PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๔


เถรี
08-07-2011, 20:29
ถาม : เวลาที่นั่งภาวนาอยู่ ภาวนาไปด้วยจับลมไปด้วย แล้วรู้สึกเพลินไปกับการภาวนา พอรู้สึกตัวอีกทีก็เหลือแต่คำภาวนาอย่างเดียว อันนี้คือหลุดมาจากการจับลมแล้วหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เกิดจากสองสาเหตุด้วยกันจ้ะ อย่างแรกก็คือกำลังใจเริ่มละเอียดขึ้น แต่คราวนี้สติตามไม่ทัน ก็เลยเหลือการรับรู้อยู่แค่อย่างเดียว
อย่างที่สองหยาบกว่าอีก ก็คือหลุดจากคำภาวนามา เหลือลมหายใจอยู่แค่ประการเดียวเท่านั้น สรุปง่าย ๆ ว่าทั้งสองอย่างสำคัญตรงสติ สติตามไม่ทันจะเกิดอาการนั้นขึ้น

ถาม : ขณะนั้นจิตว่าง ไม่ได้คิดอะไรนอกจากการภาวนา ?
ตอบ : เอาแค่นั้น จะทำอย่างไรก็ได้ ถ้าหากว่านิวรณ์กินใจไม่ได้ ถือว่ากำลังใจมีคุณภาพดีกว่าปกติ

ถาม : เวลานั่งนิ่ง ๆ แล้วมองอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะลืมไป สมมติมองกระจกเห็นหน้าตัวเอง ก็จะรู้สึกว่าไม่ใช่หน้าเรา เป็นอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่อะไรเลยค่ะ พักหลังจะเป็นบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ แล้วหนูก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่
ตอบ : จิตที่หยุดการปรุงแต่งเพราะสมาธิเริ่มทรงตัว ไม่ต้องรู้หรอกจ้ะ จริง ๆ แล้วสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เราดูว่าคุณภาพของจิตใจเป็นอย่างไรจึงจะสำคัญที่สุด ตอนช่วงนั้นนิวรณ์กินใจเราได้ไหม ? ถ้านิวรณ์กินใจเราไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ก็เรียกว่า สภาพจิตสงัดจากสิ่งที่ไม่ดีชั่วครั้งชั่วคราว ถ้าทำให้สงัดจากสิ่งที่ไม่ดีได้นานขึ้น คุณภาพจิตใจของเราก็จะดีขึ้น

เพราะฉะนั้น..สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ อะไรที่เกิดขึ้น ไม่ต้องไปเสียเวลาไปตามคิดว่าคืออะไร แต่ว่าให้ดูว่าได้ประโยชน์อย่างไร

เถรี
08-07-2011, 20:36
ถาม : หนูก็จะถามอยู่ค่ะ ว่ามีประโยชน์อะไรหรือเปล่า ? แล้วต้องพยายามทรงต่อไปหรือเปล่า ? หรือว่าไม่ต้อง ?
ตอบ : ถ้าหากว่าไม่ช่วยให้จิตใจสะอาดขึ้นก็ไม่ต้องไปใส่ใจ แต่ถ้าหากว่าทำแล้วสภาพจิตใจของเราสงบระงับจากนิวรณ์ ๕ ประการ จากราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ชั่วคราวก็ทำได้

ถาม : ตอนป่วยจิตจะไประลึกถึงความตายเองโดยอัตโนมัติ แล้วจิตก็จะนิ่ง ไม่แกว่งเหมือนตอนปกติ แต่จะมีปัญหาตรงที่รู้สึกรำคาญทุกขเวทนาที่เกิดทางกายอยู่
ตอบ : ถ้ายังใส่ใจกับกายอยู่จะเป็นอย่างนั้น อยู่กับลมหายใจเข้าออกแล้วจะลืมไปเอง เพราะลมหายใจเข้าออกเป็นตัวระงับเวทนา

ถาม : มีปัญหาเกี่ยวกับพวกเสียงเพลง ซึ่งเราไม่ได้อยากจะฟังเลยแต่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ตอนได้ยินก็ยังไม่เป็นปัญหาค่ะ แต่ว่าหลังจากนั้นช่วงที่เราภาวนาไป เสียงเพลงจะคอยรบกวนอยู่ตลอดเลย ยิ่งจะเอาออกยิ่งเอาออกไม่ได้
ตอบ : ให้สังเกตว่าจะมาเฉพาะเพลงที่เราชอบ เพลงที่เราไม่ชอบจะไม่มาติดอยู่ในใจของเรา ถ้าไปดิ้นรนเพื่อตัดออกก็ยิ่งฟุ้งซ่าน

ถาม : เป็นการเปิดวนซ้ำเรื่อย ๆ แล้วจะคอยมา...
ตอบ : ใช่ แต่ว่าเป็นเพลงที่เราชอบ เพราะเพลงที่เราไม่เคยได้ยินมาเราจะไม่ใส่ใจ นั่นแสดงว่าสภาพจิตของเราปรุงแต่งในส่วนที่เราชอบเอาไว้ก่อน โดยการเอาสิ่งที่รับเข้าไปใหม่แต่เป็นส่วนที่ชอบนั่นแหละกลับมาฉายซ้ำ ถ้าเกิดว่าเผลอไปคิดตาม เราก็จะทิ้งความดีที่เราทำไว้ อันนี้ถือว่าอันตราย ต้องรีบสลัดออกไปไว ๆ แล้วมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกใหม่

เถรี
08-07-2011, 20:45
ถาม : พวกนี้เป็นเพลงการ์ตูนของเด็กที่เรารู้สึกรำคาญค่ะ แล้วเราก็พยายามสลัดก็ไม่ออกด้วย
ตอบ : ไม่ต้องไปสลัด กลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกก็พอ

ถาม : ปกติเวลาภาวนาคาถาจะไปกับเพลงคล้าย ๆ กับจิตบันทึกว่าคาถาเป็นอย่างนี้ แล้วเพลงจะต้องต่อมาด้วยอย่างนี้ กลายไปเป็นเนื้อเดียวกันเลยค่ะ
ตอบ : ลองผสมผสานออกมาดูสิ เผื่อจะได้เพลงดังยอดนิยมใหม่ ๆ บ้าง

ถาม : หลังจากที่ท่านแนะนำให้คิดเสมอว่าตายเมื่อไรเราจะไปพระนิพพาน หนูก็ระลึกถึงเรื่อย ๆ แล้วหนูก็รู้สึกว่ากลัวตายลดลงไปเยอะ แต่มีครั้งหนึ่งหนูฝันว่าพี่ชายหนูตายกะทันหัน ตอนนั้นหนูก็ตกใจมาก กลัวว่าพี่ชายตอนนั้นใจเขาเป็นอย่างไร ถ้าเกิดขึ้นกับเราจะเป็นอย่างไร กลายเป็นว่าจากที่กลัวตาย ตอนนี้เลยกลัวตายแล้วไม่ได้ไปพระนิพพาน ความกลัวแบบนี้ถ้ามีเยอะก็ฟุ้งซ่านเหมือนกัน ต้องทำอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องทำอะไรหรอกจ้ะ อย่าไปคิดว่าเราตายแล้วจะไปพระนิพพาน ฟังให้ดี ๆ นะ แต่ให้รู้ตัวอยู่เสมอว่าเราจะตาย ถ้าเราตายแล้วเราจะไปพระนิพพาน ต่างกันอยู่นิดหนึ่ง ไปคิดว่าตายแล้วจะไปพระนิพพาน บางทีก็ไม่ได้คิดหรอกว่าความตายมาถึงเราอยู่ตลอดเวลา

ถาม : อย่างกรณีที่ตายกะทันหันตอนนั้น โอกาสที่บุญจะมารวมตัว หรือโอกาสที่จะเกิดปัญญาช่วงนั้นพอดีนี่ก็ไม่มีเลยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ทำให้มากเข้าไว้ เมื่อถึงวาระสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะเป็นไปเอง บังคับไม่ได้ ถ้ามัวแต่มานั่งกังวลอยู่ก็จะเสียเวลาปฏิบัติด้วย

ถาม : ปกติหนูก็จะระลึกถึงความตายของตัวเอง แต่ว่าบางครั้งก็คิดว่า ถ้าคนนั้นคนนี้ตายเราจะรู้สึกอย่างไรด้วย แต่ก็รู้สึกว่าเหมือนไปแช่งเขา
ตอบ : คิดถึงโดยเห็นตามสภาพความเป็นจริงว่าเขาหรือเราก็ตายเหมือนกัน ไม่ใช่ไปคิดว่าถ้าเขาตาย

เถรี
09-07-2011, 22:47
วันอาทิตย์ตรงกับวันเลือกตั้ง พระอาจารย์ท่านเตือนให้โยมไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ท่านกล่าวว่า "ประเทศชาติจะเจริญได้ ประชาชนทุกคนต้องเข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตน อาตมาเสียดายวิชาการดี ๆ ของสมัยก่อน เมื่อก่อนพอขึ้นชั้นป.๒ จะมีวิชาหน้าที่พลเมืองและศีลธรรมแล้ว สมัยนี้ ป.๒ ไม่มี

เรื่องของจิตสำนึกสาธารณะต้องวางพื้นฐานตั้งแต่เด็ก ๆ ระดับอนุบาลหรือก่อนอนุบาลได้เลยยิ่งดี อย่างเราไปประเทศญี่ปุ่น จะเห็นว่าคนญี่ปุ่นไม่แยแสสนใจใคร เดินฉับ ๆ ไปทำงานของเขาอย่างเดียว ถ้าใครเดินช้าหน่อยเขาก็ชนเลย แต่จิตสำนึกสาธารณะของเขาสูงกว่าเรามาก

ขนาดเด็กอนุบาลเขาถือปิ่นโตกับกระเป๋าไปโรงเรียนเอง แต่บ้านเรานี่นอกจากพ่อแม่ต้องถือปิ่นโตกับกระเป๋าให้แล้ว ยังต้องอุ้มลูกไปโรงเรียนอีกด้วย"

เถรี
09-07-2011, 23:04
"บ้านเรามีหลายคนที่ลูกเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว แต่ยังนั่งรถไปเองไม่เป็นเพราะทางบ้านไปส่งตลอด มีอยู่รายหนึ่งอายุ ๓๐ กว่าแล้ว ทำงานแล้ว แต่พ่อยังไปส่งที่ทำงานอยู่ทุกวัน พอเขาแต่งงานไปสามีก็ไปส่งต่ออีก คนทำบุญมาดีขนาดนี้ก็มี ไม่รู้เอาชีวิตรอดมาได้อย่างไร ?

เขาไม่รู้ว่าวัวกับควายต่างกันอย่างไร พี่ที่ไปด้วยกันทนไม่ไหว จึงบอกว่าส่วนใหญ่ควายจะมีสีดำ ส่วนวัวมีสีเหลือง แต่เขาก็ดันไปเจอวัวสีดำพอดี ไปยืนรำพึงรำพันว่า "ตัวนี้สีดำ ต้องเป็นควายแน่เลย" ยังดีที่วัวพูดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมันคงหันมาค้อนว่า "แกนั่นแหละ..ควาย..!"

มีเด็กคนหนึ่งเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่งแล้ว ปิดเทอมจะช่วยพ่อแม่ด้วยการทำน้ำปั่นขายที่หน้าบ้าน อาตมาก็บอกว่า "ดี..หลวงพ่อจะไปกินด้วย" ปรากฏว่าโครงการนี้ล้ม พอถามว่าทำไม เขาบอกว่าทอนเงินไม่เป็น อาตมาก็ถามว่าปกติซื้อของทำอย่างไร เด็กเขาบอกว่า "เขาทอนให้มาเท่าไรก็เอาแค่นั้นแหละ" นี่ขนาดเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่งแล้วยังทอนเงินไม่เป็นเลย..!

อย่างอาตมาตั้งแต่เด็ก แม่ค้าเขาสอนวิธีทอนเงินที่ไม่พลาดให้ ก็คือ ให้นับต่อเลย สมมติว่าซื้อของ ๔๐ บาท ให้เงินไป ๑๐๐ เขาก็ทอนเงินให้โดยนับต่อจาก๔๐ เป็น ๕๐-๖๐-๗๐-๘๐-๙๐-๑๐๐ ครบร้อยก็เอาไปได้ ไม่ผิดแน่นอน"

เถรี
12-07-2011, 09:24
พระอาจารย์เตือนโยมคนหนึ่งว่า "จำไว้ว่าอย่าอยากมากเกินไป มีอะไรก็พอใจแค่นั้นแล้วเราจะทุกข์น้อย และอย่าตั้งความหวังกับคนอื่น เขาจะเป็นอย่างไรช่างเขา ถ้าเราอยากให้เขาเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ เราก็จะทุกข์อีกเหมือนกัน

เอาแค่สองอย่างพอ อย่าอยากมาก และอย่าตั้งความหวังกับคนอื่น"

เถรี
12-07-2011, 09:58
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่เป็นพ่อแม่จะสบายใจได้ ก็ต่อเมื่อลูกมีวุฒิภาวะเพียงพอ รู้จักกาลเทศะ รู้จักระงับอารมณ์ตนเอง รู้ว่าอะไรควรไม่ควร

เราจะไม่รู้หรอกว่าคนที่เป็นพ่อแม่รักลูกมากแค่ไหน ? จนกว่าจะมีลูกเอง แบบพระเจ้าอชาตศัตรู ท่านจับพ่อก็คือ พระเจ้าพิมพิสารขังเอาไว้ในคุก ตั้งใจจะขังให้ตาย เพื่อเอาราชสมบัติ

พระมเหสีแม่ของพระเจ้าอชาตศัตรูเข้าไปเยี่ยมพระเจ้าพิมพิสาร โดยเอาอาหารซ่อนไว้ในผ้าห่ม พระเจ้าพิมพิสารได้เสวยอาหารที่พระนางซ่อนมาจึงมีชีวิตรอด พอพระเจ้าอชาตศัตรูเห็นว่าหนึ่งอาทิตย์แล้วพ่อยังไม่เป็นอะไร ก็ไปสอบถามผู้คุม จึงทราบว่าแม่ของตนแอบซุกอาหารเข้ามา ครั้งต่อไปพระเจ้าอชาตศัตรูจึงสั่งให้ผู้คุมค้นตัว อย่าให้มีอาหารเข้าไป

พระมเหสีจึงเปลี่ยนแผนใหม่ เอาพวกข้าว ถั่ว งา ตำจนละเอียดเป็นผง และทาตัวเข้าไป พระเจ้าพิมพิสารก็ได้อาศัยของเหล่านั้นเป็นอาหาร พระเจ้าอชาตศัตรูสอบถามผู้คุมจึงทราบว่าเป็นฝีมือแม่ของตนอีก พระเจ้าอชาตศัตรูจึงสั่งห้ามเยี่ยม

เมื่อพระเจ้าพิมพิสารไม่มีอาหารจึงใช้วิธีเดินจงกรม สำหรับคุกที่ขังพระเจ้าพิมพิสารนั้นมีช่องเล็กอยู่ช่องหนึ่ง สามารถมองไปทางเขาคิชฌกูฏได้ ท่านก็มองไปทางด้านนั้นว่าเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า ตั้งใจน้อมจิตระลึกถึงด้วยความเคารพและเดินจงกรมภาวนา อยู่ด้วยธรรมปีติ จึงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้

พระเจ้าอชาตศัตรูไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงสั่งช่างตัดผมให้เอามีดโกนไปกรีดฝ่าเท้าพระเจ้าพิมพิสาร จะได้เดินไม่ได้ พอกรีดฝ่าเท้าไม่สามารถเดินจงกรมได้ และบาดแผลอักเสบ พระเจ้าพิมพิสารก็ต้องนอนจมอยู่กับที่

ผ่านไปหลายวัน พระเจ้าอชาตศัตรูกำลังออกว่าการที่ท้องพระโรงอยู่ ทหารมารายงานว่าพระมเหสีของพระองค์คลอดแล้ว ทันทีที่รู้สึกว่าตัวเองมีลูก จึงเกิดความรู้สึกรักใจจะขาด ใจก็เลยนึกถึงว่า พ่อเราก็คงรักเราแบบนี้ จึงรีบเสด็จไปที่คุก ตั้งใจจะปล่อยพ่อออกมา ปรากฏว่าพ่อตายไปเสียก่อน พระเจ้าอชาตศัตรูจึงเกิดโทษอนันตริยกรรมเพราะฆ่าพ่อ"

เถรี
12-07-2011, 10:04
"บรรดาราชวงศ์หรือผู้ปกครองต่าง ๆ แทบทุกมุมโลก ก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ก็มีการฆ่าล้างผลาญกันเป็นปกติ แม้กระทั่งของไทยเรา ในช่วงกรุงศรีอุยธยาก็ยังฆ่ากันเป็นปกติ ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ราชวงศ์บ้านพลูหลวง ราชวงศ์ปราสาททอง ฆ่ากันแล้วฆ่ากันอีก จนบางช่วงแทบจะไม่มีคนรับราชการ คนดีคนเก่งโดนฆ่าทิ้งหมด เพราะว่าเป็นพวกของอีกฝ่ายหนึ่ง

เพิ่งจะมาสงบเรียบร้อยเมื่อสมัยรัตนโกสินทร์นี่เอง จะว่าสงบเรียบร้อยก็ไม่ใช่ อย่างสมัยรัชกาลที่ ๓ ขึ้นครองราชย์ ความจริงราชสมบัติต้องเป็นของรัชกาลที่ ๔ เพราะรัชกาลที่ ๔ เป็นสมเด็จเจ้าฟ้า ส่วนรัชกาลที่ ๓ แม่เป็นสามัญชน จึงเป็นแค่หม่อมเจ้า

แต่รัชกาลที่ ๓ ท่านทำหน้าที่แทนรัชกาลที่ ๒ มาตลอด แม้กระทั่งการรบทัพจับศึกหรือค้าขาย ท่านเก่งทุกอย่าง ข้าราชการก็สนับสนุนให้ท่านขึ้นครองราชย์ รัชกาลที่ ๓ พิจารณาแล้วว่าถ้าไม่รับราชสมบัติไว้ รัชกาลที่ ๔ ไม่รอดแน่นอน เพราะถ้าท่านไม่ทำคนอื่นก็จะลงมือทำเอง รัชกาลที่ ๓ จึงรับราชสมบัติไว้ เป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์เดียวที่ทำพิธีบรมราชาภิเษกโดยไม่ได้สวมพระมหาพิชัยมงกุฎ

พอราชปุโรหิตถวายพระมหาพิชัยมงกุฎ พระองค์ท่านรับและวางเอาไว้ด้านข้าง ตรัสว่า "เก็บเอาไว้ให้น้อง" เราจะเห็นว่าน่าจะมีการนองเลือดเกิดขึ้น แต่รัชกาลที่ ๓ ตรองถูก เลือกถูก ยอมโดนคนตราหน้าว่าแย่งสมบัติน้องดีกว่า ไม่อย่างนั้นน้องคงจะแย่แน่"

เถรี
12-07-2011, 19:42
"กลายเป็นว่ารัตนโกสินทร์ของเราปลอดจากการแย่งชิงราชสมบัติมากว่า ๒๐๐ ปี มาถึงช่วงรัชกาลที่ ๗ โดนคณะราษฎร์ปฏิวัติชิงพระราชอำนาจ ช่วงนั้นจึงต้องหาบุคคลที่จะมาเป็นรัชกาลที่ ๘ เขาต้องดูจากการสืบสายสันตติวงศ์

ตอนนั้นสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ถือว่าอาวุโสสูงสุด แต่ทิวงคตเสียก่อน ก็ต้องมาดูลูกที่สืบสายของพระองค์ท่าน คือ หม่อมเจ้าจุลจักรพงษ์ แต่แม่ของท่านเป็นแหม่มรัสเซีย ก็เลยไม่สามารถที่จะสืบสายได้

องค์ต่อมาก็คือ สมด็จเจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ก็ทิวงคตอีก พอไปดูลูก ก็คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล(เสด็จพระองค์ชายใหญ่) พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลทิฆัมพร(เสด็จพระองค์ชายกลาง) พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรณ์มงคลการ(เสด็จพระองค์ชายเล็ก ) ทั้งสามท่านไม่มีใครกล้ารับ

ขนาดในหลวงรัชกาลที่ ๗ เขายังไล่ออกจากราชบัลลังก์ แล้วคนอื่นจะเหลือหรือ ? ก็ต้องดูสายต่อมาก็คือ สมเด็จเจ้าฟ้ามหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ตอนนั้นท่านเป็นกรมหลวงสงขลานครินทร์ ปรากฏว่าทิวงคตเหมือนกัน ก็มาดูลูก มีพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดล และพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช ความจริงท่านเกิดมาเป็นหม่อมเจ้าทั้งคู่ แต่ได้รับเลื่อนเป็นพระวรวงศ์เธอ

สมเด็จย่าก็ยอมให้ในหลวงรัชกาลที่ ๘ มา แปลว่า รอดการนองเลือดไปได้ เพราะว่าต่างก็เกี่ยงกันเป็น เพราะสถานการณ์ไม่ให้เอื้ออำนวย กลัวคณะราษฎร์จะฆ่า"

เถรี
12-07-2011, 19:53
"พอรัชกาลที่ ๘ สวรรคต ก็ต้องไปไล่สายกันเหมือนเดิม พอมาถึงสายของกรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ทั้งสามพระองค์ยิ่งไม่เอาใหญ่เลย คราวที่แล้วไล่กษัตริย์ออก คราวนี้ฆ่าเลย ใครจะกล้าเป็น ? ก็ตกมาที่สมเด็จย่าอีก สมเด็จย่าต้องสละลูกคนเล็กให้ไปครองราชย์

ดังนั้น..สองร้อยกว่าปีที่ผ่านมา รัตนโกสินทร์ของเราในราชวงศ์จักรีไม่มีการแย่งชิงราชสมบัติ ต้องบอกว่าพระสยามเทวาธิราชปกปักรักษาไว้ ก็เลยเป็นแบบอย่างที่ดี อย่างราชวงศ์ทางยุโรปก็มีการแย่งชิง แต่พอมาระยะหลังเขาแก้ปัญหาตก โดยการแต่งงานไขว้กันไปไขว้กันมาจนเป็นญาติกันหมด ไม่รู้จะแย่งกันไปทำไม เพราะญาติตัวเองทั้งนั้น

แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ของเราทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติอย่างมหาศาล ชาวบ้านก็ให้การเคารพนับถือ ขณะที่ต่างประเทศไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะว่ากษัตริย์จริง ๆ ก็คือ นักรบ ถึงเวลาไม่ได้รบเพื่อประชาชน คนเขาก็ไม่เห็นประโยชน์

ปัจจุบันอย่างสมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบธ พระบรมราชินีนาถของอังกฤษ พระองค์ยังเป็นสัญลักษณ์ของการปกครองระบอบกษัตริย์ที่ยังเข้มข้นอยู่มาก แต่คนให้ความสำคัญน้อยลงไปเรื่อย ๆ ปัจจุบันนี้กษัตริย์ของเขายังต้องเสียภาษีด้วย..!

นึกถึงเรื่องที่เขาเล่าให้ฟัง ก็คือ พระเจ้าโบดวงขับรถเร็วเกินกำหนด ตำรวจเขาเรียกมาเขียนใบสั่ง ถามว่าชื่ออะไร ? "โบดวง" อาชีพอะไร ? "กษัตริย์" เขาไม่สนใจหรอก ออกใบสั่งให้ไปจ่ายค่าปรับเฉยเลย..!"

เถรี
14-07-2011, 08:50
"ดูอย่างสมเด็จพระเทพฯ ของพวกเรา เสด็จไปไหนชาวบ้านแทบจะถวายหัวให้อยู่แล้ว แต่ความจริงท่านจ่ายหนักกว่าเดิมทุกที สมมติไปกินข้าวเขามื้อหนึ่ง เรากินอย่างเก่งเต็มที่คงไม่เกินร้อยบาท แต่พระองค์ท่านอาจจะต้องให้เขาสองร้อยบาท เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก สรุปแล้วแทนที่จะสบาย กลับจ่ายหนักกว่าเราอีก..!

ที่บ้านจ่าตุ่มจะมีแบงก์ที่สมเด็จพระเทพฯ พระราชทานให้ เขาใส่กรอบไว้บูชา ตอนที่ท่านเสด็จไปอุทัยธานี เขาก็ไปเข้าเฝ้าถวายสิ่งของกัน บ้านจ่าตุ่มเขาทำแต่มีดก็เลยถวายมีด พระองค์ท่านรู้ว่าธรรมเนียมโบราณจะไปรับอาวุธของใครฟรี ๆ ไม่ได้ ก็เลยต้องทำเป็นซื้อ พระราชทานเงินให้เป็นค่ามีด เรื่องมีดเขาถือมาแต่โบราณว่า อย่าไปเอาของใครฟรี ๆ ถ้าได้ฟรีก็มีแต่ที่เขาเสียบมาให้เท่านั้น แปลว่าถึงตาย..!"

เถรี
14-07-2011, 08:54
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนไหนที่ยังแบ่งแยกขาวดำชัดเจน เล่นการเมืองไม่ได้หรอก เพราะการเมืองไม่มีมิตรแท้และไม่มีศัตรูถาวร

ถ้าจะเล่นการเมืองต้องเล่นอย่างในหลวง ในหลวงไม่ได้เล่นการเมืองแต่พระองค์ท่านทำเป็นตัวอย่าง ก็คือ ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม ไม่ได้สนใจว่าคุณจะเป็นฝ่ายไหน เป็นสีไหน เป็นสัญชาติไหน ทุกคนก็คือบุคคลที่พระองค์ท่านต้องปกครองดูแลทั้งหมด

ใครที่ยังแบ่งแยกขาวดำชัดเจนเข้าไปเล่นการเมืองไม่ได้หรอก..เสียคนหมด ก็คือจะรับสภาพความสกปรกของการเมืองไม่ได้ เดี๋ยวก็ลาออก หรือถอดใจถอยไปเอง นักการเมืองน้ำดีเป็นจำนวนมากที่ไม่สามารถจะยืนหยัดในวงการได้ เพราะในนั้นมีวิชามารเยอะมาก

ได้แต่หวังว่าบ้านเมืองเราจะเริ่มดีขึ้นสักที เพราะว่าในหลวงเราทุกวันนี้ประคับประคองพระวรกายก็เพื่อจะให้สถานการณ์ดีขึ้น ไม่อย่างนั้นถ้าพระองค์ปุบปับไปแล้ว จะยุ่งมาก

คนอายุ ๘๐ กว่าแล้ว แต่หาเวลาพักผ่อนไม่ค่อยได้ กลอนเขาบอกว่า "จะพักเพียงสักวัน ยังหายากลำบากเกิน" เวลาจะพักสักวันยังไม่มีเลย ตอนนี้ก็ช่วยกันลุ้นให้พระองค์เสด็จพระราชดำเนินได้ ขนาดต้องไปรถเข็นพระองค์ท่านยังทรงงานไม่เลิกเลย"

เถรี
14-07-2011, 08:56
พระอาจารย์แจ้งว่า "เดือนหน้าอาตมาจะมารับสังฆทานวันพฤหัสบดี-ศุกร์-เสาร์ นะจ๊ะ ขอเวลาวันอาทิตย์กลับไปจัดสถานที่วันหนึ่ง เพราะวันจันทร์ต้องจัดอบรมพระนวกะทั้งอำเภอที่วัดท่าขนุน พระทั้งอำเภอ ๔๐๐-๕๐๐ รูป จะต้องมารวมอยู่กันทั้งหมด ไม่เตรียมการให้ดีเดี๋ยวมีขายหน้าเขาแน่ ๆ..!"

เถรี
14-07-2011, 09:13
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องกำลังใจว่า "นักวิ่งมาราธอนคนแรกของโลก วิ่งระยะทาง ๔๒ กิโลเมตรเพื่อไปส่งข่าวว่ากรีกชนะแล้ว พอส่งข่าวเสร็จเป็นลมล้มตาย กำลังใจเขามุ่งมั่นว่าต้องทำหน้าที่นี้ให้สำเร็จ

มีนักวิ่งโอลิมปิกชาวเคนยาคนหนึ่ง เท้าเขาบาดเจ็บ วิ่งเหลืออีกกี่รอบสนามไม่รู้ แต่ก็ยังวิ่งกระโผลกกะเผลกไปเรื่อย จนกระทั่งคนรอบข้างตะโกนบอกให้เลิกเถอะ เพราะไม่มีใครเหลืออีกแล้ว แต่เขาก็ยังวิ่งไปเรื่อยจนกระทั่งครบตามระยะ

นักข่าวไปสัมภาษณ์ว่าทำไมวิ่งไม่เลิก ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครแข่งด้วยแล้ว เขาบอกว่าประเทศส่งเขามาให้วิ่ง เพราะฉะนั้น..เขาต้องทำหน้าที่ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ กำลังใจเขามุ่งมั่นขนาดนั้น ถ้าเป็นเราโดนน็อกรอบก็ไม่วิ่งแล้ว กำลังใจยังไม่เด็ดขาดอย่างเขา

ต้องเอาให้ได้อย่างหมาป่า หมาป่าติดกับดัก เห็นว่าดิ้นรนแล้วไม่หลุดแน่ ก็กัดขาตัวเองทิ้งเลย ถ้าทำอย่างนั้นได้เราตัดร่างกายได้แน่ แบบเดียวที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ให้สละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ ให้สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต ให้สละทั้งทรัพย์ อวัยวะและชีวิตเพื่อรักษาธรรม

ต้องเหี้ยมหาญและเด็ดขาด กำลังใจแบบนั้นถึงจะรบกับกิเลสได้ เพราะกิเลสไม่เคยปรานีเรา ถ้าเรามัวแต่ไปรามือหย่อนมืออยู่ สู้เขาไม่ได้หรอก ประเภทอ่อนให้เขาครั้งหนึ่ง ไม่ใช่ครั้งเดียวหรอก ต้องอ่อนให้เขาไปตลอดชีวิตเลย..!"

เถรี
19-07-2011, 07:40
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันก่อน ทางหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ คุณชนินทร เหตระกูล ถามมาว่า ถ้าจะขออนุญาตนำเรื่องในเว็บวัดท่าขนุนไปลงในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ จะต้องขออนุญาตจากใคร ? อาตมาจึงแจ้งเขาไปว่า ถ้าหากว่าเป็นเรื่องทั่วไปทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องที่ทางเว็บขออนุญาตที่อื่นนำมาลง สามารถนำไปลงได้เลยโดยไม่ต้องขออนุญาต

การเผยแผ่ธรรมะจริง ๆ ต้องกว้างไกล ถ้าหากว่ามีคนช่วยกันมากเท่าไรก็ดีเท่านั้น แต่ว่าหลายต่อหลายที่ต้องสงวนลิขสิทธิ์เพราะว่ามีบุคคลนำไปเป็นผลประโยชน์ทางการค้า อย่างหนังสือสมบัติพ่อให้ของวัดท่าซุง เขานำไปคัดลอกกันตรง ๆ เลย แล้วก็ไปเปลี่ยนหน้าปกใหม่ นำไปวางจำหน่ายตามท้องตลาด

หรืออย่างหนังสือหลวงตามหาบัวก็เช่นกัน จนเขาต้องบอกว่าสงวนลิขสิทธิ์ ยกเว้นพิมพ์เพื่อเป็นธรรมทาน หนังสือของหลวงตาบัวถ้าพิมพ์เพื่อเป็นธรรมทานท่านให้ ส่วนของวัดท่าซุงนี่สงวนลิขสิทธิ์ด้วยประการทั้งปวง"

เถรี
19-07-2011, 09:31
ถาม : เวลาที่ทำสมาธิแล้วจิตเราหลุดออกไป ต้องพิจารณาตัดร่างกายอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าออกไปนี่ไม่ต้องตัดแล้วพ่อคุณ เขาต้องตัดก่อนออกไป

ถาม : แต่พอออกไปแล้วร่วงกลับที่เดิมทุกทีเลยครับ
ตอบ : ถ้าร่วงกลับที่เดิมทุกทีแสดงว่าคุณพิจารณาร่างกายไม่ละเอียด จิตยังห่วงร่างกายอยู่ คุณต้องแยกแยะให้เห็นชัดเจนเลยว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราอย่างไร เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ สักแต่ให้เราอาศัยอยู่ชั่วคราว

ถ้าจิตเห็นชัด ไม่ห่วงร่างกายแล้วจึงจะออกไป แต่ถ้าคุณพิจารณาไม่ชัดจิตก็จะกลับทันที เพราะว่ายังห่วง หนักกว่านั้นอีกก็คือไม่ไปเลย ดังนั้น..พิจารณาตั้งแต่ก่อนไปนะจ๊ะ ไม่ใช่ไปแล้วค่อยพิจารณา ไปแล้วไม่มีเวลาพิจารณาหรอก

พยายามไปดูให้เห็นให้ชัด ว่าร่างกายไม่เที่ยงอย่างไร ? เป็นทุกข์อย่างไร ? ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอย่างไร ? จนสภาพจิตยอมรับแล้ว เราค่อยภาวนาไปตามแบบของเรา ถ้าหากว่าจิตยิ่งยอมรับมากเท่าไร ก็จะยิ่งไปง่ายเท่านั้น ไปเริ่มต้นใหม่..ความจริงทำถูกแล้ว แต่ยังถูกไม่หมด พิจารณาน้อยไปหน่อย

เถรี
19-07-2011, 09:34
ถาม : ลูกสาวไม่ค่อยมีความรับผิดชอบ ดูไม่ค่อยใส่ใจอะไรเลย ซึ่งอายุขนาดนี้ควรจะมีความรับผิดชอบมากกว่านี้แล้ว เราจะช่วยเขาได้อย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : ไม้เรียวสิ..! มอบหมายงานให้เขาทำ อย่างเช่นว่าอาจจะเก็บเสื้อผ้า พับเสื้อผ้า จัดที่นอน ถ้าเขาไม่ทำก็ฟาดเลย ถ้าหากว่างานที่เขารับมอบหมายทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจะไปทำอะไรก็ตามใจเขา

ส่วนใหญ่แล้วพ่อแม่มักจะทนไม่ได้ที่จะตีลูก โบราณเขาบอกอะไรไว้ไม่ผิดหรอก "รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี" รักวัวถ้าไม่ผูกไว้เดี๋ยวก็ทำความเสียหาย ไปกินข้าวนาชาวบ้านเขาบ้าง โดนขโมยไปบ้าง รักลูกให้ตี ถ้าไม่ตีนี่เอาดีได้ยาก

พระพุทธเจ้าตรัสว่า สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ไม่เกรงอาชญานั้นไม่มี คำว่าอาชญาก็คือการลงโทษ แต่คราวนี้เรื่องของเด็ก ๆ ต้องลงโทษให้เป็นเหตุเป็นผล ชี้แจงก่อน ถ้าไม่ทำตามแล้วค่อยตีเขา

เถรี
19-07-2011, 09:39
มีเด็ก ๆ หลายคนด้วยกัน ประเภทเริ่มวัยรุ่นแล้ว เรียนป. ๖ บ้าง ม. ๑ ม. ๒ บ้าง ไปอยู่ที่วัด อาตมาจะให้ทำวัตรเช้าเย็นด้วยกัน แล้วก็ซักผ้าของตัวเอง ล้างจานของตัวเอง ก็ทำได้ทุกคน โดยเฉพาะเขาเห็นเครื่องซักผ้าเป็นของสนุก บางทีชิ้นสองชิ้นก็โยนลงไปซักแล้ว สนุกสนานกันใหญ่

พอกลับบ้านไป พ่อแม่ก็ดีใจที่เด็กเก่งขึ้น ทำอะไรได้เยอะแยะ แต่พออยู่ไปสักอาทิตย์หนึ่ง ทุกอย่างแม่ทำเหมือนเดิม ก็แม่ไปแย่งเขาทำเอง คราวนี้พอมีคนทำเขาก็ไม่ทำสิ ไปเปิดโอกาสให้เขา เขาก็เลือกเอาที่สบาย พ่อแม่อยากทำใช่ไหม ? เอาไปเลย..เขาก็ไปเล่นของเขา


ถาม : ใหม่ ๆ เขาจะสนุกค่ะ เหมือนกับได้เล่น แต่พอนาน ๆ ไปเข้าก็เบื่อ
ตอบ : อยู่ที่นั่นเป็นเดือนไม่เห็นเขาเบื่อสักที เล่นได้ทุกวัน โดยเฉพาะเครื่องซักผ้าที่วัดนี่ใช้ง่ายมาก เพราะว่าจะซื้อระบบที่ง่ายที่สุด สำหรับคนที่โง่ที่สุดอย่างอาตมาใช้..! เด็กเขาจึงใช้เป็นทุกคน พวกประเภทต้องมาตั้งหลาย ๆ ระบบนี่อาตมาไม่เอาหรอก

อาตมาเป็นคนมักง่าย อะไรที่ง่ายได้จะไม่ทำให้ยาก แม้กระทั่งการใช้คอมพิวเตอร์ก็เหมือนกัน ใช้ไปใช้มาก็มักจะหาทางใช้ให้ง่ายที่สุด โปรแกรมอันไหนที่ยุ่งยากก็โยนทิ้งไปเลย หลายต่อหลายคนที่เขาเคยสอนอาตมาให้ใช้เครื่อง พอกลับมาอาตมากลับต้องไปสอนเขา เขาก็งง ๆ ว่า ทำอย่างนี้ได้ด้วยหรือ ? อาตมาก็บอกว่าทำได้ เพราะอาตมาเป็นคนมักง่าย ชอบอะไรที่ง่าย ๆ

เถรี
19-07-2011, 09:46
ถาม : คำว่า "โมทนา"กับ "อนุโมทนา" ต่างกันไหมคะ ?
ตอบ : เหมือนกัน เพียงแต่ว่าคำว่า "โมทนา" กร่อนมาจากคำว่า "อนุโมทนา"

โมทนา คือ พลอยยินดี อนุ แปลว่า ตาม อนุในภาษาบาลีเป็นคำอุปสรรค(คำนำหน้า) ความหมายของก็คือ น้อย , ภายหลัง , ตาม

ดังนั้น..คำว่า โมทนา ก็คือพลอยยินดีตามไปในบุญที่เขาทำด้วย คำที่ถูกต้องก็คือคำว่าอนุโมทนา แต่โมทนาเป็นคำที่พูดสั้น ๆ เพื่อให้ฟังง่ายเท่านั้น

อุปสรรคของบาลี แปลว่า คำนำหน้า แต่อุปสรรคของพวกเราก็คือ สิ่งที่ขวางหน้า

เถรี
20-07-2011, 06:14
พระอาจารย์กล่าวกับโยมผู้หญิงที่นุ่งสั้นว่า "ตั้งใจจะไปที่ไหนต่อหรือเปล่า ? ถ้าตั้งใจมาเฉพาะที่นี่ คราวหน้าแต่งตัวให้น่าหวาดเสียวน้อยกว่านี้หน่อย ผู้หญิงเราจะน่าสนใจต้องเหลืออะไรให้คนเขาค้นคว้าได้บ้าง ถ้าไม่เหลืออะไรไว้เลยคนเขาจะไม่สนใจหรอก

ช่วงเดือนที่แล้วไปงานฉลองประโยค ๙ ของสามเณรชวิน วัดปรังกาสี ไปงานนั้นแล้วทำให้รู้ว่าคนปัจจุบันนี้ มากต่อมากด้วยกันที่ไม่รู้กาลเทศะ เพราะว่างานนั้นโยมที่เป็นประธานเปิดงานนุ่งกางเกงขาสั้นมา แล้วญาติโยมผู้หญิงนุ่งกางเกงขาสั้นมา ๗-๘ คน เดินกระมิดกระเมี้ยนเข้ามา นั่นทั้ง ๆ ที่เขารู้อยู่ว่าเขาจะไปวัด แล้วก็ไปงานของพระด้วย

ถ้าจำเป็นต้องพรางตัวออกมาไม่ให้ทางบ้านเขาสงสัย ก็หาชุดมาเปลี่ยนแล้วกัน ห้องน้ำที่นี่มีจ้ะ"

เถรี
20-07-2011, 07:14
มีโยมพาแม่มาทำบุญเนื่องในวันเกิด พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "วันเกิดของแม่เราพาแม่ไปทำบุญถือว่าดี แต่ถ้าวันเกิดของเราพาแม่ไปทำบุญด้วยจะดียิ่งกว่า เพราะวันเกิดของเราก็คือวันที่แม่เจ็บปวดแทบจะตายนั่นแหละ"

เถรี
20-07-2011, 07:24
พระอาจารย์กล่าวถึงแพลงกิ้งว่า "จริง ๆ แพลงกิ้ง (planking) เป็นการเลียนแบบสัตว์ สัตว์หลายชนิดเวลาอันตรายจวนตัว ก็จะแกล้งตายแข็งทื่อ พอศัตรูมาดม ๆ เขี่ย ๆ หน่อย เห็นว่าตายแล้วก็ปล่อยไป โดยเฉพาะพวกงูนี่ชอบมากเลยประเภทที่ทำเป็นตาย

ที่วัดท่าขนุนมีอยู่ช่วงหนึ่ง ประมาณสัก ๔ โมงเย็น ‘แหลมทอง ๐๕๒’ เป็นนามเรียกขานของลูกข่ายมูลนิธิพิทักษ์กาญจน์ที่อาตมาเป็นหัวหน้าอยู่ เขาวิทยุมาว่า “อาจารย์..ใครเอางูมาทิ้งไว้ทางออกป่าช้าตัวเบ้อเร่อเลย ผมเกือบจะทับมันแน่ะ” อาตมาก็ถามว่าอยู่ตรงไหน ? เขาบอกว่าอยู่เกือบถึงปากทางออก อาตมาก็ตอบไปว่าจะไปดูให้

พอเดินไปจนเกือบทะลุถนนใหญ่ ปรากฏว่าไม่มี ก็เลยวิทยุไปบอกว่า "โชคดีที่เอ็งไม่ลงไปดู เอ็งขี่มอเตอร์ไซค์มา งูมันหนีไม่ทันก็ทำเป็นตายนอนแข็งทื่อ แล้วไอ้ตัวใหญ่ ๆ ขนาดนั้นแถวนี้มีแต่จงอาง..!"

เพราะฉะนั้น..คนที่ทำแพลงกิ้งขอให้รู้ว่า ย้อนหลังไปสมัยไดโนเสาร์นั่นเลย เพราะเลียนแบบสัตว์ สัตว์บางชนิดนี่เรายิ่งเขี่ย ๆ ก็ยิ่งนอนแผ่ทำเป็นว่าตายไม่รู้ไม่ชี้"

เถรี
20-07-2011, 09:26
พระอาจารย์กล่าวถึงหนังสือธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น ของ พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน ว่า "เล่มหลัง ๆ คุณหมอท่านเปิดมากขึ้นเรื่อย ๆ ประเภทเปิดมากขึ้นเรื่อย ๆ นี่มักจะเป็นการทิ้งทวน ก็คือไม่เอาแล้ว..ไปดีกว่า สังเกตดูพระปฏิบัติ ช่วงท้าย ๆ ประมาณ ๒-๓ ปี มักจะเปิดเต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจใครแล้ว กูจะตายแล้ว ใครจะด่าส่งท้ายก็ช่างมัน

ถ้าไปศึกษาในพระไตรปิฎกจะเห็นว่า ช่วงท้าย ๆ พระพุทธเจ้าท่านจะเทศน์เฉพาะส่วนของธรรมล้วน ๆ แทบทั้งนั้น โดยเฉพาะในมหาปรินิพพานสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรสุดท้าย เป็นพระสูตรใหญ่ที่อมพระสูตรเล็กเอาไว้มาก แต่ละหัวข้อที่พระองค์ท่านเทศน์ออกมานี่ ถ้าคนไม่มีพื้นฐานจะมึนไปเลย

เริ่มตั้งแต่อปริหานิยธรรม ๗ ประการ หมวดที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖ เพราะฉะนั้น..อปริหานิยธรรม เราอย่าคิดว่ามีหนึ่งเดียวนะ มีทั้งวัชชีอปริหานิยธรรม อปริหานิยธรรมของชาววัชชี ภิกษุอปริหานิยธรรม อปริหานิยธรรมของภิกษุทั้งหลาย

และหมวดสุดท้าย อย่างสาราณียธรรม สาราณียธรรมนี่มีแค่ ๖ ข้อ ก็เลยไม่ครบ ๗ เกี่ยวกับการปฏิบัติที่พระพึงปฏิบัติต่อกัน เพื่อยังความระลึกถึงของเพื่อนสพรหมจารีให้เกิดขึ้น อย่างเช่นว่า ปฏิบัติต่อกันด้วยความเมตตา เอ่ยวาจาที่มีแต่ความเมตตาต่อกัน ปฏิบัติต่อภิกษุอื่นด้วยความมีเมตตาต่อกัน แม้กระทั่งคิดต่อภิกษุอื่นด้วยความมีเมตตาต่อกัน แบ่งปันลาภผลที่ได้มาต่อเพื่อนภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้เป็นต้น

สาราณียธรรม คือธรรมอันยังเครื่องระลึกถึงให้เกิดขึ้น ฟัง ๆ ดูก็คล้าย ๆ กับสังคหวัตถุเหมือนกัน แต่ว่าสังคหวัตถุนั้นจะเป็นทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตา โดยเฉพาะสมานัตตานั้นตัวสุดท้ายคนมักจะแปลผิด แปลว่าทำตนให้เสมอต้นเสมอปลาย

ความจริงสมานัตตานั้น แปลว่าเสมอด้วยตนเอง ก็คือเราชอบอย่างไรให้ทำอย่างนั้นกับคนอื่น เราไม่ชอบอย่างไรอย่าทำอย่างนั้นกับคนอื่น คือเอาใจเขามาใส่ใจเรา บาลีบางคำถ้าหากว่าเราไม่เข้าใจจริงก็จะแปลไปเรื่อย แล้วก็จะพาผิดเข้ารกเข้าพงไปเรื่อย

บาลีเขามีแปลโดยพยัญชนะ คือว่าตามตัวอักษร แปลโดยอรรถ คือว่าโดยความหมาย เพราะฉะนั้น..โดยพยัญชนะแปลอย่างหนึ่ง โดยอรรถอาจจะแปลไปอีกอย่างหนึ่งก็ได้"

เถรี
20-07-2011, 09:29
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระที่ไปบวชช่วงวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ส่วนใหญ่ตั้งใจที่จะบวชน้อย การบวชน้อยก็มีทั้งส่วนที่ดีและก็ไม่ดี ส่วนที่ดีก็คือพระที่บวชน้อยโอกาสที่จะพลาด ทำให้ศีลต้องขาดตกบกพร่องเศร้าหมองก็น้อยไปด้วย เพราะระยะเวลาไม่นาน

แต่ส่วนที่ไม่ดี ก็คือ ทำตัวเหมือนกับคนไม่เอาจริง ในเมื่อรู้ตัวว่าไม่กี่วันก็จะสึก น้อยคนที่จะทุ่มเทให้เต็มที่ ในเมื่อเป็นดังนั้นโอกาสที่จะได้ดีจึงยาก อาตมาเองตั้งใจบวชแค่ ๗ วัน ขนาดตั้งใจบวชแค่ ๗ วัน ข้าวของทุกอย่างอาตมาทิ้งหมดเลย แม้กระทั่งเงินทองก็ยกให้น้องไปเป็นทุนการศึกษาหมด กะว่าสึกออกไปจะเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ต้องบ้าให้ได้ขนาดนั้น ถ้าความบ้าไม่พอก็จะเอาดีได้ยากนิดหนึ่ง"

เถรี
20-07-2011, 10:54
ถาม : เทวดานางฟ้านี่เวลาเขาช้ากว่าเราหรือคะ?
ตอบ : จะบอกว่าช้าก็ไม่ได้ช้าหรอก แต่ถ้าเปรียบกันแล้ววงจรชีวิตท่านยาวกว่าเรามาก ในเมื่อยาวกว่าเรามากเวลาที่ท่านทำอะไรในระยะเวลาที่สั้น ๆ นั้น มนุษย์ตาย ๆ เกิด ๆ ไปตั้งเยอะแล้ว อย่างนางปติปูชิกามาเกิด ๕๐ กว่าปี มีสามีมีลูก จนกระทั่งป่วยตายกลับขึ้นไปข้างบน เวลาบนนั้นผ่านไปแค่ครึ่งวันเอง

เถรี
21-07-2011, 07:42
ถาม : ท่านรู้จักใบไม้นี้ไหมคะ ?
ตอบ : รู้จักจ้ะ

ถาม : ใบนี้เห็นเขาว่า กันพวกสัตว์ร้ายเวลาเข้าป่า กันได้จริง ๆ หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าใบไม้สีทอง มีอยู่ตามป่าแถวปักษ์ใต้ เป็นเถาวัลย์ชนิดหนึ่ง อาตมาเอามาปลูกที่ทองผาภูมิ ใบกลายเป็นสีเขียวหมด..! คาดว่าดินคงจะไม่เหมือนกัน

แต่ถ้าหากว่าปลูกแล้วขึ้นเป็นสีทองได้จะสวยมาก ส่วนสรรพคุณอื่นไม่รู้ รู้แต่ว่าเป็นไม้ประดับที่สวยงามทีเดียว

ถาม : ตอนนี้ที่บ้านมีทั้งใบทอง ใบเงิน และใบทองแดง ว่าจะเอามาถวายท่าน
ตอบ : ไม่ต้องเอามาหรอกจ้ะ เพราะอาตมาปลูกแล้วกลายเป็นใบมรกตหมด..! ไม่เป็นเงิน ไม่เป็นทอง ไม่เป็นนากเลย

เถรี
21-07-2011, 11:10
ถาม : หัวใจพุทธคุณ ๙ เกี่ยวกับอะไรคะ ?
ตอบ : เขาเรียกว่า นวหรคุณ ได้แก่ อะสังวิสุโลปุสะพุภะ เป็นคำที่เขาย่อมา

อะ คือ อะระหัง
สัง คือ สัมมาสัมพุทโธ เขาตัดมาแต่บาลีแค่ สํ จึงอ่านว่า สัง
วิ คือ วิชชาจะระณะสัมปันโน
สุ คือ สุคะโต
โล คือ โลกะวิทู
ปุ คือ ปุริสะทัมมะสารถิ
สะ คือ สัตถา เทวะมะนุสสานัง
พุ คือ พุทโธ
ภะ คือ ภะคะวาติ

เขาเรียกนวหรคุณ คุณ ๙ อย่างของพระพุทธเจ้า

ถาม : ที่ดูในบทสวดมนต์ของพระไตรปิฎก รู้สึกจะมีบทสวดมนต์ย่อ ๆ
ตอบ : จริง ๆ แล้วในพระไตรปิฎกเขาไม่ได้ย่อจ้ะ ที่เขาย่อนั่นเพื่อให้คนรุ่นหลังจำง่าย ไป ๆ มา ๆ กลับเอาไปท่องเป็นคาถาขลัง อย่างเช่นว่า ทีมะสังอังขุ พระสุตันตปิฎกประกอบด้วย ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตรนิกาย และขุททกนิกาย เขาก็เอาคำย่อไปเป็นคาถา

หรือไม่ก็ สังวิธาปุกะยะปะ หัวใจพระอภิธรรม ประกอบไปด้วย สังคิณี วิภังค์ ธาตุกถา ปุคคลปัญญัติ กถาวัตถุ ยมก มหาปัฏฐาน เขาย่อเอาไว้เพื่อช่วยจำ แต่คนรุ่นหลังก็เอาไปทำเป็นคาถาแล้วก็ขลังเสียด้วย..!

เถรี
21-07-2011, 11:19
ถาม : คาถาพระปริตรเกี่ยวกับอะไร ?
ตอบ : คำว่า "ปริตร" แปลว่า ป้องกัน คาถาพระปริตร ก็คือคาถาป้องกันอันตรายต่าง ๆ เพื่อช่วยให้เกิดความสุขความเจริญ ส่วนใหญ่ก็จะสวดอยู่ใน ๗ ตำนาน ๑๒ ตำนาน

พวกตำนานต่าง ๆ เช่น ตำนานพระยาฉัททันต์ เขาเรียกฉัททันตปริตร ตำนานนกคุ้มกันไฟ เขาก็เรียกวัฏฏกปริตร ตำนานนกยูงทอง เขาเรียกโมรปริตร เป็นต้น

ถาม : คาถาชุมนุมเทวดาใน ๗ ตำนาน และ ๑๒ ตำนาน ใช้ต่างกันอย่างไรคะ ?
ตอบ : ถ้า ๑๒ ตำนาน เขาจะขึ้นสะรัชชัง สะเสนัง สะพันธุง นะรินทัง ปะริตตานุภาโว สะทารักขะตู ติ แต่ถ้าเป็น ๗ ตำนาน เขาขึ้น ผะริตตะวา นะเมตตัง สะเมตตา ภะทันตาฯ

เวลาขึ้นจะต่างกัน พอขึ้นไปพระท่านก็รู้แล้วว่าต้องสวดแบบไหน คราวนี้ไม่ใช่อาชีพของโยม ไม่ต้องรู้ก็ได้ เป็นอาชีพของพระท่านจ้ะ

เถรี
21-07-2011, 11:24
ถาม : อังคุลิมาลปริตร เกี่ยวกับอะไร ?
ตอบ : อังคุลิมาลปริตร ส่วนใหญ่เขาเอาเป็นคาถาทำน้ำมนต์ ให้คลอดลูกง่าย ตำนานพระองคุลีมาล เขาบอกว่าท่านออกบิณฑบาตแล้วหญิงท้องวิ่งหนี ท่านก็เลยประกาศว่า ยะโตหัง ภะคินิ อะริยายะ ชาติยาฯ ดูก่อนน้องหญิง ตั้งแต่เราเกิดแล้วในอริยชาตินี้ สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตา ไม่เคยมีเจตนาที่จะปลงชีวิตสัตว์เลย

แต่คราวนี้สถิติการฆ่าคนของท่านแต่เดิมนั้นน่ากลัวมาก ฆ่าเสียเป็นพันคน ท่านประกาศไว้ลงท้ายว่า โสตถิ เต โหตุ โสตถิ คัพภัสสะ ฯ ก็คือ ด้วยสัจจะวาจานี้ขอความสวัสดีจงมีแต่ครรภ์นี้เถิด ผู้หญิงนั้นก็คลอดพอดี ปลอดภัยทั้งแม่และลูก

ตั้งแต่นั้นมาหลวงพ่อองคุลีมาลมีหน้าที่ผลิตน้ำมนต์อย่างเดียว จนกระทั่งท่านนิพพานไปแล้ว คนยังเอาเตียงที่ท่านนั่งกรรมฐานไปทำน้ำมนต์เลย แล้วก็ได้ผลเสียด้วย ถึงเวลาก็เอาน้ำไปราดเตียง แล้วเอาภาชนะรองเอาไปให้คนเขาจะคลอดลูกดื่มเป็นน้ำมนต์

เถรี
21-07-2011, 15:31
พระอาจารย์เล่าว่า "ชาวต่างชาติเขาสรุปว่า เหตุการณ์การประท้วงต่าง ๆ สารพัดสีที่ผ่านมาของประเทศไทย เป็นเรื่องการเมืองล้วน ๆ ถ้าหากเป็นเรื่องของความแตกแยกของประชาชนในประเทศจริง ๆ ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ในหลวงท่านต้องออกมาแล้ว แต่ที่ในหลวงท่านไม่ออกมาเพราะว่าเป็นเรื่องการเมือง นี่ชาวต่างประเทศเขามองเรานะ.."

เถรี
21-07-2011, 15:59
ถาม : ศีลข้อวิกาละโภชะนา ถ้าตัวเองเป็นโรคกระเพาะต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : ของที่กินแทนข้าวได้มีเป็นร้อยเป็นพัน จำเป็นต้องกินข้าวอย่างเดียวหรือถึงอยู่ได้ ? จะกินนมก็ได้ โอวัลตินก็ได้ น้ำผึ้งก็ได้ น้ำอ้อยก็ได้ น้ำตาลก็ได้ กินไปสัก ๕ - ๑๐ ถ้วย อิ่มกว่าข้าวอีก

ถาม : กินอย่างนี้แล้วไม่ผิดหรือคะ ?
ตอบ : ก็พระยังฉันได้เลย โยมกินจะผิดตรงไหนวะ ?

ถาม : หมอบอกว่า ให้เลิกศีลแปดได้แล้ว เพราะเป็นโรคกระเพาะ
ตอบ : ก็บอกหมอไปสิว่า "อาจารย์สอนให้ตัวตายดีกว่าศีลขาด เพราะฉะนั้นหมอบอกได้ ฉันรับฟังแต่ไม่รับปฏิบัติ"

ถาม : หมอบอกว่าวันธรรมดากินข้าว แต่พอวันพระไม่กินแล้วจะทำให้ปวดท้องค่ะ
ตอบ : เหตุผลเดียวกัน ของที่กินแทนได้มีตั้งเยอะ ของบางอย่าง เช่น น้ำผึ้งนั้นดีต่อสุขภาพร่างกาย คนที่เป็นเบาหวานแล้วอยากของหวาน ถ้ากินน้ำตาลเข้าไปจะเดือดร้อน ให้กินน้ำผึ้งแทน น้ำผึ้งสักหนึ่งช้อนโต๊ะ ละลายน้ำร้อนแก้วหนึ่ง กินลงไปแทน ร่างกายสามารถดึงไปใช้ได้เลย เพราะว่าโมเลกุลของน้ำผึ้งร่างกายไม่ต้องเสียเวลามาย่อยสลาย

ถาม : อานิสงส์ถือศีลห้ากับศีลแปดต่างกันมากไหมคะ ?
ตอบ : อานิสงส์ของศีลห้าเต็มที่ก็พระสกิทาคามี แต่ถ้าถือศีลแปดได้จะเป็นพื้นฐานของพระอนาคามีเลย ต่างกันมากไหม ? ก็เหมือนปริญญาตรีต่างกับปริญญาโท

ถาม : ตั้งใจไว้แน่ว่าวันพระจะถือศีลแปดตลอดไปค่ะ
ตอบ : ทำไปเถอะจ้ะ ถึงเวลาก็ตุนพวกไมโล โอวัลตินเอาไว้ด้วย

เถรี
22-07-2011, 09:01
ถาม : จริงไหมคะ ที่เขาบอกว่า การรบกวนของไฟฟ้าสถิต ทำให้การใช้พลังจิตในการเคลื่อนย้ายของทำไม่สำเร็จ..?
ตอบ : ถ้ากำลังของบุคคลนั้นต่ำอยู่ การรบกวนจากภายนอกจะมีผล ถ้ากำลังเขาสูงแล้ว การรบกวนภายนอกก็ไม่มีผล

ถาม : กำลังสูง..?
ตอบ : สมมติว่าเรายกของชิ้นหนึ่งที่เกินกำลังแล้ว แม้แต่เด็กเพิ่งหัดเดิน เดินมาชนเรา เราก็อาจจะล้ม โดนของทับแบนได้ แต่ถ้าหากว่าของชิ้นนั้นไม่ได้หนักเกินกำลังของเรา ต่อให้คนตั้งใจพุ่งเข้ามาชน เราก็ยกไหว

ถาม : พวกฝรั่งญี่ปุ่นที่เขาทดลองใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้า ในการกวนหรือป้องกันไม่ให้เกิดคาถาอาคม..?
ตอบ : เป็นไปได้..อย่าลืมนะว่าไฟฟ้ายังทำให้ผีบางส่วนหลอกเราไม่ได้

ถาม : กำลังที่จะโดนกวนอย่างนี้ได้ แสดงว่าต่ำ..?
ตอบ : ต่ำ..ถ้าระดับสูงไม่อาจทำอย่างนี้ได้

ถาม : อย่างพวกคุณไสย ..?
ตอบ : ไม่แน่..เพราะเราไม่รู้ว่าตอนที่เขาทำ สมาธิของเขาสูงเท่าไร ถ้าสมาธิเขาสูงเกินระดับ เราก็ไม่สามารถที่จะป้องกันได้

แต่ถ้าเอาอย่างจ่าปัญญา ไม่ต้องสมาธิสูงหรอก ไปถึงจ่าก็ควักปืน ๑๑ มม. ขึ้นลำแล้วก็วางโครมลงตรงหน้าหมอผี..! ประกาศว่า "๒ นาที ถ้ามึงทำกูล้มไม่ได้..กูยิง..!" กำลังใจของจ่าข่มเขาตั้งแต่แรกแล้ว หมอผีที่ไหนจะมีอารมณ์มานั่งทำของใส่ นั่นเรียกว่าจู่โจมถึงจิตใจ คนกลัวปืนนี่สมาธิไม่รวมตัวหรอก

เถรี
22-07-2011, 09:17
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องการเรียนว่า "ของอื่นล้วนแล้วแต่เป็นธรรมอันเนิ่นช้า เอาของที่พาเราหลุดพ้นดีกว่า แต่ที่เรียนอยู่ปัจจุบันนี้เนื่องจากเห็นประโยชน์อยู่ตรงที่ว่า คนเราเชื่อมั่นในกระดาษแผ่นเดียว

ถ้าหากว่าอาตมาไปบรรยายที่ไหน เขาแนะนำตัวว่า "พระครูธรรมธรเล็ก วัดท่าขนุน" มีวุฒินักธรรมเอกห้อยท้ายอยู่ เขาก็รู้สึกว่าอย่างนั้น ๆ แหละ แต่ถ้ามีปริญญาเกียรตินิยมอันดับ ๑ ห้อยท้ายอยู่ เขาจะหูผึ่งเลย ต่างกันตรงนี้แหละ จากเรื่องที่พูดแล้วไม่น่าใส่ใจ เขาก็ตั้งใจฟังขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ว่าคนที่ได้เกียรตินิยมอันดับ ๑ จะพูดเรื่องอะไร แทนที่เขาจะนั่งหลับหรือกินขนมแข่งกันก็ตั้งใจฟังบ้าง

ที่เรียนอยู่ทุกวันนี้รู้สึกว่าไม่ได้อะไรขึ้นมา นอกจากเอาทฤษฎีที่ลอกฝรั่งมาเกือบทั้งนั้น แต่สำคัญอยู่ตรงที่ว่า พอถึงเวลาแล้วเขาให้ความเชื่อถือ แต่อย่าให้มากจนเฟ้อเหมือนประเทศจีนก็แล้วกัน

ประเทศจีนมีวุฒิบัตร เกียรติบัตร ประกาศนียบัตร เกลื่อนกลาดไปหมด เคยเห็นคนจีนเขาสมัครงานไหมเล่า ? วางเกียรติบัตรแปะอยู่ตรงหน้า มากเท่ากับความกว้างของพรม ๔ ผืนที่พวกเรานั่งอยู่นี่ แล้วก็ประกาศหางาน ใครเดินผ่านจะจ้างก็ดูว่าเขาได้เกียรติบัตรอะไรมาบ้าง"

เถรี
22-07-2011, 09:46
พระอาจารย์กล่าวกับทิดท่านหนึ่งที่เพิ่งสึกว่า "เอากำลังที่เพาะสร้างมาระหว่างที่บวชไปลุยกับเขาต่อ จะได้เห็นคุณค่าของความสงบว่าเป็นอย่างไร ? แต่ว่าสภาพจิตของเรามักจะกลับกลอก พอไปอยู่ที่สงบก็คิดไปถึงชีวิตข้างนอก พอออกไปอยู่ข้างนอกจริง ๆ ก็คิดถึงความสงบที่วัด"

เถรี
22-07-2011, 09:54
ถาม : พระที่ท่านเจริญอสุภะ เวลาท่านมองเห็นคนเป็นกระดูกนี่คือเห็นเป็นกระดูกจริง ๆ เดินไปเดินมาเลยหรือคะ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าท่านฝึกมาแบบไหน ถ้าฝึกมาแบบอุทุมาตกอสุภ ก็เห็นบวมอืด

ถาม : หนูพิจารณาแล้วแค่รู้สึกว่าเป็นกระดูก แต่ไม่เห็นว่าเป็นกระดูกค่ะ ?
ตอบ : แค่รู้สึกก็ใช้ได้แล้ว..ในพระไตรปิฎกมีพระรูปหนึ่ง ผู้หญิงหัวเราะให้ ท่านเห็นฟันก็เลยพิจารณาเป็นอัฏฐิกัง ปฏิกุลัง แล้วก็บรรลุเป็นอรหันต์ แสดงว่าท่านมีปัญญาสูงมาก ท่านเห็นฟันก็มองทะลุไปถึงกระดูกทั้งตัวเลย

เห็นความไม่มีแก่นสาร เห็นความตั้งอยู่ไม่ได้ทั้งของเขาและของเรา อย่างเรานี่ต่อให้มีคนยิ้มใส่หน้าทั้งวัน วันละ ๒๔ ชั่วโมงก็ไม่เห็นความไร้แก่นสารสักที

เถรี
22-07-2011, 10:33
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยอยู่ท่าซุง ท่านย่าจะลง(เข้าทรง)เจ้าตึ๊กทุกที เจ้าตึ๊กเขาก็กลัว เพราะว่าท่านย่าลงและออกไปแล้ว เจ้าตึ๊กก็จะหมดเรี่ยวหมดแรงสลบไปครึ่งค่อนวัน เจ้าตึ๊กก็หนีไปซ่อน สักพักหนึ่งก็โดนหิ้วปีกออกมา ร้องโอย ๆ

หลวงพ่อท่านก็หัวเราะ "ย่าทำตัวสาวหน่อยก็ได้ ทำตัวแก่ขนาดนั้น ไอ้ตึ๊กมันอ้วน ใครเขาจะแบกไหวเล่า ?" ท่านย่าบอกว่า "ก็ข้าตายตอนแก่แล้วนี่หว่า ก็ต้องมาแบบคนแก่"

หลวงพ่อท่านก็ว่า "หลานมันกลัว แล้วย่าก็อุตส่าห์ไปลงมันอีก ทำไมไม่เลือกคนอื่นบ้างเล่า ?" ท่านย่าบอกว่า "ต้องเอาไอ้ตึ๊กเพราะมันอ้วน" หลวงพ่อถามว่าทำไม ? ท่านย่าบอกว่า "คนอ้วนกำลังมันดี ถ้าเป็นคนอื่นรับไม่ไหวแล้วจะแย่"

เถรี
22-07-2011, 10:37
"แต่มีอยู่เที่ยวหนึ่ง ตอนนั้นงานบวงสรวงพระเจ้าพรหมมหาราช เจ้าตึ๊กนั่งอยู่ดี ๆ ก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาวางท่าขึงขัง เสียงกลายเป็นผู้ชายดังก้องมากเลย หลวงพ่อก็บอกว่า "ช่วยประกาศตัวให้ลูกหลานมันรู้หน่อยซิ ว่าใครมา"

เสียงผู้ชายดังกระหึ่มอย่างกับออกไมค์ว่า “กู..สหัมบดีพรหม” ท่านมาเองเลย รอบนั้นเจ้าตึ๊กเสียงหายไป ๒ เดือนกว่า เพราะเส้นเสียงผู้หญิงกลายเป็นเส้นเสียงผู้ชายคงอักเสบมาก แต่ท่านต้องการจะให้รู้ว่ามาจริง ๆ ก็เลยเปลี่ยนเสียง เปลี่ยนเสียงจากเสียงผู้หญิงเล็ก ๆ กลายเป็นเสียงผู้ชายห้าวกระหึ่มเลย"

ถาม : แล้วเขารู้ตัวไหมคะ?
ตอบ : ไม่รู้เรื่องเลย เขารู้อย่างเดียวไม่เอาอีกแล้ว กลัวจริง ๆ ลองคิดดูอยู่ ๆ เสียงหายไป ๒ เดือนกว่า เป็นเราเอาไหมเล่า ? เจ็บคออย่างนั้นน่ะ

ถาม : ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่รู้ น่าจะอยู่ อายุก็ยังไม่มากนี่ รุ่น ๆ เดียวกับอาตมา

เถรี
22-07-2011, 10:50
ท่านปู่ท้าวสหัมบดีพรหมท่านเป็นอรหัตมรรค คือพร้อมจะไปนิพพาน ชาติสุดท้ายท่านบวชเป็นพระ ชื่อหลวงปู่สิงห์ พอเวลาท่านมา เสียงก็เปลี่ยน ผิวก็เปลี่ยน

ถ้าจะเอาคนที่กำลังพอฟัดพอเหวี่ยงกันต้องพี่แดง (พลตรีศรีพันธุ์ วิชชุพันธุ์) ตอนนั้นน่าจะเป็นงานฉลองวันเกิดหลวงพ่อวัดท่าซุงปี ๒๕๒๖ พี่แดงก็นั่งฮึด ๆ ๆ อยู่ หลวงพ่อจึงบอกว่า "แดงเอ๊ย..ท่านจะลงก็ให้ท่านลงหน่อยสิวะ" พี่แดงบอกว่า "ไม่เอา..ลงมาแล้วผมไม่รู้เรื่องผมไม่ยอม ถ้าจะให้ลงต้องให้ผมรู้เรื่องด้วย"

ปรากฏว่าพี่แดงกำลังสูงจริง ๆ แกสู้ได้ พออ่านสัญญาบัตรตราตั้ง คนอื่นเขาแสดงความยินดีกัน พี่แดงลุกพรวดพราดเดินหัวเราะไปจับมือหลวงพ่อเขย่า "ดีใจด้วย ดีใจด้วย ได้เป็นเจ้าคุณแล้ว" พูดเสร็จนั่งลงไปตามเดิม โห...แรงแกเยอะขนาดนั้น ขนาดท่านลงได้แล้วพี่แดงยังสะบัดหลุดได้

น่าจะเป็นคุณชัยณรงค์กระมัง ถามหลวงพ่อว่า "ใครครับ ?" หลวงพ่อบอกว่า “ผกาพรหม ถ้าไม่ได้กำลังขนาดไอ้แดงนี่เอาท่านไม่อยู่หรอก” ขนาดท้าวผกาพรหมมาลง อยู่ได้ไม่ถึงครึ่งนาที พี่แดงเหวี่ยงหลุดอีกตามเคย

ถาม : แล้วท่านทำให้รู้เรื่องด้วยไม่ได้หรือคะ ?
ตอบ : ท่านลงมานี่จะต้องเบียดเจ้าตัวออก เพื่อที่จะใช้ร่างนั้นทำอะไรตามที่ตัวเองต้องการ ถ้าเจ้าตัวอยู่แล้วต่อต้าน ท่านจะทำในสิ่งที่ต้องการไม่ได้ แต่พี่แดงแกไม่ยอม แกจะเอาลักษณะแบบมาแล้วต้องรู้

เถรี
22-07-2011, 11:10
ถาม : พระไปเลือกตั้งได้ไหมครับ?
ตอบ : เขาห้ามพระยุ่งเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ถึงเวลาก็มีหนังสือสั่งการมาตามลำดับชั้น

ที่เขาห้ามพระเลือกตั้งเพราะกลัว เขาคงเล็งแล้วว่า ถ้าหัวแถวเลือกใคร ลูกศิษย์ก็ตามกันหมดทั้งขบวน อย่างหลวงพ่อคูณบอกว่า "ให้ไอ้ชวลิตมันเป็นนายก " แล้วคนแห่ไปเลือกพรรคนั้น พรรคอื่นก็เฮงสิ

เถรี
22-07-2011, 11:55
พระอาจารย์กล่าวกับคนเป็นพ่อแม่ว่า "เด็กบางคนเก่ง แต่พ่อแม่เลี้ยงดีเกินไป ทำให้เด็กไม่กล้าไปอยู่ไกลบ้าน

เพราะพ่อแม่เลี้ยงแบบไม่คิดว่าตัวเองจะตาย ถ้าเลี้ยงแบบคิดว่าตัวเองจะตาย ต้องให้ลูกทำอะไรได้ด้วยตัวเองให้เร็วที่สุด

คนเป็นพ่อแม่จะมีจุดอ่อนตรงที่ไม่เคยเห็นลูกโต พอลูกเป็นวัยรุ่นเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง ก็จะเห็นว่าลูกดื้อ ลูกเถียง ถ้าเด็กโตถึงระดับนั้นแล้ว เราต้องยกเหตุผลขึ้นมาหักล้าง จะไปใช้อำนาจเหมือนตอนเขาเป็นเด็ก ๆ ไม่ได้

เรื่องพวกนี้เกิดจากความรักตัวเอง กลัวจะสูญเสียเขาไป ในเมื่อรักตัวเอง กลัวจะสูญเสียเขาไป ถึงเวลาก็ต้องปกป้อง วิธีปกป้องของเรา ทำให้เด็กวัยรุ่นเขารำคาญ"

เถรี
22-07-2011, 11:57
ถาม : ถ้าเกิดคนเขาฝากเงินมาทำบุญ แล้วเราลืมว่าเขาฝากทำบุญอะไรมา เราจะทำอย่างไร ?
ตอบ : กลับไปถามเขาใหม่

ถาม : ถ้าเราจำไม่ได้ว่าใครเป็นคนฝากเสียด้วยซ้ำ ?
ตอบ : ก็รับผลกรรมจากการกระทำของตัวเองไปก็แล้วกัน จำไม่ได้ก็อย่ารับฝากสิวะ..!

เถรี
22-07-2011, 12:40
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "วัดประตูด่านขอเจ้าอาวาสอีกแล้ว อาตมาหาเจ้าอาวาสให้เขาไม่ทัน มานั่งเซ็งในอารมณ์ วัดในกาญจนบุรีมีตั้ง ๖๐๐ กว่าวัดและอีก ๙๐ กว่าสำนักสงฆ์ เวลาขาดเจ้าอาวาส เขาจะไปขอที่วัดท่าขนุน..!

เจ้านายเขาสรุปว่า ถ้าได้พระจากวัดท่าขนุน เท่ากับได้เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนไปด้วย เพราะอย่างไรอาตมาก็ต้องไปช่วยอยู่ดี..!

ตอนนี้ที่พิจารณาอยู่ พระที่อายุพรรษาถึง ความรู้ถึงนั้นมีมาก แต่พระที่รู้ว่าอะไรเหมาะอะไรควรนั้นมีน้อย ไปอยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้ารีบเร่งจะให้เขายอมรับตัวเราเองมากเท่าไร จะโดนเขาหวาดระแวงมากเท่านั้น นี่เป็นธรรมชาติของเจ้าอาวาสใหม่เลย"

ถาม : ต้องระดับไหนจึงรู้ว่าอะไรเหมาะอะไรควร ?
ตอบ : อย่างน้อย ๆ ต้องรู้กาลเทศะ ต้องรู้ว่าเวลาไหนควรจะทำอะไร ไปถึงใหม่ ๆ ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป หักด้ามพร้าด้วยเข่าตามใจตัวเองไม่ได้หรอก เพราะว่าคนอื่นเขาฝังรากลึกมานานแล้ว เราต้องค่อย ๆ ขยับไปทีละน้อย จนกระทั่งมั่นใจว่าอำนาจการควบคุมอยู่ในมือแน่ ๆ แล้ว คราวนี้จะทำอะไรก็เชิญ ซึ่งบางทีอาจจะต้องใช้เวลา ๕-๑๐ ปี

ถาม : ความรู้แบบนี้จะไปหาที่ไหนคะ ?
ตอบ : ประสบการณ์ชีวิต หรือไม่ก็ดูจากคนอื่น ส่วนใหญ่แล้วหลายคนมักจะใจร้อนใจเร็ว เก่งนิติศาสตร์โดยไม่สนใจรัฐศาสตร์เลย

เถรี
22-07-2011, 12:56
ทางปักษ์ใต้มีอยู่วัดหนึ่ง อาตมาตั้งใจจะเอากฐินไปให้ แต่ว่าเป็นสำนักสงฆ์ ไม่รู้ไปเอาความรู้ที่ไหนมาว่าสำนักสงฆ์รับกฐินไม่ได้ พอได้ยินว่าอาตมาจะทอดเป็นกฐิน ท่านก็บอกว่ารับไม่ได้ ขอเปลี่ยนเป็นผ้าป่าได้ไหม ?

อาตมาก็แจ้งไปว่า ทางนี้ประกาศเป็นกฐินปลดหนี้ ถ้าหากเปลี่ยนเป็นผ้าป่าเท่ากับไปเปลี่ยนเจตนาเขา เดี๋ยวจะมีโทษเท่ากับย้ายพระเจดีย์ ท่านก็บอกถ้าอย่างนั้นท่านรับไม่ได้เพราะรับได้แค่ผ้าป่า อาตมายังสงสัยว่าครูบาอาจารย์ที่ไหนอบรมมา..! ท่านมีหนี้อยู่ ๖ แสน ขนาดอาตมาประกันว่าให้ล้านหนึ่ง ท่านยังต้องการแค่ผ้าป่าไม่ต้องการกฐิน

หลายต่อหลายแห่งยังเข้าใจผิดอยู่ว่า กฐินต้องมีพระอยู่ครบ ๕ รูป ขึ้นไปถึงจะรับได้ ความจริงพระที่ครบ ๕ รูป ภาษาบาลีเขาเรียกคณปูรกะ คืออยู่ให้สมบูรณ์เต็มคณะเท่านั้น ไปยืมจากวัดอื่นมาได้ แต่พระที่เรายืมมามีหน้าที่แค่มาเป็นคณปูรกะเท่านั้น สิ่งของที่เกิดขึ้นต้องทิ้งไว้ให้เจ้าของวัด พูดง่าย ๆ ว่ามาให้เต็มคณะเพื่อจะได้รับกฐินได้ แต่พอรับแล้วไม่ได้มีสิทธิ์ในกองกฐินนั้น

เถรี
22-07-2011, 13:00
ถาม : ป่วยค่ะ
ตอบ : เหมือนกันเลย อาตมาก็ป่วย พวกเดียวกัน

ถาม : จะมีอาการป่วยช่วงวันพระ ไม่หายสักที
ตอบ : ดีแล้วจ้ะ เราจะได้รู้ว่าวันนี้เราต้องทำบุญใส่บาตร เขาอุตส่าห์เตือนให้เราทำบุญทุกวันพระ ดีจะตายไป พลิกวิกฤตเป็นโอกาส อาการขึ้นเมื่อไรแปลว่าเขาเตือนให้เราทำบุญ

ลองดูปีหน้า ถ้าหากว่ามีงานเป่ายันต์เกราะเพชรไปลองเข้าพิธีดู เพราะว่าเวลาเป่ายันต์เกราะเพชรถ้ามีสิ่งที่ไม่ดีแฝงอยู่ พุทธานุภาพจะขับไล่ไป เพียงแต่ว่าอยู่ให้ถึงปีหน้านะจ๊ะ ห้ามตายก่อน..!

เถรี
22-07-2011, 13:24
ถาม : เคยมีคนพูดว่า ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นต้องท่องปาฏิโมกข์ได้ก่อน หลวงปู่มั่นท่านจึงจะรับหรือครับ ?
ตอบ : ไม่จริง..แต่อาตมาก็ไม่กล้ายืนยันนะเพราะว่าเกิดไม่ทันท่าน

ถาม : ไม่เคยได้ยินคำนี้หรือครับ ? เห็นท่านวิ่งไปวิ่งมาสายพระป่าพอสมควร
ตอบ : ไม่เคยได้ยิน..ได้ยินแต่ว่าต้องเป็นตาผ้าขาวประมาณ ๒ ปี ยกเว้นว่าใครที่อาจารย์เห็นว่าความประพฤติสมควร อาจจะเหลือเพียงปีเดียว

เป็นผ้าขาวรักษาศีล ๒๒๗ นะไม่ใช่เป็นผ้าขาวรักษาศีล ๘ ก็คือให้ปฏิบัติตัวแบบพระ ทดสอบดูประมาณ ๑-๒ ปี พอเคยชินแล้วบวชเป็นพระจะได้ไม่ทำศีลขาด นับว่าเป็นกุศโลบายที่ยอดเยี่ยมมาก สมัยนี้คนบวช ๗ วัน ให้เป็นผ้าขาว ๒ ปีคงผูกคอตายกันหมด..!

เถรี
22-07-2011, 14:30
พระรุ่นพิเศษที่บวชวันที่ ๒๑ บางรูป เมื่อสึกมาแล้ว ก็มากราบพระอาจารย์ที่บ้านวิริยบารมี พระอาจารย์จึงถามว่า "ไปสะสมพลังมาหรือว่าพลังหมด ? ปกติการเข้าไปบวชถือว่าไปสะสมพลังงาน แต่บางคนไปบวชแล้วพลังงานหมด"

ถาม : ทำไมคะ ?
ตอบ : คุยฟุ้งซ่านระหว่างเพื่อนฝูงก็มี แทนที่จะอยู่กับการภาวนาก็ไปโม้แข่งกัน แล้วจะไปเหลืออะไร ?

เถรี
22-07-2011, 20:54
ประธานกลุ่มสมาธิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มากราบอาราธนานิมนต์พระอาจารย์ไปบรรยายธรรมในหัวข้อ "แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง"
ในวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๔ เวลา ๑๖.๐๐-๑๘.๐๐น.
ห้อง๒๑๑ (ห้องสมุดสุภาฯ) ชั้น ๒ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เถรี
23-07-2011, 00:12
ถาม : มูลกัจจายน์เรียนเกี่ยวกับอะไรคะ?
ตอบ : มูลกัจจายน์ ก็คือการเรียนต้นเค้าของภาษาบาลีว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร เราจะสามารถแยกแยะได้ว่าศัพท์คำหนึ่งมีที่มาอย่างไร เพราะเหตุใด จะมีที่มาเป็นสูตรเลยจ้ะ

ถาม : แต่ไม่ใช่ว่าเป็นวิชาบาลี ?
ตอบ : เป็นบาลี แต่ว่าปัจจุบันนี้บาลีตั้งแต่ประโยค ๑ ถึงประโยค ๙ เรียนในลักษณะบังคับให้เราจำว่าต้องเป็นอย่างนั้น แต่ไม่บอกว่ามาอย่างนั้นได้อย่างไร แต่ในส่วนของมูลกัจจายน์เขาจะอธิบายให้ละเอียดว่า ที่มาของสูตรนี้มาอย่างไร

อย่างเช่น ทุกขูปสมคามินัง มาจาก ทุกขะ+อุปะสะมะ+คามินี แค่ ๒ คำแรก ทุกขะ+อุปะสะมะ ทำไมเป็นทุกขูปสมะ ? เขาก็จะมีว่า สูตรแรกคือให้แยกสระหน้าออกจากสระหลัง ก็คือ ทุกขะ มี อะ ของขะเป็นสระหลัง แล้วก็อุปสะมะ มี อุ เป็นสระหน้าหน้า

แล้วก็มาสูตรที่ ๒ ลบสระหน้าออกคงไว้แต่สระหลัง อะจะหายไป ก็เหลือเป็นทุกข แล้วก็บวกอุปสะมะเข้าไปก็จะเป็น ทุกขุปะสะมะ

เถรี
23-07-2011, 00:18
คราวนี้เขาก็ยังมีสูตรอีกว่า ถ้าหากว่าเสียงสั้นกับเสียงสั้นรวมกันจะเป็นเสียงยาว ก็คือ รัสสะ(เสียงสั้น)+รัสสะ(เสียงสั้น) จะเป็นทีฆะ(เสียงยาว) แทนที่จะเป็น ทุกขุปะสะมะ ก็กลายเป็น ทุกขูปะสะมะ

เขาจะบอกที่มาละเอียดยิบเลย เราสามารถเจาะหาได้เลยว่าคำนี้ที่มาที่ไปอย่างไร ทำไมถึงมาอย่างนี้ แต่ปัจจุบันนี้เขาบังคับให้จำอย่างเดียว อย่างเช่น แปลงอะกับสิ เป็นโอ เขาบังคับเลยว่าคุณต้องจำอย่างนี้ แต่เขาไม่บอกว่าทำไมถึงต้องแปลง แล้วแปลงอย่างไร

ถาม : ไม่มีให้เรียนวิชานี้หรือคะ ?
ตอบ : ทางด้านวิทยาลัยบาฬีศึกษาพุทธโฆสเขาเอาพวกนี้กลับเข้ามาเรียนใหม่ อาตมาก็บังเอิญได้เรียนไปหน่อยหนึ่ง

ถาม : เคยอ่านเจอประวัติว่ามูลกัจจายน์คืออะไร ?
ตอบ : จะมีบาลีที่มาเป็นสาย ๆ มีสายพระโมคคัลานะ สายมหากัจจายนะ สายพระสารีบุตร คราวนี้สายของเรานี่เป็นสายพระมหากัจจายนะ ก็เลยเรียกมูลกัจจายน์ คือ มีต้นเค้ามาจากพระมหากัจจายนะ

เถรี
23-07-2011, 00:22
ถาม : อ่านประวัติหลวงปู่ปาน สมัยก่อนไม่มีบาลี เขาให้เรียนมูลกัจจายน์
ตอบ : มูลกัจจายน์ก็คือบาลีนี่แหละ แต่จะเรียนละเอียดกว่านี้หลายเท่า ถ้าปัจจุบันประโยค ๙ ไปเรียนวิชานี้อาจจะสอบตกหมด เพราะว่ามีสูตรตั้ง ๑๖๐ กว่าสูตร เราต้องแม่นสูตรจึงจะรู้ที่มา แล้วถามว่าอาตมาแม่นไหม ? วิชานี้อาตมาได้ a

ถาม : วิชานี้จะมีอาจารย์สอนหรือคะ ?
ตอบ : เขาขุดกลับมา แล้วเขาก็มาศึกษากัน จนกระทั่งมั่นใจก็มาถ่ายทอดต่อ

ถาม : เวลาสวดมนต์จะมีภาษาที่เขารวมกันอย่างนี้แล้ว ?
ตอบ : จ้ะ..ภาษาที่สวดมนต์ก็คือภาษาที่ใช้กันทั่ว ๆ ไป แต่ถ้าเราจะแยกแยะว่าแต่ละศัพท์มีที่มาอย่างไร ควรจะแปลว่าอย่างไร จะไปเข้าสูตรพวกนี้ แล้วก็จะได้คำแปลที่ถูกต้องมา ไม่อย่างนั้นบางทีเราอาจจะแปลผิดได้

เถรี
23-07-2011, 00:26
ถาม : อาฏานาฏิยสูตร เราสวด..?
ตอบ : ถ้าเราทำได้ก็มีแต่ดีจ้ะ แต่มีอยู่บางบท อย่างเช่น อาฏานาฏิยสูตร ที่เขาขึ้น นะโมเม สัพพะพุทธานังฯ แล้วก็ วิปัสสิสะนะมัตถุฯ นักขัตตะ ยักขะภูตานังฯ จะมีอำนาจในการขับไล่พวกภูตผีปิศาจต่าง ๆ ได้ ถ้าเราตั้งใจไปสวดไล่เขา ก็จะเป็นโทษ แต่ถ้าเราตั้งใจสวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยก็ไม่เป็นไร ถ้าตั้งใจไปสวดไล่เขาเดี๋ยวก็จะโดนเขาไล่บ้าง

ถาม : สวดเฉย ๆ ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ ถ้าไปอ่านประวัติหลวงปู่ปาน อาจารย์สำราญ วัดเขาวงพระจันทร์ สวดทุกวันตั้งใจไล่ วันนั้นเผลอสวดไม่ทัน โดนเจ้าพ่อขุนด่านท่านล่อซะน่วมเลย เพราะฉะนั้น..ถ้าตั้งใจสวดไล่เขา ระวังจะโดนเขาไล่บ้าง

ถาม : อาฏานาฏิยสูตรมีพระพุทธเจ้าหลายพระองค์มาก
ตอบ : กล่าวถึงพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์จ้ะ

เถรี
23-07-2011, 20:30
พระอาจารย์กล่าวถึงหลวงพ่อทองคำ วัดไตรมิตรวิทยาราม ว่า "กินเนสบุ๊กเขาบันทึกว่า หลวงพ่อทองคำเป็นปูชนียวัตถุสำหรับการบูชาที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก เป็นทองคำน้ำหนักกว่า ๕ ตัน ทองเยอะขนาดนั้นอย่างน้อยต้องเอารถ ๖ ล้อมาบรรทุกจึงจะหมด

เป็นที่น่าเสียดายว่า เขาไม่ได้ดูของเก่าสมัยที่หลวงปู่ไสว (ท่านเจ้าคุณพระวิสุทธาธิบดี) เจ้าอาวาสเก่าท่านทำไว้ ฉากหลังหลวงพ่อทองคำจะเป็นผ้าม่านสีแดง ซึ่งขับให้องค์พระเด่นมาก พอมารุ่นหลังเปลี่ยนเป็นฉากสีน้ำเงินดูไม่ค่อยได้ ตอนนี้ฉากหลังกลายเป็นสีซีด ๆ ยิ่งดูไม่ได้ใหญ่เลย

สีทองต้องตัดกับสีแดง ถ้าด้านหลังเป็นสีแดงสด องค์พระจะเด่นมาก โบราณบอกว่า "ทองบ่รองรับพื้น ห่อนแก้วมีศรี" ก็คือถ้าไม่มีทองมารองรับ แก้วก็คือบรรดาเพชรพลอยก็ไม่เด่น อันนี้ต้องบอกว่า "แดงบ่รองรับพื้น ห่อนทองมีศรี" ไม่มีสีแดงรองรับ ทองก็ไม่เด่น"

เถรี
23-07-2011, 20:45
ถาม : หลายคนบวชเข้ามาเพื่อมาเรียน เรียนจบแล้วก็สึกไปทำงาน แทนที่จะได้กำไร..?
ตอบ : ถ้าหากว่าเข้ามาแล้วตั้งใจรักษาศีลปฏิบัติธรรมด้วย เรียนด้วย ก็จะได้กำไร แต่ถ้าหากว่าตั้งใจมาเรียนจริง ๆ ไม่เอาเรื่องศีลเรื่องธรรมก็ขาดทุนย่อยยับ

ถาม : ถ้าเราไปปรามาส..?
ตอบ : ไม่ต้องไปปรามาสท่านหรอกจ้ะ อาตมาเองสมัยก่อนก็เคยคิดว่าต้องเป็นพระสุปฏิปันโนเท่านั้นถึงจะไหว้ได้ พอบวชเองมาได้ ๒-๓ พรรษา เจอสารพัดเรื่องที่ไม่เคยชินจากการถูกบังคับด้วยสภาพของนักบวช จึงเกิดความคิดใหม่ว่า ใครอยู่ในผ้าเหลืองได้อาตมากราบตีนได้ทุกรูปแหละ ต่อให้ชั่วแค่ไหนก็กราบได้ เพราะเขาอดทนได้ขนาดนั้น..! อาตมาปฏิบัติมาแทบตายยังจะอยู่ในผ้าเหลืองไม่ค่อยได้ เวลามีคนบอกว่า “บวชได้แหละดี..สบาย” เอ็งลองมาบวชดูบ้างสิ..ถ้าสบายทำไมเอ็งไม่บวช ?

ถาม : ดีกว่าไปอยู่เกะกะ..?
ตอบ : อย่างน้อย ๆ ถ้าหากว่ามีจุดมุ่งหมาย อย่างเช่นว่ามาเพื่อการศึกษาก็ยังดี เพราะว่าสิ่งที่เรียนรู้ไปในระหว่างเป็นพระก็ยังเอาไปใช้ได้ในชีวิตฆราวาส

บาลีกล่าวถึงการบวชหลายรูปแบบ มี อุปชีวิกา บวชมาเพื่ออาศัยศาสนาเลี้ยงชีพ ประเภทนี้เข้ามาอาศัยกินอย่างเดียวเลย อุปกิฬิกา บวชเอาสนุก เห็นเพื่อนเขาบวช มีแห่ตึงตังโครมครามน่าสนุก ก็เอา..จัดงานบวชบ้าง อุปทูสกา บวชมาทำลายพระศาสนา พวกนี้นอกจากไม่ทำความดีแล้ว ยังทำชั่วทุกระดับชั้นเลย อุปนิสสรณา บวชเพราะต้องการหลุดพ้นจากความทุกข์ ประเภทนี้หาได้ยาก

สมัยนี้เขาว่า "อกหัก หลักลอย คอยงาน สังขารเสื่อม เอือมเจ้านาย ยายให้บวชแก้บน" ก็เลยมาบวชไปอย่างนั้นแหละ

เถรี
24-07-2011, 09:31
ถาม : กรุงเทพน้ำจะท่วมไหมคะ ?
ตอบ : กรุงเทพฯ น้ำท่วมเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ปีนี้ประหลาด..ประเทศจีนแล้งที่สุดในรอบ ๑๐๐ ปี อยู่ ๆ ก็น้ำท่วมหนักที่สุดในรอบ ๕๖ ปี พูดง่าย ๆ ว่าแล้งจนชาวบ้านเขาจะตายกันหมดแล้วน้ำค่อยท่วม

ถาม : เราจะทำอะไรได้บาง ?
ตอบ : จะไปทำอะไรได้ เกิดจากการกระทำตัวเองทั้งนั้น สิ่งที่คุณทำคุณก็ได้ ช่วยกันทำเยอะ ๆ ก็ซวยมากหน่อย การกระทำทุกอย่างเป็นพลังงาน เมื่อเกิดพลังงานขึ้นก็ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง พลังงานในด้านดีก็ดึงแต่สิ่งดี ๆ เข้ามา พลังงานในด้านที่ไม่ดีก็เอาแต่สิ่งที่ไม่ดีเข้ามา ซึ่งส่วนใหญ่คนทำไม่ดีเสียมากกว่า

อย่างวัดท่าขนุนอยู่ปากเขื่อนเลย ถ้าเขื่อนแตกเดี๋ยวนั้น รู้ตัวเดี๋ยวนั้น ก็หนียังไม่ทันเลย..!

ถาม : ถ้าเขื่อนแตก กี่นาทีน้ำจะมาถึง
ตอบ : ประมาณสัก ๒๐ วินาทีก็ถึงแล้ว จากแบบจำลองคอมพิวเตอร์ ตูมแรกที่มาจะสูง ๓๕ เมตร กี่ช่วงตัวของเราล่ะ ? ก็ประมาณตึก ๑๒ ชั้นหลังจากนั้นประมาณ ๓ ชั่วโมงครึ่ง น้ำจะไปถึงกาญจนบุรีด้วยความสูงที่เหลือ ๑๑ เมตร ถัดจากนั้นอีก ๒ ชั่วโมง มาถึงกรุงเทพฯ เหลือราว ๆ ๖ เมตร คนอยู่กรุงเทพฯ มีเวลาเตรียมตัว ๕ ชั่วโมงกว่า

อย่าไปกังวลอะไรในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ อตีตัง นานวาคะเมยยะ นัปปฏิกังเข อนาคะตัง อย่าไปกังวลถึงอดีต และอย่าฟุ้งซ่านถึงอนาคต ปัจจุปันนัญ จะ โยธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสะติ อยู่กับปัจจุบันธรรมเท่านั้นจึงจะรู้แจ้งได้

เถรี
24-07-2011, 09:53
พระอาจารย์กล่าวถึงภาษาบาลีว่า "ภาษาบาลีเป็นภาษาที่ประหลาด ปกติภาษาไทยเราจะมีอดีต ปัจจุบัน อนาคต แต่ภาษาบาลีมีปัจจุบันใกล้จะเป็นอดีต มีอนาคตใกล้ปัจจุบัน เขาละเอียดขนาดนั้น

แบบเดียวกับเรากำลังนั่ง จะเป็นอนาคตใกล้ปัจจุบันของการนั่ง และเป็นอดีตใกล้ปัจจุบันของการยืน ฟังแล้วบ้าไปเลยไหม ? ภาษาบาลีถ้าเรายกขึ้นมาคำหนึ่งสามารถวิเคราะห์ได้เลยว่าเป็นอย่างไร เป็นเอกวัจนะ เป็นพหุวัจนะ อยู่ในรูปแบบไหน เป็นเพศชาย เพศหญิง หรือไม่ชายไม่หญิง บอกได้หมด จะมี กาล วัจนะ
บท บุรุษ วาจก ปัจจัย ฯลฯ เขามีรายละเอียดเยอะกว่าภาษาทั่วไป"

ถาม : ปัจจุบันนี้ยังใช้บาลีอยู่ไหม ?
ตอบ : เป็นภาษาที่ตายแล้ว แต่การเรียนบาลีในขั้นสูง ๆ ไปอย่างของทางพม่า จะมีบาลีปารคู การใช้ภาษาบาลีในชีวิตประจำวัน พูดคุยกันเหมือนปกติอย่างนี้ แต่ก็เป็นการพูดคุยกันตามรูปแบบเก่า ไม่มีการไปดัดแปลงหรือว่าไม่มีการเปลี่ยนศัพท์เปลี่ยนอะไรเหมือนสมัยนี้

เพราะฉะนั้น..บาลีเป็นภาษาที่ตายแล้ว ความหมายคงตัวไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้รักษาพระธรรมวินัยเอาไว้ได้ ไม่อย่างนั้นพอถึงเวลาแล้วคำหรือความหมายเปลี่ยนไปก็แย่สิ เช่น คำว่า ภุญชะติ เมื่อไรก็แปลว่ากิน ไม่ใช่แปลว่า "รับประทาน ยัดห่า สวาปาม" แบบของเราที่เปลี่ยนไปเรื่อย

เถรี
25-07-2011, 11:52
พระอาจารย์กล่าวถึงการยกพระพุทธรูปว่า "เห็นโยมบางคนยกพระพุทธรูปแล้วอาตมาใจหาย บางคนมือหนึ่งก็กระเดียดยกเครื่องสังฆทาน อีกมือหนึ่งก็หิ้วคอพระมา เจอมาแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร เพราะเขาไม่รู้สึกอะไร

ดังนั้น..เรื่องของการปฏิบัติธรรม ยิ่งทำไปกำลังใจต้องยิ่งละเอียดมากขึ้น ต้องเห็นโทษที่เกิดจาก กาย วาจา ใจ ของเราให้มากขึ้น อย่าทำไปแล้วจิตหยาบเป็นกันเองกับพระไปเรื่อย ยิ่งเป็นกันเองมากเท่าไร โทษก็จะเกิดขึ้นกับเราโดยไม่รู้ตัวมากเท่านั้น"

เถรี
25-07-2011, 12:10
ถาม : การที่เราอยู่กับสังคมหมู่มาก และติดนิสัยโทสะ จะแก้ไขได้อย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : ถ้าเรามีสติมั่นคงอยู่เฉพาะหน้า จะรู้ตัวก่อนที่โทสะจะเกิดขึ้น ถ้าเราระงับยับยั้งไม่อยู่ ให้หลีกจากตรงนั้นไปก่อน เพราะถ้าปล่อยจนกระทั่งระเบิดขึ้นมา เราจะเอาไม่อยู่

ให้หลุดจากตรงนั้นไปก่อน จนกระทั่งรู้สึกว่าอารมณ์เย็นลง เราตั้งสติได้ กลับไปหาสมาธิใหม่ พออารมณ์มั่นคงค่อยกลับไปลุยกันใหม่อีกที ตอนแรก ๆ ต้องหนีก่อน หลังจากนั้นพออารมณ์ใจทรงตัวมั่นคงจริง ๆ แล้วค่อยไปพูดกับเขา

ที่สำคัญเราต้องพิจารณาให้เห็นว่าตัวเราไม่มีอะไร โทสะส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะยึดมั่นความคิดตัวเอง ไม่ยอมปล่อย ในเมื่อคนอื่นคิดต่าง แย้งขึ้นมา เราก็ไปโกรธ ถ้าเห็นว่าตัวเราไม่มีอะไร ก็จะหมดความโกรธไปเยอะเลย

เถรี
25-07-2011, 14:55
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเราถือว่าเลข ๙ เป็นเลขมงคล ความจริงทุกเลขก็เป็นมงคล ขึ้นอยู่กับความคิดหรือความเชื่อของเรา ฝรั่งกลัวเลข ๑๓ กันนักหนา แต่ไทยเรามีธุดงควัตร ๑๓ ข้อ มีเทศน์มหาชาติ ๑๓ กัณฑ์ ฯลฯ

คนจีนเขากลัวเลข ๔ เพราะเลข ๔ เวลาออกเสียงจะเหมือนคำว่าตาย แต่ไทยเรามีอริยสัจ ๔ อิทธิบาท ๔ สัมมัปปธาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ อะไรที่มีสี่จะมั่นคงเป็นพิเศษ เช่น รถต้องมีสี่ล้อ โต๊ะต้องมีสี่ขา ฉะนั้น..เลขสี่ของคนไทยเรากลับแสดงออกถึงความมั่นคง

แต่ของพวกนี้ไม่ใช่มงคลที่แท้จริง ทั้งมนุษย์ เทวดา พรหม ถกเถียงกันอยู่เป็นร้อย ๆ ปี ว่าอะไรเป็นมงคลที่แท้จริง มงคลที่แต่ละท่านยกขึ้นมานั้นล้วนเป็นสิ่งที่คัดค้านได้ ท้ายสุดเทวดาทั้งหมดก็ตัดสินใจว่า ตอนนี้ผู้รู้คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้นแล้ว เราไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดีกว่า จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาเถียงกัน เถียงมาเป็นร้อยปีก็ไม่จบเสียที

จึงพากันยกขบวนไปที่เชตวันมหาวิหาร ท่านบอกว่า ยังเชตวันมหาวิหารให้สว่างรุ่งเรืองไปด้วยรัศมีแห่งเทวดาและพรหมทั้งหลาย พหูเทวะมนุสสา จะ มังคะลานิ อะจินตะยุง เทวดาและมนุษย์เป็นจำนวนมาก ต่างก็พาคิดถึงเรื่องที่เป็นมงคล

ทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงตรัสมาดังนี้ว่า อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญ จะ เสวะนา การไม่คบคนพาล ๑ การคบบัณฑิต ๑ การบูชาบุคคลที่ควรบูชา ๑ จัดเป็นอุดมมงคล"

เถรี
26-07-2011, 08:59
"ถัดไปก็เป็น ปะฏิรูปะเทสะวาโส จะ ปุพเพ จะ กะตะปุญฺญะตา อัตตะสัมมาปะณิธิ จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง การอยู่ในถิ่นที่เหมาะสม ๑ (ถ้ารอบข้างเขาทำความดี เราดีด้วยแน่ ๆ)

การมีบุญอันสร้างสมมาแต่ปางก่อน ๑ (ส่งผลให้แต่ด้านดีอย่างเดียว) การตั้งตนไว้ในทางที่ชอบ ๑ (อยู่ในกรอบของสัมมาทิฐิ อยู่ในทานศีลภาวนา) จัดเป็นอุดมมงคล ฯลฯ

มงคลทั้ง ๓๘ นั้น ท่านไล่จากต่ำไปหาสูง ข้อท้าย ๆ นั้นถึงพระนิพพานเลย ตะโป จะ พรัหมะจะริยัญจะ อะริยะสัจจานะ ทัสสะนัง การบำเพ็ญตบะ(พากเพียรในการเผากิเลส) ๑ การประพฤติในพรหมจรรย์ ๑ การทำอริยสัจให้แจ้ง ๑ จัดเป็นอุดมมงคล นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ การทำพระนิพพานให้แจ้ง ๑ เป็นอุดมมงคลอย่างยิ่ง

ท้าย ๆ ก็แสดงออกซึ่งผลของการบรรลุ คือ ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ จิตอันกระทบโลกธรรมแล้วไม่หวั่นไหว อะโสกัง มีสภาพจิตที่ไม่มีความเศร้าโศก วิระชัง ปราศจากธุลีมาแปดเปื้อน เขมัง มีความเกษมสำราญอยู่เสมอ เอตัมมังคะละมุตตะมัง จัดเป็นอุดมมงคลอย่างยิ่ง

จะเห็นว่าอุดมมงคลของพระพุทธเจ้านั้น ตรัสมาแล้วเถียงไม่ได้ เป็นของจริงแท้แน่นอน พรหมเทวดาทั้งหลายเป็นอันมากสาธุการชื่นชมในภาษิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"

เถรี
26-07-2011, 10:11
ถาม : สมาธิ...?
ตอบ : จริง ๆ แล้ว เพียงสมาธิอุปจารฌานก็ใช้ได้แล้ว เพียงแต่กำลังที่จะตัดเด็ดขาดนั้นไม่มี เพราะฉะนั้น..ถ้าจะเอากำลังตัดให้ได้มรรคได้ผลต้องปฐมฌานขึ้นไป หมายถึงว่าเข้าสมาธิเต็มที่แล้วคลายออกมาพิจารณานะ เอากำลังของสมาธิมาช่วย

บางท่านไม่ชำนาญในการเข้าออก พอเข้าสมาธิแล้วจิตนิ่งคิดไม่ได้ ก็เลยต้องคลายกำลังใจออกมาเพื่อคิด ส่วนใหญ่พวกเราคิดเฉย ๆ ก็ไม่ได้อะไรสิ คิดแล้วต้องตัดสินใจด้วย เรื่องของมรรคผลสำคัญอยู่ตรงที่การตัดสินใจ บางคนคลำมาเป็นสิบปีไม่ได้อะไรสักที แต่ก็ยังดีที่คลำมาถูกทาง เหลือตอนปลาย ๆ มั่ว ๆ เอาก็ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็ตรงประตูเอง

มีโยมบางท่านไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้จริง ๆ สมัยก่อนอยู่บ้านสายลม โยมท่านหนึ่งเสียงดังฟังชัดเลยตั้งแต่ผลักประตูเข้ามา พนมมือพูดเสียงดัง "หลวงพ่อครับ..ผมสร้างโบสถ์มาเท่านั้น สร้างระฆังมาเท่านี้ลูก สร้างศาลามาเท่าโน้นหลัง จนป่านนี้ทำไมผมยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์เสียที ?"

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านว่า "เดี๋ยว ๆ โยม..รู้ไหมพระโสดาบันเขามีคุณสมบัติอย่างไร ?" "ไม่รู้ครับ" "โยมหันไปข้างหลัง ซื้อหนังสือสักเล่มหนึ่ง ราคา ๒๐ บาท เอาเล่มที่มีอารมณ์พระโสดาบัน ถามคนขายเขานั่นแหละ แล้วก็เอาไปทำซะ..!"

โยมเขามาผิดทาง จะเอาทานภายนอกมาเป็นการตัดสู่มรรคผล ก็ได้แค่การตัดความโลภภายนอกเท่านั้น แต่ต้องยอมรับว่าโยมเขาอึดมาก ทำมา ๑๐-๒๐ ปี มั่นใจว่าทำแล้วต้องได้อะไรสักอย่าง แต่หวังสูงจะเอาพระอรหัตผลเลย

ถาม : ......
ตอบ : ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา การมีบุญที่สร้างสมมาแต่ปางก่อน ในเมื่อบุญตรงนี้เคยเนื่องกันมาก็จะดึงคนเหล่านี้มา พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า บุคคลที่พบพานกันในปัจจุบันนี้ ในอดีตที่ไม่เคยสัมพันธ์กันมานั้นไม่มี อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเคยรู้จักมักคุ้นกันในฐานะใดฐานะหนึ่ง เป็นพ่อแม่ เป็นปู่ย่าตายาย เป็นลูกหลาน เป็นครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนฝูง ต่อให้เป็นศัตรูก็เช่นกัน ท้ายสุดก็มาเจอกันจนได้

เถรี
26-07-2011, 10:18
ถาม : ถ้าเกิดพ่อกับแม่เขาไม่อยากให้บวช แต่เราจะบวช อย่างนี้บุญกับบาปอย่างไหนจะหนักกว่ากัน ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจทำดี บุญย่อมมากกว่า ต้องดูอย่างพระสารีบุตร ถ้าครอบครัวเป็นมิจฉาทิฐิ เขาไม่นับพ่อแม่ว่าเป็นผู้ปกครอง เพราะฉะนั้น..ถ้ามีญาติผู้ใหญ่ที่เป็นสัมมาทิฐิเห็นด้วย เราไปขออนุญาตท่าน แล้วก็ไปบวช ค่อยกลับมากล่อมพ่อแม่ทีหลัง

อย่างพระสารีบุตรนี่สงเคราะห์แม่จนวินาทีสุดท้ายเลย เทศน์ให้แม่ฟังเป็นพระโสดาบันแล้วพระสารีบุตรเองก็หมดลมพอดี..!

ถาม : พ่อบอกว่ายังไม่มีแฟน จะรีบบวชไปไหน ?
ตอบ : บอกพ่อไปสิว่า.."ผมเชื่อโบราณที่บอกว่าให้บวชก่อนเบียดนะพ่อ" หรือไม่ก็บอกพ่ออย่างนี้ดีกว่า "จัดงานบวชพ่อได้เงิน แต่ถ้าจัดงานเบียด (แต่งงาน) พ่อเสียเงิน พ่อจะเลือกเอาอย่างไหน ?"

เถรี
27-07-2011, 05:51
สมัยที่อาตมายังอยู่บ้านที่นครปฐม แถวนั้นคนจีนมาก เขาจะมีการเข้าสมาคมตระกูลแซ่กัน การเข้าสมาคม ก็คือ เวลามีการจัดงานในครอบครัวอื่น เราก็ต้องไปช่วยงานเขา โดยมีธรรมเนียมว่า ถ้าเขาเคยให้เราเท่าไร ต้องให้เขากลับไปไม่ต่ำกว่านั้น เช่น เขาเคยช่วยงานเรา ๑๐๐ บาท เราก็ช่วยงานเขากลับไป ๑๒๐ บาท

มีครอบครอบครัวหนึ่งไม่เคยจัดงานที่บ้านเลย มีแต่จ่ายให้บ้านอื่นอย่างเดียว ตัวเองไม่เคยได้สักที จึงตัดสินใจบวชลูกชาย ปรากฏว่างานนั้นพอลูกชายสึกออกมา เขาด่ากันทั้งตำบลเลย เพราะบวชลูกแค่สามวัน..!

วันแรกเลี้ยงอาหารเสร็จค่อยไปบวชลูกที่วัดตอนบ่าย วันที่สองเป็นพระเต็ม ๆ วันหนึ่ง วันที่สามสึกแล้ว กลับมาที่บ้านยังเก็บโต๊ะไม่เสร็จเลย เขาถึงได้สรรเสริญกันทั้งตำบลว่าตั้งใจจัดงานเอาเงิน ไม่ได้ตั้งใจจัดเอาบุญ

ครอบครัวอาตมาก็เข้าสมาคมเหมือนกัน แต่ที่บ้านไม่ค่อยมีงาน ไปช่วยที่อื่นตลอด พอถึงคราวอาตมาบวช แทนที่จะได้จัดงานบ้าง กลับหนีไปบวชที่อุทัยธานี พอพี่ชายเจอหน้าก็บ่นทุกที "คิดว่าจะได้ถอนทุนคืนบ้าง ท่านก็หนีไปบวชซะที่โน่นเลย"

เถรี
27-07-2011, 05:58
ถาม : พอถอยกำลังสมาธิออกมา ค่อยใช้อารมณ์พิจารณาตัด คำว่าคิดพิจารณาตัด คืออย่างไรครับ ?
ตอบ : ดูสิว่าเราจะตัดอะไร ? ถ้าจะพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงก็ไล่ไปสิ..ตั้งแต่เด็กจนแก่จนตาย ถ้าพิจารณาเห็นความเป็นทุกข์ ก็ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนกระทั่งหลับตาลงไป ถ้าพิจารณาว่าร่างกายนี้ โลกนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ก็พยายามแยกแยะว่าเป็นอย่างไร เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟอย่างไร

ถ้าจะดูเกิดดับก็ไล่ตั้งแต่เล็กจนโต ถ้าจะดูดับอย่างเดียวทุกอย่างก็พังหมด ถ้าจะให้เห็นเป็นโทษเป็นภัย ก็ไล่ไปสิ เดี๋ยวหิว เดี๋ยวกระหาย เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวเจ็บไข้ได้ป่วย

อยู่ที่เราจะพิจารณาแง่ไหน สำคัญตรงที่จิตยอมรับ แล้วตัดสินใจว่าไม่เอาแน่ ยอมรับอย่างเดียวไม่พอนะ ไม่เอาแน่ ๆ แล้ว ประเภทยกให้ก็ไม่เอาแล้ว สวยแค่ไหนก็ไม่เอาแล้ว ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเบื่อ ๆ อยาก ๆ พอได้สติก็เบื่อ หน้ามืดขึ้นมาก็อยากอีก ..!

เถรี
27-07-2011, 19:14
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนที่พระราหุลตักน้ำล้างพระบาทพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "ดูก่อนราหุล...น้ำในขันนี้มีอยู่เท่าไร ?" พระราหุลตอบว่า "ประมาณกึ่งหนึ่งพระพุทธเจ้าข้า"

พระองค์ท่านตรัสสอนว่า ถ้าคนเราทำความดีก็เหมือนกับขันที่มีน้ำเต็มเปี่ยม ถ้าหากว่าละเมิดศีลก็มีน้ำครึ่งเดียว ถ้าไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญาด้วย พระองค์ท่านคว่ำขันน้ำเลย แปลว่าไม่มีความดีอะไรเลย

พระพุทธเจ้าทรงใช้สื่อการสอนแบบง่าย ๆ แม้แต่สามเณรราหุลที่อายุเพียง ๗ ขวบก็เข้าใจได้"

เถรี
28-07-2011, 01:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "ด้วยวิสัยเก่าของตัวเองยังมีอยู่มาก ทั้งที่ยังไม่ได้ไปยินดียินร้ายกับสภาพของการแข่งขันทางการเมือง แต่จากการที่เคยทำหน้าที่เป็นทหารรักษาบ้านรักษาเมืองมา จึงมีความรู้สึกว่าอยากได้นักการเมืองที่ทุ่มเทให้กับประเทศชาติด้วย ก็เลยพลอยมานั่งลุ้นผลการเลือกตั้งกับเขา ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรเลย

ทั้งนี้เกิดจากสาเหตุสองประการ ประการแรก บ้านเมืองเราล้าหลังมานานแล้ว เขาทำร้ายทำลายบ้านเมืองมามากแล้ว ประการที่สองก็คือ เป็นห่วงและสงสารในหลวง คนแก่อายุตั้ง ๗ รอบไปแล้ว ถ้าลูก ๆ ยังทะเลาะกันไม่เลิก พระองค์ท่านก็คงไม่มีกำลังใจที่จะอยู่ ถึงได้บอกว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ ต้องเด็ดขาดไปข้างหนึ่ง ไม่อย่างนั้นจะวุ่นวายไม่รู้จบ ที่สำคัญที่สุดก็คือพลังเงียบ โปรดอย่าได้เงียบ ถ้าเงียบเมื่อไรแปลว่าเราต้องยอมให้ประเทศชาติลุ่ม ๆ ดอน ๆ กันต่อไป

ตอนนี้รอบข้างประเทศของเรายกเว้นพม่า ความเจริญจะแซงหน้าเราไปหมดแล้ว แม้แต่พม่าก็อุตส่าห์พยายามสร้างนิวเคลียร์ ตกลงว่าประเทศไทยเราจะล้าหลังกว่าทุกประเทศแล้ว

ประเทศเวียดนามมีกลุ่มบุคคลระดับหัวกะทิที่จบปริญญาเอกมาประมาณหนึ่งพันห้าร้อยกว่าคน ช่วยกันคิดวางแผนพัฒนาประเทศ มีการปรับปรุงข้อมูลอยู่ทุกวัน เขาถึงได้เจริญก้าวหน้า แต่กรรมเก่าเขายังหนักอยู่ ประเทศกำลังก้าวหน้าอยู่ดี ๆ ก็มักเกิดภัยธรรมชาติหนัก ๆ ทุกที

ถ้าบ้านเมืองเขาไม่มีภัยธรรมชาติหนัก ๆ แบบของเรา เขาจะเจริญก้าวหน้าไปกว่านั้นอีกมาก ตอนนี้ข้าวของทุกอย่างของเวียดนามตีตลาดแทนไทยเกือบหมดแล้ว แม้กระทั่งข้าวที่เราส่งออกเป็นอันดับหนึ่งอยู่ตลอด จะเสียอันดับให้แก่เวียดนามเมื่อไรก็ไม่รู้ ?

เวลาเรากินถั่วลิสงจะเห็นว่าฝักใหญ่กว่าปกติ นั่นถั่วเวียดนามทั้งนั้น จากการที่เราเปิดเขตการค้าเสรี ทำให้เขาส่งเข้ามาได้ทุกทิศทุกทาง ลาวกับเขมรมีโทรศัพท์ 3g ใช้นานแล้วนะ ของประเทศไทยเรายังแบ่งผลประโยชน์ไม่ลงตัวเลย ขายหน้าเขาบ้างไหม ?"

เถรี
28-07-2011, 01:45
"ตอนเขาปฏิวัติกันใหม่ ๆ มีคนมาถามอาตมาว่าประเทศไทยจะดีขึ้นไหม ? อาตมาบอกว่ายัง..เขาถามว่าเมื่อไรจะดีขึ้น ? จึงบอกเขาไปว่า "ปี ๕๖ ขึ้นไปแล้วจะค่อย ๆ ดีขึ้น" ทำเอาเขารับกันไม่ได้ จากวันนั้นจนถึงวันนี้คงจะเห็นชัดแล้วว่าเป็นอย่างไร

ในเว็บหนึ่งเขาลงเอาไว้ว่า นักลงทุนต่างชาติหลายรายที่เลือกลงทุนเป็นพันล้านในประเทศไทย ก็เพราะไทยมีในหลวง เขาไม่กลัวหรอกเรื่องการปะทะกันทางการเมืองหรือการประท้วง เขาบอกว่าถ้าเรื่องใหญ่จริง ๆ ในหลวงพูดคำเดียว ทุกคนหยุดหมด เขาเลยไม่กลัว แต่ประเทศอื่นไม่ใช่อย่างนั้น ไม่มีใครที่จะมีอำนาจแบบนี้ ไม่มีใครที่จะเชื่อฟังผู้นำแบบนี้

เพราะฉะนั้น..ถ้าประเทศอื่นเกิดเรื่องขึ้น กิจการของเขาจะเสียหายมาก แต่ถ้าเป็นประเทศไทยเขามั่นใจ เขาจึงกล้ามาลงทุน ในเมื่อต่างประเทศเขายังเห็นประโยชน์ตรงนี้ เราเองก็ควรจะทำในสิ่งที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนให้มากกว่านี้

ต่างประเทศเขาทึ่งและแปลกใจมากว่า สถานการณ์บ้านเมืองที่ผ่านมาของเราเละไม่เป็นท่า แต่เศรษฐกิจไทยกลับโตขึ้น ต้องบอกว่าคนไทยตายด้านและชาชินกับเรื่องพวกนี้เสียแล้ว อยากตีก็ตีกันไป เราก็ทำงานของเราไป

เราควรที่จะสร้างจิตสำนึกสาธารณะ ให้เห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัวตั้งแต่เด็ก ๆ ไปเลย อาตมาเจอเด็กบางคนไปวัด เห็นเด็กเขากำมืออยู่ก็สงสัยว่าเขากำอะไร ปรากฏว่าเขากำเศษเปลือกลูกอมอยู่ ๒ ชิ้น เขาหาถังขยะไม่เจอ เลยกำไว้ก่อน พ่อแม่เขาสอนไว้ดี ว่าต้องทิ้งขยะลงถัง ถ้าเป็นผู้ใหญ่คงโยนลงพื้นไปนานแล้ว"

เถรี
30-07-2011, 11:09
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนหน้าวัดท่าขนุนเป็นเจ้าภาพอบรมพระนวกะของคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ งานอบรมพระนวกะจะมีกำหนดเวลาที่แน่นอนของแต่ละอำเภอ จะเป็นขึ้นแรมที่ตายตัวของปีนั้น อย่างวัดท่าขนุนเป็นขึ้น ๙ ค่ำเดือน ๙ ปีนี้ตรงกับวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๔

อาตมาขอเวลากลับไปเตรียมงานวันหนึ่ง คือวันอาทิตย์ที่ ๗ ดังนั้น..เดือนหน้าจะมารับสังฆทานวันพฤหัสบดีที่ ๔ วันศุกร์ที่ ๕ และวันเสาร์ที่ ๖ สิงหาคม ปีที่แล้วก็ต้องเลื่อนวันรับสังฆทานวันหนึ่งเพราะงานอบรมพระนวกะนี้ ปีนี้เลื่อนอีกครั้งหนึ่ง ปีหน้าไม่รู้ว่าจะต้องเลื่อนอีกหรือเปล่า ?

เรื่องของการคณะสงฆ์เป็นงานใหญ่ โดยเฉพาะวัดท่าขนุนของเรา พระเณรเยอะกว่าวัดอื่นทั้งหมด ถึงเวลาก็จำเป็นต้องพาพระเณรไปร่วมกับเขา"

เถรี
30-07-2011, 11:31
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของสภาพจิตใจที่อยู่เหนือร่างกาย ตัวอย่างที่จะเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือพระอริยเจ้า เพราะปกติคนทั่วไปเห็นว่าร่างกายต้องการอะไร เราก็ต้องตามใจ ความจริงไม่ใช่..ถ้าเราสู้เราก็จะชนะ

ในความเป็นพระอนาคามีเป็นอะไรที่อัศจรรย์มาก ระบบร่างกายจะพลิกเปลี่ยนใหม่ สมัยที่อาตมายังอยู่วัดท่าซุง มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งอายุไม่ถึง ๓๐ ปี คาดว่าก้าวเข้าถึงความเป็นพระอนาคามีแล้ว สาเหตุที่คาดว่า เพราะอยู่ ๆ ประจำเดือนของเธอก็หมดไปเฉย ๆ

อัศจรรย์กว่านั้นก็คือ ภรรยาหมดความรู้สึกทางเพศ แต่สามียังคึกเหมือนเดิม สามีก็พยายามที่จะขอมีเพศสัมพันธ์ด้วย แต่พอจับตัวภรรยาทีไรจะตกใจ เหมือนกับภรรยาเป็นไข้ ตัวร้อนมาก คิดว่าภรรยาไม่สบาย เขาก็ไม่ยุ่งด้วย วันหนึ่งสามีเมากลับมา ไม่ได้นอนกับเมียมานานก็หน้ามืดปล้ำเมียเลย..!

ไม่รู้ว่าท่านใดช่วย ภรรยาตบฉาดเดียว สามีปลิวติดข้างฝาเลย เสียงห้าวเป็นผู้ชาย บอกว่า "ถ้าทำอย่างนี้อีก คราวหน้าจะฆ่าให้ตาย..!" คึกขนาดไหนก็เฉาไปเลย แสดงว่าเทวดาคงไม่อยากให้ล่วงเกินพระอริยเจ้าระดับนั้น เพราะจะเกิดโทษแก่ตัวเอง ต้องบอกว่าสามีทำบุญไว้ดี ขนาดเทวดาต้องลงมาสงเคราะห์

จะเห็นได้ชัดเจนว่าในสภาพจิตใจที่เหนือร่างกาย พอทำไปถึงระดับนั้น กำลังใจที่ก้าวผ่านไปแล้ว ทำให้ระบบร่างกายที่เกี่ยวกับทางเพศหยุดทำงานไป เหมือนกับหมดฮอร์โมนไปเฉย ๆ ที่อัศจรรย์มากก็คือเธออายุน้อยมาก ฉะนั้น..ไม่ใช่ว่าคนที่อยู่มานานแล้วจะได้ดี คนที่มาทีหลังเขาแซงไปไม่รู้ตั้งเท่าไรแล้ว"

เถรี
30-07-2011, 11:41
"การเป็นพระอนาคามีนี่ปลอดภัยแล้ว อย่างไรเสียก็ไปรออยู่ข้างบน เพียงแต่จะเป็นพระอนาคามีแบบไหน ? อันตราปรินิพพายี แปลว่า ปรินิพพานเสียในระหว่างอายุ ก็คือจะช่วงไหนก็ได้ อุปหัจจปรินิพพายี ปรินิพพานเมื่ออายุได้กึ่งหนึ่ง เช่น ท่านมีอายุสองหมื่นมหากัป พออายุได้หนึ่งหมื่นมหากัป ท่านก็ปรินิพพานแล้ว สสังขาราปรินิพพายี ปรินิพพานด้วยความเพียรพยายามอย่างสูง อสังขาราปรินิพพายี ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้ความเพียรพยายามมาก อุทธังโสตอกนิฏฐคามี เป็นพระอนาคามีระดับสูงสุด ก็คือเป็นระดับอรหัตมรรคแล้ว

ฉะนั้น..สุทธาวาสพรหม ๕ ชั้นจะมีความต่างอยู่ โดยเฉพาะชั้นที่ ๑๖ จะมีธุสเจดีย์ เป็นพระเจดีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อบรรจุผ้าที่เจ้าชายสิทธัตถะสละออกในวันมหาภิเนษกรมณ์ ใครที่ได้มโนมยิทธิลองขึ้นไปดูบ้าง ไม่อย่างนั้นเราจะรู้จักแต่พระจุฬามณีอย่างเดียว ความงามความสำคัญของธุสเจดีย์ไม่ได้แพ้กัน แต่คนไม่ค่อยรู้จัก ที่ไม่รู้จักอาจจะเป็นเพราะถนัดไปแค่พระเจดีย์จุฬามณี"

เถรี
30-07-2011, 17:19
"เรื่องของมโนมยิทธิ เด็กโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระหลอกอาจารย์มาเยอะแล้ว เด็กรุ่นหลัง ๆ ได้มโนมยิทธิจริง ๆ ไม่ถึงสองเปอร์เซ็นต์ นอกนั้นแหกตาอาจารย์เพื่อเข้าไปเรียน เขาสอนกันมาเลยว่าถ้าถามอย่างนี้ต้องตอบอย่างไร แล้วอาจารย์ก็เก่งไม่จริง ไม่รู้ว่าโดนลูกศิษย์หลอก

อาตมาก็เคยหลอกลูกศิษย์ หลอกไปหลอกมาเจอลูกศิษย์เก่งจริง ทำให้หลอกไม่สำเร็จ พาเขาขึ้นไปบนพระนิพพาน ปกติพระพุทธเจ้าจะประทับอยู่บนพระวิมาน อาตมาชิงล่วงหน้าไปก่อน อาราธนาท่านเสด็จออกมาเลย อยากทดสอบลูกศิษย์ว่ารู้จริงหรือเปล่า ? ถามคุณยายว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ? คุณยายตอบว่าออกมาข้างหน้า ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว สรุปว่าหลอกยายไม่ได้

วันนั้นที่หัดมโนมยิทธิกัน บรรดาพี่ ๆ เขาจะเลือกวงพวกวัยรุ่นบ้าง หรือวงเด็กบ้างเพราะสอนง่าย แต่ถ้าวงคนแก่เขาจะไม่เอา พี่ ๆ เขาอาวุโสกว่า เขามีสิทธิ์เลือกก่อน วงที่เหลือก็เป็นของอาตมา วันนั้นคุณยาย ๕ คนไปนั่งอยู่วงเดียวกัน อาตมาได้วงนั้น

ปรากฏว่าเจอคนแก่มหัศจรรย์ คล่องกว่าเด็กอีก ไม่ว่าอาตมาจะกราบอาราธนาพระพุทธเจ้าเสด็จไปซ้าย ไปขวา ไปข้างหน้า ไปข้างหลัง ยายบอกถูกหมด อาตมายังคล่องตัวสู้ยายไม่ได้เลย นั่นพิสูจน์ได้ชัด ๆ เลยว่าเขาทำได้จริง ๆ ฉะนั้น..ถ้าอาจารย์ไม่คล่องจริง ๆ ลูกศิษย์จะหลอกอาจารย์ได้

ตอนที่อาตมาอยู่ท่าซุงได้วางแนวทางไว้ว่า จะขอคณะกรรมการสงฆ์ว่า พระที่บวชเข้าไป ๕ พรรษาแรกห้ามทำงาน ให้ฝึกมโนยิทธิอย่างเดียว ซักซ้อมให้คล่องตัวถึงขนาดพิสูจน์ได้ว่าของในหีบในห่อมีอะไร ลักษณะอย่างไรต้องบอกได้หมด เพราะมโนยิทธิเป็นธงชัยของวัดท่าซุง เอ่ยถึงเมื่อไรก็รู้ว่านี่คือวัดท่าซุง"

เถรี
30-07-2011, 17:28
"ถ้าหากเราท้าพิสูจน์ไม่ได้นี่เสียหายมาก พอถึงเวลาคนท้าพิสูจน์เมื่อไรจะเกิดอาการตื่นเต้น ตอบผิดตอบถูก ลักษณะแบบเดียวกับพระที่วัดท่าขนุน พระครูน้อย อาจารย์สอนมโนยิทธิเลย พอหยิบขนมปังขึ้นมา อาตมาก็คว้ามือไว้ "เดี๋ยว..อย่าเพิ่งฉัน ไส้ในสีอะไร ?" ท่านตอบว่า "สีขาวมั้ง ?" เพราะเห็นว่าขนมปังแบบนี้ไม่น่าจะมีไส้ อาตมาบอกว่า "ผิด..สีเขียวว่ะ" พอแกะออกมากลายเป็นขนมปังไส้สีเขียว พระครูน้อยร้อง "ไม่จริ๊ง..!" ไม่จริงอะไร ก็เห็นคาตาอยู่

พอวันรุ่งขึ้นก็ถามอีก "วันนี้ไส้ในสีอะไร ?" ท่านก็ลังเล "สีเขียวมั้ง ?" อาตมาบอกว่าไม่ใช่ พอลองแกะดูเป็นไส้เผือกสีม่วง เพราะฉะนั้น...ที่วางแผนไว้ตอนอยู่วัดท่าซุงก็ยังไม่ได้ใช้ เพราะออกจากวัดมาก่อน ส่วนที่วัดท่าขนุน ถ้าหากอาตมาฝึกพระที่นี่ก็เหมือนกับไปแข่งกับสำนักใหญ่ ไม่ใช่เรื่องดี ฉะนั้น..ใครฝึกแล้วติดขัดตรงไหน มาถามได้

เรื่องของมโนมยิทธิ สำคัญตรงฝึกซ้อมบ่อย ๆ ถ้าขาดการฝึกซ้อมเมื่อไรก็สนิมกิน โดยเฉพาะอย่าเผลอลืมในเรื่องการตัดร่างกาย ถ้าเผลอความชัดเจนจะหมดไปทันทีเลย ต้องเห็นให้ชัดเจนเสมอว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา พอใจไม่เกาะในร่างกาย ความสะอาดของจิตมีมาก การรู้เห็นก็จะชัดเจนมาก "

เถรี
30-07-2011, 17:38
ถาม : ถ้าเราตั้งใจใช้มโนมยิทธิดู สามารถมีคนปลอม..?
ตอบ : มารเขาปลอมตัวได้หมดทุกระดับ เราต้องดูประวัติตอนที่พระอุปคุตปราบพระยามาร พระยามารท่านเดียวสามารถแปลงกายเป็นพระพุทธเจ้า พร้อมพระอัครสาวกซ้ายขวาและหมู่สงฆ์ด้วย เขาเก่งขนาดนั้น

ถ้ามีโอกาส อาตมาจะเขียนเรื่องสักตอนหนึ่ง ตอนพระยามารรำพัน ใครอ่านพระไตรปิฎกตอนนี้จะซึ้งมากเลย พระยามารนั่งเอานิ้วขีดแผ่นดิน "เราไม่มีสัพพัญญุตญาณเหมือนเจ้าชายสิทธัตถะ เราไม่มีอินทริยปโรปริยัติญาณเหมือนเจ้าชายสิทธัตถะ..." ไล่ไปจนครบญาณ ๑๖ ถึงได้แพ้กลับมา

ปรากฏว่าลูกสาวพระยามารไม่ยอม ขออนุญาตพ่อไปจัดการ "ไม่มีผู้ชายคนไหนที่พ้นจากอำนาจของลูกไปได้" พระยามารบอกว่า "อย่าเลย พ่อยังสู้เขาไม่ได้ ถ้าลูกไม่เชื่อ ก็ไปลองดู" ท้ายสุดก็ซมซานกลับมา พ่อด่าซ้ำว่า "พ่อเตือนพวกเจ้าแล้วไม่ฟัง การที่จะไปรุกรานสมณะองค์นั้น เปรียบเหมือนเจ้าใช้เล็บไปขุดภูเขา เหมือนเอาหน้าอกไปกระแทกตอไม้ จะสำเร็จประโยชน์ได้ที่ไหน"

เถรี
30-07-2011, 17:47
พอพระโคธิกะเชือดคอมรณภาพไปพระนิพพาน พระยามารท่านไม่ยอม ตามค้นหาพระโคธิกะไปทั่ว แปลงกายเป็นมาณพหนุ่มน้อย ถือพิณสีเหลืองเหมือนผลมะตูมมาเข้าเฝ้า กล่าวว่า "พระโคธิกะ บุตรของท่านทำการเชือดคอตาย ตอนนี้ต้องตกอยู่ในอำนาจของเรา" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ปาปิมะ..ดูก่อน..มารผู้มีบาป บุตรของเราพ้นจากอำนาจของท่านแล้ว"

พระยามารไม่เชื่อ พยายามวิ่งค้นหา ในบาลีท่านบอกว่า ภิกษุทั้งหลายเห็นแต่ฝุ่นที่ปรากฏขึ้นในทิศทั้งสี่ แสดงว่าวิ่งฝุ่นตลบ หาจนทั่ว ลงไปในมหาสมุทร ค้นในเม็ดทราย แหวกกลีบเมฆ หาเท่าไรก็หาไม่เจอ เพราะพระนิพพานละเอียดกว่า หาอย่างไรก็ไม่เจอ ถึงได้ยอมแพ้ว่าพระโคธิกะพ้นไปแล้วจริง ๆ

พระยามารแปลกใจว่าคนเชือดคอตาย หลุดมือเขาไปได้อย่างไร ? ความจริงพระโคธิกะท่านไม่เห็นความดีของขันธ์ ๕ เลย เพราะป่วยอยู่ตลอด จะทรงฌานก็ทรงไม่ได้ พอภาวนาจนอารมณ์เริ่มทรงตัว เวทนาก็เกิดขึ้น ฌานก็สลายไปอีกแล้ว ท่านเบื่อหน่ายสุดชีวิต ไม่เอาแล้ว ตัดใจทิ้งร่างกาย เชือดคอตายดีกว่า กรุณาอย่าทำอย่างท่านนะ...ถ้าพวกเราทำก็เสร็จพระยามาร เพราะกำลังของเราไม่สูงขนาดนั้น

เถรี
31-07-2011, 17:40
พระอาจารย์กล่าวว่า "เราจะสังเกตว่าผู้นำประเทศต่าง ๆ เป็นผู้หญิงมากขึ้นเรื่อย ๆ และในอดีตผู้นำของเราก็เป็นผู้หญิงมาแล้ว เราจะเห็นว่าการออกรบจะมี "แม่ทัพ" ที่มีแม่ทัพเพราะในอดีตผู้หญิงเป็นผู้นำ และติดคำนี้มาจนถึงทุกวันนี้

ผู้ชายยอมให้ผู้หญิงเป็นผู้นำเพราะผู้หญิงเป็นผู้ให้กำเนิด เป็นเพศแม่ คนโบราณเขาเชื่อพลังสิ่งลี้ลับ ในเมื่อสามารถทำให้ชีวิตใหม่เกิดขึ้นมา เขาจึงเชื่อว่าผู้หญิงต้องเก่งกว่า แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ ฝรั่งเขาทำวิจัยพบว่า ผู้หญิงจะมีความอดทนต่อความเจ็บปวดมากกว่าผู้ชาย เพราะสภาพร่างกายเตรียมมาเพื่อให้คลอดลูก ถ้าหากเราคลอดตามวิธีเก่าจะต้องเจ็บปวดมาก ซึ่งผู้หญิงสามารถทนได้ ดังนั้น..ที่เขาบอกว่าผู้หญิงแก่ง่ายตายช้านั้น เป็นเรื่องจริงเลย เจ็บขนาดนั้นยังทนได้ ตายยากอยู่แล้ว

อย่างช้างเป็นสัตว์ใหญ่ที่สุด มีลักษณะสังคมแบ่งตามลำดับชั้น คล้าย ๆ มนุษย์ ช้างตัวเมียที่อาวุโสที่สุดก็เป็นผู้นำฝูง เขาเรียกว่า "แม่ปะแหรก" เขาจะรู้ว่าตรงไหนมีแหล่งน้ำ ตรงไหนมีอาหาร ฤดูกาลแบบไหนจะต้องไปหากินตรงไหน จึงจะมีอาหารพอเลี้ยงลูกฝูงตัวเอง

จะว่าไปแล้วในเรื่องของโบราณมา ผู้หญิงเป็นผู้นำมาโดยตลอด เพิ่งจะเปลี่ยนผู้ชายเป็นผู้นำเมื่อไม่นานมานี้เอง ถ้ากลับไปถึงยุคผู้หญิงเป็นผู้นำอีกทีก็ไม่ใช่ของแปลก"

เถรี
31-07-2011, 17:56
"อย่างสิงโตมีการจัดกลุ่มออกล่าสัตว์ ตัวเมียเป็นผู้นำตลอด ถ้าสิงโตตัวผู้ไม่ได้ตัวเมียมาช่วยอาจจะอดตายได้ เพราะสิงโตตัวผู้มีหน้าที่ปกป้องเขตแดน ถ้ามีตัวผู้มารุกล้ำก็ออกไปต่อสู้ ส่วนสิงโตตัวเมียมีหน้าที่ล่าสัตว์มาเลี้ยงฝูงอยู่ตลอด

อาตมาเองเคยป่วยหนักอยู่ครั้งหนึ่ง พอใกล้ ๆ จะหาย เห็นภาพตัวเองเป็นนางสิงห์จอมสังหารเหมือนกัน ล่าไม่เคยพลาด ที่เหลือเชื่อก็คือวัวมันหนีลงไปอยู่ในหนองน้ำ ห่างจากฝั่ง ๕-๖ วา ก็ยังกระโดดไปถึง แสดงว่ากำลังเหลือเฟือจริง ๆ เนื่องจากฆ่าเขาไว้เยอะ แม้จะเป็นสัตว์ อยู่ในความมืดบอดกว่ามนุษย์ แต่ก็เป็นการสร้างกรรมอยู่ดี กรรมนั้นน้อยกว่า เพราะเจตนาฆ่าด้วยความโกรธแค้นนั้นไม่มี มุ่งแต่จะหาอาหารอย่างเดียว

แต่นิมิตต่าง ๆ เวลาเกิดขึ้นจะชัดเจนมาก เวลากระโดดงับ เสียงกระดูกหักลั่นกร้วมอยู่ในหัวเราเลย เวลาเลือดกระเซ็นใส่นี่รู้สึกเลย ชัดขนาดนั้นน่ากลัวเหมือนกันนะ มีอยู่ชาติหนึ่งเกิดเป็นหมูป่า เป็นจ่าฝูง มีเสือตัวหนึ่งมาตามกินลูกฝูงอยู่ตลอดเวลา เสือตัวนี้โคตรเจ้าเล่ห์เลย ย่องตามฝูงไปเรื่อย พอเราเผลอก็คว้าตัวท้ายฝูงได้ก็เผ่นไปเลย หายไปสองสามวันก็มาใหม่อีกแล้ว แสดงว่ากินหมดแล้ว ส่วนเราก็ทำอะไรไม่ได้สักที

จนกระทั่งวันหนึ่ง หากินไปเจอภูเขาที่มีหน้าผาตัด มีทางเข้าเล็ก ๆ ทางเดียว เห็นว่าชัยภูมิดี จึงเรียกลูกฝูงมาทั้งหมด สั่งให้เข้าไปหากินข้างใน ไม่ต้องออกมาเลย ๓-๕ วัน อยู่ในนั้นแหละ อาตมาเพิ่งจะรู้ว่าสัตว์ก็มีความคิดเหมือนคน วางแผนได้ รู้จักโกรธ รู้จักแก้แค้นด้วย

พอเข้าไปอยู่ข้างในสามวันสี่วัน เสือหิวมากก็ย่องมา มองซ้ายมองขวาแล้วก็เข้าไป ส่วนเราแอบซ่อนอยู่ พอเสือเข้ามาก็ออกมาขวางทาง เสือออกไม่ได้ เพราะมีทางออกช่องเดียว ก็ต้องสู้ ปกติเขาไม่สู้หรอก หนีตลอด บริวารที่มือรอง ๆ ไป ๗-๘ ตัวของเรา ชักแถวปิดทางเลย ที่เหลือให้เจ้านายไปรบกับเสือเอง"

เถรี
31-07-2011, 18:07
"ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นเสือ แต่ในสภาพตอนนั้นไม่ได้มีความกลัวเลยแม้แต่นิดเดียว พริบตาแรกที่ปะทะกัน ความเร็วระดับนั้นสายตามนุษย์น่าจะดูไม่ทัน เราโดนไปเต็ม ๆ แต่ไม่เป็นไร มาเข้าใจทีหลังว่าเป็นจ่าฝูงที่หนังเหนียว มีเขี้ยวตัน..! โดนเขาตบไปเต็ม ๆ ชาไปทั้งแถบ..! ปะทะกี่ทีเราก็ไม่เป็นอะไร แต่ฝ่ายเขาได้แผลทุกที เขาก็แย่

ครั้งสุดท้ายเขาพุ่งมาปะทะ เราก็ขวิดทิ้งเลย มั่นใจว่าทีเดียวไม่รอดแน่ เพิ่งจะรู้ตอนนั้นแหละว่าหมูป่ากินเนื้อด้วย พอขวิดทิ้งเขาร่วงลงไป ตัวอื่นที่เหลือก็ช่วยกันฉีกเป็นชิ้น ๆ กินกัน ตอนนั้นทำให้รู้หลายอย่าง รู้ว่าสัตว์เขาก็คือคนนี่แหละ เพียงแต่อยู่ในร่างสัตว์ เขามีความคิด มีความโกรธ มีความรักเหมือนกันหมดทุกอย่าง เพียงแต่การแสดงออกของเขา ถ้าเราไม่ใช่สัตว์ด้วยกัน ส่วนมากเราจะดูไม่ออก

อย่างหมาจะมีภาษาเสียง มีภาษากาย มีภาษาใจอีกด้วย แต่พวกนี้ของเราเสื่อมหมด เหลือแค่ภาษาเสียง และภาษากายอีกไม่กี่ท่าเท่านั้น ทำให้เราต้องไปศึกษาภาษาคนอื่นจึงจะเข้าใจเขาได้ ลองเอาหมาข้างถนนไปโยนไว้ที่กลางกรุงลอนดอนสิ เขาคุยกับหมาฝรั่งรู้เรื่องเดี๋ยวนั้นเลย แสดงว่าเขาเก่งกว่าเราเยอะ

ตอนนั้นทำให้เรารู้ว่า สัตว์ก็คือคนนี่เอง เป็นสภาพจิตที่มืดบอด แล้วก็ไปเกิดอยู่ในสภาวะของความเป็นเดรัจฉาน ความคิด ความรู้สึกเหมือนคนหมด เพียงแต่การแสดงออกเขาได้เต็มที่แค่อย่างที่เราเห็น ประการที่สอง เข้าใจเลยว่ารัก โลภ โกรธ หลงกินทุกสรรพชีวิต แม้กระทั่งในความเป็นสัตว์ก็ยังถูกกินเต็ม ๆ

ทำให้ได้เห็นชัดว่า สิ่งทั้งหลายเวียนตายเวียนเกิดนับชาติไม่ถ้วน พวกเราสร้างกรรมชั่วไว้มาก ถ้าหากเผลอลงข้างล่าง เขาคิดดอกทบต้นเมื่อไร ไม่ต้องผุดต้องเกิดอีกนาน มีทางเดียวต้องหนีให้ได้ ที่จะหนีได้มีที่เดียว คือพระนิพพาน"

เถรี
01-08-2011, 17:40
ถาม : การขอขมาแล้วโทษยังเหลืออยู่ไหมครับ ?
ตอบ : การขอขมาก็เพื่อให้ใจปลดออกจากโทษนั้น ถ้าใจยังกังวลอยู่ก็แปลว่ายังไม่ปลดออก

กังวลโดยใช่เหตุ..ตอนทำไม่กลัว ดันมากลัวตอนที่ทำลงไปแล้ว..!

เถรี
02-08-2011, 08:30
ถาม : เด็กเขาดื้อค่ะ ไม่รู้จะทำอย่างไร ?
ตอบ : ใช้เหตุผลเลี้ยงเขา ถ้าไม่ใช้เหตุผลจะดื้อทุกคนแหละ

เถรี
02-08-2011, 08:41
หลวงพี่ติงลี่กราบเรียนพระอาจารย์ว่า ช่วงงานพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร จะสร้างเหรียญวัตถุมงคลเอาไปเข้าพิธีเป่ายันต์ แล้วนำไปแจก

พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ไม่มีการหวงห้าม ใครทำไปเยอะเท่าไรก็เบาภาระผมได้มากเท่านั้น ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นหลวงพ่อหวงใครเลย ท่านบอกว่า ถ้าคนรู้มากเท่าไรท่านก็สบายเท่านั้น ผมก็เลียนแบบบ้าง

แต่ก็แปลก..เพราะว่าศรัทธาเป็นเรื่องเฉพาะตัวบุคคล วัตถุมงคลเราก็ไปพุทธาภิเษกให้ แต่พอออกในนามวัดอื่นเขาไม่เอา แต่พอออกในนามวัดท่าขนุน เขาแย่งกันหัวแตกเลย จะว่าไปแล้วก็เป็นการยึดติดนะ แต่ถ้าไม่ยึดก็จะไม่มีอะไรให้ปล่อย อันดับแรกต้องยึดดีไว้ก่อน พอหลังจากดีเต็มที่แล้วก็จะปล่อยเอง เพียงแต่ว่าอย่ายึดเพลินจนลืมปล่อยก็แล้วกัน"

เถรี
02-08-2011, 09:03
ถาม : ทำงานคนเขาไม่ค่อยเห็นใจ เกิดจากกรรมอะไร ?
ตอบ : เรื่องของงานเหมือนกับสนามรบ ไม่มีการเห็นใจกันหรอก แต่ละคนทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น เพราะฉะนั้น..ผู้ปฏิบัติธรรมมีอย่างเดียว คือ ต้องยอมเสียเปรียบ และเชื่อมั่นว่าทำดีย่อมได้ดีตอบ แม้จะมาช้าหน่อยแต่ก็มา

ถาม : เราทำงานกับคนที่เขาโยนงาน เราควรจะรับทำไปเรื่อยหรือเปล่า ?
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ หาความชำนาญใส่ตัว ถึงเวลาเราจะได้เอง

ถาม : เวลาทำงานเหมือนกับกลัวว่าเราจะทำไม่ได้ พอทำแล้วไม่มีความสุข เราควรจะทำอย่างไร ?
ตอบ : ก่อนไปทำงานให้นึกอยู่อย่างเดียวว่า งานทุกอย่างเป็นของง่าย เหมือนกับเราตั้งโปรแกรมไว้ใหม่ ทุกอย่างเป็นของง่าย เราสามารถทำได้อย่างง่ายดาย บอกตัวเองไปเรื่อย เดี๋ยวความมั่นใจจะมา

ทุกอย่างสำเร็จที่ใจทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ฝรั่งเขาบอกว่าเป็นการตั้งโปรแกรมใหม่ อดทนไว้ มั่นใจว่าทำดีต้องได้ดีแน่

เถรี
02-08-2011, 09:35
ถาม : ผมต้องทำอะไรเพิ่ม เพื่อพระโพธิญาณ ?
ตอบ : พยายามเกรงใจชาวบ้านเขาหน่อย คำว่าเกรงใจชาวบ้านคือ สิ่งที่เราทำเป็นของดี แต่บางคนเขาไม่เข้าใจ บางรายถึงขนาดว่าเราบ้าเลย พวกนั้นถ้าหากว่าล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจก็ดี โทษหนักจะเกิดกับเขา

เพราะฉะนั้น..เมตตาเขาหน่อย ทำอะไรให้เหมือนชาวบ้านเขาบ้าง เราจะสร้างบารมี จะสร้างอะไรของเราก็ทำไป ถ้าไม่ใช่คนที่เข้าใจจริง ๆ ไม่ต้องไปพูด ไม่ต้องไปชวนเขาหรอก

เถรี
02-08-2011, 15:41
ถาม : คนในปัจจุบันจะเป็นโรค.... จะมีทางแก้ไขอย่างไร ?
ตอบ : กินให้น้อยลงก็จบแล้ว ภาษาพระเรียกว่า โภชเนมัตตัญญุตา รู้ประมาณในการกิน ของทุกอย่าง ถ้าพอดีก็มีประโยชน์ ถ้าเกินไปก็จะมีโทษ

เด็กรุ่นใหม่ติดรสหวาน ติดขนม อย่างที่เห็น ๆ กันอยู่ก็คือเป็นโรคอ้วน หลังจากนั้นก็โรคเบาหวาน โรคข้ออักเสบ โรคหัวใจ ตามมาเป็นพรวนเลย ดังนั้น..ต้องรู้จักประมาณ เกินพอดีเมื่อไรก็จะเดือดร้อน

ความจริงบ้านเราควรจะนัดกินมื้อเดียวทั้งประเทศ จะประหยัดเยอะเลย กินมื้อเช้ามื้อเดียวจบ ร้านอาหารทั้งหมดปิด (หัวเราะ) ถ้าทำได้จะประหยัดทรัพยากรไปตั้ง ๒ ใน ๓

เถรี
02-08-2011, 15:51
ถาม : มีอยู่ช่วงหนึ่งนอนแล้วมีอารมณ์ควบแน่น จึงใช้อารมณ์มรณานุสติกรรมฐาน พอถึงช่วงเหมือนกึ่งวิปัสสนา เราบอกว่า ถ้าข้าพเจ้าตายไป ขอให้ข้าพเจ้าไปสู่พระนิพพาน มีอารมณ์บอกมาว่า ยังติดเรื่องผู้หญิง อารมณ์นั้นเชื่อถือได้หรือไม่ ?
ตอบ : นั่นเป็นกิเลสมารแทรกเข้ามากวน ถ้าไปคล้อยตามก็เท่ากับว่าเสียท่า ตายตอนนั้นเราไปไหนไม่ได้หรอก ไปตามกรรม แต่ถ้าเรามุ่งตรงอย่างเดียว ใครจะเป็นอะไรช่างหัวมัน เราจะไปเสียอย่าง ต้องอย่างนั้นจึงจะตัดได้จริง ๆ

แสดงว่าเราโดนกวนน้ำให้ขุ่น

ถาม : ตอนนี้นึกถึงแม่อยู่ เอาศพแม่มานึก
ตอบ : ไม่ต้องนึกถึงใครแล้ว ยึดใครก็ติดคนนั้น ถ้าจะยึดใคร ให้ยึดพระพุทธเจ้าเป็นหลัก

เถรี
02-08-2011, 20:24
ถาม : ขออนุญาตนำไฟล์เสียงธรรมะที่ท่านเทศน์ ไปไรท์ซีดีแจก
ตอบ : ไม่ต้องแจก ขอยืนยันว่าไม่ต้อง..! ใครอยากได้ให้มาขวนขวายด้วยตัวเอง ถ้าให้เฉย ๆ เขาจะไม่รู้คุณค่า อาจเอาไปวางทิ้งขว้าง ยิ่งถ้ามีรูปพระอยู่ด้วย จะกลายเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย ทำเป็นลักษณะไรท์ซีดีเอาไว้ หากมีใครต้องการก็ให้ขอเข้ามาจะดีกว่า

เถรี
02-08-2011, 20:31
ถาม : งานประชุมพุทธศาสนาโลกที่ไต้หวัน เขาเลี้ยงอาหารดีมาก เป็นอาหารเจครับ แต่เขาฉันอาหารมื้อเย็นด้วยครับ เขาเริ่มให้ฉันตอน ๕ โมงครึ่ง ก็มีภิกษุณีกับพระจีนทั้งหลายฉันกันครับ
ตอบ : เขาตีความต่างกัน คำว่า "วิกาลโภชนา" (วิกาละ คือเวลาที่ต่างไป) ไทยเราตีความว่าเป็นหลังเที่ยง ส่วนเขาหมายเอาเวลาพระอาทิตย์ตกดิน

ถาม : แล้วดั้งเดิมเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าหากเราเอาตามที่ปรากฏในพระไตรปิฎก วิกาละ ก็คือ พระอาทิตย์เลยหัวไปได้ ๒ ช่วงนิ้วมือ แปลว่าหลังเที่ยง

ถ้าเรารู้จักประมาณในการกินก็จบ แต่ถ้าไม่รู้จักประมาณในการกิน ก็ไปเถียงกันเพื่อที่จะกิน..!

เถรี
02-08-2011, 20:44
ถาม : เมื่อวานถอยรถไปชนมอเตอร์ไซค์ที่เขาจอดไว้ สักพักขับแล้วถอยไปชนกำแพง วันนี้ก่อนมาก็ถอยไปชนเครื่องระบายอากาศ
ตอบ : จะได้รู้ไว้ว่า อะไรที่คนอื่นเขาทำแล้วง่าย นั่นไม่ใช่เรา

เรื่องพวกนี้เกิดจากทักษะ ฝึกฝนจนกระทั่งชำนาญขึ้นมา ถ้าเป็นบาลีก็คือวสี เกิดความคล่องตัว ความชำนาญ

ถาม : ตอนนี้หนูคงได้แต่ชำนาญในการเดินหน้า การถอยรถนี่ไม่เป็นวสีเลย
ตอบ : ที่เกาะพระฤๅษีพวกเราจะเห็นโรงรถบนสะพานว่าแคบนิดเดียว ถ้ารถเข้าไปแล้วฝั่งซ้ายและขวาจะเหลือนิดเดียว มีแต่อาตมาที่ถอยเข้าได้ ส่วนคนอื่นเขาต้องเอาหน้ารถเข้าอย่างเดียว คนอื่นเอารถถอยเข้าสามคันก็พังไปสามคัน ดังนั้น..อะไรที่ไม่ชำนาญ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติกรรมฐาน หรือแม้แต่การขับรถก็ตาม ต้องฝึกซ้อมปฏิบัติบ่อย ๆ จนกว่าจะชำนาญไปเอง

เถรี
02-08-2011, 20:51
ถาม : ตอนท่านฝึกคาถาโสตัตตะภิญญา ใช้เวลานานเท่าไรจึงจะเกิดผล?
ตอบ : เริ่มต้นก็ไปเลย เพราะมาฝึกเอาตอนสมาธิดีแล้ว

ถาม : หนูภาวนามา ๑ สัปดาห์แล้ว ยังไม่เกิดผลเลย
ตอบ : อย่าไปอยากให้ผลเกิด เรามีหน้าที่ภาวนา ตอนที่อาการบีบควบแน่นเข้ามาก็ดี หรือแสงสีเข้ามาก็ดี เราจะตกใจไม่ได้ ให้เราตั้งสติไว้ กำหนดรู้อย่างเดียว

ถาม : พอภาวนาไป เราเห็นว่ากำลังจะได้แล้ว หนูก็ไปจดจ้องผล กำลังใจจึงเคลื่อนไป
ตอบ : เราดีใจหรือเสียใจเมื่อไรก็ไปทันที เพราะฉะนั้น..ยินดียินร้ายไม่ได้ ใจต้องนิ่งอย่างเดียว เรื่องพวกนี้ฟังดูแล้วง่าย แต่พอถึงเวลาตัดสินใจเองแล้วยากจริง ๆ เพราะอดไม่ได้หรอก พอเห็นว่าเริ่มจะได้แล้ว ก็เผลอดีใจทุกที

ถาม : ยอมรับว่าใจตัวเองจ้องอยากที่จะให้ได้ เพราะถ้าเราทำได้ เราจะได้ไม่ต้องลำบากในการเดินทาง แวบมาได้เลย
ตอบ : ถ้าทำได้เดินก้าวเดียวก็ถึงแล้ว แต่ก่อนที่จะได้ต้องวางกำลังใจให้ถูกเสียก่อน

เถรี
03-08-2011, 14:33
ถาม : ปกติเวลาผมนั่งสมาธิ ลมหายใจจะเบาเป็นปกติครับ เป็นอย่างนี้มาหลายปีแล้ว แต่ประมาณ ๖ เดือนที่ผ่านมา พอจับลมได้สักพักเดียว เหมือนกับไปกลั้นลมหายใจ อยู่ดี ๆ ก็สะอึกขึ้นมาเพื่อที่จะหายใจ ผมก็ตามรู้ไป ได้เห็นว่าพอหายใจครั้งสุดท้าย ก็จะนิ่งอยู่ตรงนั้นเลย ถึงได้รู้ว่าเราสะอึกเพราะต้องการรู้ลมหายใจเข้าออก เป็นอย่างนี้ติดต่อมาหลายเดือนแล้ว กลับกลายเป็นว่านั่งได้สักพักเดียว ก็หยุดแล้ว
ตอบ : ความจริงเราจำเป็นที่จะต้องซักซ้อมเข้าออกสมาธิให้เคยชิน ตอนนี้เราชำนาญที่จะเข้า แต่ออกไม่เป็น ถ้าเป็นภาษาบาลีเขาเรียกว่า สมาปัชชนวสี ชำนาญในการเข้าสมาธิ แต่ไม่มีวุฏฐานวสี ก็คือ ชำนาญในการที่จะออกจากสมาธิ

กลายเป็นว่าไปดิ้นรนไขว่คว้าหาลมหายใจ ทำให้เกิดอาการอย่างที่ว่ามา ทีนี้ทำอย่างไรที่เราจะไม่ดิ้นรนอยากให้เป็นหรืออยากให้หายไป แค่รับรู้ไว้เฉย ๆ ตามสภาพเท่านั้น ตรงนี้พูดแล้วดูเหมือนง่าย แต่ตัดสินใจยาก แต่ถ้าทำได้ครั้งเดียว จะรู้เลยว่าต้องทำอย่างไร

ถาม : ท่านเคยเตือนผมเรื่องนี้แล้ว ให้ตามรู้ ผมก็ตามรู้อาการนี้ไป ๔-๕ เดือนแล้ว
ตอบ : อาตมาติดอยู่สามปี แค่ ๔-๕ เดือนนี่เป็นเรื่องเล็ก ที่ติดอยู่ก็คือ ไปไล่ตามแต่ละขั้นตอน

ถาม : ท่านก็เคยเตือนผมเรื่องนี้ว่าไม่ต้องไปตามจี้ ผมก็ตามดูจนเหมือนต้องการลมหายใจ แล้วหลุดออกไปเลยครับ ต้องไปจับลมใหม่
ตอบ : ซ้อมบ่อย ๆ พอคล่องตัว ลงตัวแล้วจะเข้าใจเมื่อนั้น

ถาม : ผมก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น นึกว่าเราถอยหลังหรือเปล่า?
ตอบ : กำลังจะได้ดีแล้ว เหมือนใช้กุญแจไขประตู แต่ยังแหย่ไม่ตรงร่องเสียที

เถรี
03-08-2011, 16:21
ถาม : เขามีอาการทางประสาทค่ะ ก็เลยเป็นห่วง
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ คนในยุคปัจจุบันเครียดมาก คนที่หยุดความคิดไม่เป็นก็เหมือนกับคนที่ทำงานอยู่ตลอดเวลา จะมีอาการเหนื่อยมาก เหนื่อยจนถึงระดับที่ทนไม่ไหวก็จะมีอาการเครียด

ดังนั้น..เรื่องของการปฏิบัติ คือ หยุดใจให้เป็น ให้ใจได้พัก บางคนทำงานมาสงสัยว่า ทำไมตัวเองพักผ่อนพอแล้ว แต่ก็ยังเหนื่อยไม่หาย ความจริงร่างกายไม่ได้เหนื่อย แต่เหนื่อยที่ใจ ร่างกายต้องออกกำลังจึงจะแข็งแรง ใจต้องพักจึงจะแข็งแรง

เถรี
03-08-2011, 17:56
ถาม : หลังจากเลือกตั้งแล้วจะมีภัยพิบัติอะไรอีกครับ? แล้วต้องไปหลบที่ไหน?
ตอบ : ภัยพิบัติที่น่ากลัวที่สุดคือกิเลสที่กินใจเรา ที่หลบที่ดีที่สุดก็คือพระนิพพาน

เรื่องภัยพิบัติไม่ต้องหนักใจ เพราะวัดท่าขนุนอยู่ปากเขื่อนพอดี ถ้าเกิดอะไรขึ้นโปรดสังเกตว่าวัดท่าขนุนย้ายหนีหรือยัง ถ้าย้ายหนีก็หนีด้วยกัน ถ้าไม่ย้ายหนีก็ตายด้วยกัน..!

ทางคุณชนินทร เหตระกูล กำลังจะจัดงานสัมมนาและอบรมความรู้ให้ชาวบ้าน ถ้าหากว่ามีภัยพิบัติมาจะแก้ไขอย่างไร ? จะหลบหนีอย่างไร ? จะดำรงชีวิตอย่างไร ? ถ้าไม่มีภัยพิบัติมาจะทำอย่างไร ถึงจะอยู่ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงได้โดยไม่ต้องพึ่งคนอื่น จะจัด ๔ ภาค ภาคละ ๒ วัน อาตมารับเป็นวิทยากรประมาณ ๒ ชั่วโมง

ความจริงเตือนเขาไปอย่างหนึ่งว่า จะทำให้ชาวบ้านแตกตื่นหรือเปล่า ? เขาบอกว่า เขาเองมีทั้งสมมุติฐานว่าจะเกิดและถ้าไม่เกิด หมายความว่าในสถานการณ์ปกติก็สามารถที่จะเอาตัวรอดได้ มีอาชีพมั่นคง ไม่ต้องพึ่งพาสิ่งภายนอกมากนัก ก็คงจะต้องมีผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขามา อาตมาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญสาขาหนึ่ง น่าจะสาขาจิตวิทยาในการข่มขู่ชาวบ้าน..!

เขามองไว้ ๒ ที่ ว่าจะจัดที่วัดหนองหญ้าปล้องหรือวัดท่าขนุนดี ตั้งเป้าไว้ว่ามีคนเข้าร่วมประมาณหนึ่งพันคน อาตมาเลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นไปจัดที่หนองหญ้าปล้องเถอะ เพราะถ้าเป็นวัดท่าขนุนจะหาที่จอดรถลำบาก

เถรี
03-08-2011, 18:08
ถาม : ขอให้ช่วยแนะนำการละสักกายทิฐิอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด แบบง่าย ๆ ครับ
ตอบ : เวลาไม่พอพูด แล้วแบบที่ง่าย ๆ นั้นไม่มี สักกายทิฐิเป็นต้นตอของอวิชชา เพราะฉะนั้น..ถ้าเอาง่าย ๆ ต้องขุดกันถึงวินาทีสุดท้าย

เอาเป็นว่าการละสักกายทิฐิอย่างต้น คือ เห็นว่าเราต้องตายไว้เสมอ การละสักกายทิฐิอย่างกลาง คือ เห็นว่ามีแต่ความสกปรก มีแต่ความทุกข์เป็นปกติ การละสักกายทิฐิเบื้องปลายคือ เห็นว่าไม่มีอะไรเหลือเป็นเรา เป็นของเราได้ สักแต่ว่าเป็นที่อาศัยชั่วคราวได้เท่านั้น ฟังแล้วสามารถเอาไปตีความอีก ๓ ปี..!

เถรี
03-08-2011, 18:10
ถาม : ทำไมพระเวสสันดรจึงต้องยกกัณหาชาลีให้ชูชก ?
ตอบ : เขาตกลงกันมาเป็นแสน ๆ ชาติมาแล้ว คุณเองไม่ได้เห็นตอนเขาตกลงกันนี่หว่า..!

ถาม : แต่ต้องทำให้พระนางมัทรีเสียใจ ?
ตอบ : พระนางตั้งใจจะเสียใจมาตั้งแต่ต้นแล้ว พระนางใช้คำอธิษฐานว่า จะเป็นสำเภาทองรองพระบาท เพื่อให้พระองค์ท่านก้าวขึ้นสู่ฝั่งแห่งโอฆะ แล้วกลับมาขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสาร เขาตั้งใจกันตั้งแต่ชาติแรก ๆ แล้ว อย่าเอากำลังใจห่วย ๆ ของเราไปคาดคำนวณกำลังใจของท่านเลย คิดอีกก็ผิดอีก..!

เถรี
04-08-2011, 02:27
ถาม : หนูเจ็บป่วยบ่อย ไม่ค่อยหาย คุณหมอบอกว่าให้ไปทำสังฆทานและอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้เจ็บป่วยค่ะ ลองทำแล้ว แต่เหมือนเดิม
ตอบ : ต้องไปปล่อยปลาที่เขาจะฆ่าทุก ๆ เดือนจ้ะ อาตมาทำมา ๒๕ ปีอาการจึงดีขึ้น แล้วหนูทำมากี่วันแล้วจ๊ะ ?

การที่เราเจ็บไข้ได้ป่วย เกิดจากเศษกรรมปาณาติบาตที่เคยไปฆ่าเขาไว้ ไม่ว่าในอดีตจะฆ่าคนหรือสัตว์ก็ตาม หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า ในอดีตอาตมาเป็นทหารฆ่าเขาไว้เยอะ จึงทำให้เจ็บไข้ได้ป่วยบ่อย ให้ไปปล่อยสัตว์ที่เขาจะฆ่า อย่างเช่นปลาในตลาด ส่วนสัตว์ที่เขาไม่ได้ฆ่า เราไปปล่อยจะได้แค่ตัวเมตตาเฉย ๆ

ปล่อยชีวิตสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่าเท่ากับคืนชีวิตให้เจ้ากรรมนายเวรเขาไป หลวงพ่อท่านบอกว่าให้ทำทุกเดือน ๆ จะบรรเทาได้ อาตมาทำมาต่อเนื่องไม่เคยขาดเลย ไม่ได้ทำน้อย ๆ ด้วยนะ เจอก็เหมาหมดตลาดเลย ผ่านมา ๒๕ ปี จึงได้หมอที่ถูกยาถูกโรค ไม่ต้องกังวลจ้ะ เกเรไว้มาก โดนทุกคนแหละ

ถาม : นอกจากปลาแล้ว เป็นอย่างอื่นได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้ แต่ให้เป็นสัตว์ที่เขาจะต้องฆ่า นี่ขนาดอาตมาได้หมอ ได้ยาดีขึ้นมา ก็ยังปล่อยอยู่ทุกเดือน ตอนนี้ปล่อยวัวเพิ่มให้เขาด้วย เดือนละตัวเป็นอย่างน้อย แต่วัวแพงไปหน่อย ตัวหนึ่งราคาเป็นหมื่น

เถรี
04-08-2011, 02:30
ถาม : เราทำวิหารทานมาเยอะตั้งแต่บรรพบุรุษ แต่ทำไมคนไทยส่วนใหญ่ถึงจนกว่าฝรั่ง จนกว่าแขกคะ ?
ตอบ : ในอดีตพวกเขาก็ทำวิหารทานมานะจ๊ะ และต้องทำมามากกว่าเราแน่ ๆ อย่าลืมว่าในอดีตนั้น ผู้ที่จะสร้างวิหารทานได้เองมีไม่มากนัก สมัยพุทธกาลก็มีอนาถปิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขามหาอุบาสิกา เป็นต้น คนทั่ว ๆ ไปทำไม่ไหวหรอก พวกเราเพิ่งจะมารู้วิธีทำบุญต่าง ๆ ก็สมัยที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเทศน์สอนให้เมื่อไม่นานนี้เอง แล้วก่อนนั้นเราจะเอาอานิสงส์วิหารทานมาจากไหน ? นอกจากบังเอิญได้ทำ..!

ถาม : หนูคิดว่าฝรั่งเขาไม่ได้ทอดกฐินค่ะ
ตอบ : ทอดกฐินไม่ใช่วิหารทานจ้ะ ศาสนาคริสต์เขาก็มีการทำบุญเหมือนกัน เพียงแต่ไม่ได้ชัดเจนอย่างเรา ไม่เป็นไร..ถึงเวลาถ้ายังเกิดอีกเราดีกว่าแน่ ๆ จ้ะ

เถรี
04-08-2011, 02:38
ถาม : เราตั้งใจปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน ยอมรับกฎของกรรม จะพ้นจากกรรมหรือไม่ ?
ตอบ : เราจะยอมรับหรือไม่ยอมรับ อย่างไรกรรมก็มาสนองแน่ ๆ แต่ถ้าเราไม่ยอมรับ สภาพจิตที่ดิ้นรนจะทำให้เราทุกข์มาก แต่ถ้าเราเลือกว่าเราทำเองเรารับได้ กำลังใจรู้ว่ากรรมนี้เป็นผลของกรรมที่เราเองทำไว้ในอดีต ตอนนี้มาสนองแล้ว เราก็จะยอมรับได้ ปล่อยวางได้ จบกันไปแค่นี้

ฉะนั้น..อะไรเกิดขึ้นกับเรา ดีหรือไม่ดีก็ตาม ให้รู้ไว้ว่านั่นเป็นผลกรรมของเราที่ทำไว้ในอดีตทั้งนั้น จะเป็นอดีตชาตินี้หรืออดีตชาติก่อนก็ตาม ถ้าอดีตชาตินี้ทำเอาไว้ เป็นบุญหรือกรรมที่ใหญ่พอหรือหนักพอ ถ้ามีการกระทำที่ต่อเนื่อง พอถึงเวลากรรมนั้นก็ส่งผลก็ทันในชาตินี้เหมือนกัน

โดยเฉพาะในส่วนของครุกรรมฝ่ายกุศลหรืออกุศล ครุกรรม คือ กรรมหนัก ครุกรรมฝ่ายกุศลอย่างเช่น ทรงฌานทรงสมาบัติได้ โดยเฉพาะสมาบัติ ๘ ถ้าฝ่ายครุกรรมฝ่ายอกุศลก็ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต ยุสงฆ์ให้แตกกัน เป็นต้น

ครุกรรมทั้งฝ่ายดีและไม่ดี จะส่งผลทันตาทั้งนั้นแหละ อรรถกถาจารย์เขาเปรียบเหมือนกับเพาะถั่วงอก คืนเดียวก็ได้กินแล้ว เราจะเห็นความน่ากลัวของกรรม พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า อย่าคิดว่าเป็นกรรมดีเพียงเล็กน้อยแล้วไม่ทำ และอย่าคิดว่าเป็นกรรมชั่วเพียงเล็กน้อยแล้วไปทำ ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ถ้าวาระมาถึงก็จะส่งผลให้ทันที

เถรี
04-08-2011, 02:48
ถาม : ที่หน้าบ้านมีต้นไม้ใหญ่อยู่สองต้น ถ้าจะตัดจะมีปัญหาไหมคะ ?
ตอบ : ต้นอะไรจ๊ะ?

ถาม : พญาสัตบรรณ
ตอบ : ถ้าจะตัด ควรตั้งศาลเพียงตาให้เขาสักหลังหนึ่ง ตั้งที่ไหนก็ได้ในเขตบ้านเรา ตัดกิ่งใหญ่ขนาดแขนยาวสักคืบหนึ่ง เอาไว้ในศาลโดยหันปลายกิ่งขึ้น จุดธูปบอกเขาว่า ขอให้รุกขเทวดาทั้งหมดที่อาศัยต้นไม้สองต้นนี้ไปอาศัยอยู่ในศาลแทน ท่านจะได้ไปอาศัยอยู่ในกิ่งที่เราตัดไว้ และไม่ต้องไปกังวลว่าท่านจะอยู่ไม่ได้ เพราะว่าเทวดาท่านสามารถที่จะเนรมิตกายให้ใหญ่หรือเล็กได้ อรรถกถาจารย์ท่านว่า หัวเข็มหมุดหนึ่งอยู่ได้ตั้งแปดองค์

เถรี
04-08-2011, 02:52
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานบวชหมู่ที่ผ่านมามีทั้งดีและไม่ดี ที่ดีก็คือระยะเวลาน้อย พระท่านยังประคับประคองศีลให้บริสุทธิ์ได้ แต่ที่ไม่ดีก็คือ บวช ๆ สึก ๆ แบบยังไม่เอาจริง ในเมื่อยังไม่เอาจริง คิดอยู่เสมอว่าเราจะสึก ก็ทำให้กำลังใจไม่เด็ดขาด การสู้กับกิเลส ถ้ากำลังใจไม่เด็ดขาดก็ชนะได้ยาก"

เถรี
05-08-2011, 07:35
พระอาจารย์กล่าวสอนโยมว่า "คนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วบางทีก็จำเป็นต้องทำในสิ่งที่ตนไม่ชอบ ถ้าหากทำสิ่งที่ตนไม่ชอบได้ ย่อมเป็นบุคคลที่ใช้เหตุผลเหนือ​อารมณ์ แต่ถ้าตนไม่ชอบแล้วไม่ทำ เป็นการให้อารมณ์อยู่เหนือเห​ตุผล เป็นการหนีให้พ้น ๆ ไปจากสิ่งนั้น แปลว่าวุฒิภาวะยังไม่พอที่จะเป็นผู้ใหญ่อย่างแท้จริง"

เถรี
06-08-2011, 04:05
ถาม : ฝันเห็นวัวหมายความว่าอย่างไร ?
ตอบ : แปลว่าจะต้องทำอะไรที่ยากลำบากไปอีกระยะหนึ่ง

ถาม : แต่จะต้องเสี่ยงทำธุรกิจ
ตอบ : ไม่เป็นไรหรอก เหนื่อยหน่อยแต่จะสำเร็จ

เถรี
06-08-2011, 04:07
ถาม : เราทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลให้กับคนอื่น ตัวเราจะได้ไหมคะ?
ตอบ : ตัวเราได้ก่อนจ้ะ ถึงจะมีให้คนอื่นได้ เขาเปรียบว่าเราก่อไฟขึ้นมากองหนึ่ง แล้วอนุญาตให้คนอื่นเขาต่อไฟไปใช้ ไฟเราไม่ได้ลดลง แต่ความสว่างเพิ่มขึ้นเพราะคนอื่นต่อเพิ่มไปด้วย ไม่หมดนะจ๊ะไม่ต้องกลัว ทำไปเถอะ

ถาม : ได้ตลอดหรือเปล่า ?
ตอบ : ได้ตลอดจ้ะ ให้ตั้งใจว่าผลบุญที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน ก็คือตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อุทิศให้แก่ใครก็ได้จ้ะ ถ้าไม่มีเวลาทำก็อุทิศไป ถ้ามีเวลาทำก็ทำใหม่ไปเลย

เถรี
06-08-2011, 04:20
ถาม : เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา มีผู้อาศัยมาในรถ เขาบอกว่าสัมผัสวิญญาณได้ ไม่ทราบว่าวิญญาณของใคร ?
ตอบ : ความจริงต้องถามไอ้คนที่เสือกบอก..! ไม่ต้องไปใส่ใจหรอกจ้ะ บางทีรถไปเจิมมามีเทวดาท่านรักษาอยู่ แต่เขาเห็นเป็นผีไปหมดนะสิ พวกเรานี่ดีอยู่อย่างหนึ่ง อะไรเอะอะขึ้นมา ตั้งแต่สัมภเวสีขึ้นไปจนกระทั่งถึงพระบนนิพพาน เหมาเป็นผีไปหมด

ไม่ต้องไปกังวลหรอกจ้ะ ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้เขา เวลาเดินทางบอกให้เขาช่วยดูแลความปลอดภัยให้ด้วย สบายดีอีกต่างหาก

เถรี
06-08-2011, 04:21
:4672615: เก็บตกเดือนนี้หมดแล้วค่ะ
พบกันใหม่ในเดือนหน้าค่ะ :4672615: