมื่อรู้ตัวให้รีบดึงกลับมาสู่ลมหายใจเข้าออกทันที เพราะว่าลมหายใจเข้าออกเป็นพื้นฐานใหญ่ของกรรมฐานทั้งปวง ไม่ว่าจะปฏิบัติกรรมฐานกองใดก็ตาม เราจะทิ้งลมหายใจเข้าออกไม่ได้ ถ้าทิ้งลมหายใจเข้าออกเมื่อไร สมาธิจะไม่ทรงตัว ความก้าวหน้าในการปฏิบัติก็จะไม่มี

สำหรับวันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ ๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่เรามาปฏิบัติธรรมกันในวันพฤหัสบดี เนื่องจากว่าวันอาทิตย์อาตมาจำเป็นต้องขอตัว เพื่อกลับไปจัดสถานที่ และดูความเรียบร้อยในการเตรียมงานประชุมพระนวกะของคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ ซึ่งจะจัดขึ้นที่วัดท่าขนุน ถ้าหากว่างานการไม่เรียบร้อย เจ้าคณะปกครองชั้นผู้ใหญ่มา ก็ต้องขายหน้าเขา จึงเลื่อนการปฏิบัติธรรมของเราประจำเดือนสิงหาคมนี้ ขึ้นมาวันหนึ่ง เป็นวันพฤหัสบดี วันศุกร์ และวันเสาร์

สำหรับระยะนี้ ถ้าหากว่าเป็นทางในบ้านเมืองของเรา ข่าวสำคัญก็คือ การสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พระราชธิดาในล้นเกล้ารัชกาลที่ ๖ และสมเด็จพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี

ส่วนถ้าหากว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวของอาตมาเอง ก็คือการมรณภาพของพระใบฎีกาประทีป อตฺถทสฺสี หรือที่เรียกจนติดปากว่า “หลวงพี่ประทีป” ท่านเป็นรุ่นพี่ อยู่ที่วัดท่าซุงมาด้วยกัน

เถรี
09-08-2011, 08:32
แม้ว่าหลวงพี่ประทีปท่านจะไม่ได้บวชที่วัดท่าซุงโดยตรง ท่านบวชมาจากวัดสุขุมาราม ของหลวงพ่อพระครูวิจารณ์วิหารกิจ หรือหลวงพ่อพระครูสุรินทร์ แล้วส่งท่านมาช่วยงานพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่วัดท่าซุงตั้งแต่ต้น

แต่หลวงพี่ประทีปท่านเป็นยิ่งกว่าเนื้อแท้ของหลวงพ่อวัดท่าซุง ทุ่มเทรับใช้หลวงพ่อ และรับงานแทนพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่าน โดยเฉพาะในส่วนของงานสาธารณูปการ การก่อสร้าง การซ่อม การสร้างต่าง ๆ เป็นต้น ท่านมรณภาพในวันนี้ด้วยโรคมะเร็ง

ที่กล่าวถึงทั้งการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีก็ดี การมรณภาพของหลวงพี่ประทีปท่านก็ดี เพื่อเป็นการย้ำเตือนว่า สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้นั้น ไม่มีอะไรผิดพลาด พระองค์ท่านตรัสเอาไว้ว่า “สัตว์โลกทั้งหลายเกิดมาเท่าไร ก็ตายหมดเท่านั้น ชีวิตนี้เป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง”

คำว่า “ความตายเป็นของเที่ยง” ในที่นี้ก็คือ ต้องตายอย่างแน่นอน องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังสอนพวกเราไม่ให้ประมาท ให้เร่งปฏิบัติอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญาให้มากเข้าไว้ ถ้าหากว่าเกิดเราเป็นอะไรอย่างฉับพลัน เมื่อสิ้นชีวิตลงไป จะได้ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา

ถ้าเราตายไปลักษณะของโมฆบุคคล ก็คือเกิดมาเปล่า ตายไปเปล่า หาความดีอะไรไม่ได้เลย ก็น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้าหากว่าเราทุ่มเทการปฏิบัติอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา จนกำลังใจทรงตัวแล้ว โอกาสที่เราตายไปแล้วจะเข้าสู่สุคติภูมินั้น ก็เป็นเรื่องที่พึงหวังได้

ยิ่งถ้าหากว่าท่านใดไม่นิยมการเกิด เห็นทุกข์เห็นโทษของร่างกายนี้ เห็นทุกข์เห็นโทษการเกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้ ถอนจิตจากความนิยมยินดีเสีย ไม่ปรารถนาการเกิดอีก ไม่ปรารถนาการมีร่างกาย ไม่ปรารถนาการเกิดมาในโลกนี้ ท่านก็มีสิทธิ์ที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง เข้าสู่พระนิพพานได้

เถรี
10-08-2011, 11:26
เมื่อเป็นดังนั้น ก็ขอให้ทุกท่านไม่ว่าจะนั่งปฏิบัติธรรมอยู่ในสถานที่นี้ก็ดี หรือว่าท่านที่ฟังการถ่ายทอดเสียงอยู่ต่างจังหวัดและต่างประเทศก็ดี ให้ทุกคนรู้ตัวอยู่เสมอว่า เราเกิดมาแล้วต้องตาย ความตายจะมาถึงเราเมื่อไรก็ไม่สามารถที่จะกำหนดแน่นอนได้ ความตายอยู่กับเราทุกลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าถ้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกแล้วไม่หายใจเข้าก็ตายอีกเช่นกัน

ในเมื่อความตายอยู่ประชิดติดเราจนขนาดนี้ เราก็ควรจะเร่งขวนขวายปฏิบัติในความดีให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อสั่งสมความดีอันเป็นบุญกุศล เปรียบเหมือนเป็นเสบียงอาหาร เปรียบเหมือนยานพาหนะในการเดินทางไกลเพื่อข้ามห้วงวัฏสงสาร ยิ่งเรามีการเตรียมพร้อมมากเท่าไร เราก็จะสบายมากเท่านั้น มีความหวาดหวั่นต่อความตายน้อยเท่านั้น บุคคลที่มีการเตรียมพร้อมย่อมไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดง่าย ๆ

ในเมื่อเราเตรียมพร้อมที่จะตาย ถึงเวลาความตายเข้ามา เราก็ไม่ได้หวั่นไหวต่อความตาย เพราะเราเป็นผู้ที่ไม่ประมาท เตรียมพร้อมที่จะตายเอาไว้เสมอ ความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว เป็นเพียงการเปลี่ยนภพ เปลี่ยนภูมิ เปลี่ยนร่างกายนี้ไปเท่านั้น

ถ้าจะเปรียบไปแล้วร่างกายของเรานี้ก็เหมือนรถยนต์คันหนึ่ง ตัวเราคือจิตที่มาอาศัยอยู่ตามบุญตามบาปที่ได้สร้างไว้ในอดีต เปรียบเหมือนกับคนขับรถ ถึงเวลารถยนต์หมดสภาพพังไป คนขับรถก็เปิดประตูออกมา ไปหารถคันใหม่ขับ

การตายของอัตภาพร่างกายนี้ก็ลักษณะเดียวกัน พอถึงเวลาร่างกายนี้เสื่อมสลายตายพังลงไป จิตคือตัวเรานั้น ก็ต้องไปแสวงหาร่างกายใหม่ในภพภูมิใหม่ ๆ ตามความดีความชั่วที่เราได้ทำไว้

ถ้าเราสร้างความดีไว้มาก ก็ได้เกิดเป็นมนุษย์ที่มีความดี ความงาม ความสมบูรณ์ พร้อมด้วยเครื่องอุปโภค บริโภค และทรัพย์สินทั้งปวง ถ้าสร้างความดีมากยิ่งขึ้นก็ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม ถ้าไม่นิยมการเกิดก็หลุดพ้นไปสู่พระนิพพาน

แต่ถ้าหากว่าเราทำสิ่งที่ไม่ดีเอาไว้มาก ก็จะมีทุคติภูมิเป็นที่ไป อย่างดีหน่อยก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่ก็มีความทุกข์มากมายกว่าคนหลายเท่า แย่ลงไปอีกก็เป็นอสุรกาย แย่ลงไปกว่านั้นก็เป็นเปรต ถ้าแย่ที่สุดก็เป็นสัตว์นรก

เถรี
11-08-2011, 10:18
เปรียบเหมือนกับเวลาที่รถยนต์พังแล้ว เราก็ต้องไปหารถคันใหม่ ถ้าหากว่าทำความชั่วไว้มากก็ได้รถพัง ๆ ขับไปซ่อมไป อาจจะเป็นจักรยานโปเกสักคันหนึ่งก็ได้ แต่ถ้าหากว่าสร้างกรรมดีไว้มาก ก็ได้รถยนต์ยี่ห้อดี ๆ อาจจะเป็นบีเอ็ม หรือว่าเบนซ์ หรืออาจจะเป็นรถสปอร์ตแรงสูงไปเลยก็ได้ บางท่านอาจจะหรูเลิศไปกว่านั้น มีเครื่องบินส่วนตัวไปอีกต่างหาก

ดังนั้น...ถ้าเรารู้ว่าความตายมาประชิดติดเราอยู่เสมอ แล้วเราเป็นผู้ไม่ประมาท ตั้งใจปฏิบัติในศีล คือรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้คนอื่นเขาทำ ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นเขาทำ ทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแน่นแฟ้นจริงจัง ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง กำหนดมีสติรู้อยู่เฉพาะหน้าว่า เราต้องตายแน่นอน ถ้าตายแล้วเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว

ถ้าเราปักใจแน่วแน่เช่นนี้ได้ แปลว่าศีล สมาธิ ปัญญาของเรานั้น อยู่ในระดับที่พอจะอาศัยได้ ถ้ามั่นคงจริง ๆ ก็สามารถระบุได้อย่างแน่นอนว่ามีสุคติเป็นที่ไป หรือถ้าสามารถปล่อยวางความดีความชั่วทั้งปวง ไม่ปรารถนาการเกิดมาในโลกนี้ ไม่ปรารถนาการมีร่างกายเช่นนี้อีก ก็สามารถที่จะหลุดพ้นไปสู่พระนิพพานได้

สำหรับวันนี้ให้ทุกท่านกำหนดการภาวนาไปตามอัธยาศัย โดยเอาสติกำหนดรู้ไปด้วยว่า ชีวิตเรามีแค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น หายใจเข้าถ้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกถ้าไม่หายใจเข้าก็ตายแล้ว ถ้าหากว่าตายไปเมื่อไร เราขอไปอยู่กับองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพานแห่งเดียวเท่านั้น ให้เอาใจจดจ่อตั้งมั่นเอาไว้ดังนี้ แล้วกำหนดภาวนาไปตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันพฤหัสบดีที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๔