PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๔


เถรี
08-06-2011, 00:02
ถาม : มีหลักเกณฑ์การแปลงหน้าตักของพระที่นั่งว่า ถ้าเป็นพระยืนแล้วจะต้องมีความสูงเท่าไรหรือไม่คะ ?
ตอบ : ไม่มี..มีแต่ขนาดหน้าตักพระนั่ง ความสูงขององค์พระจะประมาณ ๒ เท่าครึ่งของหน้าตัก จะไม่เกินนั้น ถ้าเกินนั้นจะเสียส่วนไป

ถ้าพระยืนความสูงจะเป็น ๘ เท่าของฐานอย่างน้อย ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ได้ส่วน เพราะฉะนั้น..อะไรที่แหกคอกก็อย่าไปทำ ทำทั้ง ๒ อย่างไปเลยก็หมดเรื่องหมดราว อยากสร้างพระยืนก็สร้าง แล้วก็สร้างพระนั่งไปด้วย

ถาม : หนูไปอ่านหนังสือของหลวงพ่อฤๅษีฯ เจอว่ามีสวนบนพระนิพพาน แต่สวนของท่านจะบรรยายว่าเป็นแก้ว แต่ที่หนูเห็นมาจะเป็นใบ ๆ ดอก ๆ เลยค่ะ
ตอบ : เห็นอย่างไรก็เป็นไปตามนั้น เพราะข้างบนพระนิพพานนั้น เราต้องการอะไรอย่างนั้นก็มา ไม่ต้องการท่านก็ไป ท่านว่าง่าย ไม่ดื้อหรอก คิดต้องการอะไรสิ่งนั้นก็มา หมดความต้องการสิ่งนั้นก็ไป

ถาม : หนูไปเจอแต่ไม่ได้คิดอะไรเลย แสดงว่าเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว
ตอบ : แสดงว่าเราเคยมีความชอบอย่างนั้นมาก่อน ท่านก็เลยจัดให้

เถรี
08-06-2011, 00:07
ถาม : แต่ก่อนหนูจะรู้สึกว่าไม่อยากตาย เพราะว่าตัวเองยังปฏิบัติไม่ถึงไหนเลย ถ้าตายไปแล้วคงจะแย่แน่ แต่ช่วงหลังจะมีความคิดเปลี่ยนไปว่าตายก็ดีเหมือนกัน ตายเร็วก็ดีเพราะอยู่ไปก็น่าเบื่อมีแต่ทุกข์
ตอบ : เอาอีกนิดหนึ่ง การปฏิบัติถ้าอยากตายยังไม่ใช่ของดี เพราะว่าการอยากตายนั้นแฝงไว้ด้วยกิเลสมาก นักปฏิบัติที่แท้จริงพอทำไปถึงระดับหนึ่งไม่ได้อยากตาย แต่พร้อมที่จะตาย ต่างกันมากเลยนะ เพราะถ้ายังอยากตายนี่อารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง ยังเต็ม ๆ อยู่เลย

ดังนั้น..ตายเมื่อไรก็ไปไม่ดีหรอก มีนักปฏิบัติอยู่จำนวนมากต่อมากด้วยกันที่คิดว่าปฏิบัติถึงระดับที่อยากตายแปลว่าดีแล้ว ขอยืนยันว่าไม่ดีแน่

ถาม : จากนั้นหนูก็มานั่งนึกว่าทำไมความคิดถึงได้เปลี่ยนไป ?
ตอบ : เป็นไปตามสิ่งที่เราสั่งสมมา สติ สมาธิ ปัญญาสูงขึ้น มุมมองก็กว้างขึ้น การรู้เห็นก็มากขึ้น และการรู้เห็นที่ถูกต้องก็มีมากขึ้น

ถาม : หนูก็มานั่งนึกว่า จะเป็นเพราะหนูคิดมั่นใจว่าตายแล้วต้องไปดีกว่าที่กำลังเป็นอยู่นี่หรือเปล่า ? แล้วหนูกำลังโดนหลอกอยู่หรือเปล่า ?
ตอบ : มีส่วนโดนหลอก บอกแล้วว่ากิเลสยังเต็มที่อยู่

เถรี
08-06-2011, 00:12
ถาม : ตอนภาวนาแล้วหลุดออกไป อยากจะเห็นตัวเอง หนูเคยพยายามก้มลงมองก็เห็นแต่ส่วนล่าง
ตอบ : ไม่ต้องก้ม กำหนดนึกถึงว่าสภาพตัวเราเป็นอย่างไร เราจะเห็นทั้งตัว เห็นรอบด้าน ไปก้มก็เห็นแต่ตีนสิ..!

ถาม : แต่ละครั้งลักษณะก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันด้วยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับสภาพจิตตอนนั้นว่าบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์มากน้อยเท่าใด

ถาม : หนูมีปัญหาเกี่ยวกับการจับลมหายใจค่ะ ปกติหนูจะพยายามรู้ลมอยู่ตลอด ทีนี้เวลายกจิตขึ้นไป หรือภาวนาแล้วหลุดออกไป หนูก็คอยแต่จะกลับมาจับลม ยิ่งตอนหลังระแวงยิ่งหล่นลงมาเร็วใหญ่เลยค่ะ
ตอบ : ถ้าไปแล้วไม่ต้องคิดถึงลมหายใจ การที่เรายกจิตไป เราไปด้วยกำลังที่สูง การนึกถึงลมหายใจเท่ากับเรากลับมาตั้งต้นนับ ๑ ใหม่ ถ้าอารมณ์ใจทรงตัวแล้วไม่ต้องไปสนใจลมหายใจ ประเภทจบปริญญาแล้วกลับมาเริ่มต้น ก.ไก่ ทุกทีก็เจริญ..! กลับมา ก.ไก่ เมื่อไรก็ร่วงเมื่อนั้น

เถรี
08-06-2011, 00:19
ถาม : สมัยโบราณ พระที่ท่านธุดงค์ท่านใช้จีวรสีกรักเหมือนกันใช่ไหมคะ ?
ตอบ : บางท่านที่ขี้เกียจเปลี่ยนจีวรสีกรัก ท่านก็ใช้สีเหลืองนั่นแหละ เขามานิยมสีกรักในตอนหลังก็เพราะว่าเปื้อนยาก แต่บางท่านก็ไม่ห่วงเรื่องความเปื้อน อาตมาก็เคยลุยด้วยสีเหลืองอยู่หลายป่าเหมือนกัน

ถาม : แล้วสีกรักของโบราณจะแดงกว่าสีกรักสมัยนี้ไหมคะ ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตผ้าแค่ ๓ สีเท่านั้น ก็คือ สีเหลืองที่ย้อมจากน้ำขมิ้น สีเหลืองเจือแดงเข้มเพราะย้อมด้วยลูกรัง อย่างของท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ท่านหาไม้มาเพื่อย้อมไม่ได้ ท่านก็เลยใช้ลูกรังต้ม คราวนี้จีวรสีเดิมเหลืองอยู่พอไปผสมกับน้ำลูกรังสีแดงเข้า ก็เลยกลายเป็นสีกลาง ๆ ระหว่างเหลืองกับแดง

อีกอย่างก็คือผ้าย้อมน้ำฝาดประเภทแก่นขนุน จะออกมาเป็นสีกรัก ฉะนั้น...จะมีแค่สีเหลือง สีกรัก และสีเหลืองเจือแดงเข้ม ๓ สีเท่านั้น อย่างไรเสียก็ไม่ไปเกินกว่านี้ ถ้าเกินมาแปลว่าผิดพระวินัย..!

เถรี
08-06-2011, 00:28
พระอาจารย์ได้อธิบายเกี่ยวกับนิยายที่หวงอี้แต่ง ว่าทำไมจะต้องรอให้ถึงจุดอับแล้วฝีมือจึงค่อยรุดหน้า "คนเราถ้าไม่ถึงจุดอับ ศักยภาพจะไม่แสดงออกมา แบบเดียวกับนักปฏิบัติ ถ้าไม่ใกล้ตายก็ไม่รู้ว่าต้นทุนของตัวเองมีเท่าไร

นักปฏิบัติอย่างเรา ถ้าทำไปเรื่อย ๆ บางทีก็ไม่รู้ว่าตนเองไปถึงไหน แต่พอใกล้ตายขึ้นมา อารมณ์ตอนนั้นรวมตัว จะรู้เลยว่าเรามีต้นทุนเท่าไร พูดง่าย ๆ ว่า ร้อยละ ๙๙ ต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่ตกอยู่ในที่ลำบากก็ไม่ดิ้นรนเต็มที่ ถ้าดิ้นรนเต็มที่ ก็จะรู้ว่าส่วนที่เราเก็บสะสมเอาไว้มีเยอะกว่าที่คิด เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้ใช้"

ถาม: อย่างท่านเองเป็นแบบนั้นด้วยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ก่อนหน้านี้ก็มีอยู่ระยะหนึ่ง แต่พอมีมากกว่าแล้วก็ไม่ต้องเสียเวลาไปรอ คำว่ามีมากกว่าก็คือ สิ่งที่เราทำได้มีมากกว่าสถานการณ์ที่ต้องใช้ ก็ไม่ต้องไปรอจุดอับ ไม่ต้องดิ้นแล้ว แค่ขยับเพิ่มขึ้นมาหน่อยเดียวเท่านั้นเอง

เถรี
08-06-2011, 23:24
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "วันก่อนขณะกำลังเดินทางกลับจากเชียงใหม่ อาตมาภาวนาไปเรื่อย ๆ เห็นท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท่านโผล่มาอยู่ข้าง ๆ ก็เลยถามว่าท่านมาทำไม ? ท่านบอกว่าวันนี้ว่าง..มีเวลาว่างกับเขาเหมือนกัน ในเมื่อว่างท่านก็เลยมาช่วยดูแล

จึงถามท่านท้าววิรูปักษ์ว่า จะมีวิธีไหนที่ทำให้อาตมามั่นใจเห็นว่าปลอดภัย ท่านก็สลัดอาวุธท่านออกไป พุ่งนำหน้าเหมือนกับยิงจรวดนำวิถีเลย ตั้งแต่ตรงจุดที่กำลังเดินทางอยู่จนถึงปลายทางนี่ราบเป็นหน้ากลอง ท่านแสดงให้ดูว่าจะไม่มีอุบัติเหตุหรือมีอะไรขวางได้ ต้องปลอดภัยแน่นอน อาตมาก็ อ๋อ..ที่แท้จรวดนำวิถีนี่เขามีมานานแล้ว

ความจริงท่านไม่ได้ว่างหรอกนะ ท่านรับผิดชอบงานมหาศาล ท้าวมหาราชทั้ง ๔ มีงานที่เกี่ยวข้องกับโลกมนุษย์โดยตรง โดยเฉพาะงานที่ต้องดูแลสถานที่สำคัญต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนา อำนวยความสะดวกให้แก่บุคคลที่ท่านบำเพ็ญกุศล ดูแลรักษาทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ที่เป็นสมบัติของแผ่นดิน

ที่สำคัญก็คือ รับบัญชีบันทึกบุญบาปของชาวบ้านไปส่งให้ปัญจสิกขเทพบุตร ดังนั้น..เทวดาชั้นจาตุมหาราชจะมีเรื่องยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์เยอะมาก เพราะเป็นหน้าที่ท่านโดยตรง เราถึงได้เรียกท่านว่า โลกบาล หรือ โลกะปาละ ผู้รักษาโลก"

เถรี
09-06-2011, 00:09
ถาม : เวลานำท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ไปตั้ง ต้องหันหน้าเหมือนพระ คือหันไปทางทิศตะวันออกเหมือนกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : แบบเดียวกัน เอาปลอดภัยไว้ก่อน แต่ถ้าตั้งท่านบนหิ้งพระก็ให้ท่านต่ำกว่าพระนิดหนึ่ง

อย่างของอาตมาจะมีโต๊ะหมู่ตัวใหญ่ และมีตัวเล็กอีก ๙ ตัว ๙ ตัวนั้นก็ตั้งพระพุทธบ้าง ตั้งพระสงฆ์บ้าง ท่านท้าวมหาราชเราก็ตั้งไว้ที่บนโต๊ะใหญ่ ข้างหน้าสุดเลย ท่านแม่ก็อยู่ด้านหนึ่ง ท้าวมหาราชก็อยู่ด้านหนึ่ง พอดีได้ที่เลย

จริง ๆ ท่านแม่จะเอาขึ้นไปเสมอพระสงฆ์ก็ได้เพราะท่านไปพระนิพพานแล้ว แต่ว่าในรูปลักษณ์ที่สร้างขึ้นมา คนที่ไม่รู้เขาจะตำหนิเอาได้ เพราะฉะนั้น..จะทำอะไรต้องเกรงใจคนบ้าง อย่าให้ตัวเราต้องไปสร้างโทษให้คนอื่นเลย

ถาม : อย่างพระนารายณ์ทรงฤทธิ์ของวัดเขาวง เอาไว้ระดับเดียวกันได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้จ้ะ ท่านเป็นเทวดาเหมือนกัน

เถรี
09-06-2011, 00:20
ถาม : แล้วอย่างฮก ลก ซิ่ว ของจีนเล่าคะ ?
ตอบ : ฮก ลก ซิ่ว นี่มีตัวจริงบ้างไม่มีตัวบ้าง แต่ในเมื่อเขาเคารพเขาเชื่อถือ ก็ตั้งไปเถอะ อยู่ระดับเดียวกันได้ไม่เป็นไร เพราะนั่นก็ถือเป็นเทพที่คนจีนเขาเคารพอยู่เหมือนกัน

ฮก คืออำนาจวาสนาบารมี ลก คือความร่ำรวย ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ซิ่ว คืออายุวัฒนะ ปราศจากโรค คนจีนเขาถือว่ามีครบ ๓ อย่างนี้ จัดเป็นความสุขสุดยอดของมนุษย์แล้ว แต่อย่างท้ายนี่ยากหน่อย ถ้าไม่ได้สร้างบุญมาดีจริง ๆ อย่างพระพากุลเถระ ไม่มีทางที่จะปราศจากโรคได้

แพ้เหล่าโจ้วที่เป็นเซียนอายุวัฒนะ ท่านอายุได้ ๘๐๐ ปี ลูกก็ตาย หลานก็ตาย เหลนก็ตาย โหลนก็ตาย ส่วนตัวเองยังอยู่ ท่านเบื่อเต็มทีไม่มีคนคุยรู้เรื่องแล้ว ท่านก็เลยไปดีกว่า บันทึกเขาเขียนว่าท่านเดินหายเข้าป่าไปเฉย ๆ หากว่าใครมีความสามารถถึงขนาดปรับธาตุตัวเองได้อย่างท่าน ก็ยืดอายุให้นานได้ แต่ถ้าไม่อยากลำบากก็อย่าไปทำเลย อยู่นานยิ่งหาคนคุยด้วยได้ยาก

ฮก อำนาจวาสนาบารมี ก็ต้องพุทธะปูชา มะหาเตชะวันโต บูชาพระพุทธเจ้า ลก ร่ำรวย ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง เอารวยอย่างเดียวนะ ก็ต้อง สังฆะปูชา มะหาโภคะวะโห การบูชาพระสงฆ์ ถือว่าจะส่งผลให้สำเร็จไปด้วยโภคสมบัติต่าง ๆ เนื่องจากว่าส่วนใหญ่การบูชาพระสงฆ์ ก็คือ เราถวายอามิสทาน โดยเฉพาะเรื่องของการใส่บาตร แต่ซิ่วนี่ต้องไปที่ศีลอย่างเดียวเลย รักษาศีลดีอายุยืนนาน ผู้ไม่มีปาณาติบาตย่อมไม่เจ็บไข้ได้ป่วย มีอายุยืนนาน

เถรี
09-06-2011, 00:25
พระอาจารย์กล่าวว่า "เคยสงสัยกันบ้างหรือไม่ว่า ทำไมบุญจึงมีความอัศจรรย์ส่งผลได้มากขนาดนั้น ? เพราะว่าบุญอยู่ในลักษณะทวีคูณ ยิ่งสภาพจิตของผู้รับบริสุทธิ์มากเท่าไร ก็เหมือนกับคนแข็งแรง

สมมติว่าคนแข็งแรงหยิบของชนิดหนึ่ง แล้วขว้างออกไป อย่างเราขว้างได้แค่ใกล้ ๆ แต่ท่านสามารถขว้างไปไกลลิบเลย คือส่งผลให้มากขึ้นตามกำลังของท่าน

ฟัง ๆ ดูในเรื่องของบุญ บางทีก็เหมือนกับโฆษณาชวนเชื่อ แต่เราต้องเข้าใจด้วยว่า ส่วนที่เขาทำนั้นจำเป็นที่จะต้องเลือกเนื้อนาบุญ ทั่ว ๆ ไปเราเห็น เราเจอ เราสามารถทำได้ ให้ทำไปเลย ไม่จำเป็นต้องเลือก แต่ถ้ามีโอกาสประกันความเสี่ยง มีให้เลือกได้ เราก็เลือกทำกับเนื้อนาบุญที่ดี พูดง่าย ๆ ก็คือ ทำได้ทุกที่ ทำไปเถอะ แต่ตรงไหนที่เรามั่นใจเราก็เป็นขาประจำหน่อย"

เถรี
09-06-2011, 00:28
ถาม : ถ้าทิศตะวันออกกับทิศเหนือเราตั้งพระหมดแล้ว สามารถตั้งพระทิศตะวันตกกับทิศใต้ได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ควรเสี่ยง แต่จะลองดูก็ได้ จะได้รู้ผล

ถาม : อย่างไรก็ควรพยายามหาทิศตะวันออกให้ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เราจะเชื่ออย่างเดียวไม่ได้ ต้องลอง..! เกิดผลอะไรขึ้นจะได้พูดเต็ม ๆ ปาก ว่าลองมาแล้ว

ถ้าหากหามุมไม่ได้อีกแล้ว วิธีที่ดีที่สุดคืออย่าหามาเพิ่ม..!

เถรี
09-06-2011, 00:33
ถาม : บางครั้งเวลาใช้มรณานุสติแล้วผมกดโทสะไม่อยู่ สองสามวันก่อนผมโกรธมาก ถ้าเราตายไปตอนนี้..?
ตอบ : ไม่ต้องห่วง ลงนรกแน่นอน..!

ถาม : ทุกครั้งเอาอยู่ แต่ครั้งนี้คิดว่าเรายังไม่ตาย ขอก่อน ขอโกรธก่อน มีวิธีแนะนำไหมครับ ?
ตอบ : มี..อย่าให้อารมณ์ถึงที่สุด รีบเผ่นออกจากสถานการณ์นั้นก่อน นึกถึงที่หลวงปู่หล้า วัดภูจ้อก้อ ท่านบอกว่า หัดเป็นนักหลบเสียบ้าง อย่าเอาแต่เป็นนักรบอย่างเดียว สถานการณ์ที่รบแล้วตายอย่างเดียวแล้วยังรบอยู่ เขาเรียกว่าโง่..! ชัดไหม ?

เราไม่ยอมออกจากเหตุการณ์ก็ต้องระเบิดอารมณ์จนได้ สมัยก่อนตอนที่อาตมาสู้กับพวกนี้อยู่ อาตมาไม่เกรงใจใครหรอก ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง ทำให้เกิดโทสะ ก็จะหันหลังเดินหนีไปเลย ใครจะว่าเสียมารยาทก็ช่างหัวมัน ต้องเอากำลังใจของตัวเองไว้ก่อน ยังดีนะที่คุณยังคิดถึงมรณานุสติได้ ถ้าเป็นอาตมาสมัยก่อนไม่เสียเวลาคิดหรอก ลงมือไปแล้ว..!

เถรี
09-06-2011, 00:37
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครดูข่าวที่หมาคาบเอาใบไม้มาแลกข้าวบ้าง ? เขาเป็นคนแล้วไปเกิดเป็นหมา ยังเคยชิน มีหิริโอตตัปปะอยู่ ว่าไม่ควรเอาของใครฟรี ๆ พอคนให้อาหารเขาก็ไปคาบใบไม้มาให้

หมาที่วัดท่าขนุนก็มีอยู่ตัวหนึ่ง ทำแบบนี้เหมือนกัน พอถึงเวลาเขาจะเอาใบไม้มาแลก ใบไม้ต้องเป็นใบสะอาดด้วยนะ ใบไม้สกปรกเขาไม่เอามา ความรู้สึกของเขายังเป็นคนอยู่ เหมือนกับว่าเวลาไปตลาดแล้วซื้อของต้องจ่ายเงิน เขาจึงหาใบไม้มาแลก จะเอาอย่างอื่นมาแลกก็หาไม่ได้"

เถรี
09-06-2011, 00:39
ถาม : แกะทองที่เลี่ยมพระเครื่องออกไปขาย จะมีโทษหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าเจตนาแรกตั้งใจทำถวายเป็นพุทธบูชาแล้วไปแกะทองออก อย่างนั้นจะมีโทษ ถ้าตอนแรกไม่ได้เจตนาก็ไม่เป็นไร

เถรี
09-06-2011, 00:41
ถาม : อภัยทานกับธรรมทาน อย่างไหนมีอานิสงส์มากกว่ากันครับ ?
ตอบ : เราต้องเชื่อพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านตรัสว่า สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ ในทานทั้งหลาย ธรรมทานนั้นชนะทานทั้งปวง ในรสทั้งหลาย รสแห่งธรรมนั้นชนะรสทั้งปวง

เถรี
09-06-2011, 00:42
ถาม : อภิสังขารมารคืออะไรครับ ?
ตอบ : อภิสังขารมาร แปลว่าสิ่งที่ยิ่งกว่าการปรุงแต่ง ก็คือในส่วนของบุญบาปที่เป็นมารได้ อย่างเช่นว่า เราสร้างบุญ แล้วสิ่งที่ตอบแทนมาเป็นความดี ความสุข เราก็เพลิดเพลินติดอยู่แค่นั้น ทำให้เข้าถึงมรรคผลไม่ได้

เราสร้างบาป ก็พาเราตกต่ำลงสู่อบายภูมิ เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ เท่ากับขวางเราจากทางของความดี เขาก็เลยเรียกว่าอภิสังขารมาร เพราะถือว่าเป็นผู้ขวางหรือผู้ฆ่าเราจากความดีเหมือนกัน

ถาม : มีโทษมากไหมครับ ?
ตอบ : แค่ไปนิพพานไม่ได้เท่านั้นแหละ ไม่มากหรอก..!

เถรี
10-06-2011, 04:20
พระอาจารย์เล่าเรื่องอาฬวกยักษ์ให้ฟังว่า "อาฬวกยักษ์อยู่ที่เมืองอาฬวี พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรด เหล่าบรรดาบริวารของอาฬวกยักษ์ได้ทูลนิมนต์พระพุทธเจ้าเข้าไปยังสำนัก เหมวตยักษ์กับสาตาครียักษ์ผ่านไปเห็นก็ทำความเคารพพระพุทธเจ้าแล้วรีบไปยังสถานที่ประชุม ไปบอกอาฬวกยักษ์ว่า ลาภใหญ่กำลังเกิดกับท่านแล้ว พระสมณโคดมไปเยือนสำนักของท่าน

ปรากฏว่าอาฬวกยักษ์ไม่ได้รู้สึกดีใจ รีบกลับไปยังสำนักตนเพราะมียักษ์สาว ๆ อยู่เยอะ กลัวพระพุทธเจ้าจะพาไปหมด ต้องบอกว่ากำลังใจของคนที่ต่างกันทำให้คิดต่างกันจริง ๆ

พออาฬวกยักษ์เข้าไปถึงเห็นพระพุทธเจ้าอยู่ข้างใน บรรดาสาวสรรกำนัลในของตัวเองกำลังปรนนิบัติเต็มที่ ไปถึงก็ไล่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็เดินออกไป เดินไปได้ครึ่งทางอาฬวกยักษ์ก็แปลกใจ ไหนว่าพระสมณโคดมมีอำนาจ ครอบงำตั้งแต่ภควพรหมลงมา พอเราไล่ทำไมไปง่าย ๆ อย่างนี้ ?

อาฬวกยักษ์จึงบอกให้พระพุทธเจ้ากลับมาก่อน พระพุทธเจ้าท่านก็เดินกลับมา อาฬวกยักษ์ก็งงอีก พระพุทธเจ้าสั่งง่ายขนาดนี้เลยหรือ ? จึงไล่อีก ท่านก็ไปอีก"

เถรี
10-06-2011, 04:26
"เมื่อเป็นดังนั้น อาฬวกยักษ์จึงทูลเชิญพระพุทธเจ้าเข้าไป และตั้งปัญหาถาม ปัญหามีหลายข้อด้วยกัน อย่างเช่นว่า การข้ามโอฆะ (ห้วงน้ำแห่งกิเลส) ต้องทำอย่างไร ? พอพระพุทธเจ้าแสดงธรรมจบ อาฬวกยักษ์จึงกลายเป็นพระโสดาบัน

ที่เล่ามานี่จะบอกว่าอาฬวกยักษ์ท่านไปพระนิพพานแล้ว สมัยพุทธกาลท่านเป็นพระโสดาบัน แต่ก่อนที่ท่านจะไปพระนิพพานท่านก็แวะมากราบหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่ามาขอลาไปพระนิพพาน แล้วท่านก็ดึงผ้าพันคอของท่านที่ใช้เป็นอาวุธ ถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงไว้ใช้งาน

หลวงพ่อวัดท่าซุงถามท่านว่า มีอานุภาพอย่างไร ? ท่านบอกว่า "ถ้าขว้างลงไปกระทบพื้นก็เป็นไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก.." หลวงพ่อบอกว่า "เชิญเอากลับไปเถอะ ไอ้ของระยำอย่างนี้ ข้าไม่เอาหรอก มันรุนแรงเกินไป" อย่าลืมว่านั่นเป็นแค่ยักษ์ระดับมหาอำมาตย์เท่านั้น ยังไม่ใช่องค์จตุโลกบาลนะ แล้วถ้าเป็นระดับมหาราชของท่านทั้งหลายเหล่านี้ อาวุธของท่านจะมีศักดานุภาพขนาดไหน ? ฉะนั้น..โลกมนุษย์ของเรานี่ไม่พอให้ท่านใช้เท้าเหยียบข้างหนึ่งหรอก"

เถรี
10-06-2011, 04:36
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยเด็ก ๆ อาตมาชอบมุดเข้าไปในซอกเล็กซอกน้อย ผู้ใหญ่เขาเตือนว่า "ระวังผีจะลักซ่อนนะ.." แต่ก็ไม่กลัวหรอก มุดเข้าไปทุกที่ แต่ว่าเพื่อนบ้านใกล้ ๆ โดนเหมือนกัน หายไปอยู่ ๒ วัน ตามหาเท่าไรก็หาไม่เจอ ตอนหลังพระท่านช่วย ทำน้ำมนต์พรมเสร็จก็เห็นเข้าไปนอนอยู่ในสุ่มไก่ มุดเล่นอยู่ในสุ่มไก่ นอนอยู่เฉย ๆ ๒ วัน

พอถามเขาก็บอกว่าเล่นซ่อนแอบอยู่ มีคุณอา..ไม่รู้คุณอาอะไรของเขา มาชวนไปบ้าน มีขนมให้กิน บ้านคุณอาเขาสวย มีสวนสวย ๆ ไปตลอดทาง กินขนมเสร็จคุณอาก็บอกว่า "กลับบ้านเถอะ แม่กำลังหาอยู่ ๒ วันแล้ว" เวลาต่างกันขนาดนั้น นั่นกินขนมแค่พักเดียวแล้วก็กลับบ้าน"

ถาม : ถ้าไม่กลับมาจะเป็นอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าหมดอายุก็ไปเลย ถ้าไม่หมดอายุก็เป็นลักษณะนอนเงียบไปเฉย ๆ แต่ไม่ต้องกังวล เพราะว่าสภาพร่างกายที่ออกไปลักษณะอย่างนั้น เหมือนกับการออกไปด้วยกำลังของฌาน ๔ กำลังฌานช่วยรักษาร่างกายได้

เถรี
10-06-2011, 04:52
ถ้าไม่มีอะไรเกี่ยวเนื่องกันมาเขาก็ไม่มาชวนหรอก โบราณเขากลัวผีลักซ่อนก็คือลักษณะนี้ ถึงเวลาเขาก็บังตาไว้ แบบเดียวกับที่เขาใหญ่ตรงจุดใกล้ ๆ เหวสุวัต เขาทำเป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ปรากฏว่าเด็กหายไปคนหนึ่ง มีพนักงานป่าไม้ผู้อาวุโสบอกให้จุดธูป ๕ ดอกปักลงดิน ขอเจ้าพ่อที่ศาลตรงนั้นให้หาเด็กเจอ

จริง ๆ เด็กก็อยู่แถวนั้นแหละ คนเดินไปเดินมาอยู่ตลอด เด็กนั่งอยู่ตรงลานหินใกล้ ๆ กับสระน้ำ ตอนเขาหากัน เด็กก็เห็นคนเดินไปเดินมาอยู่ แต่พอคนตะโกนเรียก เด็กเขาบอกว่าไม่ได้ยิน เขาไม่คิดว่าคนมาหา คิดว่าเป็นนักท่องเที่ยวมาเดินธรรมดา เขารู้สึกว่าเดี๋ยวเดียวเอง แต่ปรากฏว่ากินเวลาไปวันกว่าเกือบ ๒ วัน

สมัยก่อนเรื่องลี้ลับของป่ามีเยอะ พอสมัยใหม่แค่เรื่องไฟฟ้าเรื่องเดียวทำให้ผีหายไปเกินครึ่ง เพราะว่าไฟฟ้าวิ่งด้วยความเร็ว ๕๐ ครั้งต่อวินาที เท่ากับสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา เมื่อผีเขาจะแสดงร่างเขาให้เราเห็น เขาต้องรวบรวมกำลังดึงธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ รอบข้างมารวมเป็นตัวหยาบ

แต่พอไฟกระพริบ ๆ กลายเป็นพลังงานกระแทกกระจายไป จึงทำให้ผีเขารวมไม่ติด ที่โบราณเขาบอกให้เปิดไฟนอนแล้วผีไม่หลอกนี่เป็นเรื่องจริง แต่หมายถึงผีที่มีฝีมือต่ำ ๆ นะ ถ้าไปเจอระดับด็อกเตอร์ผีเข้า เที่ยง ๆ เขาก็มาได้

ฉะนั้น..เราจะเห็นว่าระยะหลังผีหลอกคนน้อยลงเพราะว่าเขาไม่สามารถที่จะดึงเอาดิน น้ำ ไฟ ลม มารวมเป็นตัวได้ กำลังไฟที่สะเทือนอยู่ตลอดเวลา ทำให้โมเลกุลเกาะกันไม่ติด นี่อธิบายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์แล้วนะ

ถาม : แล้วถ้าอย่างเป็นไฟกองใหญ่ ๆ ?
ตอบ : เหมือนกันแหละ ลักษณะเดียวกัน เพราะเปลวไฟที่สะบัดพรึบ ๆ ตลอดเวลา ส่งพลังสั่นสะเทือนอยู่ตลอด โดยเฉพาะว่าทำให้ดิน น้ำ ไฟ ลม ตรงนั้นไม่สมดุลกัน ในเมื่อไม่สมดุลกัน คุณจะประกอบร่างท่าไหน คิดจะเอาดินมาปั้นตรงนั้นก็เหลือแต่ไฟล้วน ๆ

เถรี
10-06-2011, 04:57
ถาม : เวลาที่เราอ่านนิยายแล้วเรามีอารมณ์รู้สึกคล้อยตามตัวละครในเนื้อเรื่องไปด้วยนี่ ?
ตอบ : มีการปรุงแต่งด้วย เรียกว่าใส่อารมณ์ตาม จิตสังขารนี่ตัวแสบเลย ยิ่งปรุงแต่งมากโอกาสที่เราจะติดอยู่ในรัก โลภ โกรธ หลงก็ยิ่งมาก สังเกตไหม ? บรรดานางร้ายเข้าไปในตลาดแล้วโดนรองเท้าตบ นั่นเขาปรุงเกินเหตุ เรื่องในจอแท้ ๆ คิดว่าเป็นเรื่องจริง

ถาม : เราไม่ชอบตัวละครตัวนี้ ?
ตอบ : ก็แปลว่าอารมณ์ใจของเราไปปรุงแต่งตามโดยไม่รู้ตัวแล้ว ความรักชอบเกลียดชังถึงได้เกิดขึ้น ถ้าหากว่าชอบก็เป็นราคะ ถ้าไม่ชอบก็เป็นโทสะ โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง

ถาม : แล้วจะสนุกได้อย่างไรละคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ปรุงก็ไม่สนุก ทุกวันนี้ที่ฝึกอ่านก็เพื่อทำให้ใจไม่คล้อยตามและอ่านรู้เรื่องด้วย รู้ไว้เพื่อคุยกับเขาก็พอ

เถรี
10-06-2011, 05:07
ถาม : ทำสังฆทานเป็นชุด มีพระสวดด้วย กับหยอดตู้สังฆทาน แบบไหนบุญมากกว่ากัน ?
ตอบ : ไม่ว่าจะยกมาถวายอย่างนี้หรือหยอดตู้ถวายเป็นสังฆทาน ถ้ากำลังใจดีก็มีอานิสงส์เหมือนกัน แต่ถ้ากำลังใจยังไม่ดี ยังยึดรูปแบบอยู่ ก็ทำแบบเป็นพิธีการ จะได้รู้สึกว่าตัวเองทำจริง ๆ

เพราะฉะนั้น..บุญจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับกำลังใจของเรา ถ้าเป็นอาตมาหยอดตู้ทำง่ายกว่า เวลาได้อะไรก็ได้ง่ายกว่า แต่ถ้ากำลังใจห่วย ๆ จะต้องเห็นของให้ครบก่อนถึงจะรู้สึกว่าได้ทำ ก็รอไปก่อน

ถาม : แล้วสร้างอุโบสถกับวิหารทาน อานิสงส์อันเดียวกันหรือเปล่า ?
ตอบ : อานิสงส์เดียวกัน เป็นบุญวิหารทานเหมือนกัน

เถรี
10-06-2011, 05:18
ถาม : คนที่ได้มโนมยิทธิ เขาจะสามารถใช้ความสามารถญาณ ๘ ได้หมดทุกอย่างไหม ?
ตอบ : ได้..แต่ความสามารถแต่ละอย่างจะไม่เท่ากัน แล้วแต่บารมีที่สร้างเสริมมา ต่อให้ได้ญาณ ๘ ครบถ้วนทุกอย่างเหมือนกัน ก็จะชำนาญแต่ละอย่างไม่เท่ากัน อย่างเช่นบางคนอาจจะเก่งในทางทิพจักขุญาณ บางคนอาจจะเก่งทางระลึกชาติ บางคนอาจจะเก่งทางรู้ใจคนอื่น

ถาม : บางคนก็ได้ไม่ครบใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ถ้าหากได้ทิพจักขุญาณตัวเดียวอย่างอื่นก็ได้ครบ เพราะว่าเป็นการใช้ทิพจักขุญาณในการรู้เรื่องต่าง ๆ ถ้าเราไปดูอดีตเขาเรียกอตีตังสญาณ ดูอนาคตเรียกอนาคตังสญาณ เป็นต้น เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าได้ทิพจักขุญาณตัวเดียวเท่ากับได้ครบนั่นแหละ เพียงแต่ว่าจะชำนาญด้านไหนเท่านั้น

เถรี
10-06-2011, 19:53
ถาม : พวกฝรั่งเขาไม่ได้ทำบุญในพุทธศาสนา ทำไมเขาจึงมีทรัพย์สินเยอะ ?
ตอบ : อย่าลืมว่าเราเห็นแค่ชาตินี้ ฝรั่งเขามีการให้ทานเป็นปกติ ในเมื่อเขาให้ทานเป็นปกติ ผลทานก็ย่อมเกิดโภคสมบัติต่าง ๆ สมบูรณ์บริบูรณ์อยู่แล้ว ไม่ใช่ว่ามีแต่พระพุทธศาสนาของเราเท่านั้นที่ให้ทานแล้วจะให้ผล เรื่องของความดีจะเป็นคนศาสนาไหนก็ตาม ถ้าทำก็ให้ผลอยู่แล้ว

ถาม : ให้ทานคนไม่ดีกับให้ทานกับพระอรหันต์ต่างกันใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ต่างกัน สำคัญตรงที่คุณได้ทำหรือเปล่า ? ถ้าคุณมัวแต่รอพระอรหันต์แล้วจึงค่อยทำ ชาติหน้าบ่าย ๆ คงจะมีโอกาส

เถรี
10-06-2011, 19:58
ถาม : เคยได้ยินว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนไทย ก็เลยสงสัยว่าสมัยพระพุทธกาลพระพุทธเจ้าพูดภาษาไทยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญู ท่านสามารถใช้ทุกภาษาได้ แต่ว่าภาษาหลักในการเผยแผ่ธรรมะในสมัยนั้น คือภาษาบาลี เหมือนกับประเทศเราในปัจจุบันนี้ที่ใช้ภาษากลางคุยกับคนทุกภาคได้

ที่ว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนไทยนั้น เกิดจากสมมติบัญญัติของพวกคุณทีหลัง สมัยนั้นไม่มีประเทศไทย มีแต่ชมพูทวีป

ถาม : อินเดียสมัยก่อนอยู่รวมกันทุกเชื้อชาติใช่ไหมครับ ?
ตอบ : แม้ในปัจจุบันเขาก็อยู่กันสามร้อยกว่าเชื้อชาติ เพราะมีถึงสามร้อยกว่าภาษา

ถาม : แสดงว่าคนไทยที่อยู่ในประเทศไทยปัจจุบันนี้ก็โดนไล่ลงมาใช่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เสียเวลาไปคิด ไปนั่งภาวนาจะดีกว่า

เถรี
10-06-2011, 20:02
ถาม : ในเรื่องมโนมยิทธิ ผมนั่งสมาธิแต่ไม่ได้กำหนดภาพพระ พอรู้สึกว่าจิตนิ่งก็เห็นภาพชัดขึ้นมา ใช้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : สำคัญตรงที่ว่าใช้งานได้ไหม ? ถ้าเป็นการฝึกปฏิบัติเฉย ๆ เรากำหนดภาพพระอย่างเดียวก็ใช้ได้ แต่ถ้าตั้งใจทำในมโนมยิทธิ ถึงเวลากำหนดภาพพระขึ้นมาแล้ว ในเรื่องญาณคือเครื่องรู้ต่าง ๆ (ญาณ ๘) อย่างใดอย่างหนึ่งเราต้องทำได้ ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าเราใช้งานไม่ได้ก็เท่ากับเป็นพุทธานุสติเฉย ๆ

เถรี
10-06-2011, 20:07
ถาม : ทำสังฆทานควรเลือกเนื้อนาบุญหรือเปล่า ?
ตอบ : มีโอกาสก็เลือก ไม่มีโอกาสทำดะไปเลย เพราะสังฆทานเป็นบุญพิเศษ ทำที่ไหนก็อานิสงส์เท่ากัน


ถาม : เลือกกับไม่เลือกต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : ต่างกันตรงที่ว่า ถ้าเลือก..โอกาสทำจะน้อย สังฆะคือหมู่สงฆ์ ผู้รับเป็นเพียงตัวแทนเท่านั้น เพราะฉะนั้น..จะทำที่ไหนก็อานิสงส์เท่ากัน

ถาม : แล้วพระรูปเดียวรับสังฆทาน ?
ตอบ : เหมือนกัน เพราะท่านเป็นตัวแทนเฉย ๆ

ถาม : แล้วถ้าเจาะจงบุคคลเล่าครับ ?
ตอบ : อานิสงส์จะลดลงมาหน่อยเพราะไม่ใช่สังฆทาน

เถรี
10-06-2011, 20:26
ถาม : ในช่วงวันหนึ่ง ไม่รู้ว่าผมใช้มโนมยิทธิหรือเปล่า ? แต่ในใจผมนึกถึงแต่คำว่านิพพานอย่างเดียว ใช้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : จัดเป็นอุปสมานุสติ กำลังใจเกาะพระนิพพาน ใช้มโนมยิทธิไม่เป็นก็ไม่เป็นไร ขอให้นึกถึงพระนิพพานได้ก็แล้วกัน

ถาม : ถ้าผมตายตอนนี้ ผมจะไปไหมครับ ?
ตอบ : ไปแน่ แต่..ไม่รู้ว่าไปไหน..!

ถาม : แล้วผมจะได้ไปนิพพานไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มีใครบอกได้ จนกว่าจะถึงเวลานั้นเอง กำลังใจมุ่งตรงต่อเป้าหมาย พยายามปฏิบัติในกติกาที่ทำให้เราไปพระนิพพานได้ ส่วนจะไปได้หรือไปไม่ได้..ช่างมัน

เถรี
12-06-2011, 20:11
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงปู่ทวดเป็นพระที่มรณภาพแล้วดัง ตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่ก็ดังเหมือนกัน เพราะท่านเป็นสมเด็จพระสังฆราชอยู่ระยะหนึ่ง

สาเหตุที่ท่านดังมากหลังจากมรณภาพแล้ว เพราะว่ามีรถไฟสายใต้ขบวนหนึ่งวิ่งผ่านหน้าวัดช้างให้ เนื่องจากพนักงานขับรถไฟเป็นคนภาคอื่น จึงคิดลองของ โดยท้าทายว่าถ้าหลวงปู่ทวดศักดิ์สิทธิ์จริงช่วยแสดงอภินิหารให้ดูหน่อย

ปรากฏว่ารถไฟวิ่งไปถึงหน้าวัดช้างให้แล้วหยุดอยู่กับที่ทั้งที่เครื่องเดินเป็นปกติ ไม่ว่าเครื่องจะเดินดีขนาดไหนแต่ว่าตัวรถขบวนไม่ไป จนต้องลงไปจุดธูปขอขมาท่าน รถไฟจึงวิ่งต่อไปได้"

เถรี
12-06-2011, 20:19
ถาม : สูตรของดีหมีที่ผสมกับเหล้าขาวแก้อัมพาตจากเส้นเลือดในสมองแตก ต้องใช้ปริมาณเท่าไรครับ ?
ตอบ : ใส่ดีหมีลงไปจนสีของเหล้าเปลี่ยนเป็นสีชา อย่าเอาชาแก่นักก็แล้วกัน ต้องเป็นดีหมีแท้นะ เพราะปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่จะเป็นถุงอัณฑะของแพะ เอามาขูดให้บางแล้วเคี่ยวน้ำตาลจนไหม้ใส่ลงไปแทน ปลอมได้เนียนมาก

ถาม : ใช้ดีวัวแทนได้ไหม ?
ตอบ : ไม่ได้..เขาบอกว่าดีหมีของแท้ ถ้าเรากำไว้ในมือ เลียหลังมือยังขมเลย ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า ? ไม่เคยลองเหมือนกัน

เถรี
12-06-2011, 20:27
ถาม : ตอนเข้าสมาธิกรรมฐาน ดูลมสามฐาน ใช้คำบริกรรมพุทโธและยกจิตไว้ที่กระหม่อมค่ะ เกิดสภาวธรรมก็คือ จิตไปจับอยู่ที่กระหม่อมระยะหนึ่ง จิตก็ลืมลมหายใจ พอมีสติรู้ว่าลมหายใจเป็นอย่างไรก็ตัดกลับมาที่ลมหายใจ รู้สึกว่าละเอียดขึ้น แต่สภาวะตรงนั้นที่สัมผัสจะเบา ๆ ตรงที่กระหม่อม
ตอบ : ของเราทำข้ามขั้นตอนไปจ้ะ พวกนั้นต้องคนที่ฝึกมาอย่างชำนาญมาแล้ว ถ้าหากว่าทั่ว ๆ ไปเขาให้เอาความรู้สึกทั้งหมดไหลไปกับลมหายใจ ลมหายใจไหลเข้าเราไหลตามไปด้วย ลมหายใจไหลออกเราไหลตามไปด้วย ถ้าหากว่าเรายังไม่ชำนาญแล้วไปทำอย่างนั้นก็จะงง ๆ ว่านี่คืออะไรกันแน่

ถาม : สงสัยว่าสิ่งที่กระทำอยู่ เอาจิตไปจับอยู่ที่กระหม่อม ก็เหมือนกับการที่จิตระลึกรู้อยู่ที่เดียว โดยการบังคับให้อยู่ และลืมกายลืมใจหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วใช้ได้จ้ะ เพราะทำให้จิตสงบแล้วนิวรณ์กินใจของเราไม่ได้ แต่ว่าจะไม่ทรงตัวมากไปกว่านั้น
ถ้าจะให้อารมณ์ใจทรงตัวมากไปกว่านั้น ความรู้สึกทั้งหมดต้องไหลไปกับลมหายใจเข้าออกโดยไม่ไปอยู่ที่อื่น กำหนดรู้ลมตลอดไปเลย ยิ่งละเอียดมากเท่าไรก็ยิ่งกำหนดรู้ชัดขึ้น ท้ายที่สุดก็จะไม่มีฐานลม คำว่าไม่มีฐานเพราะว่ารู้ตลอดตั้งแต่เข้ายันออกตลอดทางเลย

ถาม : แล้วการพักที่ฐานที่กระหม่อมเป็นอย่างไรคะ ?
ตอบ : ไม่เป็นอย่างไร เป็นการแยกจิตไปอยู่ที่หนึ่ง แล้วความรู้สึกอยู่อีกที่หนึ่งเท่านั้นเอง สำหรับคนที่ชำนาญมาก ๆ เขาแยกได้เป็นสิบ ๆ ที่พร้อมกัน

เถรี
12-06-2011, 20:33
ถาม : มีอารมณ์เกิดขึ้น คือ ระลึกรู้เองว่ามีเปลวไฟ เป็นมโนมยิทธิแต่ไม่ใช่ตาเนื้อ และเห็นเป็นกระดูก พิจารณาว่าเป็นกระดูกในตัว นั่นเป็นสิ่งที่เราสมมติขึ้นมา หรือว่าจิตเราบอก ?
ตอบ : เราไม่ได้ปฏิบัติธรรมมาเพียงชาติเดียว แต่ละคนกว่าจะมาถึงนี่ปฏิบัติกันมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว กรรมฐานเก่า ๆ ในอดีตที่เคยทำได้มีอยู่ ส่วนไหนที่คล่องตัว ถ้าจิตสงบได้ที่ก็จะมาเอง

การเห็นโครงกระดูกก็เป็นอัฏฐิกอสุภะ การเห็นไฟก็เป็นเตโชกสิณ ถ้าความรู้สึกของเราทรงตัวมั่นคงแล้ว นิวรณ์กินใจไม่ได้แล้ว จะหันไปพิจารณาโครงกระดูกนั้นแทนก็ได้ ให้เห็นว่าสภาพร่างกายของเราก็ดี คนอื่นก็ดี สัตว์ทั้งหลายก็ดี ไม่มีแก่นสารอะไร ท้ายสุดก็ตายเหลือแต่โครงกระดูกแบบนี้ ให้ใจของเราเบื่อหน่าย หมดความอยากมี อยากได้ ในร่างกายของตัวเองและคนอื่น

หรือไม่ก็ถ้าหากว่าเปลวไฟปรากฏชัด เราก็กำหนดเปลวไฟเป็นเตโชกสิณ การกำหนดก็แค่เอาสติจดจ่ออยู่กับภาพตรงนั้น กำหนดว่าเตโชกสิณังไปเรื่อย ๆ ภาพไฟก็จะเปลี่ยนไปเรื่อย ยิ่งทำนานเท่าไร ความจางลง บางลง ของภาพนั้นก็จะมีมากขึ้น จนในที่สุดก็จะขาวสะอาด พอเราสามารถบังคับให้ใหญ่เล็กตามใจของเราได้ ก็ลองอธิษฐานใช้ผลของกสิณดู

แต่ว่าการปฏิบัติจริง ๆ แล้ว ถ้าเราทำอย่างไหนอยู่ให้ทำอย่างนั้นให้ตลอดไปก่อน จนอารมณ์ใจทรงตัวเต็มที่จริง ๆ ถ้าเป็นกรรมฐานทั่ว ๆ ไปคือให้ได้ฌาน ๔ ไปเลย แล้วหลังจากนั้นแล้วค่อยเปลี่ยนกองใหม่ ไม่อย่างนั้นเรามัวแต่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ การทรงตัวก็จะไม่มี ผลที่จะเกิดจริง ๆ ก็ไม่ได้

ถาม : แล้วของโยมควรจะทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : เอาของเก่าก่อน ถ้าเราดูลมก็ทำเต็มที่จนถึงทรงฌาน ๔ ไปเลย แล้วหลังจากนั้นแล้วค่อยเปลี่ยน ของที่เคยทำได้แล้ว ถึงเวลาขยับเปลี่ยนไปพักเดียวก็ได้แล้ว

เถรี
12-06-2011, 20:38
ถาม : การรู้ตัวอาการของจิต เห็นความโกรธ ความโลภ ความเป็นอัตตาของตัว แต่ก็ยังฟู
ตอบ : ถ้าจิตละเอียดมากขึ้นก็จะเห็นมากขึ้น แต่ว่าให้เห็นในลักษณะเป็นผู้ดู คือรู้ว่าตอนนี้อารมณ์ใจอย่างนี้เกิดขึ้นกับเรา แล้วก็สักแต่ว่ารับรู้ไว้ ไม่ไปยินดียินร้ายด้วย ถ้าอย่างนั้นก็จะกลายเป็นวิปัสสนา ก็คือเห็นจริงอยู่กับปัจจุบัน แต่ถ้าหากว่าเราไปยินดียินร้ายด้วย จิตใจก็จะเศร้าหมองไม่ผ่องใส ถ้าตายตอนนั้นก็ขาดทุน

ถาม : ถ้าเห็นแล้วเรารู้สึก เหมือนระลึกรู้ แล้วจิตเกิดปีติขึ้น ?
ตอบ : ก็ดีจ้ะ แต่ก็เป็นแค่ปีติ ปีติก็เป็นเรื่องแค่กามาวจร ถ้าเราหวังหลุดพ้นจะต้องก้าวข้ามไปให้สูงกว่านั้น ไม่ไปยินดียินร้ายด้วย สักแต่ว่ารู้เห็น ให้สติระลึกรู้อยู่กับปัจจุบัน ให้เห็นว่าสภาพของจิตของเราจริง ๆ นั้นคบหาไม่ได้เลย เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย เดี๋ยวรัก เดี๋ยวโลภ เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวหลง เกิดมาเมื่อไรก็จะเจออย่างนี้ ในที่สุดก็จะเบื่อหน่ายคลายกำหนัด ไม่ต้องการ หมดความยึดมั่นถือมั่น จิตก็จะถอนออกมาแล้วหลุดพ้นไปเอง

ถาม : ให้กลับไปดูลมหายใจ ?
ตอบ : กลับไปดูลมหายใจใหม่ แล้วก็กำหนดรู้อยู่กับปัจจุบันของเรา อะไรมาให้รู้อยู่เฉพาะหน้า อย่าไปยินดียินร้าย อย่าไปปรุงแต่งด้วย มาเท่าไรกองเอาไว้ตรงนั้นแหละ

ถาม : เรารู้อยู่ว่าจิตส่งไปทางไหนของร่างกาย พอเรามีสติรู้เราก็มาดูลมหายใจอีก ?
ตอบ : ถ้าเราทำจนคล่องตัวแล้ว จะรู้อัตโนมัติไม่ต้องบังคับ เราก็แค่ประคองการรู้อัตโนมัตินั้นไว้เท่านั้น

ถาม : การรู้ลมหายใจต้องกำหนดคำบริกรรมไหมคะ ?
ตอบ : แรก ๆ ต้องกำหนดจ้ะ แต่พอทรงตัวแล้วจะเป็นเองอัตโนมัติ เราไม่ต้องภาวนา ไม่ต้องกำหนดก็ภาวนาเอง เราไม่ต้องกำหนดก็รู้ลมเอง แล้วเราก็ประคองรักษาสภาพนั้นเอาไว้

เถรี
12-06-2011, 21:41
ถาม : ตอนที่เดินจงกรม รู้สึกว่าเวลากำหนดแล้วอึดอัด พอรู้ว่าเคลื่อนไปเป็นธรรมดา กลับมาที่ตากลับมาที่ใจจึงสบาย อย่างนี้ไม่ต้องกำหนดองค์บริกรรมก็ได้ ?
ตอบ : ไม่ต้องจ้ะ เพราะว่าการกำหนดองค์บริกรรมจริง ๆ เพื่อให้หมู่คณะได้ทำโดยพร้อมเพรียงกัน ปกติแล้วถ้าหากว่าทำจนกระทั่งเข้าใจว่าขั้นตอนมีอย่างไรแล้ว เขามักจะให้แยกไปปฏิบัติคนเดียว

แต่การปฏิบัติที่เขามักจะทำเป็นหมู่พร้อม ๆ กัน ก็เลยทำให้คนที่มีความก้าวหน้ามากกว่าบางทีรู้สึกรำคาญ เพราะต้องไปนับหนึ่งกับเขาอยู่ตลอด จริง ๆ แล้วก็คือเราแยกไปทำตามสบายของเรา อันไหนที่ทำแล้วจิตของเราสบาย ทรงตัว กิเลสกินไม่ได้ ถือว่าใช้ได้ทั้งนั้น

เถรี
12-06-2011, 21:44
ถาม : เวลาภาวนาจับลมหายใจจะหนักหัวตรงนี้ แล้วก็เปลี่ยนที่ไปเรื่อยค่ะ ?
ตอบ : ปล่อยให้เป็นต่อไป ไม่ต้องไปใส่ใจ มัวแต่ไปห่วงกังวลอยู่ ก็ไม่ต้องไปไหนสิ รู้สักแต่ว่ารู้ ทำได้ไหม ?

ถาม : มีดพับที่เอาไปเข้าพิธีเป็นวัตถุมงคล จะเอาไปใช้ตัดทั่วไปได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้..ใช้ไปเถอะ ก็เขาให้ใช้นี่ เพียงแต่ว่าใช้อย่างมีสติแล้วกัน

เถรี
12-06-2011, 21:48
ถาม : ผมภาวนาคาถาเงินล้านพร้อมกับจับลมหายใจ ภาวนาไปลมหายใจหายไปเหลือแต่คำภาวนา ต้องถอยลงมาพิจารณาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องจ้ะ ปล่อยยาวไปเลยจนกว่าจะครบตามเวลาหรือตามจำนวนจบที่เราต้องการ เสร็จแล้วหลังจากนั้นเราค่อยคลายอารมณ์ออกมาพิจารณา

เรื่องของคาถาต้องทำจริงจังและสม่ำเสมอ เคยทำวันละเท่าไรต้องทำวันละเท่านั้น ถ้าหากว่าเริ่มเป็นอย่างของคุณว่านี่ ทำต่อเนื่องได้สัก ๒ เดือน ต่อไปเงินทับตาย..!

เถรี
12-06-2011, 21:53
พระอาจารย์แนะนำโยมที่ตั้งครรภ์ว่า "พยายามรักษาศีลปฏิบัติธรรมให้เป็นปกติ โดยเฉพาะสมัยนี้พวกอาหารการกินต่าง ๆ อุดมสมบูรณ์มากเกินไป ทำให้เด็กพลังงานล้นเกิน เด็กที่พลังงานล้นเกินจะอยู่นิ่งไม่ได้

ถ้าหากว่าเรานั่งสมาธิทุกวันจนกระทั่งอารมณ์ทรงตัว จะส่งผลไปถึงลูกด้วย ต่อไปลูกก็จะนิ่งเป็นตั้งแต่เล็ก ๆ ไม่อย่างนั้นให้เด็กนั่งนิ่ง ๆ นี่ตายแน่เลย ต้องจับมัดกันอย่างเดียว

ทำไปทุกวัน รักษาศีล ๘ ได้ยิ่งดี"

เถรี
13-06-2011, 11:06
ถาม : อาการแพ้ท้องนี่มีผลมาจากกรรมปาณาติบาตหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เป็นอาการปกติของคนท้อง แต่จะเรียกว่ามีกรรมก็ได้ บางคนก็ไม่เคยแพ้เลย บางคนก็แพ้ตั้งแต่วันแรกยันวันคลอดเลย

พวกที่ไม่เคยแพ้เพราะเขาไม่รู้ว่าต้องแพ้ ร่างกายจึงไม่ได้ตั้งระบบไว้ว่าต้องแพ้ พวกที่ไม่เคยแพ้เลยถ้าหากว่ากินยาคุมก็ไม่มีอาการอะไรเลย ส่วนพวกที่แพ้ท้องมาก ๆ นี่ยาคุมก็กินไม่ได้ กินแล้วก็อาเจียน ความจริงเขาไม่ได้แพ้เพราะเด็ก แต่อาการแพ้เกิดจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง

เถรี
13-06-2011, 11:08
ถาม : ก่อนวันเกิดนี่จะมีเคราะห์หรือคะ ?
ตอบ : ประมาณก่อนเกิดเดือนหนึ่งและหลังเกิดเดือนหนึ่ง จะเป็นช่วงรอยต่อของกรรม เพราะฉะนั้น..ช่วงนั้นถ้ามีอะไรดีหรือร้ายเข้ามา จะหนักกว่าเวลาอื่น เขาให้ทำบุญกันเอาไว้ก่อน

อย่างของอาตมารู้ว่าของจะหาย เพราะว่าตอนนี้ราหูกำลังจะออกพ้นไปจากราศีเกิด ก็ไปปล่อยนกส่งท่าน แล้วต้องไปปล่อยที่วัดเชียงมั่นด้วยนะ ที่อื่นไม่ปล่อย เพราะสนิทกับคนขายที่นั่น การปล่อยนกมีอานิสงส์ป้องกันของหายได้

เถรี
13-06-2011, 11:11
ถาม : ปล่อยปลาอานิสงส์เหมือนกันไหมคะ ?
ตอบ : ไม่เหมือนเพราะว่าปลาเขาจะเอาไปฆ่า การปล่อยปลาจึงมีอานิสงส์ต่อชีวิต ส่วนนกนี่เขาไม่ฆ่าหรอก เขาเก็บไว้ให้เราปล่อย แต่ว่าถ้าเป็นปลาเขาตั้งใจเอามาขายให้เราปล่อยนี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง

อย่างท่านอาจารย์วิโรจน์ วัดสระพัง ถึงเวลาก็มาชวน "อาจารย์เล็ก..ปล่อยปลาด้วยกันไหม ?" อาตมาบอกว่า "ไม่เอาหรอก..ปล่อยอย่างคุณจะไปได้อะไร เล่นไปสั่งเขาตีอวนมาที ๓ - ๔ ตัน ปลาอยู่ในบ่อยังสบายกว่าโดนเขาลากขึ้นมาตั้งเยอะ" แต่ว่าไปแล้วทำอย่างท่านอาจารย์วิโรจน์นั้น จะมีอานิสงส์ได้บริวารมาก

เถรี
13-06-2011, 13:45
ถาม : วันที่ ๒๔ เขาไหว้เจ้า เขาบอกว่าราหูเคลื่อนจากราศีธนูเข้าสู่ราศีพิจิก เป็นมหาอุจจ์
ตอบ : คำว่า "อุจจ์" ตัวนี้เป็นบาลี แปลว่าสูงมาก เช่น อุจฺโจ รุกฺโข อันว่าต้นไม้ซึ่งสูงมาก

ดังนั้น..มหาอุจจ์ตัวนี้ ก็แปลว่ากำลังกุมชะตาเต็มที่แล้ว แต่ว่าราหูเข้าก็ดี ถ้าเราทำพิธีรับแล้ว ส่วนใหญ่ต้องการอะไรจะได้อย่างนั้น ต่อไปอะไรที่ยากก็จะง่ายขึ้น

ถาม : เราจะดูอย่างไรว่าราหูจะมา ราหูจะไปเมื่อไร ?
ตอบ : เปิดตำราพระเคราะห์เสวยอายุในพรหมชาติก็ได้ เขาจะมีบอกไว้ เราก็ไล่ดูไปเรื่อยว่าอายุกี่ปีกี่เดือนกี่วัน ราหูจะเสวยอายุในช่วงไหน

ปกติแล้วเราเกิดวันไหนจะเริ่มต้นที่ดาวนั้น อย่างอาตมาเกิดวันอาทิตย์ ก็คือพระอาทิตย์เสวยอายุ ๖ ปีแรก ถัดไปอีก ๑๕ ปีพระจันทร์เสวยอายุ เป็น ๒๑ ถัดไปอีก ๘ ปีพระอังคารเสวยอายุ ก็ไปถึง ๒๙ ถัดไปอีก ๑๗ ปีพระพุธเสวยอายุ ก็เป็น ๔๖ ก็แปลว่า ปัจจุบันนี้ของอาตมาก็คือ ๑๙ ปีของพฤหัสบดี แต่ไม่ใช่พฤหัสบดีเสวยอายุอย่างเดียว เพราะว่าจะมีดาวจรแทรกเข้ามาเป็นระยะ ๆ อย่างราหูบ้าง ศุกร์บ้าง พุธบ้าง ตามแต่จังหวะการโคจรของเขา

แต่ว่าดาวหลัก ๆ ตอนนี้คือดาวพฤหัสบดี คราวนี้ถ้าดาวพฤหัสบดีเสวยอายุอยู่มักจะต้องอ้วน เพราะเป็นดาวใหญ่ที่สุดในนพเคราะห์ทั้งหมด แต่เขามีข้อแม้ว่าถ้าคนไหนไม่อ้วน จะรวยแทน เพราะฉะนั้น..ตอนนี้อาตมาจะรวยใหญ่ไปถึงอายุ ๖๕ พอ ๖๕ ไปแล้วก็จะรวยใหญ่ขึ้นไปอีก สรุปแล้วหาดี เอ๊ย..หาชั่วไม่ได้ มีแต่ดีอย่างเดียว เพราะทุกอย่างอยู่ที่กำลังใจเรา

เถรี
13-06-2011, 13:50
ถาม : แล้วคนที่ดวงมีมหาอุจจ์เยอะ ๆ นี่เป็นพวกดวงแข็งหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่เป็นมหาเศรษฐีก็เป็นมหาโจร ต้องดูว่าเขาจะเลี้ยวไปทางไหน ถ้าไม่เป็นรัฐมนตรีก็ต้องเป็นเจ้าพ่อ

ถาม : ถ้าเกิดทลิทโทฤกษ์ ?
ตอบ : ทลิทโทฤกษ์ แปลว่า ฤกษ์ขอทาน ถ้าทลิทโทฤกษ์ต่อด้วยมหัทธโนฤกษ์ ต้องเป็นพระถึงจะดี เพราะทลิทโทฤกษ์ต่อด้วยมหัทธโนฤกษ์ ก็คือฤกษ์ขอทานต่อด้วยมหาเศรษฐี แปลว่าขอเขาได้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้น..ต้องบวชพระ..!

เถรี
13-06-2011, 13:51
ถาม : การเปิดรับพุทธานุภาพจากวัตถุมงคลนี่ต้องใช้กำลังใจระดับไหนคะ ?
ตอบ : อุปจารสมาธิก็พอแล้ว เพียงแต่สำคัญว่าให้มีความเชื่อมั่นและเลื่อมใสจริง ๆ เหมือนอย่างกับว่าท่านเป็นที่พึ่งสุดท้ายในชีวิตของเรา เหมือนกับคนตกเหว คว้าไปเจอเชือกหรือเถาวัลย์แล้วต้องโหนให้สุดชีวิต ทำใจอย่างนั้นได้ก็รับรองว่าได้เต็ม ๆ

เถรี
14-06-2011, 05:50
ถาม : ตอนนี้เห็นทุกข์จนเบื่อ จนไม่อยากไปพิจารณาอริยสัจ เพราะเบื่อมาก..?
ตอบ : รักษาความเบื่อเอาไว้ เพราะหาได้ยาก ถ้าไม่เบื่อเราก็อยากเกิดอีก ความเบื่อเป็นต้นทางของความหลุดพ้น เพียงแต่พิจารณาให้เห็นจริงว่า ธรรมดาของการเกิดมา จะต้องพบกับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ แต่ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาทุกข์ มีแต่ความน่าเบื่อหน่ายแบบนี้ จะมีแก่เราชาตินี้ชาติเดียว ตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพาน

ตั้งอารมณ์ใจไว้แบบนี้ แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาของเราต่อไป ถ้ากำลังใจพอเมื่อไรจะก้าวข้ามไปเป็นสังขารุเปกขาญาณ ปล่อยวางได้ ก็จะไม่ไปทุกข์ไปเบื่ออีก

เถรี
14-06-2011, 05:55
ถาม : มีพระเครื่องอยู่องค์หนึ่งหายไป ก็เลยใช้คาถาที่ท่านบอก แต่ยังไม่ได้คืน..?
ตอบ : ยังไม่ได้คืนแสดงว่าสมาธิไม่ดีพอ อาตมาเองมีพระเนื้อเมฆสิทธิ์ปางซ่อนหาของหลวงปู่ทับ วัดอนงคาราม หล่นหายตอนตัดกิ่งไม้ ตัดอยู่เป็นสิบ ๆ ต้นจึงไม่รู้ว่าหล่นหายที่ไหน

ปกติถ้าหากว่าอาตมาลืมพระของหลวงปู่ทับ ท่านจะตะโกนเรียก วันนั้นท่านคงนึกอยากจะเล่นซ่อนหา ท่านก็เลยไม่เรียก ท่านจึงเจอไอ้หลานทรยศ "ไม่เรียกกูก็ไม่หา" ท้ายสุดท่านก็เลยต้องง้อด้วยการกลับมาเอง

ถ้าอยากแล้วเราจะไม่ได้จ้ะ ท่องแล้วทำใจสบาย ๆ จะกลับมาหรือไม่กลับมาก็แล้วแต่ท่านเถอะ

ถาม : เวลาปฏิบัติใช้อารมณ์ทิพจักขุญาณ ก็เหมือนกับมองเห็นคนที่หยิบพระไป แต่พอถามเขาไปจริง ๆ..?
ตอบ : อย่าทำอย่างนั้น เพราะเราเองไม่มั่นใจว่าเรารู้จริง ในเมื่อไม่มั่นใจว่าเรารู้จริง อาจจะเป็นการคาดคำนวณ เอาความรักชอบเกลียดชังส่วนตัวของเราบวกเข้าไปด้วย ถ้าเราไม่แม่นในทิพจักขุญาณขนาดพิสูจน์ได้ทุกเวลา จะใช้เป็นหลักฐานไม่ได้

ถาม : หนูจึงตัดใจไปเลย
ตอบ : จ้ะ ตัดใจไปเลย รอพระองค์ใหม่ก็แล้วกัน

เถรี
14-06-2011, 06:00
ความจริงอาตมาไม่รู้จักหลวงปู่ทับ วัดอนงคาราม ตอนพุทธาภิเษกพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน เจอหลวงตาแก่มาก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ ก็ถามท่านว่ามาจากไหนชื่ออะไร ท่านบอก “ข้าชื่อทับ” อาตมาก็ว่า “อ๋อ..หลวงปู่ทับวัดทอง”

เท่านั้นแหละ..โดนด่าหูตูบเลย “ไอ้ห่..มีแต่ไอ้ท่านวัดทองดังคนเดียวหรือไงวะ..?” อาตมาจะไปรู้หรือว่ามีอีกทับหนึ่ง ปรากฏว่าหลวงปู่ทับมีตั้ง ๓-๔ องค์ ก็ท่านไม่บอกว่าวัดไหน อาตมารู้จักแต่วัดทองวัดเดียว จึงโดนไปเต็ม ๆ เลย

พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน พอเจอหลวงปู่ทับช่วยสงเคราะห์ด้วย ก็เลยกลายเป็นพร้อมที่จะตีกับชาวบ้านเขาด้วย ก็นิสัยท่านบู๊ออกขนาดนั้น พูดง่าย ๆ ว่าเป็นประเภทถ้าขอดี ๆ แล้วไม่ให้ท่านก็จะปล้น..!

ที่ขำ ๆ ก็คือ พอได้พระปิดตาปางซ่อนหาของท่านมาก็พกติดตัวเอาไว้ ลืมทีไรท่านก็บอกทุกที วันนั้นหล่นหายท่านไม่บอก ไม่บอกก็เรื่องของท่านเถอะ..!

อาตมาบอกกับพระในวัดว่า "ผมไปตัดต้นไม้แถว ๆ นั้นนะ พวกคุณไปหาดูก็แล้วกัน แถว ๆ ๗ - ๘ ต้นนั่นแหละ ไม่รู้ว่าไปหล่นอยู่ตรงไหน.." ปรากฏว่าพระท่านหากันไม่เจอ อาตมาก็ไม่หาหรอก ปล่อยไปเกือบ ๆ ๒ เดือน จึงโผล่กลับมา

เถรี
14-06-2011, 08:36
ของที่หายแล้วกลับมาเองก็มีหลายอย่างด้วยกัน อย่างสมัยก่อนเป็นแหวนมงคล ๙ ของหลวงปู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดอนงคาราม วัดเดียวกับหลวงปู่ทับนั่นแหละ รุ่นไล่ ๆ กัน

คนโบราณตัวใหญ่ นิ้วก็เลยใหญ่ไปด้วย แหวนท่านอาตมาใส่นิ้วชี้ยังหลวมเลย วันนั้นเอาขยะไปทิ้ง เหวี่ยงเสียเต็มที่แหวนก็เลยลงคลองไปด้วย แล้วจะไปเอาคืนได้อย่างไร ปรากฏว่าอีกไม่กี่วันแหวนมาอยู่ในตู้เสื้อผ้า นั่นถ้าหากว่าไม่ได้ทำหลุดมือไปต่อหน้าต่อตา ก็ไม่มีทางที่จะเชื่อหรอกว่าท่านกลับมาเองได้ แสดงว่าท่านเบื่อน้ำเน่าเหมือนกัน จึงต้องเผ่นขึ้นมาอยู่ในตู้เสื้อผ้า

ตอนนั้นไปกราบหลวงพ่อเจ้าคุณไสว วัดอนงคาราม (ท่านเป็นเจ้าคุณพระเทพวิสุทธิเวที) ท่านเป็นเพื่อนร่วมวงน้ำปลาพริกป่นของหลวงพ่อวัดท่าซุงสมัยเรียนบาลีอยู่ ตอนนั้นท่านเป็นเณร แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นพระ

หลวงพ่อเจ้าคุณไสวบอกว่า "เฮ้ย..พระที่วัดตายพอดี ตอนนี้คณะสงฆ์กำลังแบ่งทรัพย์สินกัน ลองไปดูสิ เผื่อมีอะไรที่เขาแบ่งมาให้บ้าง" อาตมาก็เมียง ๆ ไป เขาส่งแหวนมาให้วงหนึ่ง แหวนมงคล ๙ มีอักขระเป็นหัวใจอิติปิโส อะสังวิสุโลปุสะพุภะ ทำด้วยเงิน แต่ว่าวงใหญ่เสียจนกระทั่งใส่นิ้วชี้ยังหลวม ก็แล้วแต่เขาให้ ให้อะไรก็เอาทั้งนั้นแหละ

แบบเดียวกับที่ไปวัดเทพศิรินทร์ เขาแบ่งสมบัติของหลวงปู่มหาอำพัน คราวนี้พระท่านส่งคทาของหลวงพ่อวัดท่าซุงมาให้ ถามว่าจะเอาไหม ? อาตมาต้องวางปั้นหน้านิ่งแทบตาย ทำท่ารับแบบเสียไม่ได้ ความจริงอยากจะกระโดดกอดเขาเลย..!"

เถรี
14-06-2011, 10:33
ถาม : ขอสูตรเคี่ยวน้ำมันแก้ปวดข้อปวดเข่า
ตอบ : ใช้น้ำมันมะพร้าว ๑ กะละมัง แล้วก็หัวเลียงผาทั้งหัว กระดูกหน้าแข้งเลียงผา ๔ ท่อน ทุบให้แตก ใส่ว่านม้าทองทุบแตกลงไปด้วย แล้วก็เคี่ยวกันข้ามวันข้ามคืน

ถาม : จะหาเลียงผาจากไหนคะ ?
ตอบ : ในเขาดินก็มี ก็ไปอุ้มมาสิ..!

เถรี
14-06-2011, 11:29
ถาม : ปฏิบัติกรรมฐานจำเป็นต้องสมาทานพระกรรมฐานอย่างหลวงพ่อวัดท่าซุงหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าหากว่ามีเวลาก็ทำ เพราะว่าเป็นการขอบารมีพระท่านช่วยอย่างเป็นทางการ ถ้าหากไม่มีเวลาก็ลงมือภาวนาเลย ดังนั้น..ถ้ามีเวลาก็ทำ จะได้เป็นรูปแบบที่ถูกต้อง เป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่เราด้วย

เถรี
14-06-2011, 15:15
พระอาจารย์กล่าวถึงพระอภิธรรมว่า "พระอภิธรรมเขาเพิ่งจะมาใช้สวดงานศพในระยะหลังนี่เอง ที่ประหลาดที่สุดก็คือก่อนหน้านี้พระอภิธรรมเขาสวดในงานมงคล อย่างเช่นงานขึ้นบ้านใหม่ งานแต่งงาน งานวันเกิด แต่พอเขาเอาพระอภิธรรมมาสวดในงานพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ สมัยรัชกาลที่ ๕ ตั้งแต่นั้นมาคนก็เลยถือว่าอภิธรรมเป็นการสวดในงานอวมงคล แล้วไม่ไปใช้ในงานมงคลอีกเลย

เพราะฉะนั้น..งานแต่งงานของใคร ถ้าเขาให้ขึ้น "กุสลา ธมฺมา" ทำใจไว้ได้เลยต้องเจริญมากแน่ ๆ เพราะว่าพระอภิธรรม ๗ บทเป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าเทศน์แล้วมีผู้บรรลุมรรคผลมากที่สุด ก็คือ ๘๐ โกฏิ

เราจะว่าเห็นพระพุทธเจ้าทรงเทศน์อนุปุพพิกถา บรรลุธรรมไป ๑๑๐,๐๐๐ คน เข้าถึงไตรสรณาคมน์อีก ๑๐,๐๐๐ คน ถือว่ามากมายมหาศาลแล้ว แต่พระอภิธรรม ๗ บทนี่บรรลุธรรมตั้ง ๘๐ โกฏิ"

ถาม : เฉพาะคนหรือเทวดา ?
ตอบ : เฉพาะเทวดา เพราะว่าเทศน์ให้คนฟังไม่ได้ ขนาดเทวดาที่ฟังหัวข้อแล้วเข้าใจยังใช้เวลาตั้ง ๓ เดือน อย่างพวกเราเอาแค่ ๓ ชั่วโมง ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่ฟังแล้ว หนีไปกินข้าวกันหมด

เอาไหม ? ใครแต่งงานระบุให้ชัดไปเลย เดี๋ยวจะไปสวดอภิธรรมให้ พอขึ้นนะโมชั้นเดียว โยมที่เขารู้พิธีกรรมก็ใจหายแวบเลย เพราะว่างานมงคลทั่ว ๆ ไปปัจจุบันเขาขึ้นนะโม ๙ ชั้น

ถาม : เป็นอย่างไรครับนะโม ๙ ชั้น ?
ตอบ : อยู่ที่จังหวะ ถ้าเป็นนะโม ๕ ชั้นเอาไว้สวดนาค หรือไม่ก็เทศน์

เถรี
15-06-2011, 07:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้กำลังตามหาที่อยู่ของธรรมโฆษ เพื่อขออนุญาตนำเรื่องลีลาวดีมาลงในเว็บไซต์วัดท่าขนุน

เรื่องลีลาวดีนี้ พระเรวัตตะในเรื่องไม่มีตัวตนจริง แต่ใช้ชื่อพระเรวัตตะในสมัยพุทธกาลแทน ตัวจริงคือพระอานนท์ มาจากตอนที่พระอานนท์ไปขอน้ำดื่มจากนางกุมภทาสี พระอานนท์เป็นวรรณะกษัตริย์ ส่วนนางกุมภทาสีเป็นจัณฑาล นางกุมภทาสีถามพระอานนท์ว่า ตนเองสามารถจะให้น้ำแด่วรรณะกษัตริย์ได้หรือ ? เพราะสมัยนั้นเขาถือว่าจัณฑาลเป็นเสนียดจัญไร

พระอานนท์บอกว่า คนเราทั้งหมดเกิดมาก็ล้วนแต่เสมอกัน ใครทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ใครทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว ไม่ได้แตกต่างกันด้วยวรรณะ นางกุมภทาสีก็เลยชอบใจ ถวายน้ำแด่พระอานนท์ และยังแอบหลงรักพระอานนท์อีก เขาก็เลยเอาเนื้อหาตรงนี้มาผูกเป็นเรื่องลีลาวดี

แต่ว่าเรื่องลีลาวดีนี้ พระเอกเป็นจัณฑาล คือเรวัตตะไปหลงรักลีลาวดีที่เป็นลูกเศรษฐี ลีลาวดีก็รักตอบด้วย แต่พ่อแม่ของลีลาวดีไม่ยอมให้แต่งงาน ท่านหวงลูกสาว พระเรวัตตะช้ำใจก็เลยหนีไปบวช ลีลาวดีก็หนีไปบวชเป็นภิกษุณีตามไปด้วย หมดไปหนึ่งชาติ เพราะมัวแต่บรรยายความตามไท้เสด็จยาตร ตั้งแต่ต้นยันปลาย สรุปได้แค่นี้

ปรากฏว่าตอนท้ายภิกษุณีลีลาวดีป่วยใกล้ตาย พระเรวัตตะไปเยี่ยม ภิกษุณีลีลาวดีก็ยังคงตั้งกำลังใจผูกมั่นอยู่ พอตายไปก็มาเกิดใหม่ในภาค ๒ ลีลาวดีโตเป็นสาววัยรุ่น ไปเจอกันเข้า ต่างคนต่างจำกันได้ พระเรวัตตะตอนนั้นอายุประมาณ ๔๐ กว่าแล้ว ก็พยายามหนี เพราะตอนนั้นพระเรวัตตะเป็นอาจารย์ใหญ่มีชื่อเสียงมากแล้ว มีคนเคารพนับถือมาก เมื่อพระเรวัตตะพยายามหนี ลีลาวดีในชาติใหม่ก็ช้ำใจ ไปบวชอีกรอบหนึ่ง"

เถรี
15-06-2011, 07:39
"พระเรวัตตะเดินธุดงค์ไปทั่วประเทศ เจอใครที่เป็นศาสดาเจ้าลัทธิเก่ง ๆ หรือจอมโวหาร ก็ยกหลักธรรมพระพุทธเจ้าขึ้นไป อยู่ลักษณะโต้วาทีเอาชนะเขา พอชนะเขาได้ก็ยิ่งมีชื่อเสียงมาก แต่ว่ายิ่งมีชื่อเสียงมากก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ใช่สิ่งที่กำลังใจของตนต้องการ กำลังใจที่ตัวเองต้องการคืออยากแต่งงานกับลีลาวดี

ก็เลยตัดสินใจว่าจะสึกแล้ว เดินทางกลับเพื่อหาว่าลีลาวดีอยู่ที่ไหน ก็ไปเจอกันตรงประตูเมือง พระเรวัตตะก็แจ้งความประสงค์กับลีลาวดีว่าจะสึกแล้ว ลีลาวดีที่เป็นเด็กสาว อายุน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง บอกว่า "น้องชาย..ให้ตั้งใจปฏิบัติเถิด ธรรมะของพระบรมศาสดานั้นไม่เป็นหมันหรอก ใครปฏิบัติตามก็ได้ผลทั้งนั้น"

ลีลาวดีเธอเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ก็เลยเรียกพระเรวัตตะว่าน้องชาย หักมุมเอวเคล็ดจริง ๆ อุตส่าห์ตามมาข้ามชาติข้ามภพ ท้ายสุดเห็นทุกข์ ปล่อยวางได้กลายเป็นพระอรหันต์ พระเรวัตตะที่ปฏิบัติต่อเนื่องอยู่ชาติเดียว ตามไม่ทัน

ตรงจุดนี้แหละ..ตอนที่พระเรวัตตะบวชแล้วกามราคะกำเริบ พระอาจารย์พาไปดูซากศพในป่าช้า นั่งพิจารณาไปแล้วพระเรวัตตะก็ได้คิด ธรรมโฆษเขาเขียนเป็นกลอนว่า

นารีจะดูงาม..............ก็เมื่อยามที่ยังเยาว์
แก่แล้วก็เหี่ยวเฉา.......บ่มีส่วนจะพึงชม
ดุจปวงบุปผชาติ.........งามวิลาศน่าเด็ดดม
แรกบานก็งามสม.........แต่บ่นานก็โรยรา

เขามัวบรรยายในลักษณะนี้ ภาคหนึ่งจึงหมดไปตรงลีลาวดีป่วยตาย ตรอมใจตาย

เราจะเห็นอยู่อย่างหนึ่งว่า พระเรวัตตะพยายามหนีตัวเองสุดชีวิต พูดง่าย ๆ คือหนีกิเลส ท้ายที่สุดหนีไม่พ้น ยอมกลับไปเป็นทาสกิเลสใหม่ ปรากฏว่ากิเลสไม่ใช่กิเลสแล้ว ตัวกิเลสกลายเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว..!"

เถรี
16-06-2011, 11:01
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่ไม่เคยนอนเมรุ ไม่รู้หรอกว่าเมรุน่านอนแค่ไหน อาตมาไปวัดโพธิ์เมืองปัก ของหลวงพี่มหาถวัลย์ วัดนี้เป็นวัดเล็ก ๆ เวลาที่วัดจัดงานนี่เสียงดังกลบไปทั้งวัด อาตมาทนรำคาญไม่ไหว อยู่บนศาลานอนไม่ได้แน่ จึงลงไปเดินหามุมเงียบ ๆ

เดินไปเจอบ้านผีที่เขาทำเป็นช่อง ๆ สำหรับเสียบโลงได้โลงหนึ่ง แล้วซ้อนขึ้นไปเป็นชั้น ๆ อาตมาเห็นว่าว่างก็มุดเข้าไป เอาหัวเข้าไปได้ก็ปลอดภัยแล้ว อย่างน้อย ๆ เสียงเข้าไปได้ช่องเดียวก็ไม่ดังมาก แย่งที่ผีนอนก็แย่งมาแล้ว เรื่องอื่นเรื่องเล็ก..!

แต่ที่ไปแม่สานนั่นไม่ได้เจตนานะ ไม่รู้จริง ๆ เห็นเนินลาด ๆ ประมาณ ๖๐ องศา ต้นไม้ขึ้น ๒ ข้าง ก็คิดว่าสบายแล้ว ผูกเชือกแขวนกลดได้พอดี จัดการเสร็จสรรพเรียบร้อยก็สรงน้ำสรงท่า พอถึงเวลาเข้ากลดเอนตัวลงจะนอน เห็นผีโผล่มาตรงปลายเท้า ๖ ตัว แต่เทวดาที่มาทางหัวนี่ เฉพาะที่นำหน้า ๑๒ องค์ ที่ตามมาอีกเป็นกองทัพ ผีก็เลยต้องเผ่นแทน..!

อาตมาก็สงสัยว่าอะไรวะ อยู่ ๆ มาหลอกกัน แต่ไม่ได้ใส่ใจอะไร ภาวนาของตัวเองไป พอรุ่งเช้าเก็บกลดเสร็จ สะพายบาตรเข้าไปที่วัด เณรเกียงดาถามว่าเมื่อคืนนอนที่ไหนครับ ? อาตมาก็ชี้ให้เขาดู เณรทำหน้าพิกล บอกว่า "นอนเข้าไปได้อย่างไร นั่นป่าช้า..!" อ้าว..ก็เอ็งไม่บอกนี่หว่า จึงกลับไปพิจารณาใหม่ ไอ้เนินลาด ๆ นั่นที่แท้ก็หลุมศพ มิน่า..เขาหวงหลุมถึงจะมาเล่นงานเอา..!"

เถรี
16-06-2011, 11:04
"ว่ามาถึงตอนนี้ก็นึกถึงคุณทัศน์ทรง ชมพูมิ่ง คุณทัศน์ทรงรถเสียอยู่กลางป่า รถเสียแกก็นอนพัก ปรากฏว่าพอรุ่งเช้า มีชาวบ้าน ๗-๘ คน ถือขันดอกไม้มา บอกว่า "พ่อเลี้ยง..ช่วยลงกระหม่อมให้ด้วย" คุณทัศน์ทรงก็ถามว่าทำไม ? เห็นข้าเป็นอาจารย์ขลังหรืออย่างไร ? ชาวบ้านเขาบอกว่า "พ่อเลี้ยงนอนตรงนี้ได้ต้องขลังแน่เลย เพราะที่พ่อเลี้ยงนอนนี่เป็นหลุมผีตายทั้งกลม หลอกทุกคนที่มา..!"

พ่อเลี้ยงเขาเข้านอนเร็ว น่าจะไปนอนทับอยู่ผีก็ออกมาหลอกไม่ได้ ผีโดนทับออกมาไม่ทัน..(หัวเราะ).. อาตมาฟังแกเล่าก็ขำ ชาวบ้านเห็นว่านอนบนหลุมผีได้ต้องขลังแน่เลย "ช่วยลงกระหม่อมให้ด้วย" คนยังไม่ทันจะตื่นมานั่งล้อมกันแล้ว คุณทัศน์ทรงเขาคงจะพกวัตถุมงคลอะไรบางอย่าง ผีก็เลยไม่กล้าหือ"

เถรี
16-06-2011, 11:07
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครที่ไปปฏิบัติธรรมแล้วยังรักษาศีล ๘ ไว้ได้ถึงตอนนี้บ้าง ? ในอุโปสถสูตร บรรดาหญิงชาวบ้านไปรักษาอุโบสถศีลกันเยอะ นางวิสาขามหาอุบาสิกาก็สอบถามว่า “นี่แน่ะ...แม่ทั้งหลาย พวกท่านรักษาอุโบสถศีลไป โดยประสงค์สิ่งใดหรือ ?” หญิงมีอายุมากบอกว่า "เรารักษาอุโบสถศีลเพราะปรารถนาโลกสวรรค์"

หญิงวัยกลางคนบอกว่า "เรารักษาอุโบสถศีลเพราะไม่ต้องการอยู่รวมกับหญิงอื่นของสามี" พูดง่าย ๆ ก็คือ ต้องการให้อานิสงส์ของอุโบสถศีล ช่วยให้ผัวไม่มีเมียน้อย หญิงสาวที่แต่งงานแล้วบอกว่ารักษาอุโบสถศีลเพราะหวังจะได้ลูกเป็นผู้ชาย

ส่วนหญิงที่ยังไม่แต่งงานก็บอกว่า รักษาอุโบสถศีลด้วยหวังว่าจะได้แต่งงานกับชายในตระกูลที่เสมอกัน พูดง่าย ๆ คือให้เป็นคนวรรณะเดียวกัน อย่าเป็นวรรณะต่ำกว่า

นางวิสาขามหาอุบาสิกาพอได้ยินแล้วก็สลดใจ ไปปรารภกับพระพุทธเจ้าว่า ทำไมเขาถึงตั้งความหวังกันแค่นั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า "สำหรับปุถุชนทั่ว ๆ ไปแล้ว การปฏิบัติก็หวังในวัฏฏะทั้งนั้น ก็คือยังยึดข้องอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิด จะไปให้เขาหวังความหลุดพ้นเป็นไปไม่ได้" คราวนี้เห็นหรือยังว่านั่นระดับศีล ๘ นะ"

เถรี
16-06-2011, 11:12
"จุดที่น่าสังเกตมี ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือ นางวิสาขามหาอุบาสิกาเป็นคนฉลาด และช่างคิดมาก ปกติของเราถือศีล ๘ ก็คงไม่คิดไปไล่ถามเขาหรอก ว่าต้องการอะไรถึงได้ถือศีล ๘

ประการที่ ๒ ก็คือ คนถือศีล ๘ สมัยนั้นมีทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่หญิงสาวรุ่นยังไม่แต่งงาน หญิงสาวที่เพิ่งแต่งงาน หญิงกลางคน หญิงชรา หวังว่าคงไม่มีเด็กอายุ ๖ ขวบอย่างน้องส้มโอนะ ...

ฉะนั้น..ถ้าเราอ่านพระไตรปิฎกเอาเรื่องจริง ๆ จะได้อะไรเยอะมาก จะเห็นสภาพของสังคมของยุคนั้นว่าหน้าตาเป็นอย่างไร เราจะได้รู้ว่า "คาม" มีหน้าตาเป็นอย่างไร ? "นิคม" มีหน้าตาเป็นอย่างไร ? "ชนบท" มีหน้าตาเป็นอย่างไร ?

คามะหรือคามในสมัยก่อน น่าจะประมาณหมู่บ้านของเราในปัจจุบัน พวกนิคมต่าง ๆ ต้องใหญ่ประมาณอำเภอหรือจังหวัด ถ้าหากว่าชนบทนี่เป็นประเทศเลยนะ จะเห็นว่าประเทศในสมัยนั้นไม่ได้ใหญ่โตมาก ประมาณ ๒-๓ จังหวัดได้ แต่ถ้าใหญ่ประมาณ ๗-๘ จังหวัดนี่เรียกมหาชนบท

สมัยนั้นมหาชนบทมีอยู่ ๑๖ แคว้นด้วยกัน แต่ว่าจะมีอยู่ ๔ แคว้นที่เป็นแคว้นใหญ่ ก็คือ มคธ โกศล วัชชี วังสะ วังสะมีกรุงโกสัมพีเป็นเมืองหลวง วัชชีมีเมืองเวสาลีเป็นเมืองหลวง มคธมีราชคฤห์เป็นเมืองหลวง โกศลมีสาวัตถีเป็นเมืองหลวง

ถ้าเปรียบในปัจจุบัน มคธกับโกศล ก็คงเหมือนจีนกับอเมริกา ส่วนวัชชีกับวังสะ ก็คงจะรอง ๆ ลงมาในระดับอังกฤษกับเยอรมัน"

เถรี
16-06-2011, 11:16
"แคว้นมคธถ้าเห็นว่าแคว้นอื่นเผลอเมื่อไร ก็ผนวกแคว้นอังคะเข้าไปด้วยทุกที เพราะฉะนั้นมหาชนบท ๑๖ แคว้นนี่บางทีก็มีไม่ครบ ๑๖ แคว้นหรอก เพราะว่าโดนแคว้นใหญ่กว่ากลืนไป

แคว้นโกศลนี่มีแคว้นเล็ก ๆ อยู่ในปกครองจำนวนมาก อย่างกบิลพัสดุ์ เทวทหะ ก็เป็นแคว้นในปกครองหมด พระเจ้าปายาสิ ในปายาสิราชัญญสูตร ที่ไปถามปัญหาพระกุมารกัสสปะ นั่นก็เป็นกษัตริย์ที่มีประเทศ แต่อยู่ในปกครองของแคว้นโกศล พระเจ้าปายาสิถึงได้บอกว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลทราบแล้วว่าเรามีทิฐิอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงเปลี่ยนทิฐิไม่ได้ เจ้านายรู้แล้วว่าเป็นอย่างนี้ เปลี่ยนแล้วเดี๋ยวเจ้านายจะไม่ชอบขี้หน้า"

เถรี
20-06-2011, 19:04
"ถ้าเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จะมีกษัตริย์ปกครอง แต่บางทีเขาก็เรียกผู้ปกครองว่ากษัตริย์บ้าง ราชาบ้าง แต่ถ้าเป็นแคว้นโกศลนี่เขาเรียกว่ามหาราช เพราะว่าปกครองหลายประเทศ

ส่วนแคว้นวังสะมีพระเจ้าอุเทนเป็นผู้ครองแคว้น ถ้าเอ่ยถึงแคว้นวังสะ เรื่องที่ชัดที่สุดก็เรื่องของพระนางสามาวดี ส่วนแคว้นวัชชี พระพุทธเจ้ามาจำพรรษาสุดท้ายอยู่ที่นี่ ที่บ้านเวฬุวคาม เมืองเวสาลี และทรงปลงอายุสังขารที่ปาวาลเจดีย์"

ถาม : แคว้นวัชชีมีผู้ปกครองหลายคนไหมครับ ?
ตอบ : เฉพาะคณะผู้ปกครอง ๗,๗๐๗ คน ก็คือ หัวหน้าใหญ่มี ๗ คน ทั้ง ๗ คนนี้จะเลือกคนขึ้นมาอีกคนละ ๑๐๐ คน เท่ากับมีแล้ว ๗๐๗ คน แล้วหัวหน้ารอง ๗๐๐ คนนี้จะเลือกคนขึ้นมาอีกคนละ ๑๐ คน เป็น ๗,๐๐๐ เพราะฉะนั้น..คณะของกษัตริย์ลิจฉวีที่ปกครองประเทศมีด้วยกัน ๗,๗๐๗ คน

เถรี
20-06-2011, 19:12
ถาม : แคว้นวัชชีเป็นเมืองที่พระเจ้าอชาตศัตรูจ้องจะตีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..เมืองเวสาลี แคว้นวัชชีนี่แหละ ที่พระเจ้าอชาตศัตรูจ้องมาตั้งแต่สมัยพระราชบิดาของตนแล้วว่า ถ้ามีอำนาจเมื่อไรจะเอาแคว้นนี้แน่

เมื่อเช้าได้กล่าวถึงเรื่องอปริหานิยธรรม ว่าตราบใดที่แคว้นวัชชียังรักษาอปริหานิยธรรมได้ ย่อมไม่มีใครตีบ้านเมืองได้ แต่วัสสการพราหมณ์ใช้เวลา ๓ ปี ทำลายความสามัคคีได้ แล้วก็มีคนตั้งกระทู้ถามว่า พระพุทธเจ้ารู้อยู่ว่าถ้าตรัสถึงเรื่องอปริหานิยธรรมอย่างนั้นแล้ว วัสสการพราหมณ์จะไปทำการยุยงให้เขาแตกกัน และตีบ้านตีเมืองเขา ทำไมพระพุทธเจ้าจึงตรัสบอกให้วัสสการพราหมณ์รู้ ?

มีคำเฉลยว่า ถ้าไม่ตรัสอย่างนั้นพระเจ้าอชาตศัตรูจะยกทัพไปลุยเดี๋ยวนั้นเลย แข็งต่อแข็งเจอกันเลือดก็นองเป็นท้องธาร แต่ถ้าตรัสอย่างนั้นพระเจ้าอชาตศัตรูต้องเสียเวลาวางแผนอีก ๓ ปี ทำให้เสียบ้านเสียเมืองช้าไป ๓ ปี มีเวลาทำความดีอีก ๓ ปี ก็คือ จะช้าจะเร็วก็เสียเมืองแน่ แต่ให้เสียช้าหน่อย คนตายน้อยลงหน่อย

เถรี
20-06-2011, 19:28
พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วไม่ได้เข้าแคว้นโกศล เพียงแต่วนอยู่รอบ ๆ แคว้นนี้ตลอด ๑๔ ปี จนพระพุทธศาสนาปักหลักมั่นคงแล้วถึงได้เข้าแคว้นโกศล เพราะว่าตอนนั้นกบิลพัสดุ์เป็นเมืองขึ้นของแคว้นโกศลอยู่ บวกกับคำทำนายที่ว่า "สิทธัตถะราชกุมารจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก" ได้หลอกหลอนอยู่ทุกแคว้น ถ้าพระพุทธเจ้าเข้าไปแคว้นโกศลตรง ๆ ก็อาจจะหัวขาด..!

แม้ไม่มีใครฆ่าพระองค์ได้ แต่ก็ทำให้เขาสร้างเวรสร้างกรรมอันใหญ่หลวง พระพุทธเจ้าจึงต้องรอเวลาที่สมควร รอจนกระทั่งนางวิสาขามหาอุบาสิกาแต่งงาน รอจนกระทั่งธนัญชัยเศรษฐีไปอยู่แคว้นโกศล รอจนกระทั่งอนาถปิณฑิกเศรษฐีเป็นพุทธสาวก เป็นพระโสดาบัน รอจนกำลังหนุนมากพอ เพราะว่ากี่ยุคกี่สมัยคนรวยเสียงย่อมดัง ในเมื่อแต่ละคนล้วนแล้วแต่กลายเป็นพุทธสาวก ให้ความเคารพและเอ่ยถึงพระพุทธเจ้ามาก ๆ เข้า ท้ายสุดพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ทนไม่ไหว ต้องเข้าไปหากับเขาด้วย

ถ้าเราอ่านพระไตรปิฎกแล้วรู้จักคิดจะสนุกมากเลย เพียงแต่อ่านแล้วต้องมีหลักนะ ถ้าคิดอย่างไม่มีหลักแล้วจะฟุ้ง

เถรี
21-06-2011, 14:31
พระอาจารย์บอกว่า "คนที่ทำเพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก จะไม่ให้ความรักความชังหรืออารมณ์ส่วนตัวมาอยู่เหนือกว่าประโยชน์ของส่วนรวม

อย่างนิยายจีนเรื่อง แส้สะบัดเลือด พระเอกกับตัวละครตัวหนึ่งที่มีนิสัยกึ่ง ๆ ตัวโกง จะสู้กันทุก ๓ ปี โดยตัวละครที่มีนิสัยกึ่งตัวโกงนี้เขามีฉายาว่าขงเบ้งพิษ เป็นระดับสุดยอดฝีมือเลย ๓ ปีดวลกันครั้งหนึ่ง แต่ไม่เคยชนะพระเอก ไม่ว่าจะวางแผนมาอย่างไรพระเอกก็แก้ได้หมด จนเขาเองก็แปลกใจว่า เขามีฉายาว่าขงเบ้งนะ พระเอกฉลาดกว่าหรืออย่างไร ?

ความจริงก็คือพระเอกเป็นหัวหน้าพรรค มีลูกน้อง ๓๐๐ กว่าคน ส่วนขงเบ้งพิษเป็นคนโดดเดี่ยว กึ่งธรรมะกึ่งอธรรม พระเอกเขาเฉลยว่า บุคคลที่ต้องคิดแทนผู้อื่น ๓๐๐ กว่าคน กับบุคคลที่คิดแค่คนเดียว บุคคลที่คิดแทนคนอื่นอย่างไรก็รอบคอบกว่า กำลังใจเหนือกว่ากันเยอะ"

ถาม : ระหว่างคนที่มีกำลังใจเมตตาผู้อื่น กับคนที่ไม่เมตตา ?
ตอบ : คนที่เมตตาผู้อื่น มุมมองของชีวิตจะกว้างกว่า สามารถที่จะเห็นชัดเจนเลยว่า สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ได้ทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อตัวเอง รัก โลภ โกรธ หลง จึงน้อยลง โอกาสที่จะหลุดพ้นก็มีมากขึ้น แต่ถ้ากอบโกยเพื่อตัวเอง จิตใจคับแคบ เต็มไปด้วยรัก โลภ โกรธ หลง ก็หลุดพ้นยากขึ้น

เถรี
21-06-2011, 16:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "ครอบครัวคนจีนที่นับถือเจ้าแม่กวนอิมเขาจะไม่กินสัตว์ใหญ่ ต้องบอกว่าเป็นคุณูปการของเจ้าแม่กวนอิมที่ช่วยชีวิตสัตว์ได้อย่างมหาศาล ถ้าไม่อย่างนั้นสัตว์คงต้องตายกันอีกนับไม่ถ้วน"

ถาม : อิสลามเขาสอนลูกสอนหลาน ไม่ให้กินหมูตั้งแต่เด็ก ๆ
ตอบ : ทางตะวันออกกลางสมัยนั้นสภาพภูมิประเทศไม่เหมาะที่จะเลี้ยงหมู เพราะว่าอากาศร้อน และหมูสกปรก จะเกิดโรคระบาดได้ง่าย ก็เลยเปลี่ยนไปกินอย่างอื่นแทน จนกลายเป็นข้อห้ามไป

ตอนอาตมาวัยรุ่น อยู่แถว ๆ ประเวศ มีเพื่อนเป็นอิสลามเยอะแยะ เอาหมูให้เขากินมาเยอะแล้ว เราก็ถามว่าเป็นอิสลามทำไมกินหมูได้ เพื่อนเขาบอกว่าถ้าไม่พูดถึงก็กินได้ แต่ถ้าพูดเขาต้องไปล้วงคอทิ้ง

เถรี
21-06-2011, 16:18
ถาม : อิทธิบาทสี่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา บุคคลใดบุคคลหนึ่งจะมีครบทั้งสี่ข้อหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้ามีอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา คือมีฉันทะ วิริยะถึงจะพากเพียรตามมา แต่ถ้าปัญญาไม่เพียงพอจิตตะกับวิมังสาจะไม่มี

เพราะฉะนั้น..คนที่มีอิทธิบาท ๔ ต้องมีปัญญาประกอบด้วย พอใจที่จะทำก็พากเพียรทำไป แต่ถ้าปัญญาไม่พอ จิตใจอาจจะไม่จดจ่อแน่วแน่อยู่กับงานนั้น ขณะเดียวกันก็ไม่รู้จักทบทวนว่าทำไปถึงไหนแล้ว ที่อาฬวกยักษ์ท่านถามว่าอะไรเป็นเครื่องนำไปสู่ความหลุดพ้น? พระพุทธเจ้าตอบว่า ปัญญานำไปสู่ทางพ้นทุกข์ ไม่มีปัญญาก็ทำผิด ถ้าพยายามผิด พากเพียรผิดนี่ผลก็จะผิดไปด้วย

ถาม : ผู้ที่อธิษฐานให้มีอายุอยู่ต่อนี่ท่านอธิษฐานอย่างไร ?
ตอบ : ไม่ใช่อธิษฐาน ท่านปรับธาตุร่างกายตัวเองให้เสมอกัน คือให้สมบูรณ์อยู่เสมอ ถ้าธาตุในร่างกายเราสมบูรณ์บริบูรณ์ก็สามารถที่จะใช้งานไปได้เรื่อย ๆ

เถรี
21-06-2011, 16:30
ทางด้านพม่า จะมีหลวงปู่โกวิทะ พม่าเขาออกเสียงว่า "โกวิด๊ะ" ท่านอายุ ๙๐๐ กว่าปีแล้ว จะออกมาเจอประชาชนปีละครั้งเดียว ช่วงประมาณวันเกิดครบรอบปีของท่าน

เขาจะสร้างเหมือนถ้ำหรือเหมือนกับเตาเผาถ่าน แล้วใส่ของหอมเยอะแยะไปหมด ท่านก็จะเข้าไป จุดไฟแล้วก็ปิดประตู ไฟไหม้ลุกท่วม พอเสร็จสรรพท่านก็เดินยิ้มออกมา เกิดใหม่อีกทีหนึ่ง จะทำอย่างนั้นปีละครั้งหนึ่ง

คนไปงานนี้เป็นแสน ๆ คน เขาถ่ายวิดีโอเอาไว้ เวลาดูนี่เหมือนอย่างกับจัดฉากเลย เพราะว่าคนเป็นแสน ทางด้านที่อยู่ห่างก็เรียก "หลวงปู่..ทางนี้หน่อย" ท่านก็แวบไปตรงนั้น กล้องถ่ายรูปจะจ่อทางนั้น พอเรียก "หลวงปู่ทางนี้หน่อย" ท่านก็แวบมาทางนี้ แต่ขอโทษ..มีปีละครั้งเดียว นอกนั้นท่านไปหลบอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ?

ถาม : สังขารท่านหนุ่มหรือแก่ ?
ตอบ : แก่..แต่กี่ปี ๆ ก็แก่แค่นั้น ไม่ได้แก่ไปกว่านั้น

ถาม : ปกติเลย ?
ตอบ : ปกติเลย เดินเหินคล่องตัวเหมือนหนุ่ม ๆ เดิน พอถึงเวลาปรับธาตุเสมอกันก็เหมือนกับหนุ่ม ๆ นั่นแหละ

เถรี
21-06-2011, 16:33
ถาม : อิทธิบาทสี่ต้องเดินปรับธาตุ ?
ตอบ : ทำอย่างนั้นแหละ ถ้าอิทธิบาทไม่พอก็ทำไปไม่ถึง ทางบ้านเราก็มีหลวงปู่โลกอุดร

ถาม : ต้องใช้กำลังของอะไรครับ ?
ตอบ : อย่างน้อย ๆ กสิณ ๑๐ ต้องคล่องตัว ถ้ากสิณ ๑๐ ไม่คล่อง ทำไม่ได้อยู่แล้ว

ถาม : ถ้าทำได้แล้ว อธิษฐานให้คนอื่นมีอายุต่อได้ไหมครับ ?
ตอบ : ตัวเองจะอยู่ก็ยังคิดหนัก แล้วจะให้ไปช่วยแมวที่ไหนเล่า ? ทำได้ขนาดนั้นส่วนใหญ่ก็ยอมรับกฎของกรรม ที่ต้องทนอยู่ต่อไปเพราะงานยังไม่หมด

เถรี
22-06-2011, 00:58
มีแม่ชีมาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องวิทยานิพนธ์ พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "แม่ชีท่านจะทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หัวข้อวิชชาจรณสัมปันโน จึงถามว่าวิชชาจารณสัมปันโนนี่ครอบคลุมแค่ไหน ? เพราะประโยคนี้หมายความว่า ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติทั้งปวง

วิชชาในที่นี้ต้องเน้นเอาอย่างเดียวก็คือว่า ความรู้ที่ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น คือ ต้องเน้นความรู้ในมรรค ๘ สรุปลงเป็นไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ส่วนจรณะคือความประพฤตินั้น ต้องอยู่ในลักษณะที่ว่า ยถาวาที ตถาการี คือพูดอย่างไรก็ต้องทำอย่างนั้น ถึงจะเป็นแบบอย่างแก่คนอื่นได้ แต่สมัยนี้มีเยอะที่เขาบอกว่า "จงทำอย่างที่ผมพูด แต่อย่าทำอย่างที่ผมทำ" เพราะผมเป็นตัวอย่างที่ดีไม่ได้

ความจริงต้องถามอาจารย์ที่ปรึกษา เพราะว่าอาจารย์ที่ปรึกษาอาจจะมีแนวความคิดเพิ่มเติมขึ้นมา ที่มาถามอาตมาก็คงได้แนวความคิดกว้าง ๆ แล้วก็ไปค้นเอกสารไว้ก่อน แม่ชีบอกว่าจะส่งโครงร่างวิทยานิพนธ์ภายในอาทิตย์นี้ ถ้าโครงร่างเสร็จก็เท่ากับวิทยานิพนธ์เสร็จ เพราะโครงร่างนั้นมีถึง ๑๐ หัวข้อ มาแยกใส่บทที่ ๒ และ บทที่ ๓ ได้ ส่วนที่เหลือไปสรุปเนื้อหาให้ตรงกับสภาพปัญหาที่ทำวิจัยก็ใช้ได้แล้ว"

เถรี
22-06-2011, 01:35
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านยังมีอีก ๒ เนื้อที่ยังไม่ได้ออก เนื้อแรกคือเนื้อเมฆสิทธิ์ เนื้อที่สองเป็นเนื้อชิน แต่เนื้อชินสร้างแค่ ๓๐๐ องค์ จัดเข้าเป็นชุดกรรมการ เพราะฉะนั้นอย่าหวังว่าจะได้..! ยกเว้นว่าเป็นกรรมการ

แต่ว่าเนื้อเมฆสิทธิ์นี้กำลังรออยู่ว่า ถ้าพระอาจารย์วันชาติบอกว่าพร้อมเมื่อไร อาตมาจะออกเนื้อเมฆสิทธิ์ทันที เพราะว่าอาจารย์วันชาติจะสร้างสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๕๐ ศอก ใหญ่กว่าสมเด็จองค์ปฐมวัดหนองหญ้าปล้องถึง ๑๐ ศอก ท่านขอทุนเริ่มต้นไว้ที่ ๑ ล้านบาท

สมเด็จองค์ปฐมองค์นี้ฐานจะทำเป็นโบสถ์ แปลว่าสร้างพระองค์หนึ่งได้โบสถ์อีกหลังหนึ่ง ท่านขอทุนเริ่มต้นที่ ๑ ล้านบาท เพราะฉะนั้นพระปิดตาเนื้อเมฆสิทธิ์กำลังรอท่านอยู่ ถ้าท่านยกมือว่าผมพร้อมแล้วก็ออกให้ทันที อาตมาหาให้ท่านก่อน ๑ ล้านบาท หลังจากนั้นก็ทยอยไป แบบเดียวกับของวัดหนองหญ้าปล้อง ถึงเวลาก็ให้ทุนไปเริ่มแรก ๑ ล้านบาท แล้วก็ให้ไปเรื่อย ๆ กว่าจะปิดงบได้ อาตมาหมดไป ๘ ล้านกว่าบาท"

เถรี
22-06-2011, 01:38
"เงิน ๘ ล้านกว่าบาทนี่ถือว่าจ่ายน้อยแล้วนะ เพราะว่ารอบแรกตกลงกันว่า เจ้าภาพ ๑๘ รูป รูปละ ๑ ล้านบาท แต่ไป ๆ มา ๆ มีแต่อาตมาจ่าย ๑ ล้านบาทอยู่คนเดียว คนอื่นเขาจ่ายแสนหนึ่งบ้าง สองแสนบ้าง รวม ๆ แล้วได้เงินมาแค่ ๒ ล้านกว่าบาท และ ๒ ล้านกว่าบาทนั้นจมอยู่ใต้ดินหมด มองอะไรไม่เห็น

ส่วนอาตมาก็ไม่รู้จะไปไหน เขายันขึ้นหน้าไปเป็นประธานแล้วก็ทำเรื่อยไป ท่านอาจารย์โนรีเองก็วิ่งเหนือวิ่งใต้ เพื่อหาเงินมาเพื่อไม่ให้งานสะดุด ท้ายสุดอาตมาก็ยกกฐินไปปลดหนี้ให้ท่านถึงจบ คราวนี้สร้าง ๕๐ ศอกไม่รู้ว่าจะต่อเนื่องอีกนานเท่าไร แต่บอกท่านวันชาติแล้วว่าเริ่มต้นให้ล้านหนึ่ง ที่เหลือไปจัดการเองแล้วกัน ถ้ามีจะช่วย ถ้าไม่มีก็จะเอาใจช่วย..!"

เถรี
22-06-2011, 01:49
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องน้ำปานะว่า "ที่วัดท่าขนุนหลังจากทำวัตรค่ำแล้วจะมีการถวายน้ำปานะ คือถวายครั้งเดียวในรอบวัน ใครอยากได้มากกว่านั้นให้ไปหามาฉันเอง งดกาแฟ ชา โอเลี้ยง เป๊บซี่ โค้ก และเครื่องดื่มชูกำลังทุกประเภท

แรก ๆ เขาถวายกันเป็นปกติ ปรากฏว่ากว่าพระจะหลับได้ก็ ๕ ทุ่มเที่ยงคืนไปแล้ว และจะไปง่วงจัดอีกทีตอนนั่งกรรมฐานทำวัตรเช้า ตอนแรก ๆ อาตมาก็ได้แต่นั่งมอง อย่างไรตรงจุดนี้ต้องแก้ไข

พอเป็นเจ้าอาวาสจึงสั่งเลิกของพวกนี้เลย ถวายน้ำปานะอะไรก็ได้ยกเว้นพวกนี้ โดยเฉพาะชา กระตุ้นหนักกว่ากาแฟอีก แต่ชาจะกระตุ้นแบบนิ่ม ๆ กว่าจะรู้ตัวก็ดีดเราลอยไปกลางฟ้าแล้ว ไม่เหมือนกาแฟที่กระตุ้นพรวดพราดเลย จึงทำให้พระท่านนอนไม่หลับ แล้วก็จับกลุ่มคุยกันจนดึก พอถึงเวลาตี ๔ จะนั่งกรรมฐานก็คอพับไปตาม ๆ กัน

ถ้าหากว่าเราเห็นจุดบกพร่องตรงไหนก็ต้องรีบแก้ไข อย่าปล่อยให้เนิ่นนาน แต่การที่จะแก้ไขก็ต้องดูว่ามีอำนาจหรือเปล่า ? ถ้าหากว่ามีอำนาจก็สั่งการไปได้เลย ถ้าหากว่าไม่มีก็ต้องรอวาระที่เหมาะสมไปก่อน

ถ้าเห็นว่าผู้มีอำนาจท่านให้ความใส่ใจ เราก็เสนอแนะไป การเสนอแนะที่มีศิลปะก็คือบอกแนวคิดให้ท่านฟัง แล้วให้ท่านนำไปปฏิบัติเองเหมือนกับว่าเป็นผลงานของท่าน แต่ถ้าบอกท่านว่าต้องอย่างนี้ ๆ บางคนไม่ทำหรอก"

เถรี
22-06-2011, 01:53
"ดังนั้น..ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในมงคลสูตรว่า สิปฺปญฺจ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ การมีศิลปะจัดเป็นมงคลสูงสุดอย่างหนึ่ง ศิลปะในที่นี้ นอกจากหมายเอาความรู้ความสามารถต่าง ๆ แล้ว ยังมีศิลปะในการดำเนินชีวิตด้วย เพราะถ้าไม่มีศิลปะในการดำเนินชีวิต บางทีก็ไม่ประสบความสำเร็จ

สมัยก่อนตอนที่อาตมาไปกราบหลวงพ่อที่บ้านสายลม ไม่สนใจเรื่องงานเหมือนกัน บอกกับเจ้านายว่า ถ้าเห็นว่าผมผิดก็ไล่ออกไปเลย จนท้ายสุดเจ้านายเห็นว่าไม่ยอมลงให้จริง ๆ ก็ต้องใช้วิธีปรับงาน กลายเป็นว่าเจ้านายรู้กำหนดการงานของหลวงพ่อมากกว่าอาตมาเสียอีก เพราะเขาจะต้องจ่ายงานให้คุ้มกับที่อาตมาไม่อยู่ เขาจะรู้ว่าตอนนี้หลวงพ่อจะไปไหน ที่วัดมีงานอะไร ช่วงว่างเอ็งก็รับงานอ้วกไปแล้วกัน..!

แต่อาตมาก็เต็มใจรับ เพราะว่าถึงเวลาจะไปก็ไปได้โดยสะดวก ความจริงสะดวกตั้งแต่แรกแล้ว เพราะถึงท่านห้ามอาตมาก็ไม่ฟัง แปลว่าจะต้องยอมรับชะตากรรม ถ้าอะไรจะเกิดขึ้น เขาหมั่นไส้ไล่ออกก็คือต้องออก ต้องไปแบบไม่ตัดพ้อต่อว่า เพราะว่าเราผิดจริง ๆ แต่ตอนอยู่ก็ทำงานให้คุ้ม

เพื่อน ๆ เขาถึงบอกว่า "มึงเก่งจริงกูไม่เถียง คนอื่นทำงาน ๔-๕ คนเท่ากับมึงคนเดียว แต่ทำไมมึงรู้อะไรแล้วต้องพูดด้วยวะ ?" ก็จริงของเขา นิสัยนี้ไม่ค่อยดี คนเขาจะเกลียดปาก พวกเราอย่าไปรุนแรงกับเจ้านายขนาดนั้นนะ เดี๋ยวเขาจะชอกช้ำเสียก่อน"

เถรี
22-06-2011, 11:34
ถาม : พระสายป่าท่านไม่เน้นการสร้าง?
ตอบ : ท่านพยายามอยู่กับธรรมชาติ แต่คนมักจะศรัทธาไปสร้างให้ สร้างหรูเสียด้วย เรื่องพวกนี้ต้องเด็ดขาดแบบหลวงตาบัว ถ้าไม่เด็ดขาดแบบหลวงตาบัว ในที่สุดก็ทนเสียงอ้อนวอนของญาติโยมไม่ได้ ต้องยอมให้สร้าง

ดูอย่างวัดอนาลโยที่พะเยา ถ้าเราไม่ดูข้าง ๆ จะไม่รู้เลยว่า เขาต่อเสาขึ้นมาสูง ๓๐-๔๐ เมตร เพราะพื้นที่เป็นภูเขาสูง ๆ ต่ำ ๆ เขาต้องปรับพื้นให้เท่ากัน เขาเทเสาขึ้นมามองข้าง ๆ แล้วใจหาย สูงกว่ายอดตาลอีก เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่เด็ดขาดอย่างหลวงตาบัว ในที่สุดก็ต้องสร้างจนได้เพราะโยมเขาศรัทธากันมาก

เถรี
22-06-2011, 11:37
พระอาจารย์กล่าวว่า "โบราณเวลาเขาชมลูกสาวลูกชายบ้านใคร เขาใช้ประโยคว่า มีลูกสาวคนเดียว หุงข้าวเหนียวเหมือนนึ่ง มีลูกชายคนหนึ่ง ถากไม้เหมือนหมาเลีย

"มีลูกสาวคนเดียว หุงข้าวเหนียวเหมือนนึ่ง" ส่วนใหญ่ข้าวเหนียวเขาใช้นึ่งเอา คนที่สามารถหุงข้าวเหนียวได้สวยเหมือนนึ่งต้องสุดยอดฝีมือเลย

"มีลูกชายคนหนึ่ง ถากไม้เหมือนหมาเลีย" รุ่นหลัง ๆ ไม่ค่อยเห็นคนถากไม้ ถากไม้เหมือนหมาเลีย ก็คือ ถากได้เรียบกริบ ถากไม้เขามีผึ่งกับขวานเท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะถากได้เรียบขนาดนั้น

"ผึ่ง" เป็นลักษณะขวาน แต่เป็นขวานที่มีทรงเหมือนจอบ เขาก็เลยถากสองมือได้ ขวานนี่เอาไว้เก็บรายละเอียด หลัง ๆ เขามีกบเพิ่มขึ้นมา ก็ทำได้ดีขึ้น แต่ถ้าคนโบราณกล่อมเสาได้เหมือนหมาเลียก็ต้องสุดยอดฝีมือ พวกนี้ส่วนใหญ่นิยมไปทำเสาศาลา ทำเสาโบสถ์"

เถรี
22-06-2011, 14:08
"ที่บ้านอาตมาสมัยก่อนเป็นเสาไม้ หลังคามุงแฝกมุงจากนั่นแหละ อยู่ไป ๆ มีคนมาขอซื้อเสาไปหมด จึงต้องเปลี่ยนจากไม้มาเป็นตึก ไม้ชุดที่ซื้อไปนั้นเป็นไม้มะเกลือกับไม้ประดู่เลือด ประดู่เลือดบางคนเรียก "ประดู่ส้ม"

คนที่ไม่รู้จักไม้ประดู่เลือด พอเข้าป่าแล้วไปฟันเข้า จะขวัญหนีดีฝ่อเลย เพราะยางไม้ลักษณะเหมือนเลือด พลอยจะไปคิดว่านางไม้แสดงปาฏิหาริย์ให้ดู แก่นประดู่เลือดที่ดี ๆ แกร่งขนาดขวานสับไม่ค่อยจะเข้า

ส่วนมะเกลือเป็นไม้ที่มวลรวมหนักกว่าน้ำ ไม้มะเกลือจะจมน้ำ โยมพ่อเอามาทำเก้าอี้ทำโต๊ะ แม้แต่โต๊ะเก้าอี้เขาก็ขอซื้อไปหมด โต๊ะไม้มะเกลือหนักจนกระทั่งต้องใช้คน ๔ คนยก ทั้ง ๆ ที่เป็นโต๊ะกินข้าวตัวเดียว เพราะมะเกลือมวลรวมหนักมาก

รุ่นหลัง ๆ เขาเอาไม้มะเกลือมาหลอกว่าเป็นพญางิ้วดำกันเยอะ ต้องรู้จักสังเกต ประการแรก คือไม้มะเกลือหนักแต่พญางิ้วดำจะเบา เพราะอย่าลืมว่างิ้วก็คือต้นนุ่น ต้นนุ่นเนื้อจะเบา

ประการที่สองคือ ลายไม้ไม่เหมือนกัน ถ้าเขาบอกงิ้วดำแต่มีลายเหลือง ๆ แทรกอยู่ให้รู้ว่าเป็นมะเกลือ มะเกลือดำก็จริง แต่ดำแล้วก็จะมีลาย ๆ อยู่หน่อย"

เถรี
22-06-2011, 14:22
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีพระรูปหนึ่งที่วัด ตอนท่านบวชที่อื่นนั้นติดอาบัติสังฆาทิเสสอยู่ ๗ เดือน

ปัจจุบันนี้เขาเข้าใจสุทธันตปริวาสผิดกัน สุทธันตปริวาส คือ บุคคลที่จำไม่ได้ว่าต้องสังฆาทิเสสมานานเท่าไร ให้คณะสงฆ์เป็นผู้กำหนดวันเข้าปริวาสให้

ในปัจจุบันนี้เขาจะกำหนดให้ ๙ วัน แต่ว่าจริง ๆ แล้วใช้ไม่ได้ เพราะแม้คณะสงฆ์เป็นผู้กำหนดวันให้ แต่ท่านให้กำหนดมากกว่าไว้เสมอ แปลว่า เราบวชปีหนึ่ง ถ้าโดนสังฆาทิเสสอย่างน้อย ๆ ก็ต้องเข้าปริวาส ๑ ปีกับอีก ๖ วัน

คราวนี้พระรูปนั้นขอไปอยู่วัดชากสมอ อยู่ ๗-๘ วันก็กลับมาแล้ว อาตมาก็ถามว่า “เฮ้ย..กลับมาอย่างไรวะ ?” เขาบอกว่า “ผมสบายใจแล้วครับ”

อาตมาบอกว่า “โคตรเตี่ยมึงแน่ะ..! ถ้าศาลตัดสินสั่งจำคุกมึง ๗ เดือน มึงอยู่ ๗-๘ วัน บอกว่าผมสบายใจแล้วขอออกจากคุก เขาจะยอมมึงไหม ?” เขาก็เลยไปใหม่ อยู่จนครบ ๗ เดือนแล้วถึงกลับมา เพราะว่าถ้าอยู่ปริวาสไม่ครบ ก็ไม่ใช่มานัตตารหบุคคล คือ บุคคลที่สมควรแก่มานัตต์ เก็บมานัตต์ไม่ได้ ถ้าเก็บนี่เสียเลย กลายเป็นว่าที่ทำมานั้นเป็นศูนย์ ต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

เพราะฉะนั้น..ถ้าอยู่ไม่ครบ อย่าไปเก็บมานัตต์ ไปอยู่ต่อที่อื่นจนกว่าจะอยู่ครบตามเวลา แล้วค่อยไปเก็บเอาที่สุดท้าย"

เถรี
23-06-2011, 09:52
พระอาจารย์กล่าวถึงหนังสือเรื่อง The Tibetan Code รหัสลับหลังคาโลก ว่า"เป็นเรื่องของนักธุรกิจจีนเชื้อสายทิเบตคนหนึ่ง มีอาชีพเพาะเลี้ยงหมาไว้ขาย แต่เขาเป็นคนที่รักหมามาก จะขายให้เฉพาะคนที่รักหมาจริง ๆ เท่านั้น และเลือกเอาเฉพาะระดับสุดยอดของหมามาให้ลูกค้า

วันนั้นกำลังประมูลกันว่าจะให้ราคาเท่าไร สำหรับสุดยอดหมามาสตีฟตัวนี้ ปรากฏว่าอยู่ ๆ ก็มีคนมาสะกิดแล้วก็ส่งรูปให้ใบหนึ่ง เป็นรูปเบลอ ๆ ตอนแรกเขาก็ไม่สนใจ แต่พอมองไปที่รูปเท่านั้น ก็วิ่งตามเขาไปเลย ไม่สนใจงานประมูลแล้ว ประธานใหญ่ไม่อยู่ วิ่งตามเขาไปเฉยเลย หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มีคำสั่งให้รองประธานบริหารงานแทน ตัวเองตามล่าสุดขอบฟ้าเพื่อที่จะหาเจ้าหมาตัวนั้นให้เจอ

จากการคำนวณของเขา คนถ่ายรูปเป็นสุดยอดฝีมือในการถ่ายรูป ขนาดซุ่มอยู่แล้วลั่นชัตเตอร์ ยังได้แค่รูปเบลอ ๆ เขาคิดว่าหมาตัวนั้นต้องเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ ๒๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง..!

แล้วโยงเข้าหาประวัติศาสตร์ทิเบตโบราณที่เขาเคยศึกษามาตอนเด็ก ๆ ว่า มีสัตว์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "กิเลนม่วง" ท่านประธานเห็นรูปแล้วสรุปว่า กิเลนม่วงก็คือหมาทิเบตมาสตีฟนี่แหละ ด้วยความที่เป็นหมาสงคราม ฝึกมาเพื่อรบโดยเฉพาะ ทำให้หมาชนิดนี้ไม่เห่า ภักดีต่อเจ้านายชนิดตัวตาย สั่งให้ลงมือกับใคร ก็คือ ตายกันไปข้างหนึ่งถึงจะเลิก ถ้าตัวเองไม่ตายก็เป้าหมายตาย ท่านประธานในเรื่องนี้เขาตามหมามา ๔ เล่มแล้ว ยังไปได้ไม่ถึงครึ่งทางเลย..!"

เถรี
23-06-2011, 10:02
"เรื่องนี้โยงกับประวัติศาสตร์ทิเบตโบราณ เกี่ยวกับวิหารพาลาปา ที่เชื่อกันว่าในสมัยปฏิวัติวัฒนธรรม บรรดาลามะชุดดำขนเอาทรัพย์สมบัติไปซ่อนไว้ที่นั่น แล้วให้กิเลนม่วงเฝ้าไว้ ต้องสืบไปทีละเปลาะ ๆ แล้วก็ไปเจอเป้าหมายน่าสงสัยทีละนิดทีละหน่อย ขยับใกล้เข้าไปเรื่อย แล้วก็มีคู่แข่งจากสารพัดประเทศ จ่อมาที่เป้าหมายเดียวกัน

คราวนี้ก็ต้องมาดวลกันว่า ใครฝีมือดีกว่า ใครปัญญาดีกว่า เพราะว่าจะเข้าไปแต่ละที่มีแต่สารพัดกับดัก กับดักบางอย่างก็คำนวณจากจิตใจคน คำนวณความโลภ ความโกรธ ความหลงของคนไว้ก่อนแล้วถึงทำ เขาบอกว่าหนังสือเล่มนี้ทำลายสถิติด้วยยอดจำหน่ายเกินกว่า ๓ ล้านเล่ม อาตมาอ่านเล่มนี้แล้วการสอนวิชาพระพุทธศาสนากับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาในทิเบต มีรสชาติขึ้นอีกเยอะ เพราะมีรายละเอียดบางส่วนที่ก่อนนี้รู้ไม่ชัดเจน แล้วชัดเจนขึ้นมาตอนนี้

อย่างเช่น ทำไมพระทิเบตถึงมีการเต้นรำ การเต้นรำของทิเบตเป็นการเต้นรำในลักษณะขับไล่สิ่งชั่วร้าย แล้วก็อัญเชิญสิ่งที่เป็นมงคลเข้ามา พระพุทธศาสนาในทิเบตรุ่งเรืองขึ้นมาโดยท่านปัทมสัมภวะ ภาษาทิเบตเขาเรียก คุรุรินโปเช่ ก็คืออยู่ในลักษณะของท่านอาจารย์ใหญ่

ท่านปัทมสัมภวะเข้าไปตอนที่ทิเบตยังนับถือผีอยู่ ก็คือลัทธิบอน ก็เลยมีการต่อสู้กันระหว่างพระพุทธศาสนากับลัทธิบอน ท่านปัทมสัมภวะชนะทุกยก จึงทำให้คนทิเบตส่วนหนึ่งหันมานับถือพุทธศาสนา พอดีพระเจ้าซองซันกัมโปเสด็จขึ้นครองราชย์ แล้วได้รับการสนับสนุนจากทั้งจีนและเนปาล

จีนก็ตรงกับสมัยพระเจ้าถังไท่จงฮ่องเต้ ก็ส่งเจ้าหญิงเหวินเฉิงให้ไปแต่งงานด้วย ทางด้านเนปาลก็ส่งเจ้าหญิงภริคุติเทวีไปแต่งงานด้วย เจ้าหญิงทั้งสองพระองค์นับถือศาสนาพุทธ ก็เลยขนพระพุทธรูปและทรัพย์สมบัติสารพัดที่เป็นพุทธบูชาเข้าไปด้วย พระเจ้าซองซันกัมโปก็เลยถามว่า จะให้สร้างสถานบูชาหรือว่าวัดที่ไหนบ้าง

เจ้าหญิงเหวินเฉิงปรึกษากับท่านปัทมสัมภวะแล้วว่า รูปทรงของประเทศทิเบตเป็นรูปยักษ์ เพราะฉะนั้น..จะต้องทำการสร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์สะกดยักษ์ตัวนี้ไว้ ทิเบตถึงจะเจริญ ก็เลยสร้างวิหาร ๕ แห่ง เป็นการตรึงมือเท้าและร่างกายของยักษ์เอาไว้ อย่างวัดโจคัง วัดเดรปุง เป็นต้น แล้วเจ้าหญิงทั้งสองพระองค์ก็ช่วยกันผลักดันจนพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองในทิเบต"

เถรี
23-06-2011, 10:04
"พอมาถึงสมัยพระเจ้าลางทรมา ท่านนับถือลัทธิบอนแบบฝังหัวไม่ยอมเปลี่ยน จึงฆ่าล้างผลาญศาสนาพุทธ ฆ่าจริง ๆ จนกระทั่งบรรดาภิกษุต้องทิ้งวัดหนีเข้าป่า แล้วก็เกิดอัศวินม้าดำขึ้นมา ก็คือมีพระภิกษุนุ่งห่มจีวรสีดำ สวมหมวกดำ ขี่ม้าดำ บุกเข้าไปตอนที่พระเจ้าลางทรมากำลังล่าสัตว์ สามารถประหารพระเจ้าลางทรมาลงได้ ดังนั้น..การแต่งตัวชุดดำแล้วมีการเต้นรำ ก็จะมีส่วนหนึ่งที่แสดงออกถึงประวัติศาสตร์ช่วงนี้

เราจะเห็นได้ว่าสายทิเบตเขามาสายพระโพธิสัตว์แท้ เพื่อความสุขของคนส่วนมาก ตัวเองตกนรกก็ไม่ว่า จับอาวุธขึ้นมาฆ่าเลย ปัจจุบันนี้ ศาสนาพุทธในทิเบตที่ตกต่ำไปมาก เพราะจีนเข้าไปยึดครองโดยอ้างว่าทิเบตเป็นส่วนหนึ่งของเขตปกครองของจีน

ตอนที่จีนส่งทหารเข้าไป มีเรื่องที่น่าสนใจอยู่คือว่า ลามะผู้ใหญ่หลายท่านเห็นว่าไม่สามารถที่จะยับยั้งวาระกรรมนี้ได้แล้ว หลายท่านก็เข้ากรรมฐานทิ้งไปเฉย ๆ ให้ลูกศิษย์เอาร่างโยนน้ำไป ทหารจีนเก็บศพที่นั่งกรรมฐานตายได้หลายศพ ไม่เน่าเปื่อยด้วย เพราะว่าท่านเข้าสมาธิทิ้งร่างไปเฉย ๆ"

เถรี
23-06-2011, 10:07
"ส่วนที่รัสเซีย แถว ๆ เมืองคามึยเคีย มีวัดทิเบตที่ใหญ่มาก พระสังฆราชในสมัยนั้น(ก่อนคอมมิวนิสต์จะปกครอง) พยายามบอกใบ้สุดชีวิต บอกว่าสิ่งชั่วร้ายสีแดงกำลังมา แต่ไม่มีใครตีความได้ จนกระทั่งคอมมิวนิสต์ปกครองถึงได้รู้ แล้วท่านก็บอกด้วยว่า ท่านจะตายวันนั้น เดือนนั้น ปีนั้น แต่ว่าเขาจะฝังท่าน ๒ ครั้ง ท่านบอกล่วงหน้า ๔๐-๕๐ ปี

ระยะหลัง พอคอมมิวนิสต์ปกครองรัสเซียเสร็จ ได้ข่าวว่าคนยึดศาสนามาก จึงตั้งใจจะทำลายศาสนาให้หมด ได้ยินว่าที่ฝังสังขารของท่านลามะรูปนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธในรัสเซีย รัฐบาลคอมมิวนิสต์ก็สั่งขุดเลย พอขุดขึ้นมา เจอศพท่านนั่งกรรมฐาน ตายแล้วไม่เน่า จึงไม่กล้าแตะต้อง ต้องทำการฝังใหม่ ก็ตรงกับคำที่ท่านพยากรณ์ไว้ทุกอย่าง ว่าถ้าท่านตายแล้วต้องฝัง ๒ ครั้ง

ปัจจุบันนี้รัสเซียฟื้นศาสนาพุทธขึ้นมาเยอะมาก พออนุญาตให้นับถือศาสนา พวกบรรดาชาวพุทธเดิม ๆ ที่หลบ ๆ ซ่อน ๆ ทำพิธีกรรมก็แสดงออกอย่างชัดเจน รัฐบาลก็สนับสนุนงบประมาณบางส่วนให้ซ่อมแซมวัดวาอารามขึ้นมาใหม่ ถึงได้รู้ว่าวัดพุทธที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปอยู่ที่รัสเซีย เป็นวัดลามะนี่แหละ

ตอนนี้มีพระไทยเผยแผ่พุทธศาสนาในรัสเซีย ท่านไปอยู่ที่นั่นมาเป็น ๑๐ ปีแล้ว ท่านบอกว่า ๗ ปีแรกนี่ศึกษาภาษารัสเซียอย่างเดียวจริง ๆ เลย ใครมาสอบถามนี่ต้องตีใบ้อย่างเดียว พูดภาษาเขาได้ไม่กี่คำ ไม่สามารถที่จะอธิบายหลักธรรมที่เป็นภาษาลึกซึ้งได้ ก็เลยต้องศึกษาภาษารัสเซียก่อน"

เถรี
23-06-2011, 10:12
"แต่จากการใบ้และทำตัวให้ดูว่าต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง เช่น สวดมนต์ นั่งกรรมฐาน บรรดาชาวพุทธรัสเซียก็พยายามทำตาม และเขาฉลาด เขาไม่รอพระสอน เขาไปค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตว่าศาสนาพุทธมีหลักการปฏิบัติอย่างไร แล้วลุยกันเองเลยโดยอาศัยวัดเป็นศูนย์กลาง เพราะฉะนั้น..ในยุโรปนี่ยอดผู้นับถือศาสนาพุทธเพิ่มขึ้นจนน่ากลัว ถ้าไม่ใช่ศาสนาแห่งความสงบอย่างที่ทุกคนรู้แล้ว มีสิทธิ์โดนสกัดแน่นอน

อย่างศาสนาอิสลาม หลายประเทศก็จะมีการประกาศห้ามนับถือ ไปนึกถึงที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า ให้พระจาริกไปเพื่อประโยชน์สุขของชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก ปรากฏว่าตอนนี้เห็นชัดแล้ว ท่านที่ทุ่มเทขนาดนั้นมีอยู่จริง ๆ โดยเฉพาะท่านที่อยู่ในรัสเซีย

ตอนแรกจะยุมหาเค (พระมหาธีราวุธ ธีรปญฺโญ)ให้ไปรัสเซีย แต่ปรากฏว่ามหาเคไปอเมริกา มหาเคจบปริญญาวิศวกรรมจากรัสเซีย ไปใหม่ ๆ อย่าว่าแต่คุยรู้เรื่องเลย ฟังยังไม่รู้เรื่อง จบปริญญาวิศวกรรมมาจากรัสเซีย แต่ไม่ได้ใช้งานอะไรเลย เพราะจบแล้วก็มาบวช พ่อแม่มีกิจการร้านอาหารใหญ่ ๆ โต ๆ ยกให้ ลูกก็ไม่ได้ทำอะไร ปิดไปเฉย ๆ จนกระทั่งต้องให้พี่สาวไปทำแทน

ตอนแรกมหาเคขอบวชแต่พ่อแม่ไม่ให้บวช ลูกก็ไม่ว่าอะไร นอนเฉย ๆ ประท้วงน้อยกว่าพระรัฐบาลหน่อย พระรัฐบาลท่านนอนแล้วไม่กินด้วย พ่อแม่กลัวลูกคนเดียวจะตายเลยให้บวช แต่มหาเคนี่นอนเฉย ๆ ไม่ทำงาน กินอย่างเดียว ท้ายสุดพ่อแม่เห็นว่าเอาจริงก็เลยต้องปล่อยให้บวช

ตอนนี้ที่วัดท่าขนุนมีพระที่เป็นบุคลากรดี ๆ ในวัดเยอะมาก แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วท่านไม่กล้าเสี่ยง ที่ไม่กล้าเสี่ยงก็คือว่า ไม่กล้าริเริ่มทำอะไร เพราะกลัวว่าจะทำผิด นี่แสดงว่าเขาไม่เคยดูอาจารย์ อาตมาทำทุกเรื่อง เรื่องไหนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านด่า จะเลิกทำตลอดชีวิต เรื่องไหนไม่ด่าก็ทำไปเรื่อย"

เถรี
24-06-2011, 11:47
ในขณะที่เถรีกำลังนั่งพับเหรียญโปรยทานที่บ้านวิริยบารมี พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "กำลังใจของคนทำบุญจริง ๆ จะประณีตและเยือกเย็น คนโบราณเขาจึงค่อย ๆ ถัก ค่อย ๆ ห่อ กว่าจะได้เหรียญแล้วไปโปรยทาน ก็ต้องใช้ระยะเวลาที่นานมาก

สมัยก่อนตอนไปอยู่ที่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ พรรษาแรก พวกมอญเขาจัดผ้าป่ามาถวาย ผ้าป่าทั้งต้นมีเหรียญห้อยโตงเตงเต็มไปหมด นับแล้วได้ ๑๗๓ บาท แต่อาตมาแจกวัตถุมงคลหมดไปหลายพัน เพราะเขามากันทั้งหมู่บ้าน

ลักษณะอย่างนั้นเราจะไปดูที่จำนวนเงินไม่ได้ ต้องดูกำลังใจที่เขาจะทำบุญจริง ๆ อุตส่าห์จัดมาเสียอย่างดี ตัดกระดาษพับมาอย่างดี ห่อเหรียญห้อยด้ายมา รับปัจจัยในลักษณะอย่างนั้น อาตมาดีใจกว่าคนถวายเงินเป็นล้าน เพราะว่าบางคนถวายเงินมาเป็นล้านแต่กำลังใจยังสู้พวกเขาไม่ได้

เรื่องของงานบุญสำคัญที่กำลังใจในการสละออก เขามีเงินร้อยหนึ่ง สละออกบาทหนึ่ง เท่ากับ ๑ % แล้วนะ ถ้าคนมีเงินพันล้านสละออกล้านหนึ่ง ก็ไม่ถึง ๑% อย่างพวกเขา"

เถรี
24-06-2011, 11:52
พระอาจารย์กล่าวถึงโรคเก๊าท์ว่า "โรคเก๊าท์มีวิธีแก้ที่ง่ายมาก ก็คือ ให้ดื่มน้ำอุ่นเยอะ ๆ โรคเก๊าท์เกิดจากกรดยูริกของโปรตีนไปตกผลึกอยู่ตามข้อ ผลึกเป็นรูปแหลม ๆ เหมือนกับเข็มอยู่ตามข้อทำให้ปวด เวลาดื่มน้ำเข้าไปมาก ๆ จะละลายผลึกพวกนี้ออกมา เราก็จะหาย

ดังนั้น..ถ้าเป็นโรคเก๊าท์ไม่ต้องไปหาหมอหรอก เสียเวลา ดื่มน้ำมาก ๆ ขยันเข้าห้องน้ำหน่อย จะหายภายใน ๒ วัน แต่ถ้าไปกินพวกสัตว์ปีก เครื่องใน อาหารทะเล ยอดผัก เดี๋ยวก็เป็นอีก เราก็ดื่มน้ำใหม่ ที่ต้องใช้น้ำอุ่นเพราะว่าถ้าใช้น้ำเย็นมาก ๆ เดี๋ยวจะเป็นไข้"

เถรี
25-06-2011, 16:45
ถาม : ดอกบัวครรภ์รักษามีวิธีใช้อย่างไร?
ตอบ : ห่อผ้าขาวบางต้มกับน้ำมะพร้าวอ่อน ๓ ผล พอเดือดก็ยกลงทิ้งให้เย็น กินเช้า ๑ แก้ว เย็น ๑ แก้ว พอหมดแล้วต้มอีก ๓ ผล กินหมดแล้วต้มอีก ๓ ผล รวมต้ม ๓ ครั้ง จำนวน ๙ ผล เศษที่เหลือให้ลอยทิ้งน้ำไป

ตอนกินก็อธิษฐานขอให้คลอดง่าย มีความปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูก ให้เด็กเกิดมาแข็งแรง สมบูรณ์ เลี้ยงง่าย โตเร็ว เฉลียวฉลาด กตัญญู ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ถ้าเป็นผู้ชายขอให้ได้บวชสักหนึ่งพรรษา

เถรี
25-06-2011, 16:55
ถาม : ใช้ของพวกโทรศัพท์มือถือแล้วเสียบ่อยมาก เสียแบบไม่มีสาเหตุด้วย เหมือนกับผ่านคลื่นแม่เหล็กแล้วถูกลบข้อมูลไปหมด เป็นเรื่องของไสยศาสตร์ใช่ไหม ?
ตอบ : บางทีก็อยู่ที่ตัวเราเหมือนกัน บางคนมีสนามแม่เหล็กในตัวเองสูงมาก พวกสนามแม่เหล็กนี้จะอยู่ในทุกอวัยวะ บางคนสนามแม่เหล็กมีคลื่นสูงมากเป็นพิเศษ ทำให้ของใช้เสียเร็ว ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องภายนอก เป็นที่ตัวเราเอง

ถาม : แก้อย่างไร?
ตอบ : อยู่ห่าง ๆ ของใช้ อย่าเอาติดตัวไว้ ถ้าติดตัวไว้จะเสียเร็ว อวัยวะทุกส่วนเราส่งคลื่นแม่เหล็กออกมาได้ ถ้าหากทางสายปฏิบัติเขาเรียกว่า "รัศมี" หรือ "รังสี" ฝรั่งเขาเรียกว่า "ออร่า" คนไหนที่พลังงานแรง ๆ เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์จะพังหมด

เถรี
25-06-2011, 17:17
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องการเมืองว่า "มีเบอร์ในดวงใจหรือยังว่าจะเลือกใคร ? นักการเมืองโดยเฉพาะบุคคลที่ได้ขึ้นไปเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี ถ้าไม่ใช่คนช่างสังเกตหรือลงไปขลุกกับงานด้วยตัวเองแล้ว จะโดนปิดบังอยู่ตลอดเวลา

คนเขาจะบอกแต่ในสิ่งที่ชอบฟัง แต่จะไม่บอกในสิ่งที่ไม่ดี เพราะฉะนั้น..เขาจะไม่รู้ว่าตัวเองมีข้อบกพร่องตรงไหน คิดว่าสิ่งที่ทำนั้นดีแล้วทั้งนั้น เจอแต่พวก "ได้ครับพี่ ดีครับนาย สบายครับผม เหมาะสมครับท่าน" ก็กลายเป็นว่าทุกอย่างที่ทำนั้นดีหมด กว่าจะรู้ว่าไม่ดี คู่ต่อสู้ก็เอาไข่ไปชั่งกิโลเยาะเย้ยแล้ว..!

ดังนั้น..ถ้าก้าวขึ้นไปสู่ที่สูงแล้ว ถ้าเป็นไปได้ก็คือยังขลุกกับงานอยู่เหมือนเดิม ถ้าไปปล่อยให้คนอื่นทำแทน ตัวเราเองจะไม่รู้ข้อมูลที่แท้จริงเลย เขาจะชงแต่เรื่องดี ๆ ให้ตลอด"

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : สามก๊กบอกว่าแกล้งโง่ไม่เป็น เป็นใหญ่ไม่ได้ แต่ถ้าโง่โดยไม่ต้องแกล้ง ถือว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ..!

เถรี
25-06-2011, 18:26
ถาม : ถ้าจะแกะกรอบพระเลี่ยมทอง จากองค์หนึ่งไปอีกองค์หนึ่ง จะเป็นอะไรหรือไม่ ?
ตอบ : ดูเจตนาด้วย เจตนาครั้งแรกเราตั้งใจถวายเป็นพุทธบูชาแล้วไปแกะนี่เป็นเรื่องเลย แต่ถ้าประเภทเงินทองเหลือเฟือมีกี่องค์เราเลี่ยมหมด ก็ทำได้

ถาม : เงินไม่เหลือหรอกครับ ตอนแรกเลี่ยมเพราะชอบองค์นี้ นาน ๆ ไปรักอีกองค์
ตอบ : ไม่เป็นไร บอกท่านว่าผมจะไปตัดจีวรให้ กรุณาหาเงินค่าจีวรให้ผมด้วย

ถาม : ถ้าเกิดหาจีวรไม่ได้ เลยเอาจีวรท่านไปขายเล่าครับ ?
ตอบ : เหมือนกัน ถ้าตั้งใจถวายจะเป็นพุทธบูชา แล้วไปทำอย่างนั้นก็ซวยไปเลย แต่ถ้าไม่ได้ตั้งเจตนาไว้ก่อนก็แกะไปเถอะ มีเงินแล้วค่อยเลี่ยมให้ท่านใหม่

เถรี
25-06-2011, 18:38
พระอาจารย์กล่าวถึงในหลวงว่า "ในหลวงทรงบารมีสิบครบถ้วนสมบูรณ์น่าชื่นชม วันแรกที่ขึ้นครองราชย์ก็ตรัสว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม" ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ๖๐ กว่าปีแล้ว พระองค์ยังไม่เคยผิดสัญญาเลย สัจจะบารมีเต็มเปี่ยมจริง ๆ บารมีตัวไหนเต็มเสียตัวหนึ่ง ตัวอื่นก็พลอยเต็มไปด้วย เพราะใช้กำลังใจเท่ากัน"

เถรี
25-06-2011, 18:40
ถาม : เราจะแก้นิสัยขี้สงสัยในการปฏิบัติอย่างไร ?
ตอบ : ไม่ต้องแก้จ้ะ ตั้งหน้าตั้งตาทำให้เกิดผลแล้วจะหายสงสัยไปเอง ถ้าไม่สงสัยเราก็ไม่ดิ้นรนค้นคว้า เพียงแต่ว่าเราปฏิบัติให้เกิดผล ก็จะหมดความสงสัยในที่สุด

เถรี
25-06-2011, 19:24
ถาม : ฝันว่าถือพระคำข้าวมาถวายท่าน อย่างนี้ต้องทำตามฝันไหม ?
ตอบ : ฝันเห็นพระเขาถือว่าเป็นมงคลใหญ่ โดยเฉพาะพระคำข้าว ท่านเด่นในทางให้ลาภ ดังนั้น..ตั้งใจขอบารมีท่านสงเคราะห์เราก่อน เหลือเมื่อไรค่อยเอามาถวายพระ

ถ้าฝันแล้วต้องทำตาม ฝันว่าเป็นหนี้พระก็ยุ่งสิ..มิต้องจ่ายกันบานตะไทเลยหรือ ?

เถรี
25-06-2011, 19:31
ถาม : ฤกษ์ดีในการปลูกบ้าน เปิดร้านค้า ควรใช้ฤกษ์ไหน ?
ตอบ : ปลูกบ้านปลูกเรือน ตั้งร้านค้า ใช้วันศุกร์ข้างขึ้น เดือนคู่ แต่เดือนคู่นี้ให้เว้นเดือนแปดข้างแรมกับเดือนสิบ เพราะอยู่ในช่วงเข้าพรรษา เขาถือกัน

แต่มีข้อแม้ว่า ถ้าสร้างเสร็จแล้วจะเปิดกิจการใหม่ ให้ใช้ฤกษ์วันอื่นที่ไม่ใช่วันศุกร์

ถาม : แล้วกี่ค่ำ ?
ตอบ : ให้ข้างขึ้นไว้ก่อน จะกี่ค่ำก็ช่าง เขาถือเคล็ดคำว่า "ขึ้น" จะได้เจริญรุ่งเรือง

เถรี
26-06-2011, 08:43
ถาม : ความรักคืออะไร ?
ตอบ : ความรักก็ต้องความรักในเมตตาตามแบบของพระ ก็คือการหวังดีปรารถนาดีต่อผู้อื่น เหมือนกับความปรารถนาดีต่อตนเอง เรารักเราชอบอะไร ก็อยากให้คนอื่นได้อย่างนั้นด้วย

เถรี
26-06-2011, 10:53
พระอาจารย์กล่าวกับผู้ที่นำลูกเล็ก ๆ มาทำบุญว่า "เวลาลูก ๆ น่ารัก พ่อแม่ก็ปลื้มใจ ในเทวตาสังยุตของสังยุตนิกาย สุตตันตปิฎก มีเทวดาไปกล่าวคาถาต่าง ๆ ถวายพระพุทธเจ้า เทวดาองค์หนึ่งท่านกล่าวว่า "ผู้มีบุตรย่อมรื่นเริงเพราะบุตร ผู้มีโคย่อมรื่นเริงเพราะโค"

สังคมอินเดียเขาพึ่งพาวัวโดยตลอด นม เนย นมเปรี้ยว ตลอดจน "กี" ซึ่งเป็นเนยที่เขาเคี่ยวเอาไว้เพื่อจุดไฟบูชาพระเจ้า และเชื้อเพลิงก็ได้จากขี้วัว ฉะนั้น..ใครมีวัวเยอะ ๆ ถือว่าเป็นมหาเศรษฐี ร่ำรวย คนมีวัวเขาก็ดีใจ

พอเทวดากล่าวว่า "ผู้มีบุตรย่อมรื่นเริงเพราะบุตร ผู้มีโคย่อมรื่นเริงเพราะโค" ถ้าหากว่าถูก พระพุทธเจ้าจะประทานสาธุการให้ ถ้าไม่ถูกพระพุทธเจ้าจะแก้ให้ คราวนี้พระพุทธเจ้าท่านแก้ว่า "ผู้มีบุตรย่อมทุกข์เพราะบุตร ผู้มีโคย่อมทุกข์เพราะโค"

เราจะเห็นว่าแม้กระทั่งเทวดายังมีการเข้าใจผิดเลย เพราะฉะนั้น..ตอนนี้เราก็รื่นเริงเพราะบุตรไปก่อนนะ ถึงเวลาค่อยต่างคนต่างไป"

เถรี
26-06-2011, 10:58
มีคนมาถวายหนังสือเกี่ยวกับหลวงตามหาบัวหลายเล่ม พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "พอสิ้นหลวงตาบัวแล้ว หนังสือต่าง ๆ ทะลักออกมาจนเต็มตลาด บอกไม่ถูกแล้วว่าเยอะขนาดไหน แต่เท่าที่ดูเล่มนี้น่าจะสมบูรณ์ที่สุด (หนังสือชื่อ"สมณะ")

เขาบอกเล่าเรื่องราวของท่านตั้งแต่ยังเด็ก ๆ อยู่ โดยเฉพาะรูปนี้ ยืนยันได้ว่าท่านจบเปรียญธรรมจริง ๆ เพราะมีพัดที่ได้รับพระราชทานจากในหลวง

สมัยก่อนคนสอบเปรียญธรรมจะมีไม่มาก ในหลวงก็พระราชทานพัดให้ พอมาระยะหลังสอบกันเป็นพัน ๆ ต้องมอบหมายให้เจ้าคณะหน ซึ่งจะมีหนกลาง หนเหนือ หนใต้ และเจ้าคณะธรรมยุติ ฯลฯ ให้ไปเป็นผู้ประทานพัดให้แทน"

เถรี
26-06-2011, 12:09
พระอาจารย์กล่าวว่า "การกล่าวคำขออุปสมบท นอกจากต้องชัดเจนแล้ว ยังต้องได้ยินทั่วถ้วนกันทั้งโบสถ์ เพราะเราไปร้องขออุปสมบทต่อคณะสงฆ์ จะได้เป็นหลักฐานยืนยันว่า..เอ็งมาร้องขอทั้งน้ำตา ให้ข้าบวชให้ ไม่ใช่ข้าทะลึ่งไปบวชให้เอ็ง..!"

เถรี
26-06-2011, 12:16
ถาม : พระที่บวชแล้วไม่เป็นพระเต็มตัว คนที่บวชจะเป็นพราหมณ์หรือเป็นแค่เณรครับ ?
ตอบ : อย่างดีก็แค่เณร แต่ยังดีที่ได้เป็นเณร

ถาม : ถ้าใส่ผ้าเหลืองก็เป็นเณรแล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ส้นตีนแน่ะ..! ใส่ผ้าเหลืองไม่มีศีลแล้วจะเอาความเป็นเณรมาจากไหน ?

ถาม : ผมรู้สึกหงุดหงิดใจมาก อีกไม่กี่วันนี้แม่ผมจะเดินทางไปวัดใหญ่วัดหนึ่งแถวบ้าน
ตอบ : คุณจะไปยุ่งอะไรกับแม่เล่า ?

ถาม : ผมอยู่ในงานด้วย ผมไม่ชอบใจมาก
ตอบ : เป็นเพราะเราเลวเอง มีอยู่สมัยหนึ่งประมาณปี ๒๕๓๐ สมณะที่สันติอโศกไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุง ตอนนั้นยังไม่มีการตัดสินให้คณะของท่านพ้นจากสภาพความเป็นนักบวช แต่พวกเราทุกคนก็รู้ว่าท่านไม่ใช่นักบวช เพราะท่านบวชกันเอง

ท้ายสุด..หลวงตาวัชรชัยต้องเป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน ไปกราบเรียนถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า จะจัดการอย่างไรกับเขาดี หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า "เอ็งก็เห็นเขาเป็นพระซะก็หมดเรื่อง"

หลวงตาก็มานอนคิดอยู่เป็นวัน ในที่สุดก็สรุปได้ว่า อย่าว่าแต่คนเลย ท้ายสุดหมูหมา กาไก่ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย อะไรก็ตาม จะต้องหลุดพ้นเข้าพระนิพพานกันหมด เอ็งก็ไหว้อนาคตพระอรหันต์ซะก็หมดเรื่อง จะไปสนใจอะไรกับปัจจุบันของท่าน

เถรี
26-06-2011, 12:22
ถาม : แล้วผมควรจะอยู่เฉย ๆ ไว้ ?
ตอบ : ถ้าไม่เฉยก็แย่ เดี๋ยวแม่จะไม่ให้มรดก..!

ถาม : ผมควรจะไปไหมครับ ?
ตอบ : ตามแม่ไป ถือว่าเราไปดูแลแม่

ถาม : ตามหลักความเป็นจริง ถ้าผมควรจะอยู่เฉย ๆ นี่..?
ตอบ : เรามันโง่เอง จริง ๆ..โง่ฉิบหายเลย จะอยู่ที่ไหนก็ตาม เราก็ทำความดี ศีล สมาธิ ปัญญาของเราได้ อยู่บ้านเรารักษาศีลได้ อยู่วัดรักษาไม่ได้หรืออย่างไร ? อยู่บ้านเราทำสมาธิได้ อยู่ที่นั่นเขาทำกันเยอะแยะ เราก็ทำตามแบบของเราไป

เราจะได้เห็นว่า บุคคลที่หวังความหลุดพ้นยังไม่แน่ว่าจะหลุดพ้นได้ ยังเต็มไปด้วยความทุกข์ขนาดนี้ แล้วเราจะเกิดอีกทำไม ? เราต้องฉวยสถานการณ์ให้เป็น เลือกเอาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง เหมือนกับเลือกเพชรจากก้อนกรวด แม้ว่าก้อนกรวดจะกองใหญ่ไปหน่อย เราคุ้ยเพชรให้เจอก็แล้วกัน

ให้รู้จักฉลาดขึ้นบ้าง จะได้ไม่ไปขัดคอใคร โบราณเขาบอกว่า ขัดขัน ขัดจอก ยังพองามได้ แต่ขัดคอเขาไม่ได้อะไร นอกจากจะโดนเตะ..!

ประสบการณ์ชีวิต กำลังบารมีที่สั่งสมมา จะทำให้มุมมองของเรากว้างออกไปเรื่อย ๆ และท้ายที่สุด ก็จะเห็นอย่างที่พระอริยเจ้าท่านเห็น ก็คือ คนเราไม่มีดีไม่มีชั่ว มีแต่คนที่กำลังเป็นไปตามกรรม ท่านก็จะไม่รังเกียจใคร แต่ถ้าประสบการณ์ไม่พอ เราก็ยังไปแบ่งแยกขาวดำชัดเจน ถ้าอย่างนั้นก็ตัวใครตัวมัน..!

เถรี
26-06-2011, 17:55
ถาม : ฝึกเจริญพระกรรมฐานมโนมยิทธิครับ นิมิตต่าง ๆ อย่างพวกการ์ตูนเข้ามากวนใจอยู่เรื่อย จะกำจัดพวกเรื่องที่แวบเข้ามาในหัวตอนที่ปฏิบัตินี้ได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ให้เราอยู่กับสมาธิมากกว่า โดยเฉพาะอยู่กับลมหายใจ ถ้าหลุดจากลมหายใจเมื่อไร การ์ตูนจะแทรกเข้ามา

เพราะฉะนั้น..ให้เราอยู่กับลมหายใจเข้าออกอย่างนี้ ไม่ต้องไปที่อื่น นึกอยู่แค่นี้แล้วอย่างอื่นจะเข้ามาไม่ได้ แต่ถ้าเราหลุดไปเรื่องอื่นเมื่อไร การ์ตูนก็จะแทรกเข้ามา คราวนี้เห็นความร้ายกาจของการ์ตูนหรือยัง ?

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : บางคนอาจจะคิดว่าไม่สำคัญ เพราะว่าเราเป็นผู้ใหญ่ เรารู้ว่าการ์ตูนเป็นอย่างไร แต่เด็ก ๆ เขาแยกไม่ออกว่าการ์ตูนกับเรื่องจริงต่างกันตรงไหน ฉะนั้น..จะอยู่ในใจของเขาง่ายกว่า พอนั่งกรรมฐานเมื่อไร การ์ตูนก็เข้ามา

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่เป็นไร ถ้าเราหลุดไปจากตรงนี้ พอการ์ตูนมาเมื่อไร เราวิ่งกลับมาอยู่กับลมหายใจของเรา มานึกถึงลมหายใจเข้าจมูก..อก..ท้อง หายใจออกท้อง..อก..จมูก อยู่แค่นี้ก็เข้ามาไม่ได้แล้ว

แต่พอเผลอก็เข้ามาอีก ต้องสู้กันอย่างนี้ เหมือนเขาจะยึดเมืองเรา พอโผล่มาเราก็หนี ปิดประตูป้องกันเมืองเราไว้ พอทำไปนาน ๆ แล้ว กำลังใจทรงตัวแล้ว เขาก็เข้ามาไม่ได้เอง

เถรี
26-06-2011, 18:02
ถาม : เวลาฝึกจับลมหายใจ จับแค่ลมตรงจมูกเข้าออกเท่านั้น
ตอบ : แค่ไหนก็ได้ ให้อยู่กับลมได้ก็ใช้ได้ทั้งนั้น วิธีนี้ในวิสุทธิมรรคท่านบอกว่า เหมือนกับคนเลี้ยงวัว ยืนเฝ้าวัวอยู่ที่ปากคอก วัวจะเข้าออกกี่ตัวก็นับไว้ นี่คือวิธีหนึ่งเหมือนกัน

ส่วนรู้ลมสามฐานหรือรู้ลมเจ็ดฐาน สำหรับคนจิตละเอียดนิดหนึ่ง เราเองฐานเดียวก็ดีเกินแล้ว ทรงเป็นฌานได้เหมือนกัน ขอให้อยู่กับลมจริง ๆ เถอะ

ถาม : เวลาภาวนานะมะพะธะรู้สึกว่าบางวันไม่ค่อยดี ต้องใช้สติปัฏฐาน แต่บางวันไม่ต้องสติปัฏฐาน ก็ไปเอง
ตอบ : สังเกตดูว่า ตอนนั้น ชั่วขณะนั้น เราคิด เราพูด เราทำอย่างไรถึงไปง่าย แล้วเราคิด เราพูด เราทำอย่างไรถึงไปยาก หมั่นสังเกตและเลือกเอาแต่ที่ไปง่ายไว้ จะได้ง่ายไปเรื่อย ๆ เราสังเกตไม่เป็นเอง

เถรี
26-06-2011, 18:11
วันอาทิตย์หลายครอบครัวพาเด็ก ๆ มาบ้านวิริยบารมี จึงมีคำสอนเกี่ยวกับเด็ก ๆ หลายอย่าง เช่น

น้องซันร้องไห้อยู่หลังห้อง ใครว่าอย่างไรก็ไม่เงียบ พระอาจารย์จึงพูดว่า "ใครร้องไห้บ่อย ๆ โตขึ้นจะขี้เหร่ ไม่หล่อหรอก ถ้าเป็นผู้หญิงก็ขี้เหร่ไม่สวย ถ้าเป็นผู้ชายก็ขี้เหร่ไม่หล่อ เพราะฉะนั้นอย่าร้องไห้นะลูก ยิ่งร้องมาก ๆ หน้าหงิกทำคืนยากนะ จะน่าเกลียดมากเลย" น้องซันได้ยินดังนั้น เงียบทันที

พระอาจารย์บอกว่า "สำคัญที่ผู้ใหญ่ต้องรู้ว่าเด็กต้องการอะไร ถ้าไม่รู้ก็หลอกเด็กไม่ได้ และคนเป็นพ่อเป็นแม่ ต้องอยู่ในลักษณะปรับเปลี่ยนเฉพาะหน้า พลิกแพลงให้ทัน"

ท่านเล่าให้ฟังว่า "ที่ทองผาภูมิมีน้องฟ้าใส ฟ้าใสจะมาดักใส่บาตรทุกวัน เพราะหลวงตาให้พรว่า โตขึ้นให้เรียนเก่ง ๆ และสวย ๆ ฟ้าใสเขาอยากได้คำหลัง จึงชอบใส่บาตร"

เถรี
26-06-2011, 18:17
พระอาจารย์สอนพ่อแม่เด็กว่า "ถ้าเกี่ยวกับวัด เกี่ยวกับพระ เด็ก ๆ เขาไม่รู้ เวลาทำอะไรที่ไม่ปกติ ที่เรารู้สึกว่าน่าเกลียด ไม่ถูกต้อง
เราอย่าเพิ่งไปห้ามหรืออย่าไปดุเขาแรง ๆ ให้ค่อย ๆ สอนเขา เพราะถ้าไปห้ามหรือไปดุเขาแรง ๆ ต่อไปเขาอาจจะกลัว ไม่เข้าใจ แล้วจะไม่กล้ามาอีกเลย

ค่อย ๆ อธิบาย ปากเปียกปากแฉะไปเรื่อย เดี๋ยวก็เข้าใจเอง"

เถรี
26-06-2011, 18:22
อย่างแม่ที่ตีลูกบ่อย ๆ พระอาจารย์ก็จะบอกว่า "ต้องให้แม่ฝึกสมาธิให้มากกว่านั้น เพราะแม่ยังระงับอารมณ์ใจตนเองไม่ได้

เป็นธรรมดาของเด็ก เพราะว่าสติ สมาธิ ปัญญาเขายังน้อย ก็เลยกลายเป็นความไม่ธรรมดาของผู้ใหญ่ที่ยังรักษากำลังใจไม่ได้
เลยต้องไปตีเด็ก เพราะฉะนั้น..มีวิธีก็คือ รักษากำลังใจของตัวเองให้ได้"

เถรี
26-06-2011, 18:25
พระอาจารย์กล่าวถึงคนที่บวชว่า "คนที่หลุดออกจากวัดไป ถ้ากำลังใจไม่เข้มแข็งพอ จะกลับมาบวชอีกยาก เหมือนเสือหลุดจากกรงแล้วไม่อยากกลับเข้ากรง ยกเว้นจะรู้ว่ากรงนั้นมีประโยชน์อย่างไร ถึงจะกลับมา"

เถรี
26-06-2011, 19:51
ถาม : ถ้าอยากให้สมาธิทรงตัว ต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : รักษาระดับเอาไว้ ส่วนใหญ่เราทำแล้วทิ้งเลย ทำแล้วทิ้งเลยก็ถอยหลัง ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

ถึงเวลานั่งแล้วสมาธิทรงตัวแค่ไหน เลิกไปทำอย่างอื่นแล้วต้องทรงให้ได้อย่างนั้น

เถรี
26-06-2011, 19:54
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานอ่านเจอข่าวคนจีนขายไตไปซื้อไอแพด อะไรจะปานนั้นหนอ ? นั่นแสดงว่ากำลังใจของเขาต่ำมาก ไม่มีกำลังที่จะต่อต้านกระแสบริโภคนิยม คือ รัก โลภ โกรธ หลงเลย

ยังดีนะเลือกขายไตตัวเอง ถ้าเลือกไปปล้นเขาเพื่อไปซื้อไอแพด สังคมจะแย่กว่านี้อีก นับว่ายังมีจิตสำนึกที่ดีอยู่บ้าง"

เถรี
26-06-2011, 19:59
พระอาจารย์กล่าวว่า "การตั้งศาลเป็นการแสดงออกซึ่งความเคารพของเราต่อท่านที่เป็นเจ้าที่เจ้าทางตรงนั้น ถ้ารู้วิธีว่าต้องตั้งศาลอย่างไร เราทำเองเป็นดีที่สุด เพราะแสดงออกซึ่งความเคารพและตั้งใจจริงของเรา ไม่ต้องไปง้อหมอพราหมณ์อะไรหรอก ทำเองไปเลย"

เถรี
27-06-2011, 10:59
เวลาที่พระท่านกราบพระด้วยกัน โยมไม่ควรกราบพร้อมกับพระ เพราะเท่ากับให้พระท่านรับไหว้เรา

พระอาจารย์ได้เตือนโยมว่า "สำหรับโยม ถ้าไปที่อื่น อย่ากราบพร้อมกับพระ เดี๋ยวเขาจะดุเอา ปกติพระจะรับไหว้เฉพาะพระเท่านั้น แต่อาตมารับไหว้หมดทุกคน

ยิ่งปฏิบัติไปต้องยิ่งละเอียดขึ้น เพราะถ้าไปวัดอื่นเจอท่านที่ปากไม่ค่อยดี บางทีท่านจะด่าให้เลย เราต้องระวังไว้อย่าพลาดให้เขาตำหนิเอาได้"

เถรี
27-06-2011, 11:01
พระอาจารย์กล่าวว่า "แม้เราไม่มีรูปท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ ไว้บูชา แต่ท่านให้พรไว้ว่า ใครที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบัน ท่านจะตามคุ้มครองตลอดชีวิต
ดังนั้น..ถึงไม่มีรูปท่าน แต่ถ้าเราตั้งใจทำความดีจริง ๆ ก็นึกถึงท่านได้ ขอให้ท่านโมทนาบุญที่เราทำแล้วช่วยดูแลรักษาเราด้วย"

เถรี
27-06-2011, 11:32
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องวัตถุมงคลของหลวงพ่อ อาตมาชอบเพราะท่านทำไปในทางแคล้วคลาดมากกว่า ท่านบอกว่าถ้ามหาอุตม์ เดี๋ยวลูกหลานเป็นโจรกันหมด พวกเรากำลังใจมักจะเกิน ส่วนใหญ่ไปด้านเดียว ถ้าเป๋ก็เป๋กระฉูดไปเลย ถ้ามีของดีชนิดที่ใครก็ทำอะไรไม่ได้ มีหวังได้เป็นโจรบ้าง ท่านก็เลยไม่ให้ทำมหาอุตม์

แต่อาตมานี่ถ้าวันไหนคันมือก็ทำ ถ้าไม่คันมือก็เอาเรื่องลาภผลดีกว่า ด้านลาภผลนั้นพื้นฐานของคนเสกจะต้องมี ถ้ามาด้วยผลของทานบารมีนี่ขลังสุด ๆ เลย

ถ้าในเรื่องของเมตตามหานิยม คนทำต้องถนัดในเรื่องแผ่เมตตา ไม่อย่างนั้นทำจะไม่ได้ผล เพราะต้องออกมาจากใจจริง ๆ
แต่มหาอุตม์แค่อุปจารฌาน ขนลุกก็ใช้ได้แล้ว ทำยากสุดคือเมตตามหานิยม เพราะต้องออกจากใจของคนเสกเอง"

เถรี
27-06-2011, 19:27
มีโยมถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องกสิณ พระอาจารย์กล่าวว่า " เรื่องการฝึกกสิณเป็นพื้นฐานที่ง่ายมาก ๆ เพราะกสิณเป็นของหยาบ มีวัตถุเป็นเครื่องเพ่ง ยกเว้นกสิณแสงสว่างและอากาสกสิณเท่านั้น

ในเมื่อมีวัตถุให้ยึด อารมณ์ใจก็ทรงตัวได้ง่าย สำคัญตรงที่ทำแล้วต้องประคองดวงกสิณไว้ให้ได้ ถ้าประคองไว้ไม่ได้ ปล่อยให้นิวรณ์ ๕ เข้ามา ก็กลับมามืดบอดใหม่ ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

ดังนั้น..การฝึกกสิณ ถ้าตั้งใจทำตามพระพุทธเจ้าท่านกล่าว รัก โลภ โกรธ หลง จะเกิดไม่ได้เลย เพราะใจเราต้องจดจ่อต่อเนื่องอยู่กับองค์กสิณอยู่ตลอดเวลา เคยใช้คำเปรียบเทียบว่า เหมือนกับเราเลี้ยงลูกแก้วที่ตั้งอยู่บนปลายเข็ม เผลอเมื่อไรลูกแก้วก็ตกแตก เพราะฉะนั้น..ต้องมุ่งมั่นประคับประคองสุดชีวิต ทำให้อารมณ์ที่จะไปปรุงแต่งเป็นรัก โลภ โกรธ หลงก็ไม่มี

ดังนั้น..ในเรื่องของสมาธิหรือกสิณไม่ต้องมาถาม ไปหาตำรามา ชอบกองไหนก็ลุยไปเลย ส่วนใหญ่พวกเราหลายใจ พอใครว่าอะไรดีก็เปลี่ยนไปทำอย่างนั้น การปฏิบัติกรรมฐานต้องทำของเดิมให้ถึงที่สุดก่อน

คำว่า "ถึงที่สุด" ก็คือ ถ้าเป็นในเรื่องของสมถภาวนาต้องได้ฌานสี่ คล่องตัวในกองกรรมฐานนั้น ๆ แล้วจึงเปลี่ยนกองใหม่ ไม่อย่างนั้นจะเกิดเหตุการณ์ที่อาตมาเคยเปรียบว่า ขุดบ่อแล้วไม่ได้น้ำ เราตั้งใจจะขุดบ่อ ขุดไปได้ ๓-๔ วา จวนจะถึงน้ำแล้ว เขาบอกว่าตรงนั้นน่าจะดีกว่า ก็ย้ายไปขุดตรงนั้น ขุดได้สักวาสองวา เขาบอกทางด้านนี้ดีกว่า เราก็ย้ายมาขุดด้านนี้ อีกกี่ชาติถึงจะได้น้ำ?

เราต้องขุดให้ถึงน้ำไปเลย แล้วค่อยเปลี่ยนที่ อย่าหลายใจ มุ่งมั่นกรรมฐานเดิมของตนเองให้ทะลุปรุโปร่งก่อน แล้วค่อยเริ่มต้นกองอื่นใหม่"

เถรี
27-06-2011, 19:37
"ก่อนจะเริ่มต้นกองอื่น เราต้องเริ่มซ้อมทบทวนกองเดิมไว้ทุกครั้ง สมัยที่อาตมาฝึกอนุสติ ๑๐ ไล่ตั้งแต่พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ สีลานุสติ จาคานุสติ เทวตานุสติ มรณานุสติ กายคตานุสติ อุปสมานุสติและอานาปานสติ ถึงเวลาก็ต้องไล่ย้อนทวนแต่ละกอง ก่อนที่จะขึ้นกองใหม่

พอทำคล่องก็ไปรายงานหลวงพ่อวัดท่าซุง ไปด้วยความปลื้มใจมากว่า "หลวงพ่อครับ..เดี๋ยวนี้อนุสติ ๑๐ กอง ผมสามารถไล่ครบได้ภายในครึ่งชั่วโมง" หลวงพ่อท่านบอกว่า "ยังใช้ไม่ได้ลูก..ทั้ง ๔๐ กอง ถ้าต้องใช้เวลาถึงสองนาทีนี่แย่มากแล้ว"

ตอนแรกอาตมาไม่เชื่อ ตอนนี้เชื่อแล้ว เพราะอารมณ์ท้ายสุดเป็นฌานสี่เท่ากัน ถ้าเราไปไล่ทีละกองก็โง่ตายชัก แค่ขึ้นฌานสี่ให้เต็มที่แล้วขยับทีละกอง สองนาทีมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ สำคัญตรงที่เราทำคล่องตัวจริงหรือเปล่า ?

แต่คำว่าคล่องตัวจนทรงฌานสี่ได้ ไม่ใช่พระอริยเจ้านะ เพียงแต่ทรงกองกรรมฐานนั้น ๆ เท่านั้น การจะทรงความเป็นพระอริยเจ้า ต่อให้ได้อภิญญาแล้วก็ต้องย้อนกลับมาในส่วนของสุกขวิปัสสโก ก็คือมาดูเรื่องศีล และมาพิจารณาวิปัสสนาญาณ ซึ่งเป็นกำลังของสุกขวิปัสสโกล้วน ๆ เลย

ฉะนั้น..ใครจะว่าเรามาด้านของวิชชาสาม มาด้านอภิญญาหก มาสายปฏิสัมภิทาญาณ ถ้าไม่เลี้ยวมาหาสุกขวิปัสสโก บรรลุไม่ได้หรอก แต่ท่านทั้งหลายที่เป็นตั้งแต่วิชชาสามขึ้นไป กำลังท่านสูง โอกาสบรรลุท่านง่ายกว่า แต่ต้องมาบรรลุด้วยสุกขวิปัสสโก ก็คือ ต้องมาพิจารณาวิปัสสนาญาณทั้งนั้น"

เถรี
28-06-2011, 02:18
ถาม : ทำกิจการร่วมกับคนอื่นแล้วถูกโกง จะทำอย่างไรดี ?
ตอบ : ไปแค่กรอบของศีล พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าไม่สามารถจะร่วมทางกันได้ ก็ให้จากกันด้วยดี เราไปแค่กรอบของศีลก็พอ ส่วนใหญ่แล้วเขาจะไม่ค่อยคำนึงถึงศีลถึงธรรม คิดถึงแต่ผลกำไรอย่างเดียว

เมื่อเช้านี้ได้พูดไปแล้ว ตอนโยมเขาเอาตำราเศรษฐศาสตร์มาแจก อาตมาเรียนเศรษฐศาสตร์มา ตำราเขาบอกมาคล้าย ๆ กับพระบอกเลย เขาบอกว่าทรัพยากรในโลกนี้มีจำกัด แต่ความต้องการของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด เราจึงต้องศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์ เพื่อทำการแบ่งสรรปันส่วนให้ทุกคนได้รับความพึงพอใจอย่างสูงสุด เหมือนเอาพระมาเขียนตำราเลย

เพราะฉะนั้น..ถ้าพวกเราไปกันไม่ไหวจริง ๆ เราไปแค่กรอบของศีลพอ รักษาใจตัวเองไว้ ถอยออกมาดีกว่า

เถรี
28-06-2011, 02:36
ถาม : พระ..จับเงิน..ไม่จับเงิน..?
ตอบ : ความจริงจับไม่ได้ทั้งคู่แหละ มหานิกายก็ผิด ธรรมยุตก็ผิด เพราะสิกขาบทที่ ๘ ในโกสิยวรรค นิสสัคคียปาจิตตียกัณฑ์กล่าวไว้ว่า ภิกษุรับเงินทองหรือสิ่งของที่เขาใช้แทนเงินทองก็ดี ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์

สิกขาบทที่ ๙ กล่าวว่า ภิกษุรับเองหรือใช้ผู้อื่นรับก็ดี ต้องอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์ แปลว่า ถ้าพระธรรมยุตให้ลูกศิษย์รับก็โดนเหมือนกัน ฉะนั้น..พระมหานิกายที่ใจกล้ากว่า ก็คว้าเงินเองเลย ไหน ๆ ก็ผิดแล้ว

สำคัญตรงที่ว่าเรารับไป เราเอาไปใช้ประโยชน์เพื่อส่วนรวมหรือเพื่อตัวเอง ? ถ้าเพื่อตัวเอง ต่อให้จับเงินหรือไม่จับก็แย่พอกัน สมัยก่อนหลวงปู่บุดดาท่านก็ไม่จับเงิน แต่พอไปอยู่วัดท่าซุง คนถวายเงินมา หลวงปู่ก็แหวกย่ามให้ใส่ หลวงพ่อท่านหันมาพอดี "ไม่เอาใช่ไหม ? ผมเอาเองก็ได้"

หลวงปู่บุดดาท่านตะครุบเลย "จับแล้วครับ" หลวงพ่อท่านบอกว่า "ต้องอย่างนั้นสิ แค่วัตถุที่เป็นธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ถ้าหากทำให้ใจหมอง ก็อย่าเอาเลย ผมเอาเองก็ได้"

มีหลายอย่างที่ทางธรรมยุตเขาถือมั่น ความจริงเป็นสิ่งที่ดีเพราะทำให้จิตละเอียดขึ้น แต่จำนวนเกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ แทนที่จิตจะละเอียดขึ้น ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นได้ง่ายขึ้น กลายเป็นยึดติดมากขึ้น

ที่ยึดติดมากขึ้นเพราะไปคิดว่าท่านเคร่งกว่า ท่านดีกว่า ตรงจุดนี้จะเป็นอุปาทานอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า สีลัพพัตตุปาทาน ยึดมั่นในศีลพรต ยึดหลักปฏิบัติของตนว่าดีกว่าผู้อื่น ก็เลยไปไหนไม่ได้สักที แต่ท่านที่ดีทำถูก ความละเอียดตรงนี้ก็ส่งผลให้ท่านเข้าถึงธรรมได้เร็วขึ้น

เถรี
28-06-2011, 02:39
ถาม : พระทิเบตท่านเป็นพระอริยะได้ไหมครับ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วท่านทั้งหลายมักจะไม่เป็นพระอริยะ เพราะท่านมาสายพระโพธิสัตว์

ถาม : ส่วนใหญ่..ก็แสดงว่าส่วนน้อยยังมีบรรลุอยู่ ทั้งที่ผิดศีล ?
ตอบ : ถ้าไม่ทิ้งศีล ๑๐ มีสิทธิ์บรรลุทุกคน เพราะว่าศีลพระที่เกิน ๑๐ ข้อไปนั้น เป็นศีลที่เอาใจชาวบ้าน เราต้องดูว่าสามเณรมีศีล ๑๐ แต่ทำไมเป็นพระอรหันต์ได้ ? ศีลข้อที่เหลือส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ชาวบ้านเขาติเตียน เขายึดถือมาก่อน ก็เลยต้องตามใจชาวบ้านเขา

แต่มาสำคัญตรงพวกเรา สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าท่านสั่งห้าม หรือสั่งให้ทำ เราต้องทำด้วยชีวิต ถึงจะแสดงออกซึ่งความเคารพในพระรัตนตรัยจริง ๆ ก็เลยกลายเป็นพวกเราลำบาก ต้องทำเยอะกว่าเขา ส่วนเขาเองตั้งใจรักษาแค่นั้น สบายใจเฉิบ

เถรี
28-06-2011, 02:41
ถาม : ฌานในแต่ละระดับแบ่งอย่างไร ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วไม่ได้แบ่ง สำคัญว่าเราเข้าถึงหรือเปล่า ? ถ้าเราทำเข้าถึงระดับไหนก็เป็นฌานนั้น ที่เขาแยกแยะให้เพราะแต่ละขั้นตอนมีสภาพไม่เหมือนกัน

เราเองไม่จำเป็นต้องไปไล่ฌาน ๑ ๒ ๓ ๔ หรอก บางท่านภาวนาหายใจเข้า หายใจออก ข้ามไปฌานสี่แล้วก็มี ยิ่งฌานมีระดับสูงเท่าไร ยิ่งมีกำลังในการตัดกิเลสมากเท่านั้น

เถรี
28-06-2011, 02:51
ถาม : ได้คาถาท่านให้มาตอนทำกรรมฐาน จะทำอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : รับ ๆ เอาไว้และใช้งานซะ ถือว่าตอนนี้เป็นช่วงสร้างตัว นานไปอาจจะมีความจำเป็นต้องใช้ ตอนที่ผมไปธุดงค์ในทุ่งใหญ่ ผู้ร่วมคณะเขาขี้เกียจเดินกันจึงไปโบกรถ แต่ไปเจอรถระยำ วิ่งไปหน่อยเดียวก็ดันเสีย ในเมื่ออาศัยรถเขามาก็เลยต้องช่วยเข็น เข็นไป ๗๐ กว่ากิโลเมตรเท่านั้น..!

ไม่ใช่ทางราบนะ ขึ้นเขาลงห้วยไปตลอด เข็นขึ้นเขาไปทีละนิ้ว เอาไม้รองไปเรื่อย พอถึงยอดเขาก็ปล่อยไหลลง กระโดดเกาะรถไป เข็นตั้งแต่เช้ายันค่ำ ขี้โคลนท่วมหัวเลย พอกลางคืนผมนอนเฝ้ารถ ปล่อยให้คนอื่นไปนอนกันที่โรงเรียนบ้านหินตั้ง

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมา ท่านไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เราลำบากแทบล้มประดาตายแม้แต่คำเดียว ท่านมาสั่งงานและให้คาถาไว้ด้วย ที่จะบอกคุณก็คือ บางทีท่านให้นั่นให้นี่ไว้ ไม่ได้กล่าวถึงความทุกข์ยากของเราเลย เพราะท่านรู้ว่าแค่นั้นเราทนได้อยู่แล้ว

เถรี
28-06-2011, 02:56
ถาม : แม่ทำนากุ้งครับ ผมก็เลยต้องช่วยแม่ ผิดศีลใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เรื่องของการขายที่เป็นมิจฉาวณิชชา คือ ขายสุรา ขายยาพิษ ขายมนุษย์ ขายสัตว์ที่มีชีวิต พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าพุทธมามกะไม่ควรทำ เพราะคนเข้าใจผิดจะคิดว่าไปสนับสนุนให้เขาศีลขาด

อย่างเช่น ขายเหล้า ความจริงเราไม่ได้บังคับให้เขากิน เขามาซื้อเอง เราไม่มีโทษหรอก แต่คนที่ไม่รู้ไปนินทาเข้าจะเกิดโทษกับเขา ดังนั้น..ตัวเราไม่ควรจะเป็นทุกข์โทษเวรภัยแก่ผู้อื่น แม้ด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจเลย

พระพุทธเจ้าท่านจึงให้เว้น ถ้าหาอาชีพอื่นได้ ก็บอกแม่เปลี่ยนอาชีพเถอะ ถ้าไม่ได้จริง ๆ ก็ต้องตัดใจ ประเภทเขามาซื้อเราขายให้ ส่วนเขาเอาไปทำอะไรเราไม่ต้องไปรับรู้

เถรี
28-06-2011, 03:02
ถาม : กำลังใจยึดเกาะครูบาอาจารย์ แต่เป็นการยึดในกายเนื้อ รู้สึกว่าผิด...?
ตอบ : กำลังใจเราต้องมีหลักยึด ถ้าเราไม่ยึดหลักให้มั่นคงก็จะเคว้งคว้าง พระพุทธเจ้าตรัสว่า จงมีตัวเองเป็นเกาะ จงมีตัวเองเป็นที่พึ่ง ในการเดินทางข้ามโอฆะคือห้วงกิเลสนี้ เพราะถ้าเรามัวแต่พึ่งคนอื่นอยู่ เขาไม่อยู่ให้พึ่ง เราก็จะเคว้งคว้างต่อไป

ท่านถึงได้กล่าวว่า อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน โก หิ นาโถ ปโร สิยา ใครอื่นเลยจะเป็นที่พึ่งแก่เราได้ อัตตา หิ สุทันเตนะ ก็ตัวเราเองที่ฝึกดีแล้วนั่นแหละ นาถัง ละภะติ ทุลละภัง จะเป็นที่พึ่งที่หาได้โดยยาก

เพราะฉะนั้น..เราต้องฝึกใจให้มั่นคงจริง ๆ สมาธิต้องทรงตัวจริง ๆ แล้วจะไม่เกิดความรู้สึกนั้นขึ้นอีก

เถรี
28-06-2011, 19:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครถวายธรรมาสน์ ถวายตาลปัตร ถวายอาสนะ ถวายพรมรองนั่ง พระท่านว่าบุคคลทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเกิดใหม่จะเล็กไม่เป็น เขายันออกไปอยู่แถวหน้าเสมอ เพราะอานิสงส์ที่ไปหนุนเสริมผู้อื่นเขา ผลบุญจึงเสริมตัวเองให้เด่นไปด้วย"

เถรี
28-06-2011, 19:22
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยก่อนอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาเคยชินกับการที่เอาของไปแจกเขา เพราะที่วัดท่าซุงเป็นศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร

พอไปอยู่ทองผาภูมิอาตมาก็ทำแบบนั้นอีก รับสังฆทานได้ก็เอาไปไล่แจกตามวัดต่าง ๆ พระท่านรับแล้วทำหน้างง ๆ เพราะไม่เคยชินกับการที่พระไปทำบุญ ท่านรู้แต่ว่าพระมีหน้าที่นั่งรับอย่างเดียว แต่ตอนนี้พวกท่านชินแล้ว ถึงไม่ให้ท่านก็มาขอเองแล้ว

สังฆทานเป็นของส่วนรวม รับแล้วจะเอาไปกินไปใช้คนเดียวไม่ได้ ต้องแบ่งให้พระอื่นอย่างน้อยสี่รูปขึ้นไป แต่อาตมาแบ่งให้เป็น ๔-๕ วัด"

เถรี
28-06-2011, 19:30
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในมหาปุริสวิตก ๘ ประการ ที่พระอนุรุทธท่านตรึกถึง มีอยู่ข้อหนึ่งที่ท่านว่า เป็นผู้มีสติตั้งมั่น คือ จำสิ่งที่ฟังมานานได้ จำสิ่งที่พูดมานานได้ ฉะนั้น..อาตมามองทีเดียวจำได้ จำไปตลอดชาติด้วย"

เถรี
29-06-2011, 01:53
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องเทวดาว่า "ถ้าไม่ได้มีความชอบส่วนตัว อาวุธของเทวดามักจะเป็นพระขรรค์แก้วเหมือน ๆ กัน ท่านใดที่เคยเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ผลบุญก็จะส่งผลให้มีพระขรรค์คู่มืออยู่แล้ว"

เถรี
29-06-2011, 01:59
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เห็นความจริงให้ได้ว่าธรรมดาเป็นอย่างนั้น จิตใจจะปลดวางไม่ไปต่อต้าน แล้วความสุขจะเกิดขึ้น เหมือนกับเราขังเสือตัวหนึ่งไว้ในกรง เสืออยากจะออกจากกรงก็พุ่งชนกรง ทำให้เจ็บตัวไปเรื่อย แต่ถ้าเสือรู้ความจริงว่ากรงนี้ไม่มีวันเปิดออกมาจนกว่าจะตาย เสือก็แค่นอนนิ่ง ๆ แล้วจะไม่เจ็บตัว

จึงสำคัญว่าเรายอมรับได้หรือไม่ ? ถ้าเราเห็นความจริงแล้วยอมรับว่าธรรมดาเป็นอย่างนั้น อะไรที่ไม่เกินวิสัยเราก็แก้ไขไป ถ้าอะไรเกินวิสัยเราก็ยอมรับว่าเกินกฎของกรรม ไม่ไปดิ้นรน เราก็จะไม่เจ็บตัว

เถรี
29-06-2011, 02:09
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ปัญหานี้อิสลามถามอาตมามาแล้ว ครั้งนั้นนั่งรถไฟไปสายใต้ด้วยกัน ไม่รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นอิสลาม เพราะเขาแต่งตัวเหมือนคนทำงานบริษัท นั่งไปครึ่งค่อนชั่วโมงเขาก็ยกมือไหว้ "อาจารย์ครับ..ผมเป็นอิสลาม ทางพระพุทธศาสนามีหลักการปฏิบัติหรือหลักธรรมอะไรที่ช่วยให้หมดทุกข์ได้บ้าง เพราะตอนนี้ผมมืดแปดด้าน แก้ความทุกข์ตัวเองไม่จบ"

อาตมาจึงอธิบายให้เขาฟัง เขาเกิดศรัทธาอย่างไรก็ไม่รู้ สั่งอาหารมาเลี้ยง อาหารบนรถไฟมีข้าวต้มกับอาหารฝรั่ง อาตมาบอกว่า "เอาอาหารฝรั่งมาแล้วกัน เพราะอย่างน้อยก็มีขนมปังคู่หนึ่ง แต่ของโยมเขาไม่ต้องเอาหมูแฮมมา"

ปรากฏว่าตู้เสบียงกลัวเขาจะขาดทุน เอาหมูแฮมมาจนได้ พอมาถึงเขาก็นั่งมองตาปริบ ๆ อาตมาจึงเอาส้อมจิ้มหมูมาไว้จานตัวเอง บอกว่า "ที่เหลือคุณกินไปก็แล้วกัน" ไปสายใต้บางทีก็เจออะไรที่ตลกมาก

อย่างโยมที่เป็นการ์ดรถ มีหน้าที่ดูแลรถแต่ละตู้ เขาก็บอกว่า "เช้านี้ผมเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารนะครับพระอาจารย์ พระอาจารย์ฉันเนื้อหมูได้ไหมครับ ?" อาตมาได้แต่นั่งทำตาปริบ ๆ นี่เขาเห็นอาตมาเป็นอิสลามมาบวชใช่ไหมนี่ ? เนื่องจากเขาเองอยู่สายใต้ เขาถามผู้โดยสารเสียจนชิน แต่เขาลืมดูไปว่าอาตมาห่มจีวรมา

เถรี
29-06-2011, 02:21
เนื่องจากมีคนพิการมาที่บ้านวิริยบารมี พระอาจารย์จึงกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า "ถ้าหากบุคคลพิการมีกำลังใจที่เข้มแข็ง เขาสามารถที่จะพัฒนาส่วนอื่นขึ้นมาใช้งานแทนได้ อย่างเด็กฝรั่งคนหนึ่งเกิดมาไม่มีแขนเลย แต่เขาใช้เท้าทำหลายสิ่งหลายอย่างได้ โดยเฉพาะตอนกินไอศกรีมช็อกโกแลต น่าอิจฉามากเลย เขาใช้เท้าคีบ ดูแล้วมีความสุขมาก

ก่อนหน้านี้ก็มีคุณจุ๋ม คุณจุ๋มไปวัดท่าซุงเป็นประจำ นั่งรถเข็นไป เพราะเป็นโปลิโอมาตั้งแต่เด็ก เขาเป็นคนที่มีสุขภาพจิตดีมาก ร่าเริงเบิกบานได้ทั้งวัน เขาไม่รู้สึกว่าตนเองพิการเพราะไปไหนมาไหนได้

อย่างเวลาขึ้นรถสองแถว อาตมาก็คิดว่าเขาจะขึ้นได้อย่างไร ? แต่ที่ไหนได้ เขาใช้มือหนึ่งเหนี่ยวตัวเองขึ้นรถ ส่วนอีกมือหนึ่งหิ้วรถเข็นขึ้นตามไป เราเองมือเดียวไม่รู้จะยกไหวหรือเปล่า ? ตกลงเขาไม่ต้องพึ่งใครเลย ไปได้สบาย

การที่เราเกิดมามีอวัยวะครบถ้วนสมบูรณ์ ถือว่าเราสร้างกรรมดีแต่เดิมมาเพียงพอแล้ว จึงต้องใช้ให้คุ้มกับความดีที่เราทำมา อย่าเป็นอย่างที่โบราณเขาบอกว่า "เสียชาติเกิด" เกิดมาแล้วไม่ได้ทำความดี ไม่ได้ทำความดียังพอทน กลับไปทำความชั่วอีกต่างหาก ถ้าอย่างนั้นกลายเป็นซ้ำเติมตัวเองมากขึ้น ชาติต่อไปอาจไม่ได้เกิดเป็นคน แต่ไปลงอบายภูมิแทน

เพราะฉะนั้น..แม้ว่าบุคคลสภาพร่างกายจะพิการ แต่ถ้าสภาพจิตมุ่งมั่นอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา เกิดใหม่เขาดีกว่าเราแน่นอน เรื่องเหล่านี้เราดูเปลือกนอกไม่ได้ ต้องดูใจเขา กำลังใจเป็นอย่างไร ถ้าเป็นเราก็มานั่งตัดพ้อต่อว่าตัวเอง ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ? เวรกรรมอะไรก็ไม่รู้ ทำไมเป็นแค่เราคนเดียว ? แบบนี้ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด"

เถรี
29-06-2011, 03:54
ถาม : ...เป็นเนื้องอกในสมอง ?
ตอบ : ลักษณะนั้นต้องทำใจอย่างเดียวจ้ะ ทำใจให้สบาย ถึงเวลาเราก็รับ อาตมาเองเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ พอใกล้หายจะมีภาพนิมิตบอกให้รู้ว่าไปทำอะไรมาแล้วถึงเป็น ดังนั้น..โยมที่เจ็บป่วยอยู่ให้รู้ไว้เลยว่า ในอดีตเราต้องไปทำไม่ดีมาแน่นอน ถึงเป็นอย่างนี้ ก็ไม่ต้องไปเสียใจ ไม่ต้องไปน้อยใจ เพราะส่วนใหญ่เราทำเขาถึงตาย เขาทำเราได้ถึงพิการถือว่าดีมากแล้ว

ช่วงที่อาตมาทุ่มเททำรายงานส่งอาจารย์สามวันสามคืน พอสบายใจที่งานเสร็จแล้วจึงไปล้างหน้า เตรียมสวดมนต์ทำวัตร ตั้งใจว่าทำวัตร บิณฑบาต ฉันเช้าแล้วจะนอนให้ยันเย็นเลย แต่ตอนที่ล้างหน้าอยู่ เส้นหลังจมกึ้ก..! เส้นจมชนิดปวดแทบขาดใจ ยืดตัวไม่ขึ้น ก็เลยเดินเอียง ๆ ไปทำวัตร หลังทำวัตรบอกกับพระท่านว่า "ใครมีความสามารถ ช่วยมานวดผมหน่อย เส้นหลังผมจม ผมปวดจนกระดิกไม่ได้"

พระท่านก็มานวดให้ อาตมาบอกว่า "เส้นหลังเส้นนี้จมให้กดด้านหน้าตรงนี้แล้วจะขึ้น" พระที่ท่านเชื่อฟังมาตลอด วันนั้นเกิดไม่ฟังขึ้นมาเสียอย่างนั้น ท่านไปกดแต่ข้างหลังตรงที่เจ็บ ยิ่งกดก็ยิ่งเจ็บหนักขึ้น ท้ายสุดเห็นว่าท่านไม่ทำตามที่บอก จึงบอกให้ท่านเลิกนวด เพราะยิ่งกดก็ยิ่งเจ็บ

จึงทนกัดฟันเดินเอียงข้างไปบิณฑบาต กลับมาบอกกับน้องเล็กว่า "โทรเรียกป้ามิดให้หน่อย บอกว่าเส้นจมจะให้มานวด" ป้ามิดเป็นคนมอญ เขานวดเก่ง ฉันเช้าเสร็จแล้ว เราถามน้องเล็กว่า "ตกลงป้ามิดจะมากี่โมง ?" น้องเล็กก็ยืนเอ๋อ "อะไร..ให้เรียกป้ามิดด้วย ?" นี่วาระกรรมที่ยังไม่เปิด สั่งไปแล้วเขายังลืมหรือคิดว่าพูดให้ฟังเฉย ๆ

พอโทรไป ปรากฏว่าป้ามิดบอกวันนี้ไม่นวด เพราะพวกมอญพม่าเขาจะถือวันลอยวันจมกัน ถ้าเป็นวันไม่ดีของเขา เขาจะไม่ทำงาน

เถรี
29-06-2011, 04:01
อาตมาก็บอกว่าให้เรียกหมอเทียนมา ปรากฏว่าหมอเทียนไม่ว่าง เพราะไปไร่ จึงต้องนอนทนเจ็บจนถึงวันรุ่งขึ้น ปวดอยู่วันหนึ่งกับอีกคืนหนึ่ง

วันรุ่งขึ้นป้ามิดมา อาตมาชี้บอกป้าว่าเส้นสะบักหลังจม ให้กดเส้นคอด้านหน้าให้ที ป้ามิดก็ไม่ทำตาม ป้าเขาบอกว่า "จมข้างหลังต้องดึงข้างหลังเท่านั้น" รู้ดีกว่าอีกแน่ะ..! ป้ามิดแกดึงเส้นอย่างกับหนังสติ๊ก จับได้ก็กระชาก ยิ่งดึงก็ยิ่งจม อาตมาปวดแทบตาย ในเมื่อป้าช่วยไม่ได้ ก็บอกป้าว่า "ป้าพอเถอะ เสียเวลาฉันว่ะ"

แม่ชีเห็นสภาพนี้มาสองวันแล้ว ตอนฉันเพลแม่ชีจึงส่งยาให้กำหนึ่ง บอกว่าเป็นยาแก้ยอก ยาแก้ยอกที่พวกมอญพม่าเขานิยมกันนักหนา ความจริงเป็นยาคลายเครียด ตอนนั้นอาตมาเห็นว่ายาแก้ยอก คิดว่าเข้าท่า จึงถามว่ากินแล้วง่วงไหม ? เพราะจะทำงาน

แม่ชีบอกว่าไม่ง่วงหรอกเพราะกินประจำ ฟังให้ดีนะประโยคนี้ แกกินประจำ แกเลยไม่ง่วง แต่พออาตมากินลงไปไม่ถึง ๕ นาที สลบหัวไถพื้นเลย ตอนที่เกือบสลบนั่นแหละที่ไปเห็นภาพในอดีตเข้า

เถรี
29-06-2011, 19:01
เห็นภาพว่าตัวเองเป็นทหาร กำลังรบกับฝ่ายตรงข้ามอยู่ ด้วยความที่ไม่อยากให้ลูกน้องต้องมาล้มตายเพราะตน ก็เลยท้าดวลกับแม่ทัพของฝั่งตรงข้าม เขาออกมา ๕ คน เป็นพ่อลูกกัน ส่วนของอาตมาก็คนเดียว..!

ตอนช่วงนั้นใจคิดวางแผนรบไว้เรียบร้อยเลยว่าจะทำอย่างไร เริ่มจากพุ่งเข้าหาขุนทัพตัวพ่อก่อน เขาใช้ขวานสองหน้าซึ่งมีขนาดใหญ่มาก ถ้าเป็นสมัยนี้ก็บังตัวเกือบมิด ส่วนอาตมาใช้ทวน แค่ขนาดอาวุธก็เทียบกันไม่ได้แล้ว แต่สำคัญตรงที่ว่า ถ้ารู้เคล็ดลับเรื่องการใช้แรงก็จะได้เปรียบ

พอพุ่งเข้าใส่เขาก็สวนมาด้วยขวาน อาตมารั้งม้ารอจังหวะที่เขาฟันลงมาจนเกินครึ่งค่อยออกทวน จังหวะที่ขวานฟันลงมาครึ่งแรก แรงปะทะจะมาก แต่ครึ่งหลังขวานจะเป็นตัวถ่วง พอออกทวนเท่ากับชักนำขวานที่ออกตัวอยู่แล้วให้ผิดทิศไป จนกระชากเขาเซไปทั้งคนทั้งม้า พอเขาเซไปอาตมาก็กระชากม้ากลับ คนแรกที่อยู่ใกล้ที่สุดโดนเลย แทงด้วยทวนเข้าคอหอยพอดี..!

ฝ่ายตรงข้ามมัวแต่ตะลึงอยู่ อาตมาอาศัยจังหวะนั้นเหน็บทวนไว้ข้างขา เพราะเท้ากับโกลนติดกันอยู่ หนีบทวนไว้แล้วดึงเกาทัณฑ์ขึ้นมา เอี้ยวตัวยิงอีกฝ่ายที่กำลังล้อมเข้ามาด้านหลัง โดนคนหนึ่งเข้าเต็ม ๆ ตรงซอกคอทางขวาตกหลังม้าไป แต่เท้าเขาติดอยู่กับโกลนม้า โดนม้าลากไปเป็นทาง รับประกันว่าตายแน่..!

เถรี
29-06-2011, 19:09
พอชักม้ากลับก็กระตุ้นม้าพุ่งเข้าปะทะคนที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งมาบังคนแรกที่เป็นพ่อไว้ รวบตัวได้แบบจับเป็น ฝ่ายตรงข้ามเห็นว่าสู้ไม่ได้แน่ก็ถอย เพราะว่าเพิ่งจะปะทะกันไม่เท่าไรก็ตายไปสองคนแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งโดนจับเป็นได้

พอเขาถอยไป ทหารของเราก็เอาศพฝ่ายตรงข้ามมาให้ดู สมัยนั้นถ้าไม่ตัดหัวมาก็จะหิ้วมาทั้งตัว อาตมาสำรวจศพ คนหนึ่งคอหอยโดนทวน คนหนึ่งโดนลูกเกาทัณฑ์เข้าตรงข้างคอตรงนี้ อาตมาก็เข้าใจทันที เพราะที่เจ็บก็คือตรงนี้พอดีเลย

สิ่งที่ทำไว้ถึงเวลาเขามาเอาคืน เจ็บอยู่แค่สองวันแต่ทำเขาตายไปถึงสองศพ ดังนั้น..ในส่วนที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นแค่เศษกรรม เหมือนกับเป็นหนี้เขา ๒๐ ล้าน เขาขอคืน ๒๐ บาทก็ให้ไปเถอะ ถ้ายิ่งสามารถรู้ได้ว่าเราเป็นอย่างนี้เพราะอะไร ใจก็จะสบาย ว่าที่แท้เราทำเขามาเยอะ เขาเอาแค่นี้ก็ให้เขาไป

ฉะนั้น..ยถากัมมุตาญาณช่วยได้ดีมากเลย ดีตรงที่เรารู้ว่าสร้างกรรมอะไรไว้ ใจเราจะได้ยอมรับได้ เพราะเราทำเองเราถึงเจอ ลองอย่างอาตมาบ้างไหม ? เกเรเขาไว้มาก ตอนแรกหลวงพ่อวัดท่าซุงบอกให้ไปปล่อยปลาทุกเดือน จะได้บรรเทากรรมตรงนี้ เพราะเกิดเป็นทหารมาทุกชาติ ฆ่าเขาไว้ทุกชาติ

อาตมาก็มาคิดว่า กรรมของเราจะหนักขนาดนั้นเชียวหรือ ? พอป่วยเช้าป่วยเย็นถึงรู้ว่าหนักขนาดนั้นจริง ๆ ที่กล่าวมานี้เพื่อให้นึกถึงที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า กรรมเป็นของน่ากลัว ถ้าหากถึงวาระ ไม่ว่าจะไปหลบอยู่ที่ไหนก็หนีกรรมไปไม่พ้น

เถรี
30-06-2011, 00:46
ถาม : ถ้าเรานึกถึงพระ แต่เป็นตอนที่พระกำลังทำไม่ดี เป็นสังฆานุสติหรือไม่ ?
ตอบ : เป็นสังฆานุสติ แต่จะมีกิเลสมารคอยชักจูงให้เราออกนอกทาง ถ้าใจเราหมองตอนนั้นก็เสร็จเหมือนกัน

ถาม : สังฆานุสติสำคัญตรงท่าทางที่เราจับได้หรือเปล่า ?
ตอบ : สำคัญที่กำลังใจทรงไว้โดยปราศจากนิวรณ์รบกวน นึกถึงชื่อท่านก็ได้ นึกถึงหน้าตาท่านก็ได้ นึกถึงความดีท่านก็ได้ ถ้านึกถึงความดีได้ถึงจัดว่าเป็นสังฆานุสติจริง ๆ

เถรี
30-06-2011, 01:07
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : แปลว่ากำลังใจเรายังไม่ทรงตัวจริง ถ้ากำลังใจเราทรงตัวจริง กิเลสตัณหาต่าง ๆ จะแทรกไม่ได้ เพราะฉะนั้น..เมื่อเราแผ่เมตตาทรงอารมณ์จนกระทั่งสบายใจแล้ว ให้ภาวนาต่อไปเลย ภาวนาจนเราสามารถทรงฌานอย่างน้อย ๆ ปฐมฌานละเอียดขึ้นไป แล้วรักษากำลังนั้นไว้ พวกกิเลสตัณหาต่าง ๆ ที่เกิดจากราคะ โทสะ โมหะ จะเข้ามากวนเราไม่ได้

โดยเฉพาะผู้หญิงกับผู้ชายนี่ลำบากมาก พอถึงเวลาเราเมตตาเขา สงเคราะห์เขา ตัวกูของกูต้องโผล่มาทันทีว่า "เขาต้องชอบเราแน่เลย" จากเมตตาก็กลายเป็นตัณหาไป ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีสติสัมปชัญญะก็ให้ความร่วมมือด้วย แทนที่จะพากันขึ้น ส่วนใหญ่ก็พากันลง

ดังนั้น..ในเรื่องของผู้หญิงและผู้ชาย ถ้าจะเมตตาสงเคราะห์กัน ต้องมีเส้นแบ่งของตัวเองไว้เสมอ สมัยก่อนตอนเป็นฆราวาสอยู่ เวลาอาตมาไปวัด จะมีน้องผู้หญิงไปด้วย ๘-๑๐ คนเป็นประจำ แต่อาตมาขีดเส้นไว้แน่นอนแล้ว ระบุไว้ชัดเลยว่า เธอจะให้เป็นพ่อก็เป็นให้ เป็นพี่ก็เป็นให้ เป็นน้องก็เป็นให้ เป็นลูกก็เป็นให้ แต่เป็นผัวเธอฉันไม่เอา..!

ในเมื่อระบุไว้ชัด เขาก็ไม่กล้ามาตอแยทางนี้ เพราะฉะนั้น..ต้องมีเส้นที่แน่นอนของตัวเองอยู่ ถ้าไม่มีแล้วล้ำเส้นเมื่อไร สิ่งที่เราทำอยู่ก็จะเสียหายมาก

เถรี
30-06-2011, 01:21
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : จริง ๆ แล้วสำคัญเท่ากันทุกตัว แต่เขาพยายามสร้างสติให้ทรงตัวที่สุด เพื่อใช้สติควบคุมตัวอื่นให้เจริญ

ในเรื่องของอินทรีย์ ๕ หรือพละ ๕ ก็ตาม ท่านเปรียบไว้ว่าเหมือนรถม้าที่เทียมด้วยม้า ๕ ตัว ม้าที่ชื่อสติ จะนำหน้า ม้าที่ชื่อวิริยะกับสมาธิจะตีคู่กันไป ม้าที่ชื่อศรัทธากับปัญญาจะต้องตีคู่กันไป

ถ้าศรัทธาเกินจะเป็นอธิโมกขศรัทธา ปัญญาไม่มีก็จะเชื่อแบบงมงาย ถ้าปัญญาเกินก็จะจด ๆ จ้อง ๆ ไม่กล้าทำอะไรเพราะกลัวผิดพลาด ถ้าวิริยะความเพียรมากจนเกินไป สมาธิสูงเกินหนักเกิน จะพิจารณาวิปัสสนาญาณไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ในส่วนของศรัทธากับปัญญาต้องเสมอกันเป็นคู่ที่หนึ่ง ในส่วนวิริยะกับสมาธิต้องเสมอกันเป็นคู่ที่สอง แต่ในส่วนของสติ ท่านบอกว่ายิ่งมีมากยิ่งดี

ดังนั้น..ถ้าเราเห็นรถเทียมม้า ๕ ตัววิ่งไป ตัวสติจะนำหน้า ตามมาด้วยคู่ของวิริยะกับสมาธิ และคู่ของศรัทธากับปัญญา แต่ทั้งปวงแล้วต้องเป็นผู้มีปัญญาก่อน จึงจะเห็นว่าอะไรดีแล้วควรทำ หลังจากนั้นต้องประกอบไปด้วยศรัทธาจึงอยากที่จะทำ เมื่อทำดังนั้นได้แล้ว ก็ต้องมีวิริยะคือพากเพียรทำไปจนสมาธิทรงตัว สมาธิที่ทรงตัวนั้นแหละ สติก็จะเกิดขึ้น ปัญญาก็จะเกิดขึ้น

เถรี
30-06-2011, 01:25
ดังนั้น..การปฏิบัติของเราจะต้องทำทุกอย่างให้เสมอกัน แต่ปัจจุบันส่วนใหญ่พวกเราจะไปหย่อนเรื่องสมาธิ

บางท่านอธิบายไว้ว่า "ใช้แค่อุปจารสมาธิแล้วลดกำลังของตัวอื่นให้มาเสมอกัน เมื่ออินทรีย์เสมอกันความก้าวหน้าจึงจะมี" อาตมาไม่เห็นด้วย เพราะกำลังอุปจารสมาธิต่อต้านราคะกับโทสะไม่ได้

เราควรจะเร่งสมาธิไปจนถึงฌานสี่เลย แล้วดึงเอาตัวศรัทธา วิริยะ ปัญญาตามไปด้วย ถ้าทำอย่างนั้นได้เราจะระงับเรื่องราคะและโทสะลงได้ ตัณหาต่าง ๆ ไม่สามารถที่จะกินใจเราได้ เพราะกำลังของเราสูงพอที่จะระงับยับยั้งเอาไว้ แล้วค่อยใช้ปัญญาไปพิจารณาตัดละเอาทีหลัง

เถรี
30-06-2011, 01:34
ถาม : เราสอนใครสักคน สอนเขาตามที่เราเข้าใจ และเราก็คิดตามไปด้วย จนเราทรงฌาน มีไหมครับ ?
ตอบ : มี..เพราะว่าสอนเขาแล้วเราได้ด้วย เท่ากับสอนตัวเอง

ถาม : เป็นกิเลสไหมครับ?
ตอบ : ถ้าอยากสอนจะเป็นกิเลส ถ้าสงเคราะห์เพราะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่เป็นไร

ถาม : ก็คือสิ่งที่เราปรุงแต่งเอง ?
ตอบ : จะปรุงแต่งแต่ก็เป็นในส่วนที่เราชำนาญ ถ้าเขาต่ำกว่าก็ลากเขามาเถอะ ถ้าเขาสามารถไปเหนือกว่าเราได้ ก็ถีบส่งไปเลย

ถาม : ถ้าเรานึกถึงสิ่งที่เราทำมาบ่อย ๆ เราก็จะก้าวหน้า ?
ตอบ : ไม่ใช่แค่นึก แต่ต้องซักซ้อมของเก่าเอาไว้เสมอ เราจะได้มีความชำนาญและคล่องตัวขึ้น ถ้าอย่างเรื่องสมาธิก็จะปรับมาเป็นฌานใช้งาน จะมีความเบาความสบาย ไม่หนักเหมือนสมาธิที่เราฝึกหัด

ถาม : แล้วเราจำเป็นต้องกลับไปทำตามแบบแผนไหมครับ ?
ตอบ : ถ้ามีโอกาสทำตามแบบแผนได้ ให้เราทำ เพื่อประกันความเสี่ยง ถ้าไม่มีโอกาสก็ข้ามขั้นไปเลย

เถรี
30-06-2011, 01:38
ถาม : คนที่มีสมาธิมาก ๆ เขาจะมีสติมากหรือเปล่า?
ตอบ : สติจะมั่นคงตามไปด้วย สมาธิยิ่งทรงตัวมากเท่าไร สติจะยิ่งมั่นคงมากเท่านั้น

ที่บอกว่านั่งเงียบไปเฉย ๆ ความจริงเขานั่งอย่างมีสตินะ เพราะข้างในรู้อยู่ตลอด เพียงแต่ไม่อยากจะคลายออกมาเท่านั้น

เถรี
30-06-2011, 01:55
ถาม : ตัวราคะก่อให้เกิดความทุกข์อย่างไร ?
ตอบ : โอ้พระเจ้า..ทุกข์หยาบขนาดนี้ยังมองไม่เห็น..!ในเมื่อเรายินดี ก็จะเกิดความอยากมีอยากได้ ก็คือตัวกำหนัดขึ้นมา ก็ต้องไปแสวงหา ขึ้นชื่อว่าการดิ้นรนแสวงหาแม้เป็นความคิดก็ทุกข์แล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงการตะเกียกตะกายไปหามาให้ได้นะ

ถาม : แต่การทำให้อยาก ก็ต้องเกิดจากการ..?
ตอบ : สำคัญว่าเราไปถูกทางไหม ? ถ้าไปถูกทางก็เป็นฉันทะ ถ้าไปไม่ถูกทางก็เป็นตัณหา สรุปง่าย ๆ ว่า ถ้าความอยากช่วยให้เราพ้นทุกข์เป็นฉันทะ ถ้าความอยากเพิ่มทุกข์ให้เราก็เป็นตัณหา

เถรี
30-06-2011, 01:58
ถาม : การอยากเป็นพระพุทธเจ้าเป็นตัณหาไหมครับ ?
ตอบ : เป็นตัณหาพาสู่พระนิพพาน เพราะว่าทุกข์หลายชาติเหลือเกิน

ถาม : แต่การอยาก บางทีอาจจะเป็นการ..?
ตอบ : แค่คิดก็ทุกข์แล้ว ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องอื่นเลย ในเมื่อแค่คิดก็ทุกข์ เรื่องอื่นที่ไม่ทุกข์นั้นไม่มี

เถรี
30-06-2011, 02:08
ถาม : เราฝึกสมาธิบ่อย ๆ จับอารมณ์พระนิพพานบ่อย ๆ อารมณ์ก็เบา เย็นใจบ่อย ๆ ทำไมเราถึงไม่มีความรู้สึกอยากไปพระนิพพานเลย?
ตอบ : ผู้ที่ปรารถนาพระโพธิญาณอย่างคุณ ศึกษาพระนิพพานเพื่อไปสั่งสอนคนอื่น ยิ่งรู้แจ้งมากเท่าไร ยิ่งสั่งสอนได้ถนัดมากเท่านั้น ผู้ที่ปรารถนาสาวกภูมิ ศึกษาพระนิพพานเพื่อความหลุดพ้น จึงคนละวัตถุประสงค์กัน

ดังนั้น..ตราบใดที่คุณยังไม่ตัดใจลาพระโพธิญาณเสีย ตราบนั้นก็ไม่คิดที่จะเลิก ต่อให้รู้จักพระนิพพานช่ำชอง อารมณ์เทียบเท่ากับพระอรหันต์ก็ไม่ตัด เพราะฉะนั้น..จงลำบากต่อไป ขอโมทนาด้วย

ถาม : อารมณ์นั้นต้องเกิดขึ้นเองจริง ๆ ด้วยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ต้องเกิดจากความเบื่อหน่ายของตัวเอง ไม่อยากไปแล้ว คนอื่นแนะนำไม่ได้หรอก คุณจะเห็นว่ารู้จักกันมา ๒๐ กว่าปี เคยแนะนำให้ลาไหมเล่า ?เปล่า ..อยากไปไหนก็ไปเลย ตรงไหนถีบส่งได้ก็ถีบ ถ้าเข็ดเดี๋ยวก็เลิกเอง ถ้าไม่เข็ดก็เชิญไปต่อ

เถรี
30-06-2011, 02:25
เดือนก่อนไปวัดท่าซุง เจอเพื่อนรุ่นน้องที่เคยบวชอยู่ด้วยกันที่นั่น เพื่อนคนนี้มีคุณูปการมาก เพราะช่วงที่อาตมาบวชใหม่ ๆ ประมาณพรรษาที่ ๒-๓ มีแต่คนมาหาชนิดที่น่ากลัวมาก

ช่วงนั้นอาตมาทำหน้าที่รับโยมเข้าพัก ทุกคนที่มาวัด ถ้าไม่มีที่พักเฉพาะของตัวเองจะต้องผ่านมืออาตมาก่อน คนมาวัดเยอะแล้วดันทะลึ่งมาชอบใจอาตมา มาถึงแล้วไม่ยอมไปไหน ไล่ไปหาหลวงพ่อก็ไม่ไป บางคนถึงกับบอกว่า "ตั้งใจมาหาท่านเท่านั้น" อาตมาก็ซวยเท่านั้น มาวัดแล้วไม่ไปหาหลวงพ่อ หาเรื่องให้อาตมาโดนไล่ออกจากวัดแล้ว

พอดีพรรษานั้นท่านนันทชัย มาเกิด (ฉายา สุธมฺมเทวธมฺโม) บวชเข้ามา อาตมาเห็นหน้าก็รู้ว่าเป็นพวกเดียวกันแน่นอน พระโพธิสัตว์แน่เลย วันนั้นนั่งทำวัตถุมงคลอยู่ด้วยกัน ก็คือ วัตถุมงคลของวัดท่าซุง บางส่วนก็ผลิตจากโรงงาน บางส่วนก็แรงงานพระผลิตกันเอง ทำกันไปก็นั่งคุยกันไป บอกท่านว่า "ผมเห็นหน้าคุณก็รู้ว่ามาสายพระโพธิญาณ ผมลาแล้ว..คุณจะลาไหม ?" ท่านบอกว่า เหมือนกับว่าทำงานบางชิ้นมาจวนจะเสร็จอยู่แล้ว อยู่ ๆ ให้ทิ้งงานไปท่านทำใจไม่ได้

เราบอกกับท่านว่า "ผมเองอยากลา แต่บริวารผมเยอะเหลือเกิน ดูท่าว่าเขาจะตามไม่ทัน ขอฝากท่านไว้ได้ไหม ?" ท่านตอบแบบไม่คิดเลยนะว่า "ได้..ขออย่างเดียว ถ้าหลวงพี่ไปสบายแล้วย้อนกลับมาช่วยผมบ้าง" อาตมารีบสาธุ ถ้าสบายแล้ว เรื่องอื่นเรื่องเล็ก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สิ่งที่เห็นชัดเจนที่สุด คือ คนที่มาสุดเหนือสุดใต้ที่เขามาหาอาตมา หายไปเลย กระแสขาดลงจริง ๆ เขาก็ต้องหันไปตามผู้นำคนใหม่ของเขา

เวลาที่วัดท่าขนุนจัดงานแต่ละครั้ง ที่โยมเห็นว่าคนเยอะแยะนั้น คนที่อาตมาต้องรับผิดชอบจริง ๆ มีไม่กี่คนหรอก นอกนั้นส่วนมากเป็นเด็กฝาก มีเด็กฝากของพระศรีอาริยเมตไตรย เด็กฝากของท่านปู่ท่านย่า ที่สำคัญที่สุด ไม่อยากรับไว้เลย ก็คือเด็กฝากขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพวกนี้ขนาดพระองค์ท่านยังเข็นไม่ไป อาตมาจะไปเก่งกว่าท่านได้อย่างไร แต่ละคนสุดยอดจริง ๆ

เถรี
30-06-2011, 02:38
ช่วงนั้นที่วัดท่าซุงฝึกมโนมยิทธิ ถ้าคนไหนที่หลวงพี่อาจินต์เอาไม่อยู่ ท่านจะวิ่งรถมารับหลวงตาวัชรชัยไป วันนั้นทั้งหลวงพี่อาจินต์และหลวงตาวัชรชัยนั่งรถมาด้วยกัน "เฮ้ย..เล็ก มาช่วยหน่อยซิ เจ็ดวันแล้วมันยังไปไหนไม่ได้เลย" อาตมาก็คิดว่าจะแน่สักแค่ไหนกัน..ต้องลองดู

โอ้..ตั้งแต่เที่ยงครึ่งยันบ่ายสองโมง เขาไปได้แค่จุฬามณี อาตมาเองแค่วินาทีเดียวก็ทะลุไปจนถึงชั้นไหนแล้วไม่รู้ ? รู้ไหมว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? เขาตามดูบันไดทีละขั้น ทำอย่างกับจะลอกแบบไปสร้างจุฬามณีเอง..!

ใครที่เป็นครูฝึกก็รู้สึกหนักหนาสาหัสทั้งนั้น เหมือนกับฉุดรถไฟทั้งขบวนด้วยมือเปล่า ๆ หรือไม่ก็เข็นเรือทรายบนบก ถึงได้เข้าใจที่หลวงพ่อท่านบอกว่า ถ้าเป็นคนของสมเด็จองค์ปัจจุบันท่าน เหมือนกับคุณเข็นเรือเกลือบนบก

พอดีเป็นวันที่ ๗ วันสุดท้าย ก็เลยพาเขาไปได้แค่นั้น จึงบอกว่า "ต่อไปคุณใช้วิธีนี้ แล้วก็ไปค่อย ๆ ดูเอง เพราะว่าทางวัดเขาให้อยู่ได้ ๗ วัน วันนี้วันสุดท้ายแล้ว" ถ้ามีวันรุ่งขึ้น อาตมาคงตายเอง เข็นไม่ไหวหรอก..!

เถรี
30-06-2011, 17:55
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : วิสัยพุทธภูมิต่างจากเรา เราเดินขึ้นบันไดมา บันไดมีกี่ขั้นบางทีเราก็ยังไม่รู้ แต่พุทธภูมินอกจากต้องรู้ว่าบันไดมีกี่ขั้นแล้ว ต้องรู้ว่ากว้างยาวเท่าไร ? สร้างมาจากวัสดุอะไร ? ด้วยวิธีการอย่างไร ? ท่านต้องศึกษาให้ครบเพื่อพร้อมที่จะสร้างบันไดใหม่เลย

เจอนันทชัยเมื่อเดือนก่อนที่วัดท่าซุง ยังคงเหมือนเดิม บอกว่า "ไม่เลิกครับ" ทุกข์แค่ไหนก็สู้ ตอนนี้เขาเป็นหัวหน้าไปรษณีย์อยู่ที่อยุธยา บอกว่า ถ้าผ่านไปอยุธยา แวะไปให้เขาเลี้ยงเพลบ้าง

เถรี
30-06-2011, 18:10
ถาม : พวกบริวารที่ตามผมมา ไม่น่าจะมีนะ
ตอบ : เรายังต้องไปอีกไกล แต่ละชาติจะมีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ

ถาม : พวกที่ลาพุทธภูมิ เขาไม่ได้ตั้งใจหรือเตรียมตัวมาก่อน
ตอบ : มาเปลี่ยนใจทีหลังเยอะแยะไป พอเห็นอะไรดีกว่าก็ไปแล้ว แบบที่พระกุมารกัสสปะท่านเปรียบเทียบให้ฟัง ตอนแรกสองสหายไปเจออุจจาระแห้ง สองสหายก็โกยอุจจาระแห้งใส่ห่อทูนศีรษะไป เดินไปเจอเชือกปอ รายหนึ่งก็เทอุจจาระแห้งทิ้ง เอาเปลือกปอไป รายหนึ่งไม่ยอมทิ้งอุจจาระ ยังคงแบกไป

พอเดินไปอีกหน่อยเจอด้ายป่าน รายแรกทิ้งเปลือกปอมาเอาด้ายป่าน แต่อีกรายก็ยังประคองอุจจาระต่อไป เดินไปอีกหน่อยเจอผ้า รายแรกก็หอบผ้าไป ส่วนอีกรายยังยึดมั่นในห่ออุจจาระอยู่ จนกระทั่งไปเจอเงินเจอทอง อีกฝ่ายแรกก็เลือกเอา ส่วนอีกรายหนึ่งก็ยังคงแบกห่ออุจจาระไปเรื่อย

พระกุมารกัสปปะท่านเปรียบว่า พระเจ้าปายาสิเหมือนคนทูนห่ออุจจาระอยู่ ฝนตกไหลเลอะเปรอะเปื้อนอย่างไรก็ไม่ยอมทิ้ง เหมือนกับพระเจ้าปายาสิที่ไม่ยอมเลิกทิฐิ

พระเจ้าปายาสินั่งหัวเราะ ท่านบอกว่าจะเปลี่ยนใจตั้งแต่แรกแล้ว แต่ฟังพระคุณเจ้าเปรียบเปรยแล้วสะใจดี อยากฟังให้เยอะ ๆ เราลองไปดูในปายาสิราชัญญสูตรในพระสุตตันตปิฎก เป็นสูตรที่นักเทศน์หรือนักโต้วาทีควรจะศึกษาไว้ อีกอย่าง คือมิลินทปัญหา พระนาคเสนท่านตอบได้ฉะฉานแจ่มแจ้งจริง ๆ

ในชินบัญชรคาถา ท่านกล่าวถึงพระกุมารกัสสปะว่า กุมาระกัสสะโป เถโร มะเหสี จิตตะวาทะโก ผู้เป็นใหญ่ในการใช้วาทะอันวิจิตรพิสดาร ท่านเปรียบเปรยได้สุดยอดมาก

เถรี
30-06-2011, 20:54
พระเจ้าปายาสิเชื่อว่าคนตายแล้วสูญ จึงสั่งให้นำคนมาชำแหละหาวิญญาณ ก็คือหาดวงจิต หาเท่าไรก็ไม่เจอดวงจิต พระกุมารกัสสปะจึงอธิบายโดยเปรียบว่า อาจารย์บอกลูกศิษย์ให้รักษากองไฟเอาไว้ ลูกศิษย์มัวแต่ไปเล่นกันจนเพลิน พอไฟดับ ทีนี้ไม่รู้วิธีจุดไฟ ก็เลยเอาขวานมาผ่าฟืนเพื่อหาไฟ เพราะไฟเกิดจากฟืน..ใช่ไหม ? แต่ไฟไม่ได้อยู่ในฟืน หาไปคงจะเจอหรอก

ตอนที่พระเจ้าปายาสิเปรียบเทียบได้เจ็บปวดที่สุด ก็คือ "ญาติมิตรสาโลหิตที่สนิทสนมกัน พอใกล้ตายโยมก็ไปสั่งไว้ว่า ถ้าตายแล้วลงนรกให้มาบอกด้วย แต่ไม่มีใครมาบอกเลย โยมจึงเชื่อว่าตายแล้วสูญ"

พระกุมารกัสสปะกล่าวว่า "ดูก่อนมหาบพิตร..ถ้ามีนักโทษอุกฉกรรจ์ที่ต้องนำไปตระเวนบก ตระเวนน้ำ อย่างละเจ็ดวัน เป็นการประจานความชั่วแล้วค่อยนำไปประหาร เขาขออนุญาตลากลับบ้านเพื่อไปบอกลูกบอกเมียก่อน พระองค์จะปล่อยไปหรือไม่ ?" พระเจ้าปายาสิบอกว่า "ปล่อยได้อย่างไร ? มีแต่ต้องเร่งประหารเท่านั้น"

เถรี
30-06-2011, 21:02
พระกุมารกัสสปะกล่าวว่า "ก็เช่นกัน มหาบพิตร..บุคคลพอลงไปรับโทษหนักอยู่ในนรก นายนิรยบาลเขาไม่ยอมปล่อยมา ญาติที่ไหนจะมาบอกกับท่านได้"พระเจ้าปายาสิจึงกล่าวว่า "แล้วพวกที่ไปสวรรค์เล่า ? ญาติมิตรสาโลหิตของข้าพเจ้าที่มีอยู่ พอถึงเวลาใกล้ตาย ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านทั้งหลายทำความดีไว้มาก ถึงเวลาต้องไปสุคติโลกสวรรค์แน่นอน ข้าพเจ้าก็ไปแจ้งแก่พวกนั้นว่า ถ้าไปสวรรค์แล้วให้กลับมาบอกด้วย ก็ไม่เห็นมีใครมาสักคน แล้วจะเชื่อได้อย่างไรว่าตายแล้วไม่สูญ ?"

พระกุมารกัสสปะบอกว่า "ดูก่อน..มหาบพิตร..อันบุรุษที่ตกลงไปในหลุมคูถ(ขี้) เมื่อพระองค์ท่านให้ราชบุรุษนำขึ้นมา ใช้ซี่ไม้ไผ่ครูดอุจจาระจนสะอาด ให้อาบน้ำ ลูบไล้ด้วยของหอมเครื่องย้อมเครื่องทา ให้นุ่งผ้าอันสวยงามพร้อมกับสวมพวงมาลัยดอกไม้ แล้วจะให้เขากระโดดลงไปในบ่ออุจจาระอีก จะเป็นไปได้หรือไม่ ?"

พระเจ้าปายาสิบอกว่า "ไม่มีใครเขาทำอย่างนั้นแน่" พระกุมารกัสสปะบอกว่า "ก็เช่นเดียวกัน..มหาบพิตร กลิ่นมนุษย์เหม็นไปไกลเป็นโยชน์ เทวดาที่ไหนอยากจะเข้าใกล้ แล้วผู้ใดจะมาบอกกับท่านได้เล่า"

ลองไปอ่านดูนะ สนุกมาก ท่านเปรียบเทียบแต่ละอย่างชัดเจนมาก เหมือนกับหงายของที่คว่ำ เหมือนกับตามประทีปในที่มืด

เถรี
30-06-2011, 22:36
พระอาจารย์กล่าวว่า "บางทีครูบาอาจารย์ท่านไม่ได้สอนนะ ท่านทำให้ดูเป็นตัวอย่าง นั่นยิ่งกว่าสอนอีก

มีเรื่องหนึ่งที่ให้ทิดตู่เขียน แต่ทิดตู่บอกว่าอย่างไรก็เขียนไม่ได้ เพราะอารมณ์ใจไม่ถึง ตอนนั้นที่เกาะพระฤๅษี มีต้นประดู่ส้ม(ประดู่เลือด) ถ้าคนไม่รู้จักต้นไม้ชนิดนี้แล้วไปฟันต้นเข้า ก็จะขวัญหนีดีฝ่อ เพราะยางไม้จะไหลมาสีเหมือนกับเลือด

ปีหนึ่งประดู่ส้มก็จะผลัดใบครั้งหนึ่ง ตอนที่ใบอ่อนเกิดจะมีหนอนบุ้งซึ่งเป็นหนอนคันมากิน หนอนพวกนี้พออยู่ในระยะดักแด้ก็จะสลัดขนทิ้งหมด ขนคัน ๆ นั้นก็จะปลิวว่อน พวกเราก็เกาบ้าง ทนบ้าง

คุณจิรา ลิ่วเฉลิมวงศ์ (ญาติของคุณแบม จณิสตา) เขาไปอยู่ปฏิบัติธรรมที่เกาะ โดนขนบุ้งเข้าไปแล้วเกิดอาการภูมิแพ้อย่างหนัก คอบวมขนาดหายใจไม่ได้ เขาก็มาบ่นให้ฟัง อาตมาจึงตัดสินใจแก้ที่ต้นเหตุ ตัดต้นประดู่ส้มทิ้งเลย ต้นใหญ่มากก็ต้องปีนขึ้นไปหั่นยอดลงมาก่อน

ไม่มีใครกล้าขึ้นไปเพราะคันตายชัก อาตมาต้องตะกายขึ้นไปฟันยอดเอง พอลงมาข้างล่าง จากคนดี ๆ กลายเป็นคางคก เพราะคันบวมไปทั้งตัว จึงบอกพวกทิดตู่ว่า "ไปตำใบพลูตำกับเหล้ามาให้ที จะทาแก้คัน" หลังจากสรงน้ำแล้วจึงทา ทาเสร็จก็ไปทำวัตร เดินตาตี่มองทางเกือบไม่เห็น เพราะคันจนบวมไปทั้งตัว

ทิดตู่เขาก็ถามว่า "หลวงพี่ทนได้อย่างไร ? ไม่เกาสักแกรกเดียว" เราบอกว่า "ยิ่งเกาก็ยิ่งลามสิวะ" ทิดตู่ก็ถามอีกว่า "คันขนาดนั้น แล้วทำไมยังทนได้ ?" อาตมาบอกว่า "ไม่ต้องทนหรอก ทำไม่รู้ไม่ชี้ซะก็หมดเรื่อง" จนป่านนี้ทิดตู่เขายังไม่กล้าเขียนเรื่องนี้เลย เขาบอกว่าทำไม่ถึง ในเมื่อทำไม่ถึงอธิบายอารมณ์ไม่ถูก ก็ไม่เขียนหรอก ทำไม่รู้ไม่ชี้ ฟังดูง่ายนะ แต่ลองเจอด้วยตัวเองแล้วทำดูบ้างสิ..!

ในสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านทำให้ดู เพราะว่าสอนไปลูกศิษย์ก็โหนไม่ถึง จะไปบอกว่าวางกำลังใจอย่างนั้น วางกำลังใจอย่างนี้ ป่วยก็เหมือนกับไม่ป่วย ไม่ต้องไปอธิบายหรอก เต่าไปอธิบายให้ปลาฟังว่าบนบกหน้าตาเป็นอย่างไร ปลาฟังให้ตายก็ไม่รู้เรื่องหรอก ยกเว้นว่าปลาตัวนั้นจะตะกายขึ้นบกไปเอง"

เถรี
01-07-2011, 03:19
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : สรุปลงตรงที่ว่า สักกายทิฐิยังตัดไม่ได้ ก็เลยยังยึดเหนี่ยวอยู่ ทั้ง ๆ ที่คุณอยากจะละนั่นแหละ เกิดจากปัญญาไม่พอ ในเมื่อปัญญาไม่พอ เราจะไม่เห็นทุกข์เห็นโทษ เมื่อไม่เห็นทุกข์เห็นโทษ ก็ไม่เกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด ไม่คิดจะดิ้นรนหนี แถมบางคนปัญญาน้อยก็คิดว่าดีเสียอีก ก็เลยไปยึดมั่นหนักเข้าไปใหญ่

เราเริ่มต้นด้วยการตั้งใจละสักกายทิฐิ แต่ทำไป ๆ กลายเป็นยึดมั่นโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะในส่วนของรูปภพ อรูปภพ เพราะมีแต่ความสุขโดยส่วนเดียว ก่อนที่จะพ้นจากเขตนั้นมาจะไม่เจอกับความทุกข์

ยกเว้นว่าบุคคลที่ตั้งใจดิ้นรนเพื่อจะให้พ้นทุกข์ เห็นว่าการดำรงอยู่แม้ในสภาพของขันธ์ทิพย์ก็ยังเป็นทุกข์อยู่ เพราะต้องขวนขวายเพื่อความหลุดพ้น ถ้าปัญญาระดับนั้นจึงจะเห็นได้

ดังนั้น..ยิ่งเป็นภพที่ละเอียด ก็ยิ่งละได้ยากขึ้น สรุปง่าย ๆ ว่าเกิดจากปัญญาไม่เพียงพอ ก็เลยไม่เห็นโทษ ไม่เบื่อหน่าย

เถรี
01-07-2011, 03:24
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : จริง ๆ ในเรื่องสักกายทิฐิ ก็คือ การยึดมั่นว่าตัวเราเป็นของเรา ถ้าสามารถพิจารณาให้เห็นชัดว่าสักแต่เป็นรูปนาม สักแต่เป็นธาตุ ประชุมรวมขึ้นมาให้อาศัยเป็นร่างกายชั่วคราว ถ้ารู้เห็นจริงจัง สภาพจิตยอมรับ ก็จะคลายความยึดมั่นนั้นออก

วิจิกิจฉา ตัวลังเลสงสัยในคุณพระรัตนตรัย ถ้าหากว่าเราเข้ามาปฏิบัติ ตัวนี้ถือว่าได้กำไร เพราะว่าต้องสงสัยน้อยแล้วจึงยอมปฏิบัติ เราก็แค่ทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้แน่นแฟ้นจริง ๆ เท่านั้น ก็ไปสำคัญตรงสีลัพพตปรามาส การรักษาศีลไม่จริงจัง สักแต่ว่าลูบ ๆ คลำ ๆ ก็เอาให้จริงจัง ไม่ล่วงศีลด้วยตัวเอง ไม่ยุให้คนอื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นทำ สามารถทำไปพร้อมกับสมาธิ ควบไปจนสติตั้งมั่นถึงขนาดที่ขยับตัวเมื่อไรก็รู้ว่าศีลจะขาด ถ้าทำได้ระดับนั้นเมื่อไร ก็มีสิทธิ์ที่จะก้าวข้ามสังโยชน์สามข้อแรกได้

แต่ทั้งสามข้อที่ว่ามานี้ ตัวสักกายทิฐิไม่ได้ขาดเสียทีเดียว เพียงแต่เบาบางลง ยกเว้นเราจะตัดสังโยชน์ระดับสูงขึ้นไป ก็จะค่อยละสักกายทิฐิเบาบางตามลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงข้อสุดท้าย จึงจะละได้อย่างแท้จริง

เถรี
01-07-2011, 03:45
มีคนนำเสียงอ่านพระไตรปิฎกมาถวายพระอาจารย์ ท่านจึงกล่าวว่า "เป็นความพยายามอย่างสูงสุดของคนอ่าน โดยเฉพาะในส่วนของอภิธรรม คนที่สมาธิไม่ดีทนอ่านไม่ได้หรอก เพราะเป็นการอ่านอะไรที่เราก็ไม่เข้าใจ นี่เขาอุตส่าห์อ่านได้ครบแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ คนแบบนี้หาได้ยากมาก"

เถรี
01-07-2011, 21:13
พระอาจารย์ได้กล่าวเตือนผู้ที่เลี้ยงสุนัขว่า "ขอเตือนอีกวาระหนึ่ง เลี้ยงหมาอย่ารักเขาจนเกินไป ให้มีสติรู้ด้วย เพราะถ้าจิตใจยึดเกาะหมามาก ไปดีใจเสียใจกับหมามาก นั่นไม่ใช่รักแต่เป็นหลง ตายตอนนั้นจะไปเกิดเป็นหมาแทน..!

สมัยอาตมายังวัยรุ่นอยู่ พี่สาวข้างบ้านเลี้ยงหมาไว้ ๕-๖ ตัวด้วยกัน เอาหมานอนบนเตียงเลย ไปบ้านพี่เขาเมื่อไร พอพี่เขาเปิดประตูรับอาตมาก็แทบจะหงายท้อง เพราะว่ากลิ่นหมามาเต็ม ๆ คนที่อยู่ด้วยจนชินจะไม่ได้กลิ่น แต่คนที่นาน ๆ เข้าไปทีจะได้กลิ่นชัดมาก"

เถรี
01-07-2011, 21:19
"หมาพันธุ์เซนต์เบอร์นาร์ดเป็นหมากู้ภัย น้ำหนักตัวได้ถึงสองร้อยปอนด์ เซนต์เบอร์นาร์ดเกิดในพื้นที่หิมะ อุ้งเท้าใหญ่ เดินบนหิมะได้ง่าย เวลาคนติดในหิมะ เขาจะฝึกหมาพวกนี้ให้เป็นหมากู้ภัย ที่คอของเซนต์เบอร์นาร์ดจะมีถังบรั่นดีเป็นถังไม้เล็ก ๆ ผูกไว้ พอไปเจอคนที่ติดในหิมะ ก็จะไปนอนคร่อมเขา เพื่อไม่ให้หนาว แล้วเขาจะได้เปิดถังบรั่นดีกิน เพื่อรักษาชีวิตไว้ก่อนที่หน่วยกู้ภัยจะไปถึง

แต่คนจีนใช้เซนต์เบอร์นาร์ดผิดประเภท เลี้ยงแค่สองเดือนก็จัดการตุ๋น หมาพันธุ์ใหญ่ ถ้ายังอายุน้อยอยู่เนื้อจะนิ่ม ต้องได้อายุของเขากล้ามเนื้อถึงจะแข็งแรงเต็มที่ เขาก็เลยกินตั้งแต่ตอนที่ยังอายุน้อย ๆ "

เถรี
01-07-2011, 21:35
"ถ้าจะเลี้ยงหมาก็ให้รักเขาจริง ๆ โดยเฉพาะหมาพลังสูงอย่างโกลเดนรีทรีฟเวอร์ ถ้าไม่มีเจ้าของเล่นด้วยก็จะเฉา แต่เจ้าของก็เล่นด้วยไม่ไหวหรอก เพราะหมาพันธุ์นี้กระโดดโลดเต้นทั้งวัน และตัวใหญ่มาก

เมื่อก่อนน้องแพทรูปร่างกลมเป็นลูกฟุตบอล ส่วนน้องเจนนี่ก็แห้งเป็นตะเกียบ ตอนนี้น้องแพทโตเป็นสาวผอมสวย ส่วนน้องเจนนี่อ้วน เพราะน้องแพทเขาได้หมาพันธุ์ร็อตไวเลอร์มาเป็นของขวัญวันเกิด เขาพาไปหาสัตวแพทย์ฉีดยา สัตวแพทย์แนะนำว่าอย่าเลี้ยงให้อ้วน ถ้าอ้วนมากจะเป็นโรคง่ายและตายเร็ว

น้องแพทเขารักหมามาก กลัวหมาจะตายก็พาหมาไปวิ่งลดความอ้วนทุกวัน เจ้าร็อตไวเลอร์วิ่งแต่เจ้าของรั้งไม่อยู่ ก็เลยกลายเป็นเจ้าของวิ่งตามหมาทุกวัน จากอ้วน ๆ กลายเป็นผอมกะหร่องไปเลย ส่วนหมายังอ้วนเท่าเดิม กลายเป็นว่าคุณูปการของการเลี้ยงหมา ก็คือ ทำให้หุ่นสวย

สมัยก่อนที่เกาะพระฤๅษีมีหมาชื่อฟ้าใส เป็นหมาพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้ หลงทางมา ปกติไซบีเรียนฮัสกี้จะอยู่ในทุ่งน้ำแข็งในไซบีเรียมาตลอด จึงไม่สามารถที่จะทำเครื่องหมายได้ เพราะฉี่ออกมาก็เป็นน้ำแข็ง เป็นอย่างนี้รุ่นแล้วรุ่นเล่า กลายเป็นพัฒนาการอยู่ในดีเอ็นเอว่าไม่ต้องทำเครื่องหมาย พอเจ้าพวกนี้ออกจากบ้านเมื่อไร ถ้าเจ้าของไม่ไปด้วยมักจะหลงทางเสมอ

ยังดีที่เจ้าฟ้าหลงทางมาเจออาตมา ถ้าเจอคนอื่นเข้าไม่รู้จะเป็นอย่างไร ? เพราะตอนนั้นอายุแค่เดือนเดียว กำลังน่ากินเลย เจ้าฟ้าเป็นไซบีเรียนแท้ตาสีฟ้า ลูกออกมาครอกแรก ๖ ตัว มีตาสีฟ้า ๒ ตัว ครึ่งฟ้าครึ่งน้ำตาล ๒ ตัว อีก ๒ ตัวตาเป็นสีน้ำตาล"

ถาม : แสดงว่าตอนนี้มีลูกเยอะ ?
ตอบ : คนเขาขอไปจนหมดแล้ว เหลืออยู่ตัวเดียวชื่อเฉาก๊วย รูปร่างได้ไซบีเรียนมา แต่หน้าคือหมาวัด..! หุ่นหมาป่าแต่หน้าสั้น ๆ ตอนนี้ได้ยินว่าโดนเขาวางยาตายไปแล้ว โทษฐานดูแลสถานที่ดีเกินไป ใครมาก็ไปไล่เห่า เขาโกรธก็เลยวางยาซะ..!

เถรี
01-07-2011, 21:42
ถาม : การเจริญเมตตาที่เป็นพรหมวิหาร มีจิตที่สว่าง จิตที่สว่างนี้แผ่ออกไป เปล่งแสงกระจายออก แต่ตอนหลังวูบหดกลับเข้ามา..?
ตอบ : เพราะสมาธิไม่พอ อาตมามักจะสอนให้แผ่เมตตาไปทุกภพทุกภูมิ ทุกหมู่ทุกเหล่า พูดง่าย ๆ ว่าเบื้องขวางคืออนันตจักรวาล เบื้องบนไปจรดภควัคพรหม เบื้องล่างไปถึงอเวจี อย่างเราทำสมาธิได้แค่นั้นก็จะแผ่ได้แค่นั้น

แต่ถึงเราทำแค่นั้นแต่ก็ได้ประโยชน์ ก็คือ ระงับรัก โลภ โกรธ หลง ได้ชั่วคราว พอคลายสมาธิออกมารัก โลภ โกรธ หลง ก็งอกงามอีก เพราะฉะนั้น..เมื่ออารมณ์ใจทรงตัว เราเล่นเรื่องฌานสมาบัติสนุกพอแล้ว ให้คลายสมาธิออกมาแล้วพิจารณาวิปัสสนาญาณแทน กำลังจะได้พอตัดกิเลสในเบื้องต้น ทำความสบายให้เราได้บ้าง ไม่อย่างนั้นแล้วจะโดนกิเลสตีกลับทุกที

เถรี
01-07-2011, 21:49
ถาม : การแผ่เมตตาตอนกรรมฐาน..?
ตอบ : ตอนนั้นเราจะทำได้ง่ายเพราะมีครูบาอาจารย์คอยนำ สำคัญที่เราต้องซ้อมให้ชำนาญ ถ้าไม่ทำให้ชำนาญก็ได้แค่หน่อยหนึ่ง เดี๋ยวก็หดกลับมาอีก

สังเกตไหมตอนที่สอน พอแผ่ออกไม่เป็นไร แต่พอบอกให้หดคืนนี่เราหดกลับทันทีเลย ก็เพราะว่าเราไม่ชำนาญ ความจริงเราต้องค่อย ๆ หดกลับมาทีละน้อย ๆ แล้วก็ค่อยขยายออกไป ทำอย่างนี้ทุกวัน จะเป็นกีฬาสมาธิให้เราเพลิดเพลินและกิเลสกินใจไม่ได้ หลังจากนั้นพอสมาธิทรงตัว ก็เอากำลังตรงนี้มาพิจารณาตัดกิเลส

ถาม : พอเราปล่อยแล้วหดกลับมา ?
ตอบ : ต้องค่อย ๆ มา ไม่ใช่พรวดเดียว ถ้าพรวดเดียวแสดงว่าฝีมือไม่ถึง

เถรี
02-07-2011, 02:29
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เคยมีไอ้บ้าอยู่คนหนึ่ง พอเขาได้ยินว่า วัตถุมงคลที่ทำจากของราคาสูงค่า จะยิ่งมีอานุภาพมาก เขาก็จัดแจงไปเอาทองคำขาวมาให้อาตมาทำตะกรุดมหาสะท้อน ผลปรากฏว่าอาตมาทำได้ แต่ม้วนตะกรุดไม่ได้

ด้วยความหมั่นไส้ เราบอกว่า "ถึงเขียนไม่ได้ก็จะเขียนให้ แต่ม้วนเอาเองนะ" เขาก็ครับ ๆ ปรากฏว่าแม้แต่ค้อนทุบก็ยังไม่กระดิกเลย

คนไทยเรียกว่า "ทองคำขาว" แต่ไม่ได้เกี่ยวกับทองคำเลย ส่วนแร่โคตรเศรษฐีเป็นทองคำดำเพราะว่าองค์ประกอบเหมือนทองคำทุกอย่าง เพียงแต่เป็นสีดำ"

เถรี
02-07-2011, 02:33
ถาม : พระเตมีย์ใบ้ ทำไมท่านถึงมีกำลังใจสูง ?
ตอบ : เพราะท่านตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้า บุคคลที่ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้า กำลังใจสูงกว่าบุคคลทั่วไปนับเท่าไม่ได้ เรื่องที่เรารู้สึกว่ายากแต่เป็นเรื่องง่ายของท่าน แค่คิดว่าจะตัดหัวตัวเองถวายเป็นพุทธบูชา เราก็ไม่กล้าคิดแล้ว แต่นั่นท่านทำเลย กำลังใจต่างกันขนาดนั้น

เถรี
02-07-2011, 02:41
ถาม : เวลามีนิพพิทาญาณขึ้นมา จะเป็นฌานหรือไม่ ?
ตอบ : นิพพิทาญาณเป็นอารมณ์เบื่อที่เกิดจากวิปัสสนาญาณ ถ้าหากว่าไม่ได้ดิ่งลึกจริง ๆ ก็ยังไม่เป็นฌาน ตรงที่ไม่เป็นฌาน จะทำให้คนฟุ้งซ่านได้ง่าย

ถ้าหากว่าตัวนิพพิทาญาณเกิด รู้ตัวขึ้นมา เราก็วิ่งไปหาการภาวนาของเรา จะทำให้การฟุ้งซ่านน้อยลงแล้วพออยู่ได้ ไม่อย่างนั้นบางคนเบื่อมาก ๆ ถึงขนาดฆ่าตัวตายไปเลยก็มี

นิพพิทาญาณเป็นของดีมาก เพราะถ้าเราไม่เบื่อก็อยากเกิดอีก ดังนั้นจึงต้องเบื่อก่อน แต่พยายามใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นว่า ธรรมดาของเราเป็นอย่างนี้ การเกิดมามีร่างกายนี้ การเกิดมาในโลกนี้ ต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์เช่นนี้เป็นปกติ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาแล้วพบกับความทุกข์เช่นนี้ของเราจะไม่มีอีก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานที่เดียว

ถ้าสามารถทำอารมณ์ใจอย่างนี้ได้ ก็จะก้าวข้ามไปเป็นสังขารุเปกขาญาณ เห็นทุกอย่างเป็นธรรมดา ธรรมดาเราเกิดมาก็ต้องเจออย่างนี้ เราอยู่แค่ชั่วลมหายใจเดียว ทำไมจะอยู่ไม่ได้ ในเมื่อทุกอย่างมาลงตรงจุดนี้ ถึงเวลาก็มีความสุขเพราะว่าไม่ไปดิ้นรน

อย่างที่เมื่อตอนบ่ายเปรียบเทียบว่าเหมือนเสือตัวหนึ่ง ถูกขังอยู่ในกรง พยายามพุ่งชนไปทุกทิศทุกทางเพื่อจะออกจากกรง แต่ก็เจ็บตัวฟรี ถ้าเสือตัวนั้นใช้ปัญญาหน่อยหนึ่ง รู้ว่าไม่มีทางออก ไม่ดิ้นไม่รน นอนเฉย ๆ ก็ไม่เดือดร้อนอะไร เพราะยอมรับแล้วว่าต้องอยู่ในกรงนี้

ดังนั้น..นิพพิทาญาณสำคัญตรงปัญญาเห็นแล้วยอมรับ ในเมื่อยอมรับแล้วปล่อยวางได้ ไม่ไปดิ้นรนว่าสิ่งนี้เป็นทุกข์ เป็นของเรา เราทุกข์จริงหนอ ถ้าไม่ไปยึด ปล่อยวางหมดก็สบาย ส่วนใหญ่ที่ทุกข์มาก เพราะว่าไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา แทนที่จะเป็นคนดู รู้ไว้เฉย ๆ ก็กระโดดขึ้นเวทีไปเล่นเอง ถ้าอย่างนั้นก็จะเดือดร้อนนาน

เถรี
02-07-2011, 02:48
ถาม : ตัดต้นไม้ใหญ่ต้องทำอย่างไรบ้าง ? แล้วที่บ้านก็ปลวกขึ้นด้วย ?
ตอบ : ถ้าจะตัดต้นไม้มีแก่น ให้ตั้งศาลเพียงตา ๑ หลัง ตัดกิ่งต้นไม้นั้นมาสักศอกหนึ่ง เป็นกิ่งใหญ่นิดหนึ่ง เอาประมาณแขนก็ได้ แล้วตั้งเอาปลายขึ้น จุดธูปบอกรุกขเทวดาว่าให้ย้ายมาอยู่ในศาลนี้แทน เพราะเรามีความจำเป็นที่จะต้องโค่นต้นไม้นั้น เสร็จแล้วก็จัดการโค่นได้

ถ้าคิดว่ากิ่งสั้น ๆ นั้นเขาจะอยู่ได้หรือ ? ในธรรมบทบอกไว้ว่า ในปลายเข็มหมุดหนึ่ง เทวดาอยู่ได้ถึง ๘ องค์ ทั้ง ๆ ที่อัตภาพของท่านต่ำสุดคือ ๓ คาวุต ก็คือสูง ๑๒ กิโลเมตร แต่ถ้าจำเป็นขึ้นมา ท่านก็ประหยัดเนื้อที่ได้ คือปลายเข็มหมุดหนึ่ง ท่านอยู่กันได้ ๘ องค์

ถ้ามีต้นไม้ใหญ่หลายต้น ก็สร้างศาลหลายหลังหน่อย หรือว่าจะสร้างหลังเดียวแต่ตัดหลายกิ่งหน่อย ต้นนั้นกิ่งหนึ่ง ต้นนี้กิ่งหนึ่ง ถ้ารู้สึกว่าตัดเยอะไปก็ให้ตัดสักคืบหนึ่งก็ได้ แต่ให้เป็นกิ่งใหญ่หน่อยเท่านั้น

ส่วนในเรื่องของปลวก ถ้าเป็นรังใหญ่ให้เอาน้ำมันโซล่าราดรังไว้ พอน้ำมันซึมลงใต้ดิน ปลวกได้กลิ่นจะยกขบวนหนีหมด แล้วเราค่อยขุดรังทิ้ง แต่ถ้าเป็นปลวกที่ทำเป็นทางเดินขึ้นบ้าน ให้รอเวลากลางวันแดดร้อน ๆ แล้วไปเขี่ยทิ้ง เพราะเวลาแดดร้อนปลวกจะหนีลงใต้ดิน หลังจากนั้นค่อยเอาน้ำมันราดทิ้งไว้ ปลวกจะได้ไม่ขึ้นมาอีก

เถรี
02-07-2011, 03:00
ถาม : ยุงกัดคนเป็นกรรมหรือเปล่า?
ตอบ : สัตว์เดรัจฉานอยู่ในภพภูมิที่มืดบอดกว่ามนุษย์ หลายสิ่งหลายอย่างที่เขาทำไม่จัดเป็นกรรมเพราะเขาไม่รู้ อย่างเช่นว่า เสือฆ่าพ่อเสือไม่เป็นอนันตริยกรรม แต่ถ้าคนฆ่าพ่อ เป็นอนันตริยกรรม

ดังนั้น..ถ้าอยากทำอะไรแล้วไม่มีโทษ ก็ต้องไปอยู่ในนรก เพราะมืดบอดมาก ไม่รับรู้ว่าบาปบุญคุณโทษเป็นอย่างไร ทำไปเถอะ เพียงแต่วิ่งหนีหอกแหลนหลาวให้ทันก็แล้วกัน..!

เถรี
02-07-2011, 03:10
มีผู้นำรูปพระอาจารย์มาถวายให้ ท่านจึงกล่าวว่า "ยิ่งเบื่อหน้าตัวเอง คนยิ่งเอารูปมาให้ ถ้าโยมรู้จักสังเกต ใครที่ไปวัดแล้วเข้าไปในกุฏิของอาตมา จะไม่เคยเห็นรูปเลย เพราะอาตมาเบื่อหน้าตัวเองจะแย่แล้ว ต่อไปไม่ต้องเมตตาทำรูปมาให้อีกนะจ๊ะ เพราะว่าไม่ชอบ"

เถรี
02-07-2011, 03:23
ถาม : วิชชาธรรมกาย?
ตอบ : ไปเปิดตำราอ่านเอง ก็แค่เอาใจจดจ่ออยู่ที่ศูนย์กลางกายแล้วกำหนดภาพดวงแก้วขึ้นมา แค่นั้นเอง ไม่เห็นจะยากเลย

สำหรับอาตมานั้น พออาจารย์ท่านพูดถึงธรรมกาย อาตมาก็ทำได้ครบ ๑๘ กายตามนั้นเลย อาจารย์ท่านสงสัยว่าเคยเรียนมาก่อนหรือเปล่า ? อาตมาก็บอกว่าเปล่า ตอนนั้นเพิ่งจะอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ จึงไปขอให้อาจารย์ท่านช่วยสอนเพิ่มให้เพื่อความคล่องตัว กลายเป็นว่าลูกศิษย์กับอาจารย์คู่นั้น โดนทั้งเพื่อนและอาจารย์ท่านอื่นหาว่าบ้าทั้งคู่ เพราะสมัยนั้นปี ๒๕๑๗ เขาไม่รู้จักว่าพระนิพพานหน้าตาเป็นอย่างไร ไอ้บ้าคู่นี้เขาจะไปพระนิพพานกัน..!

เถรี
02-07-2011, 03:41
มีผู้ใส่กางเกงขาสั้นมาบ้านวิริยบารมี พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "เห็นโยมนุ่งกางเกงขายาว (เห็นขายาว) มาแล้วทำให้นึกถึงตัวเอง เมื่อปี ๒๕๒๖ ตอนนั้นยังไม่ได้บวช ทางกทม.สั่งตั้งคันกั้นน้ำตรงแยกศรีนครินทร์กับอ่อนนุช ปัจจุบันเรียกว่าแยกศรีนุช แล้วก็สูบน้ำออกมาทางประเวศ

บ้านอาตมาอยู่ห่างจากแยกศรีนุชแค่ป้ายรถเมล์เดียว น้ำท่วมอยู่ ๖ เดือนกว่า ทำงานก็ไม่ได้เพราะที่บ้านเปิดเป็นอู่ซ่อมรถ มีเวลาจึงไปบ้านสายลมบ้าง ไปวัดท่าซุงบ้าง เวลาไปก็นุ่งกางเกงขายาว (สั้น) ไป

ถ้าขากางเกงคลุมจนถึงตาตุ่ม อาตมาเรียกว่า "กางเกงขาสั้น" เพราะเห็นขานิดเดียว ถ้ากางเกงที่เห็นขาเยอะ ๆ ก็เรียกเป็น "กางเกงขายาว"

ตอนนั้นน้ำท่วมจนเลยขาอ่อนขึ้นมา จนหนังสือพิมพ์เขาบอกว่า น้ำท่วมสูงจนถึงหัวเทียนของผู้ชาย ถ้าเปรียบเทียบกับผู้หญิงก็ถึงจานจ่าย พวกที่รู้ว่าเครื่องยนต์มีส่วนประกอบอะไรบ้าง พากันหัวเราะแทบตายเลย

อาตมาก็ต้องใส่กางเกงขายาว (สั้น) ที่ว่านั่นแหละ ไปนั่งรับใช้ข้าง ๆ หลวงพ่อ ตั้งแต่ ๘ โมงครึ่งถึง ๑๑ โมง พอหลวงพ่อขึ้นฉันเพล ป้าหมอลัดดา (ทันตแพทย์หญิงลัดดา จารุวัสตร์) คว้าแขนลากเข้าห้อง บอกว่า


"หลวงพ่อเรามีคนเคารพศรัทธาทั่วประเทศและทั่วโลก คนที่มาก็มักจะถ่ายรูปท่านไปเป็นที่ระลึก แกรับใช้อยู่ด้านข้างก็พลอยจะติดไปด้วย คราวหน้าแกนุ่งกางเกงขาสั้น (ยาว) มาเถอะ ไม่อย่างนั้นเวลาถ่ายรูปไป เจอกางเกงขายาว (สั้น) แล้วดูน่าเกลียด คนจะตำหนิไปถึงหลวงพ่อแกได้"

เถรี
02-07-2011, 03:54
"ป้าหมอลัดดาน่ารักมากเลยนะ ท่านไม่ปล่อยให้เรื่องไม่ถูกต้องยืดยาวจนแก้ไขไม่ได้ พอเห็นท่านจะกระซิบบอก ไม่ว่าต่อหน้าคนอื่น ดึงเข้าห้องไปกระซิบกัน ๒ คน อาตมาก็บอกว่า "ที่บ้านน้ำท่วมครับป้า" ป้าบอกว่า "แกก็เอากางเกงขาสั้น (ยาว) ของแกใส่ถุงแล้วหิ้วมาสิวะ" ป้าแก้ปัญหาได้ง่ายมาก อาตมาเองไม่ได้คิดถึงตรงนี้ คิดว่านุ่งไปตัวเดียวพอแล้ว

การปฏิบัติธรรมบวชเนกขัมมะที่ผ่านมา มีสาวน้อยนางหนึ่ง นุ่งกางเกงขายาว (สั้น) ขึ้นศาลา จะไปยกหนอ..ย่างหนอให้ถนัด อาตมาเจอตรงบันไดพอดี บอกว่า "ไอ้หนู ถ้าไม่มีกางเกงขาสั้น (ยาว) ก็ไปเอาตัวเก่ามาใส่ ตัวนี้ขามันยาว (สั้น) เกินไป เดี๋ยวหนุ่ม ๆ เขาฟุ้งซ่านไม่มีสมาธิ เวลาเดินต้องยกหนอ..ย่างหนอ เขามักจะมองต่ำ ๆ เดี๋ยวจะกลายเป็นมองขาขาว ๆ แทน"

เขาก็ดีนะ พอได้ยินก็รีบไปเปลี่ยนเลย เพราะว่าปฏิบัติธรรม ๕ วัน นุ่งจนไม่มีจะนุ่งแล้ว เลยงัดเอาตัวที่ขายาว (สั้น) ที่สุดมา"

เถรี
02-07-2011, 03:58
"สิ่งที่อยากจะบอกก็คือว่า จุดอ่อนของกรุงเทพฯ ก็คือไม่สามารถที่จะผลิตอาหารเลี้ยงตัวเองได้ กรุงเทพฯ เป็นแหล่งทำเงินที่ดีมาก มีสารพัดงานให้ทำ แต่ของกินต้องรับจากต่างจังหวัดล้วน ๆ ผลิตเองไม่พอใช้ไม่พอกิน

เพราะว่าพื้นที่ที่ใช้ในการผลิตอาหารกลายเป็นตึกรามบ้านช่องไปหมด คนโบราณบรรพบุรุษของเราเลือกภูมิประเทศได้ดีมาก คือเลือกกรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวง เพราะว่าฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ไม่ว่าฤดูไหน ๆ ก็ไม่เคยเปลี่ยน ฝนตกมาก เหมาะที่จะปลูกข้าว พระเจ้าแผ่นดินในสมัยก่อน ๆ ก็ยังต้องปลูกข้าว โดยเฉพาะสนามหลวงที่สมัยก่อนเรียกว่าทุ่งพระเมรุ ก็คือเป็นนาข้าวของพระเจ้าแผ่นดิน

แต่คราวนี้เราเอามาใช้ผิดวัตถุประสงค์ของบรรพบุรุษ ก็คือจากการที่เป็นแหล่งผลิตอาหารที่อุดมสมบูรณ์มาก ๆ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เราเอามาสร้างตึกแทน แต่ฝนก็ยังตกต้องตามฤดูกาลเหมือนเดิม น้ำก็เลยท่วม"

เถรี
02-07-2011, 04:02
"คนโบราณแก้ปัญหาน้ำท่วมด้วยการขุดคลองซอย ขุดคลองเล็กคลองน้อยเยอะแยะไปหมด ถึงเวลาก็ระบายน้ำออกทัน ยุคหลัง ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖ มีการถมคลองหลายสายเพื่อสร้างถนนแทน ทำให้ทางระบายน้ำหายไป ดังนั้น..พอถึงเวลาน้ำท่วมจึงระบายไม่ทัน

แม้กระทั่งโครงการแก้มลิงที่ในหลวงทรงมีพระราชดำริไว้ ก็ไม่ได้ใช้งานเต็มกำลัง โดยเฉพาะนักการเมืองของเรา ชอบทำงานแบบไฟลนก้น น้ำท่วมทีก็มาลอกท่อที ตอนหน้าแล้งทำไมไม่ลอกไว้ ? อาตมาเห็นผู้ว่ากรุงเทพฯ ลุยน้ำไปดูเขาลอกท่อทีไร ก็ไม่ได้ชื่นชมว่าท่านไปดูแลทุกข์สุขของชาวบ้าน แต่รู้สึกทุเรศมากกว่า เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้จักทำล่วงหน้าไว้ เรื่องนี้ถ้าไปโดนท่านผู้ว่าคนไหนก็ต้องขออภัยด้วย เพราะเป็นอย่างนี้แทบทุกคนเลย"

เถรี
05-07-2011, 20:34
ถาม : ฝันเห็นงานศพตัวเองบ่อย ๆ เป็นนิมิตหมายอะไรหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จับเป็นมรณานุสติไปเลย จะได้ก้าวหน้าในการปฏิบัติ ปกติถ้าเห็นงานศพคนอื่นเราจะต้องนึกโยงถึงงานศพของตัวเอง ก็คือนึกถึงความตายของเรา แต่ถ้าเห็นงานศพของตัวเองเลยนี่ ไม่ต้องไปเสียเวลานึกโยง สบายกว่ากันเยอะเลย

เถรี
05-07-2011, 20:38
ถาม : การขอขมาพระรัตนตรัย การใช้ดอกไม้ธูปเทียนจำเป็นมากขนาดไหนครับ ? ถ้าไม่ใช้ได้หรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ใช้ดอกไม้ธูปเทียนก็เหมือนกับการเดินมือเปล่าเข้าไปหาผู้ใหญ่ ถามว่าจำเป็นไหม ? ก็น่าจะจำเป็นอยู่

การที่เราแสดงออกถึงความเคารพสักการะต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราควรทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเป็นการแสดงออกว่า เราสำนึกในความผิดนั้นแล้วจริง ๆ ไม่ใช่มักง่าย เห็นท่านเป็นเหมือนกับเพื่อนของเรา จะทำอย่างไรก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วจะกลายเป็นซ้ำหนักเข้าไปอีก..!

เถรี
05-07-2011, 20:46
พระอาจารย์บอกว่า "การทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายเอง ต้องซื่อตรงมาก ๆ ถ้าเผลอเมื่อไรตัวเลขจะเกินหรือขาดทันที สามารถโกงได้อย่างสบาย

แต่ถ้าเป็นพระเขาให้แค่ ๙๙ สตางค์ ก็คือ ถ้าเอาของเขาถึงหนึ่งบาทเมื่อไรก็ขาดจากความเป็นพระไปเลย ถือว่าไม่คุ้มกับการเสี่ยง แต่ก็มีพระเป็นจำนวนมากที่ไม่คำนึงถึงเรื่องศีล คิดจะทำอะไรก็ทำตามใจตนเอง อาตมาเคยเตือนบรรดานาคที่กำลังจะบวชเป็นพระว่า ถ้าคิดจะทำอย่างนั้นอยู่บ้านเสียดีกว่า อย่าหานรกใส่ตัว เพราะไม่คุ้มกัน

เคยได้ยินชื่อหลวงพ่อทิมไหม ? หลวงพ่อทิมท่านเป็นพระที่ทุ่มเททำงานเพื่อส่วนรวม ท่านไม่มีเงินส่วนตัวเหลืออยู่เลยแม้แต่บาทเดียว พอเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ท่านเอาเงินจากกองกลาง คือเงินสงฆ์จำนวน ๖๐ บาทไปซื้อยา บังเอิญว่าท่านตายก่อน ยังไม่ได้คืนเงิน ก็เท่ากับเป็นหนี้สงฆ์

ปกติพวกที่เป็นหนี้สงฆ์จะลงอเวจีมหานรกอย่างเดียว แต่คราวนี้หลวงพ่อทิมท่านทำความดีมหาศาล พระยายมก็เลยให้เทวทูตมาตามหลวงพ่อวัดท่าซุง กับพระอีก ๒ รูปไปช่วย หมายความว่าพระอีก ๒ รูปที่ไปด้วยก็ต้องอยู่ในระดับเดียวกัน ระดับที่ท่านพระยายมต้องเกรงใจ"

เถรี
05-07-2011, 20:53
"พอไปถึงก็เห็นหลวงพ่อทิมท่านโดนโซ่ล่ามอยู่ กำลังจะเอาตัวไปลงอเวจี พอสอบถามก็ทราบว่า ท่านเอาเงิน ๖๐ บาทไปซื้อยา ไม่ได้มีเจตนาโกง แต่เอาเงินไปใช้ผิดประเภท ปรับโทษเท่ากับการย้ายพระเจดีย์อันเป็นที่เคารพของคนอื่น พูดง่าย ๆ ก็คือไปรื้อสิ่งสักการบูชาของคนอื่นเขา โทษก็เลยต้องไปลงอเวจีมหานรก

หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า ถ้าเงินแค่ ๖๐ บาท ผมใช้หนี้สงฆ์แทนให้เอง ขอให้หลวงพ่อทิมโมทนา แต่ปรากฏว่าหลวงพ่อทิมท่านไม่สามารถโมทนาได้ ท่านพระยายมบอกว่า ถ้าลงมาถึงนี่แล้วไม่ใช่แค่ ๖๐ บาท

หลวงพ่อถามว่าต้องแก้ไขอย่างไร พระยายมท่านบอกว่า ต้องสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๓๐ นิ้ว ถึงจะทดแทนกันได้ หลวงพ่อก็ตกลงว่าจะสร้างให้ พระอีก ๒ องค์ก็ตกลงว่าจะสร้างให้ สรุปเอาเงินสงฆ์ไป ๖๐ บาท ต้องสร้างพระหน้าตัก ๓๐ นิ้วคืนไป ๓ องค์ หลวงพ่อทิมถึงโมทนาได้ แล้วก็หลุดจากพันธนาการไปสู่สุคติตามที่ท่านทำมา เพราะฉะนั้น..คนที่ไม่รู้ว่าโทษหนักแค่ไหน ก็มักจะไม่กลัว และทำกันเป็นเรื่องปกติ

นึกถึงเมื่อหลายปีก่อน มีท่านเจ้าคุณท่านหนึ่งโดนฟ้อง เพราะว่าโยมให้เงินไปสร้างโบสถ์ แต่ท่านเอาเงินไปซื้อรถเบนซ์ นั่นไม่ใช่คันละ ๖๐ บาทนะ..!"

เถรี
05-07-2011, 21:06
"จริง ๆ แล้วเป็นฆราวาสง่ายกว่ามาก สมมติว่าเราจะเดินบนเส้นทางไปสู่พระนิพพาน ของฆราวาสมีหลุมอยู่ ๕ หลุม หลบซ้ายเลี่ยงขวาก็พ้นแล้ว แต่ของพระมีตั้ง ๒๐๐ กว่าหลุม ยากกว่ากันไม่รู้กี่เท่า ถ้าไม่ใช่ประเภทกำลังใจเด็ดเดี่ยว ยอมเสี่ยงนรกเพื่อบวชได้ ก็ใช้วิธีเป็นเจ้าภาพบวชคนอื่นดีกว่า ปลอดภัยกว่ากันเยอะเลย

ส่วนใหญ่แรก ๆ บวชเข้ามาก็ตั้งใจทำดีทุกคน แต่พออยู่นานไป เริ่มมีชื่อเสียงเกียรติคุณขึ้นมา ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ไหลมาเทมา ก็จะเริ่มเสียตรงนี้แหละ ถ้าสติสัมปชัญญะไม่พอ ก็มักจะเสียผู้เสียคน

ดังนั้น..ในเรื่องของการบวชพระจึงต้องระมัดระวังตัวเป็นอย่างสูง ถึงเวลา ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เข้ามา ต้องมีสติสัมปชัญญะว่าเราเป็นใคร ? กำลังทำอะไร ? ถ้าไม่มีสติเดี๋ยวก็ไหลตามกระแสไป แรก ๆ ก็ทำทุกอย่างเพื่อความเจริญของพระศาสนา เมื่อโดนกระแสโลกชักนำก็จะเผลอ กลายเป็นว่าทำเพื่อความสุขความสบายของตัวเอง

หลายท่านพอไปถึงระดับหนึ่งก็เริ่มทำกุฏิที่นอนดี ๆ ของตัวเอง ซื้อรถดี ๆ ของตัวเอง กลายเป็นว่าเจตนาเดิมที่ตั้งใจทำความดีก็แปรไป แต่ก็มีจำนวนหนึ่งที่ญาติโยมตั้งใจสร้างถวายหรือว่าซื้อรถดี ๆ ถวายท่าน นั่นคนละอย่างกัน แต่ถ้าทำเพื่อตัวเอง อย่างนั้นน่ากลัวมาก ถึงเวลาโดนลงโทษนี่สาหัสแน่ ๆ "

เถรี
05-07-2011, 21:19
ถาม : เวลาจะไปทำบุญ เจ็บขาเหมือนโดนอะไรมาแทง ทำอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : เวลาเราจะไปสร้างบุญกุศล บางทีมารจะมาขวาง แต่พวกนี้เขากลัวคนบ้ากับคนรู้ทัน คนที่รู้ทันจะไม่กังวล มารก็จะเลิกเพราะรู้ว่าขวางไม่ได้ อีกประเภทหนึ่งคือคนบ้า ไม่กลัวเสียอย่าง เขาขวางไม่ได้ก็เลิกเหมือนกัน

บางคนก็ไปโกรธมารเขา ไม่ต้องโกรธหรอก เขามีหน้าที่ขวาง เขาก็ทำหน้าที่ของเขาไป เรามีหน้าที่ก้าวข้ามไปให้ได้ เราก็ก้าวข้ามไป ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง เขาเป็นผู้ทดสอบว่ากำลังใจของเราเข้มแข็งพอหรือเปล่า

ถ้าเขาขวางได้ แสดงว่าบารมี(กำลังใจ)ของเรายังไม่เข้มข้นพอ เราก็ต้องเร่งกำลังใจให้สูงขึ้น จนกว่าเขาจะขวางไม่ได้ ดังนั้น..จริง ๆ แล้ว มารหรือผู้ขวาง หรือผู้ฆ่า เขาไม่ใช่ศัตรูเรา แต่เป็นครูที่คอยทดสอบเราว่ากำลังใจเราไปถึงระดับไหนแล้ว

เถรี
05-07-2011, 21:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระภิกษุที่โดนอาบัติหนักอย่างสังฆาทิเสส ถ้าไม่ได้แก้อาบัติก่อนแล้วสึกไป จะทำมาหากินก็ไม่เจริญหรอก เพราะว่ากรรมหนักคอยถ่วงอยู่ ทำให้ประสบความสำเร็จได้ยาก ส่วนบรรดาท่านที่โดนอาบัติปาราชิกไม่ต้องพูดถึง..ไม่เห็นเจริญสักราย

ยิ่งมีหลายท่านที่เอาเงินสงฆ์ไปใช้ภายหลังที่สึกไปแล้ว จะตกต่ำในระยะเวลาที่เร็วมาก เคยถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า ทำอย่างนั้นแล้วจะเกิดโทษอย่างไร ? ท่านบอกว่า ถ้าในชีวิตฆราวาสก็จุดไฟเผาบ้านตัวเองดีกว่า จุดไฟเผาบ้านตัวเองยังสร้างใหม่ได้ แต่เอาเงินสงฆ์ไปใช้นี่ลงอเวจีอยู่กันเป็นกัป จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากสำหรับที่คนรู้ คนที่ไม่รู้ก็ไม่ใส่ใจ

ยังดีที่หลวงพ่อท่านสอบถาม พระยายมราชท่านจึงบอกว่าให้สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ได้ เคยเอาไปเท่าใดก็ตาม ถ้าสร้างพระชำระหนี้สงฆ์หน้าตัก ๔ ศอกคืนไป ก็ถือว่าหมดกัน ถ้าหากว่าทำหลายคนให้สร้างพระหน้าตัก ๔ ศอกแล้วปิดทอง จะร่วมกันเป็นเจ้าภาพกี่คนก็ได้ มีอานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์ได้เหมือนกันหมด

จะเอาไปมากน้อยเท่าไร กี่ล้านกี่แสนก็ไม่ว่า แต่ให้สร้างพระหน้าตักอย่างน้อย ๔ ศอกปิดทอง คืนไป ๑ องค์"

เถรี
06-07-2011, 20:50
ถาม : คนที่เป็นพระโสดาบัน นอกจากศีลแล้ว ยังมีอย่างอื่นอีกไหมครับ ?
ตอบ : รักนิพพานยิ่งกว่าชีวิต อย่างไรก็ไม่เปลี่ยนใจแน่นอน

ถาม : ท่านที่สูงขึ้นไปอีก จะมีอะไรเป็นตัวบอก ?
ตอบ : ราคะและโทสะบรรเทาลง อย่างมีคนทำให้ไม่พอใจวันนี้ อีกสามเดือนค่อยไปนึกโกรธ หรืออยู่กับเมียก็เหมือนอยู่กับตุ๊กตา กว่าจะจุดไฟติดแต่ละที เมียหมดอารมณ์ไปนานแล้ว..!

เถรี
06-07-2011, 20:57
ถาม : พระโสดาบันหรือพระสกิทาคามี จะต้องปฏิบัติอย่างไร จึงจะได้ในขั้นที่สูงกว่า ?
ตอบ : สมาธิต้องมาก่อน ถ้าจะสูงกว่าพระโสดาบันต้องได้ฌาน ๔ ถ้าไม่ถึงฌาน ๔ จะเอาราคะกับโทสะไม่อยู่ กำลังไม่พอที่จะตัด สามารถกดได้ชั่วคราวแต่ตัดไม่ได้

เพราะฉะนั้น..ถ้าเอาเกินพระโสดาบันขึ้นไปต้องซ้อมเรื่องสมาธิให้ทรงฌาน ๔ ให้ได้เร็วที่สุด ทำให้คล่อง ทรงเวลาไหนก็ได้ ถ้ารู้สึกว่าราคะจะมาก็เข้าฌานไปก่อน ถ้ารู้สึกว่าโทสะจะมาก็เข้าฌานหนีไปก่อน แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยเอากำลังตรงนี้ไปพิจารณาเพื่อตัด

หลายต่อหลายคนแม้ทรงฌาน ทรงสมาธิได้แล้ว แต่จัดการไม่เป็น ในเมื่อบริหารจัดการไม่เป็นก็กลายเป็นทุกข์เป็นโทษแก่ตัวเอง เพราะเวลากำลังใจทรงตัวนิ่งแล้ว กลับไปปล่อยให้ฟุ้ง เอากำลังสมาธิที่เราได้นั่นแหละไปฟุ้ง ก็เลยฟุ้งอย่างเป็นทางการ ฟุ้งได้เมามันมาก เอาไม่อยู่ด้วย เพราะแรงดี

เขาให้เอากำลังสมาธิไปพิจารณาตัดกิเลส ในเมื่อไม่ใช้พิจารณา จิตก็ใช้กำลังนั้นเอง ก็คือเอาไปฟุ้งแทน ดังนั้น..ต้องระวังตรงจุดนี้ให้ดี ๆ หลายคนสงสัยว่ายิ่งปฏิบัติแล้วกิเลสทำไมยิ่งมาก ความจริงไม่ได้มากขึ้นหรอก แต่ว่ากิเลสแรงดีขึ้นทำให้เราเอาไม่อยู่

เถรี
06-07-2011, 21:08
ถาม : วิธีที่จะจัดการให้ถูก ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ต้องลองผิดลองถูกไปเรื่อย ๆ พอผิดมากเข้าจนเบื่อ เดี๋ยวก็ถูกเข้าจนได้ แต่ส่วนมากแล้วถ้าไม่เป็นคนช่างคิด หรือว่าปัญญาไม่พอก็จะเสร็จกิเลสทุกที

ตัวคิดอยู่ในธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ รู้จักแยกแยะในธรรม สิ่งไหนที่ทำแล้วการปฏิบัติจะเจริญขึ้น สิ่งไหนที่ทำแล้วการปฏิบัติจะเสื่อมลง ก็ให้เลือกในส่วนที่ดี เว้นในส่วนที่ไม่ดี ฟังดูง่ายนะ แต่ว่าเจอเข้าจริง ๆ ร้องจ๊ากทุกราย..!


ถาม : ต้องปฏิบัติให้ทรงตัวก่อนแล้วค่อยมาพิจารณาตัดสังโยชน์ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : พิจารณาไปได้เรื่อย ๆ เพราะถ้าพิจารณาจนจิตทรงตัวจริง ๆ จะเป็นฌานได้เหมือนกัน เป็นฌานในวิปัสสนาญาณ ซึ่งหาได้ยาก

ในชีวิตนี้อาตมาเจออยู่แค่ ๒-๓ คนเองที่ทรงฌานด้วยการพิจารณาวิปัสสนาญาณ นอกจากนั้นทรงฌานจากลมหายใจทั้งนั้น เพราะเวลาจิตพิจารณาไปเรื่อย ๆ จิตจะดิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆ จนเป็นสมาธิลึกทรงเป็นฌานไปเอง

เพราะฉะนั้น..พระอรหันต์สุกขวิปัสสโก บางทีเรื่องฌานสมาบัติท่านไม่รู้เรื่องเลย แล้วท่านเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร ? ก็เพราะท่านพิจารณาไปเรื่อย ๆ สมาธิก็ดิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆ พอถึงฌาน ๔ ก็จบเลย

เถรี
06-07-2011, 21:27
ถาม : การทรงอารมณ์พระนิพพาน หรือขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้า ถือว่าเป็นการตัดกิเลสหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : มโนมยิทธิ ถ้าเราเห็นได้จะเป็นอุปจารสมาธิ ถ้าไปได้ถึงจะเป็นฌาน ๔ ถ้าไม่ใช่กำลังของฌาน ๔ ก็จะไปไม่ได้ ดังนั้น..บุคคลที่ทรงมโนมยิทธิ ถ้าเอากำลังใจเกาะพระนิพพานอยู่ได้ ก็จะเป็นการตัดกิเลสอัตโนมัติไปในตัว

อย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยเล่าถึงพระอรหันต์ ๗ องค์ทางภาคเหนือ ที่บอกว่ามีอยู่ ๔ องค์เคยฝึกมโนมยิทธิ อีก ๒ องค์ได้รับการบอกต่อจากเพื่อน อีก ๑ องค์ใช้วิธีเดียวกัน พูดง่าย ๆ ก็คือ "ขี้ตรงร่อง"

วันหนึ่ง ๆ หลังจากฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ท่านนั่งเอาใจเกาะพระบนนิพพานอย่างเดียว ไม่ทำอะไรเลย กลายเป็นพระอรหันต์ตอนไหนก็ไม่รู้ พอเกาะไปนาน ๆ แล้วกิเลสกินใจไม่ได้ ก็บริสุทธิ์เอง ลักษณะนี้ถ้าเป็นบาลีเขาเรียกว่า เจโตวิมุติ หลุดพ้นเพราะกำลังใจข่มกิเลสไว้ จนกิเลสเกิดไม่ได้ หมดสภาพไปเอง

ถ้าเป็นการพิจารณาวิปัสสนาญาณ เรียกว่าปัญญาวิมุติ ใช้ปัญญาพิจารณาจนสภาพจิตยอมรับและปล่อยวางได้ ดังนั้น..การใช้มโนมยิทธิจริง ๆ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านหมายเอาสูงมาก หมายเอาให้พวกเราหลุดพ้นเข้านิพพานไปเลย

ถาม : นานไหมครับกว่าจะบรรลุมรรคผล ?
ตอบ : ถ้าเอาตามมหาสติปัฏฐานสูตรอย่างเร็ว ๗ วัน อย่างกลาง ๗ เดือน อย่างช้า ๗ ปี ดังนั้น..ถ้าใครคลำมา ๗ ปีแล้วยังไม่เห็นหน้าเห็นหลัง ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่เลย..!

เถรี
06-07-2011, 22:48
ถาม : อุปจารสมาธิที่บอกว่าเห็นพระนิพพานได้ หมายความว่า ไม่สามารถพูดคุยได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เหมือนกับดูหนัง

ถาม : สามารถพูดคุยได้ สนทนาได้ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เขาไม่ได้นั่งสนทนาอยู่กับที่หรอก เขาไปเลย ไปเลยนี่ต้องสนทนาได้แน่นอน

ถาม : มีอะไรที่บอกว่าที่พบท่าน คือ องค์จริง ๆ ?
ตอบ : แหม..น่าพาดก้านคอนะ..! ปฏิบัติมาจนป่านนี้แล้วยังไม่รู้ ให้กลับไปหาเคล็ดลับที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้ คือให้กราบขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอรู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง โลกอื่นเขาไม่โกหกกัน ถ้าขอให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ท่านก็ปรากฏตัวจริงให้เห็น ไม่อย่างนั้นอาจจะมีตัวปลอมมาได้

ความจริงหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านให้ไว้หมดแล้ว ทั้งกันทั้งแก้ เพียงแต่ว่าเราทำไม่ช่ำชองเอง ก็เลยหลงลืม

เถรี
06-07-2011, 22:58
ถาม : ผมดูว่าเหตุการณ์จะเป็นตามที่ท่านตรัสไว้หรือไม่ ?
ตอบ : ต้องพิสูจน์ เรื่องแรกถูก ก็อย่าเชื่อว่าเรื่องที่สองจะถูก เรื่องที่สองถูก ก็อย่าเชื่อว่าเรื่องที่สามจะถูก ต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจเสมอ เรารับไว้ด้วยความเคารพ ส่วนจะเกิดขึ้นจริงตามนั้นหรือไม่ เราไม่ใส่ใจ

ถ้าเกิดขึ้นจริงก็ขอบพระคุณที่ท่านอุตส่าห์เมตตาสงเคราะห์ให้ ถ้าไม่เกิดขึ้นจริง ก็เพราะเรารู้ผิดเอง ถ้าอย่างนั้นกำลังใจจะไม่เสีย แต่กว่าจะมาถึงตรงนี้อาตมาก็กำลังใจเสียมาไม่รู้กี่พันครั้งแล้ว หกล้มหกลุกมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เพียงแต่เป็นคนค่อนข้างจะบ้าเลือด ตื๊อไม่เลิก นิสัยนี้เป็นทั้งในชีวิตทั่วไปและชีวิตของนักปฏิบัติด้วย

เถรี
07-07-2011, 07:39
สมัยวัยรุ่น อาตมาซ้อมมวยกับพระครูแสง เขาเล่นเพาะกายกินนมทีละ ๒ ลิตร กินไข่ครั้งละ ๑๒ ฟอง ตัวเขาใหญ่กว่าอาตมาเท่าครึ่งได้ เวลาซ้อมมวยกันจริง ๆ อาตมาไม่ถอย ยิ่งเจ็บยิ่งตื๊อสู้ ไม่เลิก พอตื๊อไปตื้อมา เขาก็ไม่เอาแล้วเพราะเจ็บ ความจริงถ้าเขาซัดมาอีกที อาตมาก็ไม่เอาแล้วเหมือนกัน อึดมากกว่าเขาแค่ทีเดียว..!

เพราะฉะนั้น..นิสัยอย่างนี้บอกถึงการปฏิบัติเหมือนกัน ตอนเป็นฆราวาสเจ็บเท่าไรก็สู้ เวลาปฏิบัติจะหกล้มหกลุกขนาดไหนไม่เคยหนี ตั้งใจทำให้ได้พระโสดาบัน ตั้งใจเอาปฐมฌานให้ได้ ในเมื่อตั้งใจจะทำปฐมฌานให้ได้ ก็ตั้งหน้าตั้งตาทุ่มเท สามปีเต็ม ๆ กว่าจะทรงปฐมฌานได้ ถ้าเป็นพวกเราตั้งใจทำอยู่ ๓ ปีแล้วยังไม่ได้อะไรเลย จะทำต่อกันไหม ?

อาตมาทำไปจนกระทั่งเกิดเบื่อเต็มที ตอนนั้นจะได้หรือไม่ได้ก็ช่าง เรามีหน้าที่ภาวนา แค่นั้นแหละได้เลย ก่อนหน้านั้นไปตามจี้ ตอนนี้วิตกนะ ตอนนี้วิจารนะ ตอนนี้ปีตินะ เดี๋ยวก็จะถึงสุข ไปตามดูอย่างนั้นกลายเป็นฟุ้งซ่าน จิตไม่รวมตัวเป็นเอกัคตารมณ์เสียที เมื่อเป็นอย่างนั้นปีแล้วปีเล่าก็ไม่ได้อะไร

คราวนี้ขั้นตอนต้นทำถูก วิตก..เรานึกอยู่ว่าจะภาวนา วิจาร..ภาวนาอย่างไร ? ลมหายใจแรงหรือเบา ? ยาวหรือสั้น ? ก็รู้อยู่ ปีติ..อาการที่เกิดขึ้นก็ใช่ แล้วทำไมไม่สุข ? ไม่เอกัคตารมณ์ ? เพราะเราไปจ้องดู อยากเห็นขั้นตอนชัด ๆ กลายเป็นฟุ้งซ่าน อารมณ์ไม่รวมตัว ก็เลยไม่ทรงตัวสักที พอวันนั้นเบื่อขึ้นมา ตั้งใจว่าอย่างไรก็ช่าง เรามีหน้าที่ภาวนา แล้วก็ได้เลย

เถรี
07-07-2011, 07:46
อาตมานั่งรถจากกรุงเทพฯ วิ่งยาวไปถึงอุทัยธานี โผล่ขึ้นไปได้เวลาหลวงพ่อรับสังฆทานพอดี พอหลวงพ่อท่านเห็นหน้า "ไอ้หนู..มีอะไรจะคุยบ้างหว่า ?" เสียงดังมาตั้งแต่ปากประตู อาตมากราบเรียนว่า "หนังสือที่หลวงพ่อเขียน ผิดนี่ครับ" บังอาจมากเลยตอนนั้น (หัวเราะ)

หลวงพ่อท่านว่า "เดี๋ยว ๆ ไอ้หนู ใจเย็น ๆ ไหนลองว่ามาซิ ผิดตรงไหน ?" ก็กราบเรียนหลวงพ่อท่านว่า "หลวงพ่อเขียนว่าปฐมฌานประกอบไปด้วย วิตก วิจาร ปีติ สุข และเอกัคตารมณ์เป็นขั้น ๆ ไป แต่ที่ผมทำได้ไม่ใช่นี่ครับ เพราะเกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กัน ๕ อย่างเลย ผมก็มัวแต่ไปรอทีละขั้น ถึงไม่ได้สักที"

หลวงพ่อท่านหัวเราะในความโง่ของอาตมา ท่านบอกว่า "ไอ้หนู..เคยได้ยินที่โบราณว่า ลัดนิ้วมือเดียวไหม ? ลัดนิ้วก็คือดีดนิ้ว (ท่านดีดให้ดู) ถ้าคนที่จิตไม่ละเอียด จะเห็นตอนที่นิ้วงอกับตอนที่นิ้วตั้ง แต่คนที่จิตละเอียดจะรู้ว่าค่อย ๆ ขึ้นไปอย่างนี้ (ท่านค่อย ๆ ยกนิ้วขึ้น) ที่หลวงพ่อพูดและเขียนไว้ในตำราเป็นอย่างนี้ ส่วนที่เอ็งเจอเป็นอย่างนี้ (ท่านดีดนิ้ว)" อาตมาก็หงายท้อง กลับไปปฏิบัติต่อได้

เถรี
07-07-2011, 07:58
พระอาจารย์กล่าวว่า "หนังสือมุตโตทัย หลวงพ่อวิริยังค์ท่านเป็นคนเขียน ท่านรวบรวมสิ่งที่หลวงปู่มั่นสอนแล้วเรียบเรียงขึ้นมาเป็นหนังสือเล่มนี้ เพราะฉะนั้น..ที่เขาบอกว่ามุตโตทัยเป็นของหลวงปู่มั่นนะใช่ แต่ว่าหลวงพ่อวิริยังค์เป็นคนรวบรวมทำให้เป็นเล่มขึ้นมา

จริง ๆ แล้ว ถ้าพวกเราปฏิบัติกันจริงจังแบบสายหลวงปู่มั่นก็คงบรรลุกันหมดแล้ว เพราะว่าเรามีโอกาสฟังธรรมอยู่ตลอดเวลา สมัยของหลวงปู่มั่น ถ้าไม่ใช่เป็นการสอบถามเฉพาะตัว ท่านก็จะเทศน์สอนเฉพาะวันพระ หรือเวลาที่มีลูกศิษย์เดินทางมาจากที่อื่น มากราบ มาสอบถามแนวทางปฏิบัติ แต่ก็ไม่ใช่เป็นสาธารณะอย่างนี้ บางทีก็มากัน ๒-๓ รูป อย่างเก่งก็ ๕ รูป ได้ฟังกันแค่นั้น

สมัยหลวงปู่มั่นยังมีชีวิตอยู่ ตอนนั้นหลวงพ่อวิริยังค์ยังเป็นสามเณร มีหน้าที่ต้มน้ำถวายพระผู้ใหญ่ พอท่านเอาฟืนใส่เตา ใส่น้ำในหม้อดินเสร็จเรียบร้อย สามเณรวิริยังค์ก็ย่องไปอยู่ใต้ถุน แอบฟังว่าหลวงปู่มั่นท่านกล่าวถึงธรรมอะไร

เวลาฟังต้องตั้งใจฟัง เพราะว่าพระปฏิบัติท่านจะพูดเบา แบบสมัยก่อนที่หลวงปู่แหวนพูด อาตมาต้องเงี่ยหูฟังเลย ถ้าไม่ตั้งใจก็ไม่ได้ยินว่าท่านพูดว่าอะไร ในเมื่อสามเณรตั้งใจเงี่ยหูฟังว่าหลวงปู่มั่นท่านพูดอะไร ผลปรากฏว่าฟังเพลิน น้ำในหม้อแห้ง พอหม้อดินที่ตั้งอยู่บนเตาไฟไม่มีน้ำ หม้อดินก็แตก สามเณรวิริยังค์ก็ขวัญหนีดีฝ่อ กลัวโดนลงโทษ ปรากฏว่าหลวงปู่มั่นทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้"

เถรี
07-07-2011, 08:09
"ตอนที่อาตมาเข้ากรุงเทพฯ มาใหม่ ๆ โยมแม่พาไปวัดธรรมมงคล ถ้าจำชื่อวัดไม่ผิด ตอนนั้นวัดชื่อวัดเถาบุญญานุสรณ์ รอบข้างยังเป็นท้องนาอยู่ โยมแม่ไปเป็นกรรมการช่วยสร้างพระเจดีย์ คุณช่วง มูลพินิจ เป็นคนออกแบบพระเจดีย์ ช่วยกันสร้างพระเจดีย์ขึ้นมาจากพื้นนา กลายเป็นพระเจดีย์ที่สูงที่สุดในกรุงเทพฯ สูงตั้ง ๙๑ เมตร

ที่จำแม่นก็เพราะว่าโยมแม่ต้องไปบวชชีที่นั่นปีละ ๑๐ วัน ตอนแรกอาตมาก็ไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ แต่หลวงปู่หลวงพ่อหลายท่านเห็นว่าเป็นเด็กวิ่งคล่อง ท่านจึงเรียกใช้ พอคุ้นชินกับพระสายวัดป่า อาตมาก็ตั้งใจว่าจะบวชกับวัดสายนี้ ไป ๆ มา ๆ หลวงปู่ฝั้นที่เคารพนับถือเป็นครูบาอาจารย์ ท่านมรณภาพวันที่ ๔ มกราคม ปี ๒๕๒๐

ก่อนหน้านั้นวันที่ ๑๒ สิงหาคม ปี ๒๕๑๘ โยมพ่อเสียชีวิต พี่ชายเอาหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานที่เพิ่งออกใหม่ของหลวงพ่อฤๅษีไปให้ พี่เขาบอกว่า "อ่านดู ถ้าทำได้ก็ทำ จะได้ไม่ต้องเสียใจ" ความจริงพ่อตายอาตมาดีใจจะตาย เพราะว่าตอนพ่ออยู่ อาตมาอดนอนไม่เป็นผู้เป็นคนเลย ต้องคอยดูแลท่านทั้งคืน"

เถรี
07-07-2011, 08:14
"พอปฏิบัติไปตามตำราก็เกิดความทึ่งมาก เพราะว่าทุกขั้นตอนในการปฏิบัติเป็นไปตามที่หลวงพ่อท่านเขียนไว้ทั้งหมด คิดว่าหลวงพ่อองค์นี้เก่งจริง ใจคอก็โน้มเอียงมาทางนี้

คราวนี้หลวงปู่ฝั้นมรณภาพ ความผูกพันยึดโยงอยู่กับทางสายอีสานก็เลยเหมือนกับขาดลง เพราะว่าท่านสายนั้น เวลาขอให้ท่านสอนกรรมฐาน ท่านบอกว่าไปทำเอา ไปภาวนาเอา แต่ท่านไม่ได้บอกว่าทำอย่างไร ภาวนาอย่างไร เราต้องคลำเองทั้งหมด ก้าวหน้าหรือไม่ก้าวหน้า เวลาไปกราบเรียนถวายท่านถึงจะบอกต่อให้

พอมาเจอหลวงพ่อ ท่านบอกทุกขั้นตอนละเอียดยิบเลย เหมือนกับอาหารที่ทำเสร็จวางอยู่ตรงหน้า รอให้ตักใส่ปากอย่างเดียว แต่สายหลวงปู่มั่นนั้น เป็นประเภทให้ข้าวไปลิตรหนึ่ง ต้องหาหม้อ หาน้ำไปหุงเอาเอง ก็เลยโน้มเอียงมาทางด้านหลวงพ่อวัดท่าซุง

ประจวบกับในระยะนั้น หลวงพ่อท่านนิมนต์หลวงปู่หลวงพ่ออีก ๑๐ กว่ารูปมาให้ลูก ๆ มาทำบุญ อาตมาก็ได้รู้เห็นอะไรกว้างไกลขึ้น อย่างหลวงปู่สิม หลวงปู่คำแสน ถือว่าเป็นลูกศิษย์สายหลวงปู่มั่นเหมือนกัน อาตมาก็เพิ่งมาเข้าใจว่า ที่แท้หลักการปฏิบัติสำคัญอยู่ที่คน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับนิกายหรือขึ้นอยู่กับแนวการปฏิบัติ ถ้าทำดี ทำถูก มีสิทธิ์ได้ทุกคน

หลวงพ่อท่านท้าพิสูจน์ทุกขั้นตอน นิสัยของอาตมาบวม ๆ อยู่แล้ว ก็เลยตรงใจ หันมายึดหลวงพ่อเป็นหลัก พอสิ้นหลวงพ่อก็ไม่ได้เลี้ยวไปไหนแล้ว เพราะว่าสิ่งที่หลวงพ่อให้ตั้งแต่ต้นยันปลายมีครบแล้ว ค่อย ๆ เคี้ยว ค่อย ๆ ย่อยให้ได้แล้วกัน จนป่านนี้ก็ยังย่อยไม่หมดเลย"

เถรี
07-07-2011, 08:16
"ลูกศิษย์สายวัดท่าซุงได้เปรียบคนอื่นตรงที่ว่า มีโอกาสฟังธรรมเยอะมาก แต่ว่าไม่ทราบว่ามากจนเฝือหรือเปล่า ? เหมือนหนูตกถังข้าวสาร จะกินเมื่อไรก็ได้ คนเขาอยู่ไกล ๆ เขามาถึงจึงคว้าไปหมด

เวลาอาตมาลงไป ๓ จังหวัดภาคใต้ แต่ละคนมานี่อย่างกับหิวโซ สารพันปัญหาเตรียมไว้ ถึงเวลาก็ถามจนหูดับตับไหม้ ดังนั้น..อย่าประมาท เร่งการปฏิบัติให้มากเข้าไว้ ชีวิตของเรายังไม่รู้จะอยู่อีกนานเท่าไร ถ้าตายลงไปคืนนี้ ยังไปไม่ถึงพระนิพพานก็ขาดทุน เพราะว่าเกิดใหม่ก็ทุกข์อีก

สมัยนั้นอยู่รับใช้หลวงพ่อ บรรดาขาประจำที่คอยถามก็มีอย่างคุณประภา อาจารย์เอ คุณจ๊อกแจ๊ก นั่งอยู่ตรงหน้าหลวงพ่อ คนนั้นถามบ้าง คนนี้ถามบ้าง คนอื่นก็ได้ประโยชน์ไปด้วย"

เถรี
07-07-2011, 08:17
:onion_smileys06: เก็บตกเดือนมิถุนายน หมดแล้วค่ะ :onion_smileys06: