PDA

View Full Version : อย่าติดขันธ์ ๕ จนเกินไป


ลัก...ยิ้ม
28-06-2011, 08:48
อย่าติดขันธ์ ๕ จนเกินไป

สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ ดังนี้

๑. “อย่าเอาจิตไปเกาะเวทนาของขันธ์ ๕ ให้มากนัก ปล่อยวางเสียบ้าง เหนื่อยนักก็พักเสียบ้างในตอนกลางวัน”

๒. “งานใดก็ไม่สำคัญเท่ากับงานของจิต ทำทุกอย่างให้จิตผ่องใสจากกิเลส" (แม้ในขณะกายพัก จิตก็ยังทำงานทางธรรมได้ เพราะจิตไม่เหนื่อย งานทางโลกทำเท่าไหร่ก็ไม่เสร็จจริง เพราะงานทางโลกเป็นไตรลักษณ์ หาความเที่ยงไม่ได้ ซึ่งตรงข้ามกับงานทางธรรมเสร็จแล้ว ได้แล้วจริง ก็เที่ยง ไม่ต้องกลับมาทำใหม่)

๓. “อย่าทำอารมณ์จิตให้หดหู่ไปกับอาการของขันธ์ ๕ นี้ ทุกข์ของกายเป็นเรื่องของกาย ย่อมเป็นไปตามกฎของกรรม จักฝืนกายไม่ให้มีเวทนาย่อมไม่ได้”

๔. “ทุกข์ของกายเป็นเพียงแค่กำหนดรู้ แก้ไขรักษาทุกข์นั้นก็ได้เพียงแค่ระงับชั่วคราวเท่านั้น จักให้ตัดทุกข์ของกายไปจนหมดสิ้นในขณะที่กายนี้ยังคงมีอยู่นั้นย่อมไม่ได้”

๕. “สำหรับทุกข์ของจิตนี่แหละตัวสำคัญ เพราะอารมณ์ที่เศร้าหมองของจิตนี้ ถ้าหากไม่แก้ไขก็ยังจักเป็นเหตุให้ต้องเกิดต้องตายอีก ปรารถนาจักไปพระนิพพานก็จักต้องควบคุมอารมณ์ของจิตให้ไปในทางที่ถูกต้องด้วย อย่าติดขันธ์ ๕ จนเกินไป”

๖. “ให้ตรวจดูสภาวะที่ไม่เที่ยงของขันธ์ ๕ ให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ว่ากายนี้ไม่ใช่ของเรา ไม่มีในเรา เราจักผูกพันมันเพื่อประโยชน์อันใด”

๗. “วางอารมณ์สังขารุเบกขาญาณเข้าไว้ เห็นทุกข์ของร่างกายแล้ว จงกำหนดรู้ว่าทุกข์อย่างนี้เกิดขึ้นได้เพราะการมีร่างกาย” (อารมณ์วางเฉย หรืออารมณ์ช่างมันก็คือ ช่างเรื่องของร่างกายมัน หมายความว่า ทุกข์กายก็ดี เวทนาของกายก็ดี เป็นเรื่องของกายที่เขาแสดงธรรมของกายอยู่อย่างนั้นเป็นปกติธรรมดา ไม่มีใครจะไปทำให้เป็นอย่างอื่นไปได้ ใครฝืนล้วนเป็นอารมณ์หลงทั้งสิ้น)

๘. “ให้พิจารณาต่อไปว่า อะไรเป็นต้นเหตุให้เกิดมามีร่างกาย เพราะกิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม เกาะติดจิตเรามาเป็นเหตุให้เกิดร่างกาย เราจักไปแก้ไขที่กายให้มันหายเกิดได้ไหม แก้ไขให้มันหายเจ็บหายป่วยก็ไม่ได้หายตลอด อย่างดีก็แค่ระงับทุกขเวทนาชั่วคราว ไม่นานมันก็ป่วยใหม่ ไม่นานมันก็แก่ มันก็ตาย ให้ตามรู้ความเป็นจริงของร่างกายนี้ แล้วหันมาแก้ไขอารมณ์จิตที่ติดในร่างกายนี้ดีกว่า จักได้พ้นทุกข์อย่างแท้จริง”

ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๘
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่ www.tangnipparn.com (http://www.tangnipparn.com)