PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๔


เถรี
12-04-2011, 10:48
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะนี้เขาฮือฮาหาของที่มั่นใจว่ากันรังสีได้ จะว่าไปแล้วถ้าสมาธิทรงตัว เราสามารถที่จะกำหนดภาพพระครอบตัวเราไว้เพื่อป้องกันได้ แต่พวกเราพอเกิดอะไรขึ้นก็มักจะสมาธิเคลื่อน หลุดออกมาโดยไม่รู้ตัว อย่างเวลาถวายสังฆทาน พอพระพุทธรูปล้ม อาตมาก็รับไว้และให้พรไปเรื่อย แต่คนถวายนั้นหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้ว

ถ้าสมาธิทรงตัวจริง ๆ จะเหมือนกับคนตายด้าน ไม่มีความรู้สึกแต่ว่าสติจะรวดเร็ว รู้ว่าจะต้องแก้ไขอย่างไรถึงจะดีที่สุด ดังนั้น..ให้ทุกคนพยายามซักซ้อมเอาไว้ ทุกคนทำได้ ถือว่าเป็นสิทธิ์ของเราเลย เพียงแต่ว่าญาติโยมจะอยู่ในลักษณะทำไม่ค่อยต่อเนื่อง จึงขาดความคล่องตัวไปโดยปริยาย

ซักซ้อมบ่อย ๆ ซ้อมไว้ทุกวัน สมัยก่อนอาตมาซ้อมเข้าออกสมาธิอย่างเดียว ทั้งวันทั้งเดือนทั้งปีไม่ต้องทำอะไรเลย ขนาดเข้าเวรอยู่หน้ากุฏิหลวงพ่อวัดท่าซุง นั่ง ๆ นอน ๆ ซ้อมไปเรื่อย เอนลงไปนี่สมาธิลึกลงไปตามลำดับเลยนะ พอหงายผลึ่งก็เต็มที่เลย

ตอนลุกขึ้นจะต้องบังคับกันก่อน เพราะไม่อย่างนั้นแล้วร่างกายจะขยับไม่ได้ ต้องค่อย ๆ คลายลงโดยลุกขึ้นทีละน้อย จนกระทั่งนั่งตัวตรงก็อยู่ที่อุปจารสมาธิพอดี คนอื่นเขาเห็นก็ว่า..บ้าหรือเปล่า นั่ง ๆ นอน ๆ ทั้งวัน.."

เถรี
12-04-2011, 10:53
"โบราณท่านบอกว่า วิทยาเกียจซ้อมหัด หายเสื่อม ในเรื่องความรู้นั้น ถ้าเราขี้เกียจซักซ้อมก็จะหายเกลี้ยง ท่านกล่าวไว้ว่า

เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม.......ดนตรี
ห้าวันอักขระหนี..........เนิ่นช้า
สามวันจากนารี..........เป็นอื่น
หนึ่งวันเว้นล้างหน้า......หม่นไหม้หมองศรี

เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม...ดนตรี ถ้าไม่ได้ซ้อมดนตรีสักเจ็ดวันก็ลืมหมดแล้ว ต่อเพลงไม่ติด ห้าวันอักขระหนี..เนิ่นช้า สมัยก่อนเวลาฝึกเขียน ก.ไก่ ข.ไข่ ถ้าลองเลิกเขียนสัก ๕ วัน ก็ลืมแล้ว ต้องเริ่มต้นใหม่

สามวันจากนารี...เป็นอื่น สมัยนี้ต้องบอกว่าผู้ชายเป็นอื่น ไม่ใช่ผู้หญิงเป็นอื่น หนึ่งวันเว้นล้างหน้า...หม่นไหม้หมองศรี วันเดียวไม่ล้างหน้าก็ขี้ตากรัง"

เถรี
12-04-2011, 11:06
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อน ถ้านับในส่วนของพระด้วยกัน บุคคลที่มีพระสมเด็จคำข้าว พระสมเด็จหางหมากมากที่สุดในวัด นอกจากทางวัดแล้วก็คืออาตมาเอง เพราะโยมถวายปัจจัยมาเท่าไรก็จะไปทำบุญกับหลวงพ่อหมด ทำบุญครั้งหนึ่งก็ได้มา ๓๐๐ องค์ ๕๐๐ องค์ เพราะว่าแรก ๆ หลวงพ่อตั้งราคาไว้องค์ละ ๑๐ บาท

พระในวัดนั่นแหละ บอกว่า จะสะสมอะไรเยอะแยะขนาดนั้น บ้าหรือเปล่า ? พอสิ้นหลวงพ่อแล้วราคาพุ่งพรวดไปเป็นองค์ละร้อยบาท ท่านก็มาขนของอาตมาไปจนเกลี้ยงเลย แต่ให้แค่องค์ละ ๑๐ บาท..! เป็นอะไรที่ฟังดูแล้วแปลก ๆ

ตอนแรกอาตมาเองก็คิดว่า เงินทุกบาททุกสตางค์ หลวงพ่อท่านต้องใช้ในการก่อสร้าง ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ เพราะฉะนั้น..มีเท่าไรก็เอาไปถวายหลวงพ่อ นอกจากได้บุญแล้ว ท่านยังมอบวัตถุมงคลให้ ครูบาอาจารย์ให้ก็ถือว่าเป็นมงคลใหญ่ ต่อไปไม่แน่ว่าจะหายาก อาตมาก็เก็บอย่างเดียว

แต่ถ้าเป็นฆราวาสมีอยู่ท่านหนึ่ง ท่านคงไม่ยินดีให้เอ่ยชื่อ ท่านเหมาเฉพาะพระสมเด็จคำข้าว เท่าที่รู้มีอยู่ครั้งหนึ่งราคาหนึ่งล้านบาท พระสมเด็จหางหมากก็คงจะใกล้เคียงกัน"

เถรี
12-04-2011, 11:14
พระอาจารย์เล่าว่า "พระเครื่องหรือวัตถุมงคลของจังหวัดกาญจนบุรี ถ้าเป็นรุ่นเก่า เขาจะหาหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว

หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว ท่านทันสมัยรัชกาลที่ ๕ และเสด็จในกรมหลวงชุมพรก็ไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ท่านด้วย ชาวบ้านเรียกท่านว่า "หลวงพ่อเฒ่ายิ้ม"

หลวงปู่ยิ้มท่านเป็นอาจารย์ใหญ่ ลูกศิษย์ของท่านก็คือ หลวงปู่เหรียญ วัดหนองบัว หลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้ หลวงปู่ดี วัดเหนือ หลวงปู่สอน วัดทุ่งลาดหญ้า สมัยก่อนเขาเรียก "๔ เสือกาญจนบุรี"

ทั้ง ๔ เสือเมืองกาญจน์เป็นลูกศิษย์ท่านหมดเลย แล้วยังลามมาด้านทางฝั่งแม่กลอง อย่างหลวงปู่ใจ วัดเสด็จ ลูกศิษย์ท่านแต่ละองค์ดังคับบ้านคับเมืองทั้งนั้น

เมืองกาญจน์สมัยก่อนมีวลีอยู่ ๒ ประโยคว่า “อยากเจ้าชู้ให้ไปวัดเหนือ อยากเป็นเสือให้ไปวัดใต้” เพราะหลวงปู่ดีท่านดังทางเมตตามหานิยม ส่วนหลวงปู่เปลี่ยนถนัดทางอยู่ยงคงกระพัน"

เถรี
12-04-2011, 11:18
"น่าเสียดายว่า วัตถุมงคลสมัยนั้นไม่ได้มีเครื่องปั๊มแบบสมัยนี้ บางอย่างก็ต้องปั้นด้วยมือทีละองค์ ๆ บางอย่างก็ทำด้วยพิมพ์ไม้ ลักษณะโยกกด ก็ทำได้ทีละองค์ ดังนั้น..วัตถุมงคลของท่านจึงมีไม่มาก

ของหลายอย่าง อย่างเช่นสายคาดเอว ชาวบ้านเรียกว่า ตะขาบไฟ แบบสวย ๆ ถักด้วยหวาย ถ้าแบบเอาขลังก็ถักด้วยผ้าดิบคลุมศพ ต้องเป็นคนที่ตายวันเสาร์เผาวันอังคารด้วย วิธีทดลองความขลังก็ไม่ยาก ถักไปภาวนาไป ถักเสร็จแล้วโยนเข้ากองไฟ ถ้าไม่ไหม้ก็ใช้ได้ ถ้าหากว่าไหม้ก็ยังไม่ขลังจริง

ถ้าใครไปขอเรียนวิชาจากท่าน ท่านจะให้ไปนั่งเพ่งเทียนจนขาดกลาง ถ้าหากว่าไม่ขาดกลางแสดงว่ากำลังใจใช้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น..แต่ละท่านที่ว่ามา ล้วนแล้วแต่เพ่งเทียนจนไส้ขาด บางคนก็ใช้เวลา ๗-๘ วัน หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ ใช้เวลาคืนเดียว แสดงว่าพื้นฐานสมาธิของท่านดีมาก"

เถรี
12-04-2011, 11:27
พระอาจารย์เล่าว่า "บ้านวิริยบารมีหลังนี้กว่าจะเสร็จได้ คนทำบ้านแทบประสาทกลับไปหลายรอบ เพราะมีคนบริจาคของมาเยอะมาก พอบริจาคมาแล้วสีสันเข้ากับบ้านไม่ได้ อย่างเช่น บริจาคม่านหน้าต่างมา ถ้าบริจาคครบทุกบานเราก็ไม่ว่าอะไร นี่บริจาคมาไม่กี่ชุด

อย่างเมื่อวานเตรียมเครื่องไทยธรรมไว้ แล้วอยู่ ๆ ก็มีคนคว้านั่นคว้านี่มาอย่างละ ๙ ชุด มาไล่ถวายเพิ่ม แล้วเขาก็ไม่ได้บอกอะไรก่อนด้วย ทำเอาเองเลย ในเมื่อทำเองก็กลายเป็นว่าทุลักทุเล อะไรที่เกินมา งานจะยากขึ้น เพราะพระย่อมรู้ว่าอะไรเหมาะอะไรควร

เมื่อวานนี้ขนมของทางซีพี พระท่านเอาไปแล้วก็ต้องสละให้ลูกศิษย์หลังเพล เขาถวายไปรูปละถุงใหญ่ เราต้องดูว่าอะไรเหมาะสมกับสมณสารูปของพระด้วย

อาตมาเองเคยนั่งเซ็งในอารมณ์อยู่ครั้งหนึ่ง ไปไหว้พระที่วัดพระแก้ว พอเสร็จเรียบร้อย ลุกขึ้นก็มีเสียงมาว่า "ท่านเจ้าคะ..รับหน่อยค่ะ" พอหันมาเขาถวายอาหารช่วงเที่ยง มีข้าว มีกับ มีน้ำ มีขนม ครบถุงเบ้อเร่อเลย

อาตมาก็ต้องหิ้วเดินผ่านโยมเป็นร้อย ๆ ออกมา เขาเห็นก็คงคิดว่า พระรูปนี้ ถ้าไม่ใช่รอบคอบก็งกกินฉิบห.. รอบคอบก็คืออุตส่าห์พกอาหารเองมาด้วย แต่ถ้าคนมองในแง่ว่างกกิน ก็คือถึงขนาดหิ้วมาอย่างนี้เลยหรือ ? บางคนเขาไม่ได้ดูความเหมาะสมว่าอะไรควรทำ พวกเราต้องพยายามใช้ปัญญาด้วย ว่าแต่ละอย่างเหมาะสมกับสถานการณ์หรือไม่ ? ใช้แต่สติอย่างเดียวก็ไม่ไหว"

เถรี
12-04-2011, 11:32
ถาม : การฝึกเพ่งภาพพระพุทธรูป เมื่อนิมิตติดตาแล้ว สามารถนึกได้ทุกครั้งที่ต้องการ ต้องชัดขนาดไหนครับ จึงจะฝึกขยายให้เล็กให้ใหญ่ได้ ?
ตอบ : ถ้าภาพติดตาแล้ว เรามีหน้าที่ประคับประคองรักษาภาพไปเรื่อย ๆ ภาพนั้นจะค่อย ๆ เปลี่ยนสีไปเรื่อย ถ้าเป็นพระพุทธรูปแก้วการเปลี่ยนแปลงก็น้อย

แต่ถ้าเป็นพระพุทธรูปไม้หรือโลหะทองเหลือง จะเปลี่ยนไปเรื่อย จากสีทองทึบก็จะจางลง ๆ ลักษณะเหมือนกับเป็นสีเหลืองก่อน เป็นสีเหลืองอ่อน แล้วเป็นสีขาว สีขาวก็ใสเรื่อย จนกระทั่งใสเจิดจ้าเหมือนเรามองหลอดไฟ หรือมองดวงอาทิตย์ ถึงตอนนี้ก็อธิษฐานให้ใหญ่ให้เล็กได้ ไม่ใช่ว่าชัดแค่ไหน แต่เป็นว่าสว่างแค่ไหนต่างหาก

เถรี
13-04-2011, 10:30
พระอาจารย์กล่าวว่า "ดอกบัวครรภ์รักษา มีเคล็ดลับว่า เวลาจารต้องหันหน้าไปทางทิศตะวันออก จะลืมไม่ได้

เคล็ดลับบางอย่างเป็นตัวกำหนดความสำเร็จของงานนั้น ๆ ดอกบัวครรภ์รักษาเขามีเคล็ดลับว่า ถ้าคนท้องเอาไปใช้จะคลอดลูกง่ายและปลอดภัย การคลอดลูก โบราณเขาเรียกออกลูก ก็เลยต้องหันไปทางตะวันออก

จะว่าไปแล้ว ตะวันออกกับตะวันตกมีขึ้นเพราะเราเข้าใจผิด ดวงตะวันอยู่ตรงนั้นเฉย ๆ ไม่ได้ไปไหนหรอก โลกเราหมุนรอบตัวเอง ก็เลยเหมือนพระอาทิตย์ขึ้น ความจริงพระอาทิตย์อยู่กับที่ โลกต่างหากที่หมุน ถึงได้มีคำถามของปรัชญาเซ็นว่า "ลมพัด ใบไม้ไหวหรือว่าอะไรไหว ?"

เซ็นจะมีหลักการปฏิบัติที่กระตุ้นให้ตื่นรู้ ด้วยลักษณะคำพูดที่ค่อนข้างจะเป็นปริศนา"

เถรี
13-04-2011, 10:41
"อาจารย์เซ็นถามลูกศิษย์ว่า "เสียงของการตบมือข้างเดียวคืออะไร ?" ลูกศิษย์คิดจนหัวแทบแตก ตอบเท่าไรก็ยังไม่ใช่ ท้ายสุดวันนั้นลูกศิษย์เข้ามาถึง อาจารย์ก็ถามว่าตกลงคำตอบคืออะไร ? ลูกศิษย์ก็ชักแหง็ก ๆ หงายผลึ่งลงไปเลย ลูกศิษย์ถามว่า "คำตอบนี้ใช่ไหมครับ ?" อาจารย์หยิบไม้ฟาด "ไอ้ระยำ..คนตายแล้วพูดได้หรือวะ..!"

คำตอบเกือบจะถูกแล้ว เพียงแต่ว่าเขาต้องการรู้มากเกินไป ถ้าทำไม่รู้ไม่ชี้เสียหน่อย นอนเฉยต่อไป คำตอบก็ถูกต้องแล้ว เพราะเสียงตบมือข้างเดียวก็คือไม่มีเสียง แต่คราวนี้เขาไม่สามารถจะแสดงออกมาได้ ความจริงถ้าอาจารย์ถามแล้วลูกศิษย์หุบปากเงียบ ก็ถูกตั้งแต่แรกแล้ว

ดังนั้น..วิธีการกระตุ้นให้ตื่นรู้ ถ้าหากว่าสว่างโพลงขึ้นในใจ ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า "ซาโตริ" การรู้ฉับพลัน ซาโตริก็ยังมีการตีความไปหลายแบบ รายหนึ่งก็บอกว่า แต่ละคนในชีวิตจะเกิด ซาโตริ คือ การรู้ฉับพลันได้ครั้งเดียว แต่ปรากฏว่ามีอาจารย์เซ็นท่านหนึ่ง ท่านมีชื่อเสียงมาก ท่านบอกว่าท่านซาโตริจนนับครั้งไม่ถ้วน

ความจริงถูกทั้งคู่ บุคคลที่เข้าถึงมรรคผลเลย การรู้ฉับพลันทำให้ได้มรรคได้ผลนั้น ก็แปลว่าครั้งเดียว แต่ว่าบุคคลที่ครุ่นคิดในหัวข้อธรรมต่าง ๆ แล้วรู้กระจ่างขึ้นมาเอง ก็สามารถรู้ได้ในทุกหัวข้อนั้น ขึ้นอยู่กับวิธีการปฏิบัติว่าเป็นอย่างไร ลองคิดในเรื่องของอริยสัจ ในเรื่องของทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค พอได้คำตอบมาก็กลายเป็นซาโตริในหัวข้อธรรมนั้น ๆ

เพราะฉะนั้น..คิดกี่ครั้งก็ได้เท่านั้นครั้ง แต่อีกสายหนึ่งก็บอกว่าได้ครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น หมายเอาการบรรลุมรรคผลไปเลย ถ้าอย่างนั้นก็บรรลุได้ครั้งเดียว ไม่สามารถที่จะบรรลุได้ใหม่ นอกจากจะบรรลุในขั้นสูงกว่าขึ้นไปเท่านั้น"

เถรี
13-04-2011, 11:02
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ต้องบอกว่าเกิดจากกิเลสคน คือแต่ละคนรักชอบไม่เหมือนกัน ถึงเวลาอยากจะสร้างแบบนั้นแบบนี้ก็ไปค้นตำราดู จนกำหนดเป็นพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ขึ้นมา

บางปางในชีวิตเราแทบจะไม่เคยเห็นเสียด้วยซ้ำ อย่างเช่น ปางฉันสมอ จะถือลูกสมออยู่ลูกหนึ่ง ปางเย็บผ้าบังสุกุล ปางเสยพระเกศา ฯลฯ

ส่วนใหญ่พวกเราจะชินแค่ ๙ ปาง ที่เป็นพระประจำวันเกิด ก็คือ วันอาทิตย์ปางถวายเนตร วันจันทร์ปางห้ามญาติ วันอังคารปางไสยาสน์ วันพุธกลางวันปางอุ้มบาตร วันพุธกลางคืนปางป่าเลไลยก์ วันพฤหัสบดีปางสมาธิ วันศุกร์ปางรำพึง วันเสาร์ปางนาคปรก

บางคนก็รู้สึกว่าน้อยเกินไป จึงกำหนดเพิ่มขึ้นมาอีกวัน คือ พระเกตุปางตรัสรู้ (ปางมารวิชัยหรือปางสะดุ้งมาร) ถามว่าพระเกตุเอาไว้สำหรับใคร ? เขาเอาไว้สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าตนเองเกิดวันอะไร พวกเราจะคุ้นเคยกับพระพุทธรูปปางต่าง ๆ แค่นี้

แต่ปางเหยียบโลกนั้น คนสร้างแหกคอกจริง ๆ ถ้าจะสร้างพระพุทธเจ้าในลักษณะที่พระองค์เป็นโลกุตระ (ผู้เหนือโลก) ก็ต้องสร้างแบบพม่า พม่าทำแท่นให้พระองค์ท่านยืนอยู่ทั้งองค์ และมีลูกโลกอยู่ข้างใต้ แต่ของไทยสร้างได้น่าเกลียดมาก เขาสร้างให้พระพุทธเจ้าประทับยืนด้วยพระบาทข้างเดียว อีกข้างเหยียบโลกเอาไว้ ลักษณะเหมือนกับนักฟุตบอลเหยียบลูกบอล วางท่าให้ช่างภาพถ่ายรูป ยังดีที่ไม่ท้าวบั้นพระองค์ไปด้วย..!

ถ้าอยากจะเชิดชูพระเกียรติคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นผู้เหนือโลก ก็ควรจะคิดและทำให้รอบคอบกว่านี้หน่อย"

เถรี
13-04-2011, 11:05
ถาม : ฝึกกำหนดลมหายใจเข้าออก ผมนั่งแล้วมีความรู้สึกว่าสบาย นั่งได้นาน สติก็รู้ลมหายใจเข้าออก พร้อมทั้งคำบริกรรม แต่ขณะเดียวกันบางครั้งก็ยังมีความคิดอื่น โดยเฉพาะชีวิตประจำวันแทรกเข้ามาพร้อม ๆ กันไปด้วย ผมควรจะทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : การที่สมาธิทรงตัวแล้วสามารถคิดเรื่องไปด้วย แสดงว่าในชาติก่อน ๆ เคยฝึกปฏิบัติลักษณะแยกจิตแยกกายเป็นหลายส่วน ถึงเวลาแล้วจิตสามารถที่จะทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ อย่างเช่น ภาวนาอยู่ตรงนี้ก็สามารถคิดเรื่องอื่นไปได้ด้วย

ความจริงเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเราใช้ไม่เป็นก็จะฟุ้งซ่าน เพราะฉะนั้น..วิธีที่ดีที่สุด คือ ดึงความรู้สึกทั้งหมดกลับมาอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก ทันทีที่รู้ว่าไปคิดเรื่องอื่นพร้อมกับการภาวนา ก็ให้กำหนดรู้ที่ลมหายใจ พอรู้ลมหายใจแน่วแน่อยู่ตรงหน้า ก็จะไปคิดเรื่องอื่นไม่ได้ จนกว่าเราจะทำลมหายใจเข้าออกของเราให้ทรงตัว มีความคล่องตัว เอาให้ถึงฌานสี่ไปเลย ถึงตอนนั้นจะแยกคิดกี่เรื่องพร้อม ๆ กันก็ได้ คนมีของเก่าทำได้ไม่ยากหรอก

เถรี
13-04-2011, 11:09
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนท้องควรทำใจให้สบาย ยิ่งทำสมาธิได้ยิ่งดี ควรเปิดเสียงสวดมนต์ให้ลูกเขาฟังบ่อย ๆ อย่างเสียงสวดมนต์ของทิเบต พอฟังแล้วจะเห็นบรรยากาศทุ่งกว้าง ภูเขาสูง ลมกำลังพัด มีฝูงม้ากำลังเล็มหญ้า เสียงสวดมนต์แท้ ๆ แต่เห็นภาพได้ชัดเลย

คนจินตนาการดี สามารถฟังดนตรีแล้วเห็นภาพ แต่ตัดกิเลสได้ยาก เพราะใจปรุงแต่งมากเกินไป..!"

เถรี
14-04-2011, 10:21
พระอาจารย์เล่าว่า "หลังจากที่สร้างเกาะพระฤๅษีไปแล้ว ๘ เดือน ขณะที่กำลังนั่งทำบัญชีอยู่ หลวงพ่อก็มา ท่านถามว่า "แกมีเงินส่วนตัวเท่าไร ?" อาตมาตอบด้วยความภูมิใจ แกมอยากจะอวดหน่อย ๆ ว่า "ไม่มีครับ ผมได้มาเท่าไร ผมเอาลงสังฆทานทั้งหมด"

"เออ..ถ้าอย่างนั้นแกใช้เพื่อส่วนรวมเท่าไร ?"
"ไม่ทราบครับ"

"แล้วแกใช้เพื่อส่วนตัวไปเท่าไร ?"
"ไม่ทราบครับ" โป๊ก..! ดาวขึ้นว่อนเลย..! ท่านสั่งว่า
"ไปรื้อบัญชีทำเสียใหม่ เงินทุกบาททุกสตางค์ ทั้งส่วนตัวทั้งของสงฆ์ ได้มาจากใคร ? จ่ายไปในเรื่องอะไร ? ถ้ามีคนตรวจสอบ จะต้องตอบเขาได้"

ผ่านมาตั้งแปดเดือน สรุปว่าต้องรื้อทำใหม่ นั่งก้นด้านอยู่เป็นอาทิตย์ ท้ายสุดเงินส่วนตัวแปดเดือนที่ผ่านมาต้องตัดใจทิ้งไปเลย เงินส่วนตัวเป็นเงินที่ใช้ยาก หลวงพ่อท่านบอกว่า "ถึงเขาถวายมาเป็นเงินส่วนตัว แกก็อย่าคิดว่าเป็นเงินส่วนตัว เพราะเขาถวายมาต่อเมื่อแกบวชเข้ามาแล้ว

ในเมื่อแกบวชเข้ามา เป็นส่วนหนึ่งของสงฆ์เขาจึงถวาย ให้คิดอยู่เสมอว่า เป็นเงินสงฆ์ไม่ใช่เงินส่วนตัว เพราะฉะนั้น..ต้องใช้ให้สมควรแก่สมณสารูปด้วย"

เถรี
14-04-2011, 10:25
"ได้กราบเรียนถามท่านว่า "การใช้ในเรื่องที่สมควร ผมควรจะใช้ในเรื่องใดบ้างครับ ?" ท่านบอกว่า "ใช้เป็นค่ารถ ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาลยามเจ็บไข้ได้ป่วย และท้ายสุด สงเคราะห์เพื่อนมนุษย์หรือสัตว์ด้วยกัน ส่วนที่เหลือให้ผลักเข้าร่วมกับกองกลาง เพื่อจะได้เพิ่มกุศลให้แก่ผู้ที่ถวายให้เรา"

ถ้าตามที่หลวงพ่อท่านบอก เงินสงฆ์ใช้ง่าย เงินส่วนตัวใช้ยาก

ส่วนเมื่อครู่โยมถามว่า อาตมาไปบุกป่าฝ่าดงมาเยอะหรือเปล่า ถึงแข้งขาไม่ดี ? ไม่ใช่หรอก อาตมาบุกคนมาเยอะ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านยืนยันว่า อาตมาเป็นทหารมาทุกชาติ แต่ละชาติฆ่าเขาไว้มาก อาตมาก็สงสัยว่ามากขนาดไหน ? พอเห็นเข้าก็สยอง แค่ที่เห็นครั้งเดียวเหมาหมดเป็นกองทัพเลย..! ไม่ต้องไปพูดถึงครั้งอื่น ๆ "

เถรี
14-04-2011, 10:32
พระอาจารย์บอกว่า "สมัยก่อนทำงานอยู่ที่วัดท่าซุง งานที่ทุกคนไม่อยากทำเลย ก็คือ การอยู่เวรหน้าห้องหลวงพ่อ เพราะว่าต้องพร้อมโดนด่าตลอดเวลา ที่ท่านด่าเพราะทนความโง่ของเราไม่ได้ ท่านด่าให้เราฉลาดขึ้น แต่พระที่อาวุโสมาก ๆ จะอยู่ไม่ได้ พอโดนด่าแล้วก็หลุดไปทีละคนสองคน มีหลวงพี่ชัยวัฒน์ ถึงขนาดย้ายไปอยู่ที่สวนไผ่เลย หลวงน้าอมร หลวงน้ามีชัย ท้ายสุดเหลืออาตมากับหลวงลุงสุนทร สองคน เพราะพวกเราหน้าด้าน..!

หลวงลุงสุนทรบวชตอนอายุมากแล้ว บวชตอน ๕๙ ปี ท่านเป็นผู้ที่ใฝ่รู้ สงสัยตรงไหนก็ถาม "หลวงพี่ครับ ทำไมตรงนี้ผมโดนข้อหา ?" อาตมาก็อธิบายไป หลวงลุงพอเข้าใจก็สบายไป

ส่วนอาตมานั้นคิดได้เอง คิดว่าพ่อทุกคนไม่มีใครอยากจะฆ่าลูก ท่านด่าแปลว่าเราผิด ถ้าเราแก้ไขจุดที่เราผิดพลาดบกพร่องได้ ต่อไปเราก็จะไม่ผิดตรงนั้นอีก เพราะฉะนั้น..อาตมาอยู่ได้เพราะความหน้าด้าน แต่หลวงลุงสุนทรอยู่ได้ เพราะท่านคอยถาม แล้วอาตมาอธิบายให้ฟัง

เคยปรารภกับท่านว่า "หลวงลุง..ตอนแรกที่ออกจากวัด ผมเองไม่มั่นใจหรอกนะ ว่าผมทำถูกหรือทำผิด แต่มาตอนนี้ผมมั่นใจแล้วว่าผมทำถูก" หลวงลุงบอกว่า "หลวงพี่ทำถูกแล้วครับ เพราะออกไปแล้วเป็นที่พึ่งของพี่ของน้องได้ ถ้ายังอยู่ในวัด เวลาคนเขามาพึ่งเรามาก ๆ จะถูกหาว่าแข่งบารมี เดี๋ยวก็โดนดีด..!" อันนี้หลวงลุงท่านสรุปให้ฟัง"

เถรี
14-04-2011, 10:35
"ตอนที่หลวงลุงอยู่ ได้ความรู้จากท่านมาก เพราะท่านจบบัญชีธรรมศาสตร์รุ่นแรก เรื่องทำบัญชีท่านสุดยอดจริง ๆ ไม่มีใครหลอกท่านได้เลย พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าผู้ตรวจสอบบัญชีสมัยนี้ไปเรียนจากหลวงลุง บางทียังรู้สึกว่าตัวเองรู้น้อยกว่า

หลวงลุงท่านบอกว่า "ธรรมชาติของบัญชีนั้นมีความลื่นไหล ถ้าผิดธรรมชาติเมื่อไรแปลว่าทุจริต" บุคคลที่มีความคล่องตัว พอไปเห็นรูปแบบของคนอื่นแล้วจะรู้เลย เหมือนอย่างกับเราตรวจการบ้านเด็ก ก็จะรู้ว่าตรงไหนผิด"

ถาม : รู้โดยอัตโนมัติ เหมือนเป็นญาณ ?
ตอบ : เหมือนกับวสีภาพ คือ ความชำนาญ อย่างนี้เรียกว่าเป็นผู้ชำนาญการในวิชาชีพ

เถรี
14-04-2011, 10:40
พระอาจารย์บอกว่า "พวกเราถ้ามีพระเครื่องของหลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่ ให้อาราธนาบ่อย ๆ เพราะว่าในเรื่องของกัมมันตภาพรังสี เราประมาทไม่ได้ ส่วนใหญ่พวกเราสร้างเวรสร้างกรรมไว้เยอะ เอาปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า

พระสมเด็จหางหมาก ท่านรับประกันในรัศมี ๔ เมตร ตอนแรกหลวงพ่อท่านตั้งใจทำเกี่ยวกับมหาลาภ คือพระคำข้าว มหานิยม คือพระหางหมาก แต่ปรากฏว่าพระท่านให้พิเศษ เลยกลายเป็นเกินต้องการ ระบุชัดเลยว่ากันรังสีได้"

ถาม : เวลาอาราธนาต้องอธิษฐานขอให้กันรังสีด้วยหรือเปล่า ?
ตอบ : อธิษฐานไปเลย ไม่แน่ใจก็อิติปิโสอีก ๑๐๘ จบ รับรองว่าขลังแน่นอน..!

แต่พระสมเด็จคำข้าวและพระสมเด็จหางหมากสร้างจำนวนแตกต่างกันมาก สมเด็จพระหางหมาก ๒ รุ่น รุ่นละ ๑๐๐,๐๐๐ องค์ สมเด็จพระคำข้าว รุ่นหนึ่ง ๑๐๐,๐๐๐ องค์ รุ่นสอง ๕,๐๐๐,๐๐๐ องค์ ยังมีรุ่นปืนแตกแถมให้อีก ๑๐๐,๐๐๐ องค์

เถรี
14-04-2011, 11:05
ถาม : มีอาชีพเป็นหมอ ต้องให้ยาฆ่าพยาธิแก่คนไข้
ตอบ : บุคคลที่มีความจำเป็นในหน้าที่การงาน ให้รักษาศีลเป็นเวลา ถ้าข้องใจให้ไปดูตัวอย่างในรุกขเทวดาคนใช้ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเทศน์ไว้เยอะ ท่านรักษาศีลได้แค่ครึ่งวันเอง ก็ไปเกิดเป็นรุกขเทวดา มีศักดานุภาพมาก จนพวกฤๅษีที่ได้อภิญญาก็ยังต้องยอมรับ

เถรี
14-04-2011, 11:06
ถาม : อยากทราบว่าใครเป็นคนกำหนดรูปพระประจำวัน ว่าเป็นปางนี้ ๆ ?
ตอบ : กิเลสคนกำหนด..! เขาชอบแบบไหนก็ทำแบบนั้น พอทำไปทำมาก็เลยต้องกำหนดให้คนเขาถือตาม ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวกิเลสจะไม่ฟูเฟื่อง..!

เถรี
15-04-2011, 10:32
ถาม : อารมณ์สังขารุเปกขาญาณ คือการรู้ตัว สติตระหนักรู้ ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาใช่ไหมคะ ?
ตอบ : นั่นเป็นแค่สติ ในเมื่อสติตื่นรู้ ต้องมีปัญญาระมัดระวังไม่ให้กิเลสเข้ามากินใจเราได้ด้วย สิ่งต่าง ๆ ที่ตาได้เห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้สัมผัส ใจครุ่นคิด จะสร้างรัก โลภ โกรธ หลงได้อย่างไร ปัญญาจะบอกชัดเจน แล้วก็เอาสติสมาธิไประงับยับยั้ง เพื่อมิให้ครุ่นคิดปรุงแต่งขึ้นมา

อย่างที่เราว่ามาไม่ใช่สังขารุเปกขาญาณ สังขารุเปกขาญาณที่แท้จริง คือ มีปัญญาเห็นทุกอย่างเป็นธรรมดา ธรรมชาติมีปกติธรรมดาเป็นอย่างนั้น เมื่อเห็นชัดก็ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของตนเองและบุคคลอื่น ถ้าถึงตอนนั้นก็ไม่มีเรา ไม่มีเขาอีกแล้ว

ถาม : ปล่อยวาง..?
ตอบ : ถ้ายังปล่อยวางไม่ได้ ก็ยังไม่ใช่

ถาม : คือคนละอย่างกับเฉย ๆ ชืด ๆ หรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ เฉย ๆ ชืด ๆ นั้นมีสองอย่าง อย่างแรกคือเราทรงฌานอยู่ เป็นเอกัคคตารมณ์ในฌานใดฌานหนึ่ง ส่วนอีกอย่างก็คือ ความเคยชินที่เกิดขึ้นจากอารมณ์นั้นอยู่บ่อย ๆ เราต้องแยกให้ออกว่าตอนนี้เราทรงฌานอยู่ คือ ใช้อำนาจสมาธิกดอยู่หรือเปล่า ? หรือว่าเป็นความเคยชินที่คบอารมณ์นั้นอยู่บ่อย ๆ จนไม่รู้สึกตื่นเต้นอีกแล้ว

ถาม : เราเห็นบ่อย ๆ จนชิน เราก็รู้สึกว่าธรรมดา แต่ก็ไม่ใช่ธรรมดาแบบ..
ตอบ : แล้วใจเรายอมรับว่าเป็นธรรมดาอย่างนั้นตลอดเวลาไหม ? ถ้ายังเป็นบ้างไม่เป็นบ้าง ก็ยังไม่นับว่าเป็นสังขารุเปกขาญาณ สังขารุเปกขาญาณต้องทรงได้ตลอด พูดง่าย ๆ ว่า สังขารุเปกขาญาณมาแล้วไม่ถอย จะอยู่ทรงตัวอย่างนั้นไปเลย

ถาม : คือได้เรื่องหนึ่งแล้ว เรื่องอื่นจะไม่มีปัญหา ?
ตอบ : ทุกอย่างจะเป็นอย่างนั้นหมดเลย มีอารมณ์ปล่อยวางได้เสมอกัน

ถาม : แล้วใช้อะไรที่เป็นความคล่องตัว พร้อมด้วยสติปัญญาที่ตั้งมั่นอยู่ตลอด ?
ตอบ : นั่นเป็นเรื่องของสติ สมาธิ และปัญญาที่เริ่มทรงตัว จากการปฏิบัติที่ต่อเนื่องของเรา สติจะเป็นตัวฉุดรั้ง สมาธิเป็นตัวหักห้าม ปัญญาเป็นตัวเห็นตามความเป็นจริง

เมื่อถึงเวลาทั้งสามอย่างนี้จะทำงานด้วยกัน สติระลึกได้เกิดขึ้น มีกำลังของสมาธิช่วยในการหักห้ามใจตัวเอง และมีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในคุณและโทษ ก็จะเลือกแต่สิ่งที่เป็นคุณ และเว้นในสิ่งที่เป็นโทษ ท้ายสุดพอไปถึงที่สุดแล้ว ทั้งคุณทั้งโทษก็ไม่ใช่สิ่งที่จะมากระทบกระเทือนเราได้อีกแล้ว ก็จะอยู่ตรงช่วงกลางพอดี ที่เป็นอัพยากฤต จึงจะเป็นสังขารุเปกขาญาณ

เถรี
15-04-2011, 10:39
ถาม : การเป็นผู้ใหม่อยู่เสมอ..?
ตอบ : มีสติระลึกได้อยู่ในสิ่งที่เราทำ เราก็จะไม่ย่อหย่อนปล่อยให้จมปลักอยู่อย่างนั้น จะมีการพยายามทำในสิ่งต่าง ๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีกโดยไม่เบื่อหน่าย เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งนั้นเป็นของเราอย่างเที่ยงแท้

ถาม : แล้วถ้าเราทรงอยู่อย่างเต็มที่ ในส่วนชืด ๆ ก็คือ การทรงอยู่ในฌานหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ใช่..แล้วก็จะติดอยู่แค่นั้น รูปราคะ ติดอยู่ในรูปฌาน อรูปราคะ ติดอยู่ในอรูปฌาน

ถาม : การเอาสติฝืนรู้ ต้องใช้พลังงานมากนะคะ
ตอบ : ถ้าไม่ฝืนมาก เราต้องเสียเวลาฝึกทีเป็นสิบ ๆ ปี โดยเฉพาะพวกเราพอฝึกได้แล้ว เราไปใช้พลังงานจนหมด จนกระทั่งกำลังไม่พอ เราปล่อยให้พลังงานไหลออกทางตาบ้าง หูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้าง ใจบ้าง อยู่ตลอดเวลา

ในเมื่อเราไม่ปิดประตูระบายน้ำ เราก็มีน้ำไม่พอใช้งานเสียที ฉะนั้น..ต้องสั่งสมให้ได้ในระดับที่ต้องการใช้งาน ทุกอย่างต้องรอการสั่งสม ต้องรอเวลา แต่คราวนี้ว่า เวลาจะมาถึงช้าหรือเร็ว อยู่ที่ปัญญาของเรา ถ้าปัญญาเราเห็นชัด ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ทำให้กำลังของเรารั่วไหล เราก็พยายามปิดรูรั่วนั้น ในเมื่อปิดรูรั่วได้ กำลังก็จะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ

เถรี
15-04-2011, 10:53
ถาม : เวลาหนูทำงานหนักมาก ๆ แล้ว พอเสร็จงานเหมือนกับว่ากำลังตัวเองตกลง สติ สมาธิ ปัญญาลดลงไป ทั้ง ๆ งานที่หนูทำก็อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ใช้ความคิด ใช้สมาธิ ถือว่าเป็นรูรั่วที่ทำให้เกิดการปรุงแต่งหรือเปล่า ?
ตอบ : เป็นรูรั่วและใหญ่มากด้วย

ถาม : เหมือนเป็นการสร้างตบะให้ตัวเอง ต้องอาศัยความอดทนมากในการนั่งทำงาน
ตอบ : นั่นเป็นการเอากำลังที่เราสั่งสมมาทั้งหมดไปใช้ในงานนั้น ๆ อาตมาเวลาอยู่ที่ห้องเรียน ก้มหน้าก้มตาอยู่กับคอมพิวเตอร์ไปเรื่อย ๆ ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า จนกระทั่งหลวงพ่อปรีชา (พระครูบรรพตพัฒนคุณ วัดเขาอิติสุคโต) ให้คำจำกัดความว่า "อาจารย์เล็กท่าจะบ้าคอมพิวเตอร์ นั่งดูจอได้เป็นวัน ๆ"

แต่ความจริงสติ สมาธิ ของเราจดจ่ออยู่ตรงนั้น ทำให้เราสามารถที่จะทำได้ ในขณะที่คนอื่นไม่สามารถที่จะทนนั่งได้นานขนาดนี้

ถาม : แต่เราต้องใช้กำลังสูงมากในการกระทำสิ่งนั้น ๆ ?
ตอบ : แต่พอเราทำไปเสร็จเรียบร้อย กำลังส่วนหนึ่งใช้ไปแล้ว ส่วนที่ใช้ในการตัดกิเลสก็เลยเหลือไม่พอ มีวิธีหนึ่งที่จะทำได้ก็คือ ทำอย่างไรที่เราจะรักษาระดับกำลังให้ทรงตัวโดยที่ไม่ลดลง ทำงานก็เหมือนกับเราเข้าสมาธิ เข้าสมาบัติไปในตัว ซึ่งเกิดจากความชำนาญในการเข้าออกฌาน

ต้องไปซ้อมความชำนาญในการเข้าฌานและออกฌาน สมาปัชชนวสี ความชำนาญในการเข้าฌาน วุฏฐานวสี ความชำนาญในการออกจากฌาน สองตัวนี้เราต้องทำให้คล่อง ถ้าเราทำได้คล่อง เราสามารถที่จะทรงฌานไปด้วยทำงานไปด้วยได้

ความคล่องตัวขนาดนั้นเกิดจากการที่กำลังสมาธิของเราเริ่มอยู่ตัว พออยู่ตัวแล้ว ใช้ขนาดไหนต้นทุนก็ยังเท่าเดิม เพราะเท่ากับเราเติมของใหม่อยู่ตลอดเวลา ต้องซ้อมกันอีกหน่อย ไม่ยากหรอก คนอื่นเขาทำกันได้เยอะแยะ

ถาม : เกี่ยวกับร่างกายไหมคะ ?
ตอบ : เกี่ยว...สมาธิเกี่ยวกับร่างกายเยอะมาก ถ้าร่างกายแย่สมาธิก็ไม่ทรงตัว เพราะฉะนั้น..ต้องไปถึงเอกัคตารมณ์ของแต่ละสมาธิให้ได้ ถ้าถึงเอกัคตารมณ์ จะมีพื้นฐานรองรับไว้ ร่างกายแย่ขนาดไหน กำลังใจก็ทรงตัวอยู่อย่างนั้น เริ่มต้นทำได้แล้ว..มัวแต่ถามอยู่เราจะไม่ได้อะไร ถ้าทำจึงจะมีความก้าวหน้า

เถรี
15-04-2011, 11:07
ถาม : คำว่าองค์พระบิดาของศาสนาอื่น ?
ตอบ : จะไปตื่นเต้นอะไรกับศาสนาเขา

ถาม : คำว่าองค์พระบิดาของศาสนาอื่น หมายถึงใคร ?
ตอบ : ถามแล้วได้อะไร ?

ถาม : บังเอิญมีกลุ่มคณะหนึ่ง เขาสอนให้นับถือองค์พระบิดาเป็นเอก และพระพุทธเจ้าเป็นลำดับถัดไป
ตอบ: ขอให้รู้ว่าผิดทางแล้วจ้ะ

ถาม : สรุปว่าไม่มีจริง ?
ตอบ : จะมีจริงหรือไม่มีจริง อยู่ที่ใจเขายึดถือ ถ้ายึดก็จะมี ถ้าไม่ยึดก็ไม่มี แต่อย่าลืมว่า ถ้ายึดก็ไปไหนไม่ได้ เราต้องการการหลุดพ้นก็ต้องปล่อย

ถาม : สรุปว่าเราห้ามยึดพระพุทธเจ้าด้วย ?
ตอบ : ตอนแรกเรายึดพระพุทธเจ้าเพื่ออาศัยท่านเป็นเครื่องระลึกถึงในการทำคุณความดี พอไปถึงวาระสุดท้าย เมื่อความดีเต็มที่แล้ว แม้แต่ดีก็จะไม่ยึด แต่พูดไปแล้วก็แค่นั้น โยมฟังก็แค่เอาไปพูดต่อเท่านั้นเอง เพราะยังทำไม่ถึง

ถาม : หมายถึงองค์พระบิดาใช่ไหมคะ ?
ตอบ : จะพระบิดาหรือใครก็แล้วแต่ที่เขาเรียก

ถาม : คำว่ามโนมยิทธิที่ท่านสอนในเว็บ ส่วนใหญ่ ๙๐ เปอร์เซ็นต์นี่จะ..?
ตอบ : ก็อย่างที่เห็น..เห็นไปถึงองค์พระบิดาแล้ว ต่อไปก็จะมีองค์พระเจ้าปู่ องค์พระเจ้าย่าไปเรื่อย..!

เถรี
15-04-2011, 11:17
ถาม : ทางเชียงใหม่เขาสอนอย่างนี้
ตอบ : ปล่อยเขา อาตมาเริ่มรู้สึกเป็นห่วงตั้งแต่แรกแล้ว ท้ายสุดก็ไม่ทัน บุคคลไหนที่การรู้เห็นชัดเจน จะโดนหลอกให้หลงทางง่ายที่สุด เพราะทุกคนจะมีอัตตายึดอยู่ในใจในเรื่องของตัวกูของกู ในเมื่อกูเห็น กูเลยเชื่อ แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งที่เห็นนั้น เป็นการปรุงแต่งที่หลอกลวงกันได้

อาตมาเคยยกตัวอย่างว่า เห็นเขาไล่ฆ่าไล่ฟันกันมา เราก็ลากมีดลากปืนไปช่วยเขา จะโดนเขากระทืบตายเพราะเขากำลังถ่ายหนังกันอยู่ เราเห็นเขาไล่ฆ่าฟันกันมาจริงไหม ? จริง..แล้วเรื่องที่เราเห็นจริงไหม ? ไม่จริง..เพราะเขาถ่ายหนังอยู่

เพราะฉะนั้น..ยิ่งรู้เห็นชัดเจนเท่าไรก็ยิ่งโดนหลอกมากเท่านั้น ถ้าขาดสติสัมปชัญญะหรือขาดปัญญาประกอบ เราก็จะคล้อยตาม เชื่อตาม โดยเฉพาะบุคคลที่ไม่ศึกษาพระไตรปิฎกหรือคำสอนของพระพุทธเจ้าที่แท้จริงให้ถ่องแท้ จะโดนหลอกง่ายที่สุด

ไปดูในเกสปุตตสูตร พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว มา ปิฏกสมฺปทาเนน อย่าเชื่อแม้มีจารึกไว้ในพระไตรปิฎก มา สมโณ โน ครูติ อย่าเชื่อแม้สมณะนี้เป็นครูของเรา ท่านให้เชื่อก็ต่อเมื่อปฏิบัติแล้วได้ผลตามนั้น

ถาม : แล้วการที่ท่านสอนว่า ถ้าเรานึกถึงนิพพานบ่อย ๆ เราก็จะไปได้ ก็คือ นึกถึงพระพุทธเจ้าด้วย ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าด้วย พระนิพพานด้วย บอกแล้วว่าเราต้องสร้างเหตุให้ผลเกิด ถ้าเราสร้างเหตุที่ดี ผลลัพธ์ที่ดีจะเกิดแก่เรา พอเราสร้างเหตุที่ดีจนเพียงพอ เหมือนกับตักน้ำจนเต็มถังไปแล้ว เราก็เลิกตักน้ำใส่ถัง..ใช่ไหม ? แปลว่าการสร้างเหตุดีสำหรับเรา เมื่อถึงตอนนั้นเราไม่ต้องสร้างอีกก็ได้ เหตุชั่วไม่ต้องพูดถึง เพราะเราละทิ้งตั้งแต่แรกแล้ว แต่ท่านที่ทำถึงระดับนั้นท่านทรงความไม่ประมาทเป็นปกติ ก็จะสร้างดีหนีชั่วไปเรื่อย ไม่ได้นอนตีพุงเฉย ๆ

ถึงได้บอกว่าท้ายสุดจะไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว แต่คำว่านิพพานเต็มอยู่ในใจของเราเอง เราอยู่ที่ไหนก็จะรู้ว่าตรงนั้นก็คือนิพพาน ต่อให้ไม่มีทิพจักขุญาณ ไม่ได้เห็นอะไรเลย ถ้าเข้าถึงจริง ๆ ก็จะรู้ว่านี่คือพระนิพพาน เพราะฉะนั้น..การรู้เห็นด้วยทิพจักขุญาณไม่จำเป็นต้องมีก็ได้

เถรี
15-04-2011, 11:48
ถาม : ท่านรู้เรื่องทางเชียงใหม่หรือเปล่า ?
ตอบ : อาตมาอยากจะบอกกับโยมว่า ถ้าหากทำอย่างนั้นได้ พระพุทธเจ้าเอาพวกเราไปนิพพานหมดแล้ว ท่านตรัสเป็นบาลีชัด ๆ ไว้แล้วว่า สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง อัญโญ นาญยัง วิโสธเย ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของที่ต้องกระทำเฉพาะตน คนหนึ่งจะทำให้อีกคนหนึ่งให้บริสุทธิ์หาได้ไม่ ถ้าไปอาบพลังแล้วเลื่อนขั้นเป็นพระอริยเจ้าได้ ก็เป็นทั้งประเทศแล้วสิ..!

ถาม : ของเขาจะสอนเรื่องการแผ่เมตตา ผ่านองค์พระ ผ่านแสงฉัพพรรณรังสี
ตอบ : อาตมาก็สอนอย่างนั้น แต่ยังไม่มีพระบิดาแบบเขา อย่าลืมว่าสิ่งที่เขาหลอกเรา เขาจะบอกความจริงเกิน ๙๐ เปอร์เซ็นต์ แต่จะหลอกตอนท้ายไว้นิดเดียว เราลองนึกดูว่า เราเดินตรงนี้ผิดไปองศาเดียว ข้างหน้าสักร้อยกิโลเมตรเราจะห่างเป้าหมายไปเท่าใด ? เขาจะค่อย ๆ ชักให้ผิดทางไปเรื่อย ๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว แล้วก็ยังมั่นใจว่าถูกทางด้วย เพราะการรู้เห็นชัดเจนนั่นแหละ กูรู้..กูจึงเชื่อ

ไม่เป็นไร ลองไปปฏิบัติตามเขา อาจจะได้เห็นพระบิดาบ้าง แต่อาตมาไม่มี เพราะเป็นลูกกำพร้า..!

ถาม : เขาก็อยากได้หนังสือของท่าน ให้ช่วยส่งไปให้
ตอบ : ก็ได้อยู่เพราะเป็นประโยชน์ อย่างเช่น อาจจะอ้างว่าอาตมาไปรับรองให้เขา คราวนี้เห็นหรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น ท้ายสุดกลายเป็นว่า อาตมาเป็นคนรับรองให้ว่าพวกเขาทำถูกแล้ว พวกเราต้องทำตาม กลายเป็นว่าเอาสิ่งที่ดีไปพูดเพื่อเอาดีใส่ตัว พอเถอะ..เหนื่อยกับเรื่องนี้มามากแล้ว

ถาม : เห็นว่าท่านไม่สบาย
ตอบ : กายไม่สบายเท่านั้น แต่ถ้าโยมมาผิดท่าก็ยังมีแรงด่าได้..!

เถรี
16-04-2011, 16:46
ต้องพยายามระมัดระวังให้มากไว้ การปฏิบัติของเราในปัจจุบันนี้ มารเขาสร้างสิ่งปรุงแต่งขึ้นมาครอบงำมากขึ้นอีกหลายเท่า บันดาลความสะดวกสบาย เทคโนโลยีไอทีต่าง ๆ กลายเป็นว่าคนในปัจจุบันต้องฝ่าฟันกิเลสมากกว่าคนโบราณหลายล้านเท่า..!

อาตมาไม่เคยเจอพระบิดาหรอก แต่เคยเจอมารซึ่ง ๆ หน้า นั่งคุยกันเหมือนเพื่อนกันนี่แหละ ตีกันมาจนกระทั่งคุ้นกันแล้ว เขาบอกว่า "สิ่งที่ท่านสอนไปไม่มีประโยชน์หรอก ผมครอบซ้ำไปไม่รู้กี่ชั้นแล้ว ถ้าสติไม่กล้า ปัญญาไม่แหลมคม กำลังสมาธิไม่เพียงพอ ไม่มีใครแทงทะลุสิ่งที่ผมครอบไว้ได้หรอก"

เราก็บอกว่า "ขนาดนั้นเชียวหรือ ?" เขาบอกว่า "พระคุณท่านยกมือขึ้นมาสิ..นี่มือใช่ไหม ? ใช่..นี่สมมติขั้นที่หนึ่ง นี่หน้ามือ หลังมือ นิ้วมือ นี่นิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย กี่สมมติเข้าไปแล้ว ? นี่นิ้วโป้งข้อที่หนึ่ง นิ้วโป้งข้อที่สอง.. นิ้วชี้ข้อที่หนึ่ง นิ้วชี้ข้อที่สอง นิ้วชี้ข้อที่สาม.. ไล่ไปเรื่อย นี่เล็บมือ เล็บนิ้วโป้ง เล็บนิ้วชี้ เล็บนิ้วกลาง เล็บนิ้วนาง เล็บนิ้วก้อย แค่เฉพาะมืออย่างเดียวผมครอบไปเป็นร้อยชั้นแล้ว..!"

เขาบอกว่า "ลองคิดดูสิ ถ้าปัญญาไม่ถึง สามารถสู้ผมได้ไหม ?"

ถาม : สรุปได้ว่า มารจะถอยก็ต่อเมื่อปัญญาเราถึง ?
ตอบ : ปัญญาไม่ถึงก็เสร็จเขา หลอกให้เราใช้ปัญญาในการคิดไปกราบพระบิดา อาจจะเป็นมารนั่งให้เรากราบแทนก็ได้

ถาม : ขอถามต่อค่ะ
ตอบ : ถามต่อได้ แต่น่าจะโดนด่า..! คำตอบทุกอย่างชัดแล้ว ยังจะถามอีก

ถาม : หลักการของเขาจะอิงธรรมะของหลวงพ่อวัดท่าซุง
ตอบ : ถึงได้บอกว่าพวกนี้เขาจะอาศัยความจริงเกิน ๙๐ เปอร์เซ็นต์ แต่จะมีตอนท้ายนิดเดียวที่ไม่ชอบมาพากล ถ้าเราไม่สังเกต มีปัญญาไม่พอ มองข้ามไป ก็จะโดนเขาหลอก

เถรี
16-04-2011, 16:53
อย่าไปตำหนิใคร เพราะแต่ละคนล้วนคิดว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นดี จึงได้ทำ ด้วยเจตนาที่เขามุ่งมั่นจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้พ้นทุกข์ เพราะเจตนาตัวนี้แหละที่ทำให้โดนหลอกได้ง่าย

อะไรที่คิดว่าทำแล้วดีเพื่อผู้อื่นเขาก็ทำ เมื่อได้รับคำสอนที่สอดแทรกไปในทางที่ผิด แต่ไปเข้าใจว่าดี เขาจึงได้ทำ เพราะฉะนั้น..ถ้าเขารู้ว่าสิ่งนั้นไม่ดีจริง เขาจะไม่ทำอย่างนั้น

ถาม : แต่เขาคิดว่ากลุ่มเขามีมโนมยิทธิแจ่มใส
ตอบ : จ้ะ ยิ่งแจ่มใสเท่าไรยิ่งโดนหลอกได้ง่าย อาตมายืนยันว่า มโนมยิทธิไม่ใช่ของจำเป็น มโนมยิทธิจะเป็นของจำเป็นก็ต่อเมื่อเราใช้ถูกตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงต้องการ ก็คือ การรู้จักพระนิพพานได้ ไปนิพพานเป็น

พอไปได้แล้วจดจำอารมณ์ที่ปราศจากกิเลสมา แล้วพยายามทำให้ถึง นี่คือจุดประสงค์ที่แท้จริงที่หลวงพ่อท่านสอนมโนมยิทธิ และหลวงพ่อท่านก็เชื่อมั่นว่าลูกศิษย์ของท่านฉลาดพอ แต่ปรากฏว่าเจอเกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ที่ฉลาดมากเกินกว่าหลวงพ่อท่านต้องการ..!

เถรี
16-04-2011, 16:54
ถาม : ขออยู่ในกลุ่มที่ฉลาดน้อยดีกว่า
ตอบ : จะฉลาดน้อย ฉลาดมากก็ช่าง เอาฉลาดแค่พอดี ๆ ทำแค่หลวงพ่อท่านสอนก็พอแล้ว ยึดหนังสือหลวงพ่อเป็นหลัก สมัยก่อนอาตมาก็ใช้แค่ไม่กี่เล่ม คู่มือปฏิบัติกรรมฐาน กรรมฐาน ๔๐ ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า ธรรมปกิณกะ เล่ม ๑ เล่ม ๒ ไปลองอ่านดู ถ้าขี้เกียจอ่านพระไตรปิฎก ก็เอาหลวงพ่อท่านเป็นหลัก

ถาม : อ่านหนังสือธรรมะบ่อย ก็โดนติงเหมือนกัน
ตอบ : เพราะว่าเราอ่านแล้วเราไปฟุ้งซ่านอยากมี อยากได้ อยากเป็นอย่างนั้น ถึงเวลาปฏิบัติอารมณ์นี้ต้องไม่มี ถามว่าในเมื่อไม่อยากแล้วจะทำไปทำไม ? เราอยากได้ไม่เป็นไร แต่ตอนปฏิบัติให้ลืมความอยากนั้นให้หมด เรามีหน้าที่ปฏิบัติสมาธิภาวนา รักษาจิตใจให้สงบ ส่วนผลจะเกิดหรือไม่เกิดอย่างไรช่างมัน เรามีหน้าที่ทำไปเท่านั้น

ถ้าวางกำลังใจอย่างนี้ผลจึงจะเกิดได้ง่าย แต่ถ้าอยากได้นั่นอยากได้นี่ เขาจะให้มากกว่าที่เราอยาก เขาได้พระบิดาไปแล้ว เดี๋ยวเราได้พระเจ้าปู่ พระเจ้าย่าไปด้วย

ถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ใครเป็นมาร ใครเป็นพระ ?
ตอบ : ทุกอย่างที่เข้ามาให้เรารับรู้ รับไว้ด้วยความเคารพ ถ้าเป็นจริงตามนั้นก็ขอบพระคุณที่ท่านมาบอกให้ทราบ ถ้าไม่เป็นจริงตามนั้น ก็เป็นความผิดของเราเอง เรื่องอย่างนี้ผิดกันได้อยู่แล้ว

เถรี
16-04-2011, 16:59
ถาม : ถ้าเราสงสัยว่าเขาเป็นมาร เรานึกถึงพระ มารเขาจะหายไปไหม ?
ตอบ : พระก็คือพระ มารก็คือมาร เป็นแค่สิ่งที่สมมติขึ้นมาเท่านั้น เราจะคิดว่ามารเป็นศัตรูก็ไม่ใช่ แต่มารเป็นครู เป็นครูที่โคตรขยันเลย ทดสอบเราทุกวินาทีที่เผลอ ถ้าเราก้าวข้ามไปได้ เราจะไม่แพ้ตรงจุดนี้อีก ถ้าเราไม่รับการทดสอบ เราก็จะไม่รู้ว่าเรามีความก้าวหน้าเท่าไร ฉะนั้น..เขาจึงเป็นครูที่ดีมาก

แต่ถ้าเราไม่สามารถที่จะก้าวล่วงไปได้ เราก็จะติดอยู่ตรงนั้น ตอนนั้นมารก็คือผู้ขวาง คือผู้ฆ่า ฆ่าเราจากความดี ต้องโทษว่าสติ สมาธิ ปัญญาของเราไม่เพียงพอ เขาจึงขวางเราได้ ต้องไปเร่งสติ สมาธิ ปัญญาของเราให้มากขึ้น

ถาม : จะมีมารทางโลก และมารทางธรรม ?
ตอบ : เหมือนกัน ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มารทั้งนั้น เขาจะใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว ในการขวางเรา ทำให้เราเกิดรัก โลภ โกรธ หลงขึ้น ยั่วให้กำหนัด ล่อให้หงุดหงิด ลวงให้หลงผิด

ยึดติดทางโลกก็ไม่ได้ปฏิบัติธรรม พอยึดทางธรรมกลายเป็นชาวบ้านเขาด่าว่าบ้า เราก็ทนฟังไม่ได้ เพราะมารอาศัยปากพูด ถ้าเราไปคล้อยตามก็เสร็จเขาอีก ท้อถอยเลิกปฏิบัติ ความดีเราก็ไม่ได้

ตั้งสติให้ดี ๆ แล้วทำไปเถอะ ขอยืนยันว่ามารไม่ใช่ศัตรู และไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่เป็นครูที่โคตรขยันเลย เราลองนึกถึงครูที่ยืนอยู่หน้ากระดานดำ ออกข้อสอบให้เราทำทุกวินาทีที่เราเผลอ จะได้ภาพพจน์ที่แท้จริงของมาร

เถรี
16-04-2011, 17:04
ถาม : คล้อยตามเพราะเห็นว่าศาสนาอื่นเขาสอนคน..?
ตอบ : ใช่..แล้วสังเกตไหมว่าทุกวันนี้บางศาสนาเขาเป็นอย่างไร

ถาม : คนเขาเคร่ง ๆ ดูเหมือนจะดี
ตอบ : เขาเคร่ง ถ้าศาสนาพุทธเคร่งได้แบบนั้นบรรลุกันเพียบเลย แต่ทีนี้เขาใช้ความเคร่งในทางที่ผิด สอนให้ฆ่าผู้อื่นเพื่อปลดปล่อย พอพวกเราจะปลดปล่อยเขาบ้างกลับไม่ยอม ถ้าเราใช้ปัญญานิดเดียวก็จะเห็นว่าผิดหลักการตั้งแต่แรกแล้ว

สอนว่าสัตว์เป็นอาหารของเรา ต้องฆ่าด้วยมือจึงจะบริโภคได้ ถ้าสัตว์เป็นอาหารของเรา สัตว์เจอหน้าเราก็ต้องวิ่งมาให้เรากินสิ นี่วิ่งหนีทุกตัว หลักการธรรมดาแค่นี้ ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย ตรองดูนิดเดียวก็รู้แล้วว่าผิดหรือถูก

ถาม : จะคุยกับคนที่อยากปฏิบัติ ดูว่าเขาจะถามอะไรเพิ่มไหม ?
ตอบ : อะไรที่เราไม่คล่องและชำนาญจริง หากเขาถามเราก็ไม่สามารถที่จะชี้แจงได้แจ่มแจ้งได้ด้วยตัวเอง จะกลายเป็นข้อถกเถียงไปอีก ให้ทำโง่ ๆ หุบปากเอาไว้ดีกว่า

พระพุทธเจ้าตรัสว่า เราจะไม่กล่าววาจาอันเป็นเหตุให้ถกเถียงกัน เพราะวาจาอันเป็นเหตุให้ถกเถียงกันจำเป็นต้องพูดมาก บุคคลที่พูดมากจิตใจย่อมฟุ้งซ่าน ผู้ที่ฟุ้งซ่านย่อมห่างจากสมาธิ

เราสั่งสมกำลังของสมาธิเพื่อให้จิตมีกำลังเพียงพอที่จะใช้ในการตัดกิเลส แต่เราไปเอากำลังไปใช้รั่วไหลในเรื่องต่าง ๆ เช่น เอาไปนั่งเถียงกันบ้าง วิพากษ์วิจารณ์กันบ้าง ตาเห็นรูปก็ยินดี หูได้ยินเสียงก็ยินดี จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิด ยินดีเป็นราคะ ยินร้ายเป็นโทสะ ทำให้เรามีกำลังไม่พอตัดกิเลสเสียที

เพราะฉะนั้น..ปิดตา ปิดหู ปิดปาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ปิดให้หมด พอกำลังไม่รั่ว เราก็มีแรง

เถรี
16-04-2011, 17:09
ถาม : ถ้าเราอยู่ทางโลก เราต้องทำงานก็ปิดไม่ได้
ตอบ : เอาแค่ตรงทำงาน พอถึงที่ทำงานก็ทำตามหน้าที่ไป พอเลิกงานก็ปิดของเราใหม่ ๒๔ ชั่วโมงอย่าให้ขาดทุนตลอด

มัชฌิมาปฏิปทาของพระพุทธเจ้าใช้ได้ทุกงาน ทำอย่างไรให้พอดี หลายเดือนก่อนอาตมาเคยยกตัวอย่างโยมคนหนึ่ง กลัวว่าตัวเองจะผิดกรรมบถ ๑๐ เวลาไปทำงานเจ้านายถามก็ไม่พูด เพื่อนร่วมงานถามก็ไม่พูด เขาเห็นแล้วหมั่นไส้ หยิ่งดีนัก ก็เลยแกล้งจนร้องไห้

เขาบอกว่า เขาทำความดีขนาดนี้แล้ว ทำไมต้องเจอคนอย่างนี้ด้วย ? อาตมาบอกว่าตัวเขาเองนั่นแหละที่ไม่รู้กาลเทศะ ใช้หลักธรรมไม่ถูกต้อง ถ้ามีกาลัญญุตา รู้กาลเทศะ รู้ว่าตอนนี้เป็นที่ทำงาน เราต้องทำงานก็ทำไป แต่พออยู่คนเดียวเราก็เข้าหาความดีของเรา แต่นี่เขาเล่นเอาแต่ความดีอย่างเดียว ทางโลกก็ช้ำ พอช้ำเขาก็เล่นงานเอาบ้าง

เถรี
16-04-2011, 17:49
พระอาจารย์กล่าวว่า "บทเรียนของคนอื่น พอมาถึงเราจะเป็นเรื่องสนุก แต่ถ้าโดนเองก็จะเป็นเรื่องที่เราจะหัวเราะไม่ออก เรื่องอะไรก็ตามถ้านอกลู่นอกทางมาก อย่างเรื่องของจักษุธาตุ ประมาณ ๗-๘ เดือนก่อนเขาเอามาให้ดู มีทั้งรูปถ่าย มีทั้งซีดีมาให้ อาตมาเห็นเข้าก็บอกว่า คล้ายกับเป็นการถ่ายภาพซ้อนเพชรรัสเซียกับดวงตาคนไว้ด้วยกัน ก็เลยดูเหมือนว่าใช่

อะไรก็ตามที่ตำราไม่ได้ระบุไว้ ให้ละไว้ก่อนในฐานที่เข้าใจว่า..อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะพระบรมสารีริกธาตุนั้น มีตำราบอกเอาไว้ชัดเจนว่า มีสัณฐานเหมือนถั่วแตกหรือข้าวสารหัก สัณฐานเหมือนถั่วแตกก็ชิ้นใหญ่หน่อย สัณฐานเหมือนข้าวสารหักก็อย่างที่เราเห็นกันบ่อย ๆ

นอกจากชิ้นสำคัญไม่กี่ชิ้น คือ พระอุณหิส คือกระดูกหน้าผาก พระอุรังคธาตุ คือกระดูกหน้าอก พระรากขวัญ คือกระดูกไหปลาร้า และพระเขี้ยวแก้วก็คือเขี้ยวทั้งสี่ข้าง ที่ไม่เปลี่ยนสภาพแล้ว นอกจากนั้นแล้วก็เหมือนถั่วแตกหรือข้าวสารหัก

อีกส่วนหนึ่งที่ไม่เหมือนใครก็คือ มีสัณฐานเหมือนเมล็ดผักกาด ก็คือเป็นกลม ๆ เล็กนิดเดียว ส่วนนั้นจะเป็นพระอังคาร คือขี้เถ้า ตำราบอกเอาไว้ชัดว่า มีวรรณะเหมือนทองอุไร ก็คือ สีเหลืองเหลือบทอง

เราจะเห็นว่าทุกอย่างระบุไว้ชัดเจนแล้ว แต่ในปัจจุบันนี้มีสารพัดเลย นี่เป็นพระบุพโพธาตุ นี่เป็นพระโลหิตธาตุ เพิ่มเกินตำรามาเยอะแยะยุ่งไปหมด"

เถรี
16-04-2011, 17:51
"ถามว่าถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไร ? ก็ให้บูชากราบไหว้ แล้วนึกถึงพระพุทธเจ้าตามปกติ ก็ถือว่าใช้ได้เหมือนกัน เพราะความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าจริงหรือปลอม แต่ความสำคัญหรือสาระที่เป็นแก่นสารก็คือ การที่เราได้ยึดพระองค์ท่านเป็นที่พึ่ง ถ้ายึดถือหรือระลึกถึงได้ก็จัดเป็นพุทธานุสติ จะของจริงของปลอม ถ้าเรานึกถึงพระพุทธเจ้าได้ก็ใช้ได้เหมือนกัน

แต่สมัยนี้เข้าท่าพระจันทร์ไป ใครจะเอาพระธาตุสักกี่เกวียนก็ให้บอก เขาผลิตไว้เพียบเลย..! และอย่าไปทดสอบด้วยการลอยน้ำ เพราะการทำแบบนั้นเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยโดยตรง โทษใหญ่จะเกิดแก่ตนเอง พระพุทธเจ้าไม่ใช่นักเล่นกลนะจ๊ะ เรานึกจะทำอะไรจะได้ทำได้ทันที"

เถรี
17-04-2011, 17:29
ถาม : เวลาเราเจอภัยพิบัติ จะใช้คาถาบทไหนที่จะลดความรุนแรง ?
ตอบ : ความจริงถ้าเรายึดมั่นในคุณพระรัตนตรัย "อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ" ก็พอแล้ว

ถ้าเป็นคาถาของหลวงปู่ชุ่ม (หลวงปู่ครูบาชุ่ม โพธิโก วัดไชยมงคล) ว่า "วิวะ อะวะ สุสะตะ วิวะ สวาหะ" ท่านบอกว่าป้องกันภัยธรรมชาติ ไฟป่า น้ำป่า หรือสัตว์ร้าย

ถาม : ถ้าภัยมาแรง ๆ ขอคาถาสั้นที่สุด
ตอบ : คาถาทุกบทเป็นเครื่องโยงให้เกิดสมาธิ ถ้าเกิดสมาธิคิดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ท่านถึงได้บอกว่าสำเร็จด้วยใจ อยากได้สั้น ๆ ไม่ต้องท่องก็ได้ แค่คิดก็พอแล้ว

ถาม : คาถากันเชื้อโรค ?
ตอบ : ถ้าตามที่ท่านท้าวเวสสุวรรณท่านบอก ท่านให้ภาวนา "คะสะชะนะ อิติ ศัตรู อย่ามาคะตา" ท่านบอกว่ากันได้แม้แต่โรคเอดส์ เพราะตอนนั้นโรคเอดส์กำลังระบาด

ถาม : หมายถึงท่องครั้งเดียว ?
ตอบ : ภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัวทุกวัน ไม่ใช่ท่องครั้งเดียวแล้วกันได้ตลอดชีวิต อย่างนั้นคุณภาพจะครอบจักรวาลเกินไป..!

เถรี
17-04-2011, 17:33
ถาม : แต่ถ้าติดเชื้อโรคมาแล้ว จะใช้คาถาบทไหน ?
ตอบ : คาถาหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ "ทนเอา"

ถาม : คาถาบทไหนทำให้โรคคลายตัวลง ?
ตอบ : จะทำให้โรคคลายตัวลงนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะโรคเกิดจากวาระกรรม แต่ถ้าเราภาวนาจนกำลังใจทรงตัว จิตกับประสาทแยกออกจากกัน เราจะไม่ค่อยรับรู้อาการทางร่างกาย ก็เหมือนกับโรคเบาลง

เพราะฉะนั้น..บทไหนก็ได้ เอาอย่างหลวงปู่เนียม วัดน้อย เจ็ดตำนานทั้งหัว ท่องไปเถอะ พูดง่าย ๆ คือทั้งเล่มเลย ต้องการอันไหนก็ท่อง

หลวงปู่เนียมท่านเป่าแก้งูเห่ากัด หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถามว่า "ใช้คาถาบทไหน ?" หลวงปู่เนียมบอกว่า "เจ็ดตำนานทั้งหัว บทไหนก็ได้" สมัยก่อนหนังสือทั้งเล่มเขาเรียกเป็นหัว

เถรี
17-04-2011, 17:41
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "พระใหม่บางรูป ยังเคยชินกับนิสัยเดิม ๆ ของฆราวาส ถึงเวลาไปกิจนิมนต์บ้านโยม มีอาหารมาหลายอย่าง บังเอิญมีของชอบอยู่ด้วยคือไข่ดาว ท่านเล่นควักแต่ไข่แดงฉันหมด

พระเก่าท่านเห็นว่าน่าเกลียด ท่านก็จิ้มไข่ขาวมาฉัน พระใหม่ก็ฉันไข่แดงใบที่สองอีก พระเก่าก็จิ้มไข่ขาวมาแล้วฉันอีก พระใหม่บอกว่า "แหม..ดีจังเลยครับ ผมชอบไข่แดง ท่านชอบไข่ขาว เราไปกันได้" พระเก่าเลยพูดไม่ออกเลย อุตส่าห์ช่วยแล้วยังไม่รู้ตัวอีก..!"

เถรี
17-04-2011, 17:45
ถาม : คนไข้บางคนมีของแสลงสำหรับเขาเยอะ ถ้าพระมีของแสลงเยอะ ๆ พระจะเลือกฉันไหม ?
ตอบ : อาตมาก็เลือกเหมือนกัน เพราะว่าอาหาเรปฏิกูลสัญญา ไม่ใช่แต่เราพิจารณาเห็นว่าอาหารมีพื้นฐานจากความสกปรกเท่านั้น ต้องพิจารณาด้วยว่า เหมาะกับธาตุขันธ์ของเราหรือไม่

ถ้าเลือกไม่ได้ก็ทนกินไป แต่ถ้าเลือกได้ก็อย่าเลือกจนน่าเกลียด ประเภทจ้วงอยู่จานเดียว ไปเล็ม ๆ จานอื่นบ้าง หรือไม่ก็เอาช้อนดัน ๆ ให้ดูแหว่ง ๆ ไปบ้าง ความจริงอาหารบางอย่าง อาตมาไม่ได้แตะเลย แต่มีศิลปะอยู่ ก็คือเอาช้อนดัน ๆ ให้อาหารนั้นถอยหลังไปเยอะ ๆ หน่อย แล้วก็ปาด พอโยมเขาเห็นก็คิดว่าเราฉันของเขาไปเยอะแล้ว คราวหน้าก็โดนอีก อาตมาโดนมาจนเข็ดแล้ว

สมัยก่อนบวช พี่สะใภ้คนที่ ๓ สงสัยว่าจะชอบอาหารรสเปรี้ยว จึงซื้อแต่สับปะรดเปรี้ยว ๆ มา อาตมารู้ว่าคนอื่นไม่กิน ก็จิ้ม ๆ มากินให้หมด ๆ ไป บางทีกินจนลิ้นแตก แสบไปหมด ปรากฏว่า พี่เขาก็ตีความว่าอาตมาชอบ ยิ่งซื้อมาใหญ่เลย..!

เถรี
17-04-2011, 17:50
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานท่านนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลทองผาภูมิโทรมาบอกว่า "ได้ยินว่าที่วัดจัดบวชปฏิบัติธรรม แล้วยังจะจัดกิจกรรมวันสงกรานต์ในวัดได้หรือเปล่าครับ ?" อาตมาเลยบอกว่า "รีบมาจัดเลย พวกที่บวชเขาอยากเล่นสงกรานต์ด้วย" ตอนแรกท่านนายกเทศมนตรีก็หนักใจ เขากลัวว่าถ้าทางวัดจัดบวชปฏิบัติธรรมแล้ว จะเข้าไปตึงตังโครมครามไม่ได้ เขาไม่รู้หรอกว่าที่จัดบวชก็เพื่อให้เข้ากับงานเลย

ก่อพระเจดีย์ทรายปีนี้ไม่รู้ว่าเขามีกติกาอย่างไร ? ปีที่ผ่านมามีกติกาง่าย ๆ ก็คือ สวย ใหญ่ ทรายเยอะ

งานบวชปฏิบัติธรรมที่ผ่านมามีครอบครัวจันทรนิภาพงษ์ ไปทุกงาน ยกบ้านไปเลย ไม่ต้องห่วงใคร มาด้วยกันหมดแล้ว เป็นครอบครัวที่ตั้งใจปฏิบัติจริง ๆ

ลักษณะอย่างนี้จะทำให้ไม่ขัดกัน หลวงปู่บุดดาท่านบอกว่า "บุคคลที่มีธรรมไม่เสมอกัน ไม่สามารถจะไปด้วยกันได้" ในครอบครัว ถ้าหากว่ามีทาน ศีล ภาวนา เสมอกัน ก็จะเป็นครอบครัวที่มีความสุข

พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่ามี สมชีวิธรรมเสมอกัน สมชีวิธรรม ๔ ประการ ก็คือ ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา"

เถรี
17-04-2011, 17:58
พระอาจารย์บอกว่า "คนพอแก่ขึ้นแล้วไฟธาตุน้อยลง ธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม จะพร่องลงเรื่อย ๆ พอธาตุสี่พร่อง อาการเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะเกิด คนแก่ไฟธาตุจะน้อยและธาตุลมน้อย พอเวลาลมน้อยก็เคลื่อนไหวช้า ไฟธาตุน้อยก็ไม่กระปรี้กระเปร่าและขี้หนาว บางทีอากาศสบาย ๆ คนแก่ก็ยังใส่เสื้อกันหนาว"

เถรี
17-04-2011, 18:01
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของน้ำท่วม ไฟไหม้ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ภัยธรรมชาติที่เดือดร้อนคนส่วนรวม ส่วนใหญ่ที่เดือดร้อนจนถึงแก่ชีวิต มักจะเคยสร้างกรรมร่วมกันมา อย่างเช่น ยกทัพไปตีบ้านทำลายเมืองเขา พอวาระกรรมมาก็โดนพร้อม ๆ กัน และให้สังเกตว่า บางคนที่ไม่เคยร่วมกรรมมาก็ไม่เห็นเป็นอะไร

แบบสึนามิที่ญี่ปุ่น คุณปู่ท่านหนึ่งลอยอยู่ในทะเลสองวัน เขาไปช่วยกลับมา ก็ไม่เป็นอะไร หรือหลายสิบปีแล้วที่เครื่องบินโดยสารของญี่ปุ่นตก ผู้โดยสารสามร้อยกว่าคนตาย มีเด็กห้าขวบอยู่คนหนึ่งไม่เป็นอะไรเลย เขาก็ไปทำวิจัยหาสาเหตุ เขาบอกว่า เด็กตัวเล็ก พอรัดเข็มขัด เครื่องบินระเบิดก็หลุดไปทั้งเก้าอี้ เก้าอี้ตกลงมาครอบเด็กอยู่พอดี เขาคิดอย่างนั้น

อาตมาก็คิดว่าบ้า ลองไปทิ้งเก้าอี้ลงมาจากที่สูง ๑๐ กว่ากิโลเมตร เก้าอี้จะเหลือไหม ? เรื่องของบุญรักษา รักษาได้ทุกที่จริง ๆ เมื่อไม่นานมานี้ที่เครื่องบินเขมรตก แล้วมีเด็กรอดอยู่คนหนึ่ง ถ้าไม่ได้สร้างกรรมร่วมกันมา ก็ไม่เป็นไรหรอก"

เถรี
17-04-2011, 18:03
"ในเรื่องของพุทธบารมี จริง ๆ แล้วท่านป้องกันอันตรายได้ทุกอย่าง แต่ต้องไม่เกินกฎของกรรม ตอนที่สร้างสมเด็จศรีอินทราทิตย์ ญาติโยมเขากลัวแผ่นดินไหวและเขื่อนแตก วัดท่าขนุนอยู่ปากเขื่อนพอดี จึงกราบขอบารมีพระท่านป้องกันเรื่องภัยธรรมชาติให้ด้วย

พระท่านบอกว่า ภัยธรรมชาติส่วนใหญ่เกิดจากการที่เราไปตีบ้านทำลายเมืองเขา ถึงเวลาก็ต้องโดนบ้าง ถ้าไม่รับเลยก็ฝืนกฎของกรรม ถ้ากรรมเก่ามาถึงจริง ๆ ทำให้ต้องเสียหายในส่วนทรัพย์สินและเงินทอง ก็จะให้ชีวิตปลอดภัย เพราะฉะนั้น..พระท่านจะทำแค่ไม่เกินกฎของกรรม ถ้าใครรู้ตัวว่าเคยเกเรไว้มากก็พกหลาย ๆ องค์หน่อย..!"

เถรี
18-04-2011, 20:39
ถาม : รถอะไรมี ๓๐ วัน ?
ตอบ : รถยนต์มี ๓๐ วัน ถ้ารถคม จะมี ๓๑ วัน ถ้ารถพันธ์ จะมีแค่ ๒๘ วัน..!

เด็กเขาถาม ถ้าไล่ไม่ทันบางทีก็มึน บางทีเด็กเขามีคำถามแปลก ๆ คำถามประเภทลับสมองประลองเชาวน์เหมือนสมัยก่อนไม่ค่อยมี มีแต่คำถามที่กวนบาทา

คำถามสมัยก่อนเขาว่า "สี่ขากินขาเดียว หัวเขียวกินปากอ้า เต่ากินเห็ด เป็ดกินหอย ต้นทายปลายบอก" คืออะไร ? เขาบอกว่าต้นทายปลายบอก

สี่ขากินขาเดียว ก็คือเต่ากินเห็ด หัวเขียวกินปากอ้า ก็คือเป็ดกินหอย เขาเฉลยไว้เสร็จสรรพแล้ว กวนมากเลย ปล่อยให้เราคิดหัวแทบระเบิด หัวเขียวนี่แสดงว่าเป็ดตัวผู้ เป็ดตัวเมียหัวไม่เขียวหรอก

ของโบราณเขาจะมีลักษณะที่ต้องให้คิด แต่ของเด็กปัจจุบันก็ให้คิดเหมือนกัน แต่ให้คิดแบบกวน ๆ ไม่เอาหลักความเป็นจริง ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ ในพระไตรปิฎกมีมากทีเดียว อย่างปัญหาที่นางนาควิกานำมาร้องเป็นเพลงเพื่อให้คนแก้

เรื่องมีอยู่ว่า ท่านเอรกปัตตนาคราชเคยบวชเป็นพระ จำพรรษาอยู่ชายทะเล ๒ หมื่นปี แต่บังเอิญท่านไปพรากตะไคร่น้ำที่เป็นของเขียว ของเขียว ก็คือต้นไม้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังติดอยู่กับที่ ทำให้หลุดออกมาจากฐาน ทำให้ท่านโดนอาบัติ (ศีลขาด) คราวนี้ท่านอยู่คนเดียวไม่รู้จะไปแสดงคืนอาบัติกับใคร จิตใจเศร้าหมองเพราะว่าศีลขาด พอมรณภาพลงก็เลยได้ไปเกิดเป็นพญานาคเท่านั้น

ท่านก็รอพระพุทธเจ้ามาโปรด รอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอ จนกระทั่งมีลูกโตเป็นสาว ก็เลยแต่งเพลงให้ลูกสาว คือ นางนาควิกา ไปร้องเพลงที่ชายหาด ท่านเองก็คืนเพศเป็นพญานาค ให้นางนาควิกายืนอยู่บนขนด ร้องเพลงอยู่ในทะเลใกล้ชายหาด ใครสามารถแก้ปริศนาเพลงนี้ได้ จะยกนางนาควิกาและสมบัติต่าง ๆ ให้

เถรี
18-04-2011, 21:03
หนุ่ม ๆ ไปกันมากมาย ปรากฏว่าอุตรมาณพในอดีตเคยสร้างบุญร่วมกับนางนาควิกา เป็นเนื้อคู่กัน พระพุทธเจ้าเล็งข่ายพระญาณตอนเช้ามืด เห็นว่าสมควรจะไปโปรด จึงเสด็จไปดักทาง อุตตรมาณพเห็นนักบวชก็เข้าไปกราบไหว้

พระพุทธเจ้าท่านก็แสดงให้ทราบว่าท่านเป็นใคร ถามว่า "ท่านอุตรมาณพจะไปไหน ?" นี่จำไว้เลยนะ..ลีลาของพระ..รู้ต้องทำเป็นไม่รู้ไว้ก่อน อุตรมาณพก็บอกว่าจะไปร้องเพลงแก้ปัญหานางนาควิกา พระพุทธเจ้าก็ถามว่า "ท่านจะแก้อย่างไร ?" อุตรมาณพก็ร้องเพลงให้ฟังว่าแต่งมาอย่างนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ถูก แล้วก็สอนให้ใหม่

อุตรมาณพนำเพลงที่พระพุทธเจ้าสอนให้ไปร้องแก้นางนาควิกาได้ เอรกปัตตนาคราชได้ยินก็ดีใจมาก สะบัดหางจนกลายเป็นคลื่นใหญ่ กวาดคนลงทะเลไปบานเลย ท่านต้องค่อย ๆ เอาหางช้อนคนขึ้นบกมา แล้วจึงแปลงเป็นคน พานางนาควิกาตามอุตรมาณพไป

ด้วยความที่ในอดีตชาติเอรกปัตตนาคราชเคยเป็นพระมาก่อน ท่านบำเพ็ญภาวนามา ๒ หมื่นปี สิ่งที่ท่านแต่งเป็นเพลงคือหลักธรรม คนที่จะแก้ได้คือต้องรู้ธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้ามีคนแก้ได้ แปลว่าพระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้นแล้วในโลก

เมื่อไปเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้าก็เทศน์โปรด อุตรมาณพได้เป็นพระโสดาบัน นางนาควิกากับเอรกปัตตนาคราชไม่สามารถที่จะบรรลุมรรคผลได้ เพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่ด้วยความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทำให้ทิพยสมบัติทุกอย่างดีขึ้น

ตรงจุดนี้ เชื่อว่าพวกเราได้ยินมาเยอะแล้ว เคยสงสัยไหมว่า พระพุทธเจ้าสอนให้ร้องเพลงด้วย ? ไม่ค่อยมีใครคิดกันนะ

ถาม : นึกไม่ออกว่าท่านจะร้องเพลงแบบไหน ?
ตอบ : อย่างไรท่านก็ต้องร้อง ถ้าไม่ร้อง คนหัดจะตามได้ที่ไหน อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าท่านศึกษาศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการมา แล้วท่านได้ที่ ๑ ทุกอย่างด้วย นักร้อง AF สมัยนี้สู้ท่านไม่ได้หรอก..!

แต่ว่าพระองค์ท่านทำอยู่ในขอบเขต จิตใจของบุคคลที่ปราศจากกิเลสแล้ว สิ่งที่แสดงออกก็เป็นแค่อาการเท่านั้น ไม่ได้เป็นกรรม พูดง่าย ๆ ก็คือว่า ทำโดยกิริยา ไม่ได้ประกอบไปด้วยรัก โลภ โกรธ หลง กรรมจึงไม่เกิด

เถรี
18-04-2011, 21:28
พระอาจารย์กล่าวว่า "รู้ไหมว่าปัจจุบันที่อาตมาหาสาวสวยไม่เจอ เพราะดันไปเห็นนางฟ้าเข้า สาวอื่นจึงหมดราคาไปเลย ภาษิตจีนบอกว่า ผ่านทะเล เห็นน้ำไร้ความหมาย คนที่เจอทะเลมาแล้ว แหล่งน้ำอื่น ๆ มีใหญ่เท่าทะเลไหมเล่า ? ไม่มีหรอก อาตมาดันไปเจอของดีเข้า สวยสุด ๆ ไปเลย

บางทีแม่เจ้าประคุณมาเป็นสาวตัดผมบ๊อบ นุ่งยีนส์มาก็มี ขอบอกว่า เวลาพรหมเทวดาท่านกวนเรานี่ ท่านกวนสุด ๆ อย่างที่มีผีหลอก เอาผ้ามาคลุมแล้วกางแขนวิ่งใส่

อาตมาถามว่า "ทำอะไร ?"
"ท่านไม่กลัวหรือ ?"
"ไม่รู้ว่าจะไปกลัวทำไม ?"
"เห็นในหนังเขาทำอย่างนี้ แล้วคนกลัว" ไปเจอผีทันสมัย ดูหนังเสียด้วย

โดยธรรมดา คาดว่าท่านก็คงต้องเรียบร้อย แต่วิสัยเดิมมีอยู่ ถึงเวลานอกทุ่งนอกท่าได้ ก็ไปกันครึกครื้นเลย มีอยู่เที่ยวหนึ่งอาตมาเดินทางกลับจากพระบรมธาตุอินทร์แขวนมาที่เมืองมะละแหม่ง แล้วต่อเข้าเมืองมุด่ง เพื่อเตรียมเดินทางกลับด่านพระเจดีย์ ๓ องค์

ท่านปู่พระอินทร์มาบอกว่า "เช้านี้พ่อติดภารกิจ เดี๋ยวจะให้พี่เขามาแทนนะ" อาตมาก็ว่า "ได้ครับ ใครมาก็ได้" ท่านก็ให้พี่ ๆ มา ๔ - ๕ คน มีพี่เกศแก้วมณี พี่พรทิพย์ พี่พวงทิพย์ พี่พรสวรรค์"

เถรี
18-04-2011, 21:36
"นาน ๆ พี่ ๆ เขาได้มาสนุกกันสักที ก็เลยแปลงเป็นพระพม่า ห่มจีวรสีแดงแปร๊ด เอาผ้าจีวรคลุมหัว หัวเราะกันคิกคัก ๆ อยู่บนหลังคารถ อาตมากับครูบาน้อย (พระนาวิน สจฺจญาโณ) เจ้าอาวาสวัดหนองบัว นั่งอยู่หน้ารถคู่กับคนขับ โยมก็อัดอยู่ท้ายรถจนเต็ม พระอาจารย์จันทร์ (พระวิลเลียม จนฺโทภาโส) เจ้าอาวาสวัดซายากง จึงต้องขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังคาคนเดียว

พี่ ๆ ๔-๕ ท่าน ก็สนุกกันใหญ่ ปลอมเป็นพระพม่านั้นไม่มีปัญหาหรอก ไปมีปัญหาตอนจะเข้าเมืองมะละแหม่ง ตำรวจจราจรเขาโบกรถให้หยุด ยึดใบขับขี่ไป คนขับถามว่าข้อหาอะไร ? เขาบอกว่าให้พระอยู่บนหลังคารถมากเกินไป จนอาจจะเป็นอันตรายได้..!

คนขับก็เซ่อรับประทาน เพราะเห็นพระนั่งอยู่รูปเดียว มาบอกว่าพระมากเกินไป คือ ท่านพี่ ๆ ทำให้จราจรเห็น แต่คนขับไม่เห็น คนขับก็บอกว่า "เอาอย่างนี้แล้วกัน ผมให้ใบขับขี่ไว้ เดี๋ยวผมไปส่งผู้โดยสารที่มุด่งเสร็จแล้วค่อยกลับมาคุยกัน" ตำรวจก็ให้ไป ไม่รู้ว่าป่านนี้คุยกันรู้เรื่องหรือยัง ?!!

คนทั่ว ๆ ไปจะเห็นท่านอาจารย์จันทร์นั่งอยู่รูปเดียว แต่ตำรวจจราจรเห็นพระ ๕-๖ รูปนั่งอยู่ข้างบนหลังคา จึงได้รู้ว่า จริง ๆ แล้ว ท่านก็อยากสนุกเหมือนกัน แต่ว่าพี่ ๆ เหล่านั้น เวลาอยู่ข้างบนเป็นผู้ใหญ่มาก เล่นก็ไม่ได้ คราวนี้พอมีน้องเชิญมา ก็เลยปล่อยเต็มที่ วิสัยเดิมเป็นอย่างไรก็มาอย่างนั้นเลย ชอบสนุก ชอบแกล้งคนอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น"

เถรี
18-04-2011, 21:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของเช็งเม้งหรือเทศกาลไหว้บรรพบุรุษ ถ้าหากว่าผู้ใหญ่ท่านยังอยู่ เราก็ทำไปกับเขา อย่าไปขัดเขา ไปไหว้ร่วมกับเขา พอไหว้เช็งเม้งเสร็จ เราค่อยมาถวายสังฆทานกันทีหลัง

ในส่วนที่เป็นขนบธรรมเนียมประเพณี แม้เราจะรู้ว่าไม่ค่อยได้บุญ หรือประเพณีบางอย่างก็แทบไม่มีประโยชน์อานิสงส์เลย แต่นั่นเป็นสิ่งที่เขายึดถือปฏิบัติกันมานาน เพราะฉะนั้น..อย่าไปขัดเขา เราก็เช็งเม้งด้วย พอเช็งเม้งเสร็จเราก็มาถวายสังฆทานอุทิศให้บรรพบุรุษอีกทีหนึ่ง"

เถรี
18-04-2011, 21:45
"เรื่องของฮวงจุ้ยที่ทำให้เกิดสุสานต่าง ๆ ขึ้นมา คนจีนเขาจะถือว่า ความมั่นคงของสุสานบรรพบุรุษ ก็คือ ความมั่นคงของวงศ์ตระกูลหรือบุตรหลาน

เขาจะเลือกฮวงจุ้ยที่หลังพิงเขา หน้าหันลงน้ำ ถ้าซ้ายขวามีภูเขาขนาบด้วยยิ่งดี แต่ว่าฮวงจุ้ยของเขาจะเป็นแนวเหนือ-ใต้ ยิ่งถ้ามีแนวเขาวิ่งยาวจากเหนือลงใต้จะยิ่งดี และถ้ามาสิ้นสุดลงตรงหน้าแนวเขาเป็นที่ราบกว้างใหญ่ยิ่งชอบใจ เพราะเขาถือว่าเป็นมังกรลงทะเล มังกรจะแผลงฤทธิ์ได้เต็มที่ก็ตอนอยู่ในทะเล..ใช่ไหม ? เขาจะเลือกหาที่ที่เหมาะสม แล้วไปตั้งฮวงจุ้ย

ปี ๒๕๑๘ ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิด ทองคำบาทหนึ่งยังราคาพันกว่าบาทอยู่ ขึ้นเต็มที่ก็ประมาณสองพัน ทางบ้านอาตมาซื้อฮวงจุ้ยหลังละสองหมื่นห้า..! แปลว่าใช้ทองสิบกว่าบาทซื้อพื้นที่แค่นิดเดียวเท่านั้นเอง แต่ทำเลดี"

เถรี
18-04-2011, 21:55
พระอาจารย์กล่าวว่า "ฝรั่งเขาได้ทำวิจัยแล้ว พบว่าในเรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วยต่าง ๆ ผู้หญิงจะมีความอดทนมากกว่าผู้ชายหลายเท่า เพราะธรรมชาติเขาสร้างความอดทนให้แก่ผู้หญิงมากกว่า

ตั้งแต่คลอดลูก สมัยก่อนเขาไม่มียาฉีด ไม่มีการบล็อกหลัง คลอดลูกแต่ละครั้งแทบปางตาย ก็เลยสร้างความอดทนให้เพศหญิงมากกว่า เพราะฉะนั้น..ถ้าอาการป่วยหนักเท่า ๆ กัน ส่วนใหญ่ผู้ชายจะตายก่อน ส่วนผู้หญิงตายยาก..!"

เถรี
19-04-2011, 11:26
ถาม : อยากทราบรายละเอียดของพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ?
ตอบ : พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ กว้าง ๓๐ โยชน์ ยาว ๖๐ โยชน์ เป็นหินสีแดงแต่ว่าเนื้ออ่อนเหมือนสำลี ถ้านั่งลงจะจมลงประมาณถึงสะดือ นิ่มขนาดนั้น

พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์จะแข็ง ก็ต่อเมื่อบุคคลที่มีศีลมีธรรมในโลกมนุษย์ที่สร้างสมบารมีมาดี มีความเดือดร้อน พระแท่นจะแข็งขึ้นมา พระอินทร์ก็จะส่องทิพเนตรดูว่าเกิดจากอะไร และสามารถช่วยเหลือได้อย่างไร

ฉะนั้น..ถ้าใครอ่านวรรณคดีเรื่องสังข์ทอง อาจจะเคยได้ยินว่า

มาจะกล่าวบทไป.......................ถึงท้าวสหัสนัยน์ไตรตรึงษา
ทิพอาสน์เคยอ่อนแต่ก่อนมา...........กระด้างดั่งศิลาประหลาดใจ
จะมีเหตุแม่นมั่นในแดนดิน...........อมรินทร์เร่งคิดสงสัย
จึงสอดส่องทิพเนตรดูเหตุภัย........ก็แจ้งใจในนางรจนา ฯลฯ

เถรี
19-04-2011, 11:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "กาแฟเป็นสิ่งที่อันตรายมาก ๆ เพราะเวลากินเข้าไป จะไปทำให้จังหวะหัวใจเต้นเร็วขึ้น พอหมดฤทธิ์ หัวใจก็กลับมาเต้นเท่าเดิม พอโดนเข้าบ่อย ๆ กลายเป็นว่า หัวใจเต้นผิดปกติโดยอัตโนมัติ ก็จะพังเร็ว เพราะเครื่องเดินรอบไม่เท่ากันบ่อย ๆ

ถ้าใครกินกาแฟเป็นประจำ เตรียมสตางค์ไว้รักษาโรคหัวใจด้วย รับรองว่าได้เจอแน่นอน..!"

เถรี
19-04-2011, 11:28
ถาม : แผ่นดินจะไหวไปถึงเมื่อไร ? มีอะไรป้องกันได้ ?
ตอบ : วัตถุมงคลทุกอย่างที่เป็นคุณพระกันได้จ้ะ แต่ว่าเราต้องอาราธนาเป็นประจำ

เถรี
19-04-2011, 17:57
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในบาลีเขาบอกว่า อาหาระนิททัง ภะยะเมถุนัญจะ สามัญญะเปตัปปะสุภีนะรานัง

อาหาระ คืออาหาร นิททัง คือการนอน ภะยะ คือความกลัว เมถุนะ คือการเสพกาม สามัญญะเปตัปปะสุภีนะรานัง มีความเสมอเหมือนกันระหว่างบุคคลและสัตว์ ปะสุ ก็คือสัตว์ นะรานัง คือคนทั้งหลาย

ธัมโมหิ เตสัง อะธิโก วิเสโส มีแต่ธรรมะเท่านั้นที่ทำให้แตกต่างกันได้ ธัมเมนะ วีณา ปะสุภิสสะมานา เพราะหลักธรรมของพระพุทธเจ้าจึงทำให้คนต่างไปจากสัตว์

เพราะฉะนั้น..ถ้าเรากลัวภัยก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะธรรมชาติของมนุษย์และสัตว์มีความกลัวภัยเป็นเรื่องปกติของเขา เมื่อถึงเวลากลัวภัยก็ต้องหาวิธีหนีภัย หลบหลีก ป้องกัน ต่อสู้ แล้วแต่สถานการณ์ว่าเป็นอย่างไร

เมื่อรังสีจากญี่ปุ่นใกล้มาถึงไทย มีแต่คนโทรหา "มีวัตถุมงคลอะไรที่กันรังสีได้บ้าง ?" ท้ายสุดก็เลยต้องแนะนำพระสมเด็จหางหมากของหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกไว้ชัดเจนสุดว่า "รัศมีสี่เมตร รังสีเข้าไม่ได้"

ที่กล่าวไว้ชัด ๆ อีกจุดหนึ่ง ก็เป็นปฐวีธาตุของหลวงปู่เจ้าคุณนรฯ ตอนที่ท่านเสกเสร็จท่านบอกว่า มีอานุภาพกันรังสีได้ แต่ว่าปฐวีธาตุมีปลอมกันเยอะมาก เพราะในสายตาคนทั่วไปก็เป็นเม็ดกรวดล้างสะอาดหน่อยเท่านั้นเอง

ถ้าไม่ได้รับมาจากมือของคนที่เชื่อถือได้และมีประวัติชัดเจน อย่าไปเสี่ยงเลย เพราะอะไรที่ดังขึ้นมา ตลาดท่าพระจันทร์มีเป็นคันรถในเวลาที่ไม่นาน ตอนนี้ท่าพระจันทร์ปลอมพระกริ่งพิชัยสงคราม เหรียญทำน้ำมนต์ และ พระองค์ที่ ๑๑ ของวัดท่าขนุนกันแล้ว เพียงแต่ฝีมือหยาบไปหน่อย"

เถรี
19-04-2011, 18:09
พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่วัดเจดีย์หลวง เขาเก็บพระธาตุของครูบาอาจารย์เอาไว้มาก เก็บไปเก็บมา เก็บของหลวงพ่อวัดท่าซุงด้วย ไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหน"

ถาม : เอาไว้ที่ไหนครับ ?
ตอบ : ถ้าเราเดินเข้าประตูหน้า จะอยู่ทางด้านหลังซ้ายของเจดีย์ เป็นหอเก็บพระธาตุ

แต่งานของหลวงปู่จันทร์ อลังการจริง ๆ นกหัสดีลิงค์ของหลวงปู่งามมาก ตามความเชื่อของคนโบราณ เขาเชื่อว่านกหัสดีลิงค์จะปรากฏก็ต่อเมื่อมีผู้มีบุญมาเท่านั้น

หัสดีลิงค์ แปลว่า นกที่มีเพศเหมือนช้าง หรือบางคนบอกว่านกที่ตัวใหญ่เท่าช้าง บางคนก็บอกว่าเป็นนกที่กินช้างเป็นอาหาร อย่างสุดท้ายนี่น่ากลัว ใหญ่ขนาดกินช้างเป็นอาหารได้..!

เขาบอกว่าผู้มีบุญจะขี่นกหัสดีลิงค์เพื่อไปสู่ป่าหิมพานต์ นกเขาจะมารับ ดังนั้น..บุคคลซึ่งเป็นที่เคารพนับถือ โดยเฉพาะบรรดาเจ้าเมืองหรือพระเถระผู้ใหญ่ เมื่อสิ้นชีวิตลง จะมีการสร้างที่ตั้งศพเป็นรูปนกหัสดีลิงค์เพื่อเผาส่งท่าน ในลักษณะว่าท่านเป็นผู้มีบุญขี่นกหัสดีลิงค์ไป

กลายเป็นว่า สร้างสวยเท่าไหนก็ตาม ท้ายสุดก็ต้องเผาไปพร้อมกับท่านด้วย แต่งานของหลวงปู่พระพุทธพจน์วราภรณ์ (จันทร์ กุสโล) มีใครได้ไปบ้างไหม ? เขาสร้างนกหัสดีลิงค์งามมาก ๆ สมกับเกียรติยศของท่านจริง ๆ

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=12581&stc=1&d=1303211816

เถรี
19-04-2011, 18:16
ถาม : ถ้าเราเอาภาพที่เคยติดตาเราในอดีตมาร่วมกับในเวลาที่เราฝึกสมาธิ และตามขั้นตอนไป แล้วก็ยกจิตค่อย ๆ นึกไปทีละขั้น อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นกสิณ ? เป็นอนุสติ ? หรือมโนมยิทธิครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ความตั้งใจของเรา การที่เรายกภาพในอดีตขึ้นมาและคิดคำนึงตามไป อันดับแรกจะเป็นอนุสติก่อน ถ้าเราจดจ่อมุ่งมั่นอยู่กับภาพนั้นจริง ๆ โดยไม่ย้ายจิตไปไหน จะเป็นการกำหนดของภาพกสิณ

แต่ถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ไม่ใช่ภาพที่เนื่องด้วยกองกรรมฐาน จะกลายเป็นว่าคุณไปฟุ้งซ่านเรื่องในอดีต จะทำให้กำลังของเราที่สั่งสมเอาไว้ใช้ในการตัดกิเลสเสียไปเปล่า ฉะนั้น...ถ้าไม่ได้เป็นภาพที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติให้ตัดทิ้งไปเลย แล้วกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออก

ถาม : เวลาผมมองพระแก้วใสหรือว่าพระสีทอง จะรู้สึกว่าจิตใจนั้นมีความสุขเบิกบาน คราวนี้ผมไปเอาภาพตรงนั้นมาเป็นอารมณ์ แล้วจิตคลาย ?
ตอบ : คลายลักษณะไหน ? คลายจากการยึดภาพนั้น ? หรือว่าคลายในลักษณะโปร่งเบา ปล่อยวาง สบาย ?

ถาม : พอเอาภาพนั้นมาเป็นอารมณ์แล้วคลายจากที่หนัก ๆ อยู่ครับ
ตอบ : ลักษณะนั้นแปลว่าสมาธิทรงตัวมากขึ้น การที่เรากำหนดภาพพระแก้วแล้วเรามีความสุข ก็คือลักษณะของการกำหนดอาโลกกสิณ ก็คือ กสิณแสงสว่างนั่นเอง

อย่างสมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านสร้างพระแก้วแล้วฐานปิดทอง ท่านบอกว่าจะได้กสิณสองอย่าง ก็คือได้กสิณแสงสว่างจากเนื้อแก้วที่ใส และก็ได้ปีตกสิณ ก็คือกสิณสีเหลืองจากฐานพระที่ปิดทอง ได้สองอย่างรวมกัน

คราวนี้เวลาเรากำหนดใจแล้ว ด้วยความที่ใจเรารักชอบ ก็เลยทำให้จิตใจเรายอมรับภาพนั้นได้ง่าย อารมณ์ปฏิบัติที่เคยผ่านอยู่ เพราะว่ายังเป็นขั้นตอนต้น ๆ ก็จะก้าวล่วงเข้าสู่สมาธิที่สูงขึ้น ก็จะรู้สึกว่าเบาลง

เถรี
19-04-2011, 21:00
ถาม : พอจังหวะนั้น ตัวผมลองนึกตาม เช่น นึกถึงสวรรค์ ก็เบาขึ้นระดับหนึ่ง นึกถึงพรหมก็เบาขึ้นอีก พอนึกถึงพระนิพพานก็เบาสว่างดี
ตอบ : เพราะว่าแต่ละระดับ ความหยาบละเอียดไม่เหมือนกัน สวรรค์ละเอียดกว่าภพภูมิทิพย์ชั้นต่ำอื่น ๆ อย่างเช่น นรก เปรต อสุรกาย เป็นต้น พรหมละเอียดกว่าสวรรค์ ส่วนพระนิพพานละเอียดกว่าพรหมจนประมาณไม่ได้ ถ้าเรายกจิตขึ้นไปตามลำดับจริง ๆ ก็จะมีความเบาขึ้นไปตามลำดับที่เราไปถึง

ถาม : แต่ว่าส่วนตัวผมไม่ทราบรายละเอียดต่าง ๆ ในสวรรค์ ในพรหม
ตอบ : ไม่ต้อง..เอาใจไปจดจ่ออยู่ที่พระนิพพานถือเป็นอุปสมานุสติไปก่อน ถ้าเราไม่ดิ้นรนอยากรู้อยากเห็นมากนัก จิตใจปล่อยวาง พอนิ่งได้ระดับการรู้เห็นจะปรากฏเอง ถ้าหากว่าทำแล้วยังอยากรู้เห็น ก็เหมือนกับน้ำที่กระเพื่อมอยู่ ยังไม่นิ่ง เมื่อไม่นิ่งก็ไม่สามารถที่จะมองอะไรเห็นได้

ถาม : ขณะที่เข้าสมาธิอยู่ เกิดระลึกชาติขึ้นมาได้ ผมรู้ว่าชาติที่เรานึกไปได้ จิตปัจจุบันเกิดสติขาดแล้วเราก็ไปตามในอารมณ์นั้น ถ้าจิตปัจจุบันกำลังคล้อยตามกับอารมณ์ในอดีต อย่างเรานึกว่าเราได้เป็นนักรบ มีโทสะตอนนั้น จิตเราดับตายตอนนั้น ก็คือไปตามอารมณ์ขณะนั้นที่ดับ ?
ตอบ : ขอบอกว่า ถ้าคุณระลึกชาติแล้ว ความรู้สึกไม่ไปด้วยแสดงว่าเป็นของปลอม..!

ถ้าระลึกชาติแล้วเห็นจริง ๆ ความรู้สึกของเราจะเป็นบุคคลหรือสัตว์นั้นจริง ๆ สิ่งที่เป็นรักโลภ โกรธ หลง ของคน ๆ นั้น เราจะรับรู้ได้อย่างเต็มที่เลย ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้น ก็เชื่อว่าระลึกชาติได้จริง แต่ถ้าหากเราสักแต่ว่ามองเห็น ยังไม่แน่ว่าจะใช่ จริง ๆ แล้วอารมณ์ต้องเป็นไปตามนั้นด้วย

แต่ขอให้คุณมั่นใจว่า ถ้าคุณเห็นจริง ๆ ตอนนั้น แปลว่าคุณใช้กำลังของฌานสมาบัติไปรู้เห็น ฌานสมาบัติที่คุมอยู่ถ้าเราตายตอนนั้นจะไปตามกำลังฌานที่เราได้ ยกเว้นว่าเกิดความบังเอิญ อดีตทำกรรมไว้เยอะ ถึงเวลาภาพปรากฏขึ้น แล้วไปรัก โลภ โกรธ หลงตามนั้น โดยที่ไม่ได้ตั้งท่าปฏิบัติ ไม่ได้ตั้งกำลังใจให้ทรงตัวก่อน ถ้าตายตอนนั้นก็ไปตามกำลังใจของตนเองตอนนั้น

เถรี
19-04-2011, 23:03
ถาม : เคยมีโยมอยู่คนหนึ่งเขาฝึกกสิณลม เวลาเขาหิวข้าว เขาจะใช้กสิณลมแทน ผมอยากทราบว่า ในเมื่อเราไม่หิว ทำไมเราไม่จับภาพนิมิตอาหารเป็นอารมณ์ไปเลยครับ ?
ตอบ : ถ้าหากคนหิวแล้วไปนึกถึงภาพอาหาร ก็จะยิ่งกระตุ้นความหิวให้มากขึ้น แต่ลักษณะที่เขาทำ เป็นการย้ำตัวเองให้อยู่ในระดับปีติ ซึ่งจะทำให้อิ่มเอิบ ไม่หิว

เพราะฉะนั้น..ไม่ใช่แต่กสิณลมที่คุณว่าเท่านั้นจึงทำได้ ถ้าการปฏิบัติของคุณถึง สามารถรั้งอยู่ในระดับปีติได้ ก็จะรู้สึกอิ่มโดยไม่หิวเหมือนกัน โบราณเขาเรียกว่า อยู่ด้วยธรรมปีติ แต่ถ้าไปนึกถึงภาพอาหารก็จะยิ่งหิวหนักขึ้น เพราะอยากกิน

เถรี
19-04-2011, 23:11
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครที่ภาวนาคาถาเงินล้านบ่อย ๆ ความคล่องตัวอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น ก็คือ ความคล่องตัวในเรื่องของกิจการงาน หรือการทำมาหากินของเรา เพราะบทคาถาที่ว่า พรัหมา จะ มะหาเทวา สัพเพยักขา ปะลายันติ เป็นคาถาปัดอุปสรรคโดยเฉพาะ ทีนี้เราไม่ได้ภาวนาบทเดียว ภาวนาทุกบทเลย เอาให้รวยไปเลย

วันก่อนมีโยมคนหนึ่งถามปัญหา อาตมาฟังแล้วก็ขำ เขาบอกว่าตั้งแต่ภาวนาคาถาเงินล้านมามีความคล่องตัวทุกอย่าง แต่ไม่รวยสักที..! อยากได้อะไรก็ได้อย่างนั้น นี่ยังไม่รวยใช่ไหม ? เขาคงอยากจะให้เงินทับตายก่อนจึงค่อยเรียกว่ารวย..!"

เถรี
19-04-2011, 23:15
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ที่คนมาบ้านวิริยบารมีน้อย เกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือ มาตั้งแต่วันเปิดบ้านแล้ว สาเหตุที่สอง เพราะว่าทางสลับซับซ้อนก็เลยไม่คิดที่จะมากัน สาเหตุที่สาม แค่รู้ว่าไปยากก็ท้อแล้ว บ้านนี้ชื่อวิริยะ แปลว่า ต้องเพียรพยายามถึงจะมาได้"

ถาม : แต่ถ้าเป็นบ้านอนุสาวรีย์คนก็คงเต็มเหมือนกัน
ตอบ : คนจะมากจะน้อยก็ไม่เป็นไร คนน้อยเป็นเรื่องดีเพราะเราไม่เหนื่อยมาก คนจำนวนมากเท่าไรก็ตาม ถ้าเขามาแล้วหวังพึ่งพาเราอย่างเดียว ก็เหมือนกับตู้รถไฟ พ่วงมากไปเรื่อย ๆ หัวรถจักรก็เหนื่อยตายชักเลย

ยิ่งน้อยยิ่งดี โดยเฉพาะถ้าเขามามาก ทำบุญมาก ก็ยิ่งเหนื่อยมาก เพราะได้ปัจจัยมาเท่าไร ก็ต้องก่อสร้างเป็นบุญให้เขา มาน้อย ๆ อาตมาปลอดภัยที่สุด

เถรี
19-04-2011, 23:18
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลที่เกิดมาแล้วได้พบกัน มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ในอดีตไม่เคยเกิดมาเจอกันนั้นไม่มี แรงบุญแรงกรรมที่เคยสร้างร่วมกันมาในอดีต จะชักจูงกันมาให้เจอกันในชาติปัจจุบันนี้ เพราะฉะนั้น..ทุกคนมักจะรู้สึกว่า เรามีความคุ้นเคยกันอยู่แล้ว"

เถรี
19-04-2011, 23:24
ถาม : หนูดูทีวีแล้ว คุณผัดไทที่เป็นดารา เขาบอกว่าเขาเคยไม่สบายมากเหมือนเขาตาย เขาเห็นเป็นภาพอยู่ในโบสถ์สีขาว ๆ ทุกอย่างเป็นแบบศาสนาคริสต์ของเขา ทุกอย่างขึ้นอยู่กับจิตของเราหรือคะ ทำไมเขาเห็นเป็นแบบนั้น ?
ตอบ : การที่เห็นแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความเชื่อ และวัฒนธรรมประเพณีที่สืบต่อกันมา แต่ความจริงแล้ว ก็คือนรกเดียวกัน สวรรค์เดียวกัน ถ้าเป็นเทวดาของไทย เราเคยชินว่ามีสภาพไหน ถ้าท่านแสดงสภาพอื่น เราก็ไม่รู้ว่าเป็นท่าน จึงต้องแสดงแบบนั้น แต่ว่าเทวดาองค์เดียวกัน ถ้าไปหาคนคริสต์ เขาก็ต้องห่มผ้าขาว มีวงแหวนสว่างอยู่บนหัว ไม่อย่างนั้นก็จะไม่รู้ว่าเป็นอะไร ก็ต้องแสดงไปตามความเชื่อถือของเขา

ถาม : ทำไมไปพระนิพพานจะต้องเป็นเครื่องทรงแบบไทยด้วย
ตอบ : อยู่ที่เราเห็นอย่างนั้น บางทีเราขึ้นไปท่านก็แต่งตัวธรรมดา ถือว่าเราเป็นลูกเป็นหลาน แต่งตามสบายก็ได้ แต่ถ้าเต็มสูตรเต็มบารมีของท่านจะเป็นอย่างนั้น และเต็มสูตรเต็มบารมีของแต่ละท่านก็ไม่เท่ากันด้วย

ถาม : ทำไมเครื่องทรงต้องเหมือนประเทศไทย ทำไมไม่เป็นแบบอินเดียที่ห่มส่าหรี ?
ตอบ : บอกแล้วว่าของจริงก็คือของจริง ถ้าของจริงเราเห็นได้ละเอียดแค่ไหน เราก็จะเก็บรายละเอียดได้มากเท่านั้น และขนบธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อถือของเขา บุคคลที่เป็นใหญ่ ผู้ที่สูงส่งอย่างกษัตริย์ของเขานิยมการแต่งตัวอย่างไร เขาก็จะเอาอุปาทานตรงนั้นไปจับด้วย ทำให้คิดว่าควรจะเป็นอย่างนั้น

ในเมื่อควรจะเป็นอย่างนั้น ท่านก็ต้องแสดงให้เห็นอย่างนั้นจึงจะเชื่อ แบบเดียวกับที่พระพุทธเจ้าต้องแสดงองค์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิเพื่อปราบพระยาชมพูบดี เพราะว่าถ้ายังแสดงองค์เป็นพระพุทธเจ้าอยู่ พระยาชมพูบดีก็จะไม่เชื่อ

เถรี
19-04-2011, 23:33
ถาม : ไม่ใช่เราอุปาทานไปเองว่าจะต้องเห็น..?
ตอบ : ถ้าเราเอาอุปาทานไปปน เราจะเห็นเป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่ถ้าเรารู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง ก็จะเป็นอีกอย่างหนึ่ง

ถ้าเคยฝึกมโนมยิทธิมา จะต้องเคยได้ยินหลวงพ่อฤๅษีบอกอยู่เสมอว่า ให้กราบขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้รู้เห็นตามความเป็นจริงทุกประการ เพราะโลกอื่นเขาไม่มีการปรุงแต่งหลอกกัน ถ้าเราขอให้เห็นตามจริง ท่านก็จะแสดงให้เห็นตามจริง ถ้าไม่ขอให้เห็นตามจริง บางทีด้วยความที่เคยผูกพันกันมา อาจจะเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูก เป็นปู่เป็นตา เป็นย่าเป็นยายกันมา ท่านก็มาในลักษณะธรรมดา ๆ แบบที่อาตมาไปเจอลุงกำนันสูบบุหรี่อยู่บนบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เพราะเคยเป็นลูกเป็นหลานท่านมา ท่านก็ทำท่านั้นให้ดู

ถาม : ไม่ได้เกิดจากจิตของเราเอง ที่เราเห็นก็คือเห็นจริง ๆ ?
ตอบ : ถ้าเราคิดไว้ก่อน ก็จะเห็นตามที่จิตปรุงแต่งไว้ เขาเรียกว่าอุปาทาน ถ้าเราไม่คิดไว้ก่อน ก็จะเห็นตามสภาพความเป็นจริง

แต่ถ้าเราไปได้อย่างแท้จริง ต่อให้คิดไว้ก่อนขนาดไหน ก็จะเห็นตามที่ตัวเองเห็นแบบนั้น อย่างที่อาตมาตั้งใจเต็มที่ว่าจะไปดูพระอินทร์ตัวเขียวปี๋ ขึ้นไปก็เจอลุงกำนันนั่งสูบบุหรี่เฉยเลย

ถาม : แต่ถึงคิดไว้เองก็ไม่เป็นไร ?
ตอบ : ก็ใช่..แต่การที่เราคิดไปเองและยึดถือของเดิม จะทำให้กลายเป็นรู้เห็นแบบฟุ้งซ่าน มีโอกาสถูกหลอกได้ง่าย ฉะนั้น..อย่างไรเสียก็พยายามวางกำลังใจตัดร่างกายให้ดี แล้วค่อยไป จะเห็นอย่างไรก็แล้วแต่ท่านเมตตาสงเคราะห์

เถรี
19-04-2011, 23:40
ถาม : การถวายหนังสือธรรมะที่ถวายทั่วไป กับถวายหนังสือคำสอนพระพุทธเจ้าโดยตรง เช่น หนังสือภิกขุปาฏิโมกข์ มีอานิสงส์เหมือนกันหรือไม่ ?
ตอบ : เป็นอานิสงส์ธรรมทานเหมือนกัน แต่ว่าผลที่ได้รับจะได้ต่างกัน การถวายหนังสือทุกชนิดจัดเป็นธรรมทานทั้งนั้น แต่สิ่งใดที่เป็นเรื่องของธรรมะโดยตรง สิ่งนั้นจะมีอานิสงส์มากกว่า

ถาม : การได้ไปร่วมงานพระราชทานเพลิงศพหลวงตามหาบัว ได้สังฆานุสติ และได้ความรู้สึกว่าเรานี่น่าเสียดาย ตอนท่านมีชีวิตอยู่ไม่ได้สนใจจะทำบุญกับท่าน เมื่อท่านสิ้นแล้ว จึงเห็นว่าโอกาสทำบุญกับพระอรหันต์หลุดลอยไปแล้ว ผู้ที่อยู่ภายหลัง ยังไม่ตาย ควรจะพิจารณาอย่างไร เพื่อที่จะมีหลักยึดในพระธรรม จะได้ไม่ยึดในสังขารของพระที่ละสังขารไปแล้ว ?
ตอบ : ก็แค่คิดว่าแม้แต่ท่านก็ยังตาย เพราะฉะนั้น..เราต้องตายแน่ ๆ เป็นสังฆานุสติและมรณานุสติด้วย ในเมื่อเราตายแน่ เราก็อย่าประมาท เร่งปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากเข้าไว้

เถรี
20-04-2011, 07:19
ถาม : ทำอย่างไรเราจึงจะรู้ว่าบารมีเราจัดอยู่ในระดับใด ? และจะฝึกอย่างไรให้บารมีเกิดขึ้นได้ สำหรับผู้ที่เรียกตัวเองยังบารมีอ่อน ยังไม่เข้มแข็ง เวลาโดนกระทบจะทำกำลังใจตก แล้วบารมีเสื่อมได้ไหม ?
ตอบ : บารมีก็คือกำลังใจ มีอยู่ ๓ ระดับด้วยกัน คือ สามัญบารมี (บารมีขั้นต้น), อุปบารมี (บารมีขั้นกลาง), ปรมัตถบารมี (บารมีขั้นสูงสุด) ในแต่ละขั้นก็ยังมีอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด รวมเป็น ๓ ระดับ ๙ ขั้น อยากรู้ว่าตัวเองอยู่ในบารมีระดับไหน ก็พิจารณาดูได้

ถ้าเป็นสามัญบารมีขั้นต้นนี่ เรื่องของทาน ศีล ภาวนา ไม่รู้เรื่องเลย สามัญบารมีขั้นกลาง บอกให้ทานก็รู้สึกเสียดาย ให้ไปก็เสียดายแทบจะขาดใจ แต่ถ้าสามัญบารมีขั้นปลาย ให้ทานได้ แต่ถ้าบอกให้รักษาศีลหรือเจริญภาวนา ก็จะไม่รู้เรื่องเลย

อุปบารมีขั้นต้นให้ทานได้ บอกให้รักษาศีลร้อยวันพันปีจึงจะเข้าใจเสียที ส่วนใหญ่จะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา อุปบารมีขั้นกลางให้ทานได้ รักษาศีลยังขาดตกบกพร่องไปเรื่อย ถ้าเป็นอุปบารมีขั้นปลาย ให้ทานได้ รักษาศีลได้ แต่บอกให้เจริญภาวนา ฟังยังไม่เข้าใจ เหมือนตักน้ำรดหัวตอ

ปรมัตถบารมีขั้นต้น ให้ทานได้ รักษาศีลได้ บอกให้เจริญภาวนา ก็ด่าชาวบ้านเขามากกว่า ปรมัตถบารมีขั้นกลาง ให้ทานได้ รักษาศีลได้ แต่ภาวนาบ้างด่าชาวบ้านเขาบ้าง ถ้าเป็นปรมัตถบารมีขั้นปลาย จึงจะให้ทานได้ รักษาศีลได้ ภาวนาได้ตามปกติ

เถรี
20-04-2011, 07:20
เราต้องดูตัวเราเอง ส่วนใหญ่ที่กำลังใจตก เกิดจากสมาธิตก ที่สมาธิตกเพราะปัญญาไม่พอ พิจารณาไม่ตลอดว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นธรรมดา การเกิดมาในโลกนี้ต้องมีการกระทบกระทั่งเป็นธรรมดา

ในเมื่อปัญญาไม่พอ สมาธิไม่พอ ถึงเวลาโดนกระทบก็กำลังใจตก รีบตะกายใหม่ทันทีที่รู้ว่าตก อย่าทิ้งระยะเวลาไว้นาน เพราะถ้าทิ้งระยะเวลาไว้นาน เปิดโอกาสให้กิเลสครอบงำเราได้ ก็จะชักจูงเราไปไกล และพาให้คืนได้ยาก เคยเปรียบเอาไว้ว่า คนสองคนหกล้มพร้อมกัน คนหนึ่งลุกขึ้นได้ก็เดินต่อไปเลย แต่อีกคนเอาแต่นั่งคร่ำครวญอยู่นั่นแหละ เจ็บเหลือเกิน ปวดเหลือเกิน เดินมาได้ตั้งไกลไม่น่าจะล้มเลย ถามว่าสองคนนี้ใครจะได้ระยะทางมากกว่ากัน ? ก็คือคนที่ล้มแล้วลุกเดินต่อเลย

ฉะนั้น..เรื่องการปฏิบัติก็เหมือนกัน รู้ว่าพลาดเมื่อไร ตัดสินใจเดี๋ยวนั้นเลยว่า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะปฏิบัติใน ทาน ศีล ภาวนา ให้เต็มที่ต่อไป ถ้าเราไม่หวั่นไหว สามารถที่จะไปต่อได้เลย ต่อไปเรื่องที่จะกระทบให้เราหวั่นไหวได้ ก็จะมีน้อยลงไปตามลำดับ ยิ่งกำลังใจสูงมากเท่าไร การกระทบก็จะน้อยลงมากเท่านั้น

เถรี
20-04-2011, 12:24
ถาม : บางทีก็เหมือนมีปัญหา รู้สึกว่าเบื่อ ทุกข์ก็ไม่เอา ไม่อยากได้อะไรเลย แล้วทำไมคนเราถึงต้องเกิดมาตั้งแต่แรก ? จุติเกิดมาเป็นดวงวิญญาณเลยหรือคะ ? ตรงนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ใช่หรือคะ ?
ตอบ : ถ้าต้นไม้มีเมล็ด เมล็ดก็จะงอกต่อไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่มีเมล็ด คือสิ้นเชื้อแล้วก็งอกต่อไม่ได้ อย่างเรางอกมาถึงปัจจุบันนี้แล้ว ทนไปอีกสักชาติหนึ่งไม่ได้หรือ ?

ตั้งใจว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา ขึ้นชื่อว่าการเกิดต่อไปไม่มีสำหรับเราอีก เราต้องการที่เดียวคือพระนิพพาน แล้วกติกาความเป็นพระโสดาบันเป็นอย่างไร เราก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติไป โดยคิดอยู่เสมอว่า ถ้าเราตายตอนนี้เราขอไปพระนิพพานที่เดียว

ถ้ากำลังใจเราเกาะมั่นคงอย่างนี้ได้ สักเช้าวันละ ๑๐ นาที เย็น ๑๐ นาที ตายแล้วไปพระนิพพานได้แน่นอน เพราะเท่ากับว่าเราตั้งเป้าหมายเอาไว้แล้วว่าเราต้องการอย่างนั้น แบบเดียวกับจองตั๋วรถไว้ พอเราขึ้นรถ รถก็จะไปส่งยังจุดหมายเอง

ถาม : แต่หนูรู้สึกว่า กำลังใจของหนูจะไปตกร่องตรงอรูปพรหมเสียก่อน
ตอบ : ไม่มีปัญหา เราก็ไปอรูปพรหมก่อน แล้วก็ตั้งใจว่าตายจากตรงนี้เราจะไปนิพพาน ใจสุดท้ายเอาเกาะนิพพานไว้ เราแค่เอานิพพานต่อท้ายไว้นิดเดียว กำลังอรูปพรหมสูงมากอยู่แล้ว แค่ต่อท้ายด้วยนิพพานก็พอ

ถาม : หนูรู้สึกว่าพวกรัก โลภ โกรธ หลง ถ้าคนถึงฌานจึงจะละได้หรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..ต้องเป็นตั้งแต่พระสกทาคามีหรือเป็นพระโสดาบันละเอียดที่เรียกว่าเอกพีชีขึ้นไป ท่านทั้งหลายเหล่านี้ รัก โลภ โกรธ หลงแทบจะไม่ปรากฏแล้ว แต่ว่ารัก โลภ โกรธ หลงที่ยังมีอยู่นั้น เป็นรัก โลภ โกรธ หลงที่ละเอียด เป็นกิเลสที่ลึกอยู่ในใจ

อย่างเช่น เราตั้งความปรารถนาว่า เราจะเกิดเป็นเทวดาชั้นนั้นชั้นนี้ ยังตั้งความปรารถนาว่า เราจะเป็นพรหมชั้นนั้นชั้นนี้ หรือยังต้องตะเกียกตะกายเพื่อความหลุดพ้นต่อไป สภาพจิตยังมีงานที่ต้องทำอยู่ ก็ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นได้ แต่ถ้าเราก้าวพ้นจากตรงนั้นแล้ว งานทุกอย่างไม่มี ก็จะปล่อยวางไปเอง

เถรี
20-04-2011, 12:34
ถาม : คนที่หวังจะไปพระนิพพาน ก็ต้องละรัก โลภ โกรธ หลง ได้ก่อน ?
ตอบ : จำเป็นต้องละให้ได้ก่อน แต่ไม่จำเป็นต้องละตามลำดับ จากบุคคลธรรมดากระโดดไปเป็นพระอรหันต์เลยก็ได้ บุคคลธรรมดากระโดดไปเป็นพระอนาคามีเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับกำลังสติ สมาธิ ปัญญาของตนว่ามีขนาดไหน

ดังนั้นว่า..ในความเป็นพระโสดาบันละเอียดหรือพระสกทาคามี รัก โลภ โกรธ หลงก็เหลือน้อยมากแล้ว ยกเว้นว่าเราขาดสติ ก็จะโผล่มาหน่อยหนึ่ง แต่ถ้าเป็นพระอนาคามี รัก โลภ โกรธ หมดเกลี้ยงแล้ว เหลือแต่ตัวหลงอยู่นิดเดียว

ตัวหลงที่เหลืออยู่ก็ไม่มีอะไร เป็นส่วนละเอียดที่ยังเห็นว่า บางทีบุญกุศลก็ยังเป็นความดีอยู่ เราต้องตั้งหน้าตั้งตาทำให้มากไว้ ก็ถือว่าเป็นตัวหลงเหมือนกัน เป็นการหลงในด้านดี ก็คือยังเกาะความดีอยู่

จำไว้ว่าถ้าต้องการหลุดพ้น ต้องปล่อย แต่ตอนแรกก่อนที่จะปล่อย เราต้องเกาะในด้านที่ถูกไว้ คือเกาะดีไว้ก่อน ถ้าเราไม่มีอะไรเกาะ เราก็จะไม่มีให้ปล่อย อย่าทำข้ามขั้นนะ ทำดีให้ถึงที่สุด ถ้าทำดีถึงที่สุดแล้วก็จะปล่อยดีไปเอง

ถาม : อย่างศาสนาเซน เขาก็ละรัก โลภ โกรธ หลง ไม่ได้หวังนิพพาน ในเมื่อละรัก โลภ โกรธ หลงก็ยากกับพอ ๆ ไปนิพพานเหมือนกัน ทำไมเขาไม่ไปนิพพาน ?
ตอบ : ที่เขาไปไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่ท่านเหล่านั้นมาทางสายพระโพธิสัตว์ กำลังใจของพระโพธิสัตว์จริง ๆ ต้องทำละเอียดกว่าพระอรหันต์เสียอีก แต่ว่ายังมีงานสุดท้ายที่หวังอยู่คือ เพื่อช่วยเหลือสัตว์โลกต่าง ๆ ทำให้กำลังใจสุดท้ายไม่ตัด

แต่ความละเอียดของใจท่าน สามารถทำได้เหมือนพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี เหมือนพระอรหันต์

ถาม : อย่างเราจะแซงโค้งสุดท้าย แก่ไปสัก ๖๐ ปี ยังละไม่ได้ ยังโกรธอยู่ ยังหลงอยู่ สุดท้ายเราจะตาย เราแซงโค้งตอนสุดท้ายได้ไหม ?
ตอบ : โค้งสุดท้ายเป็นตอนที่เรานอนตะแหงก ๆ อยู่ เรารักไหวไหมเล่า ? หามไปตีกับเขาไหวไหมเล่า ? ก็ไม่ไหว..ใช่ไหม ?

ในเมื่ออย่างนั้นเท่ากับ รัก โกรธ ก็หายไปอัตโนมัติอยู่แล้ว ก็เหลืออยู่อย่างเดียวว่า ร่างกายที่แก่กำลังจะตายชักอยู่นี้ เรายังเห็นว่าดีอยู่ไหม ? ถ้าเราเห็นว่าไม่ดี เราไม่เอาอีกแล้ว ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายนี้เราไม่ต้องการอีกแล้ว ตายแล้วเราไปพระนิพพานดีกว่า ตอนนั้นก็จะไปแซงโค้งปาดหน้าเข้าพระนิพพานได้เอง

เถรี
20-04-2011, 12:46
ถาม : ตอนนี้เรายังไม่เดือดร้อน ถ้าเรายังละไม่ได้ ?
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ ก่อน ละได้ไม่ได้ก็ช่างมัน ถ้าไม่ได้ก็คอยไปแซงโค้งสุดท้ายเอาตอนนั้น

ถาม : อย่างหนูไม่ได้ทำอะไรมากมาย เริ่มรู้สึกว่าอยากอ่านเว็บมากขึ้น เข้าใกล้ความดีมากขึ้นนิดเดียว นิดเดียวเท่านั้น แล้วรู้สึกว่าเจ็บที่หัวใจ หายใจขัด แล้วหงุดหงิด พาลทุกคนที่ขวางหน้า แล้วกลายเป็นทุกข์ขึ้นมา
ตอบ : นั่นแหละจำไว้ว่า สิ่งนั้นเป็นมาร คือ เครื่องขวางความดี เขาเรียกว่าขันธมาร ถ้าเราหัวหกก้นขวิดไปเรื่อย เราก็จะไม่เป็นอะไร แต่ถ้าเราตั้งใจทำความดี เขาก็จะเอาร่างกายนี้มาขวางให้เราเกิดมิจฉาทิฐิ คือความเห็นผิด คิดว่าเพราะทำความดีถึงเป็นอย่างนี้ เรากลับไปทำความชั่วเหมือนเดิมดีกว่า ถ้าอย่างนั้นเราก็จะพลาดไปจากความดีที่เราควรจะได้

ขอให้เราดีใจว่า ถ้าเขาทำการขวางเรามากเท่าไร แปลว่าเราเป็นคนที่มีคุณสมบัติที่จะหลุดพ้นมากเท่านั้น เพราะถ้าเราทำเมื่อไรก็จะพ้นมือเขา เขาจึงต้องขวาง ถ้าคนทำแล้วยังไม่พ้น เขาไม่ขวางให้เสียเวลาหรอก ของเราที่เกิดเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ขึ้น ให้รู้เลยว่าเรามีคุณสมบัติเพียงพอที่เขาจะทดสอบเราแล้ว ก็แปลว่าเรามีสิทธิ์ที่จะสอบได้แล้ว

ตั้งหน้าตั้งตาทำต่อไป โดยที่คิดว่าอย่างดีก็แค่ตาย ถ้าตายตอนนี้สิดี เราจะได้พ้นจากร่างกายที่มีความทุกข์นี้ เราจะได้ไปพระนิพพาน

ถาม : แต่ว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นกับใจ ไม่ได้เกิดขึ้นกับร่างกายนะคะ คือจะหงุดหงิด
ตอบ : เขาให้พิจารณาต่อไปเลยว่า บุคคลที่ปรารถนาที่จะพ้นทุกข์อย่างเรา ยังเต็มไปด้วยความทุกข์ขนาดนี้ คนอื่นที่ไม่ทุกข์นั้นไม่มี ความทุกข์มีสภาพปกติอย่างนี้ เป็นสมบัติของร่างกายนี้ เอ็งอยากจะทุกข์ก็จงทุกข์ต่อไปเถอะ ข้าอยู่กับเอ็งอีกเดี๋ยวเดียวเท่านั้น

เพราะถ้านับจริง ๆ ชีวิตนี้เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในใจก็พอเพียง เราหายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายแล้ว เราหายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว ในเมื่อจะตายลงไปอยู่แล้ว เอ็งจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ข้าจะไปพระนิพพาน

ยิ่งเราเห็นทุกข์มากเท่าไรยิ่งดี เพราะเราจะได้รู้สึกว่าร่างกายนี้น่ากลัว เราจะได้ไม่ต้องการอีก เพราะฉะนั้น..บอกให้มาเยอะ ๆ พวกนี้ท้าแล้วมักจะหนี ไม่สู้หรอก เขากลัวคนบ้า..!

เถรี
20-04-2011, 12:51
ถาม : ทำไมเวลาผมฝึกกสิณดิน ผมหายใจไม่ออก แน่นหน้าอก ?
ตอบ : มีอยู่สองอย่างด้วยกัน อย่างแรก ตอนเริ่มเราไปเริ่มเลย บางทีก่อนภาวนาทุกครั้ง ถ้าทำได้ ให้หายใจยาว ๆ สักสองสามครั้ง ระบายลมหยาบออกให้หมด แล้วค่อยมาภาวนา ไม่อย่างนั้นพอจิตเริ่มละเอียดขึ้น ลมหยาบยังเหลืออยู่ จะดันแน่นอยู่ข้างใน ทำให้หายใจไม่ออก

ประการที่สอง ขันธมารมาแกล้ง เขาอยากรู้ว่าเราแน่สักแค่ไหน หายใจไม่ออกแทบจะตายแล้ว เรายังกลัวอยู่ไหม ? แบบคราวที่แล้วที่มาแกล้งคุณจนสติแตก ในเมื่อมีบทเรียนแล้ว ก็ระมัดระวังด้วยว่าจะโดนอีก

ถาม : จะฝึกอย่างไรให้จิตปล่อยวางในความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นครุฑ ?
ตอบ : จริง ๆ จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ก็คือตัวกูของกูนั่นเอง ถ้าเราเห็นในสิ่งที่ดีกว่า เราก็จะไม่ต้องการอย่างนั้น คราวนี้เราลองพิจารณาดูว่า โลกของครุฑนั้นทุกข์ขนาดไหน ? เพราะว่าอยู่ในภพของสัตว์เดรัจฉาน ถึงแม้ว่าอยู่ในภาวะกึ่งทิพย์ก็จริง แต่ก็ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ตามภพภูมิต่าง ๆ เป็นปกติ

โดยเฉพาะว่าไม่มีโอกาสที่จะบรรลุมรรคผล เป็นการเสียชาติเกิดจริง ๆ..! ดังนั้น..ถ้าหากเรายังไปเกิดในลักษณะนั้นอีก โอกาสที่จะหลุดพ้นของเราก็ไม่มี เราเกิดในภพภูมิมนุษย์สูงกว่าตั้งเท่าไร โอกาสที่จะหลุดพ้นก็มีมาก เราควรปฏิบัติให้พ้นไปเลยดีกว่าที่จะไปติดอยู่แค่นั้น ถ้าพิจารณาอย่างนี้ได้ ใจก็จะค่อย ๆ ปลดออกมาเอง

เถรี
20-04-2011, 12:57
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกลัทธิต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจนกว่าจะเป็นศาสนานั้น มีอยู่จำนวนมากด้วยกัน ที่ให้คุณค่าให้ความสำคัญต่อเพศพ่อและเพศแม่มาก เพราะถือว่าเป็นผู้ให้กำเนิดชีวิต

อย่างศาสนาฮินดูก็มีการบูชาศิวลึงค์ ศิวลึงค์จะตั้งอยู่บนฐานโยนีที่ถือว่าเป็นอวัยวะของพระอุมา ถือว่าเป็นจุดกำเนิดชีวิต เป็นศูนย์รวมของพลังทั้งหมด พอเป็นศาสนาขึ้นมาแล้ว ตอนหลังก็ลามมาในศาสนาพุทธ กลายเป็นพุทธตันตระ

มีการกล่าวถึงพลังของเพศแม่ที่จะมาเสริมเต็มในความเป็นพ่อ คือ ความเป็นพ่อจะมีแต่ความแข็งแกร่ง ความเป็นแม่จะมีความอ่อนโยน แข็งอ่อนผสมรวมกันก็จะสมดุลพอดี ดังนั้น..ในทาง พุทธตันตระนี้ พระพุทธเจ้าของเขา ก็จะมีนางตาราที่เป็นศักติ คือคู่บารมี เป็นส่วนเสริมเต็มในบารมีของพระพุทธเจ้าท่านอยู่

เพราะฉะนั้น..ระยะหลัง ๆ เราไปเห็นรูปว่ามีผู้หญิงกอดเอวพระพุทธเจ้าอยู่ ก็ไปว่าเขาสร้างรูปลามกอนาจาร แต่ความจริงเราไม่ได้เข้าใจปรัชญาศาสนาของเขาว่าคืออะไร เขาถือว่าผู้หญิงกับผู้ชายต้องอยู่ด้วยกัน ความสมดุลถึงจะมี ไม่อย่างนั้นแล้วพลังจะหนักไปข้างเดียว ทำให้ไม่สามารถที่จะใช้งานได้อย่างเต็มที่ คือขาดความสมบูรณ์นั่นเอง"

เถรี
20-04-2011, 13:05
"ส่วนหนึ่งในปฐมสมโพธิกถา ท่านกล่าวถึงนางผุสดีที่ขอพร ๑๐ ประการจากพระอินทร์ แล้วจุติลงมาเกิดเป็นพระนางสิริมหามายา พร ๑๐ ประการนั้น มีอยู่ประการหนึ่งว่า ตั้งท้องจนถึงเดือนสุดท้ายจะคลอด ก็อย่าให้ท้องนูนออกมาจนมองเห็น

พระนางสิริมหามายาเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก ไม่มีใครสวยกว่านั้นอีกแล้ว เพราะนอกจากจะสมบูรณ์ด้วยเบญจกัลยาณีแล้ว ยังมีอิตถีลักษณะอีก ๖๔ ประการที่คู่ควรที่จะเป็นพระพุทธมารดา

เราเคยชินกับการทำนายลักษณะของสิทธัตถะราชกุมาร ที่พราหมณ์ทั้ง ๑๐๘ ท่าน ลงความเห็นไป ๑๐๗ ท่านว่า ถ้าหากไม่เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชปกครองโลก ก็จะต้องเป็นศาสดาเอกของโลก ยกเว้นโกณฑัญญะพราหมณ์ พราหมณ์หนุ่มที่สุด ฟันธงอย่างเดียวเลยว่า จะต้องเป็นศาสดาเอกของโลกโดยสถานเดียวเท่านั้น

นี่เราเคยชินกับคำทำนายนี้ แต่ถ้าเราไม่ได้ศึกษาให้ลึกลงไป เราไม่เคยชินกับคำทำนายของพระนางสิริมหามายา พราหมณ์ที่มาทำนายในลักษณะที่ฟันธงว่าจะเป็นพระพุทธมารดา เขาเอาคำว่าพระพุทธมารดามาจากไหน ? แสดงว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จะต้องมีจารึกอยู่ในคัมภีร์ต่าง ๆ ของศาสนาพราหมณ์อยู่แล้ว

อย่างเรื่องมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ อนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ ของพระพุทธเจ้า ที่เป็นลักษณะของมหาบุรุษ เขาก็บอกว่าท้าวมหาพรหมลงมาชี้แจงลักษณะเหล่านี้ให้แก่ผู้นำศาสนาของเขา แล้วได้บันทึกไว้เป็นคัมภีร์ เพื่อที่ถึงเวลาเมื่อมีมหาบุรุษปรากฏขึ้น ก็จะได้รู้ว่านี่ใช่แล้ว เพราะตรงกับตำรา

แต่ทางด้านของพระนางสิริมหามายาที่จะเป็นพระพุทธมารดา เราไม่รู้ว่าตำรานี้มาจากไหน เพราะว่าไม่ได้เขียนเอาไว้ อาตมาก็ไม่อยากจะมั่วว่าก็คงจะมาแบบเดียวกัน

พระนางสิริมหามายานอกจากที่จะสวยงามสมบูรณ์พร้อมที่จะเป็นพระพุทธมารดาแล้ว ยังมีความมหัศจรรย์ส่วนตัวอยู่อีก ๑๒ ประการด้วยกัน ความมหัศจรรย์ส่วนตัว ๑๒ ประการนี้ ในบาลี เรียกว่า อัจฉริยธรรม คำว่า อัจฉริยะ แปลว่า มหัศจรรย์ เหนือมนุษย์ ไม่เหมือนคนอื่นเขา"

เถรี
20-04-2011, 16:49
"ความอัศจรรย์ประการแรกก็คือ ถ้าหากพระพุทธมารดาจะให้ทานโดยอาหารที่บรรจุไว้ในถาดทองคำ บาลีเขาบอกไว้ละเอียดเลยว่า ต่อให้ผู้คนมาขอรับอาหารทั่วทั้งชมพูทวีป อาหารนั้นก็ไม่ได้พร่องลง ลักษณะคล้าย ๆ ท่านเมณฑกเศรษฐี ที่ตักข้าวออกไปเลี้ยงคนทั้งเมือง ก็แหว่งไปแค่ทัพพีเดียว

แต่กรณีของพระพุทธมารดาไม่ได้เลี้ยงคนทั้งเมือง หากแต่เลี้ยงคนทั้งชมพูทวีป ซึ่งสมัยนั้นเขาหมายถึงโลกมนุษย์ คือเลี้ยงคนทั้งโลก..!

ความอัศจรรย์ประการที่ ๒ ของพระนางสิริมหามายา ก็คือ ใครเจ็บไข้ได้ป่วย แค่ท่านยกมือแตะคนป่วยก็หาย ฟังแล้วคุ้น ๆ ไหม ? มีใครอ่านพระคัมภีร์ไบเบิลมาบ้าง ? พระคริสต์ก็คือพระเยซู..ใช่ไหม ? สัมผัสตัวคนป่วยก็หาย แสดงว่าเรื่องแบบนี้ มีอยู่ในทุกศาสนา ขึ้นอยู่กับว่า บุคคลนั้นประกอบด้วยบารมีธรรมระดับไหน ดังนั้น..ใครที่เป็นมะเร็ง รีบไปหาพระพุทธมารดาโดยด่วน ขอให้พระองค์ท่านช่วยจับให้หน่อย

ความมหัศจรรย์อย่างที่ ๓ อยากให้ท่านมาช่วยจับแถว ๆ นี้หน่อย ท่านบอกว่า จับต้องใบของติณชาติ (หญ้า) หรือรุกขชาติ (ต้นไม้) ก็จะกลายเป็นสุวรรณ (ทองคำ) ทั้งหมด นี่ดีกว่าพระราชาไมดาส

พระราชาไมดาสขอพรจากเทพเจ้า เพราะว่าท่านชอบทองคำมาก ขอพรว่าทุกอย่างที่พระองค์จับต้องขอให้กลายเป็นทองคำ จับอาหารก็เลยเสวยไม่ได้เพราะว่ากลายเป็นทอง เผลอหน่อยเดียว ลูกที่รักวิ่งเข้ามา จับเข้าก็กลายเป็นทองไปอีก นั่นท่านขอพรแบบไม่รอบคอบ แต่ว่าของพระนางสิริมหามายา จับต้นไม้ใบหญ้า ต้นไม้ใบหญ้าเหล่านั้นจะกลายเป็นทอง แต่อย่างอื่นไม่เป็น

ความมหัศจรรย์อย่างที่ ๔ ก็คือ ถ้าพระองค์ท่านปลูกต้นไม้ จะโตทันตาและออกดอกออกผลให้เดี๋ยวนั้นเลย"

เถรี
20-04-2011, 18:55
"ถ้าเราอ่านพุทธประวัติในช่วงพรรษาที่ ๗ ที่นายคัณฑะนำผลมะม่วงมาถวายพระพุทธเจ้า ความจริงนายคัณฑะเป็นนายอุทยานอยู่ ปลูกผลมะม่วงแล้วออกลูกสุกเหลืองอร่าม มีหน้าที่ต้องเก็บไปถวายพระราชา แต่นึกขึ้นมาได้ว่า ถวายพระพุทธเจ้าได้บุญมากกว่า จึงตัดสินใจนำไปถวายพระพุทธเจ้า ถ้าพระราชาจะประหารชีวิตเราก็ยอม

พอพระพุทธเจ้าเสวยผลมะม่วงแล้ว จึงสั่งให้นายคัณฑะขุดหลุม หย่อนเม็ดมะม่วงลง กลบดิน เอาน้ำล้างพระหัตถ์รดลง พอรดด้วยน้ำล้างพระหัตถ์เท่านั้น ก็งอกขึ้นมากลายเป็นต้นมะม่วงโตทันทีเลย เพราะพระองค์ท่านบอกว่า จะแสดงยมกปาฏิหาริย์ที่ต้นมะม่วง

พระพุทธเจ้าตรัสว่า วิชาเหล่านี้ทางด้านศาสนาอื่น ๆ เขาทำกันได้เป็นปกติ เรียกว่า ตัชชารีวิชา ถ้าหากว่าเป็นเราสมัยนี้เรียกว่า "เล่นกล" แต่ของพระองค์ท่านนั้นเกิดด้วยบุญญาบารมีจริง ๆ

คนสมัยก่อนทำได้เป็นปกติ จนกระทั่งทุกวันนี้ แขกก็เล่นกลหลอกเราเป็นปกติ ตัชชารีวิชาจัดเป็นมายาการอย่างหนึ่ง มายาการนี่จะต้องประเภทหลอกชาวบ้านเขาได้ ไม่อย่างนั้นหากินไม่ได้หรอก

ความมหัศจรรย์ประการที่ ๕ ก็คือ ถ้าหากว่าพระนางเสด็จไปที่ไหนก็ตาม แม้กระทั่งขึ้นไปบนยอดเขาที่ไม่มีน้ำ ถ้ากระหายน้ำขึ้นมา ท่านบอกว่าก็จะมีน้ำผุดขึ้นมาโตเท่าลำตาล จะเสวยหรือจะสระสรงอย่างไรก็ได้

ให้เราสังเกตว่า เนื้อหาเหล่านี้ต่อเนื่องกันมาในลักษณะเดียวกัน ก็คือ แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ที่เกิดขึ้นจากบารมีที่พระองค์ท่านสั่งสมมา จนกระทั่งเหมาะสมที่จะเป็นพระพุทธมารดา"

เถรี
20-04-2011, 19:03
"ความอัศจรรย์ประการที่ ๖ ของพระพุทธมารดา ก็คือ ไม่ว่าจะเสด็จไปไหน ก็ไม่ต้องเตรียมอาหารไป ถึงเวลาเทวดาจะนำโภชนะอันเป็นทิพย์มาถวาย ไม่ได้ถวายคนเดียวนะ ถวายมากพอที่จะเลี้ยงบริวารของพระนางทั้งหมดได้ด้วย

ความอัศจรรย์ประการที่ ๗ ของพระพุทธมารดาก็คือ ไม่ว่าจะเสด็จไปประพาสสระสวนอุทยานที่ไหน ก็ไม่ต้องเตรียมเครื่องแต่งตัวไป จะสระสรงสนานอย่างไร เทวดาจะนำเครื่องทิพย์ของหอมและนำพัสตราภรณ์ต่าง ๆ มาถวายให้ได้ใช้ทุกครั้ง

พวกเราอย่าเผลอนะ อยากเป็นพระพุทธมารดาเดี๋ยวได้เป็นจริง ๆ เพราะเท่ากับว่าเราได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ ฉะนั้น..เป็นเรื่องที่เราต้องคอยระมัดระวังด้วยว่า จิตของเราจะคล้อยตามหรือเปล่า ?

ความอัศจรรย์ประการที่ ๘ ก็คือ เมื่อพระนางเข้าที่บรรทม ท่านใช้คำว่า ยักขราชา ๘ ตน คือ บรรดาหัวหน้าเทวดาที่เป็นบริวารของท่านท้าวเวสสุวรรณทั้งหลาย จะถือวชิราวุธแวดล้อมคอยป้องกันอันตรายให้ตลอดคืน แสดงว่าอย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีเทวดาระดับมหาอำมาตย์ขึ้นไปมาให้การดูแลอยู่

ความอัศจรรย์ประการที่ ๙ คือ ไม่ว่าจะเสด็จไปที่ไหนก็ตาม บรรดาอสูรราช ก็คือราชาของอสูร น่าจะเป็นระดับท่านท้าวเวปจิตตาสูร ท่านอสุรินทราหู จะแปลงกายเหมือนกับเป็นนักแสดงมหรสพติดไปกับขบวน เพื่อคอยแวดล้อมระมัดระวังอันตรายต่าง ๆ ให้

พูดง่าย ๆ ว่า กลางวันก็มี รปภ.ส่วนตัวขบวนหนึ่ง กลางคืนก็ขบวนหนึ่ง แบ่งสรรหน้าที่กันเสร็จสรรพเลย เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ พวกเราฟัง ๆ แล้วก็ต้องมาคิดว่า บุญคนนี่ส่งให้เป็นไปถึงขนาดนั้นเลยหรือ ?"

เถรี
21-04-2011, 06:51
"เรามานึกดูว่า ตอนก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ กาลนาคราชและบริวารทั้งหลายก็ขึ้นมาแสดงมหรสพต่าง ๆ ถวายเป็นปกติ

อย่าลืมว่ากาลนาคราชหลับไปงีบเดียวพระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้อีกหนึ่งองค์แล้ว นอนงีบเดียวแต่นานเป็นพุทธันดรเลย นอนยังไม่ทันจะหายง่วง ถาดทองคำตกลงมาอีกใบหนึ่งแล้ว

พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะมีพระพุทธประเพณีอย่างหนึ่งก็คือ ก่อนจะตรัสรู้จะลอยถาดทองคำ เพื่อเสี่ยงบารมีว่าสามารถที่จะตรัสรู้ได้หรือไม่ ? เมื่อลอยถาดทองแล้ว ก็ไม่ใช่ลอยตามน้ำ แต่จะลอยทวนน้ำไปประมาณ ๘๐ ศอกแล้วก็จะจมลงไปที่บาดาลซึ่งกาลนาคราชนอนหลับอยู่ ก็ไปซ้อนกับใบเดิม ได้ยินเสียงดัง "แกร๊ก..!" พ่อเจ้าประคุณก็ลืมตาดู "จะตรัสรู้อีก ๑ องค์แล้วหรือ ?"

แสดงว่ากาลนาคราชนี่บุญดีจริง ๆ นะ เพราะว่าคนอื่น ๆ รอกัน ชาติแล้วชาติเล่า อย่างเมื่อวานที่พูดถึง เอรกปัตตนาคราชก็รอแล้วรอเล่า ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้เมื่อไร แต่กาลนาคราชนั้น พระพุทธเจ้ากี่พระองค์จะตรัสรู้ กาลนาคราชรู้ก่อนเพื่อนเลย จะบอกว่าท่านบุญดีหรือกรรมหนักก็ไม่รู้นะ นอนเพลินเหลือเกิน เรามีโอกาสนอนอย่างนั้นบ้างหรือเปล่า ?

พระพุทธเจ้าเคยตรัสถึงบุรพกรรมของคน ๔ คน มีอยู่คนหนึ่งที่พระองค์ท่านเทศน์ขนาดไหนก็ตาม หลับลูกเดียว ในอดีตชาติท่านนั้นเคยเกิดเป็นงูใหญ่ ชินกับการพาดหัวบนขนด แล้วก็หลับติดต่อกันมา ๕๐๐ ชาติ พอเกิดเป็นคนก็มีนิสัยเหมือนเดิม อยู่ที่ไหนก็หลับที่นั่น

พระอานนท์ก็สงสัย ทูลถามว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมประดุจมหาเมฆที่บันลือขึ้น เราฟังอย่างนี้ก็แปลไม่ออก ต้องบอกว่าเหมือนพระพุทธเจ้าแสดงธรรมเหมือนฟ้าผ่าลงมาข้างหู เขายังหลับได้..!

มหาเมฆบันลือขึ้นก็เหมือนกับฟ้าร้อง..ใช่ไหม ? เปรี้ยงปร้างโครมครามขนาดนั้น ยังหลับอย่างเดียวไม่รับรู้อะไรเลย พระอานนท์ถึงได้ทูลถามว่าเกิดจากกรรมอะไร ? พระพุทธเจ้าก็ตรัสให้ฟังถึงบุรพกรรมว่า เขาเคยเกิดเป็นงูใหญ่ติดต่อกันมา ๕๐๐ ชาติ มีใครบ้างที่นั่งที่ไหนหลับที่นั่น ถ้ามีก็คงจะเป็นอย่างนั้นแน่เลย"

เถรี
21-04-2011, 07:25
ความอัศจรรย์ประการที่ ๑๐ ก็คือ ถ้าเป็นฤดูร้อน เหล่าเทวดาจะนำน้ำทิพย์จากสระอโนดาต บรรจุในหม้อทองคำ มาถวายให้สรงทุกวัน

ความอัศจรรย์ประการที่ ๑๑ ก็คือ ถ้าเป็นหน้าหนาว เทวดาจะนำผ้าทิพย์จากต้นกัลปพฤกษ์ในป่าหิมพานต์ มีความยาว ๘๐ ศอก มาถวายเป็นผ้าห่มกันหนาว

ความเชื่อเรื่องต้นกัลปพฤกษ์ บางคนก็ตีความว่า ประเทศชาติอุดมสมบูรณ์ถึงขนาดว่าไปทางไหนก็ตาม พวกเครื่องใช้ไม้สอย ข้าวปลาอาหารไม่ขาดแคลน คือท่านที่ไม่เชื่อในเรื่องนี้ ก็ไปตีความอีกอย่าง

ความอัศจรรย์ประการที่ ๑๒ ของพระพุทธมารดา คือ ถ้าพระองค์ท่านต้องการให้ทานต่อบรรดาสมณชีพราหณ์ หรือคนยากจนเข็ญใจเมื่อไร ฝนจะตกลงมาเป็นแก้วแหวนเงินทอง เก็บไปให้ทานได้เดี๋ยวนั้นเลย

ดังนั้น..รวมความแล้วว่า นอกจากพระองค์ท่านจะเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดแล้ว ยังประกอบไปด้วยบารมีอันเป็นอัศจรรย์ ๑๒ ประการด้วยกัน บาลีเรียกว่า อัจฉริยธรรม ธรรมอันน่ามหัศจรรย์ แต่ก็มหัศจรรย์สำหรับบุคคลที่ไม่เข้าใจเรื่องการส่งผลของกรรมเท่านั้น

พระพุทธเจ้าตรัสว่า พุทธวิสัย ๑ ฌานวิสัย ๑ กรรมวิบาก ๑ โลกจิณไตย ๑ บุคคลทั่วไปไม่ควรคิด ถ้าหากว่าคิดพึงมีส่วนของความเป็นบ้า พึงมีส่วนของความเป็นบ้า แปลมาจากบาลีว่า อุมฺมตฺตกภาโค แต่ถ้าหากเป็นเราพูดภาษาไทยชัด ๆ ก็คือ คิดไปก็บ้าเสียเปล่า ๆ คิดไม่ออกหรอก

พุทธวิสัย ก็คือความสามารถของพระพุทธเจ้า บุคคลที่สร้างบารมีมาอย่างน้อย ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป บุคคลทั่ว ๆ ไปแค่ ๑ อสงไขยก็บรรลุมรรคผลได้แล้ว บุคคลที่ทำงานมากกว่า ๔ เท่า ย่อมรวยกว่าไม่รู้เท่าไร ไม่ต้องไปคิดหรอก เสียเวลาเปล่า ๆ

ฌานวิสัย ความสามารถของผู้ทรงฌานสมาบัติ เขาจะผาดแผลงสำแดงฤทธิ์อย่างไร ก็ทำได้อยู่แล้วเป็นปกติ เราทำไม่ได้แล้วไปคิดว่าเขาทำอย่างไรหนอ ? คิดให้หัวแตกก็คิดไม่ออก เพราะไม่ใช่เรื่องที่จะคิดได้ หากแต่เป็นเรื่องที่ต้องทำให้ได้

กรรมวิบาก คือการส่งผลของกรรม จะพิลึกพิลั่นอัศจรรย์ขนาดไหน แค่พระนางสิริมหามายา ทรงความอัศจรรย์ ๑๒ ประการ ก็ว่ามากแล้ว พระพุทธเจ้าของเราประกอบไปด้วยพระพุทธลักษณะอีกมากมายมหาศาล แต่ละอย่างเกิดจากกรรมในอดีตที่พระองค์ท่านสร้างมาทั้งสิ้น"

เถรี
21-04-2011, 07:32
"โลกจิณไตย ความเป็นไปของโลก ทำไมภาคเหนือถึงแผ่นดินไหว ? ทำไมภาคกลางจึงหนาว ? ทำไมภาคใต้ถึงน้ำท่วม ? คิดแค่ประเทศเราก็จะบ้าแล้ว ถ้าหากคิดไปว่า ทั้งโลกทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? ก็จะประสาทกินเสียเปล่า ๆ

ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จึงเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสห้ามเอาไว้ เพราะว่าวิบากคือการส่งผลของกรรมนั้น เป็นไปตามผลที่ตนเองทำมา แต่ว่าผลมหัศจรรย์นั้น ถ้าได้ทำในส่วนที่เป็นบุญกุศลในเขตของพุทธศาสนา จะส่งผลให้มากกว่าที่ทำจนประมาณไม่ได้

ความจริงในทักขิณาวิภังคสูตร พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า การได้ทำบุญกับนักบวชนอกพระพุทธศาสนาที่เป็นผู้ปราศจากความกำหนัด มีบุญมากประมาณไม่ได้ นั่นแค่นอกศาสนานะ

ถามว่านักบวชนอกศาสนาที่เป็นผู้ปราศจากความกำหนัด หมายถึงว่าเขาเป็นพระอนาคามีหรือเปล่า ? ไม่ใช่..หากแต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ฝึกฌานสมาบัติเสียจนมีความคล่องตัว สามารถกดรัก โลภ โกรธ หลงให้นิ่งสนิทลงได้ ไม่ใช่ดับกิเลส แต่กดกิเลสให้ดับลงชั่วคราว อย่างบรรดานักบวชอเจลกต่าง ๆ อย่างศาสนาเชนที่เป็นนักบวชแก้ผ้า

ถ้าหากว่าฝึกไม่ถึงระดับจริง ๆ เขาไม่ให้ออกไปข้างนอกเพื่อเผยแพร่ศาสนาหรอก ขายหน้าชาวบ้านเขา เพราะว่าเขาแก้ผ้าอยู่ ถ้าหากเกิดกามราคะจริง ๆ ผู้ชายเราจะปรากฏเห็นชัดเลย ดังนั้นว่า..ถ้าหากไม่ฝึกแล้วฝึกอีกจนมั่นใจแล้ว อาจารย์ก็ไม่ปล่อยออกไปให้ขายหน้าหรอก

ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ทำบุญกับนักบวชนอกพระพุทธศาสนาที่ปราศจากความกำหนัด ยังมีอานิสงส์ประมาณไม่ได้ เราก็ต้องมาคิดถึงที่พระองค์ท่านเปรียบเทียบว่า ทำบุญกับสัตว์เดรัจฉาน มีผลเป็น ๑๐๐ ส่วน ทำบุญกับบุคคลที่ไม่มีศีลมีผลมากกว่าอีกเป็น ๑๐๐ ส่วน ไล่ขึ้นไปเรื่อย จนกระทั่งเป็นบุคคลที่มีศีล บุคคลที่ทรงฌานสมาบัติเป็นปกติ

นักบวชนอกพระพุทธศาสนาเขาทรงฌานสมาบัติกันเป็นปกติ เราจะมาภูมิใจว่าเรามีหลักธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่ เราดีกว่าเขา วิเศษกว่าเขา แต่เรากระทั่งปฐมฌานเราก็ทรงไม่ได้ เราขายหน้าเขาบ้างไหม..?!"

เถรี
21-04-2011, 07:37
"อาตมาเคยไปท้ารบกับพวกโยคี ยังเผ่นแน่บเลย สู้เขาไม่ได้หรอก ตอนนั้นจำไม่ได้ว่าที่ไหนที่สร้างพระรอด แต่อาตมาต้องไปที่วัดมหาธาตุ เห็นเขาเชิญโยคีมาปลุกเสก อาตมาก็ตะหงิด ๆ ใจ "ไอ้ห่..พระตั้งเยอะแยะไม่นิมนต์มาเสก เอาโยคีมาเสก เห็นกูเป็นอะไรวะ..?!" กิเลสขึ้นหน้า ไหน..ขอลองหน่อย..คุณจะแน่สักแค่ไหน ?

โยคีเขาก็เก่งจริงเหมือนกัน เขานอนตะแคงข้าง มือวางตามยาวแนบพื้น แล้วบอกให้อาตมาขึ้นไปเหยียบบนมือได้เลย ถ้าเราลองนอนตะแคงเอามือเหยียดแนบติดพื้น มีคนเอาของใส่มือเรายกได้ไหม ? นี่อาตมาขึ้นไปยืนทั้งตัว เขายกลอยเฉยเลย..! ก็แสดงว่าเรื่องพวกนี้เขาทำกันได้เป็นปกติ

อาตมาก็ขี้โกง ตัวกูหนักไม่พอใช่ไหม ? เอาแผ่นดินไปด้วย ว่าแล้วเหยียบติดพื้นไปเลย เขาเห็นว่าแหกคอกนี่หว่า เล่นโกงแบบนี้เขาก็เอาด้วย เขาก็อธิษฐานเตโชธาตุจะเผา แล้วเรื่องอะไรตูจะอยู่ให้เผา โกยแน่บเดี๋ยวนั้นเลย..!"

เถรี
21-04-2011, 08:04
พระอาจารย์กล่าวถึงดอกบัวครรภ์รักษาว่า "ดอกบัว ๕ ดอก เขียนอักขระทุกกลีบ เสกด้วยบทอาทิตตปริยายสูตร อนัตตลักขณสูตร ธัมมจักกัปปวัตนสูตร มหาสมยสูตร จตุรัปปมัญญา จตุปัจจยเมตตา ยะโตหังฯ โพชฌงค์ฯ

รับประกัน ถ้าหากว่าไม่แม่นในมนต์คาถา ๓ ชั่วโมงครึ่งเสกไม่จบหรอก ถึงได้บอกว่าไม่ได้ยากตรงเขียน แต่ยากตรงเสก เป็นวิชาประจำตระกูลของหลวงปู่มหาอำพัน ท่านอุตส่าห์เมตตาถ่ายทอดให้

อาตมาทำครั้งแรกก็เจอลองของเลย เพราะว่าเด็กที่จะคลอดออกมาน้ำหนัก ๘ ปอนด์กว่า ประมาณ ๔ กิโลกรัม แค่ ๒ กิโลครึ่งก็ตัวใหญ่เบ้อเร่อแล้ว นี่ตั้ง ๔ กิโล หมอจะผ่า แม่เด็กเขายืนยันว่าไม่ผ่า "กินดอกบัวหลวงพ่อไปแล้ว อย่างไรก็คลอดได้แน่นอน" เล่นเอาหมอประสาทกลับไปเลย วิทยาศาสตร์เจอไสยศาสตร์เข้าเต็ม ๆ..!

ปรากฏว่าเขาคลอดได้จริง ๆ ปลอดภัยด้วย การทดสอบจึงถือว่าผ่าน เพราะถ้าเด็กตัวใหญ่ขนาดนั้นแล้วยังคลอดได้ ขนาดอื่นก็ไม่มีปัญหาหรอก ถึงได้กล้าทำต่อมาเรื่อย ๆ ถ้าไม่เจออย่างนั้นเข้า ก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าได้ผลจริงหรือเปล่า ?

ดอกบัวครรภ์รักษา ท่านบอกว่า เด็กที่เกิดมาจะฉลาดทุกคน แต่ให้ทำใจไว้เลยว่า โคตรซนเลย หลวงปู่ท่านบอกว่า เด็กฉลาดต้องซนเป็นธรรมดา"

เถรี
21-04-2011, 10:49
ถาม : มีใครคิดร้ายท่าน ?
ตอบ : อาตมาสร้างบุญไว้เยอะ ก็เลยมีแต่คนคิดร้าย แต่ก็เป็นธรรมชาตินะ โบราณเขาว่า คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ เราแปลความออกไหม ? หนังของเราก็ใหญ่แค่หุ้มตัวเอง แต่เสื่อสามารถหุ้มเราทั้งตัวไปได้อีกชั้นหนึ่งเลย เพราะฉะนั้น..อยู่ที่ไหนก็ตาม คนเกลียดมีมากกว่าคนรักอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเขามีโอกาสที่จะแสดงออกหรือไม่เท่านั้น

สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยเตือนไว้ว่า ถ้าแกไปอยู่ที่ไหนแล้วรู้สึกว่าคุ้นเคย สุขสบาย ให้รู้ว่าสถานที่นั้นเราเคยอยู่มาก่อนในอดีต แต่ให้ระมัดระวังด้วยว่า ถ้าเราเคยอยู่มาก่อนในอดีต ศัตรูตั้งแต่อดีตก็มีอยู่ด้วย

และอาตมาอยู่มาทั่วประเทศไทย ไม่เคยรู้สึกว่าที่ไหนแปลกที่เลย ขนาดกลางดงเสือดงช้าง ก็หลับสนิทอย่างเดียวเลย แสดงว่าเคยอยู่มาแล้วทุกที่

ในเรื่องของศัตรูโดยตรงไม่มี แต่มีหลายอย่างที่เราคาดไม่ถึง อย่างเช่นว่า พอเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมา จะมีบุคคลบางประเภทอยากลองว่าเก่งจริงหรือเปล่า ? สมัยก่อนอ่านนิยายจีนกำลังภายใน ทำไมจอมยุทธ์ถึงมีคนมาท้าสู้อยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ตูรู้แล้ว..ยังไม่ทันจะเป็นจอมยุทธ์เลย เขาก็ยังเอาเป็นเป้าอยู่เรื่อย..!

เถรี
21-04-2011, 10:53
ประการต่อไปก็คือว่า สายงานการปกครองคณะสงฆ์ คนอื่นเขาไม่เหมือนลูกศิษย์ของหลวงพ่อวัดท่าซุง ลูกศิษย์หลวงพ่อทำงานต่าง ๆ ไม่ได้หวังยศหวังตำแหน่ง ก็ทำเต็มที่ หวังแต่ในเรื่องบุญกุศล หวังสงเคราะห์คนหมู่มาก แต่เพราะว่าทำเต็มที่ ผลงานจึงออกมาดี ก็ทำให้คนที่หวังยศหวังตำแหน่งกลัวว่าเราจะเกินหน้าเกินตาเขา ก็มีรายการเตะสกัดเป็นปกติ

เพราะฉะนั้น..บางเรื่องดูแล้วไม่น่าจะเป็นเรื่อง ก็เป็นขึ้นมาได้ ต้องบอกว่ากิเลสคนพาให้เป็นอย่างนั้น เมื่อกิเลสคนพาให้เป็นอย่างนั้น เราก็ได้แต่แผ่เมตตาให้เขาไป ได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งเขาคงจะตาสว่างและก้าวพ้นจากจุดนั้นมาเสียที

เราเห็นข้อบกพร่องของเขา แสดงว่าเราเคยมีข้อบกพร่องอย่างนั้นมาก่อน เราถึงรู้ว่านั่นคือข้อบกพร่อง ในเมื่อเราเคยมีข้อบกพร่องมาก่อน เขารับช่วงในข้อบกพร่องของเราไป เขาก็คือทายาทที่รับมรดกจากเรา คนที่เป็นทายาทรับมรดก ถ้าไม่ใช่ลูกไม่ใช่หลาน ก็คือคนที่เรารัก เราถึงให้มรดกแก่เขา

เพราะฉะนั้น..ในเมื่อเขารับมรดกจากเรา ก็เปรียบเหมือนกับลูกกับหลาน เหมือนคนที่เรารัก เราอย่าไปโกรธไปเกลียดเขาเลย แผ่เมตตาให้เขาไปเถอะ ฟังดูเป็นคนดีจริง ๆ เลยนะ..!

เถรี
21-04-2011, 11:00
มีอยู่เที่ยวหนึ่ง ตอนนั้นอาตมาต้องเขียนพินัยกรรมเตรียมตัวตายไว้เลย เพราะว่าโดนหนักมาก ประเภทล้มทั้งยืน ตั้งใจจะไปกราบพระบนพระนิพพาน แต่ใจไม่ไป ไปหล่นอยู่กลางวงที่เขากำลังเล่นงานอาตมาอยู่พอดี มีทั้งห่มเหลือง ห่มขาว ทั้งนุ่งลาย เยอะแยะไปหมด สุมหัวกันเล่นงาน

อาตมาก็คิดว่าให้อภัย ๆ พยายามบอกตัวเองว่าให้อภัย แต่ตีนดันไปก่อน กวาดตูมเดียวกระจายทั้งวงเลย..! แสดงว่าสันดานตัวเองไม่ยอมอะไรง่าย ๆ ขนาดบอกว่าให้อภัย ตีนยังไปก่อนเลย แล้วก็หายป่วยเดี๋ยวนั้นเลยนะ เพราะว่าพอพิธีเขาพังก็หายเป็นปกติ

แต่นั่นเป็นการทำให้เขารู้ว่า อาตมายังไม่เป็นอะไร เขาก็เลยต้องไปหาคนที่เก่งกว่ามาจัดการต่อ อาตมาเริงร่าอยู่ได้แค่ ๒ วัน วันที่ ๓ ก็ร่วงอีก รบกับพวกนี้แล้วน่าเบื่อ เพราะเขาเล่นไม่เลิก เขาสู้ไม่ได้ก็ไปหาคนที่เก่งกว่ามาเรื่อย ๆ แล้วถ้าไม่มีคนที่เก่งกว่า เขาก็ใช้วิธีรุมสกรัม บางทีรวมหัวกัน ๑๐-๒๐ คน ช่วยกัน

เรื่องพวกนี้จะมีปกติ ให้ถือเป็นข้อทดสอบอย่างหนึ่งในชีวิต ว่าเราสามารถที่จะปล่อยวางได้แค่ไหน ? อย่างปัจจุบันนี้ ใครอยากทำอะไรก็ทำไป มีแรงให้ทำไป เดี๋ยวเขาเหนื่อยก็เลิกเอง อาตมาไม่ตอบไม่โต้อะไรทั้งนั้น

บางคนถามว่าทำไมไม่ตอบโต้ ? เพราะทันทีที่เราตอบโต้ เขาจะรู้ว่าเรายังไม่ได้เป็นอย่างที่เขาต้องการ แสดงว่ายังปกติดีอยู่ เขาก็เล่นไม่เลิก ให้ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เหมือนกับเราตายไปแล้ว พอเขาคิดว่าเราตาย เดี๋ยวเขาก็เลิกไปเอง

ถาม : ยันต์เกราะเพชรไม่ป้องกันหรือคะ ?
ตอบ : ยันต์เกราะเพชรป้องกันไม่ให้ตายเพราะไสยศาสตร์ แต่ไม่ได้ป้องกันไม่ให้เป็นอันตรายจากไสยศาสตร์

หลวงพ่อท่านบอกว่า เหมือนกับเขาก่อไฟกองใหญ่ไว้ เราก่อผนังกั้น เปลวไฟทำอันตรายเราไม่ได้ แต่ความร้อนก็มาถึง เพราะฉะนั้น..อย่าหวังพึ่งยันต์เกราะเพชรอย่างเดียว ต้องมีความสามารถส่วนตัวบ้าง แต่เชื่อเถอะ กระจิ๊บกระจ๊อยอย่างพวกเรา เขาไม่เสียเวลาไปทำหรอก ถ้าเขาจะเล่นงาน ก็จะเล่นหัวหน้าเลย

เถรี
21-04-2011, 15:50
ถาม : เวลาภาวนาแล้วเดินเร็ว ๆ หรือวิ่ง หนูเลือกจับลมหายใจกับเท้าไปด้วยพร้อมกัน ก็สอดคล้องกัน ทีนี้ตอนเริ่มวิ่งเร็ว ๆ ลมหายใจเริ่มไม่สม่ำเสมอค่ะ แล้วก็ไปกับเท้าไม่ได้ด้วย มั่วไปหมด
ตอบ : ให้กำหนดรู้เฉย ๆ เพราะว่าถ้าเรารู้ลมด้วย เท้าจะไม่ไป ฌานที่เกิดทำให้จิตกับประสาทเริ่มแยกจากกัน ให้กำหนดรู้การเคลื่อนไหวอย่างเดียว ฉะนั้น..ต้องทิ้งลมก่อน เอาสติสมาธิอยู่กับการเคลื่อนไหวแทน เป็นการกำหนดอิริยาบถในสติปัฏฐาน ๔

ถาม : การเคลื่อนไหวนี่เป็นลักษณะที่เราแยกจิตออกมา แล้วก็มองว่าร่างกายทำงานอย่างนี้ ๆ ไป
ตอบ : จะทำอย่างนั้นก็ได้ แต่ว่าขั้นตอนสูงเกินไป เพราะถ้ารู้ลักษณะนั้น จิตกับประสาทก็จะไปคนละส่วนกัน เราแค่เอาสติกำหนดรู้ไปก่อนว่า ตอนนี้เท้าขวาไป ตอนนี้เท้าซ้ายไป คือให้จิตอยู่กับปัจจุบัน แต่ถ้าฟุ้งซ่านก็มาอยู่กับลมหายใจใหม่

ถาม : ถ้ามีสมาธิต้องไม่เหนื่อยใช่หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : มีสมาธิไม่ได้แปลว่าไม่เหนื่อย เหนื่อยเหมือนคนทั่วไป แต่เหนื่อยช้ากว่า เราอาจจะวิ่งไปได้ ๓ กิโลเมตร แต่เพื่อนเราวิ่งแค่ ๓๐๐ เมตรก็เหนื่อยลิ้นห้อยแล้ว

ถาม : เวลาที่ภาวนาแล้วหลุดออกไป และตอนตายหลุดออกไป หนูสงสัยว่าเหมือนกันหรือเปล่า ?
ตอบ : เหมือนกัน เพียงแต่ว่าตอนตายเราไปแบบมีอนาคต ก็คือ สิ่งที่เราสั่งสมมาจนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้ไปตามแรงบุญแรงกรรมที่เราสั่งสมมา

แต่ตอนที่เราหลุดออกไป ต้องบอกว่าไร้อนาคต เพราะเราไม่ได้ตั้งเจตนา หลุดออกไปโดยที่เราเองไม่ทันจะตั้งใจว่าไปอย่างนั้น

ถาม : หลัง ๆ หนูมีความรู้สึกถึงความตายขึ้นมา ถ้าเป็นแต่ก่อนต้องไประลึกถึงว่าจะตาย ตอนหลังเป็นมาเอง ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่าเราอาจจะตายได้เสมอ
ตอบ : แสดงว่าปัญญาดีขึ้น ผลมาจากสมาธิที่ดีขึ้น ถ้าสมาธิทรงตัวปัญญาก็จะเกิด

ถาม : หนูจะแนะนำหรือชักชวนเด็กให้ภาวนาตลอดได้อย่างไร ?
ตอบ : ทำให้เขาดู แต่เด็กความจำเขาสั้น เราอย่าไปหวังมาก เอาแค่เขาภาวนาจับลมหายใจเป็นคู่ ๆ สัก ๕ คู่ ๑๐ คู่ แล้วก็ปล่อยให้ไปเล่นได้

ถาม : แต่ว่าให้ทำบ่อย ๆ ?
ตอบ : ให้ทำบ่อย ๆ อย่าไปตั้งความหวังมาก เดี๋ยวลูกไปบวชชีหมด..!

เถรี
21-04-2011, 15:52
ถาม : ขออธิษฐานว่า ชาติใดได้เกิดมาเจอพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์รูปใดรูปหนึ่ง ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้ฝึกกรรมฐานอย่างจริงจังด้วยค่ะ
ตอบ : ทำไมต้องรอนานขนาดนั้นด้วย ?

ถาม : เพราะกลัวว่าจิตเราตอนนี้ยังไม่พร้อม
ตอบ : จำไว้ว่าคนทุกคนที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังธรรมแล้วเลื่อมใสอยากจะปฏิบัติตาม มีต้นทุนพอแล้วทั้งนั้น สำคัญตรงที่ว่า ทำจริงหรือเปล่าเท่านั้นเอง

แปลว่าคุณมีสิทธิ์ที่จะไปพระนิพพาน เพียงแต่คุณจะใช้สิทธิ์นั้นไหม ? ถ้าไม่ใช้ก็ดีใจด้วย คงได้ท่องเที่ยวไปอีกนาน..!

เถรี
21-04-2011, 23:18
ถาม : เราได้มโนมยิทธิแล้ว เราจับภาพพระขึ้นไปบนพระนิพพาน ทีนี้เวลาเรามานั่งสมาธิก่อนสวดมนต์ ผมไม่ได้ใช้มโนมยิทธิขึ้นไป แต่ผมจำอารมณ์นั้นได้ จำภาพนั้นได้ ใช้ได้หรือยังครับ ?
ตอบ : คำถามของคุณ ต้นกับปลายสับสนกัน ถ้าหากคนได้มโนมยิทธิคล่องตัวจริง ๆ แค่คิดก็ไปถึงแล้ว เพราะฉะนั้น..คุณไม่ได้เจตนาจะไป แต่ใจไปอยู่ตรงนั้นแล้ว และควรที่จะทำเช่นนั้น

เราต้องเอากำลังใจเกาะพระนิพพานให้นานที่สุด ให้มากที่สุดในแต่ละวัน เพื่อให้สภาพจิตของเราเคยชินกับสภาพความปราศจากกิเลส แล้วจดจำอารมณ์นั้นมาเพื่อที่จะปฏิบัติ ถ้าหากเวลาไหนที่กิเลสกิน ให้รู้ว่าตอนนี้ใจเศร้าหมอง รีบส่งกำลังใจขึ้นไปใหม่ เพื่อทำกำลังใจให้สะอาดขึ้น ถ้าทำอย่างนี้บ่อย ๆ กิเลสจะลดน้อยลงเรื่อย ๆ ตามเวลา

ถาม : คือจำอารมณ์นั้นได้ ผมก็ขึ้นไปได้เลย ?
ตอบ : ไปได้เลย ถ้าไม่ไปถือว่าฉลาดน้อย..!

ถาม : ยันต์เกราะเพชรเขาห้ามผิดศีลข้อสองกับข้อห้า อย่างผมโหลดพวกโปรแกรมมาใช้อยู่ทุกวันนี้ ผิดศีลหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้ามีลิขสิทธิ์ถือว่าขโมย ถ้าไม่มีลิขสิทธิ์ก็ไม่ใช่ขโมย

ถาม : ถ้ามีคนเขาแฮกมา แล้วเราก็เอาของเขาต่อ ?
ตอบ : เขาขโมยมาแล้วเราก็ขมายต่อ ก็พอ ๆ กันนั่นแหละ อย่างที่นิทานเขาว่า ฝังทรัพย์สมบัติไว้กลัวขโมยจะรู้ ก็เลยปักป้ายไว้ว่า "ไม่ได้ฝังสมบัติไว้ตรงนี้"

ขโมยเห็นเข้าก็คิดว่าโง่มากเลย บอกอย่างนี้เขาก็รู้หมด ว่าแล้วก็ขุดไป แล้วปักป้ายเขียนว่า "นาย...ไม่ได้ขโมยไป" สรุปว่าแย่พอกัน

เถรี
21-04-2011, 23:33
ถาม : มีไฟล์อย่างหนึ่งในอินเตอร์เน็ตที่เขาปล่อยให้โหลดกัน บางทีเขาได้ไฟล์มา อาจจะเป็นไฟล์เพลง ไฟล์หนัง ไฟล์เกมส์ก็ตาม เจ้าของลิขสิทธิ์เขาอาจจะทำวิธีป้องกันของเขาไว้ ไม่ให้คัดลอกได้ แต่คนที่เขาไปซื้อแผ่นมา เขาก็จะทำลายวิธีป้องกันเหล่านั้น ให้สามารถโหลดแจกกันได้ ถ้าเราไปโหลดต่อผิดศีลไหมคะ ?
ตอบ : มีส่วนผิดแน่นอน เรารู้ว่าของนั้นมีเจ้าของ แล้วเจ้าของเขาหวง เราตั้งหน้าตั้งตาทำให้ได้มา อย่างนั้นผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่นี่คนอื่นทำให้ เราก็ไปฉวยประโยชน์ของเขามา ผิดไม่ครบร้อยหรอก แต่ผิดแน่..!

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ถ้าไม่อยากผิดก็อย่าคิดฟุ้งซ่าน คิดเสียว่าคนซื้อเขาให้โหลดต่อ เขาให้เราโหลดต่อจากเขาโดยเสน่หา

เถรี
22-04-2011, 08:07
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าเข้าไปไหว้พระแก้วมรกต ขอให้สังเกตว่า จะมีสิ่งหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนเส้นเชือกหุ้มกำมะหยี่แดง โยงไปที่มุมโบสถ์ด้านหลัง ขอให้รู้ว่านั่นเป็นเครื่องมือแบบโบราณ ที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายองค์พระ ท่านเตรียมเอาไว้เผื่อเวลาไฟไหม้

ถ้าการยกย้าย เคลื่อนย้าย โดยไม่มีการเตรียมการไว้ก่อนจะลำบากมาก เพราะว่าพระแก้วมรกตไม่ได้องค์เล็ก ๆ พระแก้วมรกตหน้าตัก ๑๖ นิ้ว แปลว่า หน้าตักกว้างเกือบฟุตครึ่ง และมรกตก็คือหิน หินที่หน้าตักกว้างเกือบฟุตครึ่ง คนทั่วไปยกไม่ไหวหรอก เขาก็เลยเตรียมเครื่องมือเหมือนกับรอกโบราณเอาไว้ พอถึงเวลาถ้าไฟไหม้ก็เลื่อนขึ้น ชักรอก ย้ายไปทางด้านหลัง แล้วหย่อนลงมา จะได้อุ้มหนีไฟได้

ฉะนั้น..โบราณเขาเตรียมการไว้พร้อม เข้าไปหัดสังเกตด้วยว่ามีอะไรไว้บ้าง ข้างในนอกจากพระแก้วมรกตแล้วยังมีพระสัมพุทธพรรณี มีพระแก้ววังหน้า มีพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีพระสำคัญหลายต่อหลายองค์ พวกเราเข้าไปมักจะมองแต่พระแก้วองค์เดียว ไม่เห็นองค์อื่นเลย"

เถรี
22-04-2011, 08:18
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "พระพุทธเจ้ากับพระเทวทัตก่อนหน้านั้นเป็นเพื่อนกัน เป็นพ่อค้าเหมือนกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง พ่อค้าที่เป็นอดีตของพระเทวทัตเข้าไปเจอครอบครัวเศรษฐีตกยาก ถามว่า "คุณยายมีข้าวของอะไรมาแลกกับเครื่องประดับบ้างไหม ?" หลานสาวคุณยายอยากได้เครื่องประดับ คุณยายดูทั้งบ้านแล้วมีถาดเก่า ๆ อยู่ใบเดียว จึงบอกว่า "มีถาดใบนี้ใบเดียว พอจะแลกได้ไหม ?"

พอพระเทวทัตลองขีดดูก็ทราบว่าเป็นถาดเนื้อทองคำ ด้วยความที่ตัวเองโลภมาก อยากได้กำไรมาก ไม่ยอมเสียเงิน จึงบอกว่าถาดใบนี้ไม่ได้มีราคาอะไร ทำเป็นไม่สนใจ ไม่แลกด้วย ตั้งใจว่าจะกดราคาภายหลังให้หนำใจ แล้วก็ไปดูบ้านอื่นต่อ

เมื่อพระพุทธเจ้าในชาติที่เป็นพ่อค้าเข้ามาในบ้านหลังนี้ ก็ถามในลักษณะเดียวกัน ยายก็บอกว่าไม่มีอะไรจะแลกนอกจากถาดเก่า ๆ ใบเดียว เมื่อครู่พ่อค้าคนก่อนเขาก็บอกแล้วว่าไม่มีราคา พระพุทธเจ้าก็บอกว่าให้เอามาดู

พอพระพุทธเจ้าในชาติที่เป็นพ่อค้าดู เห็นรอยขูดก็รู้แล้วว่าเป็นทองคำแท้ แสดงว่ายายซื่อจริง ๆ นอนกอดถาดทองคำมานานแต่ไม่รู้จัก ก็เลยบอกยายว่า "นี่เป็นถาดทองคำแท้ ราคาตั้งแสนกหาปณะ" ยายได้ยินแทบจะเป็นลม พระพุทธเจ้าก็เลยกลับไปรวบรวมสินค้าข้าวของทั้งหมด ตลอดจนเงินทองได้ประมาณแสนกหาปณะ เอามาแลกถาดทองคำไป"

เถรี
22-04-2011, 08:19
"หลังจากพระเทวทัตไปบ้านอื่นเสร็จ ก็กลับมาบ้านของยาย เห็นบ้านนี้เริงร่าก็สังหรณ์ใจรีบเข้าไปถามถึงถาด ทำเป็นว่าสงสารจึงยอมให้แลกกับเครื่องประดับสักเล็กน้อย ยายบอกว่าให้พ่อค้าอีกท่านหนึ่งแลกไปแล้ว เพราะเขาบอกว่าเป็นถาดทองคำ พระเทวทัตได้ยินก็แทบจะเป็นลมด้วยความเสียดาย ไล่ตามไปที่ริมทะเล

ตอนนั้นพระโพธิสัตว์ออกเรือไปแล้ว ด้วยความโกรธท่านก็เลยกอบทรายขึ้นมาแล้วอธิษฐานว่า จะขอจองล้างจองผลาญไปเท่าจำนวนเม็ดทรายในมือ ก็เลยเริ่มตำนานพระเทวทัตจองเวรพระพุทธเจ้าตั้งแต่ชาตินั้นเป็นต้นมา

อาตมาเห็นโยมเอาถาดใส่ของมา จึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ อยากจะบอกว่า ถ้าสังเกตหน่อยเดียวก็จะรู้ เพราะในขนาดที่เท่ากัน ทองคำจะมีน้ำหนักมากกว่าอย่างอื่น"

เถรี
22-04-2011, 08:23
ถาม : ถ้าส่งจิตขึ้นไปอยู่กับพระ ไม่ต้องรู้ลมตลอดสายใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องหรอก

ถาม : หนูทำแล้วเหนื่อยมากเลย เด้งขึ้นเด้งลง
ตอบ : การรู้ลมทำให้เราถอยกลับ การส่งจิตขึ้นไปข้างบนเป็นฌานสี่ แต่เราก็ดันลดลงมาปฐมฌานบ้าง ต่ำกว่าบ้าง ไปแบกช้างแบบนั้นก็เหนื่อยแย่..!

เถรี
22-04-2011, 08:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "ไม่มีภาระอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าความเป็นแม่อีกแล้ว กว่าจะเลี้ยงลูกให้โตได้แต่ละคน เหนื่อยสุด ๆ

ลูกยังเล็กอยู่ก็อาจจะเหนื่อยกาย แต่มาเหนื่อยใจตอนลูกเริ่มโต ทำอย่างไรที่ลูกจะเป็นคนดีได้อย่างเขา เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่ว่า ไม่ว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่ จะจริตนิสัยและอาชีพเป็นอย่างไรก็ตาม ล้วนแล้วแต่ตั้งความปรารถนาอยากให้ลูกเป็นคนดี ต่อให้พ่อเป็นโจร ก็อยากให้ลูกเป็นคนดี

เป็นเรื่องอัศจรรย์มาก บาลีถึงได้บอกว่า พรหฺมมาติ มาตา ปิตโร บิดามารดาเป็นพรหมของบุตร เพราะว่ามีเมตตากรุณาต่อลูกอยู่เสมอ"

เถรี
22-04-2011, 08:31
ถาม : โต๊ะหมู่บูชาที่บ้าน ควรหันไปด้านไหน?
ตอบ : ถ้าตามตำราหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่าโต๊ะหมู่บูชาหรือหิ้งพระควรหันไปทางทิศตะวันออกหรือทิศเหนือเท่านั้น ถ้าหันไปทิศอื่น ต่อให้ทำมาหากินเก่ง มีเงินคล่องตัวขนาดไหน ก็มีอันต้องใช้จนหมด

ถ้าต้องการในเรื่องของลาภผลก็หันไปทิศตะวันออก ถ้าต้องการในเรื่องของยศของตำแหน่ง ก็ให้หันไปทางทิศเหนือ

ถาม : ลำดับของพระที่เราจะเรียง ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าไว้บนสุด ลำดับถัดลงมาก็เป็นพระสงฆ์ หลังจากนั้นก็เป็นบรรดาเทวรูปหรือเจ้าแม่กวนอิม

ถาม : เจ้าแม่กวนอิมเอาไว้ด้วยกันได้ไหม ?
ตอบ : ได้..แต่ให้ต่ำกว่าพระ เพราะว่าคนที่ไม่เข้าใจจะหาว่าวางผู้หญิงไว้สูงกว่าพระ

ถาม : เจ้าแม่กวนอิมเป็นผู้หญิงหรือคะ มีคนบอกว่าเป็นผู้ชาย ?
ตอบ : รูปท่านเป็นผู้หญิง ในเมื่อรูปท่านเป็นผู้หญิง เราต้องยอมรับว่าคนทางโลกเขานิยมให้ผู้หญิงอยู่ต่ำกว่าพระ

เถรี
22-04-2011, 08:38
ถาม : ดิฉันควรจะปล่อยสัตว์อะไรดีคะ ปล่อยไม่ถูก ?
ตอบ : ปล่อยอะไรก็ได้ โดยเฉพาะสัตว์ที่เขาขายเอาไว้ฆ่า อย่างสัตว์ที่เราเข้าไปในตลาด ถ้าเราไม่ซื้อมาก็ต้องตายแน่ ๆ

ถาม : อะไรก็ได้ ?
ตอบ : จ้ะ อย่างอาตมาก็ปล่อยปลาทุกเดือน นี่เพิ่งให้เขาไปปล่อยมา ปล่อยที่ท่าน้ำวัดเทวราชกุญชร เขาจะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอยู่

ถ้าปล่อยปลาให้ฉลาดนิดหนึ่ง ก็คือ อย่าเทปลาพรวดพราดลงไป ปลาเขายังไม่ชินกับน้ำใหม่ ให้เอาน้ำใหม่ค่อย ๆ รินลงไปในถุงในถังสักครึ่งหนึ่ง แล้วก็ปล่อยไปสักพัก แล้วค่อยเทปลาลงน้ำไป ถ้าเทปลาลงไปทีเดียว บางตัวจะช็อก เพราะยังไม่ชินกับน้ำใหม่

ถาม : เฉพาะปลาอย่างเดียว ?
ตอบ : จ้ะ ส่วนเต่าปล่อยไว้บนบก อย่าปล่อยเต่าลงน้ำเพราะเต่าบางประเภทเป็นเต่าบก ว่ายน้ำไม่เป็น โยนลงน้ำไปจะจมน้ำตาย

ถาม : ดูไม่ออก
ตอบ : ถ้าดูไม่ออก ก็ปล่อยบนบกก่อน ถ้าเป็นเต่าน้ำก็จะเดินลงน้ำเอง และถ้าใครเลี้ยงเต่าอย่าให้กินแต่ผักบุ้งนะ เต่าเป็นสัตว์กินเนื้อ ปกติก็กินพวกปลา กุ้ง ปู ถ้าหากไม่มีอะไร ก็จะกินซากสัตว์ที่ตาย แต่ทีนี้โบราณดันไปแต่งเพลง "เต่ากินผักบุ้ง" ตั้งแต่นั้นมาคนก็เอาผักบุ้งเลี้ยงเต่า เต่าก็โดนทรมาน ไม่ได้กินอาหารอย่างที่ต้องการสักที

เรื่องการปล่อยชีวิตสัตว์ที่เขาจะโดนฆ่า ถ้าเราปล่อยให้เขารอดไป ก็เป็นการตัดเคราะห์ตัดกรรมของเราด้วย ถ้าช่วงนั้นอุปฆาตกรรมเข้ามา อาจจะทำให้เราต้องถึงแก่ชีวิต ก็จะเป็นการต่ออายุเรา ควรจะทำให้บ่อย ๆ สักเดือนละครั้ง ไม่ต้องปล่อยมากหรอก สักตัวสองตัวก็พอ แต่ถ้าทำอย่างอาตมา ไปครั้งหนึ่งก็เหมาหมดทั้งตลาด

เถรี
22-04-2011, 08:42
พระอาจารย์กล่าวหลังจากที่อดีตนางแบบชื่อดัง อุ้มลูกมาถวายสังฆทานว่า "พวกดารา นางแบบ หรือนักร้องบางคน ถ้าเข้าวัดก็จะรู้สึกว่าตนเองแปลกแยก เพราะไม่มีคนมารุมล้อมเหมือนตอนที่เขาอยู่ข้างนอก สมัยก่อนตอนที่คุณจารุณีกำลังดังสุด ๆ ไปวัดท่าซุง นั่งอยู่กับเพื่อนสามสี่คน ไม่มีใครสนใจ มีแต่คนวิ่งไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ

ตอนช่วงนั้นเขาดังสุด ๆ เลยนะ ชนิดหนังเรื่องไหนต้องมีเขา ถ้าไม่มีสายหนังจะไม่ซื้อ บางทีก็เป็นที่น่าเป็นห่วง เพราะบางคนเขาเคยชินกับการที่มีคนรุมล้อม พอเข้าวัดแล้วไม่มีใครสนใจ เขาก็ไม่อยากจะไปวัดอีก"

เถรี
22-04-2011, 08:44
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ พระองค์ ท่านเคยให้พรไว้ว่า บุคคลใดก็ตามถ้าตั้งใจปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบันจริง ๆ ท่านจะตามคุ้มครองตลอดชีวิต เพราะฉะนั้น..ให้ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อความเป็นพระโสดาบันไว้

สุดยอดองครักษ์อย่างท่านท้าวจตุมหาราช ถ้าไม่ใช่คนสำคัญสุด ๆ ท่านไม่เสียเวลาไปมองหรอก ลูกน้องของท่านมีเป็นล้าน ๆ องค์"

เถรี
22-04-2011, 12:22
ถาม : ผมนั่งทำสมาธิ สักพักก็หลับ รู้ตัวว่าหลับ แต่ไม่ภาวนา ไม่รู้จะทำอย่างไร ?
ตอบ : ถ้ายังมีสติรู้อยู่ ถึงปล่อยไปก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าขาดสติ มีอยู่สองอย่างด้วยกัน ก็คือ หลับจริง ๆ หรือถ้าไม่ได้หลับจริง ๆ ก็แปลว่าจิตเริ่มเป็นปฐมฌานหยาบ จิตกับประสาทเริ่มแยกจากกัน จิตตามไม่ทันก็จะเหมือนกับตัดหลับ

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่ต้องสนใจ ให้คุณสนใจว่ามีสติรู้ทันหรือเปล่า ? ถ้ามีสติรู้อยู่ไม่เป็นไร ถ้าไม่มีสติรู้อยู่ก็แก้ไขใหม่ เอาสติจดจ่ออยู่กับลมหายใจให้แนบแน่นมากขึ้น

เถรี
22-04-2011, 12:40
ถาม : มาขอพร จะแต่งงานครับ
ตอบ : พระไม่เคยแต่ง จะให้พรอย่างไรนี่ ?

ขอให้ครองคู่อยู่กันไป อย่างที่โบราณเขาว่า ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร ความจริงก็คืออยู่กันจนแก่เฒ่า คนที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างนั้น จะต้องปรับตัวเข้าหากัน เพราะฉะนั้น..พรดีแค่ไหนก็ตาม ถ้าไม่รู้จักปรับตัวเข้าหากัน ก็ดีไปไม่ได้หรอก

การแต่งงานเป็นเรื่องของคนคู่ คือ สองคนไม่ใช่คนเดียว อย่างน้อย ๆ ต้องลงให้อีกฝ่ายอย่างละครึ่งหนึ่ง จากที่เคยยืนยันความคิดตัวเอง ก็ต้องคล้อยตามความคิดเขาบ้าง พอฝ่ายหนึ่งเป็นไฟ อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องเป็นน้ำ ถ้าทำอย่างนี้ก็จะอยู่ได้นาน แต่ถ้าต่างคนต่างเป็นไฟ ต่างคนต่างไม่ยอมลงให้กัน ชีวิตคู่อยู่ไม่ได้หรอก พังแน่นอน

ถ้าเอาตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ก็คือ ต้องมีสมชีวิธรรม ก็คือ มีธรรมที่ดำรงชีวิตแล้วเสมอกัน คือ มีสมสัทธามีศรัทธาเสมอกัน มีสมสีลา มีศีลเสมอกัน มีสมจาคา มีทานเสมอกัน มีสมปัญญา คือมีปัญญาเสมอกัน ท่านบอกว่าจะอยู่กันได้นาน ถ้าคนหนึ่งให้ทาน อีกคนหนึ่งด่าว่าสิ้นเปลือง ก็อยู่กันได้ไม่นาน

ฉะนั้น..ปรับตัวเข้าหากัน ต่างคนต่างฟังอีกคนหนึ่งบ้าง ถ้ามีทิฐิมานะไปไม่รอดหรอก จำไว้ว่า..ถ้ามีครอบครัวสิ่งแรกที่ต้องทำได้คือความอดทน มีสัจจะจริงใจต่อกัน ไม่นอกใจกัน พูดอย่างไรทำอย่างนั้น มีทมะ ความข่มกลั้น ไม่ว่าจะโกรธขนาดไหนต้องอดกลั้นเอาไว้ มีขันติอดทนต่อความเหนื่อยยาก ในการทำงาน ในการดูแลครอบครัว มีจาคะเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่ออีกคนหนึ่ง ฟังดูไม่น่าจะยากนะ หรือว่ากติกาเยอะขนาดนี้ไม่แต่งดีกว่า..!

เถรี
22-04-2011, 12:48
ถาม : ไปปฏิบัติธรรมที่อินเดียมาครับ พอเรามองเห็นคนที่เดินจงกรม มองแบบคนระเบิดกันเป็นชิ้น ๆ เลยครับ ตัวเราเองที่เป็นคนมองก็ระเบิดเป็นชิ้น ๆ ใจเราสะดุ้งกลัว แต่ตอนหลังมาเห็นว่าตรงที่สะดุ้งกลัวนั้นไม่ใช่เรา แต่เป็นอวิชชา และความสงสัยที่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่เราครับ ความเชื่อว่าตรงนี้ถูกหรือผิด โดยที่มีตัวเราเป็นคนตัดสินใจ อันนี้ก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พอเห็นอย่างนี้ได้ โลกก็เปิด เบา เพราะความคิดว่าตนเองถูกตอนนี้หรือต่อไปนี่ไม่ต้องไปสนใจเลย เพราะเป็นธรรมดาของโลก

ตอบ : มีผู้รู้บอกไว้ว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุด ก็คือการที่คิดว่าตัวเองรู้แล้ว เพราะทันทีที่เราคิดว่าเรารู้แล้ว เราจะไม่เปิดรับความรู้เพิ่มขึ้น ดังนั้น..ในเรื่องของหลักธรรม ท้ายสุดก็จะลงที่เดียวกัน

ลักษณะที่เราเห็นว่าระเบิดไป ความจริง คือ เห็นชัดว่าไม่มีอะไรเป็นของเรา เขาก็ไม่ใช่เขา เราก็ไม่ใช่เรา แต่อาการที่เป็นอย่างนั้น ทำให้ความที่ยังเคยกลัวตายอยู่ ก็คืออวิชชาที่ยังรู้ไม่ครบ คือไม่รู้ว่าตายแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ทำให้หวาดกลัวเป็นปกติ

ถาม : เหมือนกับว่าผลของการทำสมาธิภาวนา ได้นั่นได้นี่มา จริง ๆ แล้ว เป็นเหมือนกับสิ่งที่รู้และวางลงไปเรื่อย ๆ ไม่ได้เอามาเป็นสาระว่า ฉันเป็นอย่างนั้นฉันเป็นอย่างนี้ กลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากสมาธิภาวนาเท่านั้น

ตอบ : พอผ่านขั้นนั้นไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ได้แต่รอขั้นที่สูงกว่านั้น ยกเว้นว่าเราจะทวนขึ้นทวนลงเพื่อความคล่องตัวของเรา

ถาม : ความรู้ภายในภายนอก บางทีเราอยากจะรู้เรื่องนี้ สงสัยเรื่องนี้ บางทีก็เป็นอารมณ์ภายนอกของคนอื่นก็ได้ บางทีก็เป็นอารมณ์ภายในเราก็ได้ แต่ทั้งอารมณ์ภายนอกอารมณ์ภายใน ก็เป็นเพียงเป็นสิ่งที่ถูกรู้ และจะทำให้ทุกอย่างเบา พอเบาแล้วเราก็จะเข้าใจทุกอย่างตามความเป็นจริง แต่ว่าความเข้าใจเรา เรายังไม่เอามาเป็นอาหาร ไม่ได้เอามาเป็นเจ้าของ เพราะความเข้าใจนั้นก็ยังเป็นตัวหลอกเราได้อีก จึงเห็นเป็นธรรมดา พอมาเห็นตรงนี้เรารู้สึกว่าเบา จะให้เบาก็ได้ จะให้หนักก็ได้ จะรักก็ได้ จะเกลียดก็ได้ แต่ว่ามีความรู้ชัดเจน มีความเข้าใจกระจ่าง

ตอบ : พอมาตรงจุดนี้แล้ว จะมีตัวหนึ่งคือปัญญารู้เห็น ปัญญารู้เห็นว่า สิ่งนี้ถ้าเรานึกคิดต่อไปจะเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ แล้วเราก็จะเว้นในเรื่องที่เป็นโทษ และรับในส่วนที่เป็นประโยชน์

ไม่ต้องถึงกับเรียนอภิธรรมหรอก แค่ฟังเขาสวดอภิธรรม "อัชฌัตตา ธัมมา พหิทธา ธัมมา" อารมณ์ที่อยู่ภายใน อารมณ์ที่อยู่ภายนอก พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดแล้ว แต่คนที่ยังทำไม่ถึง ก็สงสัยว่าเป็นอย่างไร แยกไม่ออก แต่ถ้าเราทำถึงก็จะแยกออก แต่ท้ายสุดก็จะเห็นว่า ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้ เพราะรู้ก็สักแต่ว่ารู้ แต่ถ้าเราไปยึดถือมั่นหมายเข้า ความรู้นั้นก็ยังกลับมาหลอกตัวเราอีกชั้นหนึ่ง

เถรี
22-04-2011, 12:58
ถาม : พอไปปฏิบัติธรรม ทำความดีต่อเนื่องมากขึ้นเรื่อย ๆ เห็นว่าในจิตใต้สำนึกยังมีตะกอน มีเครื่องที่ยังค้างคาอยู่ และการที่จะปฏิบัติเพื่อละกิเลส จะเห็นทางมากขึ้นครับ แต่ก็ยังเห็นว่าใต้สำนึกบางอย่าง เรายังคงเข้าไปเล่นตามบทบาทที่เราเคยได้ทำเอาไว้ จะเล่นได้แต่ขอให้รู้ทันก็แล้วกัน เหมือนตัวเรามีของคู่มาให้เราเห็นอยู่ ธรรมะที่เราจะไปล้างจิตใต้สำนึกของเรา ที่ซ่อนอยู่ข้างใน สังเกตว่าถ้าผมปฏิบัติธรรมดา ไม่ได้มีหลักความเพียรทำต่อเนื่อง การที่จะเข้าใจได้ชัดเจนมากขึ้น เป็นไปได้ยากเหมือนกัน

ตอบ : ยากเพราะถึงเวลากิเลสก็กลบไว้หมด ส่วนที่เราว่ามานั้นเป็นอนุสัยกิเลส เป็นส่วนที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน เหมือนกับตะกอนใต้น้ำ อย่างเช่น กามราคานุสัย อนุสัยในด้านของกามราคะ อวิชชานุสัย คือ อนุสัยในส่วนของอวิชชา คือความที่เรารู้ไม่ครบ รู้ไม่หมด

ในเมื่อเราเห็นหน้ากิเลสชัดเจน เราก็เลือกได้ เราเลือกว่าจะให้นิ่ง หรือจะให้ขุ่น ถ้ายังไม่สามารถเก็บกวาดให้สะอาดได้ ก็พยายามให้นิ่งให้มากที่สุด เพื่อความผ่องใสของเรา จะได้อยู่ดีมีสุข ไม่อย่างนั้นถ้าก่อกวนขึ้นมาแม้แต่เล็กน้อย ด้วยความที่จิตละเอียดมาก อารมณ์กระทบก็จะหนัก เหมือนกับว่ายังถูกแผดเผา ยังเร่าร้อนอยู่

ถาม : ผมพูดถึงของเล่นบ้างก็แล้วกันนะครับ ผมไปภาวนาที่กวางเจามา เวลาเราสวดมนต์ในใจ เราสามารถสวดให้เบาก็ได้ ให้ดังก็ได้ใช่ไหมครับ ? ให้กังวานออกไปไม่มีประมาณก็ได้
ตอบ : อยู่ที่ความตั้งใจของเรา ลักษณะเหมือนกับใช้เสียงปกตินี่แหละ แต่เป็นเสียงในใจ

ถาม : แล้วเวลาเรากำหนดร่างกายออกไปไหว้พระ เรากำหนดร่างเดียวก็ได้ หลายร่างก็ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ได้

ถาม : ขึ้นอยู่กับกำลังใจเราไปแหย่ไว้ตรงนั้นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่

ถาม : แต่ในนิมิตร่างเล็กที่เรามองเห็นองค์พระ ก็จะมองเห็นองค์พระในลักษณะที่แตกต่างจากตาเนื้อของเรา
ตอบ : ต่างมาก เพราะสิ่งที่เราเห็นตอนนั้นเป็นจริง คือ เป็นบุญเป็นบารมีของพระองค์ท่านจริง ๆ ถ้าใช้ตาเนื้อจะเห็นแค่เปลือก

เถรี
22-04-2011, 13:03
ถาม : ร่างเล็ก ๆ ที่เราทำมาหลายร่าง เราสามารถไปทำงานหลาย ๆ ที่โดยแตกต่างกันได้ใช่ไหม ?
ตอบ : ได้ สามารถรับรู้คนละเรื่องคนละราวพร้อม ๆ กันได้

ถาม : แต่ว่าเวลาที่จิตรู้ เกิดจากขณะเดียวใช่หรือไม่ ?
ตอบ : ต้องฝึกซ้อมให้ชำนาญนิดหนึ่ง ถ้าไม่ชำนาญแล้วแต่ละร่างจะรู้ได้ไม่เท่ากัน ถ้าหากชำนาญแล้วการรู้เห็นจะชัดเจนเหมือนกัน

ถ้าเป็นลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุงที่ฝึกกับท่านใหม่ ๆ ท่านให้แยกจิตออกไปกราบพระเป็นพันพร้อม ๆ กัน แต่ว่าส่วนใหญ่รับรายละเอียดได้น้อย เพราะว่ากำลังยังไม่พอ

ถาม : ผมเพิ่งมาแยกออกเป็นหลายร่างได้เมื่อวานซืนนี้เอง
ตอบ : คุณทำเอง ทำได้ถือว่าเก่ง ขนาดพวกอาตมามีครูสอนยังทำไม่ค่อยจะได้เลย

ถาม : ผมไปอินเดียคราวนี้เหมือนผมไปค้นหาตัวเองให้เจอ ว่าตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร และเราควรจะทำชีวิตของเราให้เป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัยที่ดี ไม่ต้องเก่ง ไม่ต้องมีอะไร ไปตามน้ำ บางทีก็ต้องตรวจสอบตนเอง ป้องกันตนเอง เพราะว่าภายนอกวุ่นวายมาก ทีนี้การตรวจสอบตัวเอง ป้องกันตัวเองต้องทำอย่างไรครับ ?

ตอบ : อันดับแรก เราเอาศีลเป็นกรอบ ไปแค่กรอบของศีล เราจะไม่ไหลตามเขาไปเกินกว่านั้น อันดับที่สอง ตัวสมาธิที่จะรั้ง หยุดยั้งเราไว้ตอนที่จะไปละเมิดสิ่งต่าง ๆ ฉะนั้น..เรื่องสมาธิของคุณตอนนี้ไม่ต้องห่วงแล้ว ก็เหลือแต่สติที่เอาไว้คอยควบคุมไว้ อย่าเผลอให้ไปละเมิดศีล เราไปแค่กรอบเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นเราก็พอที่จะรักษาตนเองให้อยู่ในสังคมนี้ได้ แต่คนอื่นมักจะว่าบ้า..!

เถรี
22-04-2011, 13:10
ถาม : ผมสังเกตว่า ไม่ว่าจะสร้างอะไรเยอะแยะในโลก แต่ถึงที่สุดแล้ว การให้ธรรมะเป็นทานเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด ให้แล้วก็วางไป ก็จะเบา ถ้าเกิดมีโอกาสสร้าง ก็สร้างเท่านั้นเอง
ตอบ : ถ้ามีโอกาสเราก็ทำ แต่ทำแล้วไม่ยึดติดในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น เพราะรู้ว่าบุญดีเราจึงทำ รู้ว่ากรรมไม่ดีเราก็ละ ท้ายสุดก็ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว

ถาม : พอเราทำอะไรสำเร็จได้เป็นพิเศษ ตัวเราภายในเหมือนกับแข็งแรงขึ้น แต่เราก็มีความรู้ที่จะตามไปเรื่อย ๆ แต่ความรู้ที่จะตามไปเรื่อยของผม ก็ไม่ใช่ร้อยเปอร์เซ็นต์นะครับ มีผิดมีพลาดบ้างตามเพศฆราวาส แต่ตัวเราแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ
ตอบ : ลักษณะนี้เรียกว่า สั่งสมบุญบารมี ยิ่งทำมากขึ้นความดีก็ยิ่งมากขึ้น สิ่งที่เราสั่งสมไว้มีมากขึ้น เราก็แข็งแรงขึ้น ขณะเดียวกันความชั่วก็พยายามที่จะบั่นทอนเราให้แข็งแกร่งน้อยลง พูดง่าย ๆ ว่าในการต่อสู้ ถ้าเราแข็งแกร่งกว่าก็มีโอกาสชนะในการต่อสู้นั้น

ทางด้านฝ่ายอวิชชาของมารก็พยายามที่จะมากั้นมาขวางเรา ส่วนเราทางด้านนี้รู้ในวิชชา เป็นญาณเครื่องรู้ที่จะช่วยเราให้พ้นทุกข์ เราก็พยายามที่จะทำของเรา ท้ายสุดถ้าเขาดีกว่า เราตามไม่ทันก็สอบตก

ถาม : ด้วยความที่มีสิ่งที่ค้านอยู่ในใต้สำนึก วิธีที่จะไปค้านกับกิเลสให้หมดสิ้นไป ผมก็ไม่ได้สงสัยอะไร แต่ที่ผมถามเผื่อว่าครูบาอาจารย์จะแนะนำมากขึ้น เพราะเราเองยังผิดพลาดอยู่หลายอย่าง เพราะเรายังไม่ตรงทางร้อยเปอร์เซ็นต์

ตอบ : เมื่อครู่ได้กล่าวไปทีหนึ่งแล้ว แต่ไม่ได้บอกให้ชัด ก็คือ พอเราเห็นแล้ว พิจารณารู้ว่าอย่างไหนเป็นคุณ อย่างไหนเป็นโทษ เราเลือกทำแต่ในด้านที่เป็นคุณ ละในด้านที่เป็นโทษ พอทำไปนาน ๆ กำลังสั่งสมได้ถึงระดับที่ต้องการ ก็จะปล่อยวางทั้งด้านคุณและด้านโทษ ดีก็ไม่เกาะชั่วก็ไม่เกาะ ถึงตอนนั้นจะผ่ากลางหลุดไปเอง

ถาม : การที่เราฝึกตาให้กระจ่าง มองทะลุทุกอย่างแม้กระทั่งความยินดียินร้าย ทะลุแม้กระทั่งความเป็นอัตตาตัวเรา ในขณะที่ทำพิจารณาอย่างนี้ เฉพาะมองให้ทะลุด้วยอำนาจสมาธิ ให้ถึงใจ ก็ถึงธรรมได้ใช่ไหมครับ?
ตอบ : ได้แน่นอน ในส่วนที่เป็นเจโตวิมุตติ

เถรี
22-04-2011, 13:16
ถาม : เวลาสวดมนต์เสียงดัง เสียงเบา เสียงค่อย เอาไว้ทำอะไรครับ ? นี่เป็นความรู้ที่ผมเพิ่งรู้มาไม่นานนี้เอง
ตอบ : เพื่อสงเคราะห์สรรพสัตว์ตามสากลจักรวาลต่าง ๆ ถ้าเราส่งไปไกลเท่าไร คุณประโยชน์ก็มากเท่านั้น ที่พระพุทธเจ้าทรงไปโปรดนั้น มีถึง "แสนโลกธาตุ"

พวกเราไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก เอาแค่ดาวหลาย ๆ ดวงได้ก็พอแล้ว ที่ไหนก็ตามที่มีมนุษย์และสัตว์ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดในกองทุกข์อยู่ ขอให้เขายินดีและโมทนาในส่วนบุญที่เราได้ทำในครั้งนี้ เราได้รับประโยชน์ความสุขเท่าไร ขอให้เขาได้รับด้วย และตั้งใจสวดมนต์เป็นพุทธบูชาไป หวังว่าเขาจะได้รับประโยชน์ในส่วนที่เราได้รับนั้น

ถาม : เวลาเรานึกในใจให้เสียงดัง ญาณของเราที่จะไปรู้ข้างนอกว่าบางคนเขารับได้ บางคนรับไม่ได้ ตัวนี้ให้เราปล่อยวางไปเลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ปล่อยเลย ทำหน้าที่ของเราคือสวดมนต์ไปอย่างเดียว ถ้าเราทำหลายอย่างกำลังจะลดลง เพราะว่าต้องแบ่งออกไปทำงานหลายอย่าง

ถาม : มีข้อแนะนำไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มี ทำต่อไปเถอะ เรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ยิ่งทำจะยิ่งรู้ แต่อย่าไปยึดมั่นในสิ่งที่รู้ ให้ระวังอยู่เสมอว่า สิ่งที่เรารู้นั้นช่วยในการตัดกิเลสหรือเปล่า ? ถ้าไม่ได้ช่วยในการตัดกิเลส รู้แล้วก็วางไว้ตรงนั้นแหละ เอาเรื่องที่สามารถตัดกิเลสได้ ไม่อย่างนั้นแล้วจะพาเรารู้กว้างออกไปเรื่อย ๆ แต่หาจุดหมายไม่เจอ

พอญาณเครื่องรู้เกิด จะรู้ทุกเรื่องแหละ คิดอะไรเข้าใจแจ่มแจ้งตลอด แต่ให้ระวังว่า สิ่งที่รู้นั้นเป็นเรื่องที่ช่วยในการตัดกิเลสไหม ? ถ้าไม่ใช่ก็ต้องวาง

ถาม : คนที่ไปยอมรับ ไปรับรองความรู้ก็ไม่ใช่ตัวเรา น่าอัศจรรย์ตรงนี้ครับ พอรู้บ่อย ๆ กลายเป็นโลกทั้งนั้นที่รับทุกอย่าง แต่ไม่ใช่ว่าข้างในไม่รับ เรารู้ เข้าใจ แต่ไม่เข้าไปข้องแวะอะไรเลย
ตอบ : ทำอย่างไรที่จะรักษาสภาพจิตให้ผ่องใสไม่ให้ข้องแวะกับสิ่งต่าง ๆ ได้ ก็คือการที่เราอยู่ในโลกแต่เราก็ไม่ติดกับโลก

ถาม : เป็นความบริสุทธิ์ที่อยู่คู่กับความสกปรกได้ ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า ดอกบัวเกิดในโคลนตม ชูช่อขึ้นเหนือน้ำขึ้นมา แต่ดอกบัวก็ไม่ได้แปดเปื้อนโคลนตมนั้น เปรียบกับสภาพจิตของเราที่เริ่มผ่องใส พ้นจากความสกปรกได้ แต่ก็อาศัยพื้นฐานจากความสกปรกขึ้นมา

พอมีคนที่ทำถึงมาคุยด้วย ค่อยรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อย ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกเฉา..!

เถรี
22-04-2011, 13:45
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมทางด้านอีสานนั้น มีศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก ดูอย่างที่สำนักสงฆ์ศรีชัยผาผึ้ง วัดไกลจากทางเข้า ๘ - ๙ กิโลเมตร ญาติโยมเขายังเดินไปใส่บาตรกันทุกวัน เขาจะเดินตั้งแต่เช้า กว่าจะไปถึงก็ ๙ โมงครึ่ง

ถึงได้บอกว่ากำลังใจของญาติโยมทางอีสาน ในเรื่องของบุญเขามหาศาลมาก เรื่องบุญเรื่องกุศลพร้อมทุ่มเทให้ ถึงแม้ปัจจัยจะมีน้อยก็ตาม ถ้าต้องการแรงงานเท่าไรเท่ากัน ไปช่วยกันยกหมู่บ้าน เห็นศรัทธาเขาแล้วชื่นใจ

ตอนนั้นไปอยู่ที่หนึ่ง อยู่กลางทุ่ง คุณเอ (ประพันธ์ สุรประภา) เขาพาไป เวลาลมพัดมาอย่างกับอยู่ข้างกองไฟ ร้อนวาบขนาดนั้นเขาก็อยู่กันได้ แต่เราไม่เคยชิน น้ำกินขุ่นขนาดต้องกรองแล้วกรองอีก เขาก็ยังอุตส่าห์อยู่กันได้

ไปสร้างพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมให้เขาองค์หนึ่ง โยมแห่กันมาบวชชีพราหมณ์ฉลองกันยกหมู่บ้าน เขาถามว่า "ฉันอาหารอย่างนี้ได้ไหม ?" อาตมาบอกว่า "อะไรที่มนุษย์กินลง ยกมาได้เลย"

เถรี
22-04-2011, 13:48
พระอาจารย์กล่าวว่า "รุ่นครูบาอาจารย์ก็มีแต่ล่วงลับไป แต่รุ่นของพวกเราก็โตไม่ทัน เหมือนกับขาดช่วงลง ญาติโยมขาดที่พึ่ง อย่างพระที่วัดท่าขนุนจะเอาเป็นชิ้นเป็นอันได้ก็ยังน้อย คนไหนพอเป็นหลักได้ เขาก็มาขอไปเป็นเจ้าอาวาสหมด พอเริ่มเป็นเจ้าอาวาสทีนี้ก็บรรลัยแล้ว เวลาที่จะปฏิบัติไม่มีแล้ว งานหลวงงานราษฎร์เทเข้ามา เวลาที่จะปฏิบัติเฉพาะตัวก็น้อยลง

สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถึงได้เตือนว่า "พวกแกที่ยังไม่มีงานประจำ ให้เร่งสร้างกำลังใจให้มากเข้าไว้ พอถึงเวลาจำเป็นต้องมีงานประจำแล้ว จะได้มีกำลังไปสู้งานได้" ไม่อย่างนั้นรัก โลภ โกรธ หลง เต็มหัวอยู่ พอไปทำงานแล้วเดี๋ยวตีกันแหลก..!"

เถรี
22-04-2011, 13:53
ถาม : ...การสร้างวัดเล็ก ๆ น่าจะเป็นส่วนสถาปัตย์แบบที่เขาชอบ ?
ตอบ : ก็น่าจะมีส่วนของสถาปัตย์ แต่ขณะเดียวกัน ความนิยมของชาวบ้านเขาด้วย พระที่ท่านสร้างวัดเล็ก ๆ จริง ๆ แล้วท่านมีศิลปะในการดำรงชีพเลยนะ เพราะว่าตนเองต้องมักน้อยสันโดษ แนะนำชาวบ้านเขาให้พออยู่พอกิน ครั้นไปสร้างวัดมหึมาเท่ากับว่าทำค้านกับสิ่งที่ตัวเองทำ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้สรรเสริญเวลาที่จะต้องสร้างอะไรใหญ่ ๆ โต ๆ

ตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดขึ้น คนไหลไปอยู่กับงานมากขึ้น ทำให้ไม่มีเวลาไปอยู่กับวัด สิ่งที่เคยสร้างเคยทำให้ ก็ต้องมอบปัจจัยให้พระไปสร้างไปทำกันเอง บทบาทของการที่ญาติโยมจะสร้างวัด ซ่อมวัด ก็เลยเป็นพระต้องสร้างเองซ่อมเองมาจนถึงปัจจุบันนี้

เถรี
22-04-2011, 16:43
ถาม : คนที่มีโทสะมาก ๆ เราจะต้องแก้อย่างไรครับ ? อยู่ใกล้แล้วไฟพลอยติดเราไปด้วย
ตอบ : เราเดือดร้อนไปด้วย..ใช่ไหม ?

ถาม : ไฟติดลามมาถึงครับ
ตอบ : ถ้าเขาเป็นนักปฏิบัติยังพอช่วยได้ เราก็แนะนำการปฏิบัติให้กับเขา อย่างเช่น แก้ด้วยพรหมวิหาร ๔ หรือแก้ด้วยวรรณกสิณ ๔ แต่ถ้าไม่ใช่นักปฏิบัตินี่ยุ่งเลย มีทางเดียวก็คือไปห่าง ๆ..!

ถาม : ไปห่าง ๆ ?
ตอบ : อย่าไปอยู่ใกล้เขา

ถาม : บางทีผมไม่มีสิทธิ์
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นเราก็ใส่เกราะเลย ตั้งกำลังใจให้สูงสุดเข้าไว้ อย่างน้อย ๆ เราจะได้ไม่หลุด แต่ตอนหลังพอมานั่งกรรมฐานแล้วจะเสีย จะฟุ้งไปนึกถึงตอนนั้นแล้วมาโกรธเอาทีหลัง แต่ว่าก็ยังดี เราไม่ได้โกรธตรงนั้น ยังรักษาตัวรักษาใจเอาไว้ได้

เรื่องของโทสะนั้นมีโทษมหาศาล ความโกรธทำให้เครียดมาก แก่เร็ว คนขี้โกรธ คนมักโกรธ หมอเขาทำวิจัยพบว่ามีโอกาสเป็นโรคมะเร็งมากกว่าคนทั่วไปเป็นสิบ ๆ เท่า..!

ถาม : พวกซึมเศร้าใช่โกรธไหม ?
ตอบ : เป็นส่วนหนึ่งของโทสะ แต่เป็นส่วนของโทสะที่ไปในทางน้อยใจคนอื่น ก็คือไม่พอใจ ไม่พอใจก็คือส่วนหนึ่งของโทสะ ถ้าพอใจเป็นส่วนของราคะ เมื่อไม่พอใจก็ไปนั่งซึมอยู่คนเดียว ท้ายสุดก็ไม่พอใจตัวเอง น้อยใจตัวเอง

วันนี้มีดาราท่านหนึ่งอุ้มลูกมา คนเคยเป็นดาราเป็นนางแบบแล้วต้องมานั่งเลี้ยงลูก เขาอาจจะคิดว่า เราไม่น่าจะเป็นอย่างนี้เลย ถ้าเขาคิดมาก ๆ เดี๋ยวก็ซึมเศร้า..!

เถรี
22-04-2011, 16:53
ถาม : การพิจารณาวิปัสสนาในการดูรูปนาม อย่าง "ฆนะ" ที่เขาทำกันอยู่... ?
ตอบ : ดูตามนั้นได้ แต่ขณะเดียวกัน เราจะต้องมีสำนึกอยู่เสมอว่า รู้ขนาดไหนก็ตาม ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องรู้อยู่เสมอว่า รูปนามนี้สักแต่เป็นฆนะ (ก้อน,แท่ง ) ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ถ้าความรู้สึกตรงนี้ยังไม่เกิด ก็สักแต่ว่าเห็น ยังใช้ประโยชน์ไม่ได้ แต่ถ้าเห็นแล้วมั่นใจว่าไม่ใช่เราจริง ๆ ก็จะถอนจิตออกมาจากตรงที่เรายึดในรูปนามได้

เถรี
22-04-2011, 17:04
พระอาจารย์กล่าวว่า "พูดถึงแผ่นดินไหว มีใครรู้บ้างว่า แผ่นดินไหวเพราะสาเหตุอะไร ?

พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงเรื่องแผ่นดินไหวเอาไว้ อยู่ในมหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย สุตตันตปิฎก พญามารมาอาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ปรินิพพานได้แล้ว เพราะว่าครั้งแรกที่เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ พญามารก็ออกมาขวางหน้า บอกว่าอีก ๗ วัน สมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิราชจะมาถึงท่านแล้ว จะออกบวชไปทำอะไร ?

เจ้าชายสิทธัตถะตรัสว่า เพื่อความพ้นทุกข์ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย อย่าว่าแต่สมบัติพระเจ้าจักรพรรดิเลย ต่อให้เป็นทิพยสมบัติขององค์อมรินทร์ ท่านก็ไม่พึงปรารถนา พญามารเห็นว่าห้ามไม่ได้ก็หลีกไป

พอวันที่พระองค์จะตรัสรู้ พญามารยกพหลพลโยธามาอย่างกับฟ้าจะถล่มดินจะทลาย จะขู่ให้พระองค์เลิกปฏิบัติ ก็ไม่สำเร็จอีก พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พญามารก็มาทูลอาราธนาให้เข้าพระนิพพาน "ในเมื่อท่านตรัสรู้ตามที่ประสงค์แล้ว ก็ควรจะปรินิพพานได้"

หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยถามพญามารว่า ทำไมตอนนั้นถึงตั้งใจไปขวางพระพุทธเจ้าขนาดนั้น ? พญามารในตอนนี้ไม่ใช่พญามารแล้ว ท่านบอกว่า ตอนนั้นกลัวเพราะว่ารู้ว่าเพื่อนกัน ก็คือ เจ้าชายสิทธัตถะมีความมุ่งมั่นมาก เมื่อบรรลุมรรคผลแล้ว เดี๋ยวจะเทศน์โปรดคนไปหมด ไม่เหลือบริวารไว้ให้ตัวท่านเองบ้าง แล้วท่านสรุปว่าตอนนั้นคิดโง่ไปหน่อย"

เถรี
22-04-2011, 17:08
"องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "ปาปิมะ ดูก่อน..มารผู้เป็นบาป เธอจงอย่าขวนขวายเลย ถ้าหากตถาคตประกาศศาสนาแล้ว บริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สามารถปฏิบัติธรรมได้คล่องแคล่วชำนาญ สามารถแก้ไขปรัปวาท คือคำที่บุคคลกล่าวตู่พระพุทธศาสนาได้ มีความเชี่ยวชาญทั้งปริยัติและปฏิบัติ ตถาคตย่อมเข้าสู่พระนิพพานเอง"

นี่พระพุทธองค์ท่านตั้งความหวังไว้ขนาดนั้น ไหวไหม ? ถึงขนาดว่าถ้าคนอื่นกล่าวตู่พระพุทธศาสนา เราจะต้องแก้ต่างได้ทุกข้อหา ไม่อย่างนั้นก็เสร็จเขาแน่

พอมาพรรษาสุดท้าย พญามารถึงได้มาทูลอาราธนา พระพุทธเจ้าทรงทราบไว้ก่อนแล้ว พยายามแสดงนิมิตโอภาสถึง ๑๖ ครั้งต่อพระอานนท์ โดยทรงเปรียบเทียบไปต่าง ๆ นานา อย่างเช่นว่า "อานันทะ ดูก่อน..อานนท์ สมมติว่ามีเกวียนอยู่เล่มหนึ่ง เก่าคร่ำคร่าเต็มทีแล้ว ดุมก็ใกล้จะหัก ไม้ก็ผุ ตัวเกวียนก็คลอนแคลน แทบไม่สามารถที่จะใช้งานไหวแล้ว ควรจะซ่อมดีหรือควรจะเปลี่ยนเกวียนใหม่ดี ?"

ต้องบอกว่าด้วยกรรมบันดาล ทำให้พระอานนท์ทูลตอบว่า ควรที่จะเปลี่ยนเกวียนใหม่ดีกว่า เมื่อเป็นดังนั้นแล้ว พระพุทธเจ้าจึงรับอาราธนาพญามารว่า ถัดจากนี้ไปอีก ๓ เดือน เราจะปรินิพพานที่สาลวโนทยาน แห่งเมืองกุสินารา

ทันทีที่พระพุทธเจ้าทรงปลงอายุสังขารว่าอีก ๓ เดือนจะปรินิพพาน ก็เกิดแผ่นดินไหว พระอานนท์ท่านมีความดีว่า ถ้าสงสัยท่านจะถาม อยู่ ๆ แผ่นดินไหวโครมครืนขึ้นมาเฉย ๆ ก็เข้าไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า แผ่นดินไหวด้วยเหตุใด ?

พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสถึงสาเหตุของแผ่นดินไหวมีทั้งหมด ๘ ประการ ประการหนึ่งได้กล่าวว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปลงอายุสังขารถึงได้เกิดแผ่นดินไหว พอพระอานนท์ได้ยินอย่างนั้นก็เฉลียวใจวูบเลย รีบกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ถ้าอย่างนั้นขออาราธนาให้อยู่ตลอดกัปเถิด พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ทันแล้ว เพราะเราได้รับอาราธนาจากพญามารไว้แล้ว"

เถรี
22-04-2011, 17:09
:4672615: เก็บตกปฐมฤกษ์บ้านวิริยบารมี (เดือนเมษายน ๒๕๕๔) หมดแล้วค่ะ :4672615: